• ยอดใช้งานอินเทอร์เน็ตสตาร์ลิงก์ในพม่าดิ่งฮวบ , หลัง SpaceX ปิดระบบกว่า 2,500 เครื่องในพื้นที่ศูนย์สแกมเมอร์
    .
    Apnic เผยสัดส่วนผู้ใช้งาน Starlink จากเดิมกว่า 14% ลดลงเหลือไม่ถึง 7% หลังพบจานรับสัญญาณติดตั้งบนอาคารศูนย์หลอกลวงในเคเค พาร์ก ก่อน SpaceX สั่งปิดระบบจำนวนมาก ขณะเดียวกัน Starlink ถูกสอบสวนโดยรัฐสภาสหรัฐฯ กรณีเอื้อโครงข่ายหลอกลวงออนไลน์
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000109019
    .
    #News1live #News1 #Starlink #SpaceX #พม่า #Myanmar #KKPark #สแกมเมอร์ #ศูนย์หลอกลวง #อินเทอร์เน็ตดาวเทียม #Apnic #อาชญากรรมไซเบอร์ #ข่าวต่างประเทศ #ThailandNews #newsupdate
    ยอดใช้งานอินเทอร์เน็ตสตาร์ลิงก์ในพม่าดิ่งฮวบ , หลัง SpaceX ปิดระบบกว่า 2,500 เครื่องในพื้นที่ศูนย์สแกมเมอร์ . Apnic เผยสัดส่วนผู้ใช้งาน Starlink จากเดิมกว่า 14% ลดลงเหลือไม่ถึง 7% หลังพบจานรับสัญญาณติดตั้งบนอาคารศูนย์หลอกลวงในเคเค พาร์ก ก่อน SpaceX สั่งปิดระบบจำนวนมาก ขณะเดียวกัน Starlink ถูกสอบสวนโดยรัฐสภาสหรัฐฯ กรณีเอื้อโครงข่ายหลอกลวงออนไลน์ . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000109019 . #News1live #News1 #Starlink #SpaceX #พม่า #Myanmar #KKPark #สแกมเมอร์ #ศูนย์หลอกลวง #อินเทอร์เน็ตดาวเทียม #Apnic #อาชญากรรมไซเบอร์ #ข่าวต่างประเทศ #ThailandNews #newsupdate
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Vodafone Germany ปิดประตูอินเทอร์เน็ตเสรี – ลูกค้าเตรียมรับมือกับยุคมืดของการเชื่อมต่อ"

    ลองจินตนาการว่าอินเทอร์เน็ตที่คุณจ่ายเงินเพื่อใช้งานทุกเดือน ไม่ได้เชื่อมต่อกับโลกภายนอกอย่างที่คุณคิด… นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเยอรมนี เมื่อ Vodafone Germany ตัดสินใจถอนตัวจากจุดแลกเปลี่ยนข้อมูลสาธารณะ (Internet Exchange Points) และหันไปใช้บริการของบริษัทกลางชื่อ Inter.link แทน

    การเปลี่ยนแปลงนี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเทคนิค แต่ผลกระทบกลับรุนแรงต่อผู้ใช้งานทั่วไปอย่างเราๆ เพราะมันหมายถึงว่า การเข้าถึงเว็บไซต์ยอดนิยมอย่าง YouTube, Netflix, GitHub หรือแม้แต่เกมออนไลน์ อาจช้าลง กระตุก หรือเข้าไม่ได้เลยในช่วงเวลาสำคัญ

    Vodafone อ้างว่า การเปลี่ยนมาใช้ Inter.link จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพ แต่หลักฐานจาก Deutsche Telekom ซึ่งเคยทำแบบเดียวกันมาก่อน กลับชี้ว่าผู้ใช้งานจะเจอกับ "นรกแห่งการเชื่อมต่อ" ที่เต็มไปด้วยความล่าช้าและการตัดขาดจากบริการสำคัญ

    สิ่งที่น่ากังวลคือ โมเดลใหม่นี้เปลี่ยนอินเทอร์เน็ตจากระบบที่ทุกฝ่ายร่วมมือกัน เป็นระบบที่บริษัทกลางเรียกเก็บเงินจากผู้ให้บริการเนื้อหา หากไม่จ่าย…ลูกค้าก็จะไม่ได้รับบริการที่ดี

    Vodafone Germany เปลี่ยนโครงสร้างการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
    ถอนตัวจากจุดแลกเปลี่ยนข้อมูลสาธารณะ เช่น DE-CIX Frankfurt
    หันไปใช้บริการ Inter.link ซึ่งเป็นบริษัทกลางที่จัดการการเชื่อมต่อ
    อ้างว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความเสถียร

    Inter.link มีนโยบาย "ไม่เชื่อมต่อกับลูกค้าโดยตรง"
    ผู้ให้บริการเนื้อหา เช่น YouTube หรือ Netflix ต้องจ่ายเงินเพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่าย Vodafone
    หากไม่จ่าย อาจเกิดการเชื่อมต่อที่ช้า หรือไม่เสถียร

    Deutsche Telekom เคยใช้โมเดลนี้มาก่อน
    ลูกค้าประสบปัญหา GitHub ดาวน์โหลดช้า เกมออนไลน์กระตุก
    VPN กลายเป็นทางออกเดียวที่ช่วยให้ใช้งานได้ตามปกติ

    ทางเลือกใหม่: อินเทอร์เน็ตดาวเทียม
    Starlink ให้บริการที่ไม่ขึ้นกับโครงสร้าง ISP แบบเดิม
    ความเร็วและความเสถียรสูงกว่าในช่วงเวลาที่ Vodafone มีปัญหา

    https://coffee.link/vodafone-germany-is-killing-the-open-internet-one-peering-connection-at-a-time/
    👿 "Vodafone Germany ปิดประตูอินเทอร์เน็ตเสรี – ลูกค้าเตรียมรับมือกับยุคมืดของการเชื่อมต่อ" ลองจินตนาการว่าอินเทอร์เน็ตที่คุณจ่ายเงินเพื่อใช้งานทุกเดือน ไม่ได้เชื่อมต่อกับโลกภายนอกอย่างที่คุณคิด… นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเยอรมนี เมื่อ Vodafone Germany ตัดสินใจถอนตัวจากจุดแลกเปลี่ยนข้อมูลสาธารณะ (Internet Exchange Points) และหันไปใช้บริการของบริษัทกลางชื่อ Inter.link แทน การเปลี่ยนแปลงนี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเทคนิค แต่ผลกระทบกลับรุนแรงต่อผู้ใช้งานทั่วไปอย่างเราๆ เพราะมันหมายถึงว่า การเข้าถึงเว็บไซต์ยอดนิยมอย่าง YouTube, Netflix, GitHub หรือแม้แต่เกมออนไลน์ อาจช้าลง กระตุก หรือเข้าไม่ได้เลยในช่วงเวลาสำคัญ Vodafone อ้างว่า การเปลี่ยนมาใช้ Inter.link จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพ แต่หลักฐานจาก Deutsche Telekom ซึ่งเคยทำแบบเดียวกันมาก่อน กลับชี้ว่าผู้ใช้งานจะเจอกับ "นรกแห่งการเชื่อมต่อ" ที่เต็มไปด้วยความล่าช้าและการตัดขาดจากบริการสำคัญ สิ่งที่น่ากังวลคือ โมเดลใหม่นี้เปลี่ยนอินเทอร์เน็ตจากระบบที่ทุกฝ่ายร่วมมือกัน เป็นระบบที่บริษัทกลางเรียกเก็บเงินจากผู้ให้บริการเนื้อหา หากไม่จ่าย…ลูกค้าก็จะไม่ได้รับบริการที่ดี ✅ Vodafone Germany เปลี่ยนโครงสร้างการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ➡️ ถอนตัวจากจุดแลกเปลี่ยนข้อมูลสาธารณะ เช่น DE-CIX Frankfurt ➡️ หันไปใช้บริการ Inter.link ซึ่งเป็นบริษัทกลางที่จัดการการเชื่อมต่อ ➡️ อ้างว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความเสถียร ✅ Inter.link มีนโยบาย "ไม่เชื่อมต่อกับลูกค้าโดยตรง" ➡️ ผู้ให้บริการเนื้อหา เช่น YouTube หรือ Netflix ต้องจ่ายเงินเพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่าย Vodafone ➡️ หากไม่จ่าย อาจเกิดการเชื่อมต่อที่ช้า หรือไม่เสถียร ✅ Deutsche Telekom เคยใช้โมเดลนี้มาก่อน ➡️ ลูกค้าประสบปัญหา GitHub ดาวน์โหลดช้า เกมออนไลน์กระตุก ➡️ VPN กลายเป็นทางออกเดียวที่ช่วยให้ใช้งานได้ตามปกติ ✅ ทางเลือกใหม่: อินเทอร์เน็ตดาวเทียม ➡️ Starlink ให้บริการที่ไม่ขึ้นกับโครงสร้าง ISP แบบเดิม ➡️ ความเร็วและความเสถียรสูงกว่าในช่วงเวลาที่ Vodafone มีปัญหา https://coffee.link/vodafone-germany-is-killing-the-open-internet-one-peering-connection-at-a-time/
    COFFEE.LINK
    Vodafone Germany is changing the open internet — one peering connection at a time
    The telecom giant claims its exit from public internet exchanges will give customers "lower latencies." The evidence suggests they're in for a nightmare.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Jensen Huang ชี้จีนตามหลังแค่ ‘นาโนวินาที’ — เรียกร้องให้สหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออกชิป AI”

    Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาในรายการ BG2 Podcast ว่า “จีนตามหลังสหรัฐฯ ในด้านการผลิตชิปแค่ไม่กี่นาโนวินาที” พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ลดข้อจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีน โดยให้เหตุผลว่าการเปิดตลาดจะช่วยขยายอิทธิพลเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และรักษาความเป็นผู้นำในระดับโลก

    คำพูดของ Huang เกิดขึ้นในช่วงที่ Nvidia กำลังพยายามกลับมาขายชิป H20 ให้กับลูกค้าในจีน หลังจากถูกระงับการส่งออกหลายเดือนจากข้อจำกัดของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งเริ่มออกใบอนุญาตให้ส่งออกอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2025

    อย่างไรก็ตาม จีนเองก็ไม่ได้รอให้ Nvidia กลับมา เพราะ Huawei ได้เปิดตัวระบบ Atlas 900 A3 SuperPoD ที่ใช้ชิป Ascend 910B ซึ่งไม่พึ่งพา CUDA และออกแบบมาเพื่อซอฟต์แวร์จีนโดยเฉพาะ พร้อมวางแผนพัฒนาชิปรุ่นใหม่ให้เทียบเท่าหรือเหนือกว่าชิปของ Nvidia ภายในปี 2027

    Huang ยอมรับว่าจีนเป็นคู่แข่งที่ “หิวโหย เคลื่อนไหวเร็ว และมีวัฒนธรรมการทำงานแบบ 9-9-6” ซึ่งทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีในจีนก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อบริษัทใหญ่อย่าง Baidu, Alibaba, Tencent และ ByteDance ต่างลงทุนในทีมพัฒนาชิปของตัวเองและสนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเซมิคอนดักเตอร์

    แม้ Nvidia จะพยายามรักษาตลาดจีนด้วยการออกแบบชิปเฉพาะ เช่น H20 และ RTX Pro 6000D แต่ก็ยังถูกจีนสั่งห้ามซื้อในเดือนกันยายน 2025 โดยหน่วยงาน CAC ของจีนให้เหตุผลว่า “ชิปจีนตอนนี้เทียบเท่าหรือดีกว่าชิปที่ Nvidia อนุญาตให้ขายในจีนแล้ว” และเรียกร้องให้บริษัทในประเทศหันไปใช้ชิปภายในประเทศแทน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Jensen Huang ระบุว่าจีนตามหลังสหรัฐฯ ในการผลิตชิปแค่ “นาโนวินาที”
    เรียกร้องให้สหรัฐฯ ลดข้อจำกัดการส่งออกชิป AI เพื่อรักษาอิทธิพลทางเทคโนโลยี
    Nvidia หวังกลับมาขายชิป H20 ให้จีนหลังถูกระงับหลายเดือน
    กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เริ่มออกใบอนุญาตส่งออก H20 ในเดือนสิงหาคม 2025
    Huawei เปิดตัว Atlas 900 A3 SuperPoD ที่ใช้ชิป Ascend 910B ไม่พึ่ง CUDA
    จีนวางแผนพัฒนาชิป Ascend รุ่นใหม่ให้เทียบเท่าหรือเหนือกว่า Nvidia ภายในปี 2027
    บริษัทจีนใหญ่ลงทุนในชิปภายในประเทศ เช่น Baidu, Alibaba, Tencent และ ByteDance
    Nvidia เคยครองตลาดจีนถึง 95% แต่ลดลงอย่างรวดเร็วจากข้อจำกัดการส่งออก
    CAC ของจีนสั่งห้ามบริษัทในประเทศซื้อชิป H20 และ RTX Pro 6000D

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ชิป H20 และ RTX Pro 6000D ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผ่านข้อจำกัดของสหรัฐฯ โดยเฉพาะ
    จีนกำลังสร้างระบบ AI ที่ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐฯ เช่น CUDA หรือ TensorRT
    การพัฒนา AI ในจีนเติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น เซินเจิ้นและปักกิ่ง
    DeepSeek เป็นโมเดล AI จากจีนที่เทียบเคียงกับ OpenAI และ Anthropic
    การแข่งขันด้านชิปส่งผลต่ออุตสาหกรรมอื่น เช่น บล็อกเชนและอินเทอร์เน็ตดาวเทียม

    https://www.tomshardware.com/jensen-huang-says-china-is-nanoseconds-behind-in-chips
    🇨🇳⚙️ “Jensen Huang ชี้จีนตามหลังแค่ ‘นาโนวินาที’ — เรียกร้องให้สหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออกชิป AI” Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาในรายการ BG2 Podcast ว่า “จีนตามหลังสหรัฐฯ ในด้านการผลิตชิปแค่ไม่กี่นาโนวินาที” พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ลดข้อจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีน โดยให้เหตุผลว่าการเปิดตลาดจะช่วยขยายอิทธิพลเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และรักษาความเป็นผู้นำในระดับโลก คำพูดของ Huang เกิดขึ้นในช่วงที่ Nvidia กำลังพยายามกลับมาขายชิป H20 ให้กับลูกค้าในจีน หลังจากถูกระงับการส่งออกหลายเดือนจากข้อจำกัดของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งเริ่มออกใบอนุญาตให้ส่งออกอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2025 อย่างไรก็ตาม จีนเองก็ไม่ได้รอให้ Nvidia กลับมา เพราะ Huawei ได้เปิดตัวระบบ Atlas 900 A3 SuperPoD ที่ใช้ชิป Ascend 910B ซึ่งไม่พึ่งพา CUDA และออกแบบมาเพื่อซอฟต์แวร์จีนโดยเฉพาะ พร้อมวางแผนพัฒนาชิปรุ่นใหม่ให้เทียบเท่าหรือเหนือกว่าชิปของ Nvidia ภายในปี 2027 Huang ยอมรับว่าจีนเป็นคู่แข่งที่ “หิวโหย เคลื่อนไหวเร็ว และมีวัฒนธรรมการทำงานแบบ 9-9-6” ซึ่งทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีในจีนก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อบริษัทใหญ่อย่าง Baidu, Alibaba, Tencent และ ByteDance ต่างลงทุนในทีมพัฒนาชิปของตัวเองและสนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเซมิคอนดักเตอร์ แม้ Nvidia จะพยายามรักษาตลาดจีนด้วยการออกแบบชิปเฉพาะ เช่น H20 และ RTX Pro 6000D แต่ก็ยังถูกจีนสั่งห้ามซื้อในเดือนกันยายน 2025 โดยหน่วยงาน CAC ของจีนให้เหตุผลว่า “ชิปจีนตอนนี้เทียบเท่าหรือดีกว่าชิปที่ Nvidia อนุญาตให้ขายในจีนแล้ว” และเรียกร้องให้บริษัทในประเทศหันไปใช้ชิปภายในประเทศแทน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Jensen Huang ระบุว่าจีนตามหลังสหรัฐฯ ในการผลิตชิปแค่ “นาโนวินาที” ➡️ เรียกร้องให้สหรัฐฯ ลดข้อจำกัดการส่งออกชิป AI เพื่อรักษาอิทธิพลทางเทคโนโลยี ➡️ Nvidia หวังกลับมาขายชิป H20 ให้จีนหลังถูกระงับหลายเดือน ➡️ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เริ่มออกใบอนุญาตส่งออก H20 ในเดือนสิงหาคม 2025 ➡️ Huawei เปิดตัว Atlas 900 A3 SuperPoD ที่ใช้ชิป Ascend 910B ไม่พึ่ง CUDA ➡️ จีนวางแผนพัฒนาชิป Ascend รุ่นใหม่ให้เทียบเท่าหรือเหนือกว่า Nvidia ภายในปี 2027 ➡️ บริษัทจีนใหญ่ลงทุนในชิปภายในประเทศ เช่น Baidu, Alibaba, Tencent และ ByteDance ➡️ Nvidia เคยครองตลาดจีนถึง 95% แต่ลดลงอย่างรวดเร็วจากข้อจำกัดการส่งออก ➡️ CAC ของจีนสั่งห้ามบริษัทในประเทศซื้อชิป H20 และ RTX Pro 6000D ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ชิป H20 และ RTX Pro 6000D ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผ่านข้อจำกัดของสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ➡️ จีนกำลังสร้างระบบ AI ที่ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐฯ เช่น CUDA หรือ TensorRT ➡️ การพัฒนา AI ในจีนเติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น เซินเจิ้นและปักกิ่ง ➡️ DeepSeek เป็นโมเดล AI จากจีนที่เทียบเคียงกับ OpenAI และ Anthropic ➡️ การแข่งขันด้านชิปส่งผลต่ออุตสาหกรรมอื่น เช่น บล็อกเชนและอินเทอร์เน็ตดาวเทียม https://www.tomshardware.com/jensen-huang-says-china-is-nanoseconds-behind-in-chips
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 404 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Starlink vs Viasat: อินเทอร์เน็ตดาวเทียมสำหรับบ้าน — ความเร็ว, ราคา, และข้อจำกัดที่คุณควรรู้ก่อนติดตั้ง”

    ในยุคที่อินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งจำเป็น แต่ยังมีหลายพื้นที่ทั่วโลกที่ไม่สามารถเข้าถึงเครือข่ายไฟเบอร์หรือมือถือได้ อินเทอร์เน็ตดาวเทียมจึงกลายเป็นทางเลือกสำคัญ โดยสองผู้ให้บริการที่โดดเด่นที่สุดคือ Starlink จาก SpaceX และ Viasat ซึ่งต่างมีแนวทางและเทคโนโลยีที่แตกต่างกันในการให้บริการ

    Starlink ใช้เครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) ที่อยู่ห่างจากโลกเพียง 340 ไมล์ ทำให้มีความหน่วงต่ำเพียง 20–40 มิลลิวินาที เหมาะสำหรับการใช้งานแบบเรียลไทม์ เช่น การเล่นเกมออนไลน์หรือวิดีโอคอล ส่วน Viasat ใช้ดาวเทียมแบบ geostationary ที่อยู่ห่างจากโลกถึง 22,000 ไมล์ แม้จะครอบคลุมพื้นที่กว้างกว่า แต่มีความหน่วงสูงถึง 600 มิลลิวินาที และความเร็วเฉลี่ยต่ำกว่า

    ด้านความเร็ว Starlink ให้ดาวน์โหลดได้ระหว่าง 45–280 Mbps ขณะที่ Viasat อยู่ที่ 25–150 Mbps และอาจลดลงในช่วงเวลาที่มีการใช้งานสูง โดยเฉพาะเมื่อถึงขีดจำกัดข้อมูลรายเดือน

    ในแง่ของราคา Starlink มีแผน Residential Lite ที่ $80/เดือน และแผนเต็มที่ $120/เดือน พร้อมค่าติดตั้งอุปกรณ์ $349 ส่วน Viasat เริ่มต้นที่ $49.99/เดือน สำหรับแผน Essential และ $79.90/เดือน สำหรับแผน Unleashed แต่มีข้อจำกัดเรื่อง data cap และต้องติดตั้งโดยช่างมืออาชีพ

    Starlink ไม่มีสัญญาระยะยาว ผู้ใช้สามารถยกเลิกได้ทุกเมื่อผ่านบัญชีออนไลน์ ขณะที่ Viasatมีสัญญา 24 เดือน และค่าปรับหากยกเลิกก่อนกำหนดประมาณ $15 ต่อเดือนที่เหลือ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Starlink ใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) ความหน่วงต่ำ 20–40 ms
    Viasat ใช้ดาวเทียม geostationary ความหน่วงสูง ~600 ms
    Starlink ให้ความเร็วดาวน์โหลด 45–280 Mbps
    Viasat ให้ความเร็วดาวน์โหลด 25–150 Mbps

    ด้านราคาและการติดตั้ง
    Starlink มีแผน $80 และ $120/เดือน พร้อมค่าติดตั้ง $349
    Viasat เริ่มต้นที่ $49.99/เดือน และต้องติดตั้งโดยช่าง
    Starlink ไม่มีสัญญาระยะยาว ยกเลิกได้ทันที
    Viasat มีสัญญา 24 เดือน และค่าปรับหากยกเลิกก่อน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Starlink มีแผนหลากหลาย เช่น Roam, Maritime, Aviation สำหรับผู้ใช้งานเฉพาะกลุ่ม
    Viasat ให้บริการใน 99% ของพื้นที่ในสหรัฐฯ และบางส่วนของละตินอเมริกา
    Starlink มีการขยายพื้นที่ครอบคลุมอย่างต่อเนื่องทั่วโลก
    Viasat มีบริการเสริมด้านความปลอดภัยไซเบอร์ผ่าน Bitdefender

    https://www.slashgear.com/1969514/starlink-vs-viasat-home-satellite-internet-services-comparison/
    📡 “Starlink vs Viasat: อินเทอร์เน็ตดาวเทียมสำหรับบ้าน — ความเร็ว, ราคา, และข้อจำกัดที่คุณควรรู้ก่อนติดตั้ง” ในยุคที่อินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งจำเป็น แต่ยังมีหลายพื้นที่ทั่วโลกที่ไม่สามารถเข้าถึงเครือข่ายไฟเบอร์หรือมือถือได้ อินเทอร์เน็ตดาวเทียมจึงกลายเป็นทางเลือกสำคัญ โดยสองผู้ให้บริการที่โดดเด่นที่สุดคือ Starlink จาก SpaceX และ Viasat ซึ่งต่างมีแนวทางและเทคโนโลยีที่แตกต่างกันในการให้บริการ Starlink ใช้เครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) ที่อยู่ห่างจากโลกเพียง 340 ไมล์ ทำให้มีความหน่วงต่ำเพียง 20–40 มิลลิวินาที เหมาะสำหรับการใช้งานแบบเรียลไทม์ เช่น การเล่นเกมออนไลน์หรือวิดีโอคอล ส่วน Viasat ใช้ดาวเทียมแบบ geostationary ที่อยู่ห่างจากโลกถึง 22,000 ไมล์ แม้จะครอบคลุมพื้นที่กว้างกว่า แต่มีความหน่วงสูงถึง 600 มิลลิวินาที และความเร็วเฉลี่ยต่ำกว่า ด้านความเร็ว Starlink ให้ดาวน์โหลดได้ระหว่าง 45–280 Mbps ขณะที่ Viasat อยู่ที่ 25–150 Mbps และอาจลดลงในช่วงเวลาที่มีการใช้งานสูง โดยเฉพาะเมื่อถึงขีดจำกัดข้อมูลรายเดือน ในแง่ของราคา Starlink มีแผน Residential Lite ที่ $80/เดือน และแผนเต็มที่ $120/เดือน พร้อมค่าติดตั้งอุปกรณ์ $349 ส่วน Viasat เริ่มต้นที่ $49.99/เดือน สำหรับแผน Essential และ $79.90/เดือน สำหรับแผน Unleashed แต่มีข้อจำกัดเรื่อง data cap และต้องติดตั้งโดยช่างมืออาชีพ Starlink ไม่มีสัญญาระยะยาว ผู้ใช้สามารถยกเลิกได้ทุกเมื่อผ่านบัญชีออนไลน์ ขณะที่ Viasatมีสัญญา 24 เดือน และค่าปรับหากยกเลิกก่อนกำหนดประมาณ $15 ต่อเดือนที่เหลือ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Starlink ใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) ความหน่วงต่ำ 20–40 ms ➡️ Viasat ใช้ดาวเทียม geostationary ความหน่วงสูง ~600 ms ➡️ Starlink ให้ความเร็วดาวน์โหลด 45–280 Mbps ➡️ Viasat ให้ความเร็วดาวน์โหลด 25–150 Mbps ✅ ด้านราคาและการติดตั้ง ➡️ Starlink มีแผน $80 และ $120/เดือน พร้อมค่าติดตั้ง $349 ➡️ Viasat เริ่มต้นที่ $49.99/เดือน และต้องติดตั้งโดยช่าง ➡️ Starlink ไม่มีสัญญาระยะยาว ยกเลิกได้ทันที ➡️ Viasat มีสัญญา 24 เดือน และค่าปรับหากยกเลิกก่อน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Starlink มีแผนหลากหลาย เช่น Roam, Maritime, Aviation สำหรับผู้ใช้งานเฉพาะกลุ่ม ➡️ Viasat ให้บริการใน 99% ของพื้นที่ในสหรัฐฯ และบางส่วนของละตินอเมริกา ➡️ Starlink มีการขยายพื้นที่ครอบคลุมอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ➡️ Viasat มีบริการเสริมด้านความปลอดภัยไซเบอร์ผ่าน Bitdefender https://www.slashgear.com/1969514/starlink-vs-viasat-home-satellite-internet-services-comparison/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Starlink Vs. Viasat: How Do These Home Satellite Internet Services Compare? - SlashGear
    Starlink is faster with lower latency and flexible contracts, while Viasat offers wider coverage but slower speeds and long-term contracts.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อินเทอร์เน็ตดาวเทียมไม่ได้มีแค่ Starlink — เปิดทางเลือกใหม่สำหรับพื้นที่ห่างไกล พร้อมคู่แข่งที่กำลังไล่ตาม”

    Starlink จาก SpaceX ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของอินเทอร์เน็ตดาวเทียมด้วยการใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) จำนวนมาก ทำให้ได้ความเร็วสูงและ latency ต่ำกว่าระบบเดิมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือห่างไกลที่ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตแบบสาย อย่างไรก็ตาม แม้ Starlink จะโดดเด่น แต่ก็ไม่ใช่ตัวเลือกเดียวในตลาดนี้

    สองคู่แข่งหลักที่ยังคงอยู่ในสนามคือ Hughesnet และ Viasat ซึ่งใช้ดาวเทียมแบบ geostationary (GEO) ที่อยู่ไกลจากโลกมากกว่า ทำให้มีความครอบคลุมกว้างแต่แลกกับความเร็วและ latency ที่ต่ำกว่า Starlink อย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น Hughesnet มี latency เฉลี่ย 683 ms และความเร็วดาวน์โหลดเฉลี่ย 47 Mbps ขณะที่ Starlink อยู่ที่ 45 ms และ 104 Mbps

    Viasat ก็มีปัญหาคล้ายกัน แม้จะมีแผน Unleashed ที่โฆษณาว่าความเร็วสูงถึง 150 Mbps แต่การทดสอบจริงได้เพียง 37 Mbps เท่านั้น และ latency อยู่ที่ประมาณ 676 ms ทั้งสองบริษัทยังมีข้อจำกัดเรื่องสัญญาระยะยาว ค่าปรับหากยกเลิกก่อนกำหนด และการลดความเร็วเมื่อใช้เกินโควต้าข้อมูล

    แต่สิ่งที่น่าจับตามองที่สุดคือ Amazon Project Kuiper ซึ่งกำลังพัฒนาเครือข่ายดาวเทียม LEO เช่นเดียวกับ Starlink โดยมีเป้าหมายส่งดาวเทียมกว่า 3,200 ดวงขึ้นสู่วงโคจร และให้ความเร็วสูงถึง 400 Mbps พร้อม latency ต่ำเพียง 20–40 ms หากเปิดให้บริการจริงภายในปี 2025 ก็อาจกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของ Starlink

    ตัวเลือกอินเทอร์เน็ตดาวเทียมในปัจจุบัน
    Starlink ใช้ดาวเทียม LEO ให้ความเร็วสูงและ latency ต่ำ เหมาะกับพื้นที่ห่างไกล
    Hughesnet ใช้ดาวเทียม GEO — ความครอบคลุมกว้างแต่ latency สูงและความเร็วต่ำ
    Viasat ใช้ทั้ง GEO และ HEO — มีแผนหลายระดับแต่ความเร็วจริงต่ำกว่าที่โฆษณา
    Amazon Kuiper กำลังพัฒนาเครือข่าย LEO ที่อาจให้ความเร็วสูงถึง 400 Mbps

    ข้อมูลเปรียบเทียบเบื้องต้น
    Starlink: latency ~45 ms / ความเร็ว ~104 Mbps / ไม่มีสัญญาระยะยาว
    Hughesnet: latency ~683 ms / ความเร็ว ~47 Mbps / มีสัญญาและลดความเร็วเมื่อใช้เกิน
    Viasat: latency ~676 ms / ความเร็วจริง ~37 Mbps / มีสัญญาและลดความเร็วเช่นกัน
    Kuiper: latency ~20–40 ms / ความเร็วเป้าหมาย ~400 Mbps / ยังไม่เปิดเผยราคา

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ดาวเทียม LEO อยู่ใกล้โลก (~500–1,200 กม.) ทำให้ตอบสนองเร็วกว่า GEO (~35,000 กม.)
    Hughesnet และ Viasat กำลังสูญเสียลูกค้าอย่างต่อเนื่องจากการแข่งขันของ Starlink
    Starlink ใช้จรวดรีไซเคิลจาก SpaceX ทำให้ต้นทุนการขยายเครือข่ายต่ำกว่าคู่แข่ง
    Kuiper มีสัญญาให้บริการ Wi-Fi บนเครื่องบิน JetBlue ในปี 2027 — เริ่มเจาะตลาดเฉพาะทาง

    https://www.slashgear.com/1965463/best-starlink-alternatives-satellite-internet/
    🛰️ “อินเทอร์เน็ตดาวเทียมไม่ได้มีแค่ Starlink — เปิดทางเลือกใหม่สำหรับพื้นที่ห่างไกล พร้อมคู่แข่งที่กำลังไล่ตาม” Starlink จาก SpaceX ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของอินเทอร์เน็ตดาวเทียมด้วยการใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) จำนวนมาก ทำให้ได้ความเร็วสูงและ latency ต่ำกว่าระบบเดิมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือห่างไกลที่ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตแบบสาย อย่างไรก็ตาม แม้ Starlink จะโดดเด่น แต่ก็ไม่ใช่ตัวเลือกเดียวในตลาดนี้ สองคู่แข่งหลักที่ยังคงอยู่ในสนามคือ Hughesnet และ Viasat ซึ่งใช้ดาวเทียมแบบ geostationary (GEO) ที่อยู่ไกลจากโลกมากกว่า ทำให้มีความครอบคลุมกว้างแต่แลกกับความเร็วและ latency ที่ต่ำกว่า Starlink อย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น Hughesnet มี latency เฉลี่ย 683 ms และความเร็วดาวน์โหลดเฉลี่ย 47 Mbps ขณะที่ Starlink อยู่ที่ 45 ms และ 104 Mbps Viasat ก็มีปัญหาคล้ายกัน แม้จะมีแผน Unleashed ที่โฆษณาว่าความเร็วสูงถึง 150 Mbps แต่การทดสอบจริงได้เพียง 37 Mbps เท่านั้น และ latency อยู่ที่ประมาณ 676 ms ทั้งสองบริษัทยังมีข้อจำกัดเรื่องสัญญาระยะยาว ค่าปรับหากยกเลิกก่อนกำหนด และการลดความเร็วเมื่อใช้เกินโควต้าข้อมูล แต่สิ่งที่น่าจับตามองที่สุดคือ Amazon Project Kuiper ซึ่งกำลังพัฒนาเครือข่ายดาวเทียม LEO เช่นเดียวกับ Starlink โดยมีเป้าหมายส่งดาวเทียมกว่า 3,200 ดวงขึ้นสู่วงโคจร และให้ความเร็วสูงถึง 400 Mbps พร้อม latency ต่ำเพียง 20–40 ms หากเปิดให้บริการจริงภายในปี 2025 ก็อาจกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของ Starlink ✅ ตัวเลือกอินเทอร์เน็ตดาวเทียมในปัจจุบัน ➡️ Starlink ใช้ดาวเทียม LEO ให้ความเร็วสูงและ latency ต่ำ เหมาะกับพื้นที่ห่างไกล ➡️ Hughesnet ใช้ดาวเทียม GEO — ความครอบคลุมกว้างแต่ latency สูงและความเร็วต่ำ ➡️ Viasat ใช้ทั้ง GEO และ HEO — มีแผนหลายระดับแต่ความเร็วจริงต่ำกว่าที่โฆษณา ➡️ Amazon Kuiper กำลังพัฒนาเครือข่าย LEO ที่อาจให้ความเร็วสูงถึง 400 Mbps ✅ ข้อมูลเปรียบเทียบเบื้องต้น ➡️ Starlink: latency ~45 ms / ความเร็ว ~104 Mbps / ไม่มีสัญญาระยะยาว ➡️ Hughesnet: latency ~683 ms / ความเร็ว ~47 Mbps / มีสัญญาและลดความเร็วเมื่อใช้เกิน ➡️ Viasat: latency ~676 ms / ความเร็วจริง ~37 Mbps / มีสัญญาและลดความเร็วเช่นกัน ➡️ Kuiper: latency ~20–40 ms / ความเร็วเป้าหมาย ~400 Mbps / ยังไม่เปิดเผยราคา ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ดาวเทียม LEO อยู่ใกล้โลก (~500–1,200 กม.) ทำให้ตอบสนองเร็วกว่า GEO (~35,000 กม.) ➡️ Hughesnet และ Viasat กำลังสูญเสียลูกค้าอย่างต่อเนื่องจากการแข่งขันของ Starlink ➡️ Starlink ใช้จรวดรีไซเคิลจาก SpaceX ทำให้ต้นทุนการขยายเครือข่ายต่ำกว่าคู่แข่ง ➡️ Kuiper มีสัญญาให้บริการ Wi-Fi บนเครื่องบิน JetBlue ในปี 2027 — เริ่มเจาะตลาดเฉพาะทาง https://www.slashgear.com/1965463/best-starlink-alternatives-satellite-internet/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    These Are The Best (And Only) Starlink Alternative Options Out There - SlashGear
    Starlink dominates satellite internet, but Hughesnet, Viasat, and Amazon’s upcoming Kuiper offer the few real alternatives worth knowing.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยูเครนเตรียมใช้ Starlink ส่งข้อความผ่านดาวเทียม – สื่อสารได้แม้ไม่มีสัญญาณมือถือ

    ในช่วงสงครามที่ยังดำเนินอยู่ ยูเครนต้องเผชิญกับการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมอย่างต่อเนื่อง ทำให้การสื่อสารขัดข้องบ่อยครั้ง ล่าสุด Kyivstar จึงจับมือกับ SpaceX เพื่อเปิดบริการ “Direct-to-Cell” โดยใช้เครือข่ายดาวเทียม Starlink ส่งข้อความโดยตรงถึงมือถือของผู้ใช้ แม้ไม่มีสัญญาณจากเสาสัญญาณปกติ

    บริการนี้จะเริ่มให้ใช้งานในรูปแบบการส่งข้อความผ่านแอป เช่น WhatsApp และ Signal ภายในสิ้นปี 2025 และจะขยายเป็นบริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมสำหรับมือถือในช่วงกลางปี 2026

    นอกจากการส่งข้อความแล้ว Kyivstar ยังมีแผนให้บริการเสียงและข้อมูลผ่านดาวเทียมในอนาคต โดยใช้เทคโนโลยีเดียวกับที่ T-Mobile ในสหรัฐฯ เตรียมเปิดตัวในเดือนตุลาคมนี้

    Kyivstar เคยให้บริการฟรีหลายอย่างแก่ประชาชนในช่วงสงคราม เช่น อินเทอร์เน็ต 80 Mbps ฟรีในบางพื้นที่, ขยายเวลาชำระเงิน และติดตั้ง Wi-Fi ในบังเกอร์หลบภัยหลายร้อยแห่ง

    การร่วมมือกับ Starlink ครั้งนี้จะช่วยให้เครือข่ายของ Kyivstar มีความทนทานมากขึ้น โดยสามารถให้บริการได้แม้ในช่วงไฟดับระดับประเทศนานถึง 10 ชั่วโมง

    ข้อมูลจากข่าว
    - ยูเครนจะเป็นประเทศแรกในยุโรปที่ใช้บริการ Starlink Direct-to-Cell
    - Kyivstar ร่วมมือกับ SpaceX เพื่อให้บริการส่งข้อความผ่านดาวเทียมภายในสิ้นปี 2025
    - บริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมสำหรับมือถือจะเริ่มในไตรมาส 2 ปี 2026
    - ใช้ Starlink เป็นเสาสัญญาณเสมือน ส่งข้อความผ่านแอปแม้ไม่มีสัญญาณมือถือ
    - Kyivstar เคยให้บริการฟรีในช่วงสงคราม เช่น อินเทอร์เน็ตในบังเกอร์และขยายเวลาชำระเงิน
    - เครือข่ายสามารถทำงานได้ถึง 10 ชั่วโมงในช่วงไฟดับระดับประเทศ
    - T-Mobile ในสหรัฐฯ ก็เตรียมเปิดบริการคล้ายกันในเดือนตุลาคม 2025

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - บริการ Direct-to-Cell ยังจำกัดเฉพาะการส่งข้อความ ไม่รองรับการโทรหรือใช้งานอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบในช่วงแรก
    - ต้องอยู่ในพื้นที่ที่สามารถมองเห็นดาวเทียม Starlink จึงจะใช้งานได้
    - ความเร็วและความเสถียรของบริการอาจยังไม่เทียบเท่าการเชื่อมต่อมือถือทั่วไป
    - การพึ่งพาเทคโนโลยีจากบริษัทต่างชาติในช่วงสงครามอาจมีข้อจำกัดด้านความมั่นคง
    - ผู้ใช้ควรติดตามเงื่อนไขการใช้งานและความปลอดภัยของข้อมูลจากผู้ให้บริการ

    https://www.tomshardware.com/networking/ukraine-to-become-first-european-country-with-starlink-direct-to-cell-service-messaging-by-year-end-with-mobile-satellite-broadband-expected-mid-2026
    ยูเครนเตรียมใช้ Starlink ส่งข้อความผ่านดาวเทียม – สื่อสารได้แม้ไม่มีสัญญาณมือถือ ในช่วงสงครามที่ยังดำเนินอยู่ ยูเครนต้องเผชิญกับการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมอย่างต่อเนื่อง ทำให้การสื่อสารขัดข้องบ่อยครั้ง ล่าสุด Kyivstar จึงจับมือกับ SpaceX เพื่อเปิดบริการ “Direct-to-Cell” โดยใช้เครือข่ายดาวเทียม Starlink ส่งข้อความโดยตรงถึงมือถือของผู้ใช้ แม้ไม่มีสัญญาณจากเสาสัญญาณปกติ บริการนี้จะเริ่มให้ใช้งานในรูปแบบการส่งข้อความผ่านแอป เช่น WhatsApp และ Signal ภายในสิ้นปี 2025 และจะขยายเป็นบริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมสำหรับมือถือในช่วงกลางปี 2026 นอกจากการส่งข้อความแล้ว Kyivstar ยังมีแผนให้บริการเสียงและข้อมูลผ่านดาวเทียมในอนาคต โดยใช้เทคโนโลยีเดียวกับที่ T-Mobile ในสหรัฐฯ เตรียมเปิดตัวในเดือนตุลาคมนี้ Kyivstar เคยให้บริการฟรีหลายอย่างแก่ประชาชนในช่วงสงคราม เช่น อินเทอร์เน็ต 80 Mbps ฟรีในบางพื้นที่, ขยายเวลาชำระเงิน และติดตั้ง Wi-Fi ในบังเกอร์หลบภัยหลายร้อยแห่ง การร่วมมือกับ Starlink ครั้งนี้จะช่วยให้เครือข่ายของ Kyivstar มีความทนทานมากขึ้น โดยสามารถให้บริการได้แม้ในช่วงไฟดับระดับประเทศนานถึง 10 ชั่วโมง ✅ ข้อมูลจากข่าว - ยูเครนจะเป็นประเทศแรกในยุโรปที่ใช้บริการ Starlink Direct-to-Cell - Kyivstar ร่วมมือกับ SpaceX เพื่อให้บริการส่งข้อความผ่านดาวเทียมภายในสิ้นปี 2025 - บริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมสำหรับมือถือจะเริ่มในไตรมาส 2 ปี 2026 - ใช้ Starlink เป็นเสาสัญญาณเสมือน ส่งข้อความผ่านแอปแม้ไม่มีสัญญาณมือถือ - Kyivstar เคยให้บริการฟรีในช่วงสงคราม เช่น อินเทอร์เน็ตในบังเกอร์และขยายเวลาชำระเงิน - เครือข่ายสามารถทำงานได้ถึง 10 ชั่วโมงในช่วงไฟดับระดับประเทศ - T-Mobile ในสหรัฐฯ ก็เตรียมเปิดบริการคล้ายกันในเดือนตุลาคม 2025 ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - บริการ Direct-to-Cell ยังจำกัดเฉพาะการส่งข้อความ ไม่รองรับการโทรหรือใช้งานอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบในช่วงแรก - ต้องอยู่ในพื้นที่ที่สามารถมองเห็นดาวเทียม Starlink จึงจะใช้งานได้ - ความเร็วและความเสถียรของบริการอาจยังไม่เทียบเท่าการเชื่อมต่อมือถือทั่วไป - การพึ่งพาเทคโนโลยีจากบริษัทต่างชาติในช่วงสงครามอาจมีข้อจำกัดด้านความมั่นคง - ผู้ใช้ควรติดตามเงื่อนไขการใช้งานและความปลอดภัยของข้อมูลจากผู้ให้บริการ https://www.tomshardware.com/networking/ukraine-to-become-first-european-country-with-starlink-direct-to-cell-service-messaging-by-year-end-with-mobile-satellite-broadband-expected-mid-2026
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายคนอาจคิดว่า Starlink ของ Elon Musk คือสุดยอดแล้วในเรื่องอินเทอร์เน็ตดาวเทียม แต่ทีมวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์จีนและมหาวิทยาลัยการสื่อสารปักกิ่งเพิ่งโชว์ว่า เขาสามารถส่งข้อมูลที่ความเร็ว 1Gbps จากดาวเทียมที่โคจรอยู่ไกลกว่ากันถึง 67 เท่า ได้สำเร็จ แถมใช้เลเซอร์แค่ “2 วัตต์” ซึ่งเบามาก — เปรียบเทียบได้กับหลอดไฟกลางคืนเลยทีเดียว

    เคล็ดลับอยู่ที่การผสมสองเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน:
    - Adaptive Optics (AO): ช่วยแก้ปัญาแสงเลเซอร์โดนรบกวนจากชั้นบรรยากาศ
    - Mode Diversity Reception (MDR): เลือกสัญญาณจากช่องที่ดีที่สุด (จาก 8 ช่อง) ในเวลาเรียลไทม์

    ผลที่ได้ไม่ใช่แค่ความเร็ว แต่ยังมี “ความนิ่ง” ที่ดีกว่าระบบเดิม 20% และมีอัตราการส่งข้อมูลผิด (error rate) ต่ำมาก

    ทีมวิจัยจีนประสบความสำเร็จในการส่งข้อมูล 1Gbps จากดาวเทียม geostationary ที่สูง 22,807 ไมล์  
    • เปรียบเทียบกับ Starlink ที่โคจรแค่ ~341 ไมล์  
    • เป็นระยะทางไกลกว่าเกือบ 70 เท่า

    ใช้เลเซอร์กำลังเพียง 2 วัตต์ ในการส่งข้อมูลลงมายังโลก  
    ให้ความเร็วใกล้เคียง fiber optics  
    • คิดเป็นพลังงานต่ำมากเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ระดับเดียวกัน

    ใช้เทคนิค AO + MDR เพื่อแก้ปัญหาแสงโดนรบกวนในชั้นบรรยากาศ  
    • AO ช่วยปรับรูปร่างแสงเลเซอร์ให้คม  
    • MDR เลือก 3 ใน 8 ช่องที่ดีที่สุด เพื่อลด error rate

    อัตราความสำเร็จของสัญญาณเพิ่มจาก 72% → 91.1%  
    • ทำให้สัญญาณนิ่ง ใช้จริงได้ทั้งดูวิดีโอ, ส่งไฟล์, และใช้งานในสภาพแวดล้อมรุนแรง

    ระบบนี้ทดลองที่หอดูดาว Lijiang ด้วยกล้องโทรทรรศน์ที่มี AO แบบกระจกจิ๋วนับร้อย

    ดาวเทียมนี้ยังเหมาะกับการสื่อสารในพื้นที่ห่างไกล, ภารกิจในอวกาศ, หรือแม้กระทั่งสื่อสารกับสถานีอวกาศ (ISS)

    https://www.techradar.com/computing/wi-fi-broadband/forget-starlink-this-chinese-satellite-internet-tech-is-capable-of-1gbps-speeds-that-are-five-times-faster
    หลายคนอาจคิดว่า Starlink ของ Elon Musk คือสุดยอดแล้วในเรื่องอินเทอร์เน็ตดาวเทียม แต่ทีมวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์จีนและมหาวิทยาลัยการสื่อสารปักกิ่งเพิ่งโชว์ว่า เขาสามารถส่งข้อมูลที่ความเร็ว 1Gbps จากดาวเทียมที่โคจรอยู่ไกลกว่ากันถึง 67 เท่า ได้สำเร็จ แถมใช้เลเซอร์แค่ “2 วัตต์” ซึ่งเบามาก — เปรียบเทียบได้กับหลอดไฟกลางคืนเลยทีเดียว เคล็ดลับอยู่ที่การผสมสองเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน: - Adaptive Optics (AO): ช่วยแก้ปัญาแสงเลเซอร์โดนรบกวนจากชั้นบรรยากาศ - Mode Diversity Reception (MDR): เลือกสัญญาณจากช่องที่ดีที่สุด (จาก 8 ช่อง) ในเวลาเรียลไทม์ ผลที่ได้ไม่ใช่แค่ความเร็ว แต่ยังมี “ความนิ่ง” ที่ดีกว่าระบบเดิม 20% และมีอัตราการส่งข้อมูลผิด (error rate) ต่ำมาก ✅ ทีมวิจัยจีนประสบความสำเร็จในการส่งข้อมูล 1Gbps จากดาวเทียม geostationary ที่สูง 22,807 ไมล์   • เปรียบเทียบกับ Starlink ที่โคจรแค่ ~341 ไมล์   • เป็นระยะทางไกลกว่าเกือบ 70 เท่า ✅ ใช้เลเซอร์กำลังเพียง 2 วัตต์ ในการส่งข้อมูลลงมายังโลก   ให้ความเร็วใกล้เคียง fiber optics   • คิดเป็นพลังงานต่ำมากเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ระดับเดียวกัน ✅ ใช้เทคนิค AO + MDR เพื่อแก้ปัญหาแสงโดนรบกวนในชั้นบรรยากาศ   • AO ช่วยปรับรูปร่างแสงเลเซอร์ให้คม   • MDR เลือก 3 ใน 8 ช่องที่ดีที่สุด เพื่อลด error rate ✅ อัตราความสำเร็จของสัญญาณเพิ่มจาก 72% → 91.1%   • ทำให้สัญญาณนิ่ง ใช้จริงได้ทั้งดูวิดีโอ, ส่งไฟล์, และใช้งานในสภาพแวดล้อมรุนแรง ✅ ระบบนี้ทดลองที่หอดูดาว Lijiang ด้วยกล้องโทรทรรศน์ที่มี AO แบบกระจกจิ๋วนับร้อย ✅ ดาวเทียมนี้ยังเหมาะกับการสื่อสารในพื้นที่ห่างไกล, ภารกิจในอวกาศ, หรือแม้กระทั่งสื่อสารกับสถานีอวกาศ (ISS) https://www.techradar.com/computing/wi-fi-broadband/forget-starlink-this-chinese-satellite-internet-tech-is-capable-of-1gbps-speeds-that-are-five-times-faster
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 290 มุมมอง 0 รีวิว
  • United Airlines เปิดตัว Wi-Fi บนเครื่องบินที่เร็วที่สุดผ่าน Starlink

    United Airlines ได้เริ่มให้บริการ Wi-Fi บนเครื่องบินผ่านเครือข่ายดาวเทียม Starlink ของ SpaceX ซึ่งให้ความเร็วสูงและไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับผู้โดยสารที่ลงทะเบียน MileagePlus โดยบริการนี้จะเริ่มต้นในเที่ยวบินระยะสั้นระหว่าง ชิคาโกและดีทรอยต์ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2025

    United Airlines เป็นสายการบินที่ใหญ่ที่สุดที่นำ Starlink มาใช้
    - Hawaiian Airlines และ JSX เคยเปิดตัวบริการนี้มาก่อน แต่ United เป็นสายการบินที่มีเครือข่ายใหญ่ที่สุดที่ใช้เทคโนโลยีนี้

    Wi-Fi Starlink ให้ความเร็วสูงสุดถึง 230 Mbps และค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 128 Mbps
    - ความเร็วนี้ เทียบเท่ากับอินเทอร์เน็ตบ้าน และช่วยให้ผู้โดยสารสามารถ สตรีมวิดีโอ, เล่นเกม และประชุมออนไลน์ได้

    บริการนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับสมาชิก MileagePlus
    - ผู้โดยสารสามารถ ลงทะเบียนฟรีเพื่อใช้บริการ Wi-Fi ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

    United วางแผนติดตั้ง Starlink บนเครื่องบิน 1,026 ลำ
    - เริ่มจาก เครื่องบินระดับภูมิภาคแบบสองห้องโดยสาร ก่อนขยายไปยังเครื่องบินหลัก

    Starlink ใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำเพื่อให้มีความหน่วงต่ำกว่าอินเทอร์เน็ตดาวเทียมแบบเดิม
    - ทำให้ การเชื่อมต่อมีความเสถียรและรวดเร็วขึ้น

    United วางแผนใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อโฆษณาแบบเรียลไทม์
    - ด้วย ความหน่วงต่ำกว่า 100 มิลลิวินาที ทำให้สามารถแสดงโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมายได้ทันที

    https://www.techspot.com/news/107906-united-becomes-largest-airline-deploy-fast-starlink-flight.html
    United Airlines เปิดตัว Wi-Fi บนเครื่องบินที่เร็วที่สุดผ่าน Starlink United Airlines ได้เริ่มให้บริการ Wi-Fi บนเครื่องบินผ่านเครือข่ายดาวเทียม Starlink ของ SpaceX ซึ่งให้ความเร็วสูงและไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับผู้โดยสารที่ลงทะเบียน MileagePlus โดยบริการนี้จะเริ่มต้นในเที่ยวบินระยะสั้นระหว่าง ชิคาโกและดีทรอยต์ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2025 ✅ United Airlines เป็นสายการบินที่ใหญ่ที่สุดที่นำ Starlink มาใช้ - Hawaiian Airlines และ JSX เคยเปิดตัวบริการนี้มาก่อน แต่ United เป็นสายการบินที่มีเครือข่ายใหญ่ที่สุดที่ใช้เทคโนโลยีนี้ ✅ Wi-Fi Starlink ให้ความเร็วสูงสุดถึง 230 Mbps และค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 128 Mbps - ความเร็วนี้ เทียบเท่ากับอินเทอร์เน็ตบ้าน และช่วยให้ผู้โดยสารสามารถ สตรีมวิดีโอ, เล่นเกม และประชุมออนไลน์ได้ ✅ บริการนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับสมาชิก MileagePlus - ผู้โดยสารสามารถ ลงทะเบียนฟรีเพื่อใช้บริการ Wi-Fi ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ✅ United วางแผนติดตั้ง Starlink บนเครื่องบิน 1,026 ลำ - เริ่มจาก เครื่องบินระดับภูมิภาคแบบสองห้องโดยสาร ก่อนขยายไปยังเครื่องบินหลัก ✅ Starlink ใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำเพื่อให้มีความหน่วงต่ำกว่าอินเทอร์เน็ตดาวเทียมแบบเดิม - ทำให้ การเชื่อมต่อมีความเสถียรและรวดเร็วขึ้น ✅ United วางแผนใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อโฆษณาแบบเรียลไทม์ - ด้วย ความหน่วงต่ำกว่า 100 มิลลิวินาที ทำให้สามารถแสดงโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมายได้ทันที https://www.techspot.com/news/107906-united-becomes-largest-airline-deploy-fast-starlink-flight.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    United becomes largest airline to deploy fast Starlink in-flight Wi-Fi
    United Airlines has started rolling out SpaceX's Starlink internet on its planes, marking a shift for in-flight Wi-Fi. Last week, the airline hosted a demo aboard an...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 286 มุมมอง 0 รีวิว