• รัฐบาลอินเดียประกาศห้ามนำเข้าสินค้าที่ผลิตหรือขนส่งผ่านปากีสถาน ท่ามกลางความสัมพันธ์การทูตระหว่าง 2 มหาอำนาจนิวเคลียร์เพื่อนบ้านที่ตกต่ำลงอย่างรุนแรงจากเหตุกราดยิงนักท่องเที่ยวในดินแดนแคชเมียร์ฝั่งอินเดีย

    กรมการค้าต่างประเทศของอินเดีย (Directorate General of Foreign Trade – DGFT) ระบุในคำประกาศว่า มาตรการนี้มีผลบังคับใช้ในทันที

    “ข้อจำกัดนี้ถูกบังคับใช้เพื่อผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของชาติและนโยบายสาธารณะ” DGFT ระบุ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/around/detail/9680000041498

    #MGROnline #รัฐบาลอินเดีย
    รัฐบาลอินเดียประกาศห้ามนำเข้าสินค้าที่ผลิตหรือขนส่งผ่านปากีสถาน ท่ามกลางความสัมพันธ์การทูตระหว่าง 2 มหาอำนาจนิวเคลียร์เพื่อนบ้านที่ตกต่ำลงอย่างรุนแรงจากเหตุกราดยิงนักท่องเที่ยวในดินแดนแคชเมียร์ฝั่งอินเดีย • กรมการค้าต่างประเทศของอินเดีย (Directorate General of Foreign Trade – DGFT) ระบุในคำประกาศว่า มาตรการนี้มีผลบังคับใช้ในทันที • “ข้อจำกัดนี้ถูกบังคับใช้เพื่อผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของชาติและนโยบายสาธารณะ” DGFT ระบุ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/around/detail/9680000041498 • #MGROnline #รัฐบาลอินเดีย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลสูงรัฐกรณาฏกะของอินเดียได้มีคำสั่งให้รัฐบาลอินเดีย บล็อก Proton Mail ซึ่งเป็นบริการอีเมลเข้ารหัสจากสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากบริษัทในกรุงนิวเดลีร้องเรียนว่ามีผู้ใช้ที่ไม่เปิดเผยตัวตนส่ง อีเมลที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาทและภาพ deepfake ไปยังพนักงานหญิงของบริษัท

    คำสั่งบล็อกนี้ออกภายใต้ มาตรา 69 ของพระราชบัญญัติเทคโนโลยีสารสนเทศปี 2008 ซึ่งอนุญาตให้รัฐบาลอินเดีย บล็อกเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม Proton Mail ระบุว่า รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์กำลังเจรจากับทางการอินเดีย เพื่อป้องกันการบล็อกบริการนี้

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Proton Mail ถูกขู่ว่าจะถูกบล็อกในอินเดีย ก่อนหน้านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 มีข้อเสนอให้บล็อกบริการนี้หลังจากพบว่า มีการใช้ Proton Mail ในการส่งคำขู่ระเบิดปลอม

    ✅ เหตุผลในการบล็อก Proton Mail
    - บริษัทในกรุงนิวเดลีร้องเรียนว่ามีผู้ใช้ที่ไม่เปิดเผยตัวตนส่ง อีเมลที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาทและภาพ deepfake ไปยังพนักงานหญิง
    - คำสั่งบล็อกออกภายใต้ มาตรา 69 ของพระราชบัญญัติเทคโนโลยีสารสนเทศปี 2008

    ✅ การตอบสนองของ Proton Mail
    - Proton Mail ระบุว่า รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์กำลังเจรจากับทางการอินเดีย เพื่อป้องกันการบล็อก
    - บริการยังสามารถเข้าถึงได้ในอินเดีย ณ วันที่ 30 เมษายน 2025

    ✅ เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
    - ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 มีข้อเสนอให้บล็อก Proton Mail หลังจากพบว่า มีการใช้บริการนี้ในการส่งคำขู่ระเบิดปลอม

    ✅ Proton Mail และบริการอื่นๆ
    - Proton Mail เป็นบริการอีเมลเข้ารหัสที่ได้รับความนิยม
    - บริษัทยังให้บริการ Proton VPN, Proton Drive และ Proton Calendar

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/proton-mail-hit-with-blocking-order-in-india-heres-everything-we-know-so-far
    ศาลสูงรัฐกรณาฏกะของอินเดียได้มีคำสั่งให้รัฐบาลอินเดีย บล็อก Proton Mail ซึ่งเป็นบริการอีเมลเข้ารหัสจากสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากบริษัทในกรุงนิวเดลีร้องเรียนว่ามีผู้ใช้ที่ไม่เปิดเผยตัวตนส่ง อีเมลที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาทและภาพ deepfake ไปยังพนักงานหญิงของบริษัท คำสั่งบล็อกนี้ออกภายใต้ มาตรา 69 ของพระราชบัญญัติเทคโนโลยีสารสนเทศปี 2008 ซึ่งอนุญาตให้รัฐบาลอินเดีย บล็อกเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม Proton Mail ระบุว่า รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์กำลังเจรจากับทางการอินเดีย เพื่อป้องกันการบล็อกบริการนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Proton Mail ถูกขู่ว่าจะถูกบล็อกในอินเดีย ก่อนหน้านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 มีข้อเสนอให้บล็อกบริการนี้หลังจากพบว่า มีการใช้ Proton Mail ในการส่งคำขู่ระเบิดปลอม ✅ เหตุผลในการบล็อก Proton Mail - บริษัทในกรุงนิวเดลีร้องเรียนว่ามีผู้ใช้ที่ไม่เปิดเผยตัวตนส่ง อีเมลที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาทและภาพ deepfake ไปยังพนักงานหญิง - คำสั่งบล็อกออกภายใต้ มาตรา 69 ของพระราชบัญญัติเทคโนโลยีสารสนเทศปี 2008 ✅ การตอบสนองของ Proton Mail - Proton Mail ระบุว่า รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์กำลังเจรจากับทางการอินเดีย เพื่อป้องกันการบล็อก - บริการยังสามารถเข้าถึงได้ในอินเดีย ณ วันที่ 30 เมษายน 2025 ✅ เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ - ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 มีข้อเสนอให้บล็อก Proton Mail หลังจากพบว่า มีการใช้บริการนี้ในการส่งคำขู่ระเบิดปลอม ✅ Proton Mail และบริการอื่นๆ - Proton Mail เป็นบริการอีเมลเข้ารหัสที่ได้รับความนิยม - บริษัทยังให้บริการ Proton VPN, Proton Drive และ Proton Calendar https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/proton-mail-hit-with-blocking-order-in-india-heres-everything-we-know-so-far
    WWW.TECHRADAR.COM
    Proton Mail hit with blocking order in India - here's everything we know so far
    Proton Mail could soon stop working in India after a court ruling
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท L&T Semiconductor Technologies (LTSCT) สตาร์ตอัปผู้ผลิตชิปจากอินเดียที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท Larsen & Toubro ได้เปิดเผยแผนการก่อสร้างโรงงานผลิตชิป (fab) มูลค่ามหาศาลกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ ในอินเดีย ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นก่อนปี 2027 ทั้งนี้ รัฐบาลอินเดียจะสนับสนุนโครงการดังกล่าวผ่านโครงการเงินอุดหนุนที่มีมูลค่าสูงถึง 90% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด

    ✅ เงื่อนไขสำคัญต่อความสำเร็จของโครงการ
    - LTSCT ตั้งเป้าทำรายได้ 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ภายในปีงบประมาณ 2026–2027 เพื่อกระตุ้นให้โครงการ fab นี้เริ่มต้นขึ้น
    - บริษัทเริ่มต้นผลิตชิปเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025

    ✅ ผลิตภัณฑ์หลักที่อยู่ระหว่างการพัฒนา
    - LTSCT มุ่งเน้นการออกแบบ MEMS sensors, RF chips, smart power devices และ analog ICs ที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก

    ✅ โอกาสจากโครงการอุดหนุนเซมิคอนดักเตอร์ของรัฐบาลอินเดีย
    - โครงการสนับสนุนมูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์ ของรัฐบาลอินเดีย เปิดโอกาสให้บริษัทท้องถิ่นเข้าถึงทรัพยากรและเงินทุนในการพัฒนาตลาดเซมิคอนดักเตอร์
    - การสนับสนุนในระดับนี้ถือว่า สูงกว่ามาตรฐานทั่วไปของโลกอย่างมาก

    ✅ เป้าหมายระยะยาว: สู่การเป็น Integrated Device Manufacturer (IDM)
    - LTSCT วางแผนเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นบริษัท fabless designer ไปสู่การเป็น Integrated Device Manufacturer (IDM) เพื่อควบคุมกระบวนการผลิตชิปตั้งแต่ต้นจนจบ

    ✅ การสนับสนุนจากบริษัทแม่
    - LTSCT ได้รับเงินทุนมากกว่า 300 ล้านดอลลาร์ เพื่อใช้ในการออกแบบชิป และตั้งเป้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ชิปจำนวน 15 รุ่น ภายในปี 2027

    https://www.techradar.com/pro/fabless-chip-startup-backed-by-multi-billion-indian-company-wants-to-build-a-usd10bn-fab-in-india-before-2027
    บริษัท L&T Semiconductor Technologies (LTSCT) สตาร์ตอัปผู้ผลิตชิปจากอินเดียที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท Larsen & Toubro ได้เปิดเผยแผนการก่อสร้างโรงงานผลิตชิป (fab) มูลค่ามหาศาลกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ ในอินเดีย ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นก่อนปี 2027 ทั้งนี้ รัฐบาลอินเดียจะสนับสนุนโครงการดังกล่าวผ่านโครงการเงินอุดหนุนที่มีมูลค่าสูงถึง 90% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ✅ เงื่อนไขสำคัญต่อความสำเร็จของโครงการ - LTSCT ตั้งเป้าทำรายได้ 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ภายในปีงบประมาณ 2026–2027 เพื่อกระตุ้นให้โครงการ fab นี้เริ่มต้นขึ้น - บริษัทเริ่มต้นผลิตชิปเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ✅ ผลิตภัณฑ์หลักที่อยู่ระหว่างการพัฒนา - LTSCT มุ่งเน้นการออกแบบ MEMS sensors, RF chips, smart power devices และ analog ICs ที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก ✅ โอกาสจากโครงการอุดหนุนเซมิคอนดักเตอร์ของรัฐบาลอินเดีย - โครงการสนับสนุนมูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์ ของรัฐบาลอินเดีย เปิดโอกาสให้บริษัทท้องถิ่นเข้าถึงทรัพยากรและเงินทุนในการพัฒนาตลาดเซมิคอนดักเตอร์ - การสนับสนุนในระดับนี้ถือว่า สูงกว่ามาตรฐานทั่วไปของโลกอย่างมาก ✅ เป้าหมายระยะยาว: สู่การเป็น Integrated Device Manufacturer (IDM) - LTSCT วางแผนเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นบริษัท fabless designer ไปสู่การเป็น Integrated Device Manufacturer (IDM) เพื่อควบคุมกระบวนการผลิตชิปตั้งแต่ต้นจนจบ ✅ การสนับสนุนจากบริษัทแม่ - LTSCT ได้รับเงินทุนมากกว่า 300 ล้านดอลลาร์ เพื่อใช้ในการออกแบบชิป และตั้งเป้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ชิปจำนวน 15 รุ่น ภายในปี 2027 https://www.techradar.com/pro/fabless-chip-startup-backed-by-multi-billion-indian-company-wants-to-build-a-usd10bn-fab-in-india-before-2027
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • Coinbase บริษัทแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีรายใหญ่จากสหรัฐฯ ที่เพิ่งได้จดทะเบียนกับหน่วยงานข่าวกรองทางการเงินของอินเดีย (FIU) ทำให้สามารถให้บริการซื้อขายคริปโทในประเทศอินเดียได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

    Coinbase วางแผนที่จะเริ่มต้นให้บริการกลุ่มลูกค้ารายย่อยในปีนี้ และยังมีแผนที่จะเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในอนาคต ซึ่งการเข้าสู่ตลาดอินเดียของบริษัทนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางความสนใจที่เพิ่มขึ้นต่อสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองว่าเป็นโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มเติม

    ที่สำคัญคือ อินเดียยังคงเรียกเก็บภาษีจากกำไรของการซื้อขายคริปโทสูงถึง 30% ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในโลก แม้ว่ายังไม่มีข้อบังคับที่ชัดเจนเกี่ยวกับสินทรัพย์ประเภทนี้ก็ตาม แต่รัฐบาลอินเดียกำลังพิจารณาทบทวนท่าทีเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี ด้วยอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายในระดับสากล รวมถึงในสหรัฐฯ

    สิ่งที่ทำให้อินเดียเป็นตลาดที่น่าสนใจก็คือจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตที่มีมาก และความต้องการสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้คริปโทกลายเป็นส่วนสำคัญในการทำธุรกรรมทางการเงินในอนาคต ฟังดูแล้วไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางการเงินของคนในยุคนี้ด้วย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/11/coinbase-registers-with-indian-financial-watchdog-to-offer-crypto-trading-services
    Coinbase บริษัทแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีรายใหญ่จากสหรัฐฯ ที่เพิ่งได้จดทะเบียนกับหน่วยงานข่าวกรองทางการเงินของอินเดีย (FIU) ทำให้สามารถให้บริการซื้อขายคริปโทในประเทศอินเดียได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย Coinbase วางแผนที่จะเริ่มต้นให้บริการกลุ่มลูกค้ารายย่อยในปีนี้ และยังมีแผนที่จะเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในอนาคต ซึ่งการเข้าสู่ตลาดอินเดียของบริษัทนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางความสนใจที่เพิ่มขึ้นต่อสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองว่าเป็นโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มเติม ที่สำคัญคือ อินเดียยังคงเรียกเก็บภาษีจากกำไรของการซื้อขายคริปโทสูงถึง 30% ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในโลก แม้ว่ายังไม่มีข้อบังคับที่ชัดเจนเกี่ยวกับสินทรัพย์ประเภทนี้ก็ตาม แต่รัฐบาลอินเดียกำลังพิจารณาทบทวนท่าทีเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี ด้วยอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายในระดับสากล รวมถึงในสหรัฐฯ สิ่งที่ทำให้อินเดียเป็นตลาดที่น่าสนใจก็คือจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตที่มีมาก และความต้องการสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้คริปโทกลายเป็นส่วนสำคัญในการทำธุรกรรมทางการเงินในอนาคต ฟังดูแล้วไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางการเงินของคนในยุคนี้ด้วย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/11/coinbase-registers-with-indian-financial-watchdog-to-offer-crypto-trading-services
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Coinbase registers with Indian financial watchdog to offer crypto trading services
    MUMBAI (Reuters) - U.S.-headquartered cryptocurrency exchange Coinbase Global has registered with India's Financial Intelligence Unit (FIU), allowing it to offer crypto trading services in the country, the company said on Tuesday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 339 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัสเซียยื่นข้อเสนอเปิดสายการผลิต Sukhoi Su-57 ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่สเตลธ์รุ่นทันสมัยที่สุดของแดนหมีขาวในแดนภารตะ เพื่อส่งมอบเข้าประจำการในกองทัพอากาศอินเดีย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงการกระชับสัมพันธ์ด้านกลาโหมระหว่าง 2 มหาอำนาจ
    .
    ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา รัสเซียถือเป็นซัปพลายเออร์อาวุธหลักของอินเดียซึ่งเป็นชาติผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดในโลกด้วย และเครื่องบินขับไล่จากแดนหมีขาวก็เป็นองค์ประกอบสำคัญในฝูงบินกองทัพอากาศอินเดีย ทว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ความสามารถในการส่งออกอาวุธของรัสเซียลดลงไปมากจากผลของสงครามในยูเครน ซึ่งทำให้อินเดียต้องหันไปพึ่งตะวันตกมากขึ้น
    .
    โฆษก Rosoboronexport ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจส่งออกอาวุธของรัสเซียให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า โครงการผลิตเครื่องบินขับไล่ Su-57 อาจเริ่มได้ภายในปีนี้ หากรัฐบาลอินเดียรับข้อเสนอของมอสโก
    .
    กระทรวงกลาโหมอินเดียยังไม่ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมอาวุธรัสเซียและเจ้าหน้าที่อินเดียคนหนึ่งระบุว่า รัสเซียได้ยื่นข้อเสนอแบบไม่เป็นทางการระหว่างพูดคุยกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลอินเดีย และผู้แทนจากบริษัท Hindustan Aeronautics ซึ่งเป็นบริษัทด้านอวกาศและการป้องกันประเทศที่รัฐบาลอินเดียเป็นเจ้าของ
    .
    กองทัพอากาศอินเดียกำลังพยายามหาวิธีเติมเต็มฝูงบินขับไล่ซึ่งปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 31 ฝูงบิน จากเป้าหมาย 42 ฝูงบิน ในขณะที่มหาอำนาจคู่แข่งอย่าง “จีน” มีการเพิ่มจำนวนฝูงบินทหารอย่างต่อเนื่อง
    .
    โฆษก Rosoboronexport ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวในงานแสดงการบิน Aero India ที่เมืองบังกาลอร์ว่า การเปิดสายผลิตเครื่องบินรบในอินเดียโดยมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบจะช่วยให้มั่นใจได้ว่า กระบวนการผลิตจะไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการแซงก์ชันรัสเซียของตะวันตก
    .
    เขายังบอกด้วยว่า ในการผลิตเครื่องบินขับไล่ Su-57 อาจจะใช้วิธีปรับปรุงสายการผลิต Sukhoi Su-30 ที่มีอยู่แล้วในอินเดีย ซึ่งปัจจุบันกองทัพอากาศอินเดียมีเครื่องบินรบรุ่นนี้ใช้งานอยู่ทั้งสิ้น 260 ลำ
    .
    ทั้ง Su-57 และเครื่องบินขับไล่ F-35 Lightning II ของค่ายล็อกฮีดมาร์ตินจากสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นคู่แข่งที่มีศักยภาพใกล้เคียงกัน ต่างถูกนำมาแสดงในงาน Aero India ด้วยกันทั้งคู่
    .
    แม้จะได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพพอฟัดพอเหวี่ยงกับเครื่องบินรบของสหรัฐฯ ทว่า Su-57 ก็เคยประสบปัญหาล่าช้าในช่วงของการพัฒนา และเคยเกิดอุบัติเหตุตกเมื่อปี 2019
    .
    ตามข้อมูลจากบริษัทผู้ผลิต เครื่องบินขับไล่ Su-57 เริ่มเดินสายการผลิตแบบต่อเนื่อง (serial production) เมื่อปี 2022
    .
    ปีที่แล้วรัสเซียได้ส่ง Su-57 ไปเข้าร่วมในงานแสดงการบินที่เมืองจูไห่ของจีน ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวในต่างแดนครั้งแรก และยังเป็นการประกาศความร่วมมือระหว่างจีน-รัสเซียให้ชาติตะวันตกได้เห็นกลายๆ ด้วย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000014303
    ..............
    Sondhi X
    รัสเซียยื่นข้อเสนอเปิดสายการผลิต Sukhoi Su-57 ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่สเตลธ์รุ่นทันสมัยที่สุดของแดนหมีขาวในแดนภารตะ เพื่อส่งมอบเข้าประจำการในกองทัพอากาศอินเดีย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงการกระชับสัมพันธ์ด้านกลาโหมระหว่าง 2 มหาอำนาจ . ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา รัสเซียถือเป็นซัปพลายเออร์อาวุธหลักของอินเดียซึ่งเป็นชาติผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดในโลกด้วย และเครื่องบินขับไล่จากแดนหมีขาวก็เป็นองค์ประกอบสำคัญในฝูงบินกองทัพอากาศอินเดีย ทว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ความสามารถในการส่งออกอาวุธของรัสเซียลดลงไปมากจากผลของสงครามในยูเครน ซึ่งทำให้อินเดียต้องหันไปพึ่งตะวันตกมากขึ้น . โฆษก Rosoboronexport ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจส่งออกอาวุธของรัสเซียให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า โครงการผลิตเครื่องบินขับไล่ Su-57 อาจเริ่มได้ภายในปีนี้ หากรัฐบาลอินเดียรับข้อเสนอของมอสโก . กระทรวงกลาโหมอินเดียยังไม่ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมอาวุธรัสเซียและเจ้าหน้าที่อินเดียคนหนึ่งระบุว่า รัสเซียได้ยื่นข้อเสนอแบบไม่เป็นทางการระหว่างพูดคุยกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลอินเดีย และผู้แทนจากบริษัท Hindustan Aeronautics ซึ่งเป็นบริษัทด้านอวกาศและการป้องกันประเทศที่รัฐบาลอินเดียเป็นเจ้าของ . กองทัพอากาศอินเดียกำลังพยายามหาวิธีเติมเต็มฝูงบินขับไล่ซึ่งปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 31 ฝูงบิน จากเป้าหมาย 42 ฝูงบิน ในขณะที่มหาอำนาจคู่แข่งอย่าง “จีน” มีการเพิ่มจำนวนฝูงบินทหารอย่างต่อเนื่อง . โฆษก Rosoboronexport ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวในงานแสดงการบิน Aero India ที่เมืองบังกาลอร์ว่า การเปิดสายผลิตเครื่องบินรบในอินเดียโดยมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบจะช่วยให้มั่นใจได้ว่า กระบวนการผลิตจะไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการแซงก์ชันรัสเซียของตะวันตก . เขายังบอกด้วยว่า ในการผลิตเครื่องบินขับไล่ Su-57 อาจจะใช้วิธีปรับปรุงสายการผลิต Sukhoi Su-30 ที่มีอยู่แล้วในอินเดีย ซึ่งปัจจุบันกองทัพอากาศอินเดียมีเครื่องบินรบรุ่นนี้ใช้งานอยู่ทั้งสิ้น 260 ลำ . ทั้ง Su-57 และเครื่องบินขับไล่ F-35 Lightning II ของค่ายล็อกฮีดมาร์ตินจากสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นคู่แข่งที่มีศักยภาพใกล้เคียงกัน ต่างถูกนำมาแสดงในงาน Aero India ด้วยกันทั้งคู่ . แม้จะได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพพอฟัดพอเหวี่ยงกับเครื่องบินรบของสหรัฐฯ ทว่า Su-57 ก็เคยประสบปัญหาล่าช้าในช่วงของการพัฒนา และเคยเกิดอุบัติเหตุตกเมื่อปี 2019 . ตามข้อมูลจากบริษัทผู้ผลิต เครื่องบินขับไล่ Su-57 เริ่มเดินสายการผลิตแบบต่อเนื่อง (serial production) เมื่อปี 2022 . ปีที่แล้วรัสเซียได้ส่ง Su-57 ไปเข้าร่วมในงานแสดงการบินที่เมืองจูไห่ของจีน ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวในต่างแดนครั้งแรก และยังเป็นการประกาศความร่วมมือระหว่างจีน-รัสเซียให้ชาติตะวันตกได้เห็นกลายๆ ด้วย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000014303 .............. Sondhi X
    Like
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2214 มุมมอง 0 รีวิว
  • 77 ปี ลอบสังหาร “มหาตมา คานธี” นักต่อสู้ผู้ไร้อาวุธ ผู้บุกเบิกแนวคิด “สัตยาเคราะห์”

    “ตาต่อตาฟันต่อฟัน จะทำให้ทั้งโลกมืดบอด” มหาตมา คานธี

    ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2491 นับเป็นวันที่โลกต้องจารึก เมื่อ "มหาตมา คานธี" ผู้นำทางจิตวิญญาณ และนักต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย ถูกลอบสังหารขณะอายุ 78 ปี ภายในบริเวณบ้านพิรลา ในกรุงนิวเดลี เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิต บุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของประวัติศาสตร์อินเดีย และขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิพลเมืองทั่วโลก

    โศกนาฏกรรมแห่งสันติ วันสุดท้ายของมหาตมา คานธี
    ช่วงเย็นของวันที่ 30 มกราคม 2491 "มหาตมา คานธี" เดินไปยังสวนหลังบ้านพิรลา ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เขาใช้จัดการสวดภาวนา เป็นประจำทุกเย็น ท่ามกลางฝูงชน ที่มารอฟังคำสอนของเขา "นถูราม โคฑเส" ชายวัย 30 ปี ผู้เป็นสมาชิกกลุ่มชาตินิยมฮินดู ได้แฝงตัวเข้ามาในฝูงชน และเมื่อคานธี เดินลงจากปะรำพิธี โคฑเสก็ฉวยโอกาส ก้าวออกมากั้นทาง แล้วลั่นไกปืน สามนัดยิงเข้าที่อก และท้องของคานธีระยะเผาขน

    เสียงปืนนั้น เปรียบเสมือนเสียงสะเทือน แห่งประวัติศาสตร์...
    "มหาตมา คานธี" ทรุดลงกับพื้น และกล่าวเพียงว่า "เฮ ราม" (โอ้ พระเจ้า!) ก่อนหมดสติ และจากไปในที่สุด

    เหตุใดโคฑเส จึงลอบสังหารคานธี?
    "นถูราม โคฑเส" เป็นนักชาตินิยมฮินดู และเป็นสมาชิกของ ราษฏรียสวยัมเสวักสงฆ์ (RSS) กลุ่มขวาจัด ที่สนับสนุนการปกครองโดยชาวฮินดู โคฑเสเชื่อว่า คานธีให้ความช่วยเหลือชาวมุสลิม มากเกินไป และมีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุน การแยกดินแดนอินเดีย และปากีสถาน

    เขาเห็นว่าคานธีเป็นอุปสรรค ต่อความเป็นเอกภาพ ของชาวฮินดูในอินเดีย และการที่คานธี เรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียส่งเงิน 550 ล้านรูปี ให้กับปากีสถาน ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้น

    หลังการสังหาร โคฑเสถูกจับกุมทันที และถูกนำตัวขึ้นศาล พร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหลายคน ในที่สุด เขาถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกแขวนคอ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2492

    บุรุษผู้เปลี่ยนแปลงโลกด้วยสันติวิธี ต้นกำเนิดของนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่
    "มหาตมา คานธี" หรือ "โมหนทาส กรมจันท์ คานธี" เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2412 ที่รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เติบโตมาในครอบครัวชาวฮินดู และเดินทางไปศึกษากฎหมายที่ อินเนอร์เทมเพิล ลอนดอน ก่อนกลับมาอินเดีย

    ค้นพบ “สัตยาเคราะห์” บนแผ่นดินแอฟริกาใต้
    ขณะที่คานธีทำงานเป็นทนาย ในแอฟริกาใต้ เขาประสบเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติ เมื่อเขาถูกไล่ออกจากตู้รถไฟชั้นหนึ่ง เพียงเพราะเป็นชาวอินเดีย เหตุการณ์นี้ ทำให้คานธี ตระหนักถึงความอยุติธรรม และจุดประกายให้เขาต่อสู้ เพื่อสิทธิพลเมือง

    คานธีพัฒนาแนวคิด “สัตยาเคราะห์” (Satyagraha) ซึ่งหมายถึง “การยึดมั่นในสัจจะ” หรือ “การต่อต้านโดยสันติวิธี” โดยมุ่งเน้นการใช้ความจริง ความรัก และความไม่รุนแรง เป็นอาวุธหลัก

    สัตยาเคราะห์ พลังแห่งสัจจะและสันติ
    สัตยาเคราะห์เป็นหัวใจสำคัญ ในการต่อสู้ของคานธี เพื่อปลดแอกอินเดียจากอังกฤษ โดยมีหลักการสำคัญ ได้แก่

    1. อหิงสา (Ahimsa) การไม่ใช้ความรุนแรง
    คานธีเชื่อว่า ความรุนแรงก่อให้เกิดความเกลียดชัง และการแก้แค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด

    2. สัจจะ (Satya) ความจริง
    เขาเชื่อว่าความจริงคือสิ่งสูงสุด และคนที่ยึดมั่นในความจริง จะได้รับชัยชนะเสมอ

    3. ตบะ (Tapasya) ความอดทนและเสียสละ
    คานธีอดอาหารประท้วงหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับคนทุกศาสนา

    ขบวนการอิสระของอินเดีย จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์
    เดินขบวนเกลือ (Salt March) ปี 2473
    คานธีนำประชาชนเดินเท้า เป็นระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อประท้วงกฎหมายภาษีเกลือ ของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการต่อต้าน ที่ทรงพลังที่สุด

    ขบวนการ “ออกจากอินเดีย” (Quit India Movement) ปี 2485
    คานธีเรียกร้องให้อังกฤษ ถอนตัวจากอินเดีย โดยไม่มีเงื่อนไข ทำให้อังกฤษจับกุมเขา และผู้สนับสนุนจำนวนมาก

    ในที่สุด วันที่ 15 สิงหาคม 2490 อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ต้องแลกมา ด้วยการแบ่งประเทศเป็นอินเดีย และปากีสถาน ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้ง และการอพยพครั้งใหญ่

    มรดกของมหาตมา คานธี อิทธิพลต่อโลก
    แม้จะถูกลอบสังหาร แต่แนวคิดของคานธี ได้เป็นแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง ทั่วโลก เช่น

    ✅ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ขบวนการสิทธิพลเมือง ของคนผิวดำในอเมริกา
    ✅ เนลสัน แมนเดลา การต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ในแอฟริกาใต้
    ✅ ดาไลลามะ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ของทิเบต

    คานธี กับบทเรียนแห่งสันติ
    การลอบสังหารมหาตมา คานธี เป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่แนวคิดของเขายังคงอยู่ และเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนทั่วโลก

    🌏 ความจริงและสันติวิธี เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในการเปลี่ยนแปลงโลก
    🙏 อหิงสา ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความกล้าหาญ ในการให้อภัย
    💡 สัตยาเคราะห์ เป็นเครื่องมือแห่งการต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม

    77 ปี ผ่านไป... ชื่อของคานธี ยังคงเป็นสัญลักษณ์ แห่งสันติภาพ 🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 300857 ม.ค. 2568

    #MahatmaGandhi #Gandhi77Years #Satyagraha #อหิงสา #สันติวิธี #IndiaIndependence #PeaceMovement #QuitIndia #GandhiPhilosophy #GandhiLegacy
    77 ปี ลอบสังหาร “มหาตมา คานธี” นักต่อสู้ผู้ไร้อาวุธ ผู้บุกเบิกแนวคิด “สัตยาเคราะห์” “ตาต่อตาฟันต่อฟัน จะทำให้ทั้งโลกมืดบอด” มหาตมา คานธี ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2491 นับเป็นวันที่โลกต้องจารึก เมื่อ "มหาตมา คานธี" ผู้นำทางจิตวิญญาณ และนักต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย ถูกลอบสังหารขณะอายุ 78 ปี ภายในบริเวณบ้านพิรลา ในกรุงนิวเดลี เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิต บุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของประวัติศาสตร์อินเดีย และขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิพลเมืองทั่วโลก โศกนาฏกรรมแห่งสันติ วันสุดท้ายของมหาตมา คานธี ช่วงเย็นของวันที่ 30 มกราคม 2491 "มหาตมา คานธี" เดินไปยังสวนหลังบ้านพิรลา ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เขาใช้จัดการสวดภาวนา เป็นประจำทุกเย็น ท่ามกลางฝูงชน ที่มารอฟังคำสอนของเขา "นถูราม โคฑเส" ชายวัย 30 ปี ผู้เป็นสมาชิกกลุ่มชาตินิยมฮินดู ได้แฝงตัวเข้ามาในฝูงชน และเมื่อคานธี เดินลงจากปะรำพิธี โคฑเสก็ฉวยโอกาส ก้าวออกมากั้นทาง แล้วลั่นไกปืน สามนัดยิงเข้าที่อก และท้องของคานธีระยะเผาขน เสียงปืนนั้น เปรียบเสมือนเสียงสะเทือน แห่งประวัติศาสตร์... "มหาตมา คานธี" ทรุดลงกับพื้น และกล่าวเพียงว่า "เฮ ราม" (โอ้ พระเจ้า!) ก่อนหมดสติ และจากไปในที่สุด เหตุใดโคฑเส จึงลอบสังหารคานธี? "นถูราม โคฑเส" เป็นนักชาตินิยมฮินดู และเป็นสมาชิกของ ราษฏรียสวยัมเสวักสงฆ์ (RSS) กลุ่มขวาจัด ที่สนับสนุนการปกครองโดยชาวฮินดู โคฑเสเชื่อว่า คานธีให้ความช่วยเหลือชาวมุสลิม มากเกินไป และมีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุน การแยกดินแดนอินเดีย และปากีสถาน เขาเห็นว่าคานธีเป็นอุปสรรค ต่อความเป็นเอกภาพ ของชาวฮินดูในอินเดีย และการที่คานธี เรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียส่งเงิน 550 ล้านรูปี ให้กับปากีสถาน ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้น หลังการสังหาร โคฑเสถูกจับกุมทันที และถูกนำตัวขึ้นศาล พร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหลายคน ในที่สุด เขาถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกแขวนคอ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2492 บุรุษผู้เปลี่ยนแปลงโลกด้วยสันติวิธี ต้นกำเนิดของนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่ "มหาตมา คานธี" หรือ "โมหนทาส กรมจันท์ คานธี" เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2412 ที่รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เติบโตมาในครอบครัวชาวฮินดู และเดินทางไปศึกษากฎหมายที่ อินเนอร์เทมเพิล ลอนดอน ก่อนกลับมาอินเดีย ค้นพบ “สัตยาเคราะห์” บนแผ่นดินแอฟริกาใต้ ขณะที่คานธีทำงานเป็นทนาย ในแอฟริกาใต้ เขาประสบเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติ เมื่อเขาถูกไล่ออกจากตู้รถไฟชั้นหนึ่ง เพียงเพราะเป็นชาวอินเดีย เหตุการณ์นี้ ทำให้คานธี ตระหนักถึงความอยุติธรรม และจุดประกายให้เขาต่อสู้ เพื่อสิทธิพลเมือง คานธีพัฒนาแนวคิด “สัตยาเคราะห์” (Satyagraha) ซึ่งหมายถึง “การยึดมั่นในสัจจะ” หรือ “การต่อต้านโดยสันติวิธี” โดยมุ่งเน้นการใช้ความจริง ความรัก และความไม่รุนแรง เป็นอาวุธหลัก สัตยาเคราะห์ พลังแห่งสัจจะและสันติ สัตยาเคราะห์เป็นหัวใจสำคัญ ในการต่อสู้ของคานธี เพื่อปลดแอกอินเดียจากอังกฤษ โดยมีหลักการสำคัญ ได้แก่ 1. อหิงสา (Ahimsa) การไม่ใช้ความรุนแรง คานธีเชื่อว่า ความรุนแรงก่อให้เกิดความเกลียดชัง และการแก้แค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด 2. สัจจะ (Satya) ความจริง เขาเชื่อว่าความจริงคือสิ่งสูงสุด และคนที่ยึดมั่นในความจริง จะได้รับชัยชนะเสมอ 3. ตบะ (Tapasya) ความอดทนและเสียสละ คานธีอดอาหารประท้วงหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับคนทุกศาสนา ขบวนการอิสระของอินเดีย จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ เดินขบวนเกลือ (Salt March) ปี 2473 คานธีนำประชาชนเดินเท้า เป็นระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อประท้วงกฎหมายภาษีเกลือ ของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการต่อต้าน ที่ทรงพลังที่สุด ขบวนการ “ออกจากอินเดีย” (Quit India Movement) ปี 2485 คานธีเรียกร้องให้อังกฤษ ถอนตัวจากอินเดีย โดยไม่มีเงื่อนไข ทำให้อังกฤษจับกุมเขา และผู้สนับสนุนจำนวนมาก ในที่สุด วันที่ 15 สิงหาคม 2490 อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ต้องแลกมา ด้วยการแบ่งประเทศเป็นอินเดีย และปากีสถาน ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้ง และการอพยพครั้งใหญ่ มรดกของมหาตมา คานธี อิทธิพลต่อโลก แม้จะถูกลอบสังหาร แต่แนวคิดของคานธี ได้เป็นแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง ทั่วโลก เช่น ✅ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ขบวนการสิทธิพลเมือง ของคนผิวดำในอเมริกา ✅ เนลสัน แมนเดลา การต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ในแอฟริกาใต้ ✅ ดาไลลามะ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ของทิเบต คานธี กับบทเรียนแห่งสันติ การลอบสังหารมหาตมา คานธี เป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่แนวคิดของเขายังคงอยู่ และเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนทั่วโลก 🌏 ความจริงและสันติวิธี เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในการเปลี่ยนแปลงโลก 🙏 อหิงสา ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความกล้าหาญ ในการให้อภัย 💡 สัตยาเคราะห์ เป็นเครื่องมือแห่งการต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม 77 ปี ผ่านไป... ชื่อของคานธี ยังคงเป็นสัญลักษณ์ แห่งสันติภาพ 🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 300857 ม.ค. 2568 #MahatmaGandhi #Gandhi77Years #Satyagraha #อหิงสา #สันติวิธี #IndiaIndependence #PeaceMovement #QuitIndia #GandhiPhilosophy #GandhiLegacy
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1458 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘นายกฯ’ มอบ ‘พีระพันธุ์’ นั่งหัวโต๊ะประชุม ‘บอร์ด กพช.’ ก่อนเคาะชะลอเซ็นสัญญาซื้อ ‘ไฟฟ้าสีเขียว’ 3.6 พันเมกะวัตต์ ขณะที่ ‘สภาผู้บริโภค-เครือข่าย’ ออกแถลงการณ์จี้ ‘กกพ.’ ยุติโครงการฯ ชี้ทำให้ค่าไฟฟ้าแพง 25 ปี

    ......................................

    เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. เวลา 14.00 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มอบหมายให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เป็นประธานการประชุม กพช. โดยมีวาระพิจารณาที่สนใจ คือ การพิจารณาแนวทางความเป็นไปได้ในการชะลอผลการคัดเลือกผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff ปี 2567-2573 (ไฟฟ้าสีเขียว) จำนวน 3,600 เมกะวัตต์ (MW)

    นายพีระพันธุ์ เปิดเผยหลังการประชุม กพช. ว่าตามที่ได้มีกระแสข่าว เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2567 ว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ได้ประกาศรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมที่ได้รับการคัดเลือกตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed – in-Tariff (FiT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 (เพิ่มเติม) พ.ศ. 2567 ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยกับประชาชนเรื่องความถูกต้องของกระบวนการ และวิธีการดำเนินงานรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนดังกล่าว และเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและราชการ นั้น

    ที่ประชุม กพช. จึงได้มีมติให้ชะลอการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรม ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด สำหรับปี 2565-2573 ปริมาณรวม 3,668.5 MW ที่ กพช. ได้ให้ความเห็นชอบไว้ เมื่อวันที่ 9 มี.ค.2566 โดยเป็นการชะลอการลงนามสัญญากับ 3 การไฟฟ้าไว้ก่อน เพื่อดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง

    รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ในวันเดียวกัน (25 ธ.ค.) สภาองค์กรของผู้บริโภคและเครือข่ายด้านพลังงาน ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องรัฐบาล และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ยุติโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบใหม่ที่ใช้วิธีคัดเลือกแทนการประมูล เนื่องจากโครงการฯดังกล่าวจะสร้างภาระค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนสูงถึง 65,000 ล้านบาท นาน 25 ปี ในขณะที่ต้นทุนเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์และลมลดลงอย่างรวดเร็ว

    สำหรับแถลงการณ์ฯดังกล่าว ระบุว่า ตามที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (รอบเพิ่มเติม) จำนวน 2 กลุ่ม แบ่งเป็น ก) พลังงานแสงอาทิตย์แบบตั้งพื้นบนดิน จำนวน 1,580 เมกะวัตต์ ที่จะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์หรือขายไฟฟ้าได้ในช่วงปี 2569-2573 และ ข) กังหันลมจำนวน 565.4 เมกะวัตต์ ที่จะสามารถขายไฟฟ้าได้ในช่วงปี 2571-2573 รวม 2,145.5 เมกะวัตต์ โดยไม่มีการประมูล

    แต่ใช้วิธีการคัดเลือก ซึ่งใช้ราคารับซื้อที่กำหนดโดยมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 คือ 2.17 บาทต่อหน่วย สำหรับไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ และราคา 3.10 บาทต่อหน่วยสำหรับไฟฟ้าจากพลังงานลม โดยที่ราคารับซื้อดังกล่าวจะคงที่ตลอดอายุสัญญา 25 ปี นั้น

    เป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วไปว่า เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ได้มีความก้าวหน้าและราคาลดต่ำลง อย่างรวดเร็วมาก โดยลดลงเฉลี่ยประมาณร้อยละ 10 ต่อปี เช่นเดียวกับเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากกังหันลม แต่อัตราการลดลงของราคาจะช้ากว่าเล็กน้อย

    ดังนั้น การที่ กกพ. ใช้ราคาตามมติ กพช. ในปี 2565 ที่ไปกำหนดราคาที่ซื้อขายกันจริงของโซลาร์เซลล์ในปี 2569 หรืออีกประมาณ 4 ปีหลังจากนั้น จึงส่งผลให้ราคาสูงกว่ากว่าราคาที่ควรจะเป็นถึง 20-30% ส่วนกรณีของพลังงานลมซึ่งจะมีการซื้อขายกันจริงในปี 2571 จะช้ากว่าวันกำหนดราคาไว้ล่วงหน้า ถึง 6 ปี

    นอกจากการกำหนดราคาที่เรียกได้ว่าไม่มีประสิทธิภาพดังกล่าวข้างต้นแล้ว การไม่เปิดให้มีการแข่งขันโดยวิธีการประมูลราคาเพื่อหาราคาที่เหมาะที่สุด ก็จะเป็นภาระของผู้บริโภคที่จะต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพงไปนานถึง 25 ปี

    ผลการศึกษาขององค์กร IRENA (International Renewable Energy Agency) ซึ่งเป็นหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ (เรื่อง Renewable Power Generation Costs in 2023) ชี้ให้เห็นว่า ราคาไฟฟ้าเฉลี่ยตลอด โครงการ (LCOE) (ซึ่งเป็นการศึกษาจากทั่วโลก) จะมีราคาค่าไฟฟ้าเฉลี่ยของโลกจากโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ในปี 2566 เท่ากับ 1.53 บาทต่อหน่วยเท่านั้น และหากมีการซื้อขายในปี 2569 ตามที่ กกพ. ประกาศ ราคาไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ก็จะน้อยกว่า 1.53 บาทต่อหน่วยอีก

    เพื่อเป็นการยืนยันว่าผลการศึกษาของ IRENA มีแนวโน้มที่ถูกต้องและเป็นไปได้จริง พบว่ารัฐบาลอินเดีย โดย SECI (Solar Energy Corporation of India) ได้ประกาศผลผู้ชนะการประมูลเมื่อเดือนสิงหาคม 2567 เพื่อขายไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์พร้อมกับการเก็บไฟฟ้าลงแบตเตอรี่ (ที่สามารถขายไฟฟ้าได้ตลอดเวลาแม้ในเวลากลางคืน) ในราคา 1.44 บาทต่อหน่วย ในขณะที่โครงการของประเทศไทยที่กำลังดำเนินการนี้ไม่มีแบตเตอรี่

    เมื่อนำข้อมูลจากผลการศึกษาดังกล่าวมาคำนวณอย่างเป็นระบบ (ตามข้อมูลในภาพและตารางแนบท้าย) และสมมุติว่ามีการขายไฟฟ้าจริงในปี 2568 จะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าจากโครงการนี้แพงกว่าที่ควรจะเป็นคิดเป็นมูลค่า ตลอดอายุสัญญา 25 ปี อย่างน้อยรวม 65,000 ล้านบาท (หกหมื่นห้าพันล้านบาท)

    สภาองค์กรของผู้บริโภคได้ยื่นอุทธรณ์ประกาศ กกพ. ในการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (รอบเพิ่มเติม) ไปเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 พร้อมขอให้ยกเลิกประกาศฉบับดังกล่าว แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจาก กกพ. แต่ประการใด ดังนั้น ในวันนี้สภาองค์กรของผู้บริโภคและภาคีเครือข่ายซึ่งได้ร่วมลงชื่อท้ายแถลงการณ์ฉบับนี้ จึงมีข้อเรียกร้องให้ กกพ. และรัฐบาลทบทวนโครงการดังกล่าวทั้งหมด เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภคทั้งรุ่นนี้และรุ่นต่อไป

    พร้อมกันนี้ ขอเรียกร้องให้กระทรวงพลังงานเร่งดำเนินการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP2024) ซึ่งได้ดำเนินการมานานกว่า 3 ปีแล้ว แต่ยังไม่แล้วเสร็จ

    ทั้งนี้ ในการจัดทำแผน PDP2024 หรือ PDP2025 ต้องเน้น การพึ่งตนเองของชาติ ภายใต้เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนที่มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และต้องเน้นให้ผู้บริโภค สามารถเป็นผู้ผลิตและผู้ขายไฟฟ้า (Prosumer) เพื่อสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับประชาชนตามคำแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาที่ว่า

    “รัฐบาลจะยึดมั่นในหลักนิธิธรรม ความโปร่งใส สร้างความชอบธรรมในการบริหาร ราชการแผ่นดินโดยการฟื้นฟูหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ...จะสนับสนุนให้ประชาชนผลิตไฟฟ้าระบบโซลาร์เซลล์ใช้ในครัวเรือนและมีรายได้จากการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าที่ผลิตเกินกว่าความต้องการคืนให้รัฐ...จะเร่งออกมาตรการเพื่อลดราคาค่าพลังงานและสาธารณูปโภค”
    ‘นายกฯ’ มอบ ‘พีระพันธุ์’ นั่งหัวโต๊ะประชุม ‘บอร์ด กพช.’ ก่อนเคาะชะลอเซ็นสัญญาซื้อ ‘ไฟฟ้าสีเขียว’ 3.6 พันเมกะวัตต์ ขณะที่ ‘สภาผู้บริโภค-เครือข่าย’ ออกแถลงการณ์จี้ ‘กกพ.’ ยุติโครงการฯ ชี้ทำให้ค่าไฟฟ้าแพง 25 ปี ...................................... เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. เวลา 14.00 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มอบหมายให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เป็นประธานการประชุม กพช. โดยมีวาระพิจารณาที่สนใจ คือ การพิจารณาแนวทางความเป็นไปได้ในการชะลอผลการคัดเลือกผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff ปี 2567-2573 (ไฟฟ้าสีเขียว) จำนวน 3,600 เมกะวัตต์ (MW) นายพีระพันธุ์ เปิดเผยหลังการประชุม กพช. ว่าตามที่ได้มีกระแสข่าว เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2567 ว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ได้ประกาศรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมที่ได้รับการคัดเลือกตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed – in-Tariff (FiT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 (เพิ่มเติม) พ.ศ. 2567 ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยกับประชาชนเรื่องความถูกต้องของกระบวนการ และวิธีการดำเนินงานรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนดังกล่าว และเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและราชการ นั้น ที่ประชุม กพช. จึงได้มีมติให้ชะลอการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรม ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด สำหรับปี 2565-2573 ปริมาณรวม 3,668.5 MW ที่ กพช. ได้ให้ความเห็นชอบไว้ เมื่อวันที่ 9 มี.ค.2566 โดยเป็นการชะลอการลงนามสัญญากับ 3 การไฟฟ้าไว้ก่อน เพื่อดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ในวันเดียวกัน (25 ธ.ค.) สภาองค์กรของผู้บริโภคและเครือข่ายด้านพลังงาน ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องรัฐบาล และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ยุติโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบใหม่ที่ใช้วิธีคัดเลือกแทนการประมูล เนื่องจากโครงการฯดังกล่าวจะสร้างภาระค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนสูงถึง 65,000 ล้านบาท นาน 25 ปี ในขณะที่ต้นทุนเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์และลมลดลงอย่างรวดเร็ว สำหรับแถลงการณ์ฯดังกล่าว ระบุว่า ตามที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (รอบเพิ่มเติม) จำนวน 2 กลุ่ม แบ่งเป็น ก) พลังงานแสงอาทิตย์แบบตั้งพื้นบนดิน จำนวน 1,580 เมกะวัตต์ ที่จะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์หรือขายไฟฟ้าได้ในช่วงปี 2569-2573 และ ข) กังหันลมจำนวน 565.4 เมกะวัตต์ ที่จะสามารถขายไฟฟ้าได้ในช่วงปี 2571-2573 รวม 2,145.5 เมกะวัตต์ โดยไม่มีการประมูล แต่ใช้วิธีการคัดเลือก ซึ่งใช้ราคารับซื้อที่กำหนดโดยมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 คือ 2.17 บาทต่อหน่วย สำหรับไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ และราคา 3.10 บาทต่อหน่วยสำหรับไฟฟ้าจากพลังงานลม โดยที่ราคารับซื้อดังกล่าวจะคงที่ตลอดอายุสัญญา 25 ปี นั้น เป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วไปว่า เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ได้มีความก้าวหน้าและราคาลดต่ำลง อย่างรวดเร็วมาก โดยลดลงเฉลี่ยประมาณร้อยละ 10 ต่อปี เช่นเดียวกับเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากกังหันลม แต่อัตราการลดลงของราคาจะช้ากว่าเล็กน้อย ดังนั้น การที่ กกพ. ใช้ราคาตามมติ กพช. ในปี 2565 ที่ไปกำหนดราคาที่ซื้อขายกันจริงของโซลาร์เซลล์ในปี 2569 หรืออีกประมาณ 4 ปีหลังจากนั้น จึงส่งผลให้ราคาสูงกว่ากว่าราคาที่ควรจะเป็นถึง 20-30% ส่วนกรณีของพลังงานลมซึ่งจะมีการซื้อขายกันจริงในปี 2571 จะช้ากว่าวันกำหนดราคาไว้ล่วงหน้า ถึง 6 ปี นอกจากการกำหนดราคาที่เรียกได้ว่าไม่มีประสิทธิภาพดังกล่าวข้างต้นแล้ว การไม่เปิดให้มีการแข่งขันโดยวิธีการประมูลราคาเพื่อหาราคาที่เหมาะที่สุด ก็จะเป็นภาระของผู้บริโภคที่จะต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพงไปนานถึง 25 ปี ผลการศึกษาขององค์กร IRENA (International Renewable Energy Agency) ซึ่งเป็นหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ (เรื่อง Renewable Power Generation Costs in 2023) ชี้ให้เห็นว่า ราคาไฟฟ้าเฉลี่ยตลอด โครงการ (LCOE) (ซึ่งเป็นการศึกษาจากทั่วโลก) จะมีราคาค่าไฟฟ้าเฉลี่ยของโลกจากโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ในปี 2566 เท่ากับ 1.53 บาทต่อหน่วยเท่านั้น และหากมีการซื้อขายในปี 2569 ตามที่ กกพ. ประกาศ ราคาไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ก็จะน้อยกว่า 1.53 บาทต่อหน่วยอีก เพื่อเป็นการยืนยันว่าผลการศึกษาของ IRENA มีแนวโน้มที่ถูกต้องและเป็นไปได้จริง พบว่ารัฐบาลอินเดีย โดย SECI (Solar Energy Corporation of India) ได้ประกาศผลผู้ชนะการประมูลเมื่อเดือนสิงหาคม 2567 เพื่อขายไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์พร้อมกับการเก็บไฟฟ้าลงแบตเตอรี่ (ที่สามารถขายไฟฟ้าได้ตลอดเวลาแม้ในเวลากลางคืน) ในราคา 1.44 บาทต่อหน่วย ในขณะที่โครงการของประเทศไทยที่กำลังดำเนินการนี้ไม่มีแบตเตอรี่ เมื่อนำข้อมูลจากผลการศึกษาดังกล่าวมาคำนวณอย่างเป็นระบบ (ตามข้อมูลในภาพและตารางแนบท้าย) และสมมุติว่ามีการขายไฟฟ้าจริงในปี 2568 จะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าจากโครงการนี้แพงกว่าที่ควรจะเป็นคิดเป็นมูลค่า ตลอดอายุสัญญา 25 ปี อย่างน้อยรวม 65,000 ล้านบาท (หกหมื่นห้าพันล้านบาท) สภาองค์กรของผู้บริโภคได้ยื่นอุทธรณ์ประกาศ กกพ. ในการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (รอบเพิ่มเติม) ไปเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 พร้อมขอให้ยกเลิกประกาศฉบับดังกล่าว แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจาก กกพ. แต่ประการใด ดังนั้น ในวันนี้สภาองค์กรของผู้บริโภคและภาคีเครือข่ายซึ่งได้ร่วมลงชื่อท้ายแถลงการณ์ฉบับนี้ จึงมีข้อเรียกร้องให้ กกพ. และรัฐบาลทบทวนโครงการดังกล่าวทั้งหมด เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภคทั้งรุ่นนี้และรุ่นต่อไป พร้อมกันนี้ ขอเรียกร้องให้กระทรวงพลังงานเร่งดำเนินการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP2024) ซึ่งได้ดำเนินการมานานกว่า 3 ปีแล้ว แต่ยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งนี้ ในการจัดทำแผน PDP2024 หรือ PDP2025 ต้องเน้น การพึ่งตนเองของชาติ ภายใต้เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนที่มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และต้องเน้นให้ผู้บริโภค สามารถเป็นผู้ผลิตและผู้ขายไฟฟ้า (Prosumer) เพื่อสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับประชาชนตามคำแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาที่ว่า “รัฐบาลจะยึดมั่นในหลักนิธิธรรม ความโปร่งใส สร้างความชอบธรรมในการบริหาร ราชการแผ่นดินโดยการฟื้นฟูหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ...จะสนับสนุนให้ประชาชนผลิตไฟฟ้าระบบโซลาร์เซลล์ใช้ในครัวเรือนและมีรายได้จากการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าที่ผลิตเกินกว่าความต้องการคืนให้รัฐ...จะเร่งออกมาตรการเพื่อลดราคาค่าพลังงานและสาธารณูปโภค”
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 561 มุมมอง 0 รีวิว
  • อินเดียซื้อเครื่องบินรบ Su-30MKI ของรัสเซีย 12 ลำ มูลค่า 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

    รัฐบาลอินเดียได้ลงนามในสัญญาเพื่อซื้อเครื่องบินรบ Su-30MKI เพิ่มอีก 12 ลำ ข้อตกลงดังกล่าวมีมูลค่าประมาณ 13,500 ล้านรูปี หรือ 1,600 ล้านดอลลาร์ โดยมีเงื่อนไขกำหนดให้ผลิตและใช้ส่วนประกอบในอินเดีย 62.6% โดยบริษัท Hindustan Aeronautics Limited ในเมืองนาซิก ซึ่งรัสเซียมีหน้าที่ออกแบบและควบคุมการผลิต
    อินเดียซื้อเครื่องบินรบ Su-30MKI ของรัสเซีย 12 ลำ มูลค่า 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รัฐบาลอินเดียได้ลงนามในสัญญาเพื่อซื้อเครื่องบินรบ Su-30MKI เพิ่มอีก 12 ลำ ข้อตกลงดังกล่าวมีมูลค่าประมาณ 13,500 ล้านรูปี หรือ 1,600 ล้านดอลลาร์ โดยมีเงื่อนไขกำหนดให้ผลิตและใช้ส่วนประกอบในอินเดีย 62.6% โดยบริษัท Hindustan Aeronautics Limited ในเมืองนาซิก ซึ่งรัสเซียมีหน้าที่ออกแบบและควบคุมการผลิต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลอินเดียคาดว่าภายในปี ค.ศ. 2030 จะมีพนักงานชั่วคราวในอินเดียเพิ่มขึ้นมากกว่า 23 ล้านคน (จากเดิม 8 ล้านคนในปี 2024) ซึ่งแรงงานเหล่านี้ต้องทำงานอย่างหนัก ค่าจ้างต่ำ เหนื่อยล้า และขาดความมั่นคง ทั้งยังมีรายงานด้วยว่า วัยทำงานกลุ่มนี้ต้องเผชิญกับการโดนเหยียด ดูหมิ่น และการกีดกันการเข้าถึงสาธารณะประโยชน์ในทุก ๆ ทาง เหตุเพราะการแบ่งชนชั้นวรรณะในสังคมอินเดียยังฝังรากลึก

    ยกตัวอย่างกรณีล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ มีการแชร์เรื่องราวของไรเดอร์บริษัทแห่งหนึ่งบนโลกออนไลน์ เขาโดนเหยียดในขณะปฏิบัติหน้าที่ เพียงแค่จะมาส่งของให้ลูกค้า แต่กลับโดนยามหน้าตึกขวางไล่ไม่ให้ขึ้นลิฟต์ ซึ่งไรเดอร์คนดังกล่าว แท้จริงแล้วคือซีอีโอบริษัทส่งของปลอมตัวมาเป็นพนักงาน เพื่อพิสูจน์ข้อร้องเรียนที่ได้รับแจ้งจากพนักงานว่าโดนเหยียดจนทำงานไม่ได้

    ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1150262

    #Thaitimes
    รัฐบาลอินเดียคาดว่าภายในปี ค.ศ. 2030 จะมีพนักงานชั่วคราวในอินเดียเพิ่มขึ้นมากกว่า 23 ล้านคน (จากเดิม 8 ล้านคนในปี 2024) ซึ่งแรงงานเหล่านี้ต้องทำงานอย่างหนัก ค่าจ้างต่ำ เหนื่อยล้า และขาดความมั่นคง ทั้งยังมีรายงานด้วยว่า วัยทำงานกลุ่มนี้ต้องเผชิญกับการโดนเหยียด ดูหมิ่น และการกีดกันการเข้าถึงสาธารณะประโยชน์ในทุก ๆ ทาง เหตุเพราะการแบ่งชนชั้นวรรณะในสังคมอินเดียยังฝังรากลึก ยกตัวอย่างกรณีล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ มีการแชร์เรื่องราวของไรเดอร์บริษัทแห่งหนึ่งบนโลกออนไลน์ เขาโดนเหยียดในขณะปฏิบัติหน้าที่ เพียงแค่จะมาส่งของให้ลูกค้า แต่กลับโดนยามหน้าตึกขวางไล่ไม่ให้ขึ้นลิฟต์ ซึ่งไรเดอร์คนดังกล่าว แท้จริงแล้วคือซีอีโอบริษัทส่งของปลอมตัวมาเป็นพนักงาน เพื่อพิสูจน์ข้อร้องเรียนที่ได้รับแจ้งจากพนักงานว่าโดนเหยียดจนทำงานไม่ได้ ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1150262 #Thaitimes
    WWW.BANGKOKBIZNEWS.COM
    วัยทำงานอินเดียโดนเหยียดแรง คนส่งของถูกไล่ไม่ให้นั่งพักในที่สาธารณะ
    วัยทำงานอินเดียโดนเหยียดรุนแรง โดยเฉพาะคนงานชั่วคราว คนส่งของ-แม่บ้าน ถูกมองว่าเป็นคนชนชั้นล่าง โดนไล่ไม่ให้แม้แต่นั่งพักหรือขึ้นลิฟต์ตัวเดียวกับคนรวย
    Like
    Sad
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 882 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚨 รัฐบาลอินเดียจะเปิดเผยรายชื่อผู้ก่อการร้ายคา*ลิสต์ ที่หลบภัยในแคนาดาให้กับ Five Eye Nations

    ประกอบด้วย ออสเตรเลีย, แคนาดา, นิวซีแลนด์, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา

    รัฐบาลอินเดียจะเปิดโปง จัสติน ทรูโด ไม้เด็ดโดยนายกรัฐมนตรีโมดี

    จากผลสำรวจพบว่า ทรูโดไม่เป็นที่นิยมอย่างมากในแคนาดา
    ความโกรธแค้นจะเพิ่มมากขึ้น

    รัฐบาลในสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงในอีก ๒ สัปดาห์ข้างหน้า ปัญหาจะเพิ่มมากขึ้นสำหรับทรูโด
    .
    BIG BREAKING NEWS 🚨 Indian Govt will share list of Kha*listani terr0rists enjoying safe harbour in Canada to Five Eye Nations.

    They comprise Australia, Canada, New Zealand, UK & US.

    Indian Govt will now expose Justin Trudeau. MASTERSTROKE by PM Modi.

    Trudeau has already become highly unpopular across Canada as per surveys. Anger will further increase.

    Govt in US is also likely to change in 2 weeks. Troubles will increase for Trudeau.
    .
    12:48 PM · Oct 23, 2024 · 321.4K Views
    https://x.com/TimesAlgebraIND/status/1848964619089363262
    🚨 รัฐบาลอินเดียจะเปิดเผยรายชื่อผู้ก่อการร้ายคา*ลิสต์ ที่หลบภัยในแคนาดาให้กับ Five Eye Nations ประกอบด้วย ออสเตรเลีย, แคนาดา, นิวซีแลนด์, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา รัฐบาลอินเดียจะเปิดโปง จัสติน ทรูโด ไม้เด็ดโดยนายกรัฐมนตรีโมดี จากผลสำรวจพบว่า ทรูโดไม่เป็นที่นิยมอย่างมากในแคนาดา ความโกรธแค้นจะเพิ่มมากขึ้น รัฐบาลในสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงในอีก ๒ สัปดาห์ข้างหน้า ปัญหาจะเพิ่มมากขึ้นสำหรับทรูโด . BIG BREAKING NEWS 🚨 Indian Govt will share list of Kha*listani terr0rists enjoying safe harbour in Canada to Five Eye Nations. They comprise Australia, Canada, New Zealand, UK & US. Indian Govt will now expose Justin Trudeau. MASTERSTROKE by PM Modi. Trudeau has already become highly unpopular across Canada as per surveys. Anger will further increase. Govt in US is also likely to change in 2 weeks. Troubles will increase for Trudeau. . 12:48 PM · Oct 23, 2024 · 321.4K Views https://x.com/TimesAlgebraIND/status/1848964619089363262
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 262 มุมมอง 0 รีวิว
  • อินเดียเริ่มรู้แล้วว่าชาติไหนที่สร้างกลุ่มก่อการร้ายป่วนอินเดียและบังกลาเทศ:

    ตอนนี้ รัฐบาลอินเดียเริ่มรู้แล้วว่าชาตินักล่าอาณานิคมตะวันตกตัวยงแห่งยุคสร้างกลุ่มก่อการร้ายชื่อ Hizb-ut-Tahrir เพื่อป่วนอินเดียและบังกลาเทศ สร้างเสร็จแล้ว ก็ส่งสมาชิกที่พวกตนฝึกให้เข้าไปเป็นนักศึกษา จัดตั้งเครือข่ายภายในมหาวิทยาลัยต่างๆ ของประเทศที่เป็นเป้าหมายเพื่อสร้างและปลุกระดมมวลชน ให้นักศึกษาเหล่านีจัดกิจกรรมป่วนรัฐบาลเพื่อหาทางแบ่งแยกดินแดน

    ขณะนี้ ประเทศนักล่าอาณานิคมตัวยงกำลังอยากตั้งฐานทัพที่บังกลาเทศเพื่อปิดล้อมจีนฝั่งมหาสมุทรอินเดีย

    เมืองไทยก็เช่นกันครับ ผมสันนิษฐานมานานว่ากลุ่มก่อการร้าย BRN ก็น่าจะถูกชาตินักล่าอาณานิคมนี่แหละจัดตั้ง ภายใต้การบงการของกลุ่มยิวไซออนิสต์ ไม่ใช่มุสลิมแท้ เป็นกลุ่มก่อการร้ายที่สายลับชาตินักล่าอาณานิคมจัดตั้งขึ้นมา มุสลิมที่ปักหลักอยู่ในประเทศไทยมานาน กับกลุ่มมุสลิมที่อพยพเข้ามาใหม่สาย BRN จึงมีนิสัยแตกต่างกันมาก และพวกนี้ก็มี NGOs สายตะวันตกคอยช่วยเหลือด้วย

    โดยปรกติ รัฐบาลรัสเซีย เกาหลีเหนือ อิหร่านและจีนไม่ค่อยนิยมเจรจากับกลุ่มก่อการร้าย มีแต่กวาดล้างอย่างเดียว ในขณะที่กลุ่มชาตินักล่าอาณานิคมตะวันตก เน้นเจรจากับกลุ่มก่อการร้ายเพราะพวกตนเป็นคนสร้างกลุ่มก่อการร้ายขึ้นมาเอง จึงไม่ต้องการให้รัฐบาลไหนๆ ปราบอย่างเด็ดขาด จึงต้องเขียนตำราให้ใช้วิธีเจรจาแทน เพื่อมิให้กลุ่มก่อการร้ายถูกกวาดล้างโดยง่าย เห็นได้จากกลุ่มก่อการร้ายในประเทศอาฟริกาซึ่งปราบเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที รัฐบาลอาฟริกาหลายประเทศต้องให้รัสเซียส่งกลุ่มวากเนอร์มาช่วยปราบจึงหมดลงได้
    ประเทศไทยในขณะนี้ ผมสงสัยว่าสถานการณ์กำลังอยู่ในลักษณะว่า

    ๑. มีกลุ่มก่อการร้ายซึ่งผมสันนิษฐานว่าชาตินักล่าอาณานิคมตัวยงสร้างขึ้น ต่อหน้าสาธารณชนเป็นกลุ่มมุสลิมเทียมแต่เบื้องหลังคือกลุ่มก่อการร้าย

    ๒.มีนักวิชาการที่ปรึกษาความมั่นคงที่จบจากตะวันตกคอยให้คำแนะนำรัฐบาล เน้นเจรจากับกลุ่มก่อการร้ายแทนการปราบปราม

    ๓.มีรัฐบาลและทหารที่โปรตะวันตกใช้ตำราปราบกลุ่มก่อการร้ายแบบตะวันตกมาแก้ปัญหา กลุ่มก่อการร้ายในภาคใต้ก็เลยไม่หมดสักที

    หรือปล่าว? ผมแค่สันนิษฐานเอาจากแง่มุมหนึ่งนะครับ


    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์

    อินเดียเริ่มรู้แล้วว่าชาติไหนที่สร้างกลุ่มก่อการร้ายป่วนอินเดียและบังกลาเทศ: ตอนนี้ รัฐบาลอินเดียเริ่มรู้แล้วว่าชาตินักล่าอาณานิคมตะวันตกตัวยงแห่งยุคสร้างกลุ่มก่อการร้ายชื่อ Hizb-ut-Tahrir เพื่อป่วนอินเดียและบังกลาเทศ สร้างเสร็จแล้ว ก็ส่งสมาชิกที่พวกตนฝึกให้เข้าไปเป็นนักศึกษา จัดตั้งเครือข่ายภายในมหาวิทยาลัยต่างๆ ของประเทศที่เป็นเป้าหมายเพื่อสร้างและปลุกระดมมวลชน ให้นักศึกษาเหล่านีจัดกิจกรรมป่วนรัฐบาลเพื่อหาทางแบ่งแยกดินแดน ขณะนี้ ประเทศนักล่าอาณานิคมตัวยงกำลังอยากตั้งฐานทัพที่บังกลาเทศเพื่อปิดล้อมจีนฝั่งมหาสมุทรอินเดีย เมืองไทยก็เช่นกันครับ ผมสันนิษฐานมานานว่ากลุ่มก่อการร้าย BRN ก็น่าจะถูกชาตินักล่าอาณานิคมนี่แหละจัดตั้ง ภายใต้การบงการของกลุ่มยิวไซออนิสต์ ไม่ใช่มุสลิมแท้ เป็นกลุ่มก่อการร้ายที่สายลับชาตินักล่าอาณานิคมจัดตั้งขึ้นมา มุสลิมที่ปักหลักอยู่ในประเทศไทยมานาน กับกลุ่มมุสลิมที่อพยพเข้ามาใหม่สาย BRN จึงมีนิสัยแตกต่างกันมาก และพวกนี้ก็มี NGOs สายตะวันตกคอยช่วยเหลือด้วย โดยปรกติ รัฐบาลรัสเซีย เกาหลีเหนือ อิหร่านและจีนไม่ค่อยนิยมเจรจากับกลุ่มก่อการร้าย มีแต่กวาดล้างอย่างเดียว ในขณะที่กลุ่มชาตินักล่าอาณานิคมตะวันตก เน้นเจรจากับกลุ่มก่อการร้ายเพราะพวกตนเป็นคนสร้างกลุ่มก่อการร้ายขึ้นมาเอง จึงไม่ต้องการให้รัฐบาลไหนๆ ปราบอย่างเด็ดขาด จึงต้องเขียนตำราให้ใช้วิธีเจรจาแทน เพื่อมิให้กลุ่มก่อการร้ายถูกกวาดล้างโดยง่าย เห็นได้จากกลุ่มก่อการร้ายในประเทศอาฟริกาซึ่งปราบเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที รัฐบาลอาฟริกาหลายประเทศต้องให้รัสเซียส่งกลุ่มวากเนอร์มาช่วยปราบจึงหมดลงได้ ประเทศไทยในขณะนี้ ผมสงสัยว่าสถานการณ์กำลังอยู่ในลักษณะว่า ๑. มีกลุ่มก่อการร้ายซึ่งผมสันนิษฐานว่าชาตินักล่าอาณานิคมตัวยงสร้างขึ้น ต่อหน้าสาธารณชนเป็นกลุ่มมุสลิมเทียมแต่เบื้องหลังคือกลุ่มก่อการร้าย ๒.มีนักวิชาการที่ปรึกษาความมั่นคงที่จบจากตะวันตกคอยให้คำแนะนำรัฐบาล เน้นเจรจากับกลุ่มก่อการร้ายแทนการปราบปราม ๓.มีรัฐบาลและทหารที่โปรตะวันตกใช้ตำราปราบกลุ่มก่อการร้ายแบบตะวันตกมาแก้ปัญหา กลุ่มก่อการร้ายในภาคใต้ก็เลยไม่หมดสักที หรือปล่าว? ผมแค่สันนิษฐานเอาจากแง่มุมหนึ่งนะครับ ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 493 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..รัฐบาลอินเดียสำนึกผิดต่อประชาชนอินเดียทั้งประเทศและขอโทษประชาชน ไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้อีกในการถูกหลอกฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนของเขา.
    ..ตรงกันข้ามกับรัฐบาลไทยที่ไม่สำนึก&ไม่ซื่อสัตย์ ตลอดข้าราชการไทยในองค์กรการแพทย์การยา&บุคลากรและหน่วยงานที่ร่วมเกี่ยวข้องก็ไม่มีจิตสำนึกไร้สำนึกไม่ซื่อสัตย์กับประชาชนเข้าด้วยกับสื่อหลักบนแผ่นดินไทยยังกระทำการหลอกลวงประชาชนปกติ สามารถเข้ากฎหมายสากลนูเร็มเบิร์กข้อหาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้ทั้งหมดทันที เดอะแก๊งพวกนี้สมควรทำไม่ให้มีชีวิตทุกๆคนจริงๆเพื่อจะได้ไม่ทวนกระแสก่อความชั่วร้ายในบ้านในเมืองไทยได้อีก&อย่างสิ้นซากสิ้นเชิงด้วย.
    ..รัฐบาลอินเดียสำนึกผิดต่อประชาชนอินเดียทั้งประเทศและขอโทษประชาชน ไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้อีกในการถูกหลอกฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนของเขา. ..ตรงกันข้ามกับรัฐบาลไทยที่ไม่สำนึก&ไม่ซื่อสัตย์ ตลอดข้าราชการไทยในองค์กรการแพทย์การยา&บุคลากรและหน่วยงานที่ร่วมเกี่ยวข้องก็ไม่มีจิตสำนึกไร้สำนึกไม่ซื่อสัตย์กับประชาชนเข้าด้วยกับสื่อหลักบนแผ่นดินไทยยังกระทำการหลอกลวงประชาชนปกติ สามารถเข้ากฎหมายสากลนูเร็มเบิร์กข้อหาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้ทั้งหมดทันที เดอะแก๊งพวกนี้สมควรทำไม่ให้มีชีวิตทุกๆคนจริงๆเพื่อจะได้ไม่ทวนกระแสก่อความชั่วร้ายในบ้านในเมืองไทยได้อีก&อย่างสิ้นซากสิ้นเชิงด้วย.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 359 มุมมอง 35 0 รีวิว