• เซเลนสกีแสดงความเห็นเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน:

    - เซเลนสกียืนยันหนักแน่นไม่ยอมรับ "ดินแดนที่ถูกยึดครอง" ว่าเป็นของรัสเซีย พร้อมเน้นย้ำว่านี่คือเส้นแบ่งหลักที่สำคัญที่สุดในการเจรจา

    - การยกเลิกกฎอัยการศึกและการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นหลังสงครามเท่านั้น

    - รัสเซียเป็นพวก "ไว้ใจไม่ได้"

    - หากรัสเซียไม่ยอมรับข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน เซเลนสกีเชื่อว่าสหรัฐจะดำเนินการอย่างจริงจังต่อรัสเซีย และจะกลับมาเสริมความแข็งแกร่งด้านอาวุธให้กับยูเครน

    - ยูเครนได้แสดงให้เห็นในการเจรจากับสหรัฐแล้วว่า ไม่ใช่ฝ่ายที่ต้องการสงครามและแสดงให้สหรัฐเห็นว่าต้องการให้สงครามยุติโดยเร็วที่สุด

    - ยูเครนกำลังรักษากองกำลังติดอาวุธยูเครนในภูมิภาคเคิร์สก์ทุกวิถีทางเพื่อรักษากำลังทหารให้ได้มากที่สุด

    - กองทัพยูเครนมีสิทธิ์ใช้อาวุธที่ผลิตในยูเครน และการโจมตีภูมิภาคมอสโกเมื่อวันก่อนก็สมเหตุสมผลในการตอบโต้สิ่งที่รัสเซียกำลังทำ
    เซเลนสกีแสดงความเห็นเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน: - เซเลนสกียืนยันหนักแน่นไม่ยอมรับ "ดินแดนที่ถูกยึดครอง" ว่าเป็นของรัสเซีย พร้อมเน้นย้ำว่านี่คือเส้นแบ่งหลักที่สำคัญที่สุดในการเจรจา - การยกเลิกกฎอัยการศึกและการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นหลังสงครามเท่านั้น - รัสเซียเป็นพวก "ไว้ใจไม่ได้" - หากรัสเซียไม่ยอมรับข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน เซเลนสกีเชื่อว่าสหรัฐจะดำเนินการอย่างจริงจังต่อรัสเซีย และจะกลับมาเสริมความแข็งแกร่งด้านอาวุธให้กับยูเครน - ยูเครนได้แสดงให้เห็นในการเจรจากับสหรัฐแล้วว่า ไม่ใช่ฝ่ายที่ต้องการสงครามและแสดงให้สหรัฐเห็นว่าต้องการให้สงครามยุติโดยเร็วที่สุด - ยูเครนกำลังรักษากองกำลังติดอาวุธยูเครนในภูมิภาคเคิร์สก์ทุกวิถีทางเพื่อรักษากำลังทหารให้ได้มากที่สุด - กองทัพยูเครนมีสิทธิ์ใช้อาวุธที่ผลิตในยูเครน และการโจมตีภูมิภาคมอสโกเมื่อวันก่อนก็สมเหตุสมผลในการตอบโต้สิ่งที่รัสเซียกำลังทำ
    0 Comments 0 Shares 268 Views 16 0 Reviews
  • เฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีของ Radeon เทคโนโลยีกราฟิกชื่อดังของ AMD โดย David McAfee จาก AMD ได้นำเสนอการเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งของ Radeon ตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2000 ด้วยการ์ด ATI Radeon DDR ที่มีหน่วยความจำเพียง 32 MB และความเร็วสัญญาณนาฬิกา 143 MHz ไปจนถึงการ์ด RDNA 3 ในปัจจุบันที่มาพร้อมกับหน่วยความจำ 24 GB และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย

    ในโอกาสนี้ AMD ยังได้เปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 ได้แก่ Radeon RX 9070 XT และ Radeon RX 9070 ซึ่งมีจุดเด่นด้านประสิทธิภาพการแสดงผลที่ดีขึ้น การทำ Ray Tracing ที่ทรงพลังมากขึ้นเป็นสองเท่า และการเพิ่มประสิทธิภาพ Machine Learning ถึง 8 เท่า พร้อมกับการเปิดตัว FSR 4 เทคโนโลยีอัพสเกลที่ช่วยเพิ่มอัตราเฟรมเรตได้ 3-4 เท่าโดยไม่ลดคุณภาพของภาพ

    การพัฒนาของ Radeon ตลอด 25 ปี Radeon เริ่มต้นด้วยเป้าหมายในการนำเสนอกราฟิกการ์ดที่เหมาะสมกับการเล่นเกมในราคาที่คุ้มค่า และปัจจุบันยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์ทั้งในด้านราคาและประสิทธิภาพสำหรับนักเล่นเกมทั่วไป

    ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา Radeon ได้สร้างนวัตกรรมที่เปลี่ยนโฉมหน้าการเล่นเกม และ RDNA 4 เป็นก้าวสำคัญในทิศทางดังกล่าว ไม่เพียงแต่ช่วยให้เกมเมอร์ได้สัมผัสประสบการณ์การเล่นที่ยอดเยี่ยมในราคาที่สมเหตุสมผล แต่ยังชี้ให้เห็นถึงอนาคตที่น่าตื่นเต้นของวงการเทคโนโลยีกราฟิกด้วย

    https://www.techpowerup.com/333891/amds-david-mcafee-celebrates-25th-anniversary-of-radeon-graphics-technology
    เฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีของ Radeon เทคโนโลยีกราฟิกชื่อดังของ AMD โดย David McAfee จาก AMD ได้นำเสนอการเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งของ Radeon ตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2000 ด้วยการ์ด ATI Radeon DDR ที่มีหน่วยความจำเพียง 32 MB และความเร็วสัญญาณนาฬิกา 143 MHz ไปจนถึงการ์ด RDNA 3 ในปัจจุบันที่มาพร้อมกับหน่วยความจำ 24 GB และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ในโอกาสนี้ AMD ยังได้เปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 ได้แก่ Radeon RX 9070 XT และ Radeon RX 9070 ซึ่งมีจุดเด่นด้านประสิทธิภาพการแสดงผลที่ดีขึ้น การทำ Ray Tracing ที่ทรงพลังมากขึ้นเป็นสองเท่า และการเพิ่มประสิทธิภาพ Machine Learning ถึง 8 เท่า พร้อมกับการเปิดตัว FSR 4 เทคโนโลยีอัพสเกลที่ช่วยเพิ่มอัตราเฟรมเรตได้ 3-4 เท่าโดยไม่ลดคุณภาพของภาพ การพัฒนาของ Radeon ตลอด 25 ปี Radeon เริ่มต้นด้วยเป้าหมายในการนำเสนอกราฟิกการ์ดที่เหมาะสมกับการเล่นเกมในราคาที่คุ้มค่า และปัจจุบันยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์ทั้งในด้านราคาและประสิทธิภาพสำหรับนักเล่นเกมทั่วไป ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา Radeon ได้สร้างนวัตกรรมที่เปลี่ยนโฉมหน้าการเล่นเกม และ RDNA 4 เป็นก้าวสำคัญในทิศทางดังกล่าว ไม่เพียงแต่ช่วยให้เกมเมอร์ได้สัมผัสประสบการณ์การเล่นที่ยอดเยี่ยมในราคาที่สมเหตุสมผล แต่ยังชี้ให้เห็นถึงอนาคตที่น่าตื่นเต้นของวงการเทคโนโลยีกราฟิกด้วย https://www.techpowerup.com/333891/amds-david-mcafee-celebrates-25th-anniversary-of-radeon-graphics-technology
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AMD's David McAfee Celebrates 25th Anniversary of Radeon Graphics Technology
    This month, we at AMD celebrate two significant milestones in the Radeon story. First, the 25th anniversary of Radeon, a journey that began in 2000 with the ATI Radeon DDR card. Back then, 32 MB of VRAM, a 143 MHz clocks, and 30M transistors were cutting-edge tools that sparked your early adventures...
    0 Comments 0 Shares 118 Views 0 Reviews
  • AMD ได้เปิดตัวการ์ดจอรุ่นใหม่ RX 9070 และ RX 9070 XT ซึ่งทำงานบนสถาปัตยกรรม RDNA 4 โดย RX 9070 ถูกตั้งราคาสุดคุ้มที่ $549 ซึ่งเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับเกมเมอร์ อย่างไรก็ตาม ข่าวล่าสุดชี้ว่า ราคานี้จะมีให้เฉพาะสำหรับชุดล็อตแรกของการ์ดจอนี้เท่านั้น หลังจากนี้ ผู้ผลิตและร้านค้าต่าง ๆ จะมีสิทธิ์กำหนดราคาใหม่ที่อาจสูงขึ้น

    ในกรณีนี้ ผู้ค้าปลีกจากหลายประเทศ เช่น สวีเดน และสหราชอาณาจักร ได้เปิดเผยว่า การ์ดจอ RX 9070 จะคงราคา MSRP ($549) เฉพาะสำหรับล็อตแรกของการผลิตเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ร้าน Inet.se ในสวีเดนได้ชี้แจงว่าหลังจากล็อตแรกหมด ราคาจะถูกปรับเพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตบางราย เช่น PowerColor ซึ่งได้ยืนยันว่า สินค้าจากล็อตสองจะมีราคาสูงขึ้น และไม่สามารถขายในราคามาตรฐานได้อีก

    ปัจจุบัน RX 9070 มีราคาถูกกว่า RX 9070 XT เพียง $50 (XT ราคา $599) การที่ RX 9070 มีราคาที่ใกล้เคียงกับ XT ทำให้ความน่าสนใจลดลง หากเกมเมอร์พลาดโอกาสล็อตแรกในราคา $549 ก็อาจต้องจ่ายแพงขึ้น ซึ่งในกรณีนี้ RX 9070 XT อาจดูคุ้มค่ากว่า เกมเมอร์ที่ต้องการ RX 9070 ในราคามาตรฐานควรรีบตัดสินใจซื้อในล็อตแรกก่อนที่ราคาจะปรับขึ้น

    การตั้งราคาของ RX 9070 ที่ต่ำกว่า NVIDIA RTX ซีรีส์ 50 แสดงให้เห็นว่า AMD พยายามแข่งขันในตลาดการ์ดจอกลุ่มราคาประหยัด แต่นโยบายการปรับราคานี้อาจสร้างความสับสนและส่งผลกระทบต่อความไว้วางใจของผู้บริโภคในระยะยาว

    การ์ดจอ RX 9070 รุ่นแรกในราคาสุดคุ้มนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจสำหรับเกมเมอร์ที่มองหาประสิทธิภาพสูงในราคาสมเหตุสมผล หากคุณสนใจและอยากเป็นเจ้าของ อย่าลืมติดตามร้านค้าต่าง ๆ ที่ยังมีล็อตแรกเหลืออยู่

    https://www.techradar.com/computing/gpu/bad-news-pc-gamers-it-seems-amds-aggressively-low-price-for-its-radeon-rx-9070-gpu-will-only-be-for-a-limited-time
    AMD ได้เปิดตัวการ์ดจอรุ่นใหม่ RX 9070 และ RX 9070 XT ซึ่งทำงานบนสถาปัตยกรรม RDNA 4 โดย RX 9070 ถูกตั้งราคาสุดคุ้มที่ $549 ซึ่งเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับเกมเมอร์ อย่างไรก็ตาม ข่าวล่าสุดชี้ว่า ราคานี้จะมีให้เฉพาะสำหรับชุดล็อตแรกของการ์ดจอนี้เท่านั้น หลังจากนี้ ผู้ผลิตและร้านค้าต่าง ๆ จะมีสิทธิ์กำหนดราคาใหม่ที่อาจสูงขึ้น ในกรณีนี้ ผู้ค้าปลีกจากหลายประเทศ เช่น สวีเดน และสหราชอาณาจักร ได้เปิดเผยว่า การ์ดจอ RX 9070 จะคงราคา MSRP ($549) เฉพาะสำหรับล็อตแรกของการผลิตเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ร้าน Inet.se ในสวีเดนได้ชี้แจงว่าหลังจากล็อตแรกหมด ราคาจะถูกปรับเพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตบางราย เช่น PowerColor ซึ่งได้ยืนยันว่า สินค้าจากล็อตสองจะมีราคาสูงขึ้น และไม่สามารถขายในราคามาตรฐานได้อีก ปัจจุบัน RX 9070 มีราคาถูกกว่า RX 9070 XT เพียง $50 (XT ราคา $599) การที่ RX 9070 มีราคาที่ใกล้เคียงกับ XT ทำให้ความน่าสนใจลดลง หากเกมเมอร์พลาดโอกาสล็อตแรกในราคา $549 ก็อาจต้องจ่ายแพงขึ้น ซึ่งในกรณีนี้ RX 9070 XT อาจดูคุ้มค่ากว่า เกมเมอร์ที่ต้องการ RX 9070 ในราคามาตรฐานควรรีบตัดสินใจซื้อในล็อตแรกก่อนที่ราคาจะปรับขึ้น การตั้งราคาของ RX 9070 ที่ต่ำกว่า NVIDIA RTX ซีรีส์ 50 แสดงให้เห็นว่า AMD พยายามแข่งขันในตลาดการ์ดจอกลุ่มราคาประหยัด แต่นโยบายการปรับราคานี้อาจสร้างความสับสนและส่งผลกระทบต่อความไว้วางใจของผู้บริโภคในระยะยาว การ์ดจอ RX 9070 รุ่นแรกในราคาสุดคุ้มนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจสำหรับเกมเมอร์ที่มองหาประสิทธิภาพสูงในราคาสมเหตุสมผล หากคุณสนใจและอยากเป็นเจ้าของ อย่าลืมติดตามร้านค้าต่าง ๆ ที่ยังมีล็อตแรกเหลืออยู่ https://www.techradar.com/computing/gpu/bad-news-pc-gamers-it-seems-amds-aggressively-low-price-for-its-radeon-rx-9070-gpu-will-only-be-for-a-limited-time
    0 Comments 0 Shares 189 Views 0 Reviews
  • เบลเยียมประกาศเลื่อนการส่งมอบเครื่องบินขับไล่ F-16 ไปยังยูเครนออกไปอีก 1 ปี!!!

    พลเอกเฟรเดอริก วานซินา เสนาธิการกองทัพเบลเยียม ประกาศเลื่อนการส่งมอบเครื่องบินขับไล่ F-16 ของเบลเยียม 30 ลำแรกไปยังเคียฟออกไปอีก 1 ปี โดยให้เหตุผลว่า เกิดจากความล่าช้าในการส่งมอบเครื่องบิน F-35 จากสหรัฐอเมริกาไปยังเบลเยียม

    ตามที่เขากล่าว กำหนดการส่งมอบ F-35 ควรจะเริ่มตั้งแต่ปี 2023 แต่มันถูกเลื่อนออกมาเป็นช่วงปลายปี 2025 นี้ และจะพร้อมปฏิบัติการเต็มรูปแบบในปี 2027

    ด้วยเหตุผลนี้ ทำให้การส่งมอบ F-16 ไปยังยูเครน ต้องพบกับปัญหาการส่งมอบตามไปด้วย

    นายพลวานซินา ยังมองโลกในแง่ดี โดยแนะนำชาวยูเครนว่าอย่าเพิ่งท้อถอย เนื่องจากในระหว่างที่รอส่งมอบอยู่นี้ นิกบินยูเครนยังสามารถ "เพิ่มชั่วโมงฝึกบิน และเรียนรู้ด้านเทคนิค" ต่อไปได้เรื่อยๆ เนื่องจากการมีเครื่องบินรบไม่สมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาจากการขาดนักบิน การถ่ายโอนเครื่องบิน F-16 ยังซับซ้อนเนื่องจากขาดชิ้นส่วนอะไหล่

    ทางด้านนายกรัฐมนตรีบาร์ต เดอ เวเวอร์ ของเบลเยี่ยม คาดว่าเครื่องบิน F-16 จะสามารถส่งมอบให้กับยูเครนได้ในปี 2026 หลังจากถูกเลื่อนการส่งมอบมาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่ปี 2024

    ภาพวิดีโอถ่ายไว้เมื่อพฤษภาคม 2024 เป็นช่วงเวลาที่เซเลนสกีเดินทางไปเบลเยี่ยมเพื่อชมเครื่องบิน F-16 ที่เบลเยี่ยมตั้งใจจะมอบให้ยูเครน
    เบลเยียมประกาศเลื่อนการส่งมอบเครื่องบินขับไล่ F-16 ไปยังยูเครนออกไปอีก 1 ปี!!! พลเอกเฟรเดอริก วานซินา เสนาธิการกองทัพเบลเยียม ประกาศเลื่อนการส่งมอบเครื่องบินขับไล่ F-16 ของเบลเยียม 30 ลำแรกไปยังเคียฟออกไปอีก 1 ปี โดยให้เหตุผลว่า เกิดจากความล่าช้าในการส่งมอบเครื่องบิน F-35 จากสหรัฐอเมริกาไปยังเบลเยียม ตามที่เขากล่าว กำหนดการส่งมอบ F-35 ควรจะเริ่มตั้งแต่ปี 2023 แต่มันถูกเลื่อนออกมาเป็นช่วงปลายปี 2025 นี้ และจะพร้อมปฏิบัติการเต็มรูปแบบในปี 2027 ด้วยเหตุผลนี้ ทำให้การส่งมอบ F-16 ไปยังยูเครน ต้องพบกับปัญหาการส่งมอบตามไปด้วย นายพลวานซินา ยังมองโลกในแง่ดี โดยแนะนำชาวยูเครนว่าอย่าเพิ่งท้อถอย เนื่องจากในระหว่างที่รอส่งมอบอยู่นี้ นิกบินยูเครนยังสามารถ "เพิ่มชั่วโมงฝึกบิน และเรียนรู้ด้านเทคนิค" ต่อไปได้เรื่อยๆ เนื่องจากการมีเครื่องบินรบไม่สมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาจากการขาดนักบิน การถ่ายโอนเครื่องบิน F-16 ยังซับซ้อนเนื่องจากขาดชิ้นส่วนอะไหล่ ทางด้านนายกรัฐมนตรีบาร์ต เดอ เวเวอร์ ของเบลเยี่ยม คาดว่าเครื่องบิน F-16 จะสามารถส่งมอบให้กับยูเครนได้ในปี 2026 หลังจากถูกเลื่อนการส่งมอบมาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่ปี 2024 ภาพวิดีโอถ่ายไว้เมื่อพฤษภาคม 2024 เป็นช่วงเวลาที่เซเลนสกีเดินทางไปเบลเยี่ยมเพื่อชมเครื่องบิน F-16 ที่เบลเยี่ยมตั้งใจจะมอบให้ยูเครน
    0 Comments 0 Shares 194 Views 0 Reviews
  • บรรดาสมาชิกระดับสูงของพรรครีพับลิกัน ที่เป็นพันธมิตรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กดดันประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ให้เปลี่ยนจุดยืนในสงครามกับรัสเซีย หรือไม่ก็ลาออกไป ยกระดับถาโถมแรงบีบเข้าใส่ผู้นำเคียฟ ตามหลังการประชุมที่เกิดศึกโต้เถียงกัน ณ ทำเนียบขาว เมื่อช่วงปลายสัปดาห์
    .
    บรรดาผู้นำยุโรป แสดงจุดยืนสนับสนุนเซเลนสกี ณ ที่ประชุมหนึ่งในลอนดอนเมื่อวันอาทิตย์ (2 มี.ค.) โดย เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เรียกร้องให้บรรดาผู้นำยุโรปยกระดับความพยายามป้องกันตนเอง เพียง 2 วัน หลังจาก ทรัมป์ และรองประธานธิบดีเจดี แวนซ์ มีปากเสียงกับ เซเลนสกี ในห้องทำงานรูปไข่ ไล่เขาออกจากทำเนียบขาว โดยไม่มีการลงนามในข้อตกลงแร่ใดๆ ตามที่วางแผนไว้
    .
    ศึกวิวาทะดังกล่าวสร้างความตกตะลึงแก่พวกผู้นำทั่วโลก และก่อคำถามเกี่ยวกับก้าวย่างถัดไปของสงคราม ที่รัสเซียเป็นคนเริ่มด้วยการรุกรานยูเครนเมื่อ 3 ปีก่อน เช่นเดียวกับความพยายามของทรัมป์ ในการยุติความขัดแย้งนี้
    .
    เซเลนสกี อ้างในที่ประชุมว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ไม่ยึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิงปี 2019 และให้คำจำกัดความ ปูติน ว่าเป็นฆาตกรและพวกก่อการร้าย
    .
    ไมค์ วอล์ทซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์ ระบุรัฐบาลไม่แน่ใจว่า เซเลนสกี พร้อมเจรจายุติสงครามหรือไม่ และเน้นย้ำเป้าหมายของ ทรัมป์ สำหรับการมีสันติภาพที่ถาวรระหว่างมอสโกกับเคียฟ ที่เกี่ยวข้องกับการยอมอ่อนข้อด้านดินแดน แลกกับการรับประกันความมั่นคงที่นำโดยยุโรป
    .
    เมื่อถามว่า ทรัมป์ ต้องการให้ เซเลนสกี ลาออกหรือไม่ ทาง วอล์ทซ์ ให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็น ว่า "เราต้องการผู้นำรายหนึ่งที่สามารถตกลงกับเรา ในท้ายที่สุดตกลงกับรัสเซียและยุติสงครามนี้" เขาระบุ "ถ้ามันกลายเป็นว่าประธานาธิบดีเซเลนสกี มีทั้งแรงจูงใจส่วนตัวและแรงจูงใจทางการเมืองที่ผิดแผกไปจากการยุติการสู้รบในประเทศของเขา เมื่อนั้นผมคิดว่าเรามีประเด็นปัญหาที่แท้จริง"
    .
    ลินด์ซีย์ เกรแฮม วุฒิสมาชิกจากเซาท์แคโรไลนา พันธมิตรใกล้ชิดของทรัมป์และเคยเป็นผู้สนับสนุนยูเครนตัวยง ตั้งคำถามว่าสหรัฐฯ จะยังคงสามารถทำงานร่วมกับ เซเลนสกี ได้หรือไม่ ตามหลังการโต้เถียงในทำเนียบขาว ที่เกิดขึ้นต่อหน้าพวกผู้สื่อข่าวในวันศุกร์ (28 ก.พ.)
    .
    ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ แสดงความคิดเห็นแบบเดียวกันในวันอาทิตย์ (2 มี.ค.) "บางอย่างจำเป็นต้องเปลี่ยน เขาจำเป็นทั้งต้องมีความสมเหตุสมผลและกลับสู่โต๊ะเจรจาด้วยความสำนึกบุญคุณ หรือไม่อย่างนั้นคนอื่นใครบางคนก็จำเป็นต้องก้าวมานำประเทศแห่งนี้ ให้ทำเช่นนั้น" เขาบอกกับสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี "มันอยากเห็นปูตินพ่ายแพ้ พูดตรงๆ เขาเป็นศัตรูของสหรัฐฯ แต่ในความขัดแย้งนี้ เรากำลังหาทางให้มันถึงจุดจบของสงคราม"
    .
    อย่างไรก็ตาม ในฝ่ายเดโมแครต ไม่เห็นด้วยกับการชี้แนะให้ เซเลนสกี ลาออกจากตำแหน่ง และรู้สึกรังเกียจต่อภาพการประชุมที่เต็มไปด้วยการโต้เถียง ระหว่างทรัมป์กับผู้นำยูเครน
    .
    วุฒิสมาชิกคริส เมอร์ฟี จากคอนเนคทิคัต โวยวายใส่ทำเนียบขาว กรณีที่ขยับเข้าไปใกล้ชิดกับรัสเซีย มากกว่าชาติประชาธิปไตยด้วยกัน "แน่นอนว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ มันน่าอดสูอย่างที่สุด ทำเนียบขาวกลายเป็นอาวุธของเครมลิน" เขาบอกกับซีเอ็นเอ็น "บริษัทโดยรวมของการประชุมดังกล่าว เป็นความพยายามเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ เพื่อลงนามข้อตกลงกับปูติน ที่ส่งมอบยูเครนแก่ปูติน มันเป็นหายนะสำหรับความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ"
    .
    วอล์ทซ์ แก้ต่างว่า "มันเป็นเท็จโดยสิ้นเชิง" ที่มีการกล่าวหาว่าการประชุมในห้องทำงานรูปไข่ เป็นการซุ่มโจมตี และรัฐบาลทรัมป์โยนแรงกดดันใส่ยูเครน ให้เปลี่ยนจุดยืน "เราจะพร้อมกลับมาเจรจาใหม่ เมื่อพวกเขาพร้อมสร้างสันติภาพ" มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าว พร้อมเผยว่าไม่ได้คุยกับ เซเลนสกี และรัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน มาตั้งแต่การประชุมเมื่อวันศุกร์ (28 ก.พ.)
    .
    "ไม่มีใครที่นี่ เคลมว่าประธานาธิบดีปูติน กำลังได้รับโนเบลสันติภาพในปีนี้" รูบิโอ ระบุและอ้างว่าการเจรจากับรัสเซียเป็นสิ่งจำเป็น "คุณไม่อาจดึงพวกเขาสู้โต๊ะเจรจา หากว่าคุณไม่ยอมเรียกชื่อพวกเขา หากว่าคุณยังคงมองเขาเป็นศัตรู"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020423
    ..............
    Sondhi X
    บรรดาสมาชิกระดับสูงของพรรครีพับลิกัน ที่เป็นพันธมิตรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กดดันประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ให้เปลี่ยนจุดยืนในสงครามกับรัสเซีย หรือไม่ก็ลาออกไป ยกระดับถาโถมแรงบีบเข้าใส่ผู้นำเคียฟ ตามหลังการประชุมที่เกิดศึกโต้เถียงกัน ณ ทำเนียบขาว เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ . บรรดาผู้นำยุโรป แสดงจุดยืนสนับสนุนเซเลนสกี ณ ที่ประชุมหนึ่งในลอนดอนเมื่อวันอาทิตย์ (2 มี.ค.) โดย เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เรียกร้องให้บรรดาผู้นำยุโรปยกระดับความพยายามป้องกันตนเอง เพียง 2 วัน หลังจาก ทรัมป์ และรองประธานธิบดีเจดี แวนซ์ มีปากเสียงกับ เซเลนสกี ในห้องทำงานรูปไข่ ไล่เขาออกจากทำเนียบขาว โดยไม่มีการลงนามในข้อตกลงแร่ใดๆ ตามที่วางแผนไว้ . ศึกวิวาทะดังกล่าวสร้างความตกตะลึงแก่พวกผู้นำทั่วโลก และก่อคำถามเกี่ยวกับก้าวย่างถัดไปของสงคราม ที่รัสเซียเป็นคนเริ่มด้วยการรุกรานยูเครนเมื่อ 3 ปีก่อน เช่นเดียวกับความพยายามของทรัมป์ ในการยุติความขัดแย้งนี้ . เซเลนสกี อ้างในที่ประชุมว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ไม่ยึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิงปี 2019 และให้คำจำกัดความ ปูติน ว่าเป็นฆาตกรและพวกก่อการร้าย . ไมค์ วอล์ทซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์ ระบุรัฐบาลไม่แน่ใจว่า เซเลนสกี พร้อมเจรจายุติสงครามหรือไม่ และเน้นย้ำเป้าหมายของ ทรัมป์ สำหรับการมีสันติภาพที่ถาวรระหว่างมอสโกกับเคียฟ ที่เกี่ยวข้องกับการยอมอ่อนข้อด้านดินแดน แลกกับการรับประกันความมั่นคงที่นำโดยยุโรป . เมื่อถามว่า ทรัมป์ ต้องการให้ เซเลนสกี ลาออกหรือไม่ ทาง วอล์ทซ์ ให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็น ว่า "เราต้องการผู้นำรายหนึ่งที่สามารถตกลงกับเรา ในท้ายที่สุดตกลงกับรัสเซียและยุติสงครามนี้" เขาระบุ "ถ้ามันกลายเป็นว่าประธานาธิบดีเซเลนสกี มีทั้งแรงจูงใจส่วนตัวและแรงจูงใจทางการเมืองที่ผิดแผกไปจากการยุติการสู้รบในประเทศของเขา เมื่อนั้นผมคิดว่าเรามีประเด็นปัญหาที่แท้จริง" . ลินด์ซีย์ เกรแฮม วุฒิสมาชิกจากเซาท์แคโรไลนา พันธมิตรใกล้ชิดของทรัมป์และเคยเป็นผู้สนับสนุนยูเครนตัวยง ตั้งคำถามว่าสหรัฐฯ จะยังคงสามารถทำงานร่วมกับ เซเลนสกี ได้หรือไม่ ตามหลังการโต้เถียงในทำเนียบขาว ที่เกิดขึ้นต่อหน้าพวกผู้สื่อข่าวในวันศุกร์ (28 ก.พ.) . ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ แสดงความคิดเห็นแบบเดียวกันในวันอาทิตย์ (2 มี.ค.) "บางอย่างจำเป็นต้องเปลี่ยน เขาจำเป็นทั้งต้องมีความสมเหตุสมผลและกลับสู่โต๊ะเจรจาด้วยความสำนึกบุญคุณ หรือไม่อย่างนั้นคนอื่นใครบางคนก็จำเป็นต้องก้าวมานำประเทศแห่งนี้ ให้ทำเช่นนั้น" เขาบอกกับสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี "มันอยากเห็นปูตินพ่ายแพ้ พูดตรงๆ เขาเป็นศัตรูของสหรัฐฯ แต่ในความขัดแย้งนี้ เรากำลังหาทางให้มันถึงจุดจบของสงคราม" . อย่างไรก็ตาม ในฝ่ายเดโมแครต ไม่เห็นด้วยกับการชี้แนะให้ เซเลนสกี ลาออกจากตำแหน่ง และรู้สึกรังเกียจต่อภาพการประชุมที่เต็มไปด้วยการโต้เถียง ระหว่างทรัมป์กับผู้นำยูเครน . วุฒิสมาชิกคริส เมอร์ฟี จากคอนเนคทิคัต โวยวายใส่ทำเนียบขาว กรณีที่ขยับเข้าไปใกล้ชิดกับรัสเซีย มากกว่าชาติประชาธิปไตยด้วยกัน "แน่นอนว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ มันน่าอดสูอย่างที่สุด ทำเนียบขาวกลายเป็นอาวุธของเครมลิน" เขาบอกกับซีเอ็นเอ็น "บริษัทโดยรวมของการประชุมดังกล่าว เป็นความพยายามเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ เพื่อลงนามข้อตกลงกับปูติน ที่ส่งมอบยูเครนแก่ปูติน มันเป็นหายนะสำหรับความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ" . วอล์ทซ์ แก้ต่างว่า "มันเป็นเท็จโดยสิ้นเชิง" ที่มีการกล่าวหาว่าการประชุมในห้องทำงานรูปไข่ เป็นการซุ่มโจมตี และรัฐบาลทรัมป์โยนแรงกดดันใส่ยูเครน ให้เปลี่ยนจุดยืน "เราจะพร้อมกลับมาเจรจาใหม่ เมื่อพวกเขาพร้อมสร้างสันติภาพ" มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าว พร้อมเผยว่าไม่ได้คุยกับ เซเลนสกี และรัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน มาตั้งแต่การประชุมเมื่อวันศุกร์ (28 ก.พ.) . "ไม่มีใครที่นี่ เคลมว่าประธานาธิบดีปูติน กำลังได้รับโนเบลสันติภาพในปีนี้" รูบิโอ ระบุและอ้างว่าการเจรจากับรัสเซียเป็นสิ่งจำเป็น "คุณไม่อาจดึงพวกเขาสู้โต๊ะเจรจา หากว่าคุณไม่ยอมเรียกชื่อพวกเขา หากว่าคุณยังคงมองเขาเป็นศัตรู" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020423 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    5
    0 Comments 0 Shares 1137 Views 0 Reviews
  • ตอนที่.1 #USAID สัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้ากากของ ‘มนุษยธรรม’
    Written by Drago Bosnic

    ยุทธศาสตร์ครอบงำโลกของสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เมื่อพยายามนึกภาพอำนาจของสหรัฐอเมริกาเรามักจะนึกถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินขับไล่ รถถัง นาวิกโยธิน ฯลฯ

    ในความเป็นจริงระบบราชการขนาดใหญ่ของอเมริกาแทบจะทำลายล้างประเทศเป้าหมายเสมอก่อนที่จะมีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการดำเนินการทางทหารโดยตรง
    เพื่อจุดประสงค์สิ่งนั้นหน่วยข่าวกรองจำนวนมากของไอ้กุ้ยโลกจึงมีความจำเป็น
    https://t.me/rtnews/81104

    อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาการปฏิเสธที่สมเหตุสมผล หน่วยงานข่าวกรองเหล่านี้มักจะใช้ตัวแทนต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรพัฒนาเอกชน หรือแม้แต่สถาบันของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือหน่วยงานเพื่อการพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือเรียกสั้นๆ ว่า USAID ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่

    งบประมาณของหน่วยงานที่น่าอับอายนี้อยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์อย่างเป็นทางการ แม้ว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มากโดยอาจสูงถึง (หรืออาจเกิน) 1 แสนล้านดอลลาร์
    https://www.usaspending.gov/agency/agency-for-international-development?fy=2024
    สิ่งนี้ทําให้ USAID สามารถดําเนินการได้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือพวกเขา
    https://t.me/rtnews/81071

    คิดเป็นมากกว่า 50% ของโครงการ “ความช่วยเหลือต่างประเทศของอเมริกาทั้งหมดและมีการดำเนินการโดยเฉพาะในแอฟริกา เอเชีย ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก (ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากลัทธิอาณานิคม (แบบใหม่) มากที่สุด)

    เพื่อให้เข้าใจถึงขอบเขตการทำงานของ USAID ได้ดีขึ้น บางทีเราควรเปรียบเทียบกับ NED (National Endowment for Democracy) ซึ่งเป็น “สถาบันประชาธิปไตยอิสระ” อีกแห่งหนึ่งที่ทำหน้าที่จัดหาเงินทุนและสนับสนุนสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติสี” NED มีกิจกรรม “ประชาธิปไตย” เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่ Victoria Nuland ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารนอกเหนือจากการให้ทุนแก่สื่ออิสระแล้ว
    https://t.me/Slavyangrad/114746
    USAID ยังมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษในยูเครน
    https://news.antiwar.com/2025/01/28/ukrainian-media-outlets-start-donations-after-us-funding-is-paused/
    โดยเร่งกระบวนการแปรรูปของประเทศที่โชคร้ายที่ถูกนาโต้ยึดครอง
    https://t.me/IntelRepublic/43800
    รายงานเกี่ยวกับกิจกรรมที่แท้จริงของหน่วยงานที่น่าอับอายนั้นค่อนข้างหายากจนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ เนื่องจากเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อกระแสหลักและรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามนำเสนอกิจกรรมพวกเขาโดยอ้างว่า "ช่วยเหลือประเทศอื่น" หรือปกปิดพวกเขาจากสายตาสาธารณะ

    อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ามามีอำนาจ ผลก็คือในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานของเขาและ DOGE (แผนกประสิทธิภาพของรัฐบาล) ซึ่งดำเนินการโดย Elon Musk ได้เปิดเผยรายละเอียดที่น่ากังวลใจอย่างมากเกี่ยวกับกิจกรรมจริงของ USAID
    https://www.americanthinker.com/blog/2025/02/trump_s_attack_on_the_deep_state_is_spectacular_and_almost_certainly_legal.html
    ซึ่งมักผิดกฎหมายของสหรัฐอเมริกาและกฎหมายของประเทศเจ้าภาพจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

    เมื่อปลายเดือนมกราคม หน่วยงานดังกล่าวถูกบังคับให้หยุดกิจกรรมส่วนใหญ่ในยูเครนที่ถูกนาโต้ยึดครอง
    https://www.reuters.com/world/europe/ukraine-aid-groups-cut-services-scramble-cash-after-us-funding-shock-2025-01-30/
    รวมถึงการให้ทุนสนับสนุนสื่อเกือบทั้งหมดที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มนีโอนาซี
    https://t.me/Slavyangrad/118280?single

    ไม่นานหลังจากนั้น สื่ออื่นๆ ทั่วทั้งยุโรปตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ก็เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "ค่านิยมแบบตะวันตก" (ซึ่งเป็นการผสมผสานทางอุดมการณ์ระหว่างลัทธิเสรีนิยมสุดโต่งและความเสื่อมทรามทางศีลธรรม) ซึ่งคนส่วนใหญ่บนโลกพบว่าน่ารังเกียจอย่างยิ่ง)

    เว็บไซต์ USAID จะปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ประกาศว่าหน่วยงานนี้จะถูกปิดตัวลงในเร็วๆ นี้
    https://www.zerohedge.com/political/usaid-website-goes-dark-trump-reportedly-plans-shift-agency-under-state-department
    ณ เวลาที่เขียนนี้ เว็บไซต์ไม่สามารถใช้งานได้จริง และแสดงข้อความเพียงว่าบุคลากรของเว็บไซต์จะถูกพักงานทั่วโลกในวันที่ 7 กุมภาพันธ์
    https://www.usaid.gov/
    แม้ว่า "พนักงานที่สำคัญ" จะได้รับแจ้งถึงชะตากรรมของตนในวันก่อนหน้านั้น คือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ก็ตาม

    อ่านต่อตอนที่.2
    https://www.facebook.com/share/p/1DN6TtSX6u/
    ตอนที่.1 #USAID สัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้ากากของ ‘มนุษยธรรม’ Written by Drago Bosnic ยุทธศาสตร์ครอบงำโลกของสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เมื่อพยายามนึกภาพอำนาจของสหรัฐอเมริกาเรามักจะนึกถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินขับไล่ รถถัง นาวิกโยธิน ฯลฯ ในความเป็นจริงระบบราชการขนาดใหญ่ของอเมริกาแทบจะทำลายล้างประเทศเป้าหมายเสมอก่อนที่จะมีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการดำเนินการทางทหารโดยตรง เพื่อจุดประสงค์สิ่งนั้นหน่วยข่าวกรองจำนวนมากของไอ้กุ้ยโลกจึงมีความจำเป็น https://t.me/rtnews/81104 อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาการปฏิเสธที่สมเหตุสมผล หน่วยงานข่าวกรองเหล่านี้มักจะใช้ตัวแทนต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรพัฒนาเอกชน หรือแม้แต่สถาบันของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือหน่วยงานเพื่อการพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือเรียกสั้นๆ ว่า USAID ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ งบประมาณของหน่วยงานที่น่าอับอายนี้อยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์อย่างเป็นทางการ แม้ว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มากโดยอาจสูงถึง (หรืออาจเกิน) 1 แสนล้านดอลลาร์ https://www.usaspending.gov/agency/agency-for-international-development?fy=2024 สิ่งนี้ทําให้ USAID สามารถดําเนินการได้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือพวกเขา https://t.me/rtnews/81071 คิดเป็นมากกว่า 50% ของโครงการ “ความช่วยเหลือต่างประเทศของอเมริกาทั้งหมดและมีการดำเนินการโดยเฉพาะในแอฟริกา เอเชีย ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก (ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากลัทธิอาณานิคม (แบบใหม่) มากที่สุด) เพื่อให้เข้าใจถึงขอบเขตการทำงานของ USAID ได้ดีขึ้น บางทีเราควรเปรียบเทียบกับ NED (National Endowment for Democracy) ซึ่งเป็น “สถาบันประชาธิปไตยอิสระ” อีกแห่งหนึ่งที่ทำหน้าที่จัดหาเงินทุนและสนับสนุนสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติสี” NED มีกิจกรรม “ประชาธิปไตย” เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่ Victoria Nuland ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารนอกเหนือจากการให้ทุนแก่สื่ออิสระแล้ว https://t.me/Slavyangrad/114746 USAID ยังมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษในยูเครน https://news.antiwar.com/2025/01/28/ukrainian-media-outlets-start-donations-after-us-funding-is-paused/ โดยเร่งกระบวนการแปรรูปของประเทศที่โชคร้ายที่ถูกนาโต้ยึดครอง https://t.me/IntelRepublic/43800 รายงานเกี่ยวกับกิจกรรมที่แท้จริงของหน่วยงานที่น่าอับอายนั้นค่อนข้างหายากจนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ เนื่องจากเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อกระแสหลักและรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามนำเสนอกิจกรรมพวกเขาโดยอ้างว่า "ช่วยเหลือประเทศอื่น" หรือปกปิดพวกเขาจากสายตาสาธารณะ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ามามีอำนาจ ผลก็คือในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานของเขาและ DOGE (แผนกประสิทธิภาพของรัฐบาล) ซึ่งดำเนินการโดย Elon Musk ได้เปิดเผยรายละเอียดที่น่ากังวลใจอย่างมากเกี่ยวกับกิจกรรมจริงของ USAID https://www.americanthinker.com/blog/2025/02/trump_s_attack_on_the_deep_state_is_spectacular_and_almost_certainly_legal.html ซึ่งมักผิดกฎหมายของสหรัฐอเมริกาและกฎหมายของประเทศเจ้าภาพจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เมื่อปลายเดือนมกราคม หน่วยงานดังกล่าวถูกบังคับให้หยุดกิจกรรมส่วนใหญ่ในยูเครนที่ถูกนาโต้ยึดครอง https://www.reuters.com/world/europe/ukraine-aid-groups-cut-services-scramble-cash-after-us-funding-shock-2025-01-30/ รวมถึงการให้ทุนสนับสนุนสื่อเกือบทั้งหมดที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มนีโอนาซี https://t.me/Slavyangrad/118280?single ไม่นานหลังจากนั้น สื่ออื่นๆ ทั่วทั้งยุโรปตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ก็เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "ค่านิยมแบบตะวันตก" (ซึ่งเป็นการผสมผสานทางอุดมการณ์ระหว่างลัทธิเสรีนิยมสุดโต่งและความเสื่อมทรามทางศีลธรรม) ซึ่งคนส่วนใหญ่บนโลกพบว่าน่ารังเกียจอย่างยิ่ง) เว็บไซต์ USAID จะปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ประกาศว่าหน่วยงานนี้จะถูกปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ https://www.zerohedge.com/political/usaid-website-goes-dark-trump-reportedly-plans-shift-agency-under-state-department ณ เวลาที่เขียนนี้ เว็บไซต์ไม่สามารถใช้งานได้จริง และแสดงข้อความเพียงว่าบุคลากรของเว็บไซต์จะถูกพักงานทั่วโลกในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ https://www.usaid.gov/ แม้ว่า "พนักงานที่สำคัญ" จะได้รับแจ้งถึงชะตากรรมของตนในวันก่อนหน้านั้น คือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ก็ตาม อ่านต่อตอนที่.2 https://www.facebook.com/share/p/1DN6TtSX6u/
    T.ME
    RT News
    USAID operates as plausible deniability agency to the 'rogue activities of CIA, State Dept, Pentagon - Benz The agency pushes legacy foreign policy that 'hated Trump with a passion', spending billions annually controlling media narrative that 'populism is attack on democracy'. #US #USAID
    0 Comments 0 Shares 494 Views 0 Reviews
  • Norton ได้เพิ่มเครื่องมือป้องกันการหลอกลวง (scam) โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในแผนบริการของพวกเขา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานป้องกันการถูกหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    Norton ได้เปิดตัวเครื่องมือ Genie Scam Protection และ Genie Scam Protection Pro ที่ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์และตรวจจับการหลอกลวงในข้อความ SMS อีเมล การโทรศัพท์ และการท่องเว็บ โดย Genie AI มีความสามารถในการวิเคราะห์ "ความหมายของคำ" ทำให้สามารถตรวจจับรูปแบบการหลอกลวงที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนอาจพลาดได้

    แผนบริการที่ครอบคลุมที่สุดของ Norton คือ Norton 360 with LifeLock Ultimate Plus ยังรวมถึงการสนับสนุนในการจัดการกับการหลอกลวงและการคุ้มครองการคืนเงินด้วย

    Norton ได้เปิดตัว Norton Genie ตั้งแต่ปี 2023 เพื่อช่วยผู้ใช้งานวิเคราะห์ข้อความและภาพที่น่าสงสัยแบบเรียลไทม์ แต่ในตอนนี้ บริษัทได้สร้างฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนบริการ Norton ทำให้ผู้ใช้งานได้รับการป้องกันโดยอัตโนมัติ

    ผู้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ Cyber Safety ของ Norton เช่น Norton AntiVirus Plus, Norton Mobile Security, และ Norton 360 จะได้รับ Genie Scam Protection ฟรี ฟีเจอร์นี้จะช่วยสแกนข้อความ SMS เว็บไซต์อินเทอร์เน็ต การโทร และอีเมล โดยมีผู้ช่วย AI ที่รวมแอป Norton Genie AI ให้คำแนะนำทันทีเกี่ยวกับการหลอกลวงและข้อเสนอที่น่าสงสัย

    เครื่องมือเหล่านี้พร้อมใช้งานในสหรัฐอเมริกาแล้วและจะขยายไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ในไม่ช้า Leena Elias, หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Gen กล่าวว่า การเพิ่ม AI เข้ามาในโซลูชันความปลอดภัยไซเบอร์เป็นก้าวที่สมเหตุสมผล เนื่องจากผู้หลอกลวงได้ใช้ AI ในการโจมตีมานานแล้ว

    Norton ยังมีแผนที่จะรวมการตรวจจับ deepfake และการหลอกลวงในพีซีที่สนับสนุน AI ในอนาคต เพื่อช่วยผู้ใช้งานให้ปลอดภัยยิ่งขึ้นในยุคที่การหลอกลวงมีความซับซ้อนและเป็นจริงมากขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/security/norton-boosts-ai-scam-protection-tools-for-all-users
    Norton ได้เพิ่มเครื่องมือป้องกันการหลอกลวง (scam) โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในแผนบริการของพวกเขา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานป้องกันการถูกหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น Norton ได้เปิดตัวเครื่องมือ Genie Scam Protection และ Genie Scam Protection Pro ที่ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์และตรวจจับการหลอกลวงในข้อความ SMS อีเมล การโทรศัพท์ และการท่องเว็บ โดย Genie AI มีความสามารถในการวิเคราะห์ "ความหมายของคำ" ทำให้สามารถตรวจจับรูปแบบการหลอกลวงที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนอาจพลาดได้ แผนบริการที่ครอบคลุมที่สุดของ Norton คือ Norton 360 with LifeLock Ultimate Plus ยังรวมถึงการสนับสนุนในการจัดการกับการหลอกลวงและการคุ้มครองการคืนเงินด้วย Norton ได้เปิดตัว Norton Genie ตั้งแต่ปี 2023 เพื่อช่วยผู้ใช้งานวิเคราะห์ข้อความและภาพที่น่าสงสัยแบบเรียลไทม์ แต่ในตอนนี้ บริษัทได้สร้างฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนบริการ Norton ทำให้ผู้ใช้งานได้รับการป้องกันโดยอัตโนมัติ ผู้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ Cyber Safety ของ Norton เช่น Norton AntiVirus Plus, Norton Mobile Security, และ Norton 360 จะได้รับ Genie Scam Protection ฟรี ฟีเจอร์นี้จะช่วยสแกนข้อความ SMS เว็บไซต์อินเทอร์เน็ต การโทร และอีเมล โดยมีผู้ช่วย AI ที่รวมแอป Norton Genie AI ให้คำแนะนำทันทีเกี่ยวกับการหลอกลวงและข้อเสนอที่น่าสงสัย เครื่องมือเหล่านี้พร้อมใช้งานในสหรัฐอเมริกาแล้วและจะขยายไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ในไม่ช้า Leena Elias, หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Gen กล่าวว่า การเพิ่ม AI เข้ามาในโซลูชันความปลอดภัยไซเบอร์เป็นก้าวที่สมเหตุสมผล เนื่องจากผู้หลอกลวงได้ใช้ AI ในการโจมตีมานานแล้ว Norton ยังมีแผนที่จะรวมการตรวจจับ deepfake และการหลอกลวงในพีซีที่สนับสนุน AI ในอนาคต เพื่อช่วยผู้ใช้งานให้ปลอดภัยยิ่งขึ้นในยุคที่การหลอกลวงมีความซับซ้อนและเป็นจริงมากขึ้น https://www.techradar.com/pro/security/norton-boosts-ai-scam-protection-tools-for-all-users
    WWW.TECHRADAR.COM
    Norton boosts AI scam protection tools for all users
    AI-powered scam protection built directly into Norton plans
    0 Comments 0 Shares 202 Views 0 Reviews
  • Alibaba Cloud ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านคลาวด์คอมพิวติ้งของ Alibaba Group ได้เปิดตัวโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) รุ่นใหม่ชื่อว่า Animate Anyone 2 โมเดลนี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอนิเมชันตัวละครที่เสมือนจริงจากภาพนิ่งและวิดีโอเพียงหนึ่งคลิปได้อย่างง่ายดาย

    Animate Anyone 2 สามารถประมวลผลสัญญาณการเคลื่อนไหวและสัญญาณสิ่งแวดล้อมจากเนื้อหาที่เป็นแหล่งอ้างอิง เช่น วิดีโอต้นฉบับ เพื่อสร้างคลิปใหม่ที่มีความสมจริงสูง เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการสร้างแอนิเมชันตัวละครในอดีตที่ใช้เพียงสัญญาณการเคลื่อนไหวเท่านั้น โมเดลนี้ช่วยให้ตัวละครสามารถแสดงการเคลื่อนไหวที่สมจริงและประสานกับสิ่งแวดล้อมเดิมได้อย่างไม่มีสะดุด

    โมเดลนี้สร้างขึ้นจากเวอร์ชันแรกของ Animate Anyone ที่ประกาศเปิดตัวในปลายปี 2023 ซึ่งเน้นการสร้างวิดีโอตัวละครจากภาพนิ่ง หลังจากนั้น OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ก็ได้เปิดตัวโมเดล Sora ที่สามารถสร้างวิดีโอจากข้อความได้ ทำให้เกิดการแข่งขันในวงการเทคโนโลยี AI ของบริษัทใหญ่ในจีนและสตาร์ทอัพหลายแห่ง

    นอกจากนี้ Animate Anyone 2 ยังมีความสามารถในการสร้างการโต้ตอบระหว่างตัวละครโดยรักษาความสมเหตุสมผลของการเคลื่อนไหวและความสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมด้วย ทีมวิจัยจาก Tongyi Lab ซึ่งเป็นหน่วยวิจัยและพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ของ Alibaba Cloud ได้นำเสนอผลการศึกษานี้ใน arXiv ซึ่งเป็นแหล่งเก็บข้อมูลงานวิจัยแบบโอเพนซอร์ส

    สิ่งที่น่าสนใจคือ ByteDance บริษัทเจ้าของ TikTok ก็เพิ่งเปิดตัวโมเดลมัลติโมดัลชื่อ OmniHuman-1 ที่สามารถเปลี่ยนภาพและเสียงให้เป็นวิดีโอที่ดูสมจริง การเปิดตัวโมเดลเหล่านี้ทำให้วงการสื่อและโฆษณามีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยเฉพาะในจีนที่โมเดล Sora ยังไม่สามารถใช้งานได้

    เพื่อทดสอบวิธีการของ Animate Anyone 2 ในหลายสถานการณ์ ทีมวิจัยได้เก็บรวบรวมวิดีโอตัวละคร 100,000 คลิปจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งรวมถึงหลายประเภทของฉาก การกระทำ และการโต้ตอบระหว่างคนและวัตถุ อย่างไรก็ตาม การใช้โมเดลวีดีโอเจเนอเรชันเหล่านี้ยังมีความเสี่ยงที่จะมีการแพร่กระจายวิดีโอ deepfake เพิ่มขึ้น

    Liang Haisheng ผู้เชี่ยวชาญด้านโฆษณาจากปักกิ่งกล่าวว่า แม้ว่าเครื่องมือสร้างวิดีโอเหล่านี้จะมีประโยชน์ในการทำวิดีโอตัวอย่างเพื่อเสนอไอเดียให้กับลูกค้า แต่พวกมันยังขาดความสามารถในการแสดงอารมณ์และการแสดงหน้าที่ละเอียดอ่อนของมนุษย์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/21/alibaba-cloud-ai-model-animate-anyone-2-simplifies-making-of-lifelike-character-animation
    Alibaba Cloud ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านคลาวด์คอมพิวติ้งของ Alibaba Group ได้เปิดตัวโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) รุ่นใหม่ชื่อว่า Animate Anyone 2 โมเดลนี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอนิเมชันตัวละครที่เสมือนจริงจากภาพนิ่งและวิดีโอเพียงหนึ่งคลิปได้อย่างง่ายดาย Animate Anyone 2 สามารถประมวลผลสัญญาณการเคลื่อนไหวและสัญญาณสิ่งแวดล้อมจากเนื้อหาที่เป็นแหล่งอ้างอิง เช่น วิดีโอต้นฉบับ เพื่อสร้างคลิปใหม่ที่มีความสมจริงสูง เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการสร้างแอนิเมชันตัวละครในอดีตที่ใช้เพียงสัญญาณการเคลื่อนไหวเท่านั้น โมเดลนี้ช่วยให้ตัวละครสามารถแสดงการเคลื่อนไหวที่สมจริงและประสานกับสิ่งแวดล้อมเดิมได้อย่างไม่มีสะดุด โมเดลนี้สร้างขึ้นจากเวอร์ชันแรกของ Animate Anyone ที่ประกาศเปิดตัวในปลายปี 2023 ซึ่งเน้นการสร้างวิดีโอตัวละครจากภาพนิ่ง หลังจากนั้น OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ก็ได้เปิดตัวโมเดล Sora ที่สามารถสร้างวิดีโอจากข้อความได้ ทำให้เกิดการแข่งขันในวงการเทคโนโลยี AI ของบริษัทใหญ่ในจีนและสตาร์ทอัพหลายแห่ง นอกจากนี้ Animate Anyone 2 ยังมีความสามารถในการสร้างการโต้ตอบระหว่างตัวละครโดยรักษาความสมเหตุสมผลของการเคลื่อนไหวและความสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมด้วย ทีมวิจัยจาก Tongyi Lab ซึ่งเป็นหน่วยวิจัยและพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ของ Alibaba Cloud ได้นำเสนอผลการศึกษานี้ใน arXiv ซึ่งเป็นแหล่งเก็บข้อมูลงานวิจัยแบบโอเพนซอร์ส สิ่งที่น่าสนใจคือ ByteDance บริษัทเจ้าของ TikTok ก็เพิ่งเปิดตัวโมเดลมัลติโมดัลชื่อ OmniHuman-1 ที่สามารถเปลี่ยนภาพและเสียงให้เป็นวิดีโอที่ดูสมจริง การเปิดตัวโมเดลเหล่านี้ทำให้วงการสื่อและโฆษณามีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยเฉพาะในจีนที่โมเดล Sora ยังไม่สามารถใช้งานได้ เพื่อทดสอบวิธีการของ Animate Anyone 2 ในหลายสถานการณ์ ทีมวิจัยได้เก็บรวบรวมวิดีโอตัวละคร 100,000 คลิปจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งรวมถึงหลายประเภทของฉาก การกระทำ และการโต้ตอบระหว่างคนและวัตถุ อย่างไรก็ตาม การใช้โมเดลวีดีโอเจเนอเรชันเหล่านี้ยังมีความเสี่ยงที่จะมีการแพร่กระจายวิดีโอ deepfake เพิ่มขึ้น Liang Haisheng ผู้เชี่ยวชาญด้านโฆษณาจากปักกิ่งกล่าวว่า แม้ว่าเครื่องมือสร้างวิดีโอเหล่านี้จะมีประโยชน์ในการทำวิดีโอตัวอย่างเพื่อเสนอไอเดียให้กับลูกค้า แต่พวกมันยังขาดความสามารถในการแสดงอารมณ์และการแสดงหน้าที่ละเอียดอ่อนของมนุษย์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/21/alibaba-cloud-ai-model-animate-anyone-2-simplifies-making-of-lifelike-character-animation
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Alibaba Cloud AI model Animate Anyone 2 simplifies making of lifelike character animation
    China appears to have upped the ante in this field of generative AI, which is poised to disrupt the entertainment and advertising industries.
    0 Comments 0 Shares 281 Views 0 Reviews
  • พวกอนุรักษนิยมของเยอรมนีคว้าชัยในศึกเลือกตั้งทั่วไปในวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) แต่เสียงโหวตที่แตกกัน ส่งให้พรรค Alternative for Germany (AfD) พรรคขวาจัด คว้าอันดับ 2 มีผลงานดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา และอาจทำให้ ฟรีดริช แมร์ซ ผู้นำพรรคคอนเซอร์เวทีฟ ประสบความยุ่งยากในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาล
    .
    แมร์ซ ผู้ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ในการดำรงตำแหน่งมาก่อน เตรียมก้าวมาเป็นนายกรัฐมนตรีของชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของยุโรป ที่เวลานี้อยู่ในภาวะเปราะบาง มีความแตกแยกในสังคมเกี่ยวกับปัญหาคนเข้ามืองและติดแหง็กอยู่ในประเด็นความมั่นคงท่ามกลางการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียและจีน
    .
    ตามหลังการพังครืนของรัฐบาลผสมของนายกรัฐมนตรีโอลาฟ โชล์ซ ทาง แมร์ซ วัย 69 ปี รับปากกับกองเชียร์ที่ส่งเสียงดังกึกก้อง ว่ารัฐบาลของเขามีความตั้งใจทำให้เยอรมนีมีตัวตนในยุโรปอีกครั้ง เพื่อที่โลกจะสังเกตเห็นว่าเยอรมนีกำลังถูกปกครองด้วยความน่าเชื่อถืออีกครั้ง "คืนนี้เราจะเฉลิมฉลอง ทว่านับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เราจะเริ่มทำงาน โลกภายนอกรอเราไม่ได้"
    .
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ซึ่งพันธมิตรอย่าง อีลอน มัสก์ ส่งเสียงสนับสนุนพรรค AfD ซ้ำแล้วซ้ำเล่าระหว่างศึกหาเสียง แสดงความยินดีต่อชัยชนะของฝ่ายอนุรักษนิยมบนทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง "แทบเหมือนกับในสหรัฐฯ ประชาชนเยอรมนีเบื่อหน่านกับวาระที่ไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะพลังงานและคนเข้าเมือง ที่ถูกให้ความสำคัญมานานหลายปีเหลือเกิน"
    .
    ผลการเลือกตั้งพบว่ากลุ่มก้อนอนุรักษนิยมพรรค CDU/CSU คว้าคะแนนเสียงไปได้ 28.4% ตามมาด้วยพรรค AfD ที่ได้คะแนนเสียง 20.4% ตามการคาดการณ์ของสำนักข่าว ZDF
    .
    อย่างไรก็ตาม พรรคกระแสหลักทั้งหลายปฏิเสธทำงานร่วมกับ AfD ที่กวาดคะแนนเสียงได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากศึกเลือกตั้งคราวก่อน และมองผลการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น "มือของเรายังคงเปิดกว้างสำหรับการจัดตั้งรัฐบาล" อลิซ ไวเดล ผู้นำพรรค AfD บอกกับผู้สนับสนุน พร้อมระบุ "ครั้งต่อไป เราจะมาเป็นอันดับ 1"
    .
    คาดหมายว่า แมร์ซ กำลังมุ่งหน้าสู่สิ่งที่เชื่อว่าอาจเป็นการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสมที่ยืดเยื้อยาวนาน เนื่องจากไม่ได้ถือครองความได้เปรียบในการเจรจาเท่าไหร่ โดยแม้กลุ่มก้อน CDU/CSU ของเขาจะคว้าคะแนนมาเป็นอันดับ 1 แต่ก็ถือเป็นผลการเลือกตั้งเลวร้ายที่สุดอันดับ 2 ของพวกเขาในยุคหลังสงคราม
    .
    ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า แมร์ซ จะต้องการพรรคร่วมรัฐบาล 1 หรือ 2 พรรค สำหรับรวบรวมเสียงข้างมาก ในขณะที่ชะตากรรมของบรรดาพรรคขนาดเล็กก็ไม่ชัดเจนเช่นกัน การจัดตั้งรัฐบาล 3 พรรคก็ยิ่งอาจทำให้อุ้ยอ้ายกว่าเดิม และอาจบั่นทอนศักยภาพของเยอรมนี ในการแสดงออกถึงความเป็นผู้นำ
    .
    พรรคโซเชียลเดโมแครตส์ (SPD) ของนายกรัฐมตรีโชลซ์ ทำผลงานได้เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้คะแนนโหวตเพียง 16.4% และโชลซ์ ยอมรับว่ามันเป็นผลการเลือกตั้งที่เจ็บปวด อ้างอิงการคาดการณ์ของ ZDF ขณะที่พรรคกรีนส์ได้คะแนนเสียง 12.2% ส่วนพรรคซ้ายจัดอย่าง Die Linke ได้คะแนนเสียงเพียง 8.9% แม้ได้รับแรงสนับสนุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนหนุ่มสาว
    .
    อ้างอิงข้อมูลเอ็กซิตโพล พบว่ามีผู้ออกมาใช้สิทธิใช้เสียงถึง 83% มากที่สุดตั้งแต่ก่อนรวมชาติเยอรมนีในปี 1990 ขณะเดียวกันพบว่าผู้ออกเสียงที่เป็นผู้ชายมีความโน้มเอียงไปทางฝ่ายขวา ส่วนผู้ออกเสียงที่เป็นผู้หญิง ให้การสนับสนุนอย่างแข็งขันต่อพรรคฝ่ายซ้าย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000017982
    ..............
    Sondhi X
    พวกอนุรักษนิยมของเยอรมนีคว้าชัยในศึกเลือกตั้งทั่วไปในวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) แต่เสียงโหวตที่แตกกัน ส่งให้พรรค Alternative for Germany (AfD) พรรคขวาจัด คว้าอันดับ 2 มีผลงานดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา และอาจทำให้ ฟรีดริช แมร์ซ ผู้นำพรรคคอนเซอร์เวทีฟ ประสบความยุ่งยากในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาล . แมร์ซ ผู้ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ในการดำรงตำแหน่งมาก่อน เตรียมก้าวมาเป็นนายกรัฐมนตรีของชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของยุโรป ที่เวลานี้อยู่ในภาวะเปราะบาง มีความแตกแยกในสังคมเกี่ยวกับปัญหาคนเข้ามืองและติดแหง็กอยู่ในประเด็นความมั่นคงท่ามกลางการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียและจีน . ตามหลังการพังครืนของรัฐบาลผสมของนายกรัฐมนตรีโอลาฟ โชล์ซ ทาง แมร์ซ วัย 69 ปี รับปากกับกองเชียร์ที่ส่งเสียงดังกึกก้อง ว่ารัฐบาลของเขามีความตั้งใจทำให้เยอรมนีมีตัวตนในยุโรปอีกครั้ง เพื่อที่โลกจะสังเกตเห็นว่าเยอรมนีกำลังถูกปกครองด้วยความน่าเชื่อถืออีกครั้ง "คืนนี้เราจะเฉลิมฉลอง ทว่านับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เราจะเริ่มทำงาน โลกภายนอกรอเราไม่ได้" . ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ซึ่งพันธมิตรอย่าง อีลอน มัสก์ ส่งเสียงสนับสนุนพรรค AfD ซ้ำแล้วซ้ำเล่าระหว่างศึกหาเสียง แสดงความยินดีต่อชัยชนะของฝ่ายอนุรักษนิยมบนทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง "แทบเหมือนกับในสหรัฐฯ ประชาชนเยอรมนีเบื่อหน่านกับวาระที่ไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะพลังงานและคนเข้าเมือง ที่ถูกให้ความสำคัญมานานหลายปีเหลือเกิน" . ผลการเลือกตั้งพบว่ากลุ่มก้อนอนุรักษนิยมพรรค CDU/CSU คว้าคะแนนเสียงไปได้ 28.4% ตามมาด้วยพรรค AfD ที่ได้คะแนนเสียง 20.4% ตามการคาดการณ์ของสำนักข่าว ZDF . อย่างไรก็ตาม พรรคกระแสหลักทั้งหลายปฏิเสธทำงานร่วมกับ AfD ที่กวาดคะแนนเสียงได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากศึกเลือกตั้งคราวก่อน และมองผลการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น "มือของเรายังคงเปิดกว้างสำหรับการจัดตั้งรัฐบาล" อลิซ ไวเดล ผู้นำพรรค AfD บอกกับผู้สนับสนุน พร้อมระบุ "ครั้งต่อไป เราจะมาเป็นอันดับ 1" . คาดหมายว่า แมร์ซ กำลังมุ่งหน้าสู่สิ่งที่เชื่อว่าอาจเป็นการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสมที่ยืดเยื้อยาวนาน เนื่องจากไม่ได้ถือครองความได้เปรียบในการเจรจาเท่าไหร่ โดยแม้กลุ่มก้อน CDU/CSU ของเขาจะคว้าคะแนนมาเป็นอันดับ 1 แต่ก็ถือเป็นผลการเลือกตั้งเลวร้ายที่สุดอันดับ 2 ของพวกเขาในยุคหลังสงคราม . ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า แมร์ซ จะต้องการพรรคร่วมรัฐบาล 1 หรือ 2 พรรค สำหรับรวบรวมเสียงข้างมาก ในขณะที่ชะตากรรมของบรรดาพรรคขนาดเล็กก็ไม่ชัดเจนเช่นกัน การจัดตั้งรัฐบาล 3 พรรคก็ยิ่งอาจทำให้อุ้ยอ้ายกว่าเดิม และอาจบั่นทอนศักยภาพของเยอรมนี ในการแสดงออกถึงความเป็นผู้นำ . พรรคโซเชียลเดโมแครตส์ (SPD) ของนายกรัฐมตรีโชลซ์ ทำผลงานได้เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้คะแนนโหวตเพียง 16.4% และโชลซ์ ยอมรับว่ามันเป็นผลการเลือกตั้งที่เจ็บปวด อ้างอิงการคาดการณ์ของ ZDF ขณะที่พรรคกรีนส์ได้คะแนนเสียง 12.2% ส่วนพรรคซ้ายจัดอย่าง Die Linke ได้คะแนนเสียงเพียง 8.9% แม้ได้รับแรงสนับสนุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนหนุ่มสาว . อ้างอิงข้อมูลเอ็กซิตโพล พบว่ามีผู้ออกมาใช้สิทธิใช้เสียงถึง 83% มากที่สุดตั้งแต่ก่อนรวมชาติเยอรมนีในปี 1990 ขณะเดียวกันพบว่าผู้ออกเสียงที่เป็นผู้ชายมีความโน้มเอียงไปทางฝ่ายขวา ส่วนผู้ออกเสียงที่เป็นผู้หญิง ให้การสนับสนุนอย่างแข็งขันต่อพรรคฝ่ายซ้าย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000017982 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    5
    0 Comments 0 Shares 1561 Views 0 Reviews
  • นักวิจัยจาก Imperial College London ได้ใช้เวลาราว 10 ปีในการแก้ไขปัญหาซูเปอร์บั๊ก (superbug) แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ปัญหานี้ถูกแก้ไขในเวลาเพียง 48 ชั่วโมงด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นโดย Google เครื่องมือนี้เรียกว่า co-scientist ซึ่งเป็นระบบ AI แบบหลายตัวแทนที่ใช้ Gemini 2.0 ในการทำงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยสร้างสมมติฐานใหม่ ๆ และข้อเสนอวิจัยใหม่ ๆ

    ซูเปอร์บั๊ก (Superbug) คือเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะอย่างรุนแรง ทำให้การรักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อเหล่านี้ยากขึ้นมาก ปัญหานี้เกิดขึ้นจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสม เช่น การใช้ยาเกินความจำเป็น การใช้ยาไม่ครบตามที่แพทย์สั่ง หรือการซื้อยามาทานเอง ซึ่งทำให้เชื้อแบคทีเรียพัฒนาความต้านทานต่อยาปฏิชีวนะ

    ปัญหาที่นักวิจัยให้เครื่องมือนี้แก้ไขคือ ทำไมซูเปอร์บั๊กบางตัวจึงต้านทานยาปฏิชีวนะได้ Professor José R Penadés บอกกับ BBC ว่า co-scientist ได้ข้อสันนิษฐานที่เหมือนกับทีมของเขา คือ ซูเปอร์บั๊กสามารถสร้างหางที่ทำให้พวกมันสามารถเคลื่อนย้ายไปยังชนิดอื่นได้ ซึ่งเปรียบเสมือนกุญแจหลักที่ช่วยให้บั๊กสามารถย้ายที่อยู่ได้

    นอกจากการยืนยันสมมติฐานเดิมแล้ว co-scientist ยังได้สร้างสมมติฐานเพิ่มเติมอีก 4 ข้อ ซึ่งทุกข้อเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและหนึ่งในนั้นทีมวิจัยยังไม่เคยพิจารณามาก่อน ซึ่งขณะนี้ทีมวิจัยกำลังศึกษาสมมติฐานใหม่นี้เพิ่มเติม

    Penadés กล่าวเพิ่มเติมว่า เขาเชื่อว่า AI เครื่องมือนี้จะเปลี่ยนแปลงวงการวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน โดยเปรียบเสมือนกับการได้เล่นแมตช์ใหญ่ในแชมเปี้ยนส์ลีก

    Google กล่าวว่า co-scientist ทำงานเป็น "ผู้ร่วมงานวิจัยเสมือน" ที่สามารถช่วยเร่งการค้นพบด้านชีวการแพทย์และวิทยาศาสตร์ได้ องค์กรวิจัยที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโปรแกรมทดสอบได้

    https://www.techspot.com/news/106874-ai-accelerates-superbug-solution-completing-two-days-what.html
    นักวิจัยจาก Imperial College London ได้ใช้เวลาราว 10 ปีในการแก้ไขปัญหาซูเปอร์บั๊ก (superbug) แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ปัญหานี้ถูกแก้ไขในเวลาเพียง 48 ชั่วโมงด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นโดย Google เครื่องมือนี้เรียกว่า co-scientist ซึ่งเป็นระบบ AI แบบหลายตัวแทนที่ใช้ Gemini 2.0 ในการทำงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยสร้างสมมติฐานใหม่ ๆ และข้อเสนอวิจัยใหม่ ๆ ซูเปอร์บั๊ก (Superbug) คือเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะอย่างรุนแรง ทำให้การรักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อเหล่านี้ยากขึ้นมาก ปัญหานี้เกิดขึ้นจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสม เช่น การใช้ยาเกินความจำเป็น การใช้ยาไม่ครบตามที่แพทย์สั่ง หรือการซื้อยามาทานเอง ซึ่งทำให้เชื้อแบคทีเรียพัฒนาความต้านทานต่อยาปฏิชีวนะ ปัญหาที่นักวิจัยให้เครื่องมือนี้แก้ไขคือ ทำไมซูเปอร์บั๊กบางตัวจึงต้านทานยาปฏิชีวนะได้ Professor José R Penadés บอกกับ BBC ว่า co-scientist ได้ข้อสันนิษฐานที่เหมือนกับทีมของเขา คือ ซูเปอร์บั๊กสามารถสร้างหางที่ทำให้พวกมันสามารถเคลื่อนย้ายไปยังชนิดอื่นได้ ซึ่งเปรียบเสมือนกุญแจหลักที่ช่วยให้บั๊กสามารถย้ายที่อยู่ได้ นอกจากการยืนยันสมมติฐานเดิมแล้ว co-scientist ยังได้สร้างสมมติฐานเพิ่มเติมอีก 4 ข้อ ซึ่งทุกข้อเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและหนึ่งในนั้นทีมวิจัยยังไม่เคยพิจารณามาก่อน ซึ่งขณะนี้ทีมวิจัยกำลังศึกษาสมมติฐานใหม่นี้เพิ่มเติม Penadés กล่าวเพิ่มเติมว่า เขาเชื่อว่า AI เครื่องมือนี้จะเปลี่ยนแปลงวงการวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน โดยเปรียบเสมือนกับการได้เล่นแมตช์ใหญ่ในแชมเปี้ยนส์ลีก Google กล่าวว่า co-scientist ทำงานเป็น "ผู้ร่วมงานวิจัยเสมือน" ที่สามารถช่วยเร่งการค้นพบด้านชีวการแพทย์และวิทยาศาสตร์ได้ องค์กรวิจัยที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโปรแกรมทดสอบได้ https://www.techspot.com/news/106874-ai-accelerates-superbug-solution-completing-two-days-what.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Scientists spent 10 years on a superbug mystery - Google's AI solved it in 48 hours
    Professor José R Penadés told the BBC that Google's tool reached the same hypothesis that his team had – that superbugs can create a tail that allows...
    0 Comments 0 Shares 367 Views 0 Reviews
  • "รัสเซียต้องจ่ายไปเยอะเพื่อยึดครองพื้นที่ในยูเครนที่พวกเขายึดครองอยู่ในขณะนี้ ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะยอมคืนพื้นที่เหล่านั้นให้ได้ง่ายๆ ซึ่งนั่นมันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล"
    -ทรัมป์
    "รัสเซียต้องจ่ายไปเยอะเพื่อยึดครองพื้นที่ในยูเครนที่พวกเขายึดครองอยู่ในขณะนี้ ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะยอมคืนพื้นที่เหล่านั้นให้ได้ง่ายๆ ซึ่งนั่นมันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล" -ทรัมป์
    0 Comments 0 Shares 277 Views 13 0 Reviews
  • เมื่อไม่นานมานี้ มีคำตัดสินที่สำคัญในวงการเทคโนโลยีและกฎหมายที่มีผลกระทบใหญ่ในอนาคต คำตัดสินนี้เป็นกรณีแรกที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดลิขสิทธิ์ในสหรัฐอเมริกา โดยศาลรัฐบาลกลางในเดลาแวร์ได้ตัดสินให้ Thomson Reuters ชนะคดีที่ฟ้องร้อง Ross Intelligence ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ที่ถูกกล่าวหาว่าใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลการวิจัยกฎหมายของ Thomson Reuters ชื่อว่า Westlaw เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม AI ด้านกฎหมายที่เป็นคู่แข่งกัน

    ศาลปฏิเสธข้ออ้างการใช้งานที่เป็นธรรม (fair use) ของ Ross Intelligence ซึ่งเป็นข้ออ้างสำคัญที่บริษัท AI มักใช้ในการโต้เถียงเรื่องลิขสิทธิ์ โดยผู้พิพากษา Stephanos Bibas กล่าวในคำตัดสินว่า "ไม่มีข้อแก้ต่างใดๆ ของ Ross ที่สมเหตุสมผล ผมปฏิเสธทั้งหมด"

    คดีนี้เน้นไปที่ AI ที่ไม่ได้สร้างเนื้อหาใหม่จากข้อมูลเดิม เช่น โมเดลภาษาใหญ่ (large language models) แต่ใช้ข้อมูลโดยตรงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นคู่แข่ง คำตัดสินนี้อาจมีผลกระทบที่สำคัญต่ออุตสาหกรรม AI และอาจทำให้การโต้เถียงเรื่องการใช้งานที่เป็นธรรมยากขึ้นสำหรับบริษัทที่กำลังพัฒนาระบบ AI อื่นๆ เช่น OpenAI, Microsoft และ Meta Platforms

    การตัดสินนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาลิขสิทธิ์ในยุคที่ AI มีบทบาทมากขึ้น และทำให้เราเห็นว่าศาลยังคงเคร่งครัดในการบังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์

    https://www.techspot.com/news/106738-federal-judge-rules-against-ai-company-major-copyright.html
    เมื่อไม่นานมานี้ มีคำตัดสินที่สำคัญในวงการเทคโนโลยีและกฎหมายที่มีผลกระทบใหญ่ในอนาคต คำตัดสินนี้เป็นกรณีแรกที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดลิขสิทธิ์ในสหรัฐอเมริกา โดยศาลรัฐบาลกลางในเดลาแวร์ได้ตัดสินให้ Thomson Reuters ชนะคดีที่ฟ้องร้อง Ross Intelligence ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ที่ถูกกล่าวหาว่าใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลการวิจัยกฎหมายของ Thomson Reuters ชื่อว่า Westlaw เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม AI ด้านกฎหมายที่เป็นคู่แข่งกัน ศาลปฏิเสธข้ออ้างการใช้งานที่เป็นธรรม (fair use) ของ Ross Intelligence ซึ่งเป็นข้ออ้างสำคัญที่บริษัท AI มักใช้ในการโต้เถียงเรื่องลิขสิทธิ์ โดยผู้พิพากษา Stephanos Bibas กล่าวในคำตัดสินว่า "ไม่มีข้อแก้ต่างใดๆ ของ Ross ที่สมเหตุสมผล ผมปฏิเสธทั้งหมด" คดีนี้เน้นไปที่ AI ที่ไม่ได้สร้างเนื้อหาใหม่จากข้อมูลเดิม เช่น โมเดลภาษาใหญ่ (large language models) แต่ใช้ข้อมูลโดยตรงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นคู่แข่ง คำตัดสินนี้อาจมีผลกระทบที่สำคัญต่ออุตสาหกรรม AI และอาจทำให้การโต้เถียงเรื่องการใช้งานที่เป็นธรรมยากขึ้นสำหรับบริษัทที่กำลังพัฒนาระบบ AI อื่นๆ เช่น OpenAI, Microsoft และ Meta Platforms การตัดสินนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาลิขสิทธิ์ในยุคที่ AI มีบทบาทมากขึ้น และทำให้เราเห็นว่าศาลยังคงเคร่งครัดในการบังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์ https://www.techspot.com/news/106738-federal-judge-rules-against-ai-company-major-copyright.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Federal judge delivers first major AI copyright ruling against startup
    The case, filed in 2020, accused Ross Intelligence of reproducing materials from Thomson Reuters' Westlaw legal research database to build a competing AI-powered legal platform. Judge Bibas...
    0 Comments 0 Shares 218 Views 0 Reviews
  • โรเบิร์ต ฟิโก นายกรัฐมนตรีสโลวาเกีย เปิดเผยว่ามีแผนปรับแก้รัฐธรรมนูญของประเทศ สำหรับยอมรับอย่างเป็นทางการเพียงแค่ 2 เพศ ได้แก่ "ชายและหญิง" พร้อมให้คำจำกัดความแนวคิดนี้ว่าเป็นการกลับคืนสู่สามัญสำนึกที่เหมาะสม
    .
    "ผมมาพร้อมกับความคิดริเริ่มที่จะรวมบทบัญญัติหนึ่งเข้าไปในรัฐธรรมนูญ ที่เน้นย้ำว่าสโลวาเกียให้คำนิยามเพียง 2 เพศ ประกอบด้วยเพศชายและเพศหญิง" ฟิโกกล่าว
    .
    นายกรัฐมนตรีรายนี้เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ รับรองเพียง 2 เพศ โยงมันกับบทบัญญัติต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน อาทิเช่นคำนิยามของการสมรส เขาอ้างว่าการปรับแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ มีความสำคัญสำหรับสโลวาเกีย เพื่อปกป้องอธิปไตยทางจริยธรรมและค่านิยมของประเทศ โดยเฉพะอย่างยิ่งในกรณีที่อาจเกิดความเห็นต่างกันภายในอียู
    .
    นอกจากนี้แล้ว ฟิโก ยังเน้นย้ำว่ามีความจำเป็นต้องทำให้ระบบการศึกษาของสโลวาเกียสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ "ถ้ารัฐธรรมนูญเน้นย้ำว่า การแต่งงานเป็นพันธะพิเศษระหว่างชายกับหญิง เมื่อนั้นก็ไม่ควรสอนอย่างอื่นภายในโรงเรียน" เขากล่าว
    .
    ความเห็นของ ฟิโก มีขึ้นไม่นาน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ แถลงนโยบายคล้ายกัน ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งเมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม โดยเขาประกาศว่าอเมริกาจะรับรองอย่างเป็นทางการเพียง 2 เพศ ได้แก่เพศชายและเพศหญิง
    .
    หลังจากนั้นในวันเดียวกัน ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งบริหาร 2 ฉบับ ลดทอนสิทธิกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศและยกเลิกโครงการด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (DEI) ที่กำหนดขึ้นในสมัยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน
    .
    หนึ่งในคำสั่งมีชื่อว่า "Defending Women from Gender Ideology Extremism and Restoring Biological Truth to the Federal Government" เน้นย้ำ "มีเพียงแค่ 2 เพศ ผู้ชายและผู้หญิง" และ ทรัมป์ ออกคำสั่งถึงหน่วยงานต่างให้ปรับแก้เอกสารอย่างเป็นทางการต่างๆ อย่างเช่นพาสปอร์ตและวีซ่า ตามชีววิทยาเท่านั้น (ยกเลิกตัวเลือก "X" สำหรับเพศทางเลือก)
    .
    ฟิโก ยกย่องจุดยืนของทรัมป์ ว่าใช้นโยบายที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติและสมเหตุสมผล และแนะนำให้อียูควรทำตามอย่างผู้นำสหรัฐฯ "นี่คือการกลับคืนสู่สามัญสำนึก" นายกรัฐมนตรีสโลวาเกียระบุ อ้างถึงข้อเสนอของเขาและนโยบายของทรัมป์ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ให้กรอบเวลาเกี่ยวกับการปรับแก้รัฐธรรมนูญ แต่ส่งสัญญาณว่าแนวคิดดังกล่าวจะได้ข้อสรุปและนำเสนอต่อรัฐสภาเร็วๆนี้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008313
    ..............
    Sondhi X
    โรเบิร์ต ฟิโก นายกรัฐมนตรีสโลวาเกีย เปิดเผยว่ามีแผนปรับแก้รัฐธรรมนูญของประเทศ สำหรับยอมรับอย่างเป็นทางการเพียงแค่ 2 เพศ ได้แก่ "ชายและหญิง" พร้อมให้คำจำกัดความแนวคิดนี้ว่าเป็นการกลับคืนสู่สามัญสำนึกที่เหมาะสม . "ผมมาพร้อมกับความคิดริเริ่มที่จะรวมบทบัญญัติหนึ่งเข้าไปในรัฐธรรมนูญ ที่เน้นย้ำว่าสโลวาเกียให้คำนิยามเพียง 2 เพศ ประกอบด้วยเพศชายและเพศหญิง" ฟิโกกล่าว . นายกรัฐมนตรีรายนี้เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ รับรองเพียง 2 เพศ โยงมันกับบทบัญญัติต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน อาทิเช่นคำนิยามของการสมรส เขาอ้างว่าการปรับแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ มีความสำคัญสำหรับสโลวาเกีย เพื่อปกป้องอธิปไตยทางจริยธรรมและค่านิยมของประเทศ โดยเฉพะอย่างยิ่งในกรณีที่อาจเกิดความเห็นต่างกันภายในอียู . นอกจากนี้แล้ว ฟิโก ยังเน้นย้ำว่ามีความจำเป็นต้องทำให้ระบบการศึกษาของสโลวาเกียสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ "ถ้ารัฐธรรมนูญเน้นย้ำว่า การแต่งงานเป็นพันธะพิเศษระหว่างชายกับหญิง เมื่อนั้นก็ไม่ควรสอนอย่างอื่นภายในโรงเรียน" เขากล่าว . ความเห็นของ ฟิโก มีขึ้นไม่นาน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ แถลงนโยบายคล้ายกัน ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งเมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม โดยเขาประกาศว่าอเมริกาจะรับรองอย่างเป็นทางการเพียง 2 เพศ ได้แก่เพศชายและเพศหญิง . หลังจากนั้นในวันเดียวกัน ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งบริหาร 2 ฉบับ ลดทอนสิทธิกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศและยกเลิกโครงการด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (DEI) ที่กำหนดขึ้นในสมัยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน . หนึ่งในคำสั่งมีชื่อว่า "Defending Women from Gender Ideology Extremism and Restoring Biological Truth to the Federal Government" เน้นย้ำ "มีเพียงแค่ 2 เพศ ผู้ชายและผู้หญิง" และ ทรัมป์ ออกคำสั่งถึงหน่วยงานต่างให้ปรับแก้เอกสารอย่างเป็นทางการต่างๆ อย่างเช่นพาสปอร์ตและวีซ่า ตามชีววิทยาเท่านั้น (ยกเลิกตัวเลือก "X" สำหรับเพศทางเลือก) . ฟิโก ยกย่องจุดยืนของทรัมป์ ว่าใช้นโยบายที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติและสมเหตุสมผล และแนะนำให้อียูควรทำตามอย่างผู้นำสหรัฐฯ "นี่คือการกลับคืนสู่สามัญสำนึก" นายกรัฐมนตรีสโลวาเกียระบุ อ้างถึงข้อเสนอของเขาและนโยบายของทรัมป์ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ให้กรอบเวลาเกี่ยวกับการปรับแก้รัฐธรรมนูญ แต่ส่งสัญญาณว่าแนวคิดดังกล่าวจะได้ข้อสรุปและนำเสนอต่อรัฐสภาเร็วๆนี้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008313 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    7
    0 Comments 0 Shares 1465 Views 0 Reviews
  • "ปานเทพ" โต้ "ปอ-แซน" มีพิรุธ ย้ำจำลอง "แตงโม" ตกเรือ ค้นหา "ประเด็นแห่งคดี"
    .
    ปานเทพโต้ปอ-แซนแถลงข่าว กล่าวหาว่าจำลองแตงโม ภัทรธิดา นักแสดงสาวตกจากเรือไม่ตรงกัน ย้ำค้นหาประเด็นแห่งคดี นิติวิทยาศาสตร์ระบุแล้วว่าไม่มีดีเอ็นเอ และรู้อยู่แล้วว่าคนบนเรือจะต้องมีพิรุธ ร้อนตัว ถามถ้าแตงโมจับเรือ 10 วิ. จริงตามที่แถลง ทำไมไม่ช่วยเพื่อน
    .
    วันนี้ (16 ม.ค.) ที่โรงแรมริเวอร์ไลน์ เพลส โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ จ.นนทบุรี นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ตอบโต้นายตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ หรือปอ และนายวิศาพัช มโนมันรัตน์ หรือแซน ที่แถลงข่าวการทดสอบเหตุการณ์จำลองการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม นักแสดงสาว ที่กล่าวหาว่าเป็นการจำลองไม่ตรงกัน 100% ว่า ที่การทดลองไม่ตกตรงนั้น ไม่ตกตรงนี้ เพราะไม่ใช่ประเด็นแห่งคดี ประเด็นคือคำให้การของแซน วิศาพัช ที่ให้การว่าแตงโมตกทางซ้ายมือของกาบท้ายเรือ และคนบนเรือทั้งหมดในการออกรายการโหนกระแส กล่าวว่าไม่เห็นการตกเรือและไม่เห็นอะไรเลย ตกแล้วหายไปเลย จึงเห็นว่าการพูดในครั้งนั้นเป็นประเด็นแห่งคดี
    .
    อีกทั้งในทางนิติวิทยาศาสตร์ตรวจแล้วพบว่า ไม่มีลายนิ้วมือและดีเอ็นเอของมนุษย์บนเครื่องยนต์ เพราะฉะนั้นที่บอกว่าเกาะท้ายเรือ กาบเรือนั้นไม่มี ส่วนบนเบาะเรือด้านท้ายสุดไม่มีดีเอ็นเอของแตงโม แม้กระทั่งแซน วิศาพัชก็ไม่มี เรื่องนี้จึงมีพิรุธตั้งแต่หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ พอทดสอบตามคำให้การว่าแซน วิศาพัช เห็นคนเดียว จึงทดสอบตามนั้น เพราะเป็นประเด็นแห่งคดีที่อยู่ในสำนวนในชั้นศาล ซึ่งเราต้องยึดประเด็นนี้ คือตกทางซ้ายมือของกาบท้ายเรือ แม้จะมีการท้วงแต่ก็ได้พยายามทดลอง
    .
    ขณะเดียวกันได้ตั้งข้อสังเกตว่า ที่แซน วิศาพัช อ้างว่าจำชุดไม่ได้ เพราะเมื่อ 2-3 วันก่อนออกรายการหนึ่งว่าตัวเองถอดคอนแทคเลนส์ ถอดแว่นตา ตาเจ็บ มองไม่เห็นอะไรเลย จากเดิมที่บอกว่าเห็นอยู่คนเดียว คำแถลงหรือคำให้การไม่ย้อนแย้งหรือ เพราะอ้างว่าเล่นโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเล็กกว่าการมองเห็นคน ทำให้เราเห็นพิรุธจากสิ่งที่พูดออกมา และที่อาสาสมัครสวมเสื้อชูชีพ เพราะการทดสอบที่ผ่านมา ตำรวจและสื่อมวลชนก็สวมเสื้อชูชีพเช่นกัน ทำไมถึงตำหนิการทำงานของภาคประชาชน และมีอาสาสมัคร 3 คน ตัดสินใจไม่สวมเสื้อชูชีพให้ดู จะได้หมดข้ออ้าง และเป็นที่ชัดเจนว่าตำแหน่งดังกล่าวไม่เหมาะกับการปัสสาวะเพราะจะเปียกไปถึงเอว ไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าเปิดของสงวนต่อหน้าผู้ชายที่นั่งอยู่เฉียงๆ และเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง ส่วนการตกด้านซ้ายหรือหงายหลัง ไม่ว่าตกไปทางไหนก็พิสูจน์ชัดว่าไม่โดนใบพัดเรือ
    .
    ส่วนที่นายตนุภัทรและแซน วิศาพัช แถลงข่าวในวันนี้ นายปานเทพเห็นว่ามีพิรุธอย่างมาก เพราะ 3 ปีที่แล้ว ปอ ตนุภัทร อ้างว่าขับเรือไม่เห็นอะไรเลย บัดนี้จะเห็นทุกอย่าง เกาะอยู่ที่เครื่องยนต์ รอ 10 วินาที เห็นไปหมด มันต่างจากคำให้การต่อศาล และสำนวนคดีที่แจ้งกับตำรวจหรือไม่ ถ้าคุณรู้ว่ามีการเกาะอยู่ 10 วินาทีจริง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ทำไมไม่ช่วยคุณแตงโม 10 วินาที ไม่เห็นหรือว่ามีคนตกน้ำแล้วช่วยไว้ได้ทัน แต่ 3 ปีที่แล้วให้การว่าตกน้ำแล้วหายไปเลย ไม่รู้อยู่ที่ไหน มืดมาก บัดนี้บอกว่าเห็น 10 วินาทีแต่ไม่ช่วยเพื่อน เราเห็นว่ามีพิรุธและเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และเราคิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าสิ่งที่ทำจะต้องมีคนดิ้น แต่ถ้าดิ้นเป็น ออกอาการสมเหตุสมผล สังคมก็เชื่อ แต่ทุกคนรู้ทันกันหมดว่าผิดปกติ ถ้ายอกว่าเป็นเท็จก็ต้องมีข้อเท็จจริงอย่างอื่นที่ไม่ใช่แบบนี้ ถ้าจะแสดงออกตามอำเภอใจเพื่อเป็นเหตุอ้าง ต้องทำเอง แต่บัดนี้ยังไม่เห็น และบาดแผลทางขวาของแตงโมเกิดขึ้นไม่ได้ และศาลอาญายกฟ้อง 21 ตำรวจที่ฟ้องนายอัจฉริย เรืองรัตนพงษ์ ว่า ต้นขาขวาเป็นแผลเดี่ยว ลึก เรียบ เป็นไปไม่ได้ที่เกิดจากใบพัดเรือในการตกด้านซ้าย ทุกอย่างขัดแย้งหมด
    .
    "จะพูดอะไรก็พูดได้ แต่ประชาชนเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นผมจึงเห็นว่าคำแถลงของคุณปอ (นายตนุภัทร) ซึ่งหายไปหลายปี แล้วคุณก็ยุติไปแล้วในคดีกระทำการโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย คงจะรับรู้แล้วใช่ไหมว่าเรื่องของผลทางกฎหมายและการตัดสินก็เรื่องหนึ่ง แต่ผลแห่งกรรมมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และสิ่งที่คุณพูดวันนี้ไม่สามารถมีคำอธิยายอย่างสมเหตุสมผลได้ในประเด็นแห่งคดี เราต้องไม่ตกในมายาคติที่เขาจะชวนไปตกหัวเรือ กระโดดตีลังกาด้านซ้าย ด้านขวา เอาประเด็นแห่งคดี และที่เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้อย่างไร"
    .
    นายปานเทพ กล่าวว่า ที่อ้างว่าต้องขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่ คนเหล่านี้ต่างหาก ที่เป็นอาสาสมัครที่ต้องขออนุญาต เพราะเขาเป็นคนเสียสละ ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณแม่เลย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณแม่ และเมื่อคนบนเรือขัดแย้งก็เป็นพยานหลักฐานเช่นเดียวกัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000004962
    .........
    Sondhi X
    "ปานเทพ" โต้ "ปอ-แซน" มีพิรุธ ย้ำจำลอง "แตงโม" ตกเรือ ค้นหา "ประเด็นแห่งคดี" . ปานเทพโต้ปอ-แซนแถลงข่าว กล่าวหาว่าจำลองแตงโม ภัทรธิดา นักแสดงสาวตกจากเรือไม่ตรงกัน ย้ำค้นหาประเด็นแห่งคดี นิติวิทยาศาสตร์ระบุแล้วว่าไม่มีดีเอ็นเอ และรู้อยู่แล้วว่าคนบนเรือจะต้องมีพิรุธ ร้อนตัว ถามถ้าแตงโมจับเรือ 10 วิ. จริงตามที่แถลง ทำไมไม่ช่วยเพื่อน . วันนี้ (16 ม.ค.) ที่โรงแรมริเวอร์ไลน์ เพลส โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ จ.นนทบุรี นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ตอบโต้นายตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ หรือปอ และนายวิศาพัช มโนมันรัตน์ หรือแซน ที่แถลงข่าวการทดสอบเหตุการณ์จำลองการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม นักแสดงสาว ที่กล่าวหาว่าเป็นการจำลองไม่ตรงกัน 100% ว่า ที่การทดลองไม่ตกตรงนั้น ไม่ตกตรงนี้ เพราะไม่ใช่ประเด็นแห่งคดี ประเด็นคือคำให้การของแซน วิศาพัช ที่ให้การว่าแตงโมตกทางซ้ายมือของกาบท้ายเรือ และคนบนเรือทั้งหมดในการออกรายการโหนกระแส กล่าวว่าไม่เห็นการตกเรือและไม่เห็นอะไรเลย ตกแล้วหายไปเลย จึงเห็นว่าการพูดในครั้งนั้นเป็นประเด็นแห่งคดี . อีกทั้งในทางนิติวิทยาศาสตร์ตรวจแล้วพบว่า ไม่มีลายนิ้วมือและดีเอ็นเอของมนุษย์บนเครื่องยนต์ เพราะฉะนั้นที่บอกว่าเกาะท้ายเรือ กาบเรือนั้นไม่มี ส่วนบนเบาะเรือด้านท้ายสุดไม่มีดีเอ็นเอของแตงโม แม้กระทั่งแซน วิศาพัชก็ไม่มี เรื่องนี้จึงมีพิรุธตั้งแต่หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ พอทดสอบตามคำให้การว่าแซน วิศาพัช เห็นคนเดียว จึงทดสอบตามนั้น เพราะเป็นประเด็นแห่งคดีที่อยู่ในสำนวนในชั้นศาล ซึ่งเราต้องยึดประเด็นนี้ คือตกทางซ้ายมือของกาบท้ายเรือ แม้จะมีการท้วงแต่ก็ได้พยายามทดลอง . ขณะเดียวกันได้ตั้งข้อสังเกตว่า ที่แซน วิศาพัช อ้างว่าจำชุดไม่ได้ เพราะเมื่อ 2-3 วันก่อนออกรายการหนึ่งว่าตัวเองถอดคอนแทคเลนส์ ถอดแว่นตา ตาเจ็บ มองไม่เห็นอะไรเลย จากเดิมที่บอกว่าเห็นอยู่คนเดียว คำแถลงหรือคำให้การไม่ย้อนแย้งหรือ เพราะอ้างว่าเล่นโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเล็กกว่าการมองเห็นคน ทำให้เราเห็นพิรุธจากสิ่งที่พูดออกมา และที่อาสาสมัครสวมเสื้อชูชีพ เพราะการทดสอบที่ผ่านมา ตำรวจและสื่อมวลชนก็สวมเสื้อชูชีพเช่นกัน ทำไมถึงตำหนิการทำงานของภาคประชาชน และมีอาสาสมัคร 3 คน ตัดสินใจไม่สวมเสื้อชูชีพให้ดู จะได้หมดข้ออ้าง และเป็นที่ชัดเจนว่าตำแหน่งดังกล่าวไม่เหมาะกับการปัสสาวะเพราะจะเปียกไปถึงเอว ไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าเปิดของสงวนต่อหน้าผู้ชายที่นั่งอยู่เฉียงๆ และเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง ส่วนการตกด้านซ้ายหรือหงายหลัง ไม่ว่าตกไปทางไหนก็พิสูจน์ชัดว่าไม่โดนใบพัดเรือ . ส่วนที่นายตนุภัทรและแซน วิศาพัช แถลงข่าวในวันนี้ นายปานเทพเห็นว่ามีพิรุธอย่างมาก เพราะ 3 ปีที่แล้ว ปอ ตนุภัทร อ้างว่าขับเรือไม่เห็นอะไรเลย บัดนี้จะเห็นทุกอย่าง เกาะอยู่ที่เครื่องยนต์ รอ 10 วินาที เห็นไปหมด มันต่างจากคำให้การต่อศาล และสำนวนคดีที่แจ้งกับตำรวจหรือไม่ ถ้าคุณรู้ว่ามีการเกาะอยู่ 10 วินาทีจริง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ทำไมไม่ช่วยคุณแตงโม 10 วินาที ไม่เห็นหรือว่ามีคนตกน้ำแล้วช่วยไว้ได้ทัน แต่ 3 ปีที่แล้วให้การว่าตกน้ำแล้วหายไปเลย ไม่รู้อยู่ที่ไหน มืดมาก บัดนี้บอกว่าเห็น 10 วินาทีแต่ไม่ช่วยเพื่อน เราเห็นว่ามีพิรุธและเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และเราคิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าสิ่งที่ทำจะต้องมีคนดิ้น แต่ถ้าดิ้นเป็น ออกอาการสมเหตุสมผล สังคมก็เชื่อ แต่ทุกคนรู้ทันกันหมดว่าผิดปกติ ถ้ายอกว่าเป็นเท็จก็ต้องมีข้อเท็จจริงอย่างอื่นที่ไม่ใช่แบบนี้ ถ้าจะแสดงออกตามอำเภอใจเพื่อเป็นเหตุอ้าง ต้องทำเอง แต่บัดนี้ยังไม่เห็น และบาดแผลทางขวาของแตงโมเกิดขึ้นไม่ได้ และศาลอาญายกฟ้อง 21 ตำรวจที่ฟ้องนายอัจฉริย เรืองรัตนพงษ์ ว่า ต้นขาขวาเป็นแผลเดี่ยว ลึก เรียบ เป็นไปไม่ได้ที่เกิดจากใบพัดเรือในการตกด้านซ้าย ทุกอย่างขัดแย้งหมด . "จะพูดอะไรก็พูดได้ แต่ประชาชนเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นผมจึงเห็นว่าคำแถลงของคุณปอ (นายตนุภัทร) ซึ่งหายไปหลายปี แล้วคุณก็ยุติไปแล้วในคดีกระทำการโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย คงจะรับรู้แล้วใช่ไหมว่าเรื่องของผลทางกฎหมายและการตัดสินก็เรื่องหนึ่ง แต่ผลแห่งกรรมมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และสิ่งที่คุณพูดวันนี้ไม่สามารถมีคำอธิยายอย่างสมเหตุสมผลได้ในประเด็นแห่งคดี เราต้องไม่ตกในมายาคติที่เขาจะชวนไปตกหัวเรือ กระโดดตีลังกาด้านซ้าย ด้านขวา เอาประเด็นแห่งคดี และที่เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้อย่างไร" . นายปานเทพ กล่าวว่า ที่อ้างว่าต้องขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่ คนเหล่านี้ต่างหาก ที่เป็นอาสาสมัครที่ต้องขออนุญาต เพราะเขาเป็นคนเสียสละ ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณแม่เลย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณแม่ และเมื่อคนบนเรือขัดแย้งก็เป็นพยานหลักฐานเช่นเดียวกัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000004962 ......... Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    27
    1 Comments 0 Shares 1946 Views 0 Reviews
  • " ที่มาของคำว่าทรัมป์บ้า!!!!! "

    Foreign Policy : ทรัมป์เคยพ่ายแพ้ต่ออิหร่านมาแล้ว
    กลยุทธ์ "ทฤษฎีคนบ้า" (Madman Theory) ของทรัมป์ในเวทีการเผชิญหน้ากับอิหร่าน กลับกลายเป็นหมากที่ไม่ได้ผล เพราะอิหร่านมองทะลุถึงเจตนาและวิธีการของทรัมป์อย่างชัดเจน
    นิตยสาร ฟอเรน โพลิซี (Foreign Policy) ซึ่งเป็นสื่อวิเคราะห์นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ตีพิมพ์บทความชิ้นสำคัญ โดยระบุว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า "ทฤษฎีคนบ้า" ในการสร้างภาพลักษณ์ตนเองให้ดูเป็นผู้นำที่คาดเดาไม่ได้และเต็มไปด้วยความอันตราย แต่คำถามสำคัญคือ วิธีการนี้สามารถบีบให้อิหร่านเปลี่ยนพฤติกรรมได้หรือไม่ หรือกลับทำให้ความขัดแย้งยิ่งรุนแรงขึ้น?
    ทรัมป์เป็นที่รู้จักจากแนวทางที่ผิดแผกไปจากผู้นำทั่วไปในด้านการทูต หนึ่งในกลยุทธ์ที่เขานำมาใช้อย่างต่อเนื่องคือ "ทฤษฎีคนบ้า" ซึ่งมีรากฐานมาจากยุคสงครามเย็นในสมัยริชาร์ด นิกสัน แนวคิดนี้เชื่อว่า ผู้นำสามารถบีบให้คู่ต่อสู้ยอมอ่อนข้อได้โดยการแสดงออกถึงความไม่แน่นอนและการข่มขู่ที่ดูรุนแรง แต่สำหรับเวทีการปะทะกับอิหร่าน คำถามคือ ทฤษฎีนี้ช่วยทรัมป์ได้จริงหรือไม่ หรือกลับเป็นชนวนที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งดิ่งลึกสู่ความรุนแรง?

    ทรัมป์และกลยุทธ์การเจรจาที่อิหร่านไม่สะทกสะท้าน
    โดนัลด์ ทรัมป์เคยพูดถึงแนวทางการเจรจาของเขาอย่างภาคภูมิใจ โดยในการสัมภาษณ์เมื่อปี 2018 เขากล่าวว่า "ผมเป็นนักเจรจาที่มักจะวางตัวเลือกที่หลากหลายไว้บนโต๊ะ เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามไม่อาจคาดเดาก้าวต่อไปของผมได้" หนึ่งในตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดของแนวทางนี้คือการข่มขู่ "ทำลายล้างอย่างสมบูรณ์" เกาหลีเหนือ ในสุนทรพจน์ที่สหประชาชาติ แต่เมื่อใช้วิธีเดียวกันนี้กับอิหร่าน ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามที่ทรัมป์หวังไว้

    นโยบาย “กดดันสูงสุด” และความล้มเหลวในการบีบอิหร่าน
    ในปี 2018 ทรัมป์ถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ (JCPOA) และเริ่มดำเนินนโยบาย "กดดันสูงสุด" (Maximum Pressure) ด้วยความหวังว่าอิหร่านจะยอมรับข้อตกลงใหม่ที่เข้มงวดกว่าเดิม จอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติในขณะนั้น เปิดเผยในหนังสือของเขาว่า ทรัมป์เชื่อมั่นว่า "อิหร่านจะไม่สามารถทนต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจได้ และในที่สุดจะกลับมาที่โต๊ะเจรจา"

    การตอบโต้ของอิหร่าน: ท้าทายทุกแรงกดดัน
    แต่ความเป็นจริงกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง อิหร่านไม่ได้เพียงแค่ปฏิเสธการเจรจา แต่ยังขยายโครงการนิวเคลียร์และเพิ่มปฏิบัติการของกลุ่มตัวแทนในภูมิภาคเพื่อแสดงถึงความไม่ยอมจำนน มูฮัมหมัด ญาวาด ซารีฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านในขณะนั้น กล่าวอย่างหนักแน่นว่า "ทรัมป์คิดว่าแรงกดดันจะทำให้เราอ่อนข้อ แต่ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าชาวอิหร่านยืนหยัดในหน้าความกดดันเสมอ" ความพยายามของทรัมป์ในการบีบอิหร่านด้วยนโยบายกดดันสูงสุดจึงกลายเป็นการเดินเกมที่ไม่ได้ผล อิหร่านตอบโต้ด้วยการยืนหยัดและแสดงศักยภาพของตนเองให้เห็นอย่างชัดเจนในเวทีระหว่างประเทศ

    ปมร้อน: การสังหารสุไลมานีและความล้มเหลวของ "ทฤษฎีคนบ้า"
    หนึ่งในการตัดสินใจที่สร้างความสั่นสะเทือนที่สุดของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คือการออกคำสั่งให้สังหาร นายพลกอเซ็ม สุไลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังคุดส์ของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน ในเดือนมกราคม 2020 การโจมตีนี้เกิดขึ้นใกล้สนามบินกรุงแบกแดด และนำไปสู่การยกระดับความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน อิหร่านตอบโต้การสังหารสุไลมานีด้วยการยิงขีปนาวุธโจมตีฐานทัพอเมริกันในอิรัก พร้อมประกาศว่าจะไม่ปฏิบัติตามข้อจำกัดที่ระบุไว้ในข้อตกลงนิวเคลียร์ (JCPOA) อีกต่อไป
    เมื่อ "ทฤษฎีคนบ้า" ไม่ได้ผล
    โรซานา แมคมานัส ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนน์สเตต อธิบายว่า "ทฤษฎีคนบ้า" จะได้ผลก็ต่อเมื่อคู่ต่อสู้เชื่อว่าผู้นำมีความไม่แน่นอนจริงในบางเรื่อง แต่หากผู้นำนั้นดูไม่สมเหตุสมผลจนเกินไป ความเชื่อถือในคำขู่จะลดลง และกลยุทธ์จะล้มเหลว ในกรณีของทรัมป์ นักวิเคราะห์หลายคนเห็นว่า พฤติกรรมของเขาเริ่มคาดเดาได้มากเกินไป เช่น การตัดสินใจไม่ตอบโต้ทางทหารหลังจากอิหร่านยิงโดรนอเมริกันตกในเดือนมิถุนายน 2019 การกระทำดังกล่าวส่งสัญญาณชัดเจนว่า ทรัมป์ไม่ต้องการทำสงคราม การส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกันนี้ทำให้อิหร่านไม่ยอมรับคำขู่ของเขาอย่างจริงจัง นโยบาย "กดดันสูงสุด" ของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มุ่งหวังให้อิหร่านอ่อนข้อและยอมทำตามข้อตกลงที่เข้มงวดกว่าเดิม กลับกลายเป็นหอกที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง อิหร่านไม่เพียงแต่ยืนหยัดต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจ แต่ยังใช้โอกาสนี้ขยายโครงการนิวเคลียร์และเสริมสร้างอิทธิพลในภูมิภาคให้แข็งแกร่งขึ้น
    เรซานา แมคมานัส นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนน์สเตต ออกโรงเตือนว่า "ผู้นำควรระวังไม่ให้ชื่อเสียงในความบ้าบิ่นกลายเป็นจุดอ่อนของตนเอง" เพราะเมื่อฝ่ายตรงข้ามเริ่มเข้าใจเกมและการกระทำที่ดูเหมือนเหนือความคาดหมาย กลยุทธ์ดังกล่าวอาจกลับกลายเป็นไร้ประสิทธิภาพ

    ดังนั้น หากทรัมป์ตัดสินใจหวนกลับมาใช้ "ทฤษฎีคนบ้า" อีกครั้ง สิ่งสำคัญที่เขาต้องพิจารณาคือคู่แข่ง โดยเฉพาะอิหร่าน ต่างคุ้นเคยกับเกมนี้ดีและพร้อมรับมือด้วยกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดกว่าเดิม ทรัมป์ไม่สามารถพึ่งพาความคาดเดาไม่ได้แบบเดิมอีกต่อไป เพราะการเล่นเกมซ้ำที่ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจดี อาจกลายเป็นหายนะในทางการทูต

    (เรียบเรียงโดยสมาคมนักเรียนไทยในอีร่าน)
    " ที่มาของคำว่าทรัมป์บ้า!!!!! " Foreign Policy : ทรัมป์เคยพ่ายแพ้ต่ออิหร่านมาแล้ว กลยุทธ์ "ทฤษฎีคนบ้า" (Madman Theory) ของทรัมป์ในเวทีการเผชิญหน้ากับอิหร่าน กลับกลายเป็นหมากที่ไม่ได้ผล เพราะอิหร่านมองทะลุถึงเจตนาและวิธีการของทรัมป์อย่างชัดเจน นิตยสาร ฟอเรน โพลิซี (Foreign Policy) ซึ่งเป็นสื่อวิเคราะห์นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ตีพิมพ์บทความชิ้นสำคัญ โดยระบุว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า "ทฤษฎีคนบ้า" ในการสร้างภาพลักษณ์ตนเองให้ดูเป็นผู้นำที่คาดเดาไม่ได้และเต็มไปด้วยความอันตราย แต่คำถามสำคัญคือ วิธีการนี้สามารถบีบให้อิหร่านเปลี่ยนพฤติกรรมได้หรือไม่ หรือกลับทำให้ความขัดแย้งยิ่งรุนแรงขึ้น? ทรัมป์เป็นที่รู้จักจากแนวทางที่ผิดแผกไปจากผู้นำทั่วไปในด้านการทูต หนึ่งในกลยุทธ์ที่เขานำมาใช้อย่างต่อเนื่องคือ "ทฤษฎีคนบ้า" ซึ่งมีรากฐานมาจากยุคสงครามเย็นในสมัยริชาร์ด นิกสัน แนวคิดนี้เชื่อว่า ผู้นำสามารถบีบให้คู่ต่อสู้ยอมอ่อนข้อได้โดยการแสดงออกถึงความไม่แน่นอนและการข่มขู่ที่ดูรุนแรง แต่สำหรับเวทีการปะทะกับอิหร่าน คำถามคือ ทฤษฎีนี้ช่วยทรัมป์ได้จริงหรือไม่ หรือกลับเป็นชนวนที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งดิ่งลึกสู่ความรุนแรง? ทรัมป์และกลยุทธ์การเจรจาที่อิหร่านไม่สะทกสะท้าน โดนัลด์ ทรัมป์เคยพูดถึงแนวทางการเจรจาของเขาอย่างภาคภูมิใจ โดยในการสัมภาษณ์เมื่อปี 2018 เขากล่าวว่า "ผมเป็นนักเจรจาที่มักจะวางตัวเลือกที่หลากหลายไว้บนโต๊ะ เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามไม่อาจคาดเดาก้าวต่อไปของผมได้" หนึ่งในตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดของแนวทางนี้คือการข่มขู่ "ทำลายล้างอย่างสมบูรณ์" เกาหลีเหนือ ในสุนทรพจน์ที่สหประชาชาติ แต่เมื่อใช้วิธีเดียวกันนี้กับอิหร่าน ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามที่ทรัมป์หวังไว้ นโยบาย “กดดันสูงสุด” และความล้มเหลวในการบีบอิหร่าน ในปี 2018 ทรัมป์ถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ (JCPOA) และเริ่มดำเนินนโยบาย "กดดันสูงสุด" (Maximum Pressure) ด้วยความหวังว่าอิหร่านจะยอมรับข้อตกลงใหม่ที่เข้มงวดกว่าเดิม จอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติในขณะนั้น เปิดเผยในหนังสือของเขาว่า ทรัมป์เชื่อมั่นว่า "อิหร่านจะไม่สามารถทนต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจได้ และในที่สุดจะกลับมาที่โต๊ะเจรจา" การตอบโต้ของอิหร่าน: ท้าทายทุกแรงกดดัน แต่ความเป็นจริงกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง อิหร่านไม่ได้เพียงแค่ปฏิเสธการเจรจา แต่ยังขยายโครงการนิวเคลียร์และเพิ่มปฏิบัติการของกลุ่มตัวแทนในภูมิภาคเพื่อแสดงถึงความไม่ยอมจำนน มูฮัมหมัด ญาวาด ซารีฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านในขณะนั้น กล่าวอย่างหนักแน่นว่า "ทรัมป์คิดว่าแรงกดดันจะทำให้เราอ่อนข้อ แต่ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าชาวอิหร่านยืนหยัดในหน้าความกดดันเสมอ" ความพยายามของทรัมป์ในการบีบอิหร่านด้วยนโยบายกดดันสูงสุดจึงกลายเป็นการเดินเกมที่ไม่ได้ผล อิหร่านตอบโต้ด้วยการยืนหยัดและแสดงศักยภาพของตนเองให้เห็นอย่างชัดเจนในเวทีระหว่างประเทศ ปมร้อน: การสังหารสุไลมานีและความล้มเหลวของ "ทฤษฎีคนบ้า" หนึ่งในการตัดสินใจที่สร้างความสั่นสะเทือนที่สุดของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คือการออกคำสั่งให้สังหาร นายพลกอเซ็ม สุไลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังคุดส์ของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน ในเดือนมกราคม 2020 การโจมตีนี้เกิดขึ้นใกล้สนามบินกรุงแบกแดด และนำไปสู่การยกระดับความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน อิหร่านตอบโต้การสังหารสุไลมานีด้วยการยิงขีปนาวุธโจมตีฐานทัพอเมริกันในอิรัก พร้อมประกาศว่าจะไม่ปฏิบัติตามข้อจำกัดที่ระบุไว้ในข้อตกลงนิวเคลียร์ (JCPOA) อีกต่อไป เมื่อ "ทฤษฎีคนบ้า" ไม่ได้ผล โรซานา แมคมานัส ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนน์สเตต อธิบายว่า "ทฤษฎีคนบ้า" จะได้ผลก็ต่อเมื่อคู่ต่อสู้เชื่อว่าผู้นำมีความไม่แน่นอนจริงในบางเรื่อง แต่หากผู้นำนั้นดูไม่สมเหตุสมผลจนเกินไป ความเชื่อถือในคำขู่จะลดลง และกลยุทธ์จะล้มเหลว ในกรณีของทรัมป์ นักวิเคราะห์หลายคนเห็นว่า พฤติกรรมของเขาเริ่มคาดเดาได้มากเกินไป เช่น การตัดสินใจไม่ตอบโต้ทางทหารหลังจากอิหร่านยิงโดรนอเมริกันตกในเดือนมิถุนายน 2019 การกระทำดังกล่าวส่งสัญญาณชัดเจนว่า ทรัมป์ไม่ต้องการทำสงคราม การส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกันนี้ทำให้อิหร่านไม่ยอมรับคำขู่ของเขาอย่างจริงจัง นโยบาย "กดดันสูงสุด" ของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มุ่งหวังให้อิหร่านอ่อนข้อและยอมทำตามข้อตกลงที่เข้มงวดกว่าเดิม กลับกลายเป็นหอกที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง อิหร่านไม่เพียงแต่ยืนหยัดต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจ แต่ยังใช้โอกาสนี้ขยายโครงการนิวเคลียร์และเสริมสร้างอิทธิพลในภูมิภาคให้แข็งแกร่งขึ้น เรซานา แมคมานัส นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนน์สเตต ออกโรงเตือนว่า "ผู้นำควรระวังไม่ให้ชื่อเสียงในความบ้าบิ่นกลายเป็นจุดอ่อนของตนเอง" เพราะเมื่อฝ่ายตรงข้ามเริ่มเข้าใจเกมและการกระทำที่ดูเหมือนเหนือความคาดหมาย กลยุทธ์ดังกล่าวอาจกลับกลายเป็นไร้ประสิทธิภาพ ดังนั้น หากทรัมป์ตัดสินใจหวนกลับมาใช้ "ทฤษฎีคนบ้า" อีกครั้ง สิ่งสำคัญที่เขาต้องพิจารณาคือคู่แข่ง โดยเฉพาะอิหร่าน ต่างคุ้นเคยกับเกมนี้ดีและพร้อมรับมือด้วยกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดกว่าเดิม ทรัมป์ไม่สามารถพึ่งพาความคาดเดาไม่ได้แบบเดิมอีกต่อไป เพราะการเล่นเกมซ้ำที่ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจดี อาจกลายเป็นหายนะในทางการทูต (เรียบเรียงโดยสมาคมนักเรียนไทยในอีร่าน)
    0 Comments 0 Shares 508 Views 0 Reviews
  • #แนะชาลีฟ๊องสื่อที่นำข้อมูลเท๊จที่สร้างโดยเพจเจ๊มอย108v1
    จากเหตุการที่เกิดจากแผนการของกลุ่มผู้ไม่หวังดี
    ได้มีการปล่อยข่าวเท๊จ ทั้งรูปแบบการไลฟ์สดในแพลตฟอร์มต่างๆ
    โดยพบต้นตอจากเพจชื่อ เจ๊มอย 108v1
    โดยมีข้อความว่า
    "ได้ข่าวมาจากพี่คิงส์โพธิ์แดง คือพระเอกกู เขาจะฟ๊องป้าๆ ญาติๆ เพื่อยุติการให้ร้าย จริงหราวะ"
    หลังจากนั้นก็มีการคร็อปข้อความบางส่วนของโพสหนึ่งที่เพจคิงส์โพธิ์แดง ได้เคยโพสไป โดยที่คนส่วนใหญ่ มิได้อ่านข้อความ หรือตรวจทานแม้กระทั่งสื่อ ว่าข้อความที่เพจเจ๊มอยฯ ได้กล่าวหานั้น มีอยู่จริงหรือไม่ ซึ่งทำให้คนเข้าใจผิด และก่อนให้เกิดกระแสสร้างความเสียหายให้กับแน๊กชาลีอย่างยิ่ง ซึ่งแม้จะพยายามหลีกเลี่ยง ใช้คำว่าพระเอก แทนแน๊กชาลี เพื่อหวังเลี่ยงการถูกฟ๊อง แต่คอมเม้นในทุกแพลตฟอร์ม ได้ไปในทิศทางเดียวกัน บ้างก็ใช้ชื่อย่อ เช่น CL ซึ่งเป็นที่เข้าใจของคนส่วนใหญ่ว่าคือแน๊กชาลี
    สำหรับข้อความซึ่งเป็น #ข้อความที่เพจคิงส์ฯเคยโพสไว้ที่เพจเจ๊มอยนำมาอ้างมีรายละเอียดดังนี้
    "คือ พอCL.ขยับ ว่าจะฟ้องพวกแม่ง คือดิ้นกันไง เพราะที่ผ่านมา CL อดทนเพราะแม่สั่งมาตลอด
    และอยากให้ทุกคนมีความสุข
    แต่ดราม่า และการให้ร้ายที่ต่อเนื่อง มันเริ่มทำให้แฟนคลับไม่มีความสุขแล้วนี่ดิ ทำให้ CLเอง ก็
    ต้องทำให้สถานการณ์เรื่องเฮี้ยๆพวกนี้มันจบ ซึ่งมันหาทางอื่นไม่ได้ นั่นคือต้องใช้กฎม๋าย เช็ดด
    เขร์ #ไอ่พวกเฮี้ย #อิป๊า #แต่ละตัว ดันมั่นอกมั่นใจมากตลอดว่า พวกกรูทำเฮี้ยไรได้หมด เพราะไอ่"
    เมื่อทำการตรวจสอบอักษรที่พิมพ์พบว่า
    จากการที่เพจเจ๊มอยฯกล่าวอ้าง ว่ามีการพิมพ์ว่าพระเอกจะฟ๊อง #ญาติๆ ไม่มีอยู่จริง เป็นการสร้าง หรือแต่งเติมคำนี้ โดยเชื่อว่ามีความตั้งใจ
    ให้เกิดความเข้าใจผิด และยังพยายามแก้ตัวอีกว่า โพสแบบนี้ จะทำให้คนเข้ามาเชียร์แน๊กชาลี ซึ่งผลลัพท์กลับยิ่งทำให้แน๊กชาลี เกิดความเสียหายร้ายแรง และขยายวงกว้าง
    ส่วนคำว่าอิป้า ผู้ที่ติดตามข้อมูลจากเพจคิงส์โพธิ์แดงอย่างต่อเนื่อง จะเข้าใจตรงกันว่าหมายถึงใคร ซึ่งมิได้มีความเกี่ยวข้องกับญาติคนใดดังที่เพจเจ๊มอยฯได้แต่งเติมขึ้น
    ดังนั้นคำว่า #ญาติๆ จึงเป็นการแต่งเติมเองที่ทำให้ความหมายเปลี่ยน และยังไร้ความผิดชอบ ด้วยการกล่าวอ้างเพจคิงส์โพธิ์แดง อย่างไรจิตสำนึก
    และเมื่อได้รับคำชี้แจงจากเพจคิงส์ฯ กลับอ้างในลักษณะที่ แค่โพสเล่นๆ ไม่ได้มีเจตนา คิดว่าเป็นผลบวก ก็ถือเป็นคำแก้ตัวที่ไม่สมเหตุสมผลแต่อย่างใด เพราะการสร้างเรื่องเพื่อให้ผู้อื่นเกิดความเสียหาย ไม่ใช่เรื่องตลกขบขัน แม้แต่น้อย
    ดังนั้น นอกเหนือจากสื่อต่างๆ ที่นำข้อความเท็จที่เพจเจ๊มอยฯแต่งขึ้น โดยขาดการกลั่นกรอง สืบที่มาถึงข้อเท็จจริง เรื่องนี้ เพจคิงส์แนะแน๊กชาลี ให้ดำเนินการฟ๊อง เพื่อให้เกิดบรรทัดฐานในการนำเสนอของสื่อที่ลดมาตรฐานลงไปมาก มักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการให้ร้ายและสร้างความเสียหายอยู่เสมอ
    นอกจากนั้น รวมไปถึงคอมเม้น ที่ออกมาสมทบความเท็จ และช่องทางแพลตฟอร์มอื่นๆ ก็สามารถดำเนินการฟ๊องร้องให้เกิดกระบวนการในการรับผิดชอบได้เช่นกัน
    นอกจากเหนือเพจเจ๊มอย ก็ยังพบเพจพันธมิตรของเจ๊มอย ที่มีพฤติกรรมรวมเป็นกลุ่มก้อน ในการโจมตีแน๊กชาลี มาระยะเวลาไม่น้อย ซึ่งเพจคิงส์ก็แนะให้แน๊ก ได้ให้ทีมงานทำการตรวจสอบย้อนหลัง เพื่อเรียกร้องศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ กลับคืนมา
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #แนะชาลีฟ๊องสื่อที่นำข้อมูลเท๊จที่สร้างโดยเพจเจ๊มอย108v1 จากเหตุการที่เกิดจากแผนการของกลุ่มผู้ไม่หวังดี ได้มีการปล่อยข่าวเท๊จ ทั้งรูปแบบการไลฟ์สดในแพลตฟอร์มต่างๆ โดยพบต้นตอจากเพจชื่อ เจ๊มอย 108v1 โดยมีข้อความว่า "ได้ข่าวมาจากพี่คิงส์โพธิ์แดง คือพระเอกกู เขาจะฟ๊องป้าๆ ญาติๆ เพื่อยุติการให้ร้าย จริงหราวะ" หลังจากนั้นก็มีการคร็อปข้อความบางส่วนของโพสหนึ่งที่เพจคิงส์โพธิ์แดง ได้เคยโพสไป โดยที่คนส่วนใหญ่ มิได้อ่านข้อความ หรือตรวจทานแม้กระทั่งสื่อ ว่าข้อความที่เพจเจ๊มอยฯ ได้กล่าวหานั้น มีอยู่จริงหรือไม่ ซึ่งทำให้คนเข้าใจผิด และก่อนให้เกิดกระแสสร้างความเสียหายให้กับแน๊กชาลีอย่างยิ่ง ซึ่งแม้จะพยายามหลีกเลี่ยง ใช้คำว่าพระเอก แทนแน๊กชาลี เพื่อหวังเลี่ยงการถูกฟ๊อง แต่คอมเม้นในทุกแพลตฟอร์ม ได้ไปในทิศทางเดียวกัน บ้างก็ใช้ชื่อย่อ เช่น CL ซึ่งเป็นที่เข้าใจของคนส่วนใหญ่ว่าคือแน๊กชาลี สำหรับข้อความซึ่งเป็น #ข้อความที่เพจคิงส์ฯเคยโพสไว้ที่เพจเจ๊มอยนำมาอ้างมีรายละเอียดดังนี้ "คือ พอCL.ขยับ ว่าจะฟ้องพวกแม่ง คือดิ้นกันไง เพราะที่ผ่านมา CL อดทนเพราะแม่สั่งมาตลอด และอยากให้ทุกคนมีความสุข แต่ดราม่า และการให้ร้ายที่ต่อเนื่อง มันเริ่มทำให้แฟนคลับไม่มีความสุขแล้วนี่ดิ ทำให้ CLเอง ก็ ต้องทำให้สถานการณ์เรื่องเฮี้ยๆพวกนี้มันจบ ซึ่งมันหาทางอื่นไม่ได้ นั่นคือต้องใช้กฎม๋าย เช็ดด เขร์ #ไอ่พวกเฮี้ย #อิป๊า #แต่ละตัว ดันมั่นอกมั่นใจมากตลอดว่า พวกกรูทำเฮี้ยไรได้หมด เพราะไอ่" เมื่อทำการตรวจสอบอักษรที่พิมพ์พบว่า จากการที่เพจเจ๊มอยฯกล่าวอ้าง ว่ามีการพิมพ์ว่าพระเอกจะฟ๊อง #ญาติๆ ไม่มีอยู่จริง เป็นการสร้าง หรือแต่งเติมคำนี้ โดยเชื่อว่ามีความตั้งใจ ให้เกิดความเข้าใจผิด และยังพยายามแก้ตัวอีกว่า โพสแบบนี้ จะทำให้คนเข้ามาเชียร์แน๊กชาลี ซึ่งผลลัพท์กลับยิ่งทำให้แน๊กชาลี เกิดความเสียหายร้ายแรง และขยายวงกว้าง ส่วนคำว่าอิป้า ผู้ที่ติดตามข้อมูลจากเพจคิงส์โพธิ์แดงอย่างต่อเนื่อง จะเข้าใจตรงกันว่าหมายถึงใคร ซึ่งมิได้มีความเกี่ยวข้องกับญาติคนใดดังที่เพจเจ๊มอยฯได้แต่งเติมขึ้น ดังนั้นคำว่า #ญาติๆ จึงเป็นการแต่งเติมเองที่ทำให้ความหมายเปลี่ยน และยังไร้ความผิดชอบ ด้วยการกล่าวอ้างเพจคิงส์โพธิ์แดง อย่างไรจิตสำนึก และเมื่อได้รับคำชี้แจงจากเพจคิงส์ฯ กลับอ้างในลักษณะที่ แค่โพสเล่นๆ ไม่ได้มีเจตนา คิดว่าเป็นผลบวก ก็ถือเป็นคำแก้ตัวที่ไม่สมเหตุสมผลแต่อย่างใด เพราะการสร้างเรื่องเพื่อให้ผู้อื่นเกิดความเสียหาย ไม่ใช่เรื่องตลกขบขัน แม้แต่น้อย ดังนั้น นอกเหนือจากสื่อต่างๆ ที่นำข้อความเท็จที่เพจเจ๊มอยฯแต่งขึ้น โดยขาดการกลั่นกรอง สืบที่มาถึงข้อเท็จจริง เรื่องนี้ เพจคิงส์แนะแน๊กชาลี ให้ดำเนินการฟ๊อง เพื่อให้เกิดบรรทัดฐานในการนำเสนอของสื่อที่ลดมาตรฐานลงไปมาก มักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการให้ร้ายและสร้างความเสียหายอยู่เสมอ นอกจากนั้น รวมไปถึงคอมเม้น ที่ออกมาสมทบความเท็จ และช่องทางแพลตฟอร์มอื่นๆ ก็สามารถดำเนินการฟ๊องร้องให้เกิดกระบวนการในการรับผิดชอบได้เช่นกัน นอกจากเหนือเพจเจ๊มอย ก็ยังพบเพจพันธมิตรของเจ๊มอย ที่มีพฤติกรรมรวมเป็นกลุ่มก้อน ในการโจมตีแน๊กชาลี มาระยะเวลาไม่น้อย ซึ่งเพจคิงส์ก็แนะให้แน๊ก ได้ให้ทีมงานทำการตรวจสอบย้อนหลัง เพื่อเรียกร้องศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ กลับคืนมา #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    0 Comments 0 Shares 617 Views 0 Reviews
  • กลุ่มฮูตีอ้างว่าได้ยิงเครื่องบิน F/A-18 ของกองทัพเรือสหรัฐตกในทะเลแดง หลังจากที่ก่อนหน้านี้สหรัฐระบุว่าเป็นอุบัติเหตุจากการ "ยิงกันเอง"

    กองทัพเยเมนระบุเพิ่มเติมว่า พวกเขาโจมตีเรือ USS Truman และเรือรบของสหรัฐฯ หลายลำด้วยขีปนาวุธร่อน 8 ลูก โดรนอีก 17 ลำ และในระหว่างปฏิบัติการ เครื่องบิน F-18 ของสหรัฐฯ ก็ถูกยิงตกด้วยขีปนาวุธ ขณะที่เรือรบอเมริกากำลังพยายามสกัดกั้นโดรน/ขีปนาวุธของเยเมน

    ก่อนหน้านี้ กองทัพสหรัฐยืนยันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็น "อุบัติเหตุ" โดยเป็นความผิดพลาดจาก "การยิงกันเอง" ลูกเรือทั้งสองคนสามารถดีดตัวออกจากเครื่องได้อย่างปลอดภัย และได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยหนึ่งราย

    อย่างไรก็ตาม มีการวิจารณ์กันมากมายถึงการประกาศที่ออกมาจากสหรัฐ เนื่องจากมันไม่สมเหตุสมผล การติดตามด้วยเรดาร์นั้นเปรียบได้กับการติดป้ายชื่อไว้บนอุปกรณ์ในอากาศที่มีคนควบคุม แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะเป็นกรณีของการระบุเป้าหมายที่ผิดพลาด มีบางอย่างอื่นเกิดขึ้นและพวกเขากำลังปกปิดมันไว้
    กลุ่มฮูตีอ้างว่าได้ยิงเครื่องบิน F/A-18 ของกองทัพเรือสหรัฐตกในทะเลแดง หลังจากที่ก่อนหน้านี้สหรัฐระบุว่าเป็นอุบัติเหตุจากการ "ยิงกันเอง" กองทัพเยเมนระบุเพิ่มเติมว่า พวกเขาโจมตีเรือ USS Truman และเรือรบของสหรัฐฯ หลายลำด้วยขีปนาวุธร่อน 8 ลูก โดรนอีก 17 ลำ และในระหว่างปฏิบัติการ เครื่องบิน F-18 ของสหรัฐฯ ก็ถูกยิงตกด้วยขีปนาวุธ ขณะที่เรือรบอเมริกากำลังพยายามสกัดกั้นโดรน/ขีปนาวุธของเยเมน ก่อนหน้านี้ กองทัพสหรัฐยืนยันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็น "อุบัติเหตุ" โดยเป็นความผิดพลาดจาก "การยิงกันเอง" ลูกเรือทั้งสองคนสามารถดีดตัวออกจากเครื่องได้อย่างปลอดภัย และได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยหนึ่งราย อย่างไรก็ตาม มีการวิจารณ์กันมากมายถึงการประกาศที่ออกมาจากสหรัฐ เนื่องจากมันไม่สมเหตุสมผล การติดตามด้วยเรดาร์นั้นเปรียบได้กับการติดป้ายชื่อไว้บนอุปกรณ์ในอากาศที่มีคนควบคุม แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะเป็นกรณีของการระบุเป้าหมายที่ผิดพลาด มีบางอย่างอื่นเกิดขึ้นและพวกเขากำลังปกปิดมันไว้
    0 Comments 0 Shares 179 Views 0 Reviews
  • ความหมายของ มิชลิน

    ดาว
    ⭐ ⭐ ⭐ ⭐ ⭐ ⭐ ⭐
    1 ดาว ควรหยุดแวะชิม
    2 ดาว ควรขับรถออกนอกเส้นทางเพื่อแวะชิม
    3 ดาว ควรเดินทางไกลเพื่อไปชิม

    ช้อนส้อมไขว้กัน
    🍴 🍴 🍴 🍴 🍴 🍴 🍴 🍴 🍴 🍴
    1 คู่ หมายถึง ค่อนข้างสะดวกสบาย
    2 คู่ สะดวกสบาย
    3 คู่ สะดวกสบายมาก
    4 คู่ สะดวกสบายในระดับท็อปคลาส
    5 คู่ Luxury สะดวกสบายและหรูหราขั้นสูงสุด

    สัญลักษณ์ใบโคลเวอร์สีเขียว 5 แฉก=มิชลินรักษ์โลก
    🍀 🍀 🍀 🍀 🍀 🍀 🍀 🍀 🍀 🍀
    โดดเด่นเรื่องแนวทางปฏิบัติเพื่อความยั่งยืน แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างมีมาตรฐาน ทั้งยังร่วมมือกับผู้ผลิตและคู่ค้าเพื่อเลี่ยงการสร้างขยะเหลือใช้ รวมถึงลดการใช้พลาสติกและวัสดุที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้งานได้ใหม่อีกด้วย

    บีเบนดั้ม (Bibendum) หรือมิชลินแมน
    รางวัล BIB GOURMAND คือ รางวัลที่ทาง Michelin มอบให้กับร้านอาหารอร่อยและราคาสมเหตุสมผล (Good Cuisine at a Reasonable Price)

    มิชลิน เพลท รูปจานกับช้อนส้อม หรือ L’Assiette เพื่อบ่งบอกถึง ร้านอาหารคุณภาพดีที่ใช้วัตถุดิบสดใหม่ และปรุงอย่างพิถีพิถัน

    ร้านอาหารริมทาง หรือสตรีทฟู้ด(รถเข็น)
    ร้านไวน์ขั้นเยี่ยม(องุ่น)
    ร้านวิวสวย...หลักล้าน(จุด+3เส้นพุ่งออกไป)
    ร้านที่มีอากาศธรรมชาติ (โต๊ะ เก้าอี้ ร่ม)
    ร้านที่มีบรรยากาศง่ายๆ(รูปกาแฟ)
    ร้านครัวเปิด(กินที่เคาน์เตอร์ปรุงอาหาร)
    ความหมายของ มิชลิน ดาว ⭐ ⭐ ⭐ ⭐ ⭐ ⭐ ⭐ 1 ดาว ควรหยุดแวะชิม 2 ดาว ควรขับรถออกนอกเส้นทางเพื่อแวะชิม 3 ดาว ควรเดินทางไกลเพื่อไปชิม ช้อนส้อมไขว้กัน 🍴 🍴 🍴 🍴 🍴 🍴 🍴 🍴 🍴 🍴 1 คู่ หมายถึง ค่อนข้างสะดวกสบาย 2 คู่ สะดวกสบาย 3 คู่ สะดวกสบายมาก 4 คู่ สะดวกสบายในระดับท็อปคลาส 5 คู่ Luxury สะดวกสบายและหรูหราขั้นสูงสุด สัญลักษณ์ใบโคลเวอร์สีเขียว 5 แฉก=มิชลินรักษ์โลก 🍀 🍀 🍀 🍀 🍀 🍀 🍀 🍀 🍀 🍀 โดดเด่นเรื่องแนวทางปฏิบัติเพื่อความยั่งยืน แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างมีมาตรฐาน ทั้งยังร่วมมือกับผู้ผลิตและคู่ค้าเพื่อเลี่ยงการสร้างขยะเหลือใช้ รวมถึงลดการใช้พลาสติกและวัสดุที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้งานได้ใหม่อีกด้วย บีเบนดั้ม (Bibendum) หรือมิชลินแมน รางวัล BIB GOURMAND คือ รางวัลที่ทาง Michelin มอบให้กับร้านอาหารอร่อยและราคาสมเหตุสมผล (Good Cuisine at a Reasonable Price) มิชลิน เพลท รูปจานกับช้อนส้อม หรือ L’Assiette เพื่อบ่งบอกถึง ร้านอาหารคุณภาพดีที่ใช้วัตถุดิบสดใหม่ และปรุงอย่างพิถีพิถัน ร้านอาหารริมทาง หรือสตรีทฟู้ด(รถเข็น) ร้านไวน์ขั้นเยี่ยม(องุ่น) ร้านวิวสวย...หลักล้าน(จุด+3เส้นพุ่งออกไป) ร้านที่มีอากาศธรรมชาติ (โต๊ะ เก้าอี้ ร่ม) ร้านที่มีบรรยากาศง่ายๆ(รูปกาแฟ) ร้านครัวเปิด(กินที่เคาน์เตอร์ปรุงอาหาร)
    0 Comments 0 Shares 372 Views 0 Reviews
  • สื่ออังกฤษป้ายสีนักธุรกิจจีนว่าเป็นสายลับ บิดคำพิพากษาของศาล กรณีของเจ้าชายแอนดรูว์และ “สายลับจีน” โดยบทวิเคราะห์ของArnaud Bertrand เขียนในXระบุว่า การดำเนินการของสื่อของอังกฤษ ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่น่าหวาดระแวงเกี่ยวกับ “ภัยสีเหลือง” ที่สุดที่เคยพบเห็นเมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงแล้ว จะพบว่าเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ไม่น่าเชื่ออย่างยิ่ง ในทางปฏิบัติแล้ว หมายความว่าชาวจีนทุกคน - ไม่จำเป็นต้องเป็นคนจีนด้วยซ้ำ อาจเป็นใครก็ได้ที่มีความเชื่อมโยงกับจีน - จะถูกแบนจากสหราชอาณาจักรอย่างถาวร หากพวกเขามีความสัมพันธ์กับบุคคลสำคัญในสหราชอาณาจักรก่อนอื่น มาดูกันว่าสื่อมีแนวคิดเกี่ยวกับกรณีนี้อย่างไร พาดหัวข่าวระบุว่า “สายลับจีนเชื่อมโยงกับเจ้าชายแอนดรูว์ ส.ส. เตือนว่าเขาไม่ใช่หมาป่าเดียวดาย” (The Independent: independent.co.uk/news/uk/politi… ) “เรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับสายลับกับเจ้าชายแอนดรูว์อาจทำให้มีการเปิดโปงภัยคุกคามจากจีนมากขึ้น”(The Guardian: theguardian.com/world/2024/dec… ) "'สายลับ' ชาวจีนที่เชื่อมโยงกับเจ้าชายแอนดรูว์เป็นเพียง 'ส่วนเล็กๆ ของภูเขาน้ำแข็ง' เท่านั้น" (Politico: politico.eu/article/china-… )สื่อหลักทุกสำนักข่าวของอังกฤษที่รายงานเกี่ยวกับเรื่อง "สายลับจีน" ต่างพากันวาดภาพอันชั่วร้ายของการแทรกซึมเข้าสู่ระดับสูงสุดของสังคมอังกฤษ โดยถือเป็น "หลักฐาน" ของ "ภัยคุกคามอันเลวร้ายจากจีน"ทั้งหมดนี้ไม่เป็นความความจริและเหลือเชื่อ เมื่อคุณพิจารณาความเป็นจริงของคดี (อ่านคำพิพากษาของศาลได้ที่นี่: judiciary.uk/judgments/h6-v… ) ข้อกล่าวหาเหล่านี้ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง ไม่มีหลักฐานใดๆ ของการจารกรรม ไม่มีหลักฐานของการกระทำผิดใดๆ เลย จริงๆ แล้วไม่มีข้อกล่าวหาใดๆ เลยเกี่ยวกับการกระทำผิดที่เกิดขึ้น ไม่มีเลย ไม่มีเลย ไม่มีเลยแต่ในความเป็นจริงแล้วคดีของรัฐบาลประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้:- นายหยางมีความเชื่อมโยงกับสถาบันของจีน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนกงานแนวร่วมและพรรคคอมมิวนิสต์) ซึ่งศาลเองก็ยอมรับว่า "อาจใช้ได้กับนักธุรกิจชาวจีนทุกคน"- เขาถูกกล่าวหาว่าไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความเชื่อมโยงเหล่านี้และป้ายสีว่าเขาโกหกเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ - ทั้ๆที่เขายอมรับว่าความเชื่อมโยงดังกล่าวเป็นสิ่งที่ "หลีกเลี่ยงไม่ได้" สำหรับนักธุรกิจจีน (ซึ่งเป็นเพียงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวิธีการดำเนินธุรกิจในจีน)แม้ว่าศาลจะยอมรับในคำพิพากษาว่า "ไม่มีหลักฐานมากมาย" ที่สนับสนุนความเชื่อมโยงเหล่านี้ในตอนแรก- เขาสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลสำคัญของอังกฤษ (โดยเฉพาะเจ้าชายแอนดรูว์) ผ่านทางโครงการธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น Pitch@Palace ซึ่งรัฐบาลอังกฤษโต้แย้งว่า "สามารถนำมาใช้ประโยชน์" เพื่อสร้างอิทธิพลในบางจุดในอนาคตได้ แม้ว่าศาลจะเขียนว่า "อาจเป็นเพียงแนวทางปฏิบัติทางธุรกิจปกติ" ก็ตามนั่นแหละ นั่นคือกรณีทั้งหมดจริงๆสามารถตรวจสอบด้วยตัวเองได้ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน: judiciary.uk/judgments/h6-v… นั่นคือกรณีทั้งหมดจริงๆไม่มีหลักฐานหรือข้อกล่าวหา (!), เกี่ยวกับการจารกรรมในคดีที่สื่อทั้งหมดนำเสนอว่าเป็น "สายลับจีน" ความผิดของนายหยางคือการเป็นนักธุรกิจชาวจีนที่มีความเชื่อมโยงกับสถาบันของจีน ซึ่งศาลเองก็ยอมรับว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเขาประสบความสำเร็จในการสร้างความสัมพันธ์กับชนชั้นนำอังกฤษผ่านการร่วมทุนทางธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเพียงแค่ความจริงที่ว่าความสัมพันธ์เหล่านี้สามารถ "ใช้ประโยชน์" เพื่อสร้างอิทธิพลในบางจุดในอนาคต  แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาถูกแบนจากสหราชอาณาจักรอย่างถาวร แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานว่าเขาตั้งใจจะทำเช่นนั้นหรือทำอะไรที่ไม่เหมาะสมก็ตามและนี่คือจุดที่ทุกอย่างกลายเป็นโลกดิสโทเปียอย่างแท้จริง นายหยางถูกห้ามเข้าสหราชอาณาจักรอย่างถาวรโดยไม่ได้อ้างกฎหมายหรือหลักฐานการกระทำผิดใดๆ แต่อยู่ภายใต้อำนาจของกษัตริย์โบราณที่เรียกว่า "พระราชอำนาจพิเศษ" รัฐบาลไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ด้วยซ้ำว่าเขาทำอะไรผิด พวกเขาเพียงแค่ต้องโต้แย้งว่าเป็นเรื่อง "สมเหตุสมผล" ที่จะคิดว่าความสัมพันธ์ทางธุรกิจของเขาสามารถนำมาใช้เพื่อสร้างอิทธิพลในสักวันหนึ่งลองคิดดูว่าสิ่งนี้มีความหมายอย่างไรในทางปฏิบัติ นักธุรกิจชาวจีนที่:- พัฒนาความสัมพันธ์กับบุคคลสำคัญในสหราชอาณาจักร (ซึ่งมักจำเป็นต่อการทำธุรกิจ)- มีความสัมพันธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้กับสถาบันของจีน (ซึ่งมักจะเป็นเช่นนี้เกือบเสมอ)- ถือเป็นการไม่แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความเชื่อมโยงเหล่านี้อาจถูกแบนจากสหราชอาณาจักรอย่างถาวรโดยไม่ต้องก่ออาชญากรรมหรือกระทำผิดใดๆ รัฐบาลเพียงแค่ต้องโบกไม้กายสิทธิ์แห่ง "ความมั่นคงแห่งชาติ" และเสนอแนะความเสี่ยงในอนาคตตามทฤษฎีสิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือสื่อตะวันตกล้มเหลวในการตรวจสอบเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง แทนที่จะตั้งคำถามว่าทำไมคนๆ หนึ่งจึงถูกตราหน้าว่าเป็น "สายลับ" และถูกห้ามเข้าประเทศเพียงเพราะไม่มีหลักฐานใดๆ เกี่ยวกับการจารกรรม พวกเขากลับขยายความหวาดระแวงด้วยพาดหัวข่าวที่สร้างความตื่นตระหนกและอ้างคำพูดของสมาชิกรัฐสภาที่เตือนว่านี่เป็นเพียง "ส่วนเล็กๆ ของเรื่องใหญ่" และเขา "ไม่ใช่หมาป่าเดียวดาย"โดยพื้นฐานแล้ว เรากำลังเฝ้าดูการสร้างกรอบกฎหมายสำหรับการเลือกปฏิบัติต่อพลเมืองจีน (และอาจรวมถึงผู้ที่มีความเชื่อมโยงกับจีนด้วย) โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พวกเขาทำ แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่รัฐบาลคิดว่าพวกเขาอาจทำในอนาคตโดยอาศัยพื้นฐานง่ายๆ ว่าพวกเขาเป็นชาวจีน ในขณะที่สื่อมวลชนก็เชียร์การกัดกร่อนหลักการทางกฎหมายและศีลธรรมพื้นฐานนี้ด้วยวาทกรรม "สายลับ" ที่ยั่วยุและไม่มีหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งล้วนแต่เป็นผลงานของคาฟคาทั้งสิ้นลองนึกภาพดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากจีนเริ่มสั่งห้ามนักธุรกิจชาวอังกฤษเข้าประเทศอย่างถาวร เนื่องจากพวกเขามีความสัมพันธ์กับสถาบันของอังกฤษ และพัฒนาความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่จีนที่ "สามารถใช้ประโยชน์" เพื่อสร้างอิทธิพลได้ ซึ่งหมายถึงนักธุรกิจชาวอังกฤษเกือบทั้งหมดในจีนที่มีอาวุโสในระดับหนึ่ง ดังนั้น เราจะต้องเผชิญหน้ากับการเนรเทศชุมชนธุรกิจชาวอังกฤษออกจากจีนเกือบทั้งหมด...แม้แต่จากมุมมองของผลประโยชน์ของชาติอังกฤษแล้ว ก็ไม่สมเหตุสมผลเลย พวกเขาควรต้องการให้นักธุรกิจชาวจีนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีมาทำธุรกิจที่นั่น เพราะความสัมพันธ์เหล่านี้มีความสำคัญต่อธุรกิจ หากพวกเขากังวลว่าความสัมพันธ์เหล่านี้อาจถูกนำมาใช้เพื่อมีอิทธิพลที่ไม่เหมาะสม การตอบสนองของพวกเขาควรเสริมสร้างมาตรการต่อต้านการทุจริตในประเทศ ไม่ใช่ห้ามนักธุรกิจชาวจีนสร้างความสัมพันธ์ที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ แนวทางนี้ไม่ได้ปกป้องผลประโยชน์ของอังกฤษ แต่กลับสร้างความเสียหายให้กับพวกเขาโดยสร้างผลกระทบเชิงลบต่อความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศคดีของหยาง เติงโป ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่น่าเศร้าอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ชาติตะวันตกต้องคลี่คลายสิ่งที่ชาติตะวันตกอ้างว่าเป็น "ค่านิยมพื้นฐาน" ของตน เมื่อเราเริ่มลงโทษผู้คนไม่ใช่เพราะสิ่งที่พวกเขาทำ แต่เพราะสิ่งที่พวกเขาอาจทำในทางทฤษฎีเพราะสัญชาติของพวกเขา เรากำลังก้าวข้ามเส้นที่ควรทำให้ผู้ที่เชื่อในหลักนิติธรรมและความยุติธรรมขั้นพื้นฐานวิตกกังวล สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เราปลอดภัยและเจริญรุ่งเรืองขึ้น แต่ทำให้เรามีความยุติธรรมน้อยลงเท่านั้น หากสิ่งนี้ไม่ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับทิศทางที่เรากำลังมุ่งหน้าไป ฉันก็ไม่รู้ว่าอะไรจะทำให้เกิดขึ้นได้
    สื่ออังกฤษป้ายสีนักธุรกิจจีนว่าเป็นสายลับ บิดคำพิพากษาของศาล กรณีของเจ้าชายแอนดรูว์และ “สายลับจีน” โดยบทวิเคราะห์ของArnaud Bertrand เขียนในXระบุว่า การดำเนินการของสื่อของอังกฤษ ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่น่าหวาดระแวงเกี่ยวกับ “ภัยสีเหลือง” ที่สุดที่เคยพบเห็นเมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงแล้ว จะพบว่าเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ไม่น่าเชื่ออย่างยิ่ง ในทางปฏิบัติแล้ว หมายความว่าชาวจีนทุกคน - ไม่จำเป็นต้องเป็นคนจีนด้วยซ้ำ อาจเป็นใครก็ได้ที่มีความเชื่อมโยงกับจีน - จะถูกแบนจากสหราชอาณาจักรอย่างถาวร หากพวกเขามีความสัมพันธ์กับบุคคลสำคัญในสหราชอาณาจักรก่อนอื่น มาดูกันว่าสื่อมีแนวคิดเกี่ยวกับกรณีนี้อย่างไร พาดหัวข่าวระบุว่า “สายลับจีนเชื่อมโยงกับเจ้าชายแอนดรูว์ ส.ส. เตือนว่าเขาไม่ใช่หมาป่าเดียวดาย” (The Independent: independent.co.uk/news/uk/politi… ) “เรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับสายลับกับเจ้าชายแอนดรูว์อาจทำให้มีการเปิดโปงภัยคุกคามจากจีนมากขึ้น”(The Guardian: theguardian.com/world/2024/dec… ) "'สายลับ' ชาวจีนที่เชื่อมโยงกับเจ้าชายแอนดรูว์เป็นเพียง 'ส่วนเล็กๆ ของภูเขาน้ำแข็ง' เท่านั้น" (Politico: politico.eu/article/china-… )สื่อหลักทุกสำนักข่าวของอังกฤษที่รายงานเกี่ยวกับเรื่อง "สายลับจีน" ต่างพากันวาดภาพอันชั่วร้ายของการแทรกซึมเข้าสู่ระดับสูงสุดของสังคมอังกฤษ โดยถือเป็น "หลักฐาน" ของ "ภัยคุกคามอันเลวร้ายจากจีน"ทั้งหมดนี้ไม่เป็นความความจริและเหลือเชื่อ เมื่อคุณพิจารณาความเป็นจริงของคดี (อ่านคำพิพากษาของศาลได้ที่นี่: judiciary.uk/judgments/h6-v… ) ข้อกล่าวหาเหล่านี้ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง ไม่มีหลักฐานใดๆ ของการจารกรรม ไม่มีหลักฐานของการกระทำผิดใดๆ เลย จริงๆ แล้วไม่มีข้อกล่าวหาใดๆ เลยเกี่ยวกับการกระทำผิดที่เกิดขึ้น ไม่มีเลย ไม่มีเลย ไม่มีเลยแต่ในความเป็นจริงแล้วคดีของรัฐบาลประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้:- นายหยางมีความเชื่อมโยงกับสถาบันของจีน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนกงานแนวร่วมและพรรคคอมมิวนิสต์) ซึ่งศาลเองก็ยอมรับว่า "อาจใช้ได้กับนักธุรกิจชาวจีนทุกคน"- เขาถูกกล่าวหาว่าไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความเชื่อมโยงเหล่านี้และป้ายสีว่าเขาโกหกเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ - ทั้ๆที่เขายอมรับว่าความเชื่อมโยงดังกล่าวเป็นสิ่งที่ "หลีกเลี่ยงไม่ได้" สำหรับนักธุรกิจจีน (ซึ่งเป็นเพียงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวิธีการดำเนินธุรกิจในจีน)แม้ว่าศาลจะยอมรับในคำพิพากษาว่า "ไม่มีหลักฐานมากมาย" ที่สนับสนุนความเชื่อมโยงเหล่านี้ในตอนแรก- เขาสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลสำคัญของอังกฤษ (โดยเฉพาะเจ้าชายแอนดรูว์) ผ่านทางโครงการธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น Pitch@Palace ซึ่งรัฐบาลอังกฤษโต้แย้งว่า "สามารถนำมาใช้ประโยชน์" เพื่อสร้างอิทธิพลในบางจุดในอนาคตได้ แม้ว่าศาลจะเขียนว่า "อาจเป็นเพียงแนวทางปฏิบัติทางธุรกิจปกติ" ก็ตามนั่นแหละ นั่นคือกรณีทั้งหมดจริงๆสามารถตรวจสอบด้วยตัวเองได้ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน: judiciary.uk/judgments/h6-v… นั่นคือกรณีทั้งหมดจริงๆไม่มีหลักฐานหรือข้อกล่าวหา (!), เกี่ยวกับการจารกรรมในคดีที่สื่อทั้งหมดนำเสนอว่าเป็น "สายลับจีน" ความผิดของนายหยางคือการเป็นนักธุรกิจชาวจีนที่มีความเชื่อมโยงกับสถาบันของจีน ซึ่งศาลเองก็ยอมรับว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเขาประสบความสำเร็จในการสร้างความสัมพันธ์กับชนชั้นนำอังกฤษผ่านการร่วมทุนทางธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเพียงแค่ความจริงที่ว่าความสัมพันธ์เหล่านี้สามารถ "ใช้ประโยชน์" เพื่อสร้างอิทธิพลในบางจุดในอนาคต  แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาถูกแบนจากสหราชอาณาจักรอย่างถาวร แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานว่าเขาตั้งใจจะทำเช่นนั้นหรือทำอะไรที่ไม่เหมาะสมก็ตามและนี่คือจุดที่ทุกอย่างกลายเป็นโลกดิสโทเปียอย่างแท้จริง นายหยางถูกห้ามเข้าสหราชอาณาจักรอย่างถาวรโดยไม่ได้อ้างกฎหมายหรือหลักฐานการกระทำผิดใดๆ แต่อยู่ภายใต้อำนาจของกษัตริย์โบราณที่เรียกว่า "พระราชอำนาจพิเศษ" รัฐบาลไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ด้วยซ้ำว่าเขาทำอะไรผิด พวกเขาเพียงแค่ต้องโต้แย้งว่าเป็นเรื่อง "สมเหตุสมผล" ที่จะคิดว่าความสัมพันธ์ทางธุรกิจของเขาสามารถนำมาใช้เพื่อสร้างอิทธิพลในสักวันหนึ่งลองคิดดูว่าสิ่งนี้มีความหมายอย่างไรในทางปฏิบัติ นักธุรกิจชาวจีนที่:- พัฒนาความสัมพันธ์กับบุคคลสำคัญในสหราชอาณาจักร (ซึ่งมักจำเป็นต่อการทำธุรกิจ)- มีความสัมพันธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้กับสถาบันของจีน (ซึ่งมักจะเป็นเช่นนี้เกือบเสมอ)- ถือเป็นการไม่แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความเชื่อมโยงเหล่านี้อาจถูกแบนจากสหราชอาณาจักรอย่างถาวรโดยไม่ต้องก่ออาชญากรรมหรือกระทำผิดใดๆ รัฐบาลเพียงแค่ต้องโบกไม้กายสิทธิ์แห่ง "ความมั่นคงแห่งชาติ" และเสนอแนะความเสี่ยงในอนาคตตามทฤษฎีสิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือสื่อตะวันตกล้มเหลวในการตรวจสอบเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง แทนที่จะตั้งคำถามว่าทำไมคนๆ หนึ่งจึงถูกตราหน้าว่าเป็น "สายลับ" และถูกห้ามเข้าประเทศเพียงเพราะไม่มีหลักฐานใดๆ เกี่ยวกับการจารกรรม พวกเขากลับขยายความหวาดระแวงด้วยพาดหัวข่าวที่สร้างความตื่นตระหนกและอ้างคำพูดของสมาชิกรัฐสภาที่เตือนว่านี่เป็นเพียง "ส่วนเล็กๆ ของเรื่องใหญ่" และเขา "ไม่ใช่หมาป่าเดียวดาย"โดยพื้นฐานแล้ว เรากำลังเฝ้าดูการสร้างกรอบกฎหมายสำหรับการเลือกปฏิบัติต่อพลเมืองจีน (และอาจรวมถึงผู้ที่มีความเชื่อมโยงกับจีนด้วย) โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พวกเขาทำ แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่รัฐบาลคิดว่าพวกเขาอาจทำในอนาคตโดยอาศัยพื้นฐานง่ายๆ ว่าพวกเขาเป็นชาวจีน ในขณะที่สื่อมวลชนก็เชียร์การกัดกร่อนหลักการทางกฎหมายและศีลธรรมพื้นฐานนี้ด้วยวาทกรรม "สายลับ" ที่ยั่วยุและไม่มีหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งล้วนแต่เป็นผลงานของคาฟคาทั้งสิ้นลองนึกภาพดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากจีนเริ่มสั่งห้ามนักธุรกิจชาวอังกฤษเข้าประเทศอย่างถาวร เนื่องจากพวกเขามีความสัมพันธ์กับสถาบันของอังกฤษ และพัฒนาความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่จีนที่ "สามารถใช้ประโยชน์" เพื่อสร้างอิทธิพลได้ ซึ่งหมายถึงนักธุรกิจชาวอังกฤษเกือบทั้งหมดในจีนที่มีอาวุโสในระดับหนึ่ง ดังนั้น เราจะต้องเผชิญหน้ากับการเนรเทศชุมชนธุรกิจชาวอังกฤษออกจากจีนเกือบทั้งหมด...แม้แต่จากมุมมองของผลประโยชน์ของชาติอังกฤษแล้ว ก็ไม่สมเหตุสมผลเลย พวกเขาควรต้องการให้นักธุรกิจชาวจีนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีมาทำธุรกิจที่นั่น เพราะความสัมพันธ์เหล่านี้มีความสำคัญต่อธุรกิจ หากพวกเขากังวลว่าความสัมพันธ์เหล่านี้อาจถูกนำมาใช้เพื่อมีอิทธิพลที่ไม่เหมาะสม การตอบสนองของพวกเขาควรเสริมสร้างมาตรการต่อต้านการทุจริตในประเทศ ไม่ใช่ห้ามนักธุรกิจชาวจีนสร้างความสัมพันธ์ที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ แนวทางนี้ไม่ได้ปกป้องผลประโยชน์ของอังกฤษ แต่กลับสร้างความเสียหายให้กับพวกเขาโดยสร้างผลกระทบเชิงลบต่อความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศคดีของหยาง เติงโป ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่น่าเศร้าอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ชาติตะวันตกต้องคลี่คลายสิ่งที่ชาติตะวันตกอ้างว่าเป็น "ค่านิยมพื้นฐาน" ของตน เมื่อเราเริ่มลงโทษผู้คนไม่ใช่เพราะสิ่งที่พวกเขาทำ แต่เพราะสิ่งที่พวกเขาอาจทำในทางทฤษฎีเพราะสัญชาติของพวกเขา เรากำลังก้าวข้ามเส้นที่ควรทำให้ผู้ที่เชื่อในหลักนิติธรรมและความยุติธรรมขั้นพื้นฐานวิตกกังวล สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เราปลอดภัยและเจริญรุ่งเรืองขึ้น แต่ทำให้เรามีความยุติธรรมน้อยลงเท่านั้น หากสิ่งนี้ไม่ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับทิศทางที่เรากำลังมุ่งหน้าไป ฉันก็ไม่รู้ว่าอะไรจะทำให้เกิดขึ้นได้
    0 Comments 0 Shares 772 Views 0 Reviews
  • "Greater Israel" : ข้อเท็จจริง เรื่องเล่า หรือการขยายอำนาจในระดับภูมิภาค
    การกระทำล่าสุดของอิสราเอลในฉนวนกาซา เลบานอน และซีเรีย ได้จุดชนวนให้เกิดการคาดเดาเกี่ยวกับความทะเยอทะยานของอิสราเอลที่นำไปสู่ "Greater Israel" ในภูมิภาคอีกครั้ง

    - แนวคิดเรื่อง "Greater Israel" มีที่มาจากคัมภีร์โตราห์ (תּוֹרָה) ซึ่งบรรยายถึงดินแดนอิสราเอลที่ทอดยาวจากแม่น้ำยูเฟรตีสไปจนถึง "แม่น้ำในอียิปต์" (ตีความว่าเป็นแม่น้ำไนล์) ซึ่งดินแดนอิสราเอลในปัจจุบันอยู่ในนี้ และรวมถึงบางส่วนของเลบานอน ซีเรีย จอร์แดน อิรัก ฉนวนกาซา และเวสต์แบงก์

    - ในปี 1967 การเคลื่อนไหวเพื่อ "Greater Israel" เกิดขึ้นหลังจากที่อิสราเอลได้รับชัยชนะในสงครามหกวัน ซึ่งระหว่างนั้น อิสราเอลได้ยึดที่ราบสูงโกลัน เวสต์แบงก์ คาบสมุทรไซนาย และฉนวนกาซา ผลจากการทำสงครามครั้งนั่นส่งผลให้อิสราเอลตั้งถิ่นฐานในดินแดนเหล่านี้อย่างถาวร

    - เบซาเลล สโมทริช รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอิสราเอลคนปัจจุบัน กล่าวในสารคดีปี 2024 ว่า "อนาคตของเยรูซาเล็มคือการขยายไปถึงดามัสกัส" คำพูดดังกล่าวได้จุดชนวนให้ผู้คนไม่สามารถตัดเรื่อง "Greater Israel" ออกไปได้ และยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อซีเรียล่มสลายลง และกองกำลังอิสราเอลเข้ายึดดินแดนส่วนหนึ่งของซีเรียทันที

    - เดือนกันยายน 2024 The Jerusalem Post ได้ตีพิมพ์ (และลบทิ้งในภายหลัง) บทความที่มีชื่อว่า "เลบานอนเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่อิสราเอลสัญญาไว้หรือไม่" บทความดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าส่งเสริมแนวคิดการขยายดินแดนที่นำไปสู่ "Greater Israel"

    - การใช้สัญลักษณ์ทำให้การถกเถียงทวีความรุนแรงขึ้น นักวิจารณ์เคยกล่าวว่าแถบสีน้ำเงินสองแถบบนธงชาติอิสราเอล คือสัญลักษณ์แทนแม่น้ำไนล์และแม่น้ำยูเฟรตีส์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเป้าหมายในการขยายดินแดน อิสราเอลออกมาปฏิเสธแนวคิดนี้ทันที และไม่เห็นด้วยกับการตีความนี้

    - ในปี 1990 ยัสเซอร์ อาราฟัตอ้างว่าเหรียญสิบอโกโรตของอิสราเอลแสดงแผนที่ของ "Greater Israel" ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นหลักฐานความต้องการขยายดินแดนของไซออนิสต์ แน่นอนว่าข้อกล่าวนี้ถูกอิสราเอลปัดตกเนื่องจากไม่มีมูลความจริง

    - การคาดเดาเกี่ยวกับ "Greater Israel" ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และการกระทำล่าสุดของอิสราเอล ในการบุกยึดดินแดนซีเรียทำให้ดูสมเหตุสมผลมากขึ้นเรื่อยๆ
    "Greater Israel" : ข้อเท็จจริง เรื่องเล่า หรือการขยายอำนาจในระดับภูมิภาค การกระทำล่าสุดของอิสราเอลในฉนวนกาซา เลบานอน และซีเรีย ได้จุดชนวนให้เกิดการคาดเดาเกี่ยวกับความทะเยอทะยานของอิสราเอลที่นำไปสู่ "Greater Israel" ในภูมิภาคอีกครั้ง - แนวคิดเรื่อง "Greater Israel" มีที่มาจากคัมภีร์โตราห์ (תּוֹרָה) ซึ่งบรรยายถึงดินแดนอิสราเอลที่ทอดยาวจากแม่น้ำยูเฟรตีสไปจนถึง "แม่น้ำในอียิปต์" (ตีความว่าเป็นแม่น้ำไนล์) ซึ่งดินแดนอิสราเอลในปัจจุบันอยู่ในนี้ และรวมถึงบางส่วนของเลบานอน ซีเรีย จอร์แดน อิรัก ฉนวนกาซา และเวสต์แบงก์ - ในปี 1967 การเคลื่อนไหวเพื่อ "Greater Israel" เกิดขึ้นหลังจากที่อิสราเอลได้รับชัยชนะในสงครามหกวัน ซึ่งระหว่างนั้น อิสราเอลได้ยึดที่ราบสูงโกลัน เวสต์แบงก์ คาบสมุทรไซนาย และฉนวนกาซา ผลจากการทำสงครามครั้งนั่นส่งผลให้อิสราเอลตั้งถิ่นฐานในดินแดนเหล่านี้อย่างถาวร - เบซาเลล สโมทริช รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอิสราเอลคนปัจจุบัน กล่าวในสารคดีปี 2024 ว่า "อนาคตของเยรูซาเล็มคือการขยายไปถึงดามัสกัส" คำพูดดังกล่าวได้จุดชนวนให้ผู้คนไม่สามารถตัดเรื่อง "Greater Israel" ออกไปได้ และยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อซีเรียล่มสลายลง และกองกำลังอิสราเอลเข้ายึดดินแดนส่วนหนึ่งของซีเรียทันที - เดือนกันยายน 2024 The Jerusalem Post ได้ตีพิมพ์ (และลบทิ้งในภายหลัง) บทความที่มีชื่อว่า "เลบานอนเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่อิสราเอลสัญญาไว้หรือไม่" บทความดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าส่งเสริมแนวคิดการขยายดินแดนที่นำไปสู่ "Greater Israel" - การใช้สัญลักษณ์ทำให้การถกเถียงทวีความรุนแรงขึ้น นักวิจารณ์เคยกล่าวว่าแถบสีน้ำเงินสองแถบบนธงชาติอิสราเอล คือสัญลักษณ์แทนแม่น้ำไนล์และแม่น้ำยูเฟรตีส์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเป้าหมายในการขยายดินแดน อิสราเอลออกมาปฏิเสธแนวคิดนี้ทันที และไม่เห็นด้วยกับการตีความนี้ - ในปี 1990 ยัสเซอร์ อาราฟัตอ้างว่าเหรียญสิบอโกโรตของอิสราเอลแสดงแผนที่ของ "Greater Israel" ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นหลักฐานความต้องการขยายดินแดนของไซออนิสต์ แน่นอนว่าข้อกล่าวนี้ถูกอิสราเอลปัดตกเนื่องจากไม่มีมูลความจริง - การคาดเดาเกี่ยวกับ "Greater Israel" ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และการกระทำล่าสุดของอิสราเอล ในการบุกยึดดินแดนซีเรียทำให้ดูสมเหตุสมผลมากขึ้นเรื่อยๆ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 487 Views 0 Reviews
  • ศาสตร์ของตัวเลข ดังที่เคยเขียน อ้างอิงจากหลายตำรา และหลายผู้รู้ แต่หลักยึดคือ สถิติ...ไม่ใช่ ความเชื่อ...ผู้เขียนศึกษาตำราต่างประเทศหลายเล่ม..เพราะมองในแง่ พลังงาน ไม่ใช่ในแง่ ความเชื่อ...มีหนังสือหลายเล่มที่น่าสนใจ แต่ที่ไม่มีใครเคยนำมาใช้ ผู้เขียนดูแล้ว สมเหตุสมผล และอ้างอิงได้ แบบสถิติ คือ ตำราของ ญี่ปุ่น...มี 2 เล่มที่น่าสนใจ คือ ทำนายคนจากวันที่เกิด ...ซึ่งมันตรงเลย ให้คนอ่านเป็นสิบก็ใช่..งง ว่า รู้ได้อย่างไร...พออ่าน reference ก็ร้องอ้อ มันคือการเก็บสถิติ ..ซึ่งนั่นคือ พลังของตัวเลข...แบบชัดเจน...อีกเล่ม ของญี่ปุ่น คือ การบริหารงานบุคคล คัดคนในตำแหน่งงานตามกรุ๊ปเลือด ..คือ เขาใช้จริง และใช้แบบแพร่หลายด้วย..ยกตัวอย่างในหนังสือ กรุ๊ป A จะเอาเป็นระดับบริหาร กรุ๊ป B เป็นระดับหัวหน้างาน กรุ๊ป O ระดับปฏิบัติงานทั่วไป...และเขาก็อธิบายแบบละเอียด ...ในเชิงสถิติ เช่นกัน . .
    ศาสตร์ของตัวเลข ดังที่เคยเขียน อ้างอิงจากหลายตำรา และหลายผู้รู้ แต่หลักยึดคือ สถิติ...ไม่ใช่ ความเชื่อ...ผู้เขียนศึกษาตำราต่างประเทศหลายเล่ม..เพราะมองในแง่ พลังงาน ไม่ใช่ในแง่ ความเชื่อ...มีหนังสือหลายเล่มที่น่าสนใจ แต่ที่ไม่มีใครเคยนำมาใช้ ผู้เขียนดูแล้ว สมเหตุสมผล และอ้างอิงได้ แบบสถิติ คือ ตำราของ ญี่ปุ่น...มี 2 เล่มที่น่าสนใจ คือ ทำนายคนจากวันที่เกิด ...ซึ่งมันตรงเลย ให้คนอ่านเป็นสิบก็ใช่..งง ว่า รู้ได้อย่างไร...พออ่าน reference ก็ร้องอ้อ มันคือการเก็บสถิติ ..ซึ่งนั่นคือ พลังของตัวเลข...แบบชัดเจน...อีกเล่ม ของญี่ปุ่น คือ การบริหารงานบุคคล คัดคนในตำแหน่งงานตามกรุ๊ปเลือด ..คือ เขาใช้จริง และใช้แบบแพร่หลายด้วย..ยกตัวอย่างในหนังสือ กรุ๊ป A จะเอาเป็นระดับบริหาร กรุ๊ป B เป็นระดับหัวหน้างาน กรุ๊ป O ระดับปฏิบัติงานทั่วไป...และเขาก็อธิบายแบบละเอียด ...ในเชิงสถิติ เช่นกัน . .
    0 Comments 0 Shares 187 Views 0 Reviews
  • การบริหารงานแบบ "ดีระดับหนึ่ง" เพื่อสุขภาพจิตที่ดีในยุคแห่งการแข่งขันที่ดุดันนี้ การคาดหวังผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากทีมงานกลายเป็นเรื่องปกติในองค์กร แต่ในทางพุทธศาสตร์และการบริหารที่คำนึงถึงสุขภาพจิต ความคาดหวังที่มากเกินไปอาจนำมาซึ่งความเครียดที่ไม่จำเป็นทั้งในระดับบุคคลและองค์กร---ปัญหาที่เกิดจากความคาดหวัง1. ความเครียดจากการเป็น "ที่หนึ่ง"ความคาดหวังจากหัวหน้าหรือองค์กรให้เป็นเบอร์หนึ่ง อาจสร้างแรงกดดันที่สูงจนทีมงานเสียสุขภาพจิตผลข้างเคียง: เครียด, ไมเกรน, อาการนอนไม่หลับ, และการเบื่อหน่ายงาน2. สุขภาพเสียเพื่อ "ผลลัพธ์ดีเลิศ"แม้จะได้ผลลัพธ์ที่ดีจากการทำงานหนัก แต่ค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสุขภาพของทีมงานกลับสูงสิ่งนี้ทำให้องค์กรได้ผลลัพธ์ที่ไม่ยั่งยืน---แนวทางแก้ไข: ใช้ความเพียร แทนความโลภในทางพุทธศาสตร์:"ความโลภ" ในการเป็นเบอร์หนึ่ง ควรถูกแทนที่ด้วย "ความเพียร" ที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ความเพียรอย่างตั้งใจโดยไม่ถูกผลลัพธ์ครอบงำ จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีโดยธรรมชาติถ้าผลลัพธ์ "ดีพอ" ในวันของเรา มันอาจกลายเป็น "ดีที่สุด" โดยไม่ต้องฝืน---หลักปฏิบัติสำหรับองค์กร1. ตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผลเป้าหมายไม่ควรเน้นแต่ "ชัยชนะ" แต่ควรเน้น "กระบวนการที่มีคุณภาพ"ผลลัพธ์ที่ดีจะตามมาเองเมื่อทีมงานทำงานในสภาพแวดล้อมที่ดี2. สนับสนุนสุขภาพจิตของทีมงานสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ยืดหยุ่นมีการตรวจสอบสุขภาพจิตและร่างกายของทีมงานเป็นระยะ3. ปรับมุมมองของ "ความสำเร็จ"มองความสำเร็จในแง่ของความยั่งยืน ไม่ใช่แค่การเป็นเบอร์หนึ่งให้ความสำคัญกับความก้าวหน้าของทีมมากกว่าผลลัพธ์สุดท้าย---ข้อคิดจากพุทธศาสตร์การคาดหวังสูงโดยปราศจากเมตตาต่อตัวเองและทีมงาน อาจนำไปสู่ความทุกข์มากกว่าความสำเร็จ"ความดี" ที่ยั่งยืนไม่ได้อยู่ที่การเป็นที่หนึ่งเสมอไป แต่อยู่ที่การทำงานด้วยความเพียรและความสุขใจในกระบวนการผลที่ดีระดับหนึ่ง หากตรงกับเวลาและสถานการณ์ที่เหมาะสม อาจกลายเป็นผลดีที่สุดได้เองบทสรุป:แทนที่จะคาดคั้นเอาผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ลองเน้นการทำงานด้วย ความเพียรที่สมดุล และ สุขภาพจิตที่ดี ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและดีที่สุดในระยะยาวจะตามมาเอง!
    การบริหารงานแบบ "ดีระดับหนึ่ง" เพื่อสุขภาพจิตที่ดีในยุคแห่งการแข่งขันที่ดุดันนี้ การคาดหวังผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากทีมงานกลายเป็นเรื่องปกติในองค์กร แต่ในทางพุทธศาสตร์และการบริหารที่คำนึงถึงสุขภาพจิต ความคาดหวังที่มากเกินไปอาจนำมาซึ่งความเครียดที่ไม่จำเป็นทั้งในระดับบุคคลและองค์กร---ปัญหาที่เกิดจากความคาดหวัง1. ความเครียดจากการเป็น "ที่หนึ่ง"ความคาดหวังจากหัวหน้าหรือองค์กรให้เป็นเบอร์หนึ่ง อาจสร้างแรงกดดันที่สูงจนทีมงานเสียสุขภาพจิตผลข้างเคียง: เครียด, ไมเกรน, อาการนอนไม่หลับ, และการเบื่อหน่ายงาน2. สุขภาพเสียเพื่อ "ผลลัพธ์ดีเลิศ"แม้จะได้ผลลัพธ์ที่ดีจากการทำงานหนัก แต่ค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสุขภาพของทีมงานกลับสูงสิ่งนี้ทำให้องค์กรได้ผลลัพธ์ที่ไม่ยั่งยืน---แนวทางแก้ไข: ใช้ความเพียร แทนความโลภในทางพุทธศาสตร์:"ความโลภ" ในการเป็นเบอร์หนึ่ง ควรถูกแทนที่ด้วย "ความเพียร" ที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ความเพียรอย่างตั้งใจโดยไม่ถูกผลลัพธ์ครอบงำ จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีโดยธรรมชาติถ้าผลลัพธ์ "ดีพอ" ในวันของเรา มันอาจกลายเป็น "ดีที่สุด" โดยไม่ต้องฝืน---หลักปฏิบัติสำหรับองค์กร1. ตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผลเป้าหมายไม่ควรเน้นแต่ "ชัยชนะ" แต่ควรเน้น "กระบวนการที่มีคุณภาพ"ผลลัพธ์ที่ดีจะตามมาเองเมื่อทีมงานทำงานในสภาพแวดล้อมที่ดี2. สนับสนุนสุขภาพจิตของทีมงานสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ยืดหยุ่นมีการตรวจสอบสุขภาพจิตและร่างกายของทีมงานเป็นระยะ3. ปรับมุมมองของ "ความสำเร็จ"มองความสำเร็จในแง่ของความยั่งยืน ไม่ใช่แค่การเป็นเบอร์หนึ่งให้ความสำคัญกับความก้าวหน้าของทีมมากกว่าผลลัพธ์สุดท้าย---ข้อคิดจากพุทธศาสตร์การคาดหวังสูงโดยปราศจากเมตตาต่อตัวเองและทีมงาน อาจนำไปสู่ความทุกข์มากกว่าความสำเร็จ"ความดี" ที่ยั่งยืนไม่ได้อยู่ที่การเป็นที่หนึ่งเสมอไป แต่อยู่ที่การทำงานด้วยความเพียรและความสุขใจในกระบวนการผลที่ดีระดับหนึ่ง หากตรงกับเวลาและสถานการณ์ที่เหมาะสม อาจกลายเป็นผลดีที่สุดได้เองบทสรุป:แทนที่จะคาดคั้นเอาผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ลองเน้นการทำงานด้วย ความเพียรที่สมดุล และ สุขภาพจิตที่ดี ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและดีที่สุดในระยะยาวจะตามมาเอง!
    0 Comments 0 Shares 518 Views 0 Reviews
  • พล.อ.ฮอสเซน ซาลามี ผู้บัญชาการสูงสุดของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน (Islamic Revolution Guard Corps - IRGC)

    🔴บางคนคาดหวังว่ากองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามจะต่อสู้เพื่อปกป้องกองทัพซีเรียในช่วงเวลานั้น(หมายถึงช่วงเวลากลุ่มกบฏบุกโจมตีเพื่อโค่นล้มอัสซาด) แต่การที่เราจะต่อสู้ในประเทศอื่นในขณะที่กองทัพของพวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลย นั่นเป็นเรื่องสมเหตุสมผลหรือไม่

    🔴เส้นทางการสนับสนุนแนวต่อต้าน(อิสราเอล)ของเรายังคงเปิดกว้าง และไม่ได่จำกัดอยู่แค่ซีเรียเท่านั้น สถานการณ์ในซีเรียอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเช่นกัน
    พล.อ.ฮอสเซน ซาลามี ผู้บัญชาการสูงสุดของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน (Islamic Revolution Guard Corps - IRGC) 🔴บางคนคาดหวังว่ากองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามจะต่อสู้เพื่อปกป้องกองทัพซีเรียในช่วงเวลานั้น(หมายถึงช่วงเวลากลุ่มกบฏบุกโจมตีเพื่อโค่นล้มอัสซาด) แต่การที่เราจะต่อสู้ในประเทศอื่นในขณะที่กองทัพของพวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลย นั่นเป็นเรื่องสมเหตุสมผลหรือไม่ 🔴เส้นทางการสนับสนุนแนวต่อต้าน(อิสราเอล)ของเรายังคงเปิดกว้าง และไม่ได่จำกัดอยู่แค่ซีเรียเท่านั้น สถานการณ์ในซีเรียอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเช่นกัน
    0 Comments 0 Shares 275 Views 0 Reviews
  • กระทรวงพาณิชย์เผยจีนควบคุมการส่งออกสินค้าDual-use Items ไปยังสหรัฐฯ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงกระทรวงพาณิชย์ระบุเมื่อวันพฤหัสบดีที่5ธันวาคมว่าการตัดสินใจของจีนที่จะจำกัดการส่งออกสินค้าDual-Use Itemซึ่งเป็นสินค้าที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งทางด้านพาณิชย์และทางทหาร ซึ่งเมื่อผู้ประกอบการขายสินค้าดังกล่าวไปแล้ว ปลายทางสามารถใช้สินค้านั้นเพื่อการค้าทั่วไป แต่อาจสามารถไปเกี่ยวข้องกับอาวุธเคมี อาวุธชีวภาพ หรืออาวุธนิวเคลียร์ได้ ซึ่ง DUI แทรกซึมอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมจีได้จกัดส่งออกDUIนี้ไปยังสหรัฐฯ ตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของจีน ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่สมเหตุสมผลเพื่อปกป้องผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของตนเองและปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ เช่น การไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์https://www.cctvplus.com/news/20241205/8406647.shtml#!language=1
    กระทรวงพาณิชย์เผยจีนควบคุมการส่งออกสินค้าDual-use Items ไปยังสหรัฐฯ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงกระทรวงพาณิชย์ระบุเมื่อวันพฤหัสบดีที่5ธันวาคมว่าการตัดสินใจของจีนที่จะจำกัดการส่งออกสินค้าDual-Use Itemซึ่งเป็นสินค้าที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งทางด้านพาณิชย์และทางทหาร ซึ่งเมื่อผู้ประกอบการขายสินค้าดังกล่าวไปแล้ว ปลายทางสามารถใช้สินค้านั้นเพื่อการค้าทั่วไป แต่อาจสามารถไปเกี่ยวข้องกับอาวุธเคมี อาวุธชีวภาพ หรืออาวุธนิวเคลียร์ได้ ซึ่ง DUI แทรกซึมอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมจีได้จกัดส่งออกDUIนี้ไปยังสหรัฐฯ ตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของจีน ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่สมเหตุสมผลเพื่อปกป้องผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของตนเองและปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ เช่น การไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์https://www.cctvplus.com/news/20241205/8406647.shtml#!language=1
    0 Comments 0 Shares 220 Views 0 Reviews
  • 30/1167

    ## น้ำตกเลือด (Blood Falls) ในแอนตาร์กติกา : ปริศนาแห่งขั้วโลกใต้ที่ชวนพิศวง

    ท่ามกลางความเวิ้งว้างว่างเปล่าของทวีปแอนตาร์กติกา ณ ธารน้ำแข็งเทย์เลอร์ (Taylor Glacier) ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาแห้งแล้งแมคเมอร์โด (McMurdo Dry Valleys) มีปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าพิศวงที่ดึงดูดความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์และผู้คนทั่วโลก นั่นคือ **น้ำตกเลือด (Blood Falls)** สายน้ำสีแดงฉานราวกับเลือดที่ไหลทะลักออกมาจากรอยแยกของธารน้ำแข็ง ตัดกับพื้นน้ำแข็งสีขาวโพลน สร้างความตื่นตะลึงและความสงสัยใคร่รู้แก่นักสำรวจขั้วโลกใต้มาเนิ่นนาน ราวกับเป็นฉากในภาพยนตร์สยองขวัญ

    **การค้นพบและความลึกลับ**

    ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1911 กริฟฟิธ เทย์เลอร์ (Griffith Taylor) นักธรณีวิทยาชาวออสเตรเลีย เป็นผู้ค้นพบน้ำตกเลือดเป็นคนแรก ในขณะนั้น ด้วยข้อจำกัดทางวิทยาศาสตร์ เขาสันนิษฐานว่าสีแดงของน้ำตกเกิดจากสาหร่ายสีแดง ซึ่งเป็นสมมติฐานที่ฟังดูสมเหตุสมผลในยุคนั้น แต่ต่อมา นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความจริงที่น่าทึ่งยิ่งกว่า ซ่อนอยู่ภายใต้ธารน้ำแข็งแห่งนี้

    **ต้นกำเนิดของสีแดง**

    ปัจจุบัน เราทราบแล้วว่าสีแดงเข้มของน้ำตกเลือด เกิดจาก **เหล็กออกไซด์ (iron oxide)** หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ สนิมเหล็ก ซึ่งมีปริมาณมากในน้ำที่ไหลออกมาจากน้ำตก แต่น้ำเหล่านี้ไม่ได้มาจากหิมะหรือน้ำแข็งที่ละลาย หากแต่มีต้นกำเนิดจากทะเลสาบน้ำเค็มใต้ธารน้ำแข็ง ซึ่งถูกกักขังไว้ภายใต้น้ำแข็งมานานกว่า 2 ล้านปี

    ลองนึกภาพทะเลสาบโบราณ ที่ถูกปิดตายจากโลกภายนอก อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก และเป็นที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์ ที่ปรับตัวให้อยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากออกซิเจนและแสงแดด จุลินทรีย์เหล่านี้ ดำรงชีวิตโดยการหายใจโดยใช้ซัลเฟต และมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลง ธาตุเหล็กในน้ำให้กลายเป็นเหล็กออกไซด์ เมื่อน้ำใต้ธารน้ำแข็ง ไหลออกมาสัมผัสกับอากาศ เหล็กออกไซด์ก็จะทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เกิดเป็นสีแดงสนิม เหมือนกับที่เราเห็นเหล็กขึ้นสนิมเมื่อโดนน้ำและอากาศ

    **ความสำคัญต่อการศึกษา**

    น้ำตกเลือด ไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติที่สวยงามแปลกตา แต่ยังเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญ ที่ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ เข้าใจถึง ระบบนิเวศน์โบราณ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต และ กระบวนการทางธรณีวิทยา

    การศึกษา จุลินทรีย์ ที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว เช่น ทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็ง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ที่ช่วยให้เรา ค้นพบ สิ่งมีชีวิต บนดาวเคราะห์ดวงอื่น เช่น ดาวอังคาร ที่อาจมีสภาพแวดล้อมคล้ายคลึงกัน

    น้ำตกเลือด จึงเป็นเสมือนห้องทดลองทางธรรมชาติ ที่เปิดโอกาสให้นักวิทยาศาสตร์ ศึกษา และ ไขปริศนา เกี่ยวกับ สิ่งมีชีวิต และ วิวัฒนาการ บนโลก และ ในจักรวาล

    **ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ**

    * น้ำตกเลือด มีความเค็ม มากกว่า น้ำทะเล ถึง 4 เท่า ลองจินตนาการถึงรสชาติของมันดูสิครับ
    * อุณหภูมิของน้ำ ใน น้ำตกเลือด อยู่ที่ -5 องศาเซลเซียส แต่ไม่แข็งตัว เนื่องจาก ความเค็ม ที่ทำหน้าที่เหมือนสารป้องกันการแข็งตัว
    * จุลินทรีย์ ที่อาศัยอยู่ใน น้ำตกเลือด สามารถ หายใจ โดยใช้ ซัลเฟต แทน ออกซิเจน ซึ่งเป็น กลไกการปรับตัว ที่น่าทึ่ง สำหรับการดำรงชีวิต ในสภาพแวดล้อม ที่ ไม่มีออกซิเจน
    30/1167 ## น้ำตกเลือด (Blood Falls) ในแอนตาร์กติกา : ปริศนาแห่งขั้วโลกใต้ที่ชวนพิศวง ท่ามกลางความเวิ้งว้างว่างเปล่าของทวีปแอนตาร์กติกา ณ ธารน้ำแข็งเทย์เลอร์ (Taylor Glacier) ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาแห้งแล้งแมคเมอร์โด (McMurdo Dry Valleys) มีปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าพิศวงที่ดึงดูดความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์และผู้คนทั่วโลก นั่นคือ **น้ำตกเลือด (Blood Falls)** สายน้ำสีแดงฉานราวกับเลือดที่ไหลทะลักออกมาจากรอยแยกของธารน้ำแข็ง ตัดกับพื้นน้ำแข็งสีขาวโพลน สร้างความตื่นตะลึงและความสงสัยใคร่รู้แก่นักสำรวจขั้วโลกใต้มาเนิ่นนาน ราวกับเป็นฉากในภาพยนตร์สยองขวัญ **การค้นพบและความลึกลับ** ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1911 กริฟฟิธ เทย์เลอร์ (Griffith Taylor) นักธรณีวิทยาชาวออสเตรเลีย เป็นผู้ค้นพบน้ำตกเลือดเป็นคนแรก ในขณะนั้น ด้วยข้อจำกัดทางวิทยาศาสตร์ เขาสันนิษฐานว่าสีแดงของน้ำตกเกิดจากสาหร่ายสีแดง ซึ่งเป็นสมมติฐานที่ฟังดูสมเหตุสมผลในยุคนั้น แต่ต่อมา นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความจริงที่น่าทึ่งยิ่งกว่า ซ่อนอยู่ภายใต้ธารน้ำแข็งแห่งนี้ **ต้นกำเนิดของสีแดง** ปัจจุบัน เราทราบแล้วว่าสีแดงเข้มของน้ำตกเลือด เกิดจาก **เหล็กออกไซด์ (iron oxide)** หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ สนิมเหล็ก ซึ่งมีปริมาณมากในน้ำที่ไหลออกมาจากน้ำตก แต่น้ำเหล่านี้ไม่ได้มาจากหิมะหรือน้ำแข็งที่ละลาย หากแต่มีต้นกำเนิดจากทะเลสาบน้ำเค็มใต้ธารน้ำแข็ง ซึ่งถูกกักขังไว้ภายใต้น้ำแข็งมานานกว่า 2 ล้านปี ลองนึกภาพทะเลสาบโบราณ ที่ถูกปิดตายจากโลกภายนอก อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก และเป็นที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์ ที่ปรับตัวให้อยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากออกซิเจนและแสงแดด จุลินทรีย์เหล่านี้ ดำรงชีวิตโดยการหายใจโดยใช้ซัลเฟต และมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลง ธาตุเหล็กในน้ำให้กลายเป็นเหล็กออกไซด์ เมื่อน้ำใต้ธารน้ำแข็ง ไหลออกมาสัมผัสกับอากาศ เหล็กออกไซด์ก็จะทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เกิดเป็นสีแดงสนิม เหมือนกับที่เราเห็นเหล็กขึ้นสนิมเมื่อโดนน้ำและอากาศ **ความสำคัญต่อการศึกษา** น้ำตกเลือด ไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติที่สวยงามแปลกตา แต่ยังเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญ ที่ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ เข้าใจถึง ระบบนิเวศน์โบราณ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต และ กระบวนการทางธรณีวิทยา การศึกษา จุลินทรีย์ ที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว เช่น ทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็ง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ที่ช่วยให้เรา ค้นพบ สิ่งมีชีวิต บนดาวเคราะห์ดวงอื่น เช่น ดาวอังคาร ที่อาจมีสภาพแวดล้อมคล้ายคลึงกัน น้ำตกเลือด จึงเป็นเสมือนห้องทดลองทางธรรมชาติ ที่เปิดโอกาสให้นักวิทยาศาสตร์ ศึกษา และ ไขปริศนา เกี่ยวกับ สิ่งมีชีวิต และ วิวัฒนาการ บนโลก และ ในจักรวาล **ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ** * น้ำตกเลือด มีความเค็ม มากกว่า น้ำทะเล ถึง 4 เท่า ลองจินตนาการถึงรสชาติของมันดูสิครับ * อุณหภูมิของน้ำ ใน น้ำตกเลือด อยู่ที่ -5 องศาเซลเซียส แต่ไม่แข็งตัว เนื่องจาก ความเค็ม ที่ทำหน้าที่เหมือนสารป้องกันการแข็งตัว * จุลินทรีย์ ที่อาศัยอยู่ใน น้ำตกเลือด สามารถ หายใจ โดยใช้ ซัลเฟต แทน ออกซิเจน ซึ่งเป็น กลไกการปรับตัว ที่น่าทึ่ง สำหรับการดำรงชีวิต ในสภาพแวดล้อม ที่ ไม่มีออกซิเจน
    0 Comments 0 Shares 504 Views 0 Reviews
More Results