• กองทัพไทยทดสอบโดรนโจมตี "ฝีมือคนไทย" หวังพัฒนาใช้จริงในกองทัพ ทั้งโดรนทิ้งระเบิดและโดรนพุ่งชน
    https://www.thai-tai.tv/news/21119/
    .
    #กองทัพไทย #โดรน #อากาศยานไร้คนขับ #วิจัยและพัฒนา #เทคโนโลยีการทหาร #ไทยไท
    กองทัพไทยทดสอบโดรนโจมตี "ฝีมือคนไทย" หวังพัฒนาใช้จริงในกองทัพ ทั้งโดรนทิ้งระเบิดและโดรนพุ่งชน https://www.thai-tai.tv/news/21119/ . #กองทัพไทย #โดรน #อากาศยานไร้คนขับ #วิจัยและพัฒนา #เทคโนโลยีการทหาร #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Xizhi”: เครื่องลิโธกราฟีลำแสงอิเล็กตรอนของจีนที่แม่นยำระดับนาโน แต่ยังไม่พร้อมผลิตจริง

    จีนได้เปิดตัวเครื่องลิโธกราฟีแบบลำแสงอิเล็กตรอนเชิงพาณิชย์เครื่องแรกของประเทศ ชื่อว่า “Xizhi” ซึ่งพัฒนาโดยสถาบันวิจัยควอนตัมของมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงในเมืองหางโจว เครื่องนี้สามารถ “เขียน” วงจรบนเวเฟอร์ซิลิกอนได้ด้วยลำแสงอิเล็กตรอนที่มีความแม่นยำสูงถึง 0.6 นาโนเมตร และสามารถสร้างเส้นวงจรขนาดเล็กเพียง 8 นาโนเมตรได้

    แม้ความแม่นยำจะใกล้เคียงกับเครื่อง High-NA EUV ของ ASML แต่ Xizhi ยังไม่สามารถผลิตชิปในระดับอุตสาหกรรมได้ เพราะใช้วิธีเขียนแบบจุดต่อจุด ซึ่งใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อเวเฟอร์หนึ่งแผ่น จึงเหมาะกับการวิจัยและพัฒนาเท่านั้น โดยเฉพาะในด้านชิปควอนตัมและเซมิคอนดักเตอร์รุ่นใหม่

    การพัฒนาเครื่องนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะหลังจากที่สหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์จำกัดการส่งออกเครื่อง EUV ให้กับจีน ทำให้มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยในประเทศไม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ล้ำสมัยได้

    Xizhi ยังมีจุดเด่นคือสามารถปรับเปลี่ยนการออกแบบได้โดยไม่ต้องใช้ photomask ซึ่งช่วยให้การทดลองและแก้ไขวงจรในขั้นต้นทำได้ง่ายขึ้น เหมือนใช้ “พู่กันนาโน” วาดวงจรลงบนชิปโดยตรง

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    จีนเปิดตัวเครื่องลิโธกราฟีลำแสงอิเล็กตรอนเชิงพาณิชย์เครื่องแรกชื่อ “Xizhi”
    พัฒนาโดยสถาบันควอนตัมของมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงในเมืองหางโจว
    ความแม่นยำสูงถึง 0.6 นาโนเมตร และสามารถสร้างเส้นวงจรขนาด 8 นาโนเมตร
    ใช้ลำแสงอิเล็กตรอนในการ “เขียน” วงจรบนเวเฟอร์แบบจุดต่อจุด
    เหมาะกับการวิจัยและพัฒนา ไม่เหมาะกับการผลิตชิปในระดับอุตสาหกรรม
    ไม่ต้องใช้ photomask ทำให้ปรับเปลี่ยนการออกแบบได้ง่าย
    ช่วยเติมเต็มช่องว่างที่เกิดจากการจำกัดการส่งออกเครื่อง EUV จากตะวันตก
    มีการหารือกับหลายสถาบันวิจัยเพื่อใช้งานในด้านชิปควอนตัมและเซมิคอนดักเตอร์รุ่นใหม่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เครื่องลิโธกราฟีแบบ EBL เหมาะกับการสร้างต้นแบบและการออกแบบที่ต้องการความยืดหยุ่น
    ASML เป็นผู้ผลิตเครื่อง EUV รายเดียวในโลก และถูกควบคุมการส่งออกโดยรัฐบาลเนเธอร์แลนด์
    Xizhi ได้รับแรงบันดาลใจจากหวังซีจือ นักเขียนพู่กันจีนโบราณ สื่อถึงความละเอียดของการ “วาด” วงจร
    การพัฒนาเครื่องนี้ช่วยสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศสำหรับการวิจัยชิปขั้นสูง
    จีนตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านการผลิตชิปภายในปี 2030 โดยเน้นการพัฒนาอุปกรณ์ภายในประเทศ
    เครื่อง EBL ยังใช้ในงานด้านนาโนเทคโนโลยีและการออกแบบโครงสร้างระดับอะตอม

    https://wccftech.com/china-reportedly-develops-lithography-machine-with-precision-rivalling-asml-high-na-euv/
    🧠 “Xizhi”: เครื่องลิโธกราฟีลำแสงอิเล็กตรอนของจีนที่แม่นยำระดับนาโน แต่ยังไม่พร้อมผลิตจริง จีนได้เปิดตัวเครื่องลิโธกราฟีแบบลำแสงอิเล็กตรอนเชิงพาณิชย์เครื่องแรกของประเทศ ชื่อว่า “Xizhi” ซึ่งพัฒนาโดยสถาบันวิจัยควอนตัมของมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงในเมืองหางโจว เครื่องนี้สามารถ “เขียน” วงจรบนเวเฟอร์ซิลิกอนได้ด้วยลำแสงอิเล็กตรอนที่มีความแม่นยำสูงถึง 0.6 นาโนเมตร และสามารถสร้างเส้นวงจรขนาดเล็กเพียง 8 นาโนเมตรได้ แม้ความแม่นยำจะใกล้เคียงกับเครื่อง High-NA EUV ของ ASML แต่ Xizhi ยังไม่สามารถผลิตชิปในระดับอุตสาหกรรมได้ เพราะใช้วิธีเขียนแบบจุดต่อจุด ซึ่งใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อเวเฟอร์หนึ่งแผ่น จึงเหมาะกับการวิจัยและพัฒนาเท่านั้น โดยเฉพาะในด้านชิปควอนตัมและเซมิคอนดักเตอร์รุ่นใหม่ การพัฒนาเครื่องนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะหลังจากที่สหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์จำกัดการส่งออกเครื่อง EUV ให้กับจีน ทำให้มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยในประเทศไม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ล้ำสมัยได้ Xizhi ยังมีจุดเด่นคือสามารถปรับเปลี่ยนการออกแบบได้โดยไม่ต้องใช้ photomask ซึ่งช่วยให้การทดลองและแก้ไขวงจรในขั้นต้นทำได้ง่ายขึ้น เหมือนใช้ “พู่กันนาโน” วาดวงจรลงบนชิปโดยตรง ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ จีนเปิดตัวเครื่องลิโธกราฟีลำแสงอิเล็กตรอนเชิงพาณิชย์เครื่องแรกชื่อ “Xizhi” ➡️ พัฒนาโดยสถาบันควอนตัมของมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงในเมืองหางโจว ➡️ ความแม่นยำสูงถึง 0.6 นาโนเมตร และสามารถสร้างเส้นวงจรขนาด 8 นาโนเมตร ➡️ ใช้ลำแสงอิเล็กตรอนในการ “เขียน” วงจรบนเวเฟอร์แบบจุดต่อจุด ➡️ เหมาะกับการวิจัยและพัฒนา ไม่เหมาะกับการผลิตชิปในระดับอุตสาหกรรม ➡️ ไม่ต้องใช้ photomask ทำให้ปรับเปลี่ยนการออกแบบได้ง่าย ➡️ ช่วยเติมเต็มช่องว่างที่เกิดจากการจำกัดการส่งออกเครื่อง EUV จากตะวันตก ➡️ มีการหารือกับหลายสถาบันวิจัยเพื่อใช้งานในด้านชิปควอนตัมและเซมิคอนดักเตอร์รุ่นใหม่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เครื่องลิโธกราฟีแบบ EBL เหมาะกับการสร้างต้นแบบและการออกแบบที่ต้องการความยืดหยุ่น ➡️ ASML เป็นผู้ผลิตเครื่อง EUV รายเดียวในโลก และถูกควบคุมการส่งออกโดยรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ ➡️ Xizhi ได้รับแรงบันดาลใจจากหวังซีจือ นักเขียนพู่กันจีนโบราณ สื่อถึงความละเอียดของการ “วาด” วงจร ➡️ การพัฒนาเครื่องนี้ช่วยสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศสำหรับการวิจัยชิปขั้นสูง ➡️ จีนตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านการผลิตชิปภายในปี 2030 โดยเน้นการพัฒนาอุปกรณ์ภายในประเทศ ➡️ เครื่อง EBL ยังใช้ในงานด้านนาโนเทคโนโลยีและการออกแบบโครงสร้างระดับอะตอม https://wccftech.com/china-reportedly-develops-lithography-machine-with-precision-rivalling-asml-high-na-euv/
    WCCFTECH.COM
    China Reportedly Develops Lithography Machine With Precision Rivalling ASML's High-NA EUV, But Limited to Research Applications, Not Mass Production
    Well, it seems that China's chipmaking capabilities are advancing, as a domestic firm has developed the first e-beam lithography tool.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไมต้อง "Gripen"

    เครื่องบิน JAS Gripen ได้รับการรีวิวจริงไปแล้วครั้งแรกในโลกโดยประเทศไทยของเรานี่เอง รีวิวใส่กัมพูชาชนิดที่ว่า โลกเห็นแล้วต้องชื่นชมในศักยภาพ

    หลายคนรู้จัก F-16 ได้ยินชื่อนี้มานานหลายสิบปี แต่เพิ่งมาได้ยินชื่อ Gripen เมื่อไม่นานมานี้ และทำไมเราถึงใช้ Gripen ในภารกิจนี้ และวางแผนจะนำมาทดแทน F-16 มันดีกว่ายังไง?
    .
    ประวัติของ Gripen
    ประเทศสวีเดนคือผู้ให้กำเนิด Gripen ซึ่งถูกพัฒนามาจากปลายยุค 1970 หลังจากกองทัพอากาศสวีเดินเล็งเห็นว่า เครื่องบินรบรุ่นเก่าของสวีเดินเริ่มล้าสมัย สวีเดินจึงคิดผลิตเครื่องบินรุ่นใหม่ "ขึ้นมาเอง" เพราะไม่อยากพึ่งพาประเทศอื่นมากเกินไป ด้วยการก่อตั้งโครงการ "JAS" ในปี 1979
    โครงการ JAS มาจากคำว่า J = (Jakt) ยัคต์ แปลว่า ขับไล่ A= (Attack) แอทแทค แปลว่าโจมตี และ S = Spaning (สแปนนิ่ง) แปลว่า ลาดตระเวน คือแนวคิดที่จะพัฒนาเครื่องบินรบล้ำสมัยล้ำยุค ที่ใช้เครื่องบินเพียง 1 ลำ แต่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ทั้ง 3 แบบในลำเดียว เที่ยวเดียวได้

    ปี 1982 บริษัท SAAB ได้รับหน้าที่พัฒนาโครางการนี้ แต่เนื่องจากโปรเจคนี้ใหญ่มา และต้องการความเป็น "ที่สุด" จึงได้ระดมสมองร่วมกับอีกหลายบริษัท เข้ามาดูแลความเป็นที่สุดในด้านต่างๆ ได้แก่ บริษัท Ericsson เข้ามาช่วยพัฒนาระบบเรดาห์และการบิน บริษัท Volvo Aero เข้ามาช่วยปรับแต่งเครื่องยนตร์ และบริษัท FFV มาดูเรื่องระบบอาวุธและอุปกรณ์ทางการทหาร
    ปี 1988 เครื่องต้นแบบลำแรกสำเร็จ แต่เมื่อบินทดสอบกลับไม่สำเร็จจนพังไป หลังจากทดลองจนเสร็จสมบูรณ์แบบ Gripen ลำแรกก็พร้อมประจำการได้ในปี 1996
    .
    ความสามารถอันเป็นที่สุดของ Gripen
    ทำหน้าที่ได้ถึง 3 หน้าที่ใน 1 ลำ
    1. เป็นเครื่องบินขับไล่ - ต่อสู้เครื่องบินศัตรูจากกลางอากาศได้
    2. เป็นเครื่องบินโจมตี - โจมตีภาคพื้นดิน ฐานทัพ บังเกอร์ รถถัง
    3. เป็นเครื่องบินลาดตระเวณ สอดแนม - บินไปถ่ยาภาพและสอดแนมตำแหน่งศัตรูได้
    .
    * ปกติเครื่องบินรบ 1 หน้าที่จะแยกเป็น 1 ลำไป แต่ Gripen สามารถปฏิบัติภารกิจได้ต่อเนื่อง เป็น Swing-Role อย่างเช่น ลาดตระเวณอยู่ แต่เจอศัตรู ก็เปลี่ยนเป็นโหมดต่อสู้ทางอากาศได้ และสลับไปสอดแนมต่อก็ยังได้ในการบินเที่ยวเดียว หรือจะสลับทำทั้ง 3 หน้าที่คือไปสอดแนม โจมตีศัตรูบนอากาศ และพื้นดินก็ยังได้
    .
    มีระบบ "TIDLS" อันทันสมัย สามารถเชื่อมต่อข้อมูลกัน ทุกลำเหมือนมี "ตาเดียวกัน" ทำให้ทุกลำโจมตีได้ร่วมกัน เช่น ลำนี้ตรวจเจอศัตรูแต่มุมยิงไม่ได้ ก็ให้อีกลำยิงแทน และตรวจจับศัตรูได้หลากหลายเป้าหมาย แม้ในสภาพอากาศไม่เป็นใจเช่นมีหมอก มีพายุ มีฝุ่น
    .
    มีระบบ EW คือระบบป้องกันตัวเอง สามารถรู้ได้ว่าเรดาห์ศัตรูตรวจเจอก็จะแจ้งเตือน หรือเมื่อถูกโจมตีด้วยมิซไซล์ ก็จะแจ้งเตือน มีการยิงเป้าหลอก แท่งความร้อนหลอกมิซไซล์ รวมถึงมีระบบส่งคลื่นสัญญาณรบกวน ทั้งหมดนี้ ยังสามารถเชื่อมระบบการโจมตีร่วมกับกองทัพเรือและกองทัพบกได้ด้วย
    .
    มีระบบ AI ช่วยการตัดสินใจให้นักบิน เพราะเวลารบ นักบินต้องตัดสินใจรวดเร็วมากในขณะที่ยังต้องควบคุมการบินและวิเคราะห์การรบ แต่ Gripen มี Mission Computer ที่จะรวบรวมระบบจากทุกลำมาตัดสินใจการรบแทนให้ มันวิเคราะห์สถานการณ์แบบ Realime ได้ เช่น จะเลือกล็อคเป้าเป้าหมายที่เหมาะสมที่สุดให้โจมตีก่อน มีหน้าจอขนาดใหญ่ แสดงถึงการโจมตี เส้นทางการหลบหนี ตำแหน่งของเพื่อนร่วมฝูง ทำให้นักบินเข้าใจได้ทันทีไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรมาก Gripen คิดให้หมดและคิดเป็นทีม
    .
    Gripen มีความยืดหยุ่นที่จะ Upgrade เครื่องได้หลากหลาย ทำให้ไม่ตกยุค สามารถปรับแต่งระบบต่างๆ ได้ตลอด เช่น อัพเกรดให้เชื่อมต่อกับเรือรบในระบบอื่นได้ มีระบบฝึกการบินภายในตัวเครื่องเองโดยไม่ต้องบินขึ้น ไม่ต้องไปซื้อระบบจำลองการบินเพิ่ม สแกนตัวเอง ดูแลสุขภาพตัวเองได้ อะไรมีปัญหา อะไหล่ชิ้นไหนใกล้เสื่อม จึงมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
    .
    Gripen มีความพร้อมรบ ต้องการพื้นที่ลงจอดได้แม้แต่ถนนยาวไม่ถึ่งกิโล สามารถออกรบซ้ำได้ภายใน 10 นาที เพราะเติมเชื้อเพลิง-ติดอาวุธได้แบบสั้นๆ (ใช้คนติดตั้งได้แค่ 5 คน) ต้นทุนการบินต่อชั่วโมงก็ต่ำ เทียบกับ F-16 แล้ว ถูกกว่าเกือบครึ่ง
    .
    ณ ปัจจุบัน Gripen มีอยู่ที่ประเทศสวีเดนผู้ให้กำเนิด ทั้งหมด 156 ลำ รองมาคือบราซิล 36 ลำ แอฟริกาใต้ 26 ลำ ฮังการีและเช็ค 14 ลำ และต่อไป เราจะมีเป็นลำดับที่ 5 คือ 12 ลำ และเราคือประเทศแรกของโลกที่ได้นำออกไปใช้ในสถานการณ์จริง!
    .
    Gripen ของกองทัพอากาศไทย ปี 2008-2010 เราจัดซื้อ Gripen ทั้งหมดแล้ว 12 ลำ แต่เราได้ดีลจากบริษัท SAAB ด้วยการเสนอการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ และจะจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและอากาศยานให้ ซึ่งมีมูลค่าสูงมาก อีกทั้งยังจะมาลงทุนผลิตอะไหล่เพื่อขายให้กับประเทศอื่นได้ด้วย เราจึงได้ทั้งการลงทุน ความรู้ การจ้างงาน ซึ่งนับเป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท
    .
    ปี 2025 เราได้ทำการจัดซื้อล็อตใหม่ ซึ่งจะทยอยซื้อ ทยอยส่งมอบ เสร็จสิ้นในปี 2034 ทำให้ในปีนั้น เราจะมีฝูงบิน Gripen ถึง 24 ลำด้วยกัน!!!

    .
    CR:กองทัพอากาศไทยเครื่องบินขับไล่ Jas-39 Saab Gripen ทำการลงจอดและบินขึ้นจากถนนทางหลวงหมายเลข 4287 จังหวัดสงขลา 27 กุมภาพันธ์ 2568
    #RTAF
    🇹🇭ทำไมต้อง "Gripen" 🇸🇪 เครื่องบิน JAS Gripen ได้รับการรีวิวจริงไปแล้วครั้งแรกในโลกโดยประเทศไทยของเรานี่เอง รีวิวใส่กัมพูชาชนิดที่ว่า โลกเห็นแล้วต้องชื่นชมในศักยภาพ หลายคนรู้จัก F-16 ได้ยินชื่อนี้มานานหลายสิบปี แต่เพิ่งมาได้ยินชื่อ Gripen เมื่อไม่นานมานี้ และทำไมเราถึงใช้ Gripen ในภารกิจนี้ และวางแผนจะนำมาทดแทน F-16 มันดีกว่ายังไง? . 🇸🇪 🇸🇪 🇸🇪 ประวัติของ Gripen ประเทศสวีเดนคือผู้ให้กำเนิด Gripen ซึ่งถูกพัฒนามาจากปลายยุค 1970 หลังจากกองทัพอากาศสวีเดินเล็งเห็นว่า เครื่องบินรบรุ่นเก่าของสวีเดินเริ่มล้าสมัย สวีเดินจึงคิดผลิตเครื่องบินรุ่นใหม่ "ขึ้นมาเอง" เพราะไม่อยากพึ่งพาประเทศอื่นมากเกินไป ด้วยการก่อตั้งโครงการ "JAS" ในปี 1979 โครงการ JAS มาจากคำว่า J = (Jakt) ยัคต์ แปลว่า ขับไล่ A= (Attack) แอทแทค แปลว่าโจมตี และ S = Spaning (สแปนนิ่ง) แปลว่า ลาดตระเวน คือแนวคิดที่จะพัฒนาเครื่องบินรบล้ำสมัยล้ำยุค ที่ใช้เครื่องบินเพียง 1 ลำ แต่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ทั้ง 3 แบบในลำเดียว เที่ยวเดียวได้ ปี 1982 บริษัท SAAB ได้รับหน้าที่พัฒนาโครางการนี้ แต่เนื่องจากโปรเจคนี้ใหญ่มา และต้องการความเป็น "ที่สุด" จึงได้ระดมสมองร่วมกับอีกหลายบริษัท เข้ามาดูแลความเป็นที่สุดในด้านต่างๆ ได้แก่ บริษัท Ericsson เข้ามาช่วยพัฒนาระบบเรดาห์และการบิน บริษัท Volvo Aero เข้ามาช่วยปรับแต่งเครื่องยนตร์ และบริษัท FFV มาดูเรื่องระบบอาวุธและอุปกรณ์ทางการทหาร ปี 1988 เครื่องต้นแบบลำแรกสำเร็จ แต่เมื่อบินทดสอบกลับไม่สำเร็จจนพังไป หลังจากทดลองจนเสร็จสมบูรณ์แบบ Gripen ลำแรกก็พร้อมประจำการได้ในปี 1996 . 🇸🇪 🇸🇪 🇸🇪 ความสามารถอันเป็นที่สุดของ Gripen 🇸🇪 🇸🇪 🇸🇪 🇸🇪 ทำหน้าที่ได้ถึง 3 หน้าที่ใน 1 ลำ 1. เป็นเครื่องบินขับไล่ - ต่อสู้เครื่องบินศัตรูจากกลางอากาศได้ 2. เป็นเครื่องบินโจมตี - โจมตีภาคพื้นดิน ฐานทัพ บังเกอร์ รถถัง 3. เป็นเครื่องบินลาดตระเวณ สอดแนม - บินไปถ่ยาภาพและสอดแนมตำแหน่งศัตรูได้ . * ปกติเครื่องบินรบ 1 หน้าที่จะแยกเป็น 1 ลำไป แต่ Gripen สามารถปฏิบัติภารกิจได้ต่อเนื่อง เป็น Swing-Role อย่างเช่น ลาดตระเวณอยู่ แต่เจอศัตรู ก็เปลี่ยนเป็นโหมดต่อสู้ทางอากาศได้ และสลับไปสอดแนมต่อก็ยังได้ในการบินเที่ยวเดียว หรือจะสลับทำทั้ง 3 หน้าที่คือไปสอดแนม โจมตีศัตรูบนอากาศ และพื้นดินก็ยังได้ . 🇸🇪 มีระบบ "TIDLS" อันทันสมัย สามารถเชื่อมต่อข้อมูลกัน ทุกลำเหมือนมี "ตาเดียวกัน" ทำให้ทุกลำโจมตีได้ร่วมกัน เช่น ลำนี้ตรวจเจอศัตรูแต่มุมยิงไม่ได้ ก็ให้อีกลำยิงแทน และตรวจจับศัตรูได้หลากหลายเป้าหมาย แม้ในสภาพอากาศไม่เป็นใจเช่นมีหมอก มีพายุ มีฝุ่น . 🇸🇪 มีระบบ EW คือระบบป้องกันตัวเอง สามารถรู้ได้ว่าเรดาห์ศัตรูตรวจเจอก็จะแจ้งเตือน หรือเมื่อถูกโจมตีด้วยมิซไซล์ ก็จะแจ้งเตือน มีการยิงเป้าหลอก แท่งความร้อนหลอกมิซไซล์ รวมถึงมีระบบส่งคลื่นสัญญาณรบกวน ทั้งหมดนี้ ยังสามารถเชื่อมระบบการโจมตีร่วมกับกองทัพเรือและกองทัพบกได้ด้วย . 🇸🇪 มีระบบ AI ช่วยการตัดสินใจให้นักบิน เพราะเวลารบ นักบินต้องตัดสินใจรวดเร็วมากในขณะที่ยังต้องควบคุมการบินและวิเคราะห์การรบ แต่ Gripen มี Mission Computer ที่จะรวบรวมระบบจากทุกลำมาตัดสินใจการรบแทนให้ มันวิเคราะห์สถานการณ์แบบ Realime ได้ เช่น จะเลือกล็อคเป้าเป้าหมายที่เหมาะสมที่สุดให้โจมตีก่อน มีหน้าจอขนาดใหญ่ แสดงถึงการโจมตี เส้นทางการหลบหนี ตำแหน่งของเพื่อนร่วมฝูง ทำให้นักบินเข้าใจได้ทันทีไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรมาก Gripen คิดให้หมดและคิดเป็นทีม . 🇸🇪 Gripen มีความยืดหยุ่นที่จะ Upgrade เครื่องได้หลากหลาย ทำให้ไม่ตกยุค สามารถปรับแต่งระบบต่างๆ ได้ตลอด เช่น อัพเกรดให้เชื่อมต่อกับเรือรบในระบบอื่นได้ มีระบบฝึกการบินภายในตัวเครื่องเองโดยไม่ต้องบินขึ้น ไม่ต้องไปซื้อระบบจำลองการบินเพิ่ม สแกนตัวเอง ดูแลสุขภาพตัวเองได้ อะไรมีปัญหา อะไหล่ชิ้นไหนใกล้เสื่อม จึงมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน . 🇸🇪 Gripen มีความพร้อมรบ ต้องการพื้นที่ลงจอดได้แม้แต่ถนนยาวไม่ถึ่งกิโล สามารถออกรบซ้ำได้ภายใน 10 นาที เพราะเติมเชื้อเพลิง-ติดอาวุธได้แบบสั้นๆ (ใช้คนติดตั้งได้แค่ 5 คน) ต้นทุนการบินต่อชั่วโมงก็ต่ำ เทียบกับ F-16 แล้ว ถูกกว่าเกือบครึ่ง . 🇸🇪 ณ ปัจจุบัน Gripen มีอยู่ที่ประเทศสวีเดนผู้ให้กำเนิด ทั้งหมด 156 ลำ รองมาคือบราซิล 36 ลำ แอฟริกาใต้ 26 ลำ ฮังการีและเช็ค 14 ลำ และต่อไป เราจะมีเป็นลำดับที่ 5 คือ 12 ลำ และเราคือประเทศแรกของโลกที่ได้นำออกไปใช้ในสถานการณ์จริง! . 🇸🇪 Gripen ของกองทัพอากาศไทย ปี 2008-2010 เราจัดซื้อ Gripen ทั้งหมดแล้ว 12 ลำ แต่เราได้ดีลจากบริษัท SAAB ด้วยการเสนอการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ และจะจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและอากาศยานให้ ซึ่งมีมูลค่าสูงมาก อีกทั้งยังจะมาลงทุนผลิตอะไหล่เพื่อขายให้กับประเทศอื่นได้ด้วย เราจึงได้ทั้งการลงทุน ความรู้ การจ้างงาน ซึ่งนับเป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท . 🇸🇪 ปี 2025 เราได้ทำการจัดซื้อล็อตใหม่ ซึ่งจะทยอยซื้อ ทยอยส่งมอบ เสร็จสิ้นในปี 2034 ทำให้ในปีนั้น เราจะมีฝูงบิน Gripen ถึง 24 ลำด้วยกัน!!! . CR:กองทัพอากาศไทยเครื่องบินขับไล่ Jas-39 Saab Gripen ทำการลงจอดและบินขึ้นจากถนนทางหลวงหมายเลข 4287 จังหวัดสงขลา 27 กุมภาพันธ์ 2568 #RTAF
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 477 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อวัสดุควอนตัมเปลี่ยนโลก—จากซิลิคอนสู่ยุคแห่งแสงและความเร็วระดับเทระเฮิรตซ์

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Northeastern ได้ค้นพบวิธีควบคุมพฤติกรรมของวัสดุควอนตัมชื่อว่า 1T-TaS₂ ซึ่งเป็นคริสตัลประเภท transition metal dichalcogenide โดยใช้เทคนิค “thermal quenching” หรือการควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำผ่านการให้ความร้อนและทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็ว

    เดิมทีวัสดุนี้จะแสดงสถานะโลหะพิเศษเฉพาะเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่เย็นจัดเท่านั้น แต่ทีมวิจัยสามารถทำให้สถานะนี้คงอยู่ได้ที่อุณหภูมิใกล้เคียงกับอุณหภูมิห้อง และยังคงเสถียรได้นานหลายเดือน ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้สถานะนี้จะอยู่ได้เพียงเสี้ยววินาที

    สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ พวกเขาใช้ “แสง” เพื่อควบคุมการเปลี่ยนแปลงของวัสดุ—ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดที่ฟิสิกส์อนุญาตให้เกิดขึ้นได้ การควบคุมนี้คล้ายกับการทำงานของทรานซิสเตอร์ แต่ไม่ต้องใช้วัสดุหลายชนิดหรืออินเทอร์เฟซซับซ้อนอีกต่อไป

    ผลลัพธ์คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงานได้เร็วขึ้นถึงระดับ “เทระเฮิรตซ์” แทนที่จะเป็น “กิกะเฮิรตซ์” แบบที่เราใช้กันในปัจจุบัน และยังใช้พื้นที่น้อยลงอย่างมหาศาล ซึ่งเหมาะกับยุคที่ชิปต้องถูกซ้อนกันในแนวตั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    วัสดุควอนตัม 1T-TaS₂ สามารถเปลี่ยนสถานะจากฉนวนเป็นตัวนำไฟฟ้าได้ตามอุณหภูมิ
    ใช้เทคนิค thermal quenching เพื่อควบคุมสถานะ
    สถานะโลหะที่เคยเกิดเฉพาะในอุณหภูมิต่ำมาก ตอนนี้เกิดได้ใกล้ระดับห้อง

    สถานะโลหะที่ซ่อนอยู่ (hidden metallic state) สามารถคงอยู่ได้นานหลายเดือน
    ก่อนหน้านี้อยู่ได้เพียงเสี้ยววินาที
    ทำให้มีโอกาสนำไปใช้ในอุปกรณ์จริงได้

    การควบคุมวัสดุด้วยแสงเป็นวิธีที่เร็วที่สุดตามหลักฟิสิกส์
    ไม่ต้องใช้หลายวัสดุหรืออินเทอร์เฟซซับซ้อน
    ลดขนาดและความซับซ้อนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

    สามารถเพิ่มความเร็วของโปรเซสเซอร์จากระดับกิกะเฮิรตซ์เป็นเทระเฮิรตซ์
    เร็วขึ้นถึง 1000 เท่า
    เหมาะกับการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล

    การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในของวัสดุทำให้เกิดการขยายเซลล์ผลึกในบางทิศทาง
    ใช้เทคนิค X-ray mapping และ scanning tunneling spectroscopy
    พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงสมมาตรของ mirror symmetry ภายในวัสดุ

    วัสดุนี้สามารถใช้แทนซิลิคอนในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้
    เหมาะกับการออกแบบชิปแบบ 3D ที่มีพื้นที่จำกัด
    เป็นทางเลือกใหม่ในยุคที่ซิลิคอนเริ่มถึงขีดจำกัด

    เทคนิค thermal quenching ต้องควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำและรวดเร็ว
    หากเร็วเกินไป อาจทำให้สถานะควอนตัมล่มสลาย
    ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

    สถานะโลหะที่ซ่อนอยู่ยังไม่สามารถนำไปใช้ในอุปกรณ์ทั่วไปได้ทันที
    ต้องผ่านการทดลองเพิ่มเติมเพื่อความเสถียรในสภาพใช้งานจริง
    ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตในระดับอุตสาหกรรม

    การเปลี่ยนจากซิลิคอนไปสู่วัสดุควอนตัมต้องเปลี่ยนแนวคิดการออกแบบชิปทั้งหมด
    วิศวกรต้องเรียนรู้การควบคุมวัสดุใหม่
    ต้องมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างมาก

    วัสดุ 1T-TaS₂ มีโครงสร้างแบบ van der Waals ที่เหมาะกับการสร้างชิปแบบบางเฉียบ
    สามารถซ้อนกันได้โดยไม่เสียคุณสมบัติ
    เหมาะกับการออกแบบอุปกรณ์พกพาและ IoT

    สถานะ CDW (charge density wave) มีหลายรูปแบบและสามารถควบคุมได้ด้วยแสงและอุณหภูมิ
    มีทั้งแบบ commensurate และ hidden metallic
    การควบคุม CDW เป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนสถานะของวัสดุ

    การใช้วัสดุควอนตัมเป็นอีกทางเลือกนอกเหนือจากการพัฒนา quantum computing
    ไม่ต้องใช้ qubit แต่ยังได้ความเร็วระดับควอนตัม
    เหมาะกับการใช้งานทั่วไปที่ต้องการความเร็วสูง

    https://www.neowin.net/news/the-fastest-thing-known-to-man-is-all-set-to-make-your-pcs--phones-1000-times-faster/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อวัสดุควอนตัมเปลี่ยนโลก—จากซิลิคอนสู่ยุคแห่งแสงและความเร็วระดับเทระเฮิรตซ์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Northeastern ได้ค้นพบวิธีควบคุมพฤติกรรมของวัสดุควอนตัมชื่อว่า 1T-TaS₂ ซึ่งเป็นคริสตัลประเภท transition metal dichalcogenide โดยใช้เทคนิค “thermal quenching” หรือการควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำผ่านการให้ความร้อนและทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็ว เดิมทีวัสดุนี้จะแสดงสถานะโลหะพิเศษเฉพาะเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่เย็นจัดเท่านั้น แต่ทีมวิจัยสามารถทำให้สถานะนี้คงอยู่ได้ที่อุณหภูมิใกล้เคียงกับอุณหภูมิห้อง และยังคงเสถียรได้นานหลายเดือน ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้สถานะนี้จะอยู่ได้เพียงเสี้ยววินาที สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ พวกเขาใช้ “แสง” เพื่อควบคุมการเปลี่ยนแปลงของวัสดุ—ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดที่ฟิสิกส์อนุญาตให้เกิดขึ้นได้ การควบคุมนี้คล้ายกับการทำงานของทรานซิสเตอร์ แต่ไม่ต้องใช้วัสดุหลายชนิดหรืออินเทอร์เฟซซับซ้อนอีกต่อไป ผลลัพธ์คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงานได้เร็วขึ้นถึงระดับ “เทระเฮิรตซ์” แทนที่จะเป็น “กิกะเฮิรตซ์” แบบที่เราใช้กันในปัจจุบัน และยังใช้พื้นที่น้อยลงอย่างมหาศาล ซึ่งเหมาะกับยุคที่ชิปต้องถูกซ้อนกันในแนวตั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ วัสดุควอนตัม 1T-TaS₂ สามารถเปลี่ยนสถานะจากฉนวนเป็นตัวนำไฟฟ้าได้ตามอุณหภูมิ ➡️ ใช้เทคนิค thermal quenching เพื่อควบคุมสถานะ ➡️ สถานะโลหะที่เคยเกิดเฉพาะในอุณหภูมิต่ำมาก ตอนนี้เกิดได้ใกล้ระดับห้อง ✅ สถานะโลหะที่ซ่อนอยู่ (hidden metallic state) สามารถคงอยู่ได้นานหลายเดือน ➡️ ก่อนหน้านี้อยู่ได้เพียงเสี้ยววินาที ➡️ ทำให้มีโอกาสนำไปใช้ในอุปกรณ์จริงได้ ✅ การควบคุมวัสดุด้วยแสงเป็นวิธีที่เร็วที่สุดตามหลักฟิสิกส์ ➡️ ไม่ต้องใช้หลายวัสดุหรืออินเทอร์เฟซซับซ้อน ➡️ ลดขนาดและความซับซ้อนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ✅ สามารถเพิ่มความเร็วของโปรเซสเซอร์จากระดับกิกะเฮิรตซ์เป็นเทระเฮิรตซ์ ➡️ เร็วขึ้นถึง 1000 เท่า ➡️ เหมาะกับการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล ✅ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในของวัสดุทำให้เกิดการขยายเซลล์ผลึกในบางทิศทาง ➡️ ใช้เทคนิค X-ray mapping และ scanning tunneling spectroscopy ➡️ พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงสมมาตรของ mirror symmetry ภายในวัสดุ ✅ วัสดุนี้สามารถใช้แทนซิลิคอนในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้ ➡️ เหมาะกับการออกแบบชิปแบบ 3D ที่มีพื้นที่จำกัด ➡️ เป็นทางเลือกใหม่ในยุคที่ซิลิคอนเริ่มถึงขีดจำกัด ‼️ เทคนิค thermal quenching ต้องควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำและรวดเร็ว ⛔ หากเร็วเกินไป อาจทำให้สถานะควอนตัมล่มสลาย ⛔ ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ‼️ สถานะโลหะที่ซ่อนอยู่ยังไม่สามารถนำไปใช้ในอุปกรณ์ทั่วไปได้ทันที ⛔ ต้องผ่านการทดลองเพิ่มเติมเพื่อความเสถียรในสภาพใช้งานจริง ⛔ ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตในระดับอุตสาหกรรม ‼️ การเปลี่ยนจากซิลิคอนไปสู่วัสดุควอนตัมต้องเปลี่ยนแนวคิดการออกแบบชิปทั้งหมด ⛔ วิศวกรต้องเรียนรู้การควบคุมวัสดุใหม่ ⛔ ต้องมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างมาก ✅ วัสดุ 1T-TaS₂ มีโครงสร้างแบบ van der Waals ที่เหมาะกับการสร้างชิปแบบบางเฉียบ ➡️ สามารถซ้อนกันได้โดยไม่เสียคุณสมบัติ ➡️ เหมาะกับการออกแบบอุปกรณ์พกพาและ IoT ✅ สถานะ CDW (charge density wave) มีหลายรูปแบบและสามารถควบคุมได้ด้วยแสงและอุณหภูมิ ➡️ มีทั้งแบบ commensurate และ hidden metallic ➡️ การควบคุม CDW เป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนสถานะของวัสดุ ✅ การใช้วัสดุควอนตัมเป็นอีกทางเลือกนอกเหนือจากการพัฒนา quantum computing ➡️ ไม่ต้องใช้ qubit แต่ยังได้ความเร็วระดับควอนตัม ➡️ เหมาะกับการใช้งานทั่วไปที่ต้องการความเร็วสูง https://www.neowin.net/news/the-fastest-thing-known-to-man-is-all-set-to-make-your-pcs--phones-1000-times-faster/
    WWW.NEOWIN.NET
    The fastest thing known to man is all set to make your PCs & phones "1000 times faster"
    Researchers unveil a quantum switch activated by the fastest thing known to man, potentially revolutionizing computing as it promises to be "1000 times faster."
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: นักวิจัย AI กับค่าตัวระดับ NBA—เมื่อสมองกลายเป็นสินทรัพย์ที่แพงที่สุดในโลก

    Matt Deitke นักวิจัย AI วัย 24 ปี ได้รับข้อเสนอจาก Mark Zuckerberg ให้เข้าร่วมทีมวิจัย “superintelligence” ของ Meta ด้วยค่าตอบแทนสูงถึง 250 ล้านดอลลาร์ใน 4 ปี—มากกว่าสัญญาของ Steph Curry กับทีม Golden State Warriors เสียอีก

    นี่ไม่ใช่กรณีเดียว เพราะบริษัทใหญ่อย่าง Meta, Google, Microsoft และ OpenAI กำลังแข่งขันกันดึงตัวนักวิจัย AI ด้วยข้อเสนอระดับ “ไม่มีเพดานเงินเดือน” พร้อมโบนัส, หุ้น, และสิทธิพิเศษที่ฟังดูเหมือนการจีบซูเปอร์สตาร์กีฬา

    การแย่งชิงนี้เกิดจากความขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ด้าน deep learning และการสร้างระบบ AI ขั้นสูง ซึ่งต้องใช้ทั้งประสบการณ์และทรัพยากรคอมพิวเตอร์มหาศาลที่มีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้น

    Matt Deitke ได้รับข้อเสนอจาก Meta มูลค่า 250 ล้านดอลลาร์ใน 4 ปี เพื่อร่วมทีมวิจัย AI
    มีเงินสดถึง 100 ล้านดอลลาร์จ่ายในปีแรก
    ข้อเสนอถูกเปรียบเทียบว่าแพงกว่าสัญญานักบาส NBA

    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังแข่งขันกันดึงตัวนักวิจัย AI ด้วยข้อเสนอระดับร้อยล้านดอลลาร์
    ไม่มีเพดานเงินเดือนเหมือนทีมกีฬา
    ใช้กลยุทธ์แบบ “เจ้าของทีม” เพื่อจีบผู้มีพรสวรรค์

    การแย่งชิงบุคลากร AI กลายเป็นปรากฏการณ์บนโซเชียลมีเดีย คล้ายช่วงซื้อขายนักกีฬา
    มีการโพสต์กราฟิกแนว ESPN เพื่อประกาศการ “ย้ายทีม”
    ผู้คนติดตามการย้ายงานของนักวิจัยเหมือนติดตามกีฬา

    นักวิจัย AI รุ่นใหม่ใช้ “เอเจนต์” และทีมที่ปรึกษาในการต่อรองค่าตอบแทน
    คล้ายกับนักกีฬาอาชีพที่มีทีมดูแลสัญญา
    มีการวางแผนกลยุทธ์เพื่อให้ได้ข้อเสนอสูงสุด

    ความขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญ AI ขั้นสูงเป็นแรงผลักดันให้ค่าตอบแทนพุ่งสูง
    ระบบ AI ต้องใช้ข้อมูลมหาศาลและทรัพยากรคอมพิวเตอร์ระดับสูง
    มีเพียงไม่กี่คนที่มีประสบการณ์กับระบบระดับนี้

    นักวิจัย AI ระดับสูงใน OpenAI และ Google ได้รับค่าตอบแทนเฉลี่ย 10–20 ล้านดอลลาร์ต่อปี
    รวมโบนัส, หุ้น, และสิทธิพิเศษ
    บางรายได้รับเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวเพื่อเจรจาสัญญา

    การเปิดตัว ChatGPT ในปี 2022 เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตลาดแรงงาน AI พุ่งทะยาน
    บริษัทต่าง ๆ เร่งลงทุนเพื่อเป็นผู้นำด้าน AI
    ทำให้ความต้องการบุคลากรเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด

    บางนักวิจัยเลือกปฏิเสธข้อเสนอใหญ่เพื่อสร้างสตาร์ทอัพของตัวเอง
    ต้องการอิสระในการวิจัยและพัฒนา
    มองว่าการสร้างนวัตกรรมต้องเริ่มจากความเชื่อ ไม่ใช่เงิน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/02/ai-researchers-are-negotiating-us250mil-pay-packages-just-like-nba-stars
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: นักวิจัย AI กับค่าตัวระดับ NBA—เมื่อสมองกลายเป็นสินทรัพย์ที่แพงที่สุดในโลก Matt Deitke นักวิจัย AI วัย 24 ปี ได้รับข้อเสนอจาก Mark Zuckerberg ให้เข้าร่วมทีมวิจัย “superintelligence” ของ Meta ด้วยค่าตอบแทนสูงถึง 250 ล้านดอลลาร์ใน 4 ปี—มากกว่าสัญญาของ Steph Curry กับทีม Golden State Warriors เสียอีก นี่ไม่ใช่กรณีเดียว เพราะบริษัทใหญ่อย่าง Meta, Google, Microsoft และ OpenAI กำลังแข่งขันกันดึงตัวนักวิจัย AI ด้วยข้อเสนอระดับ “ไม่มีเพดานเงินเดือน” พร้อมโบนัส, หุ้น, และสิทธิพิเศษที่ฟังดูเหมือนการจีบซูเปอร์สตาร์กีฬา การแย่งชิงนี้เกิดจากความขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ด้าน deep learning และการสร้างระบบ AI ขั้นสูง ซึ่งต้องใช้ทั้งประสบการณ์และทรัพยากรคอมพิวเตอร์มหาศาลที่มีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้น ✅ Matt Deitke ได้รับข้อเสนอจาก Meta มูลค่า 250 ล้านดอลลาร์ใน 4 ปี เพื่อร่วมทีมวิจัย AI ➡️ มีเงินสดถึง 100 ล้านดอลลาร์จ่ายในปีแรก ➡️ ข้อเสนอถูกเปรียบเทียบว่าแพงกว่าสัญญานักบาส NBA ✅ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังแข่งขันกันดึงตัวนักวิจัย AI ด้วยข้อเสนอระดับร้อยล้านดอลลาร์ ➡️ ไม่มีเพดานเงินเดือนเหมือนทีมกีฬา ➡️ ใช้กลยุทธ์แบบ “เจ้าของทีม” เพื่อจีบผู้มีพรสวรรค์ ✅ การแย่งชิงบุคลากร AI กลายเป็นปรากฏการณ์บนโซเชียลมีเดีย คล้ายช่วงซื้อขายนักกีฬา ➡️ มีการโพสต์กราฟิกแนว ESPN เพื่อประกาศการ “ย้ายทีม” ➡️ ผู้คนติดตามการย้ายงานของนักวิจัยเหมือนติดตามกีฬา ✅ นักวิจัย AI รุ่นใหม่ใช้ “เอเจนต์” และทีมที่ปรึกษาในการต่อรองค่าตอบแทน ➡️ คล้ายกับนักกีฬาอาชีพที่มีทีมดูแลสัญญา ➡️ มีการวางแผนกลยุทธ์เพื่อให้ได้ข้อเสนอสูงสุด ✅ ความขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญ AI ขั้นสูงเป็นแรงผลักดันให้ค่าตอบแทนพุ่งสูง ➡️ ระบบ AI ต้องใช้ข้อมูลมหาศาลและทรัพยากรคอมพิวเตอร์ระดับสูง ➡️ มีเพียงไม่กี่คนที่มีประสบการณ์กับระบบระดับนี้ ✅ นักวิจัย AI ระดับสูงใน OpenAI และ Google ได้รับค่าตอบแทนเฉลี่ย 10–20 ล้านดอลลาร์ต่อปี ➡️ รวมโบนัส, หุ้น, และสิทธิพิเศษ ➡️ บางรายได้รับเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวเพื่อเจรจาสัญญา ✅ การเปิดตัว ChatGPT ในปี 2022 เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตลาดแรงงาน AI พุ่งทะยาน ➡️ บริษัทต่าง ๆ เร่งลงทุนเพื่อเป็นผู้นำด้าน AI ➡️ ทำให้ความต้องการบุคลากรเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ✅ บางนักวิจัยเลือกปฏิเสธข้อเสนอใหญ่เพื่อสร้างสตาร์ทอัพของตัวเอง ➡️ ต้องการอิสระในการวิจัยและพัฒนา ➡️ มองว่าการสร้างนวัตกรรมต้องเริ่มจากความเชื่อ ไม่ใช่เงิน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/02/ai-researchers-are-negotiating-us250mil-pay-packages-just-like-nba-stars
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI researchers are negotiating US$250mil pay packages. Just like NBA stars
    They have been aided by scarcity: Only a small pool of people have the technical know-how and experience to work on advanced artificial intelligence systems.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
  • การพัฒนาอินเทอร์เน็ต: จากสายทองแดงสู่ใยแก้ว และไปไกลถึงอวกาศ

    ในยุคปัจจุบันที่โลกเชื่อมต่อกันอย่างแนบแน่น การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร การทำงาน การเรียนรู้ หรือการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร อินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์ในทุกมิติ แต่การเดินทางของเทคโนโลยีนี้ไม่ได้เริ่มต้นจากความล้ำสมัย หากแต่เริ่มจากโครงสร้างพื้นฐานพื้นฐานอย่างสายทองแดง ก่อนจะพัฒนาไปสู่ใยแก้วนำแสง และก้าวข้ามพรมแดนทางภูมิศาสตร์ด้วยอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม

    จุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ตย้อนกลับไปในปี 1969 เมื่อกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาโครงการ ARPANET ซึ่งเป็นเครือข่ายแรกที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์จากหลายสถาบันเข้าด้วยกัน โดยใช้สายโทรศัพท์ทองแดงเป็นโครงข่ายหลัก ความก้าวหน้านี้ได้ปูทางสู่การพัฒนาระบบการสื่อสารผ่านแนวคิดการสลับแพ็กเก็ต ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้ข้อมูลสามารถเดินทางผ่านเครือข่ายได้อย่างยืดหยุ่นและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม สายทองแดงเองก็มีข้อจำกัดมากมาย ทั้งในเรื่องของระยะทาง ความเร็ว และความไวต่อสัญญาณรบกวน

    ในช่วงทศวรรษที่ 1990 การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Dial-up ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยอาศัยสายโทรศัพท์ทองแดงร่วมกับโมเด็ม ซึ่งทำหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นอนาล็อก และในทางกลับกัน แม้ว่าจะเป็นการเปิดประตูให้ประชาชนทั่วไปได้สัมผัสกับโลกออนไลน์ แต่ Dial-up ก็เต็มไปด้วยข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นความเร็วที่ต่ำ การผูกขาดสายโทรศัพท์ระหว่างการใช้งาน หรือการหลุดสัญญาณอย่างสม่ำเสมอ ต่อมาจึงเกิดการพัฒนาเทคโนโลยี DSL (Digital Subscriber Line) ซึ่งสามารถใช้งานโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตได้พร้อมกันบนสายทองแดงเส้นเดียวกัน และให้ความเร็วสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด แม้จะยังอยู่บนโครงข่ายเดิม DSL ก็ช่วยยืดอายุของโครงสร้างพื้นฐานสายทองแดงออกไปได้อีกระยะหนึ่ง

    อย่างไรก็ดี พลังของสายทองแดงมีขีดจำกัดทั้งในเชิงฟิสิกส์และเศรษฐศาสตร์ ปริมาณข้อมูลที่สามารถรับส่งได้ต่อวินาทีนั้นมีข้อจำกัดจากระยะทาง ความต้านทาน และความถี่ของสัญญาณ การพยายามเพิ่มความเร็วผ่านสายทองแดงจึงต้องเผชิญกับปัญหาการลดทอนของสัญญาณ และความเสี่ยงต่อการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารอบข้างมากขึ้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณของโลกในยุคดิจิทัล

    การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจึงเกิดขึ้น ด้วยการหันมาใช้ใยแก้วนำแสงเป็นสื่อกลางในการส่งข้อมูล ใยแก้วนำแสงใช้พลังงานแสงแทนกระแสไฟฟ้า จึงสามารถส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงมาก มีแบนด์วิดท์กว้าง และไม่ไวต่อคลื่นรบกวนภายนอก หลักการทำงานของใยแก้วนำแสงอาศัยปรากฏการณ์สะท้อนกลับหมด (Total Internal Reflection) ที่ทำให้แสงสามารถวิ่งผ่านเส้นใยแก้วได้ในระยะไกลโดยไม่สูญเสียพลังงานมากนัก ใยแก้วนำแสงไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อ แต่ยังเพิ่มความปลอดภัย และลดต้นทุนในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ

    ประโยชน์ของใยแก้วนำแสงเห็นได้ชัดในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการสตรีมวิดีโอความละเอียดสูง การประชุมทางไกล การเรียนรู้ออนไลน์ หรือแม้แต่การเล่นเกมผ่านคลาวด์ ความเร็วที่สูงและความเสถียรของเครือข่ายช่วยให้บริการเหล่านี้ทำงานได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโต และเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนานวัตกรรมและบริการที่อาศัยการรับส่งข้อมูลจำนวนมากแบบเรียลไทม์

    แม้ว่าใยแก้วนำแสงจะเป็นโซลูชันที่ดูจะ “พร้อมสำหรับอนาคต” แต่ในทางปฏิบัติ การติดตั้งโครงข่ายนี้ยังคงเผชิญกับความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะปัญหาในช่วง Last Mile หรือการเชื่อมโยงใยแก้วนำแสงจากสายหลักเข้าสู่บ้านและธุรกิจแต่ละหลัง ซึ่งมักมีต้นทุนสูง ใช้แรงงานผู้เชี่ยวชาญ และต้องอาศัยการวางแผนโครงข่ายอย่างรอบคอบ ความซับซ้อนนี้ทำให้ชุมชนชนบทหรือพื้นที่ห่างไกลถูกมองข้าม จนนำไปสู่ “ช่องว่างทางดิจิทัล” ที่ยังคงปรากฏอยู่ในหลายภูมิภาค

    เพื่อเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมได้ถูกพัฒนาขึ้น โดยเฉพาะดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) อย่าง Starlink ที่ให้เวลาแฝงต่ำและความเร็วสูงกว่าเทคโนโลยีดาวเทียมรุ่นก่อน แม้จะมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและความไวต่อสภาพอากาศ แต่การเข้าถึงที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ของดาวเทียมได้สร้างความหวังใหม่สำหรับประชากรที่เคยอยู่นอกขอบเขตของโครงสร้างพื้นฐานแบบมีสาย

    อนาคตของการเชื่อมต่อไม่ได้หยุดอยู่แค่ใยแก้วนำแสงหรือดาวเทียม ปัจจุบันมีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีล้ำหน้า เช่น Wavelength Division Multiplexing (WDM) ที่ช่วยให้สามารถส่งข้อมูลหลายชุดพร้อมกันในเส้นใยเส้นเดียว หรือ Hollow Core Fiber ที่นำแสงวิ่งผ่านอากาศแทนแกนแก้ว เพิ่มความเร็วและลดเวลาแฝง นอกจากนี้ยังมีแนวคิดอินเทอร์เน็ตควอนตัม (Quantum Internet) ที่ใช้หลักกลศาสตร์ควอนตัมในการสร้างระบบเครือข่ายที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

    สรุปได้ว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลก อินเทอร์เน็ตที่เร็วขึ้นและเชื่อถือได้มากขึ้น หมายถึงโอกาสที่เปิดกว้างมากขึ้นเช่นกัน การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยั่งยืนจึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นสำหรับอนาคตที่เชื่อมโยงกันมากยิ่งขึ้นในทุกมิติ

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    🌐 การพัฒนาอินเทอร์เน็ต: จากสายทองแดงสู่ใยแก้ว และไปไกลถึงอวกาศ 🌏 ในยุคปัจจุบันที่โลกเชื่อมต่อกันอย่างแนบแน่น การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร การทำงาน การเรียนรู้ หรือการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร อินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์ในทุกมิติ แต่การเดินทางของเทคโนโลยีนี้ไม่ได้เริ่มต้นจากความล้ำสมัย หากแต่เริ่มจากโครงสร้างพื้นฐานพื้นฐานอย่างสายทองแดง ก่อนจะพัฒนาไปสู่ใยแก้วนำแสง และก้าวข้ามพรมแดนทางภูมิศาสตร์ด้วยอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม 📞 จุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ตย้อนกลับไปในปี 1969 เมื่อกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาโครงการ ARPANET ซึ่งเป็นเครือข่ายแรกที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์จากหลายสถาบันเข้าด้วยกัน โดยใช้สายโทรศัพท์ทองแดงเป็นโครงข่ายหลัก ความก้าวหน้านี้ได้ปูทางสู่การพัฒนาระบบการสื่อสารผ่านแนวคิดการสลับแพ็กเก็ต ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้ข้อมูลสามารถเดินทางผ่านเครือข่ายได้อย่างยืดหยุ่นและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม สายทองแดงเองก็มีข้อจำกัดมากมาย ทั้งในเรื่องของระยะทาง ความเร็ว และความไวต่อสัญญาณรบกวน 🧭 ในช่วงทศวรรษที่ 1990 การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Dial-up ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยอาศัยสายโทรศัพท์ทองแดงร่วมกับโมเด็ม ซึ่งทำหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นอนาล็อก และในทางกลับกัน แม้ว่าจะเป็นการเปิดประตูให้ประชาชนทั่วไปได้สัมผัสกับโลกออนไลน์ แต่ Dial-up ก็เต็มไปด้วยข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นความเร็วที่ต่ำ การผูกขาดสายโทรศัพท์ระหว่างการใช้งาน หรือการหลุดสัญญาณอย่างสม่ำเสมอ ต่อมาจึงเกิดการพัฒนาเทคโนโลยี DSL (Digital Subscriber Line) ซึ่งสามารถใช้งานโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตได้พร้อมกันบนสายทองแดงเส้นเดียวกัน และให้ความเร็วสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด แม้จะยังอยู่บนโครงข่ายเดิม DSL ก็ช่วยยืดอายุของโครงสร้างพื้นฐานสายทองแดงออกไปได้อีกระยะหนึ่ง ⚠️ อย่างไรก็ดี พลังของสายทองแดงมีขีดจำกัดทั้งในเชิงฟิสิกส์และเศรษฐศาสตร์ ปริมาณข้อมูลที่สามารถรับส่งได้ต่อวินาทีนั้นมีข้อจำกัดจากระยะทาง ความต้านทาน และความถี่ของสัญญาณ การพยายามเพิ่มความเร็วผ่านสายทองแดงจึงต้องเผชิญกับปัญหาการลดทอนของสัญญาณ และความเสี่ยงต่อการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารอบข้างมากขึ้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณของโลกในยุคดิจิทัล 💡 การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจึงเกิดขึ้น ด้วยการหันมาใช้ใยแก้วนำแสงเป็นสื่อกลางในการส่งข้อมูล ใยแก้วนำแสงใช้พลังงานแสงแทนกระแสไฟฟ้า จึงสามารถส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงมาก มีแบนด์วิดท์กว้าง และไม่ไวต่อคลื่นรบกวนภายนอก หลักการทำงานของใยแก้วนำแสงอาศัยปรากฏการณ์สะท้อนกลับหมด (Total Internal Reflection) ที่ทำให้แสงสามารถวิ่งผ่านเส้นใยแก้วได้ในระยะไกลโดยไม่สูญเสียพลังงานมากนัก ใยแก้วนำแสงไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อ แต่ยังเพิ่มความปลอดภัย และลดต้นทุนในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ 📺 ประโยชน์ของใยแก้วนำแสงเห็นได้ชัดในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการสตรีมวิดีโอความละเอียดสูง การประชุมทางไกล การเรียนรู้ออนไลน์ หรือแม้แต่การเล่นเกมผ่านคลาวด์ ความเร็วที่สูงและความเสถียรของเครือข่ายช่วยให้บริการเหล่านี้ทำงานได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโต และเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนานวัตกรรมและบริการที่อาศัยการรับส่งข้อมูลจำนวนมากแบบเรียลไทม์ 🚧 แม้ว่าใยแก้วนำแสงจะเป็นโซลูชันที่ดูจะ “พร้อมสำหรับอนาคต” แต่ในทางปฏิบัติ การติดตั้งโครงข่ายนี้ยังคงเผชิญกับความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะปัญหาในช่วง Last Mile หรือการเชื่อมโยงใยแก้วนำแสงจากสายหลักเข้าสู่บ้านและธุรกิจแต่ละหลัง ซึ่งมักมีต้นทุนสูง ใช้แรงงานผู้เชี่ยวชาญ และต้องอาศัยการวางแผนโครงข่ายอย่างรอบคอบ ความซับซ้อนนี้ทำให้ชุมชนชนบทหรือพื้นที่ห่างไกลถูกมองข้าม จนนำไปสู่ “ช่องว่างทางดิจิทัล” ที่ยังคงปรากฏอยู่ในหลายภูมิภาค 🛰️ เพื่อเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมได้ถูกพัฒนาขึ้น โดยเฉพาะดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) อย่าง Starlink ที่ให้เวลาแฝงต่ำและความเร็วสูงกว่าเทคโนโลยีดาวเทียมรุ่นก่อน แม้จะมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและความไวต่อสภาพอากาศ แต่การเข้าถึงที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ของดาวเทียมได้สร้างความหวังใหม่สำหรับประชากรที่เคยอยู่นอกขอบเขตของโครงสร้างพื้นฐานแบบมีสาย 🔭 อนาคตของการเชื่อมต่อไม่ได้หยุดอยู่แค่ใยแก้วนำแสงหรือดาวเทียม ปัจจุบันมีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีล้ำหน้า เช่น Wavelength Division Multiplexing (WDM) ที่ช่วยให้สามารถส่งข้อมูลหลายชุดพร้อมกันในเส้นใยเส้นเดียว หรือ Hollow Core Fiber ที่นำแสงวิ่งผ่านอากาศแทนแกนแก้ว เพิ่มความเร็วและลดเวลาแฝง นอกจากนี้ยังมีแนวคิดอินเทอร์เน็ตควอนตัม (Quantum Internet) ที่ใช้หลักกลศาสตร์ควอนตัมในการสร้างระบบเครือข่ายที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด 📌 สรุปได้ว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลก อินเทอร์เน็ตที่เร็วขึ้นและเชื่อถือได้มากขึ้น หมายถึงโอกาสที่เปิดกว้างมากขึ้นเช่นกัน การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยั่งยืนจึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นสำหรับอนาคตที่เชื่อมโยงกันมากยิ่งขึ้นในทุกมิติ #ลุงเขียนหลานอ่าน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 335 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพอากาศเปิดตัว "โดรนพลีชีพ" (Kamikaze UAV) ที่วิจัยและพัฒนาโดยฝีมือคนไทย 100% โดรนพลีชีพนี้สามารถโจมตีเป้าหมายด้วยแรงระเบิดอย่างแม่นยำ พิสูจน์แล้วจากการทดสอบทำลายเป้าหมายระยะปานกลางด้วยหัวรบทำลายล้างสูง และมีค่าความคลาดเคลื่อนต่ำกว่า 5 เมตร ความสำเร็จนี้สะท้อนความมุ่งมั่นของกองทัพอากาศในการพึ่งพาตนเองเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการปกป้องอธิปไตยของชาติ และความสงบสุขของประชาชน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000063401

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    กองทัพอากาศเปิดตัว "โดรนพลีชีพ" (Kamikaze UAV) ที่วิจัยและพัฒนาโดยฝีมือคนไทย 100% โดรนพลีชีพนี้สามารถโจมตีเป้าหมายด้วยแรงระเบิดอย่างแม่นยำ พิสูจน์แล้วจากการทดสอบทำลายเป้าหมายระยะปานกลางด้วยหัวรบทำลายล้างสูง และมีค่าความคลาดเคลื่อนต่ำกว่า 5 เมตร ความสำเร็จนี้สะท้อนความมุ่งมั่นของกองทัพอากาศในการพึ่งพาตนเองเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการปกป้องอธิปไตยของชาติ และความสงบสุขของประชาชน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000063401 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Love
    Wow
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 571 มุมมอง 1 รีวิว
  • ขีปนาวุธลูกนี้ลงที่อาคาร Rafael Advanced Defense Systems เป็นบริษัทเทคโนโลยีป้องกันประเทศของอิสราเอล ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการวิจัยและพัฒนาแห่งชาติของอิสราเอลเพื่อพัฒนาอาวุธและเทคโนโลยีทางการทหารภายในกระทรวงกลาโหมของอิสราเอล
    ขีปนาวุธลูกนี้ลงที่อาคาร Rafael Advanced Defense Systems เป็นบริษัทเทคโนโลยีป้องกันประเทศของอิสราเอล ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการวิจัยและพัฒนาแห่งชาติของอิสราเอลเพื่อพัฒนาอาวุธและเทคโนโลยีทางการทหารภายในกระทรวงกลาโหมของอิสราเอล
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • IonQ เข้าซื้อ Oxford Ionics มูลค่า 1.08 พันล้านดอลลาร์ เพื่อขยายการวิจัยควอนตัมคอมพิวติ้ง
    IonQ ซึ่งเป็นบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งจากสหรัฐฯ ได้ประกาศเข้าซื้อ Oxford Ionics ซึ่งเป็นบริษัทจากอังกฤษ ด้วยมูลค่า 1.08 พันล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัม

    เหตุผลที่ IonQ เข้าซื้อ Oxford Ionics
    Oxford Ionics เป็นบริษัทที่ เชี่ยวชาญด้านการควบคุม qubits ซึ่งเป็นหน่วยพื้นฐานของควอนตัมคอมพิวเตอร์ โดยมีผู้ก่อตั้งคือ Chris Balance และ Tom Harty ซึ่งเป็นนักวิจัยในสาขานี้ ทั้งสองจะยังคงทำงานกับ IonQ หลังการเข้าซื้อกิจการ

    ข้อมูลจากข่าว
    - IonQ เข้าซื้อ Oxford Ionics มูลค่า 1.08 พันล้านดอลลาร์
    - Oxford Ionics เชี่ยวชาญด้านการควบคุม qubits ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของควอนตัมคอมพิวติ้ง
    - Chris Balance และ Tom Harty ผู้ก่อตั้ง Oxford Ionics จะยังคงทำงานกับ IonQ
    - การเข้าซื้อกิจการเป็นแบบเงินสดและหุ้น โดยจำนวนหุ้นที่ออกจะขึ้นอยู่กับราคาหุ้นของ IonQ ในช่วง 20 วันก่อนปิดดีล
    - IonQ มีมูลค่าตลาด 10.15 พันล้านดอลลาร์ และหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้น 4% หลังประกาศดีล

    การแข่งขันในตลาดควอนตัมคอมพิวติ้ง
    ควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้รับความสนใจจาก Microsoft, Google และ IBM ซึ่งลงทุนหลายร้อยล้านดอลลาร์ในเทคโนโลยีนี้ IonQ เองก็ ขยายธุรกิจผ่านการเข้าซื้อกิจการ เช่น Lightsynq ซึ่งเชี่ยวชาญด้าน quantum memory

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้ว่าควอนตัมคอมพิวติ้งจะมีศักยภาพสูง แต่รายได้ของบริษัทในอุตสาหกรรมนี้ยังค่อนข้างต่ำ
    - เทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งยังอยู่ในช่วงพัฒนา และอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีจนกว่าจะใช้งานได้จริงในระดับอุตสาหกรรม
    - ต้องติดตามว่าการเข้าซื้อ Oxford Ionics จะช่วยให้ IonQ แข่งขันกับบริษัทใหญ่อย่าง Google และ IBM ได้หรือไม่
    - Nvidia ซึ่งเป็นผู้นำด้าน AI chips กำลังเปิดศูนย์วิจัยควอนตัมคอมพิวติ้ง อาจเป็นคู่แข่งสำคัญในอนาคต

    การเข้าซื้อ Oxford Ionics อาจช่วยให้ IonQ มีเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งขึ้น และ สามารถแข่งขันกับบริษัทใหญ่อย่าง Google และ IBM ได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับบริษัทได้หรือไม่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/09/quantum-computing-firm-ionq-to-acquire-uk-based-oxford-ionics-for-108-billion
    🧠 IonQ เข้าซื้อ Oxford Ionics มูลค่า 1.08 พันล้านดอลลาร์ เพื่อขยายการวิจัยควอนตัมคอมพิวติ้ง IonQ ซึ่งเป็นบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งจากสหรัฐฯ ได้ประกาศเข้าซื้อ Oxford Ionics ซึ่งเป็นบริษัทจากอังกฤษ ด้วยมูลค่า 1.08 พันล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัม 🔍 เหตุผลที่ IonQ เข้าซื้อ Oxford Ionics Oxford Ionics เป็นบริษัทที่ เชี่ยวชาญด้านการควบคุม qubits ซึ่งเป็นหน่วยพื้นฐานของควอนตัมคอมพิวเตอร์ โดยมีผู้ก่อตั้งคือ Chris Balance และ Tom Harty ซึ่งเป็นนักวิจัยในสาขานี้ ทั้งสองจะยังคงทำงานกับ IonQ หลังการเข้าซื้อกิจการ ✅ ข้อมูลจากข่าว - IonQ เข้าซื้อ Oxford Ionics มูลค่า 1.08 พันล้านดอลลาร์ - Oxford Ionics เชี่ยวชาญด้านการควบคุม qubits ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของควอนตัมคอมพิวติ้ง - Chris Balance และ Tom Harty ผู้ก่อตั้ง Oxford Ionics จะยังคงทำงานกับ IonQ - การเข้าซื้อกิจการเป็นแบบเงินสดและหุ้น โดยจำนวนหุ้นที่ออกจะขึ้นอยู่กับราคาหุ้นของ IonQ ในช่วง 20 วันก่อนปิดดีล - IonQ มีมูลค่าตลาด 10.15 พันล้านดอลลาร์ และหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้น 4% หลังประกาศดีล 🔥 การแข่งขันในตลาดควอนตัมคอมพิวติ้ง ควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้รับความสนใจจาก Microsoft, Google และ IBM ซึ่งลงทุนหลายร้อยล้านดอลลาร์ในเทคโนโลยีนี้ IonQ เองก็ ขยายธุรกิจผ่านการเข้าซื้อกิจการ เช่น Lightsynq ซึ่งเชี่ยวชาญด้าน quantum memory ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้ว่าควอนตัมคอมพิวติ้งจะมีศักยภาพสูง แต่รายได้ของบริษัทในอุตสาหกรรมนี้ยังค่อนข้างต่ำ - เทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งยังอยู่ในช่วงพัฒนา และอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีจนกว่าจะใช้งานได้จริงในระดับอุตสาหกรรม - ต้องติดตามว่าการเข้าซื้อ Oxford Ionics จะช่วยให้ IonQ แข่งขันกับบริษัทใหญ่อย่าง Google และ IBM ได้หรือไม่ - Nvidia ซึ่งเป็นผู้นำด้าน AI chips กำลังเปิดศูนย์วิจัยควอนตัมคอมพิวติ้ง อาจเป็นคู่แข่งสำคัญในอนาคต การเข้าซื้อ Oxford Ionics อาจช่วยให้ IonQ มีเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งขึ้น และ สามารถแข่งขันกับบริษัทใหญ่อย่าง Google และ IBM ได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับบริษัทได้หรือไม่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/09/quantum-computing-firm-ionq-to-acquire-uk-based-oxford-ionics-for-108-billion
    WWW.THESTAR.COM.MY
    IonQ to buy Oxford Ionics for $1.08 billion to expand quantum computing research
    (Reuters) -IonQ will acquire its British peer Oxford Ionics for $1.08 billion, the companies said on Monday, helping the U.S.-based quantum computing firm deepen its research expertise in the complex technology that is seeing booming investor interest.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประเทศไทย กับทางเลือก ด้านเทคโนโลยี CPU Processor - RISC-V หรือ ARM

    ความสำคัญของ CPU RISC-V ในปัจจุบัน
    RISC-V เป็นสถาปัตยกรรมชุดคำสั่ง (Instruction Set Architecture - ISA) แบบ RISC ที่เป็นโอเพนซอร์ส ภายใต้ใบอนุญาต BSD ซึ่งหมายความว่าใครก็สามารถนำไปพัฒนา ปรับแต่ง หรือผลิตได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์หรือค่าธรรมเนียม (Royalty Fee) ความสำคัญในปัจจุบันมีดังนี้:

    ลดต้นทุนการพัฒนา: ไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ ทำให้เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือสตาร์ทอัพ
    ความยืดหยุ่นสูง: ผู้พัฒนาสามารถปรับแต่งชุดคำสั่งให้เหมาะกับการใช้งานเฉพาะทางได้
    การสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำ: บริษัทใหญ่ เช่น Google, Alibaba, Qualcomm และ Intel ได้ให้ความสนใจและนำ RISC-V ไปใช้งานในผลิตภัณฑ์ของตน
    การใช้งานที่หลากหลาย: ปัจจุบัน RISC-V ถูกนำไปใช้ในอุปกรณ์ IoT ระบบฝังตัว และการประมวลผลขั้นสูง

    แนวโน้มการพัฒนาและใช้งานในอนาคต
    RISC-V มีแนวโน้มเติบโตอย่างมากในอนาคต โดยคาดการณ์ว่าจะมีการส่งมอบ RISC-V cores ถึง 80 พันล้านอันภายในปี 2025 แนวโน้มที่น่าสนใจมีดังนี้:
    การขยายสู่หลากหลายอุตสาหกรรม:
    IoT: ด้วยความประหยัดพลังงานและขนาดเล็ก
    ยานยนต์: ใช้ในระบบควบคุมและเซ็นเซอร์
    AI และคลาวด์: การพัฒนาชิปประสิทธิภาพสูง เช่น SiFive P870
    อุปกรณ์พกพา: เช่น แล็ปท็อปและแท็บเล็ต
    การพัฒนาประสิทธิภาพ: มีการออกแบบ RISC-V cores ที่มีสมรรถนะสูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อแข่งขันกับสถาปัตยกรรมอื่น เช่น ARM และ x86
    การสนับสนุนจากชุมชนและรัฐบาล: หลายประเทศเริ่มลงทุนใน RISC-V เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ

    โอกาสของธุรกิจไทยในการพัฒนา ขาย หรือใช้งาน RISC-V ในอนาคต
    ธุรกิจไทยมีโอกาสที่น่าสนใจในการใช้ประโยชน์จาก RISC-V ดังนี้:
    การพัฒนาฮาร์ดแวร์: สามารถออกแบบและผลิต CPU/MCU โดยไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ และปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะ เช่น IoT หรือยานยนต์
    การแข่งขันในตลาดโลก: สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ RISC-V เพื่อส่งออกไปยังตลาดสากล
    การพัฒนาซอฟต์แวร์: สร้างแอปพลิเคชันและระบบที่รองรับ RISC-V
    ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน: หากได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ธุรกิจไทยสามารถกลายเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียนได้

    รัฐบาลไทยควรซื้อ ARM License หรือทุ่มกับ RISC-V
    การตัดสินใจของรัฐบาลไทยขึ้นอยู่กับเป้าหมายและทรัพยากรที่มีอยู่ โดยสามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้:

    การซื้อ ARM License
    ข้อดี:
    มี ecosystem ที่แข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก
    เอกชนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เข้ากันได้กับ ARM ได้ทันที
    เหมาะสำหรับการเข้าสู่ตลาดระยะสั้น

    ข้อเสีย:
    ค่าใช้จ่ายสูงทั้งในส่วนของไลเซนส์และ Royalty Fee
    ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งอาจขัดกับนโยบายพึ่งพาตนเอง

    การทุ่มกับ RISC-V
    ข้อดี:
    ไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ ช่วยลดต้นทุน
    สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของไทย
    ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ
    มีโอกาสเติบโตในระยะยาวและเป็นผู้นำในภูมิภาค

    ข้อเสีย:
    Ecosystem ยังไม่สมบูรณ์เท่า ARM อาจต้องใช้เวลาในการพัฒนา
    มีความเสี่ยงจากการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่

    ข้อเสนอแนะ
    ระยะสั้น : การซื้อ ARM License อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมเพื่อให้เอกชนไทยสามารถแข่งขันในตลาดได้ทันที คล้ายกับที่มาเลเซียทำ
    ระยะยาว: รัฐบาลควรลงทุนใน RISC-V ควบคู่ไปด้วย เพื่อสร้างฐานเทคโนโลยีของตัวเอง ลดการพึ่งพาต่างชาติ และใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นและต้นทุนต่ำของ RISC-V
    แนวทางผสมผสาน: สนับสนุนทั้ง ARM และ RISC-V โดยให้เอกชนเลือกใช้ตามความเหมาะสม พร้อมทั้งส่งเสริมการวิจัย RISC-V ในสถาบันการศึกษาและอุตสาหกรรม

    บทสรุป
    RISC-V มีความสำคัญในปัจจุบันจากความเป็นโอเพนซอร์สและการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำ แนวโน้มในอนาคตแสดงถึงการเติบโตในหลากหลายอุตสาหกรรม ธุรกิจไทยมีโอกาสในการพัฒนาและแข่งขันในตลาดโลกด้วย RISC-V ส่วนรัฐบาลไทยควรพิจารณาทั้ง ARM และ RISC-V โดยเน้น RISC-V ในระยะยาวเพื่อสร้างความยั่งยืนและพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    ประเทศไทย กับทางเลือก ด้านเทคโนโลยี CPU Processor - RISC-V หรือ ARM ⁉️ 💡 ความสำคัญของ CPU RISC-V ในปัจจุบัน RISC-V เป็นสถาปัตยกรรมชุดคำสั่ง (Instruction Set Architecture - ISA) แบบ RISC ที่เป็นโอเพนซอร์ส ภายใต้ใบอนุญาต BSD ซึ่งหมายความว่าใครก็สามารถนำไปพัฒนา ปรับแต่ง หรือผลิตได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์หรือค่าธรรมเนียม (Royalty Fee) ความสำคัญในปัจจุบันมีดังนี้: ✅ ลดต้นทุนการพัฒนา: ไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ ทำให้เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือสตาร์ทอัพ ✅ ความยืดหยุ่นสูง: ผู้พัฒนาสามารถปรับแต่งชุดคำสั่งให้เหมาะกับการใช้งานเฉพาะทางได้ ✅ การสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำ: บริษัทใหญ่ เช่น Google, Alibaba, Qualcomm และ Intel ได้ให้ความสนใจและนำ RISC-V ไปใช้งานในผลิตภัณฑ์ของตน ✅ การใช้งานที่หลากหลาย: ปัจจุบัน RISC-V ถูกนำไปใช้ในอุปกรณ์ IoT ระบบฝังตัว และการประมวลผลขั้นสูง 💡 แนวโน้มการพัฒนาและใช้งานในอนาคต RISC-V มีแนวโน้มเติบโตอย่างมากในอนาคต โดยคาดการณ์ว่าจะมีการส่งมอบ RISC-V cores ถึง 80 พันล้านอันภายในปี 2025 แนวโน้มที่น่าสนใจมีดังนี้: ✅ การขยายสู่หลากหลายอุตสาหกรรม: 👉 IoT: ด้วยความประหยัดพลังงานและขนาดเล็ก 👉 ยานยนต์: ใช้ในระบบควบคุมและเซ็นเซอร์ 👉 AI และคลาวด์: การพัฒนาชิปประสิทธิภาพสูง เช่น SiFive P870 👉 อุปกรณ์พกพา: เช่น แล็ปท็อปและแท็บเล็ต ✅การพัฒนาประสิทธิภาพ: มีการออกแบบ RISC-V cores ที่มีสมรรถนะสูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อแข่งขันกับสถาปัตยกรรมอื่น เช่น ARM และ x86 ✅ การสนับสนุนจากชุมชนและรัฐบาล: หลายประเทศเริ่มลงทุนใน RISC-V เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ 💡 โอกาสของธุรกิจไทยในการพัฒนา ขาย หรือใช้งาน RISC-V ในอนาคต ธุรกิจไทยมีโอกาสที่น่าสนใจในการใช้ประโยชน์จาก RISC-V ดังนี้: ✅ การพัฒนาฮาร์ดแวร์: สามารถออกแบบและผลิต CPU/MCU โดยไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ และปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะ เช่น IoT หรือยานยนต์ ✅ การแข่งขันในตลาดโลก: สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ RISC-V เพื่อส่งออกไปยังตลาดสากล ✅ การพัฒนาซอฟต์แวร์: สร้างแอปพลิเคชันและระบบที่รองรับ RISC-V ✅ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน: หากได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ธุรกิจไทยสามารถกลายเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียนได้ 💡 รัฐบาลไทยควรซื้อ ARM License หรือทุ่มกับ RISC-V การตัดสินใจของรัฐบาลไทยขึ้นอยู่กับเป้าหมายและทรัพยากรที่มีอยู่ โดยสามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้: 🛍️ การซื้อ ARM License ✅ ข้อดี: 👉 มี ecosystem ที่แข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก 👉 เอกชนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เข้ากันได้กับ ARM ได้ทันที 👉 เหมาะสำหรับการเข้าสู่ตลาดระยะสั้น ❌ ข้อเสีย: 👉 ค่าใช้จ่ายสูงทั้งในส่วนของไลเซนส์และ Royalty Fee 👉 ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งอาจขัดกับนโยบายพึ่งพาตนเอง 🛍️ การทุ่มกับ RISC-V ✅ ข้อดี: 👉 ไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ ช่วยลดต้นทุน 👉 สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของไทย 👉 ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ 👉 มีโอกาสเติบโตในระยะยาวและเป็นผู้นำในภูมิภาค ❌ ข้อเสีย: 👉 Ecosystem ยังไม่สมบูรณ์เท่า ARM อาจต้องใช้เวลาในการพัฒนา 👉 มีความเสี่ยงจากการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ 💡 ข้อเสนอแนะ ⏲️ระยะสั้น : การซื้อ ARM License อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมเพื่อให้เอกชนไทยสามารถแข่งขันในตลาดได้ทันที คล้ายกับที่มาเลเซียทำ ⏲️ ระยะยาว: รัฐบาลควรลงทุนใน RISC-V ควบคู่ไปด้วย เพื่อสร้างฐานเทคโนโลยีของตัวเอง ลดการพึ่งพาต่างชาติ และใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นและต้นทุนต่ำของ RISC-V ⏲️ แนวทางผสมผสาน: สนับสนุนทั้ง ARM และ RISC-V โดยให้เอกชนเลือกใช้ตามความเหมาะสม พร้อมทั้งส่งเสริมการวิจัย RISC-V ในสถาบันการศึกษาและอุตสาหกรรม 💡 บทสรุป RISC-V มีความสำคัญในปัจจุบันจากความเป็นโอเพนซอร์สและการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำ แนวโน้มในอนาคตแสดงถึงการเติบโตในหลากหลายอุตสาหกรรม ธุรกิจไทยมีโอกาสในการพัฒนาและแข่งขันในตลาดโลกด้วย RISC-V ส่วนรัฐบาลไทยควรพิจารณาทั้ง ARM และ RISC-V โดยเน้น RISC-V ในระยะยาวเพื่อสร้างความยั่งยืนและพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี #ลุงเขียนหลานอ่าน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 377 มุมมอง 0 รีวิว
  • สรุปงาน Computex 2025 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-23 พฤษภาคม 2568 ณ กรุงไทเป ไต้หวัน ภายใต้ธีม “AI Next” ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เน้น AI, หุ่นยนต์, เทคโนโลยีรุ่นถัดไป และการเคลื่อนที่แห่งอนาคต นี่คือสรุปผลิตภัณฑ์ใหม่เด่นๆ จากงาน:

    1️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก NVIDIA
    • GeForce RTX 50 Series: การ์ดจอรุ่นใหม่ เช่น RTX 5060, 5070 Ti, 5080, และ 5090 เน้นประสิทธิภาพสำหรับการเล่นเกมและงาน AI มีฟีเจอร์ DLSS 4 และ Multi Frame Generation เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด.
    • DGX Spark และ DGX Station: อุปกรณ์สำหรับการวิจัยและพัฒนา AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI.
    • NVLink Fusion: เทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐาน AI แบบกึ่งสำเร็จรูป ช่วยเพิ่มการเชื่อมต่อและประสิทธิภาพสำหรับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI.
    • AI Infrastructure: NVIDIA ผลักดันวิสัยทัศน์โรงงาน AI และการพัฒนา agentic AI รวมถึง physical AI สำหรับหุ่นยนต์และโทรคมนาคม.

    2️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก Intel
    • Core Ultra 200V Series Processors: ได้รับรางวัล COMPUTEX 2025 Best Choice Award เน้นประสิทธิภาพ AI, ความปลอดภัย และความเร็วสำหรับงานทุกประเภท.
    • Xeon 6 Processors และ Gaudi 3 AI Accelerators: ออกแบบสำหรับศูนย์ข้อมูลสมัยใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น.
    • Intel Arc Pro B50 และ B60: การ์ดกราฟิกสำหรับงาน AI และเวิร์คสเตชันระดับมืออาชีพ.

    3️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก AMD
    • Radeon RX 9060 XT: การ์ดจอรุ่นใหม่ ใช้สถาปัตยกรรม Navi 44 มีหน่วยความจำ GDDR6 สูงสุด 16GB และเพิ่มประสิทธิภาพ Ray Tracing 2 เท่า ราคาเริ่มต้น 299 ดอลลาร์.
    • Ryzen Threadripper 9000 Series: CPU สำหรับเดสก์ท็อปและเวิร์คสเตชัน รุ่นท็อป Ryzen 9 9995WX มี 96 คอร์ 192 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.4GHz.
    • Ryzen AI Max: CPU สำหรับอุปกรณ์พกพา เช่น เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์ เพิ่มประสิทธิภาพและแบตเตอรี่.

    4️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก MSI
    • Claw A8 BZ2EM และ Claw 7 A2HM: เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์รุ่นใหม่ รองรับทั้งโปรเซสเซอร์ Intel และ AMD มีรุ่น Polar Tempest Edition สีขาวพร้อมสตอเรจเพิ่มเป็น 2 เท่า.
    • QD-OLED Monitor และ MEG Vision X AI PC: จอมอนิเตอร์และพีซีที่ผสาน AI เช่น AI Care Sensor และ AI Navigator เพื่อป้องกัน burn-in และปรับแต่งการตั้งค่า.
    • Titan 18 HX Dragon Edition: เดสก์ท็อปพรีเมียมพร้อมจอสัมผัส 13 นิ้วที่ด้านหน้า รองรับ RTX 5090 และ Intel Core Ultra 9 CPU.

    5️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก ASUS
    • ROG Ally X และ ROG Ally 2 (คาดการณ์): เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์รุ่นใหม่ ใช้โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen Z2 Extreme และอาจมี Windows รุ่นปรับแต่งให้เหมาะกับแฮนด์เฮลด์.
    • ProArt RTX 5080: การ์ดจอสำหรับครีเอเตอร์ มีพอร์ต USB-C และสล็อต M.2 SSD พร้อมดีไซน์ไม้เทียม.
    • ROG Bulwark Dock: ด็อก 7-in-1 สำหรับแฮนด์เฮลด์ รองรับ 4K 144Hz ผ่าน HDMI 2.1.

    6️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก MediaTek
    • AI Solutions: นำเสนอวิสัยทัศน์ “AI for Everyone: From Edge to Cloud” รวมถึง AI ในสมาร์ทโฟน บ้านอัจฉริยะ รถยนต์ และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ผสานกับ NVIDIA สำหรับโซลูชัน AI ครบวงจร.
    • Smart Auto Central และ Hybrid AI Computing: โซลูชันสำหรับยานยนต์และการประมวลผลแบบผสมผสานระหว่าง edge และ cloud.

    7️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก Kingston
    • XS1000 และ XS2000 SSD: SSD แบบพกพาดีไซน์ใหม่ เน้นความเร็วและพกพาสะดวก.
    • DataTraveler Exodia S USB Flash Drive: แฟลชไดรฟ์ USB 3.2 Gen 1 ดีไซน์เพรียวบาง ใช้งานง่าย.
    • Future City Showcase: นำเสนอโซลูชันหน่วยความจำสำหรับ AI, หุ่นยนต์, เกมมิ่ง และอุตสาหกรรมการบิน.

    8️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก GIGABYTE
    • AORUS MASTER 16 AI PC: ได้รับรางวัล COMPUTEX 2025 Best Choice Award เน้นประสิทธิภาพ AI.
    • GIGAPOD และ AIOps Platform: โซลูชันซูเปอร์คอมพิวติ้งสำหรับ AI และศูนย์ข้อมูล.
    • BRIX AI Mini-PCs: มินิพีซีที่ใช้ AMD Ryzen 7 PRO และ Intel Core Ultra CPU พร้อม NPU สำหรับ edge computing.

    9️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก Supermicro
    • High-Performance Server Architectures: เซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูงและโซลูชันระบายความร้อนด้วยของเหลวสำหรับ AI และ HPC.
    • Green Computing Initiatives: เทคโนโลยีประหยัดพลังงานสำหรับศูนย์ข้อมูล.

     ผลิตภัณฑ์อื่นๆ
    • Acer Predator Triton 14 AI: แล็ปท็อปเกมมิ่งดีไซน์พรีเมียม ใช้ RTX 50-series และมีสารเคลือบป้องกันรอยนิ้วมือ.
    • Acer PD243Y E: จอมอนิเตอร์พกพาแบบ dual-screen สำหรับการทำงานนอกสถานที่.
    • Cherry MX Honey Switches: สวิตช์คีย์บอร์ดที่ให้ความรู้สึกแบบเมคานิคอลแต่ลดเสียงรบกวน.
    • Phison aiDAPTIV+: โซลูชันสำหรับการฝึก LLM ในสถานที่โดยไม่ต้องใช้ GPU จำนวนมาก เน้นความเป็นส่วนตัวและประหยัดต้นทุน.
    • V-Color Xfinity Manta DDR5 RAM: RAM พร้อมจอ LCD แสดงข้อมูลเช่น ความเร็วและแรงดันไฟ.
    • Thermaltake MineCube 360: ระบบระบายความร้อน AIO พร้อมจอ 720x720 แสดงภาพ Minecraft.

    สรุป
    งาน Computex 2025 เน้นหนักไปที่ AI ในทุกมิติ ตั้งแต่การ์ดจอ, CPU, เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์, แล็ปท็อป, ไปจนถึงโซลูชันสำหรับศูนย์ข้อมูลและ edge computing นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อประสิทธิภาพการเล่นเกม, การประหยัดพลังงาน และอุปกรณ์พกพาที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ผู้ผลิตอย่าง NVIDIA, Intel, AMD, MSI, ASUS, MediaTek และ Kingston ต่างนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภคทั่วไปและภาคธุรกิจ
    สรุปงาน Computex 2025 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-23 พฤษภาคม 2568 ณ กรุงไทเป ไต้หวัน ภายใต้ธีม “AI Next” ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เน้น AI, หุ่นยนต์, เทคโนโลยีรุ่นถัดไป และการเคลื่อนที่แห่งอนาคต นี่คือสรุปผลิตภัณฑ์ใหม่เด่นๆ จากงาน: 1️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก NVIDIA • GeForce RTX 50 Series: การ์ดจอรุ่นใหม่ เช่น RTX 5060, 5070 Ti, 5080, และ 5090 เน้นประสิทธิภาพสำหรับการเล่นเกมและงาน AI มีฟีเจอร์ DLSS 4 และ Multi Frame Generation เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด. • DGX Spark และ DGX Station: อุปกรณ์สำหรับการวิจัยและพัฒนา AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI. • NVLink Fusion: เทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐาน AI แบบกึ่งสำเร็จรูป ช่วยเพิ่มการเชื่อมต่อและประสิทธิภาพสำหรับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI. • AI Infrastructure: NVIDIA ผลักดันวิสัยทัศน์โรงงาน AI และการพัฒนา agentic AI รวมถึง physical AI สำหรับหุ่นยนต์และโทรคมนาคม. 2️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก Intel • Core Ultra 200V Series Processors: ได้รับรางวัล COMPUTEX 2025 Best Choice Award เน้นประสิทธิภาพ AI, ความปลอดภัย และความเร็วสำหรับงานทุกประเภท. • Xeon 6 Processors และ Gaudi 3 AI Accelerators: ออกแบบสำหรับศูนย์ข้อมูลสมัยใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น. • Intel Arc Pro B50 และ B60: การ์ดกราฟิกสำหรับงาน AI และเวิร์คสเตชันระดับมืออาชีพ. 3️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก AMD • Radeon RX 9060 XT: การ์ดจอรุ่นใหม่ ใช้สถาปัตยกรรม Navi 44 มีหน่วยความจำ GDDR6 สูงสุด 16GB และเพิ่มประสิทธิภาพ Ray Tracing 2 เท่า ราคาเริ่มต้น 299 ดอลลาร์. • Ryzen Threadripper 9000 Series: CPU สำหรับเดสก์ท็อปและเวิร์คสเตชัน รุ่นท็อป Ryzen 9 9995WX มี 96 คอร์ 192 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.4GHz. • Ryzen AI Max: CPU สำหรับอุปกรณ์พกพา เช่น เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์ เพิ่มประสิทธิภาพและแบตเตอรี่. 4️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก MSI • Claw A8 BZ2EM และ Claw 7 A2HM: เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์รุ่นใหม่ รองรับทั้งโปรเซสเซอร์ Intel และ AMD มีรุ่น Polar Tempest Edition สีขาวพร้อมสตอเรจเพิ่มเป็น 2 เท่า. • QD-OLED Monitor และ MEG Vision X AI PC: จอมอนิเตอร์และพีซีที่ผสาน AI เช่น AI Care Sensor และ AI Navigator เพื่อป้องกัน burn-in และปรับแต่งการตั้งค่า. • Titan 18 HX Dragon Edition: เดสก์ท็อปพรีเมียมพร้อมจอสัมผัส 13 นิ้วที่ด้านหน้า รองรับ RTX 5090 และ Intel Core Ultra 9 CPU. 5️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก ASUS • ROG Ally X และ ROG Ally 2 (คาดการณ์): เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์รุ่นใหม่ ใช้โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen Z2 Extreme และอาจมี Windows รุ่นปรับแต่งให้เหมาะกับแฮนด์เฮลด์. • ProArt RTX 5080: การ์ดจอสำหรับครีเอเตอร์ มีพอร์ต USB-C และสล็อต M.2 SSD พร้อมดีไซน์ไม้เทียม. • ROG Bulwark Dock: ด็อก 7-in-1 สำหรับแฮนด์เฮลด์ รองรับ 4K 144Hz ผ่าน HDMI 2.1. 6️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก MediaTek • AI Solutions: นำเสนอวิสัยทัศน์ “AI for Everyone: From Edge to Cloud” รวมถึง AI ในสมาร์ทโฟน บ้านอัจฉริยะ รถยนต์ และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ผสานกับ NVIDIA สำหรับโซลูชัน AI ครบวงจร. • Smart Auto Central และ Hybrid AI Computing: โซลูชันสำหรับยานยนต์และการประมวลผลแบบผสมผสานระหว่าง edge และ cloud. 7️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก Kingston • XS1000 และ XS2000 SSD: SSD แบบพกพาดีไซน์ใหม่ เน้นความเร็วและพกพาสะดวก. • DataTraveler Exodia S USB Flash Drive: แฟลชไดรฟ์ USB 3.2 Gen 1 ดีไซน์เพรียวบาง ใช้งานง่าย. • Future City Showcase: นำเสนอโซลูชันหน่วยความจำสำหรับ AI, หุ่นยนต์, เกมมิ่ง และอุตสาหกรรมการบิน. 8️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก GIGABYTE • AORUS MASTER 16 AI PC: ได้รับรางวัล COMPUTEX 2025 Best Choice Award เน้นประสิทธิภาพ AI. • GIGAPOD และ AIOps Platform: โซลูชันซูเปอร์คอมพิวติ้งสำหรับ AI และศูนย์ข้อมูล. • BRIX AI Mini-PCs: มินิพีซีที่ใช้ AMD Ryzen 7 PRO และ Intel Core Ultra CPU พร้อม NPU สำหรับ edge computing. 9️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก Supermicro • High-Performance Server Architectures: เซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูงและโซลูชันระบายความร้อนด้วยของเหลวสำหรับ AI และ HPC. • Green Computing Initiatives: เทคโนโลยีประหยัดพลังงานสำหรับศูนย์ข้อมูล. 🔟 ผลิตภัณฑ์อื่นๆ • Acer Predator Triton 14 AI: แล็ปท็อปเกมมิ่งดีไซน์พรีเมียม ใช้ RTX 50-series และมีสารเคลือบป้องกันรอยนิ้วมือ. • Acer PD243Y E: จอมอนิเตอร์พกพาแบบ dual-screen สำหรับการทำงานนอกสถานที่. • Cherry MX Honey Switches: สวิตช์คีย์บอร์ดที่ให้ความรู้สึกแบบเมคานิคอลแต่ลดเสียงรบกวน. • Phison aiDAPTIV+: โซลูชันสำหรับการฝึก LLM ในสถานที่โดยไม่ต้องใช้ GPU จำนวนมาก เน้นความเป็นส่วนตัวและประหยัดต้นทุน. • V-Color Xfinity Manta DDR5 RAM: RAM พร้อมจอ LCD แสดงข้อมูลเช่น ความเร็วและแรงดันไฟ. • Thermaltake MineCube 360: ระบบระบายความร้อน AIO พร้อมจอ 720x720 แสดงภาพ Minecraft. 💯 สรุป 💯 งาน Computex 2025 เน้นหนักไปที่ AI ในทุกมิติ ตั้งแต่การ์ดจอ, CPU, เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์, แล็ปท็อป, ไปจนถึงโซลูชันสำหรับศูนย์ข้อมูลและ edge computing นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อประสิทธิภาพการเล่นเกม, การประหยัดพลังงาน และอุปกรณ์พกพาที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ผู้ผลิตอย่าง NVIDIA, Intel, AMD, MSI, ASUS, MediaTek และ Kingston ต่างนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภคทั่วไปและภาคธุรกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 694 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia เตรียมเปิดตัวชิปใหม่สำหรับตลาดจีน หลังถูกสหรัฐฯ จำกัดการส่งออก

    Nvidia กำลังพัฒนาชิปใหม่ที่ไม่ใช่ซีรีส์ Hopper เพื่อเจาะตลาดจีน หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดให้การขายชิป H20 ต้องมีใบอนุญาตส่งออก ทำให้ Nvidia ต้องยกเลิกแผนการพัฒนาชิป H20 รุ่นลดสเปกสำหรับจีน และหันไปพัฒนา ชิปที่อาจเป็นรุ่นลดสเปกของซีรีส์ Blackwell แทน

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับแผนของ Nvidia ในตลาดจีน
    Nvidia ยกเลิกการพัฒนาชิป H20 รุ่นลดสเปกสำหรับจีน
    - เนื่องจาก รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดให้ต้องมีใบอนุญาตส่งออก

    บริษัทอาจกำลังพัฒนาชิปใหม่ที่ไม่ใช่ซีรีส์ Hopper
    - CEO ของ Nvidia ยืนยันว่าไม่สามารถปรับแต่ง H20 ได้อีกต่อไป

    ตลาดจีนคิดเป็น 13% ของรายได้ Nvidia หรือประมาณ 17 พันล้านดอลลาร์
    - ทำให้ Nvidia ไม่ต้องการสูญเสียตลาดนี้

    Nvidia วางแผนตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาในเซี่ยงไฮ้
    - เพื่อ รักษาสถานะในตลาดจีนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับข้อจำกัดทางการค้า

    CEO ของ Nvidia ปฏิเสธข่าวลือเกี่ยวกับการลักลอบนำเข้าชิป AI ไปยังจีน
    - โดยระบุว่า ชิป AI มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะลักลอบนำเข้าได้

    https://www.neowin.net/news/nvidia-is-reportedly-preparing-a-non-hopper-series-chip-for-china/
    Nvidia เตรียมเปิดตัวชิปใหม่สำหรับตลาดจีน หลังถูกสหรัฐฯ จำกัดการส่งออก Nvidia กำลังพัฒนาชิปใหม่ที่ไม่ใช่ซีรีส์ Hopper เพื่อเจาะตลาดจีน หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดให้การขายชิป H20 ต้องมีใบอนุญาตส่งออก ทำให้ Nvidia ต้องยกเลิกแผนการพัฒนาชิป H20 รุ่นลดสเปกสำหรับจีน และหันไปพัฒนา ชิปที่อาจเป็นรุ่นลดสเปกของซีรีส์ Blackwell แทน 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับแผนของ Nvidia ในตลาดจีน ✅ Nvidia ยกเลิกการพัฒนาชิป H20 รุ่นลดสเปกสำหรับจีน - เนื่องจาก รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดให้ต้องมีใบอนุญาตส่งออก ✅ บริษัทอาจกำลังพัฒนาชิปใหม่ที่ไม่ใช่ซีรีส์ Hopper - CEO ของ Nvidia ยืนยันว่าไม่สามารถปรับแต่ง H20 ได้อีกต่อไป ✅ ตลาดจีนคิดเป็น 13% ของรายได้ Nvidia หรือประมาณ 17 พันล้านดอลลาร์ - ทำให้ Nvidia ไม่ต้องการสูญเสียตลาดนี้ ✅ Nvidia วางแผนตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาในเซี่ยงไฮ้ - เพื่อ รักษาสถานะในตลาดจีนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับข้อจำกัดทางการค้า ✅ CEO ของ Nvidia ปฏิเสธข่าวลือเกี่ยวกับการลักลอบนำเข้าชิป AI ไปยังจีน - โดยระบุว่า ชิป AI มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะลักลอบนำเข้าได้ https://www.neowin.net/news/nvidia-is-reportedly-preparing-a-non-hopper-series-chip-for-china/
    WWW.NEOWIN.NET
    Nvidia is reportedly preparing a non-Hopper series chip for China
    After the recent US crackdown on exporting H20 chips to China, Nvidia is working on a new downgraded chip for its Chinese customers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 247 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิทย์ซินโครตรอนร่วมมือบริษัทเอกชนพัฒนายาสีฟันสมุนไพรป้องกันฟันผุ-ลดการเสียวฟัน

    นักวิทยาศาสตร์สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมมือบริษัทเอกชน พัฒนายาสีฟันสมุนไพรป้องกันผุ-ลดการเสียวฟัน โดยมีส่วนผสมของเปปไทด์จากข้าวไรซ์เบอร์รี่ ล่าสุดคว้า 2 เหรียญรางวัลจากงานแสดงนวัตกรรม ณ นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ พร้อมรางวัลพิเศษจาก French Federation of Inventors

    นครราชสีมา - ดร.ศิริวรรณ ณะวงษ์ หัวหน้าส่วนวิจัยด้านอาหารและการเกษตร สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน กล่าวว่า “สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนได้มีส่วนร่วมกับ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด พัฒนายาสีฟันสมุนไพร 2 สูตร ได้แก่ ยาสีฟัน Nature’s Touch ที่เสริมสร้างเคลือบฟันและป้องกันฟันผุด้วยกรดอะมิโนและเปปไทด์จากรำข้าวไรซ์เบอร์รี่ และยาสีฟัน Hi-Herb ที่ป้องกันการเสียวฟันด้วยกรดอะมิโนและเปปไทด์จากรำข้าวไรซ์เบอร์รี่ โดยได้ใช้เทคนิคแสงซินโครตรอนศึกษาประสิทธิภาพของยาสีฟันทั้งสองสูตร”

    “ในการศึกษาประสิทธิภาพยาสีฟัน Nature’s Touch ที่เสริมสร้างเคลือบฟันและป้องกันฟันผุนั้น ทีมวิจัยได้ใช้เทคนิคอินฟราเรดสเปกโตรสโกปีจากแสงซินโครตรอนติดตามการทำงานของกรดอะมิโนและเปปไทด์ในการยึดติดกับฟันหลังจากการแปรงฟัน ส่วนการศึกษาประสิทธิภาพยาสีฟัน Hi-Herb ที่ป้องกันการเสียวฟันนั้น ทีมวิจัยใช้ 3 เทคนิคแสงซินโครตรอน ได้แก่ เทคนิคอินฟราเรดสเปกโตรสโกปี เทคนิคการกระเจิงรังสีเอกซ์ (SAXS/WAXS) และเทคนิคเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (XTM) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของยาสีฟันสูตรป้องกันการเสียวฟัน โดยติดตามการเรียงตัวของกรดอะมิโนและเปปไทด์ที่เข้าไปในรูฟันเพื่อช่วยป้องกันการเสียวฟัน”

    “งานวิจัยนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้ประโยชน์แสงซินโครตรอนเพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งล่าสุดยังได้รับรางวัลจากประกวดภายในงาน The 50th Geneva International Exhibition of Inventions 2025 ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ณ ศูนย์การประชุม Palexpo นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ โดยยาสีฟันสูตรเสริมสร้างเคลือบฟันและป้องกันฟันผุได้รับเหรียญเงินจากการประกวดหลักภายในงาน และได้รับรางวัลพิเศษจากสาธารณรัฐฝรั่งเศส โดย French Federation of Inventors และยาสีฟันสูตรป้องกันการเสียวฟันได้รับรางวัลเหรียญทองแดงจากการประกวดหลักภายในงาน นอกจากนี้ทั้งสองผลงานจากยังได้รับประกาศนียบัตรจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งมีพิธีมอบภายในงานจัดแสดงนวัตกรรมที่สวิตเซอร์แลนด์ด้วย" ดร.ศิริวรรณ ณะวงษ์ กล่าวสรุป

    สำหรับผู้ประกอบการผู้สนใจในการใช้ประโยชน์แสงซินโครตรอนเพื่อส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ สามารถติดต่อได้ที่ ส่วนบริการอุตสาหกรรมและสังคม ฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กร สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) โทร.08 9949 7313 หรือ อีเมล bds@slri.or.th
    นักวิทย์ซินโครตรอนร่วมมือบริษัทเอกชนพัฒนายาสีฟันสมุนไพรป้องกันฟันผุ-ลดการเสียวฟัน นักวิทยาศาสตร์สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมมือบริษัทเอกชน พัฒนายาสีฟันสมุนไพรป้องกันผุ-ลดการเสียวฟัน โดยมีส่วนผสมของเปปไทด์จากข้าวไรซ์เบอร์รี่ ล่าสุดคว้า 2 เหรียญรางวัลจากงานแสดงนวัตกรรม ณ นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ พร้อมรางวัลพิเศษจาก French Federation of Inventors นครราชสีมา - ดร.ศิริวรรณ ณะวงษ์ หัวหน้าส่วนวิจัยด้านอาหารและการเกษตร สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน กล่าวว่า “สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนได้มีส่วนร่วมกับ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด พัฒนายาสีฟันสมุนไพร 2 สูตร ได้แก่ ยาสีฟัน Nature’s Touch ที่เสริมสร้างเคลือบฟันและป้องกันฟันผุด้วยกรดอะมิโนและเปปไทด์จากรำข้าวไรซ์เบอร์รี่ และยาสีฟัน Hi-Herb ที่ป้องกันการเสียวฟันด้วยกรดอะมิโนและเปปไทด์จากรำข้าวไรซ์เบอร์รี่ โดยได้ใช้เทคนิคแสงซินโครตรอนศึกษาประสิทธิภาพของยาสีฟันทั้งสองสูตร” “ในการศึกษาประสิทธิภาพยาสีฟัน Nature’s Touch ที่เสริมสร้างเคลือบฟันและป้องกันฟันผุนั้น ทีมวิจัยได้ใช้เทคนิคอินฟราเรดสเปกโตรสโกปีจากแสงซินโครตรอนติดตามการทำงานของกรดอะมิโนและเปปไทด์ในการยึดติดกับฟันหลังจากการแปรงฟัน ส่วนการศึกษาประสิทธิภาพยาสีฟัน Hi-Herb ที่ป้องกันการเสียวฟันนั้น ทีมวิจัยใช้ 3 เทคนิคแสงซินโครตรอน ได้แก่ เทคนิคอินฟราเรดสเปกโตรสโกปี เทคนิคการกระเจิงรังสีเอกซ์ (SAXS/WAXS) และเทคนิคเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (XTM) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของยาสีฟันสูตรป้องกันการเสียวฟัน โดยติดตามการเรียงตัวของกรดอะมิโนและเปปไทด์ที่เข้าไปในรูฟันเพื่อช่วยป้องกันการเสียวฟัน” “งานวิจัยนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้ประโยชน์แสงซินโครตรอนเพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งล่าสุดยังได้รับรางวัลจากประกวดภายในงาน The 50th Geneva International Exhibition of Inventions 2025 ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ณ ศูนย์การประชุม Palexpo นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ โดยยาสีฟันสูตรเสริมสร้างเคลือบฟันและป้องกันฟันผุได้รับเหรียญเงินจากการประกวดหลักภายในงาน และได้รับรางวัลพิเศษจากสาธารณรัฐฝรั่งเศส โดย French Federation of Inventors และยาสีฟันสูตรป้องกันการเสียวฟันได้รับรางวัลเหรียญทองแดงจากการประกวดหลักภายในงาน นอกจากนี้ทั้งสองผลงานจากยังได้รับประกาศนียบัตรจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งมีพิธีมอบภายในงานจัดแสดงนวัตกรรมที่สวิตเซอร์แลนด์ด้วย" ดร.ศิริวรรณ ณะวงษ์ กล่าวสรุป สำหรับผู้ประกอบการผู้สนใจในการใช้ประโยชน์แสงซินโครตรอนเพื่อส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ สามารถติดต่อได้ที่ ส่วนบริการอุตสาหกรรมและสังคม ฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กร สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) โทร.08 9949 7313 หรือ อีเมล bds@slri.or.th
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 388 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ ออกมาตรการเข้มงวดทั่วโลก ห้ามใช้ชิป Huawei Ascend

    รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออก แนวทางใหม่ที่ระบุว่าการใช้ชิป Huawei Ascend ในทุกประเทศทั่วโลกถือเป็นการละเมิดกฎการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ โดยมาตรการนี้มีผลกระทบต่อ บริษัทที่ใช้ชิปเหล่านี้ในการวิจัยและพัฒนา AI

    สหรัฐฯ ระบุว่าชิป Ascend ถูกพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีของสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย
    - บริษัทหรือบุคคลที่ใช้ชิปเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย

    Huawei Ascend 910B, 910C และ 910D ถูกแบน แต่ Ascend 910 ที่ซื้อจาก TSMC ในปี 2019-2020 ยังสามารถใช้ได้
    - แสดงให้เห็นว่า เฉพาะชิปที่พัฒนาใหม่หลังจาก Huawei ถูกขึ้นบัญชีดำเท่านั้นที่ถูกแบน

    บริษัทที่ใช้ชิป Ascend อาจถูกลงโทษทางอาญาและถูกเพิกถอนสิทธิ์การส่งออก
    - รวมถึง ค่าปรับและโทษจำคุก

    Nvidia กังวลว่าการจำกัดการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ อาจเปิดโอกาสให้ Huawei ขยายตลาด
    - CEO ของ Nvidia เตือนว่า หากบริษัทสหรัฐฯ ถูกจำกัดการขายชิป AI อาจทำให้แพลตฟอร์ม AI ของจีนเติบโตขึ้นแทน

    Huawei พยายามพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการของสหรัฐฯ
    - ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ใน การสร้างอุปกรณ์ผลิตชิปภายในประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/u-s-issues-worldwide-crackdown-on-using-huawei-ascend-chips-says-it-violates-export-controls
    สหรัฐฯ ออกมาตรการเข้มงวดทั่วโลก ห้ามใช้ชิป Huawei Ascend รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออก แนวทางใหม่ที่ระบุว่าการใช้ชิป Huawei Ascend ในทุกประเทศทั่วโลกถือเป็นการละเมิดกฎการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ โดยมาตรการนี้มีผลกระทบต่อ บริษัทที่ใช้ชิปเหล่านี้ในการวิจัยและพัฒนา AI ✅ สหรัฐฯ ระบุว่าชิป Ascend ถูกพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีของสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย - บริษัทหรือบุคคลที่ใช้ชิปเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย ✅ Huawei Ascend 910B, 910C และ 910D ถูกแบน แต่ Ascend 910 ที่ซื้อจาก TSMC ในปี 2019-2020 ยังสามารถใช้ได้ - แสดงให้เห็นว่า เฉพาะชิปที่พัฒนาใหม่หลังจาก Huawei ถูกขึ้นบัญชีดำเท่านั้นที่ถูกแบน ✅ บริษัทที่ใช้ชิป Ascend อาจถูกลงโทษทางอาญาและถูกเพิกถอนสิทธิ์การส่งออก - รวมถึง ค่าปรับและโทษจำคุก ✅ Nvidia กังวลว่าการจำกัดการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ อาจเปิดโอกาสให้ Huawei ขยายตลาด - CEO ของ Nvidia เตือนว่า หากบริษัทสหรัฐฯ ถูกจำกัดการขายชิป AI อาจทำให้แพลตฟอร์ม AI ของจีนเติบโตขึ้นแทน ✅ Huawei พยายามพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการของสหรัฐฯ - ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ใน การสร้างอุปกรณ์ผลิตชิปภายในประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/u-s-issues-worldwide-crackdown-on-using-huawei-ascend-chips-says-it-violates-export-controls
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    U.S. issues worldwide crackdown on using Huawei Ascend chips, says it violates export controls
    Breaching US rules could incur fines, revocation of export rights, or even incarceration
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • Huawei ขยายอิทธิพลในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน: ดำเนินงานโรงงานผลิตชิปกว่า 11 แห่ง

    Huawei กำลังเสริมความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน โดยล่าสุดมีรายงานว่า บริษัทดำเนินงานโรงงานผลิตชิปกว่า 11 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งครอบคลุมทั้ง การผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์และ DRAM

    Huawei ดำเนินงานโรงงานผลิตชิปกว่า 11 แห่งทั่วจีน
    - โรงงานเหล่านี้ ดำเนินงานภายใต้บริษัทลูกที่มีชื่อแตกต่างกัน เพื่อให้ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับ Huawei

    โรงงานบางแห่งสามารถผลิตชิปที่ระดับ 7nm ได้
    - ทำให้ Huawei มีศักยภาพเทียบเท่ากับ SMIC ซึ่งเป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของจีน

    Huawei มีการบูรณาการแนวตั้งในห่วงโซ่อุปทานของตนเอง
    - ครอบคลุม ทั้งการผลิตชิปสำหรับมือถือและ AI accelerators

    โรงงานหลักของ Huawei ตั้งอยู่ในเซินเจิ้น เช่น PST, PXW, SWX และ PJHT
    - แสดงให้เห็นว่า บริษัทกำลังขยายการผลิตอย่างรวดเร็ว

    Huawei ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    - ทำให้บริษัท มีทรัพยากรด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างมหาศาล

    https://wccftech.com/huawei-strengthens-its-grip-over-the-chip-supply-chain/
    Huawei ขยายอิทธิพลในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน: ดำเนินงานโรงงานผลิตชิปกว่า 11 แห่ง Huawei กำลังเสริมความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน โดยล่าสุดมีรายงานว่า บริษัทดำเนินงานโรงงานผลิตชิปกว่า 11 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งครอบคลุมทั้ง การผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์และ DRAM ✅ Huawei ดำเนินงานโรงงานผลิตชิปกว่า 11 แห่งทั่วจีน - โรงงานเหล่านี้ ดำเนินงานภายใต้บริษัทลูกที่มีชื่อแตกต่างกัน เพื่อให้ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับ Huawei ✅ โรงงานบางแห่งสามารถผลิตชิปที่ระดับ 7nm ได้ - ทำให้ Huawei มีศักยภาพเทียบเท่ากับ SMIC ซึ่งเป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของจีน ✅ Huawei มีการบูรณาการแนวตั้งในห่วงโซ่อุปทานของตนเอง - ครอบคลุม ทั้งการผลิตชิปสำหรับมือถือและ AI accelerators ✅ โรงงานหลักของ Huawei ตั้งอยู่ในเซินเจิ้น เช่น PST, PXW, SWX และ PJHT - แสดงให้เห็นว่า บริษัทกำลังขยายการผลิตอย่างรวดเร็ว ✅ Huawei ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ - ทำให้บริษัท มีทรัพยากรด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างมหาศาล https://wccftech.com/huawei-strengthens-its-grip-over-the-chip-supply-chain/
    WCCFTECH.COM
    Huawei Strengthens Its Grip Over The Chip Supply Chain; Now Reported To Operate Over 11 Fabs Across China Producing Foundry & DRAM Products
    Huawei has managed to take over the chip supply chain in China, as, according to a new report, the firm now operates multiple facilities.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 338 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเปิดตัว CPU เซิร์ฟเวอร์ 128 คอร์ ท้าทาย AMD และ Intel ในตลาดศูนย์ข้อมูล

    บริษัท Hygon ซึ่งเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน ได้เปิดตัว C86-5G ซึ่งเป็น CPU เซิร์ฟเวอร์ที่มี 128 คอร์ และ 512 เธรด โดยใช้สถาปัตยกรรมที่พัฒนาขึ้นเองทั้งหมด แทนที่สถาปัตยกรรม Zen ของ AMD

    C86-5G ใช้สถาปัตยกรรมที่พัฒนาขึ้นเอง แทนที่ Zen ของ AMD
    - เป็นผลจาก การวิจัยและพัฒนาในประเทศจีนเป็นเวลาห้าปี

    รองรับ SMT4 ทำให้แต่ละคอร์สามารถรันได้ 4 เธรด รวมเป็น 512 เธรด
    - เทียบกับ SMT2 ของรุ่นก่อนหน้า C86-4G ที่มี 64 คอร์ และ 128 เธรด

    รองรับ AVX-512 สำหรับงาน AI, การวิเคราะห์ข้อมูล และการคำนวณทางวิทยาศาสตร์
    - ช่วยให้ ประสิทธิภาพสูงขึ้นในงานที่ต้องการพลังประมวลผลมาก

    รองรับหน่วยความจำ DDR5-5600 สูงสุด 1TB ผ่าน 16 ช่องทาง
    - เพิ่มขึ้นจาก DDR5-4800 และ 12 ช่องทางของรุ่นก่อนหน้า

    รองรับ Compute Express Link 2.0 (CXL 2.0) และ PCIe 5.0
    - คาดว่าจะมี จำนวนเลน PCIe 5.0 เท่ากับหรือมากกว่า 128 เลนของรุ่นก่อนหน้า

    https://www.techradar.com/pro/chinese-cpu-vendor-swaps-amd-zen-architecture-for-homegrown-one-to-deliver-128-core-monster-to-give-epyc-and-xeon-a-run-for-their-money
    จีนเปิดตัว CPU เซิร์ฟเวอร์ 128 คอร์ ท้าทาย AMD และ Intel ในตลาดศูนย์ข้อมูล บริษัท Hygon ซึ่งเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน ได้เปิดตัว C86-5G ซึ่งเป็น CPU เซิร์ฟเวอร์ที่มี 128 คอร์ และ 512 เธรด โดยใช้สถาปัตยกรรมที่พัฒนาขึ้นเองทั้งหมด แทนที่สถาปัตยกรรม Zen ของ AMD ✅ C86-5G ใช้สถาปัตยกรรมที่พัฒนาขึ้นเอง แทนที่ Zen ของ AMD - เป็นผลจาก การวิจัยและพัฒนาในประเทศจีนเป็นเวลาห้าปี ✅ รองรับ SMT4 ทำให้แต่ละคอร์สามารถรันได้ 4 เธรด รวมเป็น 512 เธรด - เทียบกับ SMT2 ของรุ่นก่อนหน้า C86-4G ที่มี 64 คอร์ และ 128 เธรด ✅ รองรับ AVX-512 สำหรับงาน AI, การวิเคราะห์ข้อมูล และการคำนวณทางวิทยาศาสตร์ - ช่วยให้ ประสิทธิภาพสูงขึ้นในงานที่ต้องการพลังประมวลผลมาก ✅ รองรับหน่วยความจำ DDR5-5600 สูงสุด 1TB ผ่าน 16 ช่องทาง - เพิ่มขึ้นจาก DDR5-4800 และ 12 ช่องทางของรุ่นก่อนหน้า ✅ รองรับ Compute Express Link 2.0 (CXL 2.0) และ PCIe 5.0 - คาดว่าจะมี จำนวนเลน PCIe 5.0 เท่ากับหรือมากกว่า 128 เลนของรุ่นก่อนหน้า https://www.techradar.com/pro/chinese-cpu-vendor-swaps-amd-zen-architecture-for-homegrown-one-to-deliver-128-core-monster-to-give-epyc-and-xeon-a-run-for-their-money
    WWW.TECHRADAR.COM
    This new Chinese chip ditches AMD tech, goes full throttle with 128 cores and AVX-512 power
    China has finally built a monster CPU that might just rattle AMD and Intel
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • การพัฒนาควอนตัมคอมพิพิวติ้ง (Quantum Computing) เป็นหนึ่งในความท้าทายทางเทคโนโลยีที่สำคัญของโลกในปัจจุบัน และสภาพอากาศที่หนาวเย็นอาจมีบทบาทในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนี้ เนื่องจาก:

    ### 1. **ความต้องการสภาพแวดล้อมที่เย็นจัด**
    - ควอนตัมคอมพิวเตอร์บางประเภท โดยเฉพาะ **ซูเปอร์คอนดักติ้งควอนตัมบิต (Superconducting Qubits)** จำเป็นต้องทำงานที่อุณหภูมิใกล้ศูนย์สัมบูรณ์ (−273.15°C หรือ 0 เคลวิน) เพื่อลดสัญญาณรบกวนทางความร้อน (Thermal Noise) ที่อาจรบกวนสถานะควอนตัม (Quantum State) ของคิวบิต
    - ประเทศที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นโดยธรรมชาติอาจช่วยลดต้นทุนและความซับซ้อนของระบบทำความเย็น (Cryogenic Systems) ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ

    ### 2. **ประเทศที่มีศักยภาพจากสภาพอากาศหนาวเย็น**
    - **แคนาดา, รัสเซีย, สแกนดิเนเวีย (นอร์เวย์, สวีเดน, ฟินแลนด์), ไอซ์แลนด์** และบางส่วนของ **สหรัฐอเมริกา (อลาสกา)** มีภูมิอากาศที่หนาวเย็น ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการทดลองควอนตัมบางประเภท
    - ตัวอย่างเช่น:
    - **แคนาดา** มีบริษัทและสถาบันวิจัยชั้นนำด้านควอนตัม เช่น **D-Wave Systems** (บริษัทแรกของโลกที่ขายควอนตัมคอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์) และ **University of Waterloo** ซึ่งเป็นศูนย์กลางของ **Quantum Valley**
    - **สวีเดนและฟินแลนด์** มีโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่งและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการวิจัย

    ### 3. **แต่...สภาพอากาศหนาวไม่ใช่ปัจจัยหลัก**
    - เทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งยังต้องพึ่งพา **ระบบทำความเย็นขั้นสูง** (เช่น Dilution Refrigerators) อยู่ดี แม้ในประเทศที่หนาวเย็น ดังนั้น ข้อได้เปรียบทางภูมิอากาศอาจมีจำกัด
    - ปัจจัยที่สำคัญกว่าคือ:
    - **การลงทุนในวิจัยและพัฒนา** (เช่น จีน, สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป)
    - **ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและอุตสาหกรรม**
    - **โครงสร้างพื้นฐานด้านวิศวกรรมและวัสดุศาสตร์**

    ### 4. **ประเทศที่นำด้านควอนตัมคอมพิวติ้งในปัจจุบัน**
    - **สหรัฐอเมริกา** (Google, IBM, Microsoft)
    - **จีน** (ความก้าวหน้าด้วยควอนตัมคอมพิวเตอร์เช่น **Jiuzhang** และ **Zuchongzhi**)
    - **สหภาพยุโรป** (โปรแกรม Quantum Flagship)
    - **แคนาดา** (D-Wave, Xanadu)
    - **ออสเตรเลีย** (Silicon Quantum Computing)

    ### สรุป
    แม้สภาพอากาศหนาวเย็นอาจช่วยในบางแง่มุม (เช่น ลดพลังงานในการทำความเย็น) แต่ความสำเร็จของควอนตัมคอมพิวติ้งขึ้นอยู่กับ **ความสามารถทางวิศวกรรม, การลงทุน, และการพัฒนาอัลกอริธึมควอนตัม** มากกว่า ประเทศที่มีอากาศหนาวอาจได้เปรียบในบางกรณี แต่ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดที่ทำให้ควอนตัมคอมพิวติ้งประสบความสำเร็จในระดับโลก
    การพัฒนาควอนตัมคอมพิพิวติ้ง (Quantum Computing) เป็นหนึ่งในความท้าทายทางเทคโนโลยีที่สำคัญของโลกในปัจจุบัน และสภาพอากาศที่หนาวเย็นอาจมีบทบาทในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนี้ เนื่องจาก: ### 1. **ความต้องการสภาพแวดล้อมที่เย็นจัด** - ควอนตัมคอมพิวเตอร์บางประเภท โดยเฉพาะ **ซูเปอร์คอนดักติ้งควอนตัมบิต (Superconducting Qubits)** จำเป็นต้องทำงานที่อุณหภูมิใกล้ศูนย์สัมบูรณ์ (−273.15°C หรือ 0 เคลวิน) เพื่อลดสัญญาณรบกวนทางความร้อน (Thermal Noise) ที่อาจรบกวนสถานะควอนตัม (Quantum State) ของคิวบิต - ประเทศที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นโดยธรรมชาติอาจช่วยลดต้นทุนและความซับซ้อนของระบบทำความเย็น (Cryogenic Systems) ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ ### 2. **ประเทศที่มีศักยภาพจากสภาพอากาศหนาวเย็น** - **แคนาดา, รัสเซีย, สแกนดิเนเวีย (นอร์เวย์, สวีเดน, ฟินแลนด์), ไอซ์แลนด์** และบางส่วนของ **สหรัฐอเมริกา (อลาสกา)** มีภูมิอากาศที่หนาวเย็น ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการทดลองควอนตัมบางประเภท - ตัวอย่างเช่น: - **แคนาดา** มีบริษัทและสถาบันวิจัยชั้นนำด้านควอนตัม เช่น **D-Wave Systems** (บริษัทแรกของโลกที่ขายควอนตัมคอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์) และ **University of Waterloo** ซึ่งเป็นศูนย์กลางของ **Quantum Valley** - **สวีเดนและฟินแลนด์** มีโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่งและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการวิจัย ### 3. **แต่...สภาพอากาศหนาวไม่ใช่ปัจจัยหลัก** - เทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งยังต้องพึ่งพา **ระบบทำความเย็นขั้นสูง** (เช่น Dilution Refrigerators) อยู่ดี แม้ในประเทศที่หนาวเย็น ดังนั้น ข้อได้เปรียบทางภูมิอากาศอาจมีจำกัด - ปัจจัยที่สำคัญกว่าคือ: - **การลงทุนในวิจัยและพัฒนา** (เช่น จีน, สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป) - **ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและอุตสาหกรรม** - **โครงสร้างพื้นฐานด้านวิศวกรรมและวัสดุศาสตร์** ### 4. **ประเทศที่นำด้านควอนตัมคอมพิวติ้งในปัจจุบัน** - **สหรัฐอเมริกา** (Google, IBM, Microsoft) - **จีน** (ความก้าวหน้าด้วยควอนตัมคอมพิวเตอร์เช่น **Jiuzhang** และ **Zuchongzhi**) - **สหภาพยุโรป** (โปรแกรม Quantum Flagship) - **แคนาดา** (D-Wave, Xanadu) - **ออสเตรเลีย** (Silicon Quantum Computing) ### สรุป แม้สภาพอากาศหนาวเย็นอาจช่วยในบางแง่มุม (เช่น ลดพลังงานในการทำความเย็น) แต่ความสำเร็จของควอนตัมคอมพิวติ้งขึ้นอยู่กับ **ความสามารถทางวิศวกรรม, การลงทุน, และการพัฒนาอัลกอริธึมควอนตัม** มากกว่า ประเทศที่มีอากาศหนาวอาจได้เปรียบในบางกรณี แต่ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดที่ทำให้ควอนตัมคอมพิวติ้งประสบความสำเร็จในระดับโลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 520 มุมมอง 0 รีวิว
  • Phison E28: SSD ที่เร็วที่สุดในตลาด PCIe 5.0

    Phison ได้เปิดตัว PS5028-E28 ซึ่งเป็น คอนโทรลเลอร์ SSD รุ่นใหม่สำหรับ PCIe 5.0 โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่าคู่แข่งอย่าง Samsung 9100 Pro, Micron 4600 และ Acer Predator GM9000 ตามผลการทดสอบ PCMark 10

    Phison E28 มีประสิทธิภาพสูงกว่าคู่แข่งถึง 18-32% ตามผลการทดสอบ PCMark 10
    - เร็วกว่า Samsung 9100 Pro และ Micron 4600 ประมาณ 18%
    - เร็วกว่า Acer Predator GM9000 ถึง 32%

    Phison E28 มีแบนด์วิดท์สูงกว่าคู่แข่งถึง 16-29%
    - แบนด์วิดท์สูงกว่า Samsung 9100 Pro และ Micron 4600 ประมาณ 16%
    - สูงกว่า Acer Predator GM9000 ถึง 29%

    Phison E28 มีค่า Access Time ต่ำกว่าคู่แข่งถึง 17-26%
    - ค่า Access Time ต่ำกว่า Samsung 9100 Pro และ Micron 4600 ประมาณ 17%
    - ต่ำกว่า Acer Predator GM9000 ถึง 26%

    Phison E28 มีประสิทธิภาพการอ่าน/เขียนแบบสุ่มสูงกว่าคู่แข่งถึง 36% และ 15% ตามลำดับ
    - Random Read สูงกว่าถึง 36%
    - Random Write สูงกว่าถึง 15%

    Phison E28 ใช้ NAND ที่มีความเร็วสูงกว่าคู่แข่ง
    - ใช้ Micron 276-layer B68S FortisFlash NAND ที่ 3,600 MT/s
    - คู่แข่งบางรายใช้ Micron 232-layer B58R FortisFlash ที่ 2,400 MT/s

    ประวัติของ Phison Electronics Corporation

    ก่อตั้งขึ้นในปี 2000
    - Phison Electronics Corporation ก่อตั้งโดย Datuk Pua Khein Seng และผู้ร่วมก่อตั้งอีก 4 คน
    - เป็นบริษัทสัญชาติไต้หวันที่ เชี่ยวชาญด้านการออกแบบและผลิตคอนโทรลเลอร์สำหรับ NAND flash memory

    ผลิตภัณฑ์แรกของ Phison คือ USB Flash Drive แบบชิปเดียว
    - Phison อ้างว่าเป็น ผู้ผลิต USB Flash Drive แบบชิปเดียวรายแรกของโลก

    เป็นสมาชิกของ Open NAND Flash Interface Working Group (ONFI)
    - มีบทบาทสำคัญในการ กำหนดมาตรฐานฮาร์ดแวร์สำหรับ NAND flash memory

    ขยายธุรกิจสู่ตลาด SSD และ NVMe
    - ในปี 2019 Phison เปิดตัว PS-50 series เช่น PS5018-E18 ที่รองรับ PCIe 4.0 NVMe SSD
    - ในปี 2022 Phison เปิดตัว E26 SSD controller ที่มีความเร็วสูงขึ้น

    ร่วมมือกับ Seagate ในปี 2022
    - เพื่อพัฒนาและจัดจำหน่าย NVMe SSD สำหรับตลาดองค์กร

    มีศูนย์วิจัยและพัฒนาในหลายประเทศ
    - เคยตั้งศูนย์ R&D ใน Bayan Lepas, มาเลเซีย ในปี 2012 แต่ปิดตัวลงในปี 2019
    - ในปี 2024 Phison ก่อตั้ง MaiStorage ใน Puchong, มาเลเซีย เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี IC และการจัดเก็บข้อมูลสำหรับ ศูนย์ข้อมูล, รถยนต์ไฟฟ้า และ AI

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/exclusive-phison-e28-ssd-trashes-the-fastest-ssds-on-the-market-in-new-benchmark
    Phison E28: SSD ที่เร็วที่สุดในตลาด PCIe 5.0 Phison ได้เปิดตัว PS5028-E28 ซึ่งเป็น คอนโทรลเลอร์ SSD รุ่นใหม่สำหรับ PCIe 5.0 โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่าคู่แข่งอย่าง Samsung 9100 Pro, Micron 4600 และ Acer Predator GM9000 ตามผลการทดสอบ PCMark 10 ✅ Phison E28 มีประสิทธิภาพสูงกว่าคู่แข่งถึง 18-32% ตามผลการทดสอบ PCMark 10 - เร็วกว่า Samsung 9100 Pro และ Micron 4600 ประมาณ 18% - เร็วกว่า Acer Predator GM9000 ถึง 32% ✅ Phison E28 มีแบนด์วิดท์สูงกว่าคู่แข่งถึง 16-29% - แบนด์วิดท์สูงกว่า Samsung 9100 Pro และ Micron 4600 ประมาณ 16% - สูงกว่า Acer Predator GM9000 ถึง 29% ✅ Phison E28 มีค่า Access Time ต่ำกว่าคู่แข่งถึง 17-26% - ค่า Access Time ต่ำกว่า Samsung 9100 Pro และ Micron 4600 ประมาณ 17% - ต่ำกว่า Acer Predator GM9000 ถึง 26% ✅ Phison E28 มีประสิทธิภาพการอ่าน/เขียนแบบสุ่มสูงกว่าคู่แข่งถึง 36% และ 15% ตามลำดับ - Random Read สูงกว่าถึง 36% - Random Write สูงกว่าถึง 15% ✅ Phison E28 ใช้ NAND ที่มีความเร็วสูงกว่าคู่แข่ง - ใช้ Micron 276-layer B68S FortisFlash NAND ที่ 3,600 MT/s - คู่แข่งบางรายใช้ Micron 232-layer B58R FortisFlash ที่ 2,400 MT/s ℹ️ℹ️ℹ️ประวัติของ Phison Electronics Corporationℹ️ℹ️ℹ️ ✅ ก่อตั้งขึ้นในปี 2000 - Phison Electronics Corporation ก่อตั้งโดย Datuk Pua Khein Seng และผู้ร่วมก่อตั้งอีก 4 คน - เป็นบริษัทสัญชาติไต้หวันที่ เชี่ยวชาญด้านการออกแบบและผลิตคอนโทรลเลอร์สำหรับ NAND flash memory ✅ ผลิตภัณฑ์แรกของ Phison คือ USB Flash Drive แบบชิปเดียว - Phison อ้างว่าเป็น ผู้ผลิต USB Flash Drive แบบชิปเดียวรายแรกของโลก ✅ เป็นสมาชิกของ Open NAND Flash Interface Working Group (ONFI) - มีบทบาทสำคัญในการ กำหนดมาตรฐานฮาร์ดแวร์สำหรับ NAND flash memory ✅ ขยายธุรกิจสู่ตลาด SSD และ NVMe - ในปี 2019 Phison เปิดตัว PS-50 series เช่น PS5018-E18 ที่รองรับ PCIe 4.0 NVMe SSD - ในปี 2022 Phison เปิดตัว E26 SSD controller ที่มีความเร็วสูงขึ้น ✅ ร่วมมือกับ Seagate ในปี 2022 - เพื่อพัฒนาและจัดจำหน่าย NVMe SSD สำหรับตลาดองค์กร ✅ มีศูนย์วิจัยและพัฒนาในหลายประเทศ - เคยตั้งศูนย์ R&D ใน Bayan Lepas, มาเลเซีย ในปี 2012 แต่ปิดตัวลงในปี 2019 - ในปี 2024 Phison ก่อตั้ง MaiStorage ใน Puchong, มาเลเซีย เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี IC และการจัดเก็บข้อมูลสำหรับ ศูนย์ข้อมูล, รถยนต์ไฟฟ้า และ AI https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/exclusive-phison-e28-ssd-trashes-the-fastest-ssds-on-the-market-in-new-benchmark
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 381 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า วิเคราะห์ เลือกตั้งเทศบาลกับบทบาทพรรคการเมือง
    https://www.thai-tai.tv/news/18616/
    ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า วิเคราะห์ เลือกตั้งเทศบาลกับบทบาทพรรคการเมือง https://www.thai-tai.tv/news/18616/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • Quantum AI: เทคโนโลยีที่ธุรกิจเริ่มให้ความสนใจมากขึ้น Quantum AI กำลังกลายเป็น เทคโนโลยีที่ธุรกิจจำนวนมากเริ่มลงทุนและสำรวจ โดยรายงานจาก SAS พบว่า สามในห้าของธุรกิจมีการลงทุนหรือกำลังศึกษา Quantum AI ซึ่งมีการนำไปใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูลและ Machine Learning เป็นหลัก

    แม้ว่า Quantum AI จะมีศักยภาพสูง แต่ก็ยังมี อุปสรรคสำคัญที่ทำให้การนำไปใช้ในวงกว้างเป็นเรื่องท้าทาย เช่น ต้นทุนที่สูง, ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี และขาดบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะทาง

    สามในห้าของธุรกิจมีการลงทุนหรือกำลังศึกษา Quantum AI
    - แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจเริ่มให้ความสนใจในเทคโนโลยีนี้มากขึ้น

    การวิเคราะห์ข้อมูลและ Machine Learning เป็นการใช้งานหลักของ Quantum AI
    - คิดเป็น 48% ของการนำไปใช้ในธุรกิจ

    Quantum AI ยังถูกนำไปใช้ในงานวิจัยและพัฒนา (41%) และความปลอดภัยทางไซเบอร์ (35%)
    - รวมถึง ซัพพลายเชน, การเงิน และการตลาด

    Quantum AI สามารถช่วยแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและประมวลผลข้อมูลจำนวนมากได้รวดเร็วขึ้น
    - ทำให้ สามารถพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

    อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จาก Quantum AI ได้แก่ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ, การเงิน และการผลิต
    - เช่น การค้นคว้ายา, การบริหารความเสี่ยง และการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต

    https://www.techradar.com/pro/quantum-ai-is-becoming-a-popular-interest-for-many-businesses
    Quantum AI: เทคโนโลยีที่ธุรกิจเริ่มให้ความสนใจมากขึ้น Quantum AI กำลังกลายเป็น เทคโนโลยีที่ธุรกิจจำนวนมากเริ่มลงทุนและสำรวจ โดยรายงานจาก SAS พบว่า สามในห้าของธุรกิจมีการลงทุนหรือกำลังศึกษา Quantum AI ซึ่งมีการนำไปใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูลและ Machine Learning เป็นหลัก แม้ว่า Quantum AI จะมีศักยภาพสูง แต่ก็ยังมี อุปสรรคสำคัญที่ทำให้การนำไปใช้ในวงกว้างเป็นเรื่องท้าทาย เช่น ต้นทุนที่สูง, ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี และขาดบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะทาง ✅ สามในห้าของธุรกิจมีการลงทุนหรือกำลังศึกษา Quantum AI - แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจเริ่มให้ความสนใจในเทคโนโลยีนี้มากขึ้น ✅ การวิเคราะห์ข้อมูลและ Machine Learning เป็นการใช้งานหลักของ Quantum AI - คิดเป็น 48% ของการนำไปใช้ในธุรกิจ ✅ Quantum AI ยังถูกนำไปใช้ในงานวิจัยและพัฒนา (41%) และความปลอดภัยทางไซเบอร์ (35%) - รวมถึง ซัพพลายเชน, การเงิน และการตลาด ✅ Quantum AI สามารถช่วยแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและประมวลผลข้อมูลจำนวนมากได้รวดเร็วขึ้น - ทำให้ สามารถพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ✅ อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จาก Quantum AI ได้แก่ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ, การเงิน และการผลิต - เช่น การค้นคว้ายา, การบริหารความเสี่ยง และการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต https://www.techradar.com/pro/quantum-ai-is-becoming-a-popular-interest-for-many-businesses
    WWW.TECHRADAR.COM
    Quantum AI is becoming a popular interest for many businesses
    Lots of businesses are exploring quantum AI, survey finds
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหภาพยุโรป (EU) กำลังพิจารณาเพิ่มงบประมาณด้านเซมิคอนดักเตอร์เป็น 4 เท่าจากเดิม เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันกับสหรัฐฯ และจีน โดยอุตสาหกรรมกำลังผลักดันให้มี Chips Act 2.0 ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ใหม่ในการพัฒนาและผลิตชิปภายในยุโรป

    กลุ่มอุตสาหกรรม SEMI ได้เสนอให้ EU จัดสรรงบประมาณแยกต่างหากสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อให้สามารถลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเป้าหมายหลักคือ ลดการพึ่งพาการนำเข้าชิปจากต่างประเทศ และ เพิ่มขีดความสามารถของยุโรปในการผลิตชิปขั้นสูง

    EU พิจารณาเพิ่มงบประมาณด้านเซมิคอนดักเตอร์เป็น 4 เท่า
    - เพื่อเสริมสร้าง ความสามารถในการแข่งขันกับสหรัฐฯ และจีน
    - เป็นส่วนหนึ่งของแผน Chips Act 2.0

    กลุ่มอุตสาหกรรม SEMI เสนอให้ EU จัดสรรงบประมาณแยกต่างหากสำหรับเซมิคอนดักเตอร์
    - เพื่อให้สามารถ ลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    - ลดการพึ่งพาการนำเข้าชิปจากต่างประเทศ

    เป้าหมายหลักของ Chips Act 2.0
    - เพิ่มขีดความสามารถของยุโรปในการ ผลิตชิปขั้นสูง
    - สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในยุโรป
    - อาจช่วยให้บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ยุโรปสามารถแข่งขันกับบริษัทในสหรัฐฯ และจีนได้ดีขึ้น
    - ส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิตชิป

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/06/eu-should-quadruple-semiconductor-spending-industry-group-says
    สหภาพยุโรป (EU) กำลังพิจารณาเพิ่มงบประมาณด้านเซมิคอนดักเตอร์เป็น 4 เท่าจากเดิม เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันกับสหรัฐฯ และจีน โดยอุตสาหกรรมกำลังผลักดันให้มี Chips Act 2.0 ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ใหม่ในการพัฒนาและผลิตชิปภายในยุโรป กลุ่มอุตสาหกรรม SEMI ได้เสนอให้ EU จัดสรรงบประมาณแยกต่างหากสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อให้สามารถลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเป้าหมายหลักคือ ลดการพึ่งพาการนำเข้าชิปจากต่างประเทศ และ เพิ่มขีดความสามารถของยุโรปในการผลิตชิปขั้นสูง ✅ EU พิจารณาเพิ่มงบประมาณด้านเซมิคอนดักเตอร์เป็น 4 เท่า - เพื่อเสริมสร้าง ความสามารถในการแข่งขันกับสหรัฐฯ และจีน - เป็นส่วนหนึ่งของแผน Chips Act 2.0 ✅ กลุ่มอุตสาหกรรม SEMI เสนอให้ EU จัดสรรงบประมาณแยกต่างหากสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ - เพื่อให้สามารถ ลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น - ลดการพึ่งพาการนำเข้าชิปจากต่างประเทศ ✅ เป้าหมายหลักของ Chips Act 2.0 - เพิ่มขีดความสามารถของยุโรปในการ ผลิตชิปขั้นสูง - สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในยุโรป - อาจช่วยให้บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ยุโรปสามารถแข่งขันกับบริษัทในสหรัฐฯ และจีนได้ดีขึ้น - ส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิตชิป https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/06/eu-should-quadruple-semiconductor-spending-industry-group-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    EU should quadruple semiconductor spending, industry group says
    AMSTERDAM (Reuters) -The European Union should quadruple its spending on chips and allocate a separate budget for it, industry group SEMI said on Tuesday in its official response to EU consultations for its upcoming investment budget.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ในคดีต่อต้านการผูกขาดเกี่ยวกับตลาดการค้นหาออนไลน์ โดย DOJ ได้เสนอแนวทางแก้ไขที่อาจส่งผลกระทบต่อการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของ Google รวมถึงนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี

    Sundar Pichai ซีอีโอของ Google ให้การในศาลว่า การบังคับให้ Google แชร์ข้อมูลดัชนีการค้นหาและข้อมูลคำค้นหากับคู่แข่ง อาจทำให้บริษัทสูญเสียความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรม และส่งผลกระทบต่อการลงทุนใน R&D ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสองทศวรรษ

    นอกจากนี้ DOJ ยังเสนอให้ Google หยุดจ่ายเงินให้กับบริษัทต่างๆ เช่น Apple และ Samsung เพื่อรักษาตำแหน่งเป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น และยังมีข้อเสนอให้ Google ขายเบราว์เซอร์ Chrome ให้กับผู้ซื้อรายอื่น ซึ่ง OpenAI, Perplexity และ Yahoo ได้แสดงความสนใจในการซื้อ Chrome

    Parisa Tabriz ผู้จัดการทั่วไปของ Google Chrome ได้ให้การในศาลเพื่อปกป้องการเป็นเจ้าของ Chrome โดยระบุว่า Google เป็นบริษัทเดียวที่สามารถดำเนินการ Chrome ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และฟีเจอร์ด้านความเป็นส่วนตัวของเบราว์เซอร์ต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานของ Google

    ข้อกล่าวหาจาก DOJ
    - DOJ กล่าวหา Google ว่าผูกขาดตลาดการค้นหาออนไลน์
    - ศาลรับรองข้อกล่าวหาในปี 2024

    แนวทางแก้ไขที่เสนอโดย DOJ
    - บังคับให้ Google แชร์ข้อมูลดัชนีการค้นหาและข้อมูลคำค้นหากับคู่แข่ง
    - หยุดจ่ายเงินให้ Apple และ Samsung เพื่อรักษาตำแหน่งเป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น
    - บังคับให้ Google ขายเบราว์เซอร์ Chrome

    การตอบสนองของ Google
    - Sundar Pichai ระบุว่าการแชร์ข้อมูลจะทำให้ Google สูญเสียความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรม
    - Parisa Tabriz ให้การว่าฟีเจอร์ด้านความเป็นส่วนตัวของ Chrome ต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานของ Google

    ผู้สนใจซื้อ Chrome
    - OpenAI, Perplexity และ Yahoo แสดงความสนใจในการซื้อ Chrome

    https://www.neowin.net/news/sundar-pichai-warns-proposed-remedies-by-doj-could-kill-googles-rd-and-innovation/
    Google กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ในคดีต่อต้านการผูกขาดเกี่ยวกับตลาดการค้นหาออนไลน์ โดย DOJ ได้เสนอแนวทางแก้ไขที่อาจส่งผลกระทบต่อการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของ Google รวมถึงนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี Sundar Pichai ซีอีโอของ Google ให้การในศาลว่า การบังคับให้ Google แชร์ข้อมูลดัชนีการค้นหาและข้อมูลคำค้นหากับคู่แข่ง อาจทำให้บริษัทสูญเสียความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรม และส่งผลกระทบต่อการลงทุนใน R&D ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสองทศวรรษ นอกจากนี้ DOJ ยังเสนอให้ Google หยุดจ่ายเงินให้กับบริษัทต่างๆ เช่น Apple และ Samsung เพื่อรักษาตำแหน่งเป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น และยังมีข้อเสนอให้ Google ขายเบราว์เซอร์ Chrome ให้กับผู้ซื้อรายอื่น ซึ่ง OpenAI, Perplexity และ Yahoo ได้แสดงความสนใจในการซื้อ Chrome Parisa Tabriz ผู้จัดการทั่วไปของ Google Chrome ได้ให้การในศาลเพื่อปกป้องการเป็นเจ้าของ Chrome โดยระบุว่า Google เป็นบริษัทเดียวที่สามารถดำเนินการ Chrome ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และฟีเจอร์ด้านความเป็นส่วนตัวของเบราว์เซอร์ต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานของ Google ✅ ข้อกล่าวหาจาก DOJ - DOJ กล่าวหา Google ว่าผูกขาดตลาดการค้นหาออนไลน์ - ศาลรับรองข้อกล่าวหาในปี 2024 ✅ แนวทางแก้ไขที่เสนอโดย DOJ - บังคับให้ Google แชร์ข้อมูลดัชนีการค้นหาและข้อมูลคำค้นหากับคู่แข่ง - หยุดจ่ายเงินให้ Apple และ Samsung เพื่อรักษาตำแหน่งเป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น - บังคับให้ Google ขายเบราว์เซอร์ Chrome ✅ การตอบสนองของ Google - Sundar Pichai ระบุว่าการแชร์ข้อมูลจะทำให้ Google สูญเสียความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรม - Parisa Tabriz ให้การว่าฟีเจอร์ด้านความเป็นส่วนตัวของ Chrome ต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานของ Google ✅ ผู้สนใจซื้อ Chrome - OpenAI, Perplexity และ Yahoo แสดงความสนใจในการซื้อ Chrome https://www.neowin.net/news/sundar-pichai-warns-proposed-remedies-by-doj-could-kill-googles-rd-and-innovation/
    WWW.NEOWIN.NET
    Sundar Pichai warns proposed remedies by DOJ could kill Google's R&D and innovation
    Google's CEO believes the DOJ demands, including sharing search data with rival companies, could stifle Google's innovation and harm its R&D efforts.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 333 มุมมอง 0 รีวิว
  • IBM ได้ประกาศแผนการลงทุนมูลค่า 150 พันล้านดอลลาร์ ในสหรัฐอเมริกาในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีและเสริมสร้างความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำด้านคอมพิวเตอร์ระดับโลก การลงทุนนี้รวมถึงการจัดสรรงบประมาณกว่า 30 พันล้านดอลลาร์ สำหรับการวิจัยและพัฒนา โดยเน้นการผลิตคอมพิวเตอร์เมนเฟรมและควอนตัมในสหรัฐฯ

    IBM ยังมองว่าคอมพิวเตอร์ควอนตัมเป็นโอกาสสำคัญทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี โดยบริษัทมีแผนที่จะออกแบบและผลิตระบบควอนตัมในสหรัฐฯ เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันไม่สามารถจัดการได้ การลงทุนนี้ยังมุ่งเน้นการสร้างงาน เสริมความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ และเพิ่มความมั่นคงทางเทคโนโลยี

    มูลค่าการลงทุนและเป้าหมาย
    - ลงทุน 150 พันล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ ในช่วง 5 ปีข้างหน้า
    - จัดสรร 30 พันล้านดอลลาร์สำหรับการวิจัยและพัฒนา

    การผลิตในสหรัฐฯ
    - เน้นการผลิตคอมพิวเตอร์เมนเฟรมและควอนตัมในสหรัฐฯ
    - ระบบควอนตัมของ IBM ถูกมองว่าเป็นโอกาสสำคัญทางเศรษฐกิจ

    ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและเทคโนโลยี
    - ช่วยสร้างงานและเสริมความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ
    - เพิ่มความมั่นคงทางเทคโนโลยี

    ความสำคัญของ IBM ในอดีตและปัจจุบัน
    - IBM เป็นผู้ผลิตเทคโนโลยีสำคัญ เช่น ระบบข้อมูลสำหรับ Social Security และเทคโนโลยีที่ช่วยโครงการ Apollo

    https://www.neowin.net/news/ibm-announces-150-billion-investment-in-the-us-to-accelerate-technology-opportunity/
    IBM ได้ประกาศแผนการลงทุนมูลค่า 150 พันล้านดอลลาร์ ในสหรัฐอเมริกาในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีและเสริมสร้างความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำด้านคอมพิวเตอร์ระดับโลก การลงทุนนี้รวมถึงการจัดสรรงบประมาณกว่า 30 พันล้านดอลลาร์ สำหรับการวิจัยและพัฒนา โดยเน้นการผลิตคอมพิวเตอร์เมนเฟรมและควอนตัมในสหรัฐฯ IBM ยังมองว่าคอมพิวเตอร์ควอนตัมเป็นโอกาสสำคัญทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี โดยบริษัทมีแผนที่จะออกแบบและผลิตระบบควอนตัมในสหรัฐฯ เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันไม่สามารถจัดการได้ การลงทุนนี้ยังมุ่งเน้นการสร้างงาน เสริมความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ และเพิ่มความมั่นคงทางเทคโนโลยี ✅ มูลค่าการลงทุนและเป้าหมาย - ลงทุน 150 พันล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ ในช่วง 5 ปีข้างหน้า - จัดสรร 30 พันล้านดอลลาร์สำหรับการวิจัยและพัฒนา ✅ การผลิตในสหรัฐฯ - เน้นการผลิตคอมพิวเตอร์เมนเฟรมและควอนตัมในสหรัฐฯ - ระบบควอนตัมของ IBM ถูกมองว่าเป็นโอกาสสำคัญทางเศรษฐกิจ ✅ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและเทคโนโลยี - ช่วยสร้างงานและเสริมความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ - เพิ่มความมั่นคงทางเทคโนโลยี ✅ ความสำคัญของ IBM ในอดีตและปัจจุบัน - IBM เป็นผู้ผลิตเทคโนโลยีสำคัญ เช่น ระบบข้อมูลสำหรับ Social Security และเทคโนโลยีที่ช่วยโครงการ Apollo https://www.neowin.net/news/ibm-announces-150-billion-investment-in-the-us-to-accelerate-technology-opportunity/
    WWW.NEOWIN.NET
    IBM announces $150 billion Investment in the US to 'accelerate technology opportunity'
    IBM has pledged a multi-billion-dollar investment in America over five years to boost the economy and lead in computing technology.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 219 มุมมอง 0 รีวิว
  • TSMC ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า System on Wafer-X ซึ่งช่วยให้สามารถรวมชิปประมวลผลขนาดใหญ่ได้ถึง 16 ตัวในแพ็กเกจเดียว พร้อมทั้งชิปหน่วยความจำและการเชื่อมต่อแบบออปติคัลที่รวดเร็ว เทคโนโลยีนี้ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานที่ต้องการพลังประมวลผลสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ นอกจากนี้ TSMC ยังประกาศแผนการสร้างโรงงานใหม่ในรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา เพื่อรองรับการผลิตชิปที่ใช้เทคโนโลยีนี้

    System on Wafer-X ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล
    - สามารถรวมชิปประมวลผลขนาดใหญ่ได้ถึง 16 ตัวในแพ็กเกจเดียว
    - รองรับการใช้งานที่ต้องการพลังประมวลผลสูง เช่น AI และการวิเคราะห์ข้อมูล

    เทคโนโลยี A14 จะเปิดตัวในปี 2028
    - ช่วยเพิ่มความเร็วของชิปได้ถึง 15% หรือประหยัดพลังงานได้ถึง 30% เมื่อเทียบกับชิป N2

    แผนการสร้างโรงงานใหม่ในรัฐแอริโซนา
    - TSMC วางแผนสร้างโรงงาน 6 แห่ง รวมถึงโรงงานบรรจุภัณฑ์และศูนย์วิจัยและพัฒนา

    การแข่งขันในตลาดชิปประมวลผล
    - Intel กำลังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อแข่งขันกับ TSMC

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/24/tsmc-shows-off-new-tech-for-stitching-together-bigger-faster-chips
    TSMC ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า System on Wafer-X ซึ่งช่วยให้สามารถรวมชิปประมวลผลขนาดใหญ่ได้ถึง 16 ตัวในแพ็กเกจเดียว พร้อมทั้งชิปหน่วยความจำและการเชื่อมต่อแบบออปติคัลที่รวดเร็ว เทคโนโลยีนี้ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานที่ต้องการพลังประมวลผลสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ นอกจากนี้ TSMC ยังประกาศแผนการสร้างโรงงานใหม่ในรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา เพื่อรองรับการผลิตชิปที่ใช้เทคโนโลยีนี้ ✅ System on Wafer-X ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล - สามารถรวมชิปประมวลผลขนาดใหญ่ได้ถึง 16 ตัวในแพ็กเกจเดียว - รองรับการใช้งานที่ต้องการพลังประมวลผลสูง เช่น AI และการวิเคราะห์ข้อมูล ✅ เทคโนโลยี A14 จะเปิดตัวในปี 2028 - ช่วยเพิ่มความเร็วของชิปได้ถึง 15% หรือประหยัดพลังงานได้ถึง 30% เมื่อเทียบกับชิป N2 ✅ แผนการสร้างโรงงานใหม่ในรัฐแอริโซนา - TSMC วางแผนสร้างโรงงาน 6 แห่ง รวมถึงโรงงานบรรจุภัณฑ์และศูนย์วิจัยและพัฒนา ✅ การแข่งขันในตลาดชิปประมวลผล - Intel กำลังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อแข่งขันกับ TSMC https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/24/tsmc-shows-off-new-tech-for-stitching-together-bigger-faster-chips
    WWW.THESTAR.COM.MY
    TSMC shows off new tech for stitching together bigger, faster chips
    SANTA CLARA, California (Reuters) -Taiwan Semiconductor Manufacturing Co on Wednesday unveiled technology for making faster chips and putting them together in dinner-plate-sized packages that will boost performance needed for artificial intelligence applications.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • *พัฒนาเซ็นเซอร์ตรวจวัดแก๊สมีเทนประสิทธิภาพสูงด้วยเทคโนโลยีซินโครตรอน*

    “มีเทน” เป็นองค์ประกอบหลักของแก๊สธรรมชาติโดยมีสัดส่วนประมาณ 75% แก๊สมีเทนมีคุณสมบัติไวไฟ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาหรือดมกลิ่น จึงต้องใช้อุปกรณ์จำเพาะที่เรียกว่า “แก๊สเซ็นเซอร์” ตรวจสอบการมีอยู่ของแก๊สชนิดนี้ โดยเฉพาะเมื่อเกิดการรั่วไหล ซึ่งแก๊สเซ็นเซอร์คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจสอบและวัดระดับของแก๊สในอากาศหรือในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ โดยเซ็นเซอร์จะทำการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของความเข้มข้นของก๊าซที่ต้องการวัด ซึ่งมักใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน เช่น การวัดด้วยไฟฟ้า ความร้อน หรือการเปลี่ยนแปลงทางเคมี การวิจัยและพัฒนาเซ็นเซอร์ให้มีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือจึงมีความจำเป็น

    ปัจจุบันแก๊สเซ็นเซอร์ชนิดสารกึ่งตัวนำโลหะออกไซด์ได้ถูกพัฒนาอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีการตอบสนองต่อแก๊สที่สูง มีความคุ้มค่า สามารถใช้งานในระยะยาว และง่ายต่อการขึ้นรูป

    งานวิจัยโดย ดร.ยิ่งยศ ภู่อาภรณ์ ส่วนวิจัยด้านพลังงาน ยานยนต์ไฟฟ้า และสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน และคณะ ได้ใช้เทคโนโลยีสปัตเตอริง* และไฮโดรเทอมอล ผลิตฟิล์มซิงค์ออกไซด์แท่งนาโนสำหรับประกอบเป็นวัสดุเซนเซอร์ตรวจวัดแก๊สมีเทน และใช้แสงซินโครตรอนประกอบขึ้นเป็นเซ็นเซอร์ด้วยกระบวนการลิโทกราฟี** โดยภาพจากล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแสดงให้เห็นซิงค์ออกไซด์ที่ผลิตได้มีรูปร่างเป็นแท่งหกเหลี่ยมวางตัวตามแนวตั้ง ซึ่งแต่ละแท่งมีความสูงเฉลี่ยประมาณ 1 ไมโครเมตร และมีขนาดหน้าตัดประมาณ 50 นาโนเมตร

    คณะวิจัยศึกษาประสิทธิการตอบสนองของเซ็นเซอร์ที่ผลิตได้สำหรับแก๊สมีเทนที่อุณหภูมิต่างๆ โดยเทคนิคการวัดการดูดกลืนรังสีเอกซ์แบบอินซิทู (in-situ X-ray absorption spectroscopy) ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าเซ็นเซอร์ที่ผลิตขึ้นสามารถตรวจวัดแก๊สมีเทนที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ที่ความเข้มข้นแก๊สสูงสุด 10% โดยปริมาตร ใช้เวลาในการตอบสนองต่อแก๊สมีเทน 4 วินาที และใช้เวลาในการฟื้นฟูพื้นผิว 6 วินาที

    งานวิจัยนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า เซ็นเซอร์ที่เตรียมขึ้นได้นี้มีค่าการตอบสนองต่อแก๊สมีเทนได้ดี และสามารถส่งสัญญาณการตอบสนองของแก๊สมีเทนได้ในเวลาไม่กี่วินาที ซึ่งสามารถต่อยอดสู่เซนเซอร์ประสิทธิภาพสูงที่ใช้งานได้จริง เพื่อตรวจจับแก๊สมีเทนแบบเรียลไทม์ต่อไปในอนาคต

    หมายเหตุ
    * เทคนิคสปัตเตอริง (Sputtering) เป็นวิธีการหนึ่งที่นิยมนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในการเคลือบฟิล์มบาง เนื่องจากจะได้ฟิล์มที่มีความสม่ำเสมอ
    ** ลิโธกราฟี (Lithography) เป็นหนึ่งในเทคนิคที่สามารถใช้แสงซินโครตรอนในการสร้างลวดลายเซนเซอร์
    *พัฒนาเซ็นเซอร์ตรวจวัดแก๊สมีเทนประสิทธิภาพสูงด้วยเทคโนโลยีซินโครตรอน* “มีเทน” เป็นองค์ประกอบหลักของแก๊สธรรมชาติโดยมีสัดส่วนประมาณ 75% แก๊สมีเทนมีคุณสมบัติไวไฟ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาหรือดมกลิ่น จึงต้องใช้อุปกรณ์จำเพาะที่เรียกว่า “แก๊สเซ็นเซอร์” ตรวจสอบการมีอยู่ของแก๊สชนิดนี้ โดยเฉพาะเมื่อเกิดการรั่วไหล ซึ่งแก๊สเซ็นเซอร์คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจสอบและวัดระดับของแก๊สในอากาศหรือในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ โดยเซ็นเซอร์จะทำการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของความเข้มข้นของก๊าซที่ต้องการวัด ซึ่งมักใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน เช่น การวัดด้วยไฟฟ้า ความร้อน หรือการเปลี่ยนแปลงทางเคมี การวิจัยและพัฒนาเซ็นเซอร์ให้มีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือจึงมีความจำเป็น ปัจจุบันแก๊สเซ็นเซอร์ชนิดสารกึ่งตัวนำโลหะออกไซด์ได้ถูกพัฒนาอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีการตอบสนองต่อแก๊สที่สูง มีความคุ้มค่า สามารถใช้งานในระยะยาว และง่ายต่อการขึ้นรูป งานวิจัยโดย ดร.ยิ่งยศ ภู่อาภรณ์ ส่วนวิจัยด้านพลังงาน ยานยนต์ไฟฟ้า และสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน และคณะ ได้ใช้เทคโนโลยีสปัตเตอริง* และไฮโดรเทอมอล ผลิตฟิล์มซิงค์ออกไซด์แท่งนาโนสำหรับประกอบเป็นวัสดุเซนเซอร์ตรวจวัดแก๊สมีเทน และใช้แสงซินโครตรอนประกอบขึ้นเป็นเซ็นเซอร์ด้วยกระบวนการลิโทกราฟี** โดยภาพจากล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแสดงให้เห็นซิงค์ออกไซด์ที่ผลิตได้มีรูปร่างเป็นแท่งหกเหลี่ยมวางตัวตามแนวตั้ง ซึ่งแต่ละแท่งมีความสูงเฉลี่ยประมาณ 1 ไมโครเมตร และมีขนาดหน้าตัดประมาณ 50 นาโนเมตร คณะวิจัยศึกษาประสิทธิการตอบสนองของเซ็นเซอร์ที่ผลิตได้สำหรับแก๊สมีเทนที่อุณหภูมิต่างๆ โดยเทคนิคการวัดการดูดกลืนรังสีเอกซ์แบบอินซิทู (in-situ X-ray absorption spectroscopy) ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าเซ็นเซอร์ที่ผลิตขึ้นสามารถตรวจวัดแก๊สมีเทนที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ที่ความเข้มข้นแก๊สสูงสุด 10% โดยปริมาตร ใช้เวลาในการตอบสนองต่อแก๊สมีเทน 4 วินาที และใช้เวลาในการฟื้นฟูพื้นผิว 6 วินาที งานวิจัยนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า เซ็นเซอร์ที่เตรียมขึ้นได้นี้มีค่าการตอบสนองต่อแก๊สมีเทนได้ดี และสามารถส่งสัญญาณการตอบสนองของแก๊สมีเทนได้ในเวลาไม่กี่วินาที ซึ่งสามารถต่อยอดสู่เซนเซอร์ประสิทธิภาพสูงที่ใช้งานได้จริง เพื่อตรวจจับแก๊สมีเทนแบบเรียลไทม์ต่อไปในอนาคต หมายเหตุ * เทคนิคสปัตเตอริง (Sputtering) เป็นวิธีการหนึ่งที่นิยมนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในการเคลือบฟิล์มบาง เนื่องจากจะได้ฟิล์มที่มีความสม่ำเสมอ ** ลิโธกราฟี (Lithography) เป็นหนึ่งในเทคนิคที่สามารถใช้แสงซินโครตรอนในการสร้างลวดลายเซนเซอร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 329 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts