• รมว.ต่างประเทศ แจง MOU "แร่ธาตุสำคัญ" ไทย-สหรัฐฯ ไม่มีผลผูกมัดทางกฎหมาย เน้นถ่ายทอดเทคโนโลยี
    https://www.thai-tai.tv/news/22076/
    .
    #ไทยไท #สีหศักดิ์พวงเกตุแก้ว #แร่ธาตุสำคัญ #MOUไทยสหรัฐฯ #ห่วงโซ่อุปทาน #อัตราภาษีนำเข้า
    รมว.ต่างประเทศ แจง MOU "แร่ธาตุสำคัญ" ไทย-สหรัฐฯ ไม่มีผลผูกมัดทางกฎหมาย เน้นถ่ายทอดเทคโนโลยี https://www.thai-tai.tv/news/22076/ . #ไทยไท #สีหศักดิ์พวงเกตุแก้ว #แร่ธาตุสำคัญ #MOUไทยสหรัฐฯ #ห่วงโซ่อุปทาน #อัตราภาษีนำเข้า
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • รมว.คลัง กล่าวถึงความคืบหน้าการเจรจามาตรการภาษีกับสหรัฐฯ ว่า สิ่งที่ไทยยื่นข้อเสนอไปล่าสุดนั้น เป็นการปรับปรุงจากข้อเสนอเดิม โดยเฉพาะเรื่องอัตราภาษี ซึ่งไทยอาจจะต้องให้อัตราภาษีนำเข้ากับสินค้าสหรัฐฯ 0% มากพอสมควร แต่คงไม่ได้ให้ทั้งหมดทุกรายการ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000063994

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    รมว.คลัง กล่าวถึงความคืบหน้าการเจรจามาตรการภาษีกับสหรัฐฯ ว่า สิ่งที่ไทยยื่นข้อเสนอไปล่าสุดนั้น เป็นการปรับปรุงจากข้อเสนอเดิม โดยเฉพาะเรื่องอัตราภาษี ซึ่งไทยอาจจะต้องให้อัตราภาษีนำเข้ากับสินค้าสหรัฐฯ 0% มากพอสมควร แต่คงไม่ได้ให้ทั้งหมดทุกรายการ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000063994 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Sad
    2
    0 Comments 0 Shares 499 Views 0 Reviews
  • สหรัฐฯ เตรียมปรับอัตราภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมนำเข้าส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 2 เท่า ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ คาดหวังว่าพันธมิตรทางการค้าจะยื่น "ข้อเสนอที่ดีที่สุด" เพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษอัตราภาษีนำเข้าต่อสินค้าอื่นๆ ที่จะมีผลบังคับใช้ในช่วงต้นเดือน ก.ค.
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000052117

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    สหรัฐฯ เตรียมปรับอัตราภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมนำเข้าส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 2 เท่า ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ คาดหวังว่าพันธมิตรทางการค้าจะยื่น "ข้อเสนอที่ดีที่สุด" เพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษอัตราภาษีนำเข้าต่อสินค้าอื่นๆ ที่จะมีผลบังคับใช้ในช่วงต้นเดือน ก.ค. . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000052117 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Haha
    9
    0 Comments 0 Shares 1101 Views 0 Reviews
  • บทความนี้กล่าวถึงผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่มีต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดยการวิเคราะห์จาก TechInsights ระบุว่าหากอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ที่ระดับสูงถึง 40% ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกอาจหดตัวลงถึง 34% ในปี 2026 เมื่อเทียบกับการคาดการณ์เดิม

    ในปัจจุบัน สหรัฐฯ และจีนต่างกำหนดอัตราภาษีที่สูงกว่า 100% ต่อสินค้านำเข้าจากกันและกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะในด้านการผลิตและการส่งออก นอกจากนี้ จีนยังได้ห้ามการส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

    TechInsights คาดการณ์ว่าหากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 10% ตลาดเซมิคอนดักเตอร์จะมีมูลค่า 844 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2026 แต่หากอัตราภาษีทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 40% ตลาดจะหดตัวลงเหลือเพียง 557 พันล้านดอลลาร์

    อัตราภาษีและผลกระทบต่อการเติบโต
    - อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ สูงถึง 40% อาจทำให้ตลาดเซมิคอนดักเตอร์หดตัวลงถึง 34% ในปี 2026
    - หากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 10% ตลาดจะมีมูลค่า 844 พันล้านดอลลาร์

    การตอบโต้ของจีน
    - จีนกำหนดอัตราภาษี 125% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ
    - ห้ามการส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐฯ

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    - การผลิตและการส่งออกได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีที่สูง
    - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกอาจหดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ

    การคาดการณ์ของ TechInsights
    - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์จะมีมูลค่า 557 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026 หากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 40%

    https://wccftech.com/techinsights-if-the-average-us-import-tariff-rate-remains-sticky-at-40-percent-the-global-semiconductor-market-will-shrink-by-a-third-in-2026/
    บทความนี้กล่าวถึงผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่มีต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดยการวิเคราะห์จาก TechInsights ระบุว่าหากอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ที่ระดับสูงถึง 40% ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกอาจหดตัวลงถึง 34% ในปี 2026 เมื่อเทียบกับการคาดการณ์เดิม ในปัจจุบัน สหรัฐฯ และจีนต่างกำหนดอัตราภาษีที่สูงกว่า 100% ต่อสินค้านำเข้าจากกันและกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะในด้านการผลิตและการส่งออก นอกจากนี้ จีนยังได้ห้ามการส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ TechInsights คาดการณ์ว่าหากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 10% ตลาดเซมิคอนดักเตอร์จะมีมูลค่า 844 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2026 แต่หากอัตราภาษีทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 40% ตลาดจะหดตัวลงเหลือเพียง 557 พันล้านดอลลาร์ ✅ อัตราภาษีและผลกระทบต่อการเติบโต - อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ สูงถึง 40% อาจทำให้ตลาดเซมิคอนดักเตอร์หดตัวลงถึง 34% ในปี 2026 - หากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 10% ตลาดจะมีมูลค่า 844 พันล้านดอลลาร์ ✅ การตอบโต้ของจีน - จีนกำหนดอัตราภาษี 125% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ - ห้ามการส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐฯ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ - การผลิตและการส่งออกได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีที่สูง - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกอาจหดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ✅ การคาดการณ์ของ TechInsights - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์จะมีมูลค่า 557 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026 หากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 40% https://wccftech.com/techinsights-if-the-average-us-import-tariff-rate-remains-sticky-at-40-percent-the-global-semiconductor-market-will-shrink-by-a-third-in-2026/
    WCCFTECH.COM
    TechInsights: If The Average US Import Tariff Rate Remains Sticky At 40 Percent, The Global Semiconductor Market Will Shrink By A Third In 2026
    TechInsights has now published its take on the tariff-related one-upmanship between the US and China, and its impact on semiconductors.
    0 Comments 0 Shares 421 Views 0 Reviews
  • ด่วน!
    ทำเนียบขาวประกาศตอบโต้จีน ด้วยการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 245%

    อย่างไรก็ตาม จีนเคยระบุก่อนหน้านี้ว่าจะไม่สนใจการตอบโต้ของสหรัฐฯ อีกต่อไป เนื่องจากจีนมองว่าเป็นการกระทำที่ตลก

    https://thaitimes.co/posts/208453
    ด่วน! ทำเนียบขาวประกาศตอบโต้จีน ด้วยการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 245% อย่างไรก็ตาม จีนเคยระบุก่อนหน้านี้ว่าจะไม่สนใจการตอบโต้ของสหรัฐฯ อีกต่อไป เนื่องจากจีนมองว่าเป็นการกระทำที่ตลก https://thaitimes.co/posts/208453
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 374 Views 0 Reviews
  • ดันเศรษฐกิจโลกสู่ปากเหว

    นับตั้งแต่ทรัมป์หาเสียงเลือกตั้ง โดยขายนโยบายตั้งกำแพงภาษี ต่อคู่ค้าของสหรัฐฯ

    เศรษฐกิจทั่วโลกก็ต้องเตรียมใจอยู่แล้ว

    แต่ข้อมูลล่าสุด แนวคิดของทรัมป์ จะดันเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ใกล้ริมปากเหวมากขึ้น

    รูป 1 ทรัมป์เพิ่งประกาศนโยบายเพิ่มเติม จะขึ้นกำแพงภาษี กับประเทศที่ค้าขายกับสหรัฐทั่วโลก

    โดยไม่ใช่คำนึงแต่เฉพาะว่า ประเทศนั้นกำหนดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าสหรัฐเท่าใด

    แต่จะขยายไปถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT ด้วย

    ทรัมป์ทึกทักเอาว่า กรณีประเทศใดนำเข้าสินค้าสหรัฐ ถ้าราคาที่นำไปขายภายในประเทศนั้นมี VAT

    เขาถือเป็นการกีดกันอย่างหนึ่ง

    ตรงนี้แหวกกฎเศรษฐศาสตร์ เพราะ VAT เป็นภาษีที่เก็บจากการบริโภคภายในประเทศ

    และปกติ จะเก็บ VAT ในอัตราเดียวสำหรับสินค้าชนิดเดียวกัน ไม่ว่าผลิตในประเทศนั้น หรือนำเข้า

    VAT จึงเป็นนโยบายภาษีเฉพาะ domestic เน้นเก็บจากยอดบริโภค (ขารายจ่าย) แตกต่างจากภาษีเงินได้ ที่เก็บจากขารายได้

    กรณี VAT คือ ใครจ่ายบริโภคมาก ก็ต้องจ่ายมาก ยังไม่คำนึงว่ามีรายได้หรือไม่

    กรณีภาษีเงินได้ คือ ใครรับรายได้มาก ก็ต้องจ่ายมาก ยังไม่คำนึงว่าเอารายได้ไปใช้จ่ายหรือไม่

    ภาษีทั้งสองชนิด ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การนำเข้า ไม่ใช่เพื่อปกป้องการผลิตภายในประเทศ

    การที่ทรัมป์จะขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐ โดยเอา VAT ไปรวมด้วย จึงผิดหลักเศรษฐศาสตร์

    แต่ดูเหมือนไม่มีใครทัดทานทรัมป์

    รูป 2 แสดงอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐ ที่กำลังศึกษา และมีกำหนดจะประกาศต้นเดือน เม.ย.

    ซ้ายมือ ไม่คำนึงถึง VAT ขวามือ คำนึง

    น่าตกใจ ไทยอาจจะโดนถึงระดับ 5% อันดับที่ 23

    รูป 3 นักวิเคราะห์ลองหักตัวเลขภาษีการค้าภายในสหรัฐออก อัตราลดลงบ้าง

    ที่น่ากลัวมากคือ กลุ่มยุโรป เพราะอัตรา VAT สูงมหาศาล หลายประเทศทะลุระดับ 20%

    ปริมาณการค้าโลก จะถูกกระทบอย่างกว้างขวางไม่น่าเชื่อ

    รูป 4 นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังสั่งให้ทีมงานศึกษาเพื่อเก็บภาษีตอบโต้

    จากการที่ฝรั่งเศสและอิตาลี เก็บภาษีจากบริษัทโซเชียลมีเดีย

    เขาอ้างแนวคิดวิตถารว่า รัฐบาลสหรัฐเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์เก็บภาษีจากบริษัทสหรัฐ

    ทั้งที่ ถ้าหากบริษัทโซเชียลมีเดียสหรัฐ ได้รายได้จากการทำธุรกิจในประเทศหนึ่ง เช่น Facebook ได้ค่าโฆษณา

    ด้วยหลักการปกติ ประเทศที่เป็นผู้จ่ายค่าโฆษณา ย่อมมีสิทธิ์ที่จะเก็บภาษีจากบริษัทโซเชียลมีเดีย

    รูป5 กำแพงภาษีสหรัฐ จะกระทบส่งออกของไทยอย่างมาก เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาด 17% ของส่งออกทั้งหมด

    รูป 6-7 ไทยส่งออกไปสหรัฐ สูงสุดเป็นอันดับที่ 1 แต่ละปี 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เกินดุลอยู่ 3.5 หมื่นล้านดอลล่าร์

    แนวคิดของทรัมป์ นอกจากจะดันเศรษฐกิจโลกสู่ปากเหวแล้ว ยังก่อความเสี่ยงต่อการเมืองโลกอีกด้วย

    รูป 8 แสดงแนวโน้มการค้าของโลกย้อนหลัง 200 ปี จะเห็นได้ว่า มีช่วงที่การค้าลดต่ำกว่า trend

    เส้นสีแดงสองเส้น แสดงห้วงเวลาสงครามโลกทั้งสองครั้ง

    นักประวัติศาสตร์หลายคนลงความเห็นว่า ปัจจัยหลักที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สองอย่างชัดเจน

    คือประเทศสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีสองครั้ง เส้นสีดำ

    ซึ่งนำไปสู่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และก่อความตึงเครียดทางการเมือง

    รูป 9-10 ปัจจัยสำคัญหนึ่ง ที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก็เกิดจากสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีเช่นเดียวกัน

    ที่สำคัญก็คือ มีการผสมโรงด้วย วิกฤติในตลาดการเงิน ปี 1907 ไปถึงปี 1913 เริ่มต้น WW1 พอดี

    ขณะนี้ สภาวะตลาดทุนตลาดเงิน ทั้งในสหรัฐ ยุโรป มีความเสี่ยงฟองสบู่ใกล้แตกเต็มที

    ถ้าเกิดวิกฤตในปีนี้ ดังที่ผมคาดไว้

    ก็จะต้องจับตาให้ดี เงื่อนไขที่นำไปสู่สงครามโลกในอดีต จะกลับมาอีกหรือไม่

    วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568

    นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ
    ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    ดันเศรษฐกิจโลกสู่ปากเหว 🗣️ นับตั้งแต่ทรัมป์หาเสียงเลือกตั้ง โดยขายนโยบายตั้งกำแพงภาษี ต่อคู่ค้าของสหรัฐฯ เศรษฐกิจทั่วโลกก็ต้องเตรียมใจอยู่แล้ว แต่ข้อมูลล่าสุด แนวคิดของทรัมป์ จะดันเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ใกล้ริมปากเหวมากขึ้น รูป 1 ทรัมป์เพิ่งประกาศนโยบายเพิ่มเติม จะขึ้นกำแพงภาษี กับประเทศที่ค้าขายกับสหรัฐทั่วโลก โดยไม่ใช่คำนึงแต่เฉพาะว่า ประเทศนั้นกำหนดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าสหรัฐเท่าใด 🧶 แต่จะขยายไปถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT ด้วย ทรัมป์ทึกทักเอาว่า กรณีประเทศใดนำเข้าสินค้าสหรัฐ ถ้าราคาที่นำไปขายภายในประเทศนั้นมี VAT เขาถือเป็นการกีดกันอย่างหนึ่ง ตรงนี้แหวกกฎเศรษฐศาสตร์ เพราะ VAT เป็นภาษีที่เก็บจากการบริโภคภายในประเทศ และปกติ จะเก็บ VAT ในอัตราเดียวสำหรับสินค้าชนิดเดียวกัน ไม่ว่าผลิตในประเทศนั้น หรือนำเข้า 🪢 VAT จึงเป็นนโยบายภาษีเฉพาะ domestic เน้นเก็บจากยอดบริโภค (ขารายจ่าย) แตกต่างจากภาษีเงินได้ ที่เก็บจากขารายได้ กรณี VAT คือ ใครจ่ายบริโภคมาก ก็ต้องจ่ายมาก ยังไม่คำนึงว่ามีรายได้หรือไม่ กรณีภาษีเงินได้ คือ ใครรับรายได้มาก ก็ต้องจ่ายมาก ยังไม่คำนึงว่าเอารายได้ไปใช้จ่ายหรือไม่ ภาษีทั้งสองชนิด ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การนำเข้า ไม่ใช่เพื่อปกป้องการผลิตภายในประเทศ 👗 การที่ทรัมป์จะขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐ โดยเอา VAT ไปรวมด้วย จึงผิดหลักเศรษฐศาสตร์ แต่ดูเหมือนไม่มีใครทัดทานทรัมป์ รูป 2 แสดงอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐ ที่กำลังศึกษา และมีกำหนดจะประกาศต้นเดือน เม.ย. ซ้ายมือ ไม่คำนึงถึง VAT ขวามือ คำนึง น่าตกใจ ไทยอาจจะโดนถึงระดับ 5% อันดับที่ 23 👙 รูป 3 นักวิเคราะห์ลองหักตัวเลขภาษีการค้าภายในสหรัฐออก อัตราลดลงบ้าง ที่น่ากลัวมากคือ กลุ่มยุโรป เพราะอัตรา VAT สูงมหาศาล หลายประเทศทะลุระดับ 20% ปริมาณการค้าโลก จะถูกกระทบอย่างกว้างขวางไม่น่าเชื่อ รูป 4 นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังสั่งให้ทีมงานศึกษาเพื่อเก็บภาษีตอบโต้ จากการที่ฝรั่งเศสและอิตาลี เก็บภาษีจากบริษัทโซเชียลมีเดีย 👘 เขาอ้างแนวคิดวิตถารว่า รัฐบาลสหรัฐเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์เก็บภาษีจากบริษัทสหรัฐ ทั้งที่ ถ้าหากบริษัทโซเชียลมีเดียสหรัฐ ได้รายได้จากการทำธุรกิจในประเทศหนึ่ง เช่น Facebook ได้ค่าโฆษณา ด้วยหลักการปกติ ประเทศที่เป็นผู้จ่ายค่าโฆษณา ย่อมมีสิทธิ์ที่จะเก็บภาษีจากบริษัทโซเชียลมีเดีย รูป5 กำแพงภาษีสหรัฐ จะกระทบส่งออกของไทยอย่างมาก เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาด 17% ของส่งออกทั้งหมด 🩲 รูป 6-7 ไทยส่งออกไปสหรัฐ สูงสุดเป็นอันดับที่ 1 แต่ละปี 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เกินดุลอยู่ 3.5 หมื่นล้านดอลล่าร์ แนวคิดของทรัมป์ นอกจากจะดันเศรษฐกิจโลกสู่ปากเหวแล้ว ยังก่อความเสี่ยงต่อการเมืองโลกอีกด้วย รูป 8 แสดงแนวโน้มการค้าของโลกย้อนหลัง 200 ปี จะเห็นได้ว่า มีช่วงที่การค้าลดต่ำกว่า trend เส้นสีแดงสองเส้น แสดงห้วงเวลาสงครามโลกทั้งสองครั้ง 🩴 นักประวัติศาสตร์หลายคนลงความเห็นว่า ปัจจัยหลักที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สองอย่างชัดเจน คือประเทศสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีสองครั้ง เส้นสีดำ ซึ่งนำไปสู่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และก่อความตึงเครียดทางการเมือง รูป 9-10 ปัจจัยสำคัญหนึ่ง ที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก็เกิดจากสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีเช่นเดียวกัน ที่สำคัญก็คือ มีการผสมโรงด้วย วิกฤติในตลาดการเงิน ปี 1907 ไปถึงปี 1913 เริ่มต้น WW1 พอดี 🧐 ขณะนี้ สภาวะตลาดทุนตลาดเงิน ทั้งในสหรัฐ ยุโรป มีความเสี่ยงฟองสบู่ใกล้แตกเต็มที ถ้าเกิดวิกฤตในปีนี้ ดังที่ผมคาดไว้ ก็จะต้องจับตาให้ดี เงื่อนไขที่นำไปสู่สงครามโลกในอดีต จะกลับมาอีกหรือไม่ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 1319 Views 0 Reviews
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามยกเลิกคำสั่งไบเดนแล้ว 78 ฉบับ เผยเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าแคนาดา-เม็กซิโก 1 กุมภาพันธ์นี้

    บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานความเคลื่อนไหววันแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) หลังเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 ว่า ทรัมป์ยังดำเนินแผนการอันทะเยอทะยานของเขาต่อไป โดยลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก

    บลูมเบิร์กระบุว่า ณ เวลาประมาณ 19.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐ (ช้ากว่าไทย 12 ชั่วโมง) โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งในนั้นเป็นการเพิกถอนคำสั่งหรือแผนริเริ่มต่าง ๆ ในยุคของประธานาธิบดี โจ ไบเดน (Joe Biden) ถึง 78 ฉบับ ต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากที่สนามกีฬาแคปิตอลวัน (Capital One Arena)

    บรรดาคำสั่งที่ทรัมป์ยกเลิกคำสั่งของไบเดนนั้น รวมถึงการถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement), คำสั่งให้ทุกกระทรวงจัดการกับภาวะเงินเฟ้อ, การดำเนินการเรียกพนักงานของรัฐบาลกลางกลับเข้าทำงาน และคำสั่งคืนเสรีภาพในการพูดและป้องกันไม่ให้รัฐบาลเซ็นเซอร์เสรีภาพในการพูดในอนาคต

    ต่อจากนั้นทรัมป์ย้ายไปที่ห้องทำงานรูปไข่ (The Oval Office) ในทำเนียบขาว แล้วลงนามคำสั่งต่อไป ซึ่งคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับแรกที่ทรัมป์ลงนามในห้องทำงานรูปไข่ คือการอภัยโทษให้กับผู้คนจำนวน 1,500 คน ที่ได้รับโทษจากการปิดล้อมอาคารรัฐสภาสหรัฐเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021

    จากนั้นในเวลาประมาณ 19.50 น. บลูมเบิร์กรายงานว่า ทรัมป์ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามถึงเรื่องภาษีศุลกากรว่า “เราคิดอัตราภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะอยู่ที่ 25% ผมคิดว่าเราจะดำเนินการในวันที่ 1 กุมภาพันธ์”

    ในเวลาเดียวกัน ทรัมป์กล่าวถึงจีนว่า จะประชุมและโทรศัพท์หารือกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ของจีน

    นอกจากนั้น ทรัมป์กล่าวว่าประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ต้องใช้จ่ายงบประมาณ 5% ของจีดีพี สำหรับการป้องกันประเทศ

    ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานเพิ่มเติมว่า จากการสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ทำเนียบขาว (The White House) หรือสำนักงานประธานาธิบดีสหหรัฐ พบว่า ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมากที่จะส่งผลกระทบต่อต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น

    -ถอนสหรัฐออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ยุติรายจ่ายที่เป็นภาระและไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการเจรจาข้อตกลงว่าด้วยโรคระบาด (Pandemic Agreement) และการแปรญัตติกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations)

    -ประกาศใช้นโยบายการค้าที่ให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก (America First Trade Policy) หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องกำหนดนโยบายการค้าที่ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ แก้ไขการค้าที่ไม่เป็นธรรมและไม่สมดุล โดยใช้มาตรการที่เหมาะสม อย่างเช่น ภาษีศุลกากร

    -ปรับโครงสร้างโครงการรับผู้ลี้ภัยของสหรัฐ (USRAP) ใหม่ และระงับการรับผู้ลี้ภัยผ่าน USRAP จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าการเข้าสู่สหรัฐอเมริกาของผู้ลี้ภัยจะสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐ

    -ยกเลิกการให้สถานะพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด เด็กที่เกิดในสหรัฐอเมริกาแต่เกิดจากพ่อและแม่ที่ไม่ใช่พลเมืองอเมริกัน จะไม่ได้สถานะพลเมืองโดยกำเนิดอีกต่อไป

    -เพิ่มการรักษาความปลอดภัยชายแดน โดยสร้างกำแพงและสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ที่มีการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่และการใช้เทคโนโลยี เพื่อขัดขวางและป้องกันการเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย และดำเนินการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยมีกระบวนการคุมขังระหว่างรอส่งตัวออกจากประเทศ

    -ลดการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ โดยจะหยุดให้ความช่วยเหลือต่างประเทศที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐ 90 วันเพื่อประเมินประสิทธิภาพโครงการและความสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐว่าควรได้รับการช่วยเหลือต่อไปหรือไม่

    ​ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
    โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามยกเลิกคำสั่งไบเดนแล้ว 78 ฉบับ เผยเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าแคนาดา-เม็กซิโก 1 กุมภาพันธ์นี้ บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานความเคลื่อนไหววันแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) หลังเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 ว่า ทรัมป์ยังดำเนินแผนการอันทะเยอทะยานของเขาต่อไป โดยลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก บลูมเบิร์กระบุว่า ณ เวลาประมาณ 19.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐ (ช้ากว่าไทย 12 ชั่วโมง) โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งในนั้นเป็นการเพิกถอนคำสั่งหรือแผนริเริ่มต่าง ๆ ในยุคของประธานาธิบดี โจ ไบเดน (Joe Biden) ถึง 78 ฉบับ ต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากที่สนามกีฬาแคปิตอลวัน (Capital One Arena) บรรดาคำสั่งที่ทรัมป์ยกเลิกคำสั่งของไบเดนนั้น รวมถึงการถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement), คำสั่งให้ทุกกระทรวงจัดการกับภาวะเงินเฟ้อ, การดำเนินการเรียกพนักงานของรัฐบาลกลางกลับเข้าทำงาน และคำสั่งคืนเสรีภาพในการพูดและป้องกันไม่ให้รัฐบาลเซ็นเซอร์เสรีภาพในการพูดในอนาคต ต่อจากนั้นทรัมป์ย้ายไปที่ห้องทำงานรูปไข่ (The Oval Office) ในทำเนียบขาว แล้วลงนามคำสั่งต่อไป ซึ่งคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับแรกที่ทรัมป์ลงนามในห้องทำงานรูปไข่ คือการอภัยโทษให้กับผู้คนจำนวน 1,500 คน ที่ได้รับโทษจากการปิดล้อมอาคารรัฐสภาสหรัฐเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 จากนั้นในเวลาประมาณ 19.50 น. บลูมเบิร์กรายงานว่า ทรัมป์ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามถึงเรื่องภาษีศุลกากรว่า “เราคิดอัตราภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะอยู่ที่ 25% ผมคิดว่าเราจะดำเนินการในวันที่ 1 กุมภาพันธ์” ในเวลาเดียวกัน ทรัมป์กล่าวถึงจีนว่า จะประชุมและโทรศัพท์หารือกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ของจีน นอกจากนั้น ทรัมป์กล่าวว่าประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ต้องใช้จ่ายงบประมาณ 5% ของจีดีพี สำหรับการป้องกันประเทศ ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานเพิ่มเติมว่า จากการสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ทำเนียบขาว (The White House) หรือสำนักงานประธานาธิบดีสหหรัฐ พบว่า ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมากที่จะส่งผลกระทบต่อต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น -ถอนสหรัฐออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ยุติรายจ่ายที่เป็นภาระและไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการเจรจาข้อตกลงว่าด้วยโรคระบาด (Pandemic Agreement) และการแปรญัตติกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations) -ประกาศใช้นโยบายการค้าที่ให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก (America First Trade Policy) หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องกำหนดนโยบายการค้าที่ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ แก้ไขการค้าที่ไม่เป็นธรรมและไม่สมดุล โดยใช้มาตรการที่เหมาะสม อย่างเช่น ภาษีศุลกากร -ปรับโครงสร้างโครงการรับผู้ลี้ภัยของสหรัฐ (USRAP) ใหม่ และระงับการรับผู้ลี้ภัยผ่าน USRAP จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าการเข้าสู่สหรัฐอเมริกาของผู้ลี้ภัยจะสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐ -ยกเลิกการให้สถานะพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด เด็กที่เกิดในสหรัฐอเมริกาแต่เกิดจากพ่อและแม่ที่ไม่ใช่พลเมืองอเมริกัน จะไม่ได้สถานะพลเมืองโดยกำเนิดอีกต่อไป -เพิ่มการรักษาความปลอดภัยชายแดน โดยสร้างกำแพงและสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ที่มีการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่และการใช้เทคโนโลยี เพื่อขัดขวางและป้องกันการเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย และดำเนินการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยมีกระบวนการคุมขังระหว่างรอส่งตัวออกจากประเทศ -ลดการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ โดยจะหยุดให้ความช่วยเหลือต่างประเทศที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐ 90 วันเพื่อประเมินประสิทธิภาพโครงการและความสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐว่าควรได้รับการช่วยเหลือต่อไปหรือไม่ ​ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
    0 Comments 0 Shares 887 Views 0 Reviews
  • "สงครามการค้าเริ่มขึ้นอีกครั้ง!"
    ทรัมป์ ประกาศว่าในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง เขาจะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภทจากจีนเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 10 จากเดิมที่มาตรการคว่ำบาตรและอัตราภาษีนำเข้าอื่นๆ ทั้งหมดกำหนดใช้กับจีนไว้แล้ว
    โดยอ้างว่าว่าเพื่อกดดันให้จีนปราบปรามการค้ายาเสพติดที่ไหลเข้ามาในสหรัฐผ่านทางเม็กซิโก
    "สงครามการค้าเริ่มขึ้นอีกครั้ง!" ทรัมป์ ประกาศว่าในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง เขาจะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภทจากจีนเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 10 จากเดิมที่มาตรการคว่ำบาตรและอัตราภาษีนำเข้าอื่นๆ ทั้งหมดกำหนดใช้กับจีนไว้แล้ว โดยอ้างว่าว่าเพื่อกดดันให้จีนปราบปรามการค้ายาเสพติดที่ไหลเข้ามาในสหรัฐผ่านทางเม็กซิโก
    0 Comments 0 Shares 339 Views 0 Reviews
  • จีนยื่นฟ้องสหภาพยุโรป EU ต่อองค์การการค้าโลก ( WTO) กรณีEUเก็บภาษีรถยนต์ไฟฟ้าสูงถึง 37.6% จ่อเป็นคดีสงครามการค้าใหญ่

    9 สิงหาคม 2567-รายงานสำนักข่าวซินหัวระบุว่า กระทรวงพาณิชย์จีนเปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีนี้ว่า จีนสงวนสิทธิ์ในการยื่นฟ้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) ในกรณีสหภาพยุโรป (EU)จะจัดเก็บภาษีชั่วคราวการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของจีน พบขาดทั้งข้อเท็จจริงและฐานทางกฎหมาย

    โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน นาย เฮ่อ หยาตง แถลงข่าวว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำลายสิทธิและผลประโยชน์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของอุตสาหกรรม EV ของจีนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อความร่วมมือระหว่างจีนและยุโรปในด้านยานยนต์พลังงานใหม่ และบิดเบือนอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลกและห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงในสหภาพยุโรปด้วย

    การกระทำดังกล่าวถือเป็น “การคุ้มครองทางการค้าอย่างโจ่งแจ้ง” และสงสัยว่าเป็นการละเมิดกฎของ WTO และจีนจะใช้มาตรการทั้งหมดที่จำเป็นเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของบริษัทจีน

    จีนเรียกร้องให้สหภาพยุโรปแก้ไขการกระทำผิดโดยทันที ปฏิบัติตามฉันทามติที่สำคัญที่ได้มาจากการประชุมไตรภาคีจีน-ฝรั่งเศส-สหภาพยุโรปเมื่อเร็วๆ นี้ และแก้ไขความขัดแย้งทางเศรษฐกิจและการค้าผ่านการเจรจา

    ทั้งนี้เมื่อวันพุธที่7ส.ค. คณะกรรมาธิการยุโรปได้ออกแถลงการณ์เปิดเผยล่วงหน้าถึงระดับภาษีศุลกากรชั่วคราวที่คณะกรรมาธิการจะกำหนดต่อการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีน

    การเก็บภาษีรถไฟฟ้าจีนเช่นรถไฟฟ้า SAICของจีนถึง 37.6%ถือเป็นอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ที่เพิ่มจากอัตรามาตรฐาน 10% ของสหภาพยุโรป

    สำหรับ SAIC หรือ Shanghai Automotive Industry Corporation เป็นเครือยานยนต์ยักษ์ใหญ่ของประเทศจีน โดยมีเจ้าของเป็นรัฐบาลจีน ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955 เป็น 1 ใน 4 แบรนด์ค่ายยานยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีน โดยเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยด้วยแบรนด์ MG.

    ภาษีชั่วคราวระหว่าง 17.4% ถึง 37.6% ของคณะกรรมาธิการยุโรปที่ไม่มีการย้อนหลังนั้นออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป นาง Ursula von der Leyen กล่าวว่ารถไฟฟ้าราคาถูกของจีนที่ผลิตขึ้นโดยได้เงินอุดหนุนจากรัฐบาลจีน ทำให้การแข่งขันไม่เป็นธรรม ถือเป็นภัยคุกคาม

    ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม คณะกรรมาธิการยุโรปได้กำหนดภาษีเพิ่มเติมชั่วคราวกับผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ของจีนสูงถึง 37.6 เปอร์เซ็นต์ คณะกรรมาธิการอ้างว่าการตัดสินใจดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากการสืบสวนที่สรุปได้ว่าเงินอุดหนุนเป็นประโยชน์ต่อห่วงโซ่คุณค่า BEV ของจีน ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจต่อผู้ผลิตในสหภาพยุโรป

    การที่สหภาพยุโรปจัดเก็บภาษีนำเข้ารถไฟฟ้าของจีนสูงถึง 37.6% ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดระหว่างสหภาพยุโรปและจีนรุนแรงขึ้นและก่อให้เกิดคดีการค้าครั้งใหญ่ที่สุด

    #Thaitimes
    จีนยื่นฟ้องสหภาพยุโรป EU ต่อองค์การการค้าโลก ( WTO) กรณีEUเก็บภาษีรถยนต์ไฟฟ้าสูงถึง 37.6% จ่อเป็นคดีสงครามการค้าใหญ่ 9 สิงหาคม 2567-รายงานสำนักข่าวซินหัวระบุว่า กระทรวงพาณิชย์จีนเปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีนี้ว่า จีนสงวนสิทธิ์ในการยื่นฟ้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) ในกรณีสหภาพยุโรป (EU)จะจัดเก็บภาษีชั่วคราวการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของจีน พบขาดทั้งข้อเท็จจริงและฐานทางกฎหมาย โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน นาย เฮ่อ หยาตง แถลงข่าวว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำลายสิทธิและผลประโยชน์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของอุตสาหกรรม EV ของจีนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อความร่วมมือระหว่างจีนและยุโรปในด้านยานยนต์พลังงานใหม่ และบิดเบือนอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลกและห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงในสหภาพยุโรปด้วย การกระทำดังกล่าวถือเป็น “การคุ้มครองทางการค้าอย่างโจ่งแจ้ง” และสงสัยว่าเป็นการละเมิดกฎของ WTO และจีนจะใช้มาตรการทั้งหมดที่จำเป็นเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของบริษัทจีน จีนเรียกร้องให้สหภาพยุโรปแก้ไขการกระทำผิดโดยทันที ปฏิบัติตามฉันทามติที่สำคัญที่ได้มาจากการประชุมไตรภาคีจีน-ฝรั่งเศส-สหภาพยุโรปเมื่อเร็วๆ นี้ และแก้ไขความขัดแย้งทางเศรษฐกิจและการค้าผ่านการเจรจา ทั้งนี้เมื่อวันพุธที่7ส.ค. คณะกรรมาธิการยุโรปได้ออกแถลงการณ์เปิดเผยล่วงหน้าถึงระดับภาษีศุลกากรชั่วคราวที่คณะกรรมาธิการจะกำหนดต่อการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีน การเก็บภาษีรถไฟฟ้าจีนเช่นรถไฟฟ้า SAICของจีนถึง 37.6%ถือเป็นอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ที่เพิ่มจากอัตรามาตรฐาน 10% ของสหภาพยุโรป สำหรับ SAIC หรือ Shanghai Automotive Industry Corporation เป็นเครือยานยนต์ยักษ์ใหญ่ของประเทศจีน โดยมีเจ้าของเป็นรัฐบาลจีน ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955 เป็น 1 ใน 4 แบรนด์ค่ายยานยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีน โดยเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยด้วยแบรนด์ MG. ภาษีชั่วคราวระหว่าง 17.4% ถึง 37.6% ของคณะกรรมาธิการยุโรปที่ไม่มีการย้อนหลังนั้นออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป นาง Ursula von der Leyen กล่าวว่ารถไฟฟ้าราคาถูกของจีนที่ผลิตขึ้นโดยได้เงินอุดหนุนจากรัฐบาลจีน ทำให้การแข่งขันไม่เป็นธรรม ถือเป็นภัยคุกคาม ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม คณะกรรมาธิการยุโรปได้กำหนดภาษีเพิ่มเติมชั่วคราวกับผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ของจีนสูงถึง 37.6 เปอร์เซ็นต์ คณะกรรมาธิการอ้างว่าการตัดสินใจดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากการสืบสวนที่สรุปได้ว่าเงินอุดหนุนเป็นประโยชน์ต่อห่วงโซ่คุณค่า BEV ของจีน ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจต่อผู้ผลิตในสหภาพยุโรป การที่สหภาพยุโรปจัดเก็บภาษีนำเข้ารถไฟฟ้าของจีนสูงถึง 37.6% ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดระหว่างสหภาพยุโรปและจีนรุนแรงขึ้นและก่อให้เกิดคดีการค้าครั้งใหญ่ที่สุด #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 680 Views 0 Reviews