• #ฝ้า

    เป็นสิ่งดี ๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองจากรังสี UVA และ UVB จากการกระทำของตัวเราเอง

    ฝ้า คือการที่สีของผิวหนังผิดปกติไปในบางตำแหน่ง สีของผิวเกิดจากสารหรือเม็ดสีเมลานิน (melanin) ซึ่งถูกสร้างมาจากเซลล์ผิวหนัง (เมลาโนไซต์ - melanocyte) ซึ่งเจริญมาจากเซลล์ระบบประสาท โดยแฝงตัวอยู่ที่ด้านล่างสุดของชั้นหนังกำพร้า โดยที่เซลล์ผิวหนังหนึ่งเซลล์จะมีแขนงไปแตะจับกับเซลล์ผิวหนังอีกราวๆ 30-40 เซลล์ เมื่อเกิดเหตุใดๆ ก็ตามที่ทำให้เม็ดสีเหล่านี้ผิดปกติไป ก็จะทำให้สีของผิวบริเวณนั้นผิดปกติไป ถ้ามีลักษณะเป็นแผ่นปื้น ก็จะเรียกว่า "เป็นฝ้า" นั่นเอง และนั่นหมายถึง ร่างกายผลิตขึ้นได้ ร่างกายก็สามารถเอามันออกไปได้ด้วยระบบที่ซับซ้อนของร่างกายเอง เพราะ มนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อซ่อมแซมตัวเอง แต่มันช้า ไม่ได้ดั่งใจ

    ฝ้ามี 3 ชนิดโดยแบ่งตามความลึกของ melanin ที่ไปฝังตัว

    1. เม็ดสี melanin ไปฝังตัวที่หนังกำพร้าเราเรียก Epidermal type melisma หรือ ฝ้าเมลานิน เป็นฝ้าที่เกิดจากแสงแดดทำลายชั้นผิว มักจะเกิดบริเวณข้างแก้ม มักมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัด เกิดได้ง่าย ชนิดนี้รักษาไม่ยาก

    2. เม็ดสีฝังตัวที่หนังแท้เราเรียก dermal type melasma หรือฝ้าเส้นเลือด มักจะเกิดบริเวณโหนกแก้ม มีลักษณะเป็นสีม่วงๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัด ชนิดนี้ นานหน่อยกว่าจะหาย

    3. ชนิดผสมจาก 2 แบบดังกล่าว

    การแยกชนิดของฝ้าทำได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Wood's lamp

    ความผิดปกติที่เกิดกับเม็ดสีของผิว (โดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้า)

    1. เกิดจากโรคผิวหนังบางชนิด

    การอักเสบเป็นเวลานานๆ สามารถเป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดรอยด่างดำบนผิวหน้าได้ ซึ่งหลังจากการอักเสบหายไป ก็จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ การติดเชื้อบางอย่างเช่นสิวอักเสบแล้วเป็นอยู่เวลานานๆ นอกจากนั้นก็ยังมีโรคผิวหนังบางอย่างอีกเช่น

    Riehl's melanosis โรคปื้นร่างแหสีน้ำตาล มักเห็นชัดที่บริเวณหน้าผาก ขมับ โหนกแก้ม คาง และ คอ อาจจะเกิดจากการแพ้เครื่องสำอาง
    Poikiloderma of Civatte โรคเส้นเลือดฝอยแตกขยายผิดปกติที่บริเวณคอ
    Erythromelanosis follicularis โรคที่มีลักษณะเป็นผื่นแดงตามโหนกแก้ม
    Linear Fusca เป็นภาวะที่มีลักษณะเป็นเส้นสีเข้มที่พาดบริเวณหน้าผาก

    2. ยาบางชนิดทำให้เกิดฝ้า

    ยาบางชนิดสามารถไปกระตุ้นผิวหนังให้ไวต่อแสงแดด ในขณะที่ยาบางชนิดอาจจะทำให้เกิดฝ้าได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องได้รับการช่วยกระตุ้นจากแสงแดดเลย ยาที่มักจะพบว่ามีผลต่อการเกิดฝ้าคือ

    -ยาคุมกำเนิดบางชนิด
    -ยาแก้อักเสบ เช่น เตตร้าไซคลิน (tetracyclines)
    -อะมิโอดาโรน (Amiodarone) ซึ่งเป็นยาที่มีผลกับการทำงานของหัวใจ
    -ฟินนีโทอีน (Phenytoin) เป็นยาที่ใช้รักษาโรคลมชักชนิดต่างๆ
    -ฟิโนเธียซีน (Phenothiazines) เป็นยาที่ออกฤทธิ์กับระบบประสาท มีผลทำให้ง่วงนอน
    -ซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamides) ที่ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคบางชนิด
    -ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ทำให้ผิวขาวโดยมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี ของผิวหนัง หรือที่เรียกว่า เมลานิน โดย ไม่ทาครีมกันแดดร่วมด้วย

    3. เกิดจากแสงแดด (รังสีอุลต้าไวโอเล็ต - UV, Ultraviolet) สามารถทำให้เกิดฝ้าบางชนิดได้

    ฝ้า (Melasma) มีลักษณะเป็นแผ่นสีน้ำตาล เกิดบนใบหน้าบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก เหนือริมฝีปาก โดยเกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินในบริเวณผิวหนังทำงานผิดปกติ และส่งเม็ดสีขึ้นมาบนผิวหนังด้านบนเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ความเข้มของสีผิวไม่สม่ำเสมอและมองเห็นได้จากภายนอก เม็ดสีเมลานินนี้มีหน้าที่พิเศษคือกรองรังสีเหนือม่วง หรือ อุลตร้าไวโอเล็ต (UV - Ultraviolet) ดังนั้นยิ่งเราตากแดดมากขึ้น ร่างกายก็จะสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น โดยที่รังสี UVA (รังสี UV ชนิด A เป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นยาว พลังงานต่ำ) จะกระตุ้นให้เซลล์ melanocytes สร้างเม็ดสีเมลานินได้โดยตรง กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ให้ทำงานได้มากขึ้นและทำให้เซลล์ผิวหนัง (keratinocyte) รับสารเมลานินได้มากขึ้นส่งผลให้สีผิวเข้มขึ้น จึงทำให้เกิดผิวสีคล้ำ เกิดฝ้า หรือ กระ และรังสี UVB (รังสี UV ชนิด B มีช่วงคลื่นสั้น พลังงานสูง) จะทำให้การทำงานประสานกันของเซลล์ melinocyte และเซลล์ keratinocytes ได้ดีขึ้นในการรับส่งเม็ดสีเมลานิน ถ้าได้รับมากๆ สามารถทำให้เกิดผิวไหม้ บวมแดง และหากได้รับรังสีเป็นระยะเวลายาวนาน อาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้

    กระแดด (Solar lentigines) มักจะเกิดในคนที่อายุมากและมีประวัติการถูกแสงแดด อาจจะเริ่มจากจุดเล็กแล้วอาจขยายใหญ่ได้มาก (ถ้า lentigines จะหมายถึงขี้แมลงวัน)

    กระ (ephelides) หมายถึงจุดสีน้ำตาลที่มักมีขนาดเล็กกว่า 0.5 ซม. เกิดจากการมีเม็ดสีเมลานินมากกว่าปกติ พบที่บริเวณใบหน้าและบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อยๆ และมักมีสีเข้มขึ้นในฤดูร้อนและจางลงในฤดูหนาว เพราะแสงแดดโดยเฉพาะรังสี UV-B เป็นตัวกระตุ้นให้กระเข้มขึ้น

    4. สาเหตุอื่นๆ ของการเป็นฝ้า

    นอกจากสาเหตุที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีโรคหรือภาวะบางอย่างที่สามารถทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกันก็คือ

    -การตั้งครรภ์
    โรคกรดไหลย้อน
    โรคลำไส้แปรปรวน
    โรคแพ้ภูมิตัวเอง
    -โรคตับ
    -โรคแอดดิสัน (พบได้น้อยมาก เกิดจากต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนสเตอรอยด์ได้น้อยกว่าปกติ)
    -อีโมโครมาโทซิส (Hemochromatosis) เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ที่เกิดจากการสะสมของเหล็กในกระแสเลือด จนทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ตับ
    -เนื้องอกใต้สมอง

    5.ขาดสารอาหารที่เซลล์ผิวหนังต้องการ

    6. ระบบการย่อยและระบบการดูดซึมของร่างกายทำงานไม่สมบูรณ์

    ฝ้าสายพันธุ์ใหม่ เกิดจากการรบกวนผิว มลภาวะ และการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสารที่ไปกระตุ้นการเกิดฝ้า พวก Whitening ซึ่งบางครั้งผู้บริโภคที่ซื้อเป็นเพราะโฆษณาชวนเชื่อและรู้เท่าไม่ถึงการณ์

    ฝ้าเส้นเลือด เกิดจากเส้นเลือดบริเวณใบหน้าเสียสภาพไม่สามารถกักเก็บเลือดได้ ทำให้เลือดซึมออกมาใต้ผิวหนัง เป็นรอยแดงคล้ายเส้นเลือด ซึ่งสีของฝ้าเส้นเลือดสามารถเปลี่ยนได้ตามอุณหภูมิการแสดงอารมณ์โดยในตอนเช้าสีจะออกชมพู แต่เมื่อเวลาโดนแดดจัดสีจะคล้ำจนเป็นสีดำ นอกจากนี้ผิวหนังจะมีความรู้สึกไว แสบง่าย ส่วนมากมักจะเกิดกับคนที่มีลักษณะของเซลล์ที่มีความผิดปกติหรือแตกตัวผิดปกติ หรือทานยาแอสไพรินมายาวนาน

    การปลดฝ้า

    เพื่อผิวหน้าที่ขาวใส และป้องกันการกลับมาเยือนของฝ้า อย่างแรกคือ ต้องทราบสาเหตุของการเกิดฝ้า เพราะแต่ละคนมีสาเหตุต่างกัน การรักษาที่ถูกวิธีต้องรักษาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ไปเน้นที่การยับยั้ง หรือกดเซลล์ กล่าวคือ การใช้ยาเพื่อไปยับยั้งการทำงานของเมลานิน ซึ่งถ้าหยุดใช้ยา ฝ้าก็สามารถกลับมาเยือนได้อีก และท่านก็ต้องใช้ยาอีก จึงดูเหมือนเป็นการพายเรือวนในอ่าง

    วิธีการที่ถูกต้องคือให้สารอาหารที่สามารถหยุดหรือระงับการสร้างเมลานิลโดยไม่ทำให้เซลล์สร้างสีตาย เพราะถ้าใช้สารทำลายเซลล์สร้างสีแล้ว ร่างกายจะขาดกำลังสำคัญในการป้องกันผิวหนังจากแสงแดด

    สารอาหาร

    Vitamin C เป็นสาร Antioxidantsที่พบมากที่สุดในผิวหนัง ทำหน้าที่ลดอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็งผิวหนัง ชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น และมีความจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ใช้ป้องกันและรักษาเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ลดรอยหมองคล้ำ ฝ้า กระ รอยด่างดำตามร่างกาย

    อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ดอกกระหล่ำเป็นต้น

    Vitamin E เป็นสาร Antioxidants ที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันเนื้อเยื่อจากการถูกเอนไซม์ทำลาย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวพรรณ ป้องกันและลดอันตรายจากแสงแดด และลดการเกิดเซลล์มะเร็งได้ ลดความเสื่อมของผิวหนังที่ทำให้เกิดริ้วรอย

    อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ น้ำมันพืชประเภทน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว งา น้ำมันสลัด ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืชต่างๆ จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว

    Vitamin A โดยใช้สารตั้งต้นที่ชื่อ เบต้าแคโรทีนและสารแคโรทีนอยด์ แล้วร่างกายเปลี่ยนแปลงเป็นกลุ่มเรตินอล (Retinol) ซึ่งปัจจุบันได้มีการคิดค้นเกี่ยวกับสารสังเคราะห์สำหรับผิวพรรณที่เรียกว่า กลุ่มเรตินอยด์ ทั้งในรูปของครีมทา และยารับประทาน ( ซึ่งนำมารักษาสิวและริ้วรอย) ใช้คำว่าเลียนแบบวิตามินเอ ( เรตินอล) มีรายงานมากมายที่สนับสนุนว่า วิตามินเอ ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และเนื้อเยื่อของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอผิวเสื่อม ริ้วรอยย่นก่อนวัยครับ

    อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ อาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา ไข่ ผักเช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง เป็นต้น ร่างกายปกติ ต้องการวิตามินเอ ประมาณ 1000 ไมโครกรัมต่อวัน ( ในรูปของ Retinol)

    ซีลีเนียม ( Selenium) ถือเป็นสารที่สำคัญที่ทำงานร่วมกับวิตามินอี ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวพรรณ ป้องกันมะเร็ง ผิวหนังจากแสงแดด การทาครีมที่ผสมซิลีเนียม จะทำให้ลดอาการแดดเผา ผิวหนังอักเสบได้และป้องกันมะเร็ง

    ยังไม่มีรายงานการขาดสารซิลีเนียมในคนแล้วเกิดโรคต่างๆ เพราะอาหารที่มีซิลีเนียม ส่วนใหญ่ร่างกายจะได้รับเพียงพอ เพราะต้องการเพียงปริมาณไม่มากนัก อาหารเหล่านี้ได้แก่ อาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ กระเทียม ไข่ เมล็ดพืชต่างๆ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรับประทานเป็นอาหารเสริม เพราะอาจจะมีปริมาณสูงเกินไป ส่วนใหญ่จะนำมาผสมในครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด

    ไบโอติน สารอาหารที่อยู่ในตระกูลวิตามินบี เป็นสารที่มีประโยชน์ในเรื่องการเผาผลาญ และปรับสมดุลของการไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต การขาดวิตามินนี้ จะทำให้ผิวแห้ง เบื่ออาหาร เส้นผมและเล็บเปราะหักง่าย ผมงอกช้า

    อาหารที่มีไบโอตินสูง ได้แก่ ธัญพืชไม่ขัดสีต่างๆ อาหารโปรตีนสูง ไข่แดง ตับ ข้าวกล้อง ถั่วชนิดต่างๆ ปกติร่างกายของเราจะได้รับสาร ไบโอติน ในปริมาณที่ไม่เพียงพอ แต่โชคดีที่ภายในร่างกายมี แบคทีเรียที่ชื่อ Lactobacillin ในลำไส้ ที่สามารถผลิตสารไบโอตินได้ แต่ถ้าต้องการรับประทานเป็นอาหารเสริม ปริมาณที่เหมาะสมคือ วันละ 600-1,200 มก.

    สังกะสี เป็นแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์กว่า 70 ชนิด ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการดูดซึมของกรดไลโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามินเอได้ดีขึ้น

    อาหารที่มีสังกะสีสูง ได้แก่ หอยนางรม อาหารทะเล ตับ ชีส เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ รวมทั้งธัญพืชที่ไม่ได้ขัดสี ถั่วเมล็ดแห้ง และถั่วเปลือกแข็ง ร่างกายต้องการสังกะสี ในปริมาณที่แตกต่างกันในแต่ละเพศ วัย และภาวะของร่างกาย แต่โดยเฉลี่ยไม่ควรเกินวันละ 15-30 มก.

    Co enyme Q10 ( Uniquinone) เป็นสารAntioxidants ที่ค้นพบมานานแล้ว โดยพบมากที่อวัยวะที่มีการ metabolism สูง เช่น หัวใจ ไต และตับ โดยทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังงาน สำหรับผิวหนัง CoQ10 จะพบมากในชั้น epidermis มากกว่า dermis มีสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ( free radicles) จึงเชื่อว่า สามารถลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ ปัจจุบัน ได้นำมาทำเป็นครีมทาเฉพาะที่ เพื่อลดริ้วรอย โดยเฉพาะรอยดวงตา

    อาหารดีๆ

    1.ปลา : เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แนะนำ ปลาโอ ปลาอินทรีย์สด ปลาแซลม่อน ปลาสวาย

    2.น้ำมันมะกอก : เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูงแต่ข้อดีคือ มีกรดไขมันจำเป็นและเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอและอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวดูอ่อนวัยคงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม

    3.น้ำดื่มสะอาด : หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง แบบไม่ต้องลงทุนมาก เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้และยังป้องกันเซลลูไลต์อีกด้วย

    4.มะเขือเทศ : ช่วยทำให้ผิวพรรณดี แก้อาการสิวฝ้า นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย

    5.บร็อกโคลี : ผักสีเขียวที่เป็นแหล่งของวิตามินเอและซี โดยที่วิตามินเอมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง ซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป และยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนังให้มีการทำงานอย่างปกติ ช่วยให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ

    สิ่งสำคัญที่สุดคือ ระบบการย่อยและการดูดซึม เพราะเป็นตัวกำหนดปริมาณสารอาหารที่ได้รับว่าเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่

    ผลิตภัณฑ์แนะนำ

    สบู่สมุนไพร
    Pun c
    Prink
    Alovi
    Praow
    Praew

    Cr. Santi Manadee
    #ฝ้า เป็นสิ่งดี ๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองจากรังสี UVA และ UVB จากการกระทำของตัวเราเอง ฝ้า คือการที่สีของผิวหนังผิดปกติไปในบางตำแหน่ง สีของผิวเกิดจากสารหรือเม็ดสีเมลานิน (melanin) ซึ่งถูกสร้างมาจากเซลล์ผิวหนัง (เมลาโนไซต์ - melanocyte) ซึ่งเจริญมาจากเซลล์ระบบประสาท โดยแฝงตัวอยู่ที่ด้านล่างสุดของชั้นหนังกำพร้า โดยที่เซลล์ผิวหนังหนึ่งเซลล์จะมีแขนงไปแตะจับกับเซลล์ผิวหนังอีกราวๆ 30-40 เซลล์ เมื่อเกิดเหตุใดๆ ก็ตามที่ทำให้เม็ดสีเหล่านี้ผิดปกติไป ก็จะทำให้สีของผิวบริเวณนั้นผิดปกติไป ถ้ามีลักษณะเป็นแผ่นปื้น ก็จะเรียกว่า "เป็นฝ้า" นั่นเอง และนั่นหมายถึง ร่างกายผลิตขึ้นได้ ร่างกายก็สามารถเอามันออกไปได้ด้วยระบบที่ซับซ้อนของร่างกายเอง เพราะ มนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อซ่อมแซมตัวเอง แต่มันช้า ไม่ได้ดั่งใจ ฝ้ามี 3 ชนิดโดยแบ่งตามความลึกของ melanin ที่ไปฝังตัว 1. เม็ดสี melanin ไปฝังตัวที่หนังกำพร้าเราเรียก Epidermal type melisma หรือ ฝ้าเมลานิน เป็นฝ้าที่เกิดจากแสงแดดทำลายชั้นผิว มักจะเกิดบริเวณข้างแก้ม มักมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัด เกิดได้ง่าย ชนิดนี้รักษาไม่ยาก 2. เม็ดสีฝังตัวที่หนังแท้เราเรียก dermal type melasma หรือฝ้าเส้นเลือด มักจะเกิดบริเวณโหนกแก้ม มีลักษณะเป็นสีม่วงๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัด ชนิดนี้ นานหน่อยกว่าจะหาย 3. ชนิดผสมจาก 2 แบบดังกล่าว การแยกชนิดของฝ้าทำได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Wood's lamp ความผิดปกติที่เกิดกับเม็ดสีของผิว (โดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้า) 1. เกิดจากโรคผิวหนังบางชนิด การอักเสบเป็นเวลานานๆ สามารถเป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดรอยด่างดำบนผิวหน้าได้ ซึ่งหลังจากการอักเสบหายไป ก็จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ การติดเชื้อบางอย่างเช่นสิวอักเสบแล้วเป็นอยู่เวลานานๆ นอกจากนั้นก็ยังมีโรคผิวหนังบางอย่างอีกเช่น Riehl's melanosis โรคปื้นร่างแหสีน้ำตาล มักเห็นชัดที่บริเวณหน้าผาก ขมับ โหนกแก้ม คาง และ คอ อาจจะเกิดจากการแพ้เครื่องสำอาง Poikiloderma of Civatte โรคเส้นเลือดฝอยแตกขยายผิดปกติที่บริเวณคอ Erythromelanosis follicularis โรคที่มีลักษณะเป็นผื่นแดงตามโหนกแก้ม Linear Fusca เป็นภาวะที่มีลักษณะเป็นเส้นสีเข้มที่พาดบริเวณหน้าผาก 2. ยาบางชนิดทำให้เกิดฝ้า ยาบางชนิดสามารถไปกระตุ้นผิวหนังให้ไวต่อแสงแดด ในขณะที่ยาบางชนิดอาจจะทำให้เกิดฝ้าได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องได้รับการช่วยกระตุ้นจากแสงแดดเลย ยาที่มักจะพบว่ามีผลต่อการเกิดฝ้าคือ -ยาคุมกำเนิดบางชนิด -ยาแก้อักเสบ เช่น เตตร้าไซคลิน (tetracyclines) -อะมิโอดาโรน (Amiodarone) ซึ่งเป็นยาที่มีผลกับการทำงานของหัวใจ -ฟินนีโทอีน (Phenytoin) เป็นยาที่ใช้รักษาโรคลมชักชนิดต่างๆ -ฟิโนเธียซีน (Phenothiazines) เป็นยาที่ออกฤทธิ์กับระบบประสาท มีผลทำให้ง่วงนอน -ซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamides) ที่ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคบางชนิด -ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ทำให้ผิวขาวโดยมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี ของผิวหนัง หรือที่เรียกว่า เมลานิน โดย ไม่ทาครีมกันแดดร่วมด้วย 3. เกิดจากแสงแดด (รังสีอุลต้าไวโอเล็ต - UV, Ultraviolet) สามารถทำให้เกิดฝ้าบางชนิดได้ ฝ้า (Melasma) มีลักษณะเป็นแผ่นสีน้ำตาล เกิดบนใบหน้าบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก เหนือริมฝีปาก โดยเกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินในบริเวณผิวหนังทำงานผิดปกติ และส่งเม็ดสีขึ้นมาบนผิวหนังด้านบนเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ความเข้มของสีผิวไม่สม่ำเสมอและมองเห็นได้จากภายนอก เม็ดสีเมลานินนี้มีหน้าที่พิเศษคือกรองรังสีเหนือม่วง หรือ อุลตร้าไวโอเล็ต (UV - Ultraviolet) ดังนั้นยิ่งเราตากแดดมากขึ้น ร่างกายก็จะสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น โดยที่รังสี UVA (รังสี UV ชนิด A เป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นยาว พลังงานต่ำ) จะกระตุ้นให้เซลล์ melanocytes สร้างเม็ดสีเมลานินได้โดยตรง กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ให้ทำงานได้มากขึ้นและทำให้เซลล์ผิวหนัง (keratinocyte) รับสารเมลานินได้มากขึ้นส่งผลให้สีผิวเข้มขึ้น จึงทำให้เกิดผิวสีคล้ำ เกิดฝ้า หรือ กระ และรังสี UVB (รังสี UV ชนิด B มีช่วงคลื่นสั้น พลังงานสูง) จะทำให้การทำงานประสานกันของเซลล์ melinocyte และเซลล์ keratinocytes ได้ดีขึ้นในการรับส่งเม็ดสีเมลานิน ถ้าได้รับมากๆ สามารถทำให้เกิดผิวไหม้ บวมแดง และหากได้รับรังสีเป็นระยะเวลายาวนาน อาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ กระแดด (Solar lentigines) มักจะเกิดในคนที่อายุมากและมีประวัติการถูกแสงแดด อาจจะเริ่มจากจุดเล็กแล้วอาจขยายใหญ่ได้มาก (ถ้า lentigines จะหมายถึงขี้แมลงวัน) กระ (ephelides) หมายถึงจุดสีน้ำตาลที่มักมีขนาดเล็กกว่า 0.5 ซม. เกิดจากการมีเม็ดสีเมลานินมากกว่าปกติ พบที่บริเวณใบหน้าและบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อยๆ และมักมีสีเข้มขึ้นในฤดูร้อนและจางลงในฤดูหนาว เพราะแสงแดดโดยเฉพาะรังสี UV-B เป็นตัวกระตุ้นให้กระเข้มขึ้น 4. สาเหตุอื่นๆ ของการเป็นฝ้า นอกจากสาเหตุที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีโรคหรือภาวะบางอย่างที่สามารถทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกันก็คือ -การตั้งครรภ์ โรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวน โรคแพ้ภูมิตัวเอง -โรคตับ -โรคแอดดิสัน (พบได้น้อยมาก เกิดจากต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนสเตอรอยด์ได้น้อยกว่าปกติ) -อีโมโครมาโทซิส (Hemochromatosis) เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ที่เกิดจากการสะสมของเหล็กในกระแสเลือด จนทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ตับ -เนื้องอกใต้สมอง 5.ขาดสารอาหารที่เซลล์ผิวหนังต้องการ 6. ระบบการย่อยและระบบการดูดซึมของร่างกายทำงานไม่สมบูรณ์ ฝ้าสายพันธุ์ใหม่ เกิดจากการรบกวนผิว มลภาวะ และการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสารที่ไปกระตุ้นการเกิดฝ้า พวก Whitening ซึ่งบางครั้งผู้บริโภคที่ซื้อเป็นเพราะโฆษณาชวนเชื่อและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ฝ้าเส้นเลือด เกิดจากเส้นเลือดบริเวณใบหน้าเสียสภาพไม่สามารถกักเก็บเลือดได้ ทำให้เลือดซึมออกมาใต้ผิวหนัง เป็นรอยแดงคล้ายเส้นเลือด ซึ่งสีของฝ้าเส้นเลือดสามารถเปลี่ยนได้ตามอุณหภูมิการแสดงอารมณ์โดยในตอนเช้าสีจะออกชมพู แต่เมื่อเวลาโดนแดดจัดสีจะคล้ำจนเป็นสีดำ นอกจากนี้ผิวหนังจะมีความรู้สึกไว แสบง่าย ส่วนมากมักจะเกิดกับคนที่มีลักษณะของเซลล์ที่มีความผิดปกติหรือแตกตัวผิดปกติ หรือทานยาแอสไพรินมายาวนาน การปลดฝ้า เพื่อผิวหน้าที่ขาวใส และป้องกันการกลับมาเยือนของฝ้า อย่างแรกคือ ต้องทราบสาเหตุของการเกิดฝ้า เพราะแต่ละคนมีสาเหตุต่างกัน การรักษาที่ถูกวิธีต้องรักษาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ไปเน้นที่การยับยั้ง หรือกดเซลล์ กล่าวคือ การใช้ยาเพื่อไปยับยั้งการทำงานของเมลานิน ซึ่งถ้าหยุดใช้ยา ฝ้าก็สามารถกลับมาเยือนได้อีก และท่านก็ต้องใช้ยาอีก จึงดูเหมือนเป็นการพายเรือวนในอ่าง วิธีการที่ถูกต้องคือให้สารอาหารที่สามารถหยุดหรือระงับการสร้างเมลานิลโดยไม่ทำให้เซลล์สร้างสีตาย เพราะถ้าใช้สารทำลายเซลล์สร้างสีแล้ว ร่างกายจะขาดกำลังสำคัญในการป้องกันผิวหนังจากแสงแดด สารอาหาร Vitamin C เป็นสาร Antioxidantsที่พบมากที่สุดในผิวหนัง ทำหน้าที่ลดอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็งผิวหนัง ชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น และมีความจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ใช้ป้องกันและรักษาเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ลดรอยหมองคล้ำ ฝ้า กระ รอยด่างดำตามร่างกาย อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ดอกกระหล่ำเป็นต้น Vitamin E เป็นสาร Antioxidants ที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันเนื้อเยื่อจากการถูกเอนไซม์ทำลาย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวพรรณ ป้องกันและลดอันตรายจากแสงแดด และลดการเกิดเซลล์มะเร็งได้ ลดความเสื่อมของผิวหนังที่ทำให้เกิดริ้วรอย อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ น้ำมันพืชประเภทน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว งา น้ำมันสลัด ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืชต่างๆ จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว Vitamin A โดยใช้สารตั้งต้นที่ชื่อ เบต้าแคโรทีนและสารแคโรทีนอยด์ แล้วร่างกายเปลี่ยนแปลงเป็นกลุ่มเรตินอล (Retinol) ซึ่งปัจจุบันได้มีการคิดค้นเกี่ยวกับสารสังเคราะห์สำหรับผิวพรรณที่เรียกว่า กลุ่มเรตินอยด์ ทั้งในรูปของครีมทา และยารับประทาน ( ซึ่งนำมารักษาสิวและริ้วรอย) ใช้คำว่าเลียนแบบวิตามินเอ ( เรตินอล) มีรายงานมากมายที่สนับสนุนว่า วิตามินเอ ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และเนื้อเยื่อของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอผิวเสื่อม ริ้วรอยย่นก่อนวัยครับ อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ อาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา ไข่ ผักเช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง เป็นต้น ร่างกายปกติ ต้องการวิตามินเอ ประมาณ 1000 ไมโครกรัมต่อวัน ( ในรูปของ Retinol) ซีลีเนียม ( Selenium) ถือเป็นสารที่สำคัญที่ทำงานร่วมกับวิตามินอี ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวพรรณ ป้องกันมะเร็ง ผิวหนังจากแสงแดด การทาครีมที่ผสมซิลีเนียม จะทำให้ลดอาการแดดเผา ผิวหนังอักเสบได้และป้องกันมะเร็ง ยังไม่มีรายงานการขาดสารซิลีเนียมในคนแล้วเกิดโรคต่างๆ เพราะอาหารที่มีซิลีเนียม ส่วนใหญ่ร่างกายจะได้รับเพียงพอ เพราะต้องการเพียงปริมาณไม่มากนัก อาหารเหล่านี้ได้แก่ อาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ กระเทียม ไข่ เมล็ดพืชต่างๆ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรับประทานเป็นอาหารเสริม เพราะอาจจะมีปริมาณสูงเกินไป ส่วนใหญ่จะนำมาผสมในครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด ไบโอติน สารอาหารที่อยู่ในตระกูลวิตามินบี เป็นสารที่มีประโยชน์ในเรื่องการเผาผลาญ และปรับสมดุลของการไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต การขาดวิตามินนี้ จะทำให้ผิวแห้ง เบื่ออาหาร เส้นผมและเล็บเปราะหักง่าย ผมงอกช้า อาหารที่มีไบโอตินสูง ได้แก่ ธัญพืชไม่ขัดสีต่างๆ อาหารโปรตีนสูง ไข่แดง ตับ ข้าวกล้อง ถั่วชนิดต่างๆ ปกติร่างกายของเราจะได้รับสาร ไบโอติน ในปริมาณที่ไม่เพียงพอ แต่โชคดีที่ภายในร่างกายมี แบคทีเรียที่ชื่อ Lactobacillin ในลำไส้ ที่สามารถผลิตสารไบโอตินได้ แต่ถ้าต้องการรับประทานเป็นอาหารเสริม ปริมาณที่เหมาะสมคือ วันละ 600-1,200 มก. สังกะสี เป็นแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์กว่า 70 ชนิด ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการดูดซึมของกรดไลโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามินเอได้ดีขึ้น อาหารที่มีสังกะสีสูง ได้แก่ หอยนางรม อาหารทะเล ตับ ชีส เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ รวมทั้งธัญพืชที่ไม่ได้ขัดสี ถั่วเมล็ดแห้ง และถั่วเปลือกแข็ง ร่างกายต้องการสังกะสี ในปริมาณที่แตกต่างกันในแต่ละเพศ วัย และภาวะของร่างกาย แต่โดยเฉลี่ยไม่ควรเกินวันละ 15-30 มก. Co enyme Q10 ( Uniquinone) เป็นสารAntioxidants ที่ค้นพบมานานแล้ว โดยพบมากที่อวัยวะที่มีการ metabolism สูง เช่น หัวใจ ไต และตับ โดยทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังงาน สำหรับผิวหนัง CoQ10 จะพบมากในชั้น epidermis มากกว่า dermis มีสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ( free radicles) จึงเชื่อว่า สามารถลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ ปัจจุบัน ได้นำมาทำเป็นครีมทาเฉพาะที่ เพื่อลดริ้วรอย โดยเฉพาะรอยดวงตา อาหารดีๆ 1.ปลา : เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แนะนำ ปลาโอ ปลาอินทรีย์สด ปลาแซลม่อน ปลาสวาย 2.น้ำมันมะกอก : เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูงแต่ข้อดีคือ มีกรดไขมันจำเป็นและเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอและอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวดูอ่อนวัยคงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม 3.น้ำดื่มสะอาด : หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง แบบไม่ต้องลงทุนมาก เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้และยังป้องกันเซลลูไลต์อีกด้วย 4.มะเขือเทศ : ช่วยทำให้ผิวพรรณดี แก้อาการสิวฝ้า นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย 5.บร็อกโคลี : ผักสีเขียวที่เป็นแหล่งของวิตามินเอและซี โดยที่วิตามินเอมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง ซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป และยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนังให้มีการทำงานอย่างปกติ ช่วยให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ระบบการย่อยและการดูดซึม เพราะเป็นตัวกำหนดปริมาณสารอาหารที่ได้รับว่าเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่ ผลิตภัณฑ์แนะนำ สบู่สมุนไพร Pun c Prink Alovi Praow Praew Cr. Santi Manadee
    0 Comments 0 Shares 328 Views 0 Reviews
  • #อาหารดี #สุขภาพ #ขาดแคลน #ศิษย์ยักษ์ #ยักษ์กะโจน #กสิกรรมธรรมชาติ #พอเพียง #ทำตามพ่อสอน
    https://youtu.be/xsLZKn1W6ik
    #อาหารดี #สุขภาพ #ขาดแคลน #ศิษย์ยักษ์ #ยักษ์กะโจน #กสิกรรมธรรมชาติ #พอเพียง #ทำตามพ่อสอน https://youtu.be/xsLZKn1W6ik
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 161 Views 0 Reviews
  • ดินดีน้ำดีธาตุอาหารดี แล้วผลผลิตดีแน่นอน
    ดินดีน้ำดีธาตุอาหารดี แล้วผลผลิตดีแน่นอน
    0 Comments 0 Shares 423 Views 1 0 Reviews
  • ดินดีน้ำดีอาหารดี แล้วผลผลิตจะดี #Thaitimes
    ดินดีน้ำดีอาหารดี แล้วผลผลิตจะดี #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 181 Views 0 Reviews
  • https://www.youtube.com/watch?v=0P-SRlgZeS0
    บทสนทนาของหมูเด้งกับคนเลี้ยง
    (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้)
    แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาของหมูเด้งกับคนเลี้ยง
    มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ

    #conversations #listeningtest #หมูเด้ง

    The conversations from the clip :

    Moo Deng: Hey, why do I always feel sleepy after eating?
    Zookeeper: Oh, Moo Deng! It’s normal to feel tired after eating. Your body is working hard to digest all that delicious food!
    Moo Deng: I love eating, but sometimes I just want to take a nap right after!
    Zookeeper: That’s okay! Pigs need a lot of rest, especially after enjoying a good meal.
    Moo Deng: Do other animals get sleepy after they eat too?
    Zookeeper: Yes, many animals do. Even lions take long naps after they feast. Sleeping helps them digest their food better.
    Moo Deng: Wow, I didn’t know that! But I must admit... sometimes I get too excited and accidentally nibble on you when we play.
    Zookeeper: Haha, I’ve noticed! You’re a playful little pig, but biting can hurt, Moo Deng.
    Moo Deng: Oh no, I don’t mean to! I just get really happy when we play together.
    Zookeeper: I understand, but you need to be gentle. Biting can be dangerous, even if you don’t mean it.
    Moo Deng: I’ll try to remember! Maybe I can just bump into you instead of biting.
    Zookeeper: That sounds like a great idea! We can still have fun without the biting!
    Moo Deng: Thanks, Zookeeper! I love playing with you, especially after I eat!Zookeeper: I love playing with you too, Moo Deng. Just remember to be gentle, especially when you’re excited!
    Moo Deng: Got it! Now, can I have a carrot? They always make me feel better!
    Zookeeper: Sure! Enjoy your carrot, and then you can take a nice nap!

    หมูเด้ง: สวัสดี ทำไมฉันถึงรู้สึกง่วงนอนทุกครั้งหลังจากกิน?
    คนเลี้ยง: โอ้ หมูเด้ง! มันเป็นเรื่องปกติที่รู้สึกเหนื่อยหลังจากกิน ร่างกายของเธอกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อย่อยอาหารอร่อย ๆ นั่นแหละ!
    หมูเด้ง: ฉันชอบกินนะ แต่บางครั้งฉันก็อยากงีบหลับทันทีเลย!
    คนเลี้ยง: ไม่เป็นไรหรอก! หมูต้องการการพักผ่อนเยอะ ๆ โดยเฉพาะหลังจากเพลิดเพลินกับอาหารดี ๆ
    หมูเด้ง: แล้วสัตว์ตัวอื่น ๆ ก็รู้สึกง่วงหลังจากกินเหมือนกันไหม?
    คนเลี้ยง: ใช่ สัตว์หลายตัวก็เป็นแบบนั้น แม้แต่สิงโตก็นอนหลับยาวหลังจากที่มันกินเข้าไป การนอนช่วยให้พวกมันย่อยอาหารได้ดีขึ้น
    หมูเด้ง: ว้าว ฉันไม่รู้เลย! แต่ฉันต้องยอมรับนะ... บางครั้งฉันตื่นเต้นเกินไปแล้วเผลอกัดพี่ตอนเล่น
    คนเลี้ยง: ฮ่า ๆ ฉันสังเกตเห็นแล้ว! เธอเป็นลูกหมูที่ขี้เล่น แต่การกัดมันเจ็บนะ หมูเด้ง
    หมูเด้ง: อุ๊ย ฉันไม่ได้ตั้งใจ! ฉันแค่ดีใจมาก ๆ เวลาที่เราเล่นด้วยกัน
    คนเลี้ยง: ฉันเข้าใจ แต่เธอต้องอ่อนโยนหน่อย การกัดอาจเป็นอันตรายได้นะ ถึงแม้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
    หมูเด้ง: ฉันจะพยายามจำไว้! บางทีฉันอาจจะแค่ชนพี่แทนการกัด
    คนเลี้ยง: นั่นฟังดูเป็นความคิดที่ดีนะ เราจะยังเล่นสนุกกันได้ แต่ไม่มีการกัด!
    หมูเด้ง: ขอบคุณนะ พี่คนเลี้ยง ฉันชอบเล่นกับพี่มาก ๆ หลังจากกินเสร็จ!
    คนเลี้ยง: ฉันก็ชอบเล่นกับเธอเหมือนกัน หมูเด้ง แค่จำไว้ว่าต้องอ่อนโยนนะ โดยเฉพาะตอนที่เธอตื่นเต้น
    หมูเด้ง: ฉันจะจำไว้! ตอนนี้ฉันขอแครอทได้ไหม? มันทำให้ฉันง่วงนอนทุกที!
    คนเลี้ยง: ได้สิ! กินแครอทให้อร่อยนะ แล้วก็นอนพักให้สบาย อย่าลืมว่าไม่ต้องกัดอีกแล้วนะ!

    Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้)

    Sleepy (adj.) แปลว่า ง่วงนอน (สลีพ-พี)
    Digest (v.) แปลว่า ย่อยอาหาร (ได-เจสท์)
    Meal (n.) แปลว่า มื้ออาหาร (มีล)
    Rest (v.) แปลว่า พักผ่อน (เรสท์)
    Excited (adj.) แปลว่า ตื่นเต้น (อิค-ไซ-ทิด)
    Playful (adj.) แปลว่า ขี้เล่น (เพลย์-ฟูล)
    Gentle (adj.) แปลว่า อ่อนโยน (เจน-เทิล)
    Tease (v.) แปลว่า แกล้ง (ทีซ)
    Hurt (v.) แปลว่า ทำให้เจ็บ (เฮิร์ท)
    Nudge (v.) แปลว่า ดันเบาๆ, ชนเบาๆ (นัดจ์)
    Healthy (adj.) แปลว่า สุขภาพดี (เฮล-ธี)
    Crunchy (adj.) แปลว่า กรอบ (ครัน-ชี่)
    Bite (v.) แปลว่า กัด (ไบท์)
    Play (v.) แปลว่า เล่น (เพลย์)
    Carrot (n.) แปลว่า แครอท (แคร-รอท)
    https://www.youtube.com/watch?v=0P-SRlgZeS0 บทสนทนาของหมูเด้งกับคนเลี้ยง (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้) แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาของหมูเด้งกับคนเลี้ยง มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ #conversations #listeningtest #หมูเด้ง The conversations from the clip : Moo Deng: Hey, why do I always feel sleepy after eating? Zookeeper: Oh, Moo Deng! It’s normal to feel tired after eating. Your body is working hard to digest all that delicious food! Moo Deng: I love eating, but sometimes I just want to take a nap right after! Zookeeper: That’s okay! Pigs need a lot of rest, especially after enjoying a good meal. Moo Deng: Do other animals get sleepy after they eat too? Zookeeper: Yes, many animals do. Even lions take long naps after they feast. Sleeping helps them digest their food better. Moo Deng: Wow, I didn’t know that! But I must admit... sometimes I get too excited and accidentally nibble on you when we play. Zookeeper: Haha, I’ve noticed! You’re a playful little pig, but biting can hurt, Moo Deng. Moo Deng: Oh no, I don’t mean to! I just get really happy when we play together. Zookeeper: I understand, but you need to be gentle. Biting can be dangerous, even if you don’t mean it. Moo Deng: I’ll try to remember! Maybe I can just bump into you instead of biting. Zookeeper: That sounds like a great idea! We can still have fun without the biting! Moo Deng: Thanks, Zookeeper! I love playing with you, especially after I eat!Zookeeper: I love playing with you too, Moo Deng. Just remember to be gentle, especially when you’re excited! Moo Deng: Got it! Now, can I have a carrot? They always make me feel better! Zookeeper: Sure! Enjoy your carrot, and then you can take a nice nap! หมูเด้ง: สวัสดี ทำไมฉันถึงรู้สึกง่วงนอนทุกครั้งหลังจากกิน? คนเลี้ยง: โอ้ หมูเด้ง! มันเป็นเรื่องปกติที่รู้สึกเหนื่อยหลังจากกิน ร่างกายของเธอกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อย่อยอาหารอร่อย ๆ นั่นแหละ! หมูเด้ง: ฉันชอบกินนะ แต่บางครั้งฉันก็อยากงีบหลับทันทีเลย! คนเลี้ยง: ไม่เป็นไรหรอก! หมูต้องการการพักผ่อนเยอะ ๆ โดยเฉพาะหลังจากเพลิดเพลินกับอาหารดี ๆ หมูเด้ง: แล้วสัตว์ตัวอื่น ๆ ก็รู้สึกง่วงหลังจากกินเหมือนกันไหม? คนเลี้ยง: ใช่ สัตว์หลายตัวก็เป็นแบบนั้น แม้แต่สิงโตก็นอนหลับยาวหลังจากที่มันกินเข้าไป การนอนช่วยให้พวกมันย่อยอาหารได้ดีขึ้น หมูเด้ง: ว้าว ฉันไม่รู้เลย! แต่ฉันต้องยอมรับนะ... บางครั้งฉันตื่นเต้นเกินไปแล้วเผลอกัดพี่ตอนเล่น คนเลี้ยง: ฮ่า ๆ ฉันสังเกตเห็นแล้ว! เธอเป็นลูกหมูที่ขี้เล่น แต่การกัดมันเจ็บนะ หมูเด้ง หมูเด้ง: อุ๊ย ฉันไม่ได้ตั้งใจ! ฉันแค่ดีใจมาก ๆ เวลาที่เราเล่นด้วยกัน คนเลี้ยง: ฉันเข้าใจ แต่เธอต้องอ่อนโยนหน่อย การกัดอาจเป็นอันตรายได้นะ ถึงแม้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจก็ตาม หมูเด้ง: ฉันจะพยายามจำไว้! บางทีฉันอาจจะแค่ชนพี่แทนการกัด คนเลี้ยง: นั่นฟังดูเป็นความคิดที่ดีนะ เราจะยังเล่นสนุกกันได้ แต่ไม่มีการกัด! หมูเด้ง: ขอบคุณนะ พี่คนเลี้ยง ฉันชอบเล่นกับพี่มาก ๆ หลังจากกินเสร็จ! คนเลี้ยง: ฉันก็ชอบเล่นกับเธอเหมือนกัน หมูเด้ง แค่จำไว้ว่าต้องอ่อนโยนนะ โดยเฉพาะตอนที่เธอตื่นเต้น หมูเด้ง: ฉันจะจำไว้! ตอนนี้ฉันขอแครอทได้ไหม? มันทำให้ฉันง่วงนอนทุกที! คนเลี้ยง: ได้สิ! กินแครอทให้อร่อยนะ แล้วก็นอนพักให้สบาย อย่าลืมว่าไม่ต้องกัดอีกแล้วนะ! Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้) Sleepy (adj.) แปลว่า ง่วงนอน (สลีพ-พี) Digest (v.) แปลว่า ย่อยอาหาร (ได-เจสท์) Meal (n.) แปลว่า มื้ออาหาร (มีล) Rest (v.) แปลว่า พักผ่อน (เรสท์) Excited (adj.) แปลว่า ตื่นเต้น (อิค-ไซ-ทิด) Playful (adj.) แปลว่า ขี้เล่น (เพลย์-ฟูล) Gentle (adj.) แปลว่า อ่อนโยน (เจน-เทิล) Tease (v.) แปลว่า แกล้ง (ทีซ) Hurt (v.) แปลว่า ทำให้เจ็บ (เฮิร์ท) Nudge (v.) แปลว่า ดันเบาๆ, ชนเบาๆ (นัดจ์) Healthy (adj.) แปลว่า สุขภาพดี (เฮล-ธี) Crunchy (adj.) แปลว่า กรอบ (ครัน-ชี่) Bite (v.) แปลว่า กัด (ไบท์) Play (v.) แปลว่า เล่น (เพลย์) Carrot (n.) แปลว่า แครอท (แคร-รอท)
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 673 Views 0 Reviews
  • #เห็นจะเป็นเพราะรัก
    #มนันยา
    #เรื่องสั้น
    #ของขวัญ
    #ของขวัญวันคริสต์มาส
    #thaitimes
    #หนังสือน่าอ่าน

    วันก่อนอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นรวมเรื่องสั้นแนวความรัก ในเล่มมี 27 เรื่องแปลจากฝั่งตะวันตกโดยสำนวนของมนันยา มีภาพประกอบสีสวยการ์ตูนแฟชั่นทุกเรื่อง เกือบทุกเรื่องเป็นรักของชายหญิงหลากหลายอาชีพ หลายวัย ที่มีรูปแบบการแสดงออกอย่างชาวตะวันตก ซึ่งส่วนตัวไม่ได้อินมากด้วยความที่แต่ละเรื่องไม่ยาวเท่าไร จึงไม่มีรายละเอียดมากพอจะทำให้รู้สึกเอาใจช่วยไปกับตัวละครในเรื่องนัก มีที่ชอบอยู่บ้าง แต่มีเรื่องหนึ่งประทับใจมากเป็นพิเศษ ทั้งที่ในเนื้อหานั้นไม่มีความรักแบบชายหนุ่มหญิงสาวที่ดิ้นรนแสวงหาคนเพื่อมาอยู่ข้างกายเลย แต่ความรักที่ปรากฏในเรื่องนี้ช่างงดงามและสร้างพลัง ช่วยชุบชูจิตใจให้รู้สึกอบอุ่น และมีหวังต่อโลกใบนี้ขึ้นมาไม่น้อย

    ตอนดังกล่าวนี้คือเรื่องแรกของเล่มที่มีชื่อว่า ของขวัญ

    เรื่องมีว่า ชายสูงวัยที่สูญเสียเมียที่อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีไป ทำให้เขาทนอยู่บ้านเดิมหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำกับเธอไม่ได้ จึงขายแล้วย้ายมาซื้อบ้านหลังเล็กสำหรับคนเดียว ในตำบลอันห่างไกลริมชายฝั่งซึ่งไร้คนรู้จัก ชอบอยู่เงียบ ๆ ไม่สุงสิงกับใคร ไม่ชอบร่วมกิจกรรมเข้าสังคมโดยเฉพาะในวันคริสต์มาสและช่วงเทศกาลที่เขาไม่ชอบอย่างยิ่ง เห็นเป็นความสิ้นเปลือง มีแต่กินแล้วก็มอบของขวัญให้กัน ทำให้ห่างไกลใจความสำคัญและความหมายแท้จริง เขาไม่เห็นด้วยกับการให้ของตามใจที่เด็กอยากได้ เพราะสร้างนิสัยให้เด็กคิดว่าต้องได้ของขวัญเสมอในวันคริสต์มาส เขาบอกตัวเองว่าไม่ได้เกลียดวันคริสต์มาสอย่างตาเฒ่าสครูจใน A Christmas Carol จนวิญญาณเพื่อนเก่าที่ตายไปชื่อ เจค็อบ มาร์เลย์ ต้องมาเตือน

    วันคริสต์มาสที่จะมาถึงในคืนนั้น ช่วงกลางวันเขาออกไปซื้อของที่สโตร์ห่างไปไม่ไกล ซึ่งคุ้นเคยกับหญิงเจ้าของร้านอยู่บ้างเพราะต้องมาซื้อข้าวของบ่อย ตอนเดินเข้าไปหญิงเจ้าของร้านยิ้มแย้มต้อนรับ ชวนคุยเกี่ยวกับหุ่นจำลองนกแก้วขนาดยักษ์ที่แขวนห้อยอยู่บนเพดานกลางร้านซึ่งมีสีสันสดสวยและปีกยาวใหญ่ เธอบอกว่าจะให้เป็นของขวัญคริสต์มาส สำหรับผู้ที่ซื้อของปอนด์หนึ่งจะได้รับการเขียนชื่อไว้จับสลาก1 ใบ แล้วเธอจะเขียนชื่อลงในบัตรให้เขาด้วย ชายชราที่นึกรังเกียจเจ้านกยักษ์จำต้องเออออไปกับเธอ บอกว่าเขาเป็นคนไร้โชคมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยถูกรางวัลใด ๆ คงไม่มีหวังหรอก

    หลังเขากลับมาบ้านและกำลังพักผ่อนตามสบายนั้น โทรศัพท์จากหญิงเจ้าของร้านดังขึ้น เมื่อเขารับ เธอบอกด้วยความดีใจว่าเขาต้องไม่เชื่อแน่เลยว่าชื่อที่จับสลากได้นกแก้วตัวนั้นก็คือเขา เธอขอให้เขาขับรถมานำของขวัญกลับบ้าน นี่เป็นเหมือนทุกขลาภที่ตนไม่อยากได้แต่ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจ ด้วยเธอคือบุคคลหนึ่งในจำนวนน้อยนิดเพียงไม่กี่คนที่เขารู้จัก ต้องรักษาความเป็นเพื่อนที่ดีไว้ จึงจำใจขับรถกลับไปรับนกแก้วยักษ์ขนาด 6 ฟุตตัวนั้น เมื่อเอาเข้าไปไว้ในรถก็เต็มที่ว่างจนชนกระจก เขาใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะกำจัดมันได้อย่างไร จะเอาทิ้งทันทีไม่ได้แน่ของใหญ่อย่างนี้ ไม่นานจะรู้ถึงหูเจ้าของร้าน

    ในที่สุดเขานึกออก ตัดสินใจขับรถมุ่งหน้าไปสถานเลี้ยงเด็กซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยร่วมอยู่ในที่ประชุม และมีคนเสนอให้ขายที่ดินว่างเปล่า แต่เขาคัดค้านเพราะจะทำให้เด็ก ๆ ไม่มีพื้นที่วิ่งเล่น เมื่อไปถึงสถานเลี้ยงเด็ก ผู้ดูแลหญิงเอ่ยทักทาย เธอจำได้ว่าชายชราคือบุคคลหนึ่งซึ่งช่วยให้เด็ก ๆ ยังมีพื้นที่กลางแจ้งไว้สันทนาการ เขารีบบอกว่านำนกแก้วยักษ์มามอบให้เป็นของขวัญคริสต์มาสแก่เด็ก ๆ (ทั้งที่ไม่เคยมีความคิดนี้อยู่ในหัวมาก่อน) แต่ผู้ดูแลสาวจำต้องกล่าวปฏิเสธ แม้จะซาบซึ้งในความมีน้ำใจของเขามากเพราะนกนั้นตัวใหญ่เกินไป

    เธอเล่าว่าถ้าเป็นไก่งวงตัวใหญ่ที่กินได้จะรีบรับไว้เลย ด้วยเหตุว่าทางสถานเลี้ยงเด็กไม่มีเงินมากพอจะจัดอาหารเลี้ยงในคืนวันคริสต์มาส ชายชราจึงควักธนบัตรหลายใบที่มีมูลค่ามากพอสมควรยื่นให้ผู้ดูแล พร้อมบอกว่าขอเป็นเจ้าภาพอุปการะการกินเลี้ยงของเด็ก แม้นเธอจะไม่กล้ารับแต่เขายืนยันบอกว่าตนเองมีพอไม่เดือดร้อน และกำชับว่าช่วยจัดอาหารดี ๆ ให้พวกเขาด้วย สุขสันต์วันคริสต์มาสนะ แล้วแบกนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถ ขับต่อไปพลางคิดว่าจะกำจัดมันไปที่ไหนดี

    เขานึกถึงโรงเรียนอนุบาล เด็กเล็กต้องชอบแน่เขามั่นใจ จึงมุ่งหน้าไปถึงโรงเรียน จอดรถและแบกนกยักษ์เข้าไป เขามองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงระเบียงจึงตรงเข้าไปถามว่าเธอคือครูใช่ไหม หญิงสาวบอกชื่อและทักทายชายชรา เธอจำได้ว่าเขาคือคนบริจาคเงินให้โรงเรียนตอนที่จัดซื้อรถมินิบัส เขาแปลกใจที่มีคนจำเรื่องนั้นได้ ความจริงเขาทราบจากหญิงเจ้าของร้านขายของว่าโรงเรียนลำบากในการเดินทางพาเด็กไปว่ายน้ำในสระที่อยู่อีกตำบลซึ่งห่างไกล เขาจำได้ว่าตอนเมียยังมีชีวิตมักพูดว่าถ้าชาวบ้านช่วยโรงเรียนได้ก็ควรช่วย เขาจึงบริจาคช่วยไปโดยไม่คิดอะไร

    ครูสาวจำต้องปฏิเสธนกแก้วยักษ์เช่นกัน เธอบอกว่าโรงเรียนคับแคบไม่มีที่พอจะแขวน ลำพังเด็ก35คนวิ่งไปมาก็แทบแย่แล้ว แต่ยังไม่ทันที่ชายชราจะขนนกกลับ เด็กหลายคนมองมาเห็นเข้าจึงพากันเข้ามารุมล้อมชื่นชมนกแก้วตัวใหญ่ด้วยแววตาเป็นประกาย พลางแข่งกันถามมากมายเช่นว่า

    มันกัดไหมค่ะ

    มันบินได้หรือเปล่าฮะ

    ขอผมดูหน่อย

    ขอหนูจับหน่อยนะคะ

    นุ่มไหมฮะ

    ที่สุดครูก็ไม่สามารถจะห้ามเด็กได้ จึงยอมให้เขานำนกเข้าไปในห้องเรียนครู่หนึ่งเพื่อให้เด็กทุกคนได้ชื่นชม จับต้อง เด็กกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่

    " ซ้วยสวย.. ตัวมันใหญ่นะ.."

    ครูสาวถือโอกาสสอนเรื่องสีโดยถามเด็ก ๆ ว่าส่วนต่าง ๆ ของนกแก้วสีอะไรบ้าง เด็กแต่ละคนพยายามหน่วงเหนี่ยวเวลาให้เขาอยู่นานที่สุด โดยเรียกไปชมต้นไม้ที่เขาทำ งานประดิษฐ์ที่อยากอวด ชายชราชมของทุกชิ้นของเด็ก ๆ ก่อนจะนำนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถและนึกหาสถานที่ใหม่ จะมีที่ไหนอีกหนอ

    เขานึกได้ถึงหญิงที่รับจ้างซักรีดให้ตนที่ยากจนและมีลูก 2 คน เมื่อไปถึงบ้านของเธอก็ได้พบว่าเล็กยังกับรูหนู ไม่มีทางเลยที่จะมีที่ให้แขวนนกได้ แม่ของเด็กพูดว่า จะเป็นของอะไรก็ดีทั้งนั้นถ้าวางใต้ต้นคริสต์มาส แต่สามีเธอตกงานมา 3 สัปดาหืแล้ว เธอพยายามหาเงินจนพอซื้อไก่งวงตัวหนึ่ง และวัตถุดิบทำพายได้สัก 2-3 ชิ้น นั่นคือทั้งหมดที่พอจะมีในคืนคริสต์มาสนี้ สามีไม่ยอมให้กู้ยืมใคร ลูกทั้งสองอยากได้จักรยานมานาน แต่เธอต้องสอนให้เขารู้ว่าการอยากได้ กับการได้รับนั้นต่างกัน

    ชายชราบอกว่าเด้กสองคนนิสัยดี สภาพ มักวิ่งมาเปิดประตูรถให้เขาเสมอ ให้เขาเป็นซานต้าให้เด็ก ๆ แล้วกัน พลางหยิบสมุดเช็กออกมาเขียน บอกกับคนเป็นแม่ว่า ซื้อจักรยานดี ๆ ที่เขาอยากได้ให้พวกเด็กคนละคันนะ หญิงสาวไม่กล้ารับ บอกว่าสามีเธอไม่ชอบให้รับบริจาค เขาเกลียดการขอ ชายชราตัดบทว่าเหลวไหล ให้บอกสามีว่าเขาเป็นคนเคี่ยวเข็ยเองให้รับ เพราะเขาไม่มีลูกเลย จากนั้นก็แบกนกแก้วยักษ์ยัดกลับเข้ารถตรงกลับบ้าน บัดนี้เขาไม่รู้จะเอามันไปให้ใคร ไม่สนใจแล้วว่าเจ้าของร้านที่ให้นกมาจะคิดอย่างไร เขาจะเอามันไปโยนลงถังขยะ แต่ถังก้เล้กเกิน เขาจึงจำใจเอานกตัวนั้นกลับบ้านวางกองไว้ในห้องรับแขก พรุ่งนี้ค่อยหาทาง

    เขาพักผ่อนกินของว่าง ชงกาแฟดื่ม ขระที่ดวงตานกยักษืมองจ้องมาตลอดเวลา สุดท้ายเขาจึงคิดว่าปล่อยมันบนพื้นอย่างนี้คงไม่ดี เพราะไม่อยากถูกจ้อง จึงทำห่วงแล้วเอามันห้อยแขวนไว้ชั่วคราว แล้วเขาก้ได้ยินเสียงบางอย่างนอกบ้าน มองออกไปเห็นรถสถานเลี้ยงเด็กมาจอด เด็ก ๆ กรูลงมายืนร้องเพลง โอ ลิตเติลทาวน์ ออฟ เบธเลเฮม ทำเอาหัวใจเขาแปลบ จึงเปิดประตูให้เด็ก ๆ เข้ามา เด็ก ๆ ร้องไซเลนไนท์ ต่อด้วย วี วิช ยู เอ เมอร์รี คริสต์มาส ชายชราสั่งน้ำมูก ผู้ดูแลบอกว่าเด็ก ๆ อยากมาร้องเพลงเพื่อขอบคุณ ทุกคนเข้าไปจับนกที่ห้อยอยู่ก่อนจะกลับ

    ครู่เดียวต่อมา เด็กชายสองคนมาเคาะประตุด้วยความตื่นเต้น เขาเอาพายมาให้ชายชราพร้อมบอกว่า สวัสดีวันคริสต์มาส แม่เด็กยืนโบกมืออยู่ตรงรั้วและกล่าวประโยคเดียวกับลูกของเธอ ชายชราก้มลงบอกว่า หวังว่าวานต้าจะนำของที่หนุอยากได้มาให้นะ แล้วก็ฉงนใจตัวเองนี่เขากำลังทำให้เด็กเกิดความโลภหรือไม่

    เขากลับเข้าบ้านพร้อมจานพานในมือ คุยกับนกแก้วยักษืว่าเสียใจด้วยนะที่แกกินไม่ได้ ต่อจากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูอีก คุรครูจากโรงเรียนอนุบาลและเด็ก 4 คน เธอบอกว่าเด็ก ๆ อยากทำอะไรเพื่อให้เขารู้ว่านกแก้วตัวนั้นวิเศษเพียงใดก้เลยวาดรูปมาให้ แล้วก็สวัสดีวันคริสต์มาส ชายชราซาบซึ้งบอกว่าเข้ามาก่อนสิ เขาจะเอาภาพติดฝาผนัง

    เด็กหญิงคนหนึ่งเข้าไปยืนหน้านก ชื่นชมว่านกสวยอย่างไร และแกใช้ทุกสีในการวาด ถึงตอนครูจะพากลับ เด็กหญิงหันมาเปรยบอกหูคิดว่ามันอยากเป็นเพื่อนกับหนู ชายชราเห็นด้วย เด็กหญิงพูดต่อว่า ถ้าจะเป็นเพื่อนกันก็ต้องรู้จักชื่อด้วย ชายชรานิ่งอึ้ง หันไปมองเจ้านกแก้วยักษ์ เหมือนมันจะมองตอบแล้วส่งกระแสอะไรบางอย่าง เขาคิดว่ารู้แล้วว่านกชื่ออะไรจึงยิ้มให้เด็กน้อย พลางตอบว่า

    มันชื่อเจค็อบจ้ะ ..เจค็อบ มาร์เลย์
    #เห็นจะเป็นเพราะรัก #มนันยา #เรื่องสั้น #ของขวัญ #ของขวัญวันคริสต์มาส #thaitimes #หนังสือน่าอ่าน วันก่อนอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นรวมเรื่องสั้นแนวความรัก ในเล่มมี 27 เรื่องแปลจากฝั่งตะวันตกโดยสำนวนของมนันยา มีภาพประกอบสีสวยการ์ตูนแฟชั่นทุกเรื่อง เกือบทุกเรื่องเป็นรักของชายหญิงหลากหลายอาชีพ หลายวัย ที่มีรูปแบบการแสดงออกอย่างชาวตะวันตก ซึ่งส่วนตัวไม่ได้อินมากด้วยความที่แต่ละเรื่องไม่ยาวเท่าไร จึงไม่มีรายละเอียดมากพอจะทำให้รู้สึกเอาใจช่วยไปกับตัวละครในเรื่องนัก มีที่ชอบอยู่บ้าง แต่มีเรื่องหนึ่งประทับใจมากเป็นพิเศษ ทั้งที่ในเนื้อหานั้นไม่มีความรักแบบชายหนุ่มหญิงสาวที่ดิ้นรนแสวงหาคนเพื่อมาอยู่ข้างกายเลย แต่ความรักที่ปรากฏในเรื่องนี้ช่างงดงามและสร้างพลัง ช่วยชุบชูจิตใจให้รู้สึกอบอุ่น และมีหวังต่อโลกใบนี้ขึ้นมาไม่น้อย ตอนดังกล่าวนี้คือเรื่องแรกของเล่มที่มีชื่อว่า ของขวัญ เรื่องมีว่า ชายสูงวัยที่สูญเสียเมียที่อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีไป ทำให้เขาทนอยู่บ้านเดิมหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำกับเธอไม่ได้ จึงขายแล้วย้ายมาซื้อบ้านหลังเล็กสำหรับคนเดียว ในตำบลอันห่างไกลริมชายฝั่งซึ่งไร้คนรู้จัก ชอบอยู่เงียบ ๆ ไม่สุงสิงกับใคร ไม่ชอบร่วมกิจกรรมเข้าสังคมโดยเฉพาะในวันคริสต์มาสและช่วงเทศกาลที่เขาไม่ชอบอย่างยิ่ง เห็นเป็นความสิ้นเปลือง มีแต่กินแล้วก็มอบของขวัญให้กัน ทำให้ห่างไกลใจความสำคัญและความหมายแท้จริง เขาไม่เห็นด้วยกับการให้ของตามใจที่เด็กอยากได้ เพราะสร้างนิสัยให้เด็กคิดว่าต้องได้ของขวัญเสมอในวันคริสต์มาส เขาบอกตัวเองว่าไม่ได้เกลียดวันคริสต์มาสอย่างตาเฒ่าสครูจใน A Christmas Carol จนวิญญาณเพื่อนเก่าที่ตายไปชื่อ เจค็อบ มาร์เลย์ ต้องมาเตือน วันคริสต์มาสที่จะมาถึงในคืนนั้น ช่วงกลางวันเขาออกไปซื้อของที่สโตร์ห่างไปไม่ไกล ซึ่งคุ้นเคยกับหญิงเจ้าของร้านอยู่บ้างเพราะต้องมาซื้อข้าวของบ่อย ตอนเดินเข้าไปหญิงเจ้าของร้านยิ้มแย้มต้อนรับ ชวนคุยเกี่ยวกับหุ่นจำลองนกแก้วขนาดยักษ์ที่แขวนห้อยอยู่บนเพดานกลางร้านซึ่งมีสีสันสดสวยและปีกยาวใหญ่ เธอบอกว่าจะให้เป็นของขวัญคริสต์มาส สำหรับผู้ที่ซื้อของปอนด์หนึ่งจะได้รับการเขียนชื่อไว้จับสลาก1 ใบ แล้วเธอจะเขียนชื่อลงในบัตรให้เขาด้วย ชายชราที่นึกรังเกียจเจ้านกยักษ์จำต้องเออออไปกับเธอ บอกว่าเขาเป็นคนไร้โชคมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยถูกรางวัลใด ๆ คงไม่มีหวังหรอก หลังเขากลับมาบ้านและกำลังพักผ่อนตามสบายนั้น โทรศัพท์จากหญิงเจ้าของร้านดังขึ้น เมื่อเขารับ เธอบอกด้วยความดีใจว่าเขาต้องไม่เชื่อแน่เลยว่าชื่อที่จับสลากได้นกแก้วตัวนั้นก็คือเขา เธอขอให้เขาขับรถมานำของขวัญกลับบ้าน นี่เป็นเหมือนทุกขลาภที่ตนไม่อยากได้แต่ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจ ด้วยเธอคือบุคคลหนึ่งในจำนวนน้อยนิดเพียงไม่กี่คนที่เขารู้จัก ต้องรักษาความเป็นเพื่อนที่ดีไว้ จึงจำใจขับรถกลับไปรับนกแก้วยักษ์ขนาด 6 ฟุตตัวนั้น เมื่อเอาเข้าไปไว้ในรถก็เต็มที่ว่างจนชนกระจก เขาใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะกำจัดมันได้อย่างไร จะเอาทิ้งทันทีไม่ได้แน่ของใหญ่อย่างนี้ ไม่นานจะรู้ถึงหูเจ้าของร้าน ในที่สุดเขานึกออก ตัดสินใจขับรถมุ่งหน้าไปสถานเลี้ยงเด็กซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยร่วมอยู่ในที่ประชุม และมีคนเสนอให้ขายที่ดินว่างเปล่า แต่เขาคัดค้านเพราะจะทำให้เด็ก ๆ ไม่มีพื้นที่วิ่งเล่น เมื่อไปถึงสถานเลี้ยงเด็ก ผู้ดูแลหญิงเอ่ยทักทาย เธอจำได้ว่าชายชราคือบุคคลหนึ่งซึ่งช่วยให้เด็ก ๆ ยังมีพื้นที่กลางแจ้งไว้สันทนาการ เขารีบบอกว่านำนกแก้วยักษ์มามอบให้เป็นของขวัญคริสต์มาสแก่เด็ก ๆ (ทั้งที่ไม่เคยมีความคิดนี้อยู่ในหัวมาก่อน) แต่ผู้ดูแลสาวจำต้องกล่าวปฏิเสธ แม้จะซาบซึ้งในความมีน้ำใจของเขามากเพราะนกนั้นตัวใหญ่เกินไป เธอเล่าว่าถ้าเป็นไก่งวงตัวใหญ่ที่กินได้จะรีบรับไว้เลย ด้วยเหตุว่าทางสถานเลี้ยงเด็กไม่มีเงินมากพอจะจัดอาหารเลี้ยงในคืนวันคริสต์มาส ชายชราจึงควักธนบัตรหลายใบที่มีมูลค่ามากพอสมควรยื่นให้ผู้ดูแล พร้อมบอกว่าขอเป็นเจ้าภาพอุปการะการกินเลี้ยงของเด็ก แม้นเธอจะไม่กล้ารับแต่เขายืนยันบอกว่าตนเองมีพอไม่เดือดร้อน และกำชับว่าช่วยจัดอาหารดี ๆ ให้พวกเขาด้วย สุขสันต์วันคริสต์มาสนะ แล้วแบกนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถ ขับต่อไปพลางคิดว่าจะกำจัดมันไปที่ไหนดี เขานึกถึงโรงเรียนอนุบาล เด็กเล็กต้องชอบแน่เขามั่นใจ จึงมุ่งหน้าไปถึงโรงเรียน จอดรถและแบกนกยักษ์เข้าไป เขามองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงระเบียงจึงตรงเข้าไปถามว่าเธอคือครูใช่ไหม หญิงสาวบอกชื่อและทักทายชายชรา เธอจำได้ว่าเขาคือคนบริจาคเงินให้โรงเรียนตอนที่จัดซื้อรถมินิบัส เขาแปลกใจที่มีคนจำเรื่องนั้นได้ ความจริงเขาทราบจากหญิงเจ้าของร้านขายของว่าโรงเรียนลำบากในการเดินทางพาเด็กไปว่ายน้ำในสระที่อยู่อีกตำบลซึ่งห่างไกล เขาจำได้ว่าตอนเมียยังมีชีวิตมักพูดว่าถ้าชาวบ้านช่วยโรงเรียนได้ก็ควรช่วย เขาจึงบริจาคช่วยไปโดยไม่คิดอะไร ครูสาวจำต้องปฏิเสธนกแก้วยักษ์เช่นกัน เธอบอกว่าโรงเรียนคับแคบไม่มีที่พอจะแขวน ลำพังเด็ก35คนวิ่งไปมาก็แทบแย่แล้ว แต่ยังไม่ทันที่ชายชราจะขนนกกลับ เด็กหลายคนมองมาเห็นเข้าจึงพากันเข้ามารุมล้อมชื่นชมนกแก้วตัวใหญ่ด้วยแววตาเป็นประกาย พลางแข่งกันถามมากมายเช่นว่า มันกัดไหมค่ะ มันบินได้หรือเปล่าฮะ ขอผมดูหน่อย ขอหนูจับหน่อยนะคะ นุ่มไหมฮะ ที่สุดครูก็ไม่สามารถจะห้ามเด็กได้ จึงยอมให้เขานำนกเข้าไปในห้องเรียนครู่หนึ่งเพื่อให้เด็กทุกคนได้ชื่นชม จับต้อง เด็กกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ " ซ้วยสวย.. ตัวมันใหญ่นะ.." ครูสาวถือโอกาสสอนเรื่องสีโดยถามเด็ก ๆ ว่าส่วนต่าง ๆ ของนกแก้วสีอะไรบ้าง เด็กแต่ละคนพยายามหน่วงเหนี่ยวเวลาให้เขาอยู่นานที่สุด โดยเรียกไปชมต้นไม้ที่เขาทำ งานประดิษฐ์ที่อยากอวด ชายชราชมของทุกชิ้นของเด็ก ๆ ก่อนจะนำนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถและนึกหาสถานที่ใหม่ จะมีที่ไหนอีกหนอ เขานึกได้ถึงหญิงที่รับจ้างซักรีดให้ตนที่ยากจนและมีลูก 2 คน เมื่อไปถึงบ้านของเธอก็ได้พบว่าเล็กยังกับรูหนู ไม่มีทางเลยที่จะมีที่ให้แขวนนกได้ แม่ของเด็กพูดว่า จะเป็นของอะไรก็ดีทั้งนั้นถ้าวางใต้ต้นคริสต์มาส แต่สามีเธอตกงานมา 3 สัปดาหืแล้ว เธอพยายามหาเงินจนพอซื้อไก่งวงตัวหนึ่ง และวัตถุดิบทำพายได้สัก 2-3 ชิ้น นั่นคือทั้งหมดที่พอจะมีในคืนคริสต์มาสนี้ สามีไม่ยอมให้กู้ยืมใคร ลูกทั้งสองอยากได้จักรยานมานาน แต่เธอต้องสอนให้เขารู้ว่าการอยากได้ กับการได้รับนั้นต่างกัน ชายชราบอกว่าเด้กสองคนนิสัยดี สภาพ มักวิ่งมาเปิดประตูรถให้เขาเสมอ ให้เขาเป็นซานต้าให้เด็ก ๆ แล้วกัน พลางหยิบสมุดเช็กออกมาเขียน บอกกับคนเป็นแม่ว่า ซื้อจักรยานดี ๆ ที่เขาอยากได้ให้พวกเด็กคนละคันนะ หญิงสาวไม่กล้ารับ บอกว่าสามีเธอไม่ชอบให้รับบริจาค เขาเกลียดการขอ ชายชราตัดบทว่าเหลวไหล ให้บอกสามีว่าเขาเป็นคนเคี่ยวเข็ยเองให้รับ เพราะเขาไม่มีลูกเลย จากนั้นก็แบกนกแก้วยักษ์ยัดกลับเข้ารถตรงกลับบ้าน บัดนี้เขาไม่รู้จะเอามันไปให้ใคร ไม่สนใจแล้วว่าเจ้าของร้านที่ให้นกมาจะคิดอย่างไร เขาจะเอามันไปโยนลงถังขยะ แต่ถังก้เล้กเกิน เขาจึงจำใจเอานกตัวนั้นกลับบ้านวางกองไว้ในห้องรับแขก พรุ่งนี้ค่อยหาทาง เขาพักผ่อนกินของว่าง ชงกาแฟดื่ม ขระที่ดวงตานกยักษืมองจ้องมาตลอดเวลา สุดท้ายเขาจึงคิดว่าปล่อยมันบนพื้นอย่างนี้คงไม่ดี เพราะไม่อยากถูกจ้อง จึงทำห่วงแล้วเอามันห้อยแขวนไว้ชั่วคราว แล้วเขาก้ได้ยินเสียงบางอย่างนอกบ้าน มองออกไปเห็นรถสถานเลี้ยงเด็กมาจอด เด็ก ๆ กรูลงมายืนร้องเพลง โอ ลิตเติลทาวน์ ออฟ เบธเลเฮม ทำเอาหัวใจเขาแปลบ จึงเปิดประตูให้เด็ก ๆ เข้ามา เด็ก ๆ ร้องไซเลนไนท์ ต่อด้วย วี วิช ยู เอ เมอร์รี คริสต์มาส ชายชราสั่งน้ำมูก ผู้ดูแลบอกว่าเด็ก ๆ อยากมาร้องเพลงเพื่อขอบคุณ ทุกคนเข้าไปจับนกที่ห้อยอยู่ก่อนจะกลับ ครู่เดียวต่อมา เด็กชายสองคนมาเคาะประตุด้วยความตื่นเต้น เขาเอาพายมาให้ชายชราพร้อมบอกว่า สวัสดีวันคริสต์มาส แม่เด็กยืนโบกมืออยู่ตรงรั้วและกล่าวประโยคเดียวกับลูกของเธอ ชายชราก้มลงบอกว่า หวังว่าวานต้าจะนำของที่หนุอยากได้มาให้นะ แล้วก็ฉงนใจตัวเองนี่เขากำลังทำให้เด็กเกิดความโลภหรือไม่ เขากลับเข้าบ้านพร้อมจานพานในมือ คุยกับนกแก้วยักษืว่าเสียใจด้วยนะที่แกกินไม่ได้ ต่อจากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูอีก คุรครูจากโรงเรียนอนุบาลและเด็ก 4 คน เธอบอกว่าเด็ก ๆ อยากทำอะไรเพื่อให้เขารู้ว่านกแก้วตัวนั้นวิเศษเพียงใดก้เลยวาดรูปมาให้ แล้วก็สวัสดีวันคริสต์มาส ชายชราซาบซึ้งบอกว่าเข้ามาก่อนสิ เขาจะเอาภาพติดฝาผนัง เด็กหญิงคนหนึ่งเข้าไปยืนหน้านก ชื่นชมว่านกสวยอย่างไร และแกใช้ทุกสีในการวาด ถึงตอนครูจะพากลับ เด็กหญิงหันมาเปรยบอกหูคิดว่ามันอยากเป็นเพื่อนกับหนู ชายชราเห็นด้วย เด็กหญิงพูดต่อว่า ถ้าจะเป็นเพื่อนกันก็ต้องรู้จักชื่อด้วย ชายชรานิ่งอึ้ง หันไปมองเจ้านกแก้วยักษ์ เหมือนมันจะมองตอบแล้วส่งกระแสอะไรบางอย่าง เขาคิดว่ารู้แล้วว่านกชื่ออะไรจึงยิ้มให้เด็กน้อย พลางตอบว่า มันชื่อเจค็อบจ้ะ ..เจค็อบ มาร์เลย์
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 1117 Views 0 Reviews