• "Proton Sheets – สเปรดชีตเข้ารหัส ปลอดภัย ใช้ง่าย เป็นทางเลือกแทน Google Docs"

    Proton บริษัทจากสวิตเซอร์แลนด์ที่เน้นเรื่องความเป็นส่วนตัว ได้เปิดตัว Proton Sheets ซึ่งเป็นเครื่องมือสเปรดชีตออนไลน์ที่เข้ารหัสแบบ end-to-end ทำงานบน Proton Drive จุดเด่นคือ Proton ไม่สามารถเห็นข้อมูลของผู้ใช้ และผู้ใช้สามารถควบคุมการแชร์ได้เองทั้งหมด นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ Proton มีชุดเครื่องมือครบทั้งอีเมล ปฏิทิน เอกสาร และสเปรดชีต

    Proton Sheets มาพร้อมฟีเจอร์ที่ผู้ใช้คุ้นเคย เช่น การทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ การรองรับสูตรคำนวณ การนำเข้าและส่งออกไฟล์ CSV/XLS และระบบควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงที่แข็งแรง อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้บนหลายอุปกรณ์ ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้อย่างปลอดภัยทุกที่ทุกเวลา

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Proton Sheets มีการออกแบบที่ใส่ใจผู้ใช้ เช่น การแจ้งเตือนเมื่อหน้าต่างเบราว์เซอร์เล็กเกินไป เพื่อป้องกันการทำงานผิดพลาด แม้บางครั้งอาจสร้างความรำคาญ แต่ก็สะท้อนถึงความตั้งใจในการดูแลประสบการณ์ผู้ใช้ให้ดีที่สุด

    เมื่อรวมกับบริการอื่น ๆ เช่น Proton Mail, Proton Calendar, Proton Pass และ Proton VPN ทำให้ Proton Ecosystem กลายเป็นทางเลือกที่จริงจังสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยง Big Tech และมองหาชุดเครื่องมือที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    จุดเด่นของ Proton Sheets
    เข้ารหัส end-to-end ปลอดภัย Proton ไม่สามารถเห็นข้อมูล
    รองรับการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ และสูตรคำนวณ
    นำเข้า/ส่งออก CSV และ XLS ได้สะดวก

    Ecosystem ของ Proton
    ครบทั้ง Mail, Calendar, Drive, Docs, Sheets
    เสริมด้วย Proton Pass และ Proton VPN

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    การแจ้งเตือนหน้าต่างเบราว์เซอร์เล็กเกินไป อาจสร้างความรำคาญ
    ฟีเจอร์บางอย่างยังอยู่ในช่วงทยอยเปิดให้ผู้ใช้ อาจยังไม่ครบทุกบัญชี

    https://itsfoss.com/news/proton-sheets/
    📊 "Proton Sheets – สเปรดชีตเข้ารหัส ปลอดภัย ใช้ง่าย เป็นทางเลือกแทน Google Docs" Proton บริษัทจากสวิตเซอร์แลนด์ที่เน้นเรื่องความเป็นส่วนตัว ได้เปิดตัว Proton Sheets ซึ่งเป็นเครื่องมือสเปรดชีตออนไลน์ที่เข้ารหัสแบบ end-to-end ทำงานบน Proton Drive จุดเด่นคือ Proton ไม่สามารถเห็นข้อมูลของผู้ใช้ และผู้ใช้สามารถควบคุมการแชร์ได้เองทั้งหมด นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ Proton มีชุดเครื่องมือครบทั้งอีเมล ปฏิทิน เอกสาร และสเปรดชีต Proton Sheets มาพร้อมฟีเจอร์ที่ผู้ใช้คุ้นเคย เช่น การทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ การรองรับสูตรคำนวณ การนำเข้าและส่งออกไฟล์ CSV/XLS และระบบควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงที่แข็งแรง อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้บนหลายอุปกรณ์ ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้อย่างปลอดภัยทุกที่ทุกเวลา สิ่งที่น่าสนใจคือ Proton Sheets มีการออกแบบที่ใส่ใจผู้ใช้ เช่น การแจ้งเตือนเมื่อหน้าต่างเบราว์เซอร์เล็กเกินไป เพื่อป้องกันการทำงานผิดพลาด แม้บางครั้งอาจสร้างความรำคาญ แต่ก็สะท้อนถึงความตั้งใจในการดูแลประสบการณ์ผู้ใช้ให้ดีที่สุด เมื่อรวมกับบริการอื่น ๆ เช่น Proton Mail, Proton Calendar, Proton Pass และ Proton VPN ทำให้ Proton Ecosystem กลายเป็นทางเลือกที่จริงจังสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยง Big Tech และมองหาชุดเครื่องมือที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ จุดเด่นของ Proton Sheets ➡️ เข้ารหัส end-to-end ปลอดภัย Proton ไม่สามารถเห็นข้อมูล ➡️ รองรับการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ และสูตรคำนวณ ➡️ นำเข้า/ส่งออก CSV และ XLS ได้สะดวก ✅ Ecosystem ของ Proton ➡️ ครบทั้ง Mail, Calendar, Drive, Docs, Sheets ➡️ เสริมด้วย Proton Pass และ Proton VPN ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ การแจ้งเตือนหน้าต่างเบราว์เซอร์เล็กเกินไป อาจสร้างความรำคาญ ⛔ ฟีเจอร์บางอย่างยังอยู่ในช่วงทยอยเปิดให้ผู้ใช้ อาจยังไม่ครบทุกบัญชี https://itsfoss.com/news/proton-sheets/
    ITSFOSS.COM
    With This New Feature, Proton Has Made it Even Easier to Move Away from Gmail and Google Docs
    The missing piece is here. There is no excuse to stick with Big Tech now.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • Jolla Phone รุ่นใหม่ เปิดพรีออเดอร์แล้ว

    Jolla Phone รุ่นใหม่มาพร้อม Mediatek 5G SoC, RAM 12 GB, หน่วยความจำ 256 GB (ขยายได้ถึง 2 TB), หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.36 นิ้ว FullHD, และแบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนได้ 5,500 mAh ตัวเครื่องรองรับ 4G/5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.4, NFC และกล้องหลัก 50 MP + Ultrawide 13 MP พร้อมกล้องหน้าเลนส์กว้าง

    ฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัว
    โทรศัพท์นี้มี Privacy Switch แบบกายภาพ ที่ผู้ใช้สามารถปิดไมโครโฟน, Bluetooth, หรือ Android apps ได้ตามต้องการ Sailfish OS ที่ติดตั้งมาเป็นระบบ Linux ทางเลือกจากยุโรป เน้นความปลอดภัย ไม่มีการติดตามหรือส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์

    การขับเคลื่อนโดยชุมชน
    สเปกและฟีเจอร์หลายอย่างถูกโหวตโดยชุมชนผู้ใช้ Sailfish OS ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา Jolla ย้ำว่าโทรศัพท์นี้เป็น “Do It Together (DIT)” phone ที่ออกแบบร่วมกันโดยผู้ใช้ ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ถูกกำหนดโดยบริษัทใหญ่

    ราคาและการวางจำหน่าย
    เปิดพรีออเดอร์แล้วในราคา 99 ยูโร (มัดจำ) โดยจะผลิตก็ต่อเมื่อมีอย่างน้อย 2,000 เครื่องถูกสั่งภายในวันที่ 4 มกราคม 2026 ราคาจริงจะอยู่ที่ 499 ยูโร (รวม VAT) และจะเริ่มขายในยุโรป, สหราชอาณาจักร, สวิตเซอร์แลนด์ และนอร์เวย์

    สรุปสาระสำคัญ
    สเปกเครื่อง
    Mediatek 5G SoC, RAM 12 GB, SSD สูงสุด 2 TB
    กล้องหลัก 50 MP + Ultrawide 13 MP, แบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนได้

    ฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัว
    Privacy Switch ปิดไมโครโฟน, Bluetooth, Android apps
    Sailfish OS ไม่มีการติดตามหรือส่งข้อมูลกลับ

    การขับเคลื่อนโดยชุมชน
    สเปกและฟีเจอร์โหวตโดยผู้ใช้
    แนวคิด “Do It Together” phone

    ราคาและการวางจำหน่าย
    มัดจำ 99 ยูโร, ราคาจริง 499 ยูโร
    จำเป็นต้องมีพรีออเดอร์ขั้นต่ำ 2,000 เครื่อง

    คำเตือนสำหรับผู้สนใจ
    หากไม่ถึงจำนวนขั้นต่ำ โทรศัพท์อาจไม่ได้ผลิตจริง
    การวางจำหน่ายจำกัดเฉพาะตลาดยุโรปและบางประเทศเท่านั้น

    https://9to5linux.com/new-jolla-phone-now-available-for-pre-order-as-an-independent-linux-phone
    📰 Jolla Phone รุ่นใหม่ เปิดพรีออเดอร์แล้ว Jolla Phone รุ่นใหม่มาพร้อม Mediatek 5G SoC, RAM 12 GB, หน่วยความจำ 256 GB (ขยายได้ถึง 2 TB), หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.36 นิ้ว FullHD, และแบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนได้ 5,500 mAh ตัวเครื่องรองรับ 4G/5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.4, NFC และกล้องหลัก 50 MP + Ultrawide 13 MP พร้อมกล้องหน้าเลนส์กว้าง 🔒 ฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัว โทรศัพท์นี้มี Privacy Switch แบบกายภาพ ที่ผู้ใช้สามารถปิดไมโครโฟน, Bluetooth, หรือ Android apps ได้ตามต้องการ Sailfish OS ที่ติดตั้งมาเป็นระบบ Linux ทางเลือกจากยุโรป เน้นความปลอดภัย ไม่มีการติดตามหรือส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ 🌐 การขับเคลื่อนโดยชุมชน สเปกและฟีเจอร์หลายอย่างถูกโหวตโดยชุมชนผู้ใช้ Sailfish OS ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา Jolla ย้ำว่าโทรศัพท์นี้เป็น “Do It Together (DIT)” phone ที่ออกแบบร่วมกันโดยผู้ใช้ ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ถูกกำหนดโดยบริษัทใหญ่ 💵 ราคาและการวางจำหน่าย เปิดพรีออเดอร์แล้วในราคา 99 ยูโร (มัดจำ) โดยจะผลิตก็ต่อเมื่อมีอย่างน้อย 2,000 เครื่องถูกสั่งภายในวันที่ 4 มกราคม 2026 ราคาจริงจะอยู่ที่ 499 ยูโร (รวม VAT) และจะเริ่มขายในยุโรป, สหราชอาณาจักร, สวิตเซอร์แลนด์ และนอร์เวย์ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ สเปกเครื่อง ➡️ Mediatek 5G SoC, RAM 12 GB, SSD สูงสุด 2 TB ➡️ กล้องหลัก 50 MP + Ultrawide 13 MP, แบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนได้ ✅ ฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัว ➡️ Privacy Switch ปิดไมโครโฟน, Bluetooth, Android apps ➡️ Sailfish OS ไม่มีการติดตามหรือส่งข้อมูลกลับ ✅ การขับเคลื่อนโดยชุมชน ➡️ สเปกและฟีเจอร์โหวตโดยผู้ใช้ ➡️ แนวคิด “Do It Together” phone ✅ ราคาและการวางจำหน่าย ➡️ มัดจำ 99 ยูโร, ราคาจริง 499 ยูโร ➡️ จำเป็นต้องมีพรีออเดอร์ขั้นต่ำ 2,000 เครื่อง ‼️ คำเตือนสำหรับผู้สนใจ ⛔ หากไม่ถึงจำนวนขั้นต่ำ โทรศัพท์อาจไม่ได้ผลิตจริง ⛔ การวางจำหน่ายจำกัดเฉพาะตลาดยุโรปและบางประเทศเท่านั้น https://9to5linux.com/new-jolla-phone-now-available-for-pre-order-as-an-independent-linux-phone
    9TO5LINUX.COM
    New Jolla Phone Now Available for Pre-Order as an Independent Linux Phone - 9to5Linux
    Jolla kicked off a campaign for a new Jolla Phone as the independent European Do It Together Linux phone, shaped by the people who use it.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • เส้นทางจากนักข่าวสู่ผู้นำด้าน Privacy

    บทสัมภาษณ์นี้พูดคุยกับ Alexander Linton ประธานมูลนิธิ Session Technology Foundation เกี่ยวกับการสร้างแพลตฟอร์มแชทที่เข้ารหัสแบบกระจายศูนย์ (decentralized encrypted messaging) และความท้าทายด้านความปลอดภัย ความเชื่อมั่น และการกำกับดูแล

    Alexander Linton เริ่มต้นจากการเป็นนักข่าวที่ต้องเผชิญกับปัญหาการสื่อสารที่ไม่ปลอดภัย เขาเห็นช่องว่างสำคัญในเครื่องมือที่ใช้ปกป้องข้อมูลและแหล่งข่าว จึงเข้าร่วมทีมพัฒนา Session เมื่อ 7 ปีก่อน และปัจจุบันก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำมูลนิธิที่ดูแลโครงการนี้ เป้าหมายของเขาคือทำให้การสื่อสารที่ปลอดภัยเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน

    ความท้าทายด้าน Trust & Safety
    Session ใช้โครงสร้างแบบ decentralized node network คล้าย Tor ทำให้ไม่มีเซิร์ฟเวอร์กลางที่สามารถควบคุมหรือสอดส่องได้ ส่งผลให้การทำ content moderation แบบรวมศูนย์แทบเป็นไปไม่ได้ Linton ย้ำว่า “ไม่มีอนาคตของความปลอดภัยออนไลน์หากปราศจาก Privacy และ Security” โดย Session เลือกใช้การควบคุมในระดับชุมชนแทนที่จะเปิดช่องทางให้รัฐบาลหรือองค์กรใด ๆ แทรกแซง

    บทบาทของสวิตเซอร์แลนด์และการกำกับดูแล
    หลังจากย้ายฐานจากออสเตรเลียไปสวิตเซอร์แลนด์ มูลนิธิได้รับสภาพแวดล้อมที่มั่นคงและเป็นมิตรต่อสิทธิด้านดิจิทัล อย่างไรก็ตามยังมีข้อกังวลเรื่องกฎหมายใหม่ที่อาจกระทบต่อการเข้ารหัส (เช่น VÜPF) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการต่อสู้เพื่อ Privacy เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่ง

    อนาคตของ Session และ Token
    เพื่อสร้างความยั่งยืน Session ได้เปิดตัว Session Token ที่ใช้เป็นแรงจูงใจให้ชุมชนช่วยดูแลโครงสร้างพื้นฐาน โดย Linton ยืนยันว่าไม่ใช่การ “cash grab” แต่เป็นการสร้างโมเดลที่ให้ผู้สนับสนุนเครือข่ายได้รับผลตอบแทนจากการมีส่วนร่วม ซึ่งจะช่วยให้แพลตฟอร์มเติบโตโดยไม่ต้องพึ่งพาบริษัทเอกชน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Alexander Linton จากนักข่าวสู่ประธาน Session Technology Foundation
    Session ใช้โครงสร้าง decentralized node network คล้าย Tor
    Content moderation ทำในระดับชุมชน ไม่ใช่รวมศูนย์
    มูลนิธิย้ายฐานไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อความมั่นคงด้านสิทธิข้อมูล
    เปิดตัว Session Token เพื่อสร้างความยั่งยืนของแพลตฟอร์ม

    คำเตือนจากข่าว
    กฎหมายใหม่ในสวิตเซอร์แลนด์ (VÜPF) อาจกระทบต่อการเข้ารหัส
    การละเลยการปกป้อง Privacy อาจทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกสอดส่อง
    หากไม่เข้าใจโมเดล Token อาจถูกมองว่าเป็นการแสวงหาผลประโยชน์
    การลดความเข้มแข็งของ Encryption จะทำให้ทุกคนไม่ปลอดภัยมากขึ้น

    https://itsfoss.com/news/alexander-linton-interview/
    📰 เส้นทางจากนักข่าวสู่ผู้นำด้าน Privacy บทสัมภาษณ์นี้พูดคุยกับ Alexander Linton ประธานมูลนิธิ Session Technology Foundation เกี่ยวกับการสร้างแพลตฟอร์มแชทที่เข้ารหัสแบบกระจายศูนย์ (decentralized encrypted messaging) และความท้าทายด้านความปลอดภัย ความเชื่อมั่น และการกำกับดูแล Alexander Linton เริ่มต้นจากการเป็นนักข่าวที่ต้องเผชิญกับปัญหาการสื่อสารที่ไม่ปลอดภัย เขาเห็นช่องว่างสำคัญในเครื่องมือที่ใช้ปกป้องข้อมูลและแหล่งข่าว จึงเข้าร่วมทีมพัฒนา Session เมื่อ 7 ปีก่อน และปัจจุบันก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำมูลนิธิที่ดูแลโครงการนี้ เป้าหมายของเขาคือทำให้การสื่อสารที่ปลอดภัยเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน 🔐 ความท้าทายด้าน Trust & Safety Session ใช้โครงสร้างแบบ decentralized node network คล้าย Tor ทำให้ไม่มีเซิร์ฟเวอร์กลางที่สามารถควบคุมหรือสอดส่องได้ ส่งผลให้การทำ content moderation แบบรวมศูนย์แทบเป็นไปไม่ได้ Linton ย้ำว่า “ไม่มีอนาคตของความปลอดภัยออนไลน์หากปราศจาก Privacy และ Security” โดย Session เลือกใช้การควบคุมในระดับชุมชนแทนที่จะเปิดช่องทางให้รัฐบาลหรือองค์กรใด ๆ แทรกแซง 🌍 บทบาทของสวิตเซอร์แลนด์และการกำกับดูแล หลังจากย้ายฐานจากออสเตรเลียไปสวิตเซอร์แลนด์ มูลนิธิได้รับสภาพแวดล้อมที่มั่นคงและเป็นมิตรต่อสิทธิด้านดิจิทัล อย่างไรก็ตามยังมีข้อกังวลเรื่องกฎหมายใหม่ที่อาจกระทบต่อการเข้ารหัส (เช่น VÜPF) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการต่อสู้เพื่อ Privacy เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่ง 💡 อนาคตของ Session และ Token เพื่อสร้างความยั่งยืน Session ได้เปิดตัว Session Token ที่ใช้เป็นแรงจูงใจให้ชุมชนช่วยดูแลโครงสร้างพื้นฐาน โดย Linton ยืนยันว่าไม่ใช่การ “cash grab” แต่เป็นการสร้างโมเดลที่ให้ผู้สนับสนุนเครือข่ายได้รับผลตอบแทนจากการมีส่วนร่วม ซึ่งจะช่วยให้แพลตฟอร์มเติบโตโดยไม่ต้องพึ่งพาบริษัทเอกชน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Alexander Linton จากนักข่าวสู่ประธาน Session Technology Foundation ➡️ Session ใช้โครงสร้าง decentralized node network คล้าย Tor ➡️ Content moderation ทำในระดับชุมชน ไม่ใช่รวมศูนย์ ➡️ มูลนิธิย้ายฐานไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อความมั่นคงด้านสิทธิข้อมูล ➡️ เปิดตัว Session Token เพื่อสร้างความยั่งยืนของแพลตฟอร์ม ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ กฎหมายใหม่ในสวิตเซอร์แลนด์ (VÜPF) อาจกระทบต่อการเข้ารหัส ⛔ การละเลยการปกป้อง Privacy อาจทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกสอดส่อง ⛔ หากไม่เข้าใจโมเดล Token อาจถูกมองว่าเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ ⛔ การลดความเข้มแข็งของ Encryption จะทำให้ทุกคนไม่ปลอดภัยมากขึ้น https://itsfoss.com/news/alexander-linton-interview/
    ITSFOSS.COM
    There is No Future for Online Safety Without Privacy and Security
    Alexander Linton of the Session Technology Foundation on building decentralized messaging and why platform-wide content moderation is impractical on encrypted platforms.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • Privatim ประกาศ บริการคลาวด์จากสหรัฐฯ ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย

    เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 Privatim ซึ่งเป็นการประชุมของเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลสวิตเซอร์แลนด์ ได้ออกมติเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐบาลทบทวนการใช้บริการคลาวด์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะการจัดเก็บข้อมูลที่เป็นความลับหรือข้อมูลส่วนบุคคลที่สำคัญ มติระบุว่า การส่งออกข้อมูลไปยังผู้ให้บริการ SaaS ระดับโลกถือว่าไม่เหมาะสมในหลายกรณี และเน้นย้ำว่าหน่วยงานสาธารณะมีความรับผิดชอบพิเศษในการปกป้องข้อมูลประชาชน

    ปัญหาที่พบในบริการคลาวด์ต่างประเทศ
    Privatim ระบุ 5 ปัญหาหลัก ที่ทำให้บริการคลาวด์จากสหรัฐฯ ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย ได้แก่:
    1️⃣ ขาดการเข้ารหัสแบบ end-to-end ที่แท้จริง
    2️⃣ ความโปร่งใสไม่เพียงพอในการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกำหนด
    3️⃣ สูญเสียการควบคุมข้อมูลอย่างมีนัยสำคัญ
    4️⃣ ความไม่แน่นอนทางกฎหมายเกี่ยวกับข้อมูลที่มีข้อผูกพันด้านความลับ
    5️⃣ กฎหมาย US CLOUD Act ที่อนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลได้ไม่ว่าข้อมูลจะถูกเก็บไว้ที่ใด

    แนวทางแก้ไขที่เสนอ
    Privatim เสนอว่า หากหน่วยงานจำเป็นต้องใช้บริการ SaaS ระหว่างประเทศ ควรทำการ เข้ารหัสข้อมูลด้วยตนเอง และห้ามผู้ให้บริการเข้าถึงกุญแจเข้ารหัส ซึ่งข้อกำหนดนี้ทำให้บริการคลาวด์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่สามารถตอบโจทย์ได้ และผลักดันให้เกิดการพิจารณา การทำ Self-Hosting หรือการใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ควบคุมได้เองมากขึ้น

    มุมมองเพิ่มเติม
    การประกาศนี้สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นในยุโรปเกี่ยวกับการพึ่งพาบริการคลาวด์จากสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและอธิปไตยทางดิจิทัล หลายฝ่ายมองว่าเป็นสัญญาณให้รัฐบาลและองค์กรต่าง ๆ หันมาใช้ โครงสร้างพื้นฐานท้องถิ่น หรือโซลูชันโอเพ่นซอร์สที่สามารถควบคุมได้มากกว่า

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การประกาศของ Privatim
    เรียกร้องให้หน่วยงานรัฐทบทวนการใช้คลาวด์ต่างประเทศ
    เน้นความรับผิดชอบต่อข้อมูลประชาชน

    ปัญหาที่พบในบริการคลาวด์สหรัฐฯ
    ไม่มีการเข้ารหัส end-to-end
    ขาดความโปร่งใสในการตรวจสอบ
    สูญเสียการควบคุมข้อมูล
    ความไม่แน่นอนทางกฎหมาย
    US CLOUD Act เปิดช่องให้เข้าถึงข้อมูล

    แนวทางแก้ไขที่เสนอ
    หน่วยงานต้องเข้ารหัสข้อมูลเอง
    ผู้ให้บริการห้ามเข้าถึงกุญแจเข้ารหัส

    คำเตือนต่อผู้ใช้และหน่วยงานรัฐ
    หากยังใช้บริการคลาวด์ต่างประเทศโดยไม่เข้ารหัส ข้อมูลเสี่ยงต่อการถูกเข้าถึง
    การพึ่งพา hyperscalers อาจกระทบต่ออธิปไตยทางดิจิทัล
    หน่วยงานที่ไม่อัปเดตแนวทางอาจละเมิดข้อกำหนดด้านความปลอดภัย

    https://itsfoss.com/news/privatim-declares-international-cloud-unsuitable/
    🛡️ Privatim ประกาศ บริการคลาวด์จากสหรัฐฯ ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 Privatim ซึ่งเป็นการประชุมของเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลสวิตเซอร์แลนด์ ได้ออกมติเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐบาลทบทวนการใช้บริการคลาวด์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะการจัดเก็บข้อมูลที่เป็นความลับหรือข้อมูลส่วนบุคคลที่สำคัญ มติระบุว่า การส่งออกข้อมูลไปยังผู้ให้บริการ SaaS ระดับโลกถือว่าไม่เหมาะสมในหลายกรณี และเน้นย้ำว่าหน่วยงานสาธารณะมีความรับผิดชอบพิเศษในการปกป้องข้อมูลประชาชน ⚙️ ปัญหาที่พบในบริการคลาวด์ต่างประเทศ Privatim ระบุ 5 ปัญหาหลัก ที่ทำให้บริการคลาวด์จากสหรัฐฯ ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย ได้แก่: 1️⃣ ขาดการเข้ารหัสแบบ end-to-end ที่แท้จริง 2️⃣ ความโปร่งใสไม่เพียงพอในการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกำหนด 3️⃣ สูญเสียการควบคุมข้อมูลอย่างมีนัยสำคัญ 4️⃣ ความไม่แน่นอนทางกฎหมายเกี่ยวกับข้อมูลที่มีข้อผูกพันด้านความลับ 5️⃣ กฎหมาย US CLOUD Act ที่อนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลได้ไม่ว่าข้อมูลจะถูกเก็บไว้ที่ใด 🔒 แนวทางแก้ไขที่เสนอ Privatim เสนอว่า หากหน่วยงานจำเป็นต้องใช้บริการ SaaS ระหว่างประเทศ ควรทำการ เข้ารหัสข้อมูลด้วยตนเอง และห้ามผู้ให้บริการเข้าถึงกุญแจเข้ารหัส ซึ่งข้อกำหนดนี้ทำให้บริการคลาวด์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่สามารถตอบโจทย์ได้ และผลักดันให้เกิดการพิจารณา การทำ Self-Hosting หรือการใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ควบคุมได้เองมากขึ้น 🌐 มุมมองเพิ่มเติม การประกาศนี้สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นในยุโรปเกี่ยวกับการพึ่งพาบริการคลาวด์จากสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและอธิปไตยทางดิจิทัล หลายฝ่ายมองว่าเป็นสัญญาณให้รัฐบาลและองค์กรต่าง ๆ หันมาใช้ โครงสร้างพื้นฐานท้องถิ่น หรือโซลูชันโอเพ่นซอร์สที่สามารถควบคุมได้มากกว่า 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การประกาศของ Privatim ➡️ เรียกร้องให้หน่วยงานรัฐทบทวนการใช้คลาวด์ต่างประเทศ ➡️ เน้นความรับผิดชอบต่อข้อมูลประชาชน ✅ ปัญหาที่พบในบริการคลาวด์สหรัฐฯ ➡️ ไม่มีการเข้ารหัส end-to-end ➡️ ขาดความโปร่งใสในการตรวจสอบ ➡️ สูญเสียการควบคุมข้อมูล ➡️ ความไม่แน่นอนทางกฎหมาย ➡️ US CLOUD Act เปิดช่องให้เข้าถึงข้อมูล ✅ แนวทางแก้ไขที่เสนอ ➡️ หน่วยงานต้องเข้ารหัสข้อมูลเอง ➡️ ผู้ให้บริการห้ามเข้าถึงกุญแจเข้ารหัส ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้และหน่วยงานรัฐ ⛔ หากยังใช้บริการคลาวด์ต่างประเทศโดยไม่เข้ารหัส ข้อมูลเสี่ยงต่อการถูกเข้าถึง ⛔ การพึ่งพา hyperscalers อาจกระทบต่ออธิปไตยทางดิจิทัล ⛔ หน่วยงานที่ไม่อัปเดตแนวทางอาจละเมิดข้อกำหนดด้านความปลอดภัย https://itsfoss.com/news/privatim-declares-international-cloud-unsuitable/
    ITSFOSS.COM
    Swiss Data Protection Group Says US Cloud Giants Can't Meet Privacy Standards
    Lack of end-to-end encryption makes international cloud services unsuitable, privatim says.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 รีวิว
  • โมเลกุลธรรมชาติ “Spermine” อาจช่วยเคลียร์โปรตีนสะสมในสมองที่เกี่ยวข้องกับอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน

    นักวิจัยจากสถาบัน Paul Scherrer Institute (PSI) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พบว่า spermine ซึ่งเป็นโมเลกุลเล็ก ๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นตามธรรมชาติ อาจช่วยป้องกันการสะสมของโปรตีนผิดปกติในสมองที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน โดยการทดลองในหนอนที่มีอาการคล้ายโรคเหล่านี้ พบว่าสุขภาพของเซลล์ดีขึ้นและมีการเสื่อมสภาพน้อยลงเมื่อได้รับ spermine

    กลไกที่น่าสนใจคือ spermine ทำให้โปรตีน tau และ alpha-synuclein ซึ่งมักจะจับตัวเป็นก้อนแข็งและเป็นพิษต่อเซลล์สมอง กลายเป็นหยดของเหลวที่นุ่มและเคลื่อนที่ได้ง่ายขึ้น ทำให้ระบบกำจัดขยะของร่างกาย (autophagy) สามารถจัดการได้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ผลลัพธ์นี้เปรียบเสมือน “ชีสที่เชื่อมเส้นพาสต้าให้ย่อยง่ายขึ้น” ตามคำอธิบายของนักวิจัย

    แม้ผลการทดลองในหนอนและหลอดทดลองจะให้ความหวัง แต่ยังต้องใช้เวลาอีกมากในการพิสูจน์ว่า spermine จะมีผลเช่นเดียวกันในสมองมนุษย์ที่ซับซ้อนกว่า การวิจัยเพิ่มเติมอาจเปิดทางให้ spermine หรือโมเลกุลที่คล้ายกันถูกนำมาใช้เป็นแนวทางใหม่ในการรักษาโรคทางระบบประสาท รวมถึงโรคมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับการสะสมโปรตีนผิดปกติ

    สิ่งที่น่าสนใจคือ spermine ไม่ได้เข้าไปแทรกแซงการทำงานของโปรตีนโดยตรง แต่จะทำงานเฉพาะเมื่อโปรตีนอยู่ในระดับที่สูงเกินไปและมีแนวโน้มผิดรูป ซึ่งหมายความว่ามันอาจช่วยรักษาสมดุลของระบบสมองโดยไม่รบกวนการทำงานปกติของโปรตีนที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การค้นพบใหม่
    Spermine ช่วยลดการสะสมโปรตีน tau และ alpha-synuclein
    การทดลองในหนอนพบว่าสุขภาพเซลล์ดีขึ้นและเสื่อมช้าลง

    กลไกการทำงาน
    เปลี่ยนโปรตีนที่แข็งเป็นหยดของเหลวที่กำจัดง่าย
    กระตุ้นระบบ autophagy ให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ความเป็นไปได้ทางการแพทย์
    อาจนำไปสู่การรักษาโรคอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน และโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโปรตีนผิดปกติ
    เปิดแนวทางใหม่ในการใช้โมเลกุลธรรมชาติเป็น “ยาชีวภาพ”

    ข้อควรระวัง
    ผลการทดลองยังอยู่ในระดับหนอนและหลอดทดลอง ไม่สามารถสรุปผลในมนุษย์ได้
    ต้องมีการศึกษาทางคลินิกเพิ่มเติมก่อนนำมาใช้จริง
    การใช้โมเลกุลในมนุษย์อาจมีผลข้างเคียงที่ยังไม่ทราบแน่ชัด

    https://www.sciencealert.com/a-natural-molecule-may-help-clear-buildup-of-alzheimers-proteins-study-finds
    ✨ โมเลกุลธรรมชาติ “Spermine” อาจช่วยเคลียร์โปรตีนสะสมในสมองที่เกี่ยวข้องกับอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน นักวิจัยจากสถาบัน Paul Scherrer Institute (PSI) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พบว่า spermine ซึ่งเป็นโมเลกุลเล็ก ๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นตามธรรมชาติ อาจช่วยป้องกันการสะสมของโปรตีนผิดปกติในสมองที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน โดยการทดลองในหนอนที่มีอาการคล้ายโรคเหล่านี้ พบว่าสุขภาพของเซลล์ดีขึ้นและมีการเสื่อมสภาพน้อยลงเมื่อได้รับ spermine กลไกที่น่าสนใจคือ spermine ทำให้โปรตีน tau และ alpha-synuclein ซึ่งมักจะจับตัวเป็นก้อนแข็งและเป็นพิษต่อเซลล์สมอง กลายเป็นหยดของเหลวที่นุ่มและเคลื่อนที่ได้ง่ายขึ้น ทำให้ระบบกำจัดขยะของร่างกาย (autophagy) สามารถจัดการได้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ผลลัพธ์นี้เปรียบเสมือน “ชีสที่เชื่อมเส้นพาสต้าให้ย่อยง่ายขึ้น” ตามคำอธิบายของนักวิจัย แม้ผลการทดลองในหนอนและหลอดทดลองจะให้ความหวัง แต่ยังต้องใช้เวลาอีกมากในการพิสูจน์ว่า spermine จะมีผลเช่นเดียวกันในสมองมนุษย์ที่ซับซ้อนกว่า การวิจัยเพิ่มเติมอาจเปิดทางให้ spermine หรือโมเลกุลที่คล้ายกันถูกนำมาใช้เป็นแนวทางใหม่ในการรักษาโรคทางระบบประสาท รวมถึงโรคมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับการสะสมโปรตีนผิดปกติ สิ่งที่น่าสนใจคือ spermine ไม่ได้เข้าไปแทรกแซงการทำงานของโปรตีนโดยตรง แต่จะทำงานเฉพาะเมื่อโปรตีนอยู่ในระดับที่สูงเกินไปและมีแนวโน้มผิดรูป ซึ่งหมายความว่ามันอาจช่วยรักษาสมดุลของระบบสมองโดยไม่รบกวนการทำงานปกติของโปรตีนที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การค้นพบใหม่ ➡️ Spermine ช่วยลดการสะสมโปรตีน tau และ alpha-synuclein ➡️ การทดลองในหนอนพบว่าสุขภาพเซลล์ดีขึ้นและเสื่อมช้าลง ✅ กลไกการทำงาน ➡️ เปลี่ยนโปรตีนที่แข็งเป็นหยดของเหลวที่กำจัดง่าย ➡️ กระตุ้นระบบ autophagy ให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ ความเป็นไปได้ทางการแพทย์ ➡️ อาจนำไปสู่การรักษาโรคอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน และโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโปรตีนผิดปกติ ➡️ เปิดแนวทางใหม่ในการใช้โมเลกุลธรรมชาติเป็น “ยาชีวภาพ” ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ผลการทดลองยังอยู่ในระดับหนอนและหลอดทดลอง ไม่สามารถสรุปผลในมนุษย์ได้ ⛔ ต้องมีการศึกษาทางคลินิกเพิ่มเติมก่อนนำมาใช้จริง ⛔ การใช้โมเลกุลในมนุษย์อาจมีผลข้างเคียงที่ยังไม่ทราบแน่ชัด https://www.sciencealert.com/a-natural-molecule-may-help-clear-buildup-of-alzheimers-proteins-study-finds
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    A Natural Molecule May Help Clear Buildup of Alzheimer's Proteins, Study Finds
    The small molecule spermine has the potential to stop the toxic build-up of proteins in the brain that characterizes diseases like Alzheimer's and Parkinson's, researchers have found – and it works a bit like melting cheese on spaghetti.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Cybathlon – เมื่อเกมสมองกลายเป็นสนามแข่งขันจริง”

    การแข่งขัน Cybathlon จัดขึ้นทุก 4 ปีโดย ETH Zurich ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นเวทีที่นักวิจัยและผู้พิการที่เรียกว่า “pilots” ร่วมกันทดสอบเทคโนโลยีช่วยเหลือใหม่ ๆ ตั้งแต่แขนขาเทียมไปจนถึงระบบการมองเห็น และที่โดดเด่นที่สุดคือ brain-computer interface (BCI) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ด้วยความคิดเพียงอย่างเดียว

    หนึ่งในผู้เข้าร่วมคือ Owen Collumb ชายชาวไอริชที่เป็นอัมพาตตั้งแต่อายุ 21 ปี เขาเข้าร่วมการแข่งขันตั้งแต่ปี 2016 และใช้ BCI ที่พัฒนาโดยทีมของ Prof. Damien Coyle จาก University of Bath ผ่านการวัดสัญญาณ EEG บนศีรษะ Collumb สามารถสั่งการคอมพิวเตอร์ให้ทำงาน เช่น ขยับเคอร์เซอร์ หรือเล่นเกม แม้ร่างกายจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้มากนัก

    การแข่งขันนี้ไม่ใช่เพียงการโชว์เทคโนโลยี แต่เป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เห็นว่า คนพิการสามารถเป็น “เจ้านายของเทคโนโลยี” ไม่ใช่ผู้ถูกจำกัดโดยมัน อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังมีอยู่มาก เช่น ความแม่นยำของ EEG ที่ยังต่ำกว่าการใช้ brain implant แบบฝังในสมอง ซึ่งแม้จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงสูงและค่าใช้จ่ายแพง

    บทความยังสะท้อนคำถามเชิงสังคมว่า การผสานสมองกับเทคโนโลยีลึกขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้ชีวิตดีขึ้นจริงหรือไม่ และเราควรยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ในระดับไหน แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ Cybathlon ได้พิสูจน์ว่า เทคโนโลยีช่วยเหลือสามารถเปลี่ยนชีวิตผู้พิการให้มีอิสระและศักดิ์ศรีในการแข่งขัน

    สรุปสาระสำคัญ
    การแข่งขัน Cybathlon
    จัดทุก 4 ปีโดย ETH Zurich
    มีการแข่งแขนขาเทียม, ระบบการมองเห็น และ BCI

    กรณีของ Owen Collumb
    เป็นอัมพาตตั้งแต่อายุ 21 ปี
    ใช้ EEG-based BCI ควบคุมคอมพิวเตอร์และเข้าร่วมแข่งขัน

    ความหมายของการแข่งขัน
    แสดงให้เห็นว่าคนพิการสามารถเป็น “เจ้านายของเทคโนโลยี”
    สร้างแรงบันดาลใจและความหวังใหม่

    ข้อท้าทายและคำเตือน
    EEG ยังไม่แม่นยำเท่าการใช้ brain implant
    การฝังอุปกรณ์ในสมองมีความเสี่ยงสูงและค่าใช้จ่ายแพง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/01/let-the-mind-games-begin
    🧠 “Cybathlon – เมื่อเกมสมองกลายเป็นสนามแข่งขันจริง” การแข่งขัน Cybathlon จัดขึ้นทุก 4 ปีโดย ETH Zurich ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นเวทีที่นักวิจัยและผู้พิการที่เรียกว่า “pilots” ร่วมกันทดสอบเทคโนโลยีช่วยเหลือใหม่ ๆ ตั้งแต่แขนขาเทียมไปจนถึงระบบการมองเห็น และที่โดดเด่นที่สุดคือ brain-computer interface (BCI) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ด้วยความคิดเพียงอย่างเดียว หนึ่งในผู้เข้าร่วมคือ Owen Collumb ชายชาวไอริชที่เป็นอัมพาตตั้งแต่อายุ 21 ปี เขาเข้าร่วมการแข่งขันตั้งแต่ปี 2016 และใช้ BCI ที่พัฒนาโดยทีมของ Prof. Damien Coyle จาก University of Bath ผ่านการวัดสัญญาณ EEG บนศีรษะ Collumb สามารถสั่งการคอมพิวเตอร์ให้ทำงาน เช่น ขยับเคอร์เซอร์ หรือเล่นเกม แม้ร่างกายจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้มากนัก การแข่งขันนี้ไม่ใช่เพียงการโชว์เทคโนโลยี แต่เป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เห็นว่า คนพิการสามารถเป็น “เจ้านายของเทคโนโลยี” ไม่ใช่ผู้ถูกจำกัดโดยมัน อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังมีอยู่มาก เช่น ความแม่นยำของ EEG ที่ยังต่ำกว่าการใช้ brain implant แบบฝังในสมอง ซึ่งแม้จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงสูงและค่าใช้จ่ายแพง บทความยังสะท้อนคำถามเชิงสังคมว่า การผสานสมองกับเทคโนโลยีลึกขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้ชีวิตดีขึ้นจริงหรือไม่ และเราควรยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ในระดับไหน แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ Cybathlon ได้พิสูจน์ว่า เทคโนโลยีช่วยเหลือสามารถเปลี่ยนชีวิตผู้พิการให้มีอิสระและศักดิ์ศรีในการแข่งขัน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การแข่งขัน Cybathlon ➡️ จัดทุก 4 ปีโดย ETH Zurich ➡️ มีการแข่งแขนขาเทียม, ระบบการมองเห็น และ BCI ✅ กรณีของ Owen Collumb ➡️ เป็นอัมพาตตั้งแต่อายุ 21 ปี ➡️ ใช้ EEG-based BCI ควบคุมคอมพิวเตอร์และเข้าร่วมแข่งขัน ✅ ความหมายของการแข่งขัน ➡️ แสดงให้เห็นว่าคนพิการสามารถเป็น “เจ้านายของเทคโนโลยี” ➡️ สร้างแรงบันดาลใจและความหวังใหม่ ‼️ ข้อท้าทายและคำเตือน ⛔ EEG ยังไม่แม่นยำเท่าการใช้ brain implant ⛔ การฝังอุปกรณ์ในสมองมีความเสี่ยงสูงและค่าใช้จ่ายแพง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/01/let-the-mind-games-begin
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Let the mind games begin
    Every four years at the Cybathlon, teams of researchers and technology "pilots" compete to see whose brain-computer interface holds the most promise.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฉลองครบรอบ 54 ปีของ Intel 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก

    โปรเจกต์ “Supersized Intel 4004” คือการสร้างชิปตระกูล Intel 4000 ขึ้นใหม่ในขนาดใหญ่กว่าของจริงกว่า 130 เท่า เพื่อฉลองครบรอบ 54 ปี โดยจะถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ Enter Museum ที่สวิตเซอร์แลนด์ในปี 2026 พร้อมทั้งเป็นนิทรรศการเชิงโต้ตอบที่ผู้ชมสามารถทดลองใช้งานได้

    การฉลองครบรอบ 54 ปีของ Intel 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก ได้ถูกยกขึ้นมาเล่าใหม่ในรูปแบบที่น่าตื่นตาตื่นใจ นักวิศวกร Klaus Scheffler และ Lajos Kintli ได้สร้างชิปตระกูล Intel 4000 ทั้งชุด ได้แก่ 4004 CPU, 4001 ROM, 4002 RAM และ 4003 Shift Register ในขนาดใหญ่กว่าของจริงถึง 130 เท่า โดยทั้งหมดถูกประกอบเข้ากับเครื่องคิดเลข Busicom 141-PF ที่เคยเป็นต้นแบบการใช้งานจริงเมื่อปี 1971

    นิทรรศการที่ Enter Museum สวิตเซอร์แลนด์
    โปรเจกต์นี้ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างเพื่อโชว์เท่านั้น แต่ยังถูกจัดเตรียมให้เป็น นิทรรศการเชิงโต้ตอบ ที่ Enter Museum เมือง Solothurn ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผู้เข้าชมสามารถกดปุ่มเครื่องคิดเลข ทดลองดู flowchart และค่าการทำงานของ register ได้จริง ทำให้ประวัติศาสตร์ของไมโครโปรเซสเซอร์กลับมามีชีวิตอีกครั้งในยุคปัจจุบัน

    ความพิเศษของชิปขนาดยักษ์
    แม้จะเป็นการสร้างใหม่ แต่ชิป supersized 4004 กลับทำงานได้เร็วกว่าเดิมถึง สองเท่า (1.5 MHz เทียบกับ 740 KHz ของต้นฉบับ) เนื่องจากใช้ทรานซิสเตอร์ FET แบบ low-capacitance ที่ออกแบบมาสำหรับงาน RF การพัฒนาเช่นนี้จึงไม่ใช่เพียงการย้อนอดีต แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่กับการออกแบบดั้งเดิม

    บทเรียนจากประวัติศาสตร์
    Intel 4004 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์ แต่ที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้าการเปิดตัวของ 4004 หนึ่งปี กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้พัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ MP944 ขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ถูกเก็บเป็นความลับจนถึงปี 1989 เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกบางครั้งก็เริ่มต้นจากการใช้งานทางทหาร ก่อนจะเข้าสู่ภาคพลเรือนและกลายเป็นรากฐานของชีวิตประจำวัน

    สรุปสาระสำคัญ
    โปรเจกต์ Supersized Intel 4004
    สร้างชิปตระกูล Intel 4000 ขึ้นใหม่ในขนาดใหญ่กว่า 130 เท่า
    ใช้ประกอบกับเครื่องคิดเลข Busicom 141-PF รุ่นปี 1971

    นิทรรศการ Enter Museum
    จัดแสดงในเมือง Solothurn ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปี 2026
    ผู้ชมสามารถทดลองใช้งานเครื่องคิดเลขและดูการทำงานของ register ได้จริง

    ความพิเศษของชิปใหม่
    ทำงานเร็วกว่าเดิมถึงสองเท่า (1.5 MHz เทียบกับ 740 KHz)
    ใช้ทรานซิสเตอร์ FET แบบ low-capacitance

    บทเรียนจากประวัติศาสตร์
    Intel 4004 เป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก
    แต่ MP944 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ถูกพัฒนาก่อนและเก็บเป็นความลับ

    คำเตือนด้านข้อมูล
    เทคโนโลยีที่ถูกเก็บเป็นความลับอาจทำให้สังคมพลเรือนล่าช้าในการเข้าถึงนวัตกรรม
    การพึ่งพาเทคโนโลยีเก่าโดยไม่พัฒนาอาจทำให้เสียโอกาสเชิงเศรษฐกิจและวิทยาการ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/supersized-family-gathers-for-the-intel-4004-cpu-anniversary-4001-rom-4002-ram-and-4003-shift-registers-feature-in-a-reconstructed-busicom-calculator-build
    🎂 ฉลองครบรอบ 54 ปีของ Intel 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก โปรเจกต์ “Supersized Intel 4004” คือการสร้างชิปตระกูล Intel 4000 ขึ้นใหม่ในขนาดใหญ่กว่าของจริงกว่า 130 เท่า เพื่อฉลองครบรอบ 54 ปี โดยจะถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ Enter Museum ที่สวิตเซอร์แลนด์ในปี 2026 พร้อมทั้งเป็นนิทรรศการเชิงโต้ตอบที่ผู้ชมสามารถทดลองใช้งานได้ การฉลองครบรอบ 54 ปีของ Intel 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก ได้ถูกยกขึ้นมาเล่าใหม่ในรูปแบบที่น่าตื่นตาตื่นใจ นักวิศวกร Klaus Scheffler และ Lajos Kintli ได้สร้างชิปตระกูล Intel 4000 ทั้งชุด ได้แก่ 4004 CPU, 4001 ROM, 4002 RAM และ 4003 Shift Register ในขนาดใหญ่กว่าของจริงถึง 130 เท่า โดยทั้งหมดถูกประกอบเข้ากับเครื่องคิดเลข Busicom 141-PF ที่เคยเป็นต้นแบบการใช้งานจริงเมื่อปี 1971 🏛️ นิทรรศการที่ Enter Museum สวิตเซอร์แลนด์ โปรเจกต์นี้ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างเพื่อโชว์เท่านั้น แต่ยังถูกจัดเตรียมให้เป็น นิทรรศการเชิงโต้ตอบ ที่ Enter Museum เมือง Solothurn ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผู้เข้าชมสามารถกดปุ่มเครื่องคิดเลข ทดลองดู flowchart และค่าการทำงานของ register ได้จริง ทำให้ประวัติศาสตร์ของไมโครโปรเซสเซอร์กลับมามีชีวิตอีกครั้งในยุคปัจจุบัน ⚡ ความพิเศษของชิปขนาดยักษ์ แม้จะเป็นการสร้างใหม่ แต่ชิป supersized 4004 กลับทำงานได้เร็วกว่าเดิมถึง สองเท่า (1.5 MHz เทียบกับ 740 KHz ของต้นฉบับ) เนื่องจากใช้ทรานซิสเตอร์ FET แบบ low-capacitance ที่ออกแบบมาสำหรับงาน RF การพัฒนาเช่นนี้จึงไม่ใช่เพียงการย้อนอดีต แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่กับการออกแบบดั้งเดิม 📜 บทเรียนจากประวัติศาสตร์ Intel 4004 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์ แต่ที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้าการเปิดตัวของ 4004 หนึ่งปี กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้พัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ MP944 ขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ถูกเก็บเป็นความลับจนถึงปี 1989 เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกบางครั้งก็เริ่มต้นจากการใช้งานทางทหาร ก่อนจะเข้าสู่ภาคพลเรือนและกลายเป็นรากฐานของชีวิตประจำวัน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ โปรเจกต์ Supersized Intel 4004 ➡️ สร้างชิปตระกูล Intel 4000 ขึ้นใหม่ในขนาดใหญ่กว่า 130 เท่า ➡️ ใช้ประกอบกับเครื่องคิดเลข Busicom 141-PF รุ่นปี 1971 ✅ นิทรรศการ Enter Museum ➡️ จัดแสดงในเมือง Solothurn ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปี 2026 ➡️ ผู้ชมสามารถทดลองใช้งานเครื่องคิดเลขและดูการทำงานของ register ได้จริง ✅ ความพิเศษของชิปใหม่ ➡️ ทำงานเร็วกว่าเดิมถึงสองเท่า (1.5 MHz เทียบกับ 740 KHz) ➡️ ใช้ทรานซิสเตอร์ FET แบบ low-capacitance ✅ บทเรียนจากประวัติศาสตร์ ➡️ Intel 4004 เป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก ➡️ แต่ MP944 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ถูกพัฒนาก่อนและเก็บเป็นความลับ ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ เทคโนโลยีที่ถูกเก็บเป็นความลับอาจทำให้สังคมพลเรือนล่าช้าในการเข้าถึงนวัตกรรม ⛔ การพึ่งพาเทคโนโลยีเก่าโดยไม่พัฒนาอาจทำให้เสียโอกาสเชิงเศรษฐกิจและวิทยาการ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/supersized-family-gathers-for-the-intel-4004-cpu-anniversary-4001-rom-4002-ram-and-4003-shift-registers-feature-in-a-reconstructed-busicom-calculator-build
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • ล่องเรือหรูริมแม่น้ำไรน์… ท่ามกลางแสงไฟเทศกาลคริสต์มาสยุโรป!
    สัมผัสความโรแมนติก อบอุ่น และเสน่ห์ตลาดคริสต์มาสชื่อดังของเยอรมนี & สวิตเซอร์แลนด์

    🛳 Uniworld – Luxury River Cruise ระดับ 6 ดาว
    เส้นทางพิเศษชมตลาดคริสต์มาสบนลำน้ำไรน์ บรรยากาศสวยที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป

    เส้นทาง
    บาเซิล (สวิตเซอร์แลนด์) → คีล (สตราสบูร์ก) → มานน์ไฮม์ (บาเดิน-บาเดิน) → ไมนซ์ → รูเดสไฮม์ → ล่องไรน์ผ่านโคเบลนซ์สุดโรแมนติก → โคโลญ (เยอรมนี)

    เดินทาง 26 พ.ย. – 2 ธ.ค. 2568

    ราคาเริ่มต้นเพียง 4,199 USD

    แพ็กเกจ All incusive
    ✔ ห้องพักบนเรือสำราญระดับ 6 ดาว
    ✔ อาหารทุกมื้อ พร้อมเมนูคุณภาพระดับโรงแรม
    ✔ กิจกรรมบนเรือสุดพรีเมียม & ความบันเทิงครบ
    ✔ แพ็กเกจเครื่องดื่มไม่อั้นตลอดทริป
    ✔ Wi-Fi ตลอดการเดินทาง

    รหัสแพคเกจทัวร์ : UNIP-8D7N-BSL-CGN-2612161
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/eafac4

    ดูเรือ Uniworld River Cruise ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/bb9b58

    ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #เรือUniworldRiverCruise #UniworldRiverCruise #RhineHolidayMarkets #Christmasmarket #RhineRiver #Germany #Switzerland #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #CruiseDomain
    ✨ ล่องเรือหรูริมแม่น้ำไรน์… ท่ามกลางแสงไฟเทศกาลคริสต์มาสยุโรป! สัมผัสความโรแมนติก อบอุ่น และเสน่ห์ตลาดคริสต์มาสชื่อดังของเยอรมนี & สวิตเซอร์แลนด์ 🎁🎄 🛳 Uniworld – Luxury River Cruise ระดับ 6 ดาว เส้นทางพิเศษชมตลาดคริสต์มาสบนลำน้ำไรน์ บรรยากาศสวยที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป ✨🎡 📍 เส้นทาง บาเซิล (สวิตเซอร์แลนด์) → คีล (สตราสบูร์ก) → มานน์ไฮม์ (บาเดิน-บาเดิน) → ไมนซ์ → รูเดสไฮม์ → ล่องไรน์ผ่านโคเบลนซ์สุดโรแมนติก → โคโลญ (เยอรมนี) 📅 เดินทาง 26 พ.ย. – 2 ธ.ค. 2568 💥 ราคาเริ่มต้นเพียง 4,199 USD ✨ แพ็กเกจ All incusive ✔ ห้องพักบนเรือสำราญระดับ 6 ดาว ✔ อาหารทุกมื้อ พร้อมเมนูคุณภาพระดับโรงแรม ✔ กิจกรรมบนเรือสุดพรีเมียม & ความบันเทิงครบ ✔ แพ็กเกจเครื่องดื่มไม่อั้นตลอดทริป 🍷 ✔ Wi-Fi ตลอดการเดินทาง ➡️ รหัสแพคเกจทัวร์ : UNIP-8D7N-BSL-CGN-2612161 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/eafac4 ดูเรือ Uniworld River Cruise ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/bb9b58 ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #เรือUniworldRiverCruise #UniworldRiverCruise #RhineHolidayMarkets #Christmasmarket #RhineRiver #Germany #Switzerland #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #CruiseDomain
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 452 มุมมอง 0 รีวิว
  • ย้อนรอยความสำเร็จ Debbie Gibson และ “Foolish Beat” เพลงบัลลาดแห่งยุค 80s

    ในยุค 80s ที่ดนตรีป๊อปกำลังเบ่งบาน Debbie Gibson คือหนึ่งในศิลปินวัยรุ่นที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการเพลง ด้วยเพลง “Foolish Beat” ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นซิงเกิ้ลฮิตอันดับหนึ่ง แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพรสวรรค์ของเธอในฐานะนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และนักร้อง บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติของเพลงและศิลปิน ความหมายเบื้องลึก ความนิยมที่สร้างประวัติศาสตร์ พร้อมกับมุมมองส่วนตัวของผมที่มองว่าเธอคือ “Princess of Pop” ที่ไม่มีใครเทียบได้แม้กระทั่งในปัจจุบัน

    ประวัติของศิลปิน: Debbie Gibson
    Debbie Gibson หรือชื่อเต็ม Deborah Ann Gibson เกิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1970 ที่เมืองบรูคลิน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เธอเริ่มต้นเส้นทางดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่อายุยังน้อยและเคยร้องในคณะประสานเสียงเด็กของ Metropolitan Opera House ตอนอายุ 8 ขวบ ในวัย 16 ปี ขณะที่ยังเรียนมัธยม เธอเซ็นสัญญากับค่าย Atlantic Records และเริ่มแสดงในไนต์คลับทั่วสหรัฐฯ บางครั้งเล่นถึงสามเซ็ตต่อคืนแม้จะมีตารางเรียนหนัก
    อัลบั้มเดบิวต์ของเธอ Out of the Blue (1987) ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยมีซิงเกิ้ลฮิตติดท็อป 5 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ถึงสี่เพลง ได้แก่ “Only in My Dreams”, “Shake Your Love”, “Out of the Blue” และ “Foolish Beat” อัลบั้มนี้ขายได้หลายล้านแผ่นและได้รับสถานะ multi-platinum ตามมาด้วยอัลบั้ม Electric Youth (1989) ที่มีเพลงฮิตอันดับหนึ่งอีกเพลงอย่าง “Lost in Your Eyes” ทำให้เธอมีซิงเกิ้ลท็อป 10 รวมห้าเพลง
    หลังจากยุคป๊อปวัยรุ่น เธอหันไปทำงานละครบรอดเวย์ เช่น เล่นใน Les Misérables, Grease, Cabaret และ Beauty and the Beast เธอยังคง active ในวงการบันเทิงจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการออกอัลบั้มใหม่และทัวร์คอนเสิร์ต Debbie Gibson คือตัวอย่างของศิลปินที่เริ่มจาก teen idol แต่พัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นศิลปินหลากหลายแขนง

    ประวัติของเพลง Foolish Beat
    “Foolish Beat” เป็นซิงเกิ้ลที่สี่จากอัลบั้ม Out of the Blue ปล่อยออกมาในเดือนมีนาคม 1988 (บางแหล่งระบุเมษายน) เพลงนี้แตกต่างจากซิงเกิ้ลก่อนหน้าที่เป็นแนว upbeat โดยเป็นบัลลาดเศร้าที่ Debbie เขียน โปรดิวซ์ และร้องเองทั้งหมด เธอทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ Fred Zarr เพื่อบันทึกอัลบั้มนี้ในเวลาเพียงสี่สัปดาห์
    มิวสิกวิดีโอของเพลง กำกับโดย Nick Willing แสดงภาพ Debbie ในบรรยากาศเศร้า เช่น ในคาบาเรต์ ถนนเมือง และร้านอาหารที่เธอนั่งคนเดียว ซึ่งได้รับการออกอากาศบน MTV และ VH1 ในปี 2010 เธอรีเรคคอร์ดเพลงนี้ใหม่สำหรับ Deluxe Edition ของอัลบั้มญี่ปุ่น เพลงนี้ยังถูกปล่อยในญี่ปุ่นเป็น B-side ของ “Out of the Blue”

    ความหมายของเพลง
    “Foolish Beat” พูดถึงความรู้สึกของเด็กสาววัยรุ่นที่อกหักครั้งแรก เธอรู้สึกเศร้า สงสัยว่าตัวเองจะรักใครได้อีกไหม และตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้ความรักจบลงด้วย “foolish beat” หรือจังหวะโง่เขลาในหัวใจ Debbie เขียนเพลงนี้ตอนที่ยังไม่มีประสบการณ์จริงในความรัก เธอ “เดา” ว่าความรักและการสูญเสียจะเป็นยังไง แต่เนื้อเพลงที่เรียบง่ายกลับเปิดช่องให้ผู้ฟังเติมเต็มด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ในสัมภาษณ์ปี 2013 เธอบอกว่าตอนนี้เธอร้องเพลงนี้ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหลังจากผ่านความรักจริงๆ เพลงนี้จึงไม่ใช่แค่บัลลาดป๊อป แต่เป็นการสำรวจอารมณ์ที่ซับซ้อนสำหรับวัยรุ่น

    ความดังและความนิยม
    “Foolish Beat” ขึ้นอันดับหนึ่งบน Billboard Hot 100 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1988 ทำให้ Debbie วัย 17 ปี 9 เดือน กลายเป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เขียน โปรดิวซ์ และร้องเพลงฮิตอันดับหนึ่งด้วยตัวเอง บันทึกนี้ถูกทำลายโดย Soulja Boy ในปี 2007 แต่เธอยังคงเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดที่ทำได้ เพลงนี้ยังติดท็อป 5 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ ท็อป 10 ในสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์
    ความนิยมของเพลงช่วยผลักดันอัลบั้ม Out of the Blue ให้ขึ้นอันดับ 7 บน Billboard 200 และทำให้ Debbie กลายเป็นไอดอลวัยรุ่นที่ปรากฏบนปกนิตยสารทั่วโลก แม้ในปี 2025 เพลงนี้ยังถูกกล่าวถึงในบทความและโซเชียลมีเดีย เช่น บน Reddit ที่แฟนๆ ยกย่องว่าเป็นเพลงคลาสสิกยุค 80s และในบทความ回顾ประวัติศาสตร์ดนตรี

    มุมมองส่วนตัว: Debbie Gibson คือ Princess of Pop ที่ไม่มีใครเทียบ
    จากประสบการณ์ของผมที่ติดตามดนตรีป๊อปมานาน Debbie Gibson คือ “Princess of Pop” แท้จริงที่ไม่มีใครเทียบได้จนถึงปัจจุบัน เธอไม่ใช่แค่ร้องเพลง แต่เขียนและโปรดิวซ์เองตั้งแต่อายุยังน้อย ในยุคที่ศิลปินวัยรุ่นมักถูกควบคุมโดยค่าย เธอสร้างสรรค์งานด้วยตัวเอง ทำให้เพลงอย่าง “Foolish Beat” มีความจริงใจและลึกซึ้ง แม้ในยุคปัจจุบันที่มีศิลปินอย่าง Britney Spears หรือ Taylor Swift ที่ถูกเรียกในชื่อคล้ายกัน แต่ Debbie คือต้นแบบที่ผสมผสานพรสวรรค์ดนตรีกับภาพลักษณ์สดใสแบบวัยรุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอปูทางให้ศิลปินรุ่นหลัง และแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปี ความมหัศจรรย์ของเธอยังคงอยู่ เหมือนกับที่เพลง “Foolish Beat” สอนเราเรื่องความรักที่ไม่มีวันเก่า

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=bAhmMOJjTnk
    👑 ย้อนรอยความสำเร็จ Debbie Gibson และ “Foolish Beat” เพลงบัลลาดแห่งยุค 80s 🕰️ ในยุค 80s ที่ดนตรีป๊อปกำลังเบ่งบาน Debbie Gibson คือหนึ่งในศิลปินวัยรุ่นที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการเพลง ด้วยเพลง “Foolish Beat” ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นซิงเกิ้ลฮิตอันดับหนึ่ง แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพรสวรรค์ของเธอในฐานะนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และนักร้อง บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติของเพลงและศิลปิน ความหมายเบื้องลึก ความนิยมที่สร้างประวัติศาสตร์ พร้อมกับมุมมองส่วนตัวของผมที่มองว่าเธอคือ “Princess of Pop” ที่ไม่มีใครเทียบได้แม้กระทั่งในปัจจุบัน 🎤 ประวัติของศิลปิน: Debbie Gibson Debbie Gibson หรือชื่อเต็ม Deborah Ann Gibson เกิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1970 ที่เมืองบรูคลิน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เธอเริ่มต้นเส้นทางดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่อายุยังน้อยและเคยร้องในคณะประสานเสียงเด็กของ Metropolitan Opera House ตอนอายุ 8 ขวบ ในวัย 16 ปี ขณะที่ยังเรียนมัธยม เธอเซ็นสัญญากับค่าย Atlantic Records และเริ่มแสดงในไนต์คลับทั่วสหรัฐฯ บางครั้งเล่นถึงสามเซ็ตต่อคืนแม้จะมีตารางเรียนหนัก อัลบั้มเดบิวต์ของเธอ Out of the Blue (1987) ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยมีซิงเกิ้ลฮิตติดท็อป 5 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ถึงสี่เพลง ได้แก่ “Only in My Dreams”, “Shake Your Love”, “Out of the Blue” และ “Foolish Beat” อัลบั้มนี้ขายได้หลายล้านแผ่นและได้รับสถานะ multi-platinum ตามมาด้วยอัลบั้ม Electric Youth (1989) ที่มีเพลงฮิตอันดับหนึ่งอีกเพลงอย่าง “Lost in Your Eyes” ทำให้เธอมีซิงเกิ้ลท็อป 10 รวมห้าเพลง หลังจากยุคป๊อปวัยรุ่น เธอหันไปทำงานละครบรอดเวย์ เช่น เล่นใน Les Misérables, Grease, Cabaret และ Beauty and the Beast เธอยังคง active ในวงการบันเทิงจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการออกอัลบั้มใหม่และทัวร์คอนเสิร์ต Debbie Gibson คือตัวอย่างของศิลปินที่เริ่มจาก teen idol แต่พัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นศิลปินหลากหลายแขนง 🎶 ประวัติของเพลง Foolish Beat “Foolish Beat” เป็นซิงเกิ้ลที่สี่จากอัลบั้ม Out of the Blue ปล่อยออกมาในเดือนมีนาคม 1988 (บางแหล่งระบุเมษายน) เพลงนี้แตกต่างจากซิงเกิ้ลก่อนหน้าที่เป็นแนว upbeat โดยเป็นบัลลาดเศร้าที่ Debbie เขียน โปรดิวซ์ และร้องเองทั้งหมด เธอทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ Fred Zarr เพื่อบันทึกอัลบั้มนี้ในเวลาเพียงสี่สัปดาห์ มิวสิกวิดีโอของเพลง กำกับโดย Nick Willing แสดงภาพ Debbie ในบรรยากาศเศร้า เช่น ในคาบาเรต์ ถนนเมือง และร้านอาหารที่เธอนั่งคนเดียว ซึ่งได้รับการออกอากาศบน MTV และ VH1 ในปี 2010 เธอรีเรคคอร์ดเพลงนี้ใหม่สำหรับ Deluxe Edition ของอัลบั้มญี่ปุ่น เพลงนี้ยังถูกปล่อยในญี่ปุ่นเป็น B-side ของ “Out of the Blue” 💔 ความหมายของเพลง “Foolish Beat” พูดถึงความรู้สึกของเด็กสาววัยรุ่นที่อกหักครั้งแรก เธอรู้สึกเศร้า สงสัยว่าตัวเองจะรักใครได้อีกไหม และตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้ความรักจบลงด้วย “foolish beat” หรือจังหวะโง่เขลาในหัวใจ Debbie เขียนเพลงนี้ตอนที่ยังไม่มีประสบการณ์จริงในความรัก เธอ “เดา” ว่าความรักและการสูญเสียจะเป็นยังไง แต่เนื้อเพลงที่เรียบง่ายกลับเปิดช่องให้ผู้ฟังเติมเต็มด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ในสัมภาษณ์ปี 2013 เธอบอกว่าตอนนี้เธอร้องเพลงนี้ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหลังจากผ่านความรักจริงๆ เพลงนี้จึงไม่ใช่แค่บัลลาดป๊อป แต่เป็นการสำรวจอารมณ์ที่ซับซ้อนสำหรับวัยรุ่น 🌟 ความดังและความนิยม “Foolish Beat” ขึ้นอันดับหนึ่งบน Billboard Hot 100 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1988 ทำให้ Debbie วัย 17 ปี 9 เดือน กลายเป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เขียน โปรดิวซ์ และร้องเพลงฮิตอันดับหนึ่งด้วยตัวเอง บันทึกนี้ถูกทำลายโดย Soulja Boy ในปี 2007 แต่เธอยังคงเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดที่ทำได้ เพลงนี้ยังติดท็อป 5 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ ท็อป 10 ในสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ ความนิยมของเพลงช่วยผลักดันอัลบั้ม Out of the Blue ให้ขึ้นอันดับ 7 บน Billboard 200 และทำให้ Debbie กลายเป็นไอดอลวัยรุ่นที่ปรากฏบนปกนิตยสารทั่วโลก แม้ในปี 2025 เพลงนี้ยังถูกกล่าวถึงในบทความและโซเชียลมีเดีย เช่น บน Reddit ที่แฟนๆ ยกย่องว่าเป็นเพลงคลาสสิกยุค 80s และในบทความ回顾ประวัติศาสตร์ดนตรี 👑 มุมมองส่วนตัว: Debbie Gibson คือ Princess of Pop ที่ไม่มีใครเทียบ จากประสบการณ์ของผมที่ติดตามดนตรีป๊อปมานาน Debbie Gibson คือ “Princess of Pop” แท้จริงที่ไม่มีใครเทียบได้จนถึงปัจจุบัน เธอไม่ใช่แค่ร้องเพลง แต่เขียนและโปรดิวซ์เองตั้งแต่อายุยังน้อย ในยุคที่ศิลปินวัยรุ่นมักถูกควบคุมโดยค่าย เธอสร้างสรรค์งานด้วยตัวเอง ทำให้เพลงอย่าง “Foolish Beat” มีความจริงใจและลึกซึ้ง แม้ในยุคปัจจุบันที่มีศิลปินอย่าง Britney Spears หรือ Taylor Swift ที่ถูกเรียกในชื่อคล้ายกัน แต่ Debbie คือต้นแบบที่ผสมผสานพรสวรรค์ดนตรีกับภาพลักษณ์สดใสแบบวัยรุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอปูทางให้ศิลปินรุ่นหลัง และแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปี ความมหัศจรรย์ของเธอยังคงอยู่ เหมือนกับที่เพลง “Foolish Beat” สอนเราเรื่องความรักที่ไม่มีวันเก่า 🎗️ #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=bAhmMOJjTnk
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 538 มุมมอง 0 รีวิว
  • เที่ยวยุโรปตะวันออก ❄ ช่วงคริสต์มาส ปีใหม่ 63,333

    🗓 จำนวนวัน 9วัน 6คืน
    ✈ DE-คอนดอร์
    พักโรงแรม &

    ฝรั่งเศส
    ▪กอลมาร์
    ▪สตราสบูร์ก
    สวิตเซอร์แลนด์
    ▪ริมทะเลสาบซูริค
    เยอรมนี
    ▪มิวนิก
    ▪นูเรมเบิร์ก
    อิตาลี
    ▪ทะเลสาบมิซูรินา
    ออสเตรีย
    ▪อินส์บรุค

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์ยุโรปตะวันออก #easterneurope #europe #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    เที่ยวยุโรปตะวันออก ❄ ช่วงคริสต์มาส ปีใหม่ 🎄📍 63,333 🔥😍 🗓 จำนวนวัน 9วัน 6คืน ✈ DE-คอนดอร์ 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐ & ⭐⭐⭐⭐ 📍 ฝรั่งเศส ▪กอลมาร์ ▪สตราสบูร์ก 📍 สวิตเซอร์แลนด์ ▪ริมทะเลสาบซูริค 📍 เยอรมนี ▪มิวนิก ▪นูเรมเบิร์ก 📍 อิตาลี ▪ทะเลสาบมิซูรินา 📍 ออสเตรีย ▪อินส์บรุค รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์ยุโรปตะวันออก #easterneurope #europe #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 761 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เปิดโลกไมโครชิป: นักสะสมเผยภาพภายใน Intel 4004 ชิปโปรแกรมตัวแรกของโลก

    นักสะสมซีพียูนามว่า “CPU Duke” ได้เปิดเผยภาพภายในของ Intel 4004 ชิปไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลก ที่เปิดตัวเมื่อปี 1971 โดยใช้กล้องจุลทรรศน์สำรวจโครงสร้างภายในระดับนาโน เผยให้เห็นความซับซ้อนของเทคโนโลยีในยุคเริ่มต้นของการประมวลผล

    จุดเด่นของ Intel 4004

    Intel 4004 เป็นชิปขนาด 10,000 นาโนเมตร มีทรานซิสเตอร์จำนวน 2,300 ตัว
    เป็นโปรเซสเซอร์แบบ 4-bit ที่มีความเร็วเพียง 740kHz และใช้แรงดันไฟฟ้าสูงถึง 15V
    รองรับหน่วยความจำสูงสุดเพียง 4KB และสามารถประมวลผลได้ 92,000 คำสั่งต่อวินาที
    ถือเป็นชิปแรกที่สามารถ “โปรแกรมได้” ด้วยซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการคอมพิวเตอร์

    CPU Duke ได้รับชิปจากพิพิธภัณฑ์ Entertechnikwelt ในสวิตเซอร์แลนด์ และทำการ “เปิดฝา” เพื่อเผยให้เห็นโครงสร้างภายใน เช่น ลวดเชื่อมภายในและชั้นโพลีซิลิคอนใต้แผ่นโลหะ ซึ่งเขาอ้างว่าสามารถนับทรานซิสเตอร์ได้ทีละตัว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel 4004 เป็นชิปแรกที่สามารถโปรแกรมได้ด้วยซอฟต์แวร์
    มีขนาด 10,000nm และทรานซิสเตอร์ 2,300 ตัว
    ความเร็ว 740kHz และแรงดันไฟฟ้า 15V
    รองรับหน่วยความจำเพียง 4KB
    สามารถประมวลผลได้ 92,000 คำสั่งต่อวินาที
    ถูกออกแบบเพื่อใช้ในเครื่องคิดเลขของ Busicom ก่อนจะกลายเป็นชิปอเนกประสงค์

    การเปิดเผยโดย CPU Duke
    ใช้กล้องจุลทรรศน์สำรวจโครงสร้างภายในของ Intel 4004
    เห็นลวดเชื่อมและโครงสร้างโพลีซิลิคอนอย่างชัดเจน
    ได้รับชิปจากพิพิธภัณฑ์ในสวิตเซอร์แลนด์เพื่อการศึกษา

    ความสำคัญทางประวัติศาสตร์
    Intel 4004 เป็นจุดเริ่มต้นของยุคไมโครโปรเซสเซอร์
    เปลี่ยนแนวคิดจากฮาร์ดแวร์เฉพาะทางเป็นระบบที่สามารถเขียนโปรแกรมได้
    เป็นรากฐานของการพัฒนาชิปในยุคปัจจุบัน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/cpu-collector-exposes-microscopic-insides-of-intels-revolutionary-4004-chip-10-000nm-chip-was-the-worlds-first-programmable-microchip-processor
    🔬💡 เปิดโลกไมโครชิป: นักสะสมเผยภาพภายใน Intel 4004 ชิปโปรแกรมตัวแรกของโลก นักสะสมซีพียูนามว่า “CPU Duke” ได้เปิดเผยภาพภายในของ Intel 4004 ชิปไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลก ที่เปิดตัวเมื่อปี 1971 โดยใช้กล้องจุลทรรศน์สำรวจโครงสร้างภายในระดับนาโน เผยให้เห็นความซับซ้อนของเทคโนโลยีในยุคเริ่มต้นของการประมวลผล 🧠 จุดเด่นของ Intel 4004 💠 Intel 4004 เป็นชิปขนาด 10,000 นาโนเมตร มีทรานซิสเตอร์จำนวน 2,300 ตัว 💠 เป็นโปรเซสเซอร์แบบ 4-bit ที่มีความเร็วเพียง 740kHz และใช้แรงดันไฟฟ้าสูงถึง 15V 💠 รองรับหน่วยความจำสูงสุดเพียง 4KB และสามารถประมวลผลได้ 92,000 คำสั่งต่อวินาที 💠 ถือเป็นชิปแรกที่สามารถ “โปรแกรมได้” ด้วยซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการคอมพิวเตอร์ CPU Duke ได้รับชิปจากพิพิธภัณฑ์ Entertechnikwelt ในสวิตเซอร์แลนด์ และทำการ “เปิดฝา” เพื่อเผยให้เห็นโครงสร้างภายใน เช่น ลวดเชื่อมภายในและชั้นโพลีซิลิคอนใต้แผ่นโลหะ ซึ่งเขาอ้างว่าสามารถนับทรานซิสเตอร์ได้ทีละตัว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel 4004 เป็นชิปแรกที่สามารถโปรแกรมได้ด้วยซอฟต์แวร์ ➡️ มีขนาด 10,000nm และทรานซิสเตอร์ 2,300 ตัว ➡️ ความเร็ว 740kHz และแรงดันไฟฟ้า 15V ➡️ รองรับหน่วยความจำเพียง 4KB ➡️ สามารถประมวลผลได้ 92,000 คำสั่งต่อวินาที ➡️ ถูกออกแบบเพื่อใช้ในเครื่องคิดเลขของ Busicom ก่อนจะกลายเป็นชิปอเนกประสงค์ ✅ การเปิดเผยโดย CPU Duke ➡️ ใช้กล้องจุลทรรศน์สำรวจโครงสร้างภายในของ Intel 4004 ➡️ เห็นลวดเชื่อมและโครงสร้างโพลีซิลิคอนอย่างชัดเจน ➡️ ได้รับชิปจากพิพิธภัณฑ์ในสวิตเซอร์แลนด์เพื่อการศึกษา ✅ ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ➡️ Intel 4004 เป็นจุดเริ่มต้นของยุคไมโครโปรเซสเซอร์ ➡️ เปลี่ยนแนวคิดจากฮาร์ดแวร์เฉพาะทางเป็นระบบที่สามารถเขียนโปรแกรมได้ ➡️ เป็นรากฐานของการพัฒนาชิปในยุคปัจจุบัน https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/cpu-collector-exposes-microscopic-insides-of-intels-revolutionary-4004-chip-10-000nm-chip-was-the-worlds-first-programmable-microchip-processor
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขมรปั้นหน้าเล่นบทเหยื่อ ประณามไทยกลาง IPU : [NEWS UPDATE]
    นาย อุช โบฤทธิ์ รองประธานวุฒิสภา ในฐานะผู้แทนรัฐสภากัมพูชา กล่าวในการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา(IPU) ที่สวิตเซอร์แลนด์ จากก่อนหน้านี้ไม่ปรากฏตัวในห้องประชุมต่างๆ ตลอด 2 วัน โดยกล่าวถึงปัญหาพิพาทไทย-กัมพูชา อ้างถูกละเมิดมนุษยธรรมรุนแรง กัมพูชาไม่คิดเป็นศัตรูกับใคร ขอประเทศไทยทราบเรื่องนี้ มี MOU 2543 เรื่องเขตแดน แต่ชาวบ้านกัมพูชาถูกปิดล้อม ถูกดดันให้ออกจากพื้นที่ ทหารกัมพูชา 18 คน ยังถูกคุมตัว ปฏิบัติการจิตวิทยาปล่อยเสียงแหลมดังเวลากลางคืน ทำให้ชาวกัมพูชาหวาดกลัว ย้ำ กัมพูชาเคารพข้อตกลงหยุดยิง กฎหมายระหว่างประเทศ และสนธิสัญญาทุกฉบับ ทั้งนี้ รองประธานวุฒิสภากัมพูชาพูดเกินเวลามาก ทั้งที่มีแสงไฟเตือนถี่ๆ หลายรอบ ประธานการประชุมเตือนหลายครั้ง แต่ไม่สนใจพูดจนจบเนื้อหาที่เตรียมมา จนสมาชิกชาติอื่นส่งเสียงไม่พอใจ ประธานควบคุมเวทีตำหนิไม่เคารพเวลากระทบชาติอื่น


    จับมือสหรัฐฯปราบสแกมเมอร์

    รื้อโกดัง"กำนันลี"

    เร่งเบิกจ่ายงบ 4.37 ล้านล้าน
    เขมรปั้นหน้าเล่นบทเหยื่อ ประณามไทยกลาง IPU : [NEWS UPDATE] นาย อุช โบฤทธิ์ รองประธานวุฒิสภา ในฐานะผู้แทนรัฐสภากัมพูชา กล่าวในการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา(IPU) ที่สวิตเซอร์แลนด์ จากก่อนหน้านี้ไม่ปรากฏตัวในห้องประชุมต่างๆ ตลอด 2 วัน โดยกล่าวถึงปัญหาพิพาทไทย-กัมพูชา อ้างถูกละเมิดมนุษยธรรมรุนแรง กัมพูชาไม่คิดเป็นศัตรูกับใคร ขอประเทศไทยทราบเรื่องนี้ มี MOU 2543 เรื่องเขตแดน แต่ชาวบ้านกัมพูชาถูกปิดล้อม ถูกดดันให้ออกจากพื้นที่ ทหารกัมพูชา 18 คน ยังถูกคุมตัว ปฏิบัติการจิตวิทยาปล่อยเสียงแหลมดังเวลากลางคืน ทำให้ชาวกัมพูชาหวาดกลัว ย้ำ กัมพูชาเคารพข้อตกลงหยุดยิง กฎหมายระหว่างประเทศ และสนธิสัญญาทุกฉบับ ทั้งนี้ รองประธานวุฒิสภากัมพูชาพูดเกินเวลามาก ทั้งที่มีแสงไฟเตือนถี่ๆ หลายรอบ ประธานการประชุมเตือนหลายครั้ง แต่ไม่สนใจพูดจนจบเนื้อหาที่เตรียมมา จนสมาชิกชาติอื่นส่งเสียงไม่พอใจ ประธานควบคุมเวทีตำหนิไม่เคารพเวลากระทบชาติอื่น จับมือสหรัฐฯปราบสแกมเมอร์ รื้อโกดัง"กำนันลี" เร่งเบิกจ่ายงบ 4.37 ล้านล้าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 546 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “Nvidia จับมือ ABB” — เปิดตัวระบบไฟฟ้า 800V DC สำหรับศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ระดับกิกะวัตต์

    Nvidia ประกาศความร่วมมือกับ ABB บริษัทอุตสาหกรรมระดับโลกจากสวีเดน-สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบไฟฟ้า 800V DC สำหรับแร็คเซิร์ฟเวอร์ขนาด 1 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญของศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ในอนาคต

    การใช้ระบบไฟฟ้า 800V DC ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนวัสดุ และรองรับการจ่ายไฟในระดับสูงได้มากขึ้น โดย Nvidia ตั้งเป้าสร้างศูนย์ข้อมูลระดับกิกะวัตต์ ซึ่งต้องใช้แร็คเซิร์ฟเวอร์จำนวนมากที่กินไฟระดับเมกะวัตต์ต่อแร็ค

    ABB ระบุว่าได้พัฒนาอุปกรณ์รองรับระบบ 800V DC สำหรับศูนย์ข้อมูล AI รุ่นใหม่แล้ว และยกตัวอย่างจากระบบไฟฟ้าในเรือเดินสมุทรที่ใช้ 1,000V DC ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 20–40% และลดค่าบำรุงรักษา 30%

    ระบบใหม่นี้จะเปลี่ยนจากการใช้ไฟฟ้า AC ที่ต้องแปลงหลายขั้นตอน มาเป็นการจ่ายไฟ DC โดยตรงจากห้องจ่ายไฟไปยังแร็คเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งช่วยลดการสูญเสียพลังงานและลดขนาดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในระบบเดิม

    การเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าแรงดันสูงแบบ DC ยังช่วยลดขนาดสายไฟและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้การออกแบบศูนย์ข้อมูลมีความยืดหยุ่นและประหยัดมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่ศูนย์ข้อมูล AI ต้องรองรับการประมวลผลมหาศาล

    ข้อมูลในข่าว
    Nvidia ร่วมมือกับ ABB พัฒนาโครงสร้างไฟฟ้า 800V DC สำหรับแร็คเซิร์ฟเวอร์ขนาด 1 เมกะวัตต์
    ระบบใหม่นี้จะใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ขนาดกิกะวัตต์ในอนาคต
    ABB พัฒนาอุปกรณ์รองรับระบบ 800V DC แล้ว
    ระบบ DC ช่วยลดการสูญเสียพลังงานและลดต้นทุนวัสดุ
    ตัวอย่างจากเรือเดินสมุทรที่ใช้ 1,000V DC ลดพลังงาน 20–40% และค่าบำรุงรักษา 30%
    การจ่ายไฟ DC โดยตรงช่วยลดขั้นตอนการแปลงไฟฟ้าและขนาดอุปกรณ์
    การใช้แรงดันสูงช่วยลดขนาดสายไฟและอุปกรณ์ ทำให้ศูนย์ข้อมูลออกแบบได้ง่ายขึ้น

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบไฟฟ้า DC ต้องใช้การออกแบบใหม่และอุปกรณ์เฉพาะ
    หากไม่มีการป้องกันกระแสไฟฟ้าอย่างเหมาะสม อาจเกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์
    ศูนย์ข้อมูลที่ยังใช้ระบบเดิมอาจเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและประสิทธิภาพต่ำกว่า
    การเปลี่ยนระบบไฟฟ้าในระดับเมกะวัตต์ต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/nvidia-800-vdc-power-rollout-for-1-megawatt-server-racks-to-be-supported-by-abb-company-says-collaboration-will-create-new-power-solutions-for-future-gigawatt-scale-data-centers
    ⚡ “Nvidia จับมือ ABB” — เปิดตัวระบบไฟฟ้า 800V DC สำหรับศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ระดับกิกะวัตต์ Nvidia ประกาศความร่วมมือกับ ABB บริษัทอุตสาหกรรมระดับโลกจากสวีเดน-สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบไฟฟ้า 800V DC สำหรับแร็คเซิร์ฟเวอร์ขนาด 1 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญของศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ในอนาคต การใช้ระบบไฟฟ้า 800V DC ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนวัสดุ และรองรับการจ่ายไฟในระดับสูงได้มากขึ้น โดย Nvidia ตั้งเป้าสร้างศูนย์ข้อมูลระดับกิกะวัตต์ ซึ่งต้องใช้แร็คเซิร์ฟเวอร์จำนวนมากที่กินไฟระดับเมกะวัตต์ต่อแร็ค ABB ระบุว่าได้พัฒนาอุปกรณ์รองรับระบบ 800V DC สำหรับศูนย์ข้อมูล AI รุ่นใหม่แล้ว และยกตัวอย่างจากระบบไฟฟ้าในเรือเดินสมุทรที่ใช้ 1,000V DC ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 20–40% และลดค่าบำรุงรักษา 30% ระบบใหม่นี้จะเปลี่ยนจากการใช้ไฟฟ้า AC ที่ต้องแปลงหลายขั้นตอน มาเป็นการจ่ายไฟ DC โดยตรงจากห้องจ่ายไฟไปยังแร็คเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งช่วยลดการสูญเสียพลังงานและลดขนาดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในระบบเดิม การเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าแรงดันสูงแบบ DC ยังช่วยลดขนาดสายไฟและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้การออกแบบศูนย์ข้อมูลมีความยืดหยุ่นและประหยัดมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่ศูนย์ข้อมูล AI ต้องรองรับการประมวลผลมหาศาล ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Nvidia ร่วมมือกับ ABB พัฒนาโครงสร้างไฟฟ้า 800V DC สำหรับแร็คเซิร์ฟเวอร์ขนาด 1 เมกะวัตต์ ➡️ ระบบใหม่นี้จะใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ขนาดกิกะวัตต์ในอนาคต ➡️ ABB พัฒนาอุปกรณ์รองรับระบบ 800V DC แล้ว ➡️ ระบบ DC ช่วยลดการสูญเสียพลังงานและลดต้นทุนวัสดุ ➡️ ตัวอย่างจากเรือเดินสมุทรที่ใช้ 1,000V DC ลดพลังงาน 20–40% และค่าบำรุงรักษา 30% ➡️ การจ่ายไฟ DC โดยตรงช่วยลดขั้นตอนการแปลงไฟฟ้าและขนาดอุปกรณ์ ➡️ การใช้แรงดันสูงช่วยลดขนาดสายไฟและอุปกรณ์ ทำให้ศูนย์ข้อมูลออกแบบได้ง่ายขึ้น ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบไฟฟ้า DC ต้องใช้การออกแบบใหม่และอุปกรณ์เฉพาะ ⛔ หากไม่มีการป้องกันกระแสไฟฟ้าอย่างเหมาะสม อาจเกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์ ⛔ ศูนย์ข้อมูลที่ยังใช้ระบบเดิมอาจเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและประสิทธิภาพต่ำกว่า ⛔ การเปลี่ยนระบบไฟฟ้าในระดับเมกะวัตต์ต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวด https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/nvidia-800-vdc-power-rollout-for-1-megawatt-server-racks-to-be-supported-by-abb-company-says-collaboration-will-create-new-power-solutions-for-future-gigawatt-scale-data-centers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 254 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แผงโซลาร์เซลล์อายุยืนกว่าที่คิด! งานวิจัยใหม่เผยอายุการใช้งานทะลุ 30 ปี”

    หากคุณกำลังลังเลว่าจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ดีหรือไม่ หนึ่งในคำถามสำคัญคือ “มันจะอยู่ได้นานแค่ไหน?” ล่าสุดมีงานวิจัยจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่อาจเปลี่ยนความคิดคุณไปเลย เพราะผลการศึกษาพบว่า แผงโซลาร์เซลล์สามารถใช้งานได้ยาวนานกว่าที่อุตสาหกรรมเคยประเมินไว้มาก

    งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร EES Solar โดยติดตามประสิทธิภาพของแผงโซลาร์เซลล์ 6 ระบบในพื้นที่ต่างกันทั่วสวิตเซอร์แลนด์เป็นเวลากว่า 30 ปี พบว่าอัตราการเสื่อมสภาพเฉลี่ยเพียง 0.24% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าค่าประมาณเดิมที่อยู่ระหว่าง 0.75%-1% ต่อปีอย่างมาก นั่นหมายความว่าแผงส่วนใหญ่ยังคงรักษาประสิทธิภาพได้มากกว่า 80% แม้ผ่านไป 3 ทศวรรษ

    ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานไม่ใช่แค่สภาพแวดล้อม แต่คือคุณภาพวัสดุที่ใช้ผลิต หรือที่เรียกว่า BOM (Bill of Materials) โดยแผงที่ใช้วัสดุคุณภาพสูงแม้จะมีต้นทุนติดตั้งสูง แต่กลับให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าในระยะยาว

    อย่างไรก็ตาม งานวิจัยยังเตือนว่าแผงรุ่นใหม่ในตลาดปัจจุบันอาจไม่ได้ใช้วัสดุคุณภาพสูงเท่าเดิม เพราะผู้ผลิตเน้นลดต้นทุนมากกว่าความทนทาน และยังไม่มีข้อมูลระยะยาวเพียงพอที่จะประเมินอายุการใช้งานของแผงรุ่นใหม่เหล่านี้

    ผลการศึกษาจากสวิตเซอร์แลนด์
    ติดตามแผงโซลาร์เซลล์ 6 ระบบนานกว่า 30 ปี
    อัตราการเสื่อมสภาพเฉลี่ยเพียง 0.24% ต่อปี
    แผงยังคงประสิทธิภาพมากกว่า 80% หลังใช้งาน 30-35 ปี

    ปัจจัยที่ส่งผลต่ออายุการใช้งาน
    แผงในพื้นที่สูงเสื่อมช้ากว่าพื้นที่ต่ำ เพราะความเครียดจากความร้อนน้อยกว่า
    คุณภาพวัสดุ (BOM) เป็นตัวแปรสำคัญที่สุด
    แผงที่ใช้วัสดุคุณภาพสูงมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    BOM คือรายการวัสดุทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตสินค้า
    แผงโซลาร์เซลล์ทั่วไปมีอายุการรับประกันประมาณ 25 ปี
    การเสื่อมสภาพของแผงเกิดจากความร้อน, รังสี UV, ความชื้น และแรงดันไฟฟ้า

    คำเตือนจากงานวิจัย
    แผงรุ่นใหม่อาจมีอายุการใช้งานสั้นกว่ารุ่นเก่า เพราะเน้นลดต้นทุน
    ยังไม่มีข้อมูลระยะยาวเพียงพอสำหรับแผงรุ่นใหม่
    ปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศรุนแรงหรือเศษวัสดุตกใส่ อาจทำให้แผงเสียหายก่อนเวลา
    ไม่สามารถให้คำตอบชัดเจนว่าแผงรุ่นใหม่จะอยู่ได้นานแค่ไหน

    https://www.slashgear.com/1989112/solar-panel-lifespan-longer-new-study/
    🌞 “แผงโซลาร์เซลล์อายุยืนกว่าที่คิด! งานวิจัยใหม่เผยอายุการใช้งานทะลุ 30 ปี” หากคุณกำลังลังเลว่าจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ดีหรือไม่ หนึ่งในคำถามสำคัญคือ “มันจะอยู่ได้นานแค่ไหน?” ล่าสุดมีงานวิจัยจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่อาจเปลี่ยนความคิดคุณไปเลย เพราะผลการศึกษาพบว่า แผงโซลาร์เซลล์สามารถใช้งานได้ยาวนานกว่าที่อุตสาหกรรมเคยประเมินไว้มาก งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร EES Solar โดยติดตามประสิทธิภาพของแผงโซลาร์เซลล์ 6 ระบบในพื้นที่ต่างกันทั่วสวิตเซอร์แลนด์เป็นเวลากว่า 30 ปี พบว่าอัตราการเสื่อมสภาพเฉลี่ยเพียง 0.24% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าค่าประมาณเดิมที่อยู่ระหว่าง 0.75%-1% ต่อปีอย่างมาก นั่นหมายความว่าแผงส่วนใหญ่ยังคงรักษาประสิทธิภาพได้มากกว่า 80% แม้ผ่านไป 3 ทศวรรษ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานไม่ใช่แค่สภาพแวดล้อม แต่คือคุณภาพวัสดุที่ใช้ผลิต หรือที่เรียกว่า BOM (Bill of Materials) โดยแผงที่ใช้วัสดุคุณภาพสูงแม้จะมีต้นทุนติดตั้งสูง แต่กลับให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าในระยะยาว อย่างไรก็ตาม งานวิจัยยังเตือนว่าแผงรุ่นใหม่ในตลาดปัจจุบันอาจไม่ได้ใช้วัสดุคุณภาพสูงเท่าเดิม เพราะผู้ผลิตเน้นลดต้นทุนมากกว่าความทนทาน และยังไม่มีข้อมูลระยะยาวเพียงพอที่จะประเมินอายุการใช้งานของแผงรุ่นใหม่เหล่านี้ ✅ ผลการศึกษาจากสวิตเซอร์แลนด์ ➡️ ติดตามแผงโซลาร์เซลล์ 6 ระบบนานกว่า 30 ปี ➡️ อัตราการเสื่อมสภาพเฉลี่ยเพียง 0.24% ต่อปี ➡️ แผงยังคงประสิทธิภาพมากกว่า 80% หลังใช้งาน 30-35 ปี ✅ ปัจจัยที่ส่งผลต่ออายุการใช้งาน ➡️ แผงในพื้นที่สูงเสื่อมช้ากว่าพื้นที่ต่ำ เพราะความเครียดจากความร้อนน้อยกว่า ➡️ คุณภาพวัสดุ (BOM) เป็นตัวแปรสำคัญที่สุด ➡️ แผงที่ใช้วัสดุคุณภาพสูงมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ BOM คือรายการวัสดุทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตสินค้า ➡️ แผงโซลาร์เซลล์ทั่วไปมีอายุการรับประกันประมาณ 25 ปี ➡️ การเสื่อมสภาพของแผงเกิดจากความร้อน, รังสี UV, ความชื้น และแรงดันไฟฟ้า ‼️ คำเตือนจากงานวิจัย ⛔ แผงรุ่นใหม่อาจมีอายุการใช้งานสั้นกว่ารุ่นเก่า เพราะเน้นลดต้นทุน ⛔ ยังไม่มีข้อมูลระยะยาวเพียงพอสำหรับแผงรุ่นใหม่ ⛔ ปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศรุนแรงหรือเศษวัสดุตกใส่ อาจทำให้แผงเสียหายก่อนเวลา ⛔ ไม่สามารถให้คำตอบชัดเจนว่าแผงรุ่นใหม่จะอยู่ได้นานแค่ไหน https://www.slashgear.com/1989112/solar-panel-lifespan-longer-new-study/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    New Study Suggests Solar Panels Could Last Even Longer Than We Thought - SlashGear
    The latest research from Switzerland show that high-quality solar panels constructed in the 1980s and 1990s are still performing well today.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “แดเนียล คาห์เนมัน” นักจิตวิทยาเจ้าของรางวัลโนเบล เลือกจบชีวิตอย่างสงบในสวิตเซอร์แลนด์

    ในวันที่ 27 มีนาคม 2024 โลกต้องสูญเสียหนึ่งในนักคิดผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคสมัย ดร.แดเนียล คาห์เนมัน นักจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 2002 ได้เลือกจบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาตในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขณะมีอายุ 90 ปี

    เรื่องราวของเขาไม่ได้จบลงด้วยความเศร้า หากแต่เป็นการตัดสินใจที่สะท้อนถึงความเข้าใจชีวิตอย่างลึกซึ้ง เขาใช้เวลาช่วงสุดท้ายในกรุงปารีสกับครอบครัว เดินเล่น ชมบัลเลต์ และลิ้มรสช็อกโกแลตมูสอย่างมีความสุข ก่อนจะส่งอีเมลอำลาเพื่อนสนิท แล้วเดินทางไปซูริกเพื่อจบชีวิตอย่างสงบ

    แม้เขาจะไม่ได้ป่วยหนักหรือเป็นโรคร้ายแรง แต่เขาเริ่มรู้สึกถึงความเสื่อมถอยของร่างกายและจิตใจ และไม่ต้องการเผชิญกับความทรมานหรือการสูญเสียอัตลักษณ์แบบที่คนใกล้ตัวเคยประสบ เขาเลือกที่จะรักษาความเป็นตัวเองไว้จนวาระสุดท้าย

    การตัดสินใจของคาห์เนมันจุดประกายให้สังคมหันกลับมาคิดถึงเรื่องสิทธิในการเลือกจบชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังถกเถียงกันในหลายประเทศ โดยเฉพาะในแง่จริยธรรม กฎหมาย และความเชื่อทางศาสนา

    สรุปเนื้อหาจากข่าวและข้อมูลเพิ่มเติม
    ชีวิตและการตัดสินใจของแดเนียล คาห์เนมัน
    เขาเป็นนักจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2002
    เลือกจบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาตในสวิตเซอร์แลนด์เมื่ออายุ 90 ปี
    ใช้เวลาสุดท้ายในปารีสกับครอบครัวอย่างสงบและมีความสุข
    ส่งอีเมลอำลาเพื่อนสนิทก่อนเดินทางไปซูริก
    ต้องการหลีกเลี่ยงความเสื่อมถอยทางร่างกายและจิตใจ
    เคยสูญเสียคนใกล้ตัวจากภาวะสมองเสื่อมและโรคร้ายแรง
    ต้องการรักษาความเป็นตัวเองและความสง่างามจนวาระสุดท้าย
    ไม่ต้องการให้การตัดสินใจของเขากลายเป็นประเด็นถกเถียงในสาธารณะ

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการุณยฆาต
    สวิตเซอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่อนุญาตให้ทำการุณยฆาตอย่างถูกกฎหมาย
    ต้องผ่านการประเมินจากแพทย์และจิตแพทย์อย่างเข้มงวด
    ผู้ป่วยต้องมีสติสัมปชัญญะและตัดสินใจด้วยตัวเอง
    มีองค์กรเช่น Dignitas และ Exit ที่ให้บริการด้านนี้
    หลายประเทศยังคงห้ามหรือจำกัดการทำการุณยฆาต เช่น สหรัฐอเมริกา (บางรัฐ), ญี่ปุ่น, ไทย

    คำเตือนเกี่ยวกับการตัดสินใจจบชีวิต
    การทำการุณยฆาตไม่ใช่ทางออกสำหรับภาวะซึมเศร้าหรือความสิ้นหวัง
    ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตก่อนตัดสินใจใดๆ
    การสูญเสียคนรักอาจกระทบจิตใจอย่างรุนแรง ต้องได้รับการดูแล
    การตัดสินใจจบชีวิตควรเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรถูกกดดันจากสังคมหรือครอบครัว
    มีบริการสายด่วนและองค์กรช่วยเหลือผู้ที่มีความคิดฆ่าตัวตาย เช่น สายด่วน 143 และ 147 ในสวิตเซอร์แลนด์

    หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญกับความทุกข์ใจ โปรดอย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญหรือองค์กรที่พร้อมรับฟังและช่วยเหลือคุณอย่างจริงใจ.

    https://www.bluewin.ch/en/entertainment/nobel-prize-winner-opts-for-suicide-in-switzerland-2619460.html
    หัวข้อข่าว: “แดเนียล คาห์เนมัน” นักจิตวิทยาเจ้าของรางวัลโนเบล เลือกจบชีวิตอย่างสงบในสวิตเซอร์แลนด์ ในวันที่ 27 มีนาคม 2024 โลกต้องสูญเสียหนึ่งในนักคิดผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคสมัย ดร.แดเนียล คาห์เนมัน นักจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 2002 ได้เลือกจบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาตในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขณะมีอายุ 90 ปี เรื่องราวของเขาไม่ได้จบลงด้วยความเศร้า หากแต่เป็นการตัดสินใจที่สะท้อนถึงความเข้าใจชีวิตอย่างลึกซึ้ง เขาใช้เวลาช่วงสุดท้ายในกรุงปารีสกับครอบครัว เดินเล่น ชมบัลเลต์ และลิ้มรสช็อกโกแลตมูสอย่างมีความสุข ก่อนจะส่งอีเมลอำลาเพื่อนสนิท แล้วเดินทางไปซูริกเพื่อจบชีวิตอย่างสงบ แม้เขาจะไม่ได้ป่วยหนักหรือเป็นโรคร้ายแรง แต่เขาเริ่มรู้สึกถึงความเสื่อมถอยของร่างกายและจิตใจ และไม่ต้องการเผชิญกับความทรมานหรือการสูญเสียอัตลักษณ์แบบที่คนใกล้ตัวเคยประสบ เขาเลือกที่จะรักษาความเป็นตัวเองไว้จนวาระสุดท้าย การตัดสินใจของคาห์เนมันจุดประกายให้สังคมหันกลับมาคิดถึงเรื่องสิทธิในการเลือกจบชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังถกเถียงกันในหลายประเทศ โดยเฉพาะในแง่จริยธรรม กฎหมาย และความเชื่อทางศาสนา สรุปเนื้อหาจากข่าวและข้อมูลเพิ่มเติม ✅ ชีวิตและการตัดสินใจของแดเนียล คาห์เนมัน ➡️ เขาเป็นนักจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2002 ➡️ เลือกจบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาตในสวิตเซอร์แลนด์เมื่ออายุ 90 ปี ➡️ ใช้เวลาสุดท้ายในปารีสกับครอบครัวอย่างสงบและมีความสุข ➡️ ส่งอีเมลอำลาเพื่อนสนิทก่อนเดินทางไปซูริก ➡️ ต้องการหลีกเลี่ยงความเสื่อมถอยทางร่างกายและจิตใจ ➡️ เคยสูญเสียคนใกล้ตัวจากภาวะสมองเสื่อมและโรคร้ายแรง ➡️ ต้องการรักษาความเป็นตัวเองและความสง่างามจนวาระสุดท้าย ➡️ ไม่ต้องการให้การตัดสินใจของเขากลายเป็นประเด็นถกเถียงในสาธารณะ ✅ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการุณยฆาต ➡️ สวิตเซอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่อนุญาตให้ทำการุณยฆาตอย่างถูกกฎหมาย ➡️ ต้องผ่านการประเมินจากแพทย์และจิตแพทย์อย่างเข้มงวด ➡️ ผู้ป่วยต้องมีสติสัมปชัญญะและตัดสินใจด้วยตัวเอง ➡️ มีองค์กรเช่น Dignitas และ Exit ที่ให้บริการด้านนี้ ➡️ หลายประเทศยังคงห้ามหรือจำกัดการทำการุณยฆาต เช่น สหรัฐอเมริกา (บางรัฐ), ญี่ปุ่น, ไทย ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการตัดสินใจจบชีวิต ⛔ การทำการุณยฆาตไม่ใช่ทางออกสำหรับภาวะซึมเศร้าหรือความสิ้นหวัง ⛔ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตก่อนตัดสินใจใดๆ ⛔ การสูญเสียคนรักอาจกระทบจิตใจอย่างรุนแรง ต้องได้รับการดูแล ⛔ การตัดสินใจจบชีวิตควรเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรถูกกดดันจากสังคมหรือครอบครัว ⛔ มีบริการสายด่วนและองค์กรช่วยเหลือผู้ที่มีความคิดฆ่าตัวตาย เช่น สายด่วน 143 และ 147 ในสวิตเซอร์แลนด์ หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญกับความทุกข์ใจ โปรดอย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญหรือองค์กรที่พร้อมรับฟังและช่วยเหลือคุณอย่างจริงใจ. https://www.bluewin.ch/en/entertainment/nobel-prize-winner-opts-for-suicide-in-switzerland-2619460.html
    WWW.BLUEWIN.CH
    Nobel Prize winner opts for suicide in Switzerland
    At the age of 90, Nobel Prize winner Daniel Kahneman has decided to die by his own hand in Switzerland. He spent his last days in Paris - conscious, fulfilled and quiet.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 573 มุมมอง 0 รีวิว
  • “FinalSpark เปิดห้องแล็บในสวิตเซอร์แลนด์ พัฒนาคอมพิวเตอร์จากสมองมนุษย์จิ๋ว — เมื่อชีววิทยากลายเป็นฮาร์ดแวร์แห่งอนาคต”

    BBC ได้เปิดเผยรายงานพิเศษจากห้องแล็บของ FinalSpark บริษัทสตาร์ทอัพในสวิตเซอร์แลนด์ที่กำลังพัฒนา “biocomputer” หรือคอมพิวเตอร์ที่ใช้สมองมนุษย์ขนาดจิ๋วเป็นหน่วยประมวลผล โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า “wetware” ซึ่งต่างจากฮาร์ดแวร์ทั่วไปตรงที่ใช้เซลล์ประสาทจริง ๆ ในการทำงาน

    นักวิจัยของ FinalSpark ได้สร้าง “organoids” หรือสมองจิ๋วจากเซลล์ผิวหนังที่ถูกเปลี่ยนเป็นเซลล์ต้นกำเนิด (stem cells) แล้วนำไปเพาะเลี้ยงให้กลายเป็นกลุ่มเซลล์ประสาทที่มีโครงสร้างคล้ายสมองมนุษย์ โดยวางไว้บนแผงอิเล็กโทรดที่สามารถส่งสัญญาณไฟฟ้าเข้าไป และตรวจจับการตอบสนองของเซลล์ได้แบบ EEG

    แม้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ระบบนี้สามารถตอบสนองต่อคำสั่งง่าย ๆ เช่นการกดปุ่มบนคีย์บอร์ด แล้วดูการตอบสนองของสมองจิ๋วผ่านกราฟไฟฟ้า ซึ่งบางครั้งมีการตอบสนองแบบ “ระเบิดพลัง” ก่อนที่เซลล์จะตายลงในเวลาไม่กี่วินาที

    นักวิจัยยืนยันว่า organoids เหล่านี้ไม่ใช่สมองที่มีจิตสำนึก แต่เป็นเพียงโครงสร้างเซลล์ที่ใช้ในการทดลอง โดยมีอายุการใช้งานประมาณ 4 เดือน และยังไม่สามารถเลียนแบบระบบหล่อเลี้ยงด้วยเลือดแบบสมองจริงได้

    FinalSpark เปิดให้เข้าถึงระบบ bioprocessor แบบออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง โดยคิดค่าบริการเริ่มต้นที่ $500 ต่อเดือน เพื่อให้นักวิจัยทั่วโลกสามารถทดลองและพัฒนาเทคโนโลยี biocomputing ได้จากระยะไกล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    FinalSpark พัฒนาคอมพิวเตอร์จากสมองมนุษย์จิ๋วในห้องแล็บสวิตเซอร์แลนด์
    ใช้ organoids ที่สร้างจากเซลล์ผิวหนังเปลี่ยนเป็น stem cells แล้วเพาะเลี้ยงเป็นเซลล์ประสาท
    วาง organoids บนแผงอิเล็กโทรดเพื่อส่งสัญญาณและตรวจจับการตอบสนอง
    ระบบสามารถตอบสนองต่อคำสั่งง่าย ๆ เช่นการกดปุ่มบนคีย์บอร์ด
    อายุการใช้งานของ organoids อยู่ที่ประมาณ 4 เดือน
    FinalSpark เปิดให้เข้าถึง bioprocessor แบบออนไลน์ในราคาเริ่มต้น $500/เดือน
    นักวิจัยสามารถทดลองผ่านระบบระยะไกลได้ตลอด 24 ชั่วโมง
    นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า organoids ไม่มีจิตสำนึกหรือความรู้สึก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Biocomputing เป็นแนวคิดที่ใช้ระบบชีวภาพแทนชิปซิลิคอนในการประมวลผล
    สมองมนุษย์ใช้พลังงานเพียง 20 วัตต์ในการควบคุมเซลล์ประสาทกว่า 86 พันล้านเซลล์
    Bioprocessor ของ FinalSpark ใช้พลังงานน้อยกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปถึงล้านเท่า
    นักวิจัยจาก Johns Hopkins และ Imperial College ก็พัฒนา organoids เพื่อศึกษาการเรียนรู้
    ระบบ wetware อาจช่วยลดการใช้พลังงานของอุตสาหกรรม AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/swiss-lab-where-researchers-are-working-to-create-computers-powered-by-mini-human-brains-revealed-in-new-report-mini-brain-organoids-revealed-developers-say-we-shouldnt-be-scared-of-them
    🧠 “FinalSpark เปิดห้องแล็บในสวิตเซอร์แลนด์ พัฒนาคอมพิวเตอร์จากสมองมนุษย์จิ๋ว — เมื่อชีววิทยากลายเป็นฮาร์ดแวร์แห่งอนาคต” BBC ได้เปิดเผยรายงานพิเศษจากห้องแล็บของ FinalSpark บริษัทสตาร์ทอัพในสวิตเซอร์แลนด์ที่กำลังพัฒนา “biocomputer” หรือคอมพิวเตอร์ที่ใช้สมองมนุษย์ขนาดจิ๋วเป็นหน่วยประมวลผล โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า “wetware” ซึ่งต่างจากฮาร์ดแวร์ทั่วไปตรงที่ใช้เซลล์ประสาทจริง ๆ ในการทำงาน นักวิจัยของ FinalSpark ได้สร้าง “organoids” หรือสมองจิ๋วจากเซลล์ผิวหนังที่ถูกเปลี่ยนเป็นเซลล์ต้นกำเนิด (stem cells) แล้วนำไปเพาะเลี้ยงให้กลายเป็นกลุ่มเซลล์ประสาทที่มีโครงสร้างคล้ายสมองมนุษย์ โดยวางไว้บนแผงอิเล็กโทรดที่สามารถส่งสัญญาณไฟฟ้าเข้าไป และตรวจจับการตอบสนองของเซลล์ได้แบบ EEG แม้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ระบบนี้สามารถตอบสนองต่อคำสั่งง่าย ๆ เช่นการกดปุ่มบนคีย์บอร์ด แล้วดูการตอบสนองของสมองจิ๋วผ่านกราฟไฟฟ้า ซึ่งบางครั้งมีการตอบสนองแบบ “ระเบิดพลัง” ก่อนที่เซลล์จะตายลงในเวลาไม่กี่วินาที นักวิจัยยืนยันว่า organoids เหล่านี้ไม่ใช่สมองที่มีจิตสำนึก แต่เป็นเพียงโครงสร้างเซลล์ที่ใช้ในการทดลอง โดยมีอายุการใช้งานประมาณ 4 เดือน และยังไม่สามารถเลียนแบบระบบหล่อเลี้ยงด้วยเลือดแบบสมองจริงได้ FinalSpark เปิดให้เข้าถึงระบบ bioprocessor แบบออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง โดยคิดค่าบริการเริ่มต้นที่ $500 ต่อเดือน เพื่อให้นักวิจัยทั่วโลกสามารถทดลองและพัฒนาเทคโนโลยี biocomputing ได้จากระยะไกล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ FinalSpark พัฒนาคอมพิวเตอร์จากสมองมนุษย์จิ๋วในห้องแล็บสวิตเซอร์แลนด์ ➡️ ใช้ organoids ที่สร้างจากเซลล์ผิวหนังเปลี่ยนเป็น stem cells แล้วเพาะเลี้ยงเป็นเซลล์ประสาท ➡️ วาง organoids บนแผงอิเล็กโทรดเพื่อส่งสัญญาณและตรวจจับการตอบสนอง ➡️ ระบบสามารถตอบสนองต่อคำสั่งง่าย ๆ เช่นการกดปุ่มบนคีย์บอร์ด ➡️ อายุการใช้งานของ organoids อยู่ที่ประมาณ 4 เดือน ➡️ FinalSpark เปิดให้เข้าถึง bioprocessor แบบออนไลน์ในราคาเริ่มต้น $500/เดือน ➡️ นักวิจัยสามารถทดลองผ่านระบบระยะไกลได้ตลอด 24 ชั่วโมง ➡️ นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า organoids ไม่มีจิตสำนึกหรือความรู้สึก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Biocomputing เป็นแนวคิดที่ใช้ระบบชีวภาพแทนชิปซิลิคอนในการประมวลผล ➡️ สมองมนุษย์ใช้พลังงานเพียง 20 วัตต์ในการควบคุมเซลล์ประสาทกว่า 86 พันล้านเซลล์ ➡️ Bioprocessor ของ FinalSpark ใช้พลังงานน้อยกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปถึงล้านเท่า ➡️ นักวิจัยจาก Johns Hopkins และ Imperial College ก็พัฒนา organoids เพื่อศึกษาการเรียนรู้ ➡️ ระบบ wetware อาจช่วยลดการใช้พลังงานของอุตสาหกรรม AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/swiss-lab-where-researchers-are-working-to-create-computers-powered-by-mini-human-brains-revealed-in-new-report-mini-brain-organoids-revealed-developers-say-we-shouldnt-be-scared-of-them
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 315 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Microsoft ร่วมทดสอบระบบระบายความร้อนแบบไมโครฟลูอิดิก — เตรียมรับยุค GPU 10kW ที่เปลี่ยนโฉมศูนย์ข้อมูล”

    ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการประมวลผลระดับโลก ความร้อนจากชิปประสิทธิภาพสูงกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ ล่าสุด Microsoft ได้ร่วมมือกับสตาร์ทอัพจากสวิตเซอร์แลนด์ชื่อ Corintis เพื่อทดสอบระบบระบายความร้อนแบบ “ไมโครฟลูอิดิก” (microfluidic cooling) ที่สามารถจัดการกับ GPU ที่ใช้พลังงานสูงถึง 10kW — มากกว่าระดับปัจจุบันถึงสิบเท่า

    GPU ที่ใช้ในศูนย์ข้อมูล AI เช่น Nvidia H100 ปัจจุบันมีการใช้พลังงานประมาณ 700–800W และรุ่นใหม่อย่าง GB200 คาดว่าจะทะลุ 1kW ซึ่งทำให้การระบายความร้อนแบบเดิมเริ่มไม่เพียงพอ Corintis จึงพัฒนาเทคโนโลยีที่ฝังระบบระบายความร้อนไว้ “ในตัวชิป” โดยใช้ช่องทางของเหลวขนาดเล็กที่ออกแบบเฉพาะให้ตรงกับโครงสร้างของแต่ละชิป

    Microsoft ยืนยันว่าได้ทดสอบระบบนี้บนเซิร์ฟเวอร์จริงที่รันบริการหลักแล้ว และพบว่า “ขอบเขตความร้อน” ที่ลดลงสามารถแปลเป็นประสิทธิภาพที่สูงขึ้นและความสามารถในการโอเวอร์คล็อกที่มากขึ้น นอกจากนี้ยังเปิดทางให้สร้างชิปแบบ 3D ที่ซ้อนกันได้โดยไม่เกิดความร้อนสะสม

    Corintis ได้รับเงินลงทุนรอบ Series A จำนวน $24 ล้านจาก BlueYard Capital และนักลงทุนรายใหญ่ เช่น Lip-Bu Tan (อดีต CEO ของ Cadence และกรรมการ Intel) และ Geoff Lyon (อดีตผู้ก่อตั้ง CoolIT) โดยตั้งเป้าผลิต cold plate แบบไมโครฟลูอิดิกได้มากกว่า 1 ล้านชุดต่อปีภายในปี 2026

    แม้เทคโนโลยีนี้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่การที่ Microsoft นำไปใช้จริงในเซิร์ฟเวอร์ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนวิธีการออกแบบศูนย์ข้อมูลในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อความต้องการพลังงานของ AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft ร่วมมือกับ Corintis ทดสอบระบบระบายความร้อนแบบไมโครฟลูอิดิกในเซิร์ฟเวอร์จริง
    ระบบนี้สามารถรองรับ GPU ที่ใช้พลังงานสูงถึง 10kW
    GPU ปัจจุบัน เช่น Nvidia H100 ใช้พลังงานประมาณ 700–800W
    ระบบระบายความร้อนฝังในชิปช่วยลดความร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพ
    เปิดทางให้สร้างชิปแบบ 3D ที่ซ้อนกันได้โดยไม่เกิดความร้อนสะสม
    Corintis ได้รับเงินลงทุน $24 ล้านจากนักลงทุนรายใหญ่
    ตั้งเป้าผลิต cold plate แบบไมโครฟลูอิดิกได้มากกว่า 1 ล้านชุดต่อปีภายในปี 2026
    Microsoft ยืนยันว่าการลดความร้อนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและโอเวอร์คล็อกได้มากขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Microfluidic cooling คือการระบายความร้อนด้วยของเหลวผ่านช่องทางขนาดเล็กที่ออกแบบเฉพาะ
    การฝังระบบระบายความร้อนในชิปช่วยลดการใช้พลังงานในการทำความเย็น
    ความร้อนที่ถูกระบายออกมาสามารถนำไปใช้ซ้ำ เช่น ระบบทำความร้อนในอาคาร
    การออกแบบชิปแบบ 3D ต้องการระบบระบายความร้อนที่ฝังในชั้นกลางของชิป
    ตลาดศูนย์ข้อมูล AI คาดว่าจะเติบโตเกิน $1 ล้านล้านภายในปี 2030

    https://www.techradar.com/pro/4kw-is-certainly-possible-but-it-can-go-much-higher-microsoft-backed-startup-could-dissipate-10kw-gpus-its-founder-confirms
    💧 “Microsoft ร่วมทดสอบระบบระบายความร้อนแบบไมโครฟลูอิดิก — เตรียมรับยุค GPU 10kW ที่เปลี่ยนโฉมศูนย์ข้อมูล” ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการประมวลผลระดับโลก ความร้อนจากชิปประสิทธิภาพสูงกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ ล่าสุด Microsoft ได้ร่วมมือกับสตาร์ทอัพจากสวิตเซอร์แลนด์ชื่อ Corintis เพื่อทดสอบระบบระบายความร้อนแบบ “ไมโครฟลูอิดิก” (microfluidic cooling) ที่สามารถจัดการกับ GPU ที่ใช้พลังงานสูงถึง 10kW — มากกว่าระดับปัจจุบันถึงสิบเท่า GPU ที่ใช้ในศูนย์ข้อมูล AI เช่น Nvidia H100 ปัจจุบันมีการใช้พลังงานประมาณ 700–800W และรุ่นใหม่อย่าง GB200 คาดว่าจะทะลุ 1kW ซึ่งทำให้การระบายความร้อนแบบเดิมเริ่มไม่เพียงพอ Corintis จึงพัฒนาเทคโนโลยีที่ฝังระบบระบายความร้อนไว้ “ในตัวชิป” โดยใช้ช่องทางของเหลวขนาดเล็กที่ออกแบบเฉพาะให้ตรงกับโครงสร้างของแต่ละชิป Microsoft ยืนยันว่าได้ทดสอบระบบนี้บนเซิร์ฟเวอร์จริงที่รันบริการหลักแล้ว และพบว่า “ขอบเขตความร้อน” ที่ลดลงสามารถแปลเป็นประสิทธิภาพที่สูงขึ้นและความสามารถในการโอเวอร์คล็อกที่มากขึ้น นอกจากนี้ยังเปิดทางให้สร้างชิปแบบ 3D ที่ซ้อนกันได้โดยไม่เกิดความร้อนสะสม Corintis ได้รับเงินลงทุนรอบ Series A จำนวน $24 ล้านจาก BlueYard Capital และนักลงทุนรายใหญ่ เช่น Lip-Bu Tan (อดีต CEO ของ Cadence และกรรมการ Intel) และ Geoff Lyon (อดีตผู้ก่อตั้ง CoolIT) โดยตั้งเป้าผลิต cold plate แบบไมโครฟลูอิดิกได้มากกว่า 1 ล้านชุดต่อปีภายในปี 2026 แม้เทคโนโลยีนี้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่การที่ Microsoft นำไปใช้จริงในเซิร์ฟเวอร์ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนวิธีการออกแบบศูนย์ข้อมูลในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อความต้องการพลังงานของ AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft ร่วมมือกับ Corintis ทดสอบระบบระบายความร้อนแบบไมโครฟลูอิดิกในเซิร์ฟเวอร์จริง ➡️ ระบบนี้สามารถรองรับ GPU ที่ใช้พลังงานสูงถึง 10kW ➡️ GPU ปัจจุบัน เช่น Nvidia H100 ใช้พลังงานประมาณ 700–800W ➡️ ระบบระบายความร้อนฝังในชิปช่วยลดความร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ เปิดทางให้สร้างชิปแบบ 3D ที่ซ้อนกันได้โดยไม่เกิดความร้อนสะสม ➡️ Corintis ได้รับเงินลงทุน $24 ล้านจากนักลงทุนรายใหญ่ ➡️ ตั้งเป้าผลิต cold plate แบบไมโครฟลูอิดิกได้มากกว่า 1 ล้านชุดต่อปีภายในปี 2026 ➡️ Microsoft ยืนยันว่าการลดความร้อนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและโอเวอร์คล็อกได้มากขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Microfluidic cooling คือการระบายความร้อนด้วยของเหลวผ่านช่องทางขนาดเล็กที่ออกแบบเฉพาะ ➡️ การฝังระบบระบายความร้อนในชิปช่วยลดการใช้พลังงานในการทำความเย็น ➡️ ความร้อนที่ถูกระบายออกมาสามารถนำไปใช้ซ้ำ เช่น ระบบทำความร้อนในอาคาร ➡️ การออกแบบชิปแบบ 3D ต้องการระบบระบายความร้อนที่ฝังในชั้นกลางของชิป ➡️ ตลาดศูนย์ข้อมูล AI คาดว่าจะเติบโตเกิน $1 ล้านล้านภายในปี 2030 https://www.techradar.com/pro/4kw-is-certainly-possible-but-it-can-go-much-higher-microsoft-backed-startup-could-dissipate-10kw-gpus-its-founder-confirms
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 314 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดรน Geran ของรัสเซียเลิกเป็น "เด็กแว๊นซ์" แล้ว

    หน่วยข่าวกรองของยูเครนรายงานว่าโดรน “Geran-3” รุ่นใหม่ของรัสเซีย พัฒนาเครื่องยนต์ใหม่เป็นเครื่องยนต์มินิเจ็ต

    ที่บินได้เร็วถึง 230 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 370 กม./ชั่วโมง)
    และมีระยะบินไกลกว่า 620 ไมล์ (ประมาณ 997 กิโลเมตร)
    ซึ่งมาพร้อมระบบต่อต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ สามารถหลบเลี่ยงการดักจับและการรบกวนสัญญาณของยูเครนได้
    และบินได้นานถึง 6 ชั่วโมง
    ติดตั้งหัวรบระเบิดแรงสูงได้มากถึง 198 ปอนด์ (ประมาณ 90 กิโลกรัม)
    หัวรบที่ติดตั้งมีทั้งแบบคลัสเตอร์บอม์และหัวรบแบบเทอร์โมบาริก ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการทำลายเป้าหมายที่มีการป้องกันแน่นหนา
    .
    ทางหน่วยข่าวกรองของยูเครนออกมาวิจารณ์ว่า ส่วนประกอบของโดรนรุ่นใหม่ ใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นพันธมิตรกับยูเครนทั้งสิ้น โดยที่ครึ่งหนึ่งมาจากผู้ผลิตในอเมริกา และ 8 ชิ้นมาจากจีน อีก 7 ชิ้นส่วนมาจากสวิตเซอร์แลนด์ และ 3 ชิ้นส่วนจากเยอรมนี อีก 2 ชิ้นจากอังกฤษ และ 1 ชิ้นจากผู้ผลิตในญี่ปุ่น
    .
    วิดีโอ 1 เสียงของเครื่องยนต์จากโดรน Geran-3 เปลี่ยนไป
    โดรน Geran ของรัสเซียเลิกเป็น "เด็กแว๊นซ์" แล้ว หน่วยข่าวกรองของยูเครนรายงานว่าโดรน “Geran-3” รุ่นใหม่ของรัสเซีย พัฒนาเครื่องยนต์ใหม่เป็นเครื่องยนต์มินิเจ็ต 👉ที่บินได้เร็วถึง 230 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 370 กม./ชั่วโมง) 👉และมีระยะบินไกลกว่า 620 ไมล์ (ประมาณ 997 กิโลเมตร) ซึ่งมาพร้อมระบบต่อต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ สามารถหลบเลี่ยงการดักจับและการรบกวนสัญญาณของยูเครนได้ 👉และบินได้นานถึง 6 ชั่วโมง 👉ติดตั้งหัวรบระเบิดแรงสูงได้มากถึง 198 ปอนด์ (ประมาณ 90 กิโลกรัม) 👉หัวรบที่ติดตั้งมีทั้งแบบคลัสเตอร์บอม์และหัวรบแบบเทอร์โมบาริก ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการทำลายเป้าหมายที่มีการป้องกันแน่นหนา . ทางหน่วยข่าวกรองของยูเครนออกมาวิจารณ์ว่า ส่วนประกอบของโดรนรุ่นใหม่ ใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นพันธมิตรกับยูเครนทั้งสิ้น โดยที่ครึ่งหนึ่งมาจากผู้ผลิตในอเมริกา และ 8 ชิ้นมาจากจีน อีก 7 ชิ้นส่วนมาจากสวิตเซอร์แลนด์ และ 3 ชิ้นส่วนจากเยอรมนี อีก 2 ชิ้นจากอังกฤษ และ 1 ชิ้นจากผู้ผลิตในญี่ปุ่น . วิดีโอ 1 เสียงของเครื่องยนต์จากโดรน Geran-3 เปลี่ยนไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 318 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Geran-3: โดรนเจ็ตรัสเซียที่ต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ — เมื่อความเร็วและความฉลาดกลายเป็นอาวุธใหม่ในสนามรบยูเครน”

    ในสงครามรัสเซีย–ยูเครนที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องอย่างดุเดือด โดรนกลายเป็นอาวุธหลักที่ทั้งสองฝ่ายใช้โจมตีและป้องกันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดรัสเซียได้เปิดตัวโดรนรุ่นใหม่ชื่อว่า “Geran-3” ซึ่งเป็นเวอร์ชันอัปเกรดของ Shahed-238 จากอิหร่าน โดยมีจุดเด่นคือ “เครื่องยนต์เจ็ท” และ “ระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์” ที่ทำให้ยูเครนรับมือได้ยากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    Geran-3 มีความเร็วสูงถึง 600 กม./ชม. และบินได้สูงถึง 9,000 เมตร ทำให้หลุดพ้นจากการตรวจจับด้วยอาวุธพื้นฐานหรือระบบเสียงแบบเดิมที่ใช้กับ Shahed รุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ยังติดตั้งหัวรบระเบิดแรงสูง (HE-FRAG-I) และบางรุ่นใช้หัวรบแบบ thermobaric ที่สามารถเจาะเป้าหมายที่มีการป้องกันแน่นหนาได้

    สิ่งที่ทำให้ Geran-3 น่ากลัวยิ่งขึ้นคือระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EW countermeasures) ที่สามารถตรวจจับพื้นที่ที่มีการรบกวนสัญญาณดาวเทียม และหลีกเลี่ยงเส้นทางเหล่านั้นได้โดยอัตโนมัติ ทำให้การใช้ระบบรบกวนสัญญาณของยูเครนไม่สามารถหยุดยั้งโดรนรุ่นนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ยูเครนได้ตอบโต้ด้วยการพัฒนา “โดรนสกัดกั้น” ที่สามารถไล่ล่าและทำลาย Geran-3 ได้โดยเฉพาะ พร้อมเสริมกำลังด้วยทีมยิงเคลื่อนที่และขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน อย่างไรก็ตาม การโจมตีล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2025 ที่ใช้ Geran-3 จำนวนมากพร้อมกับขีปนาวุธ Iskander-K ทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก มีผู้เสียชีวิต 13 รายและบาดเจ็บกว่า 130 คน

    การวิเคราะห์ซากโดรนที่ตกในยูเครนพบว่า Geran-3 ใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศกว่า 50 รายการ รวมถึงจากสหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และจีน ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมอาวุธ แม้รัสเซียจะถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Geran-3 เป็นโดรนโจมตีแบบเจ็ทที่พัฒนาจาก Shahed-238 ของอิหร่าน
    ความเร็วสูงสุดประมาณ 600 กม./ชม. และบินได้สูงถึง 9,000 เมตร
    ติดตั้งหัวรบ HE-FRAG-I และบางรุ่นใช้หัวรบ thermobaric
    มีระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ที่หลีกเลี่ยงพื้นที่รบกวนสัญญาณดาวเทียม
    ใช้เครื่องยนต์ Tolou-10 หรือ Tolou-13 ซึ่งเป็นรุ่นลอกแบบจาก PBS TJ100 ของเช็ก
    ขนาดลำตัวประมาณ 3.5 เมตร ปีกกว้าง 3 เมตร น้ำหนักรวมประมาณ 380 กก.
    มีชิ้นส่วนจากต่างประเทศกว่า 50 รายการ รวมถึงจากชาติตะวันตกและจีน
    การโจมตีล่าสุดในยูเครนใช้ Geran-3 ร่วมกับ Iskander-K ทำให้เกิดความเสียหายหนัก
    ยูเครนตอบโต้ด้วยโดรนสกัดกั้นและระบบยิงเคลื่อนที่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Shahed-238 ถูกเปิดตัวครั้งแรกในอิหร่านเมื่อปลายปี 2023
    โดรนเจ็ทมีข้อได้เปรียบด้านความเร็วและการหลบหลีก แต่มีข้อจำกัดด้านระยะทาง
    Thermobaric warhead สร้างแรงระเบิดจากแรงดันอากาศ เหมาะกับการเจาะเป้าหมายในอาคาร
    ระบบ Sky Fortress ของยูเครนใช้เสียงในการตรวจจับโดรน แต่ Geran-3 มีเสียงต่างจากรุ่นก่อน
    การใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศสะท้อนถึงช่องโหว่ในการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยี

    https://www.slashgear.com/1979250/russia-jet-powered-attack-drone-electronic-warfare-immunity/
    ✈️ “Geran-3: โดรนเจ็ตรัสเซียที่ต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ — เมื่อความเร็วและความฉลาดกลายเป็นอาวุธใหม่ในสนามรบยูเครน” ในสงครามรัสเซีย–ยูเครนที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องอย่างดุเดือด โดรนกลายเป็นอาวุธหลักที่ทั้งสองฝ่ายใช้โจมตีและป้องกันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดรัสเซียได้เปิดตัวโดรนรุ่นใหม่ชื่อว่า “Geran-3” ซึ่งเป็นเวอร์ชันอัปเกรดของ Shahed-238 จากอิหร่าน โดยมีจุดเด่นคือ “เครื่องยนต์เจ็ท” และ “ระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์” ที่ทำให้ยูเครนรับมือได้ยากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด Geran-3 มีความเร็วสูงถึง 600 กม./ชม. และบินได้สูงถึง 9,000 เมตร ทำให้หลุดพ้นจากการตรวจจับด้วยอาวุธพื้นฐานหรือระบบเสียงแบบเดิมที่ใช้กับ Shahed รุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ยังติดตั้งหัวรบระเบิดแรงสูง (HE-FRAG-I) และบางรุ่นใช้หัวรบแบบ thermobaric ที่สามารถเจาะเป้าหมายที่มีการป้องกันแน่นหนาได้ สิ่งที่ทำให้ Geran-3 น่ากลัวยิ่งขึ้นคือระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EW countermeasures) ที่สามารถตรวจจับพื้นที่ที่มีการรบกวนสัญญาณดาวเทียม และหลีกเลี่ยงเส้นทางเหล่านั้นได้โดยอัตโนมัติ ทำให้การใช้ระบบรบกวนสัญญาณของยูเครนไม่สามารถหยุดยั้งโดรนรุ่นนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยูเครนได้ตอบโต้ด้วยการพัฒนา “โดรนสกัดกั้น” ที่สามารถไล่ล่าและทำลาย Geran-3 ได้โดยเฉพาะ พร้อมเสริมกำลังด้วยทีมยิงเคลื่อนที่และขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน อย่างไรก็ตาม การโจมตีล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2025 ที่ใช้ Geran-3 จำนวนมากพร้อมกับขีปนาวุธ Iskander-K ทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก มีผู้เสียชีวิต 13 รายและบาดเจ็บกว่า 130 คน การวิเคราะห์ซากโดรนที่ตกในยูเครนพบว่า Geran-3 ใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศกว่า 50 รายการ รวมถึงจากสหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และจีน ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมอาวุธ แม้รัสเซียจะถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Geran-3 เป็นโดรนโจมตีแบบเจ็ทที่พัฒนาจาก Shahed-238 ของอิหร่าน ➡️ ความเร็วสูงสุดประมาณ 600 กม./ชม. และบินได้สูงถึง 9,000 เมตร ➡️ ติดตั้งหัวรบ HE-FRAG-I และบางรุ่นใช้หัวรบ thermobaric ➡️ มีระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ที่หลีกเลี่ยงพื้นที่รบกวนสัญญาณดาวเทียม ➡️ ใช้เครื่องยนต์ Tolou-10 หรือ Tolou-13 ซึ่งเป็นรุ่นลอกแบบจาก PBS TJ100 ของเช็ก ➡️ ขนาดลำตัวประมาณ 3.5 เมตร ปีกกว้าง 3 เมตร น้ำหนักรวมประมาณ 380 กก. ➡️ มีชิ้นส่วนจากต่างประเทศกว่า 50 รายการ รวมถึงจากชาติตะวันตกและจีน ➡️ การโจมตีล่าสุดในยูเครนใช้ Geran-3 ร่วมกับ Iskander-K ทำให้เกิดความเสียหายหนัก ➡️ ยูเครนตอบโต้ด้วยโดรนสกัดกั้นและระบบยิงเคลื่อนที่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Shahed-238 ถูกเปิดตัวครั้งแรกในอิหร่านเมื่อปลายปี 2023 ➡️ โดรนเจ็ทมีข้อได้เปรียบด้านความเร็วและการหลบหลีก แต่มีข้อจำกัดด้านระยะทาง ➡️ Thermobaric warhead สร้างแรงระเบิดจากแรงดันอากาศ เหมาะกับการเจาะเป้าหมายในอาคาร ➡️ ระบบ Sky Fortress ของยูเครนใช้เสียงในการตรวจจับโดรน แต่ Geran-3 มีเสียงต่างจากรุ่นก่อน ➡️ การใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศสะท้อนถึงช่องโหว่ในการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยี https://www.slashgear.com/1979250/russia-jet-powered-attack-drone-electronic-warfare-immunity/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Russia Now Has Jet-Powered Attack Drones Immune To Electronic Warfare - SlashGear
    Jet propulsion drones, similar to the Shahed ones used in Iran, are being deployed by Russia against Ukraine. However, Ukraine may already have an answer.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 372 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Proton Mail ปรับโฉมแอปมือถือใหม่หมด — เร็วขึ้น ลื่นขึ้น และปลอดภัยกว่าเดิม พร้อมโหมดออฟไลน์เต็มรูปแบบ”

    Proton Mail ผู้ให้บริการอีเมลที่เน้นความเป็นส่วนตัวจากสวิตเซอร์แลนด์ ได้เปิดตัวแอปมือถือเวอร์ชันใหม่ทั้งบน Android และ iOS โดยปรับปรุงตั้งแต่โครงสร้างภายในจนถึงหน้าตา เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่เร็วขึ้น ลื่นไหลขึ้น และปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม

    สิ่งแรกที่ผู้ใช้จะสัมผัสได้คือ “ความเร็ว” — การเปิดข้อความ การเลื่อนดูอีเมล และการจัดการกล่องจดหมายเร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า การออกแบบใหม่ยังเน้นความเรียบง่าย โดยย้ายปุ่มสำคัญอย่าง “เขียนอีเมล” ไปไว้ในตำแหน่งที่ใช้งานสะดวกขึ้น เช่น ด้านล่างของหน้าจอ เพื่อรองรับการใช้งานมือเดียว

    อีกหนึ่งฟีเจอร์เด่นคือ “โหมดออฟไลน์” ที่ให้ผู้ใช้สามารถอ่าน เขียน และจัดการอีเมลได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต โดยระบบจะซิงก์ข้อมูลให้อัตโนมัติเมื่อกลับมาออนไลน์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับผู้ใช้ที่ต้องเดินทางหรืออยู่ในพื้นที่สัญญาณอ่อน

    เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้คือการรวมโค้ดของแอปทั้งสองแพลตฟอร์มให้เหมือนกันถึง 80% ทำให้การพัฒนาเร็วขึ้น ลดบั๊ก และสามารถปล่อยฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทั้ง Android และ iOS ได้ในอนาคต

    แม้ในขณะที่ iOS ได้รับอัปเดตแล้วทันที แต่ฝั่ง Android ยังอยู่ระหว่างการทยอยปล่อยผ่าน Play Store ซึ่ง Proton ยืนยันว่าจะตามมาในเร็ว ๆ นี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Proton Mail เปิดตัวแอปมือถือเวอร์ชันใหม่ทั้ง Android และ iOS
    ความเร็วในการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า เช่น การเปิดข้อความและเลื่อนดูอีเมล
    ปรับดีไซน์ใหม่ให้เรียบง่ายและใช้งานสะดวกขึ้น โดยเฉพาะปุ่มเขียนอีเมล
    เพิ่มฟีเจอร์ “โหมดออฟไลน์” สำหรับอ่าน เขียน และจัดการอีเมลโดยไม่ต้องต่อเน็ต
    แอปทั้งสองแพลตฟอร์มมีโค้ดร่วมกันถึง 80% เพื่อการพัฒนาและอัปเดตที่รวดเร็ว
    ฟีเจอร์ใหม่จะปล่อยพร้อมกันทั้ง Android และ iOS ในอนาคต
    iOS ได้รับอัปเดตแล้ว ส่วน Android จะทยอยปล่อยเร็ว ๆ นี้
    Proton ยืนยันว่าไม่ใช้โมเดลโฆษณา และเน้นความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เป็นหลัก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Proton Mail ใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end และไม่มีการติดตามผู้ใช้
    แอปเวอร์ชันใหม่ช่วยลดการพึ่งพา Gmail หรือ Outlook สำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
    โหมดออฟไลน์เป็นฟีเจอร์ที่หาได้ยากในแอปอีเมลที่เน้นความปลอดภัย
    การรวมโค้ดช่วยให้ทีมพัฒนาไม่ต้องดูแลแยกสองระบบ ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความเสถียร
    Proton ยังมีบริการอื่น เช่น Proton Calendar และ Proton Drive ที่กำลังพัฒนาให้มี UX ใกล้เคียงกัน

    https://news.itsfoss.com/proton-mail-android-ios-app-revamp/
    📬 “Proton Mail ปรับโฉมแอปมือถือใหม่หมด — เร็วขึ้น ลื่นขึ้น และปลอดภัยกว่าเดิม พร้อมโหมดออฟไลน์เต็มรูปแบบ” Proton Mail ผู้ให้บริการอีเมลที่เน้นความเป็นส่วนตัวจากสวิตเซอร์แลนด์ ได้เปิดตัวแอปมือถือเวอร์ชันใหม่ทั้งบน Android และ iOS โดยปรับปรุงตั้งแต่โครงสร้างภายในจนถึงหน้าตา เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่เร็วขึ้น ลื่นไหลขึ้น และปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม สิ่งแรกที่ผู้ใช้จะสัมผัสได้คือ “ความเร็ว” — การเปิดข้อความ การเลื่อนดูอีเมล และการจัดการกล่องจดหมายเร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า การออกแบบใหม่ยังเน้นความเรียบง่าย โดยย้ายปุ่มสำคัญอย่าง “เขียนอีเมล” ไปไว้ในตำแหน่งที่ใช้งานสะดวกขึ้น เช่น ด้านล่างของหน้าจอ เพื่อรองรับการใช้งานมือเดียว อีกหนึ่งฟีเจอร์เด่นคือ “โหมดออฟไลน์” ที่ให้ผู้ใช้สามารถอ่าน เขียน และจัดการอีเมลได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต โดยระบบจะซิงก์ข้อมูลให้อัตโนมัติเมื่อกลับมาออนไลน์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับผู้ใช้ที่ต้องเดินทางหรืออยู่ในพื้นที่สัญญาณอ่อน เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้คือการรวมโค้ดของแอปทั้งสองแพลตฟอร์มให้เหมือนกันถึง 80% ทำให้การพัฒนาเร็วขึ้น ลดบั๊ก และสามารถปล่อยฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทั้ง Android และ iOS ได้ในอนาคต แม้ในขณะที่ iOS ได้รับอัปเดตแล้วทันที แต่ฝั่ง Android ยังอยู่ระหว่างการทยอยปล่อยผ่าน Play Store ซึ่ง Proton ยืนยันว่าจะตามมาในเร็ว ๆ นี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Proton Mail เปิดตัวแอปมือถือเวอร์ชันใหม่ทั้ง Android และ iOS ➡️ ความเร็วในการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า เช่น การเปิดข้อความและเลื่อนดูอีเมล ➡️ ปรับดีไซน์ใหม่ให้เรียบง่ายและใช้งานสะดวกขึ้น โดยเฉพาะปุ่มเขียนอีเมล ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ “โหมดออฟไลน์” สำหรับอ่าน เขียน และจัดการอีเมลโดยไม่ต้องต่อเน็ต ➡️ แอปทั้งสองแพลตฟอร์มมีโค้ดร่วมกันถึง 80% เพื่อการพัฒนาและอัปเดตที่รวดเร็ว ➡️ ฟีเจอร์ใหม่จะปล่อยพร้อมกันทั้ง Android และ iOS ในอนาคต ➡️ iOS ได้รับอัปเดตแล้ว ส่วน Android จะทยอยปล่อยเร็ว ๆ นี้ ➡️ Proton ยืนยันว่าไม่ใช้โมเดลโฆษณา และเน้นความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เป็นหลัก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Proton Mail ใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end และไม่มีการติดตามผู้ใช้ ➡️ แอปเวอร์ชันใหม่ช่วยลดการพึ่งพา Gmail หรือ Outlook สำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ➡️ โหมดออฟไลน์เป็นฟีเจอร์ที่หาได้ยากในแอปอีเมลที่เน้นความปลอดภัย ➡️ การรวมโค้ดช่วยให้ทีมพัฒนาไม่ต้องดูแลแยกสองระบบ ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความเสถียร ➡️ Proton ยังมีบริการอื่น เช่น Proton Calendar และ Proton Drive ที่กำลังพัฒนาให้มี UX ใกล้เคียงกัน https://news.itsfoss.com/proton-mail-android-ios-app-revamp/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Proton Mail on Android and iOS is Now Faster and More Beautiful
    Proton has revamped the Android and iOS apps for Proton Mail.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ฮุนเซนฮุนมาเนตคืออาชญากรสงครามชาติใดก็สามารถฟ้องดำเนินคดีมันได้จึงสมควรที่สุด.

    ..ศาลอาญาระหว่างประเทศ

    ศาลซึ่งจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2545 เพื่อดำเนินคดีบุคคลในข้อหาอาชญากรรมร้ายแรงที่สุดภายใต้ธรรมนูญกรุงโรม มีประเทศสมาชิก 125 ประเทศที่ให้สัตยาบันสนธิสัญญาดังกล่าว ณ เดือนเมษายน พ.ศ. 2568

    ศาลอาญาระหว่างประเทศ (อังกฤษ: International Criminal Court; ย่อ: ICC) เป็นศาลระหว่างประเทศซึ่งมีที่ทำการอยู่ในกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีเขตอำนาจดำเนินคดีผู้กระทำความผิดอาญาระหว่างประเทศ 4 ฐาน คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมอันเป็นการรุกราน ก่อตั้งขึ้นโดยประสงค์จะให้เป็นส่วนเสริมของระบบยุติธรรมที่แต่ละประเทศมีอยู่ จึงมีเขตอำนาจเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขเท่านั้น เช่น เมื่อศาลระดับประเทศไม่สามารถหรือไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแล้ว หรือเมื่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหรือรัฐหนึ่ง ๆ เสนอคดีมาให้พิจารณา ศาลนี้เริ่มปฏิบัติงานในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2002 อันเป็นวันที่ธรรมนูญกรุงโรมเริ่มใช้บังคับ ธรรมนูญดังกล่าวเป็นสนธิสัญญาพหุภาคีซึ่งวางรากฐานและกำหนดการบริหารจัดการของศาล รัฐที่เข้าเป็นภาคีแห่งธรรมนูญจะนับเป็นรัฐสมาชิกของศาล ปัจจุบันมีรัฐภาคี 125 รัฐ

    องค์กรหลักของศาลมี 4 องค์กร คือ คณะประธาน แผนกตุลาการ สำนักงานอัยการ และสำนักงานทะเบียน ประธานศาลเป็นตุลาการที่ได้รับเลือกมาจากตุลาการคนอื่นในแผนกตุลาการ สำนักงานอัยการมีอัยการเป็นหัวหน้า ทำหน้าที่สืบสวนคดีและส่งฟ้องต่อแผนกตุลาการ ส่วนสำนักงานทะเบียนมีนายทะเบียนเป็นหัวหน้า รับผิดชอบงานธุรการทั้งปวงของศาล ซึ่งรวมถึงการบริหารสำนักงานใหญ่ของศาล หน่วยขัง และสำนักงานทนายจำเลย


    ประเทศที่เป็นสมาชิกของ ICC

    ณ เดือนเมษายน พ.ศ. 2568 มีประเทศต่างๆ 137 ประเทศลงนามในธรรมนูญกรุงโรม ซึ่งแสดงถึงเจตนาที่จะเข้าร่วม ในขณะที่ 125 ประเทศได้ให้สัตยาบันอย่างเป็นทางการ และกลายเป็นรัฐสมาชิกเต็มตัวของ ICC

    ประเทศต่างๆ ที่ได้ลงนามหรือให้สัตยาบันธรรมนูญกรุงโรมแสดงอยู่ในแผนที่ด้านล่าง


    ปี1999
    ฟิจิ กานา อิตาลี ซานมารีโน เซเนกัล ตรินิแดดและโตเบโก

    2000
    ออสเตรีย เบลเยียม บอตสวานา แคนาดา ฝรั่งเศส กาบอง เยอรมนี ไอซ์แลนด์ เลโซโท ลักเซมเบิร์ก มาลี หมู่เกาะมาร์แชลล์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ เซียร์ราลีโอน แอฟริกาใต้ สเปน ทาจิกิสถาน เวเนซุเอลา

    2001
    อันดอร์รา แอนติกาและบาร์บูดา อาร์เจนตินา สาธารณรัฐแอฟริกากลาง คอสตาริกา โครเอเชีย เดนมาร์ก โดมินิกา ฮังการี ลิกเตนสไตน์ เนเธอร์แลนด์ ไนจีเรีย ปารากวัย เปรู โปแลนด์ เซอร์เบีย สโลวีเนีย สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร

    2002
    บาร์เบโดส, เบนิน, โบลิเวีย, บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา, บราซิล, บัลแกเรีย, กัมพูชา, โคลอมเบีย, สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, จิบูตี, เอกวาดอร์, เอสโตเนีย, แกมเบีย, กรีซ, ฮอนดูรัส, ไอร์แลนด์, จอร์แดน, ลัตเวีย, มาลาวี, มอลตา, มอริเชียส, มองโกเลีย, นามิเบีย, ไนเจอร์, มาซิโดเนียเหนือ, ปานามา, โปรตุเกส, สาธารณรัฐเกาหลี, โรมาเนีย, เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์, ซามัว, สโลวาเกีย, สโลวีเนีย, แทนซาเนีย, ติมอร์-เลสเต, ยูกันดา, อุรุกวัย, แซมเบีย

    2003
    อัฟกานิสถาน, แอลเบเนีย, จอร์เจีย, กินี, ลิทัวเนีย

    2004
    บูร์กินาฟาโซ กายอานา ไลบีเรีย สาธารณรัฐคองโก

    2005
    สาธารณรัฐโดมินิกัน เคนยา เม็กซิโก

    ปี 2549
    คอโมโรส มอนเตเนโกร เซนต์คิตส์และเนวิส

    2007
    ชาด ประเทศญี่ปุ่น

    2008
    หมู่เกาะคุก มาดากัสการ์ ซูรินาม

    ปี 2009
    ชิลี สาธารณรัฐเช็ก

    2010
    บังกลาเทศ มอลโดวา เซนต์ลูเซีย เซเชลส์

    ปี 2011
    กาบูเวร์ดี, เกรเนดา, มัลดีฟส์, ตูนิเซีย

    2012
    กัวเตมาลา วานูอาตู

    ปี 2013
    ไอวอรีโคสต์

    ปี 2558
    ปาเลสไตน์

    ปี 2559
    เอลซัลวาดอร์

    ปี 2019
    คิริบาติ

    2023
    อาร์เมเนีย

    2024
    ยูเครน




    #ฮุนเซนฮุนมาเนตคืออาชญากรสงครามชาติใดก็สามารถฟ้องดำเนินคดีมันได้จึงสมควรที่สุด. ..ศาลอาญาระหว่างประเทศ ศาลซึ่งจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2545 เพื่อดำเนินคดีบุคคลในข้อหาอาชญากรรมร้ายแรงที่สุดภายใต้ธรรมนูญกรุงโรม มีประเทศสมาชิก 125 ประเทศที่ให้สัตยาบันสนธิสัญญาดังกล่าว ณ เดือนเมษายน พ.ศ. 2568 ศาลอาญาระหว่างประเทศ (อังกฤษ: International Criminal Court; ย่อ: ICC) เป็นศาลระหว่างประเทศซึ่งมีที่ทำการอยู่ในกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีเขตอำนาจดำเนินคดีผู้กระทำความผิดอาญาระหว่างประเทศ 4 ฐาน คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมอันเป็นการรุกราน ก่อตั้งขึ้นโดยประสงค์จะให้เป็นส่วนเสริมของระบบยุติธรรมที่แต่ละประเทศมีอยู่ จึงมีเขตอำนาจเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขเท่านั้น เช่น เมื่อศาลระดับประเทศไม่สามารถหรือไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแล้ว หรือเมื่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหรือรัฐหนึ่ง ๆ เสนอคดีมาให้พิจารณา ศาลนี้เริ่มปฏิบัติงานในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2002 อันเป็นวันที่ธรรมนูญกรุงโรมเริ่มใช้บังคับ ธรรมนูญดังกล่าวเป็นสนธิสัญญาพหุภาคีซึ่งวางรากฐานและกำหนดการบริหารจัดการของศาล รัฐที่เข้าเป็นภาคีแห่งธรรมนูญจะนับเป็นรัฐสมาชิกของศาล ปัจจุบันมีรัฐภาคี 125 รัฐ องค์กรหลักของศาลมี 4 องค์กร คือ คณะประธาน แผนกตุลาการ สำนักงานอัยการ และสำนักงานทะเบียน ประธานศาลเป็นตุลาการที่ได้รับเลือกมาจากตุลาการคนอื่นในแผนกตุลาการ สำนักงานอัยการมีอัยการเป็นหัวหน้า ทำหน้าที่สืบสวนคดีและส่งฟ้องต่อแผนกตุลาการ ส่วนสำนักงานทะเบียนมีนายทะเบียนเป็นหัวหน้า รับผิดชอบงานธุรการทั้งปวงของศาล ซึ่งรวมถึงการบริหารสำนักงานใหญ่ของศาล หน่วยขัง และสำนักงานทนายจำเลย ประเทศที่เป็นสมาชิกของ ICC ณ เดือนเมษายน พ.ศ. 2568 มีประเทศต่างๆ 137 ประเทศลงนามในธรรมนูญกรุงโรม ซึ่งแสดงถึงเจตนาที่จะเข้าร่วม ในขณะที่ 125 ประเทศได้ให้สัตยาบันอย่างเป็นทางการ และกลายเป็นรัฐสมาชิกเต็มตัวของ ICC ประเทศต่างๆ ที่ได้ลงนามหรือให้สัตยาบันธรรมนูญกรุงโรมแสดงอยู่ในแผนที่ด้านล่าง ปี1999 ฟิจิ กานา อิตาลี ซานมารีโน เซเนกัล ตรินิแดดและโตเบโก 2000 ออสเตรีย เบลเยียม บอตสวานา แคนาดา ฝรั่งเศส กาบอง เยอรมนี ไอซ์แลนด์ เลโซโท ลักเซมเบิร์ก มาลี หมู่เกาะมาร์แชลล์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ เซียร์ราลีโอน แอฟริกาใต้ สเปน ทาจิกิสถาน เวเนซุเอลา 2001 อันดอร์รา แอนติกาและบาร์บูดา อาร์เจนตินา สาธารณรัฐแอฟริกากลาง คอสตาริกา โครเอเชีย เดนมาร์ก โดมินิกา ฮังการี ลิกเตนสไตน์ เนเธอร์แลนด์ ไนจีเรีย ปารากวัย เปรู โปแลนด์ เซอร์เบีย สโลวีเนีย สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร 2002 บาร์เบโดส, เบนิน, โบลิเวีย, บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา, บราซิล, บัลแกเรีย, กัมพูชา, โคลอมเบีย, สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, จิบูตี, เอกวาดอร์, เอสโตเนีย, แกมเบีย, กรีซ, ฮอนดูรัส, ไอร์แลนด์, จอร์แดน, ลัตเวีย, มาลาวี, มอลตา, มอริเชียส, มองโกเลีย, นามิเบีย, ไนเจอร์, มาซิโดเนียเหนือ, ปานามา, โปรตุเกส, สาธารณรัฐเกาหลี, โรมาเนีย, เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์, ซามัว, สโลวาเกีย, สโลวีเนีย, แทนซาเนีย, ติมอร์-เลสเต, ยูกันดา, อุรุกวัย, แซมเบีย 2003 อัฟกานิสถาน, แอลเบเนีย, จอร์เจีย, กินี, ลิทัวเนีย 2004 บูร์กินาฟาโซ กายอานา ไลบีเรีย สาธารณรัฐคองโก 2005 สาธารณรัฐโดมินิกัน เคนยา เม็กซิโก ปี 2549 คอโมโรส มอนเตเนโกร เซนต์คิตส์และเนวิส 2007 ชาด ประเทศญี่ปุ่น 2008 หมู่เกาะคุก มาดากัสการ์ ซูรินาม ปี 2009 ชิลี สาธารณรัฐเช็ก 2010 บังกลาเทศ มอลโดวา เซนต์ลูเซีย เซเชลส์ ปี 2011 กาบูเวร์ดี, เกรเนดา, มัลดีฟส์, ตูนิเซีย 2012 กัวเตมาลา วานูอาตู ปี 2013 ไอวอรีโคสต์ ปี 2558 ปาเลสไตน์ ปี 2559 เอลซัลวาดอร์ ปี 2019 คิริบาติ 2023 อาร์เมเนีย 2024 ยูเครน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 962 มุมมอง 0 รีวิว
  • สเปน ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี "เปโดร ซานเชซ" ประกาศยกเลิกสัญญาด้านกลาโหมมูลค่ากว่า 1,000 ล้านยูโร (ประมาณ 3.76 หมื่นล้านบาท) ที่ทำกับบริษัทต่างๆของอิสราเอล เพื่อตอบโต้ฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในฉนวนกาซา ส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิตใกล้แตะเจ็ดหมื่นราย ส่วนใหญ่เป็นเด็กและผู้หญิง และยังมีผู้สูญหายอีกประมาณสามแสนราย
    .
    นับเป็นมาตรการที่เข้มข้นที่สุดจากความเคลื่อนไหวของสเปนที่มีต่ออิสราเอล
    .
    สัญญาที่รัฐบาลสเปนยกเลิก เกี่ยวข้องกับระบบยิงจรวด SILAM ที่พัฒนาบนแพลตฟอร์ม Elbit PULS ของอิสราเอล และสัญญาสำหรับขีปนาวุธต่อต้านรถถัง Spike L.R. ซึ่งเดิมจะผลิตโดยกลุ่มบริษัทสเปนภายใต้ใบอนุญาตจากอิสราเอล
    .
    ขณะที่อิสราเอลเริ่มเดินหน้าปฏิบัติการยึดเมือง "กาซา ซิตี้" เมื่อคืนที่ผ่านมา เพื่อครอบครองเป็นของตนเอง โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มฮามาส และกดดันฮามาสให้ปล่อยตัวประกัน ซึ่งอิสราเอลคาดว่ายังมีอยู่อีกประมาณ 40 ราย แต่คาดว่ายังมีชีวิตเพียง 20 รายเท่านั้น

    ด้านคณะกรรมการสอบสวนอิสระแห่งสหประชาชาติ ยอมรับที่เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์อย่างเป็นทางการครั้งแรกว่า การโจมตีของอิสราเอลเป็น “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ตามอนุสัญญาปี 1948

    นอกจากนี้ หลายประเทศในยุโรป เช่น อิตาลี เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ญี่ปุ่น และสโลวีเนีย ต่างประกาศระงับหรือจำกัดการส่งออกอาวุธไปยังอิสราเอลเช่นกัน
    สเปน ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี "เปโดร ซานเชซ" ประกาศยกเลิกสัญญาด้านกลาโหมมูลค่ากว่า 1,000 ล้านยูโร (ประมาณ 3.76 หมื่นล้านบาท) ที่ทำกับบริษัทต่างๆของอิสราเอล เพื่อตอบโต้ฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในฉนวนกาซา ส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิตใกล้แตะเจ็ดหมื่นราย ส่วนใหญ่เป็นเด็กและผู้หญิง และยังมีผู้สูญหายอีกประมาณสามแสนราย . นับเป็นมาตรการที่เข้มข้นที่สุดจากความเคลื่อนไหวของสเปนที่มีต่ออิสราเอล . สัญญาที่รัฐบาลสเปนยกเลิก เกี่ยวข้องกับระบบยิงจรวด SILAM ที่พัฒนาบนแพลตฟอร์ม Elbit PULS ของอิสราเอล และสัญญาสำหรับขีปนาวุธต่อต้านรถถัง Spike L.R. ซึ่งเดิมจะผลิตโดยกลุ่มบริษัทสเปนภายใต้ใบอนุญาตจากอิสราเอล . 👉ขณะที่อิสราเอลเริ่มเดินหน้าปฏิบัติการยึดเมือง "กาซา ซิตี้" เมื่อคืนที่ผ่านมา เพื่อครอบครองเป็นของตนเอง โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มฮามาส และกดดันฮามาสให้ปล่อยตัวประกัน ซึ่งอิสราเอลคาดว่ายังมีอยู่อีกประมาณ 40 ราย แต่คาดว่ายังมีชีวิตเพียง 20 รายเท่านั้น 👉ด้านคณะกรรมการสอบสวนอิสระแห่งสหประชาชาติ ยอมรับที่เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์อย่างเป็นทางการครั้งแรกว่า การโจมตีของอิสราเอลเป็น “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ตามอนุสัญญาปี 1948 👉นอกจากนี้ หลายประเทศในยุโรป เช่น อิตาลี เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ญี่ปุ่น และสโลวีเนีย ต่างประกาศระงับหรือจำกัดการส่งออกอาวุธไปยังอิสราเอลเช่นกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 623 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SOC ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่คือร่มชูชีพ — ถ้าไม่ออกแบบดีพอ วันตกอาจไม่มีโอกาสแก้ตัว”

    Dan Haagman ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ได้เขียนบทความที่สะท้อนความจริงอันเจ็บปวดของ Security Operations Center (SOC) ในองค์กรยุคใหม่ว่า “เราเชื่อว่า SOC จะช่วยป้องกันทุกอย่างได้ — แต่ความจริงคือมันพังบ่อย และพังเงียบ ๆ”

    เขาเปรียบ SOC กับร่มชูชีพที่องค์กรหวังพึ่งในยามเกิดเหตุ แต่ปัญหาคือ SOC ส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้ “ตอบสนอง” มากกว่าคาดการณ์ล่วงหน้า เต็มไปด้วยเครื่องมือที่ซับซ้อน แดชบอร์ดที่ล้น และการแจ้งเตือนที่มากเกินไปจนเกิด “alert fatigue” ซึ่งทำให้ทีมงานมองข้ามสัญญาณสำคัญไปโดยไม่รู้ตัว

    Haagman เสนอว่า SOC ต้องเปลี่ยนจากการ “โยนเครื่องมือใส่ปัญหา” มาเป็นการ “ออกแบบระบบให้เรียบง่ายแต่แข็งแรง” เหมือนระบบรถไฟของสวิตเซอร์แลนด์ที่ไม่ใช่แค่ดูดี แต่ผ่านการทดสอบและฝึกซ้อมอย่างหนัก เขาเน้นว่า “ความซับซ้อนคือศัตรูของความยืดหยุ่น” และการพึ่งพา AI โดยไม่เข้าใจบริบทของระบบก็เป็นความเสี่ยงเช่นกัน

    เขายังเตือนว่า “คุณไม่สามารถเอาความคิดไปจ้างคนอื่นได้” — หมายถึงองค์กรต้องเข้าใจระบบของตัวเองอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่หวังให้ vendor หรือ AI มาช่วยคิดแทน เพราะการตอบสนองต่อเหตุการณ์ต้องอาศัยความเข้าใจบริบท ความรู้ภายใน และการฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่อง

    สุดท้าย Haagman เสนอว่า SOC ที่ดีต้องมี “muscle memory” เหมือนนักบินที่ฝึกซ้อมการรับมือเหตุฉุกเฉินจนกลายเป็นสัญชาตญาณ ไม่ใช่รอเปิดคู่มือเมื่อเครื่องยนต์ดับกลางอากาศ

    ปัญหาและข้อเสนอจากบทความ
    SOC ส่วนใหญ่ยังเน้นการตอบสนองมากกว่าการคาดการณ์ล่วงหน้า
    Alert fatigue ทำให้ทีมงานมองข้ามสัญญาณสำคัญ
    การออกแบบระบบที่ซับซ้อนเกินไปทำให้ความยืดหยุ่นลดลง
    SOC ต้องเปลี่ยนจากการใช้เครื่องมือมากมาย มาเป็นการออกแบบที่เรียบง่ายแต่แข็งแรง

    แนวคิด “Swiss Engineering” และการฝึกซ้อม
    ระบบที่ดีไม่ใช่แค่มีเครื่องมือเยอะ แต่ต้องผ่านการทดสอบและฝึกซ้อม
    SOC ควรมี “muscle memory” เหมือนนักบิน — ฝึกซ้อมจนตอบสนองได้ทันที
    การตอบสนองต้องมี flow ที่ชัดเจน เช่น “aviate, navigate, communicate”
    การฝึกซ้อมช่วยให้ทีมงานตอบสนองได้แม่นยำในสถานการณ์จริง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Generative AI เริ่มถูกใช้เพื่อช่วยลด alert fatigue โดยคัดกรองข้อมูลก่อนส่งถึงมนุษย์
    SOC ที่ใช้ AI อย่างมีโครงสร้างสามารถลดเวลาในการตรวจจับจาก 1 วันเหลือเพียง 10 วินาที
    การออกแบบระบบที่เน้น context-aware detection ช่วยให้มองเห็นภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่ในข้อมูลเล็ก ๆ
    การฝึกซ้อมแบบ live-fire exercise ช่วยให้ทีม SOC เข้าใจช่องโหว่ของตัวเองและปรับปรุงได้จริง



    https://www.csoonline.com/article/4056178/your-soc-is-the-parachute-will-it-open.html
    🪂 “SOC ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่คือร่มชูชีพ — ถ้าไม่ออกแบบดีพอ วันตกอาจไม่มีโอกาสแก้ตัว” Dan Haagman ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ได้เขียนบทความที่สะท้อนความจริงอันเจ็บปวดของ Security Operations Center (SOC) ในองค์กรยุคใหม่ว่า “เราเชื่อว่า SOC จะช่วยป้องกันทุกอย่างได้ — แต่ความจริงคือมันพังบ่อย และพังเงียบ ๆ” เขาเปรียบ SOC กับร่มชูชีพที่องค์กรหวังพึ่งในยามเกิดเหตุ แต่ปัญหาคือ SOC ส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้ “ตอบสนอง” มากกว่าคาดการณ์ล่วงหน้า เต็มไปด้วยเครื่องมือที่ซับซ้อน แดชบอร์ดที่ล้น และการแจ้งเตือนที่มากเกินไปจนเกิด “alert fatigue” ซึ่งทำให้ทีมงานมองข้ามสัญญาณสำคัญไปโดยไม่รู้ตัว Haagman เสนอว่า SOC ต้องเปลี่ยนจากการ “โยนเครื่องมือใส่ปัญหา” มาเป็นการ “ออกแบบระบบให้เรียบง่ายแต่แข็งแรง” เหมือนระบบรถไฟของสวิตเซอร์แลนด์ที่ไม่ใช่แค่ดูดี แต่ผ่านการทดสอบและฝึกซ้อมอย่างหนัก เขาเน้นว่า “ความซับซ้อนคือศัตรูของความยืดหยุ่น” และการพึ่งพา AI โดยไม่เข้าใจบริบทของระบบก็เป็นความเสี่ยงเช่นกัน เขายังเตือนว่า “คุณไม่สามารถเอาความคิดไปจ้างคนอื่นได้” — หมายถึงองค์กรต้องเข้าใจระบบของตัวเองอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่หวังให้ vendor หรือ AI มาช่วยคิดแทน เพราะการตอบสนองต่อเหตุการณ์ต้องอาศัยความเข้าใจบริบท ความรู้ภายใน และการฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่อง สุดท้าย Haagman เสนอว่า SOC ที่ดีต้องมี “muscle memory” เหมือนนักบินที่ฝึกซ้อมการรับมือเหตุฉุกเฉินจนกลายเป็นสัญชาตญาณ ไม่ใช่รอเปิดคู่มือเมื่อเครื่องยนต์ดับกลางอากาศ ✅ ปัญหาและข้อเสนอจากบทความ ➡️ SOC ส่วนใหญ่ยังเน้นการตอบสนองมากกว่าการคาดการณ์ล่วงหน้า ➡️ Alert fatigue ทำให้ทีมงานมองข้ามสัญญาณสำคัญ ➡️ การออกแบบระบบที่ซับซ้อนเกินไปทำให้ความยืดหยุ่นลดลง ➡️ SOC ต้องเปลี่ยนจากการใช้เครื่องมือมากมาย มาเป็นการออกแบบที่เรียบง่ายแต่แข็งแรง ✅ แนวคิด “Swiss Engineering” และการฝึกซ้อม ➡️ ระบบที่ดีไม่ใช่แค่มีเครื่องมือเยอะ แต่ต้องผ่านการทดสอบและฝึกซ้อม ➡️ SOC ควรมี “muscle memory” เหมือนนักบิน — ฝึกซ้อมจนตอบสนองได้ทันที ➡️ การตอบสนองต้องมี flow ที่ชัดเจน เช่น “aviate, navigate, communicate” ➡️ การฝึกซ้อมช่วยให้ทีมงานตอบสนองได้แม่นยำในสถานการณ์จริง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Generative AI เริ่มถูกใช้เพื่อช่วยลด alert fatigue โดยคัดกรองข้อมูลก่อนส่งถึงมนุษย์ ➡️ SOC ที่ใช้ AI อย่างมีโครงสร้างสามารถลดเวลาในการตรวจจับจาก 1 วันเหลือเพียง 10 วินาที ➡️ การออกแบบระบบที่เน้น context-aware detection ช่วยให้มองเห็นภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่ในข้อมูลเล็ก ๆ ➡️ การฝึกซ้อมแบบ live-fire exercise ช่วยให้ทีม SOC เข้าใจช่องโหว่ของตัวเองและปรับปรุงได้จริง https://www.csoonline.com/article/4056178/your-soc-is-the-parachute-will-it-open.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Your SOC is the parachute — Will it open?
    From alert fatigue to not relying on AI to know your systems, how to ensure your SOC is ready for current threats.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 387 มุมมอง 0 รีวิว
  • ล่องเรือแม่น้ำไรน์ ท่ามกลางบรรยากาศตลาดคริสต์มาสสุดคลาสสิก!
    สัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งฤดูหนาวผ่านแสงไฟระยิบระยับ กลิ่นไวน์หอมหวาน และสินค้าแฮนด์เมดที่บอกเล่าเอกลักษณ์ของแต่ละเมือง

    🛳 Rhine Holiday Markets – เรือสำราญระดับ 6 ดาว

    ระยะเวลา 8 วัน 7 คืน

    เดินทาง พฤศจิกายน – ธันวาคม 2568–2569

    เส้นทางคริสต์มาสสุดโรแมนติก : บาเซิล (สวิตเซอร์แลนด์) – คีล (สตราสบูร์ก) – มานน์ไฮม์ (บาเดิน-บาเดิน) – ไมนซ์ – รูเดสไฮม์ – ล่องแม่น้ำไรน์ – โคเบลนซ์ – โคโลญ (เยอรมนี)

    ราคาเริ่มต้น: USD 4,199 ต่อท่าน

    รวมอาหารทุกมื้อบนเรือสำราญ
    กิจกรรมและความบันเทิงครบตลอดทริป
    บริการรถรับ-ส่งระหว่างสนามบินและท่าเรือ

    รหัสแพ็คเกจ : UNIP-8D7N-BSL-CGN-2612161
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/eafac4

    ดูเรือ Uniworld River Cruise ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/2d5491

    ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696 (Auto)

    #เรือUniworldRiverCruise #Uniworld #RhineRiver #UniworldRiverCruise #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #แม่น้ำไรน์ #Cologne #Germany #Mainz #Basel #CruiseDomain
    🎄 ล่องเรือแม่น้ำไรน์ ท่ามกลางบรรยากาศตลาดคริสต์มาสสุดคลาสสิก! สัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งฤดูหนาวผ่านแสงไฟระยิบระยับ กลิ่นไวน์หอมหวาน และสินค้าแฮนด์เมดที่บอกเล่าเอกลักษณ์ของแต่ละเมือง 🎁✨ 🛳 Rhine Holiday Markets – เรือสำราญระดับ 6 ดาว ⏳ ระยะเวลา 8 วัน 7 คืน 📆 เดินทาง พฤศจิกายน – ธันวาคม 2568–2569 📍 เส้นทางคริสต์มาสสุดโรแมนติก : บาเซิล (สวิตเซอร์แลนด์) – คีล (สตราสบูร์ก) – มานน์ไฮม์ (บาเดิน-บาเดิน) – ไมนซ์ – รูเดสไฮม์ – ล่องแม่น้ำไรน์ – โคเบลนซ์ – โคโลญ (เยอรมนี) 💰 ราคาเริ่มต้น: USD 4,199 ต่อท่าน ✅ รวมอาหารทุกมื้อบนเรือสำราญ ✅ กิจกรรมและความบันเทิงครบตลอดทริป ✅ บริการรถรับ-ส่งระหว่างสนามบินและท่าเรือ ➡️ รหัสแพ็คเกจ : UNIP-8D7N-BSL-CGN-2612161 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/eafac4 ดูเรือ Uniworld River Cruise ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/2d5491 ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 (Auto) #เรือUniworldRiverCruise #Uniworld #RhineRiver #UniworldRiverCruise #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #แม่น้ำไรน์ #Cologne #Germany #Mainz #Basel #CruiseDomain
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 771 มุมมอง 0 รีวิว
  • ส่งทองไปกัมพูชาพุ่ง ส่อพิรุธพัวพันสแกมเมอร์ : [NEWS UPDATE]

    นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เผย ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ตั้งข้อสังเกตสาเหตุเงินบาทแข็งค่าเร็วและรุนแรง ส่วนหนึ่งมาจากความผิดปกติในการส่งออกทองคำไปกัมพูชา ซึ่งเดือน ม.ค.-ก.ค. 2568 ไทยส่งออกทองคำไปกัมพูชา เป็นอันดับ 2 รองจากสวิตเซอร์แลนด์ มูลค่ากว่า 2,149 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 68,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.3% คิดเป็น 28.2% เมื่อเทียบกับการส่งออกทองคำทั้งหมด ถือเป็นอัตราที่สูงมาก ทั้งที่กัมพูชาเป็นประเทศเล็กๆ โดยกัมพูชามีปัญหาเรื่องสแกมเมอร์ จึงกังวลว่าจะเกี่ยวข้องกับธุรกิจใต้ดินหรือไม่ อาจเป็นปัจจัยที่คาดไม่ถึง เพราะเป็นเศรษฐกิจนอกระบบ การส่งออกทองคำไปกัมพูชา อาจมีทั้งถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ ซึ่งเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ต้องหารือกับรัฐบาลใหม่

    -ต้องถอนกำลังก่อนเปิดด่าน

    -นิยามที่คุมขังต้องชัดเจน

    -แก้หมวด 15 ก่อนประชามติ

    -หวังคนละครึ่งหมุนเงินแสนล้าน
    ส่งทองไปกัมพูชาพุ่ง ส่อพิรุธพัวพันสแกมเมอร์ : [NEWS UPDATE] นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เผย ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ตั้งข้อสังเกตสาเหตุเงินบาทแข็งค่าเร็วและรุนแรง ส่วนหนึ่งมาจากความผิดปกติในการส่งออกทองคำไปกัมพูชา ซึ่งเดือน ม.ค.-ก.ค. 2568 ไทยส่งออกทองคำไปกัมพูชา เป็นอันดับ 2 รองจากสวิตเซอร์แลนด์ มูลค่ากว่า 2,149 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 68,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.3% คิดเป็น 28.2% เมื่อเทียบกับการส่งออกทองคำทั้งหมด ถือเป็นอัตราที่สูงมาก ทั้งที่กัมพูชาเป็นประเทศเล็กๆ โดยกัมพูชามีปัญหาเรื่องสแกมเมอร์ จึงกังวลว่าจะเกี่ยวข้องกับธุรกิจใต้ดินหรือไม่ อาจเป็นปัจจัยที่คาดไม่ถึง เพราะเป็นเศรษฐกิจนอกระบบ การส่งออกทองคำไปกัมพูชา อาจมีทั้งถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ ซึ่งเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ต้องหารือกับรัฐบาลใหม่ -ต้องถอนกำลังก่อนเปิดด่าน -นิยามที่คุมขังต้องชัดเจน -แก้หมวด 15 ก่อนประชามติ -หวังคนละครึ่งหมุนเงินแสนล้าน
    Like
    Sad
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 763 มุมมอง 0 0 รีวิว
Pages Boosts