• สิวมีกี่แบบ วันนี้ได้รู้กัน Nuie. Look@Me by BP
    #lookatme #lookatmebybp@#look@me #hya #hyaluronicacid #niacinamide #เติมน้ําให้ผิว #ผิวมัน #ผิวแห้ง #ผิวผสม #ดื่มน้ํา #พันธุกรรม #ฮอร์โมน #ครีม #ครีมบํารุงผิว #cleaning #cleaningสูตรอ่อนโยน #ผลิตน้ํามัน #กระตุ้นการผลิตน้ำมัน #รีวิวบิวตี้ #TikTokUni #tiktokสายความรู้ #tiktokสายสวย #reviewbeauty
    สิวมีกี่แบบ วันนี้ได้รู้กัน Nuie. Look@Me by BP #lookatme #lookatmebybp@#look@me #hya #hyaluronicacid #niacinamide #เติมน้ําให้ผิว #ผิวมัน #ผิวแห้ง #ผิวผสม #ดื่มน้ํา #พันธุกรรม #ฮอร์โมน #ครีม #ครีมบํารุงผิว #cleaning #cleaningสูตรอ่อนโยน #ผลิตน้ํามัน #กระตุ้นการผลิตน้ำมัน #รีวิวบิวตี้ #TikTokUni #tiktokสายความรู้ #tiktokสายสวย #reviewbeauty
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • แก้ปัญหาผิวมัน ไม่อยากอย่างที่คิด
    Nuie Look@Me by BP
    #lookatme #lookatmebybp@#look@me #hya #hyaluronicacid #niacinamide #เติมน้ําให้ผิว #ผิวมัน #ผิวแห้ง #ผิวผสม #ดื่มน้ํา #พันธุกรรม #ฮอร์โมน #ครีม #ครีมบํารุงผิว #cleaning #cleaningสูตรอ่อนโยน #ผลิตน้ํามัน #กระตุ้นการผลิตน้ำมัน #รีวิวบิวตี้ #TikTokUni #tiktokสายความรู้ #tiktokสายสวย #reviewbeauty
    แก้ปัญหาผิวมัน ไม่อยากอย่างที่คิด Nuie Look@Me by BP #lookatme #lookatmebybp@#look@me #hya #hyaluronicacid #niacinamide #เติมน้ําให้ผิว #ผิวมัน #ผิวแห้ง #ผิวผสม #ดื่มน้ํา #พันธุกรรม #ฮอร์โมน #ครีม #ครีมบํารุงผิว #cleaning #cleaningสูตรอ่อนโยน #ผลิตน้ํามัน #กระตุ้นการผลิตน้ำมัน #รีวิวบิวตี้ #TikTokUni #tiktokสายความรู้ #tiktokสายสวย #reviewbeauty
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 7 0 รีวิว
  • 🔍 รวมเคล็ดลับแก้ปัญหาเล็ดในวัยทอง ที่คุณควรรู้!

    ปัญหาปัสสาวะเล็ดเป็นเรื่องที่ผู้หญิงวัยทองหลายคนต้องเจอ แต่เรามีทางแก้ไข! 💡 ด้วยการฟื้นฟูอุ้งเชิงกรานและเทคโนโลยีการดูแลที่ทันสมัย ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและกระชับ ลดปัญหาปัสสาวะเล็ดได้อย่างเห็นผล 🩺 สุขภาพดีไม่ใช่แค่ความฝัน เริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้เพื่อชีวิตที่มั่นใจในทุกสถานการณ์!
    .
    สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองคิวใน Comment
    .
    #วัยทอง #ปัสสาวะเล็ด #ดูแลตัวเอง #สุขภาพวัยทอง #วัยทองต้องใส่ใจ #ผู้หญิงยุคใหม่ #ฮอร์โมนวัยทอง #ผู้หญิงวัยทอง #ปรับสมดุลฮอร์โมน #สุขภาพดีในวัยทอง #ฮอร์โมน #DrJim #VagiClinic
    🔍 รวมเคล็ดลับแก้ปัญหาเล็ดในวัยทอง ที่คุณควรรู้! ปัญหาปัสสาวะเล็ดเป็นเรื่องที่ผู้หญิงวัยทองหลายคนต้องเจอ แต่เรามีทางแก้ไข! 💡 ด้วยการฟื้นฟูอุ้งเชิงกรานและเทคโนโลยีการดูแลที่ทันสมัย ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและกระชับ ลดปัญหาปัสสาวะเล็ดได้อย่างเห็นผล 🩺 สุขภาพดีไม่ใช่แค่ความฝัน เริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้เพื่อชีวิตที่มั่นใจในทุกสถานการณ์! . สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองคิวใน Comment . #วัยทอง #ปัสสาวะเล็ด #ดูแลตัวเอง #สุขภาพวัยทอง #วัยทองต้องใส่ใจ #ผู้หญิงยุคใหม่ #ฮอร์โมนวัยทอง #ผู้หญิงวัยทอง #ปรับสมดุลฮอร์โมน #สุขภาพดีในวัยทอง #ฮอร์โมน #DrJim #VagiClinic
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 3 0 รีวิว
  • คนผิวมันห้ามเติมน้ำให้ผิว?? จริงหรอ
    #lookatme #lookatmebybp@#look@me #hya #hyaluronicacid #niacinamide #เติมน้ําให้ผิว #ผิวมัน #ผิวแห้ง #ผิวผสม #ดื่มน้ํา #พันธุกรรม #ฮอร์โมน #ครีม #ครีมบํารุงผิว #cleaning #cleaningสูตรอ่อนโยน #ผลิตน้ํามัน #กระตุ้นการผลิตน้ำมัน #รีวิวบิวตี้ #TikTokUni #tiktokสายความรู้ #tiktokสายสวย #reviewbeauty
    คนผิวมันห้ามเติมน้ำให้ผิว?? จริงหรอ #lookatme #lookatmebybp@#look@me #hya #hyaluronicacid #niacinamide #เติมน้ําให้ผิว #ผิวมัน #ผิวแห้ง #ผิวผสม #ดื่มน้ํา #พันธุกรรม #ฮอร์โมน #ครีม #ครีมบํารุงผิว #cleaning #cleaningสูตรอ่อนโยน #ผลิตน้ํามัน #กระตุ้นการผลิตน้ำมัน #รีวิวบิวตี้ #TikTokUni #tiktokสายความรู้ #tiktokสายสวย #reviewbeauty
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 14 0 รีวิว
  • 📢 เปิดตัวเพจใหม่! สำหรับผู้ชายวัย 45 ปีขึ้นไปที่อยากดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ฟิตเต็มร้อย ไม่มีหมดไฟ! 💪🔥
    .
    👨‍⚕️ "Healthy Man 45+" คือพื้นที่สำหรับผู้ชายวัยทองและวัยเก๋าที่ต้องการดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น...
    ✅ เคล็ดลับสุขภาพวัย 45+
    ✅ อาหารเสริมสร้างร่างกาย
    ✅ ออกกำลังกายให้เหมาะกับวัย
    ✅ ปัญหาสุขภาพชาย เช่น ความดัน เบาหวาน หัวใจ
    ✅ ฮอร์โมนชาย วัยทอง และการฟื้นฟูพลังงาน
    ✅ วิธีป้องกันอาการปวดข้อ ปวดหลัง และเสื่อมสมรรถภาพ
    .
    🎯 เป้าหมายของเรา: ช่วยให้ผู้ชายวัย 45+ ใช้ชีวิตอย่างแข็งแรง มีพลัง และดูดีได้ตลอด!
    .
    📌 กดติดตามเพจเลย! แล้วมาเป็น Healthy Man ไปด้วยกันครับ 💙💪 #สุขภาพดีไม่มีหมดไฟ #สุขภาพผู้ชาย 💪
    #วัยทองต้องStrong 🔥
    #ฟิตแข็งแรง45plus 🏋️‍♂️
    #ดูแลสุขภาพง่ายๆ 🌿
    #พลังชายไม่มีหมดไฟ
    📢 เปิดตัวเพจใหม่! สำหรับผู้ชายวัย 45 ปีขึ้นไปที่อยากดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ฟิตเต็มร้อย ไม่มีหมดไฟ! 💪🔥 . 👨‍⚕️ "Healthy Man 45+" คือพื้นที่สำหรับผู้ชายวัยทองและวัยเก๋าที่ต้องการดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น... ✅ เคล็ดลับสุขภาพวัย 45+ ✅ อาหารเสริมสร้างร่างกาย ✅ ออกกำลังกายให้เหมาะกับวัย ✅ ปัญหาสุขภาพชาย เช่น ความดัน เบาหวาน หัวใจ ✅ ฮอร์โมนชาย วัยทอง และการฟื้นฟูพลังงาน ✅ วิธีป้องกันอาการปวดข้อ ปวดหลัง และเสื่อมสมรรถภาพ . 🎯 เป้าหมายของเรา: ช่วยให้ผู้ชายวัย 45+ ใช้ชีวิตอย่างแข็งแรง มีพลัง และดูดีได้ตลอด! . 📌 กดติดตามเพจเลย! แล้วมาเป็น Healthy Man ไปด้วยกันครับ 💙💪 #สุขภาพดีไม่มีหมดไฟ #สุขภาพผู้ชาย 💪 #วัยทองต้องStrong 🔥 #ฟิตแข็งแรง45plus 🏋️‍♂️ #ดูแลสุขภาพง่ายๆ 🌿 #พลังชายไม่มีหมดไฟ ⚡
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • Vagi โดยทีมสูตินรีแพทย์และอาจารย์ประสบการณ์มากกว่า 30 ปี
    .
    Vagi Clinic เป็นคลินิกเฉพาะทางที่ให้บริการดูแลและรักษาด้านสุขภาพและความงามทางนรีเวช โดยเฉพาะในเรื่องของฮอร์โมนวัยทองที่มีผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้หญิง บริการของคลินิกครอบคลุมการดูแลฮอร์โมนเพศทางเลือก รวมถึงการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Sexology ที่มีประสบการณ์ในการจัดการกับปัญหาทางเพศและความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้อง

    นอกจากนี้ Vagi Clinic ยังมีทีมแพทย์สูตินรีเวชที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งสามารถให้คำปรึกษาและรักษาปัญหาที่เกี่ยวกับสุขภาพสตรีได้อย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นด้านความงาม การฟื้นฟูจุดซ่อนเร้น หรือการจัดการกับปัญหาทางสุขภาพที่ซับซ้อนในผู้หญิงทุกช่วงวัย

    ทำไมต้องให้ Vagi Clinic ดูแลคุณ
    -ตรวจและรักษาโดยอาจารย์แพทย์เฉพาะทางสูตินรีเวช ประสบการณ์กว่า 30 ปี
    -มีทีมแพทย์เฉพาะทางสูตินรีเวช คอยให้บริการ
    -ระบบการรักษาและห้องผ่าตัดเทียบเท่าโรงพยาบาล
    -การตรวจรักษาและการส่งต่อสะดวกและรวดเร็ว
    -ออกใบรับรองแพทย์ เบิกประกันในกรณีส่งต่อรักษาที่อื่นได้

    จุดซ่อนเร้นสตรี ปัญหาสูตินรีเวช
    VAGI รู้ใจน้องสาว รู้ใจคุณ
    --------------------------------------------

    🔔สนใจสอบถามรายละเอียดได้ใน Comment

    #ตรวจภายใน
    #สุขภาพผู้หญิง #DrJim #VagiClinic
    Vagi โดยทีมสูตินรีแพทย์และอาจารย์ประสบการณ์มากกว่า 30 ปี . Vagi Clinic เป็นคลินิกเฉพาะทางที่ให้บริการดูแลและรักษาด้านสุขภาพและความงามทางนรีเวช โดยเฉพาะในเรื่องของฮอร์โมนวัยทองที่มีผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้หญิง บริการของคลินิกครอบคลุมการดูแลฮอร์โมนเพศทางเลือก รวมถึงการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Sexology ที่มีประสบการณ์ในการจัดการกับปัญหาทางเพศและความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ Vagi Clinic ยังมีทีมแพทย์สูตินรีเวชที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งสามารถให้คำปรึกษาและรักษาปัญหาที่เกี่ยวกับสุขภาพสตรีได้อย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นด้านความงาม การฟื้นฟูจุดซ่อนเร้น หรือการจัดการกับปัญหาทางสุขภาพที่ซับซ้อนในผู้หญิงทุกช่วงวัย ทำไมต้องให้ Vagi Clinic ดูแลคุณ -ตรวจและรักษาโดยอาจารย์แพทย์เฉพาะทางสูตินรีเวช ประสบการณ์กว่า 30 ปี -มีทีมแพทย์เฉพาะทางสูตินรีเวช คอยให้บริการ -ระบบการรักษาและห้องผ่าตัดเทียบเท่าโรงพยาบาล -การตรวจรักษาและการส่งต่อสะดวกและรวดเร็ว -ออกใบรับรองแพทย์ เบิกประกันในกรณีส่งต่อรักษาที่อื่นได้ จุดซ่อนเร้นสตรี ปัญหาสูตินรีเวช VAGI รู้ใจน้องสาว รู้ใจคุณ -------------------------------------------- 🔔สนใจสอบถามรายละเอียดได้ใน Comment #ตรวจภายใน #สุขภาพผู้หญิง #DrJim #VagiClinic
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • PCOS กับดื้ออินซูลิน เกี่ยวข้องกันยังไง?
    ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) เชื่อมโยงกับ ภาวะดื้ออินซูลิน อย่างใกล้ชิด ✨ อินซูลินที่ทำงานผิดปกติอาจกระตุ้นฮอร์โมนเพศชายในร่างกายให้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ สิวขึ้นง่าย น้ำหนักเพิ่ม และเสี่ยงโรคเรื้อรัง! 💔
    มาเข้าใจต้นเหตุและเรียนรู้วิธีแก้ในคลิปนี้เลยค่ะ!

    #PCOS #ภาวะดื้ออินซูลิน #ลดน้ำตาล #ดูแลสุขภาพ #ฮอร์โมนสมดุล #สุขภาพดี #ผู้หญิงต้องรู้ #feelgreat
    PCOS กับดื้ออินซูลิน เกี่ยวข้องกันยังไง? ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) เชื่อมโยงกับ ภาวะดื้ออินซูลิน อย่างใกล้ชิด ✨ อินซูลินที่ทำงานผิดปกติอาจกระตุ้นฮอร์โมนเพศชายในร่างกายให้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ สิวขึ้นง่าย น้ำหนักเพิ่ม และเสี่ยงโรคเรื้อรัง! 💔 มาเข้าใจต้นเหตุและเรียนรู้วิธีแก้ในคลิปนี้เลยค่ะ! #PCOS #ภาวะดื้ออินซูลิน #ลดน้ำตาล #ดูแลสุขภาพ #ฮอร์โมนสมดุล #สุขภาพดี #ผู้หญิงต้องรู้ #feelgreat
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮอร์โมนรักษาวัยทอง 🧑‍⚕️ ไม่ได้เหมาะกับทุกคน! 🌿 แม้ว่าจะช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ของวัยทอง แต่ก็ต้องปรึกษาแพทย์และพิจารณาความเหมาะสมของแต่ละบุคคล 💬 ไม่ทุกร่างกายจะตอบสนองเหมือนกัน ดังนั้นอย่าลืมตรวจสอบให้ดีก่อนตัดสินใจค่ะ ✨
    .
    📩 สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองคิวใน Comment
    .
    #วัยทอง #ฮอร์โมนรักษาวัยทอง #ดูแลสุขภาพ #ปรึกษาแพทย์ #สุขภาพดี #วัยทองเป็นเรื่องที่ใส่ใจ #ฮอร์โมนเพศ #คลินิกเพื่อคนข้ามเพศ #เพราะทุกเพศสำคัญ #TransCare #HormoneTherapy #ดูแลตัวเอง #ฟื้นฟูสุขภาพ #ฮอร์โมนสมดุล #มั่นใจในทุกวัย #ปรับสมดุลฮอร์โมน #ชีวิตดีไม่มีสะดุด #ฮอร์โมนสมดุล #ผู้หญิงยุคใหม่ #ดูแลด้วยใจ #DrJim #VagiClinic
    ฮอร์โมนรักษาวัยทอง 🧑‍⚕️ ไม่ได้เหมาะกับทุกคน! 🌿 แม้ว่าจะช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ของวัยทอง แต่ก็ต้องปรึกษาแพทย์และพิจารณาความเหมาะสมของแต่ละบุคคล 💬 ไม่ทุกร่างกายจะตอบสนองเหมือนกัน ดังนั้นอย่าลืมตรวจสอบให้ดีก่อนตัดสินใจค่ะ ✨ . 📩 สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองคิวใน Comment . #วัยทอง #ฮอร์โมนรักษาวัยทอง #ดูแลสุขภาพ #ปรึกษาแพทย์ #สุขภาพดี #วัยทองเป็นเรื่องที่ใส่ใจ #ฮอร์โมนเพศ #คลินิกเพื่อคนข้ามเพศ #เพราะทุกเพศสำคัญ #TransCare #HormoneTherapy #ดูแลตัวเอง #ฟื้นฟูสุขภาพ #ฮอร์โมนสมดุล #มั่นใจในทุกวัย #ปรับสมดุลฮอร์โมน #ชีวิตดีไม่มีสะดุด #ฮอร์โมนสมดุล #ผู้หญิงยุคใหม่ #ดูแลด้วยใจ #DrJim #VagiClinic
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 608 มุมมอง 23 0 รีวิว
  • น้องมีกรดฟุลวิค (ฮอร์โมนไข่เพื่อสุขภาพ) จำหน่ายแล้วนะคะ วัตถุดิบที่ใช้คือลูกแป้งข้าวหมาก ยาคูล และไข่ไก่ ราคาขวดละ 250.- ปริมาณ 250 ml.ฟรีค่าจัดส่งค่ะ
    น้องมีกรดฟุลวิค (ฮอร์โมนไข่เพื่อสุขภาพ) จำหน่ายแล้วนะคะ วัตถุดิบที่ใช้คือลูกแป้งข้าวหมาก ยาคูล และไข่ไก่ ราคาขวดละ 250.- ปริมาณ 250 ml.ฟรีค่าจัดส่งค่ะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ฝ้า

    เป็นสิ่งดี ๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองจากรังสี UVA และ UVB จากการกระทำของตัวเราเอง

    ฝ้า คือการที่สีของผิวหนังผิดปกติไปในบางตำแหน่ง สีของผิวเกิดจากสารหรือเม็ดสีเมลานิน (melanin) ซึ่งถูกสร้างมาจากเซลล์ผิวหนัง (เมลาโนไซต์ - melanocyte) ซึ่งเจริญมาจากเซลล์ระบบประสาท โดยแฝงตัวอยู่ที่ด้านล่างสุดของชั้นหนังกำพร้า โดยที่เซลล์ผิวหนังหนึ่งเซลล์จะมีแขนงไปแตะจับกับเซลล์ผิวหนังอีกราวๆ 30-40 เซลล์ เมื่อเกิดเหตุใดๆ ก็ตามที่ทำให้เม็ดสีเหล่านี้ผิดปกติไป ก็จะทำให้สีของผิวบริเวณนั้นผิดปกติไป ถ้ามีลักษณะเป็นแผ่นปื้น ก็จะเรียกว่า "เป็นฝ้า" นั่นเอง และนั่นหมายถึง ร่างกายผลิตขึ้นได้ ร่างกายก็สามารถเอามันออกไปได้ด้วยระบบที่ซับซ้อนของร่างกายเอง เพราะ มนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อซ่อมแซมตัวเอง แต่มันช้า ไม่ได้ดั่งใจ

    ฝ้ามี 3 ชนิดโดยแบ่งตามความลึกของ melanin ที่ไปฝังตัว

    1. เม็ดสี melanin ไปฝังตัวที่หนังกำพร้าเราเรียก Epidermal type melisma หรือ ฝ้าเมลานิน เป็นฝ้าที่เกิดจากแสงแดดทำลายชั้นผิว มักจะเกิดบริเวณข้างแก้ม มักมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัด เกิดได้ง่าย ชนิดนี้รักษาไม่ยาก

    2. เม็ดสีฝังตัวที่หนังแท้เราเรียก dermal type melasma หรือฝ้าเส้นเลือด มักจะเกิดบริเวณโหนกแก้ม มีลักษณะเป็นสีม่วงๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัด ชนิดนี้ นานหน่อยกว่าจะหาย

    3. ชนิดผสมจาก 2 แบบดังกล่าว

    การแยกชนิดของฝ้าทำได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Wood's lamp

    ความผิดปกติที่เกิดกับเม็ดสีของผิว (โดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้า)

    1. เกิดจากโรคผิวหนังบางชนิด

    การอักเสบเป็นเวลานานๆ สามารถเป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดรอยด่างดำบนผิวหน้าได้ ซึ่งหลังจากการอักเสบหายไป ก็จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ การติดเชื้อบางอย่างเช่นสิวอักเสบแล้วเป็นอยู่เวลานานๆ นอกจากนั้นก็ยังมีโรคผิวหนังบางอย่างอีกเช่น

    Riehl's melanosis โรคปื้นร่างแหสีน้ำตาล มักเห็นชัดที่บริเวณหน้าผาก ขมับ โหนกแก้ม คาง และ คอ อาจจะเกิดจากการแพ้เครื่องสำอาง
    Poikiloderma of Civatte โรคเส้นเลือดฝอยแตกขยายผิดปกติที่บริเวณคอ
    Erythromelanosis follicularis โรคที่มีลักษณะเป็นผื่นแดงตามโหนกแก้ม
    Linear Fusca เป็นภาวะที่มีลักษณะเป็นเส้นสีเข้มที่พาดบริเวณหน้าผาก

    2. ยาบางชนิดทำให้เกิดฝ้า

    ยาบางชนิดสามารถไปกระตุ้นผิวหนังให้ไวต่อแสงแดด ในขณะที่ยาบางชนิดอาจจะทำให้เกิดฝ้าได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องได้รับการช่วยกระตุ้นจากแสงแดดเลย ยาที่มักจะพบว่ามีผลต่อการเกิดฝ้าคือ

    -ยาคุมกำเนิดบางชนิด
    -ยาแก้อักเสบ เช่น เตตร้าไซคลิน (tetracyclines)
    -อะมิโอดาโรน (Amiodarone) ซึ่งเป็นยาที่มีผลกับการทำงานของหัวใจ
    -ฟินนีโทอีน (Phenytoin) เป็นยาที่ใช้รักษาโรคลมชักชนิดต่างๆ
    -ฟิโนเธียซีน (Phenothiazines) เป็นยาที่ออกฤทธิ์กับระบบประสาท มีผลทำให้ง่วงนอน
    -ซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamides) ที่ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคบางชนิด
    -ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ทำให้ผิวขาวโดยมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี ของผิวหนัง หรือที่เรียกว่า เมลานิน โดย ไม่ทาครีมกันแดดร่วมด้วย

    3. เกิดจากแสงแดด (รังสีอุลต้าไวโอเล็ต - UV, Ultraviolet) สามารถทำให้เกิดฝ้าบางชนิดได้

    ฝ้า (Melasma) มีลักษณะเป็นแผ่นสีน้ำตาล เกิดบนใบหน้าบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก เหนือริมฝีปาก โดยเกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินในบริเวณผิวหนังทำงานผิดปกติ และส่งเม็ดสีขึ้นมาบนผิวหนังด้านบนเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ความเข้มของสีผิวไม่สม่ำเสมอและมองเห็นได้จากภายนอก เม็ดสีเมลานินนี้มีหน้าที่พิเศษคือกรองรังสีเหนือม่วง หรือ อุลตร้าไวโอเล็ต (UV - Ultraviolet) ดังนั้นยิ่งเราตากแดดมากขึ้น ร่างกายก็จะสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น โดยที่รังสี UVA (รังสี UV ชนิด A เป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นยาว พลังงานต่ำ) จะกระตุ้นให้เซลล์ melanocytes สร้างเม็ดสีเมลานินได้โดยตรง กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ให้ทำงานได้มากขึ้นและทำให้เซลล์ผิวหนัง (keratinocyte) รับสารเมลานินได้มากขึ้นส่งผลให้สีผิวเข้มขึ้น จึงทำให้เกิดผิวสีคล้ำ เกิดฝ้า หรือ กระ และรังสี UVB (รังสี UV ชนิด B มีช่วงคลื่นสั้น พลังงานสูง) จะทำให้การทำงานประสานกันของเซลล์ melinocyte และเซลล์ keratinocytes ได้ดีขึ้นในการรับส่งเม็ดสีเมลานิน ถ้าได้รับมากๆ สามารถทำให้เกิดผิวไหม้ บวมแดง และหากได้รับรังสีเป็นระยะเวลายาวนาน อาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้

    กระแดด (Solar lentigines) มักจะเกิดในคนที่อายุมากและมีประวัติการถูกแสงแดด อาจจะเริ่มจากจุดเล็กแล้วอาจขยายใหญ่ได้มาก (ถ้า lentigines จะหมายถึงขี้แมลงวัน)

    กระ (ephelides) หมายถึงจุดสีน้ำตาลที่มักมีขนาดเล็กกว่า 0.5 ซม. เกิดจากการมีเม็ดสีเมลานินมากกว่าปกติ พบที่บริเวณใบหน้าและบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อยๆ และมักมีสีเข้มขึ้นในฤดูร้อนและจางลงในฤดูหนาว เพราะแสงแดดโดยเฉพาะรังสี UV-B เป็นตัวกระตุ้นให้กระเข้มขึ้น

    4. สาเหตุอื่นๆ ของการเป็นฝ้า

    นอกจากสาเหตุที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีโรคหรือภาวะบางอย่างที่สามารถทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกันก็คือ

    -การตั้งครรภ์
    โรคกรดไหลย้อน
    โรคลำไส้แปรปรวน
    โรคแพ้ภูมิตัวเอง
    -โรคตับ
    -โรคแอดดิสัน (พบได้น้อยมาก เกิดจากต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนสเตอรอยด์ได้น้อยกว่าปกติ)
    -อีโมโครมาโทซิส (Hemochromatosis) เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ที่เกิดจากการสะสมของเหล็กในกระแสเลือด จนทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ตับ
    -เนื้องอกใต้สมอง

    5.ขาดสารอาหารที่เซลล์ผิวหนังต้องการ

    6. ระบบการย่อยและระบบการดูดซึมของร่างกายทำงานไม่สมบูรณ์

    ฝ้าสายพันธุ์ใหม่ เกิดจากการรบกวนผิว มลภาวะ และการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสารที่ไปกระตุ้นการเกิดฝ้า พวก Whitening ซึ่งบางครั้งผู้บริโภคที่ซื้อเป็นเพราะโฆษณาชวนเชื่อและรู้เท่าไม่ถึงการณ์

    ฝ้าเส้นเลือด เกิดจากเส้นเลือดบริเวณใบหน้าเสียสภาพไม่สามารถกักเก็บเลือดได้ ทำให้เลือดซึมออกมาใต้ผิวหนัง เป็นรอยแดงคล้ายเส้นเลือด ซึ่งสีของฝ้าเส้นเลือดสามารถเปลี่ยนได้ตามอุณหภูมิการแสดงอารมณ์โดยในตอนเช้าสีจะออกชมพู แต่เมื่อเวลาโดนแดดจัดสีจะคล้ำจนเป็นสีดำ นอกจากนี้ผิวหนังจะมีความรู้สึกไว แสบง่าย ส่วนมากมักจะเกิดกับคนที่มีลักษณะของเซลล์ที่มีความผิดปกติหรือแตกตัวผิดปกติ หรือทานยาแอสไพรินมายาวนาน

    การปลดฝ้า

    เพื่อผิวหน้าที่ขาวใส และป้องกันการกลับมาเยือนของฝ้า อย่างแรกคือ ต้องทราบสาเหตุของการเกิดฝ้า เพราะแต่ละคนมีสาเหตุต่างกัน การรักษาที่ถูกวิธีต้องรักษาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ไปเน้นที่การยับยั้ง หรือกดเซลล์ กล่าวคือ การใช้ยาเพื่อไปยับยั้งการทำงานของเมลานิน ซึ่งถ้าหยุดใช้ยา ฝ้าก็สามารถกลับมาเยือนได้อีก และท่านก็ต้องใช้ยาอีก จึงดูเหมือนเป็นการพายเรือวนในอ่าง

    วิธีการที่ถูกต้องคือให้สารอาหารที่สามารถหยุดหรือระงับการสร้างเมลานิลโดยไม่ทำให้เซลล์สร้างสีตาย เพราะถ้าใช้สารทำลายเซลล์สร้างสีแล้ว ร่างกายจะขาดกำลังสำคัญในการป้องกันผิวหนังจากแสงแดด

    สารอาหาร

    Vitamin C เป็นสาร Antioxidantsที่พบมากที่สุดในผิวหนัง ทำหน้าที่ลดอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็งผิวหนัง ชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น และมีความจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ใช้ป้องกันและรักษาเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ลดรอยหมองคล้ำ ฝ้า กระ รอยด่างดำตามร่างกาย

    อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ดอกกระหล่ำเป็นต้น

    Vitamin E เป็นสาร Antioxidants ที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันเนื้อเยื่อจากการถูกเอนไซม์ทำลาย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวพรรณ ป้องกันและลดอันตรายจากแสงแดด และลดการเกิดเซลล์มะเร็งได้ ลดความเสื่อมของผิวหนังที่ทำให้เกิดริ้วรอย

    อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ น้ำมันพืชประเภทน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว งา น้ำมันสลัด ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืชต่างๆ จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว

    Vitamin A โดยใช้สารตั้งต้นที่ชื่อ เบต้าแคโรทีนและสารแคโรทีนอยด์ แล้วร่างกายเปลี่ยนแปลงเป็นกลุ่มเรตินอล (Retinol) ซึ่งปัจจุบันได้มีการคิดค้นเกี่ยวกับสารสังเคราะห์สำหรับผิวพรรณที่เรียกว่า กลุ่มเรตินอยด์ ทั้งในรูปของครีมทา และยารับประทาน ( ซึ่งนำมารักษาสิวและริ้วรอย) ใช้คำว่าเลียนแบบวิตามินเอ ( เรตินอล) มีรายงานมากมายที่สนับสนุนว่า วิตามินเอ ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และเนื้อเยื่อของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอผิวเสื่อม ริ้วรอยย่นก่อนวัยครับ

    อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ อาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา ไข่ ผักเช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง เป็นต้น ร่างกายปกติ ต้องการวิตามินเอ ประมาณ 1000 ไมโครกรัมต่อวัน ( ในรูปของ Retinol)

    ซีลีเนียม ( Selenium) ถือเป็นสารที่สำคัญที่ทำงานร่วมกับวิตามินอี ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวพรรณ ป้องกันมะเร็ง ผิวหนังจากแสงแดด การทาครีมที่ผสมซิลีเนียม จะทำให้ลดอาการแดดเผา ผิวหนังอักเสบได้และป้องกันมะเร็ง

    ยังไม่มีรายงานการขาดสารซิลีเนียมในคนแล้วเกิดโรคต่างๆ เพราะอาหารที่มีซิลีเนียม ส่วนใหญ่ร่างกายจะได้รับเพียงพอ เพราะต้องการเพียงปริมาณไม่มากนัก อาหารเหล่านี้ได้แก่ อาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ กระเทียม ไข่ เมล็ดพืชต่างๆ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรับประทานเป็นอาหารเสริม เพราะอาจจะมีปริมาณสูงเกินไป ส่วนใหญ่จะนำมาผสมในครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด

    ไบโอติน สารอาหารที่อยู่ในตระกูลวิตามินบี เป็นสารที่มีประโยชน์ในเรื่องการเผาผลาญ และปรับสมดุลของการไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต การขาดวิตามินนี้ จะทำให้ผิวแห้ง เบื่ออาหาร เส้นผมและเล็บเปราะหักง่าย ผมงอกช้า

    อาหารที่มีไบโอตินสูง ได้แก่ ธัญพืชไม่ขัดสีต่างๆ อาหารโปรตีนสูง ไข่แดง ตับ ข้าวกล้อง ถั่วชนิดต่างๆ ปกติร่างกายของเราจะได้รับสาร ไบโอติน ในปริมาณที่ไม่เพียงพอ แต่โชคดีที่ภายในร่างกายมี แบคทีเรียที่ชื่อ Lactobacillin ในลำไส้ ที่สามารถผลิตสารไบโอตินได้ แต่ถ้าต้องการรับประทานเป็นอาหารเสริม ปริมาณที่เหมาะสมคือ วันละ 600-1,200 มก.

    สังกะสี เป็นแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์กว่า 70 ชนิด ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการดูดซึมของกรดไลโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามินเอได้ดีขึ้น

    อาหารที่มีสังกะสีสูง ได้แก่ หอยนางรม อาหารทะเล ตับ ชีส เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ รวมทั้งธัญพืชที่ไม่ได้ขัดสี ถั่วเมล็ดแห้ง และถั่วเปลือกแข็ง ร่างกายต้องการสังกะสี ในปริมาณที่แตกต่างกันในแต่ละเพศ วัย และภาวะของร่างกาย แต่โดยเฉลี่ยไม่ควรเกินวันละ 15-30 มก.

    Co enyme Q10 ( Uniquinone) เป็นสารAntioxidants ที่ค้นพบมานานแล้ว โดยพบมากที่อวัยวะที่มีการ metabolism สูง เช่น หัวใจ ไต และตับ โดยทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังงาน สำหรับผิวหนัง CoQ10 จะพบมากในชั้น epidermis มากกว่า dermis มีสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ( free radicles) จึงเชื่อว่า สามารถลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ ปัจจุบัน ได้นำมาทำเป็นครีมทาเฉพาะที่ เพื่อลดริ้วรอย โดยเฉพาะรอยดวงตา

    อาหารดีๆ

    1.ปลา : เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แนะนำ ปลาโอ ปลาอินทรีย์สด ปลาแซลม่อน ปลาสวาย

    2.น้ำมันมะกอก : เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูงแต่ข้อดีคือ มีกรดไขมันจำเป็นและเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอและอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวดูอ่อนวัยคงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม

    3.น้ำดื่มสะอาด : หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง แบบไม่ต้องลงทุนมาก เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้และยังป้องกันเซลลูไลต์อีกด้วย

    4.มะเขือเทศ : ช่วยทำให้ผิวพรรณดี แก้อาการสิวฝ้า นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย

    5.บร็อกโคลี : ผักสีเขียวที่เป็นแหล่งของวิตามินเอและซี โดยที่วิตามินเอมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง ซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป และยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนังให้มีการทำงานอย่างปกติ ช่วยให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ

    สิ่งสำคัญที่สุดคือ ระบบการย่อยและการดูดซึม เพราะเป็นตัวกำหนดปริมาณสารอาหารที่ได้รับว่าเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่

    ผลิตภัณฑ์แนะนำ

    สบู่สมุนไพร
    Pun c
    Prink
    Alovi
    Praow
    Praew

    Cr. Santi Manadee
    #ฝ้า เป็นสิ่งดี ๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองจากรังสี UVA และ UVB จากการกระทำของตัวเราเอง ฝ้า คือการที่สีของผิวหนังผิดปกติไปในบางตำแหน่ง สีของผิวเกิดจากสารหรือเม็ดสีเมลานิน (melanin) ซึ่งถูกสร้างมาจากเซลล์ผิวหนัง (เมลาโนไซต์ - melanocyte) ซึ่งเจริญมาจากเซลล์ระบบประสาท โดยแฝงตัวอยู่ที่ด้านล่างสุดของชั้นหนังกำพร้า โดยที่เซลล์ผิวหนังหนึ่งเซลล์จะมีแขนงไปแตะจับกับเซลล์ผิวหนังอีกราวๆ 30-40 เซลล์ เมื่อเกิดเหตุใดๆ ก็ตามที่ทำให้เม็ดสีเหล่านี้ผิดปกติไป ก็จะทำให้สีของผิวบริเวณนั้นผิดปกติไป ถ้ามีลักษณะเป็นแผ่นปื้น ก็จะเรียกว่า "เป็นฝ้า" นั่นเอง และนั่นหมายถึง ร่างกายผลิตขึ้นได้ ร่างกายก็สามารถเอามันออกไปได้ด้วยระบบที่ซับซ้อนของร่างกายเอง เพราะ มนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อซ่อมแซมตัวเอง แต่มันช้า ไม่ได้ดั่งใจ ฝ้ามี 3 ชนิดโดยแบ่งตามความลึกของ melanin ที่ไปฝังตัว 1. เม็ดสี melanin ไปฝังตัวที่หนังกำพร้าเราเรียก Epidermal type melisma หรือ ฝ้าเมลานิน เป็นฝ้าที่เกิดจากแสงแดดทำลายชั้นผิว มักจะเกิดบริเวณข้างแก้ม มักมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัด เกิดได้ง่าย ชนิดนี้รักษาไม่ยาก 2. เม็ดสีฝังตัวที่หนังแท้เราเรียก dermal type melasma หรือฝ้าเส้นเลือด มักจะเกิดบริเวณโหนกแก้ม มีลักษณะเป็นสีม่วงๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัด ชนิดนี้ นานหน่อยกว่าจะหาย 3. ชนิดผสมจาก 2 แบบดังกล่าว การแยกชนิดของฝ้าทำได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Wood's lamp ความผิดปกติที่เกิดกับเม็ดสีของผิว (โดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้า) 1. เกิดจากโรคผิวหนังบางชนิด การอักเสบเป็นเวลานานๆ สามารถเป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดรอยด่างดำบนผิวหน้าได้ ซึ่งหลังจากการอักเสบหายไป ก็จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ การติดเชื้อบางอย่างเช่นสิวอักเสบแล้วเป็นอยู่เวลานานๆ นอกจากนั้นก็ยังมีโรคผิวหนังบางอย่างอีกเช่น Riehl's melanosis โรคปื้นร่างแหสีน้ำตาล มักเห็นชัดที่บริเวณหน้าผาก ขมับ โหนกแก้ม คาง และ คอ อาจจะเกิดจากการแพ้เครื่องสำอาง Poikiloderma of Civatte โรคเส้นเลือดฝอยแตกขยายผิดปกติที่บริเวณคอ Erythromelanosis follicularis โรคที่มีลักษณะเป็นผื่นแดงตามโหนกแก้ม Linear Fusca เป็นภาวะที่มีลักษณะเป็นเส้นสีเข้มที่พาดบริเวณหน้าผาก 2. ยาบางชนิดทำให้เกิดฝ้า ยาบางชนิดสามารถไปกระตุ้นผิวหนังให้ไวต่อแสงแดด ในขณะที่ยาบางชนิดอาจจะทำให้เกิดฝ้าได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องได้รับการช่วยกระตุ้นจากแสงแดดเลย ยาที่มักจะพบว่ามีผลต่อการเกิดฝ้าคือ -ยาคุมกำเนิดบางชนิด -ยาแก้อักเสบ เช่น เตตร้าไซคลิน (tetracyclines) -อะมิโอดาโรน (Amiodarone) ซึ่งเป็นยาที่มีผลกับการทำงานของหัวใจ -ฟินนีโทอีน (Phenytoin) เป็นยาที่ใช้รักษาโรคลมชักชนิดต่างๆ -ฟิโนเธียซีน (Phenothiazines) เป็นยาที่ออกฤทธิ์กับระบบประสาท มีผลทำให้ง่วงนอน -ซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamides) ที่ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคบางชนิด -ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ทำให้ผิวขาวโดยมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี ของผิวหนัง หรือที่เรียกว่า เมลานิน โดย ไม่ทาครีมกันแดดร่วมด้วย 3. เกิดจากแสงแดด (รังสีอุลต้าไวโอเล็ต - UV, Ultraviolet) สามารถทำให้เกิดฝ้าบางชนิดได้ ฝ้า (Melasma) มีลักษณะเป็นแผ่นสีน้ำตาล เกิดบนใบหน้าบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก เหนือริมฝีปาก โดยเกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินในบริเวณผิวหนังทำงานผิดปกติ และส่งเม็ดสีขึ้นมาบนผิวหนังด้านบนเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ความเข้มของสีผิวไม่สม่ำเสมอและมองเห็นได้จากภายนอก เม็ดสีเมลานินนี้มีหน้าที่พิเศษคือกรองรังสีเหนือม่วง หรือ อุลตร้าไวโอเล็ต (UV - Ultraviolet) ดังนั้นยิ่งเราตากแดดมากขึ้น ร่างกายก็จะสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น โดยที่รังสี UVA (รังสี UV ชนิด A เป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นยาว พลังงานต่ำ) จะกระตุ้นให้เซลล์ melanocytes สร้างเม็ดสีเมลานินได้โดยตรง กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ให้ทำงานได้มากขึ้นและทำให้เซลล์ผิวหนัง (keratinocyte) รับสารเมลานินได้มากขึ้นส่งผลให้สีผิวเข้มขึ้น จึงทำให้เกิดผิวสีคล้ำ เกิดฝ้า หรือ กระ และรังสี UVB (รังสี UV ชนิด B มีช่วงคลื่นสั้น พลังงานสูง) จะทำให้การทำงานประสานกันของเซลล์ melinocyte และเซลล์ keratinocytes ได้ดีขึ้นในการรับส่งเม็ดสีเมลานิน ถ้าได้รับมากๆ สามารถทำให้เกิดผิวไหม้ บวมแดง และหากได้รับรังสีเป็นระยะเวลายาวนาน อาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ กระแดด (Solar lentigines) มักจะเกิดในคนที่อายุมากและมีประวัติการถูกแสงแดด อาจจะเริ่มจากจุดเล็กแล้วอาจขยายใหญ่ได้มาก (ถ้า lentigines จะหมายถึงขี้แมลงวัน) กระ (ephelides) หมายถึงจุดสีน้ำตาลที่มักมีขนาดเล็กกว่า 0.5 ซม. เกิดจากการมีเม็ดสีเมลานินมากกว่าปกติ พบที่บริเวณใบหน้าและบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อยๆ และมักมีสีเข้มขึ้นในฤดูร้อนและจางลงในฤดูหนาว เพราะแสงแดดโดยเฉพาะรังสี UV-B เป็นตัวกระตุ้นให้กระเข้มขึ้น 4. สาเหตุอื่นๆ ของการเป็นฝ้า นอกจากสาเหตุที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีโรคหรือภาวะบางอย่างที่สามารถทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกันก็คือ -การตั้งครรภ์ โรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวน โรคแพ้ภูมิตัวเอง -โรคตับ -โรคแอดดิสัน (พบได้น้อยมาก เกิดจากต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนสเตอรอยด์ได้น้อยกว่าปกติ) -อีโมโครมาโทซิส (Hemochromatosis) เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ที่เกิดจากการสะสมของเหล็กในกระแสเลือด จนทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ตับ -เนื้องอกใต้สมอง 5.ขาดสารอาหารที่เซลล์ผิวหนังต้องการ 6. ระบบการย่อยและระบบการดูดซึมของร่างกายทำงานไม่สมบูรณ์ ฝ้าสายพันธุ์ใหม่ เกิดจากการรบกวนผิว มลภาวะ และการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสารที่ไปกระตุ้นการเกิดฝ้า พวก Whitening ซึ่งบางครั้งผู้บริโภคที่ซื้อเป็นเพราะโฆษณาชวนเชื่อและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ฝ้าเส้นเลือด เกิดจากเส้นเลือดบริเวณใบหน้าเสียสภาพไม่สามารถกักเก็บเลือดได้ ทำให้เลือดซึมออกมาใต้ผิวหนัง เป็นรอยแดงคล้ายเส้นเลือด ซึ่งสีของฝ้าเส้นเลือดสามารถเปลี่ยนได้ตามอุณหภูมิการแสดงอารมณ์โดยในตอนเช้าสีจะออกชมพู แต่เมื่อเวลาโดนแดดจัดสีจะคล้ำจนเป็นสีดำ นอกจากนี้ผิวหนังจะมีความรู้สึกไว แสบง่าย ส่วนมากมักจะเกิดกับคนที่มีลักษณะของเซลล์ที่มีความผิดปกติหรือแตกตัวผิดปกติ หรือทานยาแอสไพรินมายาวนาน การปลดฝ้า เพื่อผิวหน้าที่ขาวใส และป้องกันการกลับมาเยือนของฝ้า อย่างแรกคือ ต้องทราบสาเหตุของการเกิดฝ้า เพราะแต่ละคนมีสาเหตุต่างกัน การรักษาที่ถูกวิธีต้องรักษาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ไปเน้นที่การยับยั้ง หรือกดเซลล์ กล่าวคือ การใช้ยาเพื่อไปยับยั้งการทำงานของเมลานิน ซึ่งถ้าหยุดใช้ยา ฝ้าก็สามารถกลับมาเยือนได้อีก และท่านก็ต้องใช้ยาอีก จึงดูเหมือนเป็นการพายเรือวนในอ่าง วิธีการที่ถูกต้องคือให้สารอาหารที่สามารถหยุดหรือระงับการสร้างเมลานิลโดยไม่ทำให้เซลล์สร้างสีตาย เพราะถ้าใช้สารทำลายเซลล์สร้างสีแล้ว ร่างกายจะขาดกำลังสำคัญในการป้องกันผิวหนังจากแสงแดด สารอาหาร Vitamin C เป็นสาร Antioxidantsที่พบมากที่สุดในผิวหนัง ทำหน้าที่ลดอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็งผิวหนัง ชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น และมีความจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ใช้ป้องกันและรักษาเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ลดรอยหมองคล้ำ ฝ้า กระ รอยด่างดำตามร่างกาย อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ดอกกระหล่ำเป็นต้น Vitamin E เป็นสาร Antioxidants ที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันเนื้อเยื่อจากการถูกเอนไซม์ทำลาย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวพรรณ ป้องกันและลดอันตรายจากแสงแดด และลดการเกิดเซลล์มะเร็งได้ ลดความเสื่อมของผิวหนังที่ทำให้เกิดริ้วรอย อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ น้ำมันพืชประเภทน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว งา น้ำมันสลัด ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืชต่างๆ จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว Vitamin A โดยใช้สารตั้งต้นที่ชื่อ เบต้าแคโรทีนและสารแคโรทีนอยด์ แล้วร่างกายเปลี่ยนแปลงเป็นกลุ่มเรตินอล (Retinol) ซึ่งปัจจุบันได้มีการคิดค้นเกี่ยวกับสารสังเคราะห์สำหรับผิวพรรณที่เรียกว่า กลุ่มเรตินอยด์ ทั้งในรูปของครีมทา และยารับประทาน ( ซึ่งนำมารักษาสิวและริ้วรอย) ใช้คำว่าเลียนแบบวิตามินเอ ( เรตินอล) มีรายงานมากมายที่สนับสนุนว่า วิตามินเอ ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และเนื้อเยื่อของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอผิวเสื่อม ริ้วรอยย่นก่อนวัยครับ อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ อาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา ไข่ ผักเช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง เป็นต้น ร่างกายปกติ ต้องการวิตามินเอ ประมาณ 1000 ไมโครกรัมต่อวัน ( ในรูปของ Retinol) ซีลีเนียม ( Selenium) ถือเป็นสารที่สำคัญที่ทำงานร่วมกับวิตามินอี ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวพรรณ ป้องกันมะเร็ง ผิวหนังจากแสงแดด การทาครีมที่ผสมซิลีเนียม จะทำให้ลดอาการแดดเผา ผิวหนังอักเสบได้และป้องกันมะเร็ง ยังไม่มีรายงานการขาดสารซิลีเนียมในคนแล้วเกิดโรคต่างๆ เพราะอาหารที่มีซิลีเนียม ส่วนใหญ่ร่างกายจะได้รับเพียงพอ เพราะต้องการเพียงปริมาณไม่มากนัก อาหารเหล่านี้ได้แก่ อาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ กระเทียม ไข่ เมล็ดพืชต่างๆ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรับประทานเป็นอาหารเสริม เพราะอาจจะมีปริมาณสูงเกินไป ส่วนใหญ่จะนำมาผสมในครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด ไบโอติน สารอาหารที่อยู่ในตระกูลวิตามินบี เป็นสารที่มีประโยชน์ในเรื่องการเผาผลาญ และปรับสมดุลของการไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต การขาดวิตามินนี้ จะทำให้ผิวแห้ง เบื่ออาหาร เส้นผมและเล็บเปราะหักง่าย ผมงอกช้า อาหารที่มีไบโอตินสูง ได้แก่ ธัญพืชไม่ขัดสีต่างๆ อาหารโปรตีนสูง ไข่แดง ตับ ข้าวกล้อง ถั่วชนิดต่างๆ ปกติร่างกายของเราจะได้รับสาร ไบโอติน ในปริมาณที่ไม่เพียงพอ แต่โชคดีที่ภายในร่างกายมี แบคทีเรียที่ชื่อ Lactobacillin ในลำไส้ ที่สามารถผลิตสารไบโอตินได้ แต่ถ้าต้องการรับประทานเป็นอาหารเสริม ปริมาณที่เหมาะสมคือ วันละ 600-1,200 มก. สังกะสี เป็นแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์กว่า 70 ชนิด ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการดูดซึมของกรดไลโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามินเอได้ดีขึ้น อาหารที่มีสังกะสีสูง ได้แก่ หอยนางรม อาหารทะเล ตับ ชีส เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ รวมทั้งธัญพืชที่ไม่ได้ขัดสี ถั่วเมล็ดแห้ง และถั่วเปลือกแข็ง ร่างกายต้องการสังกะสี ในปริมาณที่แตกต่างกันในแต่ละเพศ วัย และภาวะของร่างกาย แต่โดยเฉลี่ยไม่ควรเกินวันละ 15-30 มก. Co enyme Q10 ( Uniquinone) เป็นสารAntioxidants ที่ค้นพบมานานแล้ว โดยพบมากที่อวัยวะที่มีการ metabolism สูง เช่น หัวใจ ไต และตับ โดยทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังงาน สำหรับผิวหนัง CoQ10 จะพบมากในชั้น epidermis มากกว่า dermis มีสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ( free radicles) จึงเชื่อว่า สามารถลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ ปัจจุบัน ได้นำมาทำเป็นครีมทาเฉพาะที่ เพื่อลดริ้วรอย โดยเฉพาะรอยดวงตา อาหารดีๆ 1.ปลา : เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แนะนำ ปลาโอ ปลาอินทรีย์สด ปลาแซลม่อน ปลาสวาย 2.น้ำมันมะกอก : เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูงแต่ข้อดีคือ มีกรดไขมันจำเป็นและเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอและอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวดูอ่อนวัยคงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม 3.น้ำดื่มสะอาด : หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง แบบไม่ต้องลงทุนมาก เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้และยังป้องกันเซลลูไลต์อีกด้วย 4.มะเขือเทศ : ช่วยทำให้ผิวพรรณดี แก้อาการสิวฝ้า นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย 5.บร็อกโคลี : ผักสีเขียวที่เป็นแหล่งของวิตามินเอและซี โดยที่วิตามินเอมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง ซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป และยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนังให้มีการทำงานอย่างปกติ ช่วยให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ระบบการย่อยและการดูดซึม เพราะเป็นตัวกำหนดปริมาณสารอาหารที่ได้รับว่าเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่ ผลิตภัณฑ์แนะนำ สบู่สมุนไพร Pun c Prink Alovi Praow Praew Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 650 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia)

    โรคของการทางานที่ผิดปกติของเยื่อบุหลอดเลือด (endothelial malfunction) และการหดตัวของหลอดเลือด (vasospasm) ที่เกิดขึ้นภายหลังอายุครรภ์20 สัปดาห์และอาจแสดงอาการยาวไปจนถึง 4-6 สัปดาห์หลังคลอดได้ ในทางคลินิกภาวะครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia) หมายถึงการที่มีความดันโลหิตสูงและมีโปรตีนรั่วในหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยมีความดันโลหิตสูงมาก่อน แบ่งออกเป็นชนิดรุนแรงและไม่รุนแรง มีสาเหตุจากหลายปัจจัย ปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากการมีสารที่สร้างจากรกที่พัฒนาผิดปกติไปทำให้เกิดความผิดปกติของเซลล์เยื่อบุหลอดเลือดของมารดา อาการที่รุนแรงหลายอย่างเกิดจากการมีความเสียหายต่อเซลล์เยื่อบุของอวัยวะต่างๆ ของมารดา รวมถึงไตและตับ

    ครรภ์เป็นพิษเกิดจากความผิดปกติของการฝังตัวของรก ซึ่งโดยธรรมชาติรกจะฝังบริเวณเยื่อบุผนังมดลูก แต่ในกรณีที่แม่ครรภ์เป็นพิษรกจะฝังตัวได้ไม่แน่น ส่งผลให้รกบางส่วนเกิดการขาดออกซิเจน ขาดเลือด เมื่อเลือดไปเลี้ยงรกได้น้อยลงจะเกิดการหลั่งสารที่เป็นสารพิษเข้าสู่กระแสเลือดของแม่ทีละเล็กทีละน้อย เมื่อถึงจุดหนึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะนี้

    อาการ

    ความผิดปกติของร่างกายที่อาจบ่งบอกว่าครรภ์เป็นพิษได้แก่

    • บวม โดยเฉพาะบริเวณมือ เท้า หน้า

    • น้ำหนักเพิ่มเร็วขึ้นผิดปกติ โดยปกติน้ำหนักแม่จะเพิ่มที่เดือนละ 1.5 – 2 กิโลกรัม

    • ปวดศีรษะมาก

    • ทารกดิ้นน้อย ตัวเล็ก โตช้า

    • ความดันโลหิตสูง 140/90 มิลลิเมตรปรอท

    • ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ

    • ตาพร่ามัว

    • ปวดหรือจุกเสียดแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา

    ระดับความรุนแรงของโรค

    ครรภ์เป็นพิษมีความรุนแรงหลายระดับ ได้แก่

    • ครรภ์เป็นพิษระดับที่ไม่รุนแรง (Non – Severe Pre – Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท แต่ไม่เกิน 160/110 มิลลิเมตรปรอท ยังไม่พบภาวะแทรกซ้อน

    • ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรง (Severe Pre – Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 160/110 หรือตรวจพบความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับอักเสบ ไตทำงานลดลง เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดแดงแตก ฯลฯ

    • ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรงและมีภาวะชัก (Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์ชัก เกร็ง หมดสติ อาจมีเลือดออกในสมอง หากอยู่ในระยะนี้ต้องรักษาโดยเร็วที่สุด เพราะแม่และลูกมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

    งานวิจัยใหม่ ๆ ได้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันโอเมก้า 3 มีประสิทธิภาพมากกว่าแอสไพรินในภาวะครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia)

    pre-eclampsia มีผลประมาณ 3% ของหญิงตั้งครรภ์และคิดเป็น 25% ของทารกทั้งหมดที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อยมาก (<1500 กรัม)

    อย่างไรก็ตามพวกเขามักถูกนำเสนอยา (แอสไพรินขนาดต่ำ) เพื่อแก้ปัญหานี้ โดยชี้ให้เห็นว่าแอสไพรินลด pre-eclampsia ลง 15% แต่การวิจัยชี้ให้เห็นว่า การเพิ่มขึ้นเพียง 15% ในอัตราส่วนของกรดไขมันโอเมก้า 3 มีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของการเกิด pre-eclampsia 46% นี่คือการปรับปรุงมากกว่า 300% เมื่อเทียบกับแอสไพริน

    นอกจากนี้งานวิจัยของ Olsen SF, Secher, NJ (2) ซึ่งเป็นการทดลองแบบสุ่มยืนยันว่าการบริโภคไขมันโอเมก้า 3 ในระหว่างการตั้งครรภ์สามารถเพิ่มน้ำหนักแรกเกิดและลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดได้

    ...สิ่งที่น่ากังวล...

    นักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ 1ใน 12 คนในสหรัฐอเมริกามีระดับปรอทที่เป็นอันตรายในเลือดของพวกเขาเนื่องจากการบริโภคปลาซึ่งมีปรอทและสารปนเปื้อน PCB ซึ่งมีผลกระทบร้ายแรงต่อการคลอดก่อนกำหนดและ pre-eclampsia

    แคลเซียม:

    การวิจัยสี่ทศวรรษแสดงให้เห็นว่าในผู้หญิงที่ได้รับแคลเซียมจากอาหารต่ำ การเสริมแคลเซียมสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษได้ครึ่งหนึ่ง แคลเซียมจากอาหารของแม่ช่วยให้กระดูกของทารกที่กำลังพัฒนาก่อตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ มีการดึงแคลเซียมจากแม่มาใช้อย่างมากเพื่อช่วยให้ลูกเติบโต ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนพาราไธรอยด์ ซึ่งช่วยให้ร่างกายควบคุมระดับแคลเซียมได้

    ฮอร์โมนพาราไธรอยด์ที่มากขึ้นทำให้กระดูกปล่อยแคลเซียมเข้าสู่กระแสเลือดและเซลล์กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของผนังหลอดเลือดแดง ส่งผลให้หลอดเลือดตีบและความดันโลหิตสูง

    องค์การอนามัยโลกแนะนำอาหารเสริมแคลเซียมสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่มีปริมาณแคลเซียมต่ำเพื่อช่วยลดความเสี่ยงของภาวะครรภ์เป็นพิษ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ การเสริมแคลเซียมไม่ได้รับการพิสูจน์สำหรับสตรีมีครรภ์ที่ได้รับแคลเซียมเพียงพอจากอาหารแล้ว

    วิตามินดี:

    วิตามินดีที่เพียงพอจากแสงแดดสามารถช่วยให้ผู้คนได้รับแคลเซียมเพียงพอ วิตามินดีช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ นอกจากนี้ วิตามินดียังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนารกและควบคุมการอักเสบ ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาภาวะครรภ์เป็นพิษการขาดวิตามินดีของมารดาสัมพันธ์กับโอกาสที่จะเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษเป็นสองเท่า (OR 2.11, 95% ช่วงความเชื่อมั่น 1.52-2.94) ในขณะที่การเสริมวิตามินดีสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลง 38% ของการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ (RR 0.62, 95% ช่วงความเชื่อมั่น 0.43- 0.91)

    ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณอาจดูระดับวิตามินดีของคุณในระหว่างการเจาะเลือดก่อนคลอด ไม่ว่าคุณจะมีความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษหรือไม่ก็ตาม พวกเขาอาจแนะนำอาหารเสริมหากระดับต่ำเพื่อปรับปรุงสุขภาพการตั้งครรภ์โดยรวม

    ธาต์เหล็ก (และบทบาทของโรคโลหิตจาง)

    แม้ว่าดูเหมือนว่าจะมีความเชื่อมโยงระหว่างระดับธาตุเหล็กและภาวะครรภ์เป็นพิษ แต่หลักฐานไม่ได้ตรงไปตรงมา นักวิจัยยังคงพยายามทำความเข้าใจความสัมพันธ์นี้ ธาตุเหล็กที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการตั้งครรภ์ แต่ธาตุเหล็กบางรูปแบบสามารถเป็นอันตรายต่อเซลล์ของร่างกายและเยื่อบุของหลอดเลือดได้ เหล็กเป็นส่วนหนึ่งของฮีโมโกลบินซึ่งจำเป็นสำหรับเซลล์เม็ดเลือดแดงในการนำออกซิเจน

    ระดับฮีโมโกลบินทั้งในระดับต่ำและระดับสูงสัมพันธ์กับอัตราภาวะครรภ์เป็นพิษที่สูงขึ้น ธาตุเหล็กอิสระในเลือดทำปฏิกิริยากับโมเลกุลที่ไม่เสถียรอื่นๆ ซึ่งมีออกซิเจนเพื่อเริ่มต้นความเสียหายของเซลล์ในเยื่อบุหลอดเลือด ซึ่งเรียกว่าความเสียหายของเยื่อบุผนังหลอดเลือด ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษมีแนวโน้มที่จะแสดงความเสียหายของเยื่อบุผนังหลอดเลือดมากกว่าผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ที่ไม่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ ผู้ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษมักมีระดับธาตุเหล็กในเลือดสูงกว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ ไม่ชัดเจนว่าระดับสูงเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาภาวะครรภ์เป็นพิษ อันเป็นผลมาจากโรคหรือทั้งสองอย่าง

    สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าการได้รับธาตุเหล็กเพียงพอในระหว่างตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันโรคโลหิตจางเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่าภาวะโลหิตจางเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ
    Paa super h
    K cal
    น้ำปั่นป๋า
    โกโก้ป๋า

    Cr. Santi Manadee
    #ครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia) โรคของการทางานที่ผิดปกติของเยื่อบุหลอดเลือด (endothelial malfunction) และการหดตัวของหลอดเลือด (vasospasm) ที่เกิดขึ้นภายหลังอายุครรภ์20 สัปดาห์และอาจแสดงอาการยาวไปจนถึง 4-6 สัปดาห์หลังคลอดได้ ในทางคลินิกภาวะครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia) หมายถึงการที่มีความดันโลหิตสูงและมีโปรตีนรั่วในหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยมีความดันโลหิตสูงมาก่อน แบ่งออกเป็นชนิดรุนแรงและไม่รุนแรง มีสาเหตุจากหลายปัจจัย ปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากการมีสารที่สร้างจากรกที่พัฒนาผิดปกติไปทำให้เกิดความผิดปกติของเซลล์เยื่อบุหลอดเลือดของมารดา อาการที่รุนแรงหลายอย่างเกิดจากการมีความเสียหายต่อเซลล์เยื่อบุของอวัยวะต่างๆ ของมารดา รวมถึงไตและตับ ครรภ์เป็นพิษเกิดจากความผิดปกติของการฝังตัวของรก ซึ่งโดยธรรมชาติรกจะฝังบริเวณเยื่อบุผนังมดลูก แต่ในกรณีที่แม่ครรภ์เป็นพิษรกจะฝังตัวได้ไม่แน่น ส่งผลให้รกบางส่วนเกิดการขาดออกซิเจน ขาดเลือด เมื่อเลือดไปเลี้ยงรกได้น้อยลงจะเกิดการหลั่งสารที่เป็นสารพิษเข้าสู่กระแสเลือดของแม่ทีละเล็กทีละน้อย เมื่อถึงจุดหนึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะนี้ อาการ ความผิดปกติของร่างกายที่อาจบ่งบอกว่าครรภ์เป็นพิษได้แก่ • บวม โดยเฉพาะบริเวณมือ เท้า หน้า • น้ำหนักเพิ่มเร็วขึ้นผิดปกติ โดยปกติน้ำหนักแม่จะเพิ่มที่เดือนละ 1.5 – 2 กิโลกรัม • ปวดศีรษะมาก • ทารกดิ้นน้อย ตัวเล็ก โตช้า • ความดันโลหิตสูง 140/90 มิลลิเมตรปรอท • ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ • ตาพร่ามัว • ปวดหรือจุกเสียดแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา ระดับความรุนแรงของโรค ครรภ์เป็นพิษมีความรุนแรงหลายระดับ ได้แก่ • ครรภ์เป็นพิษระดับที่ไม่รุนแรง (Non – Severe Pre – Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท แต่ไม่เกิน 160/110 มิลลิเมตรปรอท ยังไม่พบภาวะแทรกซ้อน • ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรง (Severe Pre – Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 160/110 หรือตรวจพบความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับอักเสบ ไตทำงานลดลง เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดแดงแตก ฯลฯ • ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรงและมีภาวะชัก (Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์ชัก เกร็ง หมดสติ อาจมีเลือดออกในสมอง หากอยู่ในระยะนี้ต้องรักษาโดยเร็วที่สุด เพราะแม่และลูกมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ งานวิจัยใหม่ ๆ ได้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันโอเมก้า 3 มีประสิทธิภาพมากกว่าแอสไพรินในภาวะครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia) pre-eclampsia มีผลประมาณ 3% ของหญิงตั้งครรภ์และคิดเป็น 25% ของทารกทั้งหมดที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อยมาก (<1500 กรัม) อย่างไรก็ตามพวกเขามักถูกนำเสนอยา (แอสไพรินขนาดต่ำ) เพื่อแก้ปัญหานี้ โดยชี้ให้เห็นว่าแอสไพรินลด pre-eclampsia ลง 15% แต่การวิจัยชี้ให้เห็นว่า การเพิ่มขึ้นเพียง 15% ในอัตราส่วนของกรดไขมันโอเมก้า 3 มีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของการเกิด pre-eclampsia 46% นี่คือการปรับปรุงมากกว่า 300% เมื่อเทียบกับแอสไพริน นอกจากนี้งานวิจัยของ Olsen SF, Secher, NJ (2) ซึ่งเป็นการทดลองแบบสุ่มยืนยันว่าการบริโภคไขมันโอเมก้า 3 ในระหว่างการตั้งครรภ์สามารถเพิ่มน้ำหนักแรกเกิดและลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดได้ ...สิ่งที่น่ากังวล... นักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ 1ใน 12 คนในสหรัฐอเมริกามีระดับปรอทที่เป็นอันตรายในเลือดของพวกเขาเนื่องจากการบริโภคปลาซึ่งมีปรอทและสารปนเปื้อน PCB ซึ่งมีผลกระทบร้ายแรงต่อการคลอดก่อนกำหนดและ pre-eclampsia แคลเซียม: การวิจัยสี่ทศวรรษแสดงให้เห็นว่าในผู้หญิงที่ได้รับแคลเซียมจากอาหารต่ำ การเสริมแคลเซียมสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษได้ครึ่งหนึ่ง แคลเซียมจากอาหารของแม่ช่วยให้กระดูกของทารกที่กำลังพัฒนาก่อตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ มีการดึงแคลเซียมจากแม่มาใช้อย่างมากเพื่อช่วยให้ลูกเติบโต ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนพาราไธรอยด์ ซึ่งช่วยให้ร่างกายควบคุมระดับแคลเซียมได้ ฮอร์โมนพาราไธรอยด์ที่มากขึ้นทำให้กระดูกปล่อยแคลเซียมเข้าสู่กระแสเลือดและเซลล์กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของผนังหลอดเลือดแดง ส่งผลให้หลอดเลือดตีบและความดันโลหิตสูง องค์การอนามัยโลกแนะนำอาหารเสริมแคลเซียมสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่มีปริมาณแคลเซียมต่ำเพื่อช่วยลดความเสี่ยงของภาวะครรภ์เป็นพิษ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ การเสริมแคลเซียมไม่ได้รับการพิสูจน์สำหรับสตรีมีครรภ์ที่ได้รับแคลเซียมเพียงพอจากอาหารแล้ว วิตามินดี: วิตามินดีที่เพียงพอจากแสงแดดสามารถช่วยให้ผู้คนได้รับแคลเซียมเพียงพอ วิตามินดีช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ นอกจากนี้ วิตามินดียังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนารกและควบคุมการอักเสบ ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาภาวะครรภ์เป็นพิษการขาดวิตามินดีของมารดาสัมพันธ์กับโอกาสที่จะเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษเป็นสองเท่า (OR 2.11, 95% ช่วงความเชื่อมั่น 1.52-2.94) ในขณะที่การเสริมวิตามินดีสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลง 38% ของการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ (RR 0.62, 95% ช่วงความเชื่อมั่น 0.43- 0.91) ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณอาจดูระดับวิตามินดีของคุณในระหว่างการเจาะเลือดก่อนคลอด ไม่ว่าคุณจะมีความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษหรือไม่ก็ตาม พวกเขาอาจแนะนำอาหารเสริมหากระดับต่ำเพื่อปรับปรุงสุขภาพการตั้งครรภ์โดยรวม ธาต์เหล็ก (และบทบาทของโรคโลหิตจาง) แม้ว่าดูเหมือนว่าจะมีความเชื่อมโยงระหว่างระดับธาตุเหล็กและภาวะครรภ์เป็นพิษ แต่หลักฐานไม่ได้ตรงไปตรงมา นักวิจัยยังคงพยายามทำความเข้าใจความสัมพันธ์นี้ ธาตุเหล็กที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการตั้งครรภ์ แต่ธาตุเหล็กบางรูปแบบสามารถเป็นอันตรายต่อเซลล์ของร่างกายและเยื่อบุของหลอดเลือดได้ เหล็กเป็นส่วนหนึ่งของฮีโมโกลบินซึ่งจำเป็นสำหรับเซลล์เม็ดเลือดแดงในการนำออกซิเจน ระดับฮีโมโกลบินทั้งในระดับต่ำและระดับสูงสัมพันธ์กับอัตราภาวะครรภ์เป็นพิษที่สูงขึ้น ธาตุเหล็กอิสระในเลือดทำปฏิกิริยากับโมเลกุลที่ไม่เสถียรอื่นๆ ซึ่งมีออกซิเจนเพื่อเริ่มต้นความเสียหายของเซลล์ในเยื่อบุหลอดเลือด ซึ่งเรียกว่าความเสียหายของเยื่อบุผนังหลอดเลือด ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษมีแนวโน้มที่จะแสดงความเสียหายของเยื่อบุผนังหลอดเลือดมากกว่าผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ที่ไม่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ ผู้ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษมักมีระดับธาตุเหล็กในเลือดสูงกว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ ไม่ชัดเจนว่าระดับสูงเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาภาวะครรภ์เป็นพิษ อันเป็นผลมาจากโรคหรือทั้งสองอย่าง สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าการได้รับธาตุเหล็กเพียงพอในระหว่างตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันโรคโลหิตจางเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่าภาวะโลหิตจางเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ Paa super h K cal น้ำปั่นป๋า โกโก้ป๋า Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ยาลดกรด

    ถ้าคุณใช้ยาลดกรดไม่ว่าจะตามคำสั่งแพทย์หรือฟังจากโฆษณาแล้วเชื่อตามนั้น ลองอ่านให้จบว่าอาการเหล่านี้ได้เกิดกับตัวคุณแล้วหรือยัง

    จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ (1) การใช้สาร proton pump inhibitors ในระยะยาวอย่างเช่น Prilosec, Prevacid และ Nexium (ยาเม็ดสีม่วง) - ยาที่ช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร - เกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินบี 12

    ผู้เข้าร่วมที่กินยาลดกรดมานานกว่าสองปีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 ของการขาดวิตามินบี 12 ซึ่งอาจนำไปโรค :

    -โรคโลหิตจาง
    -ความเสียหายของเส้นประสาท
    -ปัญหาเกี่ยวกับจิต
    -สมองเสื่อม (Dementia)

    ยิ่งกินในปริมาณที่สูงกว่าก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่า ตามที่อธิบายไว้โดยนักวิจัยอาวุโส Dr. Douglas Corley (2) Gastroenterologist ที่ Kaiser Permanente:

    "ยาลดกรดชนิดนี้อาจทำให้เกิดการขาดวิตามินบี 12 เนื่องจากเซลล์ที่สร้างกรดในกระเพาะอาหารยังสร้างโปรตีนที่ช่วยให้วิตามินบี 12 ถูกดูดซึมได้"

    การขาดวิตามินบี 12 จะทำให้สุขภาพของคุณแย่ลงได้อย่างไร

    เมื่อระดับวิตามินบี 12 ของคุณเริ่มลดลง ร่างกายจะส่งสัญญาณบางอย่างเริ่มให้เห็นรวมถึง การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อาทิเช่นการขาดแรงจูงใจหรือความรู้สึกไม่แยแสและถ้าระดับต่ำมาก ๆ ยังสามารถนำไปสู่ความหดหู่ ปัญหาเกี่ยวกับความจำ ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อและ – สัญญาณที่เด่นชัดที่สุดคือ- ความเมื่อยล้า

    วิตามินบี 12 เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวิตามินแห่งพลังงานและร่างกายของคุณต้องการสำหรับกิจกรรมที่สำคัญหลายชนิดรวมทั้งการผลิตพลังงานและ :

    การย่อยอาหารที่เหมาะสม การดูดซึมอาหาร การใช้ธาตุเหล็ก การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน การทำงานของระบบประสาทที่ดี มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเส้นประสาทตามปกติ ช่วยในการควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง การก่อตัวของเซลล์และอายุการใช้งานที่ยาวนาน

    การผลิตฮอร์โมน เพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง สนับสนุนความเป็นสตรีเพศและการตั้งครรภ์
    สร้างความรู้สึกให้พอใจกับความเป็นอยู่และการควบคุมอารมณ์ การมีสมาธิ ส่งเสริมความจำ เพิ่มความเข้มข้นในด้านสมรรถภาพทางกาย อารมณ์และจิตใจ

    การวิจัยล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่าการมีวิตามินบี 12 ต่ำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักในชายสูงวัย ความเสี่ยงนี้ยังคงอยู่แม้หลังจากคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ เช่นการสูบบุหรี่ สถานะของวิตามินดีและปริมาณแคลเซียม medicinenet.com: (3) กล่าวว่า :

    “ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ B-12 ต่ำสุดมีโอกาสเกิดการแตกหักของกระดูกมากกว่าร้อยละ 70 ในการศึกษานี้พบว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการแตกหักของกระดูกสันหลังส่วนเอวซึ่งมีโอกาสเกิดการแตกหักมากขึ้นถึงร้อยละ 120 เมื่อเทียบกับกระดูกส่วนอื่น "

    และถ้าหากขาดวิตามินบี 12 เรื้อรังในระยะยาวก็อาจทำให้เกิดภาวะร้ายแรงอื่น ๆ ได้แก่ :

    -โรคซึมเศร้า
    -ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์
    -ความอุดมสมบูรณ์ของหญิงและปัญหาการคลอดบุตร
    -โรคหัวใจและมะเร็ง

    รูปแบบตามธรรมชาติของ B12 จะมีอยู่ในสัตว์และไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อ แต่อาจเป็นไข่และนมก็ได้ อาหารที่มี B12 สูงรวมถึง:

    -ไข่อินทรีย์
    -เนื้อวัวและตับวัวที่เลี้ยงดวยหญ้าอินทรีย์
    -ไก่อินทรีย์
    -ปลาแซลมอนอลาสก้าที่จับได้ในป่า
    -นมดิบของสัตว์ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์และไม่ผ่านกระบวนการ

    ถ้าคุณมีอาการข้างต้นและไม่บริโภคสัตว์หรือสิ่งที่ได้จากสัตว์ ขอแนะนำให้หาวิตามินบี 12 มารับประทานตามความเหมาะสมของอายุและมวลกายรายการ หมอนอกกะลา

    ยาลดกรด 2

    ตอนที่ 1 ได้พูดถึงสองในสี่ผลกระทบหลักของยาลดกรด:
    คือแบคทีเรียเลว ๆ มากเกินไปและความบกพร่องในการดูดซึมสารอาหาร

    อีก 2 ผลกระทบที่เหลือ

    ลดความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ

    เบื้องแรกในการป้องกันร่างกายของเรา:

    ปาก หลอดอาหารและลำไส้เป็นบ้านของระหว่าง 400-1,000 สายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย แต่อย่างไรก็ตาม กระเพาะอาหารที่ดีจะมีการฆ่าเชื้ออยู่เสมอ ทำไมน่ะรึ !! เพราะกรดในกระเพาะอาหารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

    ในความเป็นจริง กรดคือบทบาทที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างการขัดขวางสองทางที่ช่วยปกป้องกระเพาะอาหารจากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค ลำดับแรกแรก : กรดในกระเพาะอาหารจะป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายซึ่งอาจจะอยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่มที่เรากินหรืออากาศที่เราหายใจเข้ามาในลำไส้และในเวลาเดียวกัน กรดในกระเพาะอาหารยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียตามปกติจากลำไส้ซึ่งจะย้ายเข้าสู่กระเพาะอาหารและหลอดอาหารซึ่งพวกมันอาจทำให้เกิดปัญหา

    สภาพแวดล้อมของกระเพาะอาหารค่า pH ต่ำ (กรดสูง) เป็นหนึ่งในกลไกการป้องกันที่ไม่เฉพาะเจาะจงที่สำคัญของร่างกาย เมื่อค่าความเป็นกรดของกระเพาะอาหารมีค่าที่ 3 หรือต่ำกว่าถือว่าเป็นปรกติของช่วงท้องว่างหรือ "พักผ่อน" แบคทีเรียจะอยู่ได้ไม่เกินสิบห้านาที แต่ในขณะที่pH เพิ่มขึ้นถึง 5 หรือมากกว่า สายพันธุ์ต่าง ๆ ของแบคทีเรียสามารถหลีกเลี่ยงการกำจัดของกรดและเริ่มที่จะเจริญเติบโต

    แต่น่าเสียดาย มันจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณกินยาลดกรด ทั้ง Tagamet และ Zantac จะเพิ่มค่า pHของกระเพาะอาหารจากประมาณ 1-2 ก่อนการรักษาเป็น 5.5-6.5 อย่างมีนัยสำคัญ ตามลำดับ

    Prilosec และ PPIs และอื่น ๆ จะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ เพียงหนึ่งเม็ดของยาเหล่านี้สามารถลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้ถึงร้อยละ90 ถึง 95เพื่อส่วนที่ดีกว่าของวัน การกิน PPIs ในปริมาณที่สูงขึ้นหรือบ่อยมากขึ้น ซึ่งมักจะถูกแนะนำ จะทำให้เกิดภาวะ achlorydia (แทบไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย) ในการศึกษาของผู้ชายที่มีสุขภาพดี10 คนอายุ 22-55 ปี การให้กิน Prilosec 20 หรือ 40 มิลลิกรัมลดระดับกรดในกระเพาะอาหารจนเกือบหมด

    กระเพาะอาหารที่เป็นกรดไม่มากพอเชื้อแบคทีเรียก่อโรคก็อุดมสมบูรณ์ สนุกสนาน เพราะมันมันทั้งมืดทั้งอบอุ่น ทั้งชื้นและเต็มไปด้วยสารอาหาร แบคทีเรียจะไม่ฆ่าเรา – อย่างน้อยก็ไม่ทันที- แต่บางส่วนของพวกมันสามารถ คนที่มีค่าความเป็นกรดด่างในกระเพาะอาหารสูงพอที่จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงได้อย่างง่ายดาย

    การทบทวนที่ผ่านมาเกี่ยวกับยาลดกรดในกระเพาะอาหารชี้ให้เห็นว่าพวกมันเป็นต้นเหตุจริงของการเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อ(PDF) ผู้เขียนพบหลักฐานยืนยันว่า การใช้ยาลดกรดสามารถเพิ่มโอกาสของการติดเชื้อต่อไปนี้:

    Salmonella
    Campylobacter
    อหิวาตกโรค
    Listeria
    Giardia
    C. difficile
    การศึกษาอื่น ๆ พบว่ายาลดกรดยังเพิ่มความเสี่ยงสำหรับ:
    โรคปอดบวม
    วัณโรค
    ไทฟอยด์
    บิด

    ยาลดกรดไม่เพียงแต่เพิ่มความไวต่อการติดเชื้อแต่มันยังไปลดลงความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของเราในการต่อสู้กับการติดเชื้อเมื่อเราได้รับเชื้อ จากการศึกษาในหลอดทดลองได้แสดงให้เห็นว่า PPIs ทำให้การทำหน้าที่ของเม็ดเลือดขาว nuetrophil ทำงานผิดพลาด ลดการยึดเกาะกับเซลล์ endothelial ลดการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของจุลินทรีย์และยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายอย่าง neutrophil และเพิ่มกรดใน phagolysosome

    ประตูสู่โรคร้ายแรงอื่น ๆ

    อย่างที่เราได้กล่าวถึงในบทความแรกไว้ว่า การลดลงของการหลั่งกรดตามอายุเป็นเรื่องที่มีเอกสารยืนยัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ในปี 1996 แพทย์ชาวอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า กระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกับการลดลงของกรดตามอายุเนื่องจากการเสียหายของเซลล์ผลิตกรด สภาพนี้เรียกว่าโรคกระเพาะอาหารอักเสบ(atrophic gastritis)

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อหาต่อไปนี้ กระเพาะอาหารอักเสบ (สภาพที่กรดในกระเพาะอาหารอยู่ในระดับที่ต่ำมาก) มีความเกี่ยวข้องกับความหลากหลายของความผิดปกติร้ายแรงที่ไปไกลเกินกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร ซึ่งรวมถึง:

    มะเร็งกระเพาะอาหาร
    โรคภูมิแพ้
    โรคหอบหืด
    อาการซึมเศร้า วิตกกังวล ความผิดปกติของอารมณ์
    โลหิตจาง
    โรคผิวหนังรวมทั้งการเกิดสิว, โรคผิวหนังกลากและลมพิษ
    โรคนิ่วในถุงน้ำดี
    โรคแพ้ภูมิเช่นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคเกรฟส์
    อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) โรค Crohn (CD), ลำไส้ใหญ่ (UC)
    โรคไวรัสตับอักเสบ
    โรคกระดูกพรุน
    โรคเบาหวานประเภท 1
    และอย่าลืมนะว่ากรดในกระเพาะอาหารต่ำอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนและแสบร้อนกลางอก!

    มะเร็งกระเพาะอาหาร

    โรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื้อ H. pylori เป็นสาเหตุหลักของโรคนี้ และยาลดกรดก็ยิ่งทำให้อาการเหล่านี้เลวลงและเพิ่มอัตราการติดเชื้อ

    ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่อะไรนักหรอกที่จะสงสัยว่ายาลดกรดเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารในผู้ที่ติดเชื้อ H.pylori ในบทความที่ผ่านมาของ Julie Parsonnet, M.D. of Standford University Medical School เขียนไว้ว่า :
    โดยหลักการแล้ว การรักษาด้วยยาลดกรดในปัจจุบันนี้ อาจเป็นตัวเร่งโรคมะเร็งโดยการแปลงการอักเสบเพียงเล็กน้อยของกระเพาะอาหารเป็นทำลายขั้นรุนแรงในกระบวนการก่อมะเร็ง

    แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น

    ประมาณ 90% ของลำไส้เล็กส่วนต้น (ลำไส้) และ 65% ของแผลในกระเพาะอาหารเกิดจากเชื้อ H. pylori
    ในการทดลองฉีดวัคซีนในมนุษย์ การติดเชื้อไม่สามารถเกิดขึ้นได้เว้นแต่ค่า pH ของกระเพาะอาหารสูงขึ้น(ลดความเป็นกรดลง) โดยการใช้สารต้านฮิสตามีนซึ่งไปลดกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มค่าความเป็นด่าง ยาลดกรดในกระเพาะอาหารจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ H. pylori และตามมาด้วยการพัฒนาไปเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นหรือกระเพาะอาหาร

    อาการลำไส้แปรปรวน โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ

    สารอะดีโนซีน(Adenosine)เป็นตัวกลางหลักของการอักเสบในระบบทางเดินอาหารและสารอะดีโนซีนในระดับสูงจะไปกดและแก้ไขปัญหาการอักเสบเรื้อรังของทั้งโรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ การใช้ PPIs อย่างต่อเนื่องได้รับการยืนยันว่าไปลดความเข้มข้นของสารอะดีโนซีน จึงส่งผลในการเพิ่มขึ้นของการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการใช้งานยาลดกรดในระยะยาว อาจพัฒนาความผิดปกติของลำไส้ให้อักเสบอย่างรุนแรงได้

    ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวลและความผิดปกติทางอารมณ์

    ในขณะที่ยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุ (เท่าที่ผมรู้) การเชื่อมโยงของยาลดกรดกับความผิดปกติทางอารมณ์หรือภาวะซึมเศร้า ความเข้าใจพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างการย่อยโปรตีนและสุขภาพจิตแสดงให้เห็นว่าอาจจะมีการเชื่อมกัน ในระหว่างการย่อยอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารจะปล่อยน้ำย่อยซึ่งเรียกว่า เพพซิน (pepsin) น้ำย่อยนี้เป็นเอนไซม์ที่มีความรับผิดชอบต่อการสลายพันธะโปรตีนไปเป็นกรดอะมิโนและเปปไทด์ กรดอะมิโนที่เรียกว่า "จำเป็น" ก็เพราะเราไม่สามารถผลิตได้เองในร่างกายของเรา เราจะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น

    หากขาดน้ำย่อยโปรตีน (Pepsin) โปรตีนที่เรากินเข้าไปจะไม่ถูกทำลายไปเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นและส่วนประกอบเปปไทด์ และเนื่องจากกรดอะมิโนจำเป็นเหล่านี้เช่น phenylalanine และ tryptophan มีบทบาทสำคัญในด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม กรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำอาจเป็นตัวชักนำต่อการพัฒนาความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางอารมณ์

    โรคแพ้ภูมิ

    กรดในกระเพาะอาหารต่ำและต่อมาก็มีแบคทีเรียมากเกินไปทำให้เกิดลำไส้ที่ซึมผ่านได้ง่ายแล้วปล่อยให้โปรตีนที่ไม่ได้รับการย่อยเข้าสู่กระแสเลือด ภาวะนี้มักจะถูกเรียกว่า "กลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่ว" Salzman และเพื่อนได้แสดงให้เห็นว่า
    การซึมผ่านได้ง่ายของเซลล์ลำไส้ ทั้งtranscellular และ paracellular เพิ่มขึ้นอย่างมากในผู้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ควบคุม

    เมื่อโปรตีนที่ไม่ผ่านการย่อยไปเข้าอยู่ในกระแสเลือดพวกมันจะถูกถือว่าเป็น "ผู้รุกราน" โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายระดมการป้องกันของมัน (อาทิ T เซลล์ Bเซลล์และแอนติบอดี ) เพื่อที่จะกำจัดการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย

    ประเภทของการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่เรากินนี้ก่อให้เกิดการแพ้อาหาร กลไกที่คล้ายกันนี้ที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจในคนที่มีลำไส้รั่ว การพัฒนาโรคแพ้ภูมิรุนแรงมากขึ้นจนกลายไปเป็นอาทิ โรคลูปัส (พุ่มพวง เอสแอลอี), โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (เบาหวานแห้ง)โรคเกรฟส์และความผิดปกติของลำไส้อักเสบเช่น Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ

    ความสัมพันธ์ระหว่างโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) และกรดในกระเพาะอาหารยังมีรายงานไว้ในงานเขียนและงานวิจัยมากมาย การตรวจสอบปริมาณกรดในกระเพาะอาหารของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ RA 45 คน ของนักวิจัยชาวสวีเดนพบว่า 16 คน(36 เปอร์เซ็นต์) แทบจะไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย คนที่ได้รับความทรมานจาก RA ที่ยาวที่สุดมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยที่สุด กลุ่มนักวิจัยอิตาลียังพบอีกว่าคนที่มี RA มีอัตราของโรคกระเพาะอาหารอักเสบที่สูงมากด้วยค่าความเป็นกรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลปกติ

    โรคหอบหืด

    ในรอบสิบปีที่ผ่านมา มากกว่าสี่ร้อยบทความทางวิทยาศาสตร์ให้กังวลเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างโรคหอบหืดและความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร หนึ่งในคุณสมบัติที่พบบ่อยที่สุดของโรคหอบหืดนอกเหนือไปจากการหายใจก็คือเป็นกรดไหลย้อน เป็นที่คาดการณ์กันว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่มีโรคหอบหืดยังมีโรคกรดไหลย้อนพ่วงท้ายอีกต่างหาก เมื่อเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี และมีการระคายเคืองจากกรดเกินมากขึ้นในเยื่อบุหลอดอาหารของพวกเขา

    เมื่อกรดเข้าไปในหลอดลม จะทำให้ความสามารถของปอดในการหายใจเข้าออกลดลงเป็นสิบเท่า แพทย์ที่มีความตระหนักถึงสิ่งนี้ก็เริ่มจ่ายยาลดกรดให้กับผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน ในขณะที่ยาลดกรดนี้อาจช่วยบรรเทาอาการชั่วคราว แต่มันไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุของความผิดปกติที่กรดไหลย้อนเข้าไปในหลอดอาหารในคราวแรก

    ในความเป็นจริง มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่ายาลดกรดทำให้ทุกปัญหาพื้นฐานแย่ลง (กรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปและเพิ่มแบคทีเรีย) ดังนั้นทำให้อาการยาวนานและรุนแรง

    สรุป

    อย่างที่เราได้อ่านจากบทความก่อนหน้านี้ในตอนที่ 1 แสบร้อนกลางอกและโรคกรดไหลย้อนมันเกิดจากการน้อยเกินไป - และไม่มากพอ – ของกรดในกระเพาะอาหาร แต่น่าเสียดายที่กรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอนี้ยังไปเกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียมากจนเกินไป การดูดซึมสารอาหารด้อยคุณภาพลง การลดลงของความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, แผลในกระเพาะอาหาร,ลำไส้แปรปรวน และโรคทางเดินอาหารอื่น ๆ ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์และโรคแพ้ภูมิตัวเองและโรคหอบหืด

    การบรรเทาอาการชั่วคราวของยาลดกรดเหล่านี้ให้ความคุ้มค่าต่อความเสี่ยงหรือไม่ นั่นคือสิ่งเดียวที่คุณสามารถตัดสินใจได้เอง

    Cr. Santi Manadee
    #ยาลดกรด ถ้าคุณใช้ยาลดกรดไม่ว่าจะตามคำสั่งแพทย์หรือฟังจากโฆษณาแล้วเชื่อตามนั้น ลองอ่านให้จบว่าอาการเหล่านี้ได้เกิดกับตัวคุณแล้วหรือยัง จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ (1) การใช้สาร proton pump inhibitors ในระยะยาวอย่างเช่น Prilosec, Prevacid และ Nexium (ยาเม็ดสีม่วง) - ยาที่ช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร - เกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินบี 12 ผู้เข้าร่วมที่กินยาลดกรดมานานกว่าสองปีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 ของการขาดวิตามินบี 12 ซึ่งอาจนำไปโรค : -โรคโลหิตจาง -ความเสียหายของเส้นประสาท -ปัญหาเกี่ยวกับจิต -สมองเสื่อม (Dementia) ยิ่งกินในปริมาณที่สูงกว่าก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่า ตามที่อธิบายไว้โดยนักวิจัยอาวุโส Dr. Douglas Corley (2) Gastroenterologist ที่ Kaiser Permanente: "ยาลดกรดชนิดนี้อาจทำให้เกิดการขาดวิตามินบี 12 เนื่องจากเซลล์ที่สร้างกรดในกระเพาะอาหารยังสร้างโปรตีนที่ช่วยให้วิตามินบี 12 ถูกดูดซึมได้" การขาดวิตามินบี 12 จะทำให้สุขภาพของคุณแย่ลงได้อย่างไร เมื่อระดับวิตามินบี 12 ของคุณเริ่มลดลง ร่างกายจะส่งสัญญาณบางอย่างเริ่มให้เห็นรวมถึง การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อาทิเช่นการขาดแรงจูงใจหรือความรู้สึกไม่แยแสและถ้าระดับต่ำมาก ๆ ยังสามารถนำไปสู่ความหดหู่ ปัญหาเกี่ยวกับความจำ ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อและ – สัญญาณที่เด่นชัดที่สุดคือ- ความเมื่อยล้า วิตามินบี 12 เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวิตามินแห่งพลังงานและร่างกายของคุณต้องการสำหรับกิจกรรมที่สำคัญหลายชนิดรวมทั้งการผลิตพลังงานและ : การย่อยอาหารที่เหมาะสม การดูดซึมอาหาร การใช้ธาตุเหล็ก การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน การทำงานของระบบประสาทที่ดี มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเส้นประสาทตามปกติ ช่วยในการควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง การก่อตัวของเซลล์และอายุการใช้งานที่ยาวนาน การผลิตฮอร์โมน เพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง สนับสนุนความเป็นสตรีเพศและการตั้งครรภ์ สร้างความรู้สึกให้พอใจกับความเป็นอยู่และการควบคุมอารมณ์ การมีสมาธิ ส่งเสริมความจำ เพิ่มความเข้มข้นในด้านสมรรถภาพทางกาย อารมณ์และจิตใจ การวิจัยล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่าการมีวิตามินบี 12 ต่ำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักในชายสูงวัย ความเสี่ยงนี้ยังคงอยู่แม้หลังจากคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ เช่นการสูบบุหรี่ สถานะของวิตามินดีและปริมาณแคลเซียม medicinenet.com: (3) กล่าวว่า : “ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ B-12 ต่ำสุดมีโอกาสเกิดการแตกหักของกระดูกมากกว่าร้อยละ 70 ในการศึกษานี้พบว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการแตกหักของกระดูกสันหลังส่วนเอวซึ่งมีโอกาสเกิดการแตกหักมากขึ้นถึงร้อยละ 120 เมื่อเทียบกับกระดูกส่วนอื่น " และถ้าหากขาดวิตามินบี 12 เรื้อรังในระยะยาวก็อาจทำให้เกิดภาวะร้ายแรงอื่น ๆ ได้แก่ : -โรคซึมเศร้า -ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ -ความอุดมสมบูรณ์ของหญิงและปัญหาการคลอดบุตร -โรคหัวใจและมะเร็ง รูปแบบตามธรรมชาติของ B12 จะมีอยู่ในสัตว์และไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อ แต่อาจเป็นไข่และนมก็ได้ อาหารที่มี B12 สูงรวมถึง: -ไข่อินทรีย์ -เนื้อวัวและตับวัวที่เลี้ยงดวยหญ้าอินทรีย์ -ไก่อินทรีย์ -ปลาแซลมอนอลาสก้าที่จับได้ในป่า -นมดิบของสัตว์ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์และไม่ผ่านกระบวนการ ถ้าคุณมีอาการข้างต้นและไม่บริโภคสัตว์หรือสิ่งที่ได้จากสัตว์ ขอแนะนำให้หาวิตามินบี 12 มารับประทานตามความเหมาะสมของอายุและมวลกายรายการ หมอนอกกะลา ยาลดกรด 2 ตอนที่ 1 ได้พูดถึงสองในสี่ผลกระทบหลักของยาลดกรด: คือแบคทีเรียเลว ๆ มากเกินไปและความบกพร่องในการดูดซึมสารอาหาร อีก 2 ผลกระทบที่เหลือ ลดความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ เบื้องแรกในการป้องกันร่างกายของเรา: ปาก หลอดอาหารและลำไส้เป็นบ้านของระหว่าง 400-1,000 สายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย แต่อย่างไรก็ตาม กระเพาะอาหารที่ดีจะมีการฆ่าเชื้ออยู่เสมอ ทำไมน่ะรึ !! เพราะกรดในกระเพาะอาหารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ในความเป็นจริง กรดคือบทบาทที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างการขัดขวางสองทางที่ช่วยปกป้องกระเพาะอาหารจากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค ลำดับแรกแรก : กรดในกระเพาะอาหารจะป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายซึ่งอาจจะอยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่มที่เรากินหรืออากาศที่เราหายใจเข้ามาในลำไส้และในเวลาเดียวกัน กรดในกระเพาะอาหารยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียตามปกติจากลำไส้ซึ่งจะย้ายเข้าสู่กระเพาะอาหารและหลอดอาหารซึ่งพวกมันอาจทำให้เกิดปัญหา สภาพแวดล้อมของกระเพาะอาหารค่า pH ต่ำ (กรดสูง) เป็นหนึ่งในกลไกการป้องกันที่ไม่เฉพาะเจาะจงที่สำคัญของร่างกาย เมื่อค่าความเป็นกรดของกระเพาะอาหารมีค่าที่ 3 หรือต่ำกว่าถือว่าเป็นปรกติของช่วงท้องว่างหรือ "พักผ่อน" แบคทีเรียจะอยู่ได้ไม่เกินสิบห้านาที แต่ในขณะที่pH เพิ่มขึ้นถึง 5 หรือมากกว่า สายพันธุ์ต่าง ๆ ของแบคทีเรียสามารถหลีกเลี่ยงการกำจัดของกรดและเริ่มที่จะเจริญเติบโต แต่น่าเสียดาย มันจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณกินยาลดกรด ทั้ง Tagamet และ Zantac จะเพิ่มค่า pHของกระเพาะอาหารจากประมาณ 1-2 ก่อนการรักษาเป็น 5.5-6.5 อย่างมีนัยสำคัญ ตามลำดับ Prilosec และ PPIs และอื่น ๆ จะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ เพียงหนึ่งเม็ดของยาเหล่านี้สามารถลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้ถึงร้อยละ90 ถึง 95เพื่อส่วนที่ดีกว่าของวัน การกิน PPIs ในปริมาณที่สูงขึ้นหรือบ่อยมากขึ้น ซึ่งมักจะถูกแนะนำ จะทำให้เกิดภาวะ achlorydia (แทบไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย) ในการศึกษาของผู้ชายที่มีสุขภาพดี10 คนอายุ 22-55 ปี การให้กิน Prilosec 20 หรือ 40 มิลลิกรัมลดระดับกรดในกระเพาะอาหารจนเกือบหมด กระเพาะอาหารที่เป็นกรดไม่มากพอเชื้อแบคทีเรียก่อโรคก็อุดมสมบูรณ์ สนุกสนาน เพราะมันมันทั้งมืดทั้งอบอุ่น ทั้งชื้นและเต็มไปด้วยสารอาหาร แบคทีเรียจะไม่ฆ่าเรา – อย่างน้อยก็ไม่ทันที- แต่บางส่วนของพวกมันสามารถ คนที่มีค่าความเป็นกรดด่างในกระเพาะอาหารสูงพอที่จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงได้อย่างง่ายดาย การทบทวนที่ผ่านมาเกี่ยวกับยาลดกรดในกระเพาะอาหารชี้ให้เห็นว่าพวกมันเป็นต้นเหตุจริงของการเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อ(PDF) ผู้เขียนพบหลักฐานยืนยันว่า การใช้ยาลดกรดสามารถเพิ่มโอกาสของการติดเชื้อต่อไปนี้: Salmonella Campylobacter อหิวาตกโรค Listeria Giardia C. difficile การศึกษาอื่น ๆ พบว่ายาลดกรดยังเพิ่มความเสี่ยงสำหรับ: โรคปอดบวม วัณโรค ไทฟอยด์ บิด ยาลดกรดไม่เพียงแต่เพิ่มความไวต่อการติดเชื้อแต่มันยังไปลดลงความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของเราในการต่อสู้กับการติดเชื้อเมื่อเราได้รับเชื้อ จากการศึกษาในหลอดทดลองได้แสดงให้เห็นว่า PPIs ทำให้การทำหน้าที่ของเม็ดเลือดขาว nuetrophil ทำงานผิดพลาด ลดการยึดเกาะกับเซลล์ endothelial ลดการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของจุลินทรีย์และยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายอย่าง neutrophil และเพิ่มกรดใน phagolysosome ประตูสู่โรคร้ายแรงอื่น ๆ อย่างที่เราได้กล่าวถึงในบทความแรกไว้ว่า การลดลงของการหลั่งกรดตามอายุเป็นเรื่องที่มีเอกสารยืนยัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ในปี 1996 แพทย์ชาวอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า กระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกับการลดลงของกรดตามอายุเนื่องจากการเสียหายของเซลล์ผลิตกรด สภาพนี้เรียกว่าโรคกระเพาะอาหารอักเสบ(atrophic gastritis) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อหาต่อไปนี้ กระเพาะอาหารอักเสบ (สภาพที่กรดในกระเพาะอาหารอยู่ในระดับที่ต่ำมาก) มีความเกี่ยวข้องกับความหลากหลายของความผิดปกติร้ายแรงที่ไปไกลเกินกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร ซึ่งรวมถึง: มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด อาการซึมเศร้า วิตกกังวล ความผิดปกติของอารมณ์ โลหิตจาง โรคผิวหนังรวมทั้งการเกิดสิว, โรคผิวหนังกลากและลมพิษ โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคแพ้ภูมิเช่นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคเกรฟส์ อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) โรค Crohn (CD), ลำไส้ใหญ่ (UC) โรคไวรัสตับอักเสบ โรคกระดูกพรุน โรคเบาหวานประเภท 1 และอย่าลืมนะว่ากรดในกระเพาะอาหารต่ำอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนและแสบร้อนกลางอก! มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื้อ H. pylori เป็นสาเหตุหลักของโรคนี้ และยาลดกรดก็ยิ่งทำให้อาการเหล่านี้เลวลงและเพิ่มอัตราการติดเชื้อ ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่อะไรนักหรอกที่จะสงสัยว่ายาลดกรดเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารในผู้ที่ติดเชื้อ H.pylori ในบทความที่ผ่านมาของ Julie Parsonnet, M.D. of Standford University Medical School เขียนไว้ว่า : โดยหลักการแล้ว การรักษาด้วยยาลดกรดในปัจจุบันนี้ อาจเป็นตัวเร่งโรคมะเร็งโดยการแปลงการอักเสบเพียงเล็กน้อยของกระเพาะอาหารเป็นทำลายขั้นรุนแรงในกระบวนการก่อมะเร็ง แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ประมาณ 90% ของลำไส้เล็กส่วนต้น (ลำไส้) และ 65% ของแผลในกระเพาะอาหารเกิดจากเชื้อ H. pylori ในการทดลองฉีดวัคซีนในมนุษย์ การติดเชื้อไม่สามารถเกิดขึ้นได้เว้นแต่ค่า pH ของกระเพาะอาหารสูงขึ้น(ลดความเป็นกรดลง) โดยการใช้สารต้านฮิสตามีนซึ่งไปลดกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มค่าความเป็นด่าง ยาลดกรดในกระเพาะอาหารจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ H. pylori และตามมาด้วยการพัฒนาไปเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นหรือกระเพาะอาหาร อาการลำไส้แปรปรวน โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ สารอะดีโนซีน(Adenosine)เป็นตัวกลางหลักของการอักเสบในระบบทางเดินอาหารและสารอะดีโนซีนในระดับสูงจะไปกดและแก้ไขปัญหาการอักเสบเรื้อรังของทั้งโรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ การใช้ PPIs อย่างต่อเนื่องได้รับการยืนยันว่าไปลดความเข้มข้นของสารอะดีโนซีน จึงส่งผลในการเพิ่มขึ้นของการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการใช้งานยาลดกรดในระยะยาว อาจพัฒนาความผิดปกติของลำไส้ให้อักเสบอย่างรุนแรงได้ ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวลและความผิดปกติทางอารมณ์ ในขณะที่ยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุ (เท่าที่ผมรู้) การเชื่อมโยงของยาลดกรดกับความผิดปกติทางอารมณ์หรือภาวะซึมเศร้า ความเข้าใจพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างการย่อยโปรตีนและสุขภาพจิตแสดงให้เห็นว่าอาจจะมีการเชื่อมกัน ในระหว่างการย่อยอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารจะปล่อยน้ำย่อยซึ่งเรียกว่า เพพซิน (pepsin) น้ำย่อยนี้เป็นเอนไซม์ที่มีความรับผิดชอบต่อการสลายพันธะโปรตีนไปเป็นกรดอะมิโนและเปปไทด์ กรดอะมิโนที่เรียกว่า "จำเป็น" ก็เพราะเราไม่สามารถผลิตได้เองในร่างกายของเรา เราจะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น หากขาดน้ำย่อยโปรตีน (Pepsin) โปรตีนที่เรากินเข้าไปจะไม่ถูกทำลายไปเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นและส่วนประกอบเปปไทด์ และเนื่องจากกรดอะมิโนจำเป็นเหล่านี้เช่น phenylalanine และ tryptophan มีบทบาทสำคัญในด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม กรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำอาจเป็นตัวชักนำต่อการพัฒนาความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางอารมณ์ โรคแพ้ภูมิ กรดในกระเพาะอาหารต่ำและต่อมาก็มีแบคทีเรียมากเกินไปทำให้เกิดลำไส้ที่ซึมผ่านได้ง่ายแล้วปล่อยให้โปรตีนที่ไม่ได้รับการย่อยเข้าสู่กระแสเลือด ภาวะนี้มักจะถูกเรียกว่า "กลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่ว" Salzman และเพื่อนได้แสดงให้เห็นว่า การซึมผ่านได้ง่ายของเซลล์ลำไส้ ทั้งtranscellular และ paracellular เพิ่มขึ้นอย่างมากในผู้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ควบคุม เมื่อโปรตีนที่ไม่ผ่านการย่อยไปเข้าอยู่ในกระแสเลือดพวกมันจะถูกถือว่าเป็น "ผู้รุกราน" โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายระดมการป้องกันของมัน (อาทิ T เซลล์ Bเซลล์และแอนติบอดี ) เพื่อที่จะกำจัดการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ประเภทของการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่เรากินนี้ก่อให้เกิดการแพ้อาหาร กลไกที่คล้ายกันนี้ที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจในคนที่มีลำไส้รั่ว การพัฒนาโรคแพ้ภูมิรุนแรงมากขึ้นจนกลายไปเป็นอาทิ โรคลูปัส (พุ่มพวง เอสแอลอี), โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (เบาหวานแห้ง)โรคเกรฟส์และความผิดปกติของลำไส้อักเสบเช่น Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ ความสัมพันธ์ระหว่างโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) และกรดในกระเพาะอาหารยังมีรายงานไว้ในงานเขียนและงานวิจัยมากมาย การตรวจสอบปริมาณกรดในกระเพาะอาหารของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ RA 45 คน ของนักวิจัยชาวสวีเดนพบว่า 16 คน(36 เปอร์เซ็นต์) แทบจะไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย คนที่ได้รับความทรมานจาก RA ที่ยาวที่สุดมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยที่สุด กลุ่มนักวิจัยอิตาลียังพบอีกว่าคนที่มี RA มีอัตราของโรคกระเพาะอาหารอักเสบที่สูงมากด้วยค่าความเป็นกรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลปกติ โรคหอบหืด ในรอบสิบปีที่ผ่านมา มากกว่าสี่ร้อยบทความทางวิทยาศาสตร์ให้กังวลเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างโรคหอบหืดและความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร หนึ่งในคุณสมบัติที่พบบ่อยที่สุดของโรคหอบหืดนอกเหนือไปจากการหายใจก็คือเป็นกรดไหลย้อน เป็นที่คาดการณ์กันว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่มีโรคหอบหืดยังมีโรคกรดไหลย้อนพ่วงท้ายอีกต่างหาก เมื่อเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี และมีการระคายเคืองจากกรดเกินมากขึ้นในเยื่อบุหลอดอาหารของพวกเขา เมื่อกรดเข้าไปในหลอดลม จะทำให้ความสามารถของปอดในการหายใจเข้าออกลดลงเป็นสิบเท่า แพทย์ที่มีความตระหนักถึงสิ่งนี้ก็เริ่มจ่ายยาลดกรดให้กับผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน ในขณะที่ยาลดกรดนี้อาจช่วยบรรเทาอาการชั่วคราว แต่มันไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุของความผิดปกติที่กรดไหลย้อนเข้าไปในหลอดอาหารในคราวแรก ในความเป็นจริง มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่ายาลดกรดทำให้ทุกปัญหาพื้นฐานแย่ลง (กรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปและเพิ่มแบคทีเรีย) ดังนั้นทำให้อาการยาวนานและรุนแรง สรุป อย่างที่เราได้อ่านจากบทความก่อนหน้านี้ในตอนที่ 1 แสบร้อนกลางอกและโรคกรดไหลย้อนมันเกิดจากการน้อยเกินไป - และไม่มากพอ – ของกรดในกระเพาะอาหาร แต่น่าเสียดายที่กรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอนี้ยังไปเกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียมากจนเกินไป การดูดซึมสารอาหารด้อยคุณภาพลง การลดลงของความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, แผลในกระเพาะอาหาร,ลำไส้แปรปรวน และโรคทางเดินอาหารอื่น ๆ ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์และโรคแพ้ภูมิตัวเองและโรคหอบหืด การบรรเทาอาการชั่วคราวของยาลดกรดเหล่านี้ให้ความคุ้มค่าต่อความเสี่ยงหรือไม่ นั่นคือสิ่งเดียวที่คุณสามารถตัดสินใจได้เอง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 839 มุมมอง 0 รีวิว
  • #กรดไหลย้อนนำไปสู่โรคที่คาดไม่ถึงได้อย่างไร (สิ่งที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (5....อวสาน)
    Carnitine

    กรดอะมิโนที่พบในเนื้อสัตว์เสียเป็นส่วนใหญ่ เป็นสารประกอบที่สังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโนสองชนิดคือไลซีนและเมธไทโอนีนในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตและเป็นองค์ประกอบหลักในการผลิตพลังงานของร่างกาย คาร์นิทีนเป็นเหมือนรถไฟลำเลียงที่คอยลำเลียงกรดไขมันจากไซโตซอลเข้าสู่ไมโตคอนเดรียระหว่างการสลายของไขมันเพื่อใช้ในการเผาผลาญพลังงาน นอกจากนี้ยังช่วยกวาดล้างสารชีวพิษ (Toxin) ต่าง ๆ ออกจากร่างกายรวมถึงหมุนเวียนการใช้งานคอเลสเตอรอล
    นั่นหมายความว่าถ้าคุณมี คาร์นิทีนไม่เพียงพอคุณก็จะ อ่อนแรง ไขมันผิดปรกติ มีสารชีวพิษในร่างกายมากมาย..ใช่หรือไม่..!! และอาจถูกวินิจฉัยให้เป็นโรคที่มีชื่อแปลก ๆ อีกนานัปการ
    Glycine
    เป็นกรดอะมิโนที่มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดากรดอะมิโน 20 ตัวที่พบทั่วไปในโปรตีน ร่ายกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์ได้เอง มันเป็นตัวสำคัญในการสร้างฮีโมโกลบิน : โมเลกุลโปรตีนในเม็ดเลือดแดงที่นำพาออกซิเจนไปยังที่ต่างๆ Glycine จะจับกับ Cysteine (ซีสเทอีนหรือแอล-ซีสเทอีน) และกรดกลูตามิก(Glutamic acid) ในร่างกายเพื่อสร้างกลูต้าไธโอน : สารต้านอนุมูลที่สำคัญของร่างกาย นอกจากนี้ Glycine ยังมีความสำคัญกับระบบเผาผลาญเป็นอย่างยิ่ง
    Lysine
    กรดอะมิโนจำเป็นซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร ไลซีนมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการสร้างโปรตีนที่สำคัญต่อร่างกายโดยร่างกายต้องการไลซีนเพื่อการเจริญเติบโต การซ่อมแซมเนื้อเยื่อ การสร้างภูมิต้านทาน ฮอร์โมน รวมถึงเอนไซม์ต่างๆ
    และเป็นตัวการสำคัญในการผลิตพลังงานของร่างกายโดยผ่านกระบวนการที่ชื่อว่า Methylation รวมถึงยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจนเพื่อให้ข้อต่าง ๆ และผิวมีสุขภาพที่ดี......ดังนั้นเมื่อคุณเป็นกรดไหลย้อน การที่คุณจะมีผิวพรรณที่ไม่เปล่งปลั่ง ข้อที่ไม่ดี อ่อนแรงได้ง่ายก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด....ใช่หรือไม่..!!
    Serine
    เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสามารถสร้างได้เองโดยการย่อยสลายอาหาร เป็นกรดอะมิโนที่สำคัญในส่วนของการกระตุ้นเอ็นไซม์ต่าง ๆ ซึ่งทำหน้าที่ตั้งแต่การย่อยอาหารไปจนถึงขนส่งโมเลกุลผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ดังนั้นมันจึงถูกใช้ในฐานะแหล่งพลังงาน นอกจากนี้ยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสารต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อสมอง การที่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมซีรีนได้จะเกี่ยวโยงไปถึงโรคเบาหวานชนิดที่ 2
    Threonine
    กรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้ จึงจะต้องได้รับจากการรับประทานอาหาร
    ทรีโอนีนมีส่วนช่วยในการป้องกันการสร้างไขมันในเลือด ช่วยให้เอนไซม์ในระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยในการเผาผลาญอาหารในร่างกายและยังช่วยส่งเสริมการดูดซึมอาหาร
    ส่วนกรดอะมิโนที่ไม่ได้กล่าวถึงก็ล้วนแล้วแต่จำเป็นต่อร่างกาย แต่บทความนี้พยายามจะโยงเรื่องราวให้ท่านเห็นว่า...จากกรดไหลย้อนที่บางทีอาจถูกมองว่าเป็นปัญหาเล็กๆนั้น...นำไปสู่ปัญหาเกี่ยวกับสมองได้อย่างไร
    หวังว่าบทความทั้ง 5 ตอนนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้คนไม่มากก็น้อย
    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
    สวัสดี
    อ้างอิง : Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you

    Cr. Santi Manadee
    #กรดไหลย้อนนำไปสู่โรคที่คาดไม่ถึงได้อย่างไร (สิ่งที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (5....อวสาน) Carnitine กรดอะมิโนที่พบในเนื้อสัตว์เสียเป็นส่วนใหญ่ เป็นสารประกอบที่สังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโนสองชนิดคือไลซีนและเมธไทโอนีนในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตและเป็นองค์ประกอบหลักในการผลิตพลังงานของร่างกาย คาร์นิทีนเป็นเหมือนรถไฟลำเลียงที่คอยลำเลียงกรดไขมันจากไซโตซอลเข้าสู่ไมโตคอนเดรียระหว่างการสลายของไขมันเพื่อใช้ในการเผาผลาญพลังงาน นอกจากนี้ยังช่วยกวาดล้างสารชีวพิษ (Toxin) ต่าง ๆ ออกจากร่างกายรวมถึงหมุนเวียนการใช้งานคอเลสเตอรอล นั่นหมายความว่าถ้าคุณมี คาร์นิทีนไม่เพียงพอคุณก็จะ อ่อนแรง ไขมันผิดปรกติ มีสารชีวพิษในร่างกายมากมาย..ใช่หรือไม่..!! และอาจถูกวินิจฉัยให้เป็นโรคที่มีชื่อแปลก ๆ อีกนานัปการ Glycine เป็นกรดอะมิโนที่มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดากรดอะมิโน 20 ตัวที่พบทั่วไปในโปรตีน ร่ายกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์ได้เอง มันเป็นตัวสำคัญในการสร้างฮีโมโกลบิน : โมเลกุลโปรตีนในเม็ดเลือดแดงที่นำพาออกซิเจนไปยังที่ต่างๆ Glycine จะจับกับ Cysteine (ซีสเทอีนหรือแอล-ซีสเทอีน) และกรดกลูตามิก(Glutamic acid) ในร่างกายเพื่อสร้างกลูต้าไธโอน : สารต้านอนุมูลที่สำคัญของร่างกาย นอกจากนี้ Glycine ยังมีความสำคัญกับระบบเผาผลาญเป็นอย่างยิ่ง Lysine กรดอะมิโนจำเป็นซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร ไลซีนมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการสร้างโปรตีนที่สำคัญต่อร่างกายโดยร่างกายต้องการไลซีนเพื่อการเจริญเติบโต การซ่อมแซมเนื้อเยื่อ การสร้างภูมิต้านทาน ฮอร์โมน รวมถึงเอนไซม์ต่างๆ และเป็นตัวการสำคัญในการผลิตพลังงานของร่างกายโดยผ่านกระบวนการที่ชื่อว่า Methylation รวมถึงยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจนเพื่อให้ข้อต่าง ๆ และผิวมีสุขภาพที่ดี......ดังนั้นเมื่อคุณเป็นกรดไหลย้อน การที่คุณจะมีผิวพรรณที่ไม่เปล่งปลั่ง ข้อที่ไม่ดี อ่อนแรงได้ง่ายก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด....ใช่หรือไม่..!! Serine เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสามารถสร้างได้เองโดยการย่อยสลายอาหาร เป็นกรดอะมิโนที่สำคัญในส่วนของการกระตุ้นเอ็นไซม์ต่าง ๆ ซึ่งทำหน้าที่ตั้งแต่การย่อยอาหารไปจนถึงขนส่งโมเลกุลผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ดังนั้นมันจึงถูกใช้ในฐานะแหล่งพลังงาน นอกจากนี้ยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสารต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อสมอง การที่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมซีรีนได้จะเกี่ยวโยงไปถึงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 Threonine กรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้ จึงจะต้องได้รับจากการรับประทานอาหาร ทรีโอนีนมีส่วนช่วยในการป้องกันการสร้างไขมันในเลือด ช่วยให้เอนไซม์ในระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยในการเผาผลาญอาหารในร่างกายและยังช่วยส่งเสริมการดูดซึมอาหาร ส่วนกรดอะมิโนที่ไม่ได้กล่าวถึงก็ล้วนแล้วแต่จำเป็นต่อร่างกาย แต่บทความนี้พยายามจะโยงเรื่องราวให้ท่านเห็นว่า...จากกรดไหลย้อนที่บางทีอาจถูกมองว่าเป็นปัญหาเล็กๆนั้น...นำไปสู่ปัญหาเกี่ยวกับสมองได้อย่างไร หวังว่าบทความทั้ง 5 ตอนนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้คนไม่มากก็น้อย ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง สวัสดี อ้างอิง : Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 311 มุมมอง 0 รีวิว
  • #กรดไหลย้อนนำไปสู่โรคที่คาดไม่ถึงได้อย่างไร (สิ่งที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (4)

    ครั้งหนึ่งเมื่อโปรตีนตกไปถึงกระเพาะอาหารส่วนล่างและลำไส้เล็กส่วนบน..แต่เครื่องยนต์ของคุณไม่ทำการสตาร์ทเครื่อง น้ำมันจึงท่วมคาร์บูเรเตอร์และยากที่คุณจะได้มาซึ่งกรดอะมิโนตัวนี้...ตามมา..!!
    Arginine
    (Semi-essential amino acid)
    อาร์จินีนเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่มีผลเป็นอย่างมากต่อสุขภาพ ในทางโภชนาการจัดเป็นกรดอะมิโนกึ่งจำเป็น L-Arginine จำเป็นต่อร่างกายเนื่องจากทำหน้าที่กระตุ้นให้ร่างกายผลิตไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) : ทำหน้าที่ขยายตัวของหลอดเลือดเมื่อได้รับคำสั่งในระบบไหลเวียน(circulatory system) เมื่อปราศจากไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) หลอดเลือดก็จะเริ่มหดตัว การไหลเวียนของเลือดจะลดลงจากนั้นความดันโลหิตจะสูง
    ผู้ป่วยที่มีอาการแน่นหน้าอกส่วนใหญ่มักจะได้รับ nitroglycerin (ไนโตรกลีเซอริน):ยาขยายหลอดเลือดในกลุ่มไนเตรต อาร์จินีนให้ผลในทำนองเดียวกัน นอกจากนี้อาร์จินีนยังใช้ในการรักษาบาดแผล การแบ่งเซลล์ การแข็งตัวขององคชาต (penile erection):”ผู้เป็นโรคกรดไหลย้อนมักจะประสบปัญหานี้” การทำหน้าที่ของภูมิคุ้มกัน การหมุนเวียนเลือดส่วนปลาย (Peripheral Circulation) การปล่อยฮอร์โมนรวมทั้งกระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในการคงความเป็นหนุ่มเป็นสาว ช่วยชะลอความแก่และยังช่วยในการกำจัดแอมโมเนียที่เป็นพิษออกจากร่างกาย นอกจากนั้นยังเป็นตัวการสำคัญในการก่อให้เกิดโปรตีน myelin :เยื่อหุ้มแอกซอน (Axon) ของเซลล์ประสาท เป็นฉนวนไฟฟ้าช่วยทำให้กระแสประสาทผ่านไปได้เร็วขึ้นโดยเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเฉลี่ย 120 เมตรต่อวินาที ซ่อมแซม DNA และป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบภูมิต้านทาน
    ที่สำคัญไปกว่านั้นอาร์จินีนยังเป็นตัวการสร้าง Creatine : แหล่งพลังงานของกล้ามเนื้อและเซลล์ประสาทตามธรรมชาติ Creatine มักถูกใช้ในการเพิ่มความสามารถของกล้ามเนื้อ (ความปลอดภัยอยู่ที่ 3 กรัมต่อวัน) และใช้ในทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคระบบประสาทสั่งงานกล้ามเนื้อผิดปกติ(neuromuscular diseases)
    อาร์จินีนมักถูกแนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานเพื่อช่วยให้หลอดเลือดขายตัวและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในบริเวณส่วนปลาย เหตุผลที่ถูกนำมาใช้ก็เพราะพวกเขาเพิ่มปริมาณไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
    อาร์จินีนบริสุทธิ์ละลายในน้ำได้ดีมากและมีสมบัติเป็นด่างที่มีประจุบวก...
    !!..แต่โปรดจำไว้ว่า..!!!
    อาร์จินีนจะเข้าสู่เซลล์ของเราไม่ได้และการผลิตไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide)จะไม่เกิดขึ้นถ้าปราศจาก...โซเดียม...
    แหล่งที่พบในอาหาร ได้แก่
    -เนื้อสัตว์ ส่วนที่เป็นเนื้อแดง เนื้อจากสัตว์ปีก อาหารทะเลเช่น ปลาทูน่า (1.7 g ต่อ 100 g)ปลาแซลมอน (1.2 g ต่อ 100 g) รวมทั้งกุ้ง ปู เป็นแหล่งที่ดีของโปรตีน และกรดอะมิโนทุกชนิดรวมถึงอาร์จินีนด้วย
    -ถั่วเมล็ดแห้ง เป็นแหล่งของอาร์จินีนในพืช ถั่วลิสงเป็นแหล่งที่ดีของอาร์จินีน โดย almonds (2.5 g ต่อ 100 g) walnuts (2.3 g ต่อ100 g) hazelnuts (2.2 g ต่อ 100 g) และเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ (2.1 g ต่อ 100 g) นอกจากนั้นยังพบมากใน Brazil nuts, pistachios ,pecans และ งา
    -ผักโขม แม้ว่าผักทั่วไปจะไม่ใช่แหล่งที่ดีของอาร์จินีนแต่ผักโขมเป็นแหล่งที่ดีของอาร์จินีนโดยผักโขมมีอาร์จินีน 3.3 g ต่อ 100 g
    -เมล็ดพืชที่ไม่ขัดสี (Whole Grains) รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากเมล็ดพืชที่ไม่ได้ขัดสี มีปริมาณอาร์จินีน 650 mg ต่อ 100 g.
    -ไข่ โดยเฉพาะไข่แดงเป็นแหล่งที่ดีของอาร์จินีน (1.10 g ต่อ100 g) ขณะที่ไข่ขาว มี 0.65 g ต่อ100 g
    พอมองภาพออกใช่ไหมครับว่า...ทำไมโรคต่าง ๆ จึงเกิดตามมามากมายและตามแก้ผลของการเกิดโรคใหม่ ๆ ราวกับว่าไม่มีจุดจบ
    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
    สวัสดี
    อ้างอิง : Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you

    Cr. Santi Manadee
    #กรดไหลย้อนนำไปสู่โรคที่คาดไม่ถึงได้อย่างไร (สิ่งที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (4) ครั้งหนึ่งเมื่อโปรตีนตกไปถึงกระเพาะอาหารส่วนล่างและลำไส้เล็กส่วนบน..แต่เครื่องยนต์ของคุณไม่ทำการสตาร์ทเครื่อง น้ำมันจึงท่วมคาร์บูเรเตอร์และยากที่คุณจะได้มาซึ่งกรดอะมิโนตัวนี้...ตามมา..!! Arginine (Semi-essential amino acid) อาร์จินีนเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่มีผลเป็นอย่างมากต่อสุขภาพ ในทางโภชนาการจัดเป็นกรดอะมิโนกึ่งจำเป็น L-Arginine จำเป็นต่อร่างกายเนื่องจากทำหน้าที่กระตุ้นให้ร่างกายผลิตไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) : ทำหน้าที่ขยายตัวของหลอดเลือดเมื่อได้รับคำสั่งในระบบไหลเวียน(circulatory system) เมื่อปราศจากไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) หลอดเลือดก็จะเริ่มหดตัว การไหลเวียนของเลือดจะลดลงจากนั้นความดันโลหิตจะสูง ผู้ป่วยที่มีอาการแน่นหน้าอกส่วนใหญ่มักจะได้รับ nitroglycerin (ไนโตรกลีเซอริน):ยาขยายหลอดเลือดในกลุ่มไนเตรต อาร์จินีนให้ผลในทำนองเดียวกัน นอกจากนี้อาร์จินีนยังใช้ในการรักษาบาดแผล การแบ่งเซลล์ การแข็งตัวขององคชาต (penile erection):”ผู้เป็นโรคกรดไหลย้อนมักจะประสบปัญหานี้” การทำหน้าที่ของภูมิคุ้มกัน การหมุนเวียนเลือดส่วนปลาย (Peripheral Circulation) การปล่อยฮอร์โมนรวมทั้งกระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในการคงความเป็นหนุ่มเป็นสาว ช่วยชะลอความแก่และยังช่วยในการกำจัดแอมโมเนียที่เป็นพิษออกจากร่างกาย นอกจากนั้นยังเป็นตัวการสำคัญในการก่อให้เกิดโปรตีน myelin :เยื่อหุ้มแอกซอน (Axon) ของเซลล์ประสาท เป็นฉนวนไฟฟ้าช่วยทำให้กระแสประสาทผ่านไปได้เร็วขึ้นโดยเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเฉลี่ย 120 เมตรต่อวินาที ซ่อมแซม DNA และป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบภูมิต้านทาน ที่สำคัญไปกว่านั้นอาร์จินีนยังเป็นตัวการสร้าง Creatine : แหล่งพลังงานของกล้ามเนื้อและเซลล์ประสาทตามธรรมชาติ Creatine มักถูกใช้ในการเพิ่มความสามารถของกล้ามเนื้อ (ความปลอดภัยอยู่ที่ 3 กรัมต่อวัน) และใช้ในทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคระบบประสาทสั่งงานกล้ามเนื้อผิดปกติ(neuromuscular diseases) อาร์จินีนมักถูกแนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานเพื่อช่วยให้หลอดเลือดขายตัวและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในบริเวณส่วนปลาย เหตุผลที่ถูกนำมาใช้ก็เพราะพวกเขาเพิ่มปริมาณไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว อาร์จินีนบริสุทธิ์ละลายในน้ำได้ดีมากและมีสมบัติเป็นด่างที่มีประจุบวก... !!..แต่โปรดจำไว้ว่า..!!! อาร์จินีนจะเข้าสู่เซลล์ของเราไม่ได้และการผลิตไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide)จะไม่เกิดขึ้นถ้าปราศจาก...โซเดียม... แหล่งที่พบในอาหาร ได้แก่ -เนื้อสัตว์ ส่วนที่เป็นเนื้อแดง เนื้อจากสัตว์ปีก อาหารทะเลเช่น ปลาทูน่า (1.7 g ต่อ 100 g)ปลาแซลมอน (1.2 g ต่อ 100 g) รวมทั้งกุ้ง ปู เป็นแหล่งที่ดีของโปรตีน และกรดอะมิโนทุกชนิดรวมถึงอาร์จินีนด้วย -ถั่วเมล็ดแห้ง เป็นแหล่งของอาร์จินีนในพืช ถั่วลิสงเป็นแหล่งที่ดีของอาร์จินีน โดย almonds (2.5 g ต่อ 100 g) walnuts (2.3 g ต่อ100 g) hazelnuts (2.2 g ต่อ 100 g) และเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ (2.1 g ต่อ 100 g) นอกจากนั้นยังพบมากใน Brazil nuts, pistachios ,pecans และ งา -ผักโขม แม้ว่าผักทั่วไปจะไม่ใช่แหล่งที่ดีของอาร์จินีนแต่ผักโขมเป็นแหล่งที่ดีของอาร์จินีนโดยผักโขมมีอาร์จินีน 3.3 g ต่อ 100 g -เมล็ดพืชที่ไม่ขัดสี (Whole Grains) รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากเมล็ดพืชที่ไม่ได้ขัดสี มีปริมาณอาร์จินีน 650 mg ต่อ 100 g. -ไข่ โดยเฉพาะไข่แดงเป็นแหล่งที่ดีของอาร์จินีน (1.10 g ต่อ100 g) ขณะที่ไข่ขาว มี 0.65 g ต่อ100 g พอมองภาพออกใช่ไหมครับว่า...ทำไมโรคต่าง ๆ จึงเกิดตามมามากมายและตามแก้ผลของการเกิดโรคใหม่ ๆ ราวกับว่าไม่มีจุดจบ ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง สวัสดี อ้างอิง : Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 484 มุมมอง 0 รีวิว
  • #กรดไหลย้อนนำไปสู่โรคที่คาดไม่ถึงได้อย่างไร (สิ่งที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (3)

    มาใช้จินตนาการกันต่อ...เมื่อคุณไม่สามารถย่อยโปรตีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรดอะมิโนที่ร่างกายต้องการตัวต่อไปที่จะสร้างปัญหาให้กับชีวิตของคุณและส่งผลต่อการทำงานของสมองและอารมณ์ก็คือ...
    Tyrosineหรือ 4-hydroxyphenylalanine
    กรดอะมิโนกึ่งจำเป็นที่ร่างกายต้องมีเพื่อต่อต้านฮอร์โมนแห่งความเครียด เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโนฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาท มีหน้าที่ช่วยส่งผ่านสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทกับสมอง ร่างกายจะได้รับฟีนิลอะลานีนจากอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ไก่ เนื้อ ถั่งลิสง อะโวคาโดเป็นต้น หลังจากรับประทานอาหารที่มีกรดอะมิโนฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine) ร่างกายจะนำไปเป็นสารตั้งต้นในการสร้างกรดอะมิโนไทโรซีน (Tyrosine) -> โดปา (Dopa) -> โดปามีน (Dopamine) -> นอร์อะดรีนาลิน (Noradrenaline) -> อะดรีนาลิน (adrenaline) ตามลำดับ
    ฮอร์โมนโดปามีน (Dopamine) และฮอร์โมนอะดรีนาลิน (Adrenaline) หรืออาจเรียกว่าเอพิเนฟรีน (Epinephrine) ช่วยให้เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่า รู้สึกสนุกสนานกับกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน ช่วยสร้างเสริมความตื่นตัวและความกระฉับกระเฉง เพิ่มความจำ ช่วยให้รู้สึกมีความสุข การรับรู้ ความจำและการเรียนรู้
    นอกจากร่างกายจะใช้ไทโรซีนเพื่อการสร้างสารสื่อประสาทหลายชนิดแล้วพวกมันยังถูกใช้ในการสร้างไทรอยด์ฮอร์โมนอีกด้วย..นั่นอาจหมายถึงผู้ที่มีปัญหาของต่อมไทรอยด์..คุณอาจมีปัญหาในการย่อยโปรตีนด้วย...ใช่หรือไม่..!!
    ...!! ย้ำอีกครั้ง...!!
    จะเห็นได้ว่าทุกเรื่องราวมีลำดับ..เป็นขั้นเป็นตอน
    ฟีนิลอะลานีนต้องถูกเปลี่ยนเป็นไทโรซีนก่อนจึงจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากไม่มีการเปลี่ยนเป็นไทโรซีน ไม่ว่าจะเป็นเพราะขาดเอนไซม์หรือเพราะร่างกายส่วนอื่นต้องการใช้ฟีนิลอะลานีนก็ตาม จะทำให้สมองสร้างสารที่ชื่อว่า นอร์เอพิเนฟวินน้อยลงซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้าขึ้นได้
    จะเห็นได้ว่า..ไทโรซีนส่งเสริมการทำงานของต่อมหมวกไต ต่อมใต้สมองและต่อมไทรอยด์รวมถึงยังช่วยกระตุ้นการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมน ช่วยแก้ไขอารมณ์ซึมเศร้า ช่วยคลายเครียด ช่วยฟื้นฟูความจำ ช่วยกระตุ้นความรู้สึก เพิ่มแรงขับทางเพศและการสร้างของนอร์เอพิเนฟวิน
    จากจุดเริ่มต้นที่ใครบางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ มันเริ่มจะไม่เล็กอย่างที่คิดแล้วใช่ไหม..!!
    ดังนั้นถ้าคุณมีปัญหาที่ถูกวินิจฉัยว่าเกิดจากสมองของคุณ...ให้พิจารณาการย่อยของคุณเป็นลำดับแรก....ก่อนใช้ยาที่รักษาด้านสมองของคุณ
    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
    สวัสดี
    อ้างอิง : Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you

    Cr. Santi Manadee
    #กรดไหลย้อนนำไปสู่โรคที่คาดไม่ถึงได้อย่างไร (สิ่งที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (3) มาใช้จินตนาการกันต่อ...เมื่อคุณไม่สามารถย่อยโปรตีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรดอะมิโนที่ร่างกายต้องการตัวต่อไปที่จะสร้างปัญหาให้กับชีวิตของคุณและส่งผลต่อการทำงานของสมองและอารมณ์ก็คือ... Tyrosineหรือ 4-hydroxyphenylalanine กรดอะมิโนกึ่งจำเป็นที่ร่างกายต้องมีเพื่อต่อต้านฮอร์โมนแห่งความเครียด เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโนฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาท มีหน้าที่ช่วยส่งผ่านสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทกับสมอง ร่างกายจะได้รับฟีนิลอะลานีนจากอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ไก่ เนื้อ ถั่งลิสง อะโวคาโดเป็นต้น หลังจากรับประทานอาหารที่มีกรดอะมิโนฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine) ร่างกายจะนำไปเป็นสารตั้งต้นในการสร้างกรดอะมิโนไทโรซีน (Tyrosine) -> โดปา (Dopa) -> โดปามีน (Dopamine) -> นอร์อะดรีนาลิน (Noradrenaline) -> อะดรีนาลิน (adrenaline) ตามลำดับ ฮอร์โมนโดปามีน (Dopamine) และฮอร์โมนอะดรีนาลิน (Adrenaline) หรืออาจเรียกว่าเอพิเนฟรีน (Epinephrine) ช่วยให้เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่า รู้สึกสนุกสนานกับกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน ช่วยสร้างเสริมความตื่นตัวและความกระฉับกระเฉง เพิ่มความจำ ช่วยให้รู้สึกมีความสุข การรับรู้ ความจำและการเรียนรู้ นอกจากร่างกายจะใช้ไทโรซีนเพื่อการสร้างสารสื่อประสาทหลายชนิดแล้วพวกมันยังถูกใช้ในการสร้างไทรอยด์ฮอร์โมนอีกด้วย..นั่นอาจหมายถึงผู้ที่มีปัญหาของต่อมไทรอยด์..คุณอาจมีปัญหาในการย่อยโปรตีนด้วย...ใช่หรือไม่..!! ...!! ย้ำอีกครั้ง...!! จะเห็นได้ว่าทุกเรื่องราวมีลำดับ..เป็นขั้นเป็นตอน ฟีนิลอะลานีนต้องถูกเปลี่ยนเป็นไทโรซีนก่อนจึงจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากไม่มีการเปลี่ยนเป็นไทโรซีน ไม่ว่าจะเป็นเพราะขาดเอนไซม์หรือเพราะร่างกายส่วนอื่นต้องการใช้ฟีนิลอะลานีนก็ตาม จะทำให้สมองสร้างสารที่ชื่อว่า นอร์เอพิเนฟวินน้อยลงซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้าขึ้นได้ จะเห็นได้ว่า..ไทโรซีนส่งเสริมการทำงานของต่อมหมวกไต ต่อมใต้สมองและต่อมไทรอยด์รวมถึงยังช่วยกระตุ้นการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมน ช่วยแก้ไขอารมณ์ซึมเศร้า ช่วยคลายเครียด ช่วยฟื้นฟูความจำ ช่วยกระตุ้นความรู้สึก เพิ่มแรงขับทางเพศและการสร้างของนอร์เอพิเนฟวิน จากจุดเริ่มต้นที่ใครบางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ มันเริ่มจะไม่เล็กอย่างที่คิดแล้วใช่ไหม..!! ดังนั้นถ้าคุณมีปัญหาที่ถูกวินิจฉัยว่าเกิดจากสมองของคุณ...ให้พิจารณาการย่อยของคุณเป็นลำดับแรก....ก่อนใช้ยาที่รักษาด้านสมองของคุณ ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง สวัสดี อ้างอิง : Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 318 มุมมอง 0 รีวิว
  • #กรดไหลย้อนนำไปสู่โรคที่คาดไม่ถึงได้อย่างไร (สิ่งที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (2)

    อะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกายถ้าคุณไม่สามารถย่อยโปรตีนและไม่สามารถที่จะมีกรดอะมิโนซึ่งเซลล์ทุกเซลล์ต้องการเพื่อทำหน้าที่ของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรดอะมิโนมาตรฐานมี 20 ตัวรวมถึง 8 ตัวที่จำเป็นและ 4 ตัวที่เป็นแบบกึ่งจำเป็นซึ่งช่วยให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ ...เมื่อปราศจากพวกเขาเสียแล้ว คุณจะประสบกับปัญหาอย่างแน่นอน กรดอะมิโนตัวแรกที่จะกล่าวถึงก็คือ...
    Tryptophan
    เป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่ช่วยในการสร้าง Serotonin (สารสื่อประสาทตัวหนึ่งที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทภายในสมองที่ทำให้รู้สึกดี)
    ...จินตนาการ...
    หากร่างกายคุณไม่สามารถย่อยโปรตีนจนกลายเป็น Tryptophan ได้ ผลที่ตามมาก็น่าจะเป็น โรคซึมเศร้า ไมเกรน นอนหลับยาก วิตกกังวล กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) ภาวะซึมเศร้าจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล SAD (Seasonal Affective Disorder) และน้ำหนักเกินเนื่องจากสมองไม่สามารถส่งสัญญาณแห่งความอิ่มได้ (อ่านในโพสต์ที่มีภาพ “สงบนิ่ง 1 นาที” ) …..ใช่หรือไม่..!!!
    Tryptophan ยังสร้าง Ninacinหรืออาจเรียกว่า นิโคตินิค แอสิด (Nicotinic acid) เป็นวิตามินบี (วิตามินบี 3) ซึ่งเป็นตัวลดไขมันไม่ดีในร่างกายอีกด้วย
    ..สิ่งที่พึงระวัง..
    Phenylalanine : สารที่ผสมในสารให้ความหวานสามารถก่อกวน Tryptophan และการสร้าง Serotonin
    5-Hydoxytrytophan (5-HTPX) ซึ่งได้จากอาหารไม่ว่าจะเป็นไก่ เนื้อ ถั่ว ชิส ผักโขม ปลาทูน่า หรือแม้แต่โยเกิต์ต เป็นรูปแบบของ Tryptophan ที่ช่วยให้ร่างกายสร้าง Serotonin และช่วยในการรักษาอาการซึมเศร้า นอนไม่หลับ วิตกกังวลรวมถึงไมเกรนได้อย่างดีเยี่ยม (นี่เป็นข้อเท็จจริงของสารอาหารที่อยู่ในอาหาร แต่ถ้าคุณเป็นโรคกรดไหลย้อน... กรุณาจดจำไว้ให้ขึ้นใจว่าผมห้ามกินอะไรบ้าง)
    เมลาโทนิน : เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากสารเซโรโทนิน (Serotonin) ที่เซลล์ไพเนียลซึ่งอยู่ในต่อมไพเนียล เป็นส่วนหนึ่งของสมองส่วนกลางที่ช่วยการกระตุ้นการปรับเปลี่ยนระบบนาฬิกาของร่างกาย ถ้าได้รับในปริมาณที่เหมาะสมก็จะช่วยรักษาโรคนอนไม่หลับ ซึมเศร้าได้เช่นกันนอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในการต้านอนุมูลอิสระและลดความเสื่อมของเซลล์สมองอีกด้วย
    ...สิ่งที่น่าสนใจคือ...
    ปริมาณที่เหมาะสมของเมลาโทนินคือ 200 mcg หรือ 0.2 mg ใช้สำหรับอมใต้ลิ้นหรือพ่นทางจมูก
    !!! ข้อควรระวัง !!!
    เมลาโทนินที่มากจนเกินไปจะเพิ่มการผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลซึ่งจะไปรบกวนการนอนหลับและทำให้ปวดหัวได้ตลอดวัน
    ลองมาคิดกันเล่น ๆ ไหมว่า..ยาที่ใช้รักษาอาการที่เกิดมาจากการขาดเมลาโทนินไม่ว่าจะเป็นไมเกรน ซึมเศร้าหรือวิตกกังวลอย่าง Prozac,Paxil,Celexa,Zoloft,Cymbalta และ Lexapro ที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้า Ambien,LunestaและSonata ที่ใช้รักษาโรคนอนไม่หลับและ Amerge,Frova,Imitrex,ZomigและMaxalt สำหรับไมเกรน นี่คือชื่อยาบางส่วนที่บริษัทยาผลิตมาเพื่อรักษาอาการที่เกิดจากการขาด Serotonin ซึ่งส่วนใหญ่ของผู้ป่วยก็มาจากการขาด Tryptophan
    ...คุณคิดจริง ๆ หรือว่า..ร่างกายคุณขาด Zoloft หรือ Lunesta หรือ Imitrex…ร่างกายของคุณถูกสร้างมาจากยาหรือไม่..ใช่หรือไม่..ใช่หรือไม่..!!!
    ร่างกายคุณต้องการสารอาหาร แร่ธาตุที่มากขึ้นเพื่อทำให้พวกเขาสมดุลและส่งผลให้มีการย่อยโปรตีนได้มากขึ้น ได้รับกรดอะมิโนมากขึ้นเพื่อให้เซลล์ต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้นและทำให้สมองสร้างสารเคมีที่จำเป็นต้องใช้เพื่อให้คุณมีสุขภาพที่ดี
    โปรดจำไว้ว่า...ร้อยละ 95 ของสารสื่อประสาทของเราพบในระบบทางเดินอาหารและ Neurotransmittersเกือบทั้งหมดในร่างกาย(สารเคมีที่ใช้สำหรับการสื่อสารของระบบประสาท) ได้มาจากกรดอะมิโน
    ..เราควรที่จะแก้ไขที่ต้นเหตุของเรื่องราว...หรือแก้ไขอาการไปวัน ๆ และแก้ไปตลอดชีวิต
    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
    สวัสดี
    อ้างอิง : Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you

    Cr. Santi Manadee
    #กรดไหลย้อนนำไปสู่โรคที่คาดไม่ถึงได้อย่างไร (สิ่งที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (2) อะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกายถ้าคุณไม่สามารถย่อยโปรตีนและไม่สามารถที่จะมีกรดอะมิโนซึ่งเซลล์ทุกเซลล์ต้องการเพื่อทำหน้าที่ของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรดอะมิโนมาตรฐานมี 20 ตัวรวมถึง 8 ตัวที่จำเป็นและ 4 ตัวที่เป็นแบบกึ่งจำเป็นซึ่งช่วยให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ ...เมื่อปราศจากพวกเขาเสียแล้ว คุณจะประสบกับปัญหาอย่างแน่นอน กรดอะมิโนตัวแรกที่จะกล่าวถึงก็คือ... Tryptophan เป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่ช่วยในการสร้าง Serotonin (สารสื่อประสาทตัวหนึ่งที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทภายในสมองที่ทำให้รู้สึกดี) ...จินตนาการ... หากร่างกายคุณไม่สามารถย่อยโปรตีนจนกลายเป็น Tryptophan ได้ ผลที่ตามมาก็น่าจะเป็น โรคซึมเศร้า ไมเกรน นอนหลับยาก วิตกกังวล กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) ภาวะซึมเศร้าจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล SAD (Seasonal Affective Disorder) และน้ำหนักเกินเนื่องจากสมองไม่สามารถส่งสัญญาณแห่งความอิ่มได้ (อ่านในโพสต์ที่มีภาพ “สงบนิ่ง 1 นาที” ) …..ใช่หรือไม่..!!! Tryptophan ยังสร้าง Ninacinหรืออาจเรียกว่า นิโคตินิค แอสิด (Nicotinic acid) เป็นวิตามินบี (วิตามินบี 3) ซึ่งเป็นตัวลดไขมันไม่ดีในร่างกายอีกด้วย ..สิ่งที่พึงระวัง.. Phenylalanine : สารที่ผสมในสารให้ความหวานสามารถก่อกวน Tryptophan และการสร้าง Serotonin 5-Hydoxytrytophan (5-HTPX) ซึ่งได้จากอาหารไม่ว่าจะเป็นไก่ เนื้อ ถั่ว ชิส ผักโขม ปลาทูน่า หรือแม้แต่โยเกิต์ต เป็นรูปแบบของ Tryptophan ที่ช่วยให้ร่างกายสร้าง Serotonin และช่วยในการรักษาอาการซึมเศร้า นอนไม่หลับ วิตกกังวลรวมถึงไมเกรนได้อย่างดีเยี่ยม (นี่เป็นข้อเท็จจริงของสารอาหารที่อยู่ในอาหาร แต่ถ้าคุณเป็นโรคกรดไหลย้อน... กรุณาจดจำไว้ให้ขึ้นใจว่าผมห้ามกินอะไรบ้าง) เมลาโทนิน : เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากสารเซโรโทนิน (Serotonin) ที่เซลล์ไพเนียลซึ่งอยู่ในต่อมไพเนียล เป็นส่วนหนึ่งของสมองส่วนกลางที่ช่วยการกระตุ้นการปรับเปลี่ยนระบบนาฬิกาของร่างกาย ถ้าได้รับในปริมาณที่เหมาะสมก็จะช่วยรักษาโรคนอนไม่หลับ ซึมเศร้าได้เช่นกันนอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในการต้านอนุมูลอิสระและลดความเสื่อมของเซลล์สมองอีกด้วย ...สิ่งที่น่าสนใจคือ... ปริมาณที่เหมาะสมของเมลาโทนินคือ 200 mcg หรือ 0.2 mg ใช้สำหรับอมใต้ลิ้นหรือพ่นทางจมูก !!! ข้อควรระวัง !!! เมลาโทนินที่มากจนเกินไปจะเพิ่มการผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลซึ่งจะไปรบกวนการนอนหลับและทำให้ปวดหัวได้ตลอดวัน ลองมาคิดกันเล่น ๆ ไหมว่า..ยาที่ใช้รักษาอาการที่เกิดมาจากการขาดเมลาโทนินไม่ว่าจะเป็นไมเกรน ซึมเศร้าหรือวิตกกังวลอย่าง Prozac,Paxil,Celexa,Zoloft,Cymbalta และ Lexapro ที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้า Ambien,LunestaและSonata ที่ใช้รักษาโรคนอนไม่หลับและ Amerge,Frova,Imitrex,ZomigและMaxalt สำหรับไมเกรน นี่คือชื่อยาบางส่วนที่บริษัทยาผลิตมาเพื่อรักษาอาการที่เกิดจากการขาด Serotonin ซึ่งส่วนใหญ่ของผู้ป่วยก็มาจากการขาด Tryptophan ...คุณคิดจริง ๆ หรือว่า..ร่างกายคุณขาด Zoloft หรือ Lunesta หรือ Imitrex…ร่างกายของคุณถูกสร้างมาจากยาหรือไม่..ใช่หรือไม่..ใช่หรือไม่..!!! ร่างกายคุณต้องการสารอาหาร แร่ธาตุที่มากขึ้นเพื่อทำให้พวกเขาสมดุลและส่งผลให้มีการย่อยโปรตีนได้มากขึ้น ได้รับกรดอะมิโนมากขึ้นเพื่อให้เซลล์ต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้นและทำให้สมองสร้างสารเคมีที่จำเป็นต้องใช้เพื่อให้คุณมีสุขภาพที่ดี โปรดจำไว้ว่า...ร้อยละ 95 ของสารสื่อประสาทของเราพบในระบบทางเดินอาหารและ Neurotransmittersเกือบทั้งหมดในร่างกาย(สารเคมีที่ใช้สำหรับการสื่อสารของระบบประสาท) ได้มาจากกรดอะมิโน ..เราควรที่จะแก้ไขที่ต้นเหตุของเรื่องราว...หรือแก้ไขอาการไปวัน ๆ และแก้ไปตลอดชีวิต ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง สวัสดี อ้างอิง : Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 507 มุมมอง 0 รีวิว
  • #กรดไหลย้อน (ที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (1)

    ...คุณเคยมีประสบการณ์ของการเป็นโรคกรดไหลย้อนหรือไม่....

    โรคที่อาจมีการวินิจฉัยผิดพลาดบ่อย ๆและถูกมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ยาเม็ดลดกรด (Tums) อาจถูกนำมาใช้หรือบางทีคุณอาจมองหา Prilosec หรือ Prevacid หรือบางรายไปไกลกว่านั้นและอาจใช้ Nexium,Tagamet หรือ Zantac เพื่อควบคุมอาการของคุณและที่เลวร้ายไปกว่านั้นถ้าคุณใช้ยา MaaloxหรือMylanta ซึ่ง 2 ตัวหลังนี้เต็มไปด้วยอลูมิเนียมที่เป็นพิษต่อร่างกาย
    ..!! ถ้าคุณและที่ปรึกษาด้านสุขภาพของคุณเห็นร่วมกันวาเป็นเรื่องเล็ก....ไม่น่ากังวลอะไร...”คุณคิดผิด”
    ในความเป็นจริง ..กรดไหลย้อนเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก ๆ มันเป็นจุดเริ่มต้นของโรคร้ายแรงที่สามารถนำพาคุณไปสู่การทำงานที่ผิดพลาดของระบบในร่างกายและอาจไปไกลได้ถึง...”ความตาย”
    ..ชีวเคมี (Biochemistry)…
    อาจจะยากขึ้นสักเล็กน้อย..แต่จำเป็นต้องใส่ไว้ที่นี่...แต่ผมจะทำให้คุณเข้าใจได้ง่ายขึ้น..ตามมา..!!
    Digestive distress (ระบบทางเดินอาหารทำงานน้อยลง) สามารถนำไปสู่ปัญหาที่รุนแรงมากมาย คุณอาจเคยได้ยินมาว่า..กรดไหลย้อนเกิดจากการมีกรดเกินในกระเพาะอาหารเนื่องจากมีกรดไปเล่นงานหลอดอาหาร( esophagus) และทำให้เกิดอาการแสบร้อน...นั่นเป็นเพียงบางส่วนของเรื่องราวทั้งหมดและเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องมายาวนาน
    ความจริง : เราไม่สามารถย่อยอาหารได้อย่างสมบูรณ์จากการมีกรดน้อยเกินไปในเวลาที่ต้องมีกรดเพื่อทำหน้าที่ย่อยอาหารในกระเพาะอาหารของเรา Dr.Jonathan Wright ผู้เขียน : Stomach Acid is good for you
    (Evans,2001) กล่าวว่า”การผลิตกรดมากเกินไปมีอยู่จริงแต่เป็นจำนวนที่น้อยมาก ๆ และมากกว่า 44 ล้านคนประสบปัญหานี้จากการมีกรดน้อยเกินไป กรดในกระเพาะอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อการย่อยและการดูดซึมสารอาหารที่สำคัญเพื่อไปหล่อเลี้ยงร่างกายรวมถึงโปรตีนและแร่ธาตุ ดังนั้นการผลิตกรดมากจนเกินไปของกระเพาะอาหารจะมีส่วนในการรับผิดชอบต่อโรคกรดไหลย้อยได้อย่างไรกัน..มันไม่ใช่..!! หรืออย่างน้อยที่สุด....มันไม่ใช่ที่คุณคิด
    การใช้ยาที่เรียกว่า Proton pump inhibitors ซึ่งทำหน้าที่ลดการหลั่งกรดหรืออาจไปถึงหยุดการผลิตกรดเป็นสิ่งที่เลวร้ายเพราะนั่นหมายถึงการขัดขวางการย่อยอาหารและมันเป็นต้นเหตุของการนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง ซึมเศร้า วิตกกังวล ไมเกรนและนอนไม่หลับ
    การผลิตกรดในกระเพาะอาหาร (Hydrochloric Acid) ร่างกายจำเป็นต้องใช้โซเดียมคลอไรด์..ใช่มันคือ..เกลือ..!! และเกลือเป็นแหล่งคลอไรด์หลักที่ร่างกายต้องสร้างเซลล์ที่เรียกว่า parietal cell
    ที่น่าเสียใจที่สุดคือร้อยละ 90 ในผู้ป่วยของผมขาดโซเดียมเนื่องจากความรู้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโจมตีการกินเกลือด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ นา ๆ ”
    -แคลเซียมที่มากจนเกินไปทำให้ร่างกายสูญเสียโซเดียมและโพแทสเซียมทางปัสสาวะและทำให้เซลล์สูญเสียแร่ธาตุ 2 ตัวนี้อย่างต่อเนื่อง โพแทสเซียมเป็นหนึ่งในแร่ธาตุที่สำคัญต่อการสร้างกรดในกระเพาะอาหารเช่นกัน...แต่โซเดียมเป็นตัวหลักเสมอ ดังนั้นผลของการขาดทั้งโซเดียมและโพแทสเซียมจะทำให้เกิดการสูญเสียความสามารถในการย่อยอาหาร ความสามารถในการย่อยโปรตีน ความสามารถในการสร้างกรดอะมิโนให้กับเซลล์และความสามารถในการสร้างเซลล์โปรตีน เซลล์ประสาทและ Nitric Oxide และนำไปสู่ปัญหาที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น
    ขอย้อนกลับไปสู่บทความตอนแคลเซียมที่เคยโพสต์ไปแล้วอีกสักหน่อยที่ว่า การมีแคลเซียมมากเกินไปจะไปกดการทำงานของต่อมหมวกไต ดังนั้นไตจะสามารถไปจับกับแม็กนีเซียมเพื่อรักษาสมดุลแคลเซียมที่ต้องสูญเสียไปและยิ่งไปกว่านั้นการที่ต่อมหมวกไตถูกกดการทำงาน การสูญเสียโซเดียมและโพแทสเซียมจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องผ่านทางปัสสาวะจึงส่งผลให้เซลล์ขาดแร่ธาตุ 2 ตัวนี้ในเวลาต่อมา
    ปัญหาที่ใหญ่ไปกว่านั้น : Tums (ยาเม็ดลดกรด) ที่ผู้คนนิยมเคี้ยวเวลามีปัญหากรดไหลย้อน..
    Tums ประกอบด้วยอะไร..!! แคลเซียม...แม่เจ้า..!!นั่นหมายถึงการทำให้กระบวนการที่กล่าวมาด้านบนเกิดขึ้นและเป็นการทำร้ายตัวเอง...ใช่หรือไม่..
    ...จำไว้นะ..
    การมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปอนุญาตให้แคลเซียมที่เกินเหล่านั้นเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ของร่างกายและฝังตัวจนก่อปัญหาในระบบไม่ว่าจะเป็นที่หลอดเลือด ข้อต่อ ลิ้นหัวใจและที่ร้ายแรงที่สุดคือมันเป็นพิษต่อสมอง
    เมื่อเซลล์ในกระเพาะอาหารส่วนล่างและส่วนบนของลำไส้เล็กได้รับโปรตีนจากอาหารที่คุณกินเพื่อการย่อย พวกเขาจะส่งสัญญาณเพื่อให้มีการผลิตกรดและเพิ่มฮอร์โมนที่เรียกว่า Gastrin ฮอร์โมนนี้จะบอก Parietal cells ในกระเพาะอาหารให้สร้างกรดเพิ่ม
    เพื่อให้มองเห็นภาพ : มันเป็นเช่นเดียวกับเครื่องยนต์ที่ใช้คาบูเรเตอร์
    เพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ก็จำเป็นที่ต้องมีการจ่ายน้ำมันผ่านวาลว์และถ้าน้ำมันไม่เพียงพอวาล์วก็จะเปิดให้มีน้ำมันไหลเข้ามากขึ้น ๆ และถ้ายังสตาร์ทเครื่องไม่ได้วาล์วก็จะถูกเปิดจนน้ำมันท่วมคาบูเรเตอร์.....กรดไหลย้อนก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน...ถ้ากรดไม่ถูกสร้าง..การกระตุ้น Gastrin เพื่อให้ย่อยโปรตีนก็จะถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่องและนำไปสู่การท่วมของกรด(กรดจำนวนมากถูกปล่อยมาในครั้งเดียวจากการกระตุ้นที่มากจนเกินไป)สิ่งนี้เกิดจากการมีกรดน้อยเกินในตอนเริ่มต้นเมื่อโปรตีนเดินทางไปถึงกระเพาะอาหาร
    ...อีกครั้ง..
    มันเกิดจากการขาดโซเดียมของ Parietal cells ที่พวกเขาต้องใช้เพื่อการทำงานที่ถูกต้องในขั้นตอนเริ่มต้นและต่อมาก็เกิดการท่วมและ...ท้ายที่สุดกรดจะถูกปล่อยออกมาจนไปก่ออาการแสบร้อนกลางอก ไอ ระคายคอและมีเสมหะตลอดเวลา
    แต่ถึงกระนั้น...การผลิตกรดที่มากจนเกินไปก็เกี่ยวโยงกับการมีโซเดียมในเซลล์ในระดับสูงเช่นกันและสามารถทำให้เกิดกรดเกินได้แต่เกิดขึ้นน้อยราวร้อยละ 10 ของผู้ป่วยกรดไหลย้อน ดังนั้นผมขอแนะนำให้ผู้ป่วยในโรคนี้หมั่นตรวจค่าอิเลคโทรไลท์ทุก 2 สัปดาห์ถ้าสามารถทำได้เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง
    ..ข้อสังเกตุ..
    ถ้าคุณมีปัญหากรดไหลย้อน...
    ให้หยุดกิน หวาน นมสัตว์ นมถั่วเหลือง เห็ด ผลไม้ ขนมปัง ถั่วทุกรูปแบบ มะเขือเทศ รสเปรี้ยวและรสเผ็ดและควรกินเกลือที่มีแร่ธาตุมากพอสักครึ่งช้อนชาร่วมกับผักที่มีโพแทสเซียมสูงอาทิ กล้วยดิบ บรอคโคลี่ ดอกกะหล่ำ แครอท แขนง กะหล่ำปลี ผักโขม ผักบุ้ง ผักกาดขาว ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ยอดฟักแม้ว ใบแค ใบคื่นช่าย มันเทศ มันฝรั่ง ฟักทองเป็นต้น ก่อนอาหารราว3 นาทีทุกมื้ออาหาร
    เพียงเท่านี้.... คุณอาจจะสตาร์ทเครื่องยนต์ของคุณได้โดยปราศจากการท่วมของน้ำมันในคาบูเรเตอร์ของคุณ
    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
    สวัสดี
    ขอบคุณหนังสือ Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you

    Cr. Santi Manadee
    #กรดไหลย้อน (ที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (1) ...คุณเคยมีประสบการณ์ของการเป็นโรคกรดไหลย้อนหรือไม่.... โรคที่อาจมีการวินิจฉัยผิดพลาดบ่อย ๆและถูกมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ยาเม็ดลดกรด (Tums) อาจถูกนำมาใช้หรือบางทีคุณอาจมองหา Prilosec หรือ Prevacid หรือบางรายไปไกลกว่านั้นและอาจใช้ Nexium,Tagamet หรือ Zantac เพื่อควบคุมอาการของคุณและที่เลวร้ายไปกว่านั้นถ้าคุณใช้ยา MaaloxหรือMylanta ซึ่ง 2 ตัวหลังนี้เต็มไปด้วยอลูมิเนียมที่เป็นพิษต่อร่างกาย ..!! ถ้าคุณและที่ปรึกษาด้านสุขภาพของคุณเห็นร่วมกันวาเป็นเรื่องเล็ก....ไม่น่ากังวลอะไร...”คุณคิดผิด” ในความเป็นจริง ..กรดไหลย้อนเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก ๆ มันเป็นจุดเริ่มต้นของโรคร้ายแรงที่สามารถนำพาคุณไปสู่การทำงานที่ผิดพลาดของระบบในร่างกายและอาจไปไกลได้ถึง...”ความตาย” ..ชีวเคมี (Biochemistry)… อาจจะยากขึ้นสักเล็กน้อย..แต่จำเป็นต้องใส่ไว้ที่นี่...แต่ผมจะทำให้คุณเข้าใจได้ง่ายขึ้น..ตามมา..!! Digestive distress (ระบบทางเดินอาหารทำงานน้อยลง) สามารถนำไปสู่ปัญหาที่รุนแรงมากมาย คุณอาจเคยได้ยินมาว่า..กรดไหลย้อนเกิดจากการมีกรดเกินในกระเพาะอาหารเนื่องจากมีกรดไปเล่นงานหลอดอาหาร( esophagus) และทำให้เกิดอาการแสบร้อน...นั่นเป็นเพียงบางส่วนของเรื่องราวทั้งหมดและเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องมายาวนาน ความจริง : เราไม่สามารถย่อยอาหารได้อย่างสมบูรณ์จากการมีกรดน้อยเกินไปในเวลาที่ต้องมีกรดเพื่อทำหน้าที่ย่อยอาหารในกระเพาะอาหารของเรา Dr.Jonathan Wright ผู้เขียน : Stomach Acid is good for you (Evans,2001) กล่าวว่า”การผลิตกรดมากเกินไปมีอยู่จริงแต่เป็นจำนวนที่น้อยมาก ๆ และมากกว่า 44 ล้านคนประสบปัญหานี้จากการมีกรดน้อยเกินไป กรดในกระเพาะอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อการย่อยและการดูดซึมสารอาหารที่สำคัญเพื่อไปหล่อเลี้ยงร่างกายรวมถึงโปรตีนและแร่ธาตุ ดังนั้นการผลิตกรดมากจนเกินไปของกระเพาะอาหารจะมีส่วนในการรับผิดชอบต่อโรคกรดไหลย้อยได้อย่างไรกัน..มันไม่ใช่..!! หรืออย่างน้อยที่สุด....มันไม่ใช่ที่คุณคิด การใช้ยาที่เรียกว่า Proton pump inhibitors ซึ่งทำหน้าที่ลดการหลั่งกรดหรืออาจไปถึงหยุดการผลิตกรดเป็นสิ่งที่เลวร้ายเพราะนั่นหมายถึงการขัดขวางการย่อยอาหารและมันเป็นต้นเหตุของการนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง ซึมเศร้า วิตกกังวล ไมเกรนและนอนไม่หลับ การผลิตกรดในกระเพาะอาหาร (Hydrochloric Acid) ร่างกายจำเป็นต้องใช้โซเดียมคลอไรด์..ใช่มันคือ..เกลือ..!! และเกลือเป็นแหล่งคลอไรด์หลักที่ร่างกายต้องสร้างเซลล์ที่เรียกว่า parietal cell ที่น่าเสียใจที่สุดคือร้อยละ 90 ในผู้ป่วยของผมขาดโซเดียมเนื่องจากความรู้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโจมตีการกินเกลือด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ นา ๆ ” -แคลเซียมที่มากจนเกินไปทำให้ร่างกายสูญเสียโซเดียมและโพแทสเซียมทางปัสสาวะและทำให้เซลล์สูญเสียแร่ธาตุ 2 ตัวนี้อย่างต่อเนื่อง โพแทสเซียมเป็นหนึ่งในแร่ธาตุที่สำคัญต่อการสร้างกรดในกระเพาะอาหารเช่นกัน...แต่โซเดียมเป็นตัวหลักเสมอ ดังนั้นผลของการขาดทั้งโซเดียมและโพแทสเซียมจะทำให้เกิดการสูญเสียความสามารถในการย่อยอาหาร ความสามารถในการย่อยโปรตีน ความสามารถในการสร้างกรดอะมิโนให้กับเซลล์และความสามารถในการสร้างเซลล์โปรตีน เซลล์ประสาทและ Nitric Oxide และนำไปสู่ปัญหาที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ขอย้อนกลับไปสู่บทความตอนแคลเซียมที่เคยโพสต์ไปแล้วอีกสักหน่อยที่ว่า การมีแคลเซียมมากเกินไปจะไปกดการทำงานของต่อมหมวกไต ดังนั้นไตจะสามารถไปจับกับแม็กนีเซียมเพื่อรักษาสมดุลแคลเซียมที่ต้องสูญเสียไปและยิ่งไปกว่านั้นการที่ต่อมหมวกไตถูกกดการทำงาน การสูญเสียโซเดียมและโพแทสเซียมจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องผ่านทางปัสสาวะจึงส่งผลให้เซลล์ขาดแร่ธาตุ 2 ตัวนี้ในเวลาต่อมา ปัญหาที่ใหญ่ไปกว่านั้น : Tums (ยาเม็ดลดกรด) ที่ผู้คนนิยมเคี้ยวเวลามีปัญหากรดไหลย้อน.. Tums ประกอบด้วยอะไร..!! แคลเซียม...แม่เจ้า..!!นั่นหมายถึงการทำให้กระบวนการที่กล่าวมาด้านบนเกิดขึ้นและเป็นการทำร้ายตัวเอง...ใช่หรือไม่.. ...จำไว้นะ.. การมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปอนุญาตให้แคลเซียมที่เกินเหล่านั้นเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ของร่างกายและฝังตัวจนก่อปัญหาในระบบไม่ว่าจะเป็นที่หลอดเลือด ข้อต่อ ลิ้นหัวใจและที่ร้ายแรงที่สุดคือมันเป็นพิษต่อสมอง เมื่อเซลล์ในกระเพาะอาหารส่วนล่างและส่วนบนของลำไส้เล็กได้รับโปรตีนจากอาหารที่คุณกินเพื่อการย่อย พวกเขาจะส่งสัญญาณเพื่อให้มีการผลิตกรดและเพิ่มฮอร์โมนที่เรียกว่า Gastrin ฮอร์โมนนี้จะบอก Parietal cells ในกระเพาะอาหารให้สร้างกรดเพิ่ม เพื่อให้มองเห็นภาพ : มันเป็นเช่นเดียวกับเครื่องยนต์ที่ใช้คาบูเรเตอร์ เพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ก็จำเป็นที่ต้องมีการจ่ายน้ำมันผ่านวาลว์และถ้าน้ำมันไม่เพียงพอวาล์วก็จะเปิดให้มีน้ำมันไหลเข้ามากขึ้น ๆ และถ้ายังสตาร์ทเครื่องไม่ได้วาล์วก็จะถูกเปิดจนน้ำมันท่วมคาบูเรเตอร์.....กรดไหลย้อนก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน...ถ้ากรดไม่ถูกสร้าง..การกระตุ้น Gastrin เพื่อให้ย่อยโปรตีนก็จะถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่องและนำไปสู่การท่วมของกรด(กรดจำนวนมากถูกปล่อยมาในครั้งเดียวจากการกระตุ้นที่มากจนเกินไป)สิ่งนี้เกิดจากการมีกรดน้อยเกินในตอนเริ่มต้นเมื่อโปรตีนเดินทางไปถึงกระเพาะอาหาร ...อีกครั้ง.. มันเกิดจากการขาดโซเดียมของ Parietal cells ที่พวกเขาต้องใช้เพื่อการทำงานที่ถูกต้องในขั้นตอนเริ่มต้นและต่อมาก็เกิดการท่วมและ...ท้ายที่สุดกรดจะถูกปล่อยออกมาจนไปก่ออาการแสบร้อนกลางอก ไอ ระคายคอและมีเสมหะตลอดเวลา แต่ถึงกระนั้น...การผลิตกรดที่มากจนเกินไปก็เกี่ยวโยงกับการมีโซเดียมในเซลล์ในระดับสูงเช่นกันและสามารถทำให้เกิดกรดเกินได้แต่เกิดขึ้นน้อยราวร้อยละ 10 ของผู้ป่วยกรดไหลย้อน ดังนั้นผมขอแนะนำให้ผู้ป่วยในโรคนี้หมั่นตรวจค่าอิเลคโทรไลท์ทุก 2 สัปดาห์ถ้าสามารถทำได้เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง ..ข้อสังเกตุ.. ถ้าคุณมีปัญหากรดไหลย้อน... ให้หยุดกิน หวาน นมสัตว์ นมถั่วเหลือง เห็ด ผลไม้ ขนมปัง ถั่วทุกรูปแบบ มะเขือเทศ รสเปรี้ยวและรสเผ็ดและควรกินเกลือที่มีแร่ธาตุมากพอสักครึ่งช้อนชาร่วมกับผักที่มีโพแทสเซียมสูงอาทิ กล้วยดิบ บรอคโคลี่ ดอกกะหล่ำ แครอท แขนง กะหล่ำปลี ผักโขม ผักบุ้ง ผักกาดขาว ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ยอดฟักแม้ว ใบแค ใบคื่นช่าย มันเทศ มันฝรั่ง ฟักทองเป็นต้น ก่อนอาหารราว3 นาทีทุกมื้ออาหาร เพียงเท่านี้.... คุณอาจจะสตาร์ทเครื่องยนต์ของคุณได้โดยปราศจากการท่วมของน้ำมันในคาบูเรเตอร์ของคุณ ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง สวัสดี ขอบคุณหนังสือ Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 544 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เซลลูไลท์ คือการสะสมของไขมันที่เป็นของเหลวเเละสารพิษที่ติดค้างอยู่ในร่างกาย สะสมกันจนเป็นชั้นคลื่นอยู่ในเนื้อเยื่อที่เชื่อมต่ออยู่ใต้ผิวหนัง เซลลูไลท์จะเกิดขึ้นในชั้นผิวหนังของคนที่มีการระบายน้ำเหลืองไม่มีประสิทธิภาพ ร่างกายไม่สามารถขับไขมันและของเสียออกไปได้จนเกิดการสะสมของไขมันที่เป็นของเหลวและสารพิษ กลายเป็นผิวเซลลูไลท์ที่ดูน่าเกลียด ใหญ่เทอะทะผิวไม่เรียบคล้ายผิวส้ม ไขมันนี้จะพบได้ทั้งในคนผอมและคนอ้วน ร่างกายจะสามารถสะสมได้ที่บริเวณ ท้องแขน หน้าท้อง ต้นขา และสะโพกและมันก็เป็นเรื่องของผู้หญิงซะมากกว่า สาเหตุ- ร่างกายมีการเผาผลาญที่ผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนังออกจากร่างกายได้หมด- กรรมพันธ์ แตกต่างจากกรรมพันธ์ในเรื่องของเล็บหรือลักษณะของผม ตรงที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพของเซลลูไลท์ได้- ดื่มน้ำน้อย เพราะน้ำช่วยในการทำงานของระบบขับของเสีย และช่วยขับพิษออกจากร่างกาย กำหนดว่าควรดื่มน้ำแปดแก้วต่อวันเป็นอย่างน้อย- แอลกอฮอล์ คาเฟอีน อาหารรสจัด ล้วนก่อให้เกิดเซลลูไลท์ได้ทั้งสิ้น เพราะพิษที่สารดังกล่าวขับออกมาจะถูกกักอยู่ในเนื้อเยื่อไขมัน- การลดความอ้วนแบบเร่งด่วน จะยิ่งไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเซลลูไลท์อย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจาก ร่างกายเกิดการตอบรับว่า ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอและต้องพยายามสะสมสารอาหารในร่างกายเพื่อความอยู่รอด- การสะสมอาหารและไขมัน ช่วยก่อเซลลูไลท์และกั้นเส้นเลือดจนติดหนึบอยู่ในเนื้อเยื่อ จึงทำให้ระบบกำจัดสารพิษและของเสียขาดประสิทธิภาพ- การสูบบุหรี่ ทำร้ายทั้งผิว ทั้งปอด ทำให้ผิวอ่อนแอ เส้นเลือดฝอยหดตัวและยังทำให้เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกันถูกทำลายอันเป็นผลให้เกิดคลื่นเซลลูไลท์- ความเครียด เป็นผลให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวหนัก เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อก็ขมวดเกร็งตามไปด้วย ความตึงเครียดยังไปขวางเนื้อเยื่อไม่ให้กำจัดของเสียและล้างเลือดให้สะอาด- การใช้ยาลดความอ้วน ยานอนหลับ ยาขับปัสสาวะ จะเข้าไปรบกวนกระบวนการทำงานตามธรรมชาติของร่างกาย โดยเฉพาะระบบชำระเลือดอันนำไปสู่ปัญหาเซลลูไลท์- ยาคุมกำเนิด ประเภทรับประทานซึ่งไปเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน จะทำให้เซลล์ไขมันขยายตัวและเก็บน้ำจนบวม ร่างกายไม่มีน้ำพอที่จะขับของเสียออกจากร่างกาย สุดท้ายก็กลายเป็นเซลลูไลท์- เซลล์ของไขมันบวมเนื่องจากมีการสะสมไขมันไว้ในเซลล์เป็นปริมาณมาก- ผนังหลอดเลือดของเซลล์ไขมันรั่วทำให้มีน้ำซึมผ่านออกจากเซลล์ไขมันทำให้เกิดการคั่งของน้ำ- เซลล์ของไขมันจับกันเป็นกลุ่มโดยมี collagen ล้อมรอบซึ่งทำให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ- เนื้อเยื่อเกี่ยวพันดึงผิวหนังตำแหน่งที่ยึดกับผิวหนังทำให้ผิวหนังเป็นลอนคล้ายริ้วคลื่นห้ามคิดว่าไม่มีโทษนะ มันร้ายแรงไม่มากในช่วงต้นๆ แต่เมื่อปล่อยไว้ระยะยาวแล้วระบบคุณรวนแน่ ๆ:1.ส่งผลต่อการไหลเวียนของระบบน้ำเหลือง2.ส่งผลต่อระบบขับของเสียในร่างกายจนเกิดความผิดปกติการแก้ไข ต้องดูสาเหตุเป็นรายคนไปแต่การผ่าตัดหรือดูดออกเป็นเรื่องไร้สาระเพราะ ร้อยทั้งร้อยกลับมาเหมือนเดิมเพราะไม่ได้แก้ที่สาเหตุ โภชนาการเพื่อการป้องกันและแก้ไข- ทานให้ครบหมู่และหลากหลายเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งไป เพียงแต่ลดสัดส่วนของอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ไขมันและพยายามเน้นหนักที่ผักให้มาก เพราะกากใยจะช่วยขับล้างสารพิษตกค้างในร่างกาย อีกทั้งวิตามินซีและวิตามินอีมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ผิวหนังกระชับขึ้น - ควรเน้นอาหารกลุ่มที่มีกรดไขมัน ถั่ว น้ำมันปลา เมล็ดพืชที่ช่วยการไหลเวียนของโลหิตและกินอาหารโปรตีนไขมันต่ำเป็นประจำ เนื่องจากร่างกายใช้พลังงานในการย่อยอาหารพวกโปรตีนมากกว่าการย่อยไขมันหรือคาร์โบไฮเดรตถึงสองเท่า เรียกว่าอิ่มเท่ากันแต่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญมากกว่า นอกจากนี้สารแอลบูมินที่มีอยู่ในอาหารกลุ่มโปรตีนไขมันต่ำจำพวกถั่ว ยังสามารถช่วยลดระดับของเหลวที่สะสมในเซลล์ไขมันได้ ทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตกับน้ำเหลืองคล่องตัว และเพื่อให้ได้ผลควรลดอาหารเค็มควบคู่ไปด้วย- ลดการให้อาหารแก่เซลลูไลต์เพราะยิ่งกินเท่ากับสนับสนุนให้ร่างกายสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกิน อาหารกลุ่มนี้ได้แก่•อาหารทั้งมันและหวาน อาหารที่ให้พลังงานสูง ๆ โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล ซึ่งจะไปเพิ่มอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหนังหย่อนยานลง เกิดริ้วรอย และเพิ่มแคลอรี่ให้กับร่างกายด้วย ถ้ากินมากไปร่างกายใช้ไม่หมดก็จะเกิดการสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกินทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น•น้ำตาลแลคโตสในผลิตภัณฑ์นมวัว เพราะยิ่งอายุมากขึ้นความสามารถในการย่อยน้ำตาลชนิดนี้จะลดลง•กาเฟอีนจากชา กาแฟ เพราะจะไปกดสมดุลฮอร์โมน •อาหารที่ผ่านกระบวนการแปลงสภาพมากจนจำไม่ได้ว่าทำมาจากอะไร เช่น แฮม เบคอน ไส้กรอก แหนม หมูแผ่น หมูหย็อง ขนมปัง คุกกี้ เบเกอรี่ทุกชนิด เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นสปาเกตตี อาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูป เพราะอาหารเหล่านี้มักมีสารปนเปื้อนและสารพิษที่จะไปตกค้างในร่างกายและเซลล์ไขมันได้•อาหารเค็มจัด เพราะจะยิ่งเพิ่มการคั่งของสารน้ำในเซลล์ไขมันมากขึ้น•แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในเบียร์และไวน์ เพราะหากดื่มมาก ๆ จะกลายเป็นสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายและเซลล์ไขมัน ซึ่งนั่นคือที่มาของเซลลูไลต์ กลุ่มนี้งดหรือเลิกขาดได้ก็เยี่ยมเลย- เน้นอาหารธรรมชาติปรุงแต่งให้น้อย แน่นอนว่าหลักการนี้จะคิดถึงอะไรไปไม่ได้ นอกจากผักสด ๆ โดยจะกินเป็นสลัด ตำ ยำ กับน้ำพริก ก็เลือกได้ตามชอบ หรือเมนูที่ผ่านความร้อนไม่เกิน 100 องศา ใช้เวลาปรุงไม่นาน ประโยชน์จากการกินอาหารแบบนี้คือ ช่วยฟื้นฟูพลังงานและผิวพรรณ ทั้งยังช่วยดูแลระบบย่อยอาหารและควบคุมน้ำหนักได้ แถมคุณค่ายังรับไปแบบเต็ม ๆ ตัดโอกาสการตกค้างของเสียได้อีกด้วย- ออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญและขับสารพิษออกทางเหงื่ออีกด้วย วิธีโดยรวมที่จะช่วยลดเซลลูไลท์- หมั่นขัดผิวขา การขัดผิวหรือ Exfoliating คือการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวของเรา ซึ่งเป็นผิวชั้นนอกและเผยเซลล์ผิวรุ่นใหม่ที่แข็งแรงกว่ามาแทนที่ ทำให้ผิวของเราดูสดใสและมีชีวิตชีวา การขัดผิวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะฟองน้ำ ครีม ใยบวม หินขัด หรือแม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถนำมาใช้ได้ แต่การขัดผิวที่ดีนั่นควรทำอย่างนิ่มนวลและไม่ทำบ่อยจนเกินไป เพราะจำทำให้ผิวอ่อนไหว ไม่สามารถทนแดดและจะทำให้แห้งกร้านได้ง่าย ปกติผิวของคนเราจะมีการผลิตเซลล์ผิวทุก 2-4 สัปดาห์ แต่หากอายุเรามากกว่า 20 ปีขึ้นไปการผลัดเซลล์ผิวก็จะช้าลงไปเรื่อยๆ การขัดผิวจะช่วยในการผลัดเซลล์ผิวทำได้ดีขึ้น ทำให้ผิวขาวกระจ่างใส " การขัดผิวควรทำอยู่ที่สัปดาห์ละไม่กิน 2 ครั้ง ควรทำการขัดเป็นวงกลมเบาๆ หลังขัดควรหามอยส์เจอไรเซอร์มาเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว แค่นี้ก็มีผิวขาที่ขาวใสนวลเนียน "- การนวดก็เป็นอีกวิธีสำหรับการลดเซลลูไลท์ โดยให้นวดเป็นวงเบาๆ ไปให้ทั่วบริเวณขาหรือใต้แขนของคุณเป็นเวลา 10-20 นาทีทุกวัน - กระโดดเชือก การกระโดดเชือกติดต่อกัน 15 นาที เทียบเท่าได้กับการวิ่งจ๊อกกิ้งนานถึง 30 นาที ดาราฮอลลีวูดทั้งหลาย ที่รีบฟิตหุ่นให้ทันเปิดกล้องหนังเรื่องต่อไปใช้การกระโดดเชือกทุกเช้าและเย็น เพื่อเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมันและกระชับสัดส่วนแขนขาให้แน่นสวยไม่หย่อนยานการกระโดดเชือกด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง จะช่วยลดแรงกระแทกลงได้มาก ไม่เกิดอันตรายต่อเข่า หรือทำให้เข่าเสื่อม เข่าพัง อย่างที่หลายคนเคยได้ยินกันมา การกระโดดเชือกที่ถูกวิธี จะกระโดดเพียงแค่ต่ำๆ สูงจากพื้นไม่เกิน 1-2 นิ้ว โดยที่จะใช้ข้อเท้า กล้ามเนื้อน่อง รวมถึงการงอเข่าเล็กน้อย ช่วยในการดูดซับแรงกระแทกลงได้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งแรงกระแทกที่เกิดขึ้นยังน้อยกว่าการวิ่งอีกด้วย การกระโดดแบบผิดๆ ด้วยการกระโดดสูงเกินไปต่างหาก ที่มีโอกาสทำให้เข่าพังได้ จากแรงกระแทกที่สูงเกินไป - การย่อเข่าการออกกำลังกายโดยการย่อเข่าไปข้างหน้า วิธีนี้สามารถช่วยในการกำจัดไขมันและช่วยกระชับกล้ามเนื้อต้นขาและลดต้นขาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากคล้ายๆ กับการออกกำลังกายลุกนั่งวิธีการคือ ยืนแยกขาออก ให้ระหว่างขากว้างระยะประมาณหัวไหล่ทั้งสองข้างของเรา แล้วก้าวไปข้างหน้าด้วยเท้าหนึ่งข้างแล้วโยกตัวย่อเข่าลงไปข้างหน้าประมาณ 90 องศา ย่อตัวลงให้หัวเข่าขาหลังอยู่ห่างจากพื้นประมาณ 1 นิ้วพยายามให้หลังและคอเหยียดตรงตลอดเวลา ทิ้งน้ำหนักไปข้างหน้าไปที่ส้นเท้าและหัวเข่า อาจใช้วิธียกลูกเหล็กขนาด 5-10 ปอนด์ตรงด้านข้างลำตัว ระหว่างออกกำลังกายในท่านี้ไปด้วยก็ได้ บริหารต้นขาทั้งสองข้างด้วยท่านี้ประมาณข้างละ 30 ครั้ง พักแล้วเริ่มทำใหม่- การเดิน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีลดต้นขาและเซลลูไลท์ที่ดีอีกวิธีหนึ่ง เนื่องจากการทำงานของกล้ามเนื้อจากการเดินนั้นทำให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นจึงทำให้ไขมันบริเวณนั้นถูกเผาผลาญได้อย่างดี จึงทำให้ต้นขาของเราเล็กลงเซลลูไลท์ก็ลดและดูสวยงามยิ่งขึ้น - ขึ้น-ลงบันไดลองสวมรองเท้าส้นสูงแล้วเดินขึ้นลงบันได นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดน่องโต ทำขาเรียวสวยเซ็กซี่ได้การขึ้นบันไดสามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึง 8-11 กิโลแคลอรี่ต่อนาทีซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับการออกกำลังกายทั่วไป ส่วนการลงบันไดจะใช้พลังงานประมาณ 1 ใน 3 ของการขึ้นบันได การเดินขึ้นบันได เป็นการออกกำลังกายขณะทำงานรูปแบบหนึ่ง เป็นที่นิยมมากในต่างประเทศถึงขนาดมีการแข่งขันการเดินขึ้นบันไดเป็นประจำทุกปี เป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้เป็นประจำทุกวัน ทำได้ง่าย สะดวกทุกที่ ทุกเวลา การเดินขึ้นบันไดเป็นการออกกำลังแบบ aerobic หัวใจจะแข็งแรง ทำให้กล้ามเนื้อต้นขา น่อง และก้นแข็งแรง กระชับ แถมอาการปวดข้อน้อยกว่าการวิ่ง ยังมีรายงานอีกด้วยว่า การขึ้นบันไดเฉลี่ยวันละ 2 ชั้นสามารถลดน้ำหนักได้ 2.7 กิโลกรัมในเวลา 1 ปี และมีหลักฐานยืนยันว่าการเดินขึ้นลงบันไดสามารถเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน อีกทั้งสามารถลดปริมาณไขมันในร่างกาย และเพิ่มปริมาณ High-density lipoprotein (HDL) ซึ่งเป็นไขมันชนิดดีได้และนี่คือภาพรวม ส่วนใครทำตามนี้แล้วยังได้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจก็ต้องวินิจฉัยเพิ่มเป็นราย ๆ ไปผลิตภัณฑ์และอาหารเสริมแนะนำPaa super h เพื่อเพิ่มไขมันดีGlube เพื่อเพิ่มความสามารถในการกำจัดของเสียPraow ใช้นวดเพื่อเร่งการกำจัดไขมันเลวPloy ใช้ทาผิวหลังจากการอาบน้ำด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr.Santi Manadee
    #เซลลูไลท์ คือการสะสมของไขมันที่เป็นของเหลวเเละสารพิษที่ติดค้างอยู่ในร่างกาย สะสมกันจนเป็นชั้นคลื่นอยู่ในเนื้อเยื่อที่เชื่อมต่ออยู่ใต้ผิวหนัง เซลลูไลท์จะเกิดขึ้นในชั้นผิวหนังของคนที่มีการระบายน้ำเหลืองไม่มีประสิทธิภาพ ร่างกายไม่สามารถขับไขมันและของเสียออกไปได้จนเกิดการสะสมของไขมันที่เป็นของเหลวและสารพิษ กลายเป็นผิวเซลลูไลท์ที่ดูน่าเกลียด ใหญ่เทอะทะผิวไม่เรียบคล้ายผิวส้ม ไขมันนี้จะพบได้ทั้งในคนผอมและคนอ้วน ร่างกายจะสามารถสะสมได้ที่บริเวณ ท้องแขน หน้าท้อง ต้นขา และสะโพกและมันก็เป็นเรื่องของผู้หญิงซะมากกว่า สาเหตุ- ร่างกายมีการเผาผลาญที่ผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนังออกจากร่างกายได้หมด- กรรมพันธ์ แตกต่างจากกรรมพันธ์ในเรื่องของเล็บหรือลักษณะของผม ตรงที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพของเซลลูไลท์ได้- ดื่มน้ำน้อย เพราะน้ำช่วยในการทำงานของระบบขับของเสีย และช่วยขับพิษออกจากร่างกาย กำหนดว่าควรดื่มน้ำแปดแก้วต่อวันเป็นอย่างน้อย- แอลกอฮอล์ คาเฟอีน อาหารรสจัด ล้วนก่อให้เกิดเซลลูไลท์ได้ทั้งสิ้น เพราะพิษที่สารดังกล่าวขับออกมาจะถูกกักอยู่ในเนื้อเยื่อไขมัน- การลดความอ้วนแบบเร่งด่วน จะยิ่งไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเซลลูไลท์อย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจาก ร่างกายเกิดการตอบรับว่า ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอและต้องพยายามสะสมสารอาหารในร่างกายเพื่อความอยู่รอด- การสะสมอาหารและไขมัน ช่วยก่อเซลลูไลท์และกั้นเส้นเลือดจนติดหนึบอยู่ในเนื้อเยื่อ จึงทำให้ระบบกำจัดสารพิษและของเสียขาดประสิทธิภาพ- การสูบบุหรี่ ทำร้ายทั้งผิว ทั้งปอด ทำให้ผิวอ่อนแอ เส้นเลือดฝอยหดตัวและยังทำให้เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกันถูกทำลายอันเป็นผลให้เกิดคลื่นเซลลูไลท์- ความเครียด เป็นผลให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวหนัก เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อก็ขมวดเกร็งตามไปด้วย ความตึงเครียดยังไปขวางเนื้อเยื่อไม่ให้กำจัดของเสียและล้างเลือดให้สะอาด- การใช้ยาลดความอ้วน ยานอนหลับ ยาขับปัสสาวะ จะเข้าไปรบกวนกระบวนการทำงานตามธรรมชาติของร่างกาย โดยเฉพาะระบบชำระเลือดอันนำไปสู่ปัญหาเซลลูไลท์- ยาคุมกำเนิด ประเภทรับประทานซึ่งไปเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน จะทำให้เซลล์ไขมันขยายตัวและเก็บน้ำจนบวม ร่างกายไม่มีน้ำพอที่จะขับของเสียออกจากร่างกาย สุดท้ายก็กลายเป็นเซลลูไลท์- เซลล์ของไขมันบวมเนื่องจากมีการสะสมไขมันไว้ในเซลล์เป็นปริมาณมาก- ผนังหลอดเลือดของเซลล์ไขมันรั่วทำให้มีน้ำซึมผ่านออกจากเซลล์ไขมันทำให้เกิดการคั่งของน้ำ- เซลล์ของไขมันจับกันเป็นกลุ่มโดยมี collagen ล้อมรอบซึ่งทำให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ- เนื้อเยื่อเกี่ยวพันดึงผิวหนังตำแหน่งที่ยึดกับผิวหนังทำให้ผิวหนังเป็นลอนคล้ายริ้วคลื่นห้ามคิดว่าไม่มีโทษนะ มันร้ายแรงไม่มากในช่วงต้นๆ แต่เมื่อปล่อยไว้ระยะยาวแล้วระบบคุณรวนแน่ ๆ:1.ส่งผลต่อการไหลเวียนของระบบน้ำเหลือง2.ส่งผลต่อระบบขับของเสียในร่างกายจนเกิดความผิดปกติการแก้ไข ต้องดูสาเหตุเป็นรายคนไปแต่การผ่าตัดหรือดูดออกเป็นเรื่องไร้สาระเพราะ ร้อยทั้งร้อยกลับมาเหมือนเดิมเพราะไม่ได้แก้ที่สาเหตุ โภชนาการเพื่อการป้องกันและแก้ไข- ทานให้ครบหมู่และหลากหลายเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งไป เพียงแต่ลดสัดส่วนของอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ไขมันและพยายามเน้นหนักที่ผักให้มาก เพราะกากใยจะช่วยขับล้างสารพิษตกค้างในร่างกาย อีกทั้งวิตามินซีและวิตามินอีมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ผิวหนังกระชับขึ้น - ควรเน้นอาหารกลุ่มที่มีกรดไขมัน ถั่ว น้ำมันปลา เมล็ดพืชที่ช่วยการไหลเวียนของโลหิตและกินอาหารโปรตีนไขมันต่ำเป็นประจำ เนื่องจากร่างกายใช้พลังงานในการย่อยอาหารพวกโปรตีนมากกว่าการย่อยไขมันหรือคาร์โบไฮเดรตถึงสองเท่า เรียกว่าอิ่มเท่ากันแต่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญมากกว่า นอกจากนี้สารแอลบูมินที่มีอยู่ในอาหารกลุ่มโปรตีนไขมันต่ำจำพวกถั่ว ยังสามารถช่วยลดระดับของเหลวที่สะสมในเซลล์ไขมันได้ ทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตกับน้ำเหลืองคล่องตัว และเพื่อให้ได้ผลควรลดอาหารเค็มควบคู่ไปด้วย- ลดการให้อาหารแก่เซลลูไลต์เพราะยิ่งกินเท่ากับสนับสนุนให้ร่างกายสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกิน อาหารกลุ่มนี้ได้แก่•อาหารทั้งมันและหวาน อาหารที่ให้พลังงานสูง ๆ โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล ซึ่งจะไปเพิ่มอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหนังหย่อนยานลง เกิดริ้วรอย และเพิ่มแคลอรี่ให้กับร่างกายด้วย ถ้ากินมากไปร่างกายใช้ไม่หมดก็จะเกิดการสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกินทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น•น้ำตาลแลคโตสในผลิตภัณฑ์นมวัว เพราะยิ่งอายุมากขึ้นความสามารถในการย่อยน้ำตาลชนิดนี้จะลดลง•กาเฟอีนจากชา กาแฟ เพราะจะไปกดสมดุลฮอร์โมน •อาหารที่ผ่านกระบวนการแปลงสภาพมากจนจำไม่ได้ว่าทำมาจากอะไร เช่น แฮม เบคอน ไส้กรอก แหนม หมูแผ่น หมูหย็อง ขนมปัง คุกกี้ เบเกอรี่ทุกชนิด เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นสปาเกตตี อาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูป เพราะอาหารเหล่านี้มักมีสารปนเปื้อนและสารพิษที่จะไปตกค้างในร่างกายและเซลล์ไขมันได้•อาหารเค็มจัด เพราะจะยิ่งเพิ่มการคั่งของสารน้ำในเซลล์ไขมันมากขึ้น•แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในเบียร์และไวน์ เพราะหากดื่มมาก ๆ จะกลายเป็นสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายและเซลล์ไขมัน ซึ่งนั่นคือที่มาของเซลลูไลต์ กลุ่มนี้งดหรือเลิกขาดได้ก็เยี่ยมเลย- เน้นอาหารธรรมชาติปรุงแต่งให้น้อย แน่นอนว่าหลักการนี้จะคิดถึงอะไรไปไม่ได้ นอกจากผักสด ๆ โดยจะกินเป็นสลัด ตำ ยำ กับน้ำพริก ก็เลือกได้ตามชอบ หรือเมนูที่ผ่านความร้อนไม่เกิน 100 องศา ใช้เวลาปรุงไม่นาน ประโยชน์จากการกินอาหารแบบนี้คือ ช่วยฟื้นฟูพลังงานและผิวพรรณ ทั้งยังช่วยดูแลระบบย่อยอาหารและควบคุมน้ำหนักได้ แถมคุณค่ายังรับไปแบบเต็ม ๆ ตัดโอกาสการตกค้างของเสียได้อีกด้วย- ออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญและขับสารพิษออกทางเหงื่ออีกด้วย วิธีโดยรวมที่จะช่วยลดเซลลูไลท์- หมั่นขัดผิวขา การขัดผิวหรือ Exfoliating คือการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวของเรา ซึ่งเป็นผิวชั้นนอกและเผยเซลล์ผิวรุ่นใหม่ที่แข็งแรงกว่ามาแทนที่ ทำให้ผิวของเราดูสดใสและมีชีวิตชีวา การขัดผิวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะฟองน้ำ ครีม ใยบวม หินขัด หรือแม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถนำมาใช้ได้ แต่การขัดผิวที่ดีนั่นควรทำอย่างนิ่มนวลและไม่ทำบ่อยจนเกินไป เพราะจำทำให้ผิวอ่อนไหว ไม่สามารถทนแดดและจะทำให้แห้งกร้านได้ง่าย ปกติผิวของคนเราจะมีการผลิตเซลล์ผิวทุก 2-4 สัปดาห์ แต่หากอายุเรามากกว่า 20 ปีขึ้นไปการผลัดเซลล์ผิวก็จะช้าลงไปเรื่อยๆ การขัดผิวจะช่วยในการผลัดเซลล์ผิวทำได้ดีขึ้น ทำให้ผิวขาวกระจ่างใส " การขัดผิวควรทำอยู่ที่สัปดาห์ละไม่กิน 2 ครั้ง ควรทำการขัดเป็นวงกลมเบาๆ หลังขัดควรหามอยส์เจอไรเซอร์มาเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว แค่นี้ก็มีผิวขาที่ขาวใสนวลเนียน "- การนวดก็เป็นอีกวิธีสำหรับการลดเซลลูไลท์ โดยให้นวดเป็นวงเบาๆ ไปให้ทั่วบริเวณขาหรือใต้แขนของคุณเป็นเวลา 10-20 นาทีทุกวัน - กระโดดเชือก การกระโดดเชือกติดต่อกัน 15 นาที เทียบเท่าได้กับการวิ่งจ๊อกกิ้งนานถึง 30 นาที ดาราฮอลลีวูดทั้งหลาย ที่รีบฟิตหุ่นให้ทันเปิดกล้องหนังเรื่องต่อไปใช้การกระโดดเชือกทุกเช้าและเย็น เพื่อเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมันและกระชับสัดส่วนแขนขาให้แน่นสวยไม่หย่อนยานการกระโดดเชือกด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง จะช่วยลดแรงกระแทกลงได้มาก ไม่เกิดอันตรายต่อเข่า หรือทำให้เข่าเสื่อม เข่าพัง อย่างที่หลายคนเคยได้ยินกันมา การกระโดดเชือกที่ถูกวิธี จะกระโดดเพียงแค่ต่ำๆ สูงจากพื้นไม่เกิน 1-2 นิ้ว โดยที่จะใช้ข้อเท้า กล้ามเนื้อน่อง รวมถึงการงอเข่าเล็กน้อย ช่วยในการดูดซับแรงกระแทกลงได้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งแรงกระแทกที่เกิดขึ้นยังน้อยกว่าการวิ่งอีกด้วย การกระโดดแบบผิดๆ ด้วยการกระโดดสูงเกินไปต่างหาก ที่มีโอกาสทำให้เข่าพังได้ จากแรงกระแทกที่สูงเกินไป - การย่อเข่าการออกกำลังกายโดยการย่อเข่าไปข้างหน้า วิธีนี้สามารถช่วยในการกำจัดไขมันและช่วยกระชับกล้ามเนื้อต้นขาและลดต้นขาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากคล้ายๆ กับการออกกำลังกายลุกนั่งวิธีการคือ ยืนแยกขาออก ให้ระหว่างขากว้างระยะประมาณหัวไหล่ทั้งสองข้างของเรา แล้วก้าวไปข้างหน้าด้วยเท้าหนึ่งข้างแล้วโยกตัวย่อเข่าลงไปข้างหน้าประมาณ 90 องศา ย่อตัวลงให้หัวเข่าขาหลังอยู่ห่างจากพื้นประมาณ 1 นิ้วพยายามให้หลังและคอเหยียดตรงตลอดเวลา ทิ้งน้ำหนักไปข้างหน้าไปที่ส้นเท้าและหัวเข่า อาจใช้วิธียกลูกเหล็กขนาด 5-10 ปอนด์ตรงด้านข้างลำตัว ระหว่างออกกำลังกายในท่านี้ไปด้วยก็ได้ บริหารต้นขาทั้งสองข้างด้วยท่านี้ประมาณข้างละ 30 ครั้ง พักแล้วเริ่มทำใหม่- การเดิน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีลดต้นขาและเซลลูไลท์ที่ดีอีกวิธีหนึ่ง เนื่องจากการทำงานของกล้ามเนื้อจากการเดินนั้นทำให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นจึงทำให้ไขมันบริเวณนั้นถูกเผาผลาญได้อย่างดี จึงทำให้ต้นขาของเราเล็กลงเซลลูไลท์ก็ลดและดูสวยงามยิ่งขึ้น - ขึ้น-ลงบันไดลองสวมรองเท้าส้นสูงแล้วเดินขึ้นลงบันได นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดน่องโต ทำขาเรียวสวยเซ็กซี่ได้การขึ้นบันไดสามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึง 8-11 กิโลแคลอรี่ต่อนาทีซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับการออกกำลังกายทั่วไป ส่วนการลงบันไดจะใช้พลังงานประมาณ 1 ใน 3 ของการขึ้นบันได การเดินขึ้นบันได เป็นการออกกำลังกายขณะทำงานรูปแบบหนึ่ง เป็นที่นิยมมากในต่างประเทศถึงขนาดมีการแข่งขันการเดินขึ้นบันไดเป็นประจำทุกปี เป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้เป็นประจำทุกวัน ทำได้ง่าย สะดวกทุกที่ ทุกเวลา การเดินขึ้นบันไดเป็นการออกกำลังแบบ aerobic หัวใจจะแข็งแรง ทำให้กล้ามเนื้อต้นขา น่อง และก้นแข็งแรง กระชับ แถมอาการปวดข้อน้อยกว่าการวิ่ง ยังมีรายงานอีกด้วยว่า การขึ้นบันไดเฉลี่ยวันละ 2 ชั้นสามารถลดน้ำหนักได้ 2.7 กิโลกรัมในเวลา 1 ปี และมีหลักฐานยืนยันว่าการเดินขึ้นลงบันไดสามารถเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน อีกทั้งสามารถลดปริมาณไขมันในร่างกาย และเพิ่มปริมาณ High-density lipoprotein (HDL) ซึ่งเป็นไขมันชนิดดีได้และนี่คือภาพรวม ส่วนใครทำตามนี้แล้วยังได้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจก็ต้องวินิจฉัยเพิ่มเป็นราย ๆ ไปผลิตภัณฑ์และอาหารเสริมแนะนำPaa super h เพื่อเพิ่มไขมันดีGlube เพื่อเพิ่มความสามารถในการกำจัดของเสียPraow ใช้นวดเพื่อเร่งการกำจัดไขมันเลวPloy ใช้ทาผิวหลังจากการอาบน้ำด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr.Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 617 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌿 #ความสำคัญของพื้นที่ใบต่อการเจริญเติบโตของเมล่อน 🍈

    ใบที่มีขนาดใหญ่มีความสำคัญต่อกระบวนการสรีรวิทยาของพืชหลายประการ:

    1. #ประสิทธิภาพการสังเคราะห์แสง 🌞
    - พื้นที่ใบที่มากขึ้นเพิ่มความสามารถในการรับแสง 📊
    - เพิ่มอัตราการสังเคราะห์แสงและการผลิตอาหาร 🌱
    - ผลิตน้ำตาลได้มากขึ้นส่งผลให้ผลหวานอร่อย 🍯

    2. #การสะสมอาหาร 🔄
    - ใบทำหน้าที่เป็นโรงงานผลิตอาหารส่งต่อไปยังผล 🏭
    - เพิ่มการสะสมน้ำตาลและสารอาหารในผล ⚡
    - ทำให้ได้ผลผลิตคุณภาพสูง ผลโต หวานฉ่ำ 💪

    📋 #แนวทางการจัดการเพื่อเพิ่มขนาดใบ:

    1. #การจัดการธาตุอาหาร 🧪
    - ใช้ปุ๋ย A-B คุณภาพสูงในปริมาณที่เหมาะสม
    - เน้นธาตุไนโตรเจนในระยะการเจริญเติบโตทางใบ
    - เสริมแมกนีเซียมเพื่อสร้างคลอโรฟิลล์สีเขียวเข้ม

    2. #การให้สารเสริมประสิทธิภาพ 🌟
    - กรดอะมิโนกระตุ้นการเจริญเติบโต
    - ธาตุอาหารรองและจุลธาตุครบสูตร
    - ฮอร์โมนพืชเร่งการขยายตัวของใบ

    3. #การจัดการสภาพแวดล้อม 🌤
    - แสงแดดจัดอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน
    - อุณหภูมิที่เหมาะสม 25-32°C
    - ความชื้นพอเหมาะ 65-75%

    💡 ประโยชน์ที่ได้จากใบขนาดใหญ่:
    - ผลมีขนาดใหญ่สม่ำเสมอ 🏆
    - หวานฉ่ำ อร่อยถูกใจผู้บริโภค 😋
    - คุณภาพเนื้อดี สีสวย น่ารับประทาน ✨

    #เทคนิคการปลูกเมล่อนคุณภาพ
    #การจัดการธาตุอาหารพืช
    #สรีรวิทยาพืช
    #ลิตเติ้ลฟาร์ม 🌱

    📱 ลิตเติ้ลฟาร์ม จำหน่ายปุ๋ยAB คุณภาพสูง ธาตุอาหารรองอาหารเสริมทางใบ ชีวภัณฑ์ป้องกันโรคและแมลง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม inbox หรือ
    ☎️ โทร: 093-6962691
    🌿 #ความสำคัญของพื้นที่ใบต่อการเจริญเติบโตของเมล่อน 🍈 ใบที่มีขนาดใหญ่มีความสำคัญต่อกระบวนการสรีรวิทยาของพืชหลายประการ: 1. #ประสิทธิภาพการสังเคราะห์แสง 🌞 - พื้นที่ใบที่มากขึ้นเพิ่มความสามารถในการรับแสง 📊 - เพิ่มอัตราการสังเคราะห์แสงและการผลิตอาหาร 🌱 - ผลิตน้ำตาลได้มากขึ้นส่งผลให้ผลหวานอร่อย 🍯 2. #การสะสมอาหาร 🔄 - ใบทำหน้าที่เป็นโรงงานผลิตอาหารส่งต่อไปยังผล 🏭 - เพิ่มการสะสมน้ำตาลและสารอาหารในผล ⚡ - ทำให้ได้ผลผลิตคุณภาพสูง ผลโต หวานฉ่ำ 💪 📋 #แนวทางการจัดการเพื่อเพิ่มขนาดใบ: 1. #การจัดการธาตุอาหาร 🧪 - ใช้ปุ๋ย A-B คุณภาพสูงในปริมาณที่เหมาะสม - เน้นธาตุไนโตรเจนในระยะการเจริญเติบโตทางใบ - เสริมแมกนีเซียมเพื่อสร้างคลอโรฟิลล์สีเขียวเข้ม 2. #การให้สารเสริมประสิทธิภาพ 🌟 - กรดอะมิโนกระตุ้นการเจริญเติบโต - ธาตุอาหารรองและจุลธาตุครบสูตร - ฮอร์โมนพืชเร่งการขยายตัวของใบ 3. #การจัดการสภาพแวดล้อม 🌤 - แสงแดดจัดอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน - อุณหภูมิที่เหมาะสม 25-32°C - ความชื้นพอเหมาะ 65-75% 💡 ประโยชน์ที่ได้จากใบขนาดใหญ่: - ผลมีขนาดใหญ่สม่ำเสมอ 🏆 - หวานฉ่ำ อร่อยถูกใจผู้บริโภค 😋 - คุณภาพเนื้อดี สีสวย น่ารับประทาน ✨ #เทคนิคการปลูกเมล่อนคุณภาพ #การจัดการธาตุอาหารพืช #สรีรวิทยาพืช #ลิตเติ้ลฟาร์ม 🌱 📱 ลิตเติ้ลฟาร์ม จำหน่ายปุ๋ยAB คุณภาพสูง ธาตุอาหารรองอาหารเสริมทางใบ ชีวภัณฑ์ป้องกันโรคและแมลง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม inbox หรือ ☎️ โทร: 093-6962691
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 403 มุมมอง 0 รีวิว
  • KIWI Fruit
    กีวี มีคุณสมบัติที่เด่น 3 ข้อ ที่ส่งผลถึงการนอนหลับง่าย หลับสบาย
    1. เซโรโทนิน เป็นสารตั้งต้น ที่ร่างกายจะเปลี่ยนไปเป็นฮอร์โมน "เมลาโทนิน" ช่วยในการควบคุมวงจรการนอนหลับดี หลับง่ายขึ้น
    2. โปตัสเซี่ยม ที่ช่วยควบคุมระบบประสาท และกล้ามเนื้อ ทำให้ผ่อนคลาย เข้าสู่การยอนหลับได้ดี
    3. วิตามินซี ช่วยลดฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือ ฮอร์โทนเครียด ทำให้ผ่อนคลายพร้อมที่จะหลับ.
    KIWI Fruit กีวี มีคุณสมบัติที่เด่น 3 ข้อ ที่ส่งผลถึงการนอนหลับง่าย หลับสบาย 1. เซโรโทนิน เป็นสารตั้งต้น ที่ร่างกายจะเปลี่ยนไปเป็นฮอร์โมน "เมลาโทนิน" ช่วยในการควบคุมวงจรการนอนหลับดี หลับง่ายขึ้น 2. โปตัสเซี่ยม ที่ช่วยควบคุมระบบประสาท และกล้ามเนื้อ ทำให้ผ่อนคลาย เข้าสู่การยอนหลับได้ดี 3. วิตามินซี ช่วยลดฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือ ฮอร์โทนเครียด ทำให้ผ่อนคลายพร้อมที่จะหลับ.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • องุ่นปลอดสารพิษ ไม่พ่นยาแมลง ไม่พ่นยาเชื้อรา ไม่พ่นฮอร์โมน ไม่พ่น ยืดช่อ ไม่จุ่มยาสลายเม็ด ปลอดภัย ปลอดสารพิษ100% มาตรฐาน GAP #เกษตรปลอดสาร #ชีวภัณฑ์ #เกษตรอินทรีย์ #โรคพืช #องุ่น ใต้ #นครศรีธรรมราช #องุ่น #gap
    องุ่นปลอดสารพิษ ไม่พ่นยาแมลง ไม่พ่นยาเชื้อรา ไม่พ่นฮอร์โมน ไม่พ่น ยืดช่อ ไม่จุ่มยาสลายเม็ด ปลอดภัย ปลอดสารพิษ100% มาตรฐาน GAP #เกษตรปลอดสาร #ชีวภัณฑ์ #เกษตรอินทรีย์ #โรคพืช #องุ่น ใต้ #นครศรีธรรมราช #องุ่น #gap
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 946 มุมมอง 19 0 รีวิว
  • ✨ลูกพลับสายพันธุ์ ATAGO จาก “อิฮิเมะ”
    จังหวัดตอนใต้ของญี่ปุ่น มีสารแทนนิน (Tannin) ตัวช่วยกำจัดกลิ่นที่น่าสนใจประสิทธิภาพในการช่วยระงับกลิ่นกายลดการสะสมของแบคทีเรีย ดับกลิ่นแก่✨ 🌸MONOI Extra Rich Oil Soap 🌸 สบู่ที่ตอบโจทย์ทุกปัญหาผิว คือขั้นตอนแรกของผิว หอม สะอาด ชุ่มชื้นในทุกๆๆวัน🌸

    สบู่ LAN MONI ช้วยคุณได้
    🌺สบู่ดับกลิ่นแก่ ฮอร์โมน กลิ่นตัวแรง กลิ่นเปรี้ยวจากเหงื่อ แก้เหม็นสาปกลิ่นตัวติดที่นอน
    🌺ปัญหากลิ่นตัว เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในหลายๆ คน ไม่ว่าจะเพศชายหรือเพศหญิง ไม่ว่าจะวัยเด็กหรือวัยผู้ใหญ่ ปัญหากลิ่นตัว
    🌺เรา ผลิตจากสารสกัดและน้ำมันธรรมชาติ "สบู่ LAN MONOI" ที่ช่วยแก้ปัญหากลิ่นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    🌺สบู่ที่ดี ต้องให้มากกว่าความสะอาด
    🧼 สบู่จาก LAN Soap อาบสะอาดพร้อมบำรุงผิวสวยเหมือนทาโลชั่นบำรุงผิวไปพร้อมๆๆกัน
    🌺ด้วยคุณค่าสบู่น้ำมันแท้ๆจากธรรมชาติ
    ,🌿LAN MONOI Extra Rich Oil Soap 🧼
    ใบจดแจ้งเลขที่ : 72-1-6700021290
    80g ราคา 220 บ
    🌸โปรโมชั่น 🌸
    🛒สบู่ 1 ก้อน แถม ถุงตาข่ายตีฟอง
    ราคา 199 บ
    🚚ค่าส่ง 40.-
    ✨ลูกพลับสายพันธุ์ ATAGO จาก “อิฮิเมะ” จังหวัดตอนใต้ของญี่ปุ่น มีสารแทนนิน (Tannin) ตัวช่วยกำจัดกลิ่นที่น่าสนใจประสิทธิภาพในการช่วยระงับกลิ่นกายลดการสะสมของแบคทีเรีย ดับกลิ่นแก่✨ 🌸MONOI Extra Rich Oil Soap 🌸 สบู่ที่ตอบโจทย์ทุกปัญหาผิว คือขั้นตอนแรกของผิว หอม สะอาด ชุ่มชื้นในทุกๆๆวัน🌸 สบู่ LAN MONI ช้วยคุณได้ 🌺สบู่ดับกลิ่นแก่ ฮอร์โมน กลิ่นตัวแรง กลิ่นเปรี้ยวจากเหงื่อ แก้เหม็นสาปกลิ่นตัวติดที่นอน 🌺ปัญหากลิ่นตัว เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในหลายๆ คน ไม่ว่าจะเพศชายหรือเพศหญิง ไม่ว่าจะวัยเด็กหรือวัยผู้ใหญ่ ปัญหากลิ่นตัว 🌺เรา ผลิตจากสารสกัดและน้ำมันธรรมชาติ "สบู่ LAN MONOI" ที่ช่วยแก้ปัญหากลิ่นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🌺สบู่ที่ดี ต้องให้มากกว่าความสะอาด 🧼 สบู่จาก LAN Soap อาบสะอาดพร้อมบำรุงผิวสวยเหมือนทาโลชั่นบำรุงผิวไปพร้อมๆๆกัน 🌺ด้วยคุณค่าสบู่น้ำมันแท้ๆจากธรรมชาติ ,🌿LAN MONOI Extra Rich Oil Soap 🧼 ใบจดแจ้งเลขที่ : 72-1-6700021290 80g ราคา 220 บ 🌸โปรโมชั่น 🌸 🛒สบู่ 1 ก้อน แถม ถุงตาข่ายตีฟอง ราคา 199 บ 🚚ค่าส่ง 40.-
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริหารกล้ามเนื้อช่วงบน ตั้งแต่ สะดือขึ้นมา
    ด้วย Pull-Up / Chin-Up BAR
    - กล้ามเนื้อที่แข็งแรง คือ อายุรวัฒน์ หรือ การมีอายุยืนยาว แข็งแรง
    -การออกกำลังกล้ามเนื้อ ทำให้มวลกล้ามเนื้อทำงานสัมพันธ์อันดี ประสานกับระบบฮอร์โมน ระบบเลือด และกระดูก ส่งผลให้ กินดี นอนหลับดี
    บริหารกล้ามเนื้อช่วงบน ตั้งแต่ สะดือขึ้นมา ด้วย Pull-Up / Chin-Up BAR - กล้ามเนื้อที่แข็งแรง คือ อายุรวัฒน์ หรือ การมีอายุยืนยาว แข็งแรง -การออกกำลังกล้ามเนื้อ ทำให้มวลกล้ามเนื้อทำงานสัมพันธ์อันดี ประสานกับระบบฮอร์โมน ระบบเลือด และกระดูก ส่งผลให้ กินดี นอนหลับดี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 12 0 รีวิว
  • น้ำสมุนไพร 3 เกลอ ลดไขมันในเส้นเลือด บำรุงร่างกาย ขนาด : 100 กรัม ประกอบไปด้วย 1.มะตูมอบแห้ง 2.กระเจี๊ยบอบแห้ง 3.พุทราจีน สรรพคุณ -กระเจี๊ยบที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล เลือดไหลเวียนดี - มะตูมช่วยปรับฮอร์โมนให้สมดุล ลดความดัน - พุทราจีนแดงช่วยเพิ่มพลัง เสริมการทำงานของไต วิธีทำ 1. กระเจี๊ยบแดงแห้ง เนื้อพุทราจีนแห้งไม่มีเมล็ด ...
    น้ำสมุนไพร 3 เกลอ ลดไขมันในเส้นเลือด บำรุงร่างกาย ขนาด : 100 กรัม ประกอบไปด้วย 1.มะตูมอบแห้ง 2.กระเจี๊ยบอบแห้ง 3.พุทราจีน สรรพคุณ -กระเจี๊ยบที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล เลือดไหลเวียนดี - มะตูมช่วยปรับฮอร์โมนให้สมดุล ลดความดัน - พุทราจีนแดงช่วยเพิ่มพลัง เสริมการทำงานของไต วิธีทำ 1. กระเจี๊ยบแดงแห้ง เนื้อพุทราจีนแห้งไม่มีเมล็ด ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • โรงเรียนแพทย์แบก มะเร็งรักษาทุกที่

    การประกาศของ 4 โรงพยาบาลใหญ่ ศิริราช รามาธิบดี จุฬาลงกรณ์ และภูมิพล ให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค) ต้องมีหนังสือส่งตัวรับรองค่ารักษาพยาบาลจากหน่วยบริการต้นสังกัดทุกครั้ง ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป เนื่องจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประกาศเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข กรณีผู้ป่วยโรคมะเร็ง ตามโครงการมะเร็งรักษาทุกที่ (Cancer Anywhere)

    โดยรับผิดชอบเฉพาะค่ายาเคมีบําบัด และฮอร์โมนที่ใช้รักษามะเร็ง รังสีที่ใช้รักษามะเร็ง และค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับยาที่ใช้เท่านั้น ไม่ครอบคลุมถึงยาอื่นๆ เช่น ยาความดัน ยาแก้คลื่นไส้ ยาระบาย และไม่รับผิดชอบค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าเอกซเรย์ ค่าตรวจเลือด และไม่ครอบคลุมโรคประจำตัว ภาวะแทรกซ้อน โรคร่วม หรือการรักษาต่อเนื่อง

    ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า ผอ.รพ.ศรีนครินทร์ ม.ขอนแก่น ระบุว่า จํานวนผู้ป่วยที่เข้าร่วมโครงการ Cancer Anywhere เข้ารับการรักษาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลเสียต่อระบบการบริการผู้ป่วยโรคมะเร็งทุกคน ทุกสิทธิการรักษา และผู้ป่วยโรคอื่นๆ ขณะเดียวกัน สปสช.จ่ายค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลเรียกเก็บต่ำมากๆ และมีจํานวนหนึ่งที่ไม่จ่ายเลย ทําให้โรงพยาบาลต้องแบกรับภาระด้านการเงินไม่ไหว เป็นแบบนี้มา 3 ปี ไม่มีการแก้ไข เคยสัญญาว่าจะจ่ายเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ทําตามสัญญา จำนวนผู้ป่วยที่มารับการรักษาจํานวนมาก ส่งผลกระทบต่อการฝึกอบรมแพทย์ประจําบ้าน แพทย์ต่อยอด และนักศึกษาแพทย์ และไม่สามารถให้การรักษาผู้ป่วยตามมาตรฐานการรักษาที่ควรจะเป็นได้ เนื่องจากเกินกําลังในการให้บริการ

    "สปสช. และกระทรวงสาธารณสุขควรเลิกนโยบายนี้ กลับไปเป็นระบบเดิม เพราะส่วนใหญ่ของผู้ป่วยนั้น โรงพยาบาลจังหวัด ศูนย์มะเร็งก็รักษาได้ ถ้าเกินศักยภาพของโรงพยาบาลจังหวัด หรือศูนย์มะเร็ง จึงส่งต่อมารักษาที่โรงเรียนแพทย์ และ สปสช.ควรจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ครบด้วย"

    ขณะที่ชมรมโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลทั่วไป และคณะกรรมการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ สาขาโรคมะเร็ง กระทรวงสาธารณสุข ทำหนังสือส่งถึงเลขาธิการ สปสช.ให้ยกเลิกหลักเกณฑ์ดังกล่าว เพราะสร้างปัญหาให้ทั้งผู้ป่วย ญาติ และสถานบริการ ล่าสุด นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ได้หารือร่วมกับผู้บริหารโรงพยาบาล 5 แห่ง มีมติให้ชะลอการบังคับใช้หลักเกณฑ์ออกไปอีก 3 เดือน แล้วตั้งคณะกรรมการร่วมที่มี นพ.สนั่น วิสุทธิศักดิ์ชัย รอง ผอ.รพ.ศิริราช เป็นประธาน ซึ่งจะประชุมนัดแรกวันที่ 15 ม.ค. 2568

    #Newskit
    โรงเรียนแพทย์แบก มะเร็งรักษาทุกที่ การประกาศของ 4 โรงพยาบาลใหญ่ ศิริราช รามาธิบดี จุฬาลงกรณ์ และภูมิพล ให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค) ต้องมีหนังสือส่งตัวรับรองค่ารักษาพยาบาลจากหน่วยบริการต้นสังกัดทุกครั้ง ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป เนื่องจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประกาศเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข กรณีผู้ป่วยโรคมะเร็ง ตามโครงการมะเร็งรักษาทุกที่ (Cancer Anywhere) โดยรับผิดชอบเฉพาะค่ายาเคมีบําบัด และฮอร์โมนที่ใช้รักษามะเร็ง รังสีที่ใช้รักษามะเร็ง และค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับยาที่ใช้เท่านั้น ไม่ครอบคลุมถึงยาอื่นๆ เช่น ยาความดัน ยาแก้คลื่นไส้ ยาระบาย และไม่รับผิดชอบค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าเอกซเรย์ ค่าตรวจเลือด และไม่ครอบคลุมโรคประจำตัว ภาวะแทรกซ้อน โรคร่วม หรือการรักษาต่อเนื่อง ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า ผอ.รพ.ศรีนครินทร์ ม.ขอนแก่น ระบุว่า จํานวนผู้ป่วยที่เข้าร่วมโครงการ Cancer Anywhere เข้ารับการรักษาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลเสียต่อระบบการบริการผู้ป่วยโรคมะเร็งทุกคน ทุกสิทธิการรักษา และผู้ป่วยโรคอื่นๆ ขณะเดียวกัน สปสช.จ่ายค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลเรียกเก็บต่ำมากๆ และมีจํานวนหนึ่งที่ไม่จ่ายเลย ทําให้โรงพยาบาลต้องแบกรับภาระด้านการเงินไม่ไหว เป็นแบบนี้มา 3 ปี ไม่มีการแก้ไข เคยสัญญาว่าจะจ่ายเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ทําตามสัญญา จำนวนผู้ป่วยที่มารับการรักษาจํานวนมาก ส่งผลกระทบต่อการฝึกอบรมแพทย์ประจําบ้าน แพทย์ต่อยอด และนักศึกษาแพทย์ และไม่สามารถให้การรักษาผู้ป่วยตามมาตรฐานการรักษาที่ควรจะเป็นได้ เนื่องจากเกินกําลังในการให้บริการ "สปสช. และกระทรวงสาธารณสุขควรเลิกนโยบายนี้ กลับไปเป็นระบบเดิม เพราะส่วนใหญ่ของผู้ป่วยนั้น โรงพยาบาลจังหวัด ศูนย์มะเร็งก็รักษาได้ ถ้าเกินศักยภาพของโรงพยาบาลจังหวัด หรือศูนย์มะเร็ง จึงส่งต่อมารักษาที่โรงเรียนแพทย์ และ สปสช.ควรจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ครบด้วย" ขณะที่ชมรมโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลทั่วไป และคณะกรรมการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ สาขาโรคมะเร็ง กระทรวงสาธารณสุข ทำหนังสือส่งถึงเลขาธิการ สปสช.ให้ยกเลิกหลักเกณฑ์ดังกล่าว เพราะสร้างปัญหาให้ทั้งผู้ป่วย ญาติ และสถานบริการ ล่าสุด นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ได้หารือร่วมกับผู้บริหารโรงพยาบาล 5 แห่ง มีมติให้ชะลอการบังคับใช้หลักเกณฑ์ออกไปอีก 3 เดือน แล้วตั้งคณะกรรมการร่วมที่มี นพ.สนั่น วิสุทธิศักดิ์ชัย รอง ผอ.รพ.ศิริราช เป็นประธาน ซึ่งจะประชุมนัดแรกวันที่ 15 ม.ค. 2568 #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 615 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts