• ทล.เร่งสอบ”คานปูน-โครงสร้างเหล็ก” พระราม 2 ถล่ม พบประเด็นตัวยึดคานและทรัสหลุด หาสาเหตุเกิดจากขั้นตอนการทำงานหรือตัววัสดุมีปัญหา คาดสรุปในสัปดาห์นี้ ยันรับเหมาใช้แรงงานต่างด้าวได้ในงานทั่วไป ส่วนงานเฉพาะทางบุคลากรต้องมีใบรับรองตามระเบียบ

    จากกรณีกรณีคานปูน (Segment) และโครงสร้างเหล็ก (Launching Gantry Crane) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่ใช้ก่อสร้างทางยกระดับ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 สายทางยกระดับบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว ช่วงเอกชัย -บ้านแพ้ว ตอน 1 พังถล่ม เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2567 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งดำเนินคดีต่อ บริษัท อุดมศักดิ์เชียงใหม่ จำกัด และบริษัท พีเอสซีไอ คอนสตรัคชัน จำกัด ผู้รับเหมาในความผิด ฐานใช้แรงงานต่างด้าวทำงานนอกเหนือสิทธิ และความปลอดภัยอาชีวะอนามัยไปแล้วนั้น

    นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) กล่าวว่า ในส่วนของกรมทางหลวง และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ร่วมการตรวจสอบในทุกมิติ ทั้งตัวโครงสร้างเหล็ก Launching Gantry และแผ่นปูน (ทรัส) เรื่องการบริหารจัดการระหว่างก่อสร้าง รวมทั้งหมด 5 ประเด็น

    ทั้งนี้ มีการตรวจสอบเรื่องวัสดุ พบมีประเด็นเรื่องตัวยึดระหว่างคานคอนกรีตและทรัส อาจมีปัญหา ซึ่งจะต้องมีการทดสอบวัสดุ เพื่อดูว่าสาเหตุที่ตัวยึดคานหลุดนั้น เกิดจากการทำงานหรือตัววัสดุมีปัญหา โดยจะสรุปผลการสอบสวนภายในสัปดาห์นี้ และจะรายงานกระทรวงคมนาคมรับทราบต่อไป

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/business/detail/9680000023136

    #MGROnline #โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข82 #คานปูน #โครงสร้างเหล็ก #พระราม2
    ทล.เร่งสอบ”คานปูน-โครงสร้างเหล็ก” พระราม 2 ถล่ม พบประเด็นตัวยึดคานและทรัสหลุด หาสาเหตุเกิดจากขั้นตอนการทำงานหรือตัววัสดุมีปัญหา คาดสรุปในสัปดาห์นี้ ยันรับเหมาใช้แรงงานต่างด้าวได้ในงานทั่วไป ส่วนงานเฉพาะทางบุคลากรต้องมีใบรับรองตามระเบียบ • จากกรณีกรณีคานปูน (Segment) และโครงสร้างเหล็ก (Launching Gantry Crane) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่ใช้ก่อสร้างทางยกระดับ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 สายทางยกระดับบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว ช่วงเอกชัย -บ้านแพ้ว ตอน 1 พังถล่ม เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2567 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งดำเนินคดีต่อ บริษัท อุดมศักดิ์เชียงใหม่ จำกัด และบริษัท พีเอสซีไอ คอนสตรัคชัน จำกัด ผู้รับเหมาในความผิด ฐานใช้แรงงานต่างด้าวทำงานนอกเหนือสิทธิ และความปลอดภัยอาชีวะอนามัยไปแล้วนั้น • นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) กล่าวว่า ในส่วนของกรมทางหลวง และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ร่วมการตรวจสอบในทุกมิติ ทั้งตัวโครงสร้างเหล็ก Launching Gantry และแผ่นปูน (ทรัส) เรื่องการบริหารจัดการระหว่างก่อสร้าง รวมทั้งหมด 5 ประเด็น • ทั้งนี้ มีการตรวจสอบเรื่องวัสดุ พบมีประเด็นเรื่องตัวยึดระหว่างคานคอนกรีตและทรัส อาจมีปัญหา ซึ่งจะต้องมีการทดสอบวัสดุ เพื่อดูว่าสาเหตุที่ตัวยึดคานหลุดนั้น เกิดจากการทำงานหรือตัววัสดุมีปัญหา โดยจะสรุปผลการสอบสวนภายในสัปดาห์นี้ และจะรายงานกระทรวงคมนาคมรับทราบต่อไป • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/business/detail/9680000023136 • #MGROnline #โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข82 #คานปูน #โครงสร้างเหล็ก #พระราม2
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทล.เร่งสอบ ”คานปูน-โครงสร้างเหล็ก” พระราม 2 ถล่ม พบประเด็นตัวยึดคานและทรัสหลุด หาสาเหตุเกิดจากขั้นตอนการทำงานหรือตัววัสดุมีปัญหา คาดสรุปในสัปดาห์นี้ ยันรับเหมาใช้แรงงานต่างด้าวได้ในงานทั่วไป ส่วนงานเฉพาะทางบุคลากรต้องมีใบรับรองตามระเบียบ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000023136

    #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ทล.เร่งสอบ ”คานปูน-โครงสร้างเหล็ก” พระราม 2 ถล่ม พบประเด็นตัวยึดคานและทรัสหลุด หาสาเหตุเกิดจากขั้นตอนการทำงานหรือตัววัสดุมีปัญหา คาดสรุปในสัปดาห์นี้ ยันรับเหมาใช้แรงงานต่างด้าวได้ในงานทั่วไป ส่วนงานเฉพาะทางบุคลากรต้องมีใบรับรองตามระเบียบ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000023136 #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    6
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 606 มุมมอง 0 รีวิว
  • ล้อมคอก รอบที่เท่าไร? สถ. มหาดไทย ออกกฎ 13 ข้อ คุมเข้มทัวร์ดูงานคนท้องถิ่น เน้นเฉพาะรถโดยสารทัศนาจร หลังเกิดอุบัติเหตุถี่ยิบ สั่งวางแผนเดินทางก่อน/หลัง ละเอียดยิบ จัดทําแผนเผชิญเหตุ ซักซ้อมบุคลากร เลือกสถานที่ดูงานโดยคํานึงถึงระยะเวลา เข้มผู้รับเหมารถบัส "ห้ามจ้างรถใช้แก๊ส" ต้องมีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยครบถ้วนตามกฎหมาย ใช้รถไม่ต่ำกว่า 40 ที่นั่ง จํานวน 3 คันขึ้นไป เน้นความสําคัญกับการทําสัญญา เป็นอันดับต้น ๆ ทั้งสัญญาจัดจ้างเช้ารถบัส พ่วงประกัน ทั้งภาคบังคับ ภาคสมัครใจ และประกันภัย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000021483

    #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ล้อมคอก รอบที่เท่าไร? สถ. มหาดไทย ออกกฎ 13 ข้อ คุมเข้มทัวร์ดูงานคนท้องถิ่น เน้นเฉพาะรถโดยสารทัศนาจร หลังเกิดอุบัติเหตุถี่ยิบ สั่งวางแผนเดินทางก่อน/หลัง ละเอียดยิบ จัดทําแผนเผชิญเหตุ ซักซ้อมบุคลากร เลือกสถานที่ดูงานโดยคํานึงถึงระยะเวลา เข้มผู้รับเหมารถบัส "ห้ามจ้างรถใช้แก๊ส" ต้องมีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยครบถ้วนตามกฎหมาย ใช้รถไม่ต่ำกว่า 40 ที่นั่ง จํานวน 3 คันขึ้นไป เน้นความสําคัญกับการทําสัญญา เป็นอันดับต้น ๆ ทั้งสัญญาจัดจ้างเช้ารถบัส พ่วงประกัน ทั้งภาคบังคับ ภาคสมัครใจ และประกันภัย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000021483 #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 733 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผมไม่เคยลืม“ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ”คนทำชั่วลอบยิงผมแล้วหนีไปอยู่เขมร ผมรอ15ปีเต็มๆ .เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยลืม ให้ผมตายไป ผมก็ยังจะไม่ลืม แม้ว่าเวลาจะผ่านไป 15 ปีแล้วก็ตาม อีกเดือนกว่าๆ จะครบรอบ16ปีวันที่ 17 เมษายน 2552 ของการลอบสังหารผมบริเวณใกล้ๆ สี่แยกบางขุนพรหม ระหว่างเดินทางไปจัดรายการ Good Morning Thailand ทางสถานีโทรทัศน์ ASTV ที่ถนนพระอาทิตย์แล้ว แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปีกว่าแล้ว แต่เหตุการณ์ยังเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวานนี้อยู่เลย.ผู้ต้องหาลอบยิงผมนั้นมีอยู่ 3 คน จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา อดีตทหารหน่วยรบพิเศษ ศูนย์สงครามพิเศษ ตอนนี้เสียชีวิตแล้วตั้งแต่ปี 2556 และ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ หรือนายอรรถพล ปาทาน เจ้าหน้าที่ศูนย์ข่าว กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติดซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการดักฟังโทรศัพท์อย่างมาก อดีตเคยเป็นคนขับรถของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ครั้งเป็นผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด และ ส.อ.สมชาย บุญนาค สังกัดกองร้อย กองบังคับการกรมรบพิเศษ ค่ายเอราวัณ จังหวัดลพบุรี.ล่าสุด มีความคืบหน้าเรื่องหนึ่งในผู้ต้องหาที่ยิงผม คือ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ หรือชื่อ นายอรรถพล ปาทาน จากแหล่งข่าวที่ผมมีอยู่ในประเทศกัมพูชา เขาบอกว่าเขาเพิ่งเจอมือปืนที่ยิงผมเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ทำงานอยู่ที่ประเทศกัมพูชา เขาระบุว่า ส.ต.ท.วรวุฒิ ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศกัมพูชาเป็นสิบปีแล้ว เปลี่ยนชื่อตัวเองว่า "ฉัตร" มีบัตรประชาชนเป็นพลเมืองกัมพูชาไปแล้ว มีครอบครัว มีภรรยาเป็นชาวกัมพูชา มีลูกด้วยกันแต่เลิกรากันไปแล้ว และส่งเสียเงินมาเลี้ยงดูลูกเมียที่อยู่ฝั่งไทย ฐานะการเงินของ ส.ต.ท.วรวุฒิ ในปัจจุบันถือว่าใช้ได้ เพราะทำงานในบริษัทรับเหมาก่อสร้างอยู่ประเทศกัมพูชา มีรถราใช้ เป็นรถยนต์อีซูซุ รุ่น MUX ตอนนี้เห็นว่ารับงานก่อสร้างต่อเติมอยู่ที่กาสิโนฝั่งปอยเปต ของคุณวัฒนา อัศวเหม ที่โดนไฟไหม้ใหญ่ไปเมื่อปลายปี 2565 สายสืบผมเก็บข้อมูลเชิงลึกเห็นว่า มีนายทุนที่เป็นคนไทย มีแบ็กคอยดูแลอยู่ ชื่อ เสี่ยพัฒน์ เป็นเจ้าของโรงงานผลิตน้ำตาลในไทย คอยให้ความช่วยเหลือ เมื่อมกราคม 2568 ปีใหม่ที่ผ่านมา ส.ต.ท.วรวุฒิ บ่นอิจฉาเพื่อนๆว่าได้กลับบ้านเกิด ส่วนตัวคุณไม่มีปัญญาที่จะกลับบ้านเหมือนคนอื่นเขา เบอร์โทรศัพท์ที่ลงด้วยเลขหมาย 197 เป็นของคุณใช่ไหม ตอบผมหน่อย รอรับสายผมนะ ผมรอคุณมา 15 ปีเต็มๆ ผมอยากจะทราบว่านายคุณให้ค่าหัวผมเท่าไรวะ คุณถึงรับงานมายิงผม .ผมเคยพูดไปหลายครั้งแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ผมจะต้องร้องขอความเป็นธรรมกับรัฐบาลทุกๆ รัฐบาล คือเรื่องความเป็นธรรมของการดำเนินคดีกับคนที่ลอบฆ่าผม ซึ่งผมรู้ว่าใครเป็นคนลงมือและใครเป็นคนสั่ง ผมก็จะทำเรื่องร้องเรียนไปยังท่านนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร. ว่าบุคคลที่อยู่ภายใต้หมายจับนี้เป็นคนที่ยิงผม และผมมีหลักฐานชัดเจนว่าหลบอยู่ที่กัมพูชา ไม่ทราบว่าท่านนายกรัฐมนตรีท่านจะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไรต่อไป.คนๆนี้มีหมายจับอยู่แล้ว เวรกรรมตามทันจริงๆ จากนี้ไปเขาคงไม่มีความสุขถ้ายังมีชีวิตอยู่ เพราะว่าผมรู้ตัวตน รู้แหล่งที่อยู่เขาเรียบร้อยแล้ว เชื่อผมสิ คนทำชั่วหนีไม่พ้นหรอก ในที่สุดจะต้องโดนเวรกรรมลงโทษ ช้าหรือเร็วเท่านั้น "สวัสดีคุณฉัตร" คุณฉัตรครับ ผมยังไม่ลืมคุณ.เผอิญมีตำรวจที่ให้สัมภาษณ์เรื่องผมโดนยิงกับ หนุ่ม คงกระพัน ทำเป็นรู้เรื่องดี คุยโวโอ้อวดแล้วบอกว่าเป็นคนทำคดีนี้เอง รู้ทุกอย่างนั้น ก็เป็นคนที่ติดตามคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโม ภัทริดา ตำรวจคนนี้ชื่อเล่นว่า "ยาว" พล.ต.ต.วีระศักดิ์ มีนะวาณิชย์ อดีตเคยเป็นสืบนครบาล ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนภูธรภาค 8 แต่ชอบมีคนอวยว่าเป็นเชอร์ล็อกโฮล์มของเมืองไทย ส่วนตัวเองก็อวดอ้างว่าไม่มีคดีไหนที่จับไม่ได้ และเผอิญว่าลูกเขยของ พล.ต.ต.วีระศักดิ์ ชื่ออะไร รู้ไหมท่านผู้ชม ? ชื่อว่า นายตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ หรือ นายปอ หนึ่งในจำเลยคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโมนั่นเอง เผอิญเห็นคุยนักคุยหนาว่าคุณทำคดีที่ลอบยิงผม รู้ทุกเรื่อง แล้วก็เคยบอกว่าไม่มีคดีไหนที่จับไม่ได้ น่าเสียดายที่คุณเกษียณอายุไปนานแล้ว 13-14 ปี ไม่อย่างนั้นผมก็อยากให้ไปตามเรื่องให้ผมหน่อย เพราะเป็นเรื่องที่ผมไม่มีวันจะลืม
    ผมไม่เคยลืม“ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ”คนทำชั่วลอบยิงผมแล้วหนีไปอยู่เขมร ผมรอ15ปีเต็มๆ .เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยลืม ให้ผมตายไป ผมก็ยังจะไม่ลืม แม้ว่าเวลาจะผ่านไป 15 ปีแล้วก็ตาม อีกเดือนกว่าๆ จะครบรอบ16ปีวันที่ 17 เมษายน 2552 ของการลอบสังหารผมบริเวณใกล้ๆ สี่แยกบางขุนพรหม ระหว่างเดินทางไปจัดรายการ Good Morning Thailand ทางสถานีโทรทัศน์ ASTV ที่ถนนพระอาทิตย์แล้ว แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปีกว่าแล้ว แต่เหตุการณ์ยังเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวานนี้อยู่เลย.ผู้ต้องหาลอบยิงผมนั้นมีอยู่ 3 คน จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา อดีตทหารหน่วยรบพิเศษ ศูนย์สงครามพิเศษ ตอนนี้เสียชีวิตแล้วตั้งแต่ปี 2556 และ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ หรือนายอรรถพล ปาทาน เจ้าหน้าที่ศูนย์ข่าว กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติดซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการดักฟังโทรศัพท์อย่างมาก อดีตเคยเป็นคนขับรถของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ครั้งเป็นผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด และ ส.อ.สมชาย บุญนาค สังกัดกองร้อย กองบังคับการกรมรบพิเศษ ค่ายเอราวัณ จังหวัดลพบุรี.ล่าสุด มีความคืบหน้าเรื่องหนึ่งในผู้ต้องหาที่ยิงผม คือ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ หรือชื่อ นายอรรถพล ปาทาน จากแหล่งข่าวที่ผมมีอยู่ในประเทศกัมพูชา เขาบอกว่าเขาเพิ่งเจอมือปืนที่ยิงผมเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ทำงานอยู่ที่ประเทศกัมพูชา เขาระบุว่า ส.ต.ท.วรวุฒิ ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศกัมพูชาเป็นสิบปีแล้ว เปลี่ยนชื่อตัวเองว่า "ฉัตร" มีบัตรประชาชนเป็นพลเมืองกัมพูชาไปแล้ว มีครอบครัว มีภรรยาเป็นชาวกัมพูชา มีลูกด้วยกันแต่เลิกรากันไปแล้ว และส่งเสียเงินมาเลี้ยงดูลูกเมียที่อยู่ฝั่งไทย ฐานะการเงินของ ส.ต.ท.วรวุฒิ ในปัจจุบันถือว่าใช้ได้ เพราะทำงานในบริษัทรับเหมาก่อสร้างอยู่ประเทศกัมพูชา มีรถราใช้ เป็นรถยนต์อีซูซุ รุ่น MUX ตอนนี้เห็นว่ารับงานก่อสร้างต่อเติมอยู่ที่กาสิโนฝั่งปอยเปต ของคุณวัฒนา อัศวเหม ที่โดนไฟไหม้ใหญ่ไปเมื่อปลายปี 2565 สายสืบผมเก็บข้อมูลเชิงลึกเห็นว่า มีนายทุนที่เป็นคนไทย มีแบ็กคอยดูแลอยู่ ชื่อ เสี่ยพัฒน์ เป็นเจ้าของโรงงานผลิตน้ำตาลในไทย คอยให้ความช่วยเหลือ เมื่อมกราคม 2568 ปีใหม่ที่ผ่านมา ส.ต.ท.วรวุฒิ บ่นอิจฉาเพื่อนๆว่าได้กลับบ้านเกิด ส่วนตัวคุณไม่มีปัญญาที่จะกลับบ้านเหมือนคนอื่นเขา เบอร์โทรศัพท์ที่ลงด้วยเลขหมาย 197 เป็นของคุณใช่ไหม ตอบผมหน่อย รอรับสายผมนะ ผมรอคุณมา 15 ปีเต็มๆ ผมอยากจะทราบว่านายคุณให้ค่าหัวผมเท่าไรวะ คุณถึงรับงานมายิงผม .ผมเคยพูดไปหลายครั้งแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ผมจะต้องร้องขอความเป็นธรรมกับรัฐบาลทุกๆ รัฐบาล คือเรื่องความเป็นธรรมของการดำเนินคดีกับคนที่ลอบฆ่าผม ซึ่งผมรู้ว่าใครเป็นคนลงมือและใครเป็นคนสั่ง ผมก็จะทำเรื่องร้องเรียนไปยังท่านนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร. ว่าบุคคลที่อยู่ภายใต้หมายจับนี้เป็นคนที่ยิงผม และผมมีหลักฐานชัดเจนว่าหลบอยู่ที่กัมพูชา ไม่ทราบว่าท่านนายกรัฐมนตรีท่านจะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไรต่อไป.คนๆนี้มีหมายจับอยู่แล้ว เวรกรรมตามทันจริงๆ จากนี้ไปเขาคงไม่มีความสุขถ้ายังมีชีวิตอยู่ เพราะว่าผมรู้ตัวตน รู้แหล่งที่อยู่เขาเรียบร้อยแล้ว เชื่อผมสิ คนทำชั่วหนีไม่พ้นหรอก ในที่สุดจะต้องโดนเวรกรรมลงโทษ ช้าหรือเร็วเท่านั้น "สวัสดีคุณฉัตร" คุณฉัตรครับ ผมยังไม่ลืมคุณ.เผอิญมีตำรวจที่ให้สัมภาษณ์เรื่องผมโดนยิงกับ หนุ่ม คงกระพัน ทำเป็นรู้เรื่องดี คุยโวโอ้อวดแล้วบอกว่าเป็นคนทำคดีนี้เอง รู้ทุกอย่างนั้น ก็เป็นคนที่ติดตามคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโม ภัทริดา ตำรวจคนนี้ชื่อเล่นว่า "ยาว" พล.ต.ต.วีระศักดิ์ มีนะวาณิชย์ อดีตเคยเป็นสืบนครบาล ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนภูธรภาค 8 แต่ชอบมีคนอวยว่าเป็นเชอร์ล็อกโฮล์มของเมืองไทย ส่วนตัวเองก็อวดอ้างว่าไม่มีคดีไหนที่จับไม่ได้ และเผอิญว่าลูกเขยของ พล.ต.ต.วีระศักดิ์ ชื่ออะไร รู้ไหมท่านผู้ชม ? ชื่อว่า นายตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ หรือ นายปอ หนึ่งในจำเลยคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโมนั่นเอง เผอิญเห็นคุยนักคุยหนาว่าคุณทำคดีที่ลอบยิงผม รู้ทุกเรื่อง แล้วก็เคยบอกว่าไม่มีคดีไหนที่จับไม่ได้ น่าเสียดายที่คุณเกษียณอายุไปนานแล้ว 13-14 ปี ไม่อย่างนั้นผมก็อยากให้ไปตามเรื่องให้ผมหน่อย เพราะเป็นเรื่องที่ผมไม่มีวันจะลืม
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 370 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานเกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูลแชทภายในของกลุ่มแรนซัมแวร์ Black Basta ซึ่งถูกเปิดเผยโดยบุคคลลึกลับที่ใช้ชื่อว่า ExploitWhispers ข้อมูลดังกล่าวได้ถูกอัพโหลดไปยังช่อง Telegram เฉพาะทาง ซึ่งข้อมูลนี้ถูกพบว่ามีการเก็บบันทึกการแชทภายในตั้งแต่เดือนกันยายน 2023 ถึงกันยายน 2024

    การรั่วไหลดังกล่าวมีข้อมูลหลากหลาย เช่น เทมเพลตฟิชชิ่ง อีเมลที่ใช้ในการส่งฟิชชิ่ง ที่อยู่คริปโตเคอร์เรนซี ข้อมูลรั่วไหลของเหยื่อ และข้อมูลการยืนยันการโจมตีแบบต่าง ๆ นอกจากนี้ยังพบลิงก์ ZoomInfo ที่มีมากถึง 367 ลิงก์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีบริษัทมากมายที่ถูกกลุ่มนี้โจมตีในช่วงเวลานี้

    หนึ่งในบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการรั่วไหลครั้งนี้ อ้างว่าการรั่วไหลเกิดขึ้นเพราะกลุ่ม Black Basta ได้โจมตีธนาคารรัสเซีย นอกจากนี้ PRODAFT บริษัทข่าวกรองภัยคุกคามไซเบอร์ กล่าวว่ากลุ่ม Black Basta มีความขัดแย้งภายในและบางสมาชิกยังเคยหลอกลวงเหยื่อด้วยการเก็บเงินค่าไถ่โดยไม่ให้ decryptors ที่ใช้งานได้

    กลุ่ม Black Basta เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์ที่มีชื่อเสียงและมีเหยื่อหลากหลายทั่วโลก รวมถึงบริษัทในเครือข่ายด้านการดูแลสุขภาพและหน่วยงานรัฐบาล พวกเขาเคยโจมตีบริษัทต่าง ๆ เช่น Rheinmetall (ผู้ผลิตเครื่องยนต์และอาวุธชั้นนำของเยอรมนี), Hyundai's European division, BT Group (อดีต British Telecom), Ascension (บริษัทการดูแลสุขภาพในสหรัฐ), ABB (ผู้รับเหมาของรัฐบาลสหรัฐ), American Dental Association, Capita (บริษัทด้านเทคโนโลยีในสหราชอาณาจักร), Toronto Public Library และ Yellow Pages Canada

    Black Basta เริ่มกิจการในเดือนเมษายน 2022 และกลายเป็นที่รู้จักเพราะการโจมตีองค์กรและเก็บค่าไถ่มากถึง $100 ล้านจากเหยื่อกว่า 90 รายจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2023 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 นักวิจัยจากยูเครนเคยรั่วไหลข้อมูลการแชทภายในและซอร์สโค้ดของ Conti ransomware ซึ่งมีพื้นฐานเป็นกลุ่มแรนซัมแวร์ชื่อดังจากรัสเซีย

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/black-basta-ransomware-gang-s-internal-chat-logs-leak-online/
    มีรายงานเกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูลแชทภายในของกลุ่มแรนซัมแวร์ Black Basta ซึ่งถูกเปิดเผยโดยบุคคลลึกลับที่ใช้ชื่อว่า ExploitWhispers ข้อมูลดังกล่าวได้ถูกอัพโหลดไปยังช่อง Telegram เฉพาะทาง ซึ่งข้อมูลนี้ถูกพบว่ามีการเก็บบันทึกการแชทภายในตั้งแต่เดือนกันยายน 2023 ถึงกันยายน 2024 การรั่วไหลดังกล่าวมีข้อมูลหลากหลาย เช่น เทมเพลตฟิชชิ่ง อีเมลที่ใช้ในการส่งฟิชชิ่ง ที่อยู่คริปโตเคอร์เรนซี ข้อมูลรั่วไหลของเหยื่อ และข้อมูลการยืนยันการโจมตีแบบต่าง ๆ นอกจากนี้ยังพบลิงก์ ZoomInfo ที่มีมากถึง 367 ลิงก์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีบริษัทมากมายที่ถูกกลุ่มนี้โจมตีในช่วงเวลานี้ หนึ่งในบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการรั่วไหลครั้งนี้ อ้างว่าการรั่วไหลเกิดขึ้นเพราะกลุ่ม Black Basta ได้โจมตีธนาคารรัสเซีย นอกจากนี้ PRODAFT บริษัทข่าวกรองภัยคุกคามไซเบอร์ กล่าวว่ากลุ่ม Black Basta มีความขัดแย้งภายในและบางสมาชิกยังเคยหลอกลวงเหยื่อด้วยการเก็บเงินค่าไถ่โดยไม่ให้ decryptors ที่ใช้งานได้ กลุ่ม Black Basta เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์ที่มีชื่อเสียงและมีเหยื่อหลากหลายทั่วโลก รวมถึงบริษัทในเครือข่ายด้านการดูแลสุขภาพและหน่วยงานรัฐบาล พวกเขาเคยโจมตีบริษัทต่าง ๆ เช่น Rheinmetall (ผู้ผลิตเครื่องยนต์และอาวุธชั้นนำของเยอรมนี), Hyundai's European division, BT Group (อดีต British Telecom), Ascension (บริษัทการดูแลสุขภาพในสหรัฐ), ABB (ผู้รับเหมาของรัฐบาลสหรัฐ), American Dental Association, Capita (บริษัทด้านเทคโนโลยีในสหราชอาณาจักร), Toronto Public Library และ Yellow Pages Canada Black Basta เริ่มกิจการในเดือนเมษายน 2022 และกลายเป็นที่รู้จักเพราะการโจมตีองค์กรและเก็บค่าไถ่มากถึง $100 ล้านจากเหยื่อกว่า 90 รายจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2023 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 นักวิจัยจากยูเครนเคยรั่วไหลข้อมูลการแชทภายในและซอร์สโค้ดของ Conti ransomware ซึ่งมีพื้นฐานเป็นกลุ่มแรนซัมแวร์ชื่อดังจากรัสเซีย https://www.bleepingcomputer.com/news/security/black-basta-ransomware-gang-s-internal-chat-logs-leak-online/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Black Basta ransomware gang's internal chat logs leak online
    An unknown leaker has released what they claim to be an archive of internal Matrix chat logs belonging to the Black Basta ransomware operation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เกี่ยวกับการโจมตีทางไซเบอร์ที่ใช้มัลแวร์ประเภท Infostealer ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานทหารและผู้รับเหมาด้านกลาโหมของสหรัฐฯ เช่น Lockheed Martin, BAE Systems, Boeing, Honeywell, L3Harris, และ Leidos โดยมัลแวร์นี้มีความสามารถในการขโมยข้อมูลที่สำคัญจากอุปกรณ์ของผู้ที่ถูกโจมตี

    จากรายงานของ Hudson Rock ระบุว่า อาชญากรสามารถซื้อข้อมูลที่ขโมยจากพนักงานที่ทำงานในภาคการป้องกันและกองทัพได้ในราคาประมาณ $10 ต่อคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่ถูกขโมยนั้นรวมถึงรหัสผ่านและข้อมูลการเข้าสู่ระบบของระบบสำคัญ เช่น Active Directory Federation Services (ADFS), Identity and Access Management (IAM) ของ Honeywell รวมถึงการแทรกซึมเข้าสู่ระบบ intranet ภายในองค์กร

    นอกจากนี้ยังพบการโจมตีที่ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานภาครัฐ เช่น US Army, US Navy, FBI และ Government Accountability Office (GAO) โดยผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลการยืนยันตัวตนภายในระบบเช่น OWA, Confluence, Citrix, และ FTP ทำให้ผู้โจมตีสามารถเคลื่อนย้ายภายในระบบทหารได้

    Infostealer เป็นมัลแวร์ที่อาศัยความผิดพลาดของผู้ใช้ เช่น การดาวน์โหลดไฟล์ PDF ที่ติดไวรัส หรือการคลิกลิงก์ที่เป็นอันตราย ดังนั้นการมีการฝึกอบรมเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับพนักงานทุกระดับขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อป้องกันการโจมตีในลักษณะนี้

    การโจมตีแบบ Infostealer ไม่ได้ใช้การโจมตีแบบ brute-force แต่เน้นการใช้ความผิดพลาดของมนุษย์เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ ทำให้เห็นว่าการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญในทุกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคเอกชน

    https://www.techradar.com/pro/security/us-military-and-defense-contractors-hit-with-infostealer-malware
    ข่าวนี้เกี่ยวกับการโจมตีทางไซเบอร์ที่ใช้มัลแวร์ประเภท Infostealer ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานทหารและผู้รับเหมาด้านกลาโหมของสหรัฐฯ เช่น Lockheed Martin, BAE Systems, Boeing, Honeywell, L3Harris, และ Leidos โดยมัลแวร์นี้มีความสามารถในการขโมยข้อมูลที่สำคัญจากอุปกรณ์ของผู้ที่ถูกโจมตี จากรายงานของ Hudson Rock ระบุว่า อาชญากรสามารถซื้อข้อมูลที่ขโมยจากพนักงานที่ทำงานในภาคการป้องกันและกองทัพได้ในราคาประมาณ $10 ต่อคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่ถูกขโมยนั้นรวมถึงรหัสผ่านและข้อมูลการเข้าสู่ระบบของระบบสำคัญ เช่น Active Directory Federation Services (ADFS), Identity and Access Management (IAM) ของ Honeywell รวมถึงการแทรกซึมเข้าสู่ระบบ intranet ภายในองค์กร นอกจากนี้ยังพบการโจมตีที่ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานภาครัฐ เช่น US Army, US Navy, FBI และ Government Accountability Office (GAO) โดยผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลการยืนยันตัวตนภายในระบบเช่น OWA, Confluence, Citrix, และ FTP ทำให้ผู้โจมตีสามารถเคลื่อนย้ายภายในระบบทหารได้ Infostealer เป็นมัลแวร์ที่อาศัยความผิดพลาดของผู้ใช้ เช่น การดาวน์โหลดไฟล์ PDF ที่ติดไวรัส หรือการคลิกลิงก์ที่เป็นอันตราย ดังนั้นการมีการฝึกอบรมเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับพนักงานทุกระดับขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อป้องกันการโจมตีในลักษณะนี้ การโจมตีแบบ Infostealer ไม่ได้ใช้การโจมตีแบบ brute-force แต่เน้นการใช้ความผิดพลาดของมนุษย์เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ ทำให้เห็นว่าการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญในทุกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคเอกชน https://www.techradar.com/pro/security/us-military-and-defense-contractors-hit-with-infostealer-malware
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้พิพากษาสั่งระงับคำสั่งทรัมป์ในการพักการให้เงินกู้ เงินให้เปล่า และความช่วยเหลือทางการเงินอื่นๆ ของรัฐบาลกลางเป็นการชั่วคราว ตามการฟ้องร้องของกลุ่มที่เป็นตัวแทนองค์กรไม่หวังผลกำไร บุคลากรทางการแพทย์ และธุรกิจขนาดเล็กที่ระบุว่า คำสั่งของทำเนียบขาวอาจกระทบต่อโครงการที่ให้ความช่วยเหลือชาวอเมริกันหลายสิบล้านคน
    .
    ลอเรน อาลีข่าน ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ สั่งให้คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระงับการขัดขวางการให้เงินช่วยเหลือโครงการต่างๆ จนถึงวันที่ 3 ก.พ. ซึ่งจะมีการให้การในศาลที่วอชิงตัน
    .
    คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ในส่วนนี้เป็นขั้นตอนล่าสุดของความพยายามยกเครื่องรัฐบาลกลาง โดยก่อนหน้านี้เขาสั่งระงับการให้ความช่วยเหลือต่างชาติ ระงับการจ้างงาน และยกเลิกโครงการความหลากหลายในหน่วยงานรัฐบาลหลายสิบแห่ง
    .
    พรรคเดโมแครตโจมตีคำสั่งระงับเงินช่วยเหลือว่า เป็นการโจมตีอำนาจของคองเกรสในการกำกับดูแลการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางอย่างผิดกฎหมาย อีกทั้งทำให้การจ่ายเงินให้แพทย์และครูที่ดูแลเด็กก่อนวัยเรียนหยุดชะงัก ทว่า รีพับลิกันอ้างว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นการทำตามคำสัญญาระหว่างหาเสียงของทรัมป์ในการควบคุมงบประมาณที่มากผิดปกติของรัฐบาล
    .
    นอกจากนั้น คณะบริหารของทรัมป์ยังยืนยันว่า โปรแกรมที่มอบสิทธิพิเศษที่สำคัญให้แก่ประชาชนจะไม่ได้รับผลกระทบ
    .
    ทว่า วุฒิสมาชิกรอน ไวเดน จากพรรคเดโมแครต เผยว่า ได้รับการยืนยันจากแพทย์จากทั้ง 50 รัฐว่า ไม่ได้รับเงินจากโครงการเมดิแคร์ที่ให้การประกันสุขภาพชาวอเมริกันที่มีรายได้ต่ำ 70 ล้านคน
    .
    แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวโพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า รัฐบาลกลางรับรู้ว่า พอร์ทัลเมดิเคดเกิดการขัดข้องและจะกลับมาออนไลน์ได้ตามปกติเร็วๆ นี้ พร้อมยืนยันว่า การจ่ายเงินไม่ได้รับผลกระทบ
    .
    คำสั่งดังกล่าวที่ปรากฏอยู่ในบันทึกของสำนักงานงบประมาณทำเนียบขาวระบุให้ระงับเงินให้เปล่าและเงินกู้ของรัฐบาลกลางนับจากเวลา 17.00 น. วันอังคาร (28 ม.ค.) โดยครอบคลุมถึงเงินช่วยเหลือต่างชาติ
    .
    และองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) พร้อมสั่งการให้หน่วยงาน 55 แห่งตรวจสอบโครงการเงินให้เปล่ากว่า 2,600 โครงการ
    .
    ทำเนียบขาวยืนยันว่า การระงับเงินช่วยเหลือจะไม่กระทบต่อการจ่ายเงินของโครงการสวัสดิการสังคม หรือเมดิแคร์ที่ให้แก่ผู้สูงวัยหรือความช่วยเหลือโดยตรงแก่ประชาชน เช่น ความช่วยเหลือด้านอาหารและโครงการสวัสดิการสำหรับผู้ยากไร้
    .
    ทั้งนี้ เงินให้เปล่าและเงินกู้ของรัฐบาลมีความสำคัญต่อทุกแง่มุมชีวิตของคนอเมริกันอย่างแท้จริง โดยเงินนับล้านล้านดอลลาร์ถูกอัดฉีดให้โครงการด้านการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการต่อสู้กับความยากจน ให้ความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย บรรเทาทุกข์ในเหตุการณ์ภัยพิบัติ สนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานและอื่นๆ อีกมากมาย
    .
    ในบันทึกฉบับที่สอง ทำเนียบขาวระบุว่า เงินสนับสนุนสำหรับโครงการเมดิเคด เกษตรกร ธุรกิจขนาดเล็ก ความช่วยเหลือสำหรับผู้จ่ายค่าเช่า และโครงการเฮดสตาร์ตสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนจะดำเนินต่อไปโดยไม่มีการหยุดชะงัก
    .
    ทว่า วุฒิสมาชิกคริส เมอร์ฟีย์ จากพรรคเดโมแครต ระบุว่า ระบบเบิกจ่ายของโครงการเฮดสตาร์ตในรัฐคอนเน็กติกัตของตนถูกปิด ทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ได้
    .
    ขณะเดียวกัน ซารา แรตเนอร์ จากบริษัทด้านการดูแลสุขภาพ โนมิ เฮลธ์ สำทับว่า หากรัฐบาลกลางระงับเงินช่วยเหลือแก่ผู้รับเหมาสัญญาเมดิเคด อาจทำให้บริษัทเหล่านั้นต้องปิดกิจการตามๆ กัน
    .
    บันทึกของทำเนียบขาวดูเหมือนไม่มีข้อยกเว้นในการตัดความช่วยเหลือสำหรับภัยพิบัติให้แก่พื้นที่อย่างลอสแองเจลิสและด้านตะวันตกของรัฐนอร์ธแคโรไลนาที่เสียหายหนักจากภัยธรรมชาติ แม้ทรัมป์ให้คำมั่นว่า รัฐบาลจะให้การสนับสนุนระหว่างเดินทางไปยังพื้นที่ประสบภัยทั้งสองแห่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ตาม
    .
    ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพยายามทำความเข้าใจว่า จะดำเนินการตามคำสั่งใหม่ของคณะบริหารอย่างไร
    .
    พรรครีพับลิกันของทรัมป์พยายามผลักดันการลดการใช้จ่ายของรัฐบาลมาโดยตลอด แม้ทรัมป์ให้สัญญาว่า จะไม่แตะต้องโครงการสวัสดิการสังคมและเมดิแคร์ที่เป็นองค์ประกอบเกือบ 1 ใน 3 ของงบประมาณก็ตาม
    .
    ทว่า เดโมแครตวิจารณ์ว่า การระงับการใช้จ่ายดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและอันตราย เนื่องจากครอบครัวอเมริกันชนคือผู้ที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด
    .
    อนึ่ง รัฐธรรมนูญของอเมริกาให้อำนาจคองเกรสในการควบคุมการใช้จ่ายของรัฐบาล ทว่า ทรัมป์ประกาศระหว่างหาเสียงว่า เขาเชื่อว่า ประธานาธิบดีมีอำนาจในการระงับการใช้จ่ายในโครงการที่ตนเองไม่ชอบ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009485
    ..............
    Sondhi X
    ผู้พิพากษาสั่งระงับคำสั่งทรัมป์ในการพักการให้เงินกู้ เงินให้เปล่า และความช่วยเหลือทางการเงินอื่นๆ ของรัฐบาลกลางเป็นการชั่วคราว ตามการฟ้องร้องของกลุ่มที่เป็นตัวแทนองค์กรไม่หวังผลกำไร บุคลากรทางการแพทย์ และธุรกิจขนาดเล็กที่ระบุว่า คำสั่งของทำเนียบขาวอาจกระทบต่อโครงการที่ให้ความช่วยเหลือชาวอเมริกันหลายสิบล้านคน . ลอเรน อาลีข่าน ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ สั่งให้คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระงับการขัดขวางการให้เงินช่วยเหลือโครงการต่างๆ จนถึงวันที่ 3 ก.พ. ซึ่งจะมีการให้การในศาลที่วอชิงตัน . คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ในส่วนนี้เป็นขั้นตอนล่าสุดของความพยายามยกเครื่องรัฐบาลกลาง โดยก่อนหน้านี้เขาสั่งระงับการให้ความช่วยเหลือต่างชาติ ระงับการจ้างงาน และยกเลิกโครงการความหลากหลายในหน่วยงานรัฐบาลหลายสิบแห่ง . พรรคเดโมแครตโจมตีคำสั่งระงับเงินช่วยเหลือว่า เป็นการโจมตีอำนาจของคองเกรสในการกำกับดูแลการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางอย่างผิดกฎหมาย อีกทั้งทำให้การจ่ายเงินให้แพทย์และครูที่ดูแลเด็กก่อนวัยเรียนหยุดชะงัก ทว่า รีพับลิกันอ้างว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นการทำตามคำสัญญาระหว่างหาเสียงของทรัมป์ในการควบคุมงบประมาณที่มากผิดปกติของรัฐบาล . นอกจากนั้น คณะบริหารของทรัมป์ยังยืนยันว่า โปรแกรมที่มอบสิทธิพิเศษที่สำคัญให้แก่ประชาชนจะไม่ได้รับผลกระทบ . ทว่า วุฒิสมาชิกรอน ไวเดน จากพรรคเดโมแครต เผยว่า ได้รับการยืนยันจากแพทย์จากทั้ง 50 รัฐว่า ไม่ได้รับเงินจากโครงการเมดิแคร์ที่ให้การประกันสุขภาพชาวอเมริกันที่มีรายได้ต่ำ 70 ล้านคน . แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวโพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า รัฐบาลกลางรับรู้ว่า พอร์ทัลเมดิเคดเกิดการขัดข้องและจะกลับมาออนไลน์ได้ตามปกติเร็วๆ นี้ พร้อมยืนยันว่า การจ่ายเงินไม่ได้รับผลกระทบ . คำสั่งดังกล่าวที่ปรากฏอยู่ในบันทึกของสำนักงานงบประมาณทำเนียบขาวระบุให้ระงับเงินให้เปล่าและเงินกู้ของรัฐบาลกลางนับจากเวลา 17.00 น. วันอังคาร (28 ม.ค.) โดยครอบคลุมถึงเงินช่วยเหลือต่างชาติ . และองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) พร้อมสั่งการให้หน่วยงาน 55 แห่งตรวจสอบโครงการเงินให้เปล่ากว่า 2,600 โครงการ . ทำเนียบขาวยืนยันว่า การระงับเงินช่วยเหลือจะไม่กระทบต่อการจ่ายเงินของโครงการสวัสดิการสังคม หรือเมดิแคร์ที่ให้แก่ผู้สูงวัยหรือความช่วยเหลือโดยตรงแก่ประชาชน เช่น ความช่วยเหลือด้านอาหารและโครงการสวัสดิการสำหรับผู้ยากไร้ . ทั้งนี้ เงินให้เปล่าและเงินกู้ของรัฐบาลมีความสำคัญต่อทุกแง่มุมชีวิตของคนอเมริกันอย่างแท้จริง โดยเงินนับล้านล้านดอลลาร์ถูกอัดฉีดให้โครงการด้านการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการต่อสู้กับความยากจน ให้ความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย บรรเทาทุกข์ในเหตุการณ์ภัยพิบัติ สนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานและอื่นๆ อีกมากมาย . ในบันทึกฉบับที่สอง ทำเนียบขาวระบุว่า เงินสนับสนุนสำหรับโครงการเมดิเคด เกษตรกร ธุรกิจขนาดเล็ก ความช่วยเหลือสำหรับผู้จ่ายค่าเช่า และโครงการเฮดสตาร์ตสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนจะดำเนินต่อไปโดยไม่มีการหยุดชะงัก . ทว่า วุฒิสมาชิกคริส เมอร์ฟีย์ จากพรรคเดโมแครต ระบุว่า ระบบเบิกจ่ายของโครงการเฮดสตาร์ตในรัฐคอนเน็กติกัตของตนถูกปิด ทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ได้ . ขณะเดียวกัน ซารา แรตเนอร์ จากบริษัทด้านการดูแลสุขภาพ โนมิ เฮลธ์ สำทับว่า หากรัฐบาลกลางระงับเงินช่วยเหลือแก่ผู้รับเหมาสัญญาเมดิเคด อาจทำให้บริษัทเหล่านั้นต้องปิดกิจการตามๆ กัน . บันทึกของทำเนียบขาวดูเหมือนไม่มีข้อยกเว้นในการตัดความช่วยเหลือสำหรับภัยพิบัติให้แก่พื้นที่อย่างลอสแองเจลิสและด้านตะวันตกของรัฐนอร์ธแคโรไลนาที่เสียหายหนักจากภัยธรรมชาติ แม้ทรัมป์ให้คำมั่นว่า รัฐบาลจะให้การสนับสนุนระหว่างเดินทางไปยังพื้นที่ประสบภัยทั้งสองแห่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ตาม . ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพยายามทำความเข้าใจว่า จะดำเนินการตามคำสั่งใหม่ของคณะบริหารอย่างไร . พรรครีพับลิกันของทรัมป์พยายามผลักดันการลดการใช้จ่ายของรัฐบาลมาโดยตลอด แม้ทรัมป์ให้สัญญาว่า จะไม่แตะต้องโครงการสวัสดิการสังคมและเมดิแคร์ที่เป็นองค์ประกอบเกือบ 1 ใน 3 ของงบประมาณก็ตาม . ทว่า เดโมแครตวิจารณ์ว่า การระงับการใช้จ่ายดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและอันตราย เนื่องจากครอบครัวอเมริกันชนคือผู้ที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด . อนึ่ง รัฐธรรมนูญของอเมริกาให้อำนาจคองเกรสในการควบคุมการใช้จ่ายของรัฐบาล ทว่า ทรัมป์ประกาศระหว่างหาเสียงว่า เขาเชื่อว่า ประธานาธิบดีมีอำนาจในการระงับการใช้จ่ายในโครงการที่ตนเองไม่ชอบ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009485 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2266 มุมมอง 0 รีวิว
  • สวัสดีครับทุกท่าน รับเหมางานครับ 0877112469
    สวัสดีครับทุกท่าน รับเหมางานครับ 0877112469
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันแรกก็เอาจริงเลย ข่าวอันเป็นนิมิตหมายดี ตั้งแต่มี โคขิต

    ใครที่เอะอะก็เชื่อ องค์การอนามัยโลก WHO (ที่ก่อตั้งโดยกลุ่มคนสามานย์) ถึงเวลาออกจากกะลาครับ
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ณ ห้องโอวัลออฟฟิศ ของทำเนียบขาว เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2025 ในกรุงวอชิงตัน (ภาพเอพี/อีวาน วุชชี)
    การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก ถือเป็นก้าวสำคัญ สู่ความรับผิดชอบด้านสุขภาพระดับโลก
    การระบาดใหญ่ครั้งนี้ เผยให้เห็นถึงความล้มเหลว ขององค์การอนามัยโลก และเน้นย้ำถึงความจำเป็นของผู้นำ ที่ให้ความสำคัญกับความจริง วิทยาศาสตร์ และแนวทางแก้ปัญหาที่แท้จริง มากกว่าการเมือง
    นสพ. แนวหน้า 21/1/2568
    https://www.naewna.com/inter/854734
    การถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก
    ด้วยอำนาจที่มอบให้ผม ในฐานะประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายของสหรัฐอเมริกา จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้:
    มาตรา 1 วัตถุประสงค์ สหรัฐฯ แจ้งการถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2020 เนื่องจากองค์กร จัดการกับการระบาดของ COVID-19 ได้อย่างผิดพลาด ซึ่งเกิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และวิกฤตด้านสุขภาพทั่วโลกอื่นๆ ล้มเหลวในการปฏิรูปที่จำเป็นเร่งด่วน และไม่สามารถแสดงความเป็นอิสระ จากอิทธิพลทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม ของประเทศสมาชิกของ WHO ได้ นอกจากนี้ WHO ยังคงเรียกร้องเงินชดเชย ที่ไม่เป็นธรรมจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่สมดุลกับเงินชดเชย ที่ประเมินแล้วของประเทศอื่นๆ จีนซึ่งมีประชากร 1.4 พันล้านคน มีประชากร 300 เปอร์เซ็นต์ของประชากรสหรัฐฯ แต่มีส่วนสนับสนุน WHO น้อยกว่าเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์
    มาตรา 2 การดำเนินการ (ก) สหรัฐอเมริกา มีเจตนาที่จะถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก จดหมายของประธานาธิบดี ถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 ซึ่งเพิกถอนการแจ้งเตือน การถอนตัวของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2020 ถูกเพิกถอน
    (ข) คำสั่งฝ่ายบริหาร 13987 ลงวันที่ 25 มกราคม 2021 (การจัดระเบียบ และระดมพลรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อให้มีการตอบสนองที่เป็นหนึ่งเดียว และมีประสิทธิผล ในการต่อสู้กับ COVID-19 และเพื่อให้สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำด้านสุขภาพ และความมั่นคงระดับโลก) ถูกเพิกถอน
    (ค) ผู้ช่วยประธานาธิบดี ฝ่ายกิจการความมั่นคงแห่งชาติ จะจัดตั้งผู้อำนวยการ และกลไกการประสานงาน ภายในกลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตามที่เขาเห็นว่าจำเป็น และเหมาะสม เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน และเสริมสร้างความปลอดภัยทางชีวภาพ
    (ง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้อำนวยการสำนักงานบริหาร และงบประมาณ จะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสม และรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อ:
    (i) ระงับการโอนเงินทุน การสนับสนุน หรือทรัพยากรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ไปยังองค์การอนามัยโลกในอนาคต
    (ii) เรียกตัว และมอบหมายงานใหม่ ให้กับบุคลากร หรือผู้รับเหมาของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ทำงานในตำแหน่งใดๆ ก็ตาม กับองค์การอนามัยโลก และ
    (iii) ระบุพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ และโปร่งใส ในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ เพื่อดำเนินกิจกรรมที่จำเป็น ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ดำเนินการไปแล้ว
    (จ) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายการเตรียมพร้อม และตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของทำเนียบขาว จะต้องทบทวน ยกเลิก และเปลี่ยนกลยุทธ์ความมั่นคง ด้านสุขภาพระดับโลก ของสหรัฐอเมริกาสำหรับปี 2024 โดยเร็วที่สุด
    มาตรา 3 การแจ้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องแจ้งให้ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ผู้รับฝากที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และผู้นำขององค์การอนามัยโลกทราบ เกี่ยวกับการถอนตัวในทันที
    มาตรา 4 การเจรจาเกี่ยวกับระบบทั่วโลก ในขณะที่กำลังดำเนินการถอนตัว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะยุติการเจรจา เกี่ยวกับข้อตกลงการระบาดใหญ่ ขององค์การอนามัยโลก และการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ และการดำเนินการ เพื่อให้เกิดข้อตกลง และการแก้ไขดังกล่าว จะไม่มีผลผูกพันต่อสหรัฐอเมริกา
    มาตรา 5 บทบัญญัติทั่วไป (ก) ห้ามตีความข้อความใดๆ ในคำสั่งนี้ เพื่อทำให้เสียหาย หรือส่งผลกระทบในทางอื่นใด ต่อไปนี้:
    (i) อำนาจที่กฎหมายมอบให้กับฝ่ายบริหาร หรือหน่วยงาน หรือหัวหน้าหน่วยงาน หรือ
    (ii) หน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานจัดการ และงบประมาณที่เกี่ยวข้อง กับข้อเสนอเกี่ยวกับงบประมาณ การบริหาร หรือการออกกฎหมาย
    (ข) คำสั่งนี้ จะต้องนำไปปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับกฎหมายที่บังคับใช้ และขึ้นอยู่กับการจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่
    (ค) คำสั่งนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ และไม่ได้สร้างสิทธิ หรือผลประโยชน์ใดๆ ในทางเนื้อหาหรือขั้นตอน บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย หรือในความเป็นธรรมโดยฝ่ายใดๆ ต่อสหรัฐอเมริกา หน่วยงาน หน่วยงาน หรือนิติบุคคลของสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ พนักงาน หรือตัวแทนของสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลอื่นใด
    https://www.whitehouse.gov/.../withdrawing-the-united.../
    ทำเนียบขาว,
    20 มกราคม 2025

    https://www.facebook.com/share/p/1DTaBnErqv/
    วันแรกก็เอาจริงเลย ข่าวอันเป็นนิมิตหมายดี ตั้งแต่มี โคขิต ใครที่เอะอะก็เชื่อ องค์การอนามัยโลก WHO (ที่ก่อตั้งโดยกลุ่มคนสามานย์) ถึงเวลาออกจากกะลาครับ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ณ ห้องโอวัลออฟฟิศ ของทำเนียบขาว เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2025 ในกรุงวอชิงตัน (ภาพเอพี/อีวาน วุชชี) การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก ถือเป็นก้าวสำคัญ สู่ความรับผิดชอบด้านสุขภาพระดับโลก การระบาดใหญ่ครั้งนี้ เผยให้เห็นถึงความล้มเหลว ขององค์การอนามัยโลก และเน้นย้ำถึงความจำเป็นของผู้นำ ที่ให้ความสำคัญกับความจริง วิทยาศาสตร์ และแนวทางแก้ปัญหาที่แท้จริง มากกว่าการเมือง นสพ. แนวหน้า 21/1/2568 https://www.naewna.com/inter/854734 การถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ด้วยอำนาจที่มอบให้ผม ในฐานะประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายของสหรัฐอเมริกา จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้: มาตรา 1 วัตถุประสงค์ สหรัฐฯ แจ้งการถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2020 เนื่องจากองค์กร จัดการกับการระบาดของ COVID-19 ได้อย่างผิดพลาด ซึ่งเกิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และวิกฤตด้านสุขภาพทั่วโลกอื่นๆ ล้มเหลวในการปฏิรูปที่จำเป็นเร่งด่วน และไม่สามารถแสดงความเป็นอิสระ จากอิทธิพลทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม ของประเทศสมาชิกของ WHO ได้ นอกจากนี้ WHO ยังคงเรียกร้องเงินชดเชย ที่ไม่เป็นธรรมจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่สมดุลกับเงินชดเชย ที่ประเมินแล้วของประเทศอื่นๆ จีนซึ่งมีประชากร 1.4 พันล้านคน มีประชากร 300 เปอร์เซ็นต์ของประชากรสหรัฐฯ แต่มีส่วนสนับสนุน WHO น้อยกว่าเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ มาตรา 2 การดำเนินการ (ก) สหรัฐอเมริกา มีเจตนาที่จะถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก จดหมายของประธานาธิบดี ถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 ซึ่งเพิกถอนการแจ้งเตือน การถอนตัวของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2020 ถูกเพิกถอน (ข) คำสั่งฝ่ายบริหาร 13987 ลงวันที่ 25 มกราคม 2021 (การจัดระเบียบ และระดมพลรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อให้มีการตอบสนองที่เป็นหนึ่งเดียว และมีประสิทธิผล ในการต่อสู้กับ COVID-19 และเพื่อให้สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำด้านสุขภาพ และความมั่นคงระดับโลก) ถูกเพิกถอน (ค) ผู้ช่วยประธานาธิบดี ฝ่ายกิจการความมั่นคงแห่งชาติ จะจัดตั้งผู้อำนวยการ และกลไกการประสานงาน ภายในกลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตามที่เขาเห็นว่าจำเป็น และเหมาะสม เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน และเสริมสร้างความปลอดภัยทางชีวภาพ (ง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้อำนวยการสำนักงานบริหาร และงบประมาณ จะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสม และรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อ: (i) ระงับการโอนเงินทุน การสนับสนุน หรือทรัพยากรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ไปยังองค์การอนามัยโลกในอนาคต (ii) เรียกตัว และมอบหมายงานใหม่ ให้กับบุคลากร หรือผู้รับเหมาของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ทำงานในตำแหน่งใดๆ ก็ตาม กับองค์การอนามัยโลก และ (iii) ระบุพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ และโปร่งใส ในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ เพื่อดำเนินกิจกรรมที่จำเป็น ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ดำเนินการไปแล้ว (จ) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายการเตรียมพร้อม และตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของทำเนียบขาว จะต้องทบทวน ยกเลิก และเปลี่ยนกลยุทธ์ความมั่นคง ด้านสุขภาพระดับโลก ของสหรัฐอเมริกาสำหรับปี 2024 โดยเร็วที่สุด มาตรา 3 การแจ้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องแจ้งให้ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ผู้รับฝากที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และผู้นำขององค์การอนามัยโลกทราบ เกี่ยวกับการถอนตัวในทันที มาตรา 4 การเจรจาเกี่ยวกับระบบทั่วโลก ในขณะที่กำลังดำเนินการถอนตัว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะยุติการเจรจา เกี่ยวกับข้อตกลงการระบาดใหญ่ ขององค์การอนามัยโลก และการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ และการดำเนินการ เพื่อให้เกิดข้อตกลง และการแก้ไขดังกล่าว จะไม่มีผลผูกพันต่อสหรัฐอเมริกา มาตรา 5 บทบัญญัติทั่วไป (ก) ห้ามตีความข้อความใดๆ ในคำสั่งนี้ เพื่อทำให้เสียหาย หรือส่งผลกระทบในทางอื่นใด ต่อไปนี้: (i) อำนาจที่กฎหมายมอบให้กับฝ่ายบริหาร หรือหน่วยงาน หรือหัวหน้าหน่วยงาน หรือ (ii) หน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานจัดการ และงบประมาณที่เกี่ยวข้อง กับข้อเสนอเกี่ยวกับงบประมาณ การบริหาร หรือการออกกฎหมาย (ข) คำสั่งนี้ จะต้องนำไปปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับกฎหมายที่บังคับใช้ และขึ้นอยู่กับการจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่ (ค) คำสั่งนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ และไม่ได้สร้างสิทธิ หรือผลประโยชน์ใดๆ ในทางเนื้อหาหรือขั้นตอน บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย หรือในความเป็นธรรมโดยฝ่ายใดๆ ต่อสหรัฐอเมริกา หน่วยงาน หน่วยงาน หรือนิติบุคคลของสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ พนักงาน หรือตัวแทนของสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลอื่นใด https://www.whitehouse.gov/.../withdrawing-the-united.../ ทำเนียบขาว, 20 มกราคม 2025 https://www.facebook.com/share/p/1DTaBnErqv/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 359 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ณ ห้องโอวัลออฟฟิศ ของทำเนียบขาว เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2025 ในกรุงวอชิงตัน (ภาพเอพี/อีวาน วุชชี)
    การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก ถือเป็นก้าวสำคัญ สู่ความรับผิดชอบด้านสุขภาพระดับโลก
    การระบาดใหญ่ครั้งนี้ เผยให้เห็นถึงความล้มเหลว ขององค์การอนามัยโลก และเน้นย้ำถึงความจำเป็นของผู้นำ ที่ให้ความสำคัญกับความจริง วิทยาศาสตร์ และแนวทางแก้ปัญหาที่แท้จริง มากกว่าการเมือง
    นสพ. แนวหน้า 21/1/2568
    https://www.naewna.com/inter/854734
    การถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก
    ด้วยอำนาจที่มอบให้ผม ในฐานะประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายของสหรัฐอเมริกา จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้:
    มาตรา 1 วัตถุประสงค์ สหรัฐฯ แจ้งการถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2020 เนื่องจากองค์กร จัดการกับการระบาดของ COVID-19 ได้อย่างผิดพลาด ซึ่งเกิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และวิกฤตด้านสุขภาพทั่วโลกอื่นๆ ล้มเหลวในการปฏิรูปที่จำเป็นเร่งด่วน และไม่สามารถแสดงความเป็นอิสระ จากอิทธิพลทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม ของประเทศสมาชิกของ WHO ได้ นอกจากนี้ WHO ยังคงเรียกร้องเงินชดเชย ที่ไม่เป็นธรรมจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่สมดุลกับเงินชดเชย ที่ประเมินแล้วของประเทศอื่นๆ จีนซึ่งมีประชากร 1.4 พันล้านคน มีประชากร 300 เปอร์เซ็นต์ของประชากรสหรัฐฯ แต่มีส่วนสนับสนุน WHO น้อยกว่าเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์
    มาตรา 2 การดำเนินการ (ก) สหรัฐอเมริกา มีเจตนาที่จะถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก จดหมายของประธานาธิบดี ถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 ซึ่งเพิกถอนการแจ้งเตือน การถอนตัวของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2020 ถูกเพิกถอน
    (ข) คำสั่งฝ่ายบริหาร 13987 ลงวันที่ 25 มกราคม 2021 (การจัดระเบียบ และระดมพลรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อให้มีการตอบสนองที่เป็นหนึ่งเดียว และมีประสิทธิผล ในการต่อสู้กับ COVID-19 และเพื่อให้สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำด้านสุขภาพ และความมั่นคงระดับโลก) ถูกเพิกถอน
    (ค) ผู้ช่วยประธานาธิบดี ฝ่ายกิจการความมั่นคงแห่งชาติ จะจัดตั้งผู้อำนวยการ และกลไกการประสานงาน ภายในกลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตามที่เขาเห็นว่าจำเป็น และเหมาะสม เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน และเสริมสร้างความปลอดภัยทางชีวภาพ
    (ง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้อำนวยการสำนักงานบริหาร และงบประมาณ จะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสม และรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อ:
    (i) ระงับการโอนเงินทุน การสนับสนุน หรือทรัพยากรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ไปยังองค์การอนามัยโลกในอนาคต
    (ii) เรียกตัว และมอบหมายงานใหม่ ให้กับบุคลากร หรือผู้รับเหมาของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ทำงานในตำแหน่งใดๆ ก็ตาม กับองค์การอนามัยโลก และ
    (iii) ระบุพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ และโปร่งใส ในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ เพื่อดำเนินกิจกรรมที่จำเป็น ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ดำเนินการไปแล้ว
    (จ) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายการเตรียมพร้อม และตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของทำเนียบขาว จะต้องทบทวน ยกเลิก และเปลี่ยนกลยุทธ์ความมั่นคง ด้านสุขภาพระดับโลก ของสหรัฐอเมริกาสำหรับปี 2024 โดยเร็วที่สุด
    มาตรา 3 การแจ้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องแจ้งให้ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ผู้รับฝากที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และผู้นำขององค์การอนามัยโลกทราบ เกี่ยวกับการถอนตัวในทันที
    มาตรา 4 การเจรจาเกี่ยวกับระบบทั่วโลก ในขณะที่กำลังดำเนินการถอนตัว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะยุติการเจรจา เกี่ยวกับข้อตกลงการระบาดใหญ่ ขององค์การอนามัยโลก และการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ และการดำเนินการ เพื่อให้เกิดข้อตกลง และการแก้ไขดังกล่าว จะไม่มีผลผูกพันต่อสหรัฐอเมริกา
    มาตรา 5 บทบัญญัติทั่วไป (ก) ห้ามตีความข้อความใดๆ ในคำสั่งนี้ เพื่อทำให้เสียหาย หรือส่งผลกระทบในทางอื่นใด ต่อไปนี้:
    (i) อำนาจที่กฎหมายมอบให้กับฝ่ายบริหาร หรือหน่วยงาน หรือหัวหน้าหน่วยงาน หรือ
    (ii) หน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานจัดการ และงบประมาณที่เกี่ยวข้อง กับข้อเสนอเกี่ยวกับงบประมาณ การบริหาร หรือการออกกฎหมาย
    (ข) คำสั่งนี้ จะต้องนำไปปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับกฎหมายที่บังคับใช้ และขึ้นอยู่กับการจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่
    (ค) คำสั่งนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ และไม่ได้สร้างสิทธิ หรือผลประโยชน์ใดๆ ในทางเนื้อหาหรือขั้นตอน บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย หรือในความเป็นธรรมโดยฝ่ายใดๆ ต่อสหรัฐอเมริกา หน่วยงาน หน่วยงาน หรือนิติบุคคลของสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ พนักงาน หรือตัวแทนของสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลอื่นใด
    https://www.whitehouse.gov/.../withdrawing-the-united.../
    ทำเนียบขาว,
    20 มกราคม 2025
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ณ ห้องโอวัลออฟฟิศ ของทำเนียบขาว เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2025 ในกรุงวอชิงตัน (ภาพเอพี/อีวาน วุชชี) การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก ถือเป็นก้าวสำคัญ สู่ความรับผิดชอบด้านสุขภาพระดับโลก การระบาดใหญ่ครั้งนี้ เผยให้เห็นถึงความล้มเหลว ขององค์การอนามัยโลก และเน้นย้ำถึงความจำเป็นของผู้นำ ที่ให้ความสำคัญกับความจริง วิทยาศาสตร์ และแนวทางแก้ปัญหาที่แท้จริง มากกว่าการเมือง นสพ. แนวหน้า 21/1/2568 https://www.naewna.com/inter/854734 การถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ด้วยอำนาจที่มอบให้ผม ในฐานะประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายของสหรัฐอเมริกา จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้: มาตรา 1 วัตถุประสงค์ สหรัฐฯ แจ้งการถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2020 เนื่องจากองค์กร จัดการกับการระบาดของ COVID-19 ได้อย่างผิดพลาด ซึ่งเกิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และวิกฤตด้านสุขภาพทั่วโลกอื่นๆ ล้มเหลวในการปฏิรูปที่จำเป็นเร่งด่วน และไม่สามารถแสดงความเป็นอิสระ จากอิทธิพลทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม ของประเทศสมาชิกของ WHO ได้ นอกจากนี้ WHO ยังคงเรียกร้องเงินชดเชย ที่ไม่เป็นธรรมจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่สมดุลกับเงินชดเชย ที่ประเมินแล้วของประเทศอื่นๆ จีนซึ่งมีประชากร 1.4 พันล้านคน มีประชากร 300 เปอร์เซ็นต์ของประชากรสหรัฐฯ แต่มีส่วนสนับสนุน WHO น้อยกว่าเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ มาตรา 2 การดำเนินการ (ก) สหรัฐอเมริกา มีเจตนาที่จะถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก จดหมายของประธานาธิบดี ถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 ซึ่งเพิกถอนการแจ้งเตือน การถอนตัวของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2020 ถูกเพิกถอน (ข) คำสั่งฝ่ายบริหาร 13987 ลงวันที่ 25 มกราคม 2021 (การจัดระเบียบ และระดมพลรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อให้มีการตอบสนองที่เป็นหนึ่งเดียว และมีประสิทธิผล ในการต่อสู้กับ COVID-19 และเพื่อให้สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำด้านสุขภาพ และความมั่นคงระดับโลก) ถูกเพิกถอน (ค) ผู้ช่วยประธานาธิบดี ฝ่ายกิจการความมั่นคงแห่งชาติ จะจัดตั้งผู้อำนวยการ และกลไกการประสานงาน ภายในกลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตามที่เขาเห็นว่าจำเป็น และเหมาะสม เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน และเสริมสร้างความปลอดภัยทางชีวภาพ (ง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้อำนวยการสำนักงานบริหาร และงบประมาณ จะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสม และรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อ: (i) ระงับการโอนเงินทุน การสนับสนุน หรือทรัพยากรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ไปยังองค์การอนามัยโลกในอนาคต (ii) เรียกตัว และมอบหมายงานใหม่ ให้กับบุคลากร หรือผู้รับเหมาของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ทำงานในตำแหน่งใดๆ ก็ตาม กับองค์การอนามัยโลก และ (iii) ระบุพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ และโปร่งใส ในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ เพื่อดำเนินกิจกรรมที่จำเป็น ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ดำเนินการไปแล้ว (จ) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายการเตรียมพร้อม และตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของทำเนียบขาว จะต้องทบทวน ยกเลิก และเปลี่ยนกลยุทธ์ความมั่นคง ด้านสุขภาพระดับโลก ของสหรัฐอเมริกาสำหรับปี 2024 โดยเร็วที่สุด มาตรา 3 การแจ้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องแจ้งให้ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ผู้รับฝากที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และผู้นำขององค์การอนามัยโลกทราบ เกี่ยวกับการถอนตัวในทันที มาตรา 4 การเจรจาเกี่ยวกับระบบทั่วโลก ในขณะที่กำลังดำเนินการถอนตัว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะยุติการเจรจา เกี่ยวกับข้อตกลงการระบาดใหญ่ ขององค์การอนามัยโลก และการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ และการดำเนินการ เพื่อให้เกิดข้อตกลง และการแก้ไขดังกล่าว จะไม่มีผลผูกพันต่อสหรัฐอเมริกา มาตรา 5 บทบัญญัติทั่วไป (ก) ห้ามตีความข้อความใดๆ ในคำสั่งนี้ เพื่อทำให้เสียหาย หรือส่งผลกระทบในทางอื่นใด ต่อไปนี้: (i) อำนาจที่กฎหมายมอบให้กับฝ่ายบริหาร หรือหน่วยงาน หรือหัวหน้าหน่วยงาน หรือ (ii) หน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานจัดการ และงบประมาณที่เกี่ยวข้อง กับข้อเสนอเกี่ยวกับงบประมาณ การบริหาร หรือการออกกฎหมาย (ข) คำสั่งนี้ จะต้องนำไปปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับกฎหมายที่บังคับใช้ และขึ้นอยู่กับการจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่ (ค) คำสั่งนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ และไม่ได้สร้างสิทธิ หรือผลประโยชน์ใดๆ ในทางเนื้อหาหรือขั้นตอน บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย หรือในความเป็นธรรมโดยฝ่ายใดๆ ต่อสหรัฐอเมริกา หน่วยงาน หน่วยงาน หรือนิติบุคคลของสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ พนักงาน หรือตัวแทนของสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลอื่นใด https://www.whitehouse.gov/.../withdrawing-the-united.../ ทำเนียบขาว, 20 มกราคม 2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 338 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประกาศ ๆ
    แบรนด์ศิษย์เกษตรมีมาสคอตแล้วนะ น้องมีชื่อว่า "วรุณศิริ"
    .....
    พี่ที่เป็นพาร์ทเนอร์ด้านการออกแบบ เป็นผู้ออกแบบให้และตั้งชื่อให้ด้วย พี่เขาบอกว่า
    วรุณศิริ =ความมั่งคั่งจากเทพเจ้าแห่งสายน้ำ
    ....
    น้องวรุณศิริมีต้นแบบมาจากตัวนาก เหตุที่ ศิษย์เกษตรเลือกตัวนากเพราะเป็นสัตว์ที่มีนิสัยใช้ชีวิตด้วยความสุขและมีความฉลาด
    ....
    ต่อไปนี้น้องวรุณศิริจะเป็นตัวแทนเล่าเรื่องราวของแบรนด์ศิษย์เกษตรนะครับ รอติดตามผลงานกันได้เลย อ่อ...ประชาสัมพันธ์เลยก็แล้วกัน ผลงานแรกของน้องวรุณศิริจะออกวางจำหน่ายเดือนหน้า เป็นหนังสืออีบุ๊กเรื่อง
    "คู่มือรับเหมาตัดหญ้าให้มีรายได้มากกว่างานประจำ"
    #ถ้าน้องน่ารักก็ช่วยกดไลค์กดหัวจงหัวใจให้บ้างนะ555
    ประกาศ ๆ แบรนด์ศิษย์เกษตรมีมาสคอตแล้วนะ น้องมีชื่อว่า "วรุณศิริ" ..... พี่ที่เป็นพาร์ทเนอร์ด้านการออกแบบ เป็นผู้ออกแบบให้และตั้งชื่อให้ด้วย พี่เขาบอกว่า วรุณศิริ =ความมั่งคั่งจากเทพเจ้าแห่งสายน้ำ .... น้องวรุณศิริมีต้นแบบมาจากตัวนาก เหตุที่ ศิษย์เกษตรเลือกตัวนากเพราะเป็นสัตว์ที่มีนิสัยใช้ชีวิตด้วยความสุขและมีความฉลาด .... ต่อไปนี้น้องวรุณศิริจะเป็นตัวแทนเล่าเรื่องราวของแบรนด์ศิษย์เกษตรนะครับ รอติดตามผลงานกันได้เลย อ่อ...ประชาสัมพันธ์เลยก็แล้วกัน ผลงานแรกของน้องวรุณศิริจะออกวางจำหน่ายเดือนหน้า เป็นหนังสืออีบุ๊กเรื่อง "คู่มือรับเหมาตัดหญ้าให้มีรายได้มากกว่างานประจำ" #ถ้าน้องน่ารักก็ช่วยกดไลค์กดหัวจงหัวใจให้บ้างนะ555
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 246 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประกาศ ๆ
    วันนี้ lit nit ขอเปิดตัวมาสคอตของแบรนด์ศิษย์เกษตร น้องมีชื่อว่า "วรุณศิริ"
    .....
    พี่ที่เป็นพาร์ทเนอร์ด้านการออกแบบของ lit nit เป็นผู้ออกแบบให้และตั้งชื่อให้ด้วย พี่เขาบอกว่า
    วรุณศิริ =ความมั่งคั่งจากเทพเจ้าแห่งสายน้ำ
    ....
    น้องวรุณศิริมีต้นแบบมาจากตัวนาก เหตุที่ lit nit เลือกตัวนากเพราะเป็นสัตว์ที่มีนิสัยใช้ชีวิตด้วยความสุขและมีความฉลาด
    ....
    ต่อไปนี้น้องวรุณศิริจะเป็นตัวแทนเล่าเรื่องราวของแบรนด์ศิษย์เกษตรนะครับ รอติดตามผลงานกันได้เลย อ่อ...ประชาสัมพันธ์เลยก็แล้วกัน ผลงานแรกของน้องวรุณศิริจะออกวางจำหน่ายเดือนหน้า เป็นหนังสืออีบุ๊กเรื่อง
    "คู่มือรับเหมาตัดหญ้าให้มีรายได้มากกว่างานประจำ"
    #ถ้าน้องน่ารักก็ช่วยกดไลค์กดหัวจงหัวใจให้บ้างนะ555
    ประกาศ ๆ วันนี้ lit nit ขอเปิดตัวมาสคอตของแบรนด์ศิษย์เกษตร น้องมีชื่อว่า "วรุณศิริ" ..... พี่ที่เป็นพาร์ทเนอร์ด้านการออกแบบของ lit nit เป็นผู้ออกแบบให้และตั้งชื่อให้ด้วย พี่เขาบอกว่า วรุณศิริ =ความมั่งคั่งจากเทพเจ้าแห่งสายน้ำ .... น้องวรุณศิริมีต้นแบบมาจากตัวนาก เหตุที่ lit nit เลือกตัวนากเพราะเป็นสัตว์ที่มีนิสัยใช้ชีวิตด้วยความสุขและมีความฉลาด .... ต่อไปนี้น้องวรุณศิริจะเป็นตัวแทนเล่าเรื่องราวของแบรนด์ศิษย์เกษตรนะครับ รอติดตามผลงานกันได้เลย อ่อ...ประชาสัมพันธ์เลยก็แล้วกัน ผลงานแรกของน้องวรุณศิริจะออกวางจำหน่ายเดือนหน้า เป็นหนังสืออีบุ๊กเรื่อง "คู่มือรับเหมาตัดหญ้าให้มีรายได้มากกว่างานประจำ" #ถ้าน้องน่ารักก็ช่วยกดไลค์กดหัวจงหัวใจให้บ้างนะ555
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 312 มุมมอง 0 รีวิว
  • นับหนึ่งถึงอนาคต รถไฟฟ้าสายแรกปีนัง

    รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย กำลังจะมีรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) สายแรกเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ หลังจากเมื่อเดือน มี.ค.2567 รัฐบาลกลางมาเลเซีย รับช่วงต่อจากรัฐบาลท้องถิ่นรัฐปีนัง พัฒนาโครงการรถไฟรางเบาสายมูเทียร่า ไลน์ (Mutiara Line) โดยแต่งตั้งบริษัท เอ็มอาร์ที คอร์ป (MRT Corp) ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นทั้งหมด เป็นผู้พัฒนาโครงการ

    พิธีวางศิลาฤกษ์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2568 บริเวณสถานที่ก่อสร้างสถานีบันดาร์ ศรี ปีนัง (Bandar Sri Pinang) โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเป็นประธาน

    จากการลงพื้นที่ของ Newskit พบว่า สถานที่ก่อสร้างสถานีบันดาร์ ศรี ปีนัง (Bandar Sri Pinang) ติดกับทางด่วนลิม ชอง ยู (Lim Chong Eu) ใกล้กับมัสยิดอัล บัคฮารี่ (Al Bukhary) และทางจักรยานเลียบชายทะเล บริเวณฝั่งตะวันออกของเกาะปีนัง เมื่อข้ามแม่น้ำปีนังไปแล้วจะเป็นสถานีแมคคัลลัม ก่อนแยกเป็นสองสาย แยกซ้ายไปสถานีคอมตาร์ แยกขวาข้ามทะเลไปสถานีปีนังเซ็นทรัล

    ก่อนที่เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2568 จะมีการลงนามสัญญาก่อสร้างช่วงคอมตาร์-เกาะซิลิคอน (Komtar-Silicon Island) ระยะทาง 24 กิโลเมตร รวม 19 สถานี มูลค่าประมาณ 8,310 ล้านริงกิต (64,000 ล้านบาท) โดยมีกลุ่มกิจการร่วมค้าเอสอาร์เอส ที่บริษัทก่อสร้างกามูดา (Gamuda) ถือหุ้น 60% เป็นผู้รับเหมาในการก่อสร้าง โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 6 ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2574

    ส่วนช่วงคอมตาร์-ปีนังเซ็นทรัล (Komtar-Penang Sentral) จากสถานีแมคคัลลัม (Macallum) ในเมืองจอร์จทาวน์ ผ่านช่องแคบปีนัง ระยะทาง 5.8 กิโลเมตร คาดว่าจะเปิดประมูลในเดือน ก.ค. 2568 และประกาศผลการประมูลในต้นปี 2569 ส่วนการประมูลระบบรถไฟฟ้าและการบำรุงรักษา กำลังดำเนินการ โดยมีกำหนดส่งข้อเสนอขั้นสุดท้ายในวันที่ 14 เม.ย. 2568

    นายแอนโทนี ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย กล่าวว่า โครงการนี้ได้รับการวางแผนอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้สามารถเข้าถึงศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่สำคัญได้อย่างราบรื่น สนับสนุนโครงการ Penang Silicon Design @5km+ การยกระดับท่าอากาศยานนานาชาติปีนัง และเขตอุตสาหกรรมเสรีบายัน เลอปาส (Bayan Lepas)

    อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังมีปัญหาเรื่องที่ดินก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุง บริเวณสถานีสุไหงนิบง (Sungai Nibong) ซึ่งเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม มีการจัดงานเทศกาลประจำปี เพสต้า ปูเลา ปีนัง (Pesta Pulau Pinang) มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2509 แต่ทาง MRT Corp ยืนยันว่าจะใช้พื้นที่ไม่มาก ก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงรองและพื้นที่พัฒนารอบสถานี (TOD) เท่านั้น

    #Newskit

    -----
    ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    นับหนึ่งถึงอนาคต รถไฟฟ้าสายแรกปีนัง รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย กำลังจะมีรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) สายแรกเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ หลังจากเมื่อเดือน มี.ค.2567 รัฐบาลกลางมาเลเซีย รับช่วงต่อจากรัฐบาลท้องถิ่นรัฐปีนัง พัฒนาโครงการรถไฟรางเบาสายมูเทียร่า ไลน์ (Mutiara Line) โดยแต่งตั้งบริษัท เอ็มอาร์ที คอร์ป (MRT Corp) ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นทั้งหมด เป็นผู้พัฒนาโครงการ พิธีวางศิลาฤกษ์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2568 บริเวณสถานที่ก่อสร้างสถานีบันดาร์ ศรี ปีนัง (Bandar Sri Pinang) โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเป็นประธาน จากการลงพื้นที่ของ Newskit พบว่า สถานที่ก่อสร้างสถานีบันดาร์ ศรี ปีนัง (Bandar Sri Pinang) ติดกับทางด่วนลิม ชอง ยู (Lim Chong Eu) ใกล้กับมัสยิดอัล บัคฮารี่ (Al Bukhary) และทางจักรยานเลียบชายทะเล บริเวณฝั่งตะวันออกของเกาะปีนัง เมื่อข้ามแม่น้ำปีนังไปแล้วจะเป็นสถานีแมคคัลลัม ก่อนแยกเป็นสองสาย แยกซ้ายไปสถานีคอมตาร์ แยกขวาข้ามทะเลไปสถานีปีนังเซ็นทรัล ก่อนที่เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2568 จะมีการลงนามสัญญาก่อสร้างช่วงคอมตาร์-เกาะซิลิคอน (Komtar-Silicon Island) ระยะทาง 24 กิโลเมตร รวม 19 สถานี มูลค่าประมาณ 8,310 ล้านริงกิต (64,000 ล้านบาท) โดยมีกลุ่มกิจการร่วมค้าเอสอาร์เอส ที่บริษัทก่อสร้างกามูดา (Gamuda) ถือหุ้น 60% เป็นผู้รับเหมาในการก่อสร้าง โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 6 ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2574 ส่วนช่วงคอมตาร์-ปีนังเซ็นทรัล (Komtar-Penang Sentral) จากสถานีแมคคัลลัม (Macallum) ในเมืองจอร์จทาวน์ ผ่านช่องแคบปีนัง ระยะทาง 5.8 กิโลเมตร คาดว่าจะเปิดประมูลในเดือน ก.ค. 2568 และประกาศผลการประมูลในต้นปี 2569 ส่วนการประมูลระบบรถไฟฟ้าและการบำรุงรักษา กำลังดำเนินการ โดยมีกำหนดส่งข้อเสนอขั้นสุดท้ายในวันที่ 14 เม.ย. 2568 นายแอนโทนี ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย กล่าวว่า โครงการนี้ได้รับการวางแผนอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้สามารถเข้าถึงศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่สำคัญได้อย่างราบรื่น สนับสนุนโครงการ Penang Silicon Design @5km+ การยกระดับท่าอากาศยานนานาชาติปีนัง และเขตอุตสาหกรรมเสรีบายัน เลอปาส (Bayan Lepas) อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังมีปัญหาเรื่องที่ดินก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุง บริเวณสถานีสุไหงนิบง (Sungai Nibong) ซึ่งเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม มีการจัดงานเทศกาลประจำปี เพสต้า ปูเลา ปีนัง (Pesta Pulau Pinang) มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2509 แต่ทาง MRT Corp ยืนยันว่าจะใช้พื้นที่ไม่มาก ก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงรองและพื้นที่พัฒนารอบสถานี (TOD) เท่านั้น #Newskit ----- ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 850 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายท่าน คงเห็นโพสรับเหมาพระบ้าน..จำนวนมาก...อยากบอกว่า ..ราคาจะต่ำมาก...เพราะเขาหวังฟลุ๊ค หวังได้ของหลุด..ราคาสูงๆ ไม่ต้องไปหวัง...ท่านควรศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองก่อน ..อาจใช้เวลาหน่อย...แต่คุ้มค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระที่ตกทอดมาจากรุ่นก่อน (จริง..ไม่ใช่นิทาน) ...คนมาเหมา..มีทั้งมืออาชีพ...และมือสมัครเล่น ที่ดูพระไม่ขาด ก็จะอาศัย วัดดวงเอาถูกๆ คือ ผิดพลาดก็ไปไล่ขายหลักร้อยเอา.......จงศึกษาด้วยตนเอง..และไปหาขายในสายนั้นๆ หรือเซียนที่เล่นพระ (หน้าลาย) หลายสาย..คนซื้อเบียด ซื้อตามมูลค่ามี...เพียงแต่...ท่านต้องหาให้เจอ.
    หลายท่าน คงเห็นโพสรับเหมาพระบ้าน..จำนวนมาก...อยากบอกว่า ..ราคาจะต่ำมาก...เพราะเขาหวังฟลุ๊ค หวังได้ของหลุด..ราคาสูงๆ ไม่ต้องไปหวัง...ท่านควรศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองก่อน ..อาจใช้เวลาหน่อย...แต่คุ้มค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระที่ตกทอดมาจากรุ่นก่อน (จริง..ไม่ใช่นิทาน) ...คนมาเหมา..มีทั้งมืออาชีพ...และมือสมัครเล่น ที่ดูพระไม่ขาด ก็จะอาศัย วัดดวงเอาถูกๆ คือ ผิดพลาดก็ไปไล่ขายหลักร้อยเอา.......จงศึกษาด้วยตนเอง..และไปหาขายในสายนั้นๆ หรือเซียนที่เล่นพระ (หน้าลาย) หลายสาย..คนซื้อเบียด ซื้อตามมูลค่ามี...เพียงแต่...ท่านต้องหาให้เจอ.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • 30 ธันวาคม 2567-สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. เสียงเอกฉันท์ ตีตกข้อกล่าวหา เรืออากาศโทณรุจ โกมลารชุน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนปฏิบัติการ (DO-V) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท Global Airworks Inc. โดยยกเลิกสัญญา PURCHASE TERMS AGREEMENT PTA 070225-08 เป็นเหตุให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย หลังก่อนหน้านี้ถูกชี้มูลความผิดกรณีการจัดซื้ออุปกรณ์ห้องนักบินเอื้อประโยชน์เอกชนโดยมิชอบ ทำรัฐสูญเสีย 147 ล้านบาท ไปแล้ว

    สำนักงาน ป.ป.ช.ระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่ากระทำผิดโดยสรุป ว่า สืบเนื่องจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการจัดซื้ออุปกรณ์ในห้องนักบิน เพื่อรองรับข้อมูลปฏิบัติการบินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และระบบกล้องวงจรปิดสำหรับตรวจสอบบริเวณห้องนักบิน (Electronic Flight Bag/Cockpit Door Surveillance System, EFB/CDSS) ไม่เป็นไปตามระเบียบบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546 ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติเห็นชอบว่าการกระทำของเรืออากาศโท อภินันทน์ สุมนะเศรณี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (DD) กับพวก รวม 3 ราย ในกรณีดังกล่าวมีมูลความผิดทางอาญา และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง จึงมีมติให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญา พร้อมทั้งส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91(1) และ (2)

    อนึ่ง จากการไต่สวนข้อเท็จจริงมีหลักฐานปรากฏชัดแจ้งว่า บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยเรืออากาศโท อภินันทน์ สุมนะเศรณี ได้ลงนามในสัญญา Purchase Terms Agreement PTA 070225-08 MAY 17, 2007 กับบริษัท Global Airwork Inc. เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2550 หลังจากนั้น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการตรวจรับและชำระเงินให้แก่บริษัท Global Airwork Inc ไปจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 147,395,028.586 บาท แต่ปรากฏว่าบริษัทดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการตามสัญญาได้ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จึงทำการเลิกสัญญา (Terminate) กับบริษัท Global Airworks Inc. และเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2551 ได้ทำข้อตกลงว่าจ้างบริษัท Airworks International Inc. ให้ดำเนินการตามสัญญา Purchase Terms Agreement PTA 070225-08 ต่อไป ซึ่งเป็นการสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท Global Airworks Inc. ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขที่ทำให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เสียประโยชน์ ทั้งที่บริษัทดังกล่าวเป็นฝ่ายผิดสัญญา ซึ่งในทางกฎหมาย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ว่าจ้าง ย่อมมีสิทธิเรียกร้องได้ตามสัญญานั้น

    ผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า ทางไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานรับฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง คดีหมายเลขดำที่ อท 113/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อท 123/2565 ว่า การจัดหาระบบอุปกรณ์ในห้องนักบินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์และระบบกล้องวงจรปิดสำหรับตรวจสอบบริเวณห้องนักบิน (Electronic Flight Bag/Cockpit Door Surveillance System หรือ EFB/CDSS) เป็นเรื่องที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของคณะกรรมการการบินพลเรือน ว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยในบริเวณส่วนของผู้ประจำหน้าที่ภาคอากาศ ถือเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการจัดหาโดยเร็วอันเข้ากรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งตามระเบียบบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546 ข้อ 127 และข้อ 128 แต่เมื่อการจัดหาโครงการ EFB/CDSS ครั้งนี้ ฝ่ายปฏิบัติการ (DO) ซึ่งเป็นหน่วยงานผู้ใช้ไม่ได้เป็นผู้ขออนุมัติในหลักการเพื่อจัดซื้อจัดจ้างเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาตามลำดับชั้นมาแต่แรก เนื่องจากเป็นกรณีที่คณะกรรมการบริหารบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ใช้อำนาจในทางบริหารพิจารณาอนุมัติในหลักการให้ฝ่ายปฏิบัติการ (DO) ไปดำเนินการจัดหาตามโครงการ EFB/CDSS โดยเร็ว เพราะเห็นว่าโครงการ EFB/CDSS เป็นข้อบังคับของคณะกรรมการการบินพลเรือน ว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยในบริเวณส่วนของผู้ประจำหน้าที่ภาคอากาศที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จะต้องถือปฏิบัติตาม

    กล่าวคือเป็นการพิจารณาสั่งการจากระดับบนสู่ระดับล่าง มิใช่กรณีที่หน่วยงานผู้ใช้เป็นผู้จัดซื้อจัดจ้างและทำรายงานหรือทำคำขออนุมัติในหลักการเพื่อจัดหาพัสดุตามข้อ 16 กรณีจึงไม่จำต้องขออนุมัติหลักการจัดหาพัสดุและเสนอตั้งคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างต่อผู้บังคับบัญชาตามระเบียบบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546 ข้อ 128 ประกอบข้อ 16 และข้อ 24 ก่อน และหลังจากลงนามในสัญญา PURCHASE TERMS AGREEMENT (PTA) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2550 แล้ว วันที่ 28 เมษายน 2552 ฝ่ายปฏิบัติการ (DO) ก็ได้รายงานผลการดำเนินโครงการจัดหา EFB/CDSS ให้ที่ประชุมฝ่ายบริหารงานนโยบายบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 22/2552 ทราบ ถือเป็นการรายงานความคืบหน้าและรายงานผลการดำเนินงานต่อผู้มีอำนาจอนุมัติด้วยวิธีกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งตามข้อ 127 แล้ว
    สำหรับกรณีที่หลังจากลงนามในสัญญาซื้อขายที่ 070225-08 (Purchase Terms Agreement PTA 070225-08) และข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 1 ของสัญญาการซื้อขายที่ 070225-08 (Side Agreement No.1 To Purchase Terms Agreement PTA 070225-08) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2550 แล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงว่า บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท โกลบอล แอร์เวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Global Airworks Inc.) ได้ร่วมกันทำข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 2 (Side Agreement No.2 To Purchase Terms Agreement PTA 070225-08) และข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 3 (Side Agreement No.3 To Purchase Terms Agreement PTA 070225-08) รวมถึงลงนามในหนังสือการสิ้นสุดแห่งสัญญาจัดซื้อ (TERMINATION OF PURCHASE TERMS AGREEMENT) ฉบับลงวันที่ 2 ธันวาคม 2551 เพื่อยกเลิกการดำเนินการตามสัญญาการซื้อขายที่ 070225-08 (PURCHASE TERMS AGREEMENT PTA 070225-08) พร้อมด้วยข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 3 และลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MEMORANDUM OF UNDERSTANDING : MOU) ฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 2551 กับบริษัท Airworks International Inc. ให้เข้าเป็นคู่สัญญาตามสัญญาซื้อขายที่ 070225-08 และข้อตกลงนอกสัญญาทั้งสามฉบับ ในฐานะผู้รับเหมาหลัก นั้น ทางไต่สวนรับฟังได้ตามถ้อยคำของหัวหน้าฝ่ายบริหารการจัดซื้อหมวดหมู่การบริการองค์กรและเทคโนโลยี (WP) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่า ตามระเบียบบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546 หมวด 14 การจัดหาพัสดุ การจ้างซ่อมชิ้นส่วนอะไหล่ของเครื่องบินในกิจการฝ่ายช่าง มิได้กำหนดเกี่ยวกับการจัดทำสัญญาและบริหารสัญญาไว้ โดยข้อ 128 กำหนดให้นำความตามข้อกำหนดในหมวด 2 และหมวด 12 มาใช้บังคับกับการพัสดุในหมวดนี้ ดังนั้น การจัดทำสัญญาและการบริหารสัญญาการจัดหาระบบ EFB/CDSS ดังกล่าวข้างต้น หน่วยงานผู้บริหารสัญญาดังกล่าวซึ่งประสงค์จะแก้ไขสัญญาจะต้องดำเนินการตามข้อ 52 วรรคหนึ่ง และยกเลิกสัญญาดังกล่าวจะต้องดำเนินการตามข้อ 57 สำหรับกรณีการลงนามหนังสือการสิ้นสุดแห่งสัญญาจัดซื้อ (TERMINATION OF PURCHASE TERMS AGREEMENT) เพื่อยกเลิกการดำเนินการตามสัญญาการซื้อขายที่ 070225-08 พร้อมด้วยบันทึกข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 3 กับบริษัท Global Airworks Inc. และจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) เพื่อเปลี่ยนคู่สัญญาเป็นบริษัท Airworks International Inc. นั้น เห็นว่าต้องพิจารณาเจตนารมณ์ของหน่วยงานผู้บริหารสัญญาหรือผู้รับผิดชอบสัญญาว่า ประสงค์จะบอกเลิกสัญญาเดิมเพื่อดำเนินการจัดหาผู้รับจ้างรายใหม่หรือไม่ หากประสงค์จะจัดหาผู้รับจ้างรายใหม่จะต้องดำเนินการจัดหาตามขั้นตอนและระเบียบฯ ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการและทำให้งานจ้างสะดุดหยุดลงและไม่ต่อเนื่อง แต่หากมีความต้องการดำเนินงานจ้างต่อเนื่องเพราะมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน เพียงแต่มีเหตุจำเป็นต้องที่จะต้องเปลี่ยนแปลงคู่สัญญาและผู้ที่จะเข้ามาเป็นคู่สัญญาใหม่เป็นผู้ดำเนินการตามสัญญาเดิมอยู่แล้ว ก็ต้องไปพิจารณาตามข้อ 52 วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546

    เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า เรืออากาศโท ณรุจ โกมลารชุน ผู้ถูกกล่าวหา ได้รายงานการดำเนินการในโครงการติดตั้งระบบ CDSS/EFB (Cockpit Door Surveillance System/Electronic Flight Bag ให้ที่ประชุมฝ่ายบริหารงานนโยบายบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 22/2552 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2552 และที่ประชุมคณะกรรมการบริหารบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 5/2552 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2552 ทราบ โดยสรุปได้ว่า โครงการฯ ได้ดำเนินมาถึงขั้นตอนการทำ First Article Inspection (FAI) และได้ผ่านการตรวจรับจากคณะกรรมการ FOIS แล้ว ซึ่งตามแผนกำหนดการได้วางแผนติดตั้งใน Simulator ในช่วงเดือนเมษายน 2551 ที่ผ่านมา แต่การดำเนินการได้เกิดความล่าช้าและหยุดชะงักลง เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2551 เนื่องจากบริษัท Global Airworks Inc. ซึ่งเป็นบริษัทคู่สัญญายังไม่ได้จ่ายเงินงวดล่าสุดให้แก่บริษัท Airworks International Inc. ทำให้บริษัทดังกล่าวประสบปัญหาขาดทุนเพื่อใช้ในการพัฒนาระบบต่อไป ดังนั้น เพื่อให้โครงการฯ สามารถดำเนินการต่อไปได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และเสร็จสิ้นก่อนวันที่ 31 ตุลาคม 2552 ตามข้อบังคับเรื่อง CDSS ของกรมการขนส่งทางอากาศ คณะกรรมการโครงการ FOIS ได้พิจารณาถึงความคุ้มค่าและความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น จึงเห็นควรให้ทำการโอนย้ายสัญญาจากบริษัทคู่สัญญา คือ บริษัท Global Airworks Inc. ให้เป็นบริษัท Airworks International Inc. ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจในระบบเป็นอย่างดี ให้เป็นผู้ดำเนินการโครงการฯ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คณะทำงานฯ ได้ดำเนินการพัฒนาโครงการ FOIS ร่วมกับบริษัท Airworks International Inc. มาโดยตลอด โดยคณะทำงานฯ ได้ปรึกษาผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายบริหารทั่วไป (DW) และรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายทรัพยากรบุคคลและบริหารทั่วไป (DB) ถึงความเป็นไปได้ที่จะโอนย้ายสัญญาจากบริษัท Global Airworks Inc. ไปเป็นบริษัท Airworks International Inc. และดำเนินการตรวจสอบข้อสัญญาดังกล่าวกับสำนักกฎหมาย Ohashi & Priver ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทฯ ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย (California) แล้ว

    จากการตรวจสอบพบว่า บริษัทฯ สามารถยกเลิกสัญญากับบริษัท Global Airworks Inc. ได้ ซึ่งบริษัท Global Airworks Inc. ได้ลงนามใน Termination of Purchase Term Agreement (ยุติสัญญา) มีผลตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2551 และบริษัท Airworks International Inc. ได้ลงนามในบันทึก MOU (MEMORANDUM OF UNDERSTANDING) เพื่อใช้เป็นสัญญาในการว่าจ้างต่อไป โดยยึดถือสัญญาและข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 3 เป็นหลัก ซึ่งจะไม่เป็นภาระเพิ่มเติมกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) อีกทั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง คดีหมายเลขดำที่ อท 113/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อท 123/2565 ได้วินิจฉัยแล้วว่า ความเสียหายที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับจากการดำเนินการโครงการดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องมาจากการผิดสัญญาของบริษัทคู่สัญญาหาใช่เป็นผลโดยตรงที่เกิดจากการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาแต่ประการใด

    ดังนั้น จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น กรณีจึงยังฟังไม่ได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาใช้อำนาจในหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตยกเลิกสัญญา PURCHASE TERMS AGREEMENT PTA 070225-08 ในโครงการจัดหาระบบอุปกรณ์ในห้องนักบินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์และระบบกล้องวงจรปิดสำหรับตรวจสอบบริเวณห้องนักบิน (Electronic Flight Bag/Cockpit Door Surveillance System หรือ EFB/CDSS) อันมีผลเป็นการสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท Global Airworks Inc. เป็นเหตุให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย ตามที่กล่าวหา เห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล เห็นควรให้ข้อกล่าวหาตกไป

    คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 95/2567 เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 ที่ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 5 เสียง เห็นชอบตามความเห็นของคณะไต่สวนเบื้องต้น ว่า ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่า เรืออากาศโท ณรุจ โกมลารชุน ผู้ถูกกล่าวหา ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล เห็นควรให้ข้อกล่าวหาตกไป

    ที่มา https://www.isranews.org/article/isranews/134601-invesplsas.html?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR1kI0-fnUDE9ajVg12WB5mv5DGZ3ZKlsaLfqJpzUQtP4llITQyiR18Wh0k_aem_DhSs6GDSfpKfTQf95GOygQ#oqivacefs2fkm2lmydk45pwsq9fj9qdcf
    30 ธันวาคม 2567-สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. เสียงเอกฉันท์ ตีตกข้อกล่าวหา เรืออากาศโทณรุจ โกมลารชุน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนปฏิบัติการ (DO-V) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท Global Airworks Inc. โดยยกเลิกสัญญา PURCHASE TERMS AGREEMENT PTA 070225-08 เป็นเหตุให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย หลังก่อนหน้านี้ถูกชี้มูลความผิดกรณีการจัดซื้ออุปกรณ์ห้องนักบินเอื้อประโยชน์เอกชนโดยมิชอบ ทำรัฐสูญเสีย 147 ล้านบาท ไปแล้ว สำนักงาน ป.ป.ช.ระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่ากระทำผิดโดยสรุป ว่า สืบเนื่องจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการจัดซื้ออุปกรณ์ในห้องนักบิน เพื่อรองรับข้อมูลปฏิบัติการบินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และระบบกล้องวงจรปิดสำหรับตรวจสอบบริเวณห้องนักบิน (Electronic Flight Bag/Cockpit Door Surveillance System, EFB/CDSS) ไม่เป็นไปตามระเบียบบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546 ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติเห็นชอบว่าการกระทำของเรืออากาศโท อภินันทน์ สุมนะเศรณี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (DD) กับพวก รวม 3 ราย ในกรณีดังกล่าวมีมูลความผิดทางอาญา และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง จึงมีมติให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญา พร้อมทั้งส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91(1) และ (2) อนึ่ง จากการไต่สวนข้อเท็จจริงมีหลักฐานปรากฏชัดแจ้งว่า บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยเรืออากาศโท อภินันทน์ สุมนะเศรณี ได้ลงนามในสัญญา Purchase Terms Agreement PTA 070225-08 MAY 17, 2007 กับบริษัท Global Airwork Inc. เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2550 หลังจากนั้น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการตรวจรับและชำระเงินให้แก่บริษัท Global Airwork Inc ไปจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 147,395,028.586 บาท แต่ปรากฏว่าบริษัทดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการตามสัญญาได้ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จึงทำการเลิกสัญญา (Terminate) กับบริษัท Global Airworks Inc. และเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2551 ได้ทำข้อตกลงว่าจ้างบริษัท Airworks International Inc. ให้ดำเนินการตามสัญญา Purchase Terms Agreement PTA 070225-08 ต่อไป ซึ่งเป็นการสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท Global Airworks Inc. ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขที่ทำให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เสียประโยชน์ ทั้งที่บริษัทดังกล่าวเป็นฝ่ายผิดสัญญา ซึ่งในทางกฎหมาย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ว่าจ้าง ย่อมมีสิทธิเรียกร้องได้ตามสัญญานั้น ผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า ทางไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานรับฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง คดีหมายเลขดำที่ อท 113/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อท 123/2565 ว่า การจัดหาระบบอุปกรณ์ในห้องนักบินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์และระบบกล้องวงจรปิดสำหรับตรวจสอบบริเวณห้องนักบิน (Electronic Flight Bag/Cockpit Door Surveillance System หรือ EFB/CDSS) เป็นเรื่องที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของคณะกรรมการการบินพลเรือน ว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยในบริเวณส่วนของผู้ประจำหน้าที่ภาคอากาศ ถือเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการจัดหาโดยเร็วอันเข้ากรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งตามระเบียบบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546 ข้อ 127 และข้อ 128 แต่เมื่อการจัดหาโครงการ EFB/CDSS ครั้งนี้ ฝ่ายปฏิบัติการ (DO) ซึ่งเป็นหน่วยงานผู้ใช้ไม่ได้เป็นผู้ขออนุมัติในหลักการเพื่อจัดซื้อจัดจ้างเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาตามลำดับชั้นมาแต่แรก เนื่องจากเป็นกรณีที่คณะกรรมการบริหารบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ใช้อำนาจในทางบริหารพิจารณาอนุมัติในหลักการให้ฝ่ายปฏิบัติการ (DO) ไปดำเนินการจัดหาตามโครงการ EFB/CDSS โดยเร็ว เพราะเห็นว่าโครงการ EFB/CDSS เป็นข้อบังคับของคณะกรรมการการบินพลเรือน ว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยในบริเวณส่วนของผู้ประจำหน้าที่ภาคอากาศที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จะต้องถือปฏิบัติตาม กล่าวคือเป็นการพิจารณาสั่งการจากระดับบนสู่ระดับล่าง มิใช่กรณีที่หน่วยงานผู้ใช้เป็นผู้จัดซื้อจัดจ้างและทำรายงานหรือทำคำขออนุมัติในหลักการเพื่อจัดหาพัสดุตามข้อ 16 กรณีจึงไม่จำต้องขออนุมัติหลักการจัดหาพัสดุและเสนอตั้งคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างต่อผู้บังคับบัญชาตามระเบียบบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546 ข้อ 128 ประกอบข้อ 16 และข้อ 24 ก่อน และหลังจากลงนามในสัญญา PURCHASE TERMS AGREEMENT (PTA) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2550 แล้ว วันที่ 28 เมษายน 2552 ฝ่ายปฏิบัติการ (DO) ก็ได้รายงานผลการดำเนินโครงการจัดหา EFB/CDSS ให้ที่ประชุมฝ่ายบริหารงานนโยบายบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 22/2552 ทราบ ถือเป็นการรายงานความคืบหน้าและรายงานผลการดำเนินงานต่อผู้มีอำนาจอนุมัติด้วยวิธีกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งตามข้อ 127 แล้ว สำหรับกรณีที่หลังจากลงนามในสัญญาซื้อขายที่ 070225-08 (Purchase Terms Agreement PTA 070225-08) และข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 1 ของสัญญาการซื้อขายที่ 070225-08 (Side Agreement No.1 To Purchase Terms Agreement PTA 070225-08) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2550 แล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงว่า บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท โกลบอล แอร์เวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Global Airworks Inc.) ได้ร่วมกันทำข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 2 (Side Agreement No.2 To Purchase Terms Agreement PTA 070225-08) และข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 3 (Side Agreement No.3 To Purchase Terms Agreement PTA 070225-08) รวมถึงลงนามในหนังสือการสิ้นสุดแห่งสัญญาจัดซื้อ (TERMINATION OF PURCHASE TERMS AGREEMENT) ฉบับลงวันที่ 2 ธันวาคม 2551 เพื่อยกเลิกการดำเนินการตามสัญญาการซื้อขายที่ 070225-08 (PURCHASE TERMS AGREEMENT PTA 070225-08) พร้อมด้วยข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 3 และลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MEMORANDUM OF UNDERSTANDING : MOU) ฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 2551 กับบริษัท Airworks International Inc. ให้เข้าเป็นคู่สัญญาตามสัญญาซื้อขายที่ 070225-08 และข้อตกลงนอกสัญญาทั้งสามฉบับ ในฐานะผู้รับเหมาหลัก นั้น ทางไต่สวนรับฟังได้ตามถ้อยคำของหัวหน้าฝ่ายบริหารการจัดซื้อหมวดหมู่การบริการองค์กรและเทคโนโลยี (WP) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่า ตามระเบียบบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546 หมวด 14 การจัดหาพัสดุ การจ้างซ่อมชิ้นส่วนอะไหล่ของเครื่องบินในกิจการฝ่ายช่าง มิได้กำหนดเกี่ยวกับการจัดทำสัญญาและบริหารสัญญาไว้ โดยข้อ 128 กำหนดให้นำความตามข้อกำหนดในหมวด 2 และหมวด 12 มาใช้บังคับกับการพัสดุในหมวดนี้ ดังนั้น การจัดทำสัญญาและการบริหารสัญญาการจัดหาระบบ EFB/CDSS ดังกล่าวข้างต้น หน่วยงานผู้บริหารสัญญาดังกล่าวซึ่งประสงค์จะแก้ไขสัญญาจะต้องดำเนินการตามข้อ 52 วรรคหนึ่ง และยกเลิกสัญญาดังกล่าวจะต้องดำเนินการตามข้อ 57 สำหรับกรณีการลงนามหนังสือการสิ้นสุดแห่งสัญญาจัดซื้อ (TERMINATION OF PURCHASE TERMS AGREEMENT) เพื่อยกเลิกการดำเนินการตามสัญญาการซื้อขายที่ 070225-08 พร้อมด้วยบันทึกข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 3 กับบริษัท Global Airworks Inc. และจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) เพื่อเปลี่ยนคู่สัญญาเป็นบริษัท Airworks International Inc. นั้น เห็นว่าต้องพิจารณาเจตนารมณ์ของหน่วยงานผู้บริหารสัญญาหรือผู้รับผิดชอบสัญญาว่า ประสงค์จะบอกเลิกสัญญาเดิมเพื่อดำเนินการจัดหาผู้รับจ้างรายใหม่หรือไม่ หากประสงค์จะจัดหาผู้รับจ้างรายใหม่จะต้องดำเนินการจัดหาตามขั้นตอนและระเบียบฯ ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการและทำให้งานจ้างสะดุดหยุดลงและไม่ต่อเนื่อง แต่หากมีความต้องการดำเนินงานจ้างต่อเนื่องเพราะมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน เพียงแต่มีเหตุจำเป็นต้องที่จะต้องเปลี่ยนแปลงคู่สัญญาและผู้ที่จะเข้ามาเป็นคู่สัญญาใหม่เป็นผู้ดำเนินการตามสัญญาเดิมอยู่แล้ว ก็ต้องไปพิจารณาตามข้อ 52 วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546 เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า เรืออากาศโท ณรุจ โกมลารชุน ผู้ถูกกล่าวหา ได้รายงานการดำเนินการในโครงการติดตั้งระบบ CDSS/EFB (Cockpit Door Surveillance System/Electronic Flight Bag ให้ที่ประชุมฝ่ายบริหารงานนโยบายบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 22/2552 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2552 และที่ประชุมคณะกรรมการบริหารบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 5/2552 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2552 ทราบ โดยสรุปได้ว่า โครงการฯ ได้ดำเนินมาถึงขั้นตอนการทำ First Article Inspection (FAI) และได้ผ่านการตรวจรับจากคณะกรรมการ FOIS แล้ว ซึ่งตามแผนกำหนดการได้วางแผนติดตั้งใน Simulator ในช่วงเดือนเมษายน 2551 ที่ผ่านมา แต่การดำเนินการได้เกิดความล่าช้าและหยุดชะงักลง เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2551 เนื่องจากบริษัท Global Airworks Inc. ซึ่งเป็นบริษัทคู่สัญญายังไม่ได้จ่ายเงินงวดล่าสุดให้แก่บริษัท Airworks International Inc. ทำให้บริษัทดังกล่าวประสบปัญหาขาดทุนเพื่อใช้ในการพัฒนาระบบต่อไป ดังนั้น เพื่อให้โครงการฯ สามารถดำเนินการต่อไปได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และเสร็จสิ้นก่อนวันที่ 31 ตุลาคม 2552 ตามข้อบังคับเรื่อง CDSS ของกรมการขนส่งทางอากาศ คณะกรรมการโครงการ FOIS ได้พิจารณาถึงความคุ้มค่าและความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น จึงเห็นควรให้ทำการโอนย้ายสัญญาจากบริษัทคู่สัญญา คือ บริษัท Global Airworks Inc. ให้เป็นบริษัท Airworks International Inc. ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจในระบบเป็นอย่างดี ให้เป็นผู้ดำเนินการโครงการฯ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คณะทำงานฯ ได้ดำเนินการพัฒนาโครงการ FOIS ร่วมกับบริษัท Airworks International Inc. มาโดยตลอด โดยคณะทำงานฯ ได้ปรึกษาผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายบริหารทั่วไป (DW) และรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายทรัพยากรบุคคลและบริหารทั่วไป (DB) ถึงความเป็นไปได้ที่จะโอนย้ายสัญญาจากบริษัท Global Airworks Inc. ไปเป็นบริษัท Airworks International Inc. และดำเนินการตรวจสอบข้อสัญญาดังกล่าวกับสำนักกฎหมาย Ohashi & Priver ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทฯ ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย (California) แล้ว จากการตรวจสอบพบว่า บริษัทฯ สามารถยกเลิกสัญญากับบริษัท Global Airworks Inc. ได้ ซึ่งบริษัท Global Airworks Inc. ได้ลงนามใน Termination of Purchase Term Agreement (ยุติสัญญา) มีผลตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2551 และบริษัท Airworks International Inc. ได้ลงนามในบันทึก MOU (MEMORANDUM OF UNDERSTANDING) เพื่อใช้เป็นสัญญาในการว่าจ้างต่อไป โดยยึดถือสัญญาและข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 3 เป็นหลัก ซึ่งจะไม่เป็นภาระเพิ่มเติมกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) อีกทั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง คดีหมายเลขดำที่ อท 113/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อท 123/2565 ได้วินิจฉัยแล้วว่า ความเสียหายที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับจากการดำเนินการโครงการดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องมาจากการผิดสัญญาของบริษัทคู่สัญญาหาใช่เป็นผลโดยตรงที่เกิดจากการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาแต่ประการใด ดังนั้น จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น กรณีจึงยังฟังไม่ได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาใช้อำนาจในหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตยกเลิกสัญญา PURCHASE TERMS AGREEMENT PTA 070225-08 ในโครงการจัดหาระบบอุปกรณ์ในห้องนักบินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์และระบบกล้องวงจรปิดสำหรับตรวจสอบบริเวณห้องนักบิน (Electronic Flight Bag/Cockpit Door Surveillance System หรือ EFB/CDSS) อันมีผลเป็นการสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท Global Airworks Inc. เป็นเหตุให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย ตามที่กล่าวหา เห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล เห็นควรให้ข้อกล่าวหาตกไป คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 95/2567 เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 ที่ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 5 เสียง เห็นชอบตามความเห็นของคณะไต่สวนเบื้องต้น ว่า ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่า เรืออากาศโท ณรุจ โกมลารชุน ผู้ถูกกล่าวหา ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล เห็นควรให้ข้อกล่าวหาตกไป ที่มา https://www.isranews.org/article/isranews/134601-invesplsas.html?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR1kI0-fnUDE9ajVg12WB5mv5DGZ3ZKlsaLfqJpzUQtP4llITQyiR18Wh0k_aem_DhSs6GDSfpKfTQf95GOygQ#oqivacefs2fkm2lmydk45pwsq9fj9qdcf
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 580 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปราจีนบุรี - สลดส่งท้ายปี 67 ชั้นลอยอาคารโรงงานผลิตล้อแมกซ์รถยนต์ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างใน อ.ศรีมหาโพธิ​ จ.ปราจีนบุรี พังถล่มทับคนงานดับ 5 ราย หน่วยงานเกี่ยวข้องอยู่ระหว่างตรวจสอบรายละเอียดหาสาเหตุที่แน่ชัด

    เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (30 ธ.ค.)​ ได้เกิดเหตุโครงสร้างคานอาคารโรงงานผลิตล้อแมกซ์รถยนต์ บริษัทไทยากานาวา จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม 304 อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พังถล่มทับร่างคนงานบริษัทรับเหมาก่อสร้างกำลังทำงานอยู่ด้านล่างจนเสียชีวิตคาที่ จำนวน 5 ราย

    หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่างบำเพ็ญสถานปราจีนบุรี และเจ้าหน้าที่ร่วมกตัญญู รวมทั้งเจ้าหน้าที่มูลนิธิธรรมรัศมี ได้เร่งลงพื้นที่เข้าให้การช่วยเหลือและค้นหาผู้ได้รับบาดเจ็บที่ติดอยู่ในซากอาคาร รวมทั้งนำร่างผู้เสียชีวิตออกจากจุดเกิดเหตุ

    จากการตรวจสอบพื้นที่พบว่าส่วนที่พังถล่มลงมาเป็นชั้นลอยของอาคารโรงงานที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง จนทำให้แผ่นปูน และคานเหล็กหล่นทับร่างคนงานที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ด้านล่าง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/local/detail/9670000125085

    #MGROnline #ปราจีนบุรี #โรงงาน #ผลิตล้อแมกซ์รถยนต์
    ปราจีนบุรี - สลดส่งท้ายปี 67 ชั้นลอยอาคารโรงงานผลิตล้อแมกซ์รถยนต์ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างใน อ.ศรีมหาโพธิ​ จ.ปราจีนบุรี พังถล่มทับคนงานดับ 5 ราย หน่วยงานเกี่ยวข้องอยู่ระหว่างตรวจสอบรายละเอียดหาสาเหตุที่แน่ชัด • เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (30 ธ.ค.)​ ได้เกิดเหตุโครงสร้างคานอาคารโรงงานผลิตล้อแมกซ์รถยนต์ บริษัทไทยากานาวา จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม 304 อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พังถล่มทับร่างคนงานบริษัทรับเหมาก่อสร้างกำลังทำงานอยู่ด้านล่างจนเสียชีวิตคาที่ จำนวน 5 ราย • หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่างบำเพ็ญสถานปราจีนบุรี และเจ้าหน้าที่ร่วมกตัญญู รวมทั้งเจ้าหน้าที่มูลนิธิธรรมรัศมี ได้เร่งลงพื้นที่เข้าให้การช่วยเหลือและค้นหาผู้ได้รับบาดเจ็บที่ติดอยู่ในซากอาคาร รวมทั้งนำร่างผู้เสียชีวิตออกจากจุดเกิดเหตุ • จากการตรวจสอบพื้นที่พบว่าส่วนที่พังถล่มลงมาเป็นชั้นลอยของอาคารโรงงานที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง จนทำให้แผ่นปูน และคานเหล็กหล่นทับร่างคนงานที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ด้านล่าง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/local/detail/9670000125085 • #MGROnline #ปราจีนบุรี #โรงงาน #ผลิตล้อแมกซ์รถยนต์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 361 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเปิดตัวเรือโจมตีสะเทินนํ้าสะเทินบกบรรทุกโดรน Type 076 ที่อู่ต่อเรือ Hudong-Zhonghua ในเซี่ยงไฮ้

    เรือโจมตีสะเทินนํ้าสะเทินบก Sichuan Type 076 ซึ่งมีรหัสตัวถัง 51 เป็นลำแรกในรุ่น ถูกสร้างขึ้นที่อู่ต่อเรือ Hudong-Zhonghua Shipbuilding บริษัทในเครือของ China State Shipbuilding Corp ซึ่งเป็นผู้รับเหมาทางทะเลรายใหญ่ที่สุดของประเทศ มีระวางขับนํ้า 56,000 ตัน และใช้รางดีดส่งโดรนด้วยระบบแม่เหล็กไฟฟ้า (EMALS) ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า Type 075 ซึ่งนับได้ว่าเป็นเรือรบโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบกที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    จีนเปิดตัวเรือโจมตีสะเทินนํ้าสะเทินบกบรรทุกโดรน Type 076 ที่อู่ต่อเรือ Hudong-Zhonghua ในเซี่ยงไฮ้ เรือโจมตีสะเทินนํ้าสะเทินบก Sichuan Type 076 ซึ่งมีรหัสตัวถัง 51 เป็นลำแรกในรุ่น ถูกสร้างขึ้นที่อู่ต่อเรือ Hudong-Zhonghua Shipbuilding บริษัทในเครือของ China State Shipbuilding Corp ซึ่งเป็นผู้รับเหมาทางทะเลรายใหญ่ที่สุดของประเทศ มีระวางขับนํ้า 56,000 ตัน และใช้รางดีดส่งโดรนด้วยระบบแม่เหล็กไฟฟ้า (EMALS) ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า Type 075 ซึ่งนับได้ว่าเป็นเรือรบโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบกที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 0 รีวิว
  • โบรกเกอร์ ประเมินกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กระทบหนักสุด หลังรัฐบาลปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 68 อัตรา 7-55 บาท โดยเฉพาะ STECON หวั่นฉุดกำไร 6-13.5% แต่ยังมองผลกระทบน้อยกว่าคาด เหตุจ่ายค่าสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว แนะนำ Neutral กลุ่ม และให้ CK เป็น Top Pick ขณะที่กลุ่มเกษตร -อาหาร และกลุ่มอุตฯ ที่มีโรงงานในพื้นที่ EEC กระทบกำไรด้วย แต่หุ้นค้าปลีก-ไฟแนนซ์ รับอานิสงส์เชิงบวก จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000123419

    #MGROnline #ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
    โบรกเกอร์ ประเมินกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กระทบหนักสุด หลังรัฐบาลปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 68 อัตรา 7-55 บาท โดยเฉพาะ STECON หวั่นฉุดกำไร 6-13.5% แต่ยังมองผลกระทบน้อยกว่าคาด เหตุจ่ายค่าสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว แนะนำ Neutral กลุ่ม และให้ CK เป็น Top Pick ขณะที่กลุ่มเกษตร -อาหาร และกลุ่มอุตฯ ที่มีโรงงานในพื้นที่ EEC กระทบกำไรด้วย แต่หุ้นค้าปลีก-ไฟแนนซ์ รับอานิสงส์เชิงบวก จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000123419 • #MGROnline #ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 360 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปิดตำนานบ้านร้าง เอื้ออาทรสุไหงโก-ลก

    โครงการบ้านเอื้ออาทรสุไหงโก-ลก บ้านเดี่ยว 288 ยูนิต บนที่ดิน 25 ไร่ พร้อมถนนเชื่อมระหว่างถนนประชาวิวัฒน์ ซอย 3 กับถนนเจริญเขต กลางเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ถูกปล่อยทิ้งร้างนานเกือบ 20 ปี เนื่องจากผู้รับเหมาสร้างไม่เสร็จแล้วทิ้งงาน กลายเป็นแหล่งเสื่อมโทรม โครงสร้างบ้านแต่ละหลังชำรุด เต็มไปด้วยป่าหญ้าและวัชพืช ครั้งหนึ่งกลายเป็นจุดเช็กอินถ่ายภาพบนโซเชียลฯ ที่ทำเอาคนในสังคมอีกส่วนหนึ่งขำไม่ออก แต่เร็วๆ นี้กำลังจะกลายเป็นตำนาน

    เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. การเคหะแห่งชาติ นำโดยนายปรีดา สุขสุมิตร รองผู้ว่าการฯ และคณะ พร้อมด้วยนางสุชาดา พันธ์นรา นายกเทศมนตรีเมืองสุไหงโก-ลก และผู้ที่เกี่ยวข้อง ประชุมเรื่องการใช้ที่ดินโครงการบ้านเอื้ออาทรสุไหงโก-ลก ทุกฝ่ายต่างเห็นพ้องที่จะให้การเคหะฯ เป็นผู้ดำเนินการพัฒนาพื้นที่ โดยรื้อถอนโครงสร้างสิ่งก่อสร้างเดิม แล้วแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน ได้แก่ พื้นที่ 5 ไร่ การเคหะฯ จะก่อสร้างบ้านเพื่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มเปราะบาง

    ส่วนพื้นที่อีก 20 ไร่ จะวางแผนงานเป็น 2 รูปแบบ คือ 1. การเคหะฯ จะเป็นผู้จัดทำโครงการพัฒนาพื้นที่ภายใต้กรอบความเป็นไปได้ของพื้นที่ 2. การเคหะฯ จะเปิดโอกาสให้เอกชนสามารถเช่าที่ดินเพื่อการพัฒนาบริหารจัดการต่อไป โดยจะนำปัจจัยเชิงบริบทของพื้นที่ อาทิ ด้านสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการน้ำ การจัดสัดส่วนพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ส่วนกลางที่ใช้ร่วมกัน มาประกอบแผนดำเนินการ ซึ่งการเคหฯ จะร่างแผนงานและนำเสนอต่อที่ประชุมในโอกาสถัดไป

    ก่อนหน้านี้ การเคหะฯ ได้ทำสัญญาร่วมดำเนินกิจการกับ หจก.ฉัตรวาริน ดีเวลลอปเม้นท์ ซื้อที่ดินวงเงิน 20 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2548 และทำสัญญาก่อสร้างบ้านเดี่ยว 2 ชั้น 288 หน่วย วงเงิน 100.94 ล้านบาท กระทั่งทำสัญญาเพิ่มเติมอีก 210 ล้านบาท โดยได้ดำเนินการตั้งแต่เดือน ก.ย.2550 จำหน่ายบ้านเดี่ยว 2 ชั้น เนื้อที่ 21 ตารางวา ราคาประมาณ 390,000 บาท กำหนดส่งมอบเดือน เม.ย.2562 แต่บริษัทเอกชนสร้างไม่เสร็จแล้วทิ้งงาน การเคหะฯ ได้ฟ้องและคดีเป็นที่สิ้นสุดแล้ว โดยศาลสั่งยึดทรัพย์ 11 ล้านบาท ส่วนผู้จองมี 50 ราย ขอเงินคืนไปแล้ว 21 ราย ส่วนอีก 29 ราย ได้ผ่อนจ่ายจนครบตามสัญญา

    โครงการบ้านเอื้ออาทร เป็นหนึ่งในนโยบายประชานิยมของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่พบผู้รับเหมาทิ้งงานและการทุจริตเชิงนโยบาย มีการเรียกรับสินบนจากผู้ประกอบการ ซึ่งคดีนี้ศาลพิพากษาจำคุก นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พัฒนาสังคมฯ 99 ปี กับนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง จำคุก 50 ปี แต่ได้รับการพักโทษเมื่อเร็วๆ นี้

    #Newskit
    ปิดตำนานบ้านร้าง เอื้ออาทรสุไหงโก-ลก โครงการบ้านเอื้ออาทรสุไหงโก-ลก บ้านเดี่ยว 288 ยูนิต บนที่ดิน 25 ไร่ พร้อมถนนเชื่อมระหว่างถนนประชาวิวัฒน์ ซอย 3 กับถนนเจริญเขต กลางเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ถูกปล่อยทิ้งร้างนานเกือบ 20 ปี เนื่องจากผู้รับเหมาสร้างไม่เสร็จแล้วทิ้งงาน กลายเป็นแหล่งเสื่อมโทรม โครงสร้างบ้านแต่ละหลังชำรุด เต็มไปด้วยป่าหญ้าและวัชพืช ครั้งหนึ่งกลายเป็นจุดเช็กอินถ่ายภาพบนโซเชียลฯ ที่ทำเอาคนในสังคมอีกส่วนหนึ่งขำไม่ออก แต่เร็วๆ นี้กำลังจะกลายเป็นตำนาน เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. การเคหะแห่งชาติ นำโดยนายปรีดา สุขสุมิตร รองผู้ว่าการฯ และคณะ พร้อมด้วยนางสุชาดา พันธ์นรา นายกเทศมนตรีเมืองสุไหงโก-ลก และผู้ที่เกี่ยวข้อง ประชุมเรื่องการใช้ที่ดินโครงการบ้านเอื้ออาทรสุไหงโก-ลก ทุกฝ่ายต่างเห็นพ้องที่จะให้การเคหะฯ เป็นผู้ดำเนินการพัฒนาพื้นที่ โดยรื้อถอนโครงสร้างสิ่งก่อสร้างเดิม แล้วแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน ได้แก่ พื้นที่ 5 ไร่ การเคหะฯ จะก่อสร้างบ้านเพื่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มเปราะบาง ส่วนพื้นที่อีก 20 ไร่ จะวางแผนงานเป็น 2 รูปแบบ คือ 1. การเคหะฯ จะเป็นผู้จัดทำโครงการพัฒนาพื้นที่ภายใต้กรอบความเป็นไปได้ของพื้นที่ 2. การเคหะฯ จะเปิดโอกาสให้เอกชนสามารถเช่าที่ดินเพื่อการพัฒนาบริหารจัดการต่อไป โดยจะนำปัจจัยเชิงบริบทของพื้นที่ อาทิ ด้านสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการน้ำ การจัดสัดส่วนพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ส่วนกลางที่ใช้ร่วมกัน มาประกอบแผนดำเนินการ ซึ่งการเคหฯ จะร่างแผนงานและนำเสนอต่อที่ประชุมในโอกาสถัดไป ก่อนหน้านี้ การเคหะฯ ได้ทำสัญญาร่วมดำเนินกิจการกับ หจก.ฉัตรวาริน ดีเวลลอปเม้นท์ ซื้อที่ดินวงเงิน 20 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2548 และทำสัญญาก่อสร้างบ้านเดี่ยว 2 ชั้น 288 หน่วย วงเงิน 100.94 ล้านบาท กระทั่งทำสัญญาเพิ่มเติมอีก 210 ล้านบาท โดยได้ดำเนินการตั้งแต่เดือน ก.ย.2550 จำหน่ายบ้านเดี่ยว 2 ชั้น เนื้อที่ 21 ตารางวา ราคาประมาณ 390,000 บาท กำหนดส่งมอบเดือน เม.ย.2562 แต่บริษัทเอกชนสร้างไม่เสร็จแล้วทิ้งงาน การเคหะฯ ได้ฟ้องและคดีเป็นที่สิ้นสุดแล้ว โดยศาลสั่งยึดทรัพย์ 11 ล้านบาท ส่วนผู้จองมี 50 ราย ขอเงินคืนไปแล้ว 21 ราย ส่วนอีก 29 ราย ได้ผ่อนจ่ายจนครบตามสัญญา โครงการบ้านเอื้ออาทร เป็นหนึ่งในนโยบายประชานิยมของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่พบผู้รับเหมาทิ้งงานและการทุจริตเชิงนโยบาย มีการเรียกรับสินบนจากผู้ประกอบการ ซึ่งคดีนี้ศาลพิพากษาจำคุก นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พัฒนาสังคมฯ 99 ปี กับนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง จำคุก 50 ปี แต่ได้รับการพักโทษเมื่อเร็วๆ นี้ #Newskit
    Like
    Yay
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 745 มุมมอง 0 รีวิว
  • รถไฟ ECRL มาเลย์ฯ-จีนแบกคนละครึ่ง

    โครงการทางรถไฟเชื่อมชายฝั่งตะวันออกมาเลเซีย หรือ ECRL (East Coast Rail Link) ระยะทาง 665 กิโลเมตร มูลค่าโครงการ 50,270 ล้านริงกิต อาจเรียกว่ากำลังจะเป็นรถไฟมาเลย์ฯ-จีนก็เป็นได้ เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. บริษัท มาเลเซีย เรล ลิงก์ (MRL) และบริษัท ไชน่า คอมมูนิเคชันส์ คอนสตรัคชัน อีซีอาร์แอล (CCCECRL) ประเทศจีน ได้ทำพิธีลงนามการออกแบบภายนอกขบวนรถรถไฟฟ้าอีเอ็มยู (EMU) ตามข้อตกลงร่วมทุนด้านการดำเนินงานและการบำรุงรักษาของโครงการ ECRL พร้อมเปิดตัวโลโก้อย่างเป็นทางการของ ECRL ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเข็มทิศ ที่มีเข็มชี้ไปทางทิศตะวันออกภายในดอกไม้สีฟ้า 4 กลีบ

    โดยทั้งสองบริษัทได้จัดตั้งบริษัทดำเนินงาน (OpCo) แบกรับความเสี่ยงฝ่ายละ 50:50 เพื่อดำเนินงานและบำรุงรักษาโครงการ ECRL ซึ่งนายแอนโทนี ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย กล่าวว่า ข้อตกลงร่วมทุนดังกล่าวจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายแบ่งเบาภาระต้นทุนการดำเนินงานของโครงการ อำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค โดย MRL จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินของโครงการ ECRL ในนามรัฐบาลมาเลเซีย ส่วนบริษัท ไชน่า คอมมูนิเคชันส์ คอนสตรัคชัน (CCCC) จากประเทศจีน จะเป็นผู้รับเหมาทางด้านวิศวกรรม จัดซื้อจัดจ้าง ก่อสร้าง และดำเนินการ (EPCC) ตลอดระยะเวลาชำระคืนเงินกู้

    หากเกิดการขาดทุนระหว่างดำเนินงาน บริษัทจีนและมาเลเซียแบกรับความเสี่ยง 50% เท่ากัน แต่หากมีกำไรถึง 80% บริษัทจีนจะลงทุนใน MRL ส่วนที่เหลือลงทุนใน CCCECRL สำหรับความคืบหน้าโครงการ ECRL ณ เดือน พ.ย. 2567 อยู่ที่ 76.06% ซึ่งตามกำหนดคาดว่าทางรถไฟช่วงสถานีโกตาบารู รัฐกลันตัน ถึงสถานีกอมบัค รัฐสลังงอร์ แล้วเสร็จในเดือน ธ.ค. 2569 และระยะที่สองจากสถานีกอมบัค ถึงท่าเรือแคลง ภายในเดือน ธ.ค. 2570 คาดหวังว่าจะเชื่อมโยงกับโครงข่ายรถไฟทางไกลของประเทศไทย เพราะจากสถานีรถไฟโกตาบารู กับชายแดนมาเลเซีย-ไทย ที่ด่านรันเตาปันจัง เมืองปาร์เซมัส ห่างกัน 20 กิโลเมตร

    โครงการทางรถไฟ ECRL มีทั้งหมด 20 สถานี แบ่งเป็นสถานีเฉพาะผู้โดยสาร 10 สถานี สถานีผู้โดยสารและขนส่งสินค้า 10 สถานี พาดผ่าน 4 รัฐ ได้แก่ กลันตัน ตรังกานู ปาหัง และสลังงอร์ มีอุโมงค์ 59 แห่ง ขบวนรถโดยสารใช้รถไฟ EMU รวม 11 ขบวน ขบวนละ 6 ตู้โดยสาร รองรับผู้โดยสารสูงสุด 430 คน ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เทียบเท่าขบวนรถล้านช้างของรถไฟลาว-จีน จากสถานีโกตาบารูไปยังสถานีกอมบัคใช้เวลาเดินทางเพียง 4 ชั่วโมง คาดว่าจะส่งมอบขบวนรถชุดแรกภายในสิ้นปี 2568 ส่วนขบวนรถสินค้าใช้ความเร็วสูงสุด 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

    #Newskit
    รถไฟ ECRL มาเลย์ฯ-จีนแบกคนละครึ่ง โครงการทางรถไฟเชื่อมชายฝั่งตะวันออกมาเลเซีย หรือ ECRL (East Coast Rail Link) ระยะทาง 665 กิโลเมตร มูลค่าโครงการ 50,270 ล้านริงกิต อาจเรียกว่ากำลังจะเป็นรถไฟมาเลย์ฯ-จีนก็เป็นได้ เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. บริษัท มาเลเซีย เรล ลิงก์ (MRL) และบริษัท ไชน่า คอมมูนิเคชันส์ คอนสตรัคชัน อีซีอาร์แอล (CCCECRL) ประเทศจีน ได้ทำพิธีลงนามการออกแบบภายนอกขบวนรถรถไฟฟ้าอีเอ็มยู (EMU) ตามข้อตกลงร่วมทุนด้านการดำเนินงานและการบำรุงรักษาของโครงการ ECRL พร้อมเปิดตัวโลโก้อย่างเป็นทางการของ ECRL ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเข็มทิศ ที่มีเข็มชี้ไปทางทิศตะวันออกภายในดอกไม้สีฟ้า 4 กลีบ โดยทั้งสองบริษัทได้จัดตั้งบริษัทดำเนินงาน (OpCo) แบกรับความเสี่ยงฝ่ายละ 50:50 เพื่อดำเนินงานและบำรุงรักษาโครงการ ECRL ซึ่งนายแอนโทนี ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย กล่าวว่า ข้อตกลงร่วมทุนดังกล่าวจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายแบ่งเบาภาระต้นทุนการดำเนินงานของโครงการ อำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค โดย MRL จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินของโครงการ ECRL ในนามรัฐบาลมาเลเซีย ส่วนบริษัท ไชน่า คอมมูนิเคชันส์ คอนสตรัคชัน (CCCC) จากประเทศจีน จะเป็นผู้รับเหมาทางด้านวิศวกรรม จัดซื้อจัดจ้าง ก่อสร้าง และดำเนินการ (EPCC) ตลอดระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ หากเกิดการขาดทุนระหว่างดำเนินงาน บริษัทจีนและมาเลเซียแบกรับความเสี่ยง 50% เท่ากัน แต่หากมีกำไรถึง 80% บริษัทจีนจะลงทุนใน MRL ส่วนที่เหลือลงทุนใน CCCECRL สำหรับความคืบหน้าโครงการ ECRL ณ เดือน พ.ย. 2567 อยู่ที่ 76.06% ซึ่งตามกำหนดคาดว่าทางรถไฟช่วงสถานีโกตาบารู รัฐกลันตัน ถึงสถานีกอมบัค รัฐสลังงอร์ แล้วเสร็จในเดือน ธ.ค. 2569 และระยะที่สองจากสถานีกอมบัค ถึงท่าเรือแคลง ภายในเดือน ธ.ค. 2570 คาดหวังว่าจะเชื่อมโยงกับโครงข่ายรถไฟทางไกลของประเทศไทย เพราะจากสถานีรถไฟโกตาบารู กับชายแดนมาเลเซีย-ไทย ที่ด่านรันเตาปันจัง เมืองปาร์เซมัส ห่างกัน 20 กิโลเมตร โครงการทางรถไฟ ECRL มีทั้งหมด 20 สถานี แบ่งเป็นสถานีเฉพาะผู้โดยสาร 10 สถานี สถานีผู้โดยสารและขนส่งสินค้า 10 สถานี พาดผ่าน 4 รัฐ ได้แก่ กลันตัน ตรังกานู ปาหัง และสลังงอร์ มีอุโมงค์ 59 แห่ง ขบวนรถโดยสารใช้รถไฟ EMU รวม 11 ขบวน ขบวนละ 6 ตู้โดยสาร รองรับผู้โดยสารสูงสุด 430 คน ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เทียบเท่าขบวนรถล้านช้างของรถไฟลาว-จีน จากสถานีโกตาบารูไปยังสถานีกอมบัคใช้เวลาเดินทางเพียง 4 ชั่วโมง คาดว่าจะส่งมอบขบวนรถชุดแรกภายในสิ้นปี 2568 ส่วนขบวนรถสินค้าใช้ความเร็วสูงสุด 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 602 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘บ้านเพื่อคนไทย’บนที่ดินรถไฟ อสังหาฯจากพ่อสู่ลูก

    1 ใน 5 นโยบายที่รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประกาศว่าจะเกิดขึ้นในปี 2568 คือ โครงการบ้านเพื่อคนไทย (Public Housing) คอนโดมิเนียมและเฟอร์นิเจอร์พร้อมเข้าอยู่ ใกล้รถไฟฟ้า ให้สิทธิคนไทยที่ไม่เคยมีบ้านมาก่อน ผ่อนเริ่มต้นที่ 4,000 บาทต่อเดือน ระยะเวลา 30 ปี มีห้องน้ำ ไฟฟ้า สาธารณูปโภค ระบบรักษาความปลอดภัย ถ้าจ่ายครบยอดได้สิทธิ์ถือครอง 99 ปี

    นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันการซื้อบ้านราคา 2 ล้านบาทไม่มีแล้ว อยากให้นักศึกษาจบใหม่ (First Jobber) มีบ้านเป็นของตนเอง โดยจะใช้พื้นที่ของรัฐบาลที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ใกล้ตัวเมือง ใกล้รถไฟฟ้า ปีหน้าจะมีห้องตัวอย่างให้ดู มอบหมายให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม ทำงานร่วมกัน

    ด้านนายสุริยะ กล่าวว่า จะใช้ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ในการก่อสร้าง โดยจะเปิดตัวบ้านตัวอย่างในวันที่ 20 ม.ค. 2568 ที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ จากนั้นจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียน เริ่มต้น 4 แห่ง ได้แก่ ย่านบางนา ธนบุรี เชียงราก และ จ.เชียงใหม่ ประมาณ 1,000 ยูนิต แต่หากจะโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้อื่นอาศัยต่อ ผู้จับจองต้องอาศัยแล้วอย่างน้อย 5 ปี

    ปัจจุบันการรถไฟฯ มีที่ดินเชิงพาณิชย์ (Non Core) ทั้งหมด 38,469 ไร่ ทำสัญญาแล้ว 12,233 สัญญา

    อย่างไรก็ตาม บ้านเพื่อคนไทย แตกต่างจากโครงการบ้านเอื้ออาทร สมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา เมื่อปี 2547 ซึ่งรับผิดชอบโดยการเคหะแห่งชาติ เพราะเป็นการจัดซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านแถว และบ้านแฝดสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ผ่อนชำระกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยมีเป้าหมายสร้างบ้านทั่วประเทศ 1 ล้านหลัง

    แม้ระยะแรกมีผู้สนใจจองบ้านล้นหลามต้องจับสลาก แต่ต่อมาขายไม่ออก หลายทำเลไกลปืนเที่ยง การคมนาคมลำบาก ต้องใช้รถยนต์หรือจักรยานยนต์ส่วนตัว บางโครงการผู้รับเหมาหยุดก่อสร้างไปดื้อๆ เช่น บ้านเอื้ออาทรสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ถูกปล่อยทิ้งร้างกว่า 10 ปี ไม่นับรวมเปิดช่องให้ทุจริต หนึ่งในนั้นคือนายวัฒนา เมืองสุข รมว.พัฒนาสังคมฯ ถูกศาลสั่งจำคุก 99 ปี

    ถึงกระนั้น ลักษณะบ้านเพื่อคนไทยเป็นการเช่าระยะยาว สูงสุด 99 ปี บนที่ดินของรัฐซึ้งซื้อขายไม่ได้ ไม่มีโฉนดที่ดินหรือกรรมสิทธิ์ในห้องชุด เมื่อเทียบกับบ้านเอื้ออาทร ที่หากผ่อนกับ ธอส. มาแล้ว 5 ปี สามารถทำเรื่องโอนให้เป็นของผู้ซื้อได้ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ คุณภาพชีวิตที่ต้องวัดดวงในระยะยาว เหมือนกับโครงการบ้านเอื้ออาทร ที่ประสบปัญหาที่จอดรถไม่เพียงพอ

    #Newskit
    ‘บ้านเพื่อคนไทย’บนที่ดินรถไฟ อสังหาฯจากพ่อสู่ลูก 1 ใน 5 นโยบายที่รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประกาศว่าจะเกิดขึ้นในปี 2568 คือ โครงการบ้านเพื่อคนไทย (Public Housing) คอนโดมิเนียมและเฟอร์นิเจอร์พร้อมเข้าอยู่ ใกล้รถไฟฟ้า ให้สิทธิคนไทยที่ไม่เคยมีบ้านมาก่อน ผ่อนเริ่มต้นที่ 4,000 บาทต่อเดือน ระยะเวลา 30 ปี มีห้องน้ำ ไฟฟ้า สาธารณูปโภค ระบบรักษาความปลอดภัย ถ้าจ่ายครบยอดได้สิทธิ์ถือครอง 99 ปี นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันการซื้อบ้านราคา 2 ล้านบาทไม่มีแล้ว อยากให้นักศึกษาจบใหม่ (First Jobber) มีบ้านเป็นของตนเอง โดยจะใช้พื้นที่ของรัฐบาลที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ใกล้ตัวเมือง ใกล้รถไฟฟ้า ปีหน้าจะมีห้องตัวอย่างให้ดู มอบหมายให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม ทำงานร่วมกัน ด้านนายสุริยะ กล่าวว่า จะใช้ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ในการก่อสร้าง โดยจะเปิดตัวบ้านตัวอย่างในวันที่ 20 ม.ค. 2568 ที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ จากนั้นจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียน เริ่มต้น 4 แห่ง ได้แก่ ย่านบางนา ธนบุรี เชียงราก และ จ.เชียงใหม่ ประมาณ 1,000 ยูนิต แต่หากจะโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้อื่นอาศัยต่อ ผู้จับจองต้องอาศัยแล้วอย่างน้อย 5 ปี ปัจจุบันการรถไฟฯ มีที่ดินเชิงพาณิชย์ (Non Core) ทั้งหมด 38,469 ไร่ ทำสัญญาแล้ว 12,233 สัญญา อย่างไรก็ตาม บ้านเพื่อคนไทย แตกต่างจากโครงการบ้านเอื้ออาทร สมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา เมื่อปี 2547 ซึ่งรับผิดชอบโดยการเคหะแห่งชาติ เพราะเป็นการจัดซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านแถว และบ้านแฝดสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ผ่อนชำระกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยมีเป้าหมายสร้างบ้านทั่วประเทศ 1 ล้านหลัง แม้ระยะแรกมีผู้สนใจจองบ้านล้นหลามต้องจับสลาก แต่ต่อมาขายไม่ออก หลายทำเลไกลปืนเที่ยง การคมนาคมลำบาก ต้องใช้รถยนต์หรือจักรยานยนต์ส่วนตัว บางโครงการผู้รับเหมาหยุดก่อสร้างไปดื้อๆ เช่น บ้านเอื้ออาทรสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ถูกปล่อยทิ้งร้างกว่า 10 ปี ไม่นับรวมเปิดช่องให้ทุจริต หนึ่งในนั้นคือนายวัฒนา เมืองสุข รมว.พัฒนาสังคมฯ ถูกศาลสั่งจำคุก 99 ปี ถึงกระนั้น ลักษณะบ้านเพื่อคนไทยเป็นการเช่าระยะยาว สูงสุด 99 ปี บนที่ดินของรัฐซึ้งซื้อขายไม่ได้ ไม่มีโฉนดที่ดินหรือกรรมสิทธิ์ในห้องชุด เมื่อเทียบกับบ้านเอื้ออาทร ที่หากผ่อนกับ ธอส. มาแล้ว 5 ปี สามารถทำเรื่องโอนให้เป็นของผู้ซื้อได้ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ คุณภาพชีวิตที่ต้องวัดดวงในระยะยาว เหมือนกับโครงการบ้านเอื้ออาทร ที่ประสบปัญหาที่จอดรถไม่เพียงพอ #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 860 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปสคอฟ ยืนยัน อัสซาดอยู่ในรัสเซีย!

    ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวยืนยันกับสื่อว่าอัสซาดได้รับอนุญาตจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ให้ลี้ภัยในรัสเซีย แต่ปฏิเสธถึงรายละเอียดเกี่ยวกับที่พำนักของเขาหลังโดนสื่อจี้ถาม! และกล่าวเสริมอีกว่าทั้งสองยังไม่มีกำหนดการการพบกันในขณะนี้

    เกี่ยวกับฐานทัพของรัสเซียในซีเรีย ปอสคอฟกล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงในเวลานี้ สิ่งที่ต้องทำคือติดต่อกับผู้มีอำนาจด้านความมั่นคงในซีเรีย นอกจากนั้น กองทัพรัสเซียยังกำลังดำเนินมาตรการป้องกันไว้ก่อนที่จำเป็นทั้งหมด

    รัสเซียมีฐานทัพอากาศฮไมมิม ตั้งอยู่ในจังหวัดลาตาเกีย รวมทั้งมีฐานทัพเรือที่จังหวัดทาร์ตัสของซีเรีย และมีโรงงานในทาร์ตัส ซึ่งเป็นศูนย์ซ่อมบำรุงและเติมเสบียงเพียงแห่งเดียวของรัสเซียในทะลเมดิเตอร์เรเนียน นอกจากนั้นที่ผ่านมารัสเซียยังใช้ซีเรียเป็นจุดแวะพัก ในการขนส่งพวกผู้รับเหมาด้านกลาโหมเดินทางเข้าและออกจากแอฟริกา สิ่งนี้อาจส่งผลกระทบต่ออิทธิพลของรัสเซียในแอฟริกา
    เปสคอฟ ยืนยัน อัสซาดอยู่ในรัสเซีย! ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวยืนยันกับสื่อว่าอัสซาดได้รับอนุญาตจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ให้ลี้ภัยในรัสเซีย แต่ปฏิเสธถึงรายละเอียดเกี่ยวกับที่พำนักของเขาหลังโดนสื่อจี้ถาม! และกล่าวเสริมอีกว่าทั้งสองยังไม่มีกำหนดการการพบกันในขณะนี้ เกี่ยวกับฐานทัพของรัสเซียในซีเรีย ปอสคอฟกล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงในเวลานี้ สิ่งที่ต้องทำคือติดต่อกับผู้มีอำนาจด้านความมั่นคงในซีเรีย นอกจากนั้น กองทัพรัสเซียยังกำลังดำเนินมาตรการป้องกันไว้ก่อนที่จำเป็นทั้งหมด รัสเซียมีฐานทัพอากาศฮไมมิม ตั้งอยู่ในจังหวัดลาตาเกีย รวมทั้งมีฐานทัพเรือที่จังหวัดทาร์ตัสของซีเรีย และมีโรงงานในทาร์ตัส ซึ่งเป็นศูนย์ซ่อมบำรุงและเติมเสบียงเพียงแห่งเดียวของรัสเซียในทะลเมดิเตอร์เรเนียน นอกจากนั้นที่ผ่านมารัสเซียยังใช้ซีเรียเป็นจุดแวะพัก ในการขนส่งพวกผู้รับเหมาด้านกลาโหมเดินทางเข้าและออกจากแอฟริกา สิ่งนี้อาจส่งผลกระทบต่ออิทธิพลของรัสเซียในแอฟริกา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิสราเอลประกาศโจมตีทางอากาศเล่นงานคลังอาวุธหนักในซีเรียต่อ รวมทั้งคงกำลังทหารภาคพื้นดินใน “จำนวนจำกัด” เข้าเขตปลอดทหารในซีเรีย โดยอ้างว่าเพื่อสกัดกั้นภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในช่วงสุญญากาศหลังรัฐบาลอัสซาดถูกโค่นล้ม ขณะที่ในอีกด้านหนึ่งทำเนียบเครมลินยืนยันว่า ปูตินไฟเขียวอดีตผู้นำซีเรียลี้ภัยทางการเมืองในรัสเซีย
    .
    สำหรับบรรยากาศในกรุงดามัสกัสของซีเรียตอนเช้าวันจันทร์ (9 ธ.ค.) พวกผู้สื่อข่าวรายงานว่าค่อนข้างเงียบสงบ หลังกลุ่มกบฏประกาศเคอร์ฟิวห้ามออกนอกบ้านยามวิกาลในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา โดยที่ร้านรวงส่วนใหญ่ปิดและถนนว่างเปล่า มีเพียงสมาชิกกลุ่มกบฏและรถที่ติดป้ายทะเบียนเมืองอิดลิบ ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือและเป็นที่มั่นสำคัญของพวกกบฏที่นำโดยกลุ่ม ฮายัต ตอห์รีร์ อัล-ชาม (เอชทีเอส) ซึ่งเปิดฉากบุกสายฟ้าแลบเมื่อ 12 วันก่อน จากเมืองอะเลปโป ที่อยู่ทางตอนเหนือของซีเรีย จนสามารถบุกเข้าสู่ดามัสกัส ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ และโค่นล้มอดีตประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด เมื่อวันอาทิตย์ (8)
    .
    ชัยชนะดังกล่าวนับเป็นการปิดฉากการปกครองแบบเผด็จการรวบอำนาจของตระกูลอัสซาดที่ดำเนินต่อเนื่องมากว่าครึ่งศตวรรษ รวมทั้งสงครามกลางเมืองที่ปะทุขึ้นตั้งแต่เมื่อ 13 ปีก่อนซึ่งสร้างความเสียหายไปทั่วประเทศ คร่าชีวิตผู้คนนับแสน และนำไปสู่หนึ่งในวิกฤตผู้ลี้ภัยครั้งใหญ่ที่สุดในยุคสมัยใหม่
    .
    อบู โมฮัมเหม็ด อัล-กอลานี ผู้นำของเอชทีเอส ประกาศต่อหน้าฝูงชนที่ออกมาร่วมเฉลิมฉลองการโค่นล้มระบอบปกครองอัสซาด ที่มัสยิดอุมัยยัด ในดามัสกัสเมื่อวันอาทิตย์ว่า จะฟื้นฟูและสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้แก่ซีเรีย และทำให้ซีเรียเป็นแรงบันดาลใจสำหรับประเทศอิสลาม
    .
    อย่างไรก็ดี เอชทีเอสซึ่งเป็นแกนนำของแนวร่วมกลุ่มกบฏบุกเข้าตึดามัสกัสสำเร็จคราวนี้ เดิมทีมีชื่อว่าอัล นุสรา ฟรอนต์ ที่เป็นเครือข่ายของอัลกออิดะห์ และถึงแม้ กอลานีได้ประกาศสะบั้นสัมพันธ์กับกลุ่มก่อการร้ายชื่อดังกลุ่มนี้ตั้งแต่เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ทว่าจนถึงเวลานี้ยังคงถูกยูเอ็นตลอดจนประเทศส่วนใหญ่ประทับตราว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย ดังนั้นอนาคตของซีเรียจะเป็นอย่างไรต่อไป ยังเป็นที่จับตามองกันด้วยความระแวดระวังทั้งจากชาติเพื่อนบ้านในตะวันออกกลาง และจากโลกตะวันตก
    .
    ขณะเดียวกัน อิสราเอลซึ่งมีชายแดนติดต่อกับซีเรีย รวมทั้งได้เข้ายึดครองที่ราบสูงโกลาน และต่อมาก็ประกาศผนวกดินแดนแห่งนี้เป็นของตน ถึงแม้ไม่เป็นที่รับรองของนานาชาติ ก็เฝ้ามองวิกฤตการณ์ในซีเรียด้วยความหวังระคนความกังวล สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างพลิกผันรวดเร็วครั้งนี้ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญที่สุดในตะวันออกกลางในรอบหลายปีที่ผ่านมา
    .
    ถึงแม้การที่ซีเรียหลุดจากอำนาจของอัสซาด ได้ช่วยทำลายป้อมปราการสำคัญแห่งหนึ่งที่อิหร่าน ศัตรูตัวกลั่นของอิสราเอล ใช้ในการขยายอิทธิพลในตะวันออกกลาง ทว่า ชัยชนะของกลุ่มกบฏที่แกนนำมีรากเหง้ามาจากกลุ่มก่อการร้ายอิสลามิสต์ ซึ่งถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของอิสราเอล ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงสำคัญ
    .
    รัฐมนตรีกลาโหม อิสราเอล แคตซ์ ของรัฐยิว เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ ว่า กองทัพอิสราเอลจะเข้าทำลายอาวุธหนักเชิงยุทธศาสตร์ในตลอดทั่วซีเรีย โดยรวมถึงพวกขีปนาวุธยิงจากภาคพื้นสู่อากาศ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ ขีปนาวุธยิงจากภาคพื้นสู่ภาคพื้น ขีปนาวุธร่อน จรวดยุทธวิธีพิสัยไกล ขีปนาวุธที่ติดตั้งตามแนวชายฝั่ง และอาวุธเคมี
    .
    เจ้าหน้าที่อาวุโสอิสราเอลคนหนึ่งระบุว่า จะมีการโจมตีทางอากาศต่อเนื่องอีกหลายวัน ขณะที่ กีเดียน ซาร์ รัฐมนตรีต่างประเทศบอกว่า อิสราเอลไม่ต้องการแทรกแซงการเมืองภายในของซีเรีย แต่ต้องการเพียงปกป้องประชาชนของตน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องทำลายอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ในซีเรียเพื่อไม่ให้ไปตกอยู่ในมือของกลุ่มลัทธิสุดโต่ง แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดว่า อิสราเอลโจมตีที่ไหนและเมื่อใด
    .
    นอกจากนั้น มีรายงานว่าเมื่อวันอาทิตย์ (8) กองทัพอิสราเอลยังส่งกำลังภาคพื้นดินเข้าสู่เขตปลอดทหารในซีเรีย ซึ่งเป็นพื้นที่กันชนขนาด 400 ตารางกิโลเมตรที่ตั้งขึ้นตามข้อตกลงแบ่งแยกกองกำลังปี 1974 ที่มุ่งแบ่งแยกกำลังของอิสราเอลและซีเรียให้ห่างจากกัน แล้วให้กองกำลังสังเกตการณ์การยุติการสู้รบขัดแย้งของสหประชาชาติเป็นผู้เข้าไปควบคุมดูแล
    .
    ในอีกด้านหนึ่ง ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวกับพวกผู้สื่อข่าวเมื่อวันจันทร์ว่า ยังเร็วเกินไปที่จะระบุว่า อนาคตของฐานทัพรัสเซียที่ตั้งอยู่ในซีเรียจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่แน่นอนว่า สิ่งที่ต้องทำคือติดต่อกับผู้มีอำนาจด้านความมั่นคงในซีเรีย นอกจากนั้น กองทัพรัสเซียยังกำลังดำเนินมาตรการป้องกันไว้ก่อนที่จำเป็นทั้งหมด
    .
    รัสเซียซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรสำคัญของอัสซาด มีฐานทัพอากาศฮไมมิม ตั้งอยู่ในจังหวัดลาตาเกีย รวมทั้งมีฐานทัพเรือที่จังหวัดทาร์ตัสของซีเรีย และมีโรงงานในทาร์ตัส ซึ่งเป็นศูนย์ซ่อมบำรุงและเติมเสบียงเพียงแห่งเดียวของรัสเซียในทะลเมดิเตอร์เรเนียน นอกจากนั้นที่ผ่านมารัสเซียยังใช้ซีเรียเป็นจุดแวะพัก ในการขนส่งพวกผู้รับเหมาด้านกลาโหมเดินทางเข้าและออกจากแอฟริกา
    .
    เปสคอฟยังยืนยันว่า อัสซาดได้รับอนุญาตจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ให้ลี้ภัยในรัสเซีย ทว่าไม่ยอมตอบว่าตอนนี้อัสซาดอยู่ที่ไหน บอกเพียงว่า ยังไม่มีกำหนดการการพบกันระหว่างปูตินกับอัสซาดในขณะนี้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118429
    ..............
    Sondhi X
    อิสราเอลประกาศโจมตีทางอากาศเล่นงานคลังอาวุธหนักในซีเรียต่อ รวมทั้งคงกำลังทหารภาคพื้นดินใน “จำนวนจำกัด” เข้าเขตปลอดทหารในซีเรีย โดยอ้างว่าเพื่อสกัดกั้นภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในช่วงสุญญากาศหลังรัฐบาลอัสซาดถูกโค่นล้ม ขณะที่ในอีกด้านหนึ่งทำเนียบเครมลินยืนยันว่า ปูตินไฟเขียวอดีตผู้นำซีเรียลี้ภัยทางการเมืองในรัสเซีย . สำหรับบรรยากาศในกรุงดามัสกัสของซีเรียตอนเช้าวันจันทร์ (9 ธ.ค.) พวกผู้สื่อข่าวรายงานว่าค่อนข้างเงียบสงบ หลังกลุ่มกบฏประกาศเคอร์ฟิวห้ามออกนอกบ้านยามวิกาลในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา โดยที่ร้านรวงส่วนใหญ่ปิดและถนนว่างเปล่า มีเพียงสมาชิกกลุ่มกบฏและรถที่ติดป้ายทะเบียนเมืองอิดลิบ ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือและเป็นที่มั่นสำคัญของพวกกบฏที่นำโดยกลุ่ม ฮายัต ตอห์รีร์ อัล-ชาม (เอชทีเอส) ซึ่งเปิดฉากบุกสายฟ้าแลบเมื่อ 12 วันก่อน จากเมืองอะเลปโป ที่อยู่ทางตอนเหนือของซีเรีย จนสามารถบุกเข้าสู่ดามัสกัส ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ และโค่นล้มอดีตประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด เมื่อวันอาทิตย์ (8) . ชัยชนะดังกล่าวนับเป็นการปิดฉากการปกครองแบบเผด็จการรวบอำนาจของตระกูลอัสซาดที่ดำเนินต่อเนื่องมากว่าครึ่งศตวรรษ รวมทั้งสงครามกลางเมืองที่ปะทุขึ้นตั้งแต่เมื่อ 13 ปีก่อนซึ่งสร้างความเสียหายไปทั่วประเทศ คร่าชีวิตผู้คนนับแสน และนำไปสู่หนึ่งในวิกฤตผู้ลี้ภัยครั้งใหญ่ที่สุดในยุคสมัยใหม่ . อบู โมฮัมเหม็ด อัล-กอลานี ผู้นำของเอชทีเอส ประกาศต่อหน้าฝูงชนที่ออกมาร่วมเฉลิมฉลองการโค่นล้มระบอบปกครองอัสซาด ที่มัสยิดอุมัยยัด ในดามัสกัสเมื่อวันอาทิตย์ว่า จะฟื้นฟูและสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้แก่ซีเรีย และทำให้ซีเรียเป็นแรงบันดาลใจสำหรับประเทศอิสลาม . อย่างไรก็ดี เอชทีเอสซึ่งเป็นแกนนำของแนวร่วมกลุ่มกบฏบุกเข้าตึดามัสกัสสำเร็จคราวนี้ เดิมทีมีชื่อว่าอัล นุสรา ฟรอนต์ ที่เป็นเครือข่ายของอัลกออิดะห์ และถึงแม้ กอลานีได้ประกาศสะบั้นสัมพันธ์กับกลุ่มก่อการร้ายชื่อดังกลุ่มนี้ตั้งแต่เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ทว่าจนถึงเวลานี้ยังคงถูกยูเอ็นตลอดจนประเทศส่วนใหญ่ประทับตราว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย ดังนั้นอนาคตของซีเรียจะเป็นอย่างไรต่อไป ยังเป็นที่จับตามองกันด้วยความระแวดระวังทั้งจากชาติเพื่อนบ้านในตะวันออกกลาง และจากโลกตะวันตก . ขณะเดียวกัน อิสราเอลซึ่งมีชายแดนติดต่อกับซีเรีย รวมทั้งได้เข้ายึดครองที่ราบสูงโกลาน และต่อมาก็ประกาศผนวกดินแดนแห่งนี้เป็นของตน ถึงแม้ไม่เป็นที่รับรองของนานาชาติ ก็เฝ้ามองวิกฤตการณ์ในซีเรียด้วยความหวังระคนความกังวล สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างพลิกผันรวดเร็วครั้งนี้ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญที่สุดในตะวันออกกลางในรอบหลายปีที่ผ่านมา . ถึงแม้การที่ซีเรียหลุดจากอำนาจของอัสซาด ได้ช่วยทำลายป้อมปราการสำคัญแห่งหนึ่งที่อิหร่าน ศัตรูตัวกลั่นของอิสราเอล ใช้ในการขยายอิทธิพลในตะวันออกกลาง ทว่า ชัยชนะของกลุ่มกบฏที่แกนนำมีรากเหง้ามาจากกลุ่มก่อการร้ายอิสลามิสต์ ซึ่งถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของอิสราเอล ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงสำคัญ . รัฐมนตรีกลาโหม อิสราเอล แคตซ์ ของรัฐยิว เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ ว่า กองทัพอิสราเอลจะเข้าทำลายอาวุธหนักเชิงยุทธศาสตร์ในตลอดทั่วซีเรีย โดยรวมถึงพวกขีปนาวุธยิงจากภาคพื้นสู่อากาศ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ ขีปนาวุธยิงจากภาคพื้นสู่ภาคพื้น ขีปนาวุธร่อน จรวดยุทธวิธีพิสัยไกล ขีปนาวุธที่ติดตั้งตามแนวชายฝั่ง และอาวุธเคมี . เจ้าหน้าที่อาวุโสอิสราเอลคนหนึ่งระบุว่า จะมีการโจมตีทางอากาศต่อเนื่องอีกหลายวัน ขณะที่ กีเดียน ซาร์ รัฐมนตรีต่างประเทศบอกว่า อิสราเอลไม่ต้องการแทรกแซงการเมืองภายในของซีเรีย แต่ต้องการเพียงปกป้องประชาชนของตน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องทำลายอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ในซีเรียเพื่อไม่ให้ไปตกอยู่ในมือของกลุ่มลัทธิสุดโต่ง แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดว่า อิสราเอลโจมตีที่ไหนและเมื่อใด . นอกจากนั้น มีรายงานว่าเมื่อวันอาทิตย์ (8) กองทัพอิสราเอลยังส่งกำลังภาคพื้นดินเข้าสู่เขตปลอดทหารในซีเรีย ซึ่งเป็นพื้นที่กันชนขนาด 400 ตารางกิโลเมตรที่ตั้งขึ้นตามข้อตกลงแบ่งแยกกองกำลังปี 1974 ที่มุ่งแบ่งแยกกำลังของอิสราเอลและซีเรียให้ห่างจากกัน แล้วให้กองกำลังสังเกตการณ์การยุติการสู้รบขัดแย้งของสหประชาชาติเป็นผู้เข้าไปควบคุมดูแล . ในอีกด้านหนึ่ง ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวกับพวกผู้สื่อข่าวเมื่อวันจันทร์ว่า ยังเร็วเกินไปที่จะระบุว่า อนาคตของฐานทัพรัสเซียที่ตั้งอยู่ในซีเรียจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่แน่นอนว่า สิ่งที่ต้องทำคือติดต่อกับผู้มีอำนาจด้านความมั่นคงในซีเรีย นอกจากนั้น กองทัพรัสเซียยังกำลังดำเนินมาตรการป้องกันไว้ก่อนที่จำเป็นทั้งหมด . รัสเซียซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรสำคัญของอัสซาด มีฐานทัพอากาศฮไมมิม ตั้งอยู่ในจังหวัดลาตาเกีย รวมทั้งมีฐานทัพเรือที่จังหวัดทาร์ตัสของซีเรีย และมีโรงงานในทาร์ตัส ซึ่งเป็นศูนย์ซ่อมบำรุงและเติมเสบียงเพียงแห่งเดียวของรัสเซียในทะลเมดิเตอร์เรเนียน นอกจากนั้นที่ผ่านมารัสเซียยังใช้ซีเรียเป็นจุดแวะพัก ในการขนส่งพวกผู้รับเหมาด้านกลาโหมเดินทางเข้าและออกจากแอฟริกา . เปสคอฟยังยืนยันว่า อัสซาดได้รับอนุญาตจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ให้ลี้ภัยในรัสเซีย ทว่าไม่ยอมตอบว่าตอนนี้อัสซาดอยู่ที่ไหน บอกเพียงว่า ยังไม่มีกำหนดการการพบกันระหว่างปูตินกับอัสซาดในขณะนี้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118429 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1038 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประเมิน 2 สาเหตุใหญ่ โครงสร้างอ่อนแอ เครนถล่มพระราม 2
    .
    เหตุการณ์โครงถักเหล็กเลื่อน อุปกรณ์ใช้ก่อสร้างทางยกระดับโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 สายทางยกระดับบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว ช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว (ช่วงที่ 3) ตอนที่ 1 อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท อุดมศักดิ์เชียงใหม่ จำกัด พังถล่มลงมาบนพื้นที่ กม.21+600-กม.22+100 ถนนพระราม 2 ขาออกกรุงเทพฯ หมู่ 2 ต.คอกกระบือ อ.เมืองสมุทรสาคร มีคนงานเสียชีวิต 6 ศพ กลายเป็นโศกนาฎกรรมที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกครั้งบนถนนสายนี้ จนหลายฝ่ายเกิดข้อกังขาทำไมการก่อสร้างบนถนนพระราม 2 ถึงได้เกิดอุบัติเหตุหลายต่อหลายครั้ง
    .
    ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุสลดครั้งล่าสุดว่า จากการได้ลงพื้นที่เพื่อวิเคราะห์สาเหตุการวิบัติในทางวิศวกรรม โดยขณะนี้ มีการตั้งสมมุติฐานไว้ 2 แนวทางคือ 1.โครงเหล็กวิบัติที่ตัวโครงเหล็กเอง หรือ 2.ฐานรองรับโครงเหล็กหลุดจากเสา และทำให้โครงเหล็กวิบัติตามมา โดยส่วนตัวให้น้ำหนักไปที่สมมุติฐานข้อที่ 2 นั่นคือ ฐานรองโครงเหล็กหลุดจากเสาก่อน เพราะสามารถอธิบายได้ว่าหลังจากฐานรองรับหลุดแล้ว โครงเหล็กพังถล่มตามลงมาเนื่องจากการกระแทก และการกระชากของชิ้นส่วนที่ห้อยแขวนอยู่ ซึ่งจะอธิบายรูปแบบการวิบัติที่ปรากฏได้ อย่างไรก็ตามทั้งสองข้อข้างต้นเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเป็นผู้สรุปสาเหตุที่แท้จริงต่อไป
    .
    "เหตุการณ์นี้ สะท้อนให้เห็นว่า การก่อสร้างโครงสร้างขนาดใหญ่ ยังเต็มไปด้วยความไม่ปลอดภัย ไม่ว่าต่อคนงานหรือต่อประชาชนที่ต้องใช้ทางสัญจร ปัญหารากเหง้าคือการก่อสร้างโดยใช้โครงเหล็กเลื่อนเป็นงานที่มีความซับซ้อนและต้องใช้วิศวกรรมระดับสูง ที่ผู้ปฏิบัติงานทุกระดับจะต้องมีความรู้และเข้าใจอย่างแท้จริงถึง ไม่ใช่ปล่อยให้คนงานขึ้นไปทำกันเอง"
    .
    สำหรับมาตรการที่จำเป็นต้องมีเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ควรประกอบด้วย 1.ระยะสั้น ต้องทบทวนมาตรฐานการทำงาน ของโครงการก่อสร้างอื่นทุกโครงการ ที่ใช้โครงเหล็กเลื่อนในการก่อสร้าง ได้แก่ ขั้นตอนการปฏิบัติ รูปแบบการเชื่อมต่อ ความแข็งแรงของโครงเหล็ก ตลอดจนผู้ที่จะไปขึ้นทำงานต้องผ่านการอบรม ทั้งในด้านความปลอดภัยและในด้านการปฏิบัติทางวิศวกรรม 2.ระยะกลาง-ระยะยาว รัฐควรออกกฎหมายเพื่อควบคุมการก่อสร้างที่ใช้ระบบโครงเหล็กเลื่อน ให้เป็น “การก่อสร้างควบคุม” หรือ “Controlled Construction” โดยควบคุมตั้งแต่วิศวกรที่วางแผนและกำกับการทำงาน หัวหน้าคนงาน ผู้บังคับโครงเหล็กเลื่อน ตลอดจนคนงานที่ขึ้นไปปฏิบัติงาน จะต้องผ่านการอบรมและทดสอบได้รับใบอนุญาต จึงจะขึ้นไปปฏิบัติงานได้ และการขอขึ้นไปปฏิบัติงานแต่ละครั้งต้องจัดให้มีเจ้าพนักงานความปลอดภัยตรวจสอบใบอนุญาตการทำงานเสียก่อน 3.รัฐควรออกระเบียบ ให้ขึ้นทะเบียนผู้รับเหมาที่ทำงานโครงเหล็กเลื่อน เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่ไม่มีความรู้หรือไม่ได้ขึ้นทะเบียนมารับงานได้
    ...............
    Sondhi X
    ประเมิน 2 สาเหตุใหญ่ โครงสร้างอ่อนแอ เครนถล่มพระราม 2 . เหตุการณ์โครงถักเหล็กเลื่อน อุปกรณ์ใช้ก่อสร้างทางยกระดับโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 สายทางยกระดับบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว ช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว (ช่วงที่ 3) ตอนที่ 1 อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท อุดมศักดิ์เชียงใหม่ จำกัด พังถล่มลงมาบนพื้นที่ กม.21+600-กม.22+100 ถนนพระราม 2 ขาออกกรุงเทพฯ หมู่ 2 ต.คอกกระบือ อ.เมืองสมุทรสาคร มีคนงานเสียชีวิต 6 ศพ กลายเป็นโศกนาฎกรรมที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกครั้งบนถนนสายนี้ จนหลายฝ่ายเกิดข้อกังขาทำไมการก่อสร้างบนถนนพระราม 2 ถึงได้เกิดอุบัติเหตุหลายต่อหลายครั้ง . ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุสลดครั้งล่าสุดว่า จากการได้ลงพื้นที่เพื่อวิเคราะห์สาเหตุการวิบัติในทางวิศวกรรม โดยขณะนี้ มีการตั้งสมมุติฐานไว้ 2 แนวทางคือ 1.โครงเหล็กวิบัติที่ตัวโครงเหล็กเอง หรือ 2.ฐานรองรับโครงเหล็กหลุดจากเสา และทำให้โครงเหล็กวิบัติตามมา โดยส่วนตัวให้น้ำหนักไปที่สมมุติฐานข้อที่ 2 นั่นคือ ฐานรองโครงเหล็กหลุดจากเสาก่อน เพราะสามารถอธิบายได้ว่าหลังจากฐานรองรับหลุดแล้ว โครงเหล็กพังถล่มตามลงมาเนื่องจากการกระแทก และการกระชากของชิ้นส่วนที่ห้อยแขวนอยู่ ซึ่งจะอธิบายรูปแบบการวิบัติที่ปรากฏได้ อย่างไรก็ตามทั้งสองข้อข้างต้นเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเป็นผู้สรุปสาเหตุที่แท้จริงต่อไป . "เหตุการณ์นี้ สะท้อนให้เห็นว่า การก่อสร้างโครงสร้างขนาดใหญ่ ยังเต็มไปด้วยความไม่ปลอดภัย ไม่ว่าต่อคนงานหรือต่อประชาชนที่ต้องใช้ทางสัญจร ปัญหารากเหง้าคือการก่อสร้างโดยใช้โครงเหล็กเลื่อนเป็นงานที่มีความซับซ้อนและต้องใช้วิศวกรรมระดับสูง ที่ผู้ปฏิบัติงานทุกระดับจะต้องมีความรู้และเข้าใจอย่างแท้จริงถึง ไม่ใช่ปล่อยให้คนงานขึ้นไปทำกันเอง" . สำหรับมาตรการที่จำเป็นต้องมีเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ควรประกอบด้วย 1.ระยะสั้น ต้องทบทวนมาตรฐานการทำงาน ของโครงการก่อสร้างอื่นทุกโครงการ ที่ใช้โครงเหล็กเลื่อนในการก่อสร้าง ได้แก่ ขั้นตอนการปฏิบัติ รูปแบบการเชื่อมต่อ ความแข็งแรงของโครงเหล็ก ตลอดจนผู้ที่จะไปขึ้นทำงานต้องผ่านการอบรม ทั้งในด้านความปลอดภัยและในด้านการปฏิบัติทางวิศวกรรม 2.ระยะกลาง-ระยะยาว รัฐควรออกกฎหมายเพื่อควบคุมการก่อสร้างที่ใช้ระบบโครงเหล็กเลื่อน ให้เป็น “การก่อสร้างควบคุม” หรือ “Controlled Construction” โดยควบคุมตั้งแต่วิศวกรที่วางแผนและกำกับการทำงาน หัวหน้าคนงาน ผู้บังคับโครงเหล็กเลื่อน ตลอดจนคนงานที่ขึ้นไปปฏิบัติงาน จะต้องผ่านการอบรมและทดสอบได้รับใบอนุญาต จึงจะขึ้นไปปฏิบัติงานได้ และการขอขึ้นไปปฏิบัติงานแต่ละครั้งต้องจัดให้มีเจ้าพนักงานความปลอดภัยตรวจสอบใบอนุญาตการทำงานเสียก่อน 3.รัฐควรออกระเบียบ ให้ขึ้นทะเบียนผู้รับเหมาที่ทำงานโครงเหล็กเลื่อน เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่ไม่มีความรู้หรือไม่ได้ขึ้นทะเบียนมารับงานได้ ............... Sondhi X
    Like
    Sad
    Angry
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 995 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกณฑ์การเลือกผู้รับเหมาเข้มงวดขนาดนี้ยังเละ ยังเกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ ถ้าสส.พรรคประชาชน (ก้าวไกล) อยากให้คลายกฎเกณฑ์ให้หย่อนยานลง "เพื่อผู้รับเหมาหน้าใหม่" มันไม่เละกว่าตอนนี้เหรอ
    เกณฑ์การเลือกผู้รับเหมาเข้มงวดขนาดนี้ยังเละ ยังเกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ ถ้าสส.พรรคประชาชน (ก้าวไกล) อยากให้คลายกฎเกณฑ์ให้หย่อนยานลง "เพื่อผู้รับเหมาหน้าใหม่" มันไม่เละกว่าตอนนี้เหรอ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts