• เหรียญพระพุทธนวราชบพิตรหลัง ภปร. เนื้อทองระฆัง วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพ ปี2529 //พระดีพิธีใหญ่ พิธีพุทธาภิเษก 3 ครั้ง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ปลุกเสก !! //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พร้อมกล่องเดิมๆ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ // >> รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ //>>>

    ** พุทธคุณโดดเด่นทางด้านแคล้วคลาด และค้าขายร่ำรวย ช่วยเสริมบารมี เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย >>

    ** เหรียญพระพุทธนวราชบพิตรหลัง ภปร. ปี 2529 พิธี"พระกริ่งปวเรศปี 30" นำเข้าพิธีพุทธาภิเษก 3 ครั้ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ ทรงเสด็จพระราชดำเนิน ในการประกอบพิธี ณ.วัดบวรฯ ในวันเสาร์ ที่ 12 เมษายน 2529 สมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นประธาน พิธีอธิฐานจิต โดยมีพระอาจารย์ ผู้ทรงศีลาจริยวัตร ร่วมพิธี ดังนี้

    1.พระญาณโพธิ์ (เข็ม) วัดสุทัศน์
    2.หลวงปู่เมฆ วัดลำกระดาน
    3.หลวงพ่อสิม วัดถ้ำผาปล่อง
    4.หลวงพ่อสำเนียง วัดเวฬุวนาราม
    5.หลวงพ่อพุทธ ฐานิโย
    6.หลวงพ่อมงคลธรรมสุนทร วัดบางนา
    7.หลวงพ่อเกตุ วัดเกาะหลัก
    8.หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ
    9.หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ
    10.หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม
    11.หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม
    12.หลวงพ่อไพฑูรย์ วัดโพธินิมิต
    13.หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)ฯลฯ >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญพระพุทธนวราชบพิตรหลัง ภปร. เนื้อทองระฆัง วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพ ปี2529 //พระดีพิธีใหญ่ พิธีพุทธาภิเษก 3 ครั้ง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ปลุกเสก !! //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พร้อมกล่องเดิมๆ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ // >> รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ //>>> ** พุทธคุณโดดเด่นทางด้านแคล้วคลาด และค้าขายร่ำรวย ช่วยเสริมบารมี เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย >> ** เหรียญพระพุทธนวราชบพิตรหลัง ภปร. ปี 2529 พิธี"พระกริ่งปวเรศปี 30" นำเข้าพิธีพุทธาภิเษก 3 ครั้ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ ทรงเสด็จพระราชดำเนิน ในการประกอบพิธี ณ.วัดบวรฯ ในวันเสาร์ ที่ 12 เมษายน 2529 สมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นประธาน พิธีอธิฐานจิต โดยมีพระอาจารย์ ผู้ทรงศีลาจริยวัตร ร่วมพิธี ดังนี้ 1.พระญาณโพธิ์ (เข็ม) วัดสุทัศน์ 2.หลวงปู่เมฆ วัดลำกระดาน 3.หลวงพ่อสิม วัดถ้ำผาปล่อง 4.หลวงพ่อสำเนียง วัดเวฬุวนาราม 5.หลวงพ่อพุทธ ฐานิโย 6.หลวงพ่อมงคลธรรมสุนทร วัดบางนา 7.หลวงพ่อเกตุ วัดเกาะหลัก 8.หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ 9.หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ 10.หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม 11.หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม 12.หลวงพ่อไพฑูรย์ วัดโพธินิมิต 13.หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)ฯลฯ >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • นางงามกับแสงที่ส่องถึง : คนเคาะข่าว 29-01-68
    : ณวัฒน์ อิสรไกรศีล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)
    กัลยาวรรณ เพ็ชร์อินทร์ มิสแกรนด์ฉะเชิงเทรา2025
    สุพรรณิการ์ นพรัตน์ มิสแกรนด์ชุมพร2025
    เฌอลินณ์ ไกรอารยะพัทธ์ มิสแกรนด์นครพนม2025
    วีรินท์ แก้วปุก มิสแกรนด์นครสวรรค์2025

    ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์
    นางงามกับแสงที่ส่องถึง : คนเคาะข่าว 29-01-68 : ณวัฒน์ อิสรไกรศีล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กัลยาวรรณ เพ็ชร์อินทร์ มิสแกรนด์ฉะเชิงเทรา2025 สุพรรณิการ์ นพรัตน์ มิสแกรนด์ชุมพร2025 เฌอลินณ์ ไกรอารยะพัทธ์ มิสแกรนด์นครพนม2025 วีรินท์ แก้วปุก มิสแกรนด์นครสวรรค์2025 ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 6 1 รีวิว
  • ศาลจังหวัดนนทบุรียกคำร้องตุ๋ย พรศักดิ์ ทนายความของ แซน วิศาพัช คนบนเรือขอให้ไต่สวนอัจฉริยะ-ปานเทพกรณีจำลองเหตุการณ์แตงโมตกน้ำ ชี้ไม่ละเมิดอำนาจศาล แถมเตือนไม่ให้สัมภาษณ์กระบวนการพิจารณาคดีในศาล
    .
    วันนี้ (29 ม.ค.) จากกรณีที่นายพรศักดิ์ วิภาสอาภานนท์ หรือทนายตุ๋ย ทนายความของนายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หรือแซน หนึ่งในบุคคลที่อยู่ในเรือสปีดโบ้ท ที่ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม ตกจากเรือเสียชีวิต ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดนนทบุรี เพื่อให้ไต่สวนการละเมิดอำนาจศาล 2 สำนวน ได้แก่ การจำลองเหตุการณ์แตงโมตกเรือเสียชีวิต โดยมีผู้ถูกกล่าวหา ประกอบด้วย นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ หรือ อาจารย์หมอธวัชชัย และนายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ เนื่องจากคดีหลักยังไม่มีคำพิพากษา และกรณีของนักอาชญวิทยารายหนึ่ง ที่ให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า มาเบิกความคดีแตงโมในศาล แต่ศาลกลับนั่งหัวเราะ ซึ่งจะยื่นให้ศาลไต่สวนว่า การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวเป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่
    .
    ปรากฎว่า นายพรศักดิ์ กล่าวหลังออกจากศาลว่า ในการสืบพยานวันนี้ ยังสืบพยานไม่เสร็จ คดีเดิมไปตามปกติทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ส่วนคดีที่มีการยื่นไต่สวนเรื่องละเมิดอำนาจศาล เรื่องการจำลองเหตุการณ์แตงโมตกเรือ ขอยังไม่ขอให้ข้อมูล
    .
    "วันนี้ผมมายื่นคำร้องศาลขอให้ท่านพิจารณาเรื่องละเมิดอำนาจศาล วันนี้ศาลได้พิจารณาตามคำร้องของผมแล้ว เห็นว่าในชั้นนี้ยังไม่เรียกผู้ที่ถูกร้องมาไต่สวน แต่ศาลได้รับทราบและเริ่มนับหนึ่งจากวันนี้ไปว่า หลังจากนี้จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่ามีอะไรเกิดขึ้นอีกไหม ศาลจะพิจารณาและใช้ดุลยพินิจต่อไป นี่คือคำสั่งที่ออกมาตามนี้ ผมก็เลยมาแจ้งให้ทราบ ส่วนเรื่องอื่นๆ ขออนุญาตไม่พูดแล้วกัน เนื่องจากศาลกำชับมาว่าไม่ให้มีการเผยแพร่เรื่องกระบวนพิจารณาอะไรในคดีนี้กับทางสื่อมวลชนอีก ... ผมพูดได้แค่นี้จริงๆ เพราะศาลกำชับมา" นายพรศักดิ์ กล่าว
    .
    ปรากฎว่า นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะผู้ที่ร่วมจำลองเหตุการณ์แตงโมตกเรือเสียชีวิต กล่าวผ่านเฟซบุ๊กเพจว่า "ทนายตุ๋ยควรจะพูดให้ชัดๆ สรุปคือศาลยกคำร้องเพราะพวกเราไม่ได้ละเมิดอำนาจศาล จึงไม่มีการไต่สวนจำเลยตามคำร้องของทนายตุ๋ย และเตือนไม่ให้ทนายจำเลยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาคดีในศาล"
    .
    มีรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ศาลจังหวัดนนทบุรีได้ยกคำร้องกรณีที่นายพรศักดิ์ ทนายความของนายวิศาพัช หรือแซน ยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนการละเมิดอำนาจศาล กรณีนายอัจฉริยะและคณะจำลองเหตุการณ์แตงโมตกเรือเสียชีวิต เนื่องจากไม่ได้ละเมิดอำนาจศาล จึงไม่มีการไต่สวนจำเลยตามคำร้องของนายพรศักดิ์แต่อย่างใด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009403
    .........
    Sondhi X
    ศาลจังหวัดนนทบุรียกคำร้องตุ๋ย พรศักดิ์ ทนายความของ แซน วิศาพัช คนบนเรือขอให้ไต่สวนอัจฉริยะ-ปานเทพกรณีจำลองเหตุการณ์แตงโมตกน้ำ ชี้ไม่ละเมิดอำนาจศาล แถมเตือนไม่ให้สัมภาษณ์กระบวนการพิจารณาคดีในศาล . วันนี้ (29 ม.ค.) จากกรณีที่นายพรศักดิ์ วิภาสอาภานนท์ หรือทนายตุ๋ย ทนายความของนายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หรือแซน หนึ่งในบุคคลที่อยู่ในเรือสปีดโบ้ท ที่ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม ตกจากเรือเสียชีวิต ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดนนทบุรี เพื่อให้ไต่สวนการละเมิดอำนาจศาล 2 สำนวน ได้แก่ การจำลองเหตุการณ์แตงโมตกเรือเสียชีวิต โดยมีผู้ถูกกล่าวหา ประกอบด้วย นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ หรือ อาจารย์หมอธวัชชัย และนายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ เนื่องจากคดีหลักยังไม่มีคำพิพากษา และกรณีของนักอาชญวิทยารายหนึ่ง ที่ให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า มาเบิกความคดีแตงโมในศาล แต่ศาลกลับนั่งหัวเราะ ซึ่งจะยื่นให้ศาลไต่สวนว่า การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวเป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ . ปรากฎว่า นายพรศักดิ์ กล่าวหลังออกจากศาลว่า ในการสืบพยานวันนี้ ยังสืบพยานไม่เสร็จ คดีเดิมไปตามปกติทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ส่วนคดีที่มีการยื่นไต่สวนเรื่องละเมิดอำนาจศาล เรื่องการจำลองเหตุการณ์แตงโมตกเรือ ขอยังไม่ขอให้ข้อมูล . "วันนี้ผมมายื่นคำร้องศาลขอให้ท่านพิจารณาเรื่องละเมิดอำนาจศาล วันนี้ศาลได้พิจารณาตามคำร้องของผมแล้ว เห็นว่าในชั้นนี้ยังไม่เรียกผู้ที่ถูกร้องมาไต่สวน แต่ศาลได้รับทราบและเริ่มนับหนึ่งจากวันนี้ไปว่า หลังจากนี้จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่ามีอะไรเกิดขึ้นอีกไหม ศาลจะพิจารณาและใช้ดุลยพินิจต่อไป นี่คือคำสั่งที่ออกมาตามนี้ ผมก็เลยมาแจ้งให้ทราบ ส่วนเรื่องอื่นๆ ขออนุญาตไม่พูดแล้วกัน เนื่องจากศาลกำชับมาว่าไม่ให้มีการเผยแพร่เรื่องกระบวนพิจารณาอะไรในคดีนี้กับทางสื่อมวลชนอีก ... ผมพูดได้แค่นี้จริงๆ เพราะศาลกำชับมา" นายพรศักดิ์ กล่าว . ปรากฎว่า นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะผู้ที่ร่วมจำลองเหตุการณ์แตงโมตกเรือเสียชีวิต กล่าวผ่านเฟซบุ๊กเพจว่า "ทนายตุ๋ยควรจะพูดให้ชัดๆ สรุปคือศาลยกคำร้องเพราะพวกเราไม่ได้ละเมิดอำนาจศาล จึงไม่มีการไต่สวนจำเลยตามคำร้องของทนายตุ๋ย และเตือนไม่ให้ทนายจำเลยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาคดีในศาล" . มีรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ศาลจังหวัดนนทบุรีได้ยกคำร้องกรณีที่นายพรศักดิ์ ทนายความของนายวิศาพัช หรือแซน ยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนการละเมิดอำนาจศาล กรณีนายอัจฉริยะและคณะจำลองเหตุการณ์แตงโมตกเรือเสียชีวิต เนื่องจากไม่ได้ละเมิดอำนาจศาล จึงไม่มีการไต่สวนจำเลยตามคำร้องของนายพรศักดิ์แต่อย่างใด . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009403 ......... Sondhi X
    Like
    Haha
    28
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1190 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทนายเดชา เผยศาลสืบพยานจำเลยคดีแตงโม 2 ปากสุดท้าย พิจารณา 2 เดือนครึ่งก่อนมีคำพิพากษา พร้อมยื่นคำร้องไต่สวน"ปานเทพ-อัจฉริยะ-หมอธวัชชัย" จำลองเหตุการณ์ตกเรือละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ ส่วนทนาย แซน วิศาพัช ยื่นไต่สวนนักอาชญวิทยาดังให้สัมภาษณ์
    .
    วันนี้ (29 ม.ค.) ที่ศาลจังหวัดนนทบุรี นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความของนางภนิดา ศิระยุทธโยธิน แม่ของ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม ดาราสาวที่ตกเรือสปีดโบ้ทเสียชีวิต เดินทางมายังศาลจังหวัดนนทบุรี ในนัดสืบพยานคดีการเสียชีวิตของแตงโม ซึ่งวันนี้เป็นการสืบพยานจำเลย นัดสุดท้ายรวม 2 ปาก ประกอบด้วย น.ส.อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ หรือกระติก ผู้จัดการส่วนตัวของแตงโม กับ นายภีม ธรรมศรี หรือเอ็ม โดยบรรยากาศตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้มี น.ส.อิจศรินทร์ หรือกระติก พร้อมด้วย นายพรศักดิ์ วิภาสอาภานนท์ หรือทนายตุ๋ย ทนายความของนายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หรือแซน และนางภนิดา เดินทางมาร่วมฟังการพิจารณาคดีเมื่อเวลา 9.00 น.
    .
    นายเดชา กล่าวว่า การสืบพยานจำเลยในวันนี้ คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน เนื่องจากจำเลยจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเรือให้ศาลรับฟัง ซึ่งเป็นไปตามข้อเท็จจริง ส่วนจะสืบพยานแล้วเสร็จในวันนี้เลยหรือไม่ ศาลจะเป็นผู้พิจารณา ขั้นตอนหลังจากนี้ ศาลจะใช้เวลาพิจารณาคดีอีกประมาณ 2 เดือนครึ่ง ก่อนที่จะมีคำพิพากษา และเท่าที่ได้คุยกับนายพรศักดิ์ ให้ข้อมูลว่า วันนี้จะมีการยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดนนทบุรี เพื่อให้ไต่สวนการละเมิดอำนาจศาล 2 สำนวน
    .
    สำนวนแรก เป็นเรื่องของการจำลองเหตุการณ์แตงโมตกเรือเสียชีวิต โดยมีผู้ถูกกล่าวหา ประกอบด้วย นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ หรือ อาจารย์หมอธวัชชัย และนายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ เนื่องจากคดีหลักยังไม่มีคำพิพากษา
    .
    ส่วนอีกสำนวน เป็นกรณีของนักอาชญวิทยารายหนึ่ง ที่ให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า มาเบิกความคดีแตงโมในศาล แต่ศาลกลับนั่งหัวเราะ ซึ่งการให้ข้อมูลดังกล่าว นายพรศักดิ์ ทนายความแซน วิศาพัช จะยื่นให้ศาลไต่สวนว่า การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวเป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่
    .
    ส่วนความพยายามรื้อคดีการเสียชีวิตของแตงโม ภัทรธิดา ของนายอัจฉริยะและพวก นายเดชาระบุว่า ที่ผ่านมามีการพูดคุยกับนายอัจฉริยะ เบื้องต้นยืนยันว่าการรื้อคดีเหตุแห่งการเสียชีวิต น่าจะมีความยุ่งยากซับซ้อนในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นในชั้นต้นและอุทธรณ์ แต่จะมุ่งเน้นไปที่ตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า มีความบกพร่อง หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ได้มีการยื่นเรื่องให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวแล้ว
    .
    ส่วนกรณีที่ทนายโจทก์ ทนายจำเลยในคดีเดียวกัน หารือกันในข้อกฎหมาย แต่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับข้อกฎหมาย สามารถทำได้ เพราะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับสำนวนคดี ส่วนการตัดพยานบางปากออกจากสำนวน เป็นความประสงค์ของนางพนิดา แม่ของแตงโม เนื่องจากมองว่ามีพยานที่เป็นหมอมาเบิกความจำนวนหลายปากแล้ว ทำให้เสียเวลาในการสืบพยาน
    .
    นายเดชา ยังกล่าวว่า กรณีแม่ของแตงโมก็เห็นด้วย ถ้าหากมีพยานหลักฐานใหม่ ก็พร้อมจะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ แต่ไม่ได้ให้ความร่วมมือกับฝั่งของนายอัจฉริยะ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009329
    .........
    Sondhi X
    ทนายเดชา เผยศาลสืบพยานจำเลยคดีแตงโม 2 ปากสุดท้าย พิจารณา 2 เดือนครึ่งก่อนมีคำพิพากษา พร้อมยื่นคำร้องไต่สวน"ปานเทพ-อัจฉริยะ-หมอธวัชชัย" จำลองเหตุการณ์ตกเรือละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ ส่วนทนาย แซน วิศาพัช ยื่นไต่สวนนักอาชญวิทยาดังให้สัมภาษณ์ . วันนี้ (29 ม.ค.) ที่ศาลจังหวัดนนทบุรี นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความของนางภนิดา ศิระยุทธโยธิน แม่ของ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม ดาราสาวที่ตกเรือสปีดโบ้ทเสียชีวิต เดินทางมายังศาลจังหวัดนนทบุรี ในนัดสืบพยานคดีการเสียชีวิตของแตงโม ซึ่งวันนี้เป็นการสืบพยานจำเลย นัดสุดท้ายรวม 2 ปาก ประกอบด้วย น.ส.อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ หรือกระติก ผู้จัดการส่วนตัวของแตงโม กับ นายภีม ธรรมศรี หรือเอ็ม โดยบรรยากาศตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้มี น.ส.อิจศรินทร์ หรือกระติก พร้อมด้วย นายพรศักดิ์ วิภาสอาภานนท์ หรือทนายตุ๋ย ทนายความของนายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หรือแซน และนางภนิดา เดินทางมาร่วมฟังการพิจารณาคดีเมื่อเวลา 9.00 น. . นายเดชา กล่าวว่า การสืบพยานจำเลยในวันนี้ คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน เนื่องจากจำเลยจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเรือให้ศาลรับฟัง ซึ่งเป็นไปตามข้อเท็จจริง ส่วนจะสืบพยานแล้วเสร็จในวันนี้เลยหรือไม่ ศาลจะเป็นผู้พิจารณา ขั้นตอนหลังจากนี้ ศาลจะใช้เวลาพิจารณาคดีอีกประมาณ 2 เดือนครึ่ง ก่อนที่จะมีคำพิพากษา และเท่าที่ได้คุยกับนายพรศักดิ์ ให้ข้อมูลว่า วันนี้จะมีการยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดนนทบุรี เพื่อให้ไต่สวนการละเมิดอำนาจศาล 2 สำนวน . สำนวนแรก เป็นเรื่องของการจำลองเหตุการณ์แตงโมตกเรือเสียชีวิต โดยมีผู้ถูกกล่าวหา ประกอบด้วย นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ หรือ อาจารย์หมอธวัชชัย และนายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ เนื่องจากคดีหลักยังไม่มีคำพิพากษา . ส่วนอีกสำนวน เป็นกรณีของนักอาชญวิทยารายหนึ่ง ที่ให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า มาเบิกความคดีแตงโมในศาล แต่ศาลกลับนั่งหัวเราะ ซึ่งการให้ข้อมูลดังกล่าว นายพรศักดิ์ ทนายความแซน วิศาพัช จะยื่นให้ศาลไต่สวนว่า การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวเป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ . ส่วนความพยายามรื้อคดีการเสียชีวิตของแตงโม ภัทรธิดา ของนายอัจฉริยะและพวก นายเดชาระบุว่า ที่ผ่านมามีการพูดคุยกับนายอัจฉริยะ เบื้องต้นยืนยันว่าการรื้อคดีเหตุแห่งการเสียชีวิต น่าจะมีความยุ่งยากซับซ้อนในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นในชั้นต้นและอุทธรณ์ แต่จะมุ่งเน้นไปที่ตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า มีความบกพร่อง หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ได้มีการยื่นเรื่องให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวแล้ว . ส่วนกรณีที่ทนายโจทก์ ทนายจำเลยในคดีเดียวกัน หารือกันในข้อกฎหมาย แต่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับข้อกฎหมาย สามารถทำได้ เพราะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับสำนวนคดี ส่วนการตัดพยานบางปากออกจากสำนวน เป็นความประสงค์ของนางพนิดา แม่ของแตงโม เนื่องจากมองว่ามีพยานที่เป็นหมอมาเบิกความจำนวนหลายปากแล้ว ทำให้เสียเวลาในการสืบพยาน . นายเดชา ยังกล่าวว่า กรณีแม่ของแตงโมก็เห็นด้วย ถ้าหากมีพยานหลักฐานใหม่ ก็พร้อมจะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ แต่ไม่ได้ให้ความร่วมมือกับฝั่งของนายอัจฉริยะ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009329 ......... Sondhi X
    Like
    Haha
    Angry
    11
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1233 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวปาเลสไตน์พลัดถิ่นจำนวนเรือนหมื่นเรือนแสน หลั่งไหลกันเดินทางไปตามถนนสายหลัก เพื่อมุ่งหน้ากลับสู่ตอนเหนือของฉนวนกาซาแล้วเมื่อวันจันทร์ (27 ม.ค.) หลังจากกลุ่มฮามาสตกลงส่งมอบตัวประกันชาวอิสราเอลอีก 3 คนในช่วงต่อไปของสัปดาห์นี้ และกองทหารรัฐยิวก็เริ่มถอนกำลังออกจากการปิดกั้นช่องทางซึ่งสกัดไม่ให้ผู้พลัดถิ่นเหล่านี้ได้เดินทาง
    .
    ประชาชนจำนวนมากมาย บางคนอุ้มทารกเอาไว้ในอ้อมแขน หรือไม่แบกสมบัติข้าวของที่ยังเหลืออยู่เอาไว้บนบ่า มุ่งหน้าเดินเท้าขึ้นเหนือ ไปตามถนนสายที่ทอดยาวเลียบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
    .
    “มันเหมือนกับฉันเกิดใหม่ขึ้นครั้ง และเราได้รับชัยชนะอีกครั้ง” เป็นคำกล่าวของ อุมม์ โมฮัมเหม็ด อาลี คุณแม่ชาวปาเลสไตน์ ที่เป็นส่วนหนึ่งของฝูงชนซึ่งเดินตามกันไปอย่างช้าๆ เป็นแถวยาวเหยียดหลายกิโลเมตรบนถนนเลียบทะเลสายดังกล่าว
    .
    พวกผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ชาวบ้านคนแรกเดินมาถึงเมืองกาซาซิตี้ในตอนเช้าตรู่ หลังจากจุดข้ามจากตอนใต้ของกาซา เปิดขึ้นเมื่อเวลา 7 โมงเช้าตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับเที่ยงวัน เวลาเมืองไทย) สำหรับจุดข้ามอีกจุดหนึ่งเปิดขึ้นในอีก 3 ชั่วโมงถัดมา โดยเป็นทางสำหรับยวดยานต่างๆ
    .
    “หัวใจผมกำลังเต้นแรง ผมคิดว่าผมจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว” เป็นคำพูดของ โอซามา วัย 50 ปี ซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนและเป็นคุณพ่อของลูก 5 คน ขณะที่เขาเดินทางถึงกาซาซิตี้ “ไม่ว่าการหยุดยิงนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ เราก็จะไม่ยอมออกจากกาซาซิตี้และทางตอนเหนือนี่อีกแล้ว ถึงแม้อิสราเอลจะส่งรถถังมาเล่นงานพวกเราแต่ละคนก็ตาม ไม่มีการพลัดถิ่นที่อยู่กันอีกแล้ว”
    .
    หลังจากถูกสั่งให้ออกจากที่พำนักชั่วคราวซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดระยะเวลา 15 เดือนของสงครามครั้งนี้ ก็มีเสียงเชียร์เสียงโห่ร้องยินดีปะทุขึ้นจากที่พักพิงหลบภัยและเต็นท์ค่ายพักต่างๆ เมื่อครอบครัวชาวปาเลสไตน์ได้ยินข่าวที่ว่าจุดข้ามจะเปิดให้เดินทางผ่านแล้ว
    .
    “นอนไม่หลับเลย ฉันเก็บข้าวของทุกอย่างและพร้อมเดินทางตั้งแต่แสงตะวันแรกของวันแล้ว” เป็นคำกล่าวของ กอดา คุณแม่ลูก 5 “อย่างน้อยที่สุดเราก็กำลังจะกลับบ้าน ตอนนี้ฉันพูดได้แล้วว่าสงครามยุติแล้ว และฉันหวังว่ามันจะอยู่ในความสงบต่อไปอีก” เธอบอกกับรอยเตอร์ผ่านแอปแชต
    .
    ทั้งพวกเจ้าหน้าที่ฮามาสและชาวกาซาที่เป็นประชาชนธรรมดา ต่างปฏิเสธไม่เอาด้วยกับคำแนะนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่เรียกร้องให้จอร์แดนและอียิปต์ รับชาวปาเลไสตน์จากดินแดนที่พินาศยับเยินจากสงครามแห่งนี้ อพยพเข้าไปพำนักอาศัยให้มากขึ้น มิหนำซ้ำยังเป็นการกระตุ้นความหวาดกลัวซึ่งมีมายาวนานของชาวปาเลสไตน์ที่ว่า พวกเขากำลังจะถูกผลักไสให้ออกจากบ้านของพวกเขาไปตลอดกาล
    .
    ตามเงื่อนไขของข้อตกลงหยุดยิงที่กระทำกันคราวนี้ ผู้ที่พำนักอาศัยในตอนเหนือกาซา จะได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับบ้านได้ตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์ท่ผ่านมา ทว่าในวันอาทิตย์ (26 ) อิสราเอลขัดขวางเรื่องนี้ โดยกล่าวหาฮามาสละเมิดเงื่อนไขในข้อตกลง
    .
    อย่างไรก็ดี ถึงตอนค่ำวันเดียวกัน สำนักนายกรัฐมนตรีอิสราเอลแถลงว่า สามารถตกลงกับฮามาสได้แล้ว โดยฮามาสจะปล่อย อาร์เบล เยฮุด ตัวประกันที่เป็นพลเรือนหญิงที่เดิมคาดว่า จะได้รับการปล่อยตัวตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมา พร้อมกับตัวประกันอีก 3 คนในวันพฤหัสฯ (30) และปล่อยเพิ่มอีก 3 คนในวันเสาร์ (1 ก.พ.)
    .
    คำแถลงยังระบุว่า อิสราเอลจะอนุญาตให้ชาวปาเลสไตน์เดินทางได้ตั้งแต่เช้าวันจันทร์ ซึ่งฮามาสระบุว่าเป็น “ชัยชนะสำหรับชาวปาเลสไตน์ และสัญญาณความล้มเหลวของแผนการยึดครองและบังคับย้ายถิ่นฐาน”
    .
    สำหรับคำแนะนำของทรัมป์นั้น อยู่ในลักษณะของการที่เขาเสนอไอเดียกับพวกผู้สื่อข่าวระหว่างเดินทางบนเครื่องบินประจำตำแหน่งแอร์ฟอร์ซ วัน เมื่อวันเสาร์ (25) ว่า จอร์แดนและอียิปต์ ควรอ้าแขนรับชาวปาเลสไตน์ราว 2.4 ล้านคนจากกาซาที่พังพินาศจากสงครามที่ทำให้ประชาชนนับหมื่นเสียชีวิตและนำไปสู่วิกฤตมนุษยธรรมเลวร้าย
    .
    ประมุขทำเนียบขาวเสริมว่า จะดึงชาติอาหรับบางชาติเข้ามามีส่วนร่วม และสร้างที่พักอาศัยเพื่อให้ชาวปาเลสไตน์ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ ก่อนสำทับว่า แนวทางนี้อาจเป็นได้ทั้งแนวทางชั่วคราวหรือถาวร
    .
    ปัจจุบัน จอร์แดนรองรับชาวปาเลสไตน์หลายล้านคนอยู่แล้ว ขณะที่มีชาวปาเลสไตน์อีกหลายหมื่นคนอาศัยอยู่ในอียิปต์ อย่างไรก็ดี ทั้งสองประเทศรวมถึงชาติอาหรับอื่นๆ ต่างปฏิเสธแนวคิดในการย้ายชาวปาเลสไตน์จากฉนวนกาซาไปยังประเทศอื่นๆ ขณะเดียวกันชาวปาเลสไตน์ก็ต้องการให้กาซาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐปาเลสไตน์ในอนาคต
    .
    ขณะที่นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ก็แสดงท่าทีคัดค้านแนวคิดดังกล่าว ทางด้าน เบซาเลล สโมทริช รัฐมนตรีคลังอิสราเอลที่สังกัดพรรคขวาจัด บอกว่า “การคิดนอกกรอบ” เท่านั้นที่จะทำให้เกิดสันติภาพได้จริง และกล่าวยกย่องข้อเสนอของทรัมป์เป็น “ไอเดียเยี่ยมยอด” ซึ่งจะทำให้ชาวปาเลสไตน์มีโอกาสสร้างชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นในประเทศอื่น พร้อมเสริมว่า จะวางแผนเพื่อดำเนินการตามข้อเสนอนี้
    .
    สำหรับ ฟรานเชสกา อัลบานีส ผู้รายงานพิเศษด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า การกวาดล้างเผ่าพันธุ์ก็เป็นการคิดนอกกรอบ ซึ่งไม่ว่าจะด้วยรูปแบบไหนก็ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม และไร้ความรับผิดชอบ
    .
    บาเซม นาอิม สมาชิกกลุ่มการเมืองของฮามาส ยืนกรานว่า ชาวปาเลสไตน์ไม่มีวันยอมรับข้อเสนอของทรัมป์ที่ดูเหมือนเจตนาดีภายใต้ข้ออ้างในการฟื้นฟูกาซา ขณะที่ซามี อาบู ซูฮ์รี เจ้าหน้าที่อีกคน เรียกร้องทรัมป์ไม่ให้เสนอไอเดียผิดพลาดแบบที่อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน เคยพยายามมาก่อน
    .
    สันนิบาตอาหรับคัดค้านไอเดียของทรัมป์เช่นเดียวกัน โดยเตือนว่า ความพยายามบังคับให้ชาวปาเลสไตน์อพยพออกจากถิ่นฐานเท่ากับเป็นการกวาดล้างเผ่าพันธุ์
    .
    อัยมาน ซาฟาดี รัฐมนตรีต่างประเทศจอร์แดน รวมทั้งกระทรวงต่างประเทศอียิปต์ ยืนยันจุดยืนในการต่อต้านการอพยพชาวปาเลสไตน์ออกจากกาซาไม่ว่าระยะยาวหรือระยะสั้น
    .
    ประธานาธิบดีมาห์มูด อับบาสของปาเลสไตน์ที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตก ประณามไอเดียของทรัมป์ และประกาศว่า ชาวปาเลสไตน์จะไม่ยอมทิ้งบ้านเกิดอย่างแน่นอน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008688
    ..............
    Sondhi X
    ชาวปาเลสไตน์พลัดถิ่นจำนวนเรือนหมื่นเรือนแสน หลั่งไหลกันเดินทางไปตามถนนสายหลัก เพื่อมุ่งหน้ากลับสู่ตอนเหนือของฉนวนกาซาแล้วเมื่อวันจันทร์ (27 ม.ค.) หลังจากกลุ่มฮามาสตกลงส่งมอบตัวประกันชาวอิสราเอลอีก 3 คนในช่วงต่อไปของสัปดาห์นี้ และกองทหารรัฐยิวก็เริ่มถอนกำลังออกจากการปิดกั้นช่องทางซึ่งสกัดไม่ให้ผู้พลัดถิ่นเหล่านี้ได้เดินทาง . ประชาชนจำนวนมากมาย บางคนอุ้มทารกเอาไว้ในอ้อมแขน หรือไม่แบกสมบัติข้าวของที่ยังเหลืออยู่เอาไว้บนบ่า มุ่งหน้าเดินเท้าขึ้นเหนือ ไปตามถนนสายที่ทอดยาวเลียบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน . “มันเหมือนกับฉันเกิดใหม่ขึ้นครั้ง และเราได้รับชัยชนะอีกครั้ง” เป็นคำกล่าวของ อุมม์ โมฮัมเหม็ด อาลี คุณแม่ชาวปาเลสไตน์ ที่เป็นส่วนหนึ่งของฝูงชนซึ่งเดินตามกันไปอย่างช้าๆ เป็นแถวยาวเหยียดหลายกิโลเมตรบนถนนเลียบทะเลสายดังกล่าว . พวกผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ชาวบ้านคนแรกเดินมาถึงเมืองกาซาซิตี้ในตอนเช้าตรู่ หลังจากจุดข้ามจากตอนใต้ของกาซา เปิดขึ้นเมื่อเวลา 7 โมงเช้าตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับเที่ยงวัน เวลาเมืองไทย) สำหรับจุดข้ามอีกจุดหนึ่งเปิดขึ้นในอีก 3 ชั่วโมงถัดมา โดยเป็นทางสำหรับยวดยานต่างๆ . “หัวใจผมกำลังเต้นแรง ผมคิดว่าผมจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว” เป็นคำพูดของ โอซามา วัย 50 ปี ซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนและเป็นคุณพ่อของลูก 5 คน ขณะที่เขาเดินทางถึงกาซาซิตี้ “ไม่ว่าการหยุดยิงนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ เราก็จะไม่ยอมออกจากกาซาซิตี้และทางตอนเหนือนี่อีกแล้ว ถึงแม้อิสราเอลจะส่งรถถังมาเล่นงานพวกเราแต่ละคนก็ตาม ไม่มีการพลัดถิ่นที่อยู่กันอีกแล้ว” . หลังจากถูกสั่งให้ออกจากที่พำนักชั่วคราวซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดระยะเวลา 15 เดือนของสงครามครั้งนี้ ก็มีเสียงเชียร์เสียงโห่ร้องยินดีปะทุขึ้นจากที่พักพิงหลบภัยและเต็นท์ค่ายพักต่างๆ เมื่อครอบครัวชาวปาเลสไตน์ได้ยินข่าวที่ว่าจุดข้ามจะเปิดให้เดินทางผ่านแล้ว . “นอนไม่หลับเลย ฉันเก็บข้าวของทุกอย่างและพร้อมเดินทางตั้งแต่แสงตะวันแรกของวันแล้ว” เป็นคำกล่าวของ กอดา คุณแม่ลูก 5 “อย่างน้อยที่สุดเราก็กำลังจะกลับบ้าน ตอนนี้ฉันพูดได้แล้วว่าสงครามยุติแล้ว และฉันหวังว่ามันจะอยู่ในความสงบต่อไปอีก” เธอบอกกับรอยเตอร์ผ่านแอปแชต . ทั้งพวกเจ้าหน้าที่ฮามาสและชาวกาซาที่เป็นประชาชนธรรมดา ต่างปฏิเสธไม่เอาด้วยกับคำแนะนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่เรียกร้องให้จอร์แดนและอียิปต์ รับชาวปาเลไสตน์จากดินแดนที่พินาศยับเยินจากสงครามแห่งนี้ อพยพเข้าไปพำนักอาศัยให้มากขึ้น มิหนำซ้ำยังเป็นการกระตุ้นความหวาดกลัวซึ่งมีมายาวนานของชาวปาเลสไตน์ที่ว่า พวกเขากำลังจะถูกผลักไสให้ออกจากบ้านของพวกเขาไปตลอดกาล . ตามเงื่อนไขของข้อตกลงหยุดยิงที่กระทำกันคราวนี้ ผู้ที่พำนักอาศัยในตอนเหนือกาซา จะได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับบ้านได้ตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์ท่ผ่านมา ทว่าในวันอาทิตย์ (26 ) อิสราเอลขัดขวางเรื่องนี้ โดยกล่าวหาฮามาสละเมิดเงื่อนไขในข้อตกลง . อย่างไรก็ดี ถึงตอนค่ำวันเดียวกัน สำนักนายกรัฐมนตรีอิสราเอลแถลงว่า สามารถตกลงกับฮามาสได้แล้ว โดยฮามาสจะปล่อย อาร์เบล เยฮุด ตัวประกันที่เป็นพลเรือนหญิงที่เดิมคาดว่า จะได้รับการปล่อยตัวตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมา พร้อมกับตัวประกันอีก 3 คนในวันพฤหัสฯ (30) และปล่อยเพิ่มอีก 3 คนในวันเสาร์ (1 ก.พ.) . คำแถลงยังระบุว่า อิสราเอลจะอนุญาตให้ชาวปาเลสไตน์เดินทางได้ตั้งแต่เช้าวันจันทร์ ซึ่งฮามาสระบุว่าเป็น “ชัยชนะสำหรับชาวปาเลสไตน์ และสัญญาณความล้มเหลวของแผนการยึดครองและบังคับย้ายถิ่นฐาน” . สำหรับคำแนะนำของทรัมป์นั้น อยู่ในลักษณะของการที่เขาเสนอไอเดียกับพวกผู้สื่อข่าวระหว่างเดินทางบนเครื่องบินประจำตำแหน่งแอร์ฟอร์ซ วัน เมื่อวันเสาร์ (25) ว่า จอร์แดนและอียิปต์ ควรอ้าแขนรับชาวปาเลสไตน์ราว 2.4 ล้านคนจากกาซาที่พังพินาศจากสงครามที่ทำให้ประชาชนนับหมื่นเสียชีวิตและนำไปสู่วิกฤตมนุษยธรรมเลวร้าย . ประมุขทำเนียบขาวเสริมว่า จะดึงชาติอาหรับบางชาติเข้ามามีส่วนร่วม และสร้างที่พักอาศัยเพื่อให้ชาวปาเลสไตน์ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ ก่อนสำทับว่า แนวทางนี้อาจเป็นได้ทั้งแนวทางชั่วคราวหรือถาวร . ปัจจุบัน จอร์แดนรองรับชาวปาเลสไตน์หลายล้านคนอยู่แล้ว ขณะที่มีชาวปาเลสไตน์อีกหลายหมื่นคนอาศัยอยู่ในอียิปต์ อย่างไรก็ดี ทั้งสองประเทศรวมถึงชาติอาหรับอื่นๆ ต่างปฏิเสธแนวคิดในการย้ายชาวปาเลสไตน์จากฉนวนกาซาไปยังประเทศอื่นๆ ขณะเดียวกันชาวปาเลสไตน์ก็ต้องการให้กาซาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐปาเลสไตน์ในอนาคต . ขณะที่นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ก็แสดงท่าทีคัดค้านแนวคิดดังกล่าว ทางด้าน เบซาเลล สโมทริช รัฐมนตรีคลังอิสราเอลที่สังกัดพรรคขวาจัด บอกว่า “การคิดนอกกรอบ” เท่านั้นที่จะทำให้เกิดสันติภาพได้จริง และกล่าวยกย่องข้อเสนอของทรัมป์เป็น “ไอเดียเยี่ยมยอด” ซึ่งจะทำให้ชาวปาเลสไตน์มีโอกาสสร้างชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นในประเทศอื่น พร้อมเสริมว่า จะวางแผนเพื่อดำเนินการตามข้อเสนอนี้ . สำหรับ ฟรานเชสกา อัลบานีส ผู้รายงานพิเศษด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า การกวาดล้างเผ่าพันธุ์ก็เป็นการคิดนอกกรอบ ซึ่งไม่ว่าจะด้วยรูปแบบไหนก็ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม และไร้ความรับผิดชอบ . บาเซม นาอิม สมาชิกกลุ่มการเมืองของฮามาส ยืนกรานว่า ชาวปาเลสไตน์ไม่มีวันยอมรับข้อเสนอของทรัมป์ที่ดูเหมือนเจตนาดีภายใต้ข้ออ้างในการฟื้นฟูกาซา ขณะที่ซามี อาบู ซูฮ์รี เจ้าหน้าที่อีกคน เรียกร้องทรัมป์ไม่ให้เสนอไอเดียผิดพลาดแบบที่อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน เคยพยายามมาก่อน . สันนิบาตอาหรับคัดค้านไอเดียของทรัมป์เช่นเดียวกัน โดยเตือนว่า ความพยายามบังคับให้ชาวปาเลสไตน์อพยพออกจากถิ่นฐานเท่ากับเป็นการกวาดล้างเผ่าพันธุ์ . อัยมาน ซาฟาดี รัฐมนตรีต่างประเทศจอร์แดน รวมทั้งกระทรวงต่างประเทศอียิปต์ ยืนยันจุดยืนในการต่อต้านการอพยพชาวปาเลสไตน์ออกจากกาซาไม่ว่าระยะยาวหรือระยะสั้น . ประธานาธิบดีมาห์มูด อับบาสของปาเลสไตน์ที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตก ประณามไอเดียของทรัมป์ และประกาศว่า ชาวปาเลสไตน์จะไม่ยอมทิ้งบ้านเกิดอย่างแน่นอน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008688 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 965 มุมมอง 0 รีวิว
  • งานเลี้ยงขอบคุณผู้หาความจริงที่มีหนึ่งเดียว
    เดินสุดซอยแรกเข้าสู่ซอยที่ 2 กับดีเอสไอ
    .
    เมื่อวานซืนนี้ (22ม.ค.68 )ผมจัดงานเลี้ยงอาหารกลางวันที่บ้านพระอาทิตย์ เพื่อขอบคุณอาสาสมัครที่ร่วมช่วยเหลือจำลองเหตุการณ์ในการตกเรือสปีดโบ๊ตเสียชีวิตของน้องแตงโม-ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ คนที่เข้ามาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน มี อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, คุณหมอธวัชชัย กาญจนรินทร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมอุบัติเหตุ , คุณณวัฒน์ อิสรไกรศีล พามิสแกรนด์ที่ร่วมพิสูจน์ความจริงมาในการแสดงเป็นน้องแตงโมที่ตกน้ำ ประกอบด้วย น้องปอย มิสแกรนด์นครพนม น้องเฟ-ริน มิสแกรนด์นครสวรรค์ น้องบาร์บี้ มิสแกรนด์เชียงใหม่ น้องนิวหยก มิสแกรนด์ชุมพร น้องหนูวรรณ มิสแกรนด์ฉะเชิงเทรา นอกจากนี้ ยังมีครูลิต้า ครูว่ายน้ำสอนนางเงือก มาด้วย
    .
    ส่วนคุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ มาไม่ได้ เนื่องจากเข้ารับการผ่าตัดนิ่ว ยังไม่พอ ยังต้องถ่อสังขารออกจากโรงพยาบาลไปศาลอาญา เพื่อให้ไต่สวนคดีละเมิดอำนาจศาล
    .
    เมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา ช่วงบ่ายๆอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้เปิดเผยหนังสือที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อนุมัติสืบสวนคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโม ภัทรธิดา ว่ามีการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมทางอาญาหรือไม่ และมีบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้องหรือไม่ โดยส่งต่อผู้เชี่ยวชาญด้านคดีพิเศษรับผิดชอบดำเนินการ พร้อมหลักฐานเอกสารคำร้อง 55 แผ่น โดยท่านอธิบดีมอบหมาย พ.ต.ต.ณัฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ และแจ้งให้ผู้รับเรื่องร้องทุกข์ทราบต่อไป
    .
    ท่านผู้ชมครับ การเดินทางเพื่อหาความจริงที่มีหนึ่งเดียวของคดีน้องแตงโม ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ ก็ได้เดินทางมาถึงอย่างน้อยที่สุด ซอยแรก มาถึงสุดซอยแล้ว เรากำลังเดินเข้าซอยที่ 2 อยู่ ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีเรื่องราวส่วนตัวกับใครเลยแม้แต่นิดเดียว
    .
    มีคนพูดว่าทำไมเราต้องไปยุ่งเรื่องนี้ คนที่พูดเรื่องนี้น่าจะเป็นคนที่ไร้เดียงสา เพราะปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นก็เพราะว่าตำรวจ อัยการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอาจจะมีส่วนรับรู้หรือรับเห็น หรือจงใจทำให้เกิดช่องโหว่นี้ขึ้นมา ที่สำคัญคือเขาได้ปิดกั้นความเห็นและข้อมูลที่แตกต่างไม่ให้นำเสนอ เมื่อกระบวนการขึ้นสู่ศาล ศาลก็ไม่มีทางเลือก ก็ต้องพิจารณาเฉพาะหลักฐานที่ตำรวจและอัยการส่งมา ตรงนี้เป็นจุดอ่อนของกระบวนการยุติธรรมของไทยมาก
    .
    ตรงนี้ล่ะครับท่านผู้ชม เราไม่ได้เข้าข้างน้องแตงโม และเราไม่ได้เข้าข้างตำรวจหรือว่าคุณแม่ หรือทนายความของน้องแตงโม แต่เรายืนอยู่บนความจริงมีหนึ่งเดียว นี่คือหลักการในชีวิตของผม ซึ่งถ่ายทอดต่อไป และเป็นหลักการของอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และเผอิญมันก็ไปตรงกับหลักการของคุณหมอธวัชชัย แล้วก็มีส่วนในการที่คุณอัจฉริยะ เป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมา
    .
    บ้านพระอาทิตย์ สนธิ ลิ้มทองกุล ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ไม่ได้สนใจข้อมูลอันนี้จะไปกระเทือนใครบ้าง ถ้าข้อมูลอันนี้ออกมาแล้วพิสูจน์อย่างชัดเจนว่า เรื่องนี้จะหยุดแค่นี้ไม่ได้ ก็ต้องเดินหน้าต่อไป
    .
    แล้วเราก็มีที่พึ่งที่เดียว คือ ดีเอสไอ ถ้าคดีมีมูล สิ่งที่เราพิสูจน์แล้วดีเอสไอเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริง เขาก็ต้องเอาเรื่องทั้งหมดที่สืบสวนสอบสวนมาแล้ว มีบทสรุปเข้าคณะกรรมการชุดใหญ่ทั้งหมด 21 คน ท่านนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นประธาน เมื่อตกลงแล้วข้อมูลที่ทำขึ้นมาจากการสืบสวนสอบสวนของดีเอสไอนั้น เขาคิดว่าน่าจะรับเป็นคดีพิเศษได้หรือเปล่า ถ้าเขารับเป็นคดีพิเศษ กระบวนการทั้งหมดก็จะเริ่มต้นจากหนึ่งใหม่
    .
    ถ้ารับเป็นคดีพิเศษ เขาก็ต้องถามว่า ผู้ใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ มีตำรวจยศอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง ต้องเรียกมาสอบทีละคนๆๆ ผมถึงบอกว่า เราเพิ่งผ่านซอยแรกไปแล้ว ตอนนี้เรากำลังเริ่มเดินเข้าซอยที่สอง แต่อย่างน้อย ปรัชญาของความจริงมีหนึ่งเดียวของเรานั้น ก็ได้รับการยืนยันว่าทุกคนกำลังเดินหน้าเข้าไปหาความจริงที่มีหนึ่งเดียว
    งานเลี้ยงขอบคุณผู้หาความจริงที่มีหนึ่งเดียว เดินสุดซอยแรกเข้าสู่ซอยที่ 2 กับดีเอสไอ . เมื่อวานซืนนี้ (22ม.ค.68 )ผมจัดงานเลี้ยงอาหารกลางวันที่บ้านพระอาทิตย์ เพื่อขอบคุณอาสาสมัครที่ร่วมช่วยเหลือจำลองเหตุการณ์ในการตกเรือสปีดโบ๊ตเสียชีวิตของน้องแตงโม-ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ คนที่เข้ามาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน มี อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, คุณหมอธวัชชัย กาญจนรินทร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมอุบัติเหตุ , คุณณวัฒน์ อิสรไกรศีล พามิสแกรนด์ที่ร่วมพิสูจน์ความจริงมาในการแสดงเป็นน้องแตงโมที่ตกน้ำ ประกอบด้วย น้องปอย มิสแกรนด์นครพนม น้องเฟ-ริน มิสแกรนด์นครสวรรค์ น้องบาร์บี้ มิสแกรนด์เชียงใหม่ น้องนิวหยก มิสแกรนด์ชุมพร น้องหนูวรรณ มิสแกรนด์ฉะเชิงเทรา นอกจากนี้ ยังมีครูลิต้า ครูว่ายน้ำสอนนางเงือก มาด้วย . ส่วนคุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ มาไม่ได้ เนื่องจากเข้ารับการผ่าตัดนิ่ว ยังไม่พอ ยังต้องถ่อสังขารออกจากโรงพยาบาลไปศาลอาญา เพื่อให้ไต่สวนคดีละเมิดอำนาจศาล . เมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา ช่วงบ่ายๆอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้เปิดเผยหนังสือที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อนุมัติสืบสวนคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโม ภัทรธิดา ว่ามีการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมทางอาญาหรือไม่ และมีบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้องหรือไม่ โดยส่งต่อผู้เชี่ยวชาญด้านคดีพิเศษรับผิดชอบดำเนินการ พร้อมหลักฐานเอกสารคำร้อง 55 แผ่น โดยท่านอธิบดีมอบหมาย พ.ต.ต.ณัฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ และแจ้งให้ผู้รับเรื่องร้องทุกข์ทราบต่อไป . ท่านผู้ชมครับ การเดินทางเพื่อหาความจริงที่มีหนึ่งเดียวของคดีน้องแตงโม ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ ก็ได้เดินทางมาถึงอย่างน้อยที่สุด ซอยแรก มาถึงสุดซอยแล้ว เรากำลังเดินเข้าซอยที่ 2 อยู่ ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีเรื่องราวส่วนตัวกับใครเลยแม้แต่นิดเดียว . มีคนพูดว่าทำไมเราต้องไปยุ่งเรื่องนี้ คนที่พูดเรื่องนี้น่าจะเป็นคนที่ไร้เดียงสา เพราะปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นก็เพราะว่าตำรวจ อัยการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอาจจะมีส่วนรับรู้หรือรับเห็น หรือจงใจทำให้เกิดช่องโหว่นี้ขึ้นมา ที่สำคัญคือเขาได้ปิดกั้นความเห็นและข้อมูลที่แตกต่างไม่ให้นำเสนอ เมื่อกระบวนการขึ้นสู่ศาล ศาลก็ไม่มีทางเลือก ก็ต้องพิจารณาเฉพาะหลักฐานที่ตำรวจและอัยการส่งมา ตรงนี้เป็นจุดอ่อนของกระบวนการยุติธรรมของไทยมาก . ตรงนี้ล่ะครับท่านผู้ชม เราไม่ได้เข้าข้างน้องแตงโม และเราไม่ได้เข้าข้างตำรวจหรือว่าคุณแม่ หรือทนายความของน้องแตงโม แต่เรายืนอยู่บนความจริงมีหนึ่งเดียว นี่คือหลักการในชีวิตของผม ซึ่งถ่ายทอดต่อไป และเป็นหลักการของอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และเผอิญมันก็ไปตรงกับหลักการของคุณหมอธวัชชัย แล้วก็มีส่วนในการที่คุณอัจฉริยะ เป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมา . บ้านพระอาทิตย์ สนธิ ลิ้มทองกุล ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ไม่ได้สนใจข้อมูลอันนี้จะไปกระเทือนใครบ้าง ถ้าข้อมูลอันนี้ออกมาแล้วพิสูจน์อย่างชัดเจนว่า เรื่องนี้จะหยุดแค่นี้ไม่ได้ ก็ต้องเดินหน้าต่อไป . แล้วเราก็มีที่พึ่งที่เดียว คือ ดีเอสไอ ถ้าคดีมีมูล สิ่งที่เราพิสูจน์แล้วดีเอสไอเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริง เขาก็ต้องเอาเรื่องทั้งหมดที่สืบสวนสอบสวนมาแล้ว มีบทสรุปเข้าคณะกรรมการชุดใหญ่ทั้งหมด 21 คน ท่านนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นประธาน เมื่อตกลงแล้วข้อมูลที่ทำขึ้นมาจากการสืบสวนสอบสวนของดีเอสไอนั้น เขาคิดว่าน่าจะรับเป็นคดีพิเศษได้หรือเปล่า ถ้าเขารับเป็นคดีพิเศษ กระบวนการทั้งหมดก็จะเริ่มต้นจากหนึ่งใหม่ . ถ้ารับเป็นคดีพิเศษ เขาก็ต้องถามว่า ผู้ใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ มีตำรวจยศอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง ต้องเรียกมาสอบทีละคนๆๆ ผมถึงบอกว่า เราเพิ่งผ่านซอยแรกไปแล้ว ตอนนี้เรากำลังเริ่มเดินเข้าซอยที่สอง แต่อย่างน้อย ปรัชญาของความจริงมีหนึ่งเดียวของเรานั้น ก็ได้รับการยืนยันว่าทุกคนกำลังเดินหน้าเข้าไปหาความจริงที่มีหนึ่งเดียว
    Like
    Love
    22
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1252 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศีลธรรมกรรมดี
    มีอยู่อาศัย
    กิเลสเลวร้าย
    ไม่พาอาศัย

    กิเลสซ่อนแอบ
    แว๊บมาแว๊บไป
    เป็นแขกโจรร้าย
    หมายฉกชิงชัย

    มักมากมูมมาม
    หามทุกข์มาให้
    เวรกรรมมากมาย
    ไม่รู้หลงเชื่อ

    สติหวั่นไหว
    ได้ตกเป็นเหยื่อ
    กิเลสพาเชื่อ
    เพื่อก่อเวรภัย

    รู้ตื่นตื่นรู้
    ดูตามจริงได้
    ธรรมล้วนทั้งหลาย
    ไม่ใช่ตัวตน

    หากเห็นว่าใช่
    หมายยึดดั้นด้น
    ก่อเกิดตัวตน
    พ้นทุกข์ไม่ได้

    ยิ่งยึดยิ่งทุกข์
    รุกโหมดั่งไฟ
    ระบายกระจาย
    ไหม้ลามไปทั่ว

    ศีลพาล้อมกรอบ
    รอบคอบพันพัว
    น้ำธรรมรดทั่ว
    พัวพันดับไฟ

    ตื่นรู้ฉลาด
    สาดธรรมกระจาย
    กิเลสสิ้นลาย
    ไกลทุกข์เบิกบาน
    ศีลธรรมกรรมดี มีอยู่อาศัย กิเลสเลวร้าย ไม่พาอาศัย กิเลสซ่อนแอบ แว๊บมาแว๊บไป เป็นแขกโจรร้าย หมายฉกชิงชัย มักมากมูมมาม หามทุกข์มาให้ เวรกรรมมากมาย ไม่รู้หลงเชื่อ สติหวั่นไหว ได้ตกเป็นเหยื่อ กิเลสพาเชื่อ เพื่อก่อเวรภัย รู้ตื่นตื่นรู้ ดูตามจริงได้ ธรรมล้วนทั้งหลาย ไม่ใช่ตัวตน หากเห็นว่าใช่ หมายยึดดั้นด้น ก่อเกิดตัวตน พ้นทุกข์ไม่ได้ ยิ่งยึดยิ่งทุกข์ รุกโหมดั่งไฟ ระบายกระจาย ไหม้ลามไปทั่ว ศีลพาล้อมกรอบ รอบคอบพันพัว น้ำธรรมรดทั่ว พัวพันดับไฟ ตื่นรู้ฉลาด สาดธรรมกระจาย กิเลสสิ้นลาย ไกลทุกข์เบิกบาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • เสริมเฮง...สร้างรวย...
    ด้วยการไหว้ขอพรต่อองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ "ไฉ่สิ่งเอี๊ย"

    ในหมู่ชนเชื้อสายจีนตั้งแต่ชาวบ้านทั่วไปจนถึงระดับชั้นผู้นำต่างล้วนมีความเชื่อที่ยาวนานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานับพันปียังคงซึ่งรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีประกอบพิธีอัญเชิญองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เข้าสู่เคหสถานบ้านเรือนหรือร้านค้าในเทศกาลตรุษจีน เพื่อความโชคดีมากมีด้วยทรัพย์สินเงินทองหรือเพื่อความเจริญรุ่งเรืองในการประกอบธุรกิจการค้าให้บังเกิดขึ้นในปีนั้นๆ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความเป็นสากลที่คงถาวรเป็นอย่างยิ่ง

    ตามปฏิทินจันทรคติจีนวันขึ้นปีใหม่หรือวันตรุษจีนจะตรงกับวัน 正月初一日(เจียหงวยชิวอิกยิ๊ก) ของทุกๆปี ซึ่งในปีพ.ศ.2568 จะตรงกับวันพุธที่ 29 มกราคมนี้ โดยมีกิ่งฟ้า/ราศีบนเป็นวัน 戊(โบ้ว) ธาตุดิน ส่วนก้านดิน/ราศีล่างเป็นวันจอ 戌 (สุก) จากหลักวิชาการคำนวนหาทิศทางการเสด็จขององค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ตามแบบฉบับโหราศาสตร์จีนแล้ว พระองค์ฯจะเสด็จมายังบ้านของผู้ที่เคารพบูชาจึงควรน้อมต้อนรับด้วยการตั้งโต๊ะบูชาหันหน้าทางทิศเหนือ เวลา 00.01-00.59 น.เป็นฤกษ์เบิกฟ้าและเป็นยามแรกเริ่มศักราชใหม่ที่ดีที่สุด

    โดยมีเครื่องสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ดังนี้

    1. ธูปหอม 3 ดอก
    2. แจกัน 1 คู่
    3. ดอกไม้สด 2 กำ
    4. เทียนแดง 1 คู่
    5. น้ำชา 茶(แต๊) 5 ถ้วย
    6. ข้าวสวย 5 ชาม
    7. ผลไม้ 5 อย่าง
    8. ขนมบัวลอยแดง 紅丸(อั่งอี๊) 5 ถ้วย
    9. ขนมจันอับ 什錦(จับกิ้ม) 1 จาน
    10. ผักเจ 齋荼(เจไฉ่) 5 อย่าง
    11. ขนมถ้วยฟู 發粿(ฮวกก้วย) 1 ก้อน
    12. 添頭銭(เทียงเถ่าจี้) 1 ชุด
    13. 金銀斗(กิมหงิ่งเต้า) 1 คู่
    14. 銀紙銭(หงิ่งเตี๋ย) 13 ชุด
    15. 大銭(ตั่วกิม) 13 ก้อน
    16. เทียบแดง 紅帖(อั่งเถียบ) 1 ชุด
    17. เทียบเขียว 青帖(แชเถียบ) 1 ชุด
    18. กระเป๋าใส่เงิน

    หมายเหตุ หากไม่มีภาพหรือรูปองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ก็ให้กล่าวคำอธิษฐานถึงพระองค์เทพท่านก็เป็นอันใช้ได้

    การประกอบพิธีสักการะบูชาองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ควรจัดเตรียมโต๊ะพร้อมเครื่องสักการะบูชาหันหน้าไปสู่ทางทิศเหนือ (กรณีที่ไม่สามารถจัดเตรียมเครื่องบวงสรวงสักการะบูชาแต่มีศรัทธาอันแรงกล้าเพียงแค่จุดธูปเทียนบูชาก็ได้) เพื่อต้อนรับองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ที่จะเสด็จมาทางทิศข้างต้นนี้ โดยเทียบแดง 紅帖(อั่งเถียบ)ให้เขียนคำเชิญ“迎接財神” (เหง็งจิกไฉ่ซิ้ง) เพื่อมารับเครื่องสักการะบูชา ส่วนเทียบเขียว 青帖(แชเถียบ) ให้เขียน ที่อยู่ ชื่อสกุล และวัน เดือน ปีเกิดของสมาชิกในบ้านทุกคน พร้อมทั้งคำขอต่างๆที่ต้องการให้องค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ประทานพรมาให้

    โดยกล่าวคำอธิษฐานอัญเชิญด้วยการเปล่งวาจาออกมาว่า

    “บัดนี้เป็นเวลาฤกษ์ยามอันเป็นมงคล ข้าพเจ้า........................................................... ด้วยความเคารพและศรัทธาต่อองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ“財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าขอกราบอัญเชิญองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เสด็จมารับเครื่องบวงสรวงสักการะบูชาอันประกอบด้วย (กล่าวถึงเครื่องสักการะบูชาทั้งหมด อีกทั้งรายละเอียดที่เขียนไว้ในเทียบเขียว 青帖(แชเถียบ) พร้อมทั้งดลบันดาลประทานพรผ่านสื่อข้าวสาร (ข้าวสารที่ตั้งรอไว้ในวันส่งองค์เทพเจ้าสู่สรวงสรรค์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 เดือนมกราคม พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา) ให้ข้าพเจ้าและสมาชิกทุกคนๆในครอบครัวจงพบกับโชคลาภทรัพย์สินเงินทอง พร้อมกับประสบผลสำเร็จดังที่มุ่งหวังตั้งใจไว้ทุกๆประการเทอญ” (หากประสงค์นอกเหนือจากคำกล่าวอธิษฐานข้างต้นแล้วก็สามารถกล่าวคำขอเพิ่มเติมต่อไปได้อีก)
    จากนั้นนำเงินในกระเป๋าที่โต๊ะบูชามานับ (โดยสมมติว่า ธนบัตร 1 ใบจะเป็นจำนวนหมื่น หรือแสน หรือล้านก็ได้เพื่อให้นับไม่รู้จบรู้สิ้น) ต่อจากนั้นนำเครื่องบวงสรวงที่เป็นกระดาษทั้งหมด รวมทั้งเทียบแดง 紅帖(อั่งเถียบ)และเทียบเขียว 青帖(แชเถียบ) ที่ได้จัดเตรียมไว้ลาต่อหน้าองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เพื่อนำไปบูชาไฟถวายแด่พระองค์ท่านฯ และหลังจากบูชาไฟเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วให้กล่าวคำอัญเชิญองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เสด็จเข้าบ้าน พร้อมทั้งนำกระถางธูปเข้าผ่านประตูบ้านเพื่อให้องค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เสด็จประทับ ณ ที่บ้านของท่าน อีกทั้งนำข้าวสารที่ผ่านการประกอบพิธีกรรมนำมาผสมกับข้าวสารที่เก็บไว้เพื่อหุงรับประทานในเช้าวันนั้นจะได้เกิดความสิริมงคลต่อสมาชิกทุกคนในครอบครัว เป็นอันสำเร็จเสร็จสิ้นพิธีการบวงสรวงครบถ้วนกระบวนความ
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    เสริมเฮง...สร้างรวย... ด้วยการไหว้ขอพรต่อองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ "ไฉ่สิ่งเอี๊ย" ในหมู่ชนเชื้อสายจีนตั้งแต่ชาวบ้านทั่วไปจนถึงระดับชั้นผู้นำต่างล้วนมีความเชื่อที่ยาวนานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานับพันปียังคงซึ่งรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีประกอบพิธีอัญเชิญองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เข้าสู่เคหสถานบ้านเรือนหรือร้านค้าในเทศกาลตรุษจีน เพื่อความโชคดีมากมีด้วยทรัพย์สินเงินทองหรือเพื่อความเจริญรุ่งเรืองในการประกอบธุรกิจการค้าให้บังเกิดขึ้นในปีนั้นๆ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความเป็นสากลที่คงถาวรเป็นอย่างยิ่ง ตามปฏิทินจันทรคติจีนวันขึ้นปีใหม่หรือวันตรุษจีนจะตรงกับวัน 正月初一日(เจียหงวยชิวอิกยิ๊ก) ของทุกๆปี ซึ่งในปีพ.ศ.2568 จะตรงกับวันพุธที่ 29 มกราคมนี้ โดยมีกิ่งฟ้า/ราศีบนเป็นวัน 戊(โบ้ว) ธาตุดิน ส่วนก้านดิน/ราศีล่างเป็นวันจอ 戌 (สุก) จากหลักวิชาการคำนวนหาทิศทางการเสด็จขององค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ตามแบบฉบับโหราศาสตร์จีนแล้ว พระองค์ฯจะเสด็จมายังบ้านของผู้ที่เคารพบูชาจึงควรน้อมต้อนรับด้วยการตั้งโต๊ะบูชาหันหน้าทางทิศเหนือ เวลา 00.01-00.59 น.เป็นฤกษ์เบิกฟ้าและเป็นยามแรกเริ่มศักราชใหม่ที่ดีที่สุด โดยมีเครื่องสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ดังนี้ 1. ธูปหอม 3 ดอก 2. แจกัน 1 คู่ 3. ดอกไม้สด 2 กำ 4. เทียนแดง 1 คู่ 5. น้ำชา 茶(แต๊) 5 ถ้วย 6. ข้าวสวย 5 ชาม 7. ผลไม้ 5 อย่าง 8. ขนมบัวลอยแดง 紅丸(อั่งอี๊) 5 ถ้วย 9. ขนมจันอับ 什錦(จับกิ้ม) 1 จาน 10. ผักเจ 齋荼(เจไฉ่) 5 อย่าง 11. ขนมถ้วยฟู 發粿(ฮวกก้วย) 1 ก้อน 12. 添頭銭(เทียงเถ่าจี้) 1 ชุด 13. 金銀斗(กิมหงิ่งเต้า) 1 คู่ 14. 銀紙銭(หงิ่งเตี๋ย) 13 ชุด 15. 大銭(ตั่วกิม) 13 ก้อน 16. เทียบแดง 紅帖(อั่งเถียบ) 1 ชุด 17. เทียบเขียว 青帖(แชเถียบ) 1 ชุด 18. กระเป๋าใส่เงิน หมายเหตุ หากไม่มีภาพหรือรูปองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ก็ให้กล่าวคำอธิษฐานถึงพระองค์เทพท่านก็เป็นอันใช้ได้ การประกอบพิธีสักการะบูชาองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ควรจัดเตรียมโต๊ะพร้อมเครื่องสักการะบูชาหันหน้าไปสู่ทางทิศเหนือ (กรณีที่ไม่สามารถจัดเตรียมเครื่องบวงสรวงสักการะบูชาแต่มีศรัทธาอันแรงกล้าเพียงแค่จุดธูปเทียนบูชาก็ได้) เพื่อต้อนรับองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ที่จะเสด็จมาทางทิศข้างต้นนี้ โดยเทียบแดง 紅帖(อั่งเถียบ)ให้เขียนคำเชิญ“迎接財神” (เหง็งจิกไฉ่ซิ้ง) เพื่อมารับเครื่องสักการะบูชา ส่วนเทียบเขียว 青帖(แชเถียบ) ให้เขียน ที่อยู่ ชื่อสกุล และวัน เดือน ปีเกิดของสมาชิกในบ้านทุกคน พร้อมทั้งคำขอต่างๆที่ต้องการให้องค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ประทานพรมาให้ โดยกล่าวคำอธิษฐานอัญเชิญด้วยการเปล่งวาจาออกมาว่า “บัดนี้เป็นเวลาฤกษ์ยามอันเป็นมงคล ข้าพเจ้า........................................................... ด้วยความเคารพและศรัทธาต่อองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ“財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าขอกราบอัญเชิญองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เสด็จมารับเครื่องบวงสรวงสักการะบูชาอันประกอบด้วย (กล่าวถึงเครื่องสักการะบูชาทั้งหมด อีกทั้งรายละเอียดที่เขียนไว้ในเทียบเขียว 青帖(แชเถียบ) พร้อมทั้งดลบันดาลประทานพรผ่านสื่อข้าวสาร (ข้าวสารที่ตั้งรอไว้ในวันส่งองค์เทพเจ้าสู่สรวงสรรค์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 เดือนมกราคม พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา) ให้ข้าพเจ้าและสมาชิกทุกคนๆในครอบครัวจงพบกับโชคลาภทรัพย์สินเงินทอง พร้อมกับประสบผลสำเร็จดังที่มุ่งหวังตั้งใจไว้ทุกๆประการเทอญ” (หากประสงค์นอกเหนือจากคำกล่าวอธิษฐานข้างต้นแล้วก็สามารถกล่าวคำขอเพิ่มเติมต่อไปได้อีก) จากนั้นนำเงินในกระเป๋าที่โต๊ะบูชามานับ (โดยสมมติว่า ธนบัตร 1 ใบจะเป็นจำนวนหมื่น หรือแสน หรือล้านก็ได้เพื่อให้นับไม่รู้จบรู้สิ้น) ต่อจากนั้นนำเครื่องบวงสรวงที่เป็นกระดาษทั้งหมด รวมทั้งเทียบแดง 紅帖(อั่งเถียบ)และเทียบเขียว 青帖(แชเถียบ) ที่ได้จัดเตรียมไว้ลาต่อหน้าองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เพื่อนำไปบูชาไฟถวายแด่พระองค์ท่านฯ และหลังจากบูชาไฟเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วให้กล่าวคำอัญเชิญองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เสด็จเข้าบ้าน พร้อมทั้งนำกระถางธูปเข้าผ่านประตูบ้านเพื่อให้องค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เสด็จประทับ ณ ที่บ้านของท่าน อีกทั้งนำข้าวสารที่ผ่านการประกอบพิธีกรรมนำมาผสมกับข้าวสารที่เก็บไว้เพื่อหุงรับประทานในเช้าวันนั้นจะได้เกิดความสิริมงคลต่อสมาชิกทุกคนในครอบครัว เป็นอันสำเร็จเสร็จสิ้นพิธีการบวงสรวงครบถ้วนกระบวนความ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณงามความดี
    มีอยู่เชื่อมั่น
    เพียรพาบากบั่น
    หมั่นเพียรขวนขวาย

    สติให้มี
    ดีงามมุ่งหมาย
    สมาธิได้
    ให้ปัญญาธรรม

    ระวังกายใจ
    ไม่ให้บาปกรรม
    ดีงามศีลธรรม
    นำดับทุกข์ภัย
    คุณงามความดี มีอยู่เชื่อมั่น เพียรพาบากบั่น หมั่นเพียรขวนขวาย สติให้มี ดีงามมุ่งหมาย สมาธิได้ ให้ปัญญาธรรม ระวังกายใจ ไม่ให้บาปกรรม ดีงามศีลธรรม นำดับทุกข์ภัย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • จริยธรรม
    กรรมดีกุศล
    พาทุกข์หลุดพ้น
    หนทางดีแน่

    จริยมาร
    พาลพาย่ำแย่
    มีแต่พ่ายแพ้
    แถสู่ทุกข์ภัย

    ดีกุศลกรรม
    ชำนาญดีไว้
    วาสนาได้
    ให้คุณชีวี

    เพียรไม่หยุดยั้ง
    สั่งสมความดี
    เป็นบารมี
    ดีธรรมครรลอง

    ทานศีลเนกขัมม์
    ปัญญาเพียรพ้อง
    อดทนถูกต้อง
    ครองสัจจะเดิน

    อธิษฐานพา
    เมตตาธรรมเชิญ
    ไม่ขาดไม่เกิน
    เพลินอุเบกขา

    ขอให้มีธรรมกรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ สาธุ!
    จริยธรรม กรรมดีกุศล พาทุกข์หลุดพ้น หนทางดีแน่ จริยมาร พาลพาย่ำแย่ มีแต่พ่ายแพ้ แถสู่ทุกข์ภัย ดีกุศลกรรม ชำนาญดีไว้ วาสนาได้ ให้คุณชีวี เพียรไม่หยุดยั้ง สั่งสมความดี เป็นบารมี ดีธรรมครรลอง ทานศีลเนกขัมม์ ปัญญาเพียรพ้อง อดทนถูกต้อง ครองสัจจะเดิน อธิษฐานพา เมตตาธรรมเชิญ ไม่ขาดไม่เกิน เพลินอุเบกขา ขอให้มีธรรมกรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ สาธุ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจตนาดี
    มีศีลมีธรรม
    ลงมือก่อกรรม
    บำบัดทุกข์ภัย

    ปรารถนาดี
    มีเผยแผ่ไป
    ดีร่วมอาศัย
    ให้งานเจริญ

    ชีวียุ่งจัง
    ยังต้องดำเนิน
    ทุกข์มีเผชิญ
    เดินอย่างมั่นใจ

    ก้าววางย่างเดิน
    เผชิญมุ่งไป
    สติอาศัย
    ให้ดีมั่นคง

    ก้าวขึ้นปล่อยล่าง
    วางให้ถูกตรง
    ถึงที่ปลดลง
    ปลงได้ดีแล้ว
    เจตนาดี มีศีลมีธรรม ลงมือก่อกรรม บำบัดทุกข์ภัย ปรารถนาดี มีเผยแผ่ไป ดีร่วมอาศัย ให้งานเจริญ ชีวียุ่งจัง ยังต้องดำเนิน ทุกข์มีเผชิญ เดินอย่างมั่นใจ ก้าววางย่างเดิน เผชิญมุ่งไป สติอาศัย ให้ดีมั่นคง ก้าวขึ้นปล่อยล่าง วางให้ถูกตรง ถึงที่ปลดลง ปลงได้ดีแล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทกลอนเฮฮา(ที่เฮฮาไม่ลง)
    คนเก่งมีมากมาย คนดีหายากยิ่ง
    คนเก่งมีทุกสิ่ง แต่คนดีไม่มีใคร
    คนชั่วคนจัญไร เอาไปไม่เกรงใจ
    คนดีมีแต่ให้ ได้มาให้ต่อไป
    ไม่เหมือนคนชาติชั่ว ชอบกลัวที่จะให้
    มอดไหม้ชีวาวาย ไม่เคยคิดให้ใคร
    ชีวิตแสนหดหู่ อยู่ไปไม่ได้ใช้
    ผลบุญก็ไม่มี ตกนรกชีพวาย
    คนดีอยู่ที่ไหน ไม่มีรึสูญหาย
    ก่อนดับชีวาวาย ปลายฟ้าจักคว้ามา
    ให้โลกสงบสุข ลูกนั้นจะตามหา
    คว้าคนดีมาช่วย อำนวยสันติสุข
    ผู้ซึ่งมีธรรมะ ละเว้นซึ่งกิเลส
    เจตนาใฝ่ดี มีศีลอยู่ในใจ
    ให้สร้างสันติสุข ทุกที่ชุ่มฉ่ำใจ
    ด้วยคนดีปกครอง ผองไทยศิวิไล
    บทกลอนเฮฮา(ที่เฮฮาไม่ลง) คนเก่งมีมากมาย คนดีหายากยิ่ง คนเก่งมีทุกสิ่ง แต่คนดีไม่มีใคร คนชั่วคนจัญไร เอาไปไม่เกรงใจ คนดีมีแต่ให้ ได้มาให้ต่อไป ไม่เหมือนคนชาติชั่ว ชอบกลัวที่จะให้ มอดไหม้ชีวาวาย ไม่เคยคิดให้ใคร ชีวิตแสนหดหู่ อยู่ไปไม่ได้ใช้ ผลบุญก็ไม่มี ตกนรกชีพวาย คนดีอยู่ที่ไหน ไม่มีรึสูญหาย ก่อนดับชีวาวาย ปลายฟ้าจักคว้ามา ให้โลกสงบสุข ลูกนั้นจะตามหา คว้าคนดีมาช่วย อำนวยสันติสุข ผู้ซึ่งมีธรรมะ ละเว้นซึ่งกิเลส เจตนาใฝ่ดี มีศีลอยู่ในใจ ให้สร้างสันติสุข ทุกที่ชุ่มฉ่ำใจ ด้วยคนดีปกครอง ผองไทยศิวิไล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความจากความรู้สึก 6
    คนดีที่แท้จริงนั้น หายากมากๆ มากๆๆๆเลย คนดีหายากยิ่ง แต่ใช่ว่าจะไม่มีคนดีอยู่ในตอนนี้ ยัง...ยังมีคนดีอยู่...(และฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อพวกเค้า)
    คนส่วนใหญ่มักชอบที่จะเป็นคนเก่งๆมากกว่าที่จะเป็นคนที่ดีๆ โดยเฉพาะคนที่ดีแท้ ก็เพราะว่ามันเป็นกันง่ายๆนั่นเอง
    และคนที่เก่งและแถมเป็นคนที่ดีด้วยนั้น ในประเทศไทยนี้นั้น มันหาได้ยากยิ่งมากๆเลย แถมกับยังมีความกล้าพอที่จะกล้าแสดงออกมา และต่อสู้ด้วยกันกับอุดมการณ์ของตนเอง ในแบบที่ตัวเองเป็น และจะเป็นตลอดไป ในประเทศไทยนี้นั้น หาได้โคตรยากมากๆ มากๆๆๆๆๆๆ
    ที่เห็นอยู่ในประเทศไทยนี้นั้น ที่ชัดเจนที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นคุณลุงตัวอย่างของผมนั่นเอง คนๆนั้นคือ ลุงตั๊บ(ลุงสนธิ ลิ้มทองกุล)นั่นเอง
    ซึ่งถ้าหากว่าใครจะกล่าวหาด่าว่าผมเป็นพวกเหี้ยเสื้อเหลืองพันธมิตรฯก็ช่างหัวพวกคุณ แต่อย่างน้อยผมก็มีความกล้าพอที่จะเป็นตัวของตนเอง และกล้าพอที่จะตายคาอุดมการณ์ที่ผมนั้นเชื่อมั่นยึดถึออยู่ตลอดเวลา และอย่างน้อยที่สุดผมก็เป็นคนที่กล้าพอที่จะเป็นคนดีที่แท้จริง ที่กล้าที่จะสู้ชนกับทุกสิ่งที่ชั่วช้าเลวทรามในสังคมคนชั่วที่เห็นแก่ตัวกันในประเทศไทยนี้ที่เสื่อมทรามในศีลธรรมลงในสังคมเน่าๆอย่างนี้นั่นเอง
    ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ท่านทรงสอนลูกๆของท่านทุกๆคนให้เป็นคนที่ดีมากกว่าที่จะเป็นคนที่เก่งแต่เพียงอย่างเดียว และท่านก็มักที่จะทรงสอนให้ทุกๆคนเป็นคนที่มีดีด้วยและเป็นคนที่เก่งอีกด้วย แต่ท่านจะทรงเน้นหนักไปที่คนดีเสียมากกว่านั่นเอง
    สุดท้ายนี้ คนที่รู้ตัวเองดียิ่งกว่าใครๆคือตนเองนั่นเอง
    และอย่าหวังว่า "ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ชั่วยิ่งกว่าใคร" นั่นเป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้นเอง "ทำดีย่อมต้องได้ดี ทำชั่วย่อมต้องได้ชั่ว" อย่างแน่นอน "ทำอย่างไร ย่อมได้อย่างนั้น" อยู่ดี "กรรมสนองกรรม" "ธรรมะ ย่อมอยู่เหนือกาลเวลา" ไม่เหมือนกับโลก ที่ผกผันแปรเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา
    ผมขอความกรุณาให้ทุกๆท่านที่ได้อ่านบทความนี้กรุณาทำใจและวางตัวให้เป็นกลาง และยอมรับกับความเป็นจริงในสุขทุกข์ และสรรพสิ่ง ว่ามันคือความเป็นจริงอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
    จบ
    จบแล้วจ้า
    ฮ่าๆๆๆ
    บทความจากความรู้สึก 6 คนดีที่แท้จริงนั้น หายากมากๆ มากๆๆๆเลย คนดีหายากยิ่ง แต่ใช่ว่าจะไม่มีคนดีอยู่ในตอนนี้ ยัง...ยังมีคนดีอยู่...(และฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อพวกเค้า) คนส่วนใหญ่มักชอบที่จะเป็นคนเก่งๆมากกว่าที่จะเป็นคนที่ดีๆ โดยเฉพาะคนที่ดีแท้ ก็เพราะว่ามันเป็นกันง่ายๆนั่นเอง และคนที่เก่งและแถมเป็นคนที่ดีด้วยนั้น ในประเทศไทยนี้นั้น มันหาได้ยากยิ่งมากๆเลย แถมกับยังมีความกล้าพอที่จะกล้าแสดงออกมา และต่อสู้ด้วยกันกับอุดมการณ์ของตนเอง ในแบบที่ตัวเองเป็น และจะเป็นตลอดไป ในประเทศไทยนี้นั้น หาได้โคตรยากมากๆ มากๆๆๆๆๆๆ ที่เห็นอยู่ในประเทศไทยนี้นั้น ที่ชัดเจนที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นคุณลุงตัวอย่างของผมนั่นเอง คนๆนั้นคือ ลุงตั๊บ(ลุงสนธิ ลิ้มทองกุล)นั่นเอง ซึ่งถ้าหากว่าใครจะกล่าวหาด่าว่าผมเป็นพวกเหี้ยเสื้อเหลืองพันธมิตรฯก็ช่างหัวพวกคุณ แต่อย่างน้อยผมก็มีความกล้าพอที่จะเป็นตัวของตนเอง และกล้าพอที่จะตายคาอุดมการณ์ที่ผมนั้นเชื่อมั่นยึดถึออยู่ตลอดเวลา และอย่างน้อยที่สุดผมก็เป็นคนที่กล้าพอที่จะเป็นคนดีที่แท้จริง ที่กล้าที่จะสู้ชนกับทุกสิ่งที่ชั่วช้าเลวทรามในสังคมคนชั่วที่เห็นแก่ตัวกันในประเทศไทยนี้ที่เสื่อมทรามในศีลธรรมลงในสังคมเน่าๆอย่างนี้นั่นเอง ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ท่านทรงสอนลูกๆของท่านทุกๆคนให้เป็นคนที่ดีมากกว่าที่จะเป็นคนที่เก่งแต่เพียงอย่างเดียว และท่านก็มักที่จะทรงสอนให้ทุกๆคนเป็นคนที่มีดีด้วยและเป็นคนที่เก่งอีกด้วย แต่ท่านจะทรงเน้นหนักไปที่คนดีเสียมากกว่านั่นเอง สุดท้ายนี้ คนที่รู้ตัวเองดียิ่งกว่าใครๆคือตนเองนั่นเอง และอย่าหวังว่า "ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ชั่วยิ่งกว่าใคร" นั่นเป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้นเอง "ทำดีย่อมต้องได้ดี ทำชั่วย่อมต้องได้ชั่ว" อย่างแน่นอน "ทำอย่างไร ย่อมได้อย่างนั้น" อยู่ดี "กรรมสนองกรรม" "ธรรมะ ย่อมอยู่เหนือกาลเวลา" ไม่เหมือนกับโลก ที่ผกผันแปรเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา ผมขอความกรุณาให้ทุกๆท่านที่ได้อ่านบทความนี้กรุณาทำใจและวางตัวให้เป็นกลาง และยอมรับกับความเป็นจริงในสุขทุกข์ และสรรพสิ่ง ว่ามันคือความเป็นจริงอยู่ตลอดเวลานั่นเอง จบ จบแล้วจ้า ฮ่าๆๆๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • บันทึกบทความถึงพี่สาวฮิ๊กกิของฉัน
    พี่สาวแสนสวยที่น่าสงสารของฉัน...พี่ฮิ๊กกิ...
    ชีวิตเราบนโลกที่แสนจะโหดร้ายเลวทรามนี้ มันช่างเจ็บปวดเสียเหลือเกิน
    ผมสงสารพี่จัง และก็สงสารตัวเองด้วย ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้โดยเพียงลำพังตัวคนเดียว แม้เพียงเสี้ยวเดียวของจิตวิญญาณดวงนี้
    แต่ที่ผมสงสารมากกว่าพวกเราก็คือ ลูกหลานของพวกเราในอนาคตอันใกล้ไกลข้างหน้านี้นั้น พวกเขาจะอยู่กันอย่างไรโดยปราศจากความหวัง
    เพราะในทุกๆวันคืนนี้ สังคมโลกกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
    ซึ่งเป็นผลมาจากผู้คนที่เสื่อมทรามจากศีลธรรมกันมากขึ้นๆทุกทีๆ
    เห็นแก่ตัวกัน เห็นแก่พวกพ้องกัน ไม่เห็นแก่ส่วนรวมและผู้คนอื่นๆอีกมากมายที่จะต้องทนทุกข์ทรมานกันอีกมากมายแค่ไหนเพียงไร
    กับผู้นำของสังคมที่แสนชั่วช้าเลวทรามระยำตำบอน
    ซึ่งพวกเราก็ได้แต่เพียงเฝ้าคาดหวังภวนาขอให้โลกใบนี้นั้นน่าอยู่ยิ่งขึ้นกว่าเดิมในภายภาคหน้า แต่มันคงจะเป็นไปได้ยากยิ่งนัก
    ตราบใดที่ยังไม่มีความดีในจิตใจของผู้คน ตราบนั้นโลกใบนี้ก็คงจะไม่มีความสงบสุขบังเกิดขึ้นมาได้เฉกเช่นเดียวกัน
    กับเหตุและผล มีเหตุย่อมมีผล ก็เพราะเหตุที่เกิดจากการล่มสลายเสื่อมทรามของผู้คนในโลกใบนี้ ที่ขาดความดีงาม ขาดศีลขาดธรรมกัน และนับวันก็ยิ่งจะทวีความรุนแรงมากขึ้นๆทุกทีๆ
    ผมสงสารตัวเอง สงสารพี่สาวฮิ๊กกิ และก็สงสารลูกหลานของพวกเราจริงๆเสียนี่กระไร
    แต่จะทำอย่างไรได้เล่า เราไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย
    แต่อย่างน้อยที่สุดแล้ว ผมก็จะยังคาดหวังอยู่นะ ว่าสักวันมันต้องเป็นวันของพวกเรา สักวันโลกใบนี้จะบังเกิดความสงบสุขขึ้นสักวันหนึ่ง
    ผมก็ได้แต่เฝ้าภวนาอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งฟ้าดิน หวังว่าเพื่อนพ้องเพื่อนๆธรรมชาติจะลงทัณฑ์พวกมนุษย์ผู้คนที่แสนต่ำทรามแสนชั่วช้าเลวระยำ ที่เฝ้าคอยคิดแต่จะทำร้ายทำลายผู้อื่นพวกนี้เข้าสักวันหนึ่ง
    ให้เหลือคงอยู่แต่เพียงผู้คนที่ดีมีคุณประโยชน์ต่อส่วนรวมเท่านั้นที่สามารถคงอยู่ต่อไปได้
    เพื่อที่จะสร้างสรรค์โลกใบนี้ให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นกว่าเดิมเหมือนแต่ก่อนเก่าหน้านี้ ที่มีผู้คนที่มีศีลมีธรรมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขต่อไปตลอดไป
    ผมก็ได้แต่เฝ้าหวังเฝ้าภวนา วาดหวังเอาไว้ว่าสักวันมันคงจะเป็นจริง สักวันมันคงจะเป็นวันของพวกเรา สักวันหนึ่งอย่างแน่นอน
    จากก้นบึ้งในห้วงลึกในจิตใจของผม
    แดนเจอร์
    ป.ล.ก็แล้วแต่นะ ว่าผู้คนจะคิดกันยังไง แต่โดยส่วนตัวของผมคิดอย่างนี้แหล่ะ
    (นับวันๆพี่สาวฮิ๊กกิแกก็ยิ่งจะทวีความรุนแรงในด้านอารมณ์การร้องเพลงที่เชี่ยวชาญยิ่งๆขึ้นกว่าเดิมทุกทีๆเลย)
    เพลงของพี่มันมีจิตวิญญาณที่เข้าถึงได้ลึกล้ำยิ่งจริงๆเชียว
    ผมขอชื่นชมจากใจจริงของผมจริงๆนะพี่สาวฮิ๊กกิ
    และก็สู้ชีวิตไปด้วยกันเนาะพี่สาวของผม
    บันทึกบทความถึงพี่สาวฮิ๊กกิของฉัน พี่สาวแสนสวยที่น่าสงสารของฉัน...พี่ฮิ๊กกิ... ชีวิตเราบนโลกที่แสนจะโหดร้ายเลวทรามนี้ มันช่างเจ็บปวดเสียเหลือเกิน ผมสงสารพี่จัง และก็สงสารตัวเองด้วย ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้โดยเพียงลำพังตัวคนเดียว แม้เพียงเสี้ยวเดียวของจิตวิญญาณดวงนี้ แต่ที่ผมสงสารมากกว่าพวกเราก็คือ ลูกหลานของพวกเราในอนาคตอันใกล้ไกลข้างหน้านี้นั้น พวกเขาจะอยู่กันอย่างไรโดยปราศจากความหวัง เพราะในทุกๆวันคืนนี้ สังคมโลกกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นผลมาจากผู้คนที่เสื่อมทรามจากศีลธรรมกันมากขึ้นๆทุกทีๆ เห็นแก่ตัวกัน เห็นแก่พวกพ้องกัน ไม่เห็นแก่ส่วนรวมและผู้คนอื่นๆอีกมากมายที่จะต้องทนทุกข์ทรมานกันอีกมากมายแค่ไหนเพียงไร กับผู้นำของสังคมที่แสนชั่วช้าเลวทรามระยำตำบอน ซึ่งพวกเราก็ได้แต่เพียงเฝ้าคาดหวังภวนาขอให้โลกใบนี้นั้นน่าอยู่ยิ่งขึ้นกว่าเดิมในภายภาคหน้า แต่มันคงจะเป็นไปได้ยากยิ่งนัก ตราบใดที่ยังไม่มีความดีในจิตใจของผู้คน ตราบนั้นโลกใบนี้ก็คงจะไม่มีความสงบสุขบังเกิดขึ้นมาได้เฉกเช่นเดียวกัน กับเหตุและผล มีเหตุย่อมมีผล ก็เพราะเหตุที่เกิดจากการล่มสลายเสื่อมทรามของผู้คนในโลกใบนี้ ที่ขาดความดีงาม ขาดศีลขาดธรรมกัน และนับวันก็ยิ่งจะทวีความรุนแรงมากขึ้นๆทุกทีๆ ผมสงสารตัวเอง สงสารพี่สาวฮิ๊กกิ และก็สงสารลูกหลานของพวกเราจริงๆเสียนี่กระไร แต่จะทำอย่างไรได้เล่า เราไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย แต่อย่างน้อยที่สุดแล้ว ผมก็จะยังคาดหวังอยู่นะ ว่าสักวันมันต้องเป็นวันของพวกเรา สักวันโลกใบนี้จะบังเกิดความสงบสุขขึ้นสักวันหนึ่ง ผมก็ได้แต่เฝ้าภวนาอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งฟ้าดิน หวังว่าเพื่อนพ้องเพื่อนๆธรรมชาติจะลงทัณฑ์พวกมนุษย์ผู้คนที่แสนต่ำทรามแสนชั่วช้าเลวระยำ ที่เฝ้าคอยคิดแต่จะทำร้ายทำลายผู้อื่นพวกนี้เข้าสักวันหนึ่ง ให้เหลือคงอยู่แต่เพียงผู้คนที่ดีมีคุณประโยชน์ต่อส่วนรวมเท่านั้นที่สามารถคงอยู่ต่อไปได้ เพื่อที่จะสร้างสรรค์โลกใบนี้ให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นกว่าเดิมเหมือนแต่ก่อนเก่าหน้านี้ ที่มีผู้คนที่มีศีลมีธรรมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขต่อไปตลอดไป ผมก็ได้แต่เฝ้าหวังเฝ้าภวนา วาดหวังเอาไว้ว่าสักวันมันคงจะเป็นจริง สักวันมันคงจะเป็นวันของพวกเรา สักวันหนึ่งอย่างแน่นอน จากก้นบึ้งในห้วงลึกในจิตใจของผม แดนเจอร์ ป.ล.ก็แล้วแต่นะ ว่าผู้คนจะคิดกันยังไง แต่โดยส่วนตัวของผมคิดอย่างนี้แหล่ะ (นับวันๆพี่สาวฮิ๊กกิแกก็ยิ่งจะทวีความรุนแรงในด้านอารมณ์การร้องเพลงที่เชี่ยวชาญยิ่งๆขึ้นกว่าเดิมทุกทีๆเลย) เพลงของพี่มันมีจิตวิญญาณที่เข้าถึงได้ลึกล้ำยิ่งจริงๆเชียว ผมขอชื่นชมจากใจจริงของผมจริงๆนะพี่สาวฮิ๊กกิ และก็สู้ชีวิตไปด้วยกันเนาะพี่สาวของผม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • บันทึกบทความจากความรู้สึก 1
    ความรักเท่านั้น ที่ทำให้โลกนี้น่าอยู่ เพราะรักเท่านั้น ที่ทำให้ไม่มีสงครามเกิดขึ้นมาอีกต่อไป และตลอดไป
    ทำไมถึงต้องทำสงครามกันนัก อยู่กันดีๆไม่ได้กันเลยหรือ ทำไมต้องช่วงชิงกัน แก่งแย่งชิงดีกัน แข่งขันกันไปทำไม แล้วมันได้อะไรขึ้นมากันเล่า
    คนดีตายกันหมด ก็เพราะถูกทำร้าย ถูกทำลาย ถูกฆ่าให้ตาย
    เพียงเพื่อที่จะสนองกิเลสของตนเองและพวกพ้อง
    ใครที่มันเป็นผู้ที่ก่อสงครามก่อนนั้น ขอให้มันจงพินาศย่อยยับพังทลายดับสลายไป
    ทุกๆวันนี้ โลกไม่เคยจะสงบสุขเลย เพื่อนๆธรรมชาติต่างก็เดือดร้อนกัน เหล่าผองสรรพสัตว์ต่างก็เดือดร้อนกัน
    ก็เพราะว่ามนุษย์นั้น มันทำร้ายทำลายพวกเค้า พวกเค้าจึงโกรธเกรี้ยวกราด หันมาทำร้ายทำลายมนุษย์บ้าง
    แล้วมันเป็นยังไง มนุษย์และสัตว์โลกต่างก็ต้องได้รับผลกระทบจากความเดือดร้อนนี้กันถ้วนหน้ากัน
    เพียงแค่เพราะมนุษย์นั้นมันเห็นแก่ตัวกัน อยู่กับธรรมชาติและผองเหล่าสรรพสัตว์กันดีๆไม่ได้
    มันต้องทำลายกัน มันต้องทำร้ายกัน ผลสุดท้ายมนุษย์ก็เลยถูกทำลายบ้าง
    ก็เนื่องมาจากเหตุและผลที่สมควรและคู่ควรกันนั่นเอง
    ที่ทุกวันนี้โลกนี้มันไม่น่าอยู่ ก็เพราะมนุษย์มันขาดศีลขาดธรรมกัน ขาดความดี มีแต่ความชั่ว และผลสุดท้ายนี้โลกเราจะอยู่กันอย่างไร
    สักวันมนุษย์คงต้องสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปเข้าสักวันหนึ่ง ในฐานะที่เป็นผู้ก่อความเดือดร้อนให้กับโลก
    มันจะมีมั้ยสักวัน สักวันที่เราเหล่ามนุษย์นั้นจะกลับเนื้อกลับตัวกลับใจ แล้วหันมาทำความดีต่อกัน อย่างน้อยก็กับมนุษย์ด้วยกันเอง
    ฉันนัั้นก็ได้แต่หวังภวนาให้โลกนี้จักสงบสุข และน่าอยู่ขึ้นกว่าเดิมเหมือนดังในแต่ก่อนเก่านี้
    มันจะมีมั้ยวันนั้น วันที่โลกสงบสุข และเกิดสันติสุขขึ้นมาบนโลกใบนี้น่ะ
    ขอให้มันมีวันนั้นเร็วๆไวๆเถิด
    อย่างน้อยก็ขอให้สักวันมันต้องเป็นไปตามที่ทุกเหล่าสรรพสัตว์และทุกสรรพสิ่งได้คาดหวังเอาบ้างเถิดนะ
    มันมีเพียงวิธีนี้ วิธีเดียวเท่านั้นเอง คือ "รัก" เท่านั้น
    เพราะ "ความรัก" เท่านั้นเอง ที่จะสามารถทำให้โลกนี้เกิดความสงบสุขและมีสันติสุขเกิดขึ้นมาได้
    เพียงแค่เพราะ "รัก" เท่านั้นเอง
    เพียงแค่เพราะเราเข้าใจกัน เลิกจองเวรกัน ให้อภัยกัน และช่วยเหลือกัน เท่านี้โลกก็จะเกิดความสงบสุข และสันติสุขก็จักได้บังเกิดขึ้นมากับโลกใบนี้ ทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น แม้สักเพียงเล็กน้อยก็ยังดี สาธุ...
    บันทึกบทความจากความรู้สึก 1 ความรักเท่านั้น ที่ทำให้โลกนี้น่าอยู่ เพราะรักเท่านั้น ที่ทำให้ไม่มีสงครามเกิดขึ้นมาอีกต่อไป และตลอดไป ทำไมถึงต้องทำสงครามกันนัก อยู่กันดีๆไม่ได้กันเลยหรือ ทำไมต้องช่วงชิงกัน แก่งแย่งชิงดีกัน แข่งขันกันไปทำไม แล้วมันได้อะไรขึ้นมากันเล่า คนดีตายกันหมด ก็เพราะถูกทำร้าย ถูกทำลาย ถูกฆ่าให้ตาย เพียงเพื่อที่จะสนองกิเลสของตนเองและพวกพ้อง ใครที่มันเป็นผู้ที่ก่อสงครามก่อนนั้น ขอให้มันจงพินาศย่อยยับพังทลายดับสลายไป ทุกๆวันนี้ โลกไม่เคยจะสงบสุขเลย เพื่อนๆธรรมชาติต่างก็เดือดร้อนกัน เหล่าผองสรรพสัตว์ต่างก็เดือดร้อนกัน ก็เพราะว่ามนุษย์นั้น มันทำร้ายทำลายพวกเค้า พวกเค้าจึงโกรธเกรี้ยวกราด หันมาทำร้ายทำลายมนุษย์บ้าง แล้วมันเป็นยังไง มนุษย์และสัตว์โลกต่างก็ต้องได้รับผลกระทบจากความเดือดร้อนนี้กันถ้วนหน้ากัน เพียงแค่เพราะมนุษย์นั้นมันเห็นแก่ตัวกัน อยู่กับธรรมชาติและผองเหล่าสรรพสัตว์กันดีๆไม่ได้ มันต้องทำลายกัน มันต้องทำร้ายกัน ผลสุดท้ายมนุษย์ก็เลยถูกทำลายบ้าง ก็เนื่องมาจากเหตุและผลที่สมควรและคู่ควรกันนั่นเอง ที่ทุกวันนี้โลกนี้มันไม่น่าอยู่ ก็เพราะมนุษย์มันขาดศีลขาดธรรมกัน ขาดความดี มีแต่ความชั่ว และผลสุดท้ายนี้โลกเราจะอยู่กันอย่างไร สักวันมนุษย์คงต้องสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปเข้าสักวันหนึ่ง ในฐานะที่เป็นผู้ก่อความเดือดร้อนให้กับโลก มันจะมีมั้ยสักวัน สักวันที่เราเหล่ามนุษย์นั้นจะกลับเนื้อกลับตัวกลับใจ แล้วหันมาทำความดีต่อกัน อย่างน้อยก็กับมนุษย์ด้วยกันเอง ฉันนัั้นก็ได้แต่หวังภวนาให้โลกนี้จักสงบสุข และน่าอยู่ขึ้นกว่าเดิมเหมือนดังในแต่ก่อนเก่านี้ มันจะมีมั้ยวันนั้น วันที่โลกสงบสุข และเกิดสันติสุขขึ้นมาบนโลกใบนี้น่ะ ขอให้มันมีวันนั้นเร็วๆไวๆเถิด อย่างน้อยก็ขอให้สักวันมันต้องเป็นไปตามที่ทุกเหล่าสรรพสัตว์และทุกสรรพสิ่งได้คาดหวังเอาบ้างเถิดนะ มันมีเพียงวิธีนี้ วิธีเดียวเท่านั้นเอง คือ "รัก" เท่านั้น เพราะ "ความรัก" เท่านั้นเอง ที่จะสามารถทำให้โลกนี้เกิดความสงบสุขและมีสันติสุขเกิดขึ้นมาได้ เพียงแค่เพราะ "รัก" เท่านั้นเอง เพียงแค่เพราะเราเข้าใจกัน เลิกจองเวรกัน ให้อภัยกัน และช่วยเหลือกัน เท่านี้โลกก็จะเกิดความสงบสุข และสันติสุขก็จักได้บังเกิดขึ้นมากับโลกใบนี้ ทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น แม้สักเพียงเล็กน้อยก็ยังดี สาธุ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความปรารถนาโดยแท้ของเหล่าสรรพสัตว์
    ทุกสรรพสัตว์ล้วนแล้วแต่ปรารถนาที่จะเป็นคนดี มิได้ปรารถนาที่จะเป็นคนชั่ว และล้วนแล้วแต่ต้องการที่จะได้ดี มิได้ปรารถนาที่จะได้ชั่วกันทั้งนั้น
    แต่ถ้าหากว่าต้องการที่จะได้ดีนั้น ก็จะต้องมีองค์ประกอบหลักทั้ง 3 อย่างด้วยกัน คือ
    1. จะต้องมีสติปัญญา คือ ความรอบรู้
    2. จะต้องมีหลักกำหนดบังคับตนเอง คือ ศีลธรรม
    3. จะต้องไม่หลงตัวตน คือ กิเลส
    4. จะต้องมีความมั่นคงเสมอต้นเสมอปลาย คือ ศรัทธา
    ก็เพราะว่าเหล่าสรรพสัตว์เหล่านั้นขาดหลักธรรมทั้ง 3 อย่างนี้ไปนั่นเอง จึงทำให้เหล่าสรรพสัตว์เหล่านั้น จึงได้กลับกลายเป็นคนชั่วไปนั่นเอง
    ความปรารถนาโดยแท้ของเหล่าสรรพสัตว์ ทุกสรรพสัตว์ล้วนแล้วแต่ปรารถนาที่จะเป็นคนดี มิได้ปรารถนาที่จะเป็นคนชั่ว และล้วนแล้วแต่ต้องการที่จะได้ดี มิได้ปรารถนาที่จะได้ชั่วกันทั้งนั้น แต่ถ้าหากว่าต้องการที่จะได้ดีนั้น ก็จะต้องมีองค์ประกอบหลักทั้ง 3 อย่างด้วยกัน คือ 1. จะต้องมีสติปัญญา คือ ความรอบรู้ 2. จะต้องมีหลักกำหนดบังคับตนเอง คือ ศีลธรรม 3. จะต้องไม่หลงตัวตน คือ กิเลส 4. จะต้องมีความมั่นคงเสมอต้นเสมอปลาย คือ ศรัทธา ก็เพราะว่าเหล่าสรรพสัตว์เหล่านั้นขาดหลักธรรมทั้ง 3 อย่างนี้ไปนั่นเอง จึงทำให้เหล่าสรรพสัตว์เหล่านั้น จึงได้กลับกลายเป็นคนชั่วไปนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากความหวังของฉัน สู่แรงบันดาลใจให้ผู้อื่น
    สวัสดีทุกคน ฉันมีเรื่องมาระบายความในใจ คนเราทุกคนล้วนต้องต่อสู้ ต่อสู้กับสิ่งต่างๆมามากมาย ฉันต่อสู้มานานแล้ว โดยเฉพาะกับมารในตัวเอง และบ่อยครั้งที่มารภายในตัวเองนั้นมีชัยเหนือกว่า และมันก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมีอยู่นั้นแตกสลายไป บ้างก็เสียหาย บ้างก็ตาย แต่ไม่ว่าจะมีสิ่งใดที่หายตายจากไป ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีตัวตนอยู่ สิ่งที่ฉันปรารถนาสูงสุดในชีวิตนี้นั้นก็คือ การหลุดพ้น หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดกับวงจรบ้าบอที่มันเกิดตายไม่รู้จักจบจักสิ้น หลุดพ้นจากทุกสิ่งที่มันทำให้ฉันต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่ฉันยังต้องทำอยู่ก่อนที่จะตาย นั่นคือการช่วยเหลือคนที่เค้าเป็นอย่างฉัน เจ็บปวดอย่างฉัน แต่ดูๆแล้วคงไม่มีหรอกมั้ง คนอย่างฉัน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าฉันนั้นมันเป็นตัวประหลาด เป็นตัวแปลกแยก แตกต่างจากคนอื่น แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะบางครั้งคนเราก็มีช่วงเวลาที่ท้อแท้สิ้นหวังหมดกำลังใจในชีวิตนี้ ไม่รู้จะแก้ไขปัญหาต่างๆที่ตนเองนั้นต้องเผชิญพบเจอได้อย่างไรได้ บางครั้งถึงกับคิดสั้น คิดที่จะฆ่าตัวตายไปให้มันพ้นๆจากโลกใบนี้ที่มันแสนจะทารุณก็ตามที ฉันเข้าใจในตัวคุณดี เพราะว่าฉันก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกันกับคุณ และก็มีหลายครั้งมากๆด้วย แต่การฆ่าตัวตายนั้นมันไม่ใช่ทางออกที่ดูดีนักสักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้คุณหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานในโลกนี้ไปก็ตามที แต่ก็ใช่ว่าในโลกหน้าชาติภพหน้าต่อไปของคุณนั้นจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานต่างๆเหล่านั้นได้อีก มันไม่ใช่ทางออกที่ดีและถูกต้องตรงจุดต้นเหตุสาเหตูที่แท้จริงของคุณที่คุณมีอยู่ได้ แต่อย่างน้อยฉันก็ยังยกย่องพวกคุณที่ได้ฆ่าตัวตายสำเร็จทุกๆท่านมากมายอย่างยิ่งยวด เพราะอย่างน้อยคุณก็ไม่ได้ไปทำร้ายใครไม่ได้ไปฆ่าใครเค้า และก็ยังมีความกล้าหาญเป็นอย่างยิ่งอีกด้วยที่คุณทำได้สำเร็จ แต่มันไม่ดี ในเมื่อไม่มีใครรักเราเลยสักคน อย่างน้อยๆเราก็ควรที่จะรู้จักรักตัวเราเอง ช่างหัวคนที่มันไม่รักเราไม่เข้าใจเรา พวกนั้นมันก็แค่ไอ้อีพวกผู้คนเห็นแก่ตัวเลวระยำกลุ่มหนึ่งสังคมหนึ่งในหมู่คนมากมาย คุณไม่ต้องไปสนใจใส่ใจพวกมัน ไม่ต้องไปเอาใจเราไปใส่ใจสนใจความรู้สึกของพวกมัน มันไม่เป็นอย่างเรามันไม่เคยเจ็บปวดอย่างเรา มันย่อมไม่รู้ว่ามันรู้สึกอย่างไร ทนทุกข์ทรมานมากมายแค่ไหนเพียงไร คนเราในทุกวันนี้มันขาดศีลขาดธรรม ขาดความดีงาม ขาดความจริงใจ และก็ขาดจิตใจจิตวิญญาณกันทั้งนั้น ทุกวันนี้พวกมันก็เหมือนกับซากศพซอมบี้เดินได้เข้าไปกันทุกวันๆ ผู้คนมีมากมาย แต่คนดีไม่มีเลย แทบจะหาไม่ได้แล้วในโลกอันเสื่อมทรามโสมมใบนี้ เป็นพันธุ์หายากที่ใกล้จะสูญพันธุ์เข้าไปทุกทีๆ
    ความหวังและกำลังใจเป็นสิ่งที่มีค่ามากมายยิ่งนัก มากมายยิ่งกว่าชีวิตเสียอีก นั่นก็เพราะว่าเรามีความหวังอยู่ เราถึงยังปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปในวันข้างหน้า แม้ว่าความหวังนี้นั้นมันเหมือนว่ามันจะมีอยู่ริบหรี่ก็ตามที แต่มันก็เป็นความหวัง และผู้ที่ทำลายความหวังของผู้อื่นนั้น ถือว่าเป็นคนที่ฆ่าเค้าทางอ้อมเลยก็ว่าได้ วิธีที่จะทำให้คนเราได้มีความหวังได้นั้นมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน เช่น การให้กำลังใจให้กับคนที่ท้อแท้สิ้นหวังในเวลาที่เค้าต้องการกำลังใจมากที่สุด การให้ทานแก่สรรพสัตว์น้อยใหญ่ที่เราได้ไปพบเห็นพบเจอในที่ต่างๆ โดยเฉพาะเวลาที่เค้าหิวหรือต้องการสิ่งเล็กๆน้อยๆจากใครสักคนมากที่สุด เช่น การให้อาหาร การให้ยารักษาโรค การให้เสื้อผ้าอุ่นๆสักตัวสักผืนเพื่อให้เค้าได้หายคลายจากอาการหนาวร้อนต่างๆ การให้ตังค์กับคนขอทานที่เค้าต้องการนำเงินนั้นไปซื้อของที่เค้าต้องการที่สุดในชีวิตในขณะนั้นมากที่สุด และอื่นๆอีกมากมายหลากหลายรูปแบบ การชื่นชมยินดีกับเค้าในเรื่องที่เค้าทำสำเร็จแม้ว่าเรื่องนั้นๆที่เค้าทำมันจะดูง่ายๆสำหรับเราก็ตามที แต่โดยส่วนรวมแล้วมันก็คือการแบ่งปันน้ำใจให้กับผู้อื่น การไม่ไปซ้ำเติมผู้อื่นเค้าที่เค้าต้องประสบพบเจอกับปัญหาต่างๆในชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่เราสามารถทำให้กันและกันได้นั่นเอง และก็ยังมีวิธีอื่นๆอีกมากมายหลากหลายวิธีซึ่งแล้วแต่ทุกท่านจะสามารถคิดและให้กันได้
    สรุปโดยรวมแล้วสิ่งที่ฉันอยากจะบอกกล่าวกับคุณก็คือ จงอย่าละทิ้งซึ่งความหวังความฝันของตัวเอง จงรู้จักรักตัวเอง อย่าได้ไปแคร์หรือใส่ใจในความรู้สึกของผู้อื่นหรือผู้คนในสังคมให้มันมากมายนัก เพราะไม่มีใครรู้จักเรารักเราเท่ากับตัวของเราเองหรอกนะ อย่าได้ไปหลงใหลไปตามสังคมหรือผู้อื่นที่ไหลไปตามกระแสต่างๆให้มันมากมายนัก จงเป็นตัวของตัวเองอย่างดีที่สุดนั่นล่ะดีแล้ว และท้ายที่สุดนี้ฉันก็อยากจะบอกกับคุณว่าความดีเท่านั้นที่จะเป็นเสมือนที่พึ่งสุดท้ายของเรา จงสั่งสมความดีไว้ให้มากๆ เพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถทำให้ชีวิตของคุณนั้นดำเนินไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ความดีที่เรามีอยู่นั้นจะชักนำพาสิ่งที่ดีๆในชีวิตของเรานั้นดำเนินไปในแนวทางที่เราต้องการปรารถนาอย่างแน่นอน ก็ค่อยๆทำไปทีละนิดทีละหน่อยทีละน้อย สั่งสมมันไว้ให้มากๆเข้าไว้ แล้วสักวันมันต้องมีวันของเรา วันที่เรามีความสุขที่สุดในชีวิตนี้ของเรานั่นเอง ซึ่งในตอนแรกๆมันอาจจะยากสักหน่อยหนึ่ง แต่พอทำไปมากๆเข้าแล้วมันก็จะชินไปเอง และสบายแถมทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ก็ค่อยๆพยายามทำไปเนาะ สักวันมันคงมีวันของเรา สักวันหนึ่งอย่างแน่นอน ฉันขอให้คุณจงประสบความสำเร็จในชีวิตและโชคดีตลอดไปนะ โชคดีล่ะนะ
    Hi’Everyone.I’m Danger.I want to say everyone to have faith.Faith to important for everyone.Because Have faith,Still have life too.You must to abandon the faith of your.Because,It will do you to die from humanity.And,It will do you to stronger than past.Because we have present,We have future too. Then you have future.Everything will come to you.Good luck to you.From me your best friend.
    จากความหวังของฉัน สู่แรงบันดาลใจให้ผู้อื่น สวัสดีทุกคน ฉันมีเรื่องมาระบายความในใจ คนเราทุกคนล้วนต้องต่อสู้ ต่อสู้กับสิ่งต่างๆมามากมาย ฉันต่อสู้มานานแล้ว โดยเฉพาะกับมารในตัวเอง และบ่อยครั้งที่มารภายในตัวเองนั้นมีชัยเหนือกว่า และมันก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมีอยู่นั้นแตกสลายไป บ้างก็เสียหาย บ้างก็ตาย แต่ไม่ว่าจะมีสิ่งใดที่หายตายจากไป ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีตัวตนอยู่ สิ่งที่ฉันปรารถนาสูงสุดในชีวิตนี้นั้นก็คือ การหลุดพ้น หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดกับวงจรบ้าบอที่มันเกิดตายไม่รู้จักจบจักสิ้น หลุดพ้นจากทุกสิ่งที่มันทำให้ฉันต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่ฉันยังต้องทำอยู่ก่อนที่จะตาย นั่นคือการช่วยเหลือคนที่เค้าเป็นอย่างฉัน เจ็บปวดอย่างฉัน แต่ดูๆแล้วคงไม่มีหรอกมั้ง คนอย่างฉัน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าฉันนั้นมันเป็นตัวประหลาด เป็นตัวแปลกแยก แตกต่างจากคนอื่น แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะบางครั้งคนเราก็มีช่วงเวลาที่ท้อแท้สิ้นหวังหมดกำลังใจในชีวิตนี้ ไม่รู้จะแก้ไขปัญหาต่างๆที่ตนเองนั้นต้องเผชิญพบเจอได้อย่างไรได้ บางครั้งถึงกับคิดสั้น คิดที่จะฆ่าตัวตายไปให้มันพ้นๆจากโลกใบนี้ที่มันแสนจะทารุณก็ตามที ฉันเข้าใจในตัวคุณดี เพราะว่าฉันก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกันกับคุณ และก็มีหลายครั้งมากๆด้วย แต่การฆ่าตัวตายนั้นมันไม่ใช่ทางออกที่ดูดีนักสักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้คุณหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานในโลกนี้ไปก็ตามที แต่ก็ใช่ว่าในโลกหน้าชาติภพหน้าต่อไปของคุณนั้นจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานต่างๆเหล่านั้นได้อีก มันไม่ใช่ทางออกที่ดีและถูกต้องตรงจุดต้นเหตุสาเหตูที่แท้จริงของคุณที่คุณมีอยู่ได้ แต่อย่างน้อยฉันก็ยังยกย่องพวกคุณที่ได้ฆ่าตัวตายสำเร็จทุกๆท่านมากมายอย่างยิ่งยวด เพราะอย่างน้อยคุณก็ไม่ได้ไปทำร้ายใครไม่ได้ไปฆ่าใครเค้า และก็ยังมีความกล้าหาญเป็นอย่างยิ่งอีกด้วยที่คุณทำได้สำเร็จ แต่มันไม่ดี ในเมื่อไม่มีใครรักเราเลยสักคน อย่างน้อยๆเราก็ควรที่จะรู้จักรักตัวเราเอง ช่างหัวคนที่มันไม่รักเราไม่เข้าใจเรา พวกนั้นมันก็แค่ไอ้อีพวกผู้คนเห็นแก่ตัวเลวระยำกลุ่มหนึ่งสังคมหนึ่งในหมู่คนมากมาย คุณไม่ต้องไปสนใจใส่ใจพวกมัน ไม่ต้องไปเอาใจเราไปใส่ใจสนใจความรู้สึกของพวกมัน มันไม่เป็นอย่างเรามันไม่เคยเจ็บปวดอย่างเรา มันย่อมไม่รู้ว่ามันรู้สึกอย่างไร ทนทุกข์ทรมานมากมายแค่ไหนเพียงไร คนเราในทุกวันนี้มันขาดศีลขาดธรรม ขาดความดีงาม ขาดความจริงใจ และก็ขาดจิตใจจิตวิญญาณกันทั้งนั้น ทุกวันนี้พวกมันก็เหมือนกับซากศพซอมบี้เดินได้เข้าไปกันทุกวันๆ ผู้คนมีมากมาย แต่คนดีไม่มีเลย แทบจะหาไม่ได้แล้วในโลกอันเสื่อมทรามโสมมใบนี้ เป็นพันธุ์หายากที่ใกล้จะสูญพันธุ์เข้าไปทุกทีๆ ความหวังและกำลังใจเป็นสิ่งที่มีค่ามากมายยิ่งนัก มากมายยิ่งกว่าชีวิตเสียอีก นั่นก็เพราะว่าเรามีความหวังอยู่ เราถึงยังปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปในวันข้างหน้า แม้ว่าความหวังนี้นั้นมันเหมือนว่ามันจะมีอยู่ริบหรี่ก็ตามที แต่มันก็เป็นความหวัง และผู้ที่ทำลายความหวังของผู้อื่นนั้น ถือว่าเป็นคนที่ฆ่าเค้าทางอ้อมเลยก็ว่าได้ วิธีที่จะทำให้คนเราได้มีความหวังได้นั้นมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน เช่น การให้กำลังใจให้กับคนที่ท้อแท้สิ้นหวังในเวลาที่เค้าต้องการกำลังใจมากที่สุด การให้ทานแก่สรรพสัตว์น้อยใหญ่ที่เราได้ไปพบเห็นพบเจอในที่ต่างๆ โดยเฉพาะเวลาที่เค้าหิวหรือต้องการสิ่งเล็กๆน้อยๆจากใครสักคนมากที่สุด เช่น การให้อาหาร การให้ยารักษาโรค การให้เสื้อผ้าอุ่นๆสักตัวสักผืนเพื่อให้เค้าได้หายคลายจากอาการหนาวร้อนต่างๆ การให้ตังค์กับคนขอทานที่เค้าต้องการนำเงินนั้นไปซื้อของที่เค้าต้องการที่สุดในชีวิตในขณะนั้นมากที่สุด และอื่นๆอีกมากมายหลากหลายรูปแบบ การชื่นชมยินดีกับเค้าในเรื่องที่เค้าทำสำเร็จแม้ว่าเรื่องนั้นๆที่เค้าทำมันจะดูง่ายๆสำหรับเราก็ตามที แต่โดยส่วนรวมแล้วมันก็คือการแบ่งปันน้ำใจให้กับผู้อื่น การไม่ไปซ้ำเติมผู้อื่นเค้าที่เค้าต้องประสบพบเจอกับปัญหาต่างๆในชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่เราสามารถทำให้กันและกันได้นั่นเอง และก็ยังมีวิธีอื่นๆอีกมากมายหลากหลายวิธีซึ่งแล้วแต่ทุกท่านจะสามารถคิดและให้กันได้ สรุปโดยรวมแล้วสิ่งที่ฉันอยากจะบอกกล่าวกับคุณก็คือ จงอย่าละทิ้งซึ่งความหวังความฝันของตัวเอง จงรู้จักรักตัวเอง อย่าได้ไปแคร์หรือใส่ใจในความรู้สึกของผู้อื่นหรือผู้คนในสังคมให้มันมากมายนัก เพราะไม่มีใครรู้จักเรารักเราเท่ากับตัวของเราเองหรอกนะ อย่าได้ไปหลงใหลไปตามสังคมหรือผู้อื่นที่ไหลไปตามกระแสต่างๆให้มันมากมายนัก จงเป็นตัวของตัวเองอย่างดีที่สุดนั่นล่ะดีแล้ว และท้ายที่สุดนี้ฉันก็อยากจะบอกกับคุณว่าความดีเท่านั้นที่จะเป็นเสมือนที่พึ่งสุดท้ายของเรา จงสั่งสมความดีไว้ให้มากๆ เพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถทำให้ชีวิตของคุณนั้นดำเนินไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ความดีที่เรามีอยู่นั้นจะชักนำพาสิ่งที่ดีๆในชีวิตของเรานั้นดำเนินไปในแนวทางที่เราต้องการปรารถนาอย่างแน่นอน ก็ค่อยๆทำไปทีละนิดทีละหน่อยทีละน้อย สั่งสมมันไว้ให้มากๆเข้าไว้ แล้วสักวันมันต้องมีวันของเรา วันที่เรามีความสุขที่สุดในชีวิตนี้ของเรานั่นเอง ซึ่งในตอนแรกๆมันอาจจะยากสักหน่อยหนึ่ง แต่พอทำไปมากๆเข้าแล้วมันก็จะชินไปเอง และสบายแถมทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ก็ค่อยๆพยายามทำไปเนาะ สักวันมันคงมีวันของเรา สักวันหนึ่งอย่างแน่นอน ฉันขอให้คุณจงประสบความสำเร็จในชีวิตและโชคดีตลอดไปนะ โชคดีล่ะนะ Hi’Everyone.I’m Danger.I want to say everyone to have faith.Faith to important for everyone.Because Have faith,Still have life too.You must to abandon the faith of your.Because,It will do you to die from humanity.And,It will do you to stronger than past.Because we have present,We have future too. Then you have future.Everything will come to you.Good luck to you.From me your best friend.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 51
    มีศีล เป็น คน
    ขาดศีล เป็น เดรัจฉาน
    ขาดธรรม เป็น อสูรกาย
    ขาดความดี เป็น สัตว์นรก
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 51 มีศีล เป็น คน ขาดศีล เป็น เดรัจฉาน ขาดธรรม เป็น อสูรกาย ขาดความดี เป็น สัตว์นรก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำอธิบายการเป็นราชาผู้พิทักษ์แห่งความมืดของฉัน
    ราชาผู้พิทักษ์มีอยู่สองแบบ คือ
    หนึ่ง เป็นโดยกำเนิด ซึ่งก็คือการที่มีพรสวรรค์ที่พิเศษมาตั้งแต่กำเนิด โดยอาศัยปัจจัยที่สำคัญมากยิ่ง หนึ่งในนั้นก็คือ บุญญาธิการ หรือ บุญกุศลบุญบารมี ที่เคยได้เคยกระทำมาแล้วในอดีตชาตินั่นเอง
    สอง เป็นโดยความสามรถ ซึ่งก็คือการฝึกฝนอบรมขัดเกลาความสามารถในด้านต่างๆโดยได้รับการอบรมสั่งสอนจากผู้อื่น หรือ โดยบังคับโดยสภาวะแวดล้อมในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจกระทำด้วยตนเองก็ตาม
    ซึ่งโดยในตัวของฉันนั้นเองนั้นเป็นโดยความสามารถนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลยในการเป็นราชาผู้พิทักษ์ของฉันนั้น ฉันฝึกฝนตนเองโดยใช้ธรรมะในการฝึกฝนความสามารถพิเศษต่างๆจากการศึกษาหาความรู้จากในหนังสือธรรมะ การปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่างๆมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสะสมบุญกุศลบุญบารมีในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีล และการภาวนา(สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน นั่งสมาธิ)และก็จะต้องทำทุกวันทุกคืนไม่ได้ขาดเลย เพราะว่าของมันจะเสื่อมลง ยกเว้นตอนป่วย เพราะตอนคนเราป่วยไข้นั้น มันจะทำให้เราไม่สามารถทำได้อย่างสบาย หรือ ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่นัก(ก็คนมันป่วยนี่นะ มันมีคนป่วยที่ไหนมันเดินมันวิ่งได้ล่ะ ไม่มีหรอก ฮ่าๆๆ)ซึ่งแต่ก่อนที่ฉันจะหันมาเข้าสู่ทางธรรมนั้น ฉันก็ได้พลังมาโดยการเป็นบ้า คลั่ง ฟุ้งซ่าน และได้รับพลังมาโดยการถูกมารร้ายเข้าสิงร่าง ซึ่งในตอนนั้นฉันนั้นไม่สามารถควบคุมพลังของมารร้ายได้ และได้รับพลังเข้ามามากจนเกินกำลังความสามารถที่ฉันนั้นจะสามารถควบคุมพลังของมารร้ายตนนั้นได้ ซึ่งอย่าว่าแต่คิดที่จะควบคุมพลังเลย แค่ควบคุมตัวเองฉันยังทำไม่ได้เลย(ให้ตายสิว่ะ)ซึ่งมันก็เหมือนกับคนถูกของสั่งใส่หรือคนถูกผีเข้านั่นแหล่ะ แต่มันจะต่างกันตรงที่คนที่ถูกผีเข้าจะไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่มีสติ และก็จะจำอะไรไม่ได้เลย ในตอนที่ถูกผีเข้าสิงร่าง แต่การถูกมารร้ายเข้าสิงมันไม่เหมือนกัน มันต่างกันตรงที่มีสติ พูดจารู้เรื่อง แต่จะปวดหัวมาก เหมือนหัวมันจะระเบิดออกมาให้ได้เลยยังไงยังงั้น แต่มันไม่ระเบิดออกมาจริงๆก็เท่านั้นเอง(ถ้าหัวคนเรามันระเบิดออกมาจริงๆ มันก็ตายคาที่ตรงนั้นไปแล้ว)และก็จะต้องระบายอารมณ์ความโกรธเกรี้ยวกราดออกมาเพื่อที่จะทำให้มันหายปวดหัวนั่นเองแหล่ะ มันเหมือนกับการทำให้ตัวเองหายเหนื่อยโดยการพักผ่อนนั่นเอง แต่ตอนนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นแล้วล่ะ ฉันสามารถควบคุมมันและพลังได้แล้ว โดยใช้ธรรมะเป็นตัวควบคุมและเป็นแรงผลักดันในการเพิ่มพลังความสามารถของฉันให้มีมากขึ้นยิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆ(ทุกวันนี้ฉันยังไม่เคยใช้พลังของตัวเองที่มีอย่างสูงสุดขีดอย่างเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลย ไม่มีโอกาสใช้เลยว่ะ)และความสามารถที่แท้จริงของฉันก็ยังไม่ถึงขีดสุดเลย เพราะขีดสูงสุดของพลังที่แท้จริงนั้นมันจะต้องเปิดพลังจักรวาล ซึ่งมีอยู่ทางเดียวนั่นเองก็คือการบรรลุมรรคผลนิพพานเท่านั้น พอถึงจุดนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดต่อต้านฉันได้อีกต่อไป นอกจากตัวเอง แต่แม้แต่พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ยังตายเลย ฉันเองก็ต้องตายเหมือนกัน ไม่มีใครอยู่ยงค้ำฟ้าไปตลอดกาลหรอก ซึ่งมันก็จะมีคนรุ่นใหม่ๆมาทดแทนเป็นยุคสมัยใหม่ต่อไปนั่นแหล่ะ
    ที่ฉันเป็นราชาได้ไม่ใช่เพราะว่าฉันแข็งแกร่งแต่เพียงอย่างเดียวหรอกนะ มันต้องมีองค์ประกอบปัจจัยในหลายๆอย่างมันถึงจะแข็งแกร่งได้ เช่น มีร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ มีธรรมะ มีความดีงาม มีบุญกุศลบุญบารมี มีคุณธรรม มีศีลธรรม มีปัญญาญาณ และก็ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายหลายอย่างเลยนะ และคนชั่ว คนเลว คนไม่ดี คนไม่มีศีลมีธรรม มันเป็นราชาไม่ได้หรอก เค้าไม่ให้มันเป็น(ฉันหมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ)มันจะต้องได้รับความอนุญาตอนุเคราะห์จากเค้าก่อนนะ ถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งจะรับรู้ได้โดยญาณของตนเอง เมื่อฝึกฝนมาเต็มที่เต็มภูมิแล้วนั่นเอง แค่เป็นคนเก่งอย่างเดียวมันไม่พอหรอกนะ มันต้องเป็นคนดีด้วย มันถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งฉันเห็นไอ้พวกที่มันอยากจะเป็นอย่างฉันนั้นมันมีมากมายเยอะแยะกันเสียเหลือเกินนักหนา แต่มันก็เป็นไม่ได้หรอก เผลอๆดีไม่ดีมันจะกลายเป็นบ้ากันไปหมดทุกคนเลยนะ เพราะเค้าไม่อนุญาตให้มันเป็น แล้วก็อีกอย่างนึงนะ ไอ้พวกนี้มันชอบเลียนแบบฉันกันนักเชียว กะอีแค่ชื่อนามแฝงของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึงชื่อ Dark Danger นะ)ตำแหน่งของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึง The King Of Dark นะ แต่ตำแหน่งนี้มันเป็นแค่ราชาแห่งความมืดธรรมดาทั่วไป)ซึ่งแค่ตำแหน่งมันก็ไม่เท่าไหร่ เพราะว่าผู้ที่มีคุณสมบัติของราชาแห่งความมืดนี้มีถึง หนึ่ง ใน หนึ่งล้าน คน แต่ว่าผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดนั้นมีเพียงแค่ หนึ่ง ใน หนึ่งพันล้าน คน เท่านั้น แต่ผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงนั้นมีเพียง หนึ่ง ใน หนึ่งล้านล้าน คน เท่านั้นเอง ซึ่งประชากรในโลกนี้มีเพียงหลายพันล้านคนในปัจจุบัน และฉันก็ปรารถนาที่จะเป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงในอนาคตให้จงได้เลย(เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียใจในภายหลังว่าชาติหนึ่งนี้จะไม่ได้เป็น ฉันจะเป็นให้จงได้)ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปในอนาคตอันไกลข้างหน้า ไม่ใช่เพื่อตัวของฉันเองเพียงแค่คนเดียว เพราะว่าการเป็นราชานั้นมันจะต้องแลกกับการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เป็นราชาแล้วมันดูเท่ ดูดี เป็นแล้วมันสบาย ไม่ใช่อย่างนั้นอย่างแน่นอน มีตำแหน่งก็ต้องมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำ ไม่ใช่ไม่มี ซึ่งมันก็เหมือนกันกับในหนังไอ้แมงมุมและหนังอื่นๆที่ว่า “พลังที่ยิ่งใหญ่ มักจะมากับภาระที่ใหญ่ยิ่ง” นั่นเอง และคนที่เคยได้ไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของตำแหน่งราชาที่แท้จริงก็มีให้เห็นเป็นประจักษ์พยานแล้วอยู่คนหนึ่ง คนที่ทุกคนรักและเทิดทูนบูชายิ่งกว่าราชาทั่วไป ราชาที่แท้จริง ราชาเหนือราชาทั้งปวง แค่เอ่ยแค่นี้ก็คงจะนึกออกได้ทันทีทันใด ถ้ายังนึกไม่ออกก็จะบอกให้ คนๆนั้นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่งเองไง
    “ฉันจะเป็นราชาที่แท้จริงให้จงได้ เป็นให้ได้อย่างท่านให้จงได้ ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)”
    “ชั่วชีวิตนี้ลูกขอมอบไว้ให้กับพวกท่าน แด่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ตราบใดที่ลูกยังอยู่ ลูกจะขอสืบทอดสานต่อซึ่งเจตจำนงบรรพชน อุดมการณ์พันธมิตรฯ และภารกิจของพวกท่านต่อไป และตลอดไป”
    ป.ล.ใครอยากจะเป็นราชาแห่งความมืดก็เป็นไป แต่จงจำไว้อย่างนึง คือ ใครที่มันล้อเล่นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันไม่มีทางได้ดีมีความสุขอย่างแน่นอน(เผลอๆมันจะตายโหงตายห่าโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ตายก็ทรมาน เป็นบ้ากัน ทนทุกขเวทนาตลอดชีวิต ตกลงนรกหมกไหม้กันทังเป็นและตายไป)ฉันเตือนแล้วนะ ถ้าไม่อยากเป็นบ้า ก็ขอให้เลิกเป็นซะ แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ
    คำอธิบายการเป็นราชาผู้พิทักษ์แห่งความมืดของฉัน ราชาผู้พิทักษ์มีอยู่สองแบบ คือ หนึ่ง เป็นโดยกำเนิด ซึ่งก็คือการที่มีพรสวรรค์ที่พิเศษมาตั้งแต่กำเนิด โดยอาศัยปัจจัยที่สำคัญมากยิ่ง หนึ่งในนั้นก็คือ บุญญาธิการ หรือ บุญกุศลบุญบารมี ที่เคยได้เคยกระทำมาแล้วในอดีตชาตินั่นเอง สอง เป็นโดยความสามรถ ซึ่งก็คือการฝึกฝนอบรมขัดเกลาความสามารถในด้านต่างๆโดยได้รับการอบรมสั่งสอนจากผู้อื่น หรือ โดยบังคับโดยสภาวะแวดล้อมในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจกระทำด้วยตนเองก็ตาม ซึ่งโดยในตัวของฉันนั้นเองนั้นเป็นโดยความสามารถนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลยในการเป็นราชาผู้พิทักษ์ของฉันนั้น ฉันฝึกฝนตนเองโดยใช้ธรรมะในการฝึกฝนความสามารถพิเศษต่างๆจากการศึกษาหาความรู้จากในหนังสือธรรมะ การปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่างๆมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสะสมบุญกุศลบุญบารมีในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีล และการภาวนา(สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน นั่งสมาธิ)และก็จะต้องทำทุกวันทุกคืนไม่ได้ขาดเลย เพราะว่าของมันจะเสื่อมลง ยกเว้นตอนป่วย เพราะตอนคนเราป่วยไข้นั้น มันจะทำให้เราไม่สามารถทำได้อย่างสบาย หรือ ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่นัก(ก็คนมันป่วยนี่นะ มันมีคนป่วยที่ไหนมันเดินมันวิ่งได้ล่ะ ไม่มีหรอก ฮ่าๆๆ)ซึ่งแต่ก่อนที่ฉันจะหันมาเข้าสู่ทางธรรมนั้น ฉันก็ได้พลังมาโดยการเป็นบ้า คลั่ง ฟุ้งซ่าน และได้รับพลังมาโดยการถูกมารร้ายเข้าสิงร่าง ซึ่งในตอนนั้นฉันนั้นไม่สามารถควบคุมพลังของมารร้ายได้ และได้รับพลังเข้ามามากจนเกินกำลังความสามารถที่ฉันนั้นจะสามารถควบคุมพลังของมารร้ายตนนั้นได้ ซึ่งอย่าว่าแต่คิดที่จะควบคุมพลังเลย แค่ควบคุมตัวเองฉันยังทำไม่ได้เลย(ให้ตายสิว่ะ)ซึ่งมันก็เหมือนกับคนถูกของสั่งใส่หรือคนถูกผีเข้านั่นแหล่ะ แต่มันจะต่างกันตรงที่คนที่ถูกผีเข้าจะไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่มีสติ และก็จะจำอะไรไม่ได้เลย ในตอนที่ถูกผีเข้าสิงร่าง แต่การถูกมารร้ายเข้าสิงมันไม่เหมือนกัน มันต่างกันตรงที่มีสติ พูดจารู้เรื่อง แต่จะปวดหัวมาก เหมือนหัวมันจะระเบิดออกมาให้ได้เลยยังไงยังงั้น แต่มันไม่ระเบิดออกมาจริงๆก็เท่านั้นเอง(ถ้าหัวคนเรามันระเบิดออกมาจริงๆ มันก็ตายคาที่ตรงนั้นไปแล้ว)และก็จะต้องระบายอารมณ์ความโกรธเกรี้ยวกราดออกมาเพื่อที่จะทำให้มันหายปวดหัวนั่นเองแหล่ะ มันเหมือนกับการทำให้ตัวเองหายเหนื่อยโดยการพักผ่อนนั่นเอง แต่ตอนนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นแล้วล่ะ ฉันสามารถควบคุมมันและพลังได้แล้ว โดยใช้ธรรมะเป็นตัวควบคุมและเป็นแรงผลักดันในการเพิ่มพลังความสามารถของฉันให้มีมากขึ้นยิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆ(ทุกวันนี้ฉันยังไม่เคยใช้พลังของตัวเองที่มีอย่างสูงสุดขีดอย่างเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลย ไม่มีโอกาสใช้เลยว่ะ)และความสามารถที่แท้จริงของฉันก็ยังไม่ถึงขีดสุดเลย เพราะขีดสูงสุดของพลังที่แท้จริงนั้นมันจะต้องเปิดพลังจักรวาล ซึ่งมีอยู่ทางเดียวนั่นเองก็คือการบรรลุมรรคผลนิพพานเท่านั้น พอถึงจุดนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดต่อต้านฉันได้อีกต่อไป นอกจากตัวเอง แต่แม้แต่พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ยังตายเลย ฉันเองก็ต้องตายเหมือนกัน ไม่มีใครอยู่ยงค้ำฟ้าไปตลอดกาลหรอก ซึ่งมันก็จะมีคนรุ่นใหม่ๆมาทดแทนเป็นยุคสมัยใหม่ต่อไปนั่นแหล่ะ ที่ฉันเป็นราชาได้ไม่ใช่เพราะว่าฉันแข็งแกร่งแต่เพียงอย่างเดียวหรอกนะ มันต้องมีองค์ประกอบปัจจัยในหลายๆอย่างมันถึงจะแข็งแกร่งได้ เช่น มีร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ มีธรรมะ มีความดีงาม มีบุญกุศลบุญบารมี มีคุณธรรม มีศีลธรรม มีปัญญาญาณ และก็ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายหลายอย่างเลยนะ และคนชั่ว คนเลว คนไม่ดี คนไม่มีศีลมีธรรม มันเป็นราชาไม่ได้หรอก เค้าไม่ให้มันเป็น(ฉันหมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ)มันจะต้องได้รับความอนุญาตอนุเคราะห์จากเค้าก่อนนะ ถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งจะรับรู้ได้โดยญาณของตนเอง เมื่อฝึกฝนมาเต็มที่เต็มภูมิแล้วนั่นเอง แค่เป็นคนเก่งอย่างเดียวมันไม่พอหรอกนะ มันต้องเป็นคนดีด้วย มันถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งฉันเห็นไอ้พวกที่มันอยากจะเป็นอย่างฉันนั้นมันมีมากมายเยอะแยะกันเสียเหลือเกินนักหนา แต่มันก็เป็นไม่ได้หรอก เผลอๆดีไม่ดีมันจะกลายเป็นบ้ากันไปหมดทุกคนเลยนะ เพราะเค้าไม่อนุญาตให้มันเป็น แล้วก็อีกอย่างนึงนะ ไอ้พวกนี้มันชอบเลียนแบบฉันกันนักเชียว กะอีแค่ชื่อนามแฝงของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึงชื่อ Dark Danger นะ)ตำแหน่งของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึง The King Of Dark นะ แต่ตำแหน่งนี้มันเป็นแค่ราชาแห่งความมืดธรรมดาทั่วไป)ซึ่งแค่ตำแหน่งมันก็ไม่เท่าไหร่ เพราะว่าผู้ที่มีคุณสมบัติของราชาแห่งความมืดนี้มีถึง หนึ่ง ใน หนึ่งล้าน คน แต่ว่าผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดนั้นมีเพียงแค่ หนึ่ง ใน หนึ่งพันล้าน คน เท่านั้น แต่ผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงนั้นมีเพียง หนึ่ง ใน หนึ่งล้านล้าน คน เท่านั้นเอง ซึ่งประชากรในโลกนี้มีเพียงหลายพันล้านคนในปัจจุบัน และฉันก็ปรารถนาที่จะเป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงในอนาคตให้จงได้เลย(เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียใจในภายหลังว่าชาติหนึ่งนี้จะไม่ได้เป็น ฉันจะเป็นให้จงได้)ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปในอนาคตอันไกลข้างหน้า ไม่ใช่เพื่อตัวของฉันเองเพียงแค่คนเดียว เพราะว่าการเป็นราชานั้นมันจะต้องแลกกับการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เป็นราชาแล้วมันดูเท่ ดูดี เป็นแล้วมันสบาย ไม่ใช่อย่างนั้นอย่างแน่นอน มีตำแหน่งก็ต้องมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำ ไม่ใช่ไม่มี ซึ่งมันก็เหมือนกันกับในหนังไอ้แมงมุมและหนังอื่นๆที่ว่า “พลังที่ยิ่งใหญ่ มักจะมากับภาระที่ใหญ่ยิ่ง” นั่นเอง และคนที่เคยได้ไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของตำแหน่งราชาที่แท้จริงก็มีให้เห็นเป็นประจักษ์พยานแล้วอยู่คนหนึ่ง คนที่ทุกคนรักและเทิดทูนบูชายิ่งกว่าราชาทั่วไป ราชาที่แท้จริง ราชาเหนือราชาทั้งปวง แค่เอ่ยแค่นี้ก็คงจะนึกออกได้ทันทีทันใด ถ้ายังนึกไม่ออกก็จะบอกให้ คนๆนั้นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่งเองไง “ฉันจะเป็นราชาที่แท้จริงให้จงได้ เป็นให้ได้อย่างท่านให้จงได้ ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)” “ชั่วชีวิตนี้ลูกขอมอบไว้ให้กับพวกท่าน แด่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ตราบใดที่ลูกยังอยู่ ลูกจะขอสืบทอดสานต่อซึ่งเจตจำนงบรรพชน อุดมการณ์พันธมิตรฯ และภารกิจของพวกท่านต่อไป และตลอดไป” ป.ล.ใครอยากจะเป็นราชาแห่งความมืดก็เป็นไป แต่จงจำไว้อย่างนึง คือ ใครที่มันล้อเล่นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันไม่มีทางได้ดีมีความสุขอย่างแน่นอน(เผลอๆมันจะตายโหงตายห่าโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ตายก็ทรมาน เป็นบ้ากัน ทนทุกขเวทนาตลอดชีวิต ตกลงนรกหมกไหม้กันทังเป็นและตายไป)ฉันเตือนแล้วนะ ถ้าไม่อยากเป็นบ้า ก็ขอให้เลิกเป็นซะ แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
    การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นพูดไปมันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นกันได้โดยง่ายๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นมันเป็นกันได้โดยยากมาก ยากมากๆๆ
    มาดูคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กัน ผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเพียง 1ใน1ล้าน คนเท่านั้น และผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริงๆนั้นมีเพียงแค่ 1ใน1พันล้าน คนเท่านั้นเอง
    คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีดังต่อไปนี้ คือ
    1.จะต้องเป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งคนชั่วนั้นเป็นไม่ได้เลย ซึ่งหรือก็คือ คนชั่วนั้นหมดสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
    2.จะต้องได้รับการยอมรับจากเบี้องบนก่อน นี่หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล ซึ่งนั่นก็คือ เหล่าพุทธะ หรือก็คือ เหล่าผู้รู้แจ้งแล้วนั่นเอง(เมื่อเป็นแล้วก็จะรู้เอง)จะรู้เองเห็นเองเหมือนกันกับพระอรหันต์นั่นแหล่ะ แต่ก็ยังด้อยกว่ามากนัก ซึ่งหมายถึงพวกที่มีความสามารถพิเศษในตัวตนของตนเองนั่นเอง
    3.จะต้องเป็นคนที่มีศีลมีธรรมประจำใจเป็นของตนเอง และเคร่งครัดในศีลมากพอสมควร ซึ่งคนที่ไร้ศีลไร้ธรรมประจำใจของตนเองนั้นหมดสิทธิ์เป็นโดยสิ้นเชิง และยังจะต้องรักษาศีลได้อีกด้วย ซึ่งหมายถึงการไม่ละเมิดในศีลข้องต่างๆอย่างเด็ดขาด และจะต้องมีกฎเหล็กประจำตัวประจำใจเป็นของตนเองตามศาสนาหรือลัทธินั้นๆที่ตนเองเคารพนับถือเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย
    4.จะต้องมีศาสนาหรือลัทธิ หรือซึ่งก็คือ จะต้องเป็นผู้ที่นับถือศาสนาหรือลัทธิที่ดีและถูกต้องเท่านั้น ถ้าหากไปนับถือศาสนาหรือลัทธิที่ผิดๆที่แตกต่างไปจากการทำดีการเป็นคนที่ดีแล้วล่ะก็ๆจะหมดสิทธิที่จะได้เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในทันที
    5.จะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญามากพอสมควร นี่ไม่ได้หมายถึงการที่มีภูมิความรู้เท่าทันผู้คนกลโกงคนอื่นๆที่มีมากมายก่ายกอง แต่นี่หมายถึงการที่จะต้องมีปัญญามากพอที่จะรับรู้ได้ในจิตใจของตนเองว่าสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม และสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม ซึ่งหมายถึงการมีปัญญามากพอที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้อย่างแม่นยำและแน่วแน่มั่นคงในตนเอง และถึงแม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นคนที่บริสิทธิ์ผุดผ่องกายใจ และไว้ใจผู้อื่นง่ายจนเกินไป หรือจะให้พูดโดยง่ายๆก็คือ เชื่อใจคนง่ายจนเกินไป ถูกหลอกได้โดยง่ายจนเกินไป ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลผู้นั้นจะขาดคุณสมบัติในการเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไป เป็นเพียงแค่บุคคลผู้นั้นเค้าอ่อนต่อโลกเกินไป หรือเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์แล้วจะหมดสิทธิ์หมดคุณสมบัติไป และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายข้อที่บุคคลผู้ซึ่งเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พึงจะมีควรจะมีอีกด้วย
    6.จะต้องเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัย นี่ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องไปเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัยในการต่อสู้รบตบมือกับใครเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการเป็นคนที่กล้าคิดนอกกรอบกฎระเบียบเก่าแก่คร่ำครึโบราณ กล้าที่จะคิดและตัดสินใจในการทำกิจการงานต่างๆในทางที่ดีและถูกต้องชอบธรรมและเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดปราศจากความลังเลใจและเกรงกลัวใดๆ และยังต้องมีความกล้าหาญมากพอที่จะยอมรับความผิดหรือรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้กระทำมาในสิ่งที่ผู้อื่นชี้แนะและเห็นสมควรว่ามันไม่ถูกต้องชอบธรรม และไม่มีการประนีประนอมยอมความกันหรือเกิดกลัวความผิดพลาดของตนเองต่อผู้อื่นที่ตนเองได้เคยกระทำลงไปแล้วนั่นเอง
    7.จะต้องเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตนเองอย่างเคร่งครัด การมีระเบียบวินัยนั้นสามารถที่จะทำให้กิจการงานต่างๆนั้นมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยราบรื่นไปได้ด้วยดี และจำเป็นที่จะต้องมีระเบียบวินัยในการรักษากฎระเบียบหรือข้อบังคับต่างๆตามสภาพและสถานะของตนเองในสถานที่ตำแหน่งแห่งงานต่างๆด้วยดี
    8.จะต้องเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้น มีความละอายชั่วกลัวบาปเป็นสำคัญ มีความอดทนอดกลั้นต่อหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายที่ได้รับผิดชอบไว้ จำเป็นที่จะต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อแรงกระทบกระทั่งจากสิ่งยั่วยุต่างๆภายนอกไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุกรามไปในวงกว้าง เพียงแค่เราสงบสยบใจของเราไว้ไม่ให้ไปผูกโกรธอาฆาตพยาบาทมาดร้ายใครก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงได้โดยเร็วไว จะต้องไม่หลงใหลไปกับกิเลสชั่วอำนาจฝ่ายต่ำที่เข้ามากระทบรบกวนจิตใจ โดยให้กระทำการกิจการงานต่างๆให้เป็นไปได้ด้วยดีราบรื่นปลอดภัย ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งต่างๆที่ไม่ดีไม่ให้มันเข้ามาครอบงำจิตใจได้
    ซึ่งคุณสมบัติคร่าวๆพอประมาณของผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีดังนี้ ซึ่งที่จริงแล้วนั้นยังมีอีกหลายข้อนัก แต่โดยส่วนรวมแล้วก็คือ การที่จะต้องเป็นคนที่ดีและการที่จะต้องไม่เป็นคนชั่วนั่นเองครับ แต่ถ้าหากถามว่าโดยสรุปง่ายๆมีมั้ยนั้น มันก็มีตัวอย่างอยู่แล้ว ซึ่งตัวอย่างนั่นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่นเอง ประพฤติปฏิบัติตนเองตามอย่างท่าน ทำตามคำสอนของท่าน เป็นให้ได้อย่างท่านก็แค่นั้นเอง มันก็เท่านั้นเอง เพราะว่าท่านคือจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงแล้วนั่นเอง
    การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นพูดไปมันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นกันได้โดยง่ายๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นมันเป็นกันได้โดยยากมาก ยากมากๆๆ มาดูคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กัน ผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเพียง 1ใน1ล้าน คนเท่านั้น และผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริงๆนั้นมีเพียงแค่ 1ใน1พันล้าน คนเท่านั้นเอง คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีดังต่อไปนี้ คือ 1.จะต้องเป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งคนชั่วนั้นเป็นไม่ได้เลย ซึ่งหรือก็คือ คนชั่วนั้นหมดสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง 2.จะต้องได้รับการยอมรับจากเบี้องบนก่อน นี่หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล ซึ่งนั่นก็คือ เหล่าพุทธะ หรือก็คือ เหล่าผู้รู้แจ้งแล้วนั่นเอง(เมื่อเป็นแล้วก็จะรู้เอง)จะรู้เองเห็นเองเหมือนกันกับพระอรหันต์นั่นแหล่ะ แต่ก็ยังด้อยกว่ามากนัก ซึ่งหมายถึงพวกที่มีความสามารถพิเศษในตัวตนของตนเองนั่นเอง 3.จะต้องเป็นคนที่มีศีลมีธรรมประจำใจเป็นของตนเอง และเคร่งครัดในศีลมากพอสมควร ซึ่งคนที่ไร้ศีลไร้ธรรมประจำใจของตนเองนั้นหมดสิทธิ์เป็นโดยสิ้นเชิง และยังจะต้องรักษาศีลได้อีกด้วย ซึ่งหมายถึงการไม่ละเมิดในศีลข้องต่างๆอย่างเด็ดขาด และจะต้องมีกฎเหล็กประจำตัวประจำใจเป็นของตนเองตามศาสนาหรือลัทธินั้นๆที่ตนเองเคารพนับถือเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย 4.จะต้องมีศาสนาหรือลัทธิ หรือซึ่งก็คือ จะต้องเป็นผู้ที่นับถือศาสนาหรือลัทธิที่ดีและถูกต้องเท่านั้น ถ้าหากไปนับถือศาสนาหรือลัทธิที่ผิดๆที่แตกต่างไปจากการทำดีการเป็นคนที่ดีแล้วล่ะก็ๆจะหมดสิทธิที่จะได้เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในทันที 5.จะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญามากพอสมควร นี่ไม่ได้หมายถึงการที่มีภูมิความรู้เท่าทันผู้คนกลโกงคนอื่นๆที่มีมากมายก่ายกอง แต่นี่หมายถึงการที่จะต้องมีปัญญามากพอที่จะรับรู้ได้ในจิตใจของตนเองว่าสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม และสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม ซึ่งหมายถึงการมีปัญญามากพอที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้อย่างแม่นยำและแน่วแน่มั่นคงในตนเอง และถึงแม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นคนที่บริสิทธิ์ผุดผ่องกายใจ และไว้ใจผู้อื่นง่ายจนเกินไป หรือจะให้พูดโดยง่ายๆก็คือ เชื่อใจคนง่ายจนเกินไป ถูกหลอกได้โดยง่ายจนเกินไป ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลผู้นั้นจะขาดคุณสมบัติในการเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไป เป็นเพียงแค่บุคคลผู้นั้นเค้าอ่อนต่อโลกเกินไป หรือเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์แล้วจะหมดสิทธิ์หมดคุณสมบัติไป และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายข้อที่บุคคลผู้ซึ่งเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พึงจะมีควรจะมีอีกด้วย 6.จะต้องเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัย นี่ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องไปเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัยในการต่อสู้รบตบมือกับใครเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการเป็นคนที่กล้าคิดนอกกรอบกฎระเบียบเก่าแก่คร่ำครึโบราณ กล้าที่จะคิดและตัดสินใจในการทำกิจการงานต่างๆในทางที่ดีและถูกต้องชอบธรรมและเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดปราศจากความลังเลใจและเกรงกลัวใดๆ และยังต้องมีความกล้าหาญมากพอที่จะยอมรับความผิดหรือรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้กระทำมาในสิ่งที่ผู้อื่นชี้แนะและเห็นสมควรว่ามันไม่ถูกต้องชอบธรรม และไม่มีการประนีประนอมยอมความกันหรือเกิดกลัวความผิดพลาดของตนเองต่อผู้อื่นที่ตนเองได้เคยกระทำลงไปแล้วนั่นเอง 7.จะต้องเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตนเองอย่างเคร่งครัด การมีระเบียบวินัยนั้นสามารถที่จะทำให้กิจการงานต่างๆนั้นมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยราบรื่นไปได้ด้วยดี และจำเป็นที่จะต้องมีระเบียบวินัยในการรักษากฎระเบียบหรือข้อบังคับต่างๆตามสภาพและสถานะของตนเองในสถานที่ตำแหน่งแห่งงานต่างๆด้วยดี 8.จะต้องเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้น มีความละอายชั่วกลัวบาปเป็นสำคัญ มีความอดทนอดกลั้นต่อหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายที่ได้รับผิดชอบไว้ จำเป็นที่จะต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อแรงกระทบกระทั่งจากสิ่งยั่วยุต่างๆภายนอกไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุกรามไปในวงกว้าง เพียงแค่เราสงบสยบใจของเราไว้ไม่ให้ไปผูกโกรธอาฆาตพยาบาทมาดร้ายใครก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงได้โดยเร็วไว จะต้องไม่หลงใหลไปกับกิเลสชั่วอำนาจฝ่ายต่ำที่เข้ามากระทบรบกวนจิตใจ โดยให้กระทำการกิจการงานต่างๆให้เป็นไปได้ด้วยดีราบรื่นปลอดภัย ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งต่างๆที่ไม่ดีไม่ให้มันเข้ามาครอบงำจิตใจได้ ซึ่งคุณสมบัติคร่าวๆพอประมาณของผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีดังนี้ ซึ่งที่จริงแล้วนั้นยังมีอีกหลายข้อนัก แต่โดยส่วนรวมแล้วก็คือ การที่จะต้องเป็นคนที่ดีและการที่จะต้องไม่เป็นคนชั่วนั่นเองครับ แต่ถ้าหากถามว่าโดยสรุปง่ายๆมีมั้ยนั้น มันก็มีตัวอย่างอยู่แล้ว ซึ่งตัวอย่างนั่นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่นเอง ประพฤติปฏิบัติตนเองตามอย่างท่าน ทำตามคำสอนของท่าน เป็นให้ได้อย่างท่านก็แค่นั้นเอง มันก็เท่านั้นเอง เพราะว่าท่านคือจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงแล้วนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิญญูชนกับปุถุชน
    คำว่าวิญญูชนกับปุถุชนอาจจะเป็นคำที่เข้าใจได้ยาก แต่มันหมายถึงคนที่ดีกับคนธรรมดาทั่วๆไป นั่นล่ะคือความหมายที่ผมจะกล่าวถึง
    น้อยคนนักที่จะประพฤติตนในแบบวิญญูชนได้ และส่วนมากก็มักจะเป็นแค่ประชาชนคนธรรมดาเท่านั้น เพราะว่ามันไม่ได้เป็นกันได้ยากมากมายกันนักนั่นเอง
    วิญญูชนในความหมายของผมคือ บุคคลผู้ที่มีศีลธรรมและเพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมและจริยวัตรอันงดงามนั่นเอง ส่วนปุถุชนนั้น ในความหมายของผมนั้นหมายถึง บุคคลผู้ที่เป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่มีซึ่งกิเลสตัณหา มีซึ่งความรัก,โลภ,โกรธ,หลง อยู่มากมายเต็มเปี่ยมในหัวใจตนนั่นเอง
    คนเราถ้าว่าด้วยการขาดซึ่งศีลธรรมแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์เดรัจฉานดีๆตัวหนึ่งนั่นเอง ฉะนั้นเราถึงควรคิดตระหนักให้มั่นให้อยู่ในใจเราว่า เราจะเลือกซึ่งเส้นทางใดระหว่างวิญญูชนกับปุถุชน และถ้าโลกนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยคนที่ไร้ซึ่งศีลธรรมประจำใจตนแล้ว โลกเรามันคงวุ่นวายสับสนปั่นป่วนอลหม่านว้าวุ่นโว้งเว้งเคว้งคว้างมากๆเลย และเพราะผู้คนในโลกนี้ขาดซึ่งศีลธรรมกันมาก มันจึงทำให้โลกนี้เน่าเฟะไม่น่าอาศัยอยู่เอาเสียเลย สักวันมันคงจะไม่ต่างไปจากโลกแห่งสัตว์ดุร้ายสุดดุป่าเถื่อนกันถ้วนหน้า ซึ่งมันจะเต็มไปด้วยมาร,ภูติ,ผี,ปีศาจ,อสูร,สัตว์นรก,อมนุษย์ และตัวประหลาดเต็มเกลื่อนกลาดเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดไปทั่วกรุงทั่วนครกันเป็นแน่แท้จริงทีเดียวเชียว
    ท้ายที่สุดแล้วพวกเราจะใช้ชีวิตอยู่กันอย่างไรในสังคมโลกใบนี้กันนะ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันคงจะไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงถึงปานนั้นขั้นที่เราจะอาศัยอยู่ในที่ไหนแห่งหนใดไม่ได้อีกต่อไป และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนคงจะเลือกเดินในเส้นทางที่ดีที่ถูกต้องดีงามกันมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้กันนะครับ
    วิญญูชนกับปุถุชน คำว่าวิญญูชนกับปุถุชนอาจจะเป็นคำที่เข้าใจได้ยาก แต่มันหมายถึงคนที่ดีกับคนธรรมดาทั่วๆไป นั่นล่ะคือความหมายที่ผมจะกล่าวถึง น้อยคนนักที่จะประพฤติตนในแบบวิญญูชนได้ และส่วนมากก็มักจะเป็นแค่ประชาชนคนธรรมดาเท่านั้น เพราะว่ามันไม่ได้เป็นกันได้ยากมากมายกันนักนั่นเอง วิญญูชนในความหมายของผมคือ บุคคลผู้ที่มีศีลธรรมและเพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมและจริยวัตรอันงดงามนั่นเอง ส่วนปุถุชนนั้น ในความหมายของผมนั้นหมายถึง บุคคลผู้ที่เป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่มีซึ่งกิเลสตัณหา มีซึ่งความรัก,โลภ,โกรธ,หลง อยู่มากมายเต็มเปี่ยมในหัวใจตนนั่นเอง คนเราถ้าว่าด้วยการขาดซึ่งศีลธรรมแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์เดรัจฉานดีๆตัวหนึ่งนั่นเอง ฉะนั้นเราถึงควรคิดตระหนักให้มั่นให้อยู่ในใจเราว่า เราจะเลือกซึ่งเส้นทางใดระหว่างวิญญูชนกับปุถุชน และถ้าโลกนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยคนที่ไร้ซึ่งศีลธรรมประจำใจตนแล้ว โลกเรามันคงวุ่นวายสับสนปั่นป่วนอลหม่านว้าวุ่นโว้งเว้งเคว้งคว้างมากๆเลย และเพราะผู้คนในโลกนี้ขาดซึ่งศีลธรรมกันมาก มันจึงทำให้โลกนี้เน่าเฟะไม่น่าอาศัยอยู่เอาเสียเลย สักวันมันคงจะไม่ต่างไปจากโลกแห่งสัตว์ดุร้ายสุดดุป่าเถื่อนกันถ้วนหน้า ซึ่งมันจะเต็มไปด้วยมาร,ภูติ,ผี,ปีศาจ,อสูร,สัตว์นรก,อมนุษย์ และตัวประหลาดเต็มเกลื่อนกลาดเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดไปทั่วกรุงทั่วนครกันเป็นแน่แท้จริงทีเดียวเชียว ท้ายที่สุดแล้วพวกเราจะใช้ชีวิตอยู่กันอย่างไรในสังคมโลกใบนี้กันนะ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันคงจะไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงถึงปานนั้นขั้นที่เราจะอาศัยอยู่ในที่ไหนแห่งหนใดไม่ได้อีกต่อไป และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนคงจะเลือกเดินในเส้นทางที่ดีที่ถูกต้องดีงามกันมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้กันนะครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..#หลักการตลาดแบบเข้าใจง่ายที่สุด# ภายใน 10 วินาที..
    _ถ้าอยากรวยให้ขาย สิ่งเหล่านี้
    .
    ขาย “ความหวัง” ให้กับ คนจน ..หวังว่าจะรวย หวังว่าจะถูกหวย..เช่น เครื่องราง วัตถุมงคล พิธีกรรมต่างๆ

    ขาย “ความกลัว” ให้กับ คนรวย..เพราะคนเหล่านี้ กลัวป่วย กลัวตุย..กลัวอะไรที่เสี่ยงๆ ต่อความปลอดภัย ทั้งในชีวิต และ ทรัพย์สิน

    ขาย “ความมั่นใจ” ให้กับ ผู้ชาย..เช่น เครื่องประดับ เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย..เครื่องปรุงแต่ง ด้านร่างกาย อื่นๆ.

    ขาย “ความสวย” ให้กับ ผู้หญิง..ยิ่งความสวย ราคาประหยัด .ขายดีเป็นเทน้ำ...ไปดู 7-11 ครีมซอง..เหมาขั้นวางไปไม่น้อยกว่า 2_3 ชั้น ..แบบกระปุกใหญ่ๆ ราคาหลายร้อยไม่มีแล้ว..ไม่นับตามเพจ ตามเวป อีกสารพัด..ทั้งเครื่องประดับ เสื้อผ้า..เครื่องสำอางค์..ตอนนี้มาแรงคือ ร้านทำเล็บราคาประหยัด...

    ขาย “ความหรูหรา” ให้กับคนชั้นกลาง..คนชั้นนี้ ต้องการสร้างภาพ ให้เหมือนคนรวย..จะใช้ข้าวของ และ life stye แบบคนรวย...ที่เขามีกำลัง แม้ จะผ่อน หรือ กู้มา ก็ตาม.

    ขาย “สุขภาพ” ให้กับ คนแก่ชรา..คนวัยนี้กลัวการเจ็บป่วย พวกวิตามิน อาหารเสริม..นั่นนี่.. จึงขายดีกับคนกลุ่มนี้

    สุดท้าย ขาย ทางไปสวรรค์ ให้แก่คนที่มีเงิน แต่สมองอาจน้อยไปนิด...ว่า เงินซื้อบุญได้...มันก็จริงบางส่วน..แต่คงไม่จนาดที่เขาชักชวนหรอก..มันต้องมาจากการปฏิบัติตนในศีล อย่างต่อเนื่องยาวนาน..
    .
    ..#หลักการตลาดแบบเข้าใจง่ายที่สุด# ภายใน 10 วินาที.. _ถ้าอยากรวยให้ขาย สิ่งเหล่านี้ . ขาย “ความหวัง” ให้กับ คนจน ..หวังว่าจะรวย หวังว่าจะถูกหวย..เช่น เครื่องราง วัตถุมงคล พิธีกรรมต่างๆ ขาย “ความกลัว” ให้กับ คนรวย..เพราะคนเหล่านี้ กลัวป่วย กลัวตุย..กลัวอะไรที่เสี่ยงๆ ต่อความปลอดภัย ทั้งในชีวิต และ ทรัพย์สิน ขาย “ความมั่นใจ” ให้กับ ผู้ชาย..เช่น เครื่องประดับ เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย..เครื่องปรุงแต่ง ด้านร่างกาย อื่นๆ. ขาย “ความสวย” ให้กับ ผู้หญิง..ยิ่งความสวย ราคาประหยัด .ขายดีเป็นเทน้ำ...ไปดู 7-11 ครีมซอง..เหมาขั้นวางไปไม่น้อยกว่า 2_3 ชั้น ..แบบกระปุกใหญ่ๆ ราคาหลายร้อยไม่มีแล้ว..ไม่นับตามเพจ ตามเวป อีกสารพัด..ทั้งเครื่องประดับ เสื้อผ้า..เครื่องสำอางค์..ตอนนี้มาแรงคือ ร้านทำเล็บราคาประหยัด... ขาย “ความหรูหรา” ให้กับคนชั้นกลาง..คนชั้นนี้ ต้องการสร้างภาพ ให้เหมือนคนรวย..จะใช้ข้าวของ และ life stye แบบคนรวย...ที่เขามีกำลัง แม้ จะผ่อน หรือ กู้มา ก็ตาม. ขาย “สุขภาพ” ให้กับ คนแก่ชรา..คนวัยนี้กลัวการเจ็บป่วย พวกวิตามิน อาหารเสริม..นั่นนี่.. จึงขายดีกับคนกลุ่มนี้ สุดท้าย ขาย ทางไปสวรรค์ ให้แก่คนที่มีเงิน แต่สมองอาจน้อยไปนิด...ว่า เงินซื้อบุญได้...มันก็จริงบางส่วน..แต่คงไม่จนาดที่เขาชักชวนหรอก..มันต้องมาจากการปฏิบัติตนในศีล อย่างต่อเนื่องยาวนาน.. .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • จิตวิญญาณพันธมิตรฯ
    เมื่อเอ่ยถึงพันธมิตรฯ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะรู้จักกัน และมีชื่อที่หลากหลายเช่น เสื้อเหลือง เป็นต้น
    การเข้ามาเป็นพันธมิตรฯไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันก็ไม่ง่ายดายที่จะดำรงอยู่ต่อไปในชื่อนี้ เพราะจะต้องต่อสู้ทั้งกับผู้อื่นและกับตนเอง การเป็นพันธมิตรฯที่แท้จริงนั้นไม่ง่ายดายเลย มันเหมือนกับสู้อยู่คนเดียวตามลำพัง เพราะไม่มีใครเข้าใจเรา เพราะเราเป็นคนปกติในสังคมที่ไม่ปกติ คุยกับใครไม่ค่อยรู้เรื่อง หาว่าโง่บ้าง งมงายบ้าง สุดโต่งบ้าง ไม่ยอมรับฟังผู้อื่นบ้าง ทำตัวเป็นคนโดดเดี่ยวเดียวดาย อยู่ในโลกที่ซึ่งมีความมืดบอดในตัวเอง ซึ่งสิ่งที่เอ่ยมาในข้างต้นนั้นเป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
    ใครๆต่างก็บอกว่าพันธมิตรฯใกล้ที่จะดับมอดไหม้เต็มทีแล้ว เพราะพวกเราพันธมิตรฯนั้นต่างก็ได้รับการกลั่นกรองมาจากพวก นปช.หรือพวกเสื้อแดง พวกปชป.หรือพวกเสื้อฟ้า และโดยเฉพาะพวกกลางกลวงมานั่นเอง และในอนาคตข้างหน้าเราอาจจะถูกกลั่นกรองอีกจากพวกเดียวกันเอง เพื่อเอาพวกที่โง่งงมงายไม่รู้จักพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอที่ไม่รู้เท่าทันเหตุการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งพวกเราอาจจะเหลือน้อยลงไปอีกมากก็จริง แต่ที่แน่นอนคือพวกพ้องที่เหลืออยู่นั้นก็เป็นคนที่มีคุณภาพสูงกว่าพวกอื่นๆอย่างแน่นอน และพวกเราจะต้องรวมตัวเกาะกลุ่มกันไว้ให้มีความเหนียวแน่นแนบแฟ้นยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนให้มากยิ่งขึ้น เพราะพวกเราเท่านั้นที่จะเข้าใจกันและกัน และเปลี่ยนแปลงสังคมนี้ให้ดีเหมือนดังกับเมื่อก่อน ที่บรรพชนเราเคยมีความสามัคคีกันเพื่อปกป้องกอบกู้ประเทศไทยนี้ให้มีซึ่งศีลธรรม,จริยธรรม และคุณธรรมดีงาม เพื่อให้คนดีไม่ถูกคนชั่วรังแก เพื่อให้ลูกหลานเราได้มีที่ยืนในสังคม เพื่อให้ประเทศนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้นกว่าเดิม และกลับมามีความสงบสุขอีกครั้งนั่นเอง ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าสุดท้ายแล้วธรรมะย่อมชนะอธรรม คนดีไม่มีวันตาย และแผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์จริง คนดีเท่านั้นที่อยู่ได้ ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าแม้ในตอนนี้ที่ประเทศไทยยังไม่ฉิบหายล่มจมไปกว่านี้เพราะดวงวิญญาณบรรพชนของเรา พวกเค้ายังคงคอยปกปักษ์รักษาประเทศนี้อยู่เสมอมานั่นเอง
    จิตวิญญาณพันธมิตรฯ เมื่อเอ่ยถึงพันธมิตรฯ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะรู้จักกัน และมีชื่อที่หลากหลายเช่น เสื้อเหลือง เป็นต้น การเข้ามาเป็นพันธมิตรฯไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันก็ไม่ง่ายดายที่จะดำรงอยู่ต่อไปในชื่อนี้ เพราะจะต้องต่อสู้ทั้งกับผู้อื่นและกับตนเอง การเป็นพันธมิตรฯที่แท้จริงนั้นไม่ง่ายดายเลย มันเหมือนกับสู้อยู่คนเดียวตามลำพัง เพราะไม่มีใครเข้าใจเรา เพราะเราเป็นคนปกติในสังคมที่ไม่ปกติ คุยกับใครไม่ค่อยรู้เรื่อง หาว่าโง่บ้าง งมงายบ้าง สุดโต่งบ้าง ไม่ยอมรับฟังผู้อื่นบ้าง ทำตัวเป็นคนโดดเดี่ยวเดียวดาย อยู่ในโลกที่ซึ่งมีความมืดบอดในตัวเอง ซึ่งสิ่งที่เอ่ยมาในข้างต้นนั้นเป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น ใครๆต่างก็บอกว่าพันธมิตรฯใกล้ที่จะดับมอดไหม้เต็มทีแล้ว เพราะพวกเราพันธมิตรฯนั้นต่างก็ได้รับการกลั่นกรองมาจากพวก นปช.หรือพวกเสื้อแดง พวกปชป.หรือพวกเสื้อฟ้า และโดยเฉพาะพวกกลางกลวงมานั่นเอง และในอนาคตข้างหน้าเราอาจจะถูกกลั่นกรองอีกจากพวกเดียวกันเอง เพื่อเอาพวกที่โง่งงมงายไม่รู้จักพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอที่ไม่รู้เท่าทันเหตุการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งพวกเราอาจจะเหลือน้อยลงไปอีกมากก็จริง แต่ที่แน่นอนคือพวกพ้องที่เหลืออยู่นั้นก็เป็นคนที่มีคุณภาพสูงกว่าพวกอื่นๆอย่างแน่นอน และพวกเราจะต้องรวมตัวเกาะกลุ่มกันไว้ให้มีความเหนียวแน่นแนบแฟ้นยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนให้มากยิ่งขึ้น เพราะพวกเราเท่านั้นที่จะเข้าใจกันและกัน และเปลี่ยนแปลงสังคมนี้ให้ดีเหมือนดังกับเมื่อก่อน ที่บรรพชนเราเคยมีความสามัคคีกันเพื่อปกป้องกอบกู้ประเทศไทยนี้ให้มีซึ่งศีลธรรม,จริยธรรม และคุณธรรมดีงาม เพื่อให้คนดีไม่ถูกคนชั่วรังแก เพื่อให้ลูกหลานเราได้มีที่ยืนในสังคม เพื่อให้ประเทศนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้นกว่าเดิม และกลับมามีความสงบสุขอีกครั้งนั่นเอง ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าสุดท้ายแล้วธรรมะย่อมชนะอธรรม คนดีไม่มีวันตาย และแผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์จริง คนดีเท่านั้นที่อยู่ได้ ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าแม้ในตอนนี้ที่ประเทศไทยยังไม่ฉิบหายล่มจมไปกว่านี้เพราะดวงวิญญาณบรรพชนของเรา พวกเค้ายังคงคอยปกปักษ์รักษาประเทศนี้อยู่เสมอมานั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความหมายของ "หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป แต่บางสิ่งบางอย่างไม่เคยเปลี่ยน"
    ในชีวิตนี้ คนเราย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสถานการณ์ต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยกันทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งสิ่งต่างๆรอบตัวเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นรูปธรรมนั้นย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเสมอ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นนามธรรมนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปเลย ยกตัวอย่างเช่น สัจธรรมความรู้ต่างๆที่ได้รับการยอมรับจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมความรู้ต่างๆ กฎเกณฑ์ต่างๆของธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตก เป็นต้น
    แต่ที่ผมตั้งใจจะบอกทุกคนนั้นก็คือ จิตใจ,จิตวิญญาณ,เจตจำนง และอุดมการณ์ของคนเราบางคน และหรือหลายคนที่ไม่มีวันผันแปรหรือเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลานั่นเอง
    น้อยคนนักที่จะเป็นคนเดิม เป็นตัวตนเดิม หรือคงความเป็นตัวตนของตัวเองให้เหมือนเดิมอยู่ได้ตลอดเวลา เพราะเค้าคนนั้น หรือพวกเค้าเหล่านั้นจะต้องพบเจอกับอุปสรรคขวากหนามต่างๆนาๆที่ได้รับมาจากเบื้องบนเพื่อเป็นการทดสอบที่แสนสาหัส เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเค้าเหล่านั้นมีความตั้งใจจริงที่จะกระทำความดี คงความดีของตนเองไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลายได้เป็นอย่างดีนั่นเอง แต่ผลตอบแทนที่พวกเค้าเหล่านั้นได้รับมาหลังจากที่พวกเค้าได้ตายไปนั้น มันคุ้มค่าคู่ควรแก่การเป็นคนดีอย่างแท้จริง คนดีเมื่อเคยได้กระทำความดีให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนแล้วนั้น พวกเค้าเหล่านั้นย่อมจะตายอย่างเป็นสุข และของแถมของพวกเค้าก็คือการได้รับการยกย่องนับถือแก่วงศ์ตระกูลชั่วลูกชั่วหลานนั่นเอง
    คนชั่วคนเลวส่วนใหญ่มักจะหวังผลประโยชน์ตอบแทนในสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืนแบบไม่คงทนถาวรแล้ว ยังสร้างความเดือดร้อนให้กับคนดีที่พยายามจะกระทำความดีอีกด้วย เพราะไปขัดแข้งขัดขาคนชั่วคนเลวพวกนั้น นั่นก็คืออุปสรรคขวากหนามที่คนดีจะต้องพบเจออยู่เสมอๆนั่นเอง
    น้อยคนนักที่จะเป็นคนดีได้อย่างยั่งยืน และส่วนมากนั้นก็จะล้มเหลวและพบจุดจบที่น่าเศร้า
    ในความเห็นส่วนตัวของผมนั้น ผมคิดว่า การที่พันธมิตรฯลุกขึ้นมาต่อต้านคนชั่วที่ทำร้ายทำลายบ้านเมืองนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้อง และการที่พวกนปช.คิดที่จะล้มล้างสถาบันและทำลายบ้านเมืองนั้น เป็นเรื่องทีไม่น่าให้อภัย และคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่คิดที่จะเข้าข้างใคร และไม่คิดที่จะทำอะไรเลย เอาแต่กล่าวหาว่าผู้อื่นทำไม่ดี และตัวเองเดือดร้อนจึงได้แต่ด่าว่าคนอื่นอยู่ร่ำไป
    ผมว่าบ้านเมืองที่ลุกเป็นไฟก็เพราะคนเราเห็นแก่ตัวกัน เห็นแก่ผลประโยชน์กัน ขัดแย้งผลประโยชน์กัน และอีกหลายเรื่องมากมายต่างๆนาๆ การที่คนเราไม่รักกัน ไม่สามัคคีกัน มันทำให้ทุกคนเจ็บปวด แต่จะทำไงได้ ในเมื่อสังคมเดี๋ยวนี้มันมีแต่ความเสื่อมทรามลงทุกวันๆ เพราะคนเราขาดคุณธรรม,ศีลธรรม,จริยธรรม,จรรยาบรรณ และคุณงามความดีกันนั่นเอง เพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ล้าหลังล้าสมัยกันนั่นเอง
    สุดท้ายแล้วโลกจะเป็นอย่างไรก็ไม่สนใจ และท้ายที่สุดแล้ววันนั้นมันก็จะมาถึง "วันแห่งการพิพากษา" ของโลกใบนี้ และตอนนี้มันก็เริ่มกระบวนการของมันอยู่แล้ว ก็คือภัยธรรมชาติของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนั่นเอง
    ผมอยากรู้จริงๆว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไปกันนะ และถึงที่สุดแล้วคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือใครกัน ผมว่าคงไม่ใช่คนที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ในรัฐบาลอัปปรีย์สิทธิ์ หรือ รัฐบาลยิ่งอัปลักษณ์อย่างแน่นอน เพราะคนที่ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงนั้นก็คือเหล่าพุทธะหรือผู้รู้แจ้งโลกแจ้งจักรวาลอย่างผู้นำทุกศาสนาที่เฝ้าสั่งสอนเราให้เป็นคนดีนั่นเอง
    ความหมายของ "หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป แต่บางสิ่งบางอย่างไม่เคยเปลี่ยน" ในชีวิตนี้ คนเราย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสถานการณ์ต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยกันทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งสิ่งต่างๆรอบตัวเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นรูปธรรมนั้นย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเสมอ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นนามธรรมนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปเลย ยกตัวอย่างเช่น สัจธรรมความรู้ต่างๆที่ได้รับการยอมรับจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมความรู้ต่างๆ กฎเกณฑ์ต่างๆของธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตก เป็นต้น แต่ที่ผมตั้งใจจะบอกทุกคนนั้นก็คือ จิตใจ,จิตวิญญาณ,เจตจำนง และอุดมการณ์ของคนเราบางคน และหรือหลายคนที่ไม่มีวันผันแปรหรือเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลานั่นเอง น้อยคนนักที่จะเป็นคนเดิม เป็นตัวตนเดิม หรือคงความเป็นตัวตนของตัวเองให้เหมือนเดิมอยู่ได้ตลอดเวลา เพราะเค้าคนนั้น หรือพวกเค้าเหล่านั้นจะต้องพบเจอกับอุปสรรคขวากหนามต่างๆนาๆที่ได้รับมาจากเบื้องบนเพื่อเป็นการทดสอบที่แสนสาหัส เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเค้าเหล่านั้นมีความตั้งใจจริงที่จะกระทำความดี คงความดีของตนเองไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลายได้เป็นอย่างดีนั่นเอง แต่ผลตอบแทนที่พวกเค้าเหล่านั้นได้รับมาหลังจากที่พวกเค้าได้ตายไปนั้น มันคุ้มค่าคู่ควรแก่การเป็นคนดีอย่างแท้จริง คนดีเมื่อเคยได้กระทำความดีให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนแล้วนั้น พวกเค้าเหล่านั้นย่อมจะตายอย่างเป็นสุข และของแถมของพวกเค้าก็คือการได้รับการยกย่องนับถือแก่วงศ์ตระกูลชั่วลูกชั่วหลานนั่นเอง คนชั่วคนเลวส่วนใหญ่มักจะหวังผลประโยชน์ตอบแทนในสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืนแบบไม่คงทนถาวรแล้ว ยังสร้างความเดือดร้อนให้กับคนดีที่พยายามจะกระทำความดีอีกด้วย เพราะไปขัดแข้งขัดขาคนชั่วคนเลวพวกนั้น นั่นก็คืออุปสรรคขวากหนามที่คนดีจะต้องพบเจออยู่เสมอๆนั่นเอง น้อยคนนักที่จะเป็นคนดีได้อย่างยั่งยืน และส่วนมากนั้นก็จะล้มเหลวและพบจุดจบที่น่าเศร้า ในความเห็นส่วนตัวของผมนั้น ผมคิดว่า การที่พันธมิตรฯลุกขึ้นมาต่อต้านคนชั่วที่ทำร้ายทำลายบ้านเมืองนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้อง และการที่พวกนปช.คิดที่จะล้มล้างสถาบันและทำลายบ้านเมืองนั้น เป็นเรื่องทีไม่น่าให้อภัย และคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่คิดที่จะเข้าข้างใคร และไม่คิดที่จะทำอะไรเลย เอาแต่กล่าวหาว่าผู้อื่นทำไม่ดี และตัวเองเดือดร้อนจึงได้แต่ด่าว่าคนอื่นอยู่ร่ำไป ผมว่าบ้านเมืองที่ลุกเป็นไฟก็เพราะคนเราเห็นแก่ตัวกัน เห็นแก่ผลประโยชน์กัน ขัดแย้งผลประโยชน์กัน และอีกหลายเรื่องมากมายต่างๆนาๆ การที่คนเราไม่รักกัน ไม่สามัคคีกัน มันทำให้ทุกคนเจ็บปวด แต่จะทำไงได้ ในเมื่อสังคมเดี๋ยวนี้มันมีแต่ความเสื่อมทรามลงทุกวันๆ เพราะคนเราขาดคุณธรรม,ศีลธรรม,จริยธรรม,จรรยาบรรณ และคุณงามความดีกันนั่นเอง เพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ล้าหลังล้าสมัยกันนั่นเอง สุดท้ายแล้วโลกจะเป็นอย่างไรก็ไม่สนใจ และท้ายที่สุดแล้ววันนั้นมันก็จะมาถึง "วันแห่งการพิพากษา" ของโลกใบนี้ และตอนนี้มันก็เริ่มกระบวนการของมันอยู่แล้ว ก็คือภัยธรรมชาติของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนั่นเอง ผมอยากรู้จริงๆว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไปกันนะ และถึงที่สุดแล้วคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือใครกัน ผมว่าคงไม่ใช่คนที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ในรัฐบาลอัปปรีย์สิทธิ์ หรือ รัฐบาลยิ่งอัปลักษณ์อย่างแน่นอน เพราะคนที่ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงนั้นก็คือเหล่าพุทธะหรือผู้รู้แจ้งโลกแจ้งจักรวาลอย่างผู้นำทุกศาสนาที่เฝ้าสั่งสอนเราให้เป็นคนดีนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความหมายของคำว่า "ตายอย่างเสือ ดีกว่าอยู่อย่างหมา"
    คนทั่วไปอาจจะไม่ค่อยได้ยินคำนี้ออกมาจากปากของคนดีสักเท่าไหร่นัก ถ้าเค้าไม่เหลืออด หรือ สุดที่จะทนกับบางสิ่งบางอย่างที่เค้ากำลังต่อสู้อยู่กับสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าชีวิตของตัวเอง ยิ่งเป็นยุคสมัยนี้ที่คนเรามีค่านิยมที่ผิดๆและสังคมเสื่อมทรามลงไปทุกทีที่คนเราขาดธรรมะในจิตวิญญาณ หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า "คุณธรรม,ศีลธรรม,จริยธรรม,จรรยาบรรณ" หรือคำพูดสวยหรูต่างๆนาๆที่คนทั่วไปเค้าชอบพูดกันเพื่อทำให้ตัวเองดูดีมีความรู้สูงส่งนั่นเอง ในยุคสมัยนี้นั้น น้อยคนนักที่จะมีจิตวิญญาณในการเป็นคนดี คิดดี พูดดี และทำดีในสิ่งต่างๆมากนัก
    คำว่า "ตายอย่างเสือ ดีกว่าอยู่อย่างหมา" นั้น มันเป็นคำพูดที่มีความหมายในตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่น้อยคนนักที่จะทำอย่างที่พูดไว้ได้ เพราะเค้าคนนั้นจะต้องมีจิตสาธารณะ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว หรือที่คนทั่วไปเค้าเรียกกันว่าทำเพื่อส่วนรวมนั่นเอง เพราะว่าเค้าคนนั้นต้องเป็นคนที่เสียสละชีวิตของตนเองเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า และสิ่งที่มีค่าที่ยิ่งใหญ่กว่าชีวิตของเค้านั้นมันคืออะไรกัน ผมจะยกตัวอย่างให้คุณผู้อ่านได้เข้าใจโดยง่าย เช่น ประเทศชาติ หรือ บุคคลสำคัญที่ควรค่าแก่การปกป้อง ซึ่งก็คือประมุขของชาตินั้นๆ และหรือสิ่งต่างๆที่เป็นของส่วนรวมที่ควรค่าแก่การปกปักษ์รักษาไว้ให้คนรุ่นต่อๆไปในภายหลัง และการกระทำอย่างนี้คนทั่วไปเค้าเรียกกันว่าเป็นคนที่มี "อุดมการณ์ หรือ อุดมคติ" ยกตัวอย่างเช่น บรรพชนของเราที่พวกเค้าเหล่านั้นได้เคยเสียสละมาแล้ว เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลังได้ใช้ได้เข้าใจ ซึ่งก็คือ ผืนแผ่นดินเกิดและทรัพยากรทางธรรมชาติหรือขนบธรรมเนียมประเพณีของทุกคนในชาติ
    แค่นี้คุณผู้อ่านคงพอจะเข้าใจบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
    ผมอยากจะส่งต่อเจตจำนงนี้ให้กับคุณ มันเรียกว่า "เจตจำนงของบรรพชน" ซึ่งคุณควรที่จะสานต่อและปกปักษ์รักษามันไว้ให้แก่คนรุ่นหลังได้มีต่อไป เหมือนกับที่บรรพชนของเราได้เคยกระทำไว้และส่งต่อให้กับรุ่นของเรานั่นเอง
    ความหมายของคำว่า "ตายอย่างเสือ ดีกว่าอยู่อย่างหมา" คนทั่วไปอาจจะไม่ค่อยได้ยินคำนี้ออกมาจากปากของคนดีสักเท่าไหร่นัก ถ้าเค้าไม่เหลืออด หรือ สุดที่จะทนกับบางสิ่งบางอย่างที่เค้ากำลังต่อสู้อยู่กับสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าชีวิตของตัวเอง ยิ่งเป็นยุคสมัยนี้ที่คนเรามีค่านิยมที่ผิดๆและสังคมเสื่อมทรามลงไปทุกทีที่คนเราขาดธรรมะในจิตวิญญาณ หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า "คุณธรรม,ศีลธรรม,จริยธรรม,จรรยาบรรณ" หรือคำพูดสวยหรูต่างๆนาๆที่คนทั่วไปเค้าชอบพูดกันเพื่อทำให้ตัวเองดูดีมีความรู้สูงส่งนั่นเอง ในยุคสมัยนี้นั้น น้อยคนนักที่จะมีจิตวิญญาณในการเป็นคนดี คิดดี พูดดี และทำดีในสิ่งต่างๆมากนัก คำว่า "ตายอย่างเสือ ดีกว่าอยู่อย่างหมา" นั้น มันเป็นคำพูดที่มีความหมายในตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่น้อยคนนักที่จะทำอย่างที่พูดไว้ได้ เพราะเค้าคนนั้นจะต้องมีจิตสาธารณะ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว หรือที่คนทั่วไปเค้าเรียกกันว่าทำเพื่อส่วนรวมนั่นเอง เพราะว่าเค้าคนนั้นต้องเป็นคนที่เสียสละชีวิตของตนเองเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า และสิ่งที่มีค่าที่ยิ่งใหญ่กว่าชีวิตของเค้านั้นมันคืออะไรกัน ผมจะยกตัวอย่างให้คุณผู้อ่านได้เข้าใจโดยง่าย เช่น ประเทศชาติ หรือ บุคคลสำคัญที่ควรค่าแก่การปกป้อง ซึ่งก็คือประมุขของชาตินั้นๆ และหรือสิ่งต่างๆที่เป็นของส่วนรวมที่ควรค่าแก่การปกปักษ์รักษาไว้ให้คนรุ่นต่อๆไปในภายหลัง และการกระทำอย่างนี้คนทั่วไปเค้าเรียกกันว่าเป็นคนที่มี "อุดมการณ์ หรือ อุดมคติ" ยกตัวอย่างเช่น บรรพชนของเราที่พวกเค้าเหล่านั้นได้เคยเสียสละมาแล้ว เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลังได้ใช้ได้เข้าใจ ซึ่งก็คือ ผืนแผ่นดินเกิดและทรัพยากรทางธรรมชาติหรือขนบธรรมเนียมประเพณีของทุกคนในชาติ แค่นี้คุณผู้อ่านคงพอจะเข้าใจบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ ผมอยากจะส่งต่อเจตจำนงนี้ให้กับคุณ มันเรียกว่า "เจตจำนงของบรรพชน" ซึ่งคุณควรที่จะสานต่อและปกปักษ์รักษามันไว้ให้แก่คนรุ่นหลังได้มีต่อไป เหมือนกับที่บรรพชนของเราได้เคยกระทำไว้และส่งต่อให้กับรุ่นของเรานั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts