• รถบรรทุกหินพุ่งชน คร่า 9 ชีวิตตำรวจมาเลย์ฯ

    โศกนาฎกรรมบนท้องถนนที่คร่าชีวิตตำรวจมาเลเซียครั้งนี้เกิดขึ้น เมื่อรถบรรทุกของตำรวจ หน่วยกองกำลังสำรองแห่งสหพันธรัฐมาเลเซีย (The Federal Reserve Unit หรือ FRU) ประสบอุบัติเหตุชนกับรถบรรทุกหินกรวด เหตุเกิดเมื่อเวลา 08.50 น. วันที่ 13 พ.ค. บนถนนสายชิคุส-สุไหงลำปำ เมืองเตลุก อินตาน รัฐเปรัก ทางตะวันตกเฉียงเหนือของคาบสมุทรมาเลเซีย เป็นเหตุให้ตำรวจหน่วย FRU เสียชีวิต 9 นาย บาดเจ็บอีก 9 นาย รักษาตัวที่โรงพยาบาลเตลุก อินตาน รัฐเปรัก

    ก่อนเกิดเหตุตำรวจหน่วย FRU เพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจดูแลความเรียบร้อยในพิธีชิตรา ปูร์นามิ ในเมืองเตลุก อินตาน กำลังจะเดินทางกลับที่ตั้งในเมืองอิโปห์ โดยมีรถบรรทุก 7 คันเป็นยานพาหนะ เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ รถบรรทุกหินกรวดที่ระบบบังคับเลี้ยวขัดข้อง พุ่งชนรถบรรทุกคันที่ 5 ซึ่งมีตำรวจทั้งหมด 18 นาย ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บดังกล่าว โดยพบว่ารถบรรทุกหินคันดังกล่าวไม่ได้บำรุงรักษารถ และจากการสืบสวนของตำรวจรัฐเปรัก พบว่าคนขับรถบรรทุกหินกรวดวัย 45 ปี มีประวัติอาชญากรรม 6 ครั้ง รวมทั้งความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และมีหมายคดีจราจรค้างอยู่หลายฉบับ

    สำหรับตำรวจที่เสียชีวิตจะได้รับค่าชดเชยเยียวยาตั้งแต่ 58,000 ถึง 269,700 ริงกิต (ประมาณ 449,000 ถึง 2,000,000 บาท) ผ่านกองทุนสวัสดิการต่างๆ ซึ่งศพของตำรวจทั้ง 9 นาย หลังชันสูตรแล้วจะประกอบพิธีทางศาสนาอิสลาม โดยจะมีพิธีฝังศพที่หน่วยบัญชาการตำรวจกำลังสำรองแห่งสหพันธรัฐที่ 5 (FRU No.5) สุไหงเซนัม เมืองอิโปห์

    ตำรวจหน่วยกองกำลังสำรองของมาเลเซีย (FRU) เป็นหน่วยตำรวจที่ทำหน้าที่ควบคุมฝูงชนและตอบสนองเหตุฉุกเฉินพิเศษ ขึ้นตรงสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย และกระทรวงมหาดไทย มีลักษณะกึ่งทหาร สามารถส่งกำลังไปได้ทุกแห่งเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินหรือความไม่สงบในประเทศ มีบทบาทหลักได้แก่ สลายการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย ปราบปรามจลาจล และปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ เช่น อุทกภัย เพลิงไหม้ ดินถล่ม เครื่องบินตก เป็นต้น

    ตำรวจหน่วยดังกล่าวมีหมวกเบเร่ต์สีแดงเป็นสัญลักษณ์ ปัจจุบันมีหน่วยบัญชาการของตำรวจ FRU จำนวน 10 แห่ง ได้แก่ ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ 2 แห่ง (No.1 และ No.4) ยะโฮร์บาห์รู (No.2) ปีนัง (No.3) เมืองอิโปห์ รัฐเปรัก (No.5) กัวลาตรังกานู (No.6) เมืองเซเรมบัน รัฐเนกรีเซมบีลัน (No.7) และยังมีหน่วยเฉพาะได้แก่ กองกำลังสตรี หน่วยตำรวจม้า (Mounted Unit) และศูนย์ฝึกอบรม FRU ในเมืองอิโปห์ รัฐเปรัก โดยมีกำลังพลรวมกันประมาณ 2,400 นาย

    #Newskit
    รถบรรทุกหินพุ่งชน คร่า 9 ชีวิตตำรวจมาเลย์ฯ โศกนาฎกรรมบนท้องถนนที่คร่าชีวิตตำรวจมาเลเซียครั้งนี้เกิดขึ้น เมื่อรถบรรทุกของตำรวจ หน่วยกองกำลังสำรองแห่งสหพันธรัฐมาเลเซีย (The Federal Reserve Unit หรือ FRU) ประสบอุบัติเหตุชนกับรถบรรทุกหินกรวด เหตุเกิดเมื่อเวลา 08.50 น. วันที่ 13 พ.ค. บนถนนสายชิคุส-สุไหงลำปำ เมืองเตลุก อินตาน รัฐเปรัก ทางตะวันตกเฉียงเหนือของคาบสมุทรมาเลเซีย เป็นเหตุให้ตำรวจหน่วย FRU เสียชีวิต 9 นาย บาดเจ็บอีก 9 นาย รักษาตัวที่โรงพยาบาลเตลุก อินตาน รัฐเปรัก ก่อนเกิดเหตุตำรวจหน่วย FRU เพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจดูแลความเรียบร้อยในพิธีชิตรา ปูร์นามิ ในเมืองเตลุก อินตาน กำลังจะเดินทางกลับที่ตั้งในเมืองอิโปห์ โดยมีรถบรรทุก 7 คันเป็นยานพาหนะ เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ รถบรรทุกหินกรวดที่ระบบบังคับเลี้ยวขัดข้อง พุ่งชนรถบรรทุกคันที่ 5 ซึ่งมีตำรวจทั้งหมด 18 นาย ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บดังกล่าว โดยพบว่ารถบรรทุกหินคันดังกล่าวไม่ได้บำรุงรักษารถ และจากการสืบสวนของตำรวจรัฐเปรัก พบว่าคนขับรถบรรทุกหินกรวดวัย 45 ปี มีประวัติอาชญากรรม 6 ครั้ง รวมทั้งความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และมีหมายคดีจราจรค้างอยู่หลายฉบับ สำหรับตำรวจที่เสียชีวิตจะได้รับค่าชดเชยเยียวยาตั้งแต่ 58,000 ถึง 269,700 ริงกิต (ประมาณ 449,000 ถึง 2,000,000 บาท) ผ่านกองทุนสวัสดิการต่างๆ ซึ่งศพของตำรวจทั้ง 9 นาย หลังชันสูตรแล้วจะประกอบพิธีทางศาสนาอิสลาม โดยจะมีพิธีฝังศพที่หน่วยบัญชาการตำรวจกำลังสำรองแห่งสหพันธรัฐที่ 5 (FRU No.5) สุไหงเซนัม เมืองอิโปห์ ตำรวจหน่วยกองกำลังสำรองของมาเลเซีย (FRU) เป็นหน่วยตำรวจที่ทำหน้าที่ควบคุมฝูงชนและตอบสนองเหตุฉุกเฉินพิเศษ ขึ้นตรงสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย และกระทรวงมหาดไทย มีลักษณะกึ่งทหาร สามารถส่งกำลังไปได้ทุกแห่งเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินหรือความไม่สงบในประเทศ มีบทบาทหลักได้แก่ สลายการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย ปราบปรามจลาจล และปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ เช่น อุทกภัย เพลิงไหม้ ดินถล่ม เครื่องบินตก เป็นต้น ตำรวจหน่วยดังกล่าวมีหมวกเบเร่ต์สีแดงเป็นสัญลักษณ์ ปัจจุบันมีหน่วยบัญชาการของตำรวจ FRU จำนวน 10 แห่ง ได้แก่ ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ 2 แห่ง (No.1 และ No.4) ยะโฮร์บาห์รู (No.2) ปีนัง (No.3) เมืองอิโปห์ รัฐเปรัก (No.5) กัวลาตรังกานู (No.6) เมืองเซเรมบัน รัฐเนกรีเซมบีลัน (No.7) และยังมีหน่วยเฉพาะได้แก่ กองกำลังสตรี หน่วยตำรวจม้า (Mounted Unit) และศูนย์ฝึกอบรม FRU ในเมืองอิโปห์ รัฐเปรัก โดยมีกำลังพลรวมกันประมาณ 2,400 นาย #Newskit
    0 Comments 0 Shares 326 Views 0 Reviews
  • ยิวและปาเลสไตน์
    ==========
    .
    การศึกษาที่ตีพิมพ์โดย National Academy of Sciences พบว่า "กลุ่มยีนของชุมชนชาวยิวจากยุโรป แอฟริกาเหนือ และตะวันออกกลาง.. สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษ 'ตะวันออกกลาง' ร่วมกัน" และแนะนำว่า "ชุมชนชาวยิวส่วนใหญ่ยังคงแยกตัวจากชุมชนที่ไม่ใช่ชาวยิวในละแวกใกล้เคียงค่อนข้างมาก ทั้งในช่วงอพยพและหลังการอพยพของชาวยิว"
    .
    นักพันธุศาสตร์ Doron Behar และเพื่อนร่วมงาน (2010) ระบุว่า "ข้อมูลนี้สอดคล้องกับการกำหนดทางประวัติศาสตร์ว่า ชาวยิวสืบเชื้อสายมาจากชาวอิสราเอลโบราณ" ประมาณ 35% ถึง 43% ของชายชาวยิวอยู่ในสายเลือดของบิดาที่เรียกว่ากลุ่มยีน Hg "J" และกลุ่มยีนย่อย. กลุ่มยีนนี้พบโดยเฉพาะในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ แอฟริกาตะวันออก คอเคซัส และยุโรปตอนใต้ราว 15% ถึง 30% อยู่ในกลุ่มยีน Hg "E1b1b" (หรือ E-M35)
    [ Hg = Haplogroup ]
    .
    การศึกษาโดยใช้ดีเอ็นเอโครโมโซม Y ของชาวยิวชาย โดยพยายามสืบหาสายเลือดของนักบวชชาวยิว (โคฮานิม) จากบิดา ผลการศึกษาเผยให้เห็นแฮพโลไทป์โครโมโซม Y บรรพบุรุษร่วมกันเมื่อประมาณ 2,650 ปีก่อน ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของการทำลายวิหารแรกของเยรูซาเล็มในปี 586 ก่อนคริสตกาล และการกระจายตัวของนักบวช การศึกษาดีเอ็นเอไมโตคอนเดรียของประชากรชาวยิวเป็นการศึกษาที่ค่อนข้างใหม่ เป็นที่ถกเถียง และมีความหลากหลายมากกว่า
    .
    ส่วนชาวปาเลสไตน์ บันทึกทางประวัติศาสตร์และการศึกษาด้านพันธุกรรมในเวลาต่อมาบ่งชี้ว่าชาวปาเลสไตน์สืบเชื้อสายมาจากเลแวนไทน์โบราณเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งย้อนกลับไปถึงชาวเลแวนไทน์ในยุคสำริด การศึกษาในปี 2015 โดย Verónica Fernandes และคนอื่นๆ สรุปว่าชาวปาเลสไตน์มี "ต้นกำเนิดเป็นชนพื้นเมืองเป็นหลัก"
    .
    การศึกษาในปี 2020 เกี่ยวกับซากศพมนุษย์จากกลุ่มคนคานาอันในยุคสำริดกลาง (2100–1550 ปีก่อนคริสตกาล) ชี้ให้เห็นถึงความต่อเนื่องทางพันธุกรรมในระดับที่สำคัญในกลุ่มคนที่พูดภาษาอาหรับในเลวานไทน์ (เช่น ชาวปาเลสไตน์ ชาวดรูซ ชาวเลบานอน ชาวจอร์แดน ชาวเบดูอิน และชาวซีเรีย) พบว่าชาวปาเลสไตน์และกลุ่มคนเลวานไทน์อื่นๆ มีบรรพบุรุษ 81–87% มาจากเลวานไทน์ในยุคสำริด ซึ่งเกี่ยวข้องกับชาวคานาอันและอิทธิพลของวัฒนธรรมคูรา–อารักเซสตั้งแต่ก่อน 2400 ปีก่อนคริสตกาล (4400 ปีก่อนปัจจุบัน) 8–12% มาจากแหล่งแอฟริกาตะวันออก และ 5–10% มาจากชาวยุโรปในยุคสำริด
    .
    การศึกษาดีเอ็นเอครั้งหนึ่งโดย Nebel พบว่ามีการทับซ้อนกันทางพันธุกรรมอย่างมากในหมู่ชาวอาหรับอิสราเอล ปาเลสไตน์และชาวยิว เนเบลเสนอว่า "บางส่วนหรือบางทีอาจเป็นส่วนใหญ่" ของชาวปาเลสไตน์ที่เป็นมุสลิม สืบเชื้อสายมาจาก "ชาวพื้นเมือง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคริสเตียนและยิวที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามหลังจากอิสลามพิชิตในคริสตศตวรรษที่ 7"
    .
    ในการศึกษาทางพันธุกรรมของ STR ที่มีโครโมโซม Y ในประชากรสองกลุ่มจากอิสราเอลและพื้นที่ปกครองปาเลสไตน์ พบว่าชาวปาเลสไตน์ที่เป็นคริสเตียนและมุสลิมแสดงความแตกต่างทางพันธุกรรมเล็กน้อย คริสเตียนปาเลสไตน์ส่วนใหญ่ (31.82%) เป็นกลุ่มย่อยของ Hg"E1b1b" รองลงมาคือ Hg"G2a" (11.36%) และ Hg"J1" (9.09%) ชาวมุสลิมปาเลสไตน์ส่วนใหญ่มียีนเป็นกลุ่มย่อยของ Hg"J1" (37.82%) รองลงมาคือ Hg"E1b1b" (19.33%) และ Hg"T" (5.88%)
    .
    ในปี 2004 ทีมนักพันธุศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กับมหาวิทยาลัยฮิบรูแห่งเยรูซาเล็ม มหาวิทยาลัยทาร์ทู (เอสโตเนีย) ศูนย์การแพทย์บาร์ซิไล (อัชเคลอน อิสราเอล) และศูนย์การแพทย์อัสซาฟ ฮาโรเฟห์ (เซริฟิน อิสราเอล) ทำการศึกษาชุมชนชาติพันธุ์ซามาริตันสมัยใหม่ที่อาศัยอยู่ในอิสราเอลโดยเปรียบเทียบกับประชากรอิสราเอลสมัยใหม่เพื่อสำรวจประวัติศาสตร์ทางพันธุกรรมโบราณของกลุ่มคนเหล่านี้ ผลการค้นพบของพวกเขารายงานถึงวงศ์ตระกูลสี่วงศ์ในหมู่ชาวซามาริตัน ได้แก่ ตระกูล Tsdaka, Joshua-Marhiv, Danfi และครอบครัว Cohen ครอบครัวชาวซามาริตันทั้งหมดพบในกลุ่มยีน Hg"J1" และ Hg"J2" ยกเว้นครอบครัว Cohen ซึ่งพบในกลุ่มยีน Hg"E3b1a-M78" ข้อมูลนี้มีเนื้อหาก่อนกลุ่มย่อย "E3b1a" โดยอิงตามการวิจัยของ Cruciani et al. (2006)
    .
    Mekel-Bobrov et al. (2005) ศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบยีน ASPM พบว่าชาว"ดรูซ"อิสราเอลในภูมิภาคคาร์เมล มีอัตราการเกิดกลุ่มยีน ASPM Hg D ที่เพิ่งวิวัฒนาการใหม่สูงที่สุด โดยมีการเกิดขึ้นของอัลลีลที่มีอายุประมาณ 6,000 ปีถึง 52.2% แม้ว่าจะยังไม่ทราบแน่ชัดว่ารูปแบบยีนนี้ให้ข้อได้เปรียบในการคัดเลือกอย่างไร แต่เชื่อกันว่าอัลลีลกลุ่มยีน Hg D ได้รับการคัดเลือกในเชิงบวกในประชากร และมอบข้อได้เปรียบที่สำคัญบางประการที่ทำให้ความถี่ของอัลลีลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว.. ตามการทดสอบ DNA ชาวดรูซโดดเด่นในเรื่องความถี่สูง (35%) ของผู้ชายที่มีกลุ่มยีน Y-chromosomal "L" ซึ่งไม่ธรรมดาในตะวันออกกลาง กลุ่มยีนนี้มีต้นกำเนิดมาจากเอเชียใต้ในยุคก่อนประวัติศาสตร์และแพร่กระจายจากปากีสถานไปยังอิหร่านตอนใต้
    [ * อัลลีล (allele) คือรูปแบบหนึ่ง จากหลายๆ รูปแบบของยีนหนึ่ง บางครั้งอัลลีลที่แตกต่างกันอาจทำให้เกิดลักษณะที่แสดงออก เช่น สีตา สีผม ที่แตกต่างกันได้ บางครั้งอัลลีลที่แตกต่างกันอาจไม่ได้ทำให้มีลักษณะแสดงออกที่แตกต่างกันก็ได้ ]
    .
    มายาอคติที่ก่อให้เกิดขึ้นโดยพวกไซออนิสท์ที่ครอบงำชาวยิวในอิสราเอลทำให้พวกเขามืดบอด ทั้งที่ในทางวิทยาศาสตร์ ชาวยิวและชาวอาหรับมียีนร่วมกันมากกว่าใครในโลกนี้จะมี ผลจากอาชญากรรมอันรุนแรงที่อิสราเอลก่อ ทำให้เกิดความเกลียดชังชาวยิวพุ่งขึ้น ชาวยิวมากมายที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ในภูมิภาคอื่นที่ไม่ใช่อิสราเอล เริ่มเดือดร้อนและต่อต้าน พวกไซออนิสท์กลับนำคำคำหนึ่งมานิยามตราหน้าใครก็ตามที่เกลียดยิวว่า "Anti Semitism" ซึ่งยิ่งทำให้โลกทัศน์บิดเบี้ยวมากขึ้น จนในบัดนี้มีคนยิวในประเทศอื่นที่ทนไม่ได้กับบาปที่พวกเขาไม่ได้ก่อเริ่มออกมาต่อต้านกันมากขึ้นทุกทีและโต้แย้งว่าสิ่งที่พวกไซออนทำไม่ควรทำให้เกิด "Anti Semitism แต่เป็น Anti Zionism ต่างหาก"
    .
    คำว่า Anti Semitism ในที่นี้ หมายถึงอะไร? อิสราเอลตั้งใจจะให้หมายถึงการต่อต้านพวกที่พูดภาษา Semitic นั่นแหละ ปัญหาคือเซมิติคไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ภาษาฮิบรูของยิวเท่านั้น แต่พวกที่พูดภาษาสกุลเซมิติคยังหมายถึงภาษาอาราบิค อัมฮาริค ทิกรินยา อารามาอิค... ซึ่งพูดกันอยู่ในประชากรโลกมากกว่า 330 ล้านคน ทั้งยิวและปาเลสไตน์ต่างก็พูดภาษาในสกุลเซมิติคทั้งคู่ ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากดีเอ็นเอ ไม่เพียงพวกเขาก็เป็นพี่น้องกันแล้ว (Hg J / E) เมื่อพิจารณาจากทางภาษา พวกเขาก็เป็นพี่น้องกันอีก
    .
    คำว่า Semitic มาจากคำว่า Sem (Shem) ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิ้ลบทปฐมกาล คือชื่อของบุตรชายคนหนึ่งของโนอาห์. พูดง่ายๆ พวกที่พูดภาษาสกุลเซมก็คือลูกหลานของโนอาห์นั่นแหละ
    คุณคิดว่ามันน่าเศร้าไหม ที่ลูกหลานโนอาห์เข่นฆ่ากันเอง
    หรือว่าที่จริงแล้วพวกอิสราเอลเป็นลูกหลานของคาอิน ไม่ใช่โนอาห์
    อีกครั้งที่ผมจะพูด
    ความแบ่งแยกคือความคิดของปีศาจ
    มันคือมูลเหตุของ Genocide ทั้งที่รวันดาและกาซ่าในตอนนี้
    .
    ยิวและปาเลสไตน์ ========== . การศึกษาที่ตีพิมพ์โดย National Academy of Sciences พบว่า "กลุ่มยีนของชุมชนชาวยิวจากยุโรป แอฟริกาเหนือ และตะวันออกกลาง.. สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษ 'ตะวันออกกลาง' ร่วมกัน" และแนะนำว่า "ชุมชนชาวยิวส่วนใหญ่ยังคงแยกตัวจากชุมชนที่ไม่ใช่ชาวยิวในละแวกใกล้เคียงค่อนข้างมาก ทั้งในช่วงอพยพและหลังการอพยพของชาวยิว" . นักพันธุศาสตร์ Doron Behar และเพื่อนร่วมงาน (2010) ระบุว่า "ข้อมูลนี้สอดคล้องกับการกำหนดทางประวัติศาสตร์ว่า ชาวยิวสืบเชื้อสายมาจากชาวอิสราเอลโบราณ" ประมาณ 35% ถึง 43% ของชายชาวยิวอยู่ในสายเลือดของบิดาที่เรียกว่ากลุ่มยีน Hg "J" และกลุ่มยีนย่อย. กลุ่มยีนนี้พบโดยเฉพาะในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ แอฟริกาตะวันออก คอเคซัส และยุโรปตอนใต้ราว 15% ถึง 30% อยู่ในกลุ่มยีน Hg "E1b1b" (หรือ E-M35) [ Hg = Haplogroup ] . การศึกษาโดยใช้ดีเอ็นเอโครโมโซม Y ของชาวยิวชาย โดยพยายามสืบหาสายเลือดของนักบวชชาวยิว (โคฮานิม) จากบิดา ผลการศึกษาเผยให้เห็นแฮพโลไทป์โครโมโซม Y บรรพบุรุษร่วมกันเมื่อประมาณ 2,650 ปีก่อน ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของการทำลายวิหารแรกของเยรูซาเล็มในปี 586 ก่อนคริสตกาล และการกระจายตัวของนักบวช การศึกษาดีเอ็นเอไมโตคอนเดรียของประชากรชาวยิวเป็นการศึกษาที่ค่อนข้างใหม่ เป็นที่ถกเถียง และมีความหลากหลายมากกว่า . ส่วนชาวปาเลสไตน์ บันทึกทางประวัติศาสตร์และการศึกษาด้านพันธุกรรมในเวลาต่อมาบ่งชี้ว่าชาวปาเลสไตน์สืบเชื้อสายมาจากเลแวนไทน์โบราณเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งย้อนกลับไปถึงชาวเลแวนไทน์ในยุคสำริด การศึกษาในปี 2015 โดย Verónica Fernandes และคนอื่นๆ สรุปว่าชาวปาเลสไตน์มี "ต้นกำเนิดเป็นชนพื้นเมืองเป็นหลัก" . การศึกษาในปี 2020 เกี่ยวกับซากศพมนุษย์จากกลุ่มคนคานาอันในยุคสำริดกลาง (2100–1550 ปีก่อนคริสตกาล) ชี้ให้เห็นถึงความต่อเนื่องทางพันธุกรรมในระดับที่สำคัญในกลุ่มคนที่พูดภาษาอาหรับในเลวานไทน์ (เช่น ชาวปาเลสไตน์ ชาวดรูซ ชาวเลบานอน ชาวจอร์แดน ชาวเบดูอิน และชาวซีเรีย) พบว่าชาวปาเลสไตน์และกลุ่มคนเลวานไทน์อื่นๆ มีบรรพบุรุษ 81–87% มาจากเลวานไทน์ในยุคสำริด ซึ่งเกี่ยวข้องกับชาวคานาอันและอิทธิพลของวัฒนธรรมคูรา–อารักเซสตั้งแต่ก่อน 2400 ปีก่อนคริสตกาล (4400 ปีก่อนปัจจุบัน) 8–12% มาจากแหล่งแอฟริกาตะวันออก และ 5–10% มาจากชาวยุโรปในยุคสำริด . การศึกษาดีเอ็นเอครั้งหนึ่งโดย Nebel พบว่ามีการทับซ้อนกันทางพันธุกรรมอย่างมากในหมู่ชาวอาหรับอิสราเอล ปาเลสไตน์และชาวยิว เนเบลเสนอว่า "บางส่วนหรือบางทีอาจเป็นส่วนใหญ่" ของชาวปาเลสไตน์ที่เป็นมุสลิม สืบเชื้อสายมาจาก "ชาวพื้นเมือง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคริสเตียนและยิวที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามหลังจากอิสลามพิชิตในคริสตศตวรรษที่ 7" . ในการศึกษาทางพันธุกรรมของ STR ที่มีโครโมโซม Y ในประชากรสองกลุ่มจากอิสราเอลและพื้นที่ปกครองปาเลสไตน์ พบว่าชาวปาเลสไตน์ที่เป็นคริสเตียนและมุสลิมแสดงความแตกต่างทางพันธุกรรมเล็กน้อย คริสเตียนปาเลสไตน์ส่วนใหญ่ (31.82%) เป็นกลุ่มย่อยของ Hg"E1b1b" รองลงมาคือ Hg"G2a" (11.36%) และ Hg"J1" (9.09%) ชาวมุสลิมปาเลสไตน์ส่วนใหญ่มียีนเป็นกลุ่มย่อยของ Hg"J1" (37.82%) รองลงมาคือ Hg"E1b1b" (19.33%) และ Hg"T" (5.88%) . ในปี 2004 ทีมนักพันธุศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กับมหาวิทยาลัยฮิบรูแห่งเยรูซาเล็ม มหาวิทยาลัยทาร์ทู (เอสโตเนีย) ศูนย์การแพทย์บาร์ซิไล (อัชเคลอน อิสราเอล) และศูนย์การแพทย์อัสซาฟ ฮาโรเฟห์ (เซริฟิน อิสราเอล) ทำการศึกษาชุมชนชาติพันธุ์ซามาริตันสมัยใหม่ที่อาศัยอยู่ในอิสราเอลโดยเปรียบเทียบกับประชากรอิสราเอลสมัยใหม่เพื่อสำรวจประวัติศาสตร์ทางพันธุกรรมโบราณของกลุ่มคนเหล่านี้ ผลการค้นพบของพวกเขารายงานถึงวงศ์ตระกูลสี่วงศ์ในหมู่ชาวซามาริตัน ได้แก่ ตระกูล Tsdaka, Joshua-Marhiv, Danfi และครอบครัว Cohen ครอบครัวชาวซามาริตันทั้งหมดพบในกลุ่มยีน Hg"J1" และ Hg"J2" ยกเว้นครอบครัว Cohen ซึ่งพบในกลุ่มยีน Hg"E3b1a-M78" ข้อมูลนี้มีเนื้อหาก่อนกลุ่มย่อย "E3b1a" โดยอิงตามการวิจัยของ Cruciani et al. (2006) . Mekel-Bobrov et al. (2005) ศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบยีน ASPM พบว่าชาว"ดรูซ"อิสราเอลในภูมิภาคคาร์เมล มีอัตราการเกิดกลุ่มยีน ASPM Hg D ที่เพิ่งวิวัฒนาการใหม่สูงที่สุด โดยมีการเกิดขึ้นของอัลลีลที่มีอายุประมาณ 6,000 ปีถึง 52.2% แม้ว่าจะยังไม่ทราบแน่ชัดว่ารูปแบบยีนนี้ให้ข้อได้เปรียบในการคัดเลือกอย่างไร แต่เชื่อกันว่าอัลลีลกลุ่มยีน Hg D ได้รับการคัดเลือกในเชิงบวกในประชากร และมอบข้อได้เปรียบที่สำคัญบางประการที่ทำให้ความถี่ของอัลลีลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว.. ตามการทดสอบ DNA ชาวดรูซโดดเด่นในเรื่องความถี่สูง (35%) ของผู้ชายที่มีกลุ่มยีน Y-chromosomal "L" ซึ่งไม่ธรรมดาในตะวันออกกลาง กลุ่มยีนนี้มีต้นกำเนิดมาจากเอเชียใต้ในยุคก่อนประวัติศาสตร์และแพร่กระจายจากปากีสถานไปยังอิหร่านตอนใต้ [ * อัลลีล (allele) คือรูปแบบหนึ่ง จากหลายๆ รูปแบบของยีนหนึ่ง บางครั้งอัลลีลที่แตกต่างกันอาจทำให้เกิดลักษณะที่แสดงออก เช่น สีตา สีผม ที่แตกต่างกันได้ บางครั้งอัลลีลที่แตกต่างกันอาจไม่ได้ทำให้มีลักษณะแสดงออกที่แตกต่างกันก็ได้ ] . มายาอคติที่ก่อให้เกิดขึ้นโดยพวกไซออนิสท์ที่ครอบงำชาวยิวในอิสราเอลทำให้พวกเขามืดบอด ทั้งที่ในทางวิทยาศาสตร์ ชาวยิวและชาวอาหรับมียีนร่วมกันมากกว่าใครในโลกนี้จะมี ผลจากอาชญากรรมอันรุนแรงที่อิสราเอลก่อ ทำให้เกิดความเกลียดชังชาวยิวพุ่งขึ้น ชาวยิวมากมายที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ในภูมิภาคอื่นที่ไม่ใช่อิสราเอล เริ่มเดือดร้อนและต่อต้าน พวกไซออนิสท์กลับนำคำคำหนึ่งมานิยามตราหน้าใครก็ตามที่เกลียดยิวว่า "Anti Semitism" ซึ่งยิ่งทำให้โลกทัศน์บิดเบี้ยวมากขึ้น จนในบัดนี้มีคนยิวในประเทศอื่นที่ทนไม่ได้กับบาปที่พวกเขาไม่ได้ก่อเริ่มออกมาต่อต้านกันมากขึ้นทุกทีและโต้แย้งว่าสิ่งที่พวกไซออนทำไม่ควรทำให้เกิด "Anti Semitism แต่เป็น Anti Zionism ต่างหาก" . คำว่า Anti Semitism ในที่นี้ หมายถึงอะไร? อิสราเอลตั้งใจจะให้หมายถึงการต่อต้านพวกที่พูดภาษา Semitic นั่นแหละ ปัญหาคือเซมิติคไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ภาษาฮิบรูของยิวเท่านั้น แต่พวกที่พูดภาษาสกุลเซมิติคยังหมายถึงภาษาอาราบิค อัมฮาริค ทิกรินยา อารามาอิค... ซึ่งพูดกันอยู่ในประชากรโลกมากกว่า 330 ล้านคน ทั้งยิวและปาเลสไตน์ต่างก็พูดภาษาในสกุลเซมิติคทั้งคู่ ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากดีเอ็นเอ ไม่เพียงพวกเขาก็เป็นพี่น้องกันแล้ว (Hg J / E) เมื่อพิจารณาจากทางภาษา พวกเขาก็เป็นพี่น้องกันอีก . คำว่า Semitic มาจากคำว่า Sem (Shem) ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิ้ลบทปฐมกาล คือชื่อของบุตรชายคนหนึ่งของโนอาห์. พูดง่ายๆ พวกที่พูดภาษาสกุลเซมก็คือลูกหลานของโนอาห์นั่นแหละ คุณคิดว่ามันน่าเศร้าไหม ที่ลูกหลานโนอาห์เข่นฆ่ากันเอง หรือว่าที่จริงแล้วพวกอิสราเอลเป็นลูกหลานของคาอิน ไม่ใช่โนอาห์ อีกครั้งที่ผมจะพูด ความแบ่งแยกคือความคิดของปีศาจ มันคือมูลเหตุของ Genocide ทั้งที่รวันดาและกาซ่าในตอนนี้ .
    1 Comments 0 Shares 390 Views 0 Reviews
  • การฆ่าคน ถือเป็นบาปหนักในศาสนาอิสลาม
    บาปความผิดที่ยิ่งใหญ่และถือเป็นความชั่วร้ายที่สุดทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ รองลงมาจากการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ คือ การฆ่าชีวิตที่บริสุทธิ์
    .
    อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า…
    “และบรรดาผู้ที่ไม่วิงวอนขอพระเจ้าอื่นใดคู่เคียงกับอัลลอฮ และพวกเขาไม่ฆ่าชีวิตซึ่งอัลลอฮทรงห้ามไว้เว้นแต่เพื่อความยุติธรรม และพวกเขาไม่ผิดประเวณี และผู้ใดกระทำเช่นนั้นจะได้พบกับความผิดอันมหันต์ การลงโทษในวันกิยามะฮฺจะถูกเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าสำหรับเขา และเขาจะอยู่ในนั้นอย่างอัปยศ” (อัลฟุรกอน: 68-69)
    .
    ทั้งนี้ พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ว่าบทลงโทษสำหรับผู้ที่ฆ่าผู้ศรัทธาโดยเจตนานั้น คือ การพำนักอยู่ในนรกตลอดกาล ความโกรธกริ้วและการสาปแช่งของอัลลอฮฺ ตลอดจนการลงโทษที่เจ็บแสบสาหัสซึ่งพระองค์ทรงเตรียมไว้
    .
    อัลลอฮฺ ตรัสว่า…
    “และผู้ใดฆ่าผู้ศรัทธาโดยจงใจ การตอบแทนแก่เขาก็คือนรกญะฮันนัม โดยที่เขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล และอัลลอฮฺก็ทรงกริ้วโกรธเขา และทรงสาปแช่งเขา และได้ทรงเตรียมไว้สำหรับเขาซึ่งการลงโทษอันใหญ่หลวง” (อันนิสาอ์: 93)
    .
    อนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า…
    "บาปที่ใหญ่ที่สุดได้แก่ การตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ การฆ่าผู้อื่น การเนรคุณต่อบุพการี และคำพูดเท็จ (หรือ) การเป็นพยานเท็จ"
    (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 6871 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 88)
    .
    ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ยังได้บอกอีกว่า ผู้ศรัทธานั้นจะยังคงอยู่ในสภาพหรือสถานะที่ปลอดภัย ตราบใดที่เขาไม่คร่าชีวิตผู้อื่นโดยไม่ชอบธรรม
    .
    อิบนุ อุมัรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า…
    “ศาสนาของผู้ศรัทธาคนหนึ่งจะยังคงอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย ตราบใดที่เขามิได้คร่าชีวิตผู้อื่นโดยปราศจากความชอบธรรม”
    (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 6862)
    .
    ความผิดที่เกี่ยวกับการเข่นฆ่าระหว่างหมู่มนุษย์นั้น คือสิ่งแรกที่จะได้รับการพิพากษาตัดสินในวันกิยามะฮฺ อิบนุ มัสอูด เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า…
    “สิ่งแรกที่มนุษย์จะถูกพิพากษาในวันกิยามะฮฺ คือ ความผิดที่เกิดจากการฆ่าผู้อื่น”
    (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 6862 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 1678)
    .
    ในหะดีษอีกบทหนึ่ง อบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า…
    “พวกท่านทั้งหลายจงหลีกห่างจากสิ่งที่ทำให้พินาศเจ็ดประการ (และหนึ่งในนั้นคือ) การฆ่าชีวิตผู้อื่นที่อัลลอฮฺทรงห้ามฆ่านอกจากด้วยสิทธิอันชอบธรรม”
    (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 6857 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 89)
    .
    อิบนุ อัมรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า…
    “ผู้ใดฆ่า ผู้ที่อยู่ภายใต้พันธสัญญา เขาจะไม่ได้กลิ่นอายของสรวงสวรรค์ ทั้งที่กลิ่นของสวรรค์นั้นสามารถสัมผัสได้แม้จะอยู่ห่างออกไปเป็นระยะทางเท่ากับการเดินทางสี่สิบปีก็ตาม”
    (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 6914)
    .
    ในหะดีษอีกบทหนึ่ง อิบนุ อับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า…
    “พวกท่านทั้งหลายอย่าได้เป็นดังเช่นผู้ปฏิเสธศรัทธาภายหลังจากที่ฉันตายไป ด้วยการที่พวกท่านประหัตประหารฆ่าฟันกัน”
    (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 1739 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 1679)
    .
    ท่านนบียังได้บอกอีกว่า การฆ่ากันนั้นเป็นหนึ่งในสัญญาณวันสิ้นโลก อบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า…
    “ความรู้จะถูกยึด ความโง่เขลาและความวุ่นวายจะปรากฏขึ้น และจะเกิดการฆ่าฟันกันอย่างมากมาย” (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 85 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 2672)
    .
    =============================================
    อัลลอฮฺ ไม่สถิตอยู่กับคนขี้ขลาดอย่างพวกแกที่ลอบเข่นฆ่าคนบริสุทธิ์
    และบังอาจกล่าวอ้างพระนามพระเป็นเจ้าด้วยใจที่ชั่วช้าของพวกแก
    ขอให้พระเจ้าลงโทษฆาตกรทุกตัว
    อามีน
    .
    การฆ่าคน ถือเป็นบาปหนักในศาสนาอิสลาม บาปความผิดที่ยิ่งใหญ่และถือเป็นความชั่วร้ายที่สุดทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ รองลงมาจากการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ คือ การฆ่าชีวิตที่บริสุทธิ์ . อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า… “และบรรดาผู้ที่ไม่วิงวอนขอพระเจ้าอื่นใดคู่เคียงกับอัลลอฮ และพวกเขาไม่ฆ่าชีวิตซึ่งอัลลอฮทรงห้ามไว้เว้นแต่เพื่อความยุติธรรม และพวกเขาไม่ผิดประเวณี และผู้ใดกระทำเช่นนั้นจะได้พบกับความผิดอันมหันต์ การลงโทษในวันกิยามะฮฺจะถูกเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าสำหรับเขา และเขาจะอยู่ในนั้นอย่างอัปยศ” (อัลฟุรกอน: 68-69) . ทั้งนี้ พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ว่าบทลงโทษสำหรับผู้ที่ฆ่าผู้ศรัทธาโดยเจตนานั้น คือ การพำนักอยู่ในนรกตลอดกาล ความโกรธกริ้วและการสาปแช่งของอัลลอฮฺ ตลอดจนการลงโทษที่เจ็บแสบสาหัสซึ่งพระองค์ทรงเตรียมไว้ . อัลลอฮฺ ตรัสว่า… “และผู้ใดฆ่าผู้ศรัทธาโดยจงใจ การตอบแทนแก่เขาก็คือนรกญะฮันนัม โดยที่เขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล และอัลลอฮฺก็ทรงกริ้วโกรธเขา และทรงสาปแช่งเขา และได้ทรงเตรียมไว้สำหรับเขาซึ่งการลงโทษอันใหญ่หลวง” (อันนิสาอ์: 93) . อนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า… "บาปที่ใหญ่ที่สุดได้แก่ การตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ การฆ่าผู้อื่น การเนรคุณต่อบุพการี และคำพูดเท็จ (หรือ) การเป็นพยานเท็จ" (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 6871 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 88) . ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ยังได้บอกอีกว่า ผู้ศรัทธานั้นจะยังคงอยู่ในสภาพหรือสถานะที่ปลอดภัย ตราบใดที่เขาไม่คร่าชีวิตผู้อื่นโดยไม่ชอบธรรม . อิบนุ อุมัรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า… “ศาสนาของผู้ศรัทธาคนหนึ่งจะยังคงอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย ตราบใดที่เขามิได้คร่าชีวิตผู้อื่นโดยปราศจากความชอบธรรม” (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 6862) . ความผิดที่เกี่ยวกับการเข่นฆ่าระหว่างหมู่มนุษย์นั้น คือสิ่งแรกที่จะได้รับการพิพากษาตัดสินในวันกิยามะฮฺ อิบนุ มัสอูด เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า… “สิ่งแรกที่มนุษย์จะถูกพิพากษาในวันกิยามะฮฺ คือ ความผิดที่เกิดจากการฆ่าผู้อื่น” (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 6862 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 1678) . ในหะดีษอีกบทหนึ่ง อบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า… “พวกท่านทั้งหลายจงหลีกห่างจากสิ่งที่ทำให้พินาศเจ็ดประการ (และหนึ่งในนั้นคือ) การฆ่าชีวิตผู้อื่นที่อัลลอฮฺทรงห้ามฆ่านอกจากด้วยสิทธิอันชอบธรรม” (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 6857 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 89) . อิบนุ อัมรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า… “ผู้ใดฆ่า ผู้ที่อยู่ภายใต้พันธสัญญา เขาจะไม่ได้กลิ่นอายของสรวงสวรรค์ ทั้งที่กลิ่นของสวรรค์นั้นสามารถสัมผัสได้แม้จะอยู่ห่างออกไปเป็นระยะทางเท่ากับการเดินทางสี่สิบปีก็ตาม” (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 6914) . ในหะดีษอีกบทหนึ่ง อิบนุ อับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า… “พวกท่านทั้งหลายอย่าได้เป็นดังเช่นผู้ปฏิเสธศรัทธาภายหลังจากที่ฉันตายไป ด้วยการที่พวกท่านประหัตประหารฆ่าฟันกัน” (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 1739 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 1679) . ท่านนบียังได้บอกอีกว่า การฆ่ากันนั้นเป็นหนึ่งในสัญญาณวันสิ้นโลก อบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า… “ความรู้จะถูกยึด ความโง่เขลาและความวุ่นวายจะปรากฏขึ้น และจะเกิดการฆ่าฟันกันอย่างมากมาย” (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 85 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 2672) . ============================================= อัลลอฮฺ ไม่สถิตอยู่กับคนขี้ขลาดอย่างพวกแกที่ลอบเข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ และบังอาจกล่าวอ้างพระนามพระเป็นเจ้าด้วยใจที่ชั่วช้าของพวกแก ขอให้พระเจ้าลงโทษฆาตกรทุกตัว อามีน .
    0 Comments 0 Shares 195 Views 0 Reviews
  • ในท่ามกลางความตึงเครียดของการขึ้นภาษีของทรัมพ์ต่อชาวโลก โดยเฉพาะกับจีนที่ตามมาด้วยการตอบโต้อย่างถึงพริกถึงขิง
    เขาพูดกัน "นี่คือสงครามการค้า"
    เหล่าบรรดาข้าทาสผู้สวามิภักดิ์ใต้อุ้งตีนอเมริกาพากันถ่มถุย
    "จีนจะต้องย่อยยับในคราวนี้"......
    .
    พวกนี้ไม่ได้สำเหนียกในข้อเท็จจริงที่ว่า
    ประชากรจีนโพ้นทะเล กระจายไปในโลกตั้งแต่ยุคกลางของยุโรปแล้ว
    ก่อนยุคการล่าอาณานิคม ประชากรจีนโพ้นทะเลก็อยู่ในทุกแห่งหน
    ทำงานหนักและขยันขันแข็ง อดทน ไม่เกี่ยงความลำบาก
    พรสวรรค์ในด้านการค้าขายเป็นที่ประจักษ์เพราะฝังรากลึกอยู่ในทุกดินแดน
    เส้นทางการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกยุคโบราณคือเส้นทางสายไหมของจีน
    พวกเขาไม่ได้ไปด้วยการรุกราน ยึดครองดินแดนต่างๆ ด้วยแสนยานุภาพ
    แต่พวกเขาแพร่กระจายไปพร้อมกับแรงงานและการค้าขาย
    และมักตั้งตัวขึ้นมากลายเป็นนักธุรกิจที่มั่งคั่งกว่าชนชาติอื่นอยู่ในทุกทวีป
    .
    ก่อนการออกท่องสมุทรไปของพ่อค้าชาวยุโรปและอาหรับ
    นายพลเรือผู้หนึ่งของจีนนาม เจิ้งเหอ ออกเดินทางสมุทรยาตราด้วยกองเรือมหาสมบัติที่มีขนาดมหึมากว่าสามร้อยลำ ออกค้าขายไปทั่วทุกคาบสมุทร นักวิชาการหลายคนสันนิษฐานว่ากองเรือของเขาอาจไปถึงทวีปอเมริกาก่อนใคร แต่ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ปรากฏในประวัติศาสตร์จีนและประวัติศาสตร์ดินแดนที่เขาเดินทางไปถึงก็ชัดเจนแจ่มแจ้งมากพอถึงความยิ่งใหญ่ของความรู้และพรสวรรค์ทางการค้า
    .
    ตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 1405 ในรัชกาลจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง.. เจิ้งเหอ ออกเดินทางเพื่อทำการค้าและสำรวจโลกทั้งสิ้น 7 ครั้ง ยาวนานและกินเวลาราว 28 ปี ไปถึงดินแดนต่างๆ ราว 37 ประเทศ ท่องมหาสมุทรไปมากกว่า 50,000 กิโลเมตร เรือสำเภา "เป่าฉวน" หรือที่เรียกว่าเรือมหาสมบัติของเขา ต่อขึ้นที่เมืองนานกิง มันมีขนาดราว 400 ฟุต ใหญ่กว่าเรือซานตามาเรียของโคลัมบัสซึ่งยาวแค่ 85 ฟุตถึง 5 เท่า กองเรือของเขาประกอบด้วยเรือขนาดใหญ่ 60 ลำ และเรือขนาดเล็กอีก 255 ลำ ประมาณว่ามีลูกเรือทั้งหมดกว่า 27,870 คน เดินทางผ่านชายฝั่งฟุเกี้ยน ท่องไปยังอาณาจักรต่างๆ เช่น จามปา เสียนหลอ (สยาม) มะละกา สมุทรา ชวา สุมาตรา ลังกา กาลิกัต... ผ่านทะเลอันดามัน เลาะฝั่งทะเลตะวันออกของชมพูทวีปเพื่อซื้อขายเครื่องเทศ ไปจนถึงเปอร์เซียและแอฟริกา หลักฐานปรากฏให้เห็นจากบันทึก ภาพเขียน และจากเครื่องบรรณาการที่เขานำกลับไปถวายจักรพรรดิหย่งเล่อ ซึ่งได้รวมเอา สิงโต เสือดาว นกกระจอกเทศ ม้าลาย และยีราฟ ซึ่งเป็นสัตว์จากดินแดนเหล่านั้น
    .
    เจิ้งเหอ เดิมแช่หม่า เป็นมุสลิมเชื้อสายตระกูลขุนนางใหญ่จากอุซเบกที่อาศัยในยูนนาน มีชื่อมุสลิมว่า มูฮัมมัด อับดุลญับบารฺ ต่อมาจักรพรรดิหย่งเล่อพระราชทานแซ่เจิ้ง จากบันทึกประมาณเวลาว่าเขามาถึงอยุธยาราวรัชสมัยสมเด็จพระรามราชาธิราช แต่คนไทยรู้จักในอีกชื่อว่า เจ้าพ่อซำปอกง ซึ่ง ซำปอกง นี้เป็นอีกชื่อหนึ่งของเขา วัดที่มีชื่อว่าวัดซำปอกงหรือวัดพนัญเชิงวรวิหารในจังหวัดอยุธยานี้ เขาเป็นผู้สร้างขึ้น นอกจากนั้นยังพบหลักฐานว่าเจิ้งเหอมีความเลื่อมใสในศาสนาพุทธด้วยการถวายพระสูตรให้แก่วัดเก้าแห่ง แต่กระนั้น เจิ้งเหอเมื่อวายชนม์ก็ยังมีสถานะเป็นมุสลิม เพราะมีสุสานอย่างมุสลิมอยู่บนภูเขาที่นานกิง เขาเสียชีวิตที่อินเดียในปี 1432 เชื่อกันว่า อาจเป็นเพราะทัศนคติที่เปิดกว้างทางศาสนาของเขา จึงทำให้เขาเข้าไปมีส่วนในการยุติความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างศาสนาอิสลามของพ่อค้าและศาสนาพื้นถิ่นตามเมืองท่าต่างๆ ที่เขาผ่านไปหลายแห่ง ทำให้เมืองท่าเหล่านั้นยอมรับในความหลากหลายทางศาสนามากขึ้น
    .
    เจิ้งเหอแม้จะเป็นขันที แต่พี่ชายของเขาได้ยกลูกชายและลูกสาวให้แก่เขา ปัจจุบันนี้มีทายาทในสกุลเจิ้งของเขาบางส่วนจากครอบครัวของทายาทรุ่นหลังที่ชื่อ เจิ้งชงหลิ่ง ยังอาศัยอยู่ในประเทศไทย พวกเขายังคงเป็นมุสลิม ในหลวงรัชกาลที่หกพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ เจิ้งชงหลิ่ง ว่า ขุนชวงเลียงฦๅเกียรติ ลูกหลานของเขาใช้นามสกุล วงศ์ลือเกียรติ
    .
    รูปปั้นหินที่เห็นจากภาพประกอบ เป็นอนุสาวรีย์ของเจิ้งเหอที่มะละกา ประเทศมาเลเซีย อย่างที่เคยเล่า มีหลักฐานว่าเมืองท่าโบราณแห่งนี้เขาเป็นคนตั้งขึ้น
    .
    เรื่องของเจิ้งเหอ ยังถูกหยิบมาค้นคว้าเพิ่มเติมโดยนายพลเรือดำน้ำคนหนึ่งของราชนาวีอังกฤษ ชื่อ Gavin Menzies ที่ซึ่งปกติเรือดำน้ำของเขามีหน้าที่ลาดตระเวณไปทั่วโลกด้วยการดำอย่างเงียบเชียบ แต่คิดว่าเขาคงจะว่างมากนั่นแหละในภาวะที่โลกในช่วงนั้นไม่มีความตึงเครียด เขาจึงเปลี่ยนมาลอยลำวิ่งบนผิวน้ำแล้วเริ่มวิเคราะห์ทัศนียภาพชายฝั่งเทียบกับแผนที่โบราณต่างๆ ซึ่งต่อมามันนำมาด้วยสมมุติฐานของเขาที่เขย่าโลกว่า นักเดินเรือฝรั่งในยุคแรกๆ ของ Maritime เช่น วาสโกเดอกามา เจ้าชายเฮนรี่ โคลัมบัส..ฯ ล้วนเดินเรือด้วยแผนที่ที่คัดลอกมาจากแผนที่ของกองเรือเจิ้งเหอ เขาเขียนหนังสือยาว 500 หน้าชื่อ 1421 และแน่นอนว่า นี่เป็นการทำให้ประวัติศาสตร์การท่องสมุทรของชาวยุโรปเสื่อมเสียไปจากค่านิยมเดิม เกวิน เมนซีส์ถูกถล่มจากนักวิชาการตะวันตกแบบรุมสกรัม แต่น้าแกไม่สน หนังสือของแกติดอันดับขายดีมากอย่างรวดเร็ว และเขายักไหล่ใส่ "พวกคุณจะต่อต้านอย่างไรก็ว่าไป แต่ประชาชนอยู่กับผม..."
    .
    กลับไปที่จั่วหัว...
    อย่างที่เห็น พรสวรรค์ในด้านการค้าของจีนนั้น เป็นที่ประจักษ์ในประวัติศาสตร์โลกนับพันปี ชาติยุโรปลืมข้อเท็จจริงว่านวัตกรรมมากมายที่พวกเขาใช้ มีต้นกำเนิดมาจากจีน โดยเฉพาะแสนยานุภาพที่พวกฝรั่งนำไปใช้พิชิตชนชาติที่อ่อนแอกว่าอย่างเช่น ดินปืน ถ้าไม่มีดินปืน ก็ไม่มีปืน ไม่มีระเบิด นอกจากนั้นพวกตะวันตกยังโขมยความรู้จากจีนทุกวิถีทางตั้งแต่ยุคของมาร์โคโปโล โขมยแม้กระทั่งใบชา และพวกยุโรปรู้ดีว่าไม่อาจเอาชนะจีนอย่างขาวสะอาดได้ จึงใช้กลยุทธอันต่ำช้าด้วยการมอมเมาจีนด้วยฝิ่น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นบทเรียนที่จีนไม่เคยลืม และเตรียมตัวให้พร้อมมาตลอดนับสิบปีของการปิดประเทศเพื่อฟื้นฟู
    .
    สงครามการค้าในตอนนี้ ที่ซึ่ง...
    - จีนถือครองพันธบัตรสหรัฐอยู่ 759,000 ล้านดอลลาร์
    - สหรัฐเป็นหนี้จีนอยู่อีกมหาศาลและไม่มีปัญญาใช้คืน
    - ซัพพลายเชนมากมายของสหรัฐมาจากจีนเป็นส่วนใหญ่
    - แรงงานในสหรัฐแทบไม่มีเลย แถมราคาแพงและไม่มีคุณภาพ
    จะผลิตอะไรเองก็ต้องใช้เวลาในการพัฒนาทักษะอีกนาน
    -ใครจะมาลงทุนเปิดโรงงานในอเมริกา ในเมื่อค่าแรงจะแพงมากแต่ด้อยทักษะ ง่อยและทำอะไรเองไม่เป็นมานานแล้ว
    - ถ้าแกผลิตเองไม่ได้แต่เที่ยวโขกภาษีจากคู่ค้าชาติอื่น สิ่งของที่คนอเมริกันต้องใช้ จะต้องจ่ายแพงทบทวี แม้กระทั่งกระดาษเช็ดขี้ที่พวกเอ็งเคยชักดิ้นชักงอเมื่อมันขาดตลาดตอนช่วงโควิดระบาด
    - ไอ้เบื้อกพวกนี้คงจำไม่ได้ว่าช่วงโควิด จีนห้ามเรือสินค้าต่างชาติเข้าเทียบท่า จนพวกนี้ไปออกันอยู่กลางทะเลหลายพันลำ เดือดร้อนชิบหายวายป่วง แต่จีนไม่เดือดร้อนอะไร
    - จีนมีประชากร 1400 ล้านคน เขาซื้อขายกันเองก็พอจะอยู่กันได้แล้ว แต่วันนี้จีนแบนไม่ให้หนังฮอลลีวู๊ดเข้าฉายในประเทศ ลูกค้า 1400 ล้านคนหายไปกับตา เดี๋ยวคงตามมาด้วยการแบนแบรนด์อื่นอย่าง KFC McDonald...
    - กลายเป็นว่า คนอเมริกันจะกลายเป็นผู้ใช้ iPhone ที่ต้องจ่ายแพงกว่าใครในโลก เพราะมันผลิตในจีน คิดว่าอินเดียจะพร้อมในการเปิดโรงงานใหม่ในปีนี้หรือ?
    - จีนผลิตไมโครชิพเองแล้ว มีขนาดเล็กกว่า มีประสิทธิภาพและความเร็วเหนือกว่าชิพของตะวันตก
    - จีนมีระบบปฏิบัติการโมบายล์ของจีนเองที่ทำงานได้ดีกว่าแอนดรอยด์เรียกว่า ฮาร์โมนี่
    - จีนพัฒนาระบบเชื่อมต่อดาวเทียมเป๋ยโต่ที่ล้ำหน้ากว่าจีพีเอสของตะวันตกมาก
    - จีนพัฒนาระบบชื่อ Near Link ที่ล้ำหน้าระบบ Bluetooth ไปไกลกว่าหลายเท่า
    - เอไอจีนแซงเอไอของตะวันตกไปแล้วเช่นกัน
    - แสนยานุภาพจีนกำลังแซงตะวันตกทุกนาทีที่ผ่านไป
    - เส้นทางการค้าใหม่ที่เรียก One Belt One Road ครอบคลุมเครือข่ายการค้าที่กว้างขวางที่สุดในโลก โดยที่จีนไม่จำเป็นต้องค้าขายกับอเมริกา
    - ความก้าวหน้าทางโลจิสติกของจีนแซงอเมริกาไปนานแล้ว ในโลกนี้ไม่มีใครมีระบบรถไฟความเร็วสูงที่ดีเท่าจีน
    - ตลาดรถไฟฟ้าในโลก จีนคืออันดับหนึ่ง
    - เทคโนโลยีอวกาศของจีนแซงนาซ่าไปแล้ว จีนมีสถานีอวกาศของตัวเองที่ทันสมัยและก้าวหน้ากว่าชาติตะวันตก ในเวลาเดียวกันนี้พวกเขากำลังสำรวจด้านมืดของดวงจันทร์ที่โลกไม่เคยมองเห็น
    blablablabla......
    .
    ที่ร่ายมานี่ สงครามนี้จะลงเอยยังไง คนไทยก็ซวยอยู่ดี ขอให้รู้ไว้เถอะ
    ยิ่งไปเลียมัน พวกแกก็ยิ่งเจ็บตัวหนัก
    แจกฟรีแล้วยังไม่ได้อะไรแบบเวียตนามเอาไหม
    เจ็บปวดหน่อย มันไม่ซื้อเรา ก็ไปขายคนอื่น
    ก็ให้มันเจ็บปวดบ้าง ด้วยการไม่ซื้อมัน
    เราตัวเล็ก ยักษ์ตีกันย่อมต้องโดนลูกหลง
    ต้องเอาความตัวเล็กมาเป็นความได้เปรียบ
    และเรามีความอุดมสมบูรณ์เป็นทรัพย์สมบัติ
    ใครมีไก่ มีไข่ มีผัก มีปลา คุณรอดแล้ว
    ให้พรุ่งนี้แม่งยิงปรมาณูกันก็เถอะ
    ส่วนไอ้พวกโง่ ไอ้พวกเด็กเมื่อวาน เชื่อแต่เรื่องไร้สาระ
    ไม่ดูแลป้องกันประเทศ ชักนำภัยเข้าสู่ชาติบ้านเมือง
    มึงตายแน่ มีสาเหตุให้มึงตายเป็นร้อยเหตุ
    ในท่ามกลางความตึงเครียดของการขึ้นภาษีของทรัมพ์ต่อชาวโลก โดยเฉพาะกับจีนที่ตามมาด้วยการตอบโต้อย่างถึงพริกถึงขิง เขาพูดกัน "นี่คือสงครามการค้า" เหล่าบรรดาข้าทาสผู้สวามิภักดิ์ใต้อุ้งตีนอเมริกาพากันถ่มถุย "จีนจะต้องย่อยยับในคราวนี้"...... . พวกนี้ไม่ได้สำเหนียกในข้อเท็จจริงที่ว่า ประชากรจีนโพ้นทะเล กระจายไปในโลกตั้งแต่ยุคกลางของยุโรปแล้ว ก่อนยุคการล่าอาณานิคม ประชากรจีนโพ้นทะเลก็อยู่ในทุกแห่งหน ทำงานหนักและขยันขันแข็ง อดทน ไม่เกี่ยงความลำบาก พรสวรรค์ในด้านการค้าขายเป็นที่ประจักษ์เพราะฝังรากลึกอยู่ในทุกดินแดน เส้นทางการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกยุคโบราณคือเส้นทางสายไหมของจีน พวกเขาไม่ได้ไปด้วยการรุกราน ยึดครองดินแดนต่างๆ ด้วยแสนยานุภาพ แต่พวกเขาแพร่กระจายไปพร้อมกับแรงงานและการค้าขาย และมักตั้งตัวขึ้นมากลายเป็นนักธุรกิจที่มั่งคั่งกว่าชนชาติอื่นอยู่ในทุกทวีป . ก่อนการออกท่องสมุทรไปของพ่อค้าชาวยุโรปและอาหรับ นายพลเรือผู้หนึ่งของจีนนาม เจิ้งเหอ ออกเดินทางสมุทรยาตราด้วยกองเรือมหาสมบัติที่มีขนาดมหึมากว่าสามร้อยลำ ออกค้าขายไปทั่วทุกคาบสมุทร นักวิชาการหลายคนสันนิษฐานว่ากองเรือของเขาอาจไปถึงทวีปอเมริกาก่อนใคร แต่ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ปรากฏในประวัติศาสตร์จีนและประวัติศาสตร์ดินแดนที่เขาเดินทางไปถึงก็ชัดเจนแจ่มแจ้งมากพอถึงความยิ่งใหญ่ของความรู้และพรสวรรค์ทางการค้า . ตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 1405 ในรัชกาลจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง.. เจิ้งเหอ ออกเดินทางเพื่อทำการค้าและสำรวจโลกทั้งสิ้น 7 ครั้ง ยาวนานและกินเวลาราว 28 ปี ไปถึงดินแดนต่างๆ ราว 37 ประเทศ ท่องมหาสมุทรไปมากกว่า 50,000 กิโลเมตร เรือสำเภา "เป่าฉวน" หรือที่เรียกว่าเรือมหาสมบัติของเขา ต่อขึ้นที่เมืองนานกิง มันมีขนาดราว 400 ฟุต ใหญ่กว่าเรือซานตามาเรียของโคลัมบัสซึ่งยาวแค่ 85 ฟุตถึง 5 เท่า กองเรือของเขาประกอบด้วยเรือขนาดใหญ่ 60 ลำ และเรือขนาดเล็กอีก 255 ลำ ประมาณว่ามีลูกเรือทั้งหมดกว่า 27,870 คน เดินทางผ่านชายฝั่งฟุเกี้ยน ท่องไปยังอาณาจักรต่างๆ เช่น จามปา เสียนหลอ (สยาม) มะละกา สมุทรา ชวา สุมาตรา ลังกา กาลิกัต... ผ่านทะเลอันดามัน เลาะฝั่งทะเลตะวันออกของชมพูทวีปเพื่อซื้อขายเครื่องเทศ ไปจนถึงเปอร์เซียและแอฟริกา หลักฐานปรากฏให้เห็นจากบันทึก ภาพเขียน และจากเครื่องบรรณาการที่เขานำกลับไปถวายจักรพรรดิหย่งเล่อ ซึ่งได้รวมเอา สิงโต เสือดาว นกกระจอกเทศ ม้าลาย และยีราฟ ซึ่งเป็นสัตว์จากดินแดนเหล่านั้น . เจิ้งเหอ เดิมแช่หม่า เป็นมุสลิมเชื้อสายตระกูลขุนนางใหญ่จากอุซเบกที่อาศัยในยูนนาน มีชื่อมุสลิมว่า มูฮัมมัด อับดุลญับบารฺ ต่อมาจักรพรรดิหย่งเล่อพระราชทานแซ่เจิ้ง จากบันทึกประมาณเวลาว่าเขามาถึงอยุธยาราวรัชสมัยสมเด็จพระรามราชาธิราช แต่คนไทยรู้จักในอีกชื่อว่า เจ้าพ่อซำปอกง ซึ่ง ซำปอกง นี้เป็นอีกชื่อหนึ่งของเขา วัดที่มีชื่อว่าวัดซำปอกงหรือวัดพนัญเชิงวรวิหารในจังหวัดอยุธยานี้ เขาเป็นผู้สร้างขึ้น นอกจากนั้นยังพบหลักฐานว่าเจิ้งเหอมีความเลื่อมใสในศาสนาพุทธด้วยการถวายพระสูตรให้แก่วัดเก้าแห่ง แต่กระนั้น เจิ้งเหอเมื่อวายชนม์ก็ยังมีสถานะเป็นมุสลิม เพราะมีสุสานอย่างมุสลิมอยู่บนภูเขาที่นานกิง เขาเสียชีวิตที่อินเดียในปี 1432 เชื่อกันว่า อาจเป็นเพราะทัศนคติที่เปิดกว้างทางศาสนาของเขา จึงทำให้เขาเข้าไปมีส่วนในการยุติความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างศาสนาอิสลามของพ่อค้าและศาสนาพื้นถิ่นตามเมืองท่าต่างๆ ที่เขาผ่านไปหลายแห่ง ทำให้เมืองท่าเหล่านั้นยอมรับในความหลากหลายทางศาสนามากขึ้น . เจิ้งเหอแม้จะเป็นขันที แต่พี่ชายของเขาได้ยกลูกชายและลูกสาวให้แก่เขา ปัจจุบันนี้มีทายาทในสกุลเจิ้งของเขาบางส่วนจากครอบครัวของทายาทรุ่นหลังที่ชื่อ เจิ้งชงหลิ่ง ยังอาศัยอยู่ในประเทศไทย พวกเขายังคงเป็นมุสลิม ในหลวงรัชกาลที่หกพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ เจิ้งชงหลิ่ง ว่า ขุนชวงเลียงฦๅเกียรติ ลูกหลานของเขาใช้นามสกุล วงศ์ลือเกียรติ . รูปปั้นหินที่เห็นจากภาพประกอบ เป็นอนุสาวรีย์ของเจิ้งเหอที่มะละกา ประเทศมาเลเซีย อย่างที่เคยเล่า มีหลักฐานว่าเมืองท่าโบราณแห่งนี้เขาเป็นคนตั้งขึ้น . เรื่องของเจิ้งเหอ ยังถูกหยิบมาค้นคว้าเพิ่มเติมโดยนายพลเรือดำน้ำคนหนึ่งของราชนาวีอังกฤษ ชื่อ Gavin Menzies ที่ซึ่งปกติเรือดำน้ำของเขามีหน้าที่ลาดตระเวณไปทั่วโลกด้วยการดำอย่างเงียบเชียบ แต่คิดว่าเขาคงจะว่างมากนั่นแหละในภาวะที่โลกในช่วงนั้นไม่มีความตึงเครียด เขาจึงเปลี่ยนมาลอยลำวิ่งบนผิวน้ำแล้วเริ่มวิเคราะห์ทัศนียภาพชายฝั่งเทียบกับแผนที่โบราณต่างๆ ซึ่งต่อมามันนำมาด้วยสมมุติฐานของเขาที่เขย่าโลกว่า นักเดินเรือฝรั่งในยุคแรกๆ ของ Maritime เช่น วาสโกเดอกามา เจ้าชายเฮนรี่ โคลัมบัส..ฯ ล้วนเดินเรือด้วยแผนที่ที่คัดลอกมาจากแผนที่ของกองเรือเจิ้งเหอ เขาเขียนหนังสือยาว 500 หน้าชื่อ 1421 และแน่นอนว่า นี่เป็นการทำให้ประวัติศาสตร์การท่องสมุทรของชาวยุโรปเสื่อมเสียไปจากค่านิยมเดิม เกวิน เมนซีส์ถูกถล่มจากนักวิชาการตะวันตกแบบรุมสกรัม แต่น้าแกไม่สน หนังสือของแกติดอันดับขายดีมากอย่างรวดเร็ว และเขายักไหล่ใส่ "พวกคุณจะต่อต้านอย่างไรก็ว่าไป แต่ประชาชนอยู่กับผม..." . กลับไปที่จั่วหัว... อย่างที่เห็น พรสวรรค์ในด้านการค้าของจีนนั้น เป็นที่ประจักษ์ในประวัติศาสตร์โลกนับพันปี ชาติยุโรปลืมข้อเท็จจริงว่านวัตกรรมมากมายที่พวกเขาใช้ มีต้นกำเนิดมาจากจีน โดยเฉพาะแสนยานุภาพที่พวกฝรั่งนำไปใช้พิชิตชนชาติที่อ่อนแอกว่าอย่างเช่น ดินปืน ถ้าไม่มีดินปืน ก็ไม่มีปืน ไม่มีระเบิด นอกจากนั้นพวกตะวันตกยังโขมยความรู้จากจีนทุกวิถีทางตั้งแต่ยุคของมาร์โคโปโล โขมยแม้กระทั่งใบชา และพวกยุโรปรู้ดีว่าไม่อาจเอาชนะจีนอย่างขาวสะอาดได้ จึงใช้กลยุทธอันต่ำช้าด้วยการมอมเมาจีนด้วยฝิ่น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นบทเรียนที่จีนไม่เคยลืม และเตรียมตัวให้พร้อมมาตลอดนับสิบปีของการปิดประเทศเพื่อฟื้นฟู . สงครามการค้าในตอนนี้ ที่ซึ่ง... - จีนถือครองพันธบัตรสหรัฐอยู่ 759,000 ล้านดอลลาร์ - สหรัฐเป็นหนี้จีนอยู่อีกมหาศาลและไม่มีปัญญาใช้คืน - ซัพพลายเชนมากมายของสหรัฐมาจากจีนเป็นส่วนใหญ่ - แรงงานในสหรัฐแทบไม่มีเลย แถมราคาแพงและไม่มีคุณภาพ จะผลิตอะไรเองก็ต้องใช้เวลาในการพัฒนาทักษะอีกนาน -ใครจะมาลงทุนเปิดโรงงานในอเมริกา ในเมื่อค่าแรงจะแพงมากแต่ด้อยทักษะ ง่อยและทำอะไรเองไม่เป็นมานานแล้ว - ถ้าแกผลิตเองไม่ได้แต่เที่ยวโขกภาษีจากคู่ค้าชาติอื่น สิ่งของที่คนอเมริกันต้องใช้ จะต้องจ่ายแพงทบทวี แม้กระทั่งกระดาษเช็ดขี้ที่พวกเอ็งเคยชักดิ้นชักงอเมื่อมันขาดตลาดตอนช่วงโควิดระบาด - ไอ้เบื้อกพวกนี้คงจำไม่ได้ว่าช่วงโควิด จีนห้ามเรือสินค้าต่างชาติเข้าเทียบท่า จนพวกนี้ไปออกันอยู่กลางทะเลหลายพันลำ เดือดร้อนชิบหายวายป่วง แต่จีนไม่เดือดร้อนอะไร - จีนมีประชากร 1400 ล้านคน เขาซื้อขายกันเองก็พอจะอยู่กันได้แล้ว แต่วันนี้จีนแบนไม่ให้หนังฮอลลีวู๊ดเข้าฉายในประเทศ ลูกค้า 1400 ล้านคนหายไปกับตา เดี๋ยวคงตามมาด้วยการแบนแบรนด์อื่นอย่าง KFC McDonald... - กลายเป็นว่า คนอเมริกันจะกลายเป็นผู้ใช้ iPhone ที่ต้องจ่ายแพงกว่าใครในโลก เพราะมันผลิตในจีน คิดว่าอินเดียจะพร้อมในการเปิดโรงงานใหม่ในปีนี้หรือ? - จีนผลิตไมโครชิพเองแล้ว มีขนาดเล็กกว่า มีประสิทธิภาพและความเร็วเหนือกว่าชิพของตะวันตก - จีนมีระบบปฏิบัติการโมบายล์ของจีนเองที่ทำงานได้ดีกว่าแอนดรอยด์เรียกว่า ฮาร์โมนี่ - จีนพัฒนาระบบเชื่อมต่อดาวเทียมเป๋ยโต่ที่ล้ำหน้ากว่าจีพีเอสของตะวันตกมาก - จีนพัฒนาระบบชื่อ Near Link ที่ล้ำหน้าระบบ Bluetooth ไปไกลกว่าหลายเท่า - เอไอจีนแซงเอไอของตะวันตกไปแล้วเช่นกัน - แสนยานุภาพจีนกำลังแซงตะวันตกทุกนาทีที่ผ่านไป - เส้นทางการค้าใหม่ที่เรียก One Belt One Road ครอบคลุมเครือข่ายการค้าที่กว้างขวางที่สุดในโลก โดยที่จีนไม่จำเป็นต้องค้าขายกับอเมริกา - ความก้าวหน้าทางโลจิสติกของจีนแซงอเมริกาไปนานแล้ว ในโลกนี้ไม่มีใครมีระบบรถไฟความเร็วสูงที่ดีเท่าจีน - ตลาดรถไฟฟ้าในโลก จีนคืออันดับหนึ่ง - เทคโนโลยีอวกาศของจีนแซงนาซ่าไปแล้ว จีนมีสถานีอวกาศของตัวเองที่ทันสมัยและก้าวหน้ากว่าชาติตะวันตก ในเวลาเดียวกันนี้พวกเขากำลังสำรวจด้านมืดของดวงจันทร์ที่โลกไม่เคยมองเห็น blablablabla...... . ที่ร่ายมานี่ สงครามนี้จะลงเอยยังไง คนไทยก็ซวยอยู่ดี ขอให้รู้ไว้เถอะ ยิ่งไปเลียมัน พวกแกก็ยิ่งเจ็บตัวหนัก แจกฟรีแล้วยังไม่ได้อะไรแบบเวียตนามเอาไหม เจ็บปวดหน่อย มันไม่ซื้อเรา ก็ไปขายคนอื่น ก็ให้มันเจ็บปวดบ้าง ด้วยการไม่ซื้อมัน เราตัวเล็ก ยักษ์ตีกันย่อมต้องโดนลูกหลง ต้องเอาความตัวเล็กมาเป็นความได้เปรียบ และเรามีความอุดมสมบูรณ์เป็นทรัพย์สมบัติ ใครมีไก่ มีไข่ มีผัก มีปลา คุณรอดแล้ว ให้พรุ่งนี้แม่งยิงปรมาณูกันก็เถอะ ส่วนไอ้พวกโง่ ไอ้พวกเด็กเมื่อวาน เชื่อแต่เรื่องไร้สาระ ไม่ดูแลป้องกันประเทศ ชักนำภัยเข้าสู่ชาติบ้านเมือง มึงตายแน่ มีสาเหตุให้มึงตายเป็นร้อยเหตุ
    0 Comments 0 Shares 516 Views 0 Reviews
  • เสวนา ปชช. เกี่ยวกับ ต่างด้าวเถื่อน แย่งอาชีพคนไทย ภัยความมั่นคง ครั้งที่ 3 ผมไม่ว่างนะครับ เพราะต้องช่วยงานในจ็อบใหม่ที่ผมรับไว้ หลังปิดจ๊อบค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้จ็อบยังไม่แล้วเสร็จ และคือไม่ได้ตามเพจ 8bit นานละ เพจนั้นแดง+ส้ม+กีบนานละ แต่ที่แน่ๆผู้ติดตามเพจแม่งกีบ+ขี้ข้าไซออนิสต์ออกมาด่าทหารทั้งนั้น ไม่เคยวิจารณ์ทักษิณ พรรค พท. และพรรคส้ม หัวหน้าพรรคส้มคนล่าสุดมีแววว่าจะว่าวสมัยหน้า ถ้าว่าวนักก็ไปชักไป ล่าสุดก็โพสต์เพจ 8bitกีบ มาโผล่หน้าฟีด FB ผมอ่านคอมเมนต์แต่ละตัว ขี้ข้าไซออนิสต์ทั้งนั้น ยิ่งอ่านยิ่งเครียด ยิ่งความดันขึ้น ยิ่ง Toxic เข้าตัวมากขึ้น เลยพยายามไม่สนใจดีกว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้พวกกีบขี้ข้าไซออนิสต์ก็พากันโทษ กอ.รมน. โทษ ศอ.บต โทษทหาร ว่าเป็นพวกเลี้ยงโจร สร้างโจร สร้างสถานการณ์ ทำไอโอ แม่งแต่ละตัว แนวคิดเดียวกันทั้งนั้นเลยว่ะ โจรทุน USAID ก็ยังไม่เชื่อ คิดว่าตัดต่อ พักหลังมานี้กูละขำ มันมีบางตัวเป็นสาวกจานผีคลอง III ด้วย ด่าและให้ร้ายศาสนาอิสลามและชาวมุสลิมทั่วโลก โดยเหมารวม ป้ายสี ใส่ร้าย ใส่สีตีไข่ ว่า ศาสนานี้ส่งเสริมการขูดรีด คอรัปชั่น ฆ่าแบบไร้เหตุผล พวกอิสลาโมโฟเบียก็ได้ล้วนรับชุดความคิดจากพวกยิวไซออนิสต์อิสราเอลในรูปของซีไอเอทั้งสิ้น เลวร้ายที่สุดในโลกคือ อิสราเอล และ CIA ไม่ใช่ชาวมุสลิมทั่วโลก ก็แค่ชาวมุสลิมหัวรุนแรงสายวะฮาบีย์-ซุฟยานีแค่ไม่กี่กลุ่มเองที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับอามิสสินจ้างแบบรางวัลใหญ่ๆจากไซออนิสต์และรัฐพันลึกโดยยิว ของยิว เพื่อยิว หลอกประชาชนอเมริกันมาเนิ่นนาน
    เสวนา ปชช. เกี่ยวกับ ต่างด้าวเถื่อน แย่งอาชีพคนไทย ภัยความมั่นคง ครั้งที่ 3 ผมไม่ว่างนะครับ เพราะต้องช่วยงานในจ็อบใหม่ที่ผมรับไว้ หลังปิดจ๊อบค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้จ็อบยังไม่แล้วเสร็จ และคือไม่ได้ตามเพจ 8bit นานละ เพจนั้นแดง+ส้ม+กีบนานละ แต่ที่แน่ๆผู้ติดตามเพจแม่งกีบ+ขี้ข้าไซออนิสต์ออกมาด่าทหารทั้งนั้น ไม่เคยวิจารณ์ทักษิณ พรรค พท. และพรรคส้ม หัวหน้าพรรคส้มคนล่าสุดมีแววว่าจะว่าวสมัยหน้า ถ้าว่าวนักก็ไปชักไป ล่าสุดก็โพสต์เพจ 8bitกีบ มาโผล่หน้าฟีด FB ผมอ่านคอมเมนต์แต่ละตัว ขี้ข้าไซออนิสต์ทั้งนั้น ยิ่งอ่านยิ่งเครียด ยิ่งความดันขึ้น ยิ่ง Toxic เข้าตัวมากขึ้น เลยพยายามไม่สนใจดีกว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้พวกกีบขี้ข้าไซออนิสต์ก็พากันโทษ กอ.รมน. โทษ ศอ.บต โทษทหาร ว่าเป็นพวกเลี้ยงโจร สร้างโจร สร้างสถานการณ์ ทำไอโอ แม่งแต่ละตัว แนวคิดเดียวกันทั้งนั้นเลยว่ะ โจรทุน USAID ก็ยังไม่เชื่อ คิดว่าตัดต่อ พักหลังมานี้กูละขำ มันมีบางตัวเป็นสาวกจานผีคลอง III ด้วย ด่าและให้ร้ายศาสนาอิสลามและชาวมุสลิมทั่วโลก โดยเหมารวม ป้ายสี ใส่ร้าย ใส่สีตีไข่ ว่า ศาสนานี้ส่งเสริมการขูดรีด คอรัปชั่น ฆ่าแบบไร้เหตุผล พวกอิสลาโมโฟเบียก็ได้ล้วนรับชุดความคิดจากพวกยิวไซออนิสต์อิสราเอลในรูปของซีไอเอทั้งสิ้น เลวร้ายที่สุดในโลกคือ อิสราเอล และ CIA ไม่ใช่ชาวมุสลิมทั่วโลก ก็แค่ชาวมุสลิมหัวรุนแรงสายวะฮาบีย์-ซุฟยานีแค่ไม่กี่กลุ่มเองที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับอามิสสินจ้างแบบรางวัลใหญ่ๆจากไซออนิสต์และรัฐพันลึกโดยยิว ของยิว เพื่อยิว หลอกประชาชนอเมริกันมาเนิ่นนาน
    0 Comments 0 Shares 328 Views 0 Reviews
  • สลามเมืองไทย EP16 | วันอีฎิลฟิตริ สิ้นสุดการถือศีลอดเดือนรอมฎอน

    "อีฎิลฟิตริ วันแห่งความสุข ความสามัคคี และการขอบคุณพระเจ้า"

    วันอีฎิลฟิตริ (Eid al-Fitr) เป็นวันสำคัญทางศาสนาอิสลามที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากสิ้นสุดเดือนรอมฎอน เป็นวันเฉลิมฉลองหลังจากการถือศีลอดตลอดทั้งเดือน มุสลิมทั่วโลกจะร่วมละหมาดอีฎิ รับประทานอาหารร่วมกัน และแบ่งปันความสุขกับครอบครัว ชุมชน รวมถึงผู้ยากไร้

    "จากการอดทนสู่การเฉลิมฉลอง"
    วันอีฎิลฟิตริไม่ได้เป็นเพียงวันหยุด แต่เป็น การเฉลิมฉลองจิตใจที่บริสุทธิ์ และความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับพระเจ้าและผู้อื่น พร้อมการให้อภัย แสดงความรัก และการคืนดีกันในสังคม

    EP นี้ พาไปรู้จักกับบรรยากาศของวันอีฎิในชุมชนมุสลิมไทย พร้อมเรื่องราวของการเตรียมตัว ตักบาตรซะกาต ฟังคุตบะฮ์ และการรวมพลังแห่งความศรัทธาในวันสุดพิเศษนี้

    #สลามเมืองไทย #EP16 #วันอีฎิลฟิตริ #EidAlFitr #สิ้นสุดรอมฎอน #MuslimCelebration #IslamicFaith #ละหมาดอีฎิ #ศรัทธาและสามัคคี #ThaiMuslim #ThaiTimes
    สลามเมืองไทย EP16 | วันอีฎิลฟิตริ สิ้นสุดการถือศีลอดเดือนรอมฎอน "อีฎิลฟิตริ วันแห่งความสุข ความสามัคคี และการขอบคุณพระเจ้า" วันอีฎิลฟิตริ (Eid al-Fitr) เป็นวันสำคัญทางศาสนาอิสลามที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากสิ้นสุดเดือนรอมฎอน เป็นวันเฉลิมฉลองหลังจากการถือศีลอดตลอดทั้งเดือน มุสลิมทั่วโลกจะร่วมละหมาดอีฎิ รับประทานอาหารร่วมกัน และแบ่งปันความสุขกับครอบครัว ชุมชน รวมถึงผู้ยากไร้ "จากการอดทนสู่การเฉลิมฉลอง" วันอีฎิลฟิตริไม่ได้เป็นเพียงวันหยุด แต่เป็น การเฉลิมฉลองจิตใจที่บริสุทธิ์ และความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับพระเจ้าและผู้อื่น พร้อมการให้อภัย แสดงความรัก และการคืนดีกันในสังคม EP นี้ พาไปรู้จักกับบรรยากาศของวันอีฎิในชุมชนมุสลิมไทย พร้อมเรื่องราวของการเตรียมตัว ตักบาตรซะกาต ฟังคุตบะฮ์ และการรวมพลังแห่งความศรัทธาในวันสุดพิเศษนี้ #สลามเมืองไทย #EP16 #วันอีฎิลฟิตริ #EidAlFitr #สิ้นสุดรอมฎอน #MuslimCelebration #IslamicFaith #ละหมาดอีฎิ #ศรัทธาและสามัคคี #ThaiMuslim #ThaiTimes
    0 Comments 0 Shares 467 Views 9 0 Reviews
  • ลุงโทนี่กลับมาดรามาอีกครั้ง ใส่โต๊ปขายหมูหัน อาจไม่ได้หลุดพลาด แต่คือสูตร เพราะทุกคำด่าคือยอดวิว

    #ใส่โต๊ปขายหมูหัน #ขายหมูหัน #ลุงโทนี่ขายหมูหัน #ศรัทธาถูกใช้เป็นไวรัล #ศาสนาอิสลาม #ลุงโทนี่ #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ
    ลุงโทนี่กลับมาดรามาอีกครั้ง ใส่โต๊ปขายหมูหัน อาจไม่ได้หลุดพลาด แต่คือสูตร เพราะทุกคำด่าคือยอดวิว #ใส่โต๊ปขายหมูหัน #ขายหมูหัน #ลุงโทนี่ขายหมูหัน #ศรัทธาถูกใช้เป็นไวรัล #ศาสนาอิสลาม #ลุงโทนี่ #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ
    Like
    Love
    14
    0 Comments 0 Shares 1670 Views 38 0 Reviews
  • แถลงการณ์พรรคประชาชาติ

    เรื่อง จุดยืนต่อร่างพระราชบัญญัติเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กช์
    พรรคประชาชาติขอแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าไม่สามารถรับหลักการของร่างพระราชบัญญัติเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ได้เนื่องจากเนื้อหาของร่างกฎหมายดังกล่าวขัดต่อหลักคำสอนของศาสนาอิสลามและอาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อสังคม วัฒนธรรม และศีลธรรมของเยาวชนและประชาชนในพื้นที่

    ซึ่งล้วนเป็นมิติสำคัญที่พรรคประชาชาติให้ความสำคัญมาโดยตลอด
    พรรคประชาชาติขอยืนยันว่า ทุกการตัดสินใจของพรรคมุ่งยึดถือ
    ผลประโยชน์ของประเทศชาติ ความสงบสุขของสังคม และการอยู่ร่วมกันอย่างเคารพในความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรมอย่างเท่าเทียมกันเป็นสำคัญ

    พรรคประชาชาติ
    วันที่ 8 เมษายน 2568
    แถลงการณ์พรรคประชาชาติ เรื่อง จุดยืนต่อร่างพระราชบัญญัติเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กช์ พรรคประชาชาติขอแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าไม่สามารถรับหลักการของร่างพระราชบัญญัติเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ได้เนื่องจากเนื้อหาของร่างกฎหมายดังกล่าวขัดต่อหลักคำสอนของศาสนาอิสลามและอาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อสังคม วัฒนธรรม และศีลธรรมของเยาวชนและประชาชนในพื้นที่ ซึ่งล้วนเป็นมิติสำคัญที่พรรคประชาชาติให้ความสำคัญมาโดยตลอด พรรคประชาชาติขอยืนยันว่า ทุกการตัดสินใจของพรรคมุ่งยึดถือ ผลประโยชน์ของประเทศชาติ ความสงบสุขของสังคม และการอยู่ร่วมกันอย่างเคารพในความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรมอย่างเท่าเทียมกันเป็นสำคัญ พรรคประชาชาติ วันที่ 8 เมษายน 2568
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 279 Views 0 Reviews
  • ปรับ 2.5 แสนริงกิตคลื่น ERA ปมคลิปดีเจล้อเลียนฮินดู

    ความคืบหน้ากรณีที่ ปาก อาซาด (Pak Azad) หรือ อาซาด จัสมิน จอห์น หลุยส์ เจฟฟรี่ (Azad Jazmin John Louis Jeffri) ดีเจสถานีวิทยุอีรา (ERA) คลื่นเพลงชื่อดังในมาเลเซีย ไปล้อเลียนการเต้นรำกาวาดี (Kavadi) ของศาสนาฮินดู แล้วมีคลิปในบัญชีโซเชียลมีเดียทางการของสถานี ทำให้ชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย และผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูไม่พอใจ กระทั่งบริษัทแอสโตรสั่งให้พักงานดีเจสามคนที่จัดรายการร่วมกัน และพนักงานสถานีอีก 2 คนอย่างไม่มีกำหนด ขณะที่ดีเจทั้งสามคนขอโทษทั้งผ่านคลิปวีดีโอ รวมทั้งไปขอโทษต่อชุมชนชาวอินเดียที่วัดถ้ำบาตู (Batu Caves) ก่อนหน้านี้

    ปรากฎว่าเมื่อวันที่ 11 มี.ค. คณะกรรมการสื่อสารและมัลติมีเดียแห่งมาเลเซีย (MCMC) สั่งปรับ 250,000 ริงกิต (1,925,000 บาท) แก่บริษัทเมสตร้า บอร์ดคาสต์ (Maestra Broadcast) บริษัทย่อยของ แอสโตร มาเลเซีย โฮลดิ้งส์ (Astro Malaysia Holdings) ผู้ผลิตสื่อบันเทิงในมาเลเซีย โดยพิจารณาจากวีดีโอคลิปอัปโหลดลงในติ๊กต็อกที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของ แต่ไม่ระงับใบอนุญาตสถานีวิทยุ เนื่องจากบริษัทฯ ได้แก้ไขปัญหาพร้อมกับขอโทษ อีกทั้งเกรงถึงผลกระทบกับคลื่นเพลงภาษาจีน Melody และคลื่นเพลงสากล Mix FM ภายใต้ใบอนุญาตเดียวกันด้วย

    อย่างไรก็ตาม มีการเปรียบเทียบและโจมตี MCMC โดยเทียบกับกรณีละเมิดกฎ "3R" ได้แก่ เชื้อชาติ ศาสนา และราชวงศ์ (Race, Religion and Royalty) ทำนองว่าลำเอียงเมื่อเทียบกับคดีอื่นๆ ทำให้นายฟาห์มี ฟาดซิล รมว.การสื่อสาร และโฆษกรัฐบาลอันวาร์ อิบราฮิม อธิบายว่าแตกต่างกัน เพราะกรณีถุงเท้าในร้าน KK Mart เป็นคดีอาญา ศาลกำหนดค่าปรับ 60,000 ริงกิต (462,000 บาท) ส่วนกรณีนักแสดง ฮาริธ อิสกันเดอร์ (Harith Iskander) และผู้ใช้โซเชียลมีเดีย Cecelia Yap ที่อัปโหลดเนื้อหาพาดพิงศาสนาอิสลาม ถูกดำเนินคดีในนามบุคคล ไม่ใช่บริษัท และอัยการให้ปรับ 10,000 ริงกิต (77,000 บาท) โดยไม่ได้นำคดีขึ้นสู่ศาลแต่อย่างใด

    ตุนกู นาซรุล อาไบดาห์ โฆษกอาวุโสของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ ระบุว่า นายกฯ เรียกร้องให้ชาวมาเลเซียทุกคนร่วมมือกันเพื่อเป็นตัวแทนแห่งความสามัคคี และช่วยเหลือรัฐบาลรวมพลังชาวมาเลเซียทุกคนที่มีศาสนา เชื้อชาติ และชาติพันธุ์ที่แตกต่างเข้าด้วยกัน โดยนายกฯ ได้พบกับดีเจที่เป็นข่าว ในงานเลี้ยงอาหารค่ำอิฟตาร์กับผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 11 มี.ค.โดยแนะว่าให้นำสารแห่งความสามัคคีไปใช้ในชีวิตประจำวัน และหวังว่าชาวมาเลเซียจะก้าวข้ามเรื่องนี้ไปข้างหน้าเพื่อสร้างสันติภาพและความสามัคคีในประเทศ โดยเคารพซึ่งกันและกัน

    #Newskit
    ปรับ 2.5 แสนริงกิตคลื่น ERA ปมคลิปดีเจล้อเลียนฮินดู ความคืบหน้ากรณีที่ ปาก อาซาด (Pak Azad) หรือ อาซาด จัสมิน จอห์น หลุยส์ เจฟฟรี่ (Azad Jazmin John Louis Jeffri) ดีเจสถานีวิทยุอีรา (ERA) คลื่นเพลงชื่อดังในมาเลเซีย ไปล้อเลียนการเต้นรำกาวาดี (Kavadi) ของศาสนาฮินดู แล้วมีคลิปในบัญชีโซเชียลมีเดียทางการของสถานี ทำให้ชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย และผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูไม่พอใจ กระทั่งบริษัทแอสโตรสั่งให้พักงานดีเจสามคนที่จัดรายการร่วมกัน และพนักงานสถานีอีก 2 คนอย่างไม่มีกำหนด ขณะที่ดีเจทั้งสามคนขอโทษทั้งผ่านคลิปวีดีโอ รวมทั้งไปขอโทษต่อชุมชนชาวอินเดียที่วัดถ้ำบาตู (Batu Caves) ก่อนหน้านี้ ปรากฎว่าเมื่อวันที่ 11 มี.ค. คณะกรรมการสื่อสารและมัลติมีเดียแห่งมาเลเซีย (MCMC) สั่งปรับ 250,000 ริงกิต (1,925,000 บาท) แก่บริษัทเมสตร้า บอร์ดคาสต์ (Maestra Broadcast) บริษัทย่อยของ แอสโตร มาเลเซีย โฮลดิ้งส์ (Astro Malaysia Holdings) ผู้ผลิตสื่อบันเทิงในมาเลเซีย โดยพิจารณาจากวีดีโอคลิปอัปโหลดลงในติ๊กต็อกที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของ แต่ไม่ระงับใบอนุญาตสถานีวิทยุ เนื่องจากบริษัทฯ ได้แก้ไขปัญหาพร้อมกับขอโทษ อีกทั้งเกรงถึงผลกระทบกับคลื่นเพลงภาษาจีน Melody และคลื่นเพลงสากล Mix FM ภายใต้ใบอนุญาตเดียวกันด้วย อย่างไรก็ตาม มีการเปรียบเทียบและโจมตี MCMC โดยเทียบกับกรณีละเมิดกฎ "3R" ได้แก่ เชื้อชาติ ศาสนา และราชวงศ์ (Race, Religion and Royalty) ทำนองว่าลำเอียงเมื่อเทียบกับคดีอื่นๆ ทำให้นายฟาห์มี ฟาดซิล รมว.การสื่อสาร และโฆษกรัฐบาลอันวาร์ อิบราฮิม อธิบายว่าแตกต่างกัน เพราะกรณีถุงเท้าในร้าน KK Mart เป็นคดีอาญา ศาลกำหนดค่าปรับ 60,000 ริงกิต (462,000 บาท) ส่วนกรณีนักแสดง ฮาริธ อิสกันเดอร์ (Harith Iskander) และผู้ใช้โซเชียลมีเดีย Cecelia Yap ที่อัปโหลดเนื้อหาพาดพิงศาสนาอิสลาม ถูกดำเนินคดีในนามบุคคล ไม่ใช่บริษัท และอัยการให้ปรับ 10,000 ริงกิต (77,000 บาท) โดยไม่ได้นำคดีขึ้นสู่ศาลแต่อย่างใด ตุนกู นาซรุล อาไบดาห์ โฆษกอาวุโสของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ ระบุว่า นายกฯ เรียกร้องให้ชาวมาเลเซียทุกคนร่วมมือกันเพื่อเป็นตัวแทนแห่งความสามัคคี และช่วยเหลือรัฐบาลรวมพลังชาวมาเลเซียทุกคนที่มีศาสนา เชื้อชาติ และชาติพันธุ์ที่แตกต่างเข้าด้วยกัน โดยนายกฯ ได้พบกับดีเจที่เป็นข่าว ในงานเลี้ยงอาหารค่ำอิฟตาร์กับผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 11 มี.ค.โดยแนะว่าให้นำสารแห่งความสามัคคีไปใช้ในชีวิตประจำวัน และหวังว่าชาวมาเลเซียจะก้าวข้ามเรื่องนี้ไปข้างหน้าเพื่อสร้างสันติภาพและความสามัคคีในประเทศ โดยเคารพซึ่งกันและกัน #Newskit
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 734 Views 0 Reviews
  • สลามเมืองไทย EP13 | ศูนย์รวมศรัทธาชนพี่น้องมุสลิม

    "จุดศูนย์กลางแห่งศรัทธา ความสามัคคี และสายสัมพันธ์ของพี่น้องมุสลิมไทย"

    "สลามเมืองไทย" EP นี้ พาคุณไปรู้จักกับ ศูนย์รวมศรัทธาของพี่น้องมุสลิม ที่ไม่เพียงเป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจ แต่ยังเป็น แหล่งเรียนรู้และศูนย์กลางของชุมชน ที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันผ่านศรัทธาและวัฒนธรรม

    "มากกว่าสถานที่ แต่คือจิตวิญญาณของชุมชน"
    ที่นี่เป็น จุดนัดพบของศรัทธาชน ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้าใจ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และการส่งต่อคุณค่าของศาสนาอิสลามไปยังคนรุ่นใหม่

    #สลามเมืองไทย #EP13 #ศูนย์รวมศรัทธา #IslamicCommunity #MuslimUnity #มุสลิมไทย #IslamicHeritage #FaithAndBrotherhood #เรียนรู้ศรัทธา #ThaiMuslim #ThaiTimes
    สลามเมืองไทย EP13 | ศูนย์รวมศรัทธาชนพี่น้องมุสลิม "จุดศูนย์กลางแห่งศรัทธา ความสามัคคี และสายสัมพันธ์ของพี่น้องมุสลิมไทย" "สลามเมืองไทย" EP นี้ พาคุณไปรู้จักกับ ศูนย์รวมศรัทธาของพี่น้องมุสลิม ที่ไม่เพียงเป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจ แต่ยังเป็น แหล่งเรียนรู้และศูนย์กลางของชุมชน ที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันผ่านศรัทธาและวัฒนธรรม "มากกว่าสถานที่ แต่คือจิตวิญญาณของชุมชน" ที่นี่เป็น จุดนัดพบของศรัทธาชน ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้าใจ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และการส่งต่อคุณค่าของศาสนาอิสลามไปยังคนรุ่นใหม่ #สลามเมืองไทย #EP13 #ศูนย์รวมศรัทธา #IslamicCommunity #MuslimUnity #มุสลิมไทย #IslamicHeritage #FaithAndBrotherhood #เรียนรู้ศรัทธา #ThaiMuslim #ThaiTimes
    0 Comments 0 Shares 937 Views 12 0 Reviews
  • 77 ปี จับ “หะยีสุหลง” จากโต๊ะอิหม่าม นักเคลื่อนไหว ปลายด้ามขวาน สู่สี่ชีวิตถูกอุ้มฆ่า ถ่วงทะเลสาบสงขลา

    📅 ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 วันที่ชื่อของ "หะยีสุหลง โต๊ะมีนา" ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ในฐานะนักเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิของชาวมลายูมุสลิม ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทว่าการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และสิทธิของประชาชนของเหะยีสุหลง กลับจบลงอย่างโศกนาฏกรรม

    หะยีสุหลงพร้อมกับผู้ติดตามอีก 3 คน หายตัวไปหลังจากเดินทางไปยัง กองบัญชาการตำรวจสันติบาล จังหวัดสงขลา ก่อนถูกสังหาร และถ่วงน้ำในทะเลสาบสงขลา เหตุการณ์นี้กลายเป็น หนึ่งในกรณีการอุ้มฆ่าทางการเมือง ที่สำคัญที่สุดของไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้ง ระหว่างอำนาจรัฐ กับกลุ่มชนพื้นเมืองในภาคใต้

    🔍 "หะยีสุหลง บิน อับดุลกาเคร์ ฒูฮัมมัด เอล ฟาโทนิ" หรือที่รู้จักในนาม "หะยีสุหลง" เป็นผู้นำศาสนาและนักเคลื่อนไหวทางสังคม ของชาวมลายูมุสลิม ในภาคใต้ของไทย เป็นประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี และเป็นบุคคลสำคัญ ในการเรียกร้องให้รัฐไทย ให้ความเป็นธรรมแก่ชาวมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้

    📌 ภารกิจของหะยีสุหลง
    ✅ ปรับปรุงระบบการศึกษา โดยก่อตั้ง "ปอเนาะ" หรือโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามแห่งแรก
    ✅ ส่งเสริมศาสนาอิสลามที่ถูกต้อง ต่อต้านความเชื่อที่ขัดกับหลักศาสนา
    ✅ เรียกร้องสิทธิและความเป็นธรรม ให้ชาวมลายูมุสลิม ภายใต้กรอบของรัฐไทย

    แต่... เส้นทางการต่อสู้ กลับนำไปสู่ความขัดแย้งกับรัฐบาลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่หะยีสุหลงเสนอ "7 ข้อเรียกร้อง" ต่อรัฐบาลไทย

    📜 7 ข้อเรียกร้องของหะยีสุหลง พ.ศ. 2490
    ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2490 หะยีสุหลงได้เสนอข้อเรียกร้อง 7 ประการต่อ พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นข้อเสนอ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แก่ประชาชนมุสลิม ในภาคใต้

    📝 รายละเอียดของ 7 ข้อเรียกร้อง
    1. ให้แต่งตั้งผู้ว่าราชการ ที่เป็นชาวมลายูมุสลิม และมาจากการเลือกตั้ง
    2. ข้าราชการในพื้นที่ ต้องเป็นมุสลิมอย่างน้อย 80%
    3. ให้ใช้ภาษามลายูและภาษาไทย เป็นภาษาราชการ
    4. ให้ภาษามลายูเป็นภาษากลาง ในโรงเรียนระดับประถมศึกษา
    5. ให้ใช้กฎหมายอิสลาม ในการพิจารณาคดีของศาลศาสนา
    6. รายได้จากภาษีใน 4 จังหวัด ต้องถูกใช้ในพื้นที่นั้น
    7. ให้จัดตั้งคณะกรรมการมุสลิม เพื่อดูแลกิจการของชาวมุสลิม

    💡 แต่กลับเกิดผลกระทบ เนื่องจากข้อเรียกร้องนี้ถูกมองว่า เป็นการพยายามแบ่งแยกดินแดน นำไปสู่การจับกุม และกล่าวหาหะยีสุหลงว่าเป็น "กบฏ"

    ⚖️ หลังการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ซึ่งเปลี่ยนแปลงรัฐบาล มาเป็นฝ่ายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แนวคิด "7 ข้อเรียกร้อง" ของหะยีสุหลง ถูกตีความว่า เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ

    📅 เหตุการณ์สำคัญ
    16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 → หะยีสุหลงถูกจับกุมที่ปัตตานี
    30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 → ศาลฎีกาตัดสินจำคุก 4 ปี 8 เดือน ในข้อหาปลุกระดม ให้ประชาชนต่อต้านรัฐ

    หลังจากพ้นโทษ หะยีสุหลงยังคงถูกจับตามอง และเผชิญกับการคุกคามจากฝ่ายรัฐ จนนำไปสู่เหตุการณ์ "การอุ้มหาย" ที่สร้างความตื่นตัวในสังคม

    🚨 การอุ้มหายและสังหาร 13 สิงหาคม พ.ศ. 2497
    หลังจากได้รับคำสั่ง ให้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สงขลา หะยีสุหลงพร้อมลูกชายวัย 15 ปี ซึ่งเป็นล่าม และพรรคพวกอีก 2 คน ได้เดินทางไปยัง สำนักงานตำรวจสันติบาลจังหวัดสงชลา

    ❌ แล้วพวกเขาก็หายตัวไป...
    หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า พวกเขาถูกสังหารในบังกะโล ริมทะเลสาบสงขลา โดยใช้เชือกรัดคอ คว้านท้องศพ แล้วผูกกับแท่งซีเมนต์ก่อนถ่วงน้ำ มีหลักฐานโยงไปถึง พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น ว่าเป็นผู้บงการอุ้มฆ่า

    เหตุการณ์นี้ กลายเป็นหนึ่งในคดีอุ้มหาย ที่สะเทือนขวัญที่สุดของไทย และแม้ว่าจะมีการรื้อฟื้นคดี ในปี พ.ศ. 2500 แต่สุดท้าย... ก็ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ

    🏛️ เหตุการณ์การอุ้มหายของหะยีสุหลง ส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาล และสร้างแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเคลื่อนไหวในภาคใต้

    📌 ผลกระทบที่สำคัญ
    ✅ จุดชนวนความไม่พอใจ ของชาวมลายูมุสลิมต่อรัฐไทย
    ✅ ทำให้ปัญหาความขัดแย้งใน 4 จังหวัดภาคใต้รุนแรงขึ้น
    ✅ กระตุ้นให้เกิดขบวนการเคลื่อนไห วและกลุ่มติดอาวุธในเวลาต่อมา

    แม้ว่าปัจจุบันปัญหาภาคใต้ จะมีพัฒนาการที่ซับซ้อนขึ้น แต่เหตุการณ์ของหะยีสุหลง ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหา ด้วยสันติวิธีและความเป็นธรรม

    📌 กรณีของหะยีสุหลง แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อน ของปัญหาชายแดนใต้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรม และการปกครองของรัฐไทย 🔎

    ⚖️ สิ่งที่รัฐควรเรียนรู้
    ✅ การให้สิทธิทางวัฒนธรรมและศาสนา แก่กลุ่มชาติพันธุ์
    ✅ การเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมทางการเมือง
    ✅ การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ด้วยกระบวนการสันติ

    📌 เหตุการณ์นี้ เป็นหนึ่งในบทเรียนสำคัญ ของประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งยังคงมีอิทธิพล ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ⬇️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161122 ก.พ. 2568

    #หะยีสุหลง #ชายแดนใต้ #อุ้มหาย #77ปีหะยีสุหลง #ประวัติศาสตร์ไทย
    77 ปี จับ “หะยีสุหลง” จากโต๊ะอิหม่าม นักเคลื่อนไหว ปลายด้ามขวาน สู่สี่ชีวิตถูกอุ้มฆ่า ถ่วงทะเลสาบสงขลา 📅 ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 วันที่ชื่อของ "หะยีสุหลง โต๊ะมีนา" ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ในฐานะนักเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิของชาวมลายูมุสลิม ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทว่าการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และสิทธิของประชาชนของเหะยีสุหลง กลับจบลงอย่างโศกนาฏกรรม หะยีสุหลงพร้อมกับผู้ติดตามอีก 3 คน หายตัวไปหลังจากเดินทางไปยัง กองบัญชาการตำรวจสันติบาล จังหวัดสงขลา ก่อนถูกสังหาร และถ่วงน้ำในทะเลสาบสงขลา เหตุการณ์นี้กลายเป็น หนึ่งในกรณีการอุ้มฆ่าทางการเมือง ที่สำคัญที่สุดของไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้ง ระหว่างอำนาจรัฐ กับกลุ่มชนพื้นเมืองในภาคใต้ 🔍 "หะยีสุหลง บิน อับดุลกาเคร์ ฒูฮัมมัด เอล ฟาโทนิ" หรือที่รู้จักในนาม "หะยีสุหลง" เป็นผู้นำศาสนาและนักเคลื่อนไหวทางสังคม ของชาวมลายูมุสลิม ในภาคใต้ของไทย เป็นประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี และเป็นบุคคลสำคัญ ในการเรียกร้องให้รัฐไทย ให้ความเป็นธรรมแก่ชาวมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้ 📌 ภารกิจของหะยีสุหลง ✅ ปรับปรุงระบบการศึกษา โดยก่อตั้ง "ปอเนาะ" หรือโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามแห่งแรก ✅ ส่งเสริมศาสนาอิสลามที่ถูกต้อง ต่อต้านความเชื่อที่ขัดกับหลักศาสนา ✅ เรียกร้องสิทธิและความเป็นธรรม ให้ชาวมลายูมุสลิม ภายใต้กรอบของรัฐไทย แต่... เส้นทางการต่อสู้ กลับนำไปสู่ความขัดแย้งกับรัฐบาลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่หะยีสุหลงเสนอ "7 ข้อเรียกร้อง" ต่อรัฐบาลไทย 📜 7 ข้อเรียกร้องของหะยีสุหลง พ.ศ. 2490 ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2490 หะยีสุหลงได้เสนอข้อเรียกร้อง 7 ประการต่อ พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นข้อเสนอ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แก่ประชาชนมุสลิม ในภาคใต้ 📝 รายละเอียดของ 7 ข้อเรียกร้อง 1. ให้แต่งตั้งผู้ว่าราชการ ที่เป็นชาวมลายูมุสลิม และมาจากการเลือกตั้ง 2. ข้าราชการในพื้นที่ ต้องเป็นมุสลิมอย่างน้อย 80% 3. ให้ใช้ภาษามลายูและภาษาไทย เป็นภาษาราชการ 4. ให้ภาษามลายูเป็นภาษากลาง ในโรงเรียนระดับประถมศึกษา 5. ให้ใช้กฎหมายอิสลาม ในการพิจารณาคดีของศาลศาสนา 6. รายได้จากภาษีใน 4 จังหวัด ต้องถูกใช้ในพื้นที่นั้น 7. ให้จัดตั้งคณะกรรมการมุสลิม เพื่อดูแลกิจการของชาวมุสลิม 💡 แต่กลับเกิดผลกระทบ เนื่องจากข้อเรียกร้องนี้ถูกมองว่า เป็นการพยายามแบ่งแยกดินแดน นำไปสู่การจับกุม และกล่าวหาหะยีสุหลงว่าเป็น "กบฏ" ⚖️ หลังการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ซึ่งเปลี่ยนแปลงรัฐบาล มาเป็นฝ่ายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แนวคิด "7 ข้อเรียกร้อง" ของหะยีสุหลง ถูกตีความว่า เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ 📅 เหตุการณ์สำคัญ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 → หะยีสุหลงถูกจับกุมที่ปัตตานี 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 → ศาลฎีกาตัดสินจำคุก 4 ปี 8 เดือน ในข้อหาปลุกระดม ให้ประชาชนต่อต้านรัฐ หลังจากพ้นโทษ หะยีสุหลงยังคงถูกจับตามอง และเผชิญกับการคุกคามจากฝ่ายรัฐ จนนำไปสู่เหตุการณ์ "การอุ้มหาย" ที่สร้างความตื่นตัวในสังคม 🚨 การอุ้มหายและสังหาร 13 สิงหาคม พ.ศ. 2497 หลังจากได้รับคำสั่ง ให้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สงขลา หะยีสุหลงพร้อมลูกชายวัย 15 ปี ซึ่งเป็นล่าม และพรรคพวกอีก 2 คน ได้เดินทางไปยัง สำนักงานตำรวจสันติบาลจังหวัดสงชลา ❌ แล้วพวกเขาก็หายตัวไป... หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า พวกเขาถูกสังหารในบังกะโล ริมทะเลสาบสงขลา โดยใช้เชือกรัดคอ คว้านท้องศพ แล้วผูกกับแท่งซีเมนต์ก่อนถ่วงน้ำ มีหลักฐานโยงไปถึง พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น ว่าเป็นผู้บงการอุ้มฆ่า เหตุการณ์นี้ กลายเป็นหนึ่งในคดีอุ้มหาย ที่สะเทือนขวัญที่สุดของไทย และแม้ว่าจะมีการรื้อฟื้นคดี ในปี พ.ศ. 2500 แต่สุดท้าย... ก็ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ 🏛️ เหตุการณ์การอุ้มหายของหะยีสุหลง ส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาล และสร้างแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเคลื่อนไหวในภาคใต้ 📌 ผลกระทบที่สำคัญ ✅ จุดชนวนความไม่พอใจ ของชาวมลายูมุสลิมต่อรัฐไทย ✅ ทำให้ปัญหาความขัดแย้งใน 4 จังหวัดภาคใต้รุนแรงขึ้น ✅ กระตุ้นให้เกิดขบวนการเคลื่อนไห วและกลุ่มติดอาวุธในเวลาต่อมา แม้ว่าปัจจุบันปัญหาภาคใต้ จะมีพัฒนาการที่ซับซ้อนขึ้น แต่เหตุการณ์ของหะยีสุหลง ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหา ด้วยสันติวิธีและความเป็นธรรม 📌 กรณีของหะยีสุหลง แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อน ของปัญหาชายแดนใต้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรม และการปกครองของรัฐไทย 🔎 ⚖️ สิ่งที่รัฐควรเรียนรู้ ✅ การให้สิทธิทางวัฒนธรรมและศาสนา แก่กลุ่มชาติพันธุ์ ✅ การเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมทางการเมือง ✅ การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ด้วยกระบวนการสันติ 📌 เหตุการณ์นี้ เป็นหนึ่งในบทเรียนสำคัญ ของประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งยังคงมีอิทธิพล ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ⬇️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161122 ก.พ. 2568 #หะยีสุหลง #ชายแดนใต้ #อุ้มหาย #77ปีหะยีสุหลง #ประวัติศาสตร์ไทย
    0 Comments 0 Shares 1158 Views 0 Reviews
  • [Exclusive on Sondhi Talk]
    "บังแจ็ค" ไว้ใจ DSI ไขคดี
    แย้มมือถือแตงโมมี 4 หมื่นภาพ
    แถมข้อมูลนักการเมือง-นักธุรกิจดัง
    .
    บังแจ็คเปิดใจส่งมอบมือถือแตงโม นิดา ให้หมอธวัชชัยนำมาให้ดีเอสไอคลี่คลายคดี ระบุกู้ข้อมูลมีภาพกว่า 4 หมื่นภาพ แชตบางส่วนคุยกับนักการเมืองดัง และมีข้อมูลที่ผู้ใหญ่มีอิทธิพลสูง นักธุรกิจระดับประเทศเกี่ยวข้องด้วย เผยมีคนขอซื้อมือถือจริงแต่ไม่ถึง 15 ล้าน ลั่นยังไงก็ไม่ขาย
    .
    วันนี้ (6 ก.พ.) นายซาคาเนียน ราชา ไฮเดอร์ หรือบังแจ็ค ให้สัมภาษณ์ทางเฟซบุ๊ก และยูทูป "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" (คลิกชมย้อนหลัง >> https://www.youtube.com/watch?v=58nPhAE2uZo) ถึงโทรศัพท์มือถือของ แตงโม นิดา หรือ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ นักแสดงสาวที่เสียชีวิตจากเรือสปีดโบ้ท เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2565 ซึ่งได้ส่งมอบให้ นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ และเตรียมนำมาส่งมอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำมาใช้เพื่อคลี่คลายการเสียชีวิตของแตงโม ระบุว่า เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนที่รู้จักกับนางพนิดา ศิริยุทธโยธิน มารดาของแตงโม นางพนิดาได้รับโทรศัพท์มือถือของแตงโมจากตำรวจ แต่ไม่พบข้อมูลใดๆ ในเครื่อง ตนจึงแนะนำให้นำไปที่ศูนย์บริการของแอปเปิลช่วยดูว่ายังมีข้อมูลในเครื่องหรือไม่ นางพนิดาไปที่ศูนย์แอปเปิลฯ แต่ไม่ไว้ใจ จึงให้โทรศัพท์มือถือแก่ตน ซึ่งเป็นความครอบครองโดยถูกต้อง
    .
    การตัดสินใจส่งมอบโทรศัพท์มือถือเป็นไปตามที่ตนได้ประกาศไว้ว่าจะมอบให้เฉพาะบุคคล 3 ราย ได้แก่ นพ.ธวัชชัย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ เพราะทั้งสามคนไว้วางใจที่สุดแล้ว เพราะมีข้อมูลบางส่วนที่ไม่อยากให้ผู้ที่กระทำความผิด หรือคนที่จะนำไปใช้ในทางที่ไม่ดี โดยข้อมูลในโทรศัพท์มือถือบางอย่างเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนไปแล้ว เช่น มีคนดังโทร.เข้ามาในเวลาผิดปกติ ซึ่งนายคชาภา ตันเจริญ หรือมดดำ เปิดเผยว่าได้โทร.หาจริง ยังเหลืออีก 2-3 คนที่ยังไม่ได้ออกมาพูด รวมทั้ง น.ส.อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ หรือ กระติก ผู้จัดการส่วนตัวของแตงโม โทร.มาหาเมื่อเวลา 20.40 น. ของวันเกิดเหตุ ทั้งๆ ที่อยู่บนเรือลำเดียวกัน และอีกหลายข้อมูลทั้งคลิป รูปภาพ การลบข้อความ และการลบบัญชีทั้งบัญชี
    .
    ตนจำได้ว่ามดดำได้โทร.หาแตงโม แต่ได้รับข่าวจากแอนนา วรินทร วัตรสังข์ เพื่อนของแตงโมว่า แตงโมตกน้ำ แอนนาพยายามทักไลน์ โทร.ทั้งไลน์และมือถือแต่ไม่ติด เมื่อ 3 ปีที่แล้วพอเข้าไปดูบัญชีแอนนาไม่มีเลย ลบทิ้ง บัญชีฮิปโป (ผู้จัดการส่วนตัวให้ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนที่แตงโมเสียชีวิต) ก็ลบทิ้ง บัญชีโม อมีนา พินิจ ก็ลบทิ้ง บัญชีพุดเดิล ยุพดี ก็ลบทิ้ง และอีกหลายคน ส่วนข้อความที่กระติกนำมาเปิดเผยในรายการโหนกระแสว่าได้คุยกับแตงโม ตนก็เข้าไปดู ไม่พบข้อความที่กระติกนำมาแสดง มีถึงแค่วันที่ 17-18 ก.พ. 2565 เท่านั้น แสดงว่ามีข้อมูลที่ถูกลบและข้อมูลที่แต่งขึ้นมา
    .
    บังแจ็ค กล่าวว่า ตนกู้ข้อมูลเฉพาะรูปภาพกว่า 40,000 ภาพ ยังดูไม่หมด ดูเฉพาะเกี่ยวข้องกับคดี เช่น บัญชีธนาคารไม่มีเงินสักบาทในบัญชี ทั้งที่อย่างน้อยเป็นดาราต้องมีเงินติดบัญชีสัก 4-5 พันบาท แต่ยอดเงินกลับเป็น 0 บาท บันทึกบางส่วนถูกลบออกไป แชตบางส่วนที่คุยกับนักการเมืองดัง ที่ขู่จะให้ส่งภาพลับที่ไม่เหมาะสมและเรียกให้มาหาก็มี ตนสงสารที่แตงโมต้องเจออะไรแบบนั้น ถือเป็นข้อมูลสำคัญที่จะช่วยคลี่คลายคดีเมื่ออยู่ในมือของดีเอสไอ
    .
    ส่วนเรื่องความน่าเชื่อถือของตนที่ทำให้พยานหลักฐานถูกด้อยค่านั้น ถามว่าใครทำร้ายเครดิตตน คนที่เสียประโยชน์ก็พยายามใช้สื่อที่เข้าข้างมาดิสเครดิตตน หนึ่งในนั้นคือทนายความที่ท้าให้ดื่มปัสสาวะ 70 แก้ว พาทั้งพิธีกรชื่อดังไปแจ้งความว่าตนขู่ฆ่าและใช้สื่อโจมตี ทั้งๆ ที่พิธีกรชื่อดังเข้าใจกันแล้ว และจะร่วมมือจำหน่ายสินค้าที่ต่างประเทศ ส่วนเรื่องที่โพสต์ภาพปืนเป็นเรื่องนานมาแล้ว ไม่เกี่ยวกับคดีแตงโม และได้เคลียร์จบแล้ว ตนมีหลักฐานทั้งหมดส่งให้ นพ.ธวัชชัย เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าได้คุยกัน จับมือขออภัยกันจริง
    .
    ส่วนคดีเบนซ์ เรซซิ่ง หรือนายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช ส่วนตัวมาเมืองไทยถูกต้อง เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ซื้อรถจักรยานยนต์จากเบนซ์ เรซซิ่ง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดี เวลานั้นตนอยู่โคราช ตนถูกหลอกเพราะไม่มีเอกสารและทะเบียน ตนเป็นชาวต่างชาติไม่รู้กฎหมาย เจอด่านก็โดนยึด พอกลับไปหาเจ้าตัวก็ไม่รับผิดชอบเพราะไม่มีหลักฐาน พอเกิดคดีนายไซซะนะ แก้วพิมพา เจ้าพ่อยาเสพติด ตนออกมาวิจารณ์เบนซ์ เรซซิ่ง ไม่ได้เข้าข้างและไม่ได้เป็นหนึ่งในทีมของเขา ตนซื้อรถด้วยน้ำพักน้ำแรงแล้วทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง แต่ด้วยความที่ตนใช้ภาษาไทยไม่ถูกต้อง เวลานั้นไม่รู้จะอธิบายให้ใครฟังเพราะโดนโจมตี น้ำหนักน้อยลง พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อเพราะเป็นคนต่างชาติ ถูกด้อยค่าตลอดเวลา จึงเลือกที่จะไม่ตอบโต้
    .
    ส่วนที่ไม่สามารถเข้าประเทศไทยได้ถึงปี 2569 เพราะเป็นบุคคลที่เชื่อได้ว่าเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยนั้น บังแจ็ค กล่าวว่า สมมติเป็นบุคคลอันตรายจริงก็ไม่น่าจะมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษได้ 6-7 ปี ไม่ใช่โรงเรียนเอกชน แต่เป็นโรงเรียนรัฐบาล และออกเอกสารถูกต้อง มีใบอนุญาตทำงาน เมื่อ 2 ปีก่อนมีรายการโทรทัศน์ไปตรวจสอบแล้วไม่พบบัญชีดำในสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตอนนี้สามารถเข้าประเทศไทยได้ ส่วนคดีที่เจอระยะหลังๆ คือคดีแตงโม ถูกใส่ไข่เยอะเพราะอีกฝ่ายหรืออีกสื่อหนึ่งมีเอฟซี มีอิทธิพลเยอะ แถมเมื่อตนไปสัมภาษณ์รายการหนึ่ง 5 ครั้ง ภายหลังไลฟ์รายการลบทิ้ง หมายความว่าอย่างไร ตนถามตรงๆ ไปว่าลบทิ้งทำไม เขาไม่มีคำตอบ เปลี่ยนประเด็น
    .
    ตนมองว่าต้องมีคนสั่งให้ลบ เพราะมือถืออยู่ในมือตนเอง จึงต้องดิสเครดิตให้ไม่มีความน่าเชื่อถือ พยายามด้อยค่าหลักฐานจากโทรศัพท์มือถือที่ปล่อยออกมา 1-2 คลิปที่ อ.ปานเทพเปิดเผย ตนเคยลงในเพจมานานมากแล้ว แต่มีคนทักมาถามว่าสถานที่ตรงนี้ตรงนั้นหรือเปล่า ซึ่งตนไม่รู้เพราะไม่ได้อยู่ในประเทศไทยมานานแล้ว พอไปดูก็มีการแต่งเพิ่มมา อ.ปานเทพถามตนว่าคลิปนี้ได้มาจากตนหรือเปล่า ตนตอบว่าไม่ใช่ คลิปที่ได้จากตนมีแค่นี้ เขาใช้วิธีเหมือนเมื่อ 3 ปีก่อน คือ เอามาแต่งเติม เอามาตัด และโจมตีว่าไม่ใช่ข้อมูลจริง หิวแสง ตนเพิ่งรู้จัก อ.ปานเทพ และ นพ.ธวัชชัยไม่ถึง 2 เดือน ข้อมูล GPS ที่เคยส่งให้ทีวีช่องหนึ่งเมื่อ 3 ปีก่อนก็ถูกด้อยค่าว่าไปตรวจมาแล้วไม่มีอะไรเลย ด้อยค่าแล้วก็ลบตัดทิ้งเลย
    .
    พอรับฟีดแบ็คกลับมาตนก็มีความรู้สึก แฟนของตนก็ไม่สบายใจ ให้หยุดไม่ต้องทำเพราะไม่มีใครเชื่อ แต่ตนเชื่อว่าเวรกรรมมีจริง คดีนี้ต้องกลับมาแน่ เพราะข้อพิรุธหลายอย่าง ตนเก็บข้อมูลไว้ เบอร์แต่ละคนหาไม่ยาก อยู่บนเรือด้วยกันโทร.หากันทำไม แล้วบรรดาคนดังโทร.หาแตงโมเวลา 21.58 น. 22.04 น. หรือ 22.07 น.ของวันเกิดเหตุ ไม่ใช่แค่คืนนั้นคืนเดียว โทร.มาตอนเช้าด้วย โทร.ในระหว่างนั้นด้วย ทั้งๆ ที่ตำรวจแถลงข่าวแตงโมตกน้ำ 22.37-22.38 น. แสดงว่าคนรู้แล้วว่าแตงโมตกน้ำ แต่ไม่มีการกดรับสายเพราะปิดเครื่อง แต่มีระบบรับฝากข้อความและมีข้อความเข้ามา
    .
    เมื่อถามว่า ขบวนการดิสเครดิตบังแจ็คทำไปเพื่ออะไร เกี่ยวกับการเสียชีวิตของแตงโมอย่างไร บังแจ็ค กล่าวว่า มีคนใหญ่อยู่เบื้องหลัง แต่พอคดีแตงโมเปิดขึ้นมาเขาได้รับความเสียหายมาก จึงไม่ยอมให้ทำแบบนี้ ที่ไปคุยที่ปั๊มน้ำมันนั้น ได้ให้ที่ปรึกษากฎหมายของเขาสอนให้พูดแบบนี้ แล้วมีอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่แนะนำว่าต้องไปในทิศทางนี้ เท่าที่ตนทราบไม่นานมีโทรทัศน์ 3 ช่อง ช่องแรกไม่ดัง อีก 2 ช่องดัง ใช้ทนายความคนบนเรือคนเดียวกันออกโทรทัศน์ บางสื่อต้องกลัวตำรวจหรือเกรงใจตำรวจเพราะจะไม่มีข่าวเล่น ตนรู้พิรุธมานานแล้วว่าตอนสัมภาษณ์เขาก็ตัดออก อย่างทีวีช่องหนึ่งสัมภาษณ์นานมาก แต่ตัดบางส่วนออก เหลือเฉพาะตอนที่เปิดช่องให้ถูกโจมตี ภายหลังพบว่าใช้ทนายความคนเดียวกันออกทีวี
    .
    เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้มีคนเสนอเงิน 15 ล้านบาทเพื่อยุติเรื่องดังกล่าวจริงหรือไม่ บังแจ็คกล่าวว่า ไม่ถึง 15 ล้านบาท แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ นพ.ธวัชชัยจะมารับเครื่อง ก็พยายามที่จะถามว่าจะให้โทรศัพท์มือถือจริงหรือเปล่า แล้วเชื่อหรือเปล่าว่าจะนำมาใช้ในทางที่ถูกต้อง แต่ถ้าคิดจะขายจะขายในราคาเท่าไหร่ ตนตอบว่าไม่ขาย ถามว่า 2 ล้านบาทขายไหม ตนตอบว่าไม่ขาย ก่อนจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านบาท เงินที่เสนอมาเป็นค่าใช้จ่ายภายในเดือนหนึ่งก็หมดแล้ว เพราะตนอยู่ที่สหรัฐอเมริกา มีบริษัท จ่ายค่ารถ จ่ายค่าบ้าน ค่าใช้จ่ายต่างๆ หมดแล้ว ตนหาได้เองไม่ต้องเสนอ อีกฝ่ายก็เสนอเป็น 5 ล้านบาท แต่ไม่ต้องให้เครื่องแก่ นพ.ธวัชชัย ตนกล่าวว่าให้เท่าไหร่ก็ไม่ขาย อยากจะยกให้เขา อีกฝ่ายกล่าวว่า ต้องคิดให้ดีๆ ก่อน เพราะ 1 ใน 5 คนบนเรือกล่าวว่า ได้เครื่องนี้ไปก็คือจบเลย เพราะมีข้อมูลที่ผู้ใหญ่ที่มีอิทธิพลสูง เป็นนักธุรกิจระดับประเทศมาเกี่ยวข้องด้วย ไม่อยากให้มือถือนี้ไปอยู่ที่เมืองไทย
    .
    เมื่อถามว่า ที่โดนดักตีหัวสงสัยว่าจัดฉากหรือไม่ บังแจ็คกล่าวว่า ตอนที่โดนตีหัว นพ.ธวัชชัยคุยกับตนอยู่ เวลาโดนตีหัวแฟนถามว่าเรียกรถพยาบาลหรือเปล่า เพราะที่สหรัฐฯ มีค่าใช้จ่าย 3,500-4,000 เหรียญสหรัฐฯ แต่พอจับดูเลือดไหล จึงให้ นพ.ธวัชชัยดูแผล ก็แนะนำว่าให้ไปเย็บแผลก่อน แต่เย็บไม่เยอะ 2 เข็ม และให้กลับไปรักษาที่บ้าน ส่วนที่โดนตีหัวคิดว่าวันนั้นเป็นวันหยุดของคนผิวสี ตำรวจไม่ค่อยมี เป็นเหตุบังเอิญที่โจรขโมยของ นพ.ธวัชชัยอยู่ในสาย ก็เลยเป็นห่วงจึงเป็นข่าวขึ้นมา ส่วนขบวนการดิสเครดิตที่เกิดขึ้น นพ.ธวัชชัย อ.ปานเทพ และนายอัจฉริยะต้องระวังอะไรเป็นพิเศษ บังแจ็ค กล่าวว่า ทั้งสามคนต้องระวังอย่างสูง เพราะเท่าที่เจอข้อมูลในเครื่องมีแต่คนใหญ่คนโต ทั้งนักการเมืองและนักธุรกิจชื่อดัง มีเรื่องของยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง จากที่แถลงข่าวยังมีเยอะกว่านี้
    .
    ถามถึงแนวทางคลี่คลายคดีเพื่อคืนความยุติธรรมให้แตงโม บังแจ็คกล่าวว่า ลองไว้ใจทีมดีเอสไอ และดูว่าจะมีคนเข้ามาสกัดหรือข่มขู่หรือเปล่าก็ต้องคอยดู แต่ถ้าทั้งสามคนสบายใจและมั่นใจในทีมนี้ก็ตามนั้น สิ่งที่ทำได้ก็คือฟิงเกอร์ครอส (ยกนิ้วไขว้เพื่ออวยพรขอให้โชคดี) เมื่อถามว่า ตอนนี้บังแจ็คทำอะไรอยู่ ตนต้องขอบคุณเน็ตไอดอลที่สร้างภาพให้ตนเป็นแบบนั้นว่าเขาทำสำเร็จ ตนมีร้านอาหาร 2 แห่ง มีบริษัทที่มีรถยนต์กันกระสุน 5 คัน รับคุ้มกันดาราระดับโลก นักฟุตบอลชื่อดัง และนักการเมือง ยืนยันว่าเป็นโทรศัพท์มือถือแตงโมจริง ให้ นพ.ธวัชชัชตรวจอีมี่ (IMEI) และตรวจเครื่องให้เรียบร้อย ถ้าสมมติถ้าตนหิวเงินหรือหิวแสงคงไม่เก็บไว้นานถึง 3 ปี ภาพหรือคลิปที่ตนเจอป่านนี้ได้เงินเป็นร้อยล้านแล้ว ตนนับถือศาสนาอิสลาม เป็นเงินบาป ทำแบบนี้ไม่ได้ เราไม่ไปยุ่งและไม่เปิดเผย ไม่ทำให้แตงโมเสียหายเพราะน่าสงสารที่สุดแล้ว
    .
    คลิกอ่านต้นฉบับ >> https://sondhitalk.com/detail/9680000012224
    ......
    Sondhi X
    [Exclusive on Sondhi Talk] "บังแจ็ค" ไว้ใจ DSI ไขคดี แย้มมือถือแตงโมมี 4 หมื่นภาพ แถมข้อมูลนักการเมือง-นักธุรกิจดัง . บังแจ็คเปิดใจส่งมอบมือถือแตงโม นิดา ให้หมอธวัชชัยนำมาให้ดีเอสไอคลี่คลายคดี ระบุกู้ข้อมูลมีภาพกว่า 4 หมื่นภาพ แชตบางส่วนคุยกับนักการเมืองดัง และมีข้อมูลที่ผู้ใหญ่มีอิทธิพลสูง นักธุรกิจระดับประเทศเกี่ยวข้องด้วย เผยมีคนขอซื้อมือถือจริงแต่ไม่ถึง 15 ล้าน ลั่นยังไงก็ไม่ขาย . วันนี้ (6 ก.พ.) นายซาคาเนียน ราชา ไฮเดอร์ หรือบังแจ็ค ให้สัมภาษณ์ทางเฟซบุ๊ก และยูทูป "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" (คลิกชมย้อนหลัง >> https://www.youtube.com/watch?v=58nPhAE2uZo) ถึงโทรศัพท์มือถือของ แตงโม นิดา หรือ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ นักแสดงสาวที่เสียชีวิตจากเรือสปีดโบ้ท เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2565 ซึ่งได้ส่งมอบให้ นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ และเตรียมนำมาส่งมอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำมาใช้เพื่อคลี่คลายการเสียชีวิตของแตงโม ระบุว่า เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนที่รู้จักกับนางพนิดา ศิริยุทธโยธิน มารดาของแตงโม นางพนิดาได้รับโทรศัพท์มือถือของแตงโมจากตำรวจ แต่ไม่พบข้อมูลใดๆ ในเครื่อง ตนจึงแนะนำให้นำไปที่ศูนย์บริการของแอปเปิลช่วยดูว่ายังมีข้อมูลในเครื่องหรือไม่ นางพนิดาไปที่ศูนย์แอปเปิลฯ แต่ไม่ไว้ใจ จึงให้โทรศัพท์มือถือแก่ตน ซึ่งเป็นความครอบครองโดยถูกต้อง . การตัดสินใจส่งมอบโทรศัพท์มือถือเป็นไปตามที่ตนได้ประกาศไว้ว่าจะมอบให้เฉพาะบุคคล 3 ราย ได้แก่ นพ.ธวัชชัย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ เพราะทั้งสามคนไว้วางใจที่สุดแล้ว เพราะมีข้อมูลบางส่วนที่ไม่อยากให้ผู้ที่กระทำความผิด หรือคนที่จะนำไปใช้ในทางที่ไม่ดี โดยข้อมูลในโทรศัพท์มือถือบางอย่างเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนไปแล้ว เช่น มีคนดังโทร.เข้ามาในเวลาผิดปกติ ซึ่งนายคชาภา ตันเจริญ หรือมดดำ เปิดเผยว่าได้โทร.หาจริง ยังเหลืออีก 2-3 คนที่ยังไม่ได้ออกมาพูด รวมทั้ง น.ส.อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ หรือ กระติก ผู้จัดการส่วนตัวของแตงโม โทร.มาหาเมื่อเวลา 20.40 น. ของวันเกิดเหตุ ทั้งๆ ที่อยู่บนเรือลำเดียวกัน และอีกหลายข้อมูลทั้งคลิป รูปภาพ การลบข้อความ และการลบบัญชีทั้งบัญชี . ตนจำได้ว่ามดดำได้โทร.หาแตงโม แต่ได้รับข่าวจากแอนนา วรินทร วัตรสังข์ เพื่อนของแตงโมว่า แตงโมตกน้ำ แอนนาพยายามทักไลน์ โทร.ทั้งไลน์และมือถือแต่ไม่ติด เมื่อ 3 ปีที่แล้วพอเข้าไปดูบัญชีแอนนาไม่มีเลย ลบทิ้ง บัญชีฮิปโป (ผู้จัดการส่วนตัวให้ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนที่แตงโมเสียชีวิต) ก็ลบทิ้ง บัญชีโม อมีนา พินิจ ก็ลบทิ้ง บัญชีพุดเดิล ยุพดี ก็ลบทิ้ง และอีกหลายคน ส่วนข้อความที่กระติกนำมาเปิดเผยในรายการโหนกระแสว่าได้คุยกับแตงโม ตนก็เข้าไปดู ไม่พบข้อความที่กระติกนำมาแสดง มีถึงแค่วันที่ 17-18 ก.พ. 2565 เท่านั้น แสดงว่ามีข้อมูลที่ถูกลบและข้อมูลที่แต่งขึ้นมา . บังแจ็ค กล่าวว่า ตนกู้ข้อมูลเฉพาะรูปภาพกว่า 40,000 ภาพ ยังดูไม่หมด ดูเฉพาะเกี่ยวข้องกับคดี เช่น บัญชีธนาคารไม่มีเงินสักบาทในบัญชี ทั้งที่อย่างน้อยเป็นดาราต้องมีเงินติดบัญชีสัก 4-5 พันบาท แต่ยอดเงินกลับเป็น 0 บาท บันทึกบางส่วนถูกลบออกไป แชตบางส่วนที่คุยกับนักการเมืองดัง ที่ขู่จะให้ส่งภาพลับที่ไม่เหมาะสมและเรียกให้มาหาก็มี ตนสงสารที่แตงโมต้องเจออะไรแบบนั้น ถือเป็นข้อมูลสำคัญที่จะช่วยคลี่คลายคดีเมื่ออยู่ในมือของดีเอสไอ . ส่วนเรื่องความน่าเชื่อถือของตนที่ทำให้พยานหลักฐานถูกด้อยค่านั้น ถามว่าใครทำร้ายเครดิตตน คนที่เสียประโยชน์ก็พยายามใช้สื่อที่เข้าข้างมาดิสเครดิตตน หนึ่งในนั้นคือทนายความที่ท้าให้ดื่มปัสสาวะ 70 แก้ว พาทั้งพิธีกรชื่อดังไปแจ้งความว่าตนขู่ฆ่าและใช้สื่อโจมตี ทั้งๆ ที่พิธีกรชื่อดังเข้าใจกันแล้ว และจะร่วมมือจำหน่ายสินค้าที่ต่างประเทศ ส่วนเรื่องที่โพสต์ภาพปืนเป็นเรื่องนานมาแล้ว ไม่เกี่ยวกับคดีแตงโม และได้เคลียร์จบแล้ว ตนมีหลักฐานทั้งหมดส่งให้ นพ.ธวัชชัย เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าได้คุยกัน จับมือขออภัยกันจริง . ส่วนคดีเบนซ์ เรซซิ่ง หรือนายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช ส่วนตัวมาเมืองไทยถูกต้อง เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ซื้อรถจักรยานยนต์จากเบนซ์ เรซซิ่ง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดี เวลานั้นตนอยู่โคราช ตนถูกหลอกเพราะไม่มีเอกสารและทะเบียน ตนเป็นชาวต่างชาติไม่รู้กฎหมาย เจอด่านก็โดนยึด พอกลับไปหาเจ้าตัวก็ไม่รับผิดชอบเพราะไม่มีหลักฐาน พอเกิดคดีนายไซซะนะ แก้วพิมพา เจ้าพ่อยาเสพติด ตนออกมาวิจารณ์เบนซ์ เรซซิ่ง ไม่ได้เข้าข้างและไม่ได้เป็นหนึ่งในทีมของเขา ตนซื้อรถด้วยน้ำพักน้ำแรงแล้วทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง แต่ด้วยความที่ตนใช้ภาษาไทยไม่ถูกต้อง เวลานั้นไม่รู้จะอธิบายให้ใครฟังเพราะโดนโจมตี น้ำหนักน้อยลง พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อเพราะเป็นคนต่างชาติ ถูกด้อยค่าตลอดเวลา จึงเลือกที่จะไม่ตอบโต้ . ส่วนที่ไม่สามารถเข้าประเทศไทยได้ถึงปี 2569 เพราะเป็นบุคคลที่เชื่อได้ว่าเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยนั้น บังแจ็ค กล่าวว่า สมมติเป็นบุคคลอันตรายจริงก็ไม่น่าจะมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษได้ 6-7 ปี ไม่ใช่โรงเรียนเอกชน แต่เป็นโรงเรียนรัฐบาล และออกเอกสารถูกต้อง มีใบอนุญาตทำงาน เมื่อ 2 ปีก่อนมีรายการโทรทัศน์ไปตรวจสอบแล้วไม่พบบัญชีดำในสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตอนนี้สามารถเข้าประเทศไทยได้ ส่วนคดีที่เจอระยะหลังๆ คือคดีแตงโม ถูกใส่ไข่เยอะเพราะอีกฝ่ายหรืออีกสื่อหนึ่งมีเอฟซี มีอิทธิพลเยอะ แถมเมื่อตนไปสัมภาษณ์รายการหนึ่ง 5 ครั้ง ภายหลังไลฟ์รายการลบทิ้ง หมายความว่าอย่างไร ตนถามตรงๆ ไปว่าลบทิ้งทำไม เขาไม่มีคำตอบ เปลี่ยนประเด็น . ตนมองว่าต้องมีคนสั่งให้ลบ เพราะมือถืออยู่ในมือตนเอง จึงต้องดิสเครดิตให้ไม่มีความน่าเชื่อถือ พยายามด้อยค่าหลักฐานจากโทรศัพท์มือถือที่ปล่อยออกมา 1-2 คลิปที่ อ.ปานเทพเปิดเผย ตนเคยลงในเพจมานานมากแล้ว แต่มีคนทักมาถามว่าสถานที่ตรงนี้ตรงนั้นหรือเปล่า ซึ่งตนไม่รู้เพราะไม่ได้อยู่ในประเทศไทยมานานแล้ว พอไปดูก็มีการแต่งเพิ่มมา อ.ปานเทพถามตนว่าคลิปนี้ได้มาจากตนหรือเปล่า ตนตอบว่าไม่ใช่ คลิปที่ได้จากตนมีแค่นี้ เขาใช้วิธีเหมือนเมื่อ 3 ปีก่อน คือ เอามาแต่งเติม เอามาตัด และโจมตีว่าไม่ใช่ข้อมูลจริง หิวแสง ตนเพิ่งรู้จัก อ.ปานเทพ และ นพ.ธวัชชัยไม่ถึง 2 เดือน ข้อมูล GPS ที่เคยส่งให้ทีวีช่องหนึ่งเมื่อ 3 ปีก่อนก็ถูกด้อยค่าว่าไปตรวจมาแล้วไม่มีอะไรเลย ด้อยค่าแล้วก็ลบตัดทิ้งเลย . พอรับฟีดแบ็คกลับมาตนก็มีความรู้สึก แฟนของตนก็ไม่สบายใจ ให้หยุดไม่ต้องทำเพราะไม่มีใครเชื่อ แต่ตนเชื่อว่าเวรกรรมมีจริง คดีนี้ต้องกลับมาแน่ เพราะข้อพิรุธหลายอย่าง ตนเก็บข้อมูลไว้ เบอร์แต่ละคนหาไม่ยาก อยู่บนเรือด้วยกันโทร.หากันทำไม แล้วบรรดาคนดังโทร.หาแตงโมเวลา 21.58 น. 22.04 น. หรือ 22.07 น.ของวันเกิดเหตุ ไม่ใช่แค่คืนนั้นคืนเดียว โทร.มาตอนเช้าด้วย โทร.ในระหว่างนั้นด้วย ทั้งๆ ที่ตำรวจแถลงข่าวแตงโมตกน้ำ 22.37-22.38 น. แสดงว่าคนรู้แล้วว่าแตงโมตกน้ำ แต่ไม่มีการกดรับสายเพราะปิดเครื่อง แต่มีระบบรับฝากข้อความและมีข้อความเข้ามา . เมื่อถามว่า ขบวนการดิสเครดิตบังแจ็คทำไปเพื่ออะไร เกี่ยวกับการเสียชีวิตของแตงโมอย่างไร บังแจ็ค กล่าวว่า มีคนใหญ่อยู่เบื้องหลัง แต่พอคดีแตงโมเปิดขึ้นมาเขาได้รับความเสียหายมาก จึงไม่ยอมให้ทำแบบนี้ ที่ไปคุยที่ปั๊มน้ำมันนั้น ได้ให้ที่ปรึกษากฎหมายของเขาสอนให้พูดแบบนี้ แล้วมีอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่แนะนำว่าต้องไปในทิศทางนี้ เท่าที่ตนทราบไม่นานมีโทรทัศน์ 3 ช่อง ช่องแรกไม่ดัง อีก 2 ช่องดัง ใช้ทนายความคนบนเรือคนเดียวกันออกโทรทัศน์ บางสื่อต้องกลัวตำรวจหรือเกรงใจตำรวจเพราะจะไม่มีข่าวเล่น ตนรู้พิรุธมานานแล้วว่าตอนสัมภาษณ์เขาก็ตัดออก อย่างทีวีช่องหนึ่งสัมภาษณ์นานมาก แต่ตัดบางส่วนออก เหลือเฉพาะตอนที่เปิดช่องให้ถูกโจมตี ภายหลังพบว่าใช้ทนายความคนเดียวกันออกทีวี . เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้มีคนเสนอเงิน 15 ล้านบาทเพื่อยุติเรื่องดังกล่าวจริงหรือไม่ บังแจ็คกล่าวว่า ไม่ถึง 15 ล้านบาท แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ นพ.ธวัชชัยจะมารับเครื่อง ก็พยายามที่จะถามว่าจะให้โทรศัพท์มือถือจริงหรือเปล่า แล้วเชื่อหรือเปล่าว่าจะนำมาใช้ในทางที่ถูกต้อง แต่ถ้าคิดจะขายจะขายในราคาเท่าไหร่ ตนตอบว่าไม่ขาย ถามว่า 2 ล้านบาทขายไหม ตนตอบว่าไม่ขาย ก่อนจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านบาท เงินที่เสนอมาเป็นค่าใช้จ่ายภายในเดือนหนึ่งก็หมดแล้ว เพราะตนอยู่ที่สหรัฐอเมริกา มีบริษัท จ่ายค่ารถ จ่ายค่าบ้าน ค่าใช้จ่ายต่างๆ หมดแล้ว ตนหาได้เองไม่ต้องเสนอ อีกฝ่ายก็เสนอเป็น 5 ล้านบาท แต่ไม่ต้องให้เครื่องแก่ นพ.ธวัชชัย ตนกล่าวว่าให้เท่าไหร่ก็ไม่ขาย อยากจะยกให้เขา อีกฝ่ายกล่าวว่า ต้องคิดให้ดีๆ ก่อน เพราะ 1 ใน 5 คนบนเรือกล่าวว่า ได้เครื่องนี้ไปก็คือจบเลย เพราะมีข้อมูลที่ผู้ใหญ่ที่มีอิทธิพลสูง เป็นนักธุรกิจระดับประเทศมาเกี่ยวข้องด้วย ไม่อยากให้มือถือนี้ไปอยู่ที่เมืองไทย . เมื่อถามว่า ที่โดนดักตีหัวสงสัยว่าจัดฉากหรือไม่ บังแจ็คกล่าวว่า ตอนที่โดนตีหัว นพ.ธวัชชัยคุยกับตนอยู่ เวลาโดนตีหัวแฟนถามว่าเรียกรถพยาบาลหรือเปล่า เพราะที่สหรัฐฯ มีค่าใช้จ่าย 3,500-4,000 เหรียญสหรัฐฯ แต่พอจับดูเลือดไหล จึงให้ นพ.ธวัชชัยดูแผล ก็แนะนำว่าให้ไปเย็บแผลก่อน แต่เย็บไม่เยอะ 2 เข็ม และให้กลับไปรักษาที่บ้าน ส่วนที่โดนตีหัวคิดว่าวันนั้นเป็นวันหยุดของคนผิวสี ตำรวจไม่ค่อยมี เป็นเหตุบังเอิญที่โจรขโมยของ นพ.ธวัชชัยอยู่ในสาย ก็เลยเป็นห่วงจึงเป็นข่าวขึ้นมา ส่วนขบวนการดิสเครดิตที่เกิดขึ้น นพ.ธวัชชัย อ.ปานเทพ และนายอัจฉริยะต้องระวังอะไรเป็นพิเศษ บังแจ็ค กล่าวว่า ทั้งสามคนต้องระวังอย่างสูง เพราะเท่าที่เจอข้อมูลในเครื่องมีแต่คนใหญ่คนโต ทั้งนักการเมืองและนักธุรกิจชื่อดัง มีเรื่องของยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง จากที่แถลงข่าวยังมีเยอะกว่านี้ . ถามถึงแนวทางคลี่คลายคดีเพื่อคืนความยุติธรรมให้แตงโม บังแจ็คกล่าวว่า ลองไว้ใจทีมดีเอสไอ และดูว่าจะมีคนเข้ามาสกัดหรือข่มขู่หรือเปล่าก็ต้องคอยดู แต่ถ้าทั้งสามคนสบายใจและมั่นใจในทีมนี้ก็ตามนั้น สิ่งที่ทำได้ก็คือฟิงเกอร์ครอส (ยกนิ้วไขว้เพื่ออวยพรขอให้โชคดี) เมื่อถามว่า ตอนนี้บังแจ็คทำอะไรอยู่ ตนต้องขอบคุณเน็ตไอดอลที่สร้างภาพให้ตนเป็นแบบนั้นว่าเขาทำสำเร็จ ตนมีร้านอาหาร 2 แห่ง มีบริษัทที่มีรถยนต์กันกระสุน 5 คัน รับคุ้มกันดาราระดับโลก นักฟุตบอลชื่อดัง และนักการเมือง ยืนยันว่าเป็นโทรศัพท์มือถือแตงโมจริง ให้ นพ.ธวัชชัชตรวจอีมี่ (IMEI) และตรวจเครื่องให้เรียบร้อย ถ้าสมมติถ้าตนหิวเงินหรือหิวแสงคงไม่เก็บไว้นานถึง 3 ปี ภาพหรือคลิปที่ตนเจอป่านนี้ได้เงินเป็นร้อยล้านแล้ว ตนนับถือศาสนาอิสลาม เป็นเงินบาป ทำแบบนี้ไม่ได้ เราไม่ไปยุ่งและไม่เปิดเผย ไม่ทำให้แตงโมเสียหายเพราะน่าสงสารที่สุดแล้ว . คลิกอ่านต้นฉบับ >> https://sondhitalk.com/detail/9680000012224 ...... Sondhi X
    Like
    Love
    2
    0 Comments 0 Shares 1625 Views 0 Reviews
  • สลามเมืองไทย EP09 | อศว. ป๋ามัดแอร์ FC เชื่อมกีฬากับศาสนา สานฝันเยาวชน

    ⚽ "สโมสรฟุตบอลที่มากกว่ากีฬา เชื่อมโยงศรัทธา เสริมสร้างเยาวชน"

    อศว. ป๋ามัดแอร์ FC เป็น ศูนย์กลางของโอกาสและการพัฒนาเยาวชน ที่ใช้ฟุตบอลเป็นเครื่องมือในการปลูกฝังวินัย ความอดทน และจิตวิญญาณของการทำงานเป็นทีม ควบคู่ไปกับหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม

    #สลามเมืองไทย #EP09 #อศวป๋ามัดแอร์FC #สโมสรฟุตบอลชุมชน #FootballForFaith #IslamicCommunity #สามัคคีผ่านกีฬา #ฟุตบอลสร้างเยาวชน #MuslimFootball #เยาวชนคืออนาคต #กีฬาสร้างโอกาส #ThaiTimes
    สลามเมืองไทย EP09 | อศว. ป๋ามัดแอร์ FC เชื่อมกีฬากับศาสนา สานฝันเยาวชน ⚽ "สโมสรฟุตบอลที่มากกว่ากีฬา เชื่อมโยงศรัทธา เสริมสร้างเยาวชน" อศว. ป๋ามัดแอร์ FC เป็น ศูนย์กลางของโอกาสและการพัฒนาเยาวชน ที่ใช้ฟุตบอลเป็นเครื่องมือในการปลูกฝังวินัย ความอดทน และจิตวิญญาณของการทำงานเป็นทีม ควบคู่ไปกับหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม #สลามเมืองไทย #EP09 #อศวป๋ามัดแอร์FC #สโมสรฟุตบอลชุมชน #FootballForFaith #IslamicCommunity #สามัคคีผ่านกีฬา #ฟุตบอลสร้างเยาวชน #MuslimFootball #เยาวชนคืออนาคต #กีฬาสร้างโอกาส #ThaiTimes
    0 Comments 0 Shares 940 Views 28 0 Reviews
  • เครื่องบินกองทัพอากาศของปากีสถานทิ้งบอมบ์ถล่มจังหวัดปักติกา ทางตะวันออกของอัฟกานิสถาน ในวันอังคาร(24ธ.ค.) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 46 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก จากการเปิดเผยของพวกตอลิบานอัฟกันในวันพุธ(25ฑ.ค.) พร้อมระบุจะมีการแก้แค้นอย่างแน่นอน
    .
    นอกจากผู้เสียชีวิตข้างต้นแล้ว ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 6 ราย ในเหตุทิ้งบอมบ์ถล่ม 4 จุดในอัฟกนิสถาน จากการเปิดเผยของ ฮัมดัลเลาะห์ ฟิตรัต รองโฆษกตอลิบาน ผู้ปกครองอัฟกานิสถาน ในวันพุธ(25ธ.ค.) ขณะที่รัฐบาลและเจ้าหน้าที่กองทัพปากีสถาน ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้
    .
    กระทรวงการต่างประเทศอัฟกานิสถาน ระบุว่าได้เรียกหัวหน้าคณะผู้แทนทูตของปากีสถานในกรุงคาบูลเข้าพบ เพื่อยื่นหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการไปยังอิสลามาบัด เกี่ยวกับการทิ้งระเบิดของเครื่องบินทหารปากีสถาน พร้อมเตือนว่าการทูตระหว่าง 2 ชาติอาจได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมดังกล่าว
    .
    "อัฟกานิสถานมองพฤติกรรมที่โหดร้ายป่าเถื่อนนี้ละเมิดหลักการนานาชาติทั้งมวลและเป็นพฤติกรรมแห่งการรุกรานอย่างชัดเจน" โฆษกกระทรวงป้องกันชาติของอัฟกานิสถานระบุในถ้อยแถลง "เอมิเรตอิสลามแห่งอัฟกานิสถานจะไม่ปล่อยให้การกระทำที่ขี้ขลาดตาขาวนี้ลอยนวล"
    .
    เจ้าหน้าที่ปากีสถานรายหนึ่งซึ่งรับรู้เรื่องราวนี้ แต่ไม่ประสงค์เอ่ยนาม บอกกับรอยเตอร์ว่า ปากีสถานปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเล่นงานค่ายแห่งหนึ่งของพวกกลุ่มนักรบอิสลามิสต์ ปากีสถานตอลิบาน(TTP)
    .
    TTP ประกาศสวามิภักดิ์ต่อพวกตอลิบานอัฟกานิสถาน และได้ชื่อมาจากนักรบกลุ่มนี้ แต่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งโดยตรงของกลุ่มที่ปกครองอัฟกานิสถาน พวกเขาเน้นย้ำเป้าหมายในการบังคับใช้กฎหมายศาสนาอิสลามในปากีสถาน แบบเดียวกับที่พวกตอลิบานทำในอัฟกานิสถาน
    .
    ก่อนหน้านี้พวก TTP โจมตีครั้งใหญ่เล่นงานพื้นที่เซาต์ วาซิริสถาน ของปากีสถาน ปลิดชีพบุคลากรด้านความมั่นคงของปากีสถาน 16 ราย เมื่อวันเสาร์(21ธ.ค.)
    .
    กระทรวงกลาโหมอัฟกานิสถาน ระบุว่าพวกที่เสียชวิตในปฏิบัติการทิ้งระเบิดของปากีสถาน ส่วนใหญ่แล้วเป็น "ผู้ลี้ภัยชาววาซิริสถาน" บ่งชี้ว่าคนเหล่านั้นมาจากดินแดนซาซิริสถานของปากีสถานเอง
    .
    เพื่อนบ้านทั้ง 2 ชาติ มีความสัมพันธ์อันตึงเครียด ด้วย ปากีสถาน บอกว่าการโจมตีของพวก TTP หลายต่อหลายครั้งที่เกิดขึ้นภายในประเทศของพวกเขา เป็นการลงมือมาจากแผ่นดินของอัฟกัน ข้อกล่าวหาที่พวกตอลิบานอัฟกันปฏิเสธ
    .
    ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ฝ่าย ยุ่งเหยิงยิ่งขึ้นในเดือนมีนาคม ครั้งที่ตอลิบานกล่าวหาปากีสถานทำการโจมตีทางอากาศ 2 ระลอกเล่นงานดินแดนของพวกเขา ปลิดชีพผู้หญิงและเด็ก 5 ราย
    .
    ปากีสถาน อ้างในตอนนั้น ว่าพวกเขาปฏิบัติการต่อต้านก่อการร้ายในอัฟกานิสถานบนพื้นฐานของข่าวกรอง แต่ไม่เจาะจงลักษณะของปฏิบัติการ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000123940
    ..............
    Sondhi X
    เครื่องบินกองทัพอากาศของปากีสถานทิ้งบอมบ์ถล่มจังหวัดปักติกา ทางตะวันออกของอัฟกานิสถาน ในวันอังคาร(24ธ.ค.) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 46 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก จากการเปิดเผยของพวกตอลิบานอัฟกันในวันพุธ(25ฑ.ค.) พร้อมระบุจะมีการแก้แค้นอย่างแน่นอน . นอกจากผู้เสียชีวิตข้างต้นแล้ว ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 6 ราย ในเหตุทิ้งบอมบ์ถล่ม 4 จุดในอัฟกนิสถาน จากการเปิดเผยของ ฮัมดัลเลาะห์ ฟิตรัต รองโฆษกตอลิบาน ผู้ปกครองอัฟกานิสถาน ในวันพุธ(25ธ.ค.) ขณะที่รัฐบาลและเจ้าหน้าที่กองทัพปากีสถาน ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ . กระทรวงการต่างประเทศอัฟกานิสถาน ระบุว่าได้เรียกหัวหน้าคณะผู้แทนทูตของปากีสถานในกรุงคาบูลเข้าพบ เพื่อยื่นหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการไปยังอิสลามาบัด เกี่ยวกับการทิ้งระเบิดของเครื่องบินทหารปากีสถาน พร้อมเตือนว่าการทูตระหว่าง 2 ชาติอาจได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมดังกล่าว . "อัฟกานิสถานมองพฤติกรรมที่โหดร้ายป่าเถื่อนนี้ละเมิดหลักการนานาชาติทั้งมวลและเป็นพฤติกรรมแห่งการรุกรานอย่างชัดเจน" โฆษกกระทรวงป้องกันชาติของอัฟกานิสถานระบุในถ้อยแถลง "เอมิเรตอิสลามแห่งอัฟกานิสถานจะไม่ปล่อยให้การกระทำที่ขี้ขลาดตาขาวนี้ลอยนวล" . เจ้าหน้าที่ปากีสถานรายหนึ่งซึ่งรับรู้เรื่องราวนี้ แต่ไม่ประสงค์เอ่ยนาม บอกกับรอยเตอร์ว่า ปากีสถานปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเล่นงานค่ายแห่งหนึ่งของพวกกลุ่มนักรบอิสลามิสต์ ปากีสถานตอลิบาน(TTP) . TTP ประกาศสวามิภักดิ์ต่อพวกตอลิบานอัฟกานิสถาน และได้ชื่อมาจากนักรบกลุ่มนี้ แต่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งโดยตรงของกลุ่มที่ปกครองอัฟกานิสถาน พวกเขาเน้นย้ำเป้าหมายในการบังคับใช้กฎหมายศาสนาอิสลามในปากีสถาน แบบเดียวกับที่พวกตอลิบานทำในอัฟกานิสถาน . ก่อนหน้านี้พวก TTP โจมตีครั้งใหญ่เล่นงานพื้นที่เซาต์ วาซิริสถาน ของปากีสถาน ปลิดชีพบุคลากรด้านความมั่นคงของปากีสถาน 16 ราย เมื่อวันเสาร์(21ธ.ค.) . กระทรวงกลาโหมอัฟกานิสถาน ระบุว่าพวกที่เสียชวิตในปฏิบัติการทิ้งระเบิดของปากีสถาน ส่วนใหญ่แล้วเป็น "ผู้ลี้ภัยชาววาซิริสถาน" บ่งชี้ว่าคนเหล่านั้นมาจากดินแดนซาซิริสถานของปากีสถานเอง . เพื่อนบ้านทั้ง 2 ชาติ มีความสัมพันธ์อันตึงเครียด ด้วย ปากีสถาน บอกว่าการโจมตีของพวก TTP หลายต่อหลายครั้งที่เกิดขึ้นภายในประเทศของพวกเขา เป็นการลงมือมาจากแผ่นดินของอัฟกัน ข้อกล่าวหาที่พวกตอลิบานอัฟกันปฏิเสธ . ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ฝ่าย ยุ่งเหยิงยิ่งขึ้นในเดือนมีนาคม ครั้งที่ตอลิบานกล่าวหาปากีสถานทำการโจมตีทางอากาศ 2 ระลอกเล่นงานดินแดนของพวกเขา ปลิดชีพผู้หญิงและเด็ก 5 ราย . ปากีสถาน อ้างในตอนนั้น ว่าพวกเขาปฏิบัติการต่อต้านก่อการร้ายในอัฟกานิสถานบนพื้นฐานของข่าวกรอง แต่ไม่เจาะจงลักษณะของปฏิบัติการ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000123940 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    3
    0 Comments 0 Shares 1264 Views 0 Reviews
  • 🇸🇦🇮🇱 พบว่าผู้ก่อเหตุโจมตีตลาดคริสต์มาสของเยอรมนีเป็นชาวซาอุดีอาระเบียที่หลบหนีและเกลียดชังศาสนาอิสลาม และต้องการให้อิสราเอลเข้ายึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของซาอุดีอาระเบีย
    .
    JUST IN: 🇸🇦🇮🇱 German Christmas Market attacker found to be Saudi fugitive who hated Islam and wanted Israel to take over a large part of Saudi Arabia.
    .
    7:24 PM · Dec 21, 2024 · 643.7K Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1870445274432209162
    🇸🇦🇮🇱 พบว่าผู้ก่อเหตุโจมตีตลาดคริสต์มาสของเยอรมนีเป็นชาวซาอุดีอาระเบียที่หลบหนีและเกลียดชังศาสนาอิสลาม และต้องการให้อิสราเอลเข้ายึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของซาอุดีอาระเบีย . JUST IN: 🇸🇦🇮🇱 German Christmas Market attacker found to be Saudi fugitive who hated Islam and wanted Israel to take over a large part of Saudi Arabia. . 7:24 PM · Dec 21, 2024 · 643.7K Views https://x.com/BRICSinfo/status/1870445274432209162
    Wow
    1
    0 Comments 0 Shares 521 Views 0 Reviews
  • Marry Now, Pay Later แพ็คเกจมาเลย์นิกะห์ไทย

    เป็นที่ฮือฮาของชาวเน็ตมาเลเซีย เมื่อมีคลิปในติ๊กต็อกโฆษณาแพ็คเกจแต่งงานในประเทศไทย สำหรับคู่รักชาวมุสลิมมาเลเซียในราคาต่ำกว่า 2,000 ริงกิต (ประมาณ 15,200 บาทเศษ) ในคอนเซปต์ Marry Now, Pay Later หรือแต่งก่อนจ่ายทีหลัง ทำเอาแซวอย่างตลกขบขัน เช่น จะใช้ Atome (แอปฯ ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง) เพื่อผ่อนชำระรายเดือนได้หรือไม่ บางคนสงสัยว่าในมาเลเซียถูกกฎหมายหรือเปล่า ทำไมผู้คนถึงแต่งงานกันที่นั่น

    จากการสอบถามชาวมาเลเซียรายหนึ่ง ระบุว่า คู่รักที่นิยมไปทำพิธีนิกะห์ หรือพิธีแต่งงานแบบชาวมุสลิมที่ประเทศไทย ส่วนใหญ่แต่งงานกับภรรยาคนที่สอง คนที่สาม หรือคนที่สี่ เพราะฝ่ายชายเจอภรรยาคนที่หนึ่งไม่อนุญาต

    การแต่งงานในไทยของชาวมุสลิมมาเลเซียเกิดขึ้นมานานแล้ว เนื่องจากกฎหมายของมาเลเซียถ้าจะแต่งงงานกับภรรยาคนที่สอง ต้องได้รับอนุญาตจากภรรยาคนแรก ต้องมีสถานะการเงิน และความเป็นอยู่ที่มั่นคง รวมทั้งต้องทำตามหลักศาสนาที่ถูกต้อง ฝ่ายชายที่พบรักกับผู้หญิงคนใหม่ จึงอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายออกนอกประเทศ เพื่อประกอบพิธีนิกะห์ตามมัสยิดใน 5 จังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ สตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส

    ขั้นตอนก็คือ เมื่อคู่รักมาถึงไทยแล้ว จะประกอบพิธีนิกะห์ที่มัสยิด จากนั้นองค์กรศาสนาอิสลามในไทย เช่น สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด จะออกหนังสือรับรองการแต่งงาน แล้วไปลงทะเบียนที่สถานกงสุลใหญ่มาเลเซีย ประจำจังหวัดสงขลา เมื่อได้เอกสารแล้วกลับมาเลเซีย คู่รักทั้งสองคนไปจ่ายค่าปรับที่ศาลอิสลามคนละ 1,000 ริงกิต หรือประมาณ 7,700 บาท แล้วไปจดทะเบียนสมรสกับสภาศาสนาของมาเลเซีย

    เมื่อเกิดกระแส Buy Now, Pay Later สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค จึงมีผู้ประกอบการหัวใสจัดแพ็คเกจแต่งงานในประเทศไทยแบบ "แต่งก่อน จ่ายทีหลัง" เพื่อให้คู่รักสามารถตัดสินใจแต่งงานได้ง่ายขึ้น

    อย่างไรก็ตาม นายโมฮัมหมัด นาอิม มุคธาร์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ด้านกิจการศาสนา) ของมาเลเซีย เตือนว่าผู้ประกอบการที่จัดแพ็คเกจแต่งงานในไทย อาจถูกดำเนินคดีภายใต้พระราชบัญญัติครอบครัวศาสนาอิสลาม แม้ว่าการแต่งงานในไทยอาจตรงตามข้อกำหนดของศาสนา เช่น การมีวะลีย์ (ผู้ปกครองเจ้าสาว) และพยาน แต่ถือเป็นการละเมิดกฎหมายของมาเลเซีย พร้อมเตือนว่าให้ประชาชนระวังและอย่าหลงเชื่อโฆษณาเหล่านี้

    ทั้งนี้ มาเลเซียต้องการสร้างสังคมมุสลิม ที่เคารพทั้งกฎหมายศาสนาและระบบกฎหมายของประเทศ หากรีบแต่งงาน ไม่เพียงแต่สูญเสียเงิน แต่ยังสูญเสียแผนการแต่งงานด้วย ผู้ประกอบการบางคนแสวงหาผลผลกำไรอย่างรวดเร็วโดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น

    #Newskit
    Marry Now, Pay Later แพ็คเกจมาเลย์นิกะห์ไทย เป็นที่ฮือฮาของชาวเน็ตมาเลเซีย เมื่อมีคลิปในติ๊กต็อกโฆษณาแพ็คเกจแต่งงานในประเทศไทย สำหรับคู่รักชาวมุสลิมมาเลเซียในราคาต่ำกว่า 2,000 ริงกิต (ประมาณ 15,200 บาทเศษ) ในคอนเซปต์ Marry Now, Pay Later หรือแต่งก่อนจ่ายทีหลัง ทำเอาแซวอย่างตลกขบขัน เช่น จะใช้ Atome (แอปฯ ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง) เพื่อผ่อนชำระรายเดือนได้หรือไม่ บางคนสงสัยว่าในมาเลเซียถูกกฎหมายหรือเปล่า ทำไมผู้คนถึงแต่งงานกันที่นั่น จากการสอบถามชาวมาเลเซียรายหนึ่ง ระบุว่า คู่รักที่นิยมไปทำพิธีนิกะห์ หรือพิธีแต่งงานแบบชาวมุสลิมที่ประเทศไทย ส่วนใหญ่แต่งงานกับภรรยาคนที่สอง คนที่สาม หรือคนที่สี่ เพราะฝ่ายชายเจอภรรยาคนที่หนึ่งไม่อนุญาต การแต่งงานในไทยของชาวมุสลิมมาเลเซียเกิดขึ้นมานานแล้ว เนื่องจากกฎหมายของมาเลเซียถ้าจะแต่งงงานกับภรรยาคนที่สอง ต้องได้รับอนุญาตจากภรรยาคนแรก ต้องมีสถานะการเงิน และความเป็นอยู่ที่มั่นคง รวมทั้งต้องทำตามหลักศาสนาที่ถูกต้อง ฝ่ายชายที่พบรักกับผู้หญิงคนใหม่ จึงอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายออกนอกประเทศ เพื่อประกอบพิธีนิกะห์ตามมัสยิดใน 5 จังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ สตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ขั้นตอนก็คือ เมื่อคู่รักมาถึงไทยแล้ว จะประกอบพิธีนิกะห์ที่มัสยิด จากนั้นองค์กรศาสนาอิสลามในไทย เช่น สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด จะออกหนังสือรับรองการแต่งงาน แล้วไปลงทะเบียนที่สถานกงสุลใหญ่มาเลเซีย ประจำจังหวัดสงขลา เมื่อได้เอกสารแล้วกลับมาเลเซีย คู่รักทั้งสองคนไปจ่ายค่าปรับที่ศาลอิสลามคนละ 1,000 ริงกิต หรือประมาณ 7,700 บาท แล้วไปจดทะเบียนสมรสกับสภาศาสนาของมาเลเซีย เมื่อเกิดกระแส Buy Now, Pay Later สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค จึงมีผู้ประกอบการหัวใสจัดแพ็คเกจแต่งงานในประเทศไทยแบบ "แต่งก่อน จ่ายทีหลัง" เพื่อให้คู่รักสามารถตัดสินใจแต่งงานได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม นายโมฮัมหมัด นาอิม มุคธาร์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ด้านกิจการศาสนา) ของมาเลเซีย เตือนว่าผู้ประกอบการที่จัดแพ็คเกจแต่งงานในไทย อาจถูกดำเนินคดีภายใต้พระราชบัญญัติครอบครัวศาสนาอิสลาม แม้ว่าการแต่งงานในไทยอาจตรงตามข้อกำหนดของศาสนา เช่น การมีวะลีย์ (ผู้ปกครองเจ้าสาว) และพยาน แต่ถือเป็นการละเมิดกฎหมายของมาเลเซีย พร้อมเตือนว่าให้ประชาชนระวังและอย่าหลงเชื่อโฆษณาเหล่านี้ ทั้งนี้ มาเลเซียต้องการสร้างสังคมมุสลิม ที่เคารพทั้งกฎหมายศาสนาและระบบกฎหมายของประเทศ หากรีบแต่งงาน ไม่เพียงแต่สูญเสียเงิน แต่ยังสูญเสียแผนการแต่งงานด้วย ผู้ประกอบการบางคนแสวงหาผลผลกำไรอย่างรวดเร็วโดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น #Newskit
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 895 Views 0 Reviews
  • Masjid Agung Al-Aqsa Klaten มัสยิดอากุงอัลอักซอ (Masjid Agung Al-Aqsa) ตั้งอยู่ในเมืองกลาตัน (Klaten) จังหวัดชวากลาง ประเทศอินโดนีเซีย เป็นหนึ่งในมัสยิดที่มีความสวยงามและสำคัญในภูมิภาคนี้ เนื่องจากมีลักษณะสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและมีบทบาทสำคัญในชุมชนชาวมุสลิมในพื้นที่https://maps.app.goo.gl/zFCMDhC97wgTFQyTA?g_st=com.google.maps.preview.copyประวัติโดยย่อ 1. การก่อสร้างมัสยิดแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) เพื่อเป็นศูนย์กลางการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและกิจกรรมของชุมชนชาวมุสลิมในกลาตัน ตัวมัสยิดมีสถาปัตยกรรมที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก มัสยิดอัลอักซอในเยรูซาเล็ม โดยผสมผสานสไตล์อิสลามแบบดั้งเดิมกับองค์ประกอบสมัยใหม่ 2. สถาปัตยกรรม โดมหลักของมัสยิดมีขนาดใหญ่และโดดเด่น โดยมีสีทองและลวดลายที่วิจิตรบรรจง เสาสูงและการตกแต่งภายในสะท้อนถึงศิลปะแบบอิสลามที่ละเอียดอ่อน ภายในสามารถรองรับผู้มาละหมาดได้มากกว่า 2,000 คน 3. บทบาทในชุมชน เป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอนเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมและงานเฉลิมฉลองสำคัญ เช่น วันฮารีรายอ 4. สถานที่ท่องเที่ยวและความสำคัญนอกจากจะเป็นศูนย์กลางทางศาสนาแล้ว มัสยิดอากุงอัลอักซอยังเป็นจุดสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการชมความงดงามของสถาปัตยกรรม และสัมผัสบรรยากาศทางศาสนาในภูมิภาคนี้มัสยิดอากุงอัลอักซอถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ชาวมุสลิมในอินโดนีเซียภูมิใจ และยังเป็นจุดเด่นที่ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมในพื้นที่กลาตัน.
    Masjid Agung Al-Aqsa Klaten มัสยิดอากุงอัลอักซอ (Masjid Agung Al-Aqsa) ตั้งอยู่ในเมืองกลาตัน (Klaten) จังหวัดชวากลาง ประเทศอินโดนีเซีย เป็นหนึ่งในมัสยิดที่มีความสวยงามและสำคัญในภูมิภาคนี้ เนื่องจากมีลักษณะสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและมีบทบาทสำคัญในชุมชนชาวมุสลิมในพื้นที่https://maps.app.goo.gl/zFCMDhC97wgTFQyTA?g_st=com.google.maps.preview.copyประวัติโดยย่อ 1. การก่อสร้างมัสยิดแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) เพื่อเป็นศูนย์กลางการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและกิจกรรมของชุมชนชาวมุสลิมในกลาตัน ตัวมัสยิดมีสถาปัตยกรรมที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก มัสยิดอัลอักซอในเยรูซาเล็ม โดยผสมผสานสไตล์อิสลามแบบดั้งเดิมกับองค์ประกอบสมัยใหม่ 2. สถาปัตยกรรม โดมหลักของมัสยิดมีขนาดใหญ่และโดดเด่น โดยมีสีทองและลวดลายที่วิจิตรบรรจง เสาสูงและการตกแต่งภายในสะท้อนถึงศิลปะแบบอิสลามที่ละเอียดอ่อน ภายในสามารถรองรับผู้มาละหมาดได้มากกว่า 2,000 คน 3. บทบาทในชุมชน เป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอนเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมและงานเฉลิมฉลองสำคัญ เช่น วันฮารีรายอ 4. สถานที่ท่องเที่ยวและความสำคัญนอกจากจะเป็นศูนย์กลางทางศาสนาแล้ว มัสยิดอากุงอัลอักซอยังเป็นจุดสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการชมความงดงามของสถาปัตยกรรม และสัมผัสบรรยากาศทางศาสนาในภูมิภาคนี้มัสยิดอากุงอัลอักซอถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ชาวมุสลิมในอินโดนีเซียภูมิใจ และยังเป็นจุดเด่นที่ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมในพื้นที่กลาตัน.
    0 Comments 0 Shares 558 Views 0 Reviews
  • #บาลีวันละคำ (4,534)

    สีสะ ศีรษะ สิระ เศียร

    อย่าเอาของสูงมาทำให้ใจเสื่อม

    (๑) “สีสะ”

    เขียนแบบบาลีเป็น “สีส” อ่านว่า สี-สะ รากศัพท์มาจาก -

    (1) สี (ธาตุ = อยู่, นอน) + ส ปัจจัย

    : สี + ส = สีส แปลตามศัพท์ว่า “อวัยวะเป็นที่อยู่ของเหาเป็นต้น” (คำแปลนี้เป็นอันแสดงความจริงว่า คนโบราณบนหัวต้องมีเหา คนสมัยใหม่ที่มีวิธีรักษาความสะอาดของหัวเป็นอย่างดีย่อมนึกไม่เห็นว่า “ศีรษะ” จะแปลอย่างนี้ได้อย่างไร)

    (2) สิ (ธาตุ = ผูก) + ส ปัจจัย, ทีฆะ อิ ที่ สิ เป็น อี (สิ > สี)

    : สิ + ส = สิส > สีส แปลตามศัพท์ว่า “อวัยวะเป็นที่ผูกผมโดยเกล้าเป็นมวย”

    “สีส” (นปุงสกลิงค์) ในภาษาบาลีใช้ในความหมายดังนี้ -

    (1) ศีรษะ (the head [of the body])
    (2) ส่วนสูงที่สุด, ยอด, ข้างหน้า (highest part, top, front)
    (3) ข้อสำคัญ (chief point)
    (4) ดอก, รวง (ของข้าวหรือพืช) (panicle, ear [of rice or crops])
    (5) หัว, หัวข้อ (เป็นข้อย่อยของเรื่อง) (head, heading [as subdivision of a subject])

    บาลี “สีส” สันสกฤตเป็น “ศีรฺษ”
    สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า -
    (สะกดตามต้นฉบับ)

    “ศีรฺษ : (คำนาม) ‘ศีร์ษะ,’ ศิรัส, เศียร, หัว; the head.”

    ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บไว้ทั้ง “สีสะ” ตามบาลี และ “ศีรษะ” ตามสันสกฤต บอกไว้ดังนี้ -

    (1) สีสะ ๒ : (คำนาม) ศีรษะ. (ป.; ส. ศีรฺษ).

    (2) ศีรษะ : (คำนาม) หัว (เป็นคำสุภาพที่ใช้แก่คน). (ส.; ป. สีส)

    โปรดสังเกตว่า -

    “สีส” บาลี สระ อี อยู่บน ส
    “ศีรฺษ” สันสกฤต สระ อี ก็อยู่บน ศ ไม่ได้อยู่บน ร
    ดังนั้น เมื่อเขียนในภาษาไทย จึงเป็น “ศีรษะ” - สระ อี อยู่บน ศ

    (๒) “สิระ”

    เขียนแบบบาลีเป็น “สิร” อ่านว่า สิ-ระ รากศัพท์มาจาก สิ (ธาตุ = คบหา, ผูก) + ร ปัจจัย

    : สิ + ร = สิร แปลตามศัพท์ว่า (1) “อวัยวะเป็นเครื่องคบหา” คือใช้ก้มยอมรับกัน (2) “อวัยวะอันคอเชื่อมไว้” (3) “ส่วนอันดอกไม้ติดอยู่”

    “สิร” (ปุงลิงค์) หมายถึง -

    (1) ศีรษะหรือหัว (head)
    (2) ยอดไม้, ปลาย (tip)

    บาลี “สิร” สันสกฤตเป็น “ศิรสฺ”
    สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอไว้ดังนี้ -
    (สะกดตามต้นฉบับ)

    “ศิรสฺ : (คำนาม) 'ศิรัส,' เศียร, ศิร์ษะ; ยอตไม้; อัครภาคหรือเสนามุข; อธิบดีหรือนายก; the head; the top of a tree; the van of an army; a chief.”

    “สิร” บาลี “ศิรสฺ” สันสกฤต ไทยเอามาใช้เป็น “เศียร”

    พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บไว้ทั้ง “สิระ” ตามบาลี “ศิระ” อิงสันสกฤต และ “เศียร” แบบไทย บอกไว้ดังนี้ -

    (1) สิร-, สิระ : (คำนาม) หัว, ยอด, ที่สุด. (ป.; ส. ศิรา).

    (2) ศิร-, ศิระ : (คำนาม) หัว, ยอด, ด้านหน้า. (ส. ศิรสฺ; ป. สิร).

    (3) เศียร : (คำนาม) หัว เช่น เศียรพระพุทธรูป ทศกัณฐ์มีสิบเศียรยี่สิบกร, ราชาศัพท์ใช้ว่า พระเศียร. (ส. ศิร; ป. สิร); เรียกไพ่ตอง ๓ ใบ พวกเดียวกัน แต่ไม่เหมือนกัน เช่น ๓ คน ๓ นก ๓ ตา ว่า ๑ เศียร.

    อภิปราย :

    บาลีวันละคำวันนี้ยกคำขึ้นตั้งว่า “สีสะ ศีรษะ สิระ เศียร” มีเจตนาจะบอกว่า -

    “สีสะ” ในบาลี เราเอามาใช้อิงสันสกฤตเป็น “ศีรษะ”
    “สิระ” ในบาลี เราเอามาใช้อิงสันสกฤตเป็น “เศียร”

    ..............

    ที่ยกคำนี้ขึ้นมาเขียน ได้แรงบันดาลใจจากภาพประกอบโพสต์ของญาติมิตรท่านหนึ่ง ข้อความในโพสต์ท่านเขียนไว้ว่า -

    ..............

    อยากให้แม่ค้าพินิจพิเคราะห์ให้ดี ก่อนที่จะนำสินค้าใด ๆ ก็ตามที่สื่อถึงพระศาสดา มาจัดจำหน่าย ไม่ว่าศาสดาของศาสนาไหนก็ตาม เช่นสินค้าชุดนี้ เป็นสินค้าที่สื่อถึงพระเศียรขององค์พระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า นำมาห้อยกระเป๋าหรือพวงกุญแจ ไม่เหมาะโดยประการทั้งปวง กรณีนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนยิ่ง

    ที่ผ่านมา พศ ทำได้เพียงขอความร่วมมือ

    ..............

    ผู้เขียนบาลีวันละคำเห็นด้วยอย่างยิ่งกับความที่ท่านเขียนไว้นั้น ขอเป็นสื่อสารถ่ายทอดอีกทางหนึ่ง

    ผู้เขียนบาลีวันละคำมีข้อสังเกตว่า ในเมืองไทยของเรานี้ ศาสนบุคคลและศาสนวัตถุในพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่คนประเภทหนึ่งกล้านำมาเหยียบย่ำ เย้ยหยัน ล้อเล่น หรือปฏิบัติในลักษณะเช่นนี้

    ยังไม่เคยเห็นคนประเภทนี้นำศาสนบุคคลและศาสนวัตถุในศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามมาเหยียบย่ำ เย้ยหยัน ล้อเล่น หรือปฏิบัติในลักษณะเช่นนี้เลย

    ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ควรศึกษาอย่างยิ่ง

    ..............

    ดูก่อนภราดา!

    เอาของสูงมาทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม

    : ของยิ่งสูงมาก
    : ใจของผู้ทำก็ยิ่งต่ำมาก
    พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
    #บาลีวันละคำ (4,534) สีสะ ศีรษะ สิระ เศียร อย่าเอาของสูงมาทำให้ใจเสื่อม (๑) “สีสะ” เขียนแบบบาลีเป็น “สีส” อ่านว่า สี-สะ รากศัพท์มาจาก - (1) สี (ธาตุ = อยู่, นอน) + ส ปัจจัย : สี + ส = สีส แปลตามศัพท์ว่า “อวัยวะเป็นที่อยู่ของเหาเป็นต้น” (คำแปลนี้เป็นอันแสดงความจริงว่า คนโบราณบนหัวต้องมีเหา คนสมัยใหม่ที่มีวิธีรักษาความสะอาดของหัวเป็นอย่างดีย่อมนึกไม่เห็นว่า “ศีรษะ” จะแปลอย่างนี้ได้อย่างไร) (2) สิ (ธาตุ = ผูก) + ส ปัจจัย, ทีฆะ อิ ที่ สิ เป็น อี (สิ > สี) : สิ + ส = สิส > สีส แปลตามศัพท์ว่า “อวัยวะเป็นที่ผูกผมโดยเกล้าเป็นมวย” “สีส” (นปุงสกลิงค์) ในภาษาบาลีใช้ในความหมายดังนี้ - (1) ศีรษะ (the head [of the body]) (2) ส่วนสูงที่สุด, ยอด, ข้างหน้า (highest part, top, front) (3) ข้อสำคัญ (chief point) (4) ดอก, รวง (ของข้าวหรือพืช) (panicle, ear [of rice or crops]) (5) หัว, หัวข้อ (เป็นข้อย่อยของเรื่อง) (head, heading [as subdivision of a subject]) บาลี “สีส” สันสกฤตเป็น “ศีรฺษ” สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า - (สะกดตามต้นฉบับ) “ศีรฺษ : (คำนาม) ‘ศีร์ษะ,’ ศิรัส, เศียร, หัว; the head.” ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บไว้ทั้ง “สีสะ” ตามบาลี และ “ศีรษะ” ตามสันสกฤต บอกไว้ดังนี้ - (1) สีสะ ๒ : (คำนาม) ศีรษะ. (ป.; ส. ศีรฺษ). (2) ศีรษะ : (คำนาม) หัว (เป็นคำสุภาพที่ใช้แก่คน). (ส.; ป. สีส) โปรดสังเกตว่า - “สีส” บาลี สระ อี อยู่บน ส “ศีรฺษ” สันสกฤต สระ อี ก็อยู่บน ศ ไม่ได้อยู่บน ร ดังนั้น เมื่อเขียนในภาษาไทย จึงเป็น “ศีรษะ” - สระ อี อยู่บน ศ (๒) “สิระ” เขียนแบบบาลีเป็น “สิร” อ่านว่า สิ-ระ รากศัพท์มาจาก สิ (ธาตุ = คบหา, ผูก) + ร ปัจจัย : สิ + ร = สิร แปลตามศัพท์ว่า (1) “อวัยวะเป็นเครื่องคบหา” คือใช้ก้มยอมรับกัน (2) “อวัยวะอันคอเชื่อมไว้” (3) “ส่วนอันดอกไม้ติดอยู่” “สิร” (ปุงลิงค์) หมายถึง - (1) ศีรษะหรือหัว (head) (2) ยอดไม้, ปลาย (tip) บาลี “สิร” สันสกฤตเป็น “ศิรสฺ” สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอไว้ดังนี้ - (สะกดตามต้นฉบับ) “ศิรสฺ : (คำนาม) 'ศิรัส,' เศียร, ศิร์ษะ; ยอตไม้; อัครภาคหรือเสนามุข; อธิบดีหรือนายก; the head; the top of a tree; the van of an army; a chief.” “สิร” บาลี “ศิรสฺ” สันสกฤต ไทยเอามาใช้เป็น “เศียร” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บไว้ทั้ง “สิระ” ตามบาลี “ศิระ” อิงสันสกฤต และ “เศียร” แบบไทย บอกไว้ดังนี้ - (1) สิร-, สิระ : (คำนาม) หัว, ยอด, ที่สุด. (ป.; ส. ศิรา). (2) ศิร-, ศิระ : (คำนาม) หัว, ยอด, ด้านหน้า. (ส. ศิรสฺ; ป. สิร). (3) เศียร : (คำนาม) หัว เช่น เศียรพระพุทธรูป ทศกัณฐ์มีสิบเศียรยี่สิบกร, ราชาศัพท์ใช้ว่า พระเศียร. (ส. ศิร; ป. สิร); เรียกไพ่ตอง ๓ ใบ พวกเดียวกัน แต่ไม่เหมือนกัน เช่น ๓ คน ๓ นก ๓ ตา ว่า ๑ เศียร. อภิปราย : บาลีวันละคำวันนี้ยกคำขึ้นตั้งว่า “สีสะ ศีรษะ สิระ เศียร” มีเจตนาจะบอกว่า - “สีสะ” ในบาลี เราเอามาใช้อิงสันสกฤตเป็น “ศีรษะ” “สิระ” ในบาลี เราเอามาใช้อิงสันสกฤตเป็น “เศียร” .............. ที่ยกคำนี้ขึ้นมาเขียน ได้แรงบันดาลใจจากภาพประกอบโพสต์ของญาติมิตรท่านหนึ่ง ข้อความในโพสต์ท่านเขียนไว้ว่า - .............. อยากให้แม่ค้าพินิจพิเคราะห์ให้ดี ก่อนที่จะนำสินค้าใด ๆ ก็ตามที่สื่อถึงพระศาสดา มาจัดจำหน่าย ไม่ว่าศาสดาของศาสนาไหนก็ตาม เช่นสินค้าชุดนี้ เป็นสินค้าที่สื่อถึงพระเศียรขององค์พระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า นำมาห้อยกระเป๋าหรือพวงกุญแจ ไม่เหมาะโดยประการทั้งปวง กรณีนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนยิ่ง ที่ผ่านมา พศ ทำได้เพียงขอความร่วมมือ .............. ผู้เขียนบาลีวันละคำเห็นด้วยอย่างยิ่งกับความที่ท่านเขียนไว้นั้น ขอเป็นสื่อสารถ่ายทอดอีกทางหนึ่ง ผู้เขียนบาลีวันละคำมีข้อสังเกตว่า ในเมืองไทยของเรานี้ ศาสนบุคคลและศาสนวัตถุในพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่คนประเภทหนึ่งกล้านำมาเหยียบย่ำ เย้ยหยัน ล้อเล่น หรือปฏิบัติในลักษณะเช่นนี้ ยังไม่เคยเห็นคนประเภทนี้นำศาสนบุคคลและศาสนวัตถุในศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามมาเหยียบย่ำ เย้ยหยัน ล้อเล่น หรือปฏิบัติในลักษณะเช่นนี้เลย ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ควรศึกษาอย่างยิ่ง .............. ดูก่อนภราดา! เอาของสูงมาทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม : ของยิ่งสูงมาก : ใจของผู้ทำก็ยิ่งต่ำมาก พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
    0 Comments 0 Shares 756 Views 0 Reviews
  • สลามเมืองไทย EP06 | มัสยิดบางหลวง มัสยิดทรงไทย อันซีนกรุงเทพฯ

    มัสยิดบางหลวง: เสน่ห์แห่งสถาปัตยกรรมไทย ศรัทธาที่หยั่งรากลึกกลางกรุงเทพฯ

    ท่ามกลางความเจริญของเมืองหลวง มัสยิดบางหลวง (กุฎีขาว) ซ่อนตัวอยู่ในชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดดเด่นด้วย สถาปัตยกรรมแบบไทยดั้งเดิม ที่หาได้ยาก เป็นหนึ่งในมัสยิดที่สะท้อนถึง ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความศรัทธาของชาวมุสลิมไทย

    อันซีนกรุงเทพฯ ที่ต้องมาเยือน
    ที่นี่ไม่เพียงเป็นศูนย์กลางของศาสนาอิสลาม แต่ยังเป็นสถานที่ที่ผสมผสานเอกลักษณ์ไทย-มุสลิมไว้ได้อย่างลงตัว บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนไทย-มุสลิมที่ยาวนานนับร้อยปี

    #สลามเมืองไทย #EP06 #มัสยิดบางหลวง #มัสยิดทรงไทย #อันซีนกรุงเทพ #UnseenBangkok #IslamicHeritage #MuslimCommunity #มัสยิดในไทย #BangkokHiddenGems #ThaiTimes
    สลามเมืองไทย EP06 | มัสยิดบางหลวง มัสยิดทรงไทย อันซีนกรุงเทพฯ มัสยิดบางหลวง: เสน่ห์แห่งสถาปัตยกรรมไทย ศรัทธาที่หยั่งรากลึกกลางกรุงเทพฯ ท่ามกลางความเจริญของเมืองหลวง มัสยิดบางหลวง (กุฎีขาว) ซ่อนตัวอยู่ในชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดดเด่นด้วย สถาปัตยกรรมแบบไทยดั้งเดิม ที่หาได้ยาก เป็นหนึ่งในมัสยิดที่สะท้อนถึง ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความศรัทธาของชาวมุสลิมไทย อันซีนกรุงเทพฯ ที่ต้องมาเยือน ที่นี่ไม่เพียงเป็นศูนย์กลางของศาสนาอิสลาม แต่ยังเป็นสถานที่ที่ผสมผสานเอกลักษณ์ไทย-มุสลิมไว้ได้อย่างลงตัว บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนไทย-มุสลิมที่ยาวนานนับร้อยปี #สลามเมืองไทย #EP06 #มัสยิดบางหลวง #มัสยิดทรงไทย #อันซีนกรุงเทพ #UnseenBangkok #IslamicHeritage #MuslimCommunity #มัสยิดในไทย #BangkokHiddenGems #ThaiTimes
    0 Comments 0 Shares 915 Views 52 0 Reviews
  • สลามเมืองไทย EP05 | หนึ่งเดียวในโลก มัสยิดทรงไทย

    ความงดงามแห่งศรัทธาและสถาปัตยกรรม มัสยิดทรงไทย หนึ่งเดียวในโลก

    กลางเมืองไทย มีมัสยิดที่แตกต่างจากที่อื่นในโลก "มัสยิดทรงไทย" ที่ผสมผสานศิลปะไทยเข้ากับศาสนาอิสลามได้อย่างงดงามและลงตัว โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึง วัฒนธรรม ความศรัทธา และความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างไทยและอิสลาม

    "หนึ่งเดียวในโลก"
    มัสยิดแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ประกอบศาสนกิจ แต่ยังเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกถึง การอยู่ร่วมกันของคนต่างศาสนาและวัฒนธรรม ได้อย่างสงบสุข

    #สลามเมืองไทย #EP05 #มัสยิดทรงไทย #หนึ่งเดียวในโลก #ThaiIslamicArchitecture #MuslimCommunity #IslamicHeritage #มัสยิดในไทย #ศิลปะไทยอิสลาม #ThaiTimes
    สลามเมืองไทย EP05 | หนึ่งเดียวในโลก มัสยิดทรงไทย ความงดงามแห่งศรัทธาและสถาปัตยกรรม มัสยิดทรงไทย หนึ่งเดียวในโลก กลางเมืองไทย มีมัสยิดที่แตกต่างจากที่อื่นในโลก "มัสยิดทรงไทย" ที่ผสมผสานศิลปะไทยเข้ากับศาสนาอิสลามได้อย่างงดงามและลงตัว โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึง วัฒนธรรม ความศรัทธา และความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างไทยและอิสลาม "หนึ่งเดียวในโลก" มัสยิดแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ประกอบศาสนกิจ แต่ยังเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกถึง การอยู่ร่วมกันของคนต่างศาสนาและวัฒนธรรม ได้อย่างสงบสุข #สลามเมืองไทย #EP05 #มัสยิดทรงไทย #หนึ่งเดียวในโลก #ThaiIslamicArchitecture #MuslimCommunity #IslamicHeritage #มัสยิดในไทย #ศิลปะไทยอิสลาม #ThaiTimes
    0 Comments 0 Shares 851 Views 40 0 Reviews
  • มือตบ "ทนายธรรมราช" เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ก่อนอนถูกพาตัวส่งฟ้องศาล ยืนยันไม่มีคนจ้าง ลงมือเอง เหตุไม่พอใจทนายโพสต์ดูหมิ่นศาสนาอิสลามนักข่าวถามก็ไม่ตอบ

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000105599

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    มือตบ "ทนายธรรมราช" เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ก่อนอนถูกพาตัวส่งฟ้องศาล ยืนยันไม่มีคนจ้าง ลงมือเอง เหตุไม่พอใจทนายโพสต์ดูหมิ่นศาสนาอิสลามนักข่าวถามก็ไม่ตอบ อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000105599 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    12
    0 Comments 0 Shares 2367 Views 1 Reviews
  • สลามเมืองไทย EP01 | ศูนย์ปลูกฝังคุณธรรมเยาวชน ชุมชนเกาะใหญ่ มีนบุรี

    "ศูนย์ปลูกฝังคุณธรรมเยาวชน: พื้นที่แห่งศรัทธาและการเรียนรู้ของชุมชนมุสลิม"

    ที่ ชุมชนเกาะใหญ่ มีนบุรี ไม่ได้มีเพียงบ้านเรือนและมัสยิด แต่ยังมี "ศูนย์ปลูกฝังคุณธรรมเยาวชน" ที่ทำหน้าที่เสริมสร้างศรัทธาและคุณธรรมให้กับเด็กและเยาวชนในชุมชน ปลูกฝังจริยธรรมผ่านหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ควบคู่ไปกับการสร้างความสามัคคีและการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข

    "เยาวชนวันนี้ คืออนาคตของสังคม"
    ศูนย์แห่งนี้ทำหน้าที่เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ ส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และคุณธรรม เพื่อให้เยาวชนเติบโตขึ้นเป็นบุคคลที่มีคุณค่าทั้งในศาสนาและสังคมไทย"

    📅 ออกอากาศครั้งแรก : 22 มกราคม 2022

    #สลามเมืองไทย #EP01 #ศูนย์ปลูกฝังคุณธรรม #ชุมชนเกาะใหญ่ #IslamicEducation #MuslimYouth #เยาวชนคืออนาคต #IslamicCommunity #เรียนรู้เพื่อศรัทธา #ThaiMuslimCulture #ThaiTimes
    สลามเมืองไทย EP01 | ศูนย์ปลูกฝังคุณธรรมเยาวชน ชุมชนเกาะใหญ่ มีนบุรี "ศูนย์ปลูกฝังคุณธรรมเยาวชน: พื้นที่แห่งศรัทธาและการเรียนรู้ของชุมชนมุสลิม" ที่ ชุมชนเกาะใหญ่ มีนบุรี ไม่ได้มีเพียงบ้านเรือนและมัสยิด แต่ยังมี "ศูนย์ปลูกฝังคุณธรรมเยาวชน" ที่ทำหน้าที่เสริมสร้างศรัทธาและคุณธรรมให้กับเด็กและเยาวชนในชุมชน ปลูกฝังจริยธรรมผ่านหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ควบคู่ไปกับการสร้างความสามัคคีและการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข "เยาวชนวันนี้ คืออนาคตของสังคม" ศูนย์แห่งนี้ทำหน้าที่เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ ส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และคุณธรรม เพื่อให้เยาวชนเติบโตขึ้นเป็นบุคคลที่มีคุณค่าทั้งในศาสนาและสังคมไทย" 📅 ออกอากาศครั้งแรก : 22 มกราคม 2022 #สลามเมืองไทย #EP01 #ศูนย์ปลูกฝังคุณธรรม #ชุมชนเกาะใหญ่ #IslamicEducation #MuslimYouth #เยาวชนคืออนาคต #IslamicCommunity #เรียนรู้เพื่อศรัทธา #ThaiMuslimCulture #ThaiTimes
    0 Comments 0 Shares 920 Views 71 0 Reviews
  • ลอบวางระเบิด กุโบร์ สถานที่ ที่ไม่ควรเกิดขึ้น

    👉ที่ผ่านมากลุ่มขบวนการแนวร่วม ผู้ก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกร้องการต่อสู้ว่า “เขาต้องสู้เพราะมีคนรุกรานศาสนา เขาต้องสู้เพราะมีคนมารุกรานมาตุภูมิพ่อแม่เขา”
    ล่าสุด วันที่ 10 ต.ต.67 เวลาประมาน 05.45 น.รับแจ้งว่าเกิดเหตุระเบิดขึ้น บริเวณกูโบร์ข้างฐานปฏิบัติการ ชคต.บางปู อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี
    คนร้ายเลือกก่อเหตุในเขตกุโบร์ #เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้น #แต่กลุ่มคนร้ายยังก่อเหตุไม่เลือก!
    🚩#คำถามคือ “ใครรุกรานศาสนาอิสลามในประเทศไทย ใครรุกรานมาตุภูมิพ่อแม่เขาในประเทศไทย”
    #ใครกันแน่ที่รุกรานศาสนา ใครกันแน่ที่ทำให้ศาสนาถูกตำหนิจากคนทั้งประเทศ

    @ชายแดนใต้

    https://www.facebook.com/share/axJAHyHQqRG9TnM5/
    ลอบวางระเบิด กุโบร์ สถานที่ ที่ไม่ควรเกิดขึ้น 👉ที่ผ่านมากลุ่มขบวนการแนวร่วม ผู้ก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกร้องการต่อสู้ว่า “เขาต้องสู้เพราะมีคนรุกรานศาสนา เขาต้องสู้เพราะมีคนมารุกรานมาตุภูมิพ่อแม่เขา” ล่าสุด วันที่ 10 ต.ต.67 เวลาประมาน 05.45 น.รับแจ้งว่าเกิดเหตุระเบิดขึ้น บริเวณกูโบร์ข้างฐานปฏิบัติการ ชคต.บางปู อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี คนร้ายเลือกก่อเหตุในเขตกุโบร์ #เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้น #แต่กลุ่มคนร้ายยังก่อเหตุไม่เลือก! 🚩#คำถามคือ “ใครรุกรานศาสนาอิสลามในประเทศไทย ใครรุกรานมาตุภูมิพ่อแม่เขาในประเทศไทย” #ใครกันแน่ที่รุกรานศาสนา ใครกันแน่ที่ทำให้ศาสนาถูกตำหนิจากคนทั้งประเทศ @ชายแดนใต้ https://www.facebook.com/share/axJAHyHQqRG9TnM5/
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 570 Views 0 Reviews
  • ในหลวง-พระราชินี พระราชทานรางวัลการทดสอบการอัญเชิญพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานประจำปี 2567
    วันที่ 28 กันยายน 2567
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานรางวัลการทดสอบการอัญเชิญพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานระดับประเทศ ครั้งที่ 17 ประจำปี 2567 ณ มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี และพระราชทานโล่เกียรติคุณและเงินรางวัลแก่คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด และอิหม่ามที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น ประจำปี 2566 และพระราชทานรางวัลแก่ผู้แทนโรงเรียน ผู้บริหารโรงเรียน ครู และนักเรียน โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามภาคใต้ ประจำปี 2566ณ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี
    #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida
    ในหลวง-พระราชินี พระราชทานรางวัลการทดสอบการอัญเชิญพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานประจำปี 2567 วันที่ 28 กันยายน 2567 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานรางวัลการทดสอบการอัญเชิญพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานระดับประเทศ ครั้งที่ 17 ประจำปี 2567 ณ มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี และพระราชทานโล่เกียรติคุณและเงินรางวัลแก่คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด และอิหม่ามที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น ประจำปี 2566 และพระราชทานรางวัลแก่ผู้แทนโรงเรียน ผู้บริหารโรงเรียน ครู และนักเรียน โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามภาคใต้ ประจำปี 2566ณ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida
    Love
    Like
    6
    0 Comments 1 Shares 852 Views 0 Reviews
  • พิธีการแต่งงานในศาสนาอิสลาม สุเหร่าบ้านโรงกระโจม(มัสยิดอิกอม่าตุ้ลอิสลาม) บ้านโรงกระโจม ตำบลพิมลราช อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี
    https://youtu.be/TLvJKVzveuA
    พิธีการแต่งงานในศาสนาอิสลาม สุเหร่าบ้านโรงกระโจม(มัสยิดอิกอม่าตุ้ลอิสลาม) บ้านโรงกระโจม ตำบลพิมลราช อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี https://youtu.be/TLvJKVzveuA
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 273 Views 0 Reviews
More Results