• เซเลนสกี โพสต์ข้อความแสดงความยินดีต่อโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เพียงประโยคเดียว ส่วนที่เหลือคือการขอความช่วยเหลือจากอเมริกา

    ขอแสดงความยินดีกับ โดนัลด์ ทรัมป์ สำหรับชัยชนะการเลือกตั้งที่น่าประทับใจของเขา!

    ผมยังจำภาพการพบปะที่ยอดเยี่ยมกับประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อเดือนกันยายนได้อย่วงดี เราสองคนได้หารือกันอย่างละเอียดเกี่ยวกับความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างยูเครนและสหรัฐฯ มีการพูดคุยกันถึง "แผนชัยชนะ" และแนวทางในการยุติการบุกยูเครนของรัสเซีย

    ผมชื่นชมความมุ่งมั่นของประธานาธิบดีทรัมป์ที่มีต่อแนวทาง "สันติภาพผ่านความแข็งแกร่ง" ในกิจการระดับโลก นี่คือหลักการที่ชัดเจนสำหรับการนำสันติภาพที่ยุติธรรมมาสู่ยูเครนได้ในทางปฏิบัติ ผมหวังว่าเราจะนำหลักการนี้ไปปฏิบัติร่วมกัน

    เรามุ่งหวังที่จะเป็นยุคที่สหรัฐอเมริกาเข้มแข็งภายใต้การนำที่เด็ดขาดของประธานาธิบดีทรัมป์ เราพึ่งพาการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากทั้งสองพรรคการเมืองที่มีต่อยูเครนในสหรัฐอเมริกา

    เราสนใจที่จะพัฒนาความร่วมมือทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ร่วมกันซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศของเรา ยูเครนในฐานะประเทศที่มีกำลังทหารที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป มุ่งมั่นที่จะสร้างสันติภาพและความมั่นคงในระยะยาวในยุโรปและชุมชนทรานส์แอตแลนติกด้วยการสนับสนุนจากพันธมิตรของเรา

    ผมตั้งตารอที่จะแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีทรัมป์เป็นการส่วนตัว และหารือถึงแนวทางในการเสริมสร้างความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ของยูเครนกับสหรัฐอเมริกา
    เซเลนสกี โพสต์ข้อความแสดงความยินดีต่อโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เพียงประโยคเดียว ส่วนที่เหลือคือการขอความช่วยเหลือจากอเมริกา ขอแสดงความยินดีกับ โดนัลด์ ทรัมป์ สำหรับชัยชนะการเลือกตั้งที่น่าประทับใจของเขา! ผมยังจำภาพการพบปะที่ยอดเยี่ยมกับประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อเดือนกันยายนได้อย่วงดี เราสองคนได้หารือกันอย่างละเอียดเกี่ยวกับความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างยูเครนและสหรัฐฯ มีการพูดคุยกันถึง "แผนชัยชนะ" และแนวทางในการยุติการบุกยูเครนของรัสเซีย ผมชื่นชมความมุ่งมั่นของประธานาธิบดีทรัมป์ที่มีต่อแนวทาง "สันติภาพผ่านความแข็งแกร่ง" ในกิจการระดับโลก นี่คือหลักการที่ชัดเจนสำหรับการนำสันติภาพที่ยุติธรรมมาสู่ยูเครนได้ในทางปฏิบัติ ผมหวังว่าเราจะนำหลักการนี้ไปปฏิบัติร่วมกัน เรามุ่งหวังที่จะเป็นยุคที่สหรัฐอเมริกาเข้มแข็งภายใต้การนำที่เด็ดขาดของประธานาธิบดีทรัมป์ เราพึ่งพาการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากทั้งสองพรรคการเมืองที่มีต่อยูเครนในสหรัฐอเมริกา เราสนใจที่จะพัฒนาความร่วมมือทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ร่วมกันซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศของเรา ยูเครนในฐานะประเทศที่มีกำลังทหารที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป มุ่งมั่นที่จะสร้างสันติภาพและความมั่นคงในระยะยาวในยุโรปและชุมชนทรานส์แอตแลนติกด้วยการสนับสนุนจากพันธมิตรของเรา ผมตั้งตารอที่จะแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีทรัมป์เป็นการส่วนตัว และหารือถึงแนวทางในการเสริมสร้างความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ของยูเครนกับสหรัฐอเมริกา
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • 🇷🇺🇺🇸 รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ลาฟรอฟ กล่าวว่า ความเชื่อมั่นทั่วโลกที่มีต่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯกำลังตกลงอย่างรวดเร็ว
    .
    🇷🇺🇺🇸 Russian Foreign Minister Lavrov says global trust in the US dollar is falling quickly.
    .
    12:33 PM · Nov 5, 2024 · 87.9K Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1853671840419336245
    🇷🇺🇺🇸 รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ลาฟรอฟ กล่าวว่า ความเชื่อมั่นทั่วโลกที่มีต่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯกำลังตกลงอย่างรวดเร็ว . 🇷🇺🇺🇸 Russian Foreign Minister Lavrov says global trust in the US dollar is falling quickly. . 12:33 PM · Nov 5, 2024 · 87.9K Views https://x.com/BRICSinfo/status/1853671840419336245
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • มหาดไทย สั่งผู้ว่าฯตราด เร่งชี้แจงปมพิพาท 'เกาะกูด' หวั่นประชาชนเข้าใจผิด
    .
    ก่อนหน้านี้ได้เห็นท่าทีของกองทัพเรือที่มีต่อเรื่องปัญหาพื้นที่พิพาทเกี่ยวกับเกาะกูด จังหวัดตราด มาเวลานี้กระทรวงมหาดไทยกลายเป็นอีกหน่วยงานของรัฐอีกหน่วยงานหนึ่งที่ขยับในเรื่องนี้เช่นกัน โดยนายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ดูแลงานด้านควรมั่นคง ได้เข้าประชุมกับผู้ว่าราชการจังหวัดตราด รองผู้ว่าราชการจังหวัดตราดทั้ง 2 คน และนายอำเภอทั้ง 7 อำเภอของจังหวัดตราด
    .
    ทั้งนี้ ระหว่างการประชุม นายชำนาญวิทย์ ระบุว่า ปัญหาเรื่องกรณีเขตแดนอำเภอเกาะกูดที่ปัจจุบันมีการปั่นกระแสผ่านทางสื่อโซเชียลจำนวนมากและสับสนว่าเกาะกูดเป็นของใคร และพื้นที่ทับซ้อนที่เกิดทับซ้อนในทะเลนั้นเป็นอย่างไร และจะมีการแบ่งผลประโยชน์อย่างยุติธรรมอย่างไร ส่วนตัวกังวลว่า หากให้มีการดำเนินการปลุกปั่นกันอยู่อย่างนี้ อาจส่งผลกระทบต่อความรู้สึกหรือทัศนคติเชิงลบของประชาชนชาวไทยให้เกิดขึ้นจนเกิดเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศในที่สุด ดังนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด และนายอำเภอเกาะกูดต้องตรวจสอบข้อมูล และเร่งทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนชาวตราดเปิดรับข้อมูลข่าวสารให้รอบด้าน
    .
    " นายอำเภอเกาะกูดท่านมีหน้าที่ในการไปศึกษาหาข้อมูลมานำเสนอให้ประชาชนชาวเกาะกูดรับทราบและต้องชัดเจนในการทำความเข้าใจ กับสิ่งที่สื่อโซเชียลไปโพสต์นั้นถูกต้องหรือไม่ไปตรวจสอบและทำความเข้าใจในสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วย วันนี้เห็นหลายกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องของความรักชาติและปลุกกระแส เกาะกูดที่กำลังถูกปลุกและปั่นกระแสโดยอ้างความรักชาติมาเป็นเหตุผล แต่สถานการณ์แบบนี้เปราะบางและอาจจะบานปลายไปส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศชาติได้" นายชำนาญวิทย์ ระบุ
    ..............
    Sondhi X
    มหาดไทย สั่งผู้ว่าฯตราด เร่งชี้แจงปมพิพาท 'เกาะกูด' หวั่นประชาชนเข้าใจผิด . ก่อนหน้านี้ได้เห็นท่าทีของกองทัพเรือที่มีต่อเรื่องปัญหาพื้นที่พิพาทเกี่ยวกับเกาะกูด จังหวัดตราด มาเวลานี้กระทรวงมหาดไทยกลายเป็นอีกหน่วยงานของรัฐอีกหน่วยงานหนึ่งที่ขยับในเรื่องนี้เช่นกัน โดยนายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ดูแลงานด้านควรมั่นคง ได้เข้าประชุมกับผู้ว่าราชการจังหวัดตราด รองผู้ว่าราชการจังหวัดตราดทั้ง 2 คน และนายอำเภอทั้ง 7 อำเภอของจังหวัดตราด . ทั้งนี้ ระหว่างการประชุม นายชำนาญวิทย์ ระบุว่า ปัญหาเรื่องกรณีเขตแดนอำเภอเกาะกูดที่ปัจจุบันมีการปั่นกระแสผ่านทางสื่อโซเชียลจำนวนมากและสับสนว่าเกาะกูดเป็นของใคร และพื้นที่ทับซ้อนที่เกิดทับซ้อนในทะเลนั้นเป็นอย่างไร และจะมีการแบ่งผลประโยชน์อย่างยุติธรรมอย่างไร ส่วนตัวกังวลว่า หากให้มีการดำเนินการปลุกปั่นกันอยู่อย่างนี้ อาจส่งผลกระทบต่อความรู้สึกหรือทัศนคติเชิงลบของประชาชนชาวไทยให้เกิดขึ้นจนเกิดเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศในที่สุด ดังนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด และนายอำเภอเกาะกูดต้องตรวจสอบข้อมูล และเร่งทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนชาวตราดเปิดรับข้อมูลข่าวสารให้รอบด้าน . " นายอำเภอเกาะกูดท่านมีหน้าที่ในการไปศึกษาหาข้อมูลมานำเสนอให้ประชาชนชาวเกาะกูดรับทราบและต้องชัดเจนในการทำความเข้าใจ กับสิ่งที่สื่อโซเชียลไปโพสต์นั้นถูกต้องหรือไม่ไปตรวจสอบและทำความเข้าใจในสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วย วันนี้เห็นหลายกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องของความรักชาติและปลุกกระแส เกาะกูดที่กำลังถูกปลุกและปั่นกระแสโดยอ้างความรักชาติมาเป็นเหตุผล แต่สถานการณ์แบบนี้เปราะบางและอาจจะบานปลายไปส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศชาติได้" นายชำนาญวิทย์ ระบุ .............. Sondhi X
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 332 Views 0 Reviews
  • มารู้จักตัวนี้กัน อยุใน P กับ A
    ⏩เชื้อทริพาโนโซมา (Trypanosoma) เป็นโปรโตซัวที่มีหางยาวช่วยในการเคลื่อนที่
    👉อาศัยอยู่ในเลือดและภายในเซลล์ของคนและสัตว์ มีหลายสายพันธุ์ และมีแมลงเป็นพาหะนำโรค
    📌นาน ๆ ครั้งจะพบผู้ติดเชื้อจากการรับเลือด, การปลูกถ่ายอวัยวะ, และทางมารดาสู่ทารก
    📌เพราะเชื้อทริพาโนโซมาอาศัยอยู่ในเลือด และสามารถผ่านรกไปสู่ทารกในครรภ์ได้ ทารกที่ติดเชื้อแต่กำเนิดมักแท้งหรือเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก
    💢อาการแบ่งได้เป็น 2 ระยะ
    ✅ระยะที่หนึ่ง
    📌มีต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงบวมโตอักเสบ แผลจะค่อย ๆ ดีขึ้นเองในเวลาหลายสัปดาห์ ถ้าเป็นเชื้อ T. b. gambiense จะไม่ค่อยพบแผลแบบนี้
    📌หลังรับเชื้อจะเข้าสู่กระแสโลหิต ทำให้มีไข้สูงเป็น ๆ หาย ๆ คล้ายไข้มาลาเรีย
    ⏩ระยะนี้ผู้ป่วยจะอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดตามข้อ เหงื่อออกมากกว่าปกติ ซีด และต่อมน้ำเหลืองโตทั่วไปโดยเฉพาะบริเวณคอ (posterior cervical glands) เรียกว่า Winter-bottom's sign
    ⏩บางรายอาจมีผื่นแดงจาง ๆ ที่ผิวหนังนานเป็นเดือน ถ้าเจาะเลือดจะพบเม็ดเลือดขาวต่ำ
    📌ระยะนี้ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญคือ ❗️กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis)
    และ ❗️หน่วยไตอักเสบ (glomerulonephritis)
    ✅ระยะที่สอง เชื้อจะเข้าสู่สมอง
    👉ผู้ป่วยจะปวดศีรษะตลอดเวลา ทานยาอะไรก็ไม่หาย
    ⏩กลางคืนนอนไม่หลับ แต่เซื่องซึม ง่วงเหงาหาวนอนตอนกลางวัน จึงเป็นที่มาของชื่อโรคว่า Sleeping sickness 📌หรือโรคเหงาหลับ
    💢ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมเปลี่ยน อารมณ์แปรปรวน บางรายอาจวุ่นวายสับสน บางรายอาจซึมเศร้า เบื่ออาหาร ผอมลง ม้ามโต
    📌ในเด็กมักพบมี "ชัก"
    ในระยะท้ายสมองจะบวม มีจุดเลือดออกในเนื้อสมอง
    📌พบเซลล์อักเสบทั่วไปในชั้นเยื่อหุ้มสมอง ประสาทรับสัมผัสจะเสียไป การเดินและทรงตัวผิดปกติ หากไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยจะเสียชีวิต
    http://mutualselfcare.org/.../inf.../trypanosomiasis.aspx...
    เครดิต เฟสบุ๊ก ภูสณิตา วิเศษปุณรัตน์
    มารู้จักตัวนี้กัน อยุใน P กับ A ⏩เชื้อทริพาโนโซมา (Trypanosoma) เป็นโปรโตซัวที่มีหางยาวช่วยในการเคลื่อนที่ 👉อาศัยอยู่ในเลือดและภายในเซลล์ของคนและสัตว์ มีหลายสายพันธุ์ และมีแมลงเป็นพาหะนำโรค 📌นาน ๆ ครั้งจะพบผู้ติดเชื้อจากการรับเลือด, การปลูกถ่ายอวัยวะ, และทางมารดาสู่ทารก 📌เพราะเชื้อทริพาโนโซมาอาศัยอยู่ในเลือด และสามารถผ่านรกไปสู่ทารกในครรภ์ได้ ทารกที่ติดเชื้อแต่กำเนิดมักแท้งหรือเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก 💢อาการแบ่งได้เป็น 2 ระยะ ✅ระยะที่หนึ่ง 📌มีต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงบวมโตอักเสบ แผลจะค่อย ๆ ดีขึ้นเองในเวลาหลายสัปดาห์ ถ้าเป็นเชื้อ T. b. gambiense จะไม่ค่อยพบแผลแบบนี้ 📌หลังรับเชื้อจะเข้าสู่กระแสโลหิต ทำให้มีไข้สูงเป็น ๆ หาย ๆ คล้ายไข้มาลาเรีย ⏩ระยะนี้ผู้ป่วยจะอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดตามข้อ เหงื่อออกมากกว่าปกติ ซีด และต่อมน้ำเหลืองโตทั่วไปโดยเฉพาะบริเวณคอ (posterior cervical glands) เรียกว่า Winter-bottom's sign ⏩บางรายอาจมีผื่นแดงจาง ๆ ที่ผิวหนังนานเป็นเดือน ถ้าเจาะเลือดจะพบเม็ดเลือดขาวต่ำ 📌ระยะนี้ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญคือ ❗️กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis) และ ❗️หน่วยไตอักเสบ (glomerulonephritis) ✅ระยะที่สอง เชื้อจะเข้าสู่สมอง 👉ผู้ป่วยจะปวดศีรษะตลอดเวลา ทานยาอะไรก็ไม่หาย ⏩กลางคืนนอนไม่หลับ แต่เซื่องซึม ง่วงเหงาหาวนอนตอนกลางวัน จึงเป็นที่มาของชื่อโรคว่า Sleeping sickness 📌หรือโรคเหงาหลับ 💢ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมเปลี่ยน อารมณ์แปรปรวน บางรายอาจวุ่นวายสับสน บางรายอาจซึมเศร้า เบื่ออาหาร ผอมลง ม้ามโต 📌ในเด็กมักพบมี "ชัก" ในระยะท้ายสมองจะบวม มีจุดเลือดออกในเนื้อสมอง 📌พบเซลล์อักเสบทั่วไปในชั้นเยื่อหุ้มสมอง ประสาทรับสัมผัสจะเสียไป การเดินและทรงตัวผิดปกติ หากไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยจะเสียชีวิต http://mutualselfcare.org/.../inf.../trypanosomiasis.aspx... เครดิต เฟสบุ๊ก ภูสณิตา วิเศษปุณรัตน์
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • ภาพแรก
    ซ้าย ไม่มี ฟลูออไรด์
    ขวา มี ฟลูออไรด์
    โลกคือมายา #ลวงทั้งโลก
    ฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุ ⁉️
    ท่านสามารถดาวน์โหลดรายงานการวิจัยที่ว่าด้วยฟลูออไรด์ต่อการลดความสามารถทางปัญญาในเด็กได้ถึง 32 หน้าฟรี ๆ ที่นี่
    https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3491930/
    Source :
    https://youtu.be/KLsjwWo1F2I
    --------------------------------------------------
    โดยทั่วไป #ฟลูออไรด์ เป็นสารทำลายต่อมไร้ท่อเนื่องจากฟลูออไรด์เป็นฮาไลด์ (halide)เช่นกัน มันจึงแข่งขันกับฮาไลด์ตัวอื่นที่ตัวรับเดียวกันในต่อมไทรอยด์ และที่อื่นๆ เพื่อจับกับไอโอดีน สิ่งนี้จะยับยั้งการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งส่งผลให้มีฮอร์โมนไทรอยด์ในระดับต่ำ
    มีการพิสูจน์แล้วว่าฟลูออไรด์มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนการทำงานของต่อมไร้ท่อ
    แต่ความจริงข้อนี้ถูกละเลยโดยหน่วยงาน และสมาคมที่ยังคงส่งเสริมการใช้ฟลูออไรด์ต่อไป
    จากรายงานของ National Research Council of the National Academies ในปี 2549
    ฟลูออไรด์ "เป็นตัวทำลายต่อมไร้ท่อในแง่กว้างโดยปรับเปลี่ยนการทำงานของต่อมไร้ท่อที่เป็นปกติ"
    ฟังก์ชั่นที่เปลี่ยนแปลงนี้สามารถเกี่ยวข้องกับต่อมไทรอยด์ พาราไทรอยด์ และต่อมไพเนียลรวมถึงต่อมหมวกไต ตับอ่อน และต่อมใต้สมอง
    ต่อมไทรอยด์ของคุณ และฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ในการรักษาอัตราการเผาผลาญโดยรวมของร่างกาย ควบคุมการเจริญเติบโตและการพัฒนาตามปกติ เนื่องจากเซลล์ที่มีการเผาผลาญทั้งหมดต้องการฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อการทำงานที่เหมาะสม
    การหยุดชะงักของระบบนี้ อาจมีผลกระทบที่หลากหลายต่อแทบทุกระบบในร่างกายของคุณ ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ถือเป็นหนึ่งในโรคที่พบมากที่สุดของโรคต่อมไร้ท่อ
    การใช้ฟลูออไรด์ในอดีต เป็นการแทรกแซงทางการแพทย์สำหรับ Hyperthyroid
    จนถึงปี 1970 นักวิทยาศาสตร์ในยุโรปได้กำหนดให้ใช้ฟลูออไรด์ เพื่อลดอัตราการเผาผลาญพื้นฐานในผู้ป่วยที่มีต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ผลการศึกษาทางคลินิกที่ตีพิมพ์งานหนึ่งรายงานว่า
    ปริมาณฟลูออไรด์เพียง 2 - 3 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ไม่มากนัก ถ้าได้รับอย่างสม่ำเสมอก็เพียงพอที่จะลดกิจกรรมของต่อมไทรอยด์ในผู้ป่วยได้
    การใช้ฟลูออไรด์เพื่อการรักษาต่อมไทรอยด์ได้รับการกระตุ้นโดยการวิจัยที่เริ่มต้นในปี 1800 ซึ่งเชื่อมโยงการบริโภคฟลูออไรด์กับคอพอก การบวมของต่อมไทรอยด์ที่เกิดจากภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์
    ในรายงานเมื่อปี 2549 Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards, the National Research Council (NRC) รายงานว่า
    "ข้อมูลหลายบรรทัด แสดงถึงผลกระทบของฟลูออไรด์ต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์" โดยเฉพาะรายงานที่กล่าวถึงการวิจัยแสดงให้เห็นว่า
    "การได้รับฟลูออไรด์ในมนุษย์นั้นมีความสัมพันธ์กับความเข้มข้นของ TSH ที่เพิ่มขึ้น เพิ่มความแพร่หลายของคอพอก และเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของ T4 และ T3" นอกจากนั้นยังมีผลที่คล้ายกันใน T4 และ T3 รายงานในสัตว์ทดลอง
    นอกจากนี้ NRC ยังกล่าวถึงงานวิจัยที่เชื่อมโยงฟลูออไรด์ กับผลกระทบต่อกิจกรรมของพาราไธรอยด์ การด้อยค่าของการทนต่อกลูโคส และระยะเวลาของการคงไว้ซึ่งสภาวะทางเพศ
    จากการค้นพบเหล่านี้ คณะกรรมการ NRC แนะนำว่า "ผลกระทบของฟลูออไรด์ในแง่มุมต่างๆ ต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อ ควรได้รับการตรวจสอบต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับบทบาทที่เป็นไปได้ในการพัฒนาโรคต่างๆ
    อย่างไรก็ตามผู้เสนอให้ใช้ฟลูออไรด์ยังคงเพิกเฉยต่อวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบที่เป็นอันตราย
    ฟลูออไรด์จำนวนเล็กน้อย เปลี่ยนการทำงานของต่อมไทรอยด์ของคุณได้อย่างน่าประหลาดใจ
    การทำงานของต่อมไทรอยด์ที่เปลี่ยนแปลงนั้นเกี่ยวข้องกับการได้รับฟลูออไรด์ในระดับต่ำถึง 0.05 - 0.1 มก. ฟลูออไรด์ต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวัน (มก. / กก. / วัน) หรือ 0.03 มก. / กก. / วัน
    สำหรับผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนัก 70 กิโลกรัม (154 ปอนด์) หมายความว่าฟลูออไรด์ 3.5 มก. ต่อวัน (หรือฟลูออไรด์ 0.7 มก. ต่อวันที่มีการขาดไอโอดีน) อาจทำให้ไทรอยด์ทำงานผิดปกติ
    การวิเคราะห์โดยหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา ประมาณการว่าผู้ใหญ่ชาวอเมริกันโดยทั่วไปบริโภคฟลูออไรด์เกือบ 3 มิลลิกรัมทุกวัน และบางคนบริโภคเป็นประจำวันละ 6 มก. ขึ้นไป
    สำหรับเด็กที่มีน้ำหนัก 14 กิโลกรัม (30 ปอนด์) ฟลูออไรด์ที่ได้รับมากกว่า 0.7 มก. ต่อวัน (หรือ 0.14 มก. ต่อวันหากขาดไอโอดีน) ทำให้เด็กเสี่ยงต่อความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ
    และ EPA (2010) ได้ทำการประเมินว่าเด็กที่อยู่ในช่วงน้ำหนักนี้ (อายุ 1- 3 ปี) ได้บริโภคฟลูออไรด์มากกว่า 1.5 มก. ในแต่ละวัน หรือมากกว่า 2 เท่า ของจำนวนที่จำเป็นในการกระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ที่เปลี่ยนแปลง การได้รับอย่างต่อเนื่องเหล่านี้อาจมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งและตลอดชีวิตต่อพัฒนาการทางสติปัญญา ทางสังคม ทางเพศ และทางกายภาพโดยรวมของเด็ก
    การศึกษาจำนวนมากพบว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างการได้รับฟลูออไรด์ในระดับค่อนข้างต่ำถึงปานกลาง และการลด IQ ในเด็ก แม้แต่ระดับฟลูออไรด์ที่น้อยกว่า 1.0 มก. / ล. ก็มีความสัมพันธ์กับ IQ ที่ลดลง และความถี่ที่เพิ่มขึ้นของภาวะไทรอยด์ทำงานในเด็กที่มีอาการขาดสารไอโอดีน
    การพิจารณาอย่างจริงจัง ว่าต่อมไทรอยด์ของคุณอาจเป็นเนื้อเยื่อที่บอบบางที่สุดในร่างกายของคุณต่อฟลูออไรด์ ก็อาจเป็นประโยชน์ต่อคุณ
    ฟลูออไรด์สะสมในต่อมไทรอยด์ของคุณมากกว่าเนื้อเยื่ออ่อนอื่นๆ
    ฟลูออไรด์อาจขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ของคุณโดยตรง หรือโดยอ้อมด้วยการกระทำที่เป็นไปได้ รวมถึงความสามารถของฟลูออไรด์ในการเลียนแบบฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ (TSH)
    - ทำลาย G-proteins ที่ละเอียดอ่อนซึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยการสร้างของตัวรับฮอร์โมนในร่างกายของคุณ
    -ทำลายเซลล์ของต่อมไทรอยด์ของคุณ
    -ทำลาย DNA ของคุณ
    -รบกวนการแปลงจากไทรอยด์ฮอร์โมน (T4) ที่ไม่ได้ใช้งานไปเป็นแบบฟอร์มที่ต้องใช้งาน (T3)
    จากข้อมูลของ PubMed Health พบว่าผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปี มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการเกิดภาวะพร่อง หรือภาวะไทรอยด์ต่ำ เกือบ 4% ของประชากรสหรัฐอเมริกา
    มากกว่า 11 ล้านคน มีภาวะไทรอยด์ทำงานหนักเกินจริง นอกจากนี้ 10% ของประชากรทั่วไป 21 ล้านคน มีภาวะพร่องที่ไม่แสดงอาการซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่แข็งแกร่งสำหรับการพัฒนาต่อมาของภาวะพร่องไทรอยด์
    แม้จะมีอุบัติการณ์สูงขึ้นในประชากรที่มีอายุมากกว่า แต่อัตราการเกิดภาวะพร่องของ hypothyroidism ทารกแรกเกิดเพิ่มขึ้นเกือบ 75% ในช่วง 2ทศวรรษที่ผ่านมาในสหรัฐอเมริกาตอนนี้ส่งผลกระทบต่อ 1 ในทุกๆ 2,370 ของการเกิดภาวะพร่องในทารกแรกเกิดที่ไม่ได้รับการรักษา สามารถนำไปสู่ภาวะปัญญาอ่อน การชะลอการเจริญเติบโต และปัญหาหัวใจ
    เด็กที่เป็นโรคไทรอยด์ทำงานผิดปกติมาแต่กำเนิด หรือเยาวชน ได้รับรายงานว่ามีการล่าช้าของการงอกของฟัน หรือข้อบกพร่องในการเคลือบฟัน แม้ว่าการเชื่อมต่อระหว่างการค้นพบเหล่านี้กับผลกระทบของฟลูออไรด์ต่อไทรอยด์ยังไม่ได้ทำการศึกษา
    สิ่งที่เกี่ยวข้องอย่างยิ่ง คือความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างความรุนแรงของอาการที่ไม่แสดงอาการในหญิงตั้งครรภ์และ IQ ที่ลดลงของบุตรหลาน
    การพร่องของมารดายังได้รับการเสนอให้เป็นสาเหตุ หรือผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาออทิสติก
    ศักยภาพของฟลูออไรด์ที่จะส่งผลต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ยังเป็นสิ่งจำเป็นอีกหลายประการ
    ดังนั้นวิธีการใช้ฟลูออไรด์วิธีการแบบไม่เจาะจง / การเติมฟลูออไรด์ในน้ำดื่มสาธารณะโดยเจตนา / การผสมเข้าไปในยาสีฟัน / การเคลือบฟันด้วยฟลูออไรด์ เป็นปัญหาอย่างยิ่ง
    เนื่องจากจะทำให้ร่างกายของคุณสัมผัสกับสารที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพ โดยไม่คำนึงถึงความต้องการ หรือความอ่อนไหวส่วนตัว และเป็นการละเมิดหลักการสำคัญของเภสัชวิทยาสมัยใหม่
    -----------------------------------
    Andersson M, de Benoist B,Delange F, Zupan J. 2007.Prevention and control of iodine deficiency in pregnant and lactating women and in children less
    Bharaktiya S, et al., 2010.Hypothyroidism. Medscape Reference.
    Delange F. 2004. Optimal iodine nutrition during pregnancy, lactation and neonatal period. Int J Endocrinol Metab 89:3851.
    Drugs.com. Undated. Top-selling drugs of 2009.
    IOM (Institute of Medicine). 2001. Dietary Reference Intakes for Vitamin A, Vitamin K, Arsenic, Boron, Chromium, Copper, Iodine, Iron, Manganese
    Larsen PR, Davies TF, Schlumberger MJ, Hay ID. 2002. Thyroid physiology and diagnostic evaluation of patients with thyroid disorders. Pp. 331-373
    PubMed Health. 2009. Neonatal hypothyroidism.
    PubMed Health. 2010. Hypothyroidism.
    Wang H, Yang Z, Zhou B, et al. 2009. Fluoride-induced thyroid dysfunction in rats: roles of dietary protein and calcium level. Toxicol Ind Health
    Zimmermann MB. 2009. Iodine deficiency in pregnancy and the effects of maternal iodine supplementation on the offspring: a review. Am J Clin Nutr
    1 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC. 507 pp.
    2 Maumené E. 1854. Compt Rend Acad Sci 39:538. May W. 1935. Antagonismus Zwischen Jod und Fluor im Organismus. Klinische Wochenschrift 14:790-92.
    3 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC.
    4 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC.
    5 EPA (U.S. Environmental Protection Agency). 2010. Fluoride: Exposure and Relative Source Contribution Analysis.
    6 Connett P, Beck J, Micklem HS. 2010. The Case Against Fluoride. How Hazardous Waste Ended Up in Our Drinking Water and the Bad Science
    7 Lin FF, Aihaiti HX, Zhao J, et al. 1991. The relationship of a low-iodine and high-fluoride environment to subclinical cretinism in Xinjiang.
    8 ICCIDD (International Council for the Control of Iodine Deficiency Disorders). 2011. Iodine Deficiency.
    9 Hollowell JG, Staehling NW, Hannon WH, et al. 1998. Iodine nutrition in the United States. Trends and public health implications: iodine excretion
    10 Lee SL, et al. 2009. Iodine Deficiency. Medscape Reference.
    11 Caldwell KL, Miller GA, Wang RY, et al. 2008. Iodine status of the U.S. population, National Health and Nutrition Examination Survey 2003-2004.
    12 Shashi A. 1988. Biochemical effects of Fluoride on thyroid gland duringexperimental fluorosis. Fluoride 21:127–130.
    13 Monsour PA, Kruger BJ. 1985. Effect of fluoride on soft tissue in vertebrates. Fluoride 18:53-61. / Call RA, Greenwood DA, LeCheminant H, et al. 1965.
    14 Ge Y, Ning H, Wang S, Wang J. 2005. DNA damage in thyroid gland cells of rats exposed to long-term intake of high fluoride and low iodine. Fluoride
    15 Gas'kov A, Savchenkov MF, Lushkov NN. 2005. [The specific features of the development of iodine deficiencies in children living under pollution]
    16 Aoki Y, Belin RM, Clickner R, et al. 2007. Serum TSH and total T4 in the United States population
    17 Olney RS, Grosse SD, Vogt RF. 2010. Prevalence of Congenital Hypothyroidism—Current Trends and Future Directions: Workshop Summary. Pediatrics 125
    18 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC.
    19 Klein RZ, Sargent JD, Larsen PR, et al. 2001. Relation of severity of maternal hypothyroidism to cognitive development in offspring. J Med Screen
    20 Román GC. 2007. Autism: Transient in utero hypothyroxinemia related to maternal flavonoid ingestion during pregnancy.
    Biological Trace Element Research :
    https://www.researchgate.net/.../345973053_In_Vitro...
    ✨✨✨✨✨✨✨
    ฟังคลิปคุณหมอ นาทีที่ 58
    https://youtu.be/AYAJJSOmdJo
    ✨✨✨✨✨✨✨
    ปฏิวัติสุขภาพกับอ.ปานเทพ เรื่อง ฟลูออไรด์ ภัยเงียบในน้ำดื่มน้ำใช้ยาสีฟัน
    https://youtu.be/741TFbVWJwQ
    https://youtu.be/s-ElDeuDl1I
    https://youtu.be/Y5Ad9L-B21c
    https://youtu.be/1KgS-_E05YE
    https://youtu.be/KLsjwWo1F2I
    ✨✨✨✨✨✨✨
    ฟลูออไรด์ในยาสีฟัน โดย อ.สันติ มานะดี
    https://www.facebook.com/10000435.../posts/1352913331530352/
    ✨✨✨✨✨✨✨
    สารฟลูโอไรด์ ( Fluoride )
    Little Girl Healthy SHOP - สินค้าส่งตรงจากอเมริกา
    กราฟแสดงระดับความรุนแรงของสารตะกั่ว สารหนูและฟลูโอไรด์
    ค่าระดับความเป็นพิษของฟลูโอไรด์ที่พุ่งแรงแซงสารตะกั่วไปอยู่ที่ระดับ 4 เกือบๆ 5 นั่นแปลว่า มันเป็นพิษมากจนถึงขั้นรุนแรง! ยิ่งถ้าบ้านใครมียาฆ่าหนูและแมลงสาบลองพลิกดูที่ส่วนผสมข้างกล่อง คุณอาจจะช็อกตาค้างมากกว่านี้ เพราะสิ่งเดียวที่เป็นส่วนผสมในยาเบื่อหนูคือฟลูโอไรด์
    ซึ่งความจริงแล้ว ฟลูออไรด์ได้นำมาใช้ครั้งแรกในเชิงอุตสาหกรรมเพื่อใช้เป็นยาเบื่อหนู ถามว่า.. แล้วทำไมมันถึงมาอยู่ในยาสีฟันล่ะ?
    จริงๆแล้วฟลูออไรด์ที่มีประโยชน์ต่อกระดูกและฟันอย่างแท้จริงมันคือ “แคลเซียมฟลูออไรด์ “ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ที่ผสมอยู่ในยาสีฟันมันคือ "โซเดียมฟลูออไรด์"
    เป็นสารพิษที่ผลิตขึ้นในโรงงานซึ่งมีราคาถูกกว่า
    และถ้าใครที่คิดว่าฟลููโอไรด์ช่วยให้ฟันแข็งแรงป้องกันฟันผุ แบบที่เคยได้ยินกันจนคุ้นหูคุ้นตาในโฆษณาทีวีตั้งแต่เด็กๆคงต้องคิดใหม่ เพราะมันกลับเป็นตัวการทำให้เกิดฟันตกกระที่เรียกว่า Dental Fluorosis เกิดเป็นรอยกระดำกระด่างที่ผิวฟันจากการสะสมของสารพิษฟลูโอไรด์ในระยะยาว แถมยังมีผลต่อกระดูกทำให้กระดูกพรุนด้วย ข้อมูลจากวารสารการแพทย์ของรัฐนิวอิงแลนด์ สหรัฐอเมริกา รายงานว่า มีการใช้สารฟลูออไรด์เพื่อรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) แต่ผลกลับกลายเป็นว่า อัตราการเกิดกระดูกตะโพกร้าวสูงขึ้นกว่าปกติ
    และในปี 1993 นักวิทยาศาสตร์จากองค์การป้องกันสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาต่อต้านการเติมฟลูออไรด์ในน้ำดื่มและอาหาร นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นได้ยืนยันว่า ฟลูออไรด์ไม่ได้ป้องกันฟันผุ ผลตรงกันข้าม กลับมีเหตุการณ์แน่ชัดว่า มันเป็นตัวก่อมะเร็งได้ http://www.biowish.net/pages/med.htm
    เคยมีนักวิทยาศาสตร์ทำการทดลองผสมฟลูโอไรด์ในน้ำของค่ายกักกันที่รัซเซียในยุคคอมมิวนิสต์และอีกที่ในช่วงยุคนาซีที่เยอร์มัน มีจุดประสงค์ในการทดลองเพื่อจะดูว่าถ้านักโทษผู้โชคร้ายทั้งหลายกินน้ำผสมฟลูโอไรด์เข้าไปแล้วนักโทษจะเป็นยังไง
    ผลปรากฎว่า อารมณ์รุนแรงของนักโทษลดลงอย่างเห็นได้ชัด เปลี่ยนจากนักโทษโหดๆเป็นแมวหง่าวนั่งหงอย ไม่แยแสต่อสิ่งรอบข้างใดๆ ไม่ยกพวกตีกันเหมือนก่อน
    ฟังแล้วดูเหมือนจะดีใช่ไหมคะ.. แต่ความจริงแล้วมันน่ากลัวซะมากกว่า เพราะว่าฟลูโอไรด์มันมีผลโดยตรงต่อสมองน่ะสิ โดยมันเข้าไปทำลายต่อมไพนีล (Pineal gland) หรือเรียกว่าดวงตาที่ 3 ที่ทำหน้าที่ควบคุมร่างกาย โดยทำงานร่วมกับต่อมไฮโปทารามัส (Hypothalamus) ซึ่งเป็นต่อมไร้ท่อทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารณ์ต่างๆ เช่นความหิว ความกระหาย ความต้องการทางเพศ ความคิดสร้างสรรค์ และเป็นเหมือนนาฬิกาชีวิตซึ่งควบคุมอายุของมนุษย์
    ดังนั้นเมื่อต่อมนี้โดนทำลาย จึงทำให้เกิดความท้อแท้ หมดแรงจูงใจ ขาดความคิดริเริ่ม เป็นตัวลดไอคิว ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ และเนื่องจากการทดลองที่ประสบความสำเร็จของรัฐบาลครั้งนั้น ปัจจุบันนี้ฟลูโอไรด์เลยมาอยู่ในยาสีฟันให้เราใช้กันทุกวัน เปรียบได้กับอาวุธของรัฐบาลในการทำให้ประชาชนโง่และเป็นการควบคุมประชากรไปในตัว ในบางประเทศอย่างไอร์แลนด์ อเมริกา ถึงกับโดนมัดมือชกให้กินน้ำผสมยาพิษฟลูโอไรด์กันเลยทีเดียว
    โดยผสมมันลงในน้ำประปาสาธารณะ โดยอ้างว่าหวังดีอยากป้องกันโรคฟันผุให้ประชาชน แต่มีการพิสูจน์แล้วโดยเปรียบเทียบสุขภาพฟันของคนอังกฤษและอเมริกัน ปรากฎว่าสุขภาพฟันไม่ต่างกันเลยทั้งๆที่น้ำในประเทศอังกฤษไม่มีการฟลูโอไรด์ลงในน้ำ การกระทำที่มีนัยยะแอบแฝงแบบนี้เลยสร้างความไม่พอใจให้หลายๆคนในหลายประเทศที่ไม่เต็มใจจะโดนวางยาพิษในน้ำก๊อกที่ทำให้โง่และเป็นโรค แถมการเอาน้ำไปต้มให้เดือดก็ไม่ได้ช่วยอะไรยกเว้นเพิ่มความแรงของสารพิษให้สูงขึ้นอึก 7 เท่าตัว
    เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมยาสีฟันที่มีผสมฟลูโอไรด์ต้องมีคำเตือนแปะอยู่ข้างหลอดว่าห้ามกลืน ถ้าใครเผลอกลืนต้องรีบพบแพทย์!! อะไรก็ตามที่ทำมาให้ใช้ได้ในปาก มันควรที่จะปลอดภัยมากกว่าเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคไม่ใช่หรือ? โดยเฉพาะยาสีฟันที่เราเอาใส่ปากเป็นสิ่งแรกและสิ่งสุดท้ายทุกๆวัน บางคนอาจคิดว่าอีคนเขียนนี่วิตกจริตฟุ้งซ่านมากไปป่ะ? ไม่มีใครเค้าโง่กลืนยาสีฟันหรอก แค่ใส่ปากแปรงๆแล้วก็บ้วนทิ้่ง โอเค ก็จริงอยู่ที่ไม่มีใครกลืนมันแบบตั้งใจ แต่มีใครแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์บ้างล่ะ ว่ามันไม่ได้แอบตกค้างอยู่ตามซอกฟันซอกเหงือกให้คุณกลืนลงท้องทั้งคืน บวกกับอีกรอบตอนเช้า โดยเฉพาะเด็กๆ ที่อาจจะกลืนมันลงไปโดยไม่ตั้งใจถ้าไม่มีผู้ปกครองดูแล เชื่อหรือไม่ว่าฟลูโอไรด์เพียง 200 มิลลิกรัม หรือปริมาณยาสีฟันบีบออกมาเท่ากับความยาวของแปรงสีฟันนั้นสามารถฆ่าเด็กเล็กได้เลย และฆาตกรตัวจริงไม่ใช่ยาสีฟันแต่คือฟลูโอไรด์เพียวๆเลยหล่ะ จากรายงานของสมาคมศูนย์ควบคุมพิษอเมริกาบอกว่า ในปี 1994 มีคนตายจากฟลูออไรด์ที่ผสมในอาหารเสริมแล้วด้วย! Fluoride Alert .Org
    แคลเซียมฟลูออไรด์เป็นธาตุที่จำเป็น พบเป็นส่วนใหญ่ในกระดูก และเคลือบฟัน ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง และทำให้ฟันทนต่อการผุมากขึ้น แคลเซียมฟลูออไรด์อาจช่วยป้องกันโรคปริทันต์ด้วย และป้องกันโรคกระดูกพรุน แคลเซียมฟลูออไรด์พบในธรรมชาติ ในรูปของแคลเซียมคลอไรด์ มีอยู่ในพืชทุกชนิด สัตว์ น้ำ และ ดิน
    โซเดียมฟลูออไรด์ (Sodium Fluoride) เป็นสารอนินทรีย์ที่เกิดจากธาตุฟลูออรีน (Fluorine) ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางได้นำเอาโซเดียมฟลูออไรด์ไปผสมกับผลิตภัณฑ์ ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปากด้วยโซเดียมฟลูออไรด์
    การได้รับฟลูออรีน จะเกิดการสะสมของฟลูออรีนไว้ในร่างกายทีละน้อย จะทำให้เกิดความเสียหายและข้อบกพร่องขึ้นกับระบบโครงกระดูกและฟันสำหรับความผิดปกติของฟัน
    เกิดขึ้นโดยฟันจะมีลักษณะเป็นจุดสีขาวขุ่นๆ ซึ่งเดิมมีลักษณะใส นอกจากนี้ยังทำให้ฟันไม่แข็งแรงเท่าที่ควร ฟันจึงมักชำรุดแตกบิ่นง่าย ส่วนในระบบโครงกระดูกอาการที่พบคือ กระดูกจะเจริญเร็วมาก ซึ่งอาจจะสังเกตได้จากกระดูกขา กราม กระดูกซี่โครง ขากระเผลก เดินลำบาก ซึ่งเป็นผลจากการเจริญมากเกินไปของกระดูกหรือเกิดจากที่หินปูนไปจับกับเอ็นและข้อต่อของขา จึงทำให้ขาแข็ง ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นอาการแบบถาวร
    แหล่งอาหาร แคลเซียมฟลูออไรด์ ตามธรรมชาติ
    1. ข้าวต่างๆ
    2. ผลไม้ เช่น แอปเปิล องุ่น ลูกแพร์ กล้วย และเชอร์รี่
    3. ผักต่างๆ เช่น หัวแครอท กระเทียม หัวบีท ผักใบเขียว กระจับ ถั่ว ข้าวโพด หัวไชเท้า มะเขือ หัวหอม มันฝรั่ง
    4. เนย เนยแข็ง เนยเหลว ไข่
    5. เมล็ดทานตะวัน
    6. อื่นๆ เช่น อาหารทะเล ถั่วเหลือง ปลา น้ำทะเล น้ำกระด้าง น้ำผึ้ง ชาดำ แหล่งอาหารที่ดีที่สุดของฟลูออไรด์คือ อาหารทะเล
    #สารฟลูออไรด์ในยาสีฟันก่อให้เกิดมะเร็ง จริงหรือไม่?
    ☠️☠️
    ทำไมเด็กในอเมริกาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเป็นอันดับ 1 นักวิจัยหลายๆท่านที่อเมริกา รวมทั้ง Charlotte Gerson ได้ไปทดสอบและพิสูจน์แล้วว่า ยาสีฟันที่ขายกันอยู่ตามท้องตลาดทั่วไปรวมทั้งยี่ห้อที่เราใช้กันอยู่ทุกวันมีส่วนผสมของ ฟลูออไรด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
    Charlotte ให้ผู้ป่วยที่มารับการรักษามะเร็งที่คลีนิคของเธอทุกคนเลิกใช้ยาสีฟันที่ผสมสารฟลูออไรด์ เธอยังบอกอีกว่าไม่แปลกใจเลยว่าปัจจุบันนี้ทำไมเด็กในอเมริกาเป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น เพราะยาสีฟันที่ใช้กันอยู่ ผสม สารฟลูออไรด์ แล้วยังใส่รสชาติเหมือนขนมหวานให้เด็กๆติดใจและอยากจะใช้ยาสีฟันแบบนี้
    🚑🚑
    เธอบอกความจริงว่าถ้าผู้บริโภคไม่มีใครป่วยเป็นโรคอะไรเลยแล้วผู้ผลิตยาจะทำธุรกิจได้กำไรจากที่ไหน ลองไปดูสิคะผู้ผลิตสิ่งเหล่านี้บางทีก็เป็นบริษัทเดียวกันกับผู้ผลิตยานั่นเอง ผลิตภัณฑ์ที่หมอฟันใช้กับคนไข้ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาบ้วนปาก หรือแม้แต่สิ่งที่ใช้อุดฟันล้วนแล้วเป็นสารก่อมะเร็งทั้งนั้น
    🎗🎗
    ใครที่เป็นมะเร็งอยู่ก็ดูยาสีฟันกันหน่อยนะคะ
    ⛑⛑
    (ปีนี้ 2018 Charlotte Gerson เธออายุ 96 ปียังแข็งแรงและเดินสายสัมมนาเรื่องมะเร็ง นับถือจริงๆ)
    ด้วยความปรารถนาดี
    ...โค้ชนาตาลี
    ❤️❤️
    อ่านต่อ...
    From the book: Never Fear Cancer again by Raymond Francis
    ..........
    Fluoride Fluoride both switches on and drives cancer. Federal health officials continue to call fluoridation one of the ten great public-health achievements of the twentieth century, while it has long been known as one of our greatest public-health blunders. The scientific evidence that fluoride causes cancer is overwhelming, and this has been known for decades, despite attempts to obscure it.
    💉💉
    For example, recorded in the Congressional Record of 21 July 1976, the chief chemist of the National Cancer Institute, Dr. Dean Burke, stated before Congress, “In point of fact, fluoride causes more cancer death, and causes it faster than any other chemical.”
    ☠️☠️
    Fluoride is a general cellular poison, doing catastrophic biological damage that is beyond the scope of this chapter to describe, yet many of us are now ingesting daily amounts that far exceed even the government’s inadequate safety standards. Hundreds of studies have found a connection between fluoride and cancer; cities that fluoridate their water have significantly more cancer deaths than cities that do not fluoridate.
    ☠️☠️
    ***Fluoride causes cancer by reacting with enzymes, changing their shape and disabling them.***
    ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️

    ด้วยรักและยาสีฟัน
    เวชหนุ่ม
    ภาพแรก ซ้าย ไม่มี ฟลูออไรด์ ขวา มี ฟลูออไรด์ โลกคือมายา #ลวงทั้งโลก ฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุ ⁉️ ท่านสามารถดาวน์โหลดรายงานการวิจัยที่ว่าด้วยฟลูออไรด์ต่อการลดความสามารถทางปัญญาในเด็กได้ถึง 32 หน้าฟรี ๆ ที่นี่ https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3491930/ Source : https://youtu.be/KLsjwWo1F2I -------------------------------------------------- โดยทั่วไป #ฟลูออไรด์ เป็นสารทำลายต่อมไร้ท่อเนื่องจากฟลูออไรด์เป็นฮาไลด์ (halide)เช่นกัน มันจึงแข่งขันกับฮาไลด์ตัวอื่นที่ตัวรับเดียวกันในต่อมไทรอยด์ และที่อื่นๆ เพื่อจับกับไอโอดีน สิ่งนี้จะยับยั้งการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งส่งผลให้มีฮอร์โมนไทรอยด์ในระดับต่ำ มีการพิสูจน์แล้วว่าฟลูออไรด์มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนการทำงานของต่อมไร้ท่อ แต่ความจริงข้อนี้ถูกละเลยโดยหน่วยงาน และสมาคมที่ยังคงส่งเสริมการใช้ฟลูออไรด์ต่อไป จากรายงานของ National Research Council of the National Academies ในปี 2549 ฟลูออไรด์ "เป็นตัวทำลายต่อมไร้ท่อในแง่กว้างโดยปรับเปลี่ยนการทำงานของต่อมไร้ท่อที่เป็นปกติ" ฟังก์ชั่นที่เปลี่ยนแปลงนี้สามารถเกี่ยวข้องกับต่อมไทรอยด์ พาราไทรอยด์ และต่อมไพเนียลรวมถึงต่อมหมวกไต ตับอ่อน และต่อมใต้สมอง ต่อมไทรอยด์ของคุณ และฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ในการรักษาอัตราการเผาผลาญโดยรวมของร่างกาย ควบคุมการเจริญเติบโตและการพัฒนาตามปกติ เนื่องจากเซลล์ที่มีการเผาผลาญทั้งหมดต้องการฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อการทำงานที่เหมาะสม การหยุดชะงักของระบบนี้ อาจมีผลกระทบที่หลากหลายต่อแทบทุกระบบในร่างกายของคุณ ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ถือเป็นหนึ่งในโรคที่พบมากที่สุดของโรคต่อมไร้ท่อ การใช้ฟลูออไรด์ในอดีต เป็นการแทรกแซงทางการแพทย์สำหรับ Hyperthyroid จนถึงปี 1970 นักวิทยาศาสตร์ในยุโรปได้กำหนดให้ใช้ฟลูออไรด์ เพื่อลดอัตราการเผาผลาญพื้นฐานในผู้ป่วยที่มีต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ผลการศึกษาทางคลินิกที่ตีพิมพ์งานหนึ่งรายงานว่า ปริมาณฟลูออไรด์เพียง 2 - 3 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ไม่มากนัก ถ้าได้รับอย่างสม่ำเสมอก็เพียงพอที่จะลดกิจกรรมของต่อมไทรอยด์ในผู้ป่วยได้ การใช้ฟลูออไรด์เพื่อการรักษาต่อมไทรอยด์ได้รับการกระตุ้นโดยการวิจัยที่เริ่มต้นในปี 1800 ซึ่งเชื่อมโยงการบริโภคฟลูออไรด์กับคอพอก การบวมของต่อมไทรอยด์ที่เกิดจากภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ ในรายงานเมื่อปี 2549 Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards, the National Research Council (NRC) รายงานว่า "ข้อมูลหลายบรรทัด แสดงถึงผลกระทบของฟลูออไรด์ต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์" โดยเฉพาะรายงานที่กล่าวถึงการวิจัยแสดงให้เห็นว่า "การได้รับฟลูออไรด์ในมนุษย์นั้นมีความสัมพันธ์กับความเข้มข้นของ TSH ที่เพิ่มขึ้น เพิ่มความแพร่หลายของคอพอก และเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของ T4 และ T3" นอกจากนั้นยังมีผลที่คล้ายกันใน T4 และ T3 รายงานในสัตว์ทดลอง นอกจากนี้ NRC ยังกล่าวถึงงานวิจัยที่เชื่อมโยงฟลูออไรด์ กับผลกระทบต่อกิจกรรมของพาราไธรอยด์ การด้อยค่าของการทนต่อกลูโคส และระยะเวลาของการคงไว้ซึ่งสภาวะทางเพศ จากการค้นพบเหล่านี้ คณะกรรมการ NRC แนะนำว่า "ผลกระทบของฟลูออไรด์ในแง่มุมต่างๆ ต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อ ควรได้รับการตรวจสอบต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับบทบาทที่เป็นไปได้ในการพัฒนาโรคต่างๆ อย่างไรก็ตามผู้เสนอให้ใช้ฟลูออไรด์ยังคงเพิกเฉยต่อวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบที่เป็นอันตราย ฟลูออไรด์จำนวนเล็กน้อย เปลี่ยนการทำงานของต่อมไทรอยด์ของคุณได้อย่างน่าประหลาดใจ การทำงานของต่อมไทรอยด์ที่เปลี่ยนแปลงนั้นเกี่ยวข้องกับการได้รับฟลูออไรด์ในระดับต่ำถึง 0.05 - 0.1 มก. ฟลูออไรด์ต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวัน (มก. / กก. / วัน) หรือ 0.03 มก. / กก. / วัน สำหรับผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนัก 70 กิโลกรัม (154 ปอนด์) หมายความว่าฟลูออไรด์ 3.5 มก. ต่อวัน (หรือฟลูออไรด์ 0.7 มก. ต่อวันที่มีการขาดไอโอดีน) อาจทำให้ไทรอยด์ทำงานผิดปกติ การวิเคราะห์โดยหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา ประมาณการว่าผู้ใหญ่ชาวอเมริกันโดยทั่วไปบริโภคฟลูออไรด์เกือบ 3 มิลลิกรัมทุกวัน และบางคนบริโภคเป็นประจำวันละ 6 มก. ขึ้นไป สำหรับเด็กที่มีน้ำหนัก 14 กิโลกรัม (30 ปอนด์) ฟลูออไรด์ที่ได้รับมากกว่า 0.7 มก. ต่อวัน (หรือ 0.14 มก. ต่อวันหากขาดไอโอดีน) ทำให้เด็กเสี่ยงต่อความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ และ EPA (2010) ได้ทำการประเมินว่าเด็กที่อยู่ในช่วงน้ำหนักนี้ (อายุ 1- 3 ปี) ได้บริโภคฟลูออไรด์มากกว่า 1.5 มก. ในแต่ละวัน หรือมากกว่า 2 เท่า ของจำนวนที่จำเป็นในการกระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ที่เปลี่ยนแปลง การได้รับอย่างต่อเนื่องเหล่านี้อาจมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งและตลอดชีวิตต่อพัฒนาการทางสติปัญญา ทางสังคม ทางเพศ และทางกายภาพโดยรวมของเด็ก การศึกษาจำนวนมากพบว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างการได้รับฟลูออไรด์ในระดับค่อนข้างต่ำถึงปานกลาง และการลด IQ ในเด็ก แม้แต่ระดับฟลูออไรด์ที่น้อยกว่า 1.0 มก. / ล. ก็มีความสัมพันธ์กับ IQ ที่ลดลง และความถี่ที่เพิ่มขึ้นของภาวะไทรอยด์ทำงานในเด็กที่มีอาการขาดสารไอโอดีน การพิจารณาอย่างจริงจัง ว่าต่อมไทรอยด์ของคุณอาจเป็นเนื้อเยื่อที่บอบบางที่สุดในร่างกายของคุณต่อฟลูออไรด์ ก็อาจเป็นประโยชน์ต่อคุณ ฟลูออไรด์สะสมในต่อมไทรอยด์ของคุณมากกว่าเนื้อเยื่ออ่อนอื่นๆ ฟลูออไรด์อาจขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ของคุณโดยตรง หรือโดยอ้อมด้วยการกระทำที่เป็นไปได้ รวมถึงความสามารถของฟลูออไรด์ในการเลียนแบบฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ (TSH) - ทำลาย G-proteins ที่ละเอียดอ่อนซึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยการสร้างของตัวรับฮอร์โมนในร่างกายของคุณ -ทำลายเซลล์ของต่อมไทรอยด์ของคุณ -ทำลาย DNA ของคุณ -รบกวนการแปลงจากไทรอยด์ฮอร์โมน (T4) ที่ไม่ได้ใช้งานไปเป็นแบบฟอร์มที่ต้องใช้งาน (T3) จากข้อมูลของ PubMed Health พบว่าผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปี มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการเกิดภาวะพร่อง หรือภาวะไทรอยด์ต่ำ เกือบ 4% ของประชากรสหรัฐอเมริกา มากกว่า 11 ล้านคน มีภาวะไทรอยด์ทำงานหนักเกินจริง นอกจากนี้ 10% ของประชากรทั่วไป 21 ล้านคน มีภาวะพร่องที่ไม่แสดงอาการซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่แข็งแกร่งสำหรับการพัฒนาต่อมาของภาวะพร่องไทรอยด์ แม้จะมีอุบัติการณ์สูงขึ้นในประชากรที่มีอายุมากกว่า แต่อัตราการเกิดภาวะพร่องของ hypothyroidism ทารกแรกเกิดเพิ่มขึ้นเกือบ 75% ในช่วง 2ทศวรรษที่ผ่านมาในสหรัฐอเมริกาตอนนี้ส่งผลกระทบต่อ 1 ในทุกๆ 2,370 ของการเกิดภาวะพร่องในทารกแรกเกิดที่ไม่ได้รับการรักษา สามารถนำไปสู่ภาวะปัญญาอ่อน การชะลอการเจริญเติบโต และปัญหาหัวใจ เด็กที่เป็นโรคไทรอยด์ทำงานผิดปกติมาแต่กำเนิด หรือเยาวชน ได้รับรายงานว่ามีการล่าช้าของการงอกของฟัน หรือข้อบกพร่องในการเคลือบฟัน แม้ว่าการเชื่อมต่อระหว่างการค้นพบเหล่านี้กับผลกระทบของฟลูออไรด์ต่อไทรอยด์ยังไม่ได้ทำการศึกษา สิ่งที่เกี่ยวข้องอย่างยิ่ง คือความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างความรุนแรงของอาการที่ไม่แสดงอาการในหญิงตั้งครรภ์และ IQ ที่ลดลงของบุตรหลาน การพร่องของมารดายังได้รับการเสนอให้เป็นสาเหตุ หรือผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาออทิสติก ศักยภาพของฟลูออไรด์ที่จะส่งผลต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ยังเป็นสิ่งจำเป็นอีกหลายประการ ดังนั้นวิธีการใช้ฟลูออไรด์วิธีการแบบไม่เจาะจง / การเติมฟลูออไรด์ในน้ำดื่มสาธารณะโดยเจตนา / การผสมเข้าไปในยาสีฟัน / การเคลือบฟันด้วยฟลูออไรด์ เป็นปัญหาอย่างยิ่ง เนื่องจากจะทำให้ร่างกายของคุณสัมผัสกับสารที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพ โดยไม่คำนึงถึงความต้องการ หรือความอ่อนไหวส่วนตัว และเป็นการละเมิดหลักการสำคัญของเภสัชวิทยาสมัยใหม่ ----------------------------------- Andersson M, de Benoist B,Delange F, Zupan J. 2007.Prevention and control of iodine deficiency in pregnant and lactating women and in children less Bharaktiya S, et al., 2010.Hypothyroidism. Medscape Reference. Delange F. 2004. Optimal iodine nutrition during pregnancy, lactation and neonatal period. Int J Endocrinol Metab 89:3851. Drugs.com. Undated. Top-selling drugs of 2009. IOM (Institute of Medicine). 2001. Dietary Reference Intakes for Vitamin A, Vitamin K, Arsenic, Boron, Chromium, Copper, Iodine, Iron, Manganese Larsen PR, Davies TF, Schlumberger MJ, Hay ID. 2002. Thyroid physiology and diagnostic evaluation of patients with thyroid disorders. Pp. 331-373 PubMed Health. 2009. Neonatal hypothyroidism. PubMed Health. 2010. Hypothyroidism. Wang H, Yang Z, Zhou B, et al. 2009. Fluoride-induced thyroid dysfunction in rats: roles of dietary protein and calcium level. Toxicol Ind Health Zimmermann MB. 2009. Iodine deficiency in pregnancy and the effects of maternal iodine supplementation on the offspring: a review. Am J Clin Nutr 1 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC. 507 pp. 2 Maumené E. 1854. Compt Rend Acad Sci 39:538. May W. 1935. Antagonismus Zwischen Jod und Fluor im Organismus. Klinische Wochenschrift 14:790-92. 3 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC. 4 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC. 5 EPA (U.S. Environmental Protection Agency). 2010. Fluoride: Exposure and Relative Source Contribution Analysis. 6 Connett P, Beck J, Micklem HS. 2010. The Case Against Fluoride. How Hazardous Waste Ended Up in Our Drinking Water and the Bad Science 7 Lin FF, Aihaiti HX, Zhao J, et al. 1991. The relationship of a low-iodine and high-fluoride environment to subclinical cretinism in Xinjiang. 8 ICCIDD (International Council for the Control of Iodine Deficiency Disorders). 2011. Iodine Deficiency. 9 Hollowell JG, Staehling NW, Hannon WH, et al. 1998. Iodine nutrition in the United States. Trends and public health implications: iodine excretion 10 Lee SL, et al. 2009. Iodine Deficiency. Medscape Reference. 11 Caldwell KL, Miller GA, Wang RY, et al. 2008. Iodine status of the U.S. population, National Health and Nutrition Examination Survey 2003-2004. 12 Shashi A. 1988. Biochemical effects of Fluoride on thyroid gland duringexperimental fluorosis. Fluoride 21:127–130. 13 Monsour PA, Kruger BJ. 1985. Effect of fluoride on soft tissue in vertebrates. Fluoride 18:53-61. / Call RA, Greenwood DA, LeCheminant H, et al. 1965. 14 Ge Y, Ning H, Wang S, Wang J. 2005. DNA damage in thyroid gland cells of rats exposed to long-term intake of high fluoride and low iodine. Fluoride 15 Gas'kov A, Savchenkov MF, Lushkov NN. 2005. [The specific features of the development of iodine deficiencies in children living under pollution] 16 Aoki Y, Belin RM, Clickner R, et al. 2007. Serum TSH and total T4 in the United States population 17 Olney RS, Grosse SD, Vogt RF. 2010. Prevalence of Congenital Hypothyroidism—Current Trends and Future Directions: Workshop Summary. Pediatrics 125 18 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC. 19 Klein RZ, Sargent JD, Larsen PR, et al. 2001. Relation of severity of maternal hypothyroidism to cognitive development in offspring. J Med Screen 20 Román GC. 2007. Autism: Transient in utero hypothyroxinemia related to maternal flavonoid ingestion during pregnancy. Biological Trace Element Research : https://www.researchgate.net/.../345973053_In_Vitro... ✨✨✨✨✨✨✨ ฟังคลิปคุณหมอ นาทีที่ 58 https://youtu.be/AYAJJSOmdJo ✨✨✨✨✨✨✨ ปฏิวัติสุขภาพกับอ.ปานเทพ เรื่อง ฟลูออไรด์ ภัยเงียบในน้ำดื่มน้ำใช้ยาสีฟัน https://youtu.be/741TFbVWJwQ https://youtu.be/s-ElDeuDl1I https://youtu.be/Y5Ad9L-B21c https://youtu.be/1KgS-_E05YE https://youtu.be/KLsjwWo1F2I ✨✨✨✨✨✨✨ ฟลูออไรด์ในยาสีฟัน โดย อ.สันติ มานะดี https://www.facebook.com/10000435.../posts/1352913331530352/ ✨✨✨✨✨✨✨ สารฟลูโอไรด์ ( Fluoride ) Little Girl Healthy SHOP - สินค้าส่งตรงจากอเมริกา กราฟแสดงระดับความรุนแรงของสารตะกั่ว สารหนูและฟลูโอไรด์ ค่าระดับความเป็นพิษของฟลูโอไรด์ที่พุ่งแรงแซงสารตะกั่วไปอยู่ที่ระดับ 4 เกือบๆ 5 นั่นแปลว่า มันเป็นพิษมากจนถึงขั้นรุนแรง! ยิ่งถ้าบ้านใครมียาฆ่าหนูและแมลงสาบลองพลิกดูที่ส่วนผสมข้างกล่อง คุณอาจจะช็อกตาค้างมากกว่านี้ เพราะสิ่งเดียวที่เป็นส่วนผสมในยาเบื่อหนูคือฟลูโอไรด์ ซึ่งความจริงแล้ว ฟลูออไรด์ได้นำมาใช้ครั้งแรกในเชิงอุตสาหกรรมเพื่อใช้เป็นยาเบื่อหนู ถามว่า.. แล้วทำไมมันถึงมาอยู่ในยาสีฟันล่ะ? จริงๆแล้วฟลูออไรด์ที่มีประโยชน์ต่อกระดูกและฟันอย่างแท้จริงมันคือ “แคลเซียมฟลูออไรด์ “ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ที่ผสมอยู่ในยาสีฟันมันคือ "โซเดียมฟลูออไรด์" เป็นสารพิษที่ผลิตขึ้นในโรงงานซึ่งมีราคาถูกกว่า และถ้าใครที่คิดว่าฟลููโอไรด์ช่วยให้ฟันแข็งแรงป้องกันฟันผุ แบบที่เคยได้ยินกันจนคุ้นหูคุ้นตาในโฆษณาทีวีตั้งแต่เด็กๆคงต้องคิดใหม่ เพราะมันกลับเป็นตัวการทำให้เกิดฟันตกกระที่เรียกว่า Dental Fluorosis เกิดเป็นรอยกระดำกระด่างที่ผิวฟันจากการสะสมของสารพิษฟลูโอไรด์ในระยะยาว แถมยังมีผลต่อกระดูกทำให้กระดูกพรุนด้วย ข้อมูลจากวารสารการแพทย์ของรัฐนิวอิงแลนด์ สหรัฐอเมริกา รายงานว่า มีการใช้สารฟลูออไรด์เพื่อรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) แต่ผลกลับกลายเป็นว่า อัตราการเกิดกระดูกตะโพกร้าวสูงขึ้นกว่าปกติ และในปี 1993 นักวิทยาศาสตร์จากองค์การป้องกันสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาต่อต้านการเติมฟลูออไรด์ในน้ำดื่มและอาหาร นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นได้ยืนยันว่า ฟลูออไรด์ไม่ได้ป้องกันฟันผุ ผลตรงกันข้าม กลับมีเหตุการณ์แน่ชัดว่า มันเป็นตัวก่อมะเร็งได้ http://www.biowish.net/pages/med.htm เคยมีนักวิทยาศาสตร์ทำการทดลองผสมฟลูโอไรด์ในน้ำของค่ายกักกันที่รัซเซียในยุคคอมมิวนิสต์และอีกที่ในช่วงยุคนาซีที่เยอร์มัน มีจุดประสงค์ในการทดลองเพื่อจะดูว่าถ้านักโทษผู้โชคร้ายทั้งหลายกินน้ำผสมฟลูโอไรด์เข้าไปแล้วนักโทษจะเป็นยังไง ผลปรากฎว่า อารมณ์รุนแรงของนักโทษลดลงอย่างเห็นได้ชัด เปลี่ยนจากนักโทษโหดๆเป็นแมวหง่าวนั่งหงอย ไม่แยแสต่อสิ่งรอบข้างใดๆ ไม่ยกพวกตีกันเหมือนก่อน ฟังแล้วดูเหมือนจะดีใช่ไหมคะ.. แต่ความจริงแล้วมันน่ากลัวซะมากกว่า เพราะว่าฟลูโอไรด์มันมีผลโดยตรงต่อสมองน่ะสิ โดยมันเข้าไปทำลายต่อมไพนีล (Pineal gland) หรือเรียกว่าดวงตาที่ 3 ที่ทำหน้าที่ควบคุมร่างกาย โดยทำงานร่วมกับต่อมไฮโปทารามัส (Hypothalamus) ซึ่งเป็นต่อมไร้ท่อทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารณ์ต่างๆ เช่นความหิว ความกระหาย ความต้องการทางเพศ ความคิดสร้างสรรค์ และเป็นเหมือนนาฬิกาชีวิตซึ่งควบคุมอายุของมนุษย์ ดังนั้นเมื่อต่อมนี้โดนทำลาย จึงทำให้เกิดความท้อแท้ หมดแรงจูงใจ ขาดความคิดริเริ่ม เป็นตัวลดไอคิว ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ และเนื่องจากการทดลองที่ประสบความสำเร็จของรัฐบาลครั้งนั้น ปัจจุบันนี้ฟลูโอไรด์เลยมาอยู่ในยาสีฟันให้เราใช้กันทุกวัน เปรียบได้กับอาวุธของรัฐบาลในการทำให้ประชาชนโง่และเป็นการควบคุมประชากรไปในตัว ในบางประเทศอย่างไอร์แลนด์ อเมริกา ถึงกับโดนมัดมือชกให้กินน้ำผสมยาพิษฟลูโอไรด์กันเลยทีเดียว โดยผสมมันลงในน้ำประปาสาธารณะ โดยอ้างว่าหวังดีอยากป้องกันโรคฟันผุให้ประชาชน แต่มีการพิสูจน์แล้วโดยเปรียบเทียบสุขภาพฟันของคนอังกฤษและอเมริกัน ปรากฎว่าสุขภาพฟันไม่ต่างกันเลยทั้งๆที่น้ำในประเทศอังกฤษไม่มีการฟลูโอไรด์ลงในน้ำ การกระทำที่มีนัยยะแอบแฝงแบบนี้เลยสร้างความไม่พอใจให้หลายๆคนในหลายประเทศที่ไม่เต็มใจจะโดนวางยาพิษในน้ำก๊อกที่ทำให้โง่และเป็นโรค แถมการเอาน้ำไปต้มให้เดือดก็ไม่ได้ช่วยอะไรยกเว้นเพิ่มความแรงของสารพิษให้สูงขึ้นอึก 7 เท่าตัว เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมยาสีฟันที่มีผสมฟลูโอไรด์ต้องมีคำเตือนแปะอยู่ข้างหลอดว่าห้ามกลืน ถ้าใครเผลอกลืนต้องรีบพบแพทย์!! อะไรก็ตามที่ทำมาให้ใช้ได้ในปาก มันควรที่จะปลอดภัยมากกว่าเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคไม่ใช่หรือ? โดยเฉพาะยาสีฟันที่เราเอาใส่ปากเป็นสิ่งแรกและสิ่งสุดท้ายทุกๆวัน บางคนอาจคิดว่าอีคนเขียนนี่วิตกจริตฟุ้งซ่านมากไปป่ะ? ไม่มีใครเค้าโง่กลืนยาสีฟันหรอก แค่ใส่ปากแปรงๆแล้วก็บ้วนทิ้่ง โอเค ก็จริงอยู่ที่ไม่มีใครกลืนมันแบบตั้งใจ แต่มีใครแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์บ้างล่ะ ว่ามันไม่ได้แอบตกค้างอยู่ตามซอกฟันซอกเหงือกให้คุณกลืนลงท้องทั้งคืน บวกกับอีกรอบตอนเช้า โดยเฉพาะเด็กๆ ที่อาจจะกลืนมันลงไปโดยไม่ตั้งใจถ้าไม่มีผู้ปกครองดูแล เชื่อหรือไม่ว่าฟลูโอไรด์เพียง 200 มิลลิกรัม หรือปริมาณยาสีฟันบีบออกมาเท่ากับความยาวของแปรงสีฟันนั้นสามารถฆ่าเด็กเล็กได้เลย และฆาตกรตัวจริงไม่ใช่ยาสีฟันแต่คือฟลูโอไรด์เพียวๆเลยหล่ะ จากรายงานของสมาคมศูนย์ควบคุมพิษอเมริกาบอกว่า ในปี 1994 มีคนตายจากฟลูออไรด์ที่ผสมในอาหารเสริมแล้วด้วย! Fluoride Alert .Org แคลเซียมฟลูออไรด์เป็นธาตุที่จำเป็น พบเป็นส่วนใหญ่ในกระดูก และเคลือบฟัน ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง และทำให้ฟันทนต่อการผุมากขึ้น แคลเซียมฟลูออไรด์อาจช่วยป้องกันโรคปริทันต์ด้วย และป้องกันโรคกระดูกพรุน แคลเซียมฟลูออไรด์พบในธรรมชาติ ในรูปของแคลเซียมคลอไรด์ มีอยู่ในพืชทุกชนิด สัตว์ น้ำ และ ดิน โซเดียมฟลูออไรด์ (Sodium Fluoride) เป็นสารอนินทรีย์ที่เกิดจากธาตุฟลูออรีน (Fluorine) ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางได้นำเอาโซเดียมฟลูออไรด์ไปผสมกับผลิตภัณฑ์ ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปากด้วยโซเดียมฟลูออไรด์ การได้รับฟลูออรีน จะเกิดการสะสมของฟลูออรีนไว้ในร่างกายทีละน้อย จะทำให้เกิดความเสียหายและข้อบกพร่องขึ้นกับระบบโครงกระดูกและฟันสำหรับความผิดปกติของฟัน เกิดขึ้นโดยฟันจะมีลักษณะเป็นจุดสีขาวขุ่นๆ ซึ่งเดิมมีลักษณะใส นอกจากนี้ยังทำให้ฟันไม่แข็งแรงเท่าที่ควร ฟันจึงมักชำรุดแตกบิ่นง่าย ส่วนในระบบโครงกระดูกอาการที่พบคือ กระดูกจะเจริญเร็วมาก ซึ่งอาจจะสังเกตได้จากกระดูกขา กราม กระดูกซี่โครง ขากระเผลก เดินลำบาก ซึ่งเป็นผลจากการเจริญมากเกินไปของกระดูกหรือเกิดจากที่หินปูนไปจับกับเอ็นและข้อต่อของขา จึงทำให้ขาแข็ง ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นอาการแบบถาวร แหล่งอาหาร แคลเซียมฟลูออไรด์ ตามธรรมชาติ 1. ข้าวต่างๆ 2. ผลไม้ เช่น แอปเปิล องุ่น ลูกแพร์ กล้วย และเชอร์รี่ 3. ผักต่างๆ เช่น หัวแครอท กระเทียม หัวบีท ผักใบเขียว กระจับ ถั่ว ข้าวโพด หัวไชเท้า มะเขือ หัวหอม มันฝรั่ง 4. เนย เนยแข็ง เนยเหลว ไข่ 5. เมล็ดทานตะวัน 6. อื่นๆ เช่น อาหารทะเล ถั่วเหลือง ปลา น้ำทะเล น้ำกระด้าง น้ำผึ้ง ชาดำ แหล่งอาหารที่ดีที่สุดของฟลูออไรด์คือ อาหารทะเล #สารฟลูออไรด์ในยาสีฟันก่อให้เกิดมะเร็ง จริงหรือไม่? ☠️☠️ ทำไมเด็กในอเมริกาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเป็นอันดับ 1 นักวิจัยหลายๆท่านที่อเมริกา รวมทั้ง Charlotte Gerson ได้ไปทดสอบและพิสูจน์แล้วว่า ยาสีฟันที่ขายกันอยู่ตามท้องตลาดทั่วไปรวมทั้งยี่ห้อที่เราใช้กันอยู่ทุกวันมีส่วนผสมของ ฟลูออไรด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง Charlotte ให้ผู้ป่วยที่มารับการรักษามะเร็งที่คลีนิคของเธอทุกคนเลิกใช้ยาสีฟันที่ผสมสารฟลูออไรด์ เธอยังบอกอีกว่าไม่แปลกใจเลยว่าปัจจุบันนี้ทำไมเด็กในอเมริกาเป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น เพราะยาสีฟันที่ใช้กันอยู่ ผสม สารฟลูออไรด์ แล้วยังใส่รสชาติเหมือนขนมหวานให้เด็กๆติดใจและอยากจะใช้ยาสีฟันแบบนี้ 🚑🚑 เธอบอกความจริงว่าถ้าผู้บริโภคไม่มีใครป่วยเป็นโรคอะไรเลยแล้วผู้ผลิตยาจะทำธุรกิจได้กำไรจากที่ไหน ลองไปดูสิคะผู้ผลิตสิ่งเหล่านี้บางทีก็เป็นบริษัทเดียวกันกับผู้ผลิตยานั่นเอง ผลิตภัณฑ์ที่หมอฟันใช้กับคนไข้ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาบ้วนปาก หรือแม้แต่สิ่งที่ใช้อุดฟันล้วนแล้วเป็นสารก่อมะเร็งทั้งนั้น 🎗🎗 ใครที่เป็นมะเร็งอยู่ก็ดูยาสีฟันกันหน่อยนะคะ ⛑⛑ (ปีนี้ 2018 Charlotte Gerson เธออายุ 96 ปียังแข็งแรงและเดินสายสัมมนาเรื่องมะเร็ง นับถือจริงๆ) ด้วยความปรารถนาดี ...โค้ชนาตาลี ❤️❤️ อ่านต่อ... From the book: Never Fear Cancer again by Raymond Francis .......... Fluoride Fluoride both switches on and drives cancer. Federal health officials continue to call fluoridation one of the ten great public-health achievements of the twentieth century, while it has long been known as one of our greatest public-health blunders. The scientific evidence that fluoride causes cancer is overwhelming, and this has been known for decades, despite attempts to obscure it. 💉💉 For example, recorded in the Congressional Record of 21 July 1976, the chief chemist of the National Cancer Institute, Dr. Dean Burke, stated before Congress, “In point of fact, fluoride causes more cancer death, and causes it faster than any other chemical.” ☠️☠️ Fluoride is a general cellular poison, doing catastrophic biological damage that is beyond the scope of this chapter to describe, yet many of us are now ingesting daily amounts that far exceed even the government’s inadequate safety standards. Hundreds of studies have found a connection between fluoride and cancer; cities that fluoridate their water have significantly more cancer deaths than cities that do not fluoridate. ☠️☠️ ***Fluoride causes cancer by reacting with enzymes, changing their shape and disabling them.*** ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ด้วยรักและยาสีฟัน เวชหนุ่ม
    0 Comments 0 Shares 70 Views 0 Reviews
  • เราผู้ผ่านชีวิตมาด้วยความเข้มแข็ง
    ทุกคนล้วนมีสิทธิ์
    ที่จะมีความสุขได้อย่างเต็มที่
    ขอแค่เพียงลดความสำคัญ
    ของอดีตที่กดทับเราไว้
    และความคาดหวังที่มีต่อผู้อื่นลงบ้าง
    เราก็จะได้รับสิทธิ์นั้นแล้ว

    จากหนังสือ |อย่านึกถึงอนาคตจนลืมความสุขในปัจจุบัน

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก
    #อย่านึกถึงอนาคตจนลืมความสุขในปัจจุบัน
    เราผู้ผ่านชีวิตมาด้วยความเข้มแข็ง ทุกคนล้วนมีสิทธิ์ ที่จะมีความสุขได้อย่างเต็มที่ ขอแค่เพียงลดความสำคัญ ของอดีตที่กดทับเราไว้ และความคาดหวังที่มีต่อผู้อื่นลงบ้าง เราก็จะได้รับสิทธิ์นั้นแล้ว จากหนังสือ |อย่านึกถึงอนาคตจนลืมความสุขในปัจจุบัน #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #อย่านึกถึงอนาคตจนลืมความสุขในปัจจุบัน
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 276 Views 0 Reviews
  • เมื่อตัดสินใจแล้ว
    ก็ควรละทิ้งความเสียดายที่มีต่อทางเลือกอื่น
    แล้วพยายามทำสิ่งที่ตัวเองเลือกแล้ว
    ...ให้ดีที่สุด

    จากหนังสือ |อย่านึกถึงอนาคตจนลืมความสุขในปัจจุบัน

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก
    #อย่านึกถึงอนาคตจนลืมความสุขในปัจจุบัน
    เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็ควรละทิ้งความเสียดายที่มีต่อทางเลือกอื่น แล้วพยายามทำสิ่งที่ตัวเองเลือกแล้ว ...ให้ดีที่สุด จากหนังสือ |อย่านึกถึงอนาคตจนลืมความสุขในปัจจุบัน #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #อย่านึกถึงอนาคตจนลืมความสุขในปัจจุบัน
    0 Comments 0 Shares 253 Views 0 Reviews
  • การแบ่งแยกระหว่าง "รักแท้" และ "การหลงยึด" อาจดูเหมือนเส้นบาง ๆ แต่สามารถสำรวจได้ด้วยการสังเกตตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อเราพบกับความคาดหวังและความเมตตาที่แท้จริงในใจ

    รักแท้ในลักษณะของเมตตา คือ การมีความสุขจากภายในและอยากแบ่งปันความสุขนั้นให้คนที่เรารัก โดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน การมีเมตตาแบบนี้ไม่สร้างแรงกดดันหรือความคาดหวังในใจ ทำให้เรามีความสุขอยู่ในความรักนั้นได้แม้ไม่ได้รับการตอบรับในทางเดียวกัน

    การหลงยึดที่เกิดจากความคาดหวัง มักมาพร้อมกับการเรียกร้องจากคนอื่นให้มาทำให้เรามีความสุข เมื่อเกิดการคาดหวังมาก ๆ ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเราก็อาจลดน้อยลง เพราะความสัมพันธ์จะเต็มไปด้วยแรงกดดันแทนที่จะเป็นการให้ที่บริสุทธิ์

    การฝึกให้รักอย่างไม่คาดหวังผลตอบแทน คือการฝึกให้จิตใจเปิดกว้างและแผ่เมตตาออกไปด้วยความสุข การให้โดยไม่มุ่งหวังผลกลับมาจะทำให้ใจเป็นอิสระและมีสุข แม้เพียงการให้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถทำให้ใจรู้สึกสบายอย่างแท้จริง

    สุดท้าย การตั้งคำถามกับตัวเองหลังจากเรียกร้องจากคนอื่น จะช่วยให้เราเข้าใจว่าพฤติกรรมแบบใดทำให้ความรักแข็งแกร่งขึ้น หรือกลับกันเป็นการทำลายความรัก การหมั่นถามตัวเองจะทำให้เราเห็นว่าการรักษาความรักไม่จำเป็นต้องคาดคั้นแต่เป็นการให้ด้วยความเมตตาที่แท้

    การแบ่งแยกระหว่าง "รักแท้" และ "การหลงยึด" อาจดูเหมือนเส้นบาง ๆ แต่สามารถสำรวจได้ด้วยการสังเกตตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อเราพบกับความคาดหวังและความเมตตาที่แท้จริงในใจ รักแท้ในลักษณะของเมตตา คือ การมีความสุขจากภายในและอยากแบ่งปันความสุขนั้นให้คนที่เรารัก โดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน การมีเมตตาแบบนี้ไม่สร้างแรงกดดันหรือความคาดหวังในใจ ทำให้เรามีความสุขอยู่ในความรักนั้นได้แม้ไม่ได้รับการตอบรับในทางเดียวกัน การหลงยึดที่เกิดจากความคาดหวัง มักมาพร้อมกับการเรียกร้องจากคนอื่นให้มาทำให้เรามีความสุข เมื่อเกิดการคาดหวังมาก ๆ ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเราก็อาจลดน้อยลง เพราะความสัมพันธ์จะเต็มไปด้วยแรงกดดันแทนที่จะเป็นการให้ที่บริสุทธิ์ การฝึกให้รักอย่างไม่คาดหวังผลตอบแทน คือการฝึกให้จิตใจเปิดกว้างและแผ่เมตตาออกไปด้วยความสุข การให้โดยไม่มุ่งหวังผลกลับมาจะทำให้ใจเป็นอิสระและมีสุข แม้เพียงการให้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถทำให้ใจรู้สึกสบายอย่างแท้จริง สุดท้าย การตั้งคำถามกับตัวเองหลังจากเรียกร้องจากคนอื่น จะช่วยให้เราเข้าใจว่าพฤติกรรมแบบใดทำให้ความรักแข็งแกร่งขึ้น หรือกลับกันเป็นการทำลายความรัก การหมั่นถามตัวเองจะทำให้เราเห็นว่าการรักษาความรักไม่จำเป็นต้องคาดคั้นแต่เป็นการให้ด้วยความเมตตาที่แท้
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • 30-10-67/01 : หมี CNN / "เล่าสู่กันฟัง" EP.11 ตอน "NEW HERO BORN IN EVERYDAY" ไม่ใช่ MARVEL ไม่ใช่ DC แต่เป็นทหารราชองครักษ์ สั่งสอนเด็กอมมือ ไม่รู้กาลเทศะ มือกัน ไม่ให้เดินเทียบเจ้า ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ รหัสลับ DNA ตามพ่องแม่งเป๊ะเด๊ะ ครั้งนึง ในงานเลี้ยงส่วนพระองค์กับแขกอาคันตุกะทั่วโลก อีพ่อเหลี่ยมไม่ได้ถูกเชิญ แต่เสือกเสนอหน้า อยากจะเกิด แต่เสือกดับกลางหน้าประตูงานเลี้ยง เพราะมันงานเลี้ยงของพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ใช่หน้าที่นายกฯ บรรดากษัตริย์ ราชวงศ์ชั้นสูงจากทั่วโลก แห่กันเข้ามาร่วมแสดงความยินดี อีเหลี่ยมหัวหมอ อยากยกระดับโดยไม่เจียมกะลาหัวตัวเอง เป็นแค่นายกฯ ใต้ตรีนฝ่าพระบาท โดนเจ้าหน้าที่วังถีบออก สั่งไสหัวออกไป นั่นคือจุดเดือด ความเครียดแค้นที่มีต่อวังนับแต่นั้นมา หมายังรู้ มรึงแค่ขี้ข้าเหี้ย CIA ขึ้นมาได้เพราะเงินวอชิงตัน ซื้อเสียงมาทั้งนั้น หลอกควายไทยบัดซบ 10 ล้านเสียง ครั้นอีลูกสาวร่านขึ้นแท่นบ้าง อยากจะเดินตามรอยพ่อเหลี่ยมเหี้ยบ้าง คิดวัดรอยตรีน แต่งวดนี้ หน้าแหก หมอไม่รับเย็บ โดนท่านปีใหม่ เอาแขนกันไว้ ไม่ให้เดินเทียบ ภาษาแถวบ้านเรียก "เสียหมา" ระดับนายก ก็แค่ข้าราชบริพาร อย่าริสะเออะเสนอหน้าเทียบเจ้า มรึงเป็นได้แค่เศษสวะ คิดล้มเจ้าทั้งตระกูล ฝันเปียกไปเหอะ ตระกูลมรึงจะสิ้นชาติพันธุ์ในพศ.นี้แหละ เหมือนทหารแตงโม ถูกแช่ ถูกดองกันเกลื่อนยามนี้ รู้ชะตากรรม วังเล่นบทพระเดชแล้ว อย่าต๊กกะใจ พ่อท่านร.10 ทรงมีเมตตาต่อทุกสรรพสิ่ง แต่จะไม่ละเว้นไอ้อีที่คิดกบฎขายชาติ ขายแผ่นดิน เชื่อกูเหอะว่า "ใครที่พ่อท่านไม่ปลื้ม" มรึงเตรียมเยี่ยวแตกได้เลย ระดับท่านไม่เสียเวลาดอก แค่ราชองครักษ์มรึงก็เละเทะแล้ว วังไม่ใช่เพื่อนเล่นมรึง ดีออก! จำใส่กระโหลกสมองหมาปัญญาควายมรึงไว้ให้ดีดี! กูว่าแล้ว ทรงมันมาชัวร์ ทำไมไทยต้องสร้าง "ซูปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เริ่ดสุด เร็วสุด แรงสุดในอาเซียน" ไทยถูกจีนวางตัวเป็นศูนย์กลางผลิตชิปแห่งอาเซียนนั่นเอง เทคโนโลยีเราได้จากจีนมาเต็มตรีน บวกมันสมองคนไทยที่ต่อยอดสำเร็จ เรากำลังจะกลายเป็นฮับอาเซียน แล้วฮับอาเซียนต้องมีอะไรล่ะ? ศูนย์กลางพลังงาน ศูนย์กลางเทคโนโลยี ศูนย์กลางอาหาร ศูนย์การตลาดอาเซียนเชื่อมโลก ศูนย์กลางเงิน ศูนย์การธนาคารอาเซียน เงินบาทหอมหวล ยังจะแข็งโป๊กได้อีกยาวไป ศูนย์กลางโลจิสติค ขนส่ง ไทยเรามีหมด ที่มาว่าทำไม เมื่อเราโตขึ้น สิ่งที่ตามมาคือภาคแรงงานมหาศาล และเพื่อนบ้านจะแห่กันเข้ามาอยู่เมืองไทยเพี๊ยบ เพราะหาเงินคล้อง เศรษฐกิจพุ่ง การค้าดี มั่นคง ร่มเย็น เป็นสุข แถมของอร่อยมีมากที่สุดในโลก ชีวิตดี๊ดี! ใครมาหลงเสน่ห์หมด ไม่อยากกลับบ้าน ขนาดหมูเด้ง ฮิปโปแคระยังดังระดับจักรวาลมาเวล ใครมาก็แจ้งเกิดได้ง่ายดาย เมืองไทย มันคือ "ที่สุดของที่สุดความหลากหลายโลก" ข้ามมาสู่โลกความเป็นจริงต่อ : อิเหนาโชว์ป๋า! สั่งห้ามขายไอโฟน 16 เพราะผิดเงื่อนไขสัญญา ไม่เป็นตามข้อตกลง ที่ต้องใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ 40% นั่นคือข้ออ้าง แท้จริงคือตบหน้าสั่งสอนเหี้ยนั่นเอง เพราะมันคือเครื่องมือดักฟัง สอดแนมของเหี้ย CIA ใครยังจะโง่ใช้อีไอโฟนอยู่อีก หัวเว่ย มาแรง แซงทะลุนรกไปแล้ว ดีกว่า เริ่ดกว่า แจ่มกว่า คุ้มค่าและประสิทธิภาพเทียบกันไม่ติด 6G กลายเป็นเรื่องรองทันที ยิ่งหัวเว่ยออก HARMONY 5.0 ปฎิบัติการอนาคต ทุบ ANDROID ทิ้งไปเลย มันคือระบบมือถือแห่งอนาคต ที่เชื่อมทั้งโลกเข้าหากันอย่างสมบูรณ์ แถวบ้านกูยังใช้กระป๋องผูกเชือกอยู่เลย เสียงดัง ฟังชัด ยกเว้นตอนฝนตก! ทำไม อิเหนา ถึงได้ช่างกล้าขนาดนี้ คำตอบคือ SU-35/ S-400 กำลังจะเข้ามาเติม พ่วงเรือรบใหม่ เรือดำน้ำนิวเคลียร์ เพราะอิเหนามีหมู่เกาะเยอะมาก เรือดำน้ำจำเป็น และมีท่าเรือน้ำลึกมากมาย ใครจะวัดกับอิเหนา ไม่ง่ายอีกต่อไป อิเหนาพึ่งพาจีนด้านการลงทุน พึ่งพารัสเซีย ด้านพลังงาน อาวุธ เวียดนามตามรอยทันที ไม่แปลก รายชื่อสมาชิกใหม่ BRICS ถึงมีอาเซียนไปโผล่เพี๊ยบ เพราะเค้าคุยกันมาก่อนแล้ว แค่รอดูจังหวะเวลาที่ใช่ ค่อยประกาศตัว? ไอ้สัส! กลัวจุงเบย อย่าขู่กูน่ะ กูยิ่งปอดแหกอยู่ หลังล่าสุด อีวอชิงตันขู่อิหร่าน ห้ามโจมตีกลับอียิวเหี้ยเด็ดขาด หลังเพิ่งจะโชว์โง่ เสียหมา ดาหน้าบินไปถล่มเค้า แต่ถูกสกัดได้หมด หมากว่านี้ไม่มีอีกแล้ว แต่ดันเสือกกลัวเค้าเอาคืน? อิหร่านกลัวจัด เลยรีบสั่ง 3 ฮอ ดาหน้าถล่มยับทันที ภายใน 24 ชม. ท่าเรือ สนามบิน ศูนย์บัญชาการย่อย คลังแสงย่อย โดนอีก ไม่เหลือเป้าหมายแล้วลวกเพ่? อย่าขู่กูบ่อย มือมันสั่น มือมันลั่น เดี๋ยวมรึงจะตายห่าไม่มีเหลือ แค่กดปุ่ม ชีวิตเปลี่ยนเลยมรึง? ด้านพรมแดนเลบานอน กองทัพอียิวลากสังขารถอยหลังไปอีก 20 กม. จากไปรุกรานเค้า กลับเสียดินแดนหน้าด่านจนเกลี้ยง เลบานอนรุกกลับกินพื้นที่เข้าไปในแผ่นดินมรึงแล้ว งวดนี้ ไม่ต้องถามสื่อ ถามกูนี่แหละ ดอกนี้ อียิวตายห่าไปแล้ว 3000 ตัว ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่มาว่าทำไมต้องสั่งเกณฑ์ทหารใหม่เพิ่มรอบที่ 6 เหลือแต่หมาแล้วมั้ง? โลกอาหรับ อิหร่าน คุยกันรู้เรื่อง ค่อยๆ บดขยี้ กินมันไปเรื่อยๆ จนมันอ่อนแรง บีบให้มันย้ายออกไปดีดี จะได้ไม่ต้องสูญเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์ ล่าสุด ตัวเลขพลเรือนอิสราเอล ที่เสียชีวิต นับตั้งแต่ฮามาสจุดเค็กวันเกิดฉลอง ตอนนี้ ตายห่าไปแล้วกว่า 30000 ตัว สื่อไม่มาบอกมรึงดอก เพราะมันถูกซากตึกทับตายกันเกลื่อน ส่วนอีไทยเนรคุณ ที่เสือกไปรับจ้างรบให้อิสราเอล ไม่ต้องถาม มันตายห่าตั้งแต่วันแรกแล้ว สูตรอียิว ส่งทหารรับจ้างไปตายห่าก่อน ทหารอียิวเหลือน้อย มีเอาไว้แค่สั่งการ ตายห่าไปเหอะ มรึงไม่ใช่คนไทย แค่อาศัยแผ่นดินพ่อกูมาเกิด แต่ไม่ได้ทำประโยชน์ห่าอะไรให้กับแผ่นดินเกิดมรึงเลย มีแต่จะชักศึกเข้าบ้าน จงตายห่าไปซะน่ะ กูไม่สนชีวิตเหี้ยๆ ของมรึงดอก ไอ้ระยำ?

    ปล.ลุงสนธิ ฝากมาบอก อีชาติชั่ว มรึงเตรียมแดร๊กเยี่ยวแล้วรึยัง? ท้าใครไม่ท้า 71 แก้ว แก้วเดียวมรึงก็อ๊วกแตกแล้ว! กรรมชั่ว ทำระยำ โกหกตอแหล ปลิ้นปล้อน 18 มงกุฎ ตายเพราะปากมรึงเอง! อยู่ดีดี ก็เอาเรตติ้งมาให้สนธิ ทอล์ก NEWS1 พุ่งกระฉูด ทุกสำนักข่าวต้องมาลากไส้อีทนายเหี้ยผ่านลุงสนธิ อาจารย์ปานเทพ เพราะเจ้าทุกข์ขอเอง กูจะคุยกับลุงสนธิเท่านั้น จ่ายค่าจ้างสุดถูก ไวน์ราคา 100 ล้าน ช็อคโกแลตราคาพันล้าน รวยมั้ย ไอ้สัส! บิดเบือนกันจัง ดีออก? เพ่อ้อย สุดท้ายก็ต้องพึ่งคนจริง ใครเดือดร้อน มีที่ไหนที่เป็นปากกระบอกเสียงได้จริง ดังนั้น ตอนนี้ งานเข้า NEWS1 กับอีโหนกระแส อีหนุ่มบอก กูอาจจะตายวันไหนไม่ยู้? ล่อแต่ละดอก ของหนักทั้งนั้น! จำเอาไว้ว่า "อะไรที่โกงเค้ามา ก็ต้องคืนเค้าไป" อะไรที่ไม่ใช่ของตน ยึดครองไว้ก็คือคำสาปแช่ง ชีวิตคนแค่ 100 ปี แต่สิ่งที่รอลงโทษมรึงอยู่ ไร้กาลเวลา คุ้มค่ามั้ยล่ะ? เพราะขาดสติ จึงไร้ปัญญา เพราะโลภ จึงมองไม่เห็นความจริง! ไอ้อี ที่เคยอวดมั่ง อวดมี โชว์ป๋า โชว์บินส่วนตัว บ้านคฤหาสน์ มันใช่ของมรึงจริงๆ มั้ยล่ะ? เสพสุขแค่ชั่วคืน เสพคุกทั้งชีวิต อิสรภาพคือสิ่งที่มนุษย์ขาดมิได้ อยากรู้ ให้ไปถามไอ้อีทะลุเหี้ยทั้งหลาย แดร๊กบาทาอร่อยเช้าเย็น ชีวิตบัดซบ ยิ่งกว่าตาย? ล่าสุด ไอ้อี 3 นิ้วครึ่งที่ล้มเจ้า ที่แห่หนีไปต่างแดน ชีวิตตกระกำลำบาก เงินเดือนไม่ให้ ดิ้นรน เลี้ยงปากท้องเอง อยู่แบบผิดกฎหมาย ทำงานไม่ได้ เหี้ยไม่เลี้ยงคือบีบให้กลับบ้านไปตายเอาดาบหน้าไงล่ะ หมาซะยิ่งกว่าหมา ขนาดอีพรรคส้มเน่ายังไม่เหลือ กระแสดิ่งเหว ควายตื่น ไทยบัดซบตื่น โง่กว่าควายคือกู! ชีวิตพอเพียงไม่เอา จะอยากอยู่คุกตลอดชีวิต ความโง่ที่มรึงคู่ควร แค่เศษเงินซื้อมรึงได้ ชีวิตมรึงก็แค่ "ขี้หมา" ไร้ราคา สุดท้ายนี้ ขอไว้อาลัย แด่วีรชน ผู้กล้าทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปก่อนหน้านี้ สิ่งที่ทุกท่านทำไป มันคือคุณประโยชน์ต่อชาติ แผ่นดิน ระลึกถึงเสมอ 7 ตุลาคม มิเคยลืมเลือน เทียนแห่งธรรมถูกจุดขึ้นนับแต่นั้นมา เสียใจกับเพ่โสและครอบครัว ไม่อยากพูด แต่อดไม่ได้ เพ่โส แฉเหี้ยมานมนาน จนคนตื่นรู้ ขออานิสงค์แห่งปัญญาส่งดวงวิญญานผู้กล้าทุกท่าน ไปสู่ดวงดาวแห่งสรวงสวรรค์ ภพภูมิที่ดีกว่านี้ หน้าที่ของท่านจบลงแล้วบนแผ่นดินโลก เป็นหน้าที่รับไม้ต่อสู่ลูกหลานไทย ไม่มีมรึง ก็ไม่มีกู ไม่มีพ่อ ก็ไม่มีแผ่นดิน นี่คือรุ่นสุดท้ายของศตวรรษนี้แล้ว ปลายกลียุค ทุกอย่างของความอัปรีย์จัญไร สิ่งโสมม ทั้งสากลโลก จะต้องจบในพศ.นี้ ต้องจบในรุ่นนี้เท่านั้น จะไม่ปล่อยผ่านไปให้ถึงมือลูกหลานต้องมานั่งแก้ปัญหาต่อเด็ดขาด จบที่กูกับมรึง! ไม่มีถูก ไม่มีผิด มีแค่ ความจริง ศรัทธา และความถูกต้องชอบธรรม ที่จะดำรงอยู่

    หมี CNN(ฮีโร่ที่แท้จริง อยู่ในใจเราทุกคน ผู้ที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ล้วนมีสิ่งนี้อยู่ในตัวเองอยู่แล้ว แค่มันยังไม่ถึงเวลาออกมาใช้ในยามจำเป็นแท้จริง ดังนั้น เมื่อถึงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ย่อมจะก่อเกิดฮีโร่เสมอ เพราะสายเลือดหมู่บ้านบางระจัน มันฝังอยู่ใน DNA ลูกหลานไทยทุกคน คิดดี ได้ดี ปกป้องแผ่นดินเกิด เชิดชู สถาบันสูงสุด คือหน้าที่ของคนไทยทุกคน ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญระบุชัดเจน กฎอะไรก็ไม่สำคัญเท่า หากมีพ่อปกครองลูก ร่มเย็น เป็นสุข ด้วยพระบารมี ราชวงศ์จักรี ยั้งยืนยง ชั่วกาลปาวสาน)
    30 ตุลาคม 67
    10.59 น.

    https://linevoom.line.me/post/1173026253201001564
    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    30-10-67/01 : หมี CNN / "เล่าสู่กันฟัง" EP.11 ตอน "NEW HERO BORN IN EVERYDAY" ไม่ใช่ MARVEL ไม่ใช่ DC แต่เป็นทหารราชองครักษ์ สั่งสอนเด็กอมมือ ไม่รู้กาลเทศะ มือกัน ไม่ให้เดินเทียบเจ้า ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ รหัสลับ DNA ตามพ่องแม่งเป๊ะเด๊ะ ครั้งนึง ในงานเลี้ยงส่วนพระองค์กับแขกอาคันตุกะทั่วโลก อีพ่อเหลี่ยมไม่ได้ถูกเชิญ แต่เสือกเสนอหน้า อยากจะเกิด แต่เสือกดับกลางหน้าประตูงานเลี้ยง เพราะมันงานเลี้ยงของพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ใช่หน้าที่นายกฯ บรรดากษัตริย์ ราชวงศ์ชั้นสูงจากทั่วโลก แห่กันเข้ามาร่วมแสดงความยินดี อีเหลี่ยมหัวหมอ อยากยกระดับโดยไม่เจียมกะลาหัวตัวเอง เป็นแค่นายกฯ ใต้ตรีนฝ่าพระบาท โดนเจ้าหน้าที่วังถีบออก สั่งไสหัวออกไป นั่นคือจุดเดือด ความเครียดแค้นที่มีต่อวังนับแต่นั้นมา หมายังรู้ มรึงแค่ขี้ข้าเหี้ย CIA ขึ้นมาได้เพราะเงินวอชิงตัน ซื้อเสียงมาทั้งนั้น หลอกควายไทยบัดซบ 10 ล้านเสียง ครั้นอีลูกสาวร่านขึ้นแท่นบ้าง อยากจะเดินตามรอยพ่อเหลี่ยมเหี้ยบ้าง คิดวัดรอยตรีน แต่งวดนี้ หน้าแหก หมอไม่รับเย็บ โดนท่านปีใหม่ เอาแขนกันไว้ ไม่ให้เดินเทียบ ภาษาแถวบ้านเรียก "เสียหมา" ระดับนายก ก็แค่ข้าราชบริพาร อย่าริสะเออะเสนอหน้าเทียบเจ้า มรึงเป็นได้แค่เศษสวะ คิดล้มเจ้าทั้งตระกูล ฝันเปียกไปเหอะ ตระกูลมรึงจะสิ้นชาติพันธุ์ในพศ.นี้แหละ เหมือนทหารแตงโม ถูกแช่ ถูกดองกันเกลื่อนยามนี้ รู้ชะตากรรม วังเล่นบทพระเดชแล้ว อย่าต๊กกะใจ พ่อท่านร.10 ทรงมีเมตตาต่อทุกสรรพสิ่ง แต่จะไม่ละเว้นไอ้อีที่คิดกบฎขายชาติ ขายแผ่นดิน เชื่อกูเหอะว่า "ใครที่พ่อท่านไม่ปลื้ม" มรึงเตรียมเยี่ยวแตกได้เลย ระดับท่านไม่เสียเวลาดอก แค่ราชองครักษ์มรึงก็เละเทะแล้ว วังไม่ใช่เพื่อนเล่นมรึง ดีออก! จำใส่กระโหลกสมองหมาปัญญาควายมรึงไว้ให้ดีดี! กูว่าแล้ว ทรงมันมาชัวร์ ทำไมไทยต้องสร้าง "ซูปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เริ่ดสุด เร็วสุด แรงสุดในอาเซียน" ไทยถูกจีนวางตัวเป็นศูนย์กลางผลิตชิปแห่งอาเซียนนั่นเอง เทคโนโลยีเราได้จากจีนมาเต็มตรีน บวกมันสมองคนไทยที่ต่อยอดสำเร็จ เรากำลังจะกลายเป็นฮับอาเซียน แล้วฮับอาเซียนต้องมีอะไรล่ะ? ศูนย์กลางพลังงาน ศูนย์กลางเทคโนโลยี ศูนย์กลางอาหาร ศูนย์การตลาดอาเซียนเชื่อมโลก ศูนย์กลางเงิน ศูนย์การธนาคารอาเซียน เงินบาทหอมหวล ยังจะแข็งโป๊กได้อีกยาวไป ศูนย์กลางโลจิสติค ขนส่ง ไทยเรามีหมด ที่มาว่าทำไม เมื่อเราโตขึ้น สิ่งที่ตามมาคือภาคแรงงานมหาศาล และเพื่อนบ้านจะแห่กันเข้ามาอยู่เมืองไทยเพี๊ยบ เพราะหาเงินคล้อง เศรษฐกิจพุ่ง การค้าดี มั่นคง ร่มเย็น เป็นสุข แถมของอร่อยมีมากที่สุดในโลก ชีวิตดี๊ดี! ใครมาหลงเสน่ห์หมด ไม่อยากกลับบ้าน ขนาดหมูเด้ง ฮิปโปแคระยังดังระดับจักรวาลมาเวล ใครมาก็แจ้งเกิดได้ง่ายดาย เมืองไทย มันคือ "ที่สุดของที่สุดความหลากหลายโลก" ข้ามมาสู่โลกความเป็นจริงต่อ : อิเหนาโชว์ป๋า! สั่งห้ามขายไอโฟน 16 เพราะผิดเงื่อนไขสัญญา ไม่เป็นตามข้อตกลง ที่ต้องใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ 40% นั่นคือข้ออ้าง แท้จริงคือตบหน้าสั่งสอนเหี้ยนั่นเอง เพราะมันคือเครื่องมือดักฟัง สอดแนมของเหี้ย CIA ใครยังจะโง่ใช้อีไอโฟนอยู่อีก หัวเว่ย มาแรง แซงทะลุนรกไปแล้ว ดีกว่า เริ่ดกว่า แจ่มกว่า คุ้มค่าและประสิทธิภาพเทียบกันไม่ติด 6G กลายเป็นเรื่องรองทันที ยิ่งหัวเว่ยออก HARMONY 5.0 ปฎิบัติการอนาคต ทุบ ANDROID ทิ้งไปเลย มันคือระบบมือถือแห่งอนาคต ที่เชื่อมทั้งโลกเข้าหากันอย่างสมบูรณ์ แถวบ้านกูยังใช้กระป๋องผูกเชือกอยู่เลย เสียงดัง ฟังชัด ยกเว้นตอนฝนตก! ทำไม อิเหนา ถึงได้ช่างกล้าขนาดนี้ คำตอบคือ SU-35/ S-400 กำลังจะเข้ามาเติม พ่วงเรือรบใหม่ เรือดำน้ำนิวเคลียร์ เพราะอิเหนามีหมู่เกาะเยอะมาก เรือดำน้ำจำเป็น และมีท่าเรือน้ำลึกมากมาย ใครจะวัดกับอิเหนา ไม่ง่ายอีกต่อไป อิเหนาพึ่งพาจีนด้านการลงทุน พึ่งพารัสเซีย ด้านพลังงาน อาวุธ เวียดนามตามรอยทันที ไม่แปลก รายชื่อสมาชิกใหม่ BRICS ถึงมีอาเซียนไปโผล่เพี๊ยบ เพราะเค้าคุยกันมาก่อนแล้ว แค่รอดูจังหวะเวลาที่ใช่ ค่อยประกาศตัว? ไอ้สัส! กลัวจุงเบย อย่าขู่กูน่ะ กูยิ่งปอดแหกอยู่ หลังล่าสุด อีวอชิงตันขู่อิหร่าน ห้ามโจมตีกลับอียิวเหี้ยเด็ดขาด หลังเพิ่งจะโชว์โง่ เสียหมา ดาหน้าบินไปถล่มเค้า แต่ถูกสกัดได้หมด หมากว่านี้ไม่มีอีกแล้ว แต่ดันเสือกกลัวเค้าเอาคืน? อิหร่านกลัวจัด เลยรีบสั่ง 3 ฮอ ดาหน้าถล่มยับทันที ภายใน 24 ชม. ท่าเรือ สนามบิน ศูนย์บัญชาการย่อย คลังแสงย่อย โดนอีก ไม่เหลือเป้าหมายแล้วลวกเพ่? อย่าขู่กูบ่อย มือมันสั่น มือมันลั่น เดี๋ยวมรึงจะตายห่าไม่มีเหลือ แค่กดปุ่ม ชีวิตเปลี่ยนเลยมรึง? ด้านพรมแดนเลบานอน กองทัพอียิวลากสังขารถอยหลังไปอีก 20 กม. จากไปรุกรานเค้า กลับเสียดินแดนหน้าด่านจนเกลี้ยง เลบานอนรุกกลับกินพื้นที่เข้าไปในแผ่นดินมรึงแล้ว งวดนี้ ไม่ต้องถามสื่อ ถามกูนี่แหละ ดอกนี้ อียิวตายห่าไปแล้ว 3000 ตัว ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่มาว่าทำไมต้องสั่งเกณฑ์ทหารใหม่เพิ่มรอบที่ 6 เหลือแต่หมาแล้วมั้ง? โลกอาหรับ อิหร่าน คุยกันรู้เรื่อง ค่อยๆ บดขยี้ กินมันไปเรื่อยๆ จนมันอ่อนแรง บีบให้มันย้ายออกไปดีดี จะได้ไม่ต้องสูญเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์ ล่าสุด ตัวเลขพลเรือนอิสราเอล ที่เสียชีวิต นับตั้งแต่ฮามาสจุดเค็กวันเกิดฉลอง ตอนนี้ ตายห่าไปแล้วกว่า 30000 ตัว สื่อไม่มาบอกมรึงดอก เพราะมันถูกซากตึกทับตายกันเกลื่อน ส่วนอีไทยเนรคุณ ที่เสือกไปรับจ้างรบให้อิสราเอล ไม่ต้องถาม มันตายห่าตั้งแต่วันแรกแล้ว สูตรอียิว ส่งทหารรับจ้างไปตายห่าก่อน ทหารอียิวเหลือน้อย มีเอาไว้แค่สั่งการ ตายห่าไปเหอะ มรึงไม่ใช่คนไทย แค่อาศัยแผ่นดินพ่อกูมาเกิด แต่ไม่ได้ทำประโยชน์ห่าอะไรให้กับแผ่นดินเกิดมรึงเลย มีแต่จะชักศึกเข้าบ้าน จงตายห่าไปซะน่ะ กูไม่สนชีวิตเหี้ยๆ ของมรึงดอก ไอ้ระยำ? ปล.ลุงสนธิ ฝากมาบอก อีชาติชั่ว มรึงเตรียมแดร๊กเยี่ยวแล้วรึยัง? ท้าใครไม่ท้า 71 แก้ว แก้วเดียวมรึงก็อ๊วกแตกแล้ว! กรรมชั่ว ทำระยำ โกหกตอแหล ปลิ้นปล้อน 18 มงกุฎ ตายเพราะปากมรึงเอง! อยู่ดีดี ก็เอาเรตติ้งมาให้สนธิ ทอล์ก NEWS1 พุ่งกระฉูด ทุกสำนักข่าวต้องมาลากไส้อีทนายเหี้ยผ่านลุงสนธิ อาจารย์ปานเทพ เพราะเจ้าทุกข์ขอเอง กูจะคุยกับลุงสนธิเท่านั้น จ่ายค่าจ้างสุดถูก ไวน์ราคา 100 ล้าน ช็อคโกแลตราคาพันล้าน รวยมั้ย ไอ้สัส! บิดเบือนกันจัง ดีออก? เพ่อ้อย สุดท้ายก็ต้องพึ่งคนจริง ใครเดือดร้อน มีที่ไหนที่เป็นปากกระบอกเสียงได้จริง ดังนั้น ตอนนี้ งานเข้า NEWS1 กับอีโหนกระแส อีหนุ่มบอก กูอาจจะตายวันไหนไม่ยู้? ล่อแต่ละดอก ของหนักทั้งนั้น! จำเอาไว้ว่า "อะไรที่โกงเค้ามา ก็ต้องคืนเค้าไป" อะไรที่ไม่ใช่ของตน ยึดครองไว้ก็คือคำสาปแช่ง ชีวิตคนแค่ 100 ปี แต่สิ่งที่รอลงโทษมรึงอยู่ ไร้กาลเวลา คุ้มค่ามั้ยล่ะ? เพราะขาดสติ จึงไร้ปัญญา เพราะโลภ จึงมองไม่เห็นความจริง! ไอ้อี ที่เคยอวดมั่ง อวดมี โชว์ป๋า โชว์บินส่วนตัว บ้านคฤหาสน์ มันใช่ของมรึงจริงๆ มั้ยล่ะ? เสพสุขแค่ชั่วคืน เสพคุกทั้งชีวิต อิสรภาพคือสิ่งที่มนุษย์ขาดมิได้ อยากรู้ ให้ไปถามไอ้อีทะลุเหี้ยทั้งหลาย แดร๊กบาทาอร่อยเช้าเย็น ชีวิตบัดซบ ยิ่งกว่าตาย? ล่าสุด ไอ้อี 3 นิ้วครึ่งที่ล้มเจ้า ที่แห่หนีไปต่างแดน ชีวิตตกระกำลำบาก เงินเดือนไม่ให้ ดิ้นรน เลี้ยงปากท้องเอง อยู่แบบผิดกฎหมาย ทำงานไม่ได้ เหี้ยไม่เลี้ยงคือบีบให้กลับบ้านไปตายเอาดาบหน้าไงล่ะ หมาซะยิ่งกว่าหมา ขนาดอีพรรคส้มเน่ายังไม่เหลือ กระแสดิ่งเหว ควายตื่น ไทยบัดซบตื่น โง่กว่าควายคือกู! ชีวิตพอเพียงไม่เอา จะอยากอยู่คุกตลอดชีวิต ความโง่ที่มรึงคู่ควร แค่เศษเงินซื้อมรึงได้ ชีวิตมรึงก็แค่ "ขี้หมา" ไร้ราคา สุดท้ายนี้ ขอไว้อาลัย แด่วีรชน ผู้กล้าทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปก่อนหน้านี้ สิ่งที่ทุกท่านทำไป มันคือคุณประโยชน์ต่อชาติ แผ่นดิน ระลึกถึงเสมอ 7 ตุลาคม มิเคยลืมเลือน เทียนแห่งธรรมถูกจุดขึ้นนับแต่นั้นมา เสียใจกับเพ่โสและครอบครัว ไม่อยากพูด แต่อดไม่ได้ เพ่โส แฉเหี้ยมานมนาน จนคนตื่นรู้ ขออานิสงค์แห่งปัญญาส่งดวงวิญญานผู้กล้าทุกท่าน ไปสู่ดวงดาวแห่งสรวงสวรรค์ ภพภูมิที่ดีกว่านี้ หน้าที่ของท่านจบลงแล้วบนแผ่นดินโลก เป็นหน้าที่รับไม้ต่อสู่ลูกหลานไทย ไม่มีมรึง ก็ไม่มีกู ไม่มีพ่อ ก็ไม่มีแผ่นดิน นี่คือรุ่นสุดท้ายของศตวรรษนี้แล้ว ปลายกลียุค ทุกอย่างของความอัปรีย์จัญไร สิ่งโสมม ทั้งสากลโลก จะต้องจบในพศ.นี้ ต้องจบในรุ่นนี้เท่านั้น จะไม่ปล่อยผ่านไปให้ถึงมือลูกหลานต้องมานั่งแก้ปัญหาต่อเด็ดขาด จบที่กูกับมรึง! ไม่มีถูก ไม่มีผิด มีแค่ ความจริง ศรัทธา และความถูกต้องชอบธรรม ที่จะดำรงอยู่ หมี CNN(ฮีโร่ที่แท้จริง อยู่ในใจเราทุกคน ผู้ที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ล้วนมีสิ่งนี้อยู่ในตัวเองอยู่แล้ว แค่มันยังไม่ถึงเวลาออกมาใช้ในยามจำเป็นแท้จริง ดังนั้น เมื่อถึงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ย่อมจะก่อเกิดฮีโร่เสมอ เพราะสายเลือดหมู่บ้านบางระจัน มันฝังอยู่ใน DNA ลูกหลานไทยทุกคน คิดดี ได้ดี ปกป้องแผ่นดินเกิด เชิดชู สถาบันสูงสุด คือหน้าที่ของคนไทยทุกคน ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญระบุชัดเจน กฎอะไรก็ไม่สำคัญเท่า หากมีพ่อปกครองลูก ร่มเย็น เป็นสุข ด้วยพระบารมี ราชวงศ์จักรี ยั้งยืนยง ชั่วกาลปาวสาน) 30 ตุลาคม 67 10.59 น. https://linevoom.line.me/post/1173026253201001564 ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!** https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 564 Views 0 Reviews
  • รัฐบาลเร่งสอบเทวดาสคบ. ขีดเส้นขอเวลา 30 วัน พร้อมจัดการคนผิด
    .
    ท่ามกลางความสนใจของสังคมที่มีต่อกรณีของบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด มีอีกเรื่องหนึ่งที่เกือบลืมไปแล้ว คือ กรณีของผู้บริหารระดับสูงในสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเรียกรับประโยชน์ หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า เทวดาสคบ. ปรากฎว่าในที่ประชุมวุฒิสภาได้มีการตั้งกระทู้สอบถามถึงความคืบหน้าเรื่องดังกล่าว โดยมีนางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาเป็นผู้ตอบคำถาม
    .
    นายสุนทร พฤกษพิพัฒน์ ส.ว.ในฐานะผู้เสนอกระทู้ได้อภิปรายและสอบถามว่า ในกรณีดิไอคอน ล่าสุดนี้ มีคำว่าเทวดา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเทวดาตบทรัพย์หรืออย่างไร หรือเป็นซาตาน ผีปอบ สุดท้ายเราไม่รู้ว่าเทวดาจะหนีรอดอีกหรือไม่ มาจนถึงพระ หลอกลงทุนไปที่แชร์แครอท ต้องบอกว่าถึงเวลาที่จริงจังหรือยัง ทำอย่างไรไม่ให้เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดขึ้นมาแล้วไปไล่จับ ทุกกรณีมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง มีคนมีศักดิ์มีศรีเข้าไปเกี่ยวข้อง รัฐบาลมีวิธีการจัดการอย่างไร เทวดามีจริงหรือไม่ และมีแนวทางการป้องกันก่อนเกิดเหตุอย่างไร
    .
    นางสาวจิราพร ชี้แจงว่า นายกฯ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง โดยได้มีข้อสั่งการถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน เพื่อช่วยเร่งสางปมคดีที่เกิดขึ้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้เปิดศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา เปิดให้ทุก สน.รับแจ้งข้อหา ได้ระดมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ช่วยร่วมสนับสนุนข้อมูลให้สอบสวนโดยเร็ว ส่วนเรื่องเทวดา สคบ.นั้น ยืนยันว่าไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยมีการเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่ามีกรณีนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ มีการปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ ได้เสนอเรื่องไปยังนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลอยู่ ซึ่งได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง
    .
    "ถ้าท่านดูไทม์ไลน์ จะเห็นว่าใช้ระยะเวลาไม่ถึง 1 อาทิตย์ ในการตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นนี้ ซึ่งตามโครงสร้างของคณะกรรมการนี้จะเห็นได้ว่าเป็นคนนอกทั้งหมด เราไม่ได้ให้คนในตรวจกันเอง เราใช้กรรมการจากคนนอกที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะอาญาเข้ามาอยู่ในโครงสร้าง มีทั้งตัวแทน อัยการ ปปง. ดีเอสไอ ตร. เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรมกับทุกฝ่ายมากที่สุด ระหว่างกรอบเวลาที่จะสืบหาข้อเท็จจริงนี้ 30 วัน และคณะกรรมการก็ประชุมทันที โดยคณะกรรมการชุดนี้ยังตั้งอนุกรรมการขึ้นมา 2 คณะ ได้แก่ คณะในการสืบหาข้อเท็จจริง และคณะที่ศึกษาปัญหาข้อจำกัดในการทำธุรกิจขายตรงหรือแบบตรง ซึ่งจะเข้ามาดูตั้งแต่ขั้นตอนการขอใบอนุญาต ข้อบังคับต่างๆ" นางสาวจิราพร กล่าว
    .......
    Sondhi X
    รัฐบาลเร่งสอบเทวดาสคบ. ขีดเส้นขอเวลา 30 วัน พร้อมจัดการคนผิด . ท่ามกลางความสนใจของสังคมที่มีต่อกรณีของบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด มีอีกเรื่องหนึ่งที่เกือบลืมไปแล้ว คือ กรณีของผู้บริหารระดับสูงในสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเรียกรับประโยชน์ หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า เทวดาสคบ. ปรากฎว่าในที่ประชุมวุฒิสภาได้มีการตั้งกระทู้สอบถามถึงความคืบหน้าเรื่องดังกล่าว โดยมีนางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาเป็นผู้ตอบคำถาม . นายสุนทร พฤกษพิพัฒน์ ส.ว.ในฐานะผู้เสนอกระทู้ได้อภิปรายและสอบถามว่า ในกรณีดิไอคอน ล่าสุดนี้ มีคำว่าเทวดา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเทวดาตบทรัพย์หรืออย่างไร หรือเป็นซาตาน ผีปอบ สุดท้ายเราไม่รู้ว่าเทวดาจะหนีรอดอีกหรือไม่ มาจนถึงพระ หลอกลงทุนไปที่แชร์แครอท ต้องบอกว่าถึงเวลาที่จริงจังหรือยัง ทำอย่างไรไม่ให้เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดขึ้นมาแล้วไปไล่จับ ทุกกรณีมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง มีคนมีศักดิ์มีศรีเข้าไปเกี่ยวข้อง รัฐบาลมีวิธีการจัดการอย่างไร เทวดามีจริงหรือไม่ และมีแนวทางการป้องกันก่อนเกิดเหตุอย่างไร . นางสาวจิราพร ชี้แจงว่า นายกฯ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง โดยได้มีข้อสั่งการถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน เพื่อช่วยเร่งสางปมคดีที่เกิดขึ้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้เปิดศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา เปิดให้ทุก สน.รับแจ้งข้อหา ได้ระดมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ช่วยร่วมสนับสนุนข้อมูลให้สอบสวนโดยเร็ว ส่วนเรื่องเทวดา สคบ.นั้น ยืนยันว่าไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยมีการเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่ามีกรณีนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ มีการปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ ได้เสนอเรื่องไปยังนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลอยู่ ซึ่งได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง . "ถ้าท่านดูไทม์ไลน์ จะเห็นว่าใช้ระยะเวลาไม่ถึง 1 อาทิตย์ ในการตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นนี้ ซึ่งตามโครงสร้างของคณะกรรมการนี้จะเห็นได้ว่าเป็นคนนอกทั้งหมด เราไม่ได้ให้คนในตรวจกันเอง เราใช้กรรมการจากคนนอกที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะอาญาเข้ามาอยู่ในโครงสร้าง มีทั้งตัวแทน อัยการ ปปง. ดีเอสไอ ตร. เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรมกับทุกฝ่ายมากที่สุด ระหว่างกรอบเวลาที่จะสืบหาข้อเท็จจริงนี้ 30 วัน และคณะกรรมการก็ประชุมทันที โดยคณะกรรมการชุดนี้ยังตั้งอนุกรรมการขึ้นมา 2 คณะ ได้แก่ คณะในการสืบหาข้อเท็จจริง และคณะที่ศึกษาปัญหาข้อจำกัดในการทำธุรกิจขายตรงหรือแบบตรง ซึ่งจะเข้ามาดูตั้งแต่ขั้นตอนการขอใบอนุญาต ข้อบังคับต่างๆ" นางสาวจิราพร กล่าว ....... Sondhi X
    Like
    5
    0 Comments 1 Shares 669 Views 0 Reviews
  • นักวิเคราะห์คาดอิหร่านไม่ผลีผลามตอบโต้ เนื่องจากอาจกลายเป็นการเผยให้เห็นจุดอ่อนของตัวเองและกระตุ้นให้กองทัพยิวล้างแค้นรุนแรงยิ่งขึ้น ขณะที่อิสราเอลเองก็ไม่อยากให้สถานการณ์ลุกลามจึงล็อกเป้าโจมตีจำกัด เพื่อให้เตหะรานสามารถรักษาหน้าและละเว้นการตอบโต้ทางทหารได้ง่ายขึ้น
    .
    จากระดับความรุนแรงของการโจมตีของอิสราเอลเมื่อวันเสาร์ (25 ต.ค.) เหล่าผู้สังเกตการณ์ในแวดวงภูมิรัฐศาสตร์ตะวันออกกลางมองว่า แนวโน้มการตอบโต้ที่เป็นไปได้ของอิหร่านคือ การรัวขีปนาวุธอีกชุดใหญ่ซึ่งจะถือเป็นชุดที่ 3 สำหรับปีนี้
    .
    การตอบโต้ทางทหารจะเปิดโอกาสให้ผู้นำในเตหะรานได้โชว์ความแข็งแกร่งไม่เฉพาะกับพลเมืองของตนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลุ่มฮามาสในกาซาและฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนที่กำลังรบพุ่งกับอิสราเอล และเป็นกองหน้าในอักษะการต่อต้านของอิหร่าน
    .
    ทว่า ยังเร็วเกินไปที่จะระบุว่า ผู้นำอิหร่านจะเลือกวิธีดังกล่าว และนักวิเคราะห์บางคนมองว่า เตหะรานอาจยังไม่ตอบโต้ด้วยกำลังในขณะนี้ เนื่องจากจะกลายเป็นการเปิดเผยจุดอ่อนของตัวเองและกระตุ้นให้อิสราเอลล้างแค้นรุนแรงยิ่งขึ้น
    .
    ซานัม วาคิล ผู้อำนวยการโปรแกรมตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือของกลุ่มคลังสมอง ชัทแธมเฮาส์ ในลอนดอน ชี้ว่า อิหร่านจะทำให้ดูเหมือนการโจมตีของอิสราเอลส่งผลกระทบน้อยมาก ทั้งที่ในความเป็นจริงรุนแรงมาก เนื่องจากอิหร่านถูกจำกัดทั้งทางทหารและการเมือง รวมถึงความไม่แน่นอนจากผลการเลือกตั้งในอเมริกาและผลกระทบที่จะมีต่อนโยบายตะวันออกกลาง
    .
    เอพีรายงานว่า แม้สงครามตะวันออกกลางกำลังเดือดพล่าน แต่มาซูด เปเซชเคียน ประธานาธิบดีสายปฏิรูปของอิหร่าน กลับส่งสัญญาณว่า ต้องการทำข้อตกลงนิวเคลียร์ฉบับใหม่กับอเมริกาเพื่อผ่อนคลายมาตรการแซงก์ชันของนานาชาติ
    .
    คำแถลงที่ใช้ถ้อยคำระมัดระวังของกองทัพอิหร่านที่ออกมาเมื่อคืนวันเสาร์ดูเหมือนเปิดช่องให้อิหร่านถอยออกมาจากการกระทำที่จะกระตุ้นให้สถานการณ์ลุกลาม นอกจากนั้นยังบ่งชี้ว่า การหยุดยิงในฉนวนกาซาและเลบานอนสำคัญกว่าการแก้แค้นอิสราเอล
    .
    อยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดและเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของอิหร่าน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการโจมตีของอิสราเอลอย่างระมัดระวังเช่นกัน โดยบอกว่า ไม่ควรขยายความให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เกินจริงหรือทำให้ดูเหมือนเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สำคัญ รวมทั้งไม่ได้เรียกร้องให้ตอบโต้ทางทหารทันที
    .
    นักวิเคราะห์ยังมองว่า การที่อิสราเอลจำกัดเป้าหมายการโจมตีที่กองร้อยขีปนาวุธต่อต้านการโจมตีทางอากาศและโรงงานผลิตขีปนาวุธ ทำให้ระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่านมีช่องโหว่มากขึ้นและเปิดทางให้อิสราเอลโจมตีได้ง่ายขึ้น
    .
    ขณะเดียวกัน อาลี เวซ ผู้อำนวยการโครงการอิหร่านของอินเตอร์เนชันแนล ไครซิส กรุ๊ป ระบุว่า ความพยายามในการตอบโต้ของอิหร่านจะถูกจำกัดจากข้อเท็จจริงที่ว่า กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญที่สุดของอิหร่านในการต่อสู้กับอิสราเอลได้รับความเสียหายอย่างหนัก ขณะที่ระบบอาวุธตามแบบส่วนใหญ่ถูกตอบโต้กลับเป็นสองเท่า และเขาคิดว่า ตอนนี้อิหร่านจะยังไม่ตอบโต้ด้วยกำลัง
    .
    ผู้เชี่ยวชาญในตะวันออกกลางบางคน อาทิ โยเอล กูแซนสกี้ ที่เคยทำงานให้สภาความมั่นคงแห่งชาติอิสราเอลและปัจจุบันเป็นนักวิจัยของสถาบันศึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติในเทลอาวีฟ บอกว่า การที่อิสราเอลตัดสินใจโฟกัสเป้าหมายทางทหารอย่างเดียวมีจุดประสงค์เพื่อให้อิหร่าน “รักษาหน้า” และละเว้นจากการทำให้สถานการณ์ลุกลามได้ง่ายขึ้น
    .
    อย่างไรก็ดี กูแซนสกีสำทับว่า เป้าหมายการโจมตีของอิสราเอลส่วนหนึ่งอาจสะท้อนแสนยานุภาพของกองทัพยิวที่ไม่สามารถทำลายโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ตามลำพัง แต่ต้องพึ่งความช่วยเหลือจากอเมริกา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอิสราเอลสามารถยกระดับการโจมตีหากอิหร่านตอบโต้ เนื่องจากองค์ประกอบหลายอย่างในระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่านถูกทำลายไปแล้ว
    .
    แม้ยังไม่อาจสรุปได้ว่า อิหร่านจะแก้เกมอิสราเอลอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ สถานการณ์ในตะวันออกกลางตอนนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
    .
    ช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา บรรดาผู้นำและนักยุทธศาสตร์ในภูมิภาคนี้ต่างคาดเดาว่า วันหนึ่งอิสราเอลจะเปิดฉากโจมตีอิหร่านโดยตรงหรือไม่และอย่างไร รวมทั้งสงสัยว่า ถ้าอิหร่านเป็นฝ่ายโจมตีอิสราเอลโดยตรงจะออกมาแบบไหน
    .
    แต่ในสถานการณ์จริงวันนี้ เวซชี้ว่า ดูเหมือนทั้งสองฝ่ายยังไม่มีแผนการชัดเจน รวมทั้งอาวุธที่ใช้โจมตีและระบบป้องกันห่างชั้นกันมาก และสำทับว่า ขณะที่ทั้งอิสราเอลและอิหร่านกำลังเปรียบเทียบและคำนวณว่า การดำเนินการของตนจะทำให้สถานการณ์ลุกลามรวดเร็วเพียงใดนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างเผชิญสถานการณ์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เส้นแดงใหม่ดูลางเลือน และเส้นแดงเก่าเจือจางกลายเป็นสีชมพู
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000103969
    ..............
    Sondhi X
    นักวิเคราะห์คาดอิหร่านไม่ผลีผลามตอบโต้ เนื่องจากอาจกลายเป็นการเผยให้เห็นจุดอ่อนของตัวเองและกระตุ้นให้กองทัพยิวล้างแค้นรุนแรงยิ่งขึ้น ขณะที่อิสราเอลเองก็ไม่อยากให้สถานการณ์ลุกลามจึงล็อกเป้าโจมตีจำกัด เพื่อให้เตหะรานสามารถรักษาหน้าและละเว้นการตอบโต้ทางทหารได้ง่ายขึ้น . จากระดับความรุนแรงของการโจมตีของอิสราเอลเมื่อวันเสาร์ (25 ต.ค.) เหล่าผู้สังเกตการณ์ในแวดวงภูมิรัฐศาสตร์ตะวันออกกลางมองว่า แนวโน้มการตอบโต้ที่เป็นไปได้ของอิหร่านคือ การรัวขีปนาวุธอีกชุดใหญ่ซึ่งจะถือเป็นชุดที่ 3 สำหรับปีนี้ . การตอบโต้ทางทหารจะเปิดโอกาสให้ผู้นำในเตหะรานได้โชว์ความแข็งแกร่งไม่เฉพาะกับพลเมืองของตนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลุ่มฮามาสในกาซาและฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนที่กำลังรบพุ่งกับอิสราเอล และเป็นกองหน้าในอักษะการต่อต้านของอิหร่าน . ทว่า ยังเร็วเกินไปที่จะระบุว่า ผู้นำอิหร่านจะเลือกวิธีดังกล่าว และนักวิเคราะห์บางคนมองว่า เตหะรานอาจยังไม่ตอบโต้ด้วยกำลังในขณะนี้ เนื่องจากจะกลายเป็นการเปิดเผยจุดอ่อนของตัวเองและกระตุ้นให้อิสราเอลล้างแค้นรุนแรงยิ่งขึ้น . ซานัม วาคิล ผู้อำนวยการโปรแกรมตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือของกลุ่มคลังสมอง ชัทแธมเฮาส์ ในลอนดอน ชี้ว่า อิหร่านจะทำให้ดูเหมือนการโจมตีของอิสราเอลส่งผลกระทบน้อยมาก ทั้งที่ในความเป็นจริงรุนแรงมาก เนื่องจากอิหร่านถูกจำกัดทั้งทางทหารและการเมือง รวมถึงความไม่แน่นอนจากผลการเลือกตั้งในอเมริกาและผลกระทบที่จะมีต่อนโยบายตะวันออกกลาง . เอพีรายงานว่า แม้สงครามตะวันออกกลางกำลังเดือดพล่าน แต่มาซูด เปเซชเคียน ประธานาธิบดีสายปฏิรูปของอิหร่าน กลับส่งสัญญาณว่า ต้องการทำข้อตกลงนิวเคลียร์ฉบับใหม่กับอเมริกาเพื่อผ่อนคลายมาตรการแซงก์ชันของนานาชาติ . คำแถลงที่ใช้ถ้อยคำระมัดระวังของกองทัพอิหร่านที่ออกมาเมื่อคืนวันเสาร์ดูเหมือนเปิดช่องให้อิหร่านถอยออกมาจากการกระทำที่จะกระตุ้นให้สถานการณ์ลุกลาม นอกจากนั้นยังบ่งชี้ว่า การหยุดยิงในฉนวนกาซาและเลบานอนสำคัญกว่าการแก้แค้นอิสราเอล . อยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดและเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของอิหร่าน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการโจมตีของอิสราเอลอย่างระมัดระวังเช่นกัน โดยบอกว่า ไม่ควรขยายความให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เกินจริงหรือทำให้ดูเหมือนเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สำคัญ รวมทั้งไม่ได้เรียกร้องให้ตอบโต้ทางทหารทันที . นักวิเคราะห์ยังมองว่า การที่อิสราเอลจำกัดเป้าหมายการโจมตีที่กองร้อยขีปนาวุธต่อต้านการโจมตีทางอากาศและโรงงานผลิตขีปนาวุธ ทำให้ระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่านมีช่องโหว่มากขึ้นและเปิดทางให้อิสราเอลโจมตีได้ง่ายขึ้น . ขณะเดียวกัน อาลี เวซ ผู้อำนวยการโครงการอิหร่านของอินเตอร์เนชันแนล ไครซิส กรุ๊ป ระบุว่า ความพยายามในการตอบโต้ของอิหร่านจะถูกจำกัดจากข้อเท็จจริงที่ว่า กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญที่สุดของอิหร่านในการต่อสู้กับอิสราเอลได้รับความเสียหายอย่างหนัก ขณะที่ระบบอาวุธตามแบบส่วนใหญ่ถูกตอบโต้กลับเป็นสองเท่า และเขาคิดว่า ตอนนี้อิหร่านจะยังไม่ตอบโต้ด้วยกำลัง . ผู้เชี่ยวชาญในตะวันออกกลางบางคน อาทิ โยเอล กูแซนสกี้ ที่เคยทำงานให้สภาความมั่นคงแห่งชาติอิสราเอลและปัจจุบันเป็นนักวิจัยของสถาบันศึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติในเทลอาวีฟ บอกว่า การที่อิสราเอลตัดสินใจโฟกัสเป้าหมายทางทหารอย่างเดียวมีจุดประสงค์เพื่อให้อิหร่าน “รักษาหน้า” และละเว้นจากการทำให้สถานการณ์ลุกลามได้ง่ายขึ้น . อย่างไรก็ดี กูแซนสกีสำทับว่า เป้าหมายการโจมตีของอิสราเอลส่วนหนึ่งอาจสะท้อนแสนยานุภาพของกองทัพยิวที่ไม่สามารถทำลายโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ตามลำพัง แต่ต้องพึ่งความช่วยเหลือจากอเมริกา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอิสราเอลสามารถยกระดับการโจมตีหากอิหร่านตอบโต้ เนื่องจากองค์ประกอบหลายอย่างในระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่านถูกทำลายไปแล้ว . แม้ยังไม่อาจสรุปได้ว่า อิหร่านจะแก้เกมอิสราเอลอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ สถานการณ์ในตะวันออกกลางตอนนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน . ช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา บรรดาผู้นำและนักยุทธศาสตร์ในภูมิภาคนี้ต่างคาดเดาว่า วันหนึ่งอิสราเอลจะเปิดฉากโจมตีอิหร่านโดยตรงหรือไม่และอย่างไร รวมทั้งสงสัยว่า ถ้าอิหร่านเป็นฝ่ายโจมตีอิสราเอลโดยตรงจะออกมาแบบไหน . แต่ในสถานการณ์จริงวันนี้ เวซชี้ว่า ดูเหมือนทั้งสองฝ่ายยังไม่มีแผนการชัดเจน รวมทั้งอาวุธที่ใช้โจมตีและระบบป้องกันห่างชั้นกันมาก และสำทับว่า ขณะที่ทั้งอิสราเอลและอิหร่านกำลังเปรียบเทียบและคำนวณว่า การดำเนินการของตนจะทำให้สถานการณ์ลุกลามรวดเร็วเพียงใดนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างเผชิญสถานการณ์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เส้นแดงใหม่ดูลางเลือน และเส้นแดงเก่าเจือจางกลายเป็นสีชมพู . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000103969 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    6
    0 Comments 0 Shares 1157 Views 0 Reviews
  • ผู้นำสูงสุดอิหร่านเผยท่าที กำลังชั่งใจวิธีดีที่สุดในการตอบโต้ “ความชั่วร้าย” ที่อิสราเอลก่อขึ้น เพื่อให้รัฐยิวรับรู้ถึงแสนยานุภาพของประเทศ ขณะอิสราเอลขู่เตหะรานให้เลิกคิดแก้แค้น ส่วนฝ่ายตะวันตกนำโดยสหรัฐฯก็สำทับเรียกร้องอิหร่านอย่าทำให้สถานการณ์บานปลาย
    .
    กองทัพอิสราเอลแถลงยืนยันว่า ได้ส่งเครื่องบินรบเข้าโจมตีโรงงานผลิตขีปนาวุธและที่ตั้งทางทหารในหลายจังหวัดของอิหร่านรวม 3 ระลอกเมื่อเช้ามืดวันเสาร์ (26) ซึ่งภารกิจการโจมตีตอบโต้สำเร็จด้วยดี พร้อมกันนั้นก็เตือนอิหร่านไม่ให้ตอบโต้กลับ
    .
    กองทัพอิสราเอลยังประกาศว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อจำกัดด้านความปลอดภัยสาธารณะทั่วประเทศ บ่งชี้ว่า อิสราเอลไม่คิดว่า อิหร่านจะตอบโต้กลับในทันที
    .
    เจ้าหน้าที่กลาโหมอิสราเอลคนหนึ่งบอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า อเมริกาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภารกิจนี้ แต่ในเวลาต่อมา ประธานาธิบดีไอแซก เฮอร์ซ็อก ของอิสราเอล กลับกล่าวขอบคุณอเมริกาที่เป็นพันธมิตรที่แท้จริง รวมทั้งขอบคุณสำหรับความร่วมมือทั้งที่เปิดเผยและแบบลับๆ
    .
    ด้าน ฌอน ซาเวตต์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวว่า การตอบโต้ของอิสราเอลเป็นการป้องกันตนเอง และเรียกร้องให้อิหร่านยุติการโจมตีอิสราเอลเพื่อให้วงจรการต่อสู้นี้ยุติลงโดยไม่ทำให้สถานการณ์ลุกลาม
    .
    เช่นเดียวกับ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่แสดงความหวังว่า “ถึงตอนจบได้แล้ว” พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ดูเหมือนการโจมตีของอิสราเอลจำกัดเฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น โดยก่อนหน้านี้ผู้นำสหรัฐฯระบุว่า ได้ขอให้อิสราเอลงดโจมตีเป้าหมายด้านนิวเคลียร์และด้านพลังงาน ในการตอบโต้ที่อิหร่านยิงขีปนาวุธราว 200 ลูกโจมตีใส่อิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา
    .
    ทว่า นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ยังคงแถลงกร้าวว่า อิสราเอลเลือกเป้าหมายโจมตีโดยอิงกับผลประโยชน์ของประเทศ ไม่ได้ทำตามที่อเมริกาชี้นำ
    .
    รัฐมนตรีกลาโหม ลอยด์ ออสติน เป็นเจ้าหน้าที่สหรัฐฯอีกคนหนึ่ง ซึ่งออกมาแถลงว่า อิหร่านไม่ควรทำผิดพลาดด้วยการตอบโต้อิสราเอล และย้ำว่าระหว่างที่เขาหารือกับโยอาฟ กัลแลนต์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล มีการพูดกันถึงโอกาสทางการทูตในการผ่อนคลายสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง ซึ่งรวมถึงในกาซาและเลบานอน
    .
    สำหรับสหภาพยุโรป และรัสเซีย ต่างออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอดกลั้นถึงที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้สถานการณ์บานปลายจนเกินการควบคุม ขณะที่หลายประเทศ ที่รวมถึงเพื่อนบ้านของอิหร่าน ได้แถลงประณามอิสราเอล
    .
    ต่อมาในวันอาทิตย์ (27) สำนักข่าวไออาร์เอ็นเอของทางการอิหร่านรายงานว่า อยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของประเทศ ประกาศว่า เตหะรานควรพิจารณาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้อิสราเอลรับรู้ถึงแสนยานุภาพของอิหร่าน และต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติ ก่อนสำทับว่า ความชั่วร้ายที่อิสราเอลก่อขึ้นจากการโจมตีใส่อิหร่านเมื่อคืนวันศุกร์ต่อกับก่อนรุ่งสางวันเสาร์ ต้องไม่ถูกทำให้ดูเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สำคัญ และก็ไม่ขยายความให้ใหญ่เกินจริง
    .
    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันเสาร์ อิหร่านประณามการกระทำของอิสราเอล โดยกระทรวงต่างประเทศแถลงว่า อิหร่านมีสิทธิ์และหน้าที่ในการปกป้องตนเอง แต่ขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงความรับผิดชอบที่มีต่อสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค
    .
    ทางด้านกองทัพอิหร่านระบุว่า เครื่องบินรบของอิสราเอลใช้หัวรบขนาดเล็กมากเพื่อโจมตีระบบเรดาร์ใน 2 จังหวัดและรอบเตหะราน ซึ่งสร้างความเสียหายเพียงจำกัด แต่มีทหารเสียชีวิต 4 นาย
    .
    อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ในภูมิภาค 2 คนที่ได้รับการบรรยายสรุปสถานการณ์จากอิหร่านเผยว่า เตหะรานได้จัดประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงเพื่อพิจารณาขอบเขตการตอบโต้ ซึ่งเจ้าหน้าที่คนหนึ่งระบุว่า ความเสียหายเล็กน้อยมาก แต่สำทับว่า ฐานที่มั่นของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติหลายแห่งในและรอบเตหะรานถูกโจมตีด้วย
    .
    กระนั้น ในอีกด้านหนึ่ง เดวิด อัลไบรต์ อดีตเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอาวุธนิวเคลียร์ของสหประชาชาติ เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า ภาพจากดาวเทียมพาณิชย์ที่มีความละเอียดต่ำของพลาเน็ต แลบส์ แสดงให้เห็นว่า จุดหนึ่งที่ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของอิสราเอลคราวล่าสุดนี้ คือนิคมอุตสาหกรรมทหารพาร์ชิน ใกล้เตหะราน ซึ่งทำให้อาคาร 3 แห่งเสียหาย และ 2 แห่งในจำนวนนั้นเป็นสถานที่ผสมเชื้อเพลิงแข็ง ใช้กับพวกขีปนาวุธทิ้งตัว
    .
    รอยเตอร์รายงานว่า ยังมี เดคเกอร์ เอเวเลธ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์ของซีเอ็นเอ ซึ่งเป็นกลุ่มคลังสมองในวอชิงตัน ที่วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของพลาเน็ต แลบส์เช่นเดียวกัน ได้ระบุว่า อิสราเอลยังโจมตีโคจีร์ ที่เป็นสถานที่ผลิตขีปนาวุธใกล้เตหะราน ซึ่งอาจบ่อนทำลายความสามารถของอิหร่านในการผลิตขีปนาวุธเป็นจำนวนมาก รวมทั้งความสามารถในการโจมตีด้วยขีปนาวุธเพื่อเจาะระบบป้องกันขีปนาวุธของอิสราเอล
    .
    สำหรับสถานการณ์ในแนวรบอื่นๆ กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธในเลบานอนที่ได้รับการสนับสนุนจากเตหะราน เผยว่า ในวันเสาร์ได้ยิงจรวดโจมตีเขตที่พักอาศัย 5 แห่งทางตอนเหนือของอิสราเอล ขณะที่กองทัพอิสราเอลยืนยันว่า มีจรวด 80 ลูกยิงข้ามแดนไปจริงในวันดังกล่าว
    .
    นอกจากนั้นฮิซบอลเลาะห์ยังประกาศให้ชาวอิสราเอลในพื้นที่กว่า 20 แห่งอพยพ ขณะที่กองทัพอิสราเอลเระบุว่า ได้โจมตีที่ตั้งของฮิซบอลเลาะห์ในย่านดานิเยห์ ทางใต้ของกรุงเบรุต ซึ่งรวมถึงสถานที่ผลิตอาวุธและศูนย์บัญชาการข่าวกรอง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000103586
    ..............
    Sondhi X
    ผู้นำสูงสุดอิหร่านเผยท่าที กำลังชั่งใจวิธีดีที่สุดในการตอบโต้ “ความชั่วร้าย” ที่อิสราเอลก่อขึ้น เพื่อให้รัฐยิวรับรู้ถึงแสนยานุภาพของประเทศ ขณะอิสราเอลขู่เตหะรานให้เลิกคิดแก้แค้น ส่วนฝ่ายตะวันตกนำโดยสหรัฐฯก็สำทับเรียกร้องอิหร่านอย่าทำให้สถานการณ์บานปลาย . กองทัพอิสราเอลแถลงยืนยันว่า ได้ส่งเครื่องบินรบเข้าโจมตีโรงงานผลิตขีปนาวุธและที่ตั้งทางทหารในหลายจังหวัดของอิหร่านรวม 3 ระลอกเมื่อเช้ามืดวันเสาร์ (26) ซึ่งภารกิจการโจมตีตอบโต้สำเร็จด้วยดี พร้อมกันนั้นก็เตือนอิหร่านไม่ให้ตอบโต้กลับ . กองทัพอิสราเอลยังประกาศว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อจำกัดด้านความปลอดภัยสาธารณะทั่วประเทศ บ่งชี้ว่า อิสราเอลไม่คิดว่า อิหร่านจะตอบโต้กลับในทันที . เจ้าหน้าที่กลาโหมอิสราเอลคนหนึ่งบอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า อเมริกาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภารกิจนี้ แต่ในเวลาต่อมา ประธานาธิบดีไอแซก เฮอร์ซ็อก ของอิสราเอล กลับกล่าวขอบคุณอเมริกาที่เป็นพันธมิตรที่แท้จริง รวมทั้งขอบคุณสำหรับความร่วมมือทั้งที่เปิดเผยและแบบลับๆ . ด้าน ฌอน ซาเวตต์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวว่า การตอบโต้ของอิสราเอลเป็นการป้องกันตนเอง และเรียกร้องให้อิหร่านยุติการโจมตีอิสราเอลเพื่อให้วงจรการต่อสู้นี้ยุติลงโดยไม่ทำให้สถานการณ์ลุกลาม . เช่นเดียวกับ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่แสดงความหวังว่า “ถึงตอนจบได้แล้ว” พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ดูเหมือนการโจมตีของอิสราเอลจำกัดเฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น โดยก่อนหน้านี้ผู้นำสหรัฐฯระบุว่า ได้ขอให้อิสราเอลงดโจมตีเป้าหมายด้านนิวเคลียร์และด้านพลังงาน ในการตอบโต้ที่อิหร่านยิงขีปนาวุธราว 200 ลูกโจมตีใส่อิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา . ทว่า นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ยังคงแถลงกร้าวว่า อิสราเอลเลือกเป้าหมายโจมตีโดยอิงกับผลประโยชน์ของประเทศ ไม่ได้ทำตามที่อเมริกาชี้นำ . รัฐมนตรีกลาโหม ลอยด์ ออสติน เป็นเจ้าหน้าที่สหรัฐฯอีกคนหนึ่ง ซึ่งออกมาแถลงว่า อิหร่านไม่ควรทำผิดพลาดด้วยการตอบโต้อิสราเอล และย้ำว่าระหว่างที่เขาหารือกับโยอาฟ กัลแลนต์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล มีการพูดกันถึงโอกาสทางการทูตในการผ่อนคลายสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง ซึ่งรวมถึงในกาซาและเลบานอน . สำหรับสหภาพยุโรป และรัสเซีย ต่างออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอดกลั้นถึงที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้สถานการณ์บานปลายจนเกินการควบคุม ขณะที่หลายประเทศ ที่รวมถึงเพื่อนบ้านของอิหร่าน ได้แถลงประณามอิสราเอล . ต่อมาในวันอาทิตย์ (27) สำนักข่าวไออาร์เอ็นเอของทางการอิหร่านรายงานว่า อยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของประเทศ ประกาศว่า เตหะรานควรพิจารณาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้อิสราเอลรับรู้ถึงแสนยานุภาพของอิหร่าน และต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติ ก่อนสำทับว่า ความชั่วร้ายที่อิสราเอลก่อขึ้นจากการโจมตีใส่อิหร่านเมื่อคืนวันศุกร์ต่อกับก่อนรุ่งสางวันเสาร์ ต้องไม่ถูกทำให้ดูเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สำคัญ และก็ไม่ขยายความให้ใหญ่เกินจริง . ทั้งนี้ ตั้งแต่วันเสาร์ อิหร่านประณามการกระทำของอิสราเอล โดยกระทรวงต่างประเทศแถลงว่า อิหร่านมีสิทธิ์และหน้าที่ในการปกป้องตนเอง แต่ขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงความรับผิดชอบที่มีต่อสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค . ทางด้านกองทัพอิหร่านระบุว่า เครื่องบินรบของอิสราเอลใช้หัวรบขนาดเล็กมากเพื่อโจมตีระบบเรดาร์ใน 2 จังหวัดและรอบเตหะราน ซึ่งสร้างความเสียหายเพียงจำกัด แต่มีทหารเสียชีวิต 4 นาย . อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ในภูมิภาค 2 คนที่ได้รับการบรรยายสรุปสถานการณ์จากอิหร่านเผยว่า เตหะรานได้จัดประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงเพื่อพิจารณาขอบเขตการตอบโต้ ซึ่งเจ้าหน้าที่คนหนึ่งระบุว่า ความเสียหายเล็กน้อยมาก แต่สำทับว่า ฐานที่มั่นของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติหลายแห่งในและรอบเตหะรานถูกโจมตีด้วย . กระนั้น ในอีกด้านหนึ่ง เดวิด อัลไบรต์ อดีตเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอาวุธนิวเคลียร์ของสหประชาชาติ เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า ภาพจากดาวเทียมพาณิชย์ที่มีความละเอียดต่ำของพลาเน็ต แลบส์ แสดงให้เห็นว่า จุดหนึ่งที่ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของอิสราเอลคราวล่าสุดนี้ คือนิคมอุตสาหกรรมทหารพาร์ชิน ใกล้เตหะราน ซึ่งทำให้อาคาร 3 แห่งเสียหาย และ 2 แห่งในจำนวนนั้นเป็นสถานที่ผสมเชื้อเพลิงแข็ง ใช้กับพวกขีปนาวุธทิ้งตัว . รอยเตอร์รายงานว่า ยังมี เดคเกอร์ เอเวเลธ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์ของซีเอ็นเอ ซึ่งเป็นกลุ่มคลังสมองในวอชิงตัน ที่วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของพลาเน็ต แลบส์เช่นเดียวกัน ได้ระบุว่า อิสราเอลยังโจมตีโคจีร์ ที่เป็นสถานที่ผลิตขีปนาวุธใกล้เตหะราน ซึ่งอาจบ่อนทำลายความสามารถของอิหร่านในการผลิตขีปนาวุธเป็นจำนวนมาก รวมทั้งความสามารถในการโจมตีด้วยขีปนาวุธเพื่อเจาะระบบป้องกันขีปนาวุธของอิสราเอล . สำหรับสถานการณ์ในแนวรบอื่นๆ กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธในเลบานอนที่ได้รับการสนับสนุนจากเตหะราน เผยว่า ในวันเสาร์ได้ยิงจรวดโจมตีเขตที่พักอาศัย 5 แห่งทางตอนเหนือของอิสราเอล ขณะที่กองทัพอิสราเอลยืนยันว่า มีจรวด 80 ลูกยิงข้ามแดนไปจริงในวันดังกล่าว . นอกจากนั้นฮิซบอลเลาะห์ยังประกาศให้ชาวอิสราเอลในพื้นที่กว่า 20 แห่งอพยพ ขณะที่กองทัพอิสราเอลเระบุว่า ได้โจมตีที่ตั้งของฮิซบอลเลาะห์ในย่านดานิเยห์ ทางใต้ของกรุงเบรุต ซึ่งรวมถึงสถานที่ผลิตอาวุธและศูนย์บัญชาการข่าวกรอง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000103586 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    8
    0 Comments 0 Shares 1321 Views 0 Reviews
  • 'กลุ่มตะวันตกรวมตัว ได้แยกตัวและประณามตัวเองว่าไม่เกี่ยวข้อง' - นักวิเคราะห์

    นักวิเคราะห์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กิลเบิร์ต ด็อกโตโรว์, ให้สัมภาษณ์กับสปุตนิก, ชื่นชมจุดยืนที่แน่วแน่ของประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ในการประชุมสุดยอด BRICS ล่าสุด, โดยเน้นย้ำถึงอิทธิพลที่เพิ่มมากขึ้นของรัสเซียบนเวทีโลก แม้ฝ่ายตะวันตกจะพยายามแยกประเทศออกไป

    “เนื่องจากมีแขกคนสำคัญ, จำนวนมากกว่า ๒๕ คนจากหัวหน้ารัฐบาล, สื่อหลักในโลกตะวันตกจึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อกลุ่ม BRICS และรัสเซียได้,” Doctorow กล่าว, พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องนี้ทำให้เรื่องราวที่รัสเซียถูกมองว่าโดดเดี่ยวลดความน่าเชื่อถือลง

    นักวิเคราะห์ยังคาดเดาต่อไปว่า รัสเซียใช้ประโยชน์จากตำแหน่งประธานกลุ่ม BRICS เพื่อบรรลุเป้าหมายที่สร้างสรรค์, เช่นการจัดตั้งตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าโภคภัณฑ์และกลุ่มประกันภัยต่อ, การวางตำแหน่งประเทศให้เป็นผู้นำที่มีประสิทธิผล Doctorow เน้นย้ำว่าความสำเร็จเหล่านี้ส่งสารที่ชัดเจนว่า “รัสเซียไม่ได้โดดเดี่ยว; ตรงกันข้าม, กลุ่มตะวันตกได้โดดเดี่ยวตัวเอง และประณามตัวเองว่าไม่เกี่ยวข้อง”

    “ข้อความของกลุ่ม BRICS เกี่ยวกับโลกที่มีหลายขั้วอำนาจ, การเคารพในอำนาจอธิปไตยและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศ จะส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของชาวยุโรปที่มีต่อรัสเซียและต่อตนเองอย่างแน่นอน,” Doctorow กล่าวเสริม, โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญในระยะยาวของกลุ่ม BRICS ในการกำหนดทิศทางการเมืองระดับโลก

    นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่าวิกฤตยูเครนจะสิ้นสุดลงในปี ๒๐๒๕, ไม่ว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯจะเป็นอย่างไร

    “ยิ่งเป็นเช่นนั้นมากขึ้น เมื่อสหรัฐฯยุติสงครามยูเครนโดยถอนความช่วยเหลือทางการเงินและการทหารให้กับเคียฟ วันนั้นจะมาถึงเร็วมากในปี ๒๐๒๕ หากทรัมป์ชนะในวันที่ ๕ พฤศจิกายน; จะมาถึงช้ากว่าเล็กน้อยในปี ๒๐๒๕ หากแฮร์ริสชนะ เนื่องจากรัฐสภาจะต่อต้านการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมใดๆให้กับเคียฟ,” Doctorow คาดเดา

    #BRICS2024
    .
    ‘COLLECTIVE WEST HAS SELF-ISOLATED AND CONDEMNED ITSELF TO IRRELEVANCE’ – ANALYST

    International relations analyst Gilbert Doctorow, in an interview with Sputnik, praised Russian President Vladimir Putin's firm stance at the recent BRICS summit, highlighting Russia's growing influence on the global stage despite Western efforts to isolate the country.

    “Because of the important guests, numbering more than 25 heads of government, it has been impossible for major media in the West to ignore BRICS and Russia," Doctorow said, noting how this undermines the narrative of Russia's supposed isolation.

    The analyst further speculated how Russia leveraged its BRICS presidency to advance innovative goals, such as establishing commodity exchanges and a reinsurance pool, positioning the country as a constructive leader. Doctorow emphasized that these achievements send a clear message: “Russia is not isolated; on the contrary, the Collective West has self-isolated and condemned itself to irrelevance.”

    "The BRICS message of a multipolar world, of respect for the sovereignty and unique cultures of each nation will surely have an impact on Europeans' perception of Russia and of themselves," Doctorow added, stressing the long-term significance of BRICS in shaping global politics.

    The analyst also predicted the Ukraine crisis will conclude in 2025, regardless of the outcome of the US presidential election.

    “This will be all the more the case when the United States puts an end to the Ukraine war by withdrawing its financial and military assistance to Kiev. That day will come very early in 2025 if Trump wins on 5 November; it will come with a slight delay in 2025 if Harris wins because Congress will resist any further appropriations to Kiev,” Doctorow speculated.

    #BRICS2024
    .
    11:03 AM · Oct 25, 2024 · 3,132 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1849663060518068497
    'กลุ่มตะวันตกรวมตัว ได้แยกตัวและประณามตัวเองว่าไม่เกี่ยวข้อง' - นักวิเคราะห์ นักวิเคราะห์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กิลเบิร์ต ด็อกโตโรว์, ให้สัมภาษณ์กับสปุตนิก, ชื่นชมจุดยืนที่แน่วแน่ของประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ในการประชุมสุดยอด BRICS ล่าสุด, โดยเน้นย้ำถึงอิทธิพลที่เพิ่มมากขึ้นของรัสเซียบนเวทีโลก แม้ฝ่ายตะวันตกจะพยายามแยกประเทศออกไป “เนื่องจากมีแขกคนสำคัญ, จำนวนมากกว่า ๒๕ คนจากหัวหน้ารัฐบาล, สื่อหลักในโลกตะวันตกจึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อกลุ่ม BRICS และรัสเซียได้,” Doctorow กล่าว, พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องนี้ทำให้เรื่องราวที่รัสเซียถูกมองว่าโดดเดี่ยวลดความน่าเชื่อถือลง นักวิเคราะห์ยังคาดเดาต่อไปว่า รัสเซียใช้ประโยชน์จากตำแหน่งประธานกลุ่ม BRICS เพื่อบรรลุเป้าหมายที่สร้างสรรค์, เช่นการจัดตั้งตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าโภคภัณฑ์และกลุ่มประกันภัยต่อ, การวางตำแหน่งประเทศให้เป็นผู้นำที่มีประสิทธิผล Doctorow เน้นย้ำว่าความสำเร็จเหล่านี้ส่งสารที่ชัดเจนว่า “รัสเซียไม่ได้โดดเดี่ยว; ตรงกันข้าม, กลุ่มตะวันตกได้โดดเดี่ยวตัวเอง และประณามตัวเองว่าไม่เกี่ยวข้อง” “ข้อความของกลุ่ม BRICS เกี่ยวกับโลกที่มีหลายขั้วอำนาจ, การเคารพในอำนาจอธิปไตยและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศ จะส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของชาวยุโรปที่มีต่อรัสเซียและต่อตนเองอย่างแน่นอน,” Doctorow กล่าวเสริม, โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญในระยะยาวของกลุ่ม BRICS ในการกำหนดทิศทางการเมืองระดับโลก นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่าวิกฤตยูเครนจะสิ้นสุดลงในปี ๒๐๒๕, ไม่ว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯจะเป็นอย่างไร “ยิ่งเป็นเช่นนั้นมากขึ้น เมื่อสหรัฐฯยุติสงครามยูเครนโดยถอนความช่วยเหลือทางการเงินและการทหารให้กับเคียฟ วันนั้นจะมาถึงเร็วมากในปี ๒๐๒๕ หากทรัมป์ชนะในวันที่ ๕ พฤศจิกายน; จะมาถึงช้ากว่าเล็กน้อยในปี ๒๐๒๕ หากแฮร์ริสชนะ เนื่องจากรัฐสภาจะต่อต้านการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมใดๆให้กับเคียฟ,” Doctorow คาดเดา #BRICS2024 . ‘COLLECTIVE WEST HAS SELF-ISOLATED AND CONDEMNED ITSELF TO IRRELEVANCE’ – ANALYST International relations analyst Gilbert Doctorow, in an interview with Sputnik, praised Russian President Vladimir Putin's firm stance at the recent BRICS summit, highlighting Russia's growing influence on the global stage despite Western efforts to isolate the country. “Because of the important guests, numbering more than 25 heads of government, it has been impossible for major media in the West to ignore BRICS and Russia," Doctorow said, noting how this undermines the narrative of Russia's supposed isolation. The analyst further speculated how Russia leveraged its BRICS presidency to advance innovative goals, such as establishing commodity exchanges and a reinsurance pool, positioning the country as a constructive leader. Doctorow emphasized that these achievements send a clear message: “Russia is not isolated; on the contrary, the Collective West has self-isolated and condemned itself to irrelevance.” "The BRICS message of a multipolar world, of respect for the sovereignty and unique cultures of each nation will surely have an impact on Europeans' perception of Russia and of themselves," Doctorow added, stressing the long-term significance of BRICS in shaping global politics. The analyst also predicted the Ukraine crisis will conclude in 2025, regardless of the outcome of the US presidential election. “This will be all the more the case when the United States puts an end to the Ukraine war by withdrawing its financial and military assistance to Kiev. That day will come very early in 2025 if Trump wins on 5 November; it will come with a slight delay in 2025 if Harris wins because Congress will resist any further appropriations to Kiev,” Doctorow speculated. #BRICS2024 . 11:03 AM · Oct 25, 2024 · 3,132 Views https://x.com/SputnikInt/status/1849663060518068497
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 44 Views 0 Reviews
  • ปฏิญญาคาซาน BRICS2024 มีอะไรอยู่ในคำประกาศคาซานของการประชุมสุดยอดกลุ่ม BRICS

    BRICS ได้รับรองคำประกาศปฏิญญาขั้นสุดท้ายของการประชุมสุดยอดBRICS Plus Summit 2024 ครั้งที่ 16 ที่เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย และมีแผนที่จะยื่นเอกสารปฏิญญาดังกล่าวต่อสหประชาชาติ โดยมีเนื้อหาดังนี้:

    1 .ความจำเป็นในการปฏิรูปสถาบันระดับโลก:

    - สถาบันในระบบการเงินระหว่างประเทศของเบรตตันวูดส์ รวมทั้งองค์กรการค้าโลก ควรได้รับการปฏิรูปเพื่อให้สามารถเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประเทศกำลังพัฒนาได้ดีขึ้น

    - BRICS คัดค้านมาตรการ“ฝ่ายเดียว”ห้ามเลือกปฏิบัติ และคุ้มครองทางการค้าที่ดำเนินการภายใต้ข้ออ้างในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ซึ่งรวมถึงกลไกการปรับการปล่อยคาร์บอนและภาษี

    2.BRICS สนับสนุนการปฏิรูปสหประชาชาติอย่างครอบคลุม รวมถึงคณะมนตรีความมั่นคง เพื่อให้เป็นตัวแทนประชาคมโลกมากขึ้น และระบุถึงความสำคัญขององค์การนี้ในระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆ

    3.โครงการริเริ่มใหม่:

    - สมาชิก BRICS ตระหนักถึงศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเชื่อมช่องว่างทางดิจิทัลระหว่างประเทศต่างๆ เพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม

    -BRICS ตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงธนาคารพัฒนาใหม่ NDB ให้สามารถตอบสนองความต้องการของศตวรรษที่ 21

    -BRICS สนับสนุนการจัดทำแพลตฟอร์มเทคโนโลยีใหม่เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อการพัฒนา รวมถึงการสร้างผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีขั้นสูงโดยใช้ศักยภาพทางเทคโนโลยีในประเทศเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตที่ “ยั่งยืนและครอบคลุม”

    องค์กรBRICS ตกลงที่จะสำรวจการสร้างโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินและการฝากเงินข้ามพรมแดนแบบอิสระที่เรียกว่า BRICS Clear

    - BRICS พร้อมที่จะเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนายารักษาโรค รวมถึงวัคซีนและโครงการเวชศาสตร์นิวเคลียร์

    - BRICS ยินดีต้อนรับการสร้างแพลตฟอร์มการขนส่งและโลจิสติกส์ที่เป็นหนึ่งเดียว
    คำประกาศดังกล่าวสนับสนุนข้อเสนอของรัสเซียในการสร้างตลาดแลกเปลี่ยนธัญพืชเพื่อ "ส่งเสริมการค้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและปุ๋ยตามกฎเกณฑ์ และลดการหยุดชะงักให้เหลือน้อยที่สุด"

    4.การขยายความร่วมมือ:

    - คำประกาศดังกล่าวยินดีกับการขยายการใช้สกุลเงินประจำชาติในการทำธุรกรรมระหว่างสมาชิก BRICS และพันธมิตรทางการค้า

    -เอกสารปฏิญญาดังกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการขยายความร่วมมือบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน และการสร้างความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ให้มากยิ่งขึ้นระหว่างสมาชิกกลุ่ม BRICS รวมถึงการดำเนินการตามกลยุทธ์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของกลุ่มต่อไป

    และทางกลุ่มBRICSยินดีต้อนรับความสนใจของประเทศต่างๆ ในโลกใต้ที่มีต่อกลุ่ม BRICS และเรียกร้องให้ประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด โดยเฉพาะในแอฟริกา เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นใน
    กระบวนการระดับโลก

    5.วิกฤตการณ์โลกที่BRICSประกาศต่อต้าน:

    -เอกสารปฏิญญาดังกล่าว “ประณาม” การใช้มาตรการคว่ำบาตรที่เลือกปฏิบัติและมีแรงจูงใจทางการเมืองอย่างผิดกฎหมาย และเน้นย้ำถึงผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลก

    -กลุ่ม BRICS คัดค้านการนำอาวุธไปใช้ในอวกาศ และสนับสนุนการเสริมสร้างระบอบการไม่แพร่ขยายอาวุธและการปลดอาวุธทั่วโลก รวมถึงการปฏิบัติตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับมาตรการป้องกันไม่ให้อาวุธทำลายล้างสูงตกไปอยู่ในมือของผู้ก่อการร้าย โดยเรียกร้องให้มีการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเพื่อช่วยเหลือในการต่อสู้กับยาเสพติด

    -สมาชิกกลุ่มได้สรุปจุดยืนของตนเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในยูเครน และรับทราบข้อเสนอในการไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้งโดยผ่านการเจรจา

    - กลุ่ม BRICS แสดงการสนับสนุนต่อการเข้าเป็นสมาชิกอย่างเต็มตัวของปาเลสไตน์ในสหประชาชาติ

    -คำประกาศดังกล่าวประณามการโจมตีของอิสราเอลต่อเจ้าหน้าที่ UN ในเลบานอน และการโจมตีด้วยการก่อการร้ายด้วยระเบิดเพจเจอร์สังหารเมื่อวันที่ 17 กันยายน2567

    -BRICS ยินดีต้อนรับการจัดตั้งประธานสภาช่วงเปลี่ยนผ่านของเฮติและสภาการเลือกตั้งเพื่อแก้ไขวิกฤตที่กำลังรุมเร้าประเทศแคริบเบียน

    -กลุ่ม BRICS แสดงความกังวลเกี่ยวกับความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นและสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายลงในซูดาน และเรียกร้องให้หยุดยิง

    -คำประกาศนี้วิพากษ์วิจารณ์การนำสิทธิมนุษยชนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองและมาตรฐานที่ไม่เท่าเทียมกันในพื้นที่นี้

    -เอกสารนี้แสดงการต่อต้านการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบในกีฬา

    ที่มา สำนักข่าว Sputnik
    https://x.com/sputnikint/status/1849128202633166937?s=46&t=nn3z3yuHSlOFcPbFyzmrQA

    #Thaitimes
    ปฏิญญาคาซาน BRICS2024 มีอะไรอยู่ในคำประกาศคาซานของการประชุมสุดยอดกลุ่ม BRICS BRICS ได้รับรองคำประกาศปฏิญญาขั้นสุดท้ายของการประชุมสุดยอดBRICS Plus Summit 2024 ครั้งที่ 16 ที่เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย และมีแผนที่จะยื่นเอกสารปฏิญญาดังกล่าวต่อสหประชาชาติ โดยมีเนื้อหาดังนี้: 1 .ความจำเป็นในการปฏิรูปสถาบันระดับโลก: - สถาบันในระบบการเงินระหว่างประเทศของเบรตตันวูดส์ รวมทั้งองค์กรการค้าโลก ควรได้รับการปฏิรูปเพื่อให้สามารถเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประเทศกำลังพัฒนาได้ดีขึ้น - BRICS คัดค้านมาตรการ“ฝ่ายเดียว”ห้ามเลือกปฏิบัติ และคุ้มครองทางการค้าที่ดำเนินการภายใต้ข้ออ้างในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ซึ่งรวมถึงกลไกการปรับการปล่อยคาร์บอนและภาษี 2.BRICS สนับสนุนการปฏิรูปสหประชาชาติอย่างครอบคลุม รวมถึงคณะมนตรีความมั่นคง เพื่อให้เป็นตัวแทนประชาคมโลกมากขึ้น และระบุถึงความสำคัญขององค์การนี้ในระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆ 3.โครงการริเริ่มใหม่: - สมาชิก BRICS ตระหนักถึงศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเชื่อมช่องว่างทางดิจิทัลระหว่างประเทศต่างๆ เพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม -BRICS ตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงธนาคารพัฒนาใหม่ NDB ให้สามารถตอบสนองความต้องการของศตวรรษที่ 21 -BRICS สนับสนุนการจัดทำแพลตฟอร์มเทคโนโลยีใหม่เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อการพัฒนา รวมถึงการสร้างผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีขั้นสูงโดยใช้ศักยภาพทางเทคโนโลยีในประเทศเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตที่ “ยั่งยืนและครอบคลุม” องค์กรBRICS ตกลงที่จะสำรวจการสร้างโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินและการฝากเงินข้ามพรมแดนแบบอิสระที่เรียกว่า BRICS Clear - BRICS พร้อมที่จะเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนายารักษาโรค รวมถึงวัคซีนและโครงการเวชศาสตร์นิวเคลียร์ - BRICS ยินดีต้อนรับการสร้างแพลตฟอร์มการขนส่งและโลจิสติกส์ที่เป็นหนึ่งเดียว คำประกาศดังกล่าวสนับสนุนข้อเสนอของรัสเซียในการสร้างตลาดแลกเปลี่ยนธัญพืชเพื่อ "ส่งเสริมการค้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและปุ๋ยตามกฎเกณฑ์ และลดการหยุดชะงักให้เหลือน้อยที่สุด" 4.การขยายความร่วมมือ: - คำประกาศดังกล่าวยินดีกับการขยายการใช้สกุลเงินประจำชาติในการทำธุรกรรมระหว่างสมาชิก BRICS และพันธมิตรทางการค้า -เอกสารปฏิญญาดังกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการขยายความร่วมมือบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน และการสร้างความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ให้มากยิ่งขึ้นระหว่างสมาชิกกลุ่ม BRICS รวมถึงการดำเนินการตามกลยุทธ์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของกลุ่มต่อไป และทางกลุ่มBRICSยินดีต้อนรับความสนใจของประเทศต่างๆ ในโลกใต้ที่มีต่อกลุ่ม BRICS และเรียกร้องให้ประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด โดยเฉพาะในแอฟริกา เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นใน กระบวนการระดับโลก 5.วิกฤตการณ์โลกที่BRICSประกาศต่อต้าน: -เอกสารปฏิญญาดังกล่าว “ประณาม” การใช้มาตรการคว่ำบาตรที่เลือกปฏิบัติและมีแรงจูงใจทางการเมืองอย่างผิดกฎหมาย และเน้นย้ำถึงผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลก -กลุ่ม BRICS คัดค้านการนำอาวุธไปใช้ในอวกาศ และสนับสนุนการเสริมสร้างระบอบการไม่แพร่ขยายอาวุธและการปลดอาวุธทั่วโลก รวมถึงการปฏิบัติตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับมาตรการป้องกันไม่ให้อาวุธทำลายล้างสูงตกไปอยู่ในมือของผู้ก่อการร้าย โดยเรียกร้องให้มีการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเพื่อช่วยเหลือในการต่อสู้กับยาเสพติด -สมาชิกกลุ่มได้สรุปจุดยืนของตนเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในยูเครน และรับทราบข้อเสนอในการไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้งโดยผ่านการเจรจา - กลุ่ม BRICS แสดงการสนับสนุนต่อการเข้าเป็นสมาชิกอย่างเต็มตัวของปาเลสไตน์ในสหประชาชาติ -คำประกาศดังกล่าวประณามการโจมตีของอิสราเอลต่อเจ้าหน้าที่ UN ในเลบานอน และการโจมตีด้วยการก่อการร้ายด้วยระเบิดเพจเจอร์สังหารเมื่อวันที่ 17 กันยายน2567 -BRICS ยินดีต้อนรับการจัดตั้งประธานสภาช่วงเปลี่ยนผ่านของเฮติและสภาการเลือกตั้งเพื่อแก้ไขวิกฤตที่กำลังรุมเร้าประเทศแคริบเบียน -กลุ่ม BRICS แสดงความกังวลเกี่ยวกับความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นและสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายลงในซูดาน และเรียกร้องให้หยุดยิง -คำประกาศนี้วิพากษ์วิจารณ์การนำสิทธิมนุษยชนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองและมาตรฐานที่ไม่เท่าเทียมกันในพื้นที่นี้ -เอกสารนี้แสดงการต่อต้านการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบในกีฬา ที่มา สำนักข่าว Sputnik https://x.com/sputnikint/status/1849128202633166937?s=46&t=nn3z3yuHSlOFcPbFyzmrQA #Thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 457 Views 0 Reviews
  • #หนึ่งในร้อย

    ก่อนหน้าละครฉายไม่นาน ผมเคยพูดถึงเรื่องนี้ไปหนหนึ่ง มาบัดนี้ละครออกอากาศได้ประมาณครึ่งทางแล้วกระมัง อยากพูดถึงอีกครั้งด้วยเป็นนิยายของดอกไม้สดที่เป็นเรื่องในดวงใจมาตั้งแต่เด็ก

    ละครทำออกมาได้ทั้งเป็นที่ต้องใจ และติดใจ ต้องใจในที่นี้หมายถึงมีส่วนที่ชื่นชอบ ติดใจในที่นี้หมายถึงมีส่วนที่แปลงไปเยอะพอสมควร ที่โดยส่วนตัวอดคิดไม่ได้ว่ามีความจำเป็นเพียงใด จึงต้องเปลี่ยนไปในลักษณะนั้น

    แต่เอาเถิด เข้าใจว่าต้นฉบับเรื่องหนึ่งในร้อยนี้ เป็นนิยายซึ่งยากมากที่จะสร้างขึ้นมาเป็นละคร เพราะโดยความเป็นจริงนั้นถูกเขียนมาเพื่อเหมาะกับเป็นเรื่องสำหรับอ่านมากที่สุด ทว่าแน่นอน คนที่อ่านแล้วชื่นชอบในนิยายเรื่องนี้ เชื่อว่าโดยมากต้องมีภาพในจินตนาการโลดแล่นอยู่ในหัว ที่เป็นไปได้ก็อยากเห็นภาพเคลื่อนไหวหรือคนที่เป็นตัวตนจริง และรอมาอย่างยาวนานว่าจะมีโอกาสได้เห็นอนงค์และคุณพระอรรถคดี โลดแล่นอยู่ในจอให้ชมในสักวันหนึ่ง(ไม่ได้ดูเวอร์ชันคุณภิญโญ ทองเจือ เพราะยังเด็กเกินที่จะสนใจดูละคร) ซึ่งต้องขอขอบคุณผู้จัดในข้อนี้ที่เห็นคุณค่าบทประพันธ์ของดอกไม้สด จนนำมาสู่การทำฝันในวัยเยาว์ของผมให้กลายเป็นจริง

    .

    ด้วยความที่ถูกนำมาสร้าง ณ ปี พ.ศ. 2567 แม้นจะยังคงยุคสมัยตามช่วงเวลาในนิยายก็ตาม แน่นอนว่าคนรุ่นใหม่ที่เกิดไม่ทันได้อ่านหนึ่งในร้อยมาก่อนย่อมมีอยู่เป็นจำนวนมาก และคนในรุ่นนี้เองที่เติบโตมากับเทคโนโลยีต่าง ๆ และโลกในชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายแทบทุกอย่าง ทำให้โดยพื้นฐานแล้วส่วนใหญ่พวกเขามักไม่ทนกับอะไรที่ค่อยเป็นค่อยไป ดำเนินเรื่องอย่างเชื่องช้า เนิบ ๆ ดังเช่นความรักของคนในยุคที่นิยายหนึ่งในร้อยถือกำเนิด ด้วยความอดทนอันจำกัดนี้เอง คงเป็นเหตุผลสำคัญที่คนเขียนบทมีโจทย์สำคัญเป็นการบ้านว่าทำอย่างไร จะให้ละครในแต่ละตอนดึงดูดคนดูกลุ่มนี้ ที่ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญให้ตรึงสายตาไว้กับอนงค์และคุณพระอรรถคดีได้ตลอด ตั้งแต่เริ่มฉายจนจบฉากสุดท้ายในแต่ละตอน โดยไม่เปลี่ยนช่องหรือหันเหความสนใจไปทำอย่างอื่นเสีย จึงปรากฏเป็นหนึ่งในร้อยที่มีอนงค์และคุณพระอรรถซึ่งถูกใส่จริตและเสริมบุคลิกให้มีความเป็นไปได้มากที่สุดเพื่อดึงดูดใจ ให้คนดูหลงรักในตัวละครทั้งสองตั้งแต่ตอนแรก

    .

    หลายเหตุการณ์หลายตัวละครที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ ซึ่งไม่มีในต้นฉบับเดิม หรือแม้นกระทั่งอนงค์ที่ได้รับการปรับให้เก่งกล้าเกินงามในบางสถานการณ์ อีกทั้งมั่นใจในตัวเองสูงมาก จนเหมือนจะเป็นอนงค์ขั้นสุด ที่ไม่ใช่แค่ขั้นกว่า เรียกว่ามีความเข้มข้นของพลังงานชีวิตเปี่ยมล้นจนแสดงออกมาเกินขีดอยู่บ้าง แต่เพราะเป็นญาญ่าแสดง จึงพอให้อภัยทำเป็นมองข้ามไปไม่ติดใจมาก ด้วยว่าสวมบทอนงค์ได้อย่างน่าเอ็นดูยิ่ง หากเป็นคนอื่นมารับบทนี้ ยังนึกไม่ออกเช่นกันว่าจะรอดหรือไม่ อาจจะได้ภาพของอนงค์ที่น่าเกลียดน่าชังไปเลยก็เป็นได้ และเพราะบทบาทของอนงค์ในนิยายนั้นถูกกล่าวถึงน้อยมาก รายละเอียดของเรื่องส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ตัวของคุณพระฯ ที่เป็นหัวใจหลักของนิยาย ส่วนมากเนื้อหาบอกเล่าประวัติความเป็นมาแต่หนหลังเชื่อมต่อมาถึงปัจจุบัน ที่คุณพระฯ มีความสัมพันธ์กับตัวละครอื่น ๆ ในทางไหนอย่างไรบ้าง ส่วนอนงค์เพียงถูกกล่าวถึงแบบโฉบไปเฉี่ยวมา ฉากที่พบกันระหว่างพระนางมีอยู่แค่ไม่กี่หนตลอดทั้งเรื่อง โดยมากอนงค์จะรับรู้เรื่องของคุณพระฯ ผ่านการบอกเล่าของแม่ช้อยมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจได้ว่าทำไมผู้เขียนบทจึงต้องทำงานหนักมาก ในการเปลี่ยนให้อนงค์ในนิยายกลายเป็นตัวละครที่ถูกดึงขึ้นมาให้ได้รับบทบาทที่เด่นพอ ๆ กันหรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับตัวเอกของเรื่อง ไม่อย่างนั้นคนดูคงจะไม่ติดตามและทิ้งละครไปอย่างรวดเร็วเป็นแน่

    .

    แต่ส่วนที่น่าเสียดายที่ดูเหมือนจะหายไปคือนิสัยรักการจดบันทึกหรือเขียนไดอารีของอนงค์ ที่ต้นฉบับหากรับรู้เรื่องราวใดมาจากปากแม่ช้อย เธอจะรีบนำมาเขียนใส่ไว้ในสมุดบันทึกประจำตัว เพื่อเก็บไว้อ่านคนเดียว ซึ่งคนอ่านก็จะสามารถทราบถึงจิตใจของเธอที่มีต่อคุณพระฯ จากสิ่งที่เธอเขียนนั่นเอง ซึ่งเป็นส่วนที่ดีมากและแทบจะไม่พบเลยในเวอร์ชันละคร นอกจากแค่ตอนที่อนงค์ทำเป็นสมุดเล่มเล็กที่มีภาพและคำแนะนำตัวเองแล้วมอบให้คุณพระฯ ซึ่งออกจะเป็นการกระทำที่ค่อนข้างเสี่ยงต่อภาพพจน์ที่ถูกมองจากคนอย่างคุณพระฯได้เหมือนกัน

    .

    จากนี้ต่อไปในอีกครึ่งทางที่เหลือนั้น ไม่แน่ใจว่าเรื่องราวที่ถูกเขียนขึ้นใหม่จะเป็นไปในทิศทางไหน คุณพระฯเองก็ถูกปรับให้คล้ายจะกลายเป็นโฮล์มส์ ที่ขยายการงานให้กว้างออกไปจากในหนังสือเพื่อจะได้มีอะไรให้เล่นกับบทละครมากขึ้น จึงเป็นคุณพระฯ ที่เหมือนอยู่กันคนละโลกกับคุณพระฯในนิยาย ส่วนชัดก็กลายเป็นคนที่อ่อนแอจนปวกเปียกไม่สมกับที่เป็นทหารสักนิด และเห็นแก่ตัวเองอย่างร้ายกาจจนน่ารังเกียจไปเลย เพราะต้นฉบับนิยายนั้นชัดเปลี่ยนใจจากอนงค์มาหาจันทร ด้วยความที่ไม่ระแคะระคายมาก่อนว่าพี่ชายนั้นรักจันทรอยู่ก่อนแล้ว จึงได้ขอร้องให้พี่ช่วยไปสู่ขอจันทรแทนแม่

    ส่วนด้านอื่นที่ดีงามนั้นมีคนพูดกันไปมากแล้ว จึงไม่ขอพูดซ้ำ แต่สิ่งที่อยากจะกล่าวถึงอย่างมาก ที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องนี้เลยก็คือ ความหมายของชื่อเรื่อง "หนึ่งในร้อย"

    .

    หนึ่งในร้อย เป็นคำเปรียบถึงคนอย่างคุณพระฯ เรื่องนี้ชัดเจนแน่นอน ความดีของตัวละครนี้ สำหรับคนที่ดูละครอย่างเดียวอาจเห็นภาพได้ไม่ตรงและใสเท่าในบทประพันธ์ เพราะหนังสือมีเวลาให้ผู้เขียนได้ใส่รายละเอียด และเล่าให้คนอ่านสามารถรู้ชัดเจนถึงที่มาที่ไปแห่งความเป็นคน ซึ่งมีความเป็นสัตบุรุษคือไม่ใช่แค่ดีอย่างทั่วไปหรือดีแบบโลก ๆ เท่านั้น แต่มีความดำรงตนอยู่ในศีลและตั้งตนให้ดำรงมั่นในธรรมะที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ให้ใจไม่ไหลไปตามกระแสแห่งความต้องการที่เป็นอำนาจฝ่ายต่ำ จึงไม่ถูกชักจูงโดยง่ายจากแรงเร้าภายนอกที่มากระทบ ด้วยเหตุนี้คุณพระฯ จึงมีคุณธรรมอยู่ประจำใจเสมอ อันจะคอยคัดท้ายไม่ให้หลุดออกนอกเส้นทางดีงาม แม้นมีบางคราวที่ต้องผจญคลื่นลมพายุโหมกระหน่ำจนถึงขั้นแทบอับปาง เกือบจะไม่สามารถนำพานาวาชีวิตล่องฝ่าภัยต่อไปเหนือลำน้ำได้ แต่สุดท้ายก็รอดพ้นจากวิกฤตและได้รับผลแห่งความดีที่ทำมาด้วยความสุขใจในเบื้องปลาย

    .

    ทว่าคุณพระฯ เองก็ยังมีข้อเสียที่เด่นชัดมาก หากจะมองให้ลึกลงไป นั่นคือการที่เขาช่วยคนโดยเน้นไปที่การอนุเคราะห์ เติมเต็มความต้องการทางด้านปัจจัยสี่ให้แก่แม่และน้อง ๆ หรือคนที่รู้จัก และแม้นในคนทั่วไปเท่าที่อาชีพการงานและฐานะแห่งตนจะพอทำได้ แต่ไม่ได้ช่วยด้วยการฝึกให้คนเหล่านั้นรู้จักการช่วยเหลือตนเอง ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าถึงคราวที่คุณพระฯ อยู่ในสถานะอันลำบากในทางใดทางหนึ่ง ที่ไม่อาจจะให้ความช่วยเหลือหรือจำต้องปฏิเสธคำขอร้อง บรรดาคนซึ่งเคยได้รับเป็นประจำจากเขามาโดยตลอด จึงเกิดความไม่พอใจ กลายเป็นความโกรธ จนหลุดแสดงอำนาจและกิเลสในใจตนให้ระเบิดออกมาอย่างกับคนเสียจริต เห็นได้จากแม่และชัดเป็นต้น

    .

    ดังนั้นการช่วยคนที่ประเสริฐเลิศยอดที่สุด ที่จะไม่กลับเป็นภัยย้อนมาทำร้ายตัวของคนซึ่งเป็นผู้ให้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งต้องเน้นช่วยคนด้วยการให้เขารู้จักการช่วยเหลือตัวเองให้อยู่รอดได้ โดยไม่เป็นเพียงผู้ขอร่ำไปตลอดไป นั่นคือสิ่งที่ผมได้ฟังอยู่เสมอจากคำสอนของพระอาจารย์ที่เคารพศรัทธา ด้วยพรหมวิหาร 4 นั้นมีความสำคัญอย่างมากสำหรับคนผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ คือต้องมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แต่ถ้าเมตตาไม่มีประมาณแล้วขาดซึ่งปัญญากำกับ เมตตานั้นจะเป็นเช่นอาวุธที่หันกลับสู่ตนหากไม่ระวัง

    .

    คุณพระฯ เองมีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะกับญาติจนถึงขั้นให้ความช่วยเหลือคือความกรุณาดังแสดงออกให้เห็น และมีจิตพลอยยินดีในเมื่อผู้อื่นได้รับความเจริญหรือผลแห่งความสำเร็จ ไม่เกิดอิจฉาริษยาประทุษร้ายกับใครแม้นเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่คุณพระฯ ยังสอบไม่ผ่านในข้ออุเบกขา คือไม่รู้จักที่จะตัดรอบ ช่วยได้เท่าที่ช่วยไหว สัตว์โลกล้วนมีวิบากแห่งตนซึ่งได้สั่งสมมาไม่ว่าทางร้ายหรือดี ไม่ใช่ต้องเอาชีวิตของเขาขึ้นมาแบกหามไว้ราวกับเป็นเรื่องของตนเองไปเสียทั้งหมด คือช่วยแล้วปล่อยวางไม่ลง แม่ก็แล้ว น้อง ๆ หลายคนและครอบครัวของน้องก็อีก จึงต้องตกที่นั่งถูกคนที่ตนให้ความช่วยเหลือนั้นวกกลับมาทำร้ายตนจนสาหัสแทบจะสิ้นลมหายใจ เป็นการเบียดเบียนตนเองซึ่งทางพุทธศาสนาไม่สรรเสริญ

    .

    ดังนั้น คนอย่างคุณพระฯ อาจหาได้ยาก ดังเช่นคำว่า "หนึ่งในร้อย" แต่คนที่หาได้ยากกว่าอาจถึงขั้น "หนึ่งในล้าน" คือคนที่เข้าใจ และเข้าถึง หลักธรรมในหมวด 4 ของพุทธศาสนาอย่างแท้จริงและนำมาปฏิบัติได้คือ เมตตาได้ทุกผู้แม้เป็นศัตรูของตัวเอง ช่วยเหลือได้ทุกคนเท่าที่ช่วยไหวโดยไม่เดือดร้อน มีใจร่วมยินดีเมื่อเห็นว่าเขาได้ดี ปราศจากความคิดมุ่งร้ายอยากทำลาย สุดท้ายคือไม่อนาทรร้อนใจแม้นไม่สามารถช่วยได้ ด้วยเห็นแล้วว่าไม่อาจช่วย หรือช่วยต่อไปจะเป็นโทษต่อเขาและต่อเรามากกว่า ก็ต้องปล่อยเขาไปตามทางที่เขาสร้างมา

    .

    ตอนล่าสุดเมื่อคืนยังไม่ว่างดูสดแบบเต็ม ๆ เลย แค่ผ่านตาแวบ ๆ บางฉาก แต่ก็พอเดาทิศทางได้เลา ๆ ว่าบทดัดแปลงคงจะพาอนงค์และคุณพระฯ ทะลุมิติท่องไปไกลในดินแดนอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละโลกกับเรื่องที่เกิดขึ้นในนิยาย ถ้าเรียกภาษาคนรุ่นใหม่คงจะใช้คำว่า ตัวละครเดียวกันแต่อยู่คนละมัลติเวิร์ส(ไม่แน่ใจสะกดเช่นนี้หรือไม่)กระมัง

    นี่คือส่วนที่หวั่นใจมาตลอด เพราะในสัปดาห์ก่อนที่เห็นว่าฉากสำคัญที่อยู่ตอนท้ายในนิยาย คือคุณพระล้มเจ็บ ถูกร่นขึ้นมาตั้งแต่กลางเรื่อง อีกทั้งความดราม่าที่ถูกผูกขึ้นใหม่ระหว่างตัวละคร 3-4 ตัว ก็ทำให้พอจะคาดการณ์ได้ว่า ต่อจากนี้ไปคงจะเป็นการด้นใส่อะไรต่อมิอะไรเข้ามาอีกมาก และไม่รู้ว่าจะไปจบลงที่ตรงไหน ก็ได้แต่ละเหี่ยใจ

    .

    ความดีงามของอนงค์ในหนังสือ ที่แม้นเป็นสาวสมัยใหม่ในยุคนั้น แต่ยังมีความรู้รักในเกียรติและศักดิ์ศรีของกุลสตรี ฉลาดและมีเฉลียว อีกทั้งมองคนออกอย่างเลิศ วางตัวเหมาะสมไม่ทำอะไรที่จะไปสะกิดให้คุณพระฯ นึกหยามหรือดูแคลนเอาได้

    จนกระทั่งถึงเวลาที่ทุกอย่างดำเนินไปจนถึงที่สุด จึงกล้าเผยหัวใจตนให้คนที่แอบเทิดทูนบูชารับรู้ ทั้งที่ทราบอยู่แก่ใจว่าอาจทำให้คุณพระฯ มองเธอไปในแง่ไม่ดี แต่ใจที่นึกเวทนาสงสารบวกความรักที่งอกเงยมานานมันเปี่ยมล้นพ้นใจ เกินกว่าจะเก็บกลั้นไว้ภายใน จึงได้ปลดปล่อยไหลทะลักไปในครานั้น แต่แม้จะหลุดคำพูดฝากรัก หากถ้อยคำที่สื่อสารก็ยังเปี่ยมด้วยมธุรส และงดงามในภาษาที่ช่างสรรคำมาเจรจาอย่างน่าทึ่ง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นคงจะไม่อาจคาดหวังว่าจะได้พบเจอเสียแล้ว เพราะได้ถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นอนงค์ในแบบฉบับที่เหมือนปล่อยให้อำนาจความรัก ชักจูงเธอไปให้คิดและทำในสิ่งซึ่งอนงค์ในนิยายจะไม่มีวันทำเป็นอันขาด

    น่าเสียดาย...

    ภาพประกอบขอยืมจากในเน็ต

    #thaitimes
    #ดอกไม้สด
    #ละคร
    #mycherieamour
    #วิเคราะห์ตัวละคร
    #วิจารณ์ละคร
    #หนึ่งในร้อย ก่อนหน้าละครฉายไม่นาน ผมเคยพูดถึงเรื่องนี้ไปหนหนึ่ง มาบัดนี้ละครออกอากาศได้ประมาณครึ่งทางแล้วกระมัง อยากพูดถึงอีกครั้งด้วยเป็นนิยายของดอกไม้สดที่เป็นเรื่องในดวงใจมาตั้งแต่เด็ก ละครทำออกมาได้ทั้งเป็นที่ต้องใจ และติดใจ ต้องใจในที่นี้หมายถึงมีส่วนที่ชื่นชอบ ติดใจในที่นี้หมายถึงมีส่วนที่แปลงไปเยอะพอสมควร ที่โดยส่วนตัวอดคิดไม่ได้ว่ามีความจำเป็นเพียงใด จึงต้องเปลี่ยนไปในลักษณะนั้น แต่เอาเถิด เข้าใจว่าต้นฉบับเรื่องหนึ่งในร้อยนี้ เป็นนิยายซึ่งยากมากที่จะสร้างขึ้นมาเป็นละคร เพราะโดยความเป็นจริงนั้นถูกเขียนมาเพื่อเหมาะกับเป็นเรื่องสำหรับอ่านมากที่สุด ทว่าแน่นอน คนที่อ่านแล้วชื่นชอบในนิยายเรื่องนี้ เชื่อว่าโดยมากต้องมีภาพในจินตนาการโลดแล่นอยู่ในหัว ที่เป็นไปได้ก็อยากเห็นภาพเคลื่อนไหวหรือคนที่เป็นตัวตนจริง และรอมาอย่างยาวนานว่าจะมีโอกาสได้เห็นอนงค์และคุณพระอรรถคดี โลดแล่นอยู่ในจอให้ชมในสักวันหนึ่ง(ไม่ได้ดูเวอร์ชันคุณภิญโญ ทองเจือ เพราะยังเด็กเกินที่จะสนใจดูละคร) ซึ่งต้องขอขอบคุณผู้จัดในข้อนี้ที่เห็นคุณค่าบทประพันธ์ของดอกไม้สด จนนำมาสู่การทำฝันในวัยเยาว์ของผมให้กลายเป็นจริง . ด้วยความที่ถูกนำมาสร้าง ณ ปี พ.ศ. 2567 แม้นจะยังคงยุคสมัยตามช่วงเวลาในนิยายก็ตาม แน่นอนว่าคนรุ่นใหม่ที่เกิดไม่ทันได้อ่านหนึ่งในร้อยมาก่อนย่อมมีอยู่เป็นจำนวนมาก และคนในรุ่นนี้เองที่เติบโตมากับเทคโนโลยีต่าง ๆ และโลกในชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายแทบทุกอย่าง ทำให้โดยพื้นฐานแล้วส่วนใหญ่พวกเขามักไม่ทนกับอะไรที่ค่อยเป็นค่อยไป ดำเนินเรื่องอย่างเชื่องช้า เนิบ ๆ ดังเช่นความรักของคนในยุคที่นิยายหนึ่งในร้อยถือกำเนิด ด้วยความอดทนอันจำกัดนี้เอง คงเป็นเหตุผลสำคัญที่คนเขียนบทมีโจทย์สำคัญเป็นการบ้านว่าทำอย่างไร จะให้ละครในแต่ละตอนดึงดูดคนดูกลุ่มนี้ ที่ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญให้ตรึงสายตาไว้กับอนงค์และคุณพระอรรถคดีได้ตลอด ตั้งแต่เริ่มฉายจนจบฉากสุดท้ายในแต่ละตอน โดยไม่เปลี่ยนช่องหรือหันเหความสนใจไปทำอย่างอื่นเสีย จึงปรากฏเป็นหนึ่งในร้อยที่มีอนงค์และคุณพระอรรถซึ่งถูกใส่จริตและเสริมบุคลิกให้มีความเป็นไปได้มากที่สุดเพื่อดึงดูดใจ ให้คนดูหลงรักในตัวละครทั้งสองตั้งแต่ตอนแรก . หลายเหตุการณ์หลายตัวละครที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ ซึ่งไม่มีในต้นฉบับเดิม หรือแม้นกระทั่งอนงค์ที่ได้รับการปรับให้เก่งกล้าเกินงามในบางสถานการณ์ อีกทั้งมั่นใจในตัวเองสูงมาก จนเหมือนจะเป็นอนงค์ขั้นสุด ที่ไม่ใช่แค่ขั้นกว่า เรียกว่ามีความเข้มข้นของพลังงานชีวิตเปี่ยมล้นจนแสดงออกมาเกินขีดอยู่บ้าง แต่เพราะเป็นญาญ่าแสดง จึงพอให้อภัยทำเป็นมองข้ามไปไม่ติดใจมาก ด้วยว่าสวมบทอนงค์ได้อย่างน่าเอ็นดูยิ่ง หากเป็นคนอื่นมารับบทนี้ ยังนึกไม่ออกเช่นกันว่าจะรอดหรือไม่ อาจจะได้ภาพของอนงค์ที่น่าเกลียดน่าชังไปเลยก็เป็นได้ และเพราะบทบาทของอนงค์ในนิยายนั้นถูกกล่าวถึงน้อยมาก รายละเอียดของเรื่องส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ตัวของคุณพระฯ ที่เป็นหัวใจหลักของนิยาย ส่วนมากเนื้อหาบอกเล่าประวัติความเป็นมาแต่หนหลังเชื่อมต่อมาถึงปัจจุบัน ที่คุณพระฯ มีความสัมพันธ์กับตัวละครอื่น ๆ ในทางไหนอย่างไรบ้าง ส่วนอนงค์เพียงถูกกล่าวถึงแบบโฉบไปเฉี่ยวมา ฉากที่พบกันระหว่างพระนางมีอยู่แค่ไม่กี่หนตลอดทั้งเรื่อง โดยมากอนงค์จะรับรู้เรื่องของคุณพระฯ ผ่านการบอกเล่าของแม่ช้อยมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจได้ว่าทำไมผู้เขียนบทจึงต้องทำงานหนักมาก ในการเปลี่ยนให้อนงค์ในนิยายกลายเป็นตัวละครที่ถูกดึงขึ้นมาให้ได้รับบทบาทที่เด่นพอ ๆ กันหรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับตัวเอกของเรื่อง ไม่อย่างนั้นคนดูคงจะไม่ติดตามและทิ้งละครไปอย่างรวดเร็วเป็นแน่ . แต่ส่วนที่น่าเสียดายที่ดูเหมือนจะหายไปคือนิสัยรักการจดบันทึกหรือเขียนไดอารีของอนงค์ ที่ต้นฉบับหากรับรู้เรื่องราวใดมาจากปากแม่ช้อย เธอจะรีบนำมาเขียนใส่ไว้ในสมุดบันทึกประจำตัว เพื่อเก็บไว้อ่านคนเดียว ซึ่งคนอ่านก็จะสามารถทราบถึงจิตใจของเธอที่มีต่อคุณพระฯ จากสิ่งที่เธอเขียนนั่นเอง ซึ่งเป็นส่วนที่ดีมากและแทบจะไม่พบเลยในเวอร์ชันละคร นอกจากแค่ตอนที่อนงค์ทำเป็นสมุดเล่มเล็กที่มีภาพและคำแนะนำตัวเองแล้วมอบให้คุณพระฯ ซึ่งออกจะเป็นการกระทำที่ค่อนข้างเสี่ยงต่อภาพพจน์ที่ถูกมองจากคนอย่างคุณพระฯได้เหมือนกัน . จากนี้ต่อไปในอีกครึ่งทางที่เหลือนั้น ไม่แน่ใจว่าเรื่องราวที่ถูกเขียนขึ้นใหม่จะเป็นไปในทิศทางไหน คุณพระฯเองก็ถูกปรับให้คล้ายจะกลายเป็นโฮล์มส์ ที่ขยายการงานให้กว้างออกไปจากในหนังสือเพื่อจะได้มีอะไรให้เล่นกับบทละครมากขึ้น จึงเป็นคุณพระฯ ที่เหมือนอยู่กันคนละโลกกับคุณพระฯในนิยาย ส่วนชัดก็กลายเป็นคนที่อ่อนแอจนปวกเปียกไม่สมกับที่เป็นทหารสักนิด และเห็นแก่ตัวเองอย่างร้ายกาจจนน่ารังเกียจไปเลย เพราะต้นฉบับนิยายนั้นชัดเปลี่ยนใจจากอนงค์มาหาจันทร ด้วยความที่ไม่ระแคะระคายมาก่อนว่าพี่ชายนั้นรักจันทรอยู่ก่อนแล้ว จึงได้ขอร้องให้พี่ช่วยไปสู่ขอจันทรแทนแม่ ส่วนด้านอื่นที่ดีงามนั้นมีคนพูดกันไปมากแล้ว จึงไม่ขอพูดซ้ำ แต่สิ่งที่อยากจะกล่าวถึงอย่างมาก ที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องนี้เลยก็คือ ความหมายของชื่อเรื่อง "หนึ่งในร้อย" . หนึ่งในร้อย เป็นคำเปรียบถึงคนอย่างคุณพระฯ เรื่องนี้ชัดเจนแน่นอน ความดีของตัวละครนี้ สำหรับคนที่ดูละครอย่างเดียวอาจเห็นภาพได้ไม่ตรงและใสเท่าในบทประพันธ์ เพราะหนังสือมีเวลาให้ผู้เขียนได้ใส่รายละเอียด และเล่าให้คนอ่านสามารถรู้ชัดเจนถึงที่มาที่ไปแห่งความเป็นคน ซึ่งมีความเป็นสัตบุรุษคือไม่ใช่แค่ดีอย่างทั่วไปหรือดีแบบโลก ๆ เท่านั้น แต่มีความดำรงตนอยู่ในศีลและตั้งตนให้ดำรงมั่นในธรรมะที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ให้ใจไม่ไหลไปตามกระแสแห่งความต้องการที่เป็นอำนาจฝ่ายต่ำ จึงไม่ถูกชักจูงโดยง่ายจากแรงเร้าภายนอกที่มากระทบ ด้วยเหตุนี้คุณพระฯ จึงมีคุณธรรมอยู่ประจำใจเสมอ อันจะคอยคัดท้ายไม่ให้หลุดออกนอกเส้นทางดีงาม แม้นมีบางคราวที่ต้องผจญคลื่นลมพายุโหมกระหน่ำจนถึงขั้นแทบอับปาง เกือบจะไม่สามารถนำพานาวาชีวิตล่องฝ่าภัยต่อไปเหนือลำน้ำได้ แต่สุดท้ายก็รอดพ้นจากวิกฤตและได้รับผลแห่งความดีที่ทำมาด้วยความสุขใจในเบื้องปลาย . ทว่าคุณพระฯ เองก็ยังมีข้อเสียที่เด่นชัดมาก หากจะมองให้ลึกลงไป นั่นคือการที่เขาช่วยคนโดยเน้นไปที่การอนุเคราะห์ เติมเต็มความต้องการทางด้านปัจจัยสี่ให้แก่แม่และน้อง ๆ หรือคนที่รู้จัก และแม้นในคนทั่วไปเท่าที่อาชีพการงานและฐานะแห่งตนจะพอทำได้ แต่ไม่ได้ช่วยด้วยการฝึกให้คนเหล่านั้นรู้จักการช่วยเหลือตนเอง ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าถึงคราวที่คุณพระฯ อยู่ในสถานะอันลำบากในทางใดทางหนึ่ง ที่ไม่อาจจะให้ความช่วยเหลือหรือจำต้องปฏิเสธคำขอร้อง บรรดาคนซึ่งเคยได้รับเป็นประจำจากเขามาโดยตลอด จึงเกิดความไม่พอใจ กลายเป็นความโกรธ จนหลุดแสดงอำนาจและกิเลสในใจตนให้ระเบิดออกมาอย่างกับคนเสียจริต เห็นได้จากแม่และชัดเป็นต้น . ดังนั้นการช่วยคนที่ประเสริฐเลิศยอดที่สุด ที่จะไม่กลับเป็นภัยย้อนมาทำร้ายตัวของคนซึ่งเป็นผู้ให้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งต้องเน้นช่วยคนด้วยการให้เขารู้จักการช่วยเหลือตัวเองให้อยู่รอดได้ โดยไม่เป็นเพียงผู้ขอร่ำไปตลอดไป นั่นคือสิ่งที่ผมได้ฟังอยู่เสมอจากคำสอนของพระอาจารย์ที่เคารพศรัทธา ด้วยพรหมวิหาร 4 นั้นมีความสำคัญอย่างมากสำหรับคนผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ คือต้องมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แต่ถ้าเมตตาไม่มีประมาณแล้วขาดซึ่งปัญญากำกับ เมตตานั้นจะเป็นเช่นอาวุธที่หันกลับสู่ตนหากไม่ระวัง . คุณพระฯ เองมีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะกับญาติจนถึงขั้นให้ความช่วยเหลือคือความกรุณาดังแสดงออกให้เห็น และมีจิตพลอยยินดีในเมื่อผู้อื่นได้รับความเจริญหรือผลแห่งความสำเร็จ ไม่เกิดอิจฉาริษยาประทุษร้ายกับใครแม้นเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่คุณพระฯ ยังสอบไม่ผ่านในข้ออุเบกขา คือไม่รู้จักที่จะตัดรอบ ช่วยได้เท่าที่ช่วยไหว สัตว์โลกล้วนมีวิบากแห่งตนซึ่งได้สั่งสมมาไม่ว่าทางร้ายหรือดี ไม่ใช่ต้องเอาชีวิตของเขาขึ้นมาแบกหามไว้ราวกับเป็นเรื่องของตนเองไปเสียทั้งหมด คือช่วยแล้วปล่อยวางไม่ลง แม่ก็แล้ว น้อง ๆ หลายคนและครอบครัวของน้องก็อีก จึงต้องตกที่นั่งถูกคนที่ตนให้ความช่วยเหลือนั้นวกกลับมาทำร้ายตนจนสาหัสแทบจะสิ้นลมหายใจ เป็นการเบียดเบียนตนเองซึ่งทางพุทธศาสนาไม่สรรเสริญ . ดังนั้น คนอย่างคุณพระฯ อาจหาได้ยาก ดังเช่นคำว่า "หนึ่งในร้อย" แต่คนที่หาได้ยากกว่าอาจถึงขั้น "หนึ่งในล้าน" คือคนที่เข้าใจ และเข้าถึง หลักธรรมในหมวด 4 ของพุทธศาสนาอย่างแท้จริงและนำมาปฏิบัติได้คือ เมตตาได้ทุกผู้แม้เป็นศัตรูของตัวเอง ช่วยเหลือได้ทุกคนเท่าที่ช่วยไหวโดยไม่เดือดร้อน มีใจร่วมยินดีเมื่อเห็นว่าเขาได้ดี ปราศจากความคิดมุ่งร้ายอยากทำลาย สุดท้ายคือไม่อนาทรร้อนใจแม้นไม่สามารถช่วยได้ ด้วยเห็นแล้วว่าไม่อาจช่วย หรือช่วยต่อไปจะเป็นโทษต่อเขาและต่อเรามากกว่า ก็ต้องปล่อยเขาไปตามทางที่เขาสร้างมา . ตอนล่าสุดเมื่อคืนยังไม่ว่างดูสดแบบเต็ม ๆ เลย แค่ผ่านตาแวบ ๆ บางฉาก แต่ก็พอเดาทิศทางได้เลา ๆ ว่าบทดัดแปลงคงจะพาอนงค์และคุณพระฯ ทะลุมิติท่องไปไกลในดินแดนอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละโลกกับเรื่องที่เกิดขึ้นในนิยาย ถ้าเรียกภาษาคนรุ่นใหม่คงจะใช้คำว่า ตัวละครเดียวกันแต่อยู่คนละมัลติเวิร์ส(ไม่แน่ใจสะกดเช่นนี้หรือไม่)กระมัง นี่คือส่วนที่หวั่นใจมาตลอด เพราะในสัปดาห์ก่อนที่เห็นว่าฉากสำคัญที่อยู่ตอนท้ายในนิยาย คือคุณพระล้มเจ็บ ถูกร่นขึ้นมาตั้งแต่กลางเรื่อง อีกทั้งความดราม่าที่ถูกผูกขึ้นใหม่ระหว่างตัวละคร 3-4 ตัว ก็ทำให้พอจะคาดการณ์ได้ว่า ต่อจากนี้ไปคงจะเป็นการด้นใส่อะไรต่อมิอะไรเข้ามาอีกมาก และไม่รู้ว่าจะไปจบลงที่ตรงไหน ก็ได้แต่ละเหี่ยใจ . ความดีงามของอนงค์ในหนังสือ ที่แม้นเป็นสาวสมัยใหม่ในยุคนั้น แต่ยังมีความรู้รักในเกียรติและศักดิ์ศรีของกุลสตรี ฉลาดและมีเฉลียว อีกทั้งมองคนออกอย่างเลิศ วางตัวเหมาะสมไม่ทำอะไรที่จะไปสะกิดให้คุณพระฯ นึกหยามหรือดูแคลนเอาได้ จนกระทั่งถึงเวลาที่ทุกอย่างดำเนินไปจนถึงที่สุด จึงกล้าเผยหัวใจตนให้คนที่แอบเทิดทูนบูชารับรู้ ทั้งที่ทราบอยู่แก่ใจว่าอาจทำให้คุณพระฯ มองเธอไปในแง่ไม่ดี แต่ใจที่นึกเวทนาสงสารบวกความรักที่งอกเงยมานานมันเปี่ยมล้นพ้นใจ เกินกว่าจะเก็บกลั้นไว้ภายใน จึงได้ปลดปล่อยไหลทะลักไปในครานั้น แต่แม้จะหลุดคำพูดฝากรัก หากถ้อยคำที่สื่อสารก็ยังเปี่ยมด้วยมธุรส และงดงามในภาษาที่ช่างสรรคำมาเจรจาอย่างน่าทึ่ง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นคงจะไม่อาจคาดหวังว่าจะได้พบเจอเสียแล้ว เพราะได้ถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นอนงค์ในแบบฉบับที่เหมือนปล่อยให้อำนาจความรัก ชักจูงเธอไปให้คิดและทำในสิ่งซึ่งอนงค์ในนิยายจะไม่มีวันทำเป็นอันขาด น่าเสียดาย... ภาพประกอบขอยืมจากในเน็ต #thaitimes #ดอกไม้สด #ละคร #mycherieamour #วิเคราะห์ตัวละคร #วิจารณ์ละคร
    0 Comments 0 Shares 283 Views 0 Reviews
  • #ของว่างที่เฝ้ารอกับคำขออย่างสุดท้าย

    ความหมายของการมีชีวิตคืออะไร หนังสือเล่มนี้จะเป็นเล่มหนึ่งที่พาคุณไปเที่ยวชมและร่วมเรียนรู้ไปกับการแสวงหาความสำคัญของการอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ของใครอีกหลายคนในสภาวะที่ร่างกายกำลังอ่อนแอ ด้วยโรคร้ายกัดกินจนใกล้วาระสุดท้าย ก่อนลมหายใจจะดับลง

    สนพ.piccolo พิมพ์ครั้งแรกในญี่ปุ่นปี 2019
    ฉบับแปลไทย เม.ย.2567
    โอกาวะ อิโตะ เขียน
    ธนพล ศักดิ์สมุทรานันท์ แปล
    223 หน้า 285 บาท

    ตลอดทั้งเล่มเต็มไปด้วยความอบอวลของความรักระหว่างมนุษย์ที่มีต่อมนุษย์ด้วยกัน รวมไปถึงมนุษย์ที่มีต่อสัตว์และสัตว์เองก็แสดงตอบต่อด้วยความซื่อตรง

    เนื้อหากล่าวถึงหญิงสาวคนหนึ่งนามว่า อูมิโนะ ชิสุกุ ซึ่งมีวัย 33 ปี ชีวิตที่ผ่านมาของเธออ่อนโยนต่อคนรอบข้างมาโดยตลอดตั้งแต่ยังเด็ก โดยเฉพาะพ่อบุญธรรมที่รับเลี้ยงเธอซึ่งสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่เล็ก แม้จะไม่ใช่บุพการีที่ให้กำเนิด แต่มอบความรักดูแลเอาใจใส่อย่างดี ทว่าวันหนึ่งเมื่อเธอพบว่าตนมีโรคร้ายเกาะกิน แม้นจะพยายามรักษา ต่อสู้ด้วยตนเองหลังแยกมาอยู่คนเดียว แต่สุดท้ายบั้นปลายชีวิต ต้องทำใจยอมรับความจริงว่ามีเวลาเหลืออยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นาน ไม่อยากให้พ่อต้องเดือดร้อนและเศร้าใจเพราะทราบความจริง จึงเลือกที่จะไม่บอกแล้วตระเตรียมแผนล่วงหน้าสำหรับรับมือกับความตายที่กำลังย่างกรายมาถึง ด้วยการตัดสินใจเดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ที่สถานดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ที่เกาะเลมอนซึ่งรายล้อมด้วยทะเลเงียบสงบและงดงาม เต็มไปด้วยธรรมชาติและอากาศอันสดชื่นบริสุทธิ์ มีไร่องุ่น กับท้องฟ้าสีครามและท้องทะเลสีน้ำเงินที่เธอชอบและใฝ่ฝัน เป็นสถานที่เธอเลือกเพราะคิดว่าเหมาะสมตรงกับรสนิยมความชอบของตนมากที่สุด

    ชื่อของสถานที่ดังกล่าวคือบ้านพักสิงโต เปรียบได้กับดินแดนสุขาวดีที่มีเทวดานางฟ้าคอยให้การต้อนรับดูแลด้วยหัวใจ โดยเฉพาะเจ้าของสถานที่สาวซึ่งมีนามว่ามาดอนน่า เป็นหญิงมหัศจรรย์ที่มีน้ำใจงาม มีความเชี่ยวชาญในด้านการดูแลทั้งทางด้านร่างกายที่เจ็บไข้ของผู้ป่วย และเยียวยาด้านจิตใจไปพร้อมกัน

    ณ สถานที่แห่งนี้เอง ในบ้านพักบนเกาะห่างไกล ที่ซึ่งชิสุกุไม่เคยคาดฝันว่าจะได้พบกับความรักอีกครั้ง กับชายหนุ่มน่ารัก สุภาพและวัยใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ยังอดตะลึงไปกับห้องพักส่วนตัวที่แสนสบายท่ามกลางบรรยากาศราวสรวงสวรรค์ เธอได้เรียนรู้ว่าไม่ใช่เฉพาะตัวเองเท่านั้นที่ประสบกับภาวะทุกข์โศกจากโรคภัยที่กำลังจะพรากลมหายใจอันหวงแหนให้หลุดลอยไป แต่ยังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกหลายคนทั้งชายหญิง วัยเด็กหรือแม้กระทั่งวัยสูงอายุ แต่ละคนล้วนมีอาการทรมานที่ไม่น้อยไปกว่าเธอ บางคนเป็นมากกว่าด้วย

    ชิสุกุได้สัมผัสกับมิตรภาพและวิญญาณภายในของเพื่อนต่างวัย ที่ตอนแรกเธอพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่คบคุ้นด้วย ยังมีเจ้าสุนัขแสนรู้น่ารักเพศเมียอีกตัวหนึ่งเล่า ที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยชุบชูหัวใจอันอ่อนล้าของหญิงสาว ให้ยอมเปิดใจและคลายวงล้อมของป้อมปราการที่ขังตัวเองจากทุกคนลงได้ หมาตัวนี้มีชื่อว่า รกกะ เจ้าของเดิมเคยมาพำนักอยู่ที่บ้านสิงโตเมื่อนานมาแล้ว และหลังจากเธอคนนั้นจากไป ทุกคนก้ช่วยกันดูแลรกกะต่อมา

    จนกระทั่ง รกกะ ได้พบกับชิสุกุ ทั้งคู่ถูกชะตากันตั้งแต่วันแรกที่ได้พบ หลังจากนั้นก็อยู่ด้วยกันตลอด รกกะเป็นเสมือนตู้ยาเคลื่อนที่ซึ่งช่วยให้ชิสุกุต่อสู้กับความเจ็บปวดโดยยังสามารถปรากฏรอยยิ้มอยู่ได้

    สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้มาพักที่นี่ทุกคนต่างเฝ้ารอที่จะให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ นั่นคือการได้มีกิจกรรมกินของว่างร่วมกันในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ เพียงหนึ่งครั้งในรอบเจ็ดวัน โดยทุกคนมีสิทธิเท่ากันคนละ1เสียง ที่สามารถเขียนใส่กระดาษเพื่อบอกเล่าถึงขนมที่ตนชื่นชอบและอยากกินมากที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย แล้วคำขอเหล่านั้นจะถูกจับฉลากขึ้นมาหนึ่งใบ คำขอของใครก็ตามที่โชคดี แม่ครัวจะแกะสูตรแล้วทำออกมาให้เหมือนหรือใกล้เคียงที่สุด เพื่อจะเสิร์ฟให้กับทุกคนได้ชิมกัน

    อย่างไรก็ตาม วันที่ต้องจากลาย่อมบ่ายหน้ามาถึงเพื่อนแต่ละคน ในห้วงเวลาเช่นนั้น ทั้งเขาหรือเธอรวมทั้งชิสุกุเอง มีวิธีรับมือระหว่างเผชิญหน้ากับความเสื่อมสลายของสังขาร ที่ค่อย ๆ ทรุดโทรมและดับสิ้นไปทีละน้อยอย่างไร นี่คือสิ่งที่ผู้อ่านจะได้ร่วมเรียนรู้ไปพร้อมกันกับตัวละครในเรื่อง

    ถ้าคุณเคยประทับใจมาแล้วกับ ร้านเครื่องเขียนนั้นใต้ต้นสึบากิ นี่คืออีกเล่มหนึ่งที่น่าลองหามาอ่านครับ โดยเฉพาะคนที่กำลังเผชิญกับความเจ็บป่วยอยู่ หรือแม้ผู้ดูแลคนป่วยเอง แต่ถึงแม้จะไม่ได้ป่วยเลย แต่การได้ทำความเข้าใจกับเรื่องราวเหล่านี้ก็ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ผู้เขียนบรรยายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เปิดเผยเรื่องราวทีละน้อย แล้วไต่ระดับไปอย่างช้า ๆ อารมณ์ของเรื่องไม่ใช่จะมีแต่เปลี่ยวเหงา โศกเศร้า ทดท้อ เจ็บแค้น และสิ้นหวังเพียงเท่านั้น แต่ยังมีความเบิกบานหรรษา อิ่มเอม อบอุ่น เปี่ยมหวัง ให้อภัย สงบสุข คละเคล้าจนกลายเป็นส่วนผสมที่น่าศึกษา มีความละมุนละไมไปพร้อม ๆ กับการได้เห็นถึงความจริงอันเป็นสัจธรรมของชีวิต

    เพราะความเจ็บป่วยนั้นเกิดมีได้กับคนทุกคน แต่มีไม่กี่คนเท่านัั้นจะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างดี และจัดวางภาระทุกอย่างให้อยู่ถูกที่ถูกทาง ในขณะที่เตรียมพร้อมจะปล่อยวางร่างกายนี้ ซึ่งตนหวงแหนประหนึ่งคือสมบัติของเราจริง ๆ ยามเมื่อเวลานั้นมาถึง

    #thaitimes
    #หนังสือน่าอ่าน
    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #ผู้ป่วยระยะสุดท้าย
    #เตรียมตัวตาย
    #การดูแลผู้ป่วย
    #หนังสือดี
    #ของว่างที่เฝ้ารอกับคำขออย่างสุดท้าย ความหมายของการมีชีวิตคืออะไร หนังสือเล่มนี้จะเป็นเล่มหนึ่งที่พาคุณไปเที่ยวชมและร่วมเรียนรู้ไปกับการแสวงหาความสำคัญของการอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ของใครอีกหลายคนในสภาวะที่ร่างกายกำลังอ่อนแอ ด้วยโรคร้ายกัดกินจนใกล้วาระสุดท้าย ก่อนลมหายใจจะดับลง สนพ.piccolo พิมพ์ครั้งแรกในญี่ปุ่นปี 2019 ฉบับแปลไทย เม.ย.2567 โอกาวะ อิโตะ เขียน ธนพล ศักดิ์สมุทรานันท์ แปล 223 หน้า 285 บาท ตลอดทั้งเล่มเต็มไปด้วยความอบอวลของความรักระหว่างมนุษย์ที่มีต่อมนุษย์ด้วยกัน รวมไปถึงมนุษย์ที่มีต่อสัตว์และสัตว์เองก็แสดงตอบต่อด้วยความซื่อตรง เนื้อหากล่าวถึงหญิงสาวคนหนึ่งนามว่า อูมิโนะ ชิสุกุ ซึ่งมีวัย 33 ปี ชีวิตที่ผ่านมาของเธออ่อนโยนต่อคนรอบข้างมาโดยตลอดตั้งแต่ยังเด็ก โดยเฉพาะพ่อบุญธรรมที่รับเลี้ยงเธอซึ่งสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่เล็ก แม้จะไม่ใช่บุพการีที่ให้กำเนิด แต่มอบความรักดูแลเอาใจใส่อย่างดี ทว่าวันหนึ่งเมื่อเธอพบว่าตนมีโรคร้ายเกาะกิน แม้นจะพยายามรักษา ต่อสู้ด้วยตนเองหลังแยกมาอยู่คนเดียว แต่สุดท้ายบั้นปลายชีวิต ต้องทำใจยอมรับความจริงว่ามีเวลาเหลืออยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นาน ไม่อยากให้พ่อต้องเดือดร้อนและเศร้าใจเพราะทราบความจริง จึงเลือกที่จะไม่บอกแล้วตระเตรียมแผนล่วงหน้าสำหรับรับมือกับความตายที่กำลังย่างกรายมาถึง ด้วยการตัดสินใจเดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ที่สถานดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ที่เกาะเลมอนซึ่งรายล้อมด้วยทะเลเงียบสงบและงดงาม เต็มไปด้วยธรรมชาติและอากาศอันสดชื่นบริสุทธิ์ มีไร่องุ่น กับท้องฟ้าสีครามและท้องทะเลสีน้ำเงินที่เธอชอบและใฝ่ฝัน เป็นสถานที่เธอเลือกเพราะคิดว่าเหมาะสมตรงกับรสนิยมความชอบของตนมากที่สุด ชื่อของสถานที่ดังกล่าวคือบ้านพักสิงโต เปรียบได้กับดินแดนสุขาวดีที่มีเทวดานางฟ้าคอยให้การต้อนรับดูแลด้วยหัวใจ โดยเฉพาะเจ้าของสถานที่สาวซึ่งมีนามว่ามาดอนน่า เป็นหญิงมหัศจรรย์ที่มีน้ำใจงาม มีความเชี่ยวชาญในด้านการดูแลทั้งทางด้านร่างกายที่เจ็บไข้ของผู้ป่วย และเยียวยาด้านจิตใจไปพร้อมกัน ณ สถานที่แห่งนี้เอง ในบ้านพักบนเกาะห่างไกล ที่ซึ่งชิสุกุไม่เคยคาดฝันว่าจะได้พบกับความรักอีกครั้ง กับชายหนุ่มน่ารัก สุภาพและวัยใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ยังอดตะลึงไปกับห้องพักส่วนตัวที่แสนสบายท่ามกลางบรรยากาศราวสรวงสวรรค์ เธอได้เรียนรู้ว่าไม่ใช่เฉพาะตัวเองเท่านั้นที่ประสบกับภาวะทุกข์โศกจากโรคภัยที่กำลังจะพรากลมหายใจอันหวงแหนให้หลุดลอยไป แต่ยังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกหลายคนทั้งชายหญิง วัยเด็กหรือแม้กระทั่งวัยสูงอายุ แต่ละคนล้วนมีอาการทรมานที่ไม่น้อยไปกว่าเธอ บางคนเป็นมากกว่าด้วย ชิสุกุได้สัมผัสกับมิตรภาพและวิญญาณภายในของเพื่อนต่างวัย ที่ตอนแรกเธอพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่คบคุ้นด้วย ยังมีเจ้าสุนัขแสนรู้น่ารักเพศเมียอีกตัวหนึ่งเล่า ที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยชุบชูหัวใจอันอ่อนล้าของหญิงสาว ให้ยอมเปิดใจและคลายวงล้อมของป้อมปราการที่ขังตัวเองจากทุกคนลงได้ หมาตัวนี้มีชื่อว่า รกกะ เจ้าของเดิมเคยมาพำนักอยู่ที่บ้านสิงโตเมื่อนานมาแล้ว และหลังจากเธอคนนั้นจากไป ทุกคนก้ช่วยกันดูแลรกกะต่อมา จนกระทั่ง รกกะ ได้พบกับชิสุกุ ทั้งคู่ถูกชะตากันตั้งแต่วันแรกที่ได้พบ หลังจากนั้นก็อยู่ด้วยกันตลอด รกกะเป็นเสมือนตู้ยาเคลื่อนที่ซึ่งช่วยให้ชิสุกุต่อสู้กับความเจ็บปวดโดยยังสามารถปรากฏรอยยิ้มอยู่ได้ สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้มาพักที่นี่ทุกคนต่างเฝ้ารอที่จะให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ นั่นคือการได้มีกิจกรรมกินของว่างร่วมกันในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ เพียงหนึ่งครั้งในรอบเจ็ดวัน โดยทุกคนมีสิทธิเท่ากันคนละ1เสียง ที่สามารถเขียนใส่กระดาษเพื่อบอกเล่าถึงขนมที่ตนชื่นชอบและอยากกินมากที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย แล้วคำขอเหล่านั้นจะถูกจับฉลากขึ้นมาหนึ่งใบ คำขอของใครก็ตามที่โชคดี แม่ครัวจะแกะสูตรแล้วทำออกมาให้เหมือนหรือใกล้เคียงที่สุด เพื่อจะเสิร์ฟให้กับทุกคนได้ชิมกัน อย่างไรก็ตาม วันที่ต้องจากลาย่อมบ่ายหน้ามาถึงเพื่อนแต่ละคน ในห้วงเวลาเช่นนั้น ทั้งเขาหรือเธอรวมทั้งชิสุกุเอง มีวิธีรับมือระหว่างเผชิญหน้ากับความเสื่อมสลายของสังขาร ที่ค่อย ๆ ทรุดโทรมและดับสิ้นไปทีละน้อยอย่างไร นี่คือสิ่งที่ผู้อ่านจะได้ร่วมเรียนรู้ไปพร้อมกันกับตัวละครในเรื่อง ถ้าคุณเคยประทับใจมาแล้วกับ ร้านเครื่องเขียนนั้นใต้ต้นสึบากิ นี่คืออีกเล่มหนึ่งที่น่าลองหามาอ่านครับ โดยเฉพาะคนที่กำลังเผชิญกับความเจ็บป่วยอยู่ หรือแม้ผู้ดูแลคนป่วยเอง แต่ถึงแม้จะไม่ได้ป่วยเลย แต่การได้ทำความเข้าใจกับเรื่องราวเหล่านี้ก็ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ผู้เขียนบรรยายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เปิดเผยเรื่องราวทีละน้อย แล้วไต่ระดับไปอย่างช้า ๆ อารมณ์ของเรื่องไม่ใช่จะมีแต่เปลี่ยวเหงา โศกเศร้า ทดท้อ เจ็บแค้น และสิ้นหวังเพียงเท่านั้น แต่ยังมีความเบิกบานหรรษา อิ่มเอม อบอุ่น เปี่ยมหวัง ให้อภัย สงบสุข คละเคล้าจนกลายเป็นส่วนผสมที่น่าศึกษา มีความละมุนละไมไปพร้อม ๆ กับการได้เห็นถึงความจริงอันเป็นสัจธรรมของชีวิต เพราะความเจ็บป่วยนั้นเกิดมีได้กับคนทุกคน แต่มีไม่กี่คนเท่านัั้นจะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างดี และจัดวางภาระทุกอย่างให้อยู่ถูกที่ถูกทาง ในขณะที่เตรียมพร้อมจะปล่อยวางร่างกายนี้ ซึ่งตนหวงแหนประหนึ่งคือสมบัติของเราจริง ๆ ยามเมื่อเวลานั้นมาถึง #thaitimes #หนังสือน่าอ่าน #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #ผู้ป่วยระยะสุดท้าย #เตรียมตัวตาย #การดูแลผู้ป่วย #หนังสือดี
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 141 Views 0 Reviews
  • ..
    ..บ้านเรา กำลังเสียเกาะกูด&อธิปไตยแผ่นดินไทยและทะเลอีกหรือนี้,ทหารและตำรวจไทยเรา สรุปจำเป็นต้องมีต่อไปเพื่ออะไรนะ.
    .. ..บ้านเรา กำลังเสียเกาะกูด&อธิปไตยแผ่นดินไทยและทะเลอีกหรือนี้,ทหารและตำรวจไทยเรา สรุปจำเป็นต้องมีต่อไปเพื่ออะไรนะ.
    0 Comments 0 Shares 31 Views 15 0 Reviews
  • รัสเซีย จีน และอิหร่านมีความตั้งใจโหมกระพือเรื่องเล่าต่างๆ สร้างความแตกแยกในหมู่ชาวอเมริกา ก่อนถึงศึกเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน และอาจพิจารณาปลุกปั่นความรุนแรง หลังบรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกไปใช้สิทธิกันแล้ว จากคำกล่าวอ้างของเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐฯ ในวันอังคาร (22 ต.ค.)
    .
    พวกเจ้าหน้าที่ที่ทำการบรรยายสรุปแก่บรรดาผู้สื่อข่าวในด้านความปลอดภัยของการเลือกตั้ง ระบุว่าเหล่าตัวละครต่างชาติอาจเล็งเป้าคุกคามทางกายภาพและปลุกปั่นความรุนแรง และมีความเป็นไปได้ที่จะลงมือปฏิบัติการบิดเบือนข้อมูล ก่อความไม่แน่นอน และบ่อนทำลายกระบวนการเลือกตั้ง
    .
    "พวกตัวละครต่างชาติ โดยเฉพาะรัสเซีย อิหร่าน และจีน ยังคงมีเจตนาโหมกระพือเรื่องเล่า สร้างความแตกแยกแก่ชาวอเมริกาและบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของอเมริกันชนที่มีต่อระบบประชาธิปไตยสหรัฐฯ ในความเคลื่อนไหวต่างๆ เหล่านี้ พวกตัวละครได้ดำเนินการต่างๆ ที่สอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขามองว่าจะเป็นประโยชน์ของพวกเขา ในขณะที่กลยุทธ์ของพวกเขาเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง" เจ้าหน้าที่รายหนึ่งจากสำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ (ODNI)
    .
    เจ้าหน้าที่บอกต่อว่าเหล่าตัวละครทรงอิทธิพลทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากรัสเซีย อิหร่าน และจีน เรียนรู้จากศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ผ่านๆ มา และเตรียมพร้อมดีกว่าเดิมในการฉวยโอกาสโหมกระพือความไม่สงบ
    .
    ตัวละครเหล่านี้อาจอาศัยเครื่องไม้เครื่องมือแบบเดียวกับที่พวกเขาเคยใช้ในช่วงก่อนหน้าศึกเลือกตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารและไซเบอร์ และอาจเล็งข่มขู่คุกคามทางกายภาพและโหมกระพือความรุนแรง จากคำกล่าวอ้างของ เจ้าหน้าที่จาก ODNI ระบุ
    .
    อย่างไรก็ตาม หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ไม่พบเห็นการร่วมมือกันระหว่างรัสเซีย จีน และอิหร่าน ในความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่หวังก่ออิทธิพลเหนือการเลือกตั้ง พร้อมชี้ว่าแม้พวกตัวละครต่างชาติอาจก่อความปั่นป่วนแก่กระบวนการต่างๆ ในวันเลือกตั้ง ปลุกปั่นความไม่พอใจ แต่ระบบการเลือกตั้งมีความปลอดภัยเพียงพอที่จะทำให้ความพยายามของพวกเขานั้นไม่อาจเปลี่ยนผลการเลือกตั้งได้
    .
    "ตัวละครต่างชาติบางส่วนมีความสามารถในการโหมกระพือการประท้วงและความรุนแรงในช่วงเวลาหลังการเลือกตั้ง" เจ้าหน้าที่ ODNI กล่าว "โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิหร่านและรัสเซีย ที่อย่างน้อยๆ บางทีอาจกำลังพิจารณากลยุทธ์ต่างๆ ที่จะสามารถยุยงความรุนแรงดังกล่าว"
    .
    บันทึกช่วยจำที่ไม่เป็นชั้นความลับฉบับหนึ่งที่ถูกเผยแพร่ออกมาตามหลังการบรรยายสรุปของสภาข่าวกรองแห่งชาติ (NIC ) หน่วยงานวิเคราะห์ข่าวกรองสูงสุดของสหรัฐฯ ได้เตือนว่าเกือบเป็นที่แน่นอนว่า หน่วยปฏิบัติการของต่างชาติจะโหมกระพือคำกล่าวอ้างอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดปกติต่างๆ ของการเลือกตั้งหลังการลงคะแนน
    .
    นอกจากนี้ NIC ยังเชื่อว่าตัวละครต่างชาติอาจใช้การโจมตีทางไซเบอร์และการจารกรรม ก่อความปั่นปั่วนหรือดัดแปลงข่าวสารและเว็บไซต์ต่างๆ ของรัฐบาล เพื่อจุดชนวนความสับสนเกี่ยวกับผลเลือกตั้ง รวมถึงเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับกระบวนการนับคะแนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐต่างๆ ที่คู่คี่สูสียากจะคาดเดา
    .
    โฆษกสถานทูตจีนออกมาตอบโต้คำกล่าวหาดังกล่าวผ่านอีเมล โดยบอกว่าปักกิ่งไม่มีความตั้งใจแทรกแซงการเลือกตั้ง และหวังว่าใครก็ตามที่เป็นฝ่ายชนะ จะมุ่งมั่นในความสัมพันธ์ที่เติบโตและมีเสถียรภาพระหว่างจีนกับสหรัฐฯ"
    .
    ส่วนสถานทูตรัสเซียและคณะผู้แทนอิหร่านประจำสหประชาชาติ ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อคำกล่าวหาของสหรัฐฯ ในขณะที่ทั้ง 2 ชาติ เคยออกมาปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อคำกล่าวหาแทรกแซงศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ
    .
    เจ้าหน้าที่ของ ODNI อ้างว่าตัวละครต่างชาติใช้สื่อสังคมออนไลน์และปฏิบัติการทางออนไลน์อื่นๆ ในความพยายามก่ออิทธิพลเหนือศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีและสภาคองเกรสสหรัฐฯ เพื่อใส้ร้ายป้ายสีผู้สมัครบางคนและสนับสนุนผู้สมัครรายอื่น
    .
    บรรดาหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ประเมินมานานหลายเดือนแล้วว่า รัสเซีย อยากเห็น ทรัมป์ กลับมาครองเก้าอี้ทำเนียบขาวอีกสมัย
    .
    ระหว่างแถลงสรุปกับพวกผู้สื่อข่าวในวันอังคาร (22 ต.ค.) เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง คาดหมายว่ารัสเซียโหมกระพือขยายวงการประท้วง หากว่า แฮร์ริส ชนะศึกเลือกตั้ง "รัสเซียอยากเห็นอดีตประธานาธิบดีชนะ และพวกเขาจะหาทางดำเนินการในเชิงรุกกว่าเดิม ในการบ่อนทำลายการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของว่าที่ประธานาธิบดีแฮร์ริส ณ ขณะนั้น" เจ้าหน้าที่ ODNI กล่าว
    .
    อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งทาง NIC กลับมองว่าตัวละครอิหร่าน อาจพยายามเผยแพร่เนื้อหาทางออนไลน์ ที่ทำให้ชื่อเสียงของ โดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งของแฮร์ริส แปดเปื้อน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102038
    ..............
    Sondhi X
    รัสเซีย จีน และอิหร่านมีความตั้งใจโหมกระพือเรื่องเล่าต่างๆ สร้างความแตกแยกในหมู่ชาวอเมริกา ก่อนถึงศึกเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน และอาจพิจารณาปลุกปั่นความรุนแรง หลังบรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกไปใช้สิทธิกันแล้ว จากคำกล่าวอ้างของเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐฯ ในวันอังคาร (22 ต.ค.) . พวกเจ้าหน้าที่ที่ทำการบรรยายสรุปแก่บรรดาผู้สื่อข่าวในด้านความปลอดภัยของการเลือกตั้ง ระบุว่าเหล่าตัวละครต่างชาติอาจเล็งเป้าคุกคามทางกายภาพและปลุกปั่นความรุนแรง และมีความเป็นไปได้ที่จะลงมือปฏิบัติการบิดเบือนข้อมูล ก่อความไม่แน่นอน และบ่อนทำลายกระบวนการเลือกตั้ง . "พวกตัวละครต่างชาติ โดยเฉพาะรัสเซีย อิหร่าน และจีน ยังคงมีเจตนาโหมกระพือเรื่องเล่า สร้างความแตกแยกแก่ชาวอเมริกาและบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของอเมริกันชนที่มีต่อระบบประชาธิปไตยสหรัฐฯ ในความเคลื่อนไหวต่างๆ เหล่านี้ พวกตัวละครได้ดำเนินการต่างๆ ที่สอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขามองว่าจะเป็นประโยชน์ของพวกเขา ในขณะที่กลยุทธ์ของพวกเขาเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง" เจ้าหน้าที่รายหนึ่งจากสำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ (ODNI) . เจ้าหน้าที่บอกต่อว่าเหล่าตัวละครทรงอิทธิพลทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากรัสเซีย อิหร่าน และจีน เรียนรู้จากศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ผ่านๆ มา และเตรียมพร้อมดีกว่าเดิมในการฉวยโอกาสโหมกระพือความไม่สงบ . ตัวละครเหล่านี้อาจอาศัยเครื่องไม้เครื่องมือแบบเดียวกับที่พวกเขาเคยใช้ในช่วงก่อนหน้าศึกเลือกตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารและไซเบอร์ และอาจเล็งข่มขู่คุกคามทางกายภาพและโหมกระพือความรุนแรง จากคำกล่าวอ้างของ เจ้าหน้าที่จาก ODNI ระบุ . อย่างไรก็ตาม หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ไม่พบเห็นการร่วมมือกันระหว่างรัสเซีย จีน และอิหร่าน ในความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่หวังก่ออิทธิพลเหนือการเลือกตั้ง พร้อมชี้ว่าแม้พวกตัวละครต่างชาติอาจก่อความปั่นป่วนแก่กระบวนการต่างๆ ในวันเลือกตั้ง ปลุกปั่นความไม่พอใจ แต่ระบบการเลือกตั้งมีความปลอดภัยเพียงพอที่จะทำให้ความพยายามของพวกเขานั้นไม่อาจเปลี่ยนผลการเลือกตั้งได้ . "ตัวละครต่างชาติบางส่วนมีความสามารถในการโหมกระพือการประท้วงและความรุนแรงในช่วงเวลาหลังการเลือกตั้ง" เจ้าหน้าที่ ODNI กล่าว "โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิหร่านและรัสเซีย ที่อย่างน้อยๆ บางทีอาจกำลังพิจารณากลยุทธ์ต่างๆ ที่จะสามารถยุยงความรุนแรงดังกล่าว" . บันทึกช่วยจำที่ไม่เป็นชั้นความลับฉบับหนึ่งที่ถูกเผยแพร่ออกมาตามหลังการบรรยายสรุปของสภาข่าวกรองแห่งชาติ (NIC ) หน่วยงานวิเคราะห์ข่าวกรองสูงสุดของสหรัฐฯ ได้เตือนว่าเกือบเป็นที่แน่นอนว่า หน่วยปฏิบัติการของต่างชาติจะโหมกระพือคำกล่าวอ้างอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดปกติต่างๆ ของการเลือกตั้งหลังการลงคะแนน . นอกจากนี้ NIC ยังเชื่อว่าตัวละครต่างชาติอาจใช้การโจมตีทางไซเบอร์และการจารกรรม ก่อความปั่นปั่วนหรือดัดแปลงข่าวสารและเว็บไซต์ต่างๆ ของรัฐบาล เพื่อจุดชนวนความสับสนเกี่ยวกับผลเลือกตั้ง รวมถึงเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับกระบวนการนับคะแนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐต่างๆ ที่คู่คี่สูสียากจะคาดเดา . โฆษกสถานทูตจีนออกมาตอบโต้คำกล่าวหาดังกล่าวผ่านอีเมล โดยบอกว่าปักกิ่งไม่มีความตั้งใจแทรกแซงการเลือกตั้ง และหวังว่าใครก็ตามที่เป็นฝ่ายชนะ จะมุ่งมั่นในความสัมพันธ์ที่เติบโตและมีเสถียรภาพระหว่างจีนกับสหรัฐฯ" . ส่วนสถานทูตรัสเซียและคณะผู้แทนอิหร่านประจำสหประชาชาติ ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อคำกล่าวหาของสหรัฐฯ ในขณะที่ทั้ง 2 ชาติ เคยออกมาปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อคำกล่าวหาแทรกแซงศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ . เจ้าหน้าที่ของ ODNI อ้างว่าตัวละครต่างชาติใช้สื่อสังคมออนไลน์และปฏิบัติการทางออนไลน์อื่นๆ ในความพยายามก่ออิทธิพลเหนือศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีและสภาคองเกรสสหรัฐฯ เพื่อใส้ร้ายป้ายสีผู้สมัครบางคนและสนับสนุนผู้สมัครรายอื่น . บรรดาหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ประเมินมานานหลายเดือนแล้วว่า รัสเซีย อยากเห็น ทรัมป์ กลับมาครองเก้าอี้ทำเนียบขาวอีกสมัย . ระหว่างแถลงสรุปกับพวกผู้สื่อข่าวในวันอังคาร (22 ต.ค.) เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง คาดหมายว่ารัสเซียโหมกระพือขยายวงการประท้วง หากว่า แฮร์ริส ชนะศึกเลือกตั้ง "รัสเซียอยากเห็นอดีตประธานาธิบดีชนะ และพวกเขาจะหาทางดำเนินการในเชิงรุกกว่าเดิม ในการบ่อนทำลายการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของว่าที่ประธานาธิบดีแฮร์ริส ณ ขณะนั้น" เจ้าหน้าที่ ODNI กล่าว . อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งทาง NIC กลับมองว่าตัวละครอิหร่าน อาจพยายามเผยแพร่เนื้อหาทางออนไลน์ ที่ทำให้ชื่อเสียงของ โดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งของแฮร์ริส แปดเปื้อน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102038 .............. Sondhi X
    Like
    7
    0 Comments 1 Shares 1219 Views 0 Reviews
  • 23 ตุลาคม วันปิยมหาราช น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

    ////////////////////

    23 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ต่อประเทศไทยหลายด้าน และสิ่งที่โดดเด่นคือ การประกาศ เลิกทาส เป็นการหยุดวงจรการเป็นทาส เพราะเมื่อสมัยก่อนหากพ่อแม่เป็นทาส ลูกที่เกิดมาก็ต้องเป็นทาสต่อไปเรื่อยๆ ทางราชการจึงได้ประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคมของทุกปีเป็นหนึ่งในวันระลึกถึงความสำคัญของเหตุการณ์ในชาติ โดยเรียกว่า “วันปิยมหาราช”
    พระราชประวัติ
    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2396 เป็นโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระนางเจ้าฟ้ารำเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา พระบรมราชินี)เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรลังกาศ ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น กรมขุนพินิตประชานาถ พระองค์ได้รับการศึกษาอย่างเป็นทางการตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ศึกษาวิชาต่างๆ เช่น ชีววิทยา วิชาดาบ วิศวกรรมศาสตร์ ภาษาอังกฤษและมานุษยวิทยา และเดินทางไปต่างประเทศและศึกษายุโรป และวิทยาศาสตร์การทหาร ในช่วงครองราชย์ 42 ปี พระองค์ทรงริเริ่มขบวนการปฏิรูปการพัฒนาตนเองและความเจริญรุ่งเรือง ทำให้การเมืองและการทหารของไทยเป็นตะวันตก และบรรลุความมั่งคั่ง ความก้าวหน้า สันติภาพและความพึงพอใจของประเทศ นักวิชาการหลายคนเชื่อว่าการกระทำของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทำให้ประเทศไทยสามารถรักษาเอกราชไว้ได้

    ประราชกรณียกิจสำคัญ

    การเลิกทาส : ออกพระราชบัญญัติเลิกทาสที่แท้จริงขึ้น เรียกว่า “พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124” (พ.ศ.2448) เลิกเรื่องลูกทาส ในเรือนเบี้ยอย่างเด็ดขาด เด็กที่เกิดจากทาส ไม่เป็นทาสอีกต่อไป การซื้อขายทาสเป็นโทษทางอาญา ส่วนผู้ที่เป็นทาสอยู่แล้ว ให้นายเงินลดค่าตัวให้เดือนละ 4 บาท จนกว่าจะหมด

    การปฏิรูประเบียบบริหารราชการ : ได้ทรงปรับปรุงหน้าที่ของกรมต่าง ๆ ที่มีอยู่แต่เดิมให้เป็นระเบียบเรียบร้อยโดยรวมกรมต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายเวลานั้นเข้าเป็นกระทรวง กระทรวงหนึ่ง ๆ ก็มีหน้าที่อย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างพอเหมาะสม

    การศึกษา : ทรงโปรดให้จัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง แล้วมีหมายประกาศชักชวนพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการให้ส่งบุตรหลานเข้า เรียน โรงเรียนภาษาไทยนี้

    การคมนาคม ได้โปรดเกล้าฯ ให้ขยายถนนบำรุงเมือง ถนนที่ทรงสร้างใหม่ คือ ถนนเยาวราช ถนนราชดำเนินกลาง ถนนราชดำเนินนอก ถนนดินสอ ถนนบูรพา ถนนอุณากรรณ เป็นต้น

    การสุขาภิบาล ได้ทรงตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อดูแลจัดตั้งโรงพยาบาลขึ้นหลายแห่ง เช่น ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลบางรัก โรงพยาบาลโรคจิต และโรงเลี้ยงเด็ก

    การวรรณคดี ทรงเป็นนักประพันธ์ ซึ่งมีความชำนาญทั้งทางร้อยแก้วและร้อยกรอง เช่น ไกลบ้าน ลิลิตนิทราชาคริต เงาะป่า พระราชพิธีสิบสองเดือน เป็นต้น

    ข้าพระพุทธเจ้า คณะผู้บริหาร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายฯ
    สำนักงาน นันท์นภัส วงศ์ใหญ่
    ขอน้อมรำลึกถึง
    พระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าและเพื่อเทิดพระเกียรติแด่พระองค์ท่านที่ทรงมีคุณูปการต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง
    23 ตุลาคม วันปิยมหาราช น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 //////////////////// 23 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ต่อประเทศไทยหลายด้าน และสิ่งที่โดดเด่นคือ การประกาศ เลิกทาส เป็นการหยุดวงจรการเป็นทาส เพราะเมื่อสมัยก่อนหากพ่อแม่เป็นทาส ลูกที่เกิดมาก็ต้องเป็นทาสต่อไปเรื่อยๆ ทางราชการจึงได้ประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคมของทุกปีเป็นหนึ่งในวันระลึกถึงความสำคัญของเหตุการณ์ในชาติ โดยเรียกว่า “วันปิยมหาราช” พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2396 เป็นโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระนางเจ้าฟ้ารำเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา พระบรมราชินี)เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรลังกาศ ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น กรมขุนพินิตประชานาถ พระองค์ได้รับการศึกษาอย่างเป็นทางการตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ศึกษาวิชาต่างๆ เช่น ชีววิทยา วิชาดาบ วิศวกรรมศาสตร์ ภาษาอังกฤษและมานุษยวิทยา และเดินทางไปต่างประเทศและศึกษายุโรป และวิทยาศาสตร์การทหาร ในช่วงครองราชย์ 42 ปี พระองค์ทรงริเริ่มขบวนการปฏิรูปการพัฒนาตนเองและความเจริญรุ่งเรือง ทำให้การเมืองและการทหารของไทยเป็นตะวันตก และบรรลุความมั่งคั่ง ความก้าวหน้า สันติภาพและความพึงพอใจของประเทศ นักวิชาการหลายคนเชื่อว่าการกระทำของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทำให้ประเทศไทยสามารถรักษาเอกราชไว้ได้ ประราชกรณียกิจสำคัญ การเลิกทาส : ออกพระราชบัญญัติเลิกทาสที่แท้จริงขึ้น เรียกว่า “พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124” (พ.ศ.2448) เลิกเรื่องลูกทาส ในเรือนเบี้ยอย่างเด็ดขาด เด็กที่เกิดจากทาส ไม่เป็นทาสอีกต่อไป การซื้อขายทาสเป็นโทษทางอาญา ส่วนผู้ที่เป็นทาสอยู่แล้ว ให้นายเงินลดค่าตัวให้เดือนละ 4 บาท จนกว่าจะหมด การปฏิรูประเบียบบริหารราชการ : ได้ทรงปรับปรุงหน้าที่ของกรมต่าง ๆ ที่มีอยู่แต่เดิมให้เป็นระเบียบเรียบร้อยโดยรวมกรมต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายเวลานั้นเข้าเป็นกระทรวง กระทรวงหนึ่ง ๆ ก็มีหน้าที่อย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างพอเหมาะสม การศึกษา : ทรงโปรดให้จัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง แล้วมีหมายประกาศชักชวนพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการให้ส่งบุตรหลานเข้า เรียน โรงเรียนภาษาไทยนี้ การคมนาคม ได้โปรดเกล้าฯ ให้ขยายถนนบำรุงเมือง ถนนที่ทรงสร้างใหม่ คือ ถนนเยาวราช ถนนราชดำเนินกลาง ถนนราชดำเนินนอก ถนนดินสอ ถนนบูรพา ถนนอุณากรรณ เป็นต้น การสุขาภิบาล ได้ทรงตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อดูแลจัดตั้งโรงพยาบาลขึ้นหลายแห่ง เช่น ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลบางรัก โรงพยาบาลโรคจิต และโรงเลี้ยงเด็ก การวรรณคดี ทรงเป็นนักประพันธ์ ซึ่งมีความชำนาญทั้งทางร้อยแก้วและร้อยกรอง เช่น ไกลบ้าน ลิลิตนิทราชาคริต เงาะป่า พระราชพิธีสิบสองเดือน เป็นต้น ข้าพระพุทธเจ้า คณะผู้บริหาร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายฯ สำนักงาน นันท์นภัส วงศ์ใหญ่ ขอน้อมรำลึกถึง พระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าและเพื่อเทิดพระเกียรติแด่พระองค์ท่านที่ทรงมีคุณูปการต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • 🧵💲 เหตุการณ์สำคัญใดบ้างที่นำไปสู่การล่มสลายของระบบดอลลาร์ทั่วโลก?

    การประชุมประจำปี ๒๐๒๔ ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และกลุ่มธนาคารโลก (WBG) จะเปิดขึ้นในวันที่ ๒๑ ตุลาคม เพื่อมุ่งเน้นไปที่หนี้สาธารณะทั่วโลกที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว, ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง ๑๐๐ ล้านล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ หนี้, ส่วนใหญ่, เกิดจากการกู้ยืมเงินของสหรัฐฯมากเกินไป, โดยปัจจุบันหนี้ของรัฐบาลอยู่ที่ ๓๕.๖๘ ล้านล้านดอลลาร์
    .
    ในขณะเดียวกัน, ส่วนแบ่งของสหรัฐฯในเศรษฐกิจโลกที่คำนวณโดยใช้ความเท่าเทียมของอำนาจซื้อได้แตะระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์, โดยร่วงลงต่ำกว่า ๑๕%, จากการวิเคราะห์ของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศของสปุตนิก คาดว่าจะลดลงอีก, โดยแตะระดับ ๑๔.๗๖% เมื่อสิ้นสุดวาระของประธานาธิบดีโจ ไบเดน
    .
    ระบบการเงินของสหรัฐฯและระบบดอลลาร์ทั่วโลก เริ่มสูญเสียอิทธิพลเมื่อใด?

    ◻️ สหรัฐฯคาดว่ามี ๔๘-๕๒% ของ GDP ทั่วโลก และประมาณ ๖๐% ของการผลิตภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกในปี ๑๙๔๔
    .
    ◻️ อเมริกาได้รับสถานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๒, เมื่อมีการสร้างระบบการเงินระหว่างประเทศที่เรียกว่าระบบเบรตตันวูดส์ขึ้นในเดือนกรกฎาคม ๑๙๔๔ การประชุมเบรตตันวูดส์ได้แต่งตั้งให้ดอลลาร์สหรัฐฯเป็นสกุลเงินสำรองของโลกอย่างเป็นทางการ, โดยมีทองคำสำรองที่ใหญ่ที่สุดในโลกหนุนหลังอยู่ สกุลเงินอื่นๆจะถูกผูกไว้กับค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ
    .
    ◻️ กฎเกณฑ์ระหว่างประเทศสำหรับการค้าระหว่างประเทศได้ถูกกำหนดไว้ในข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า (GATT) ในปี ๑๙๔๗ ในปี ๑๙๙๕, ข้อตกลงดังกล่าวได้ถูกแปลงเป็นองค์การการค้าโลก (WTO) สหรัฐอเมริกาใช้ "เครื่องมือ" เหล่านี้เพื่อรักษาอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ในยุโรปและญี่ปุ่น ยุโรปตะวันออก, สหภาพโซเวียต, และจีน ยังคงอยู่ภายนอกเขตการขยายตัวของอเมริกา
    .
    ◻️ ภายใต้แผนการมาร์แชลล์, สหรัฐฯจัดสรรเงิน, โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของเงินช่วยเหลือ, เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม ในเวลาเดียวกัน, สหรัฐฯยังได้ส่งคำสั่งซื้อที่ทำกำไรมหาศาลให้กับบริษัทในอเมริกา, กระตุ้นเศรษฐกิจของตนเองไปพร้อมกับเสริมสร้างอิทธิพลที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของยุโรปตะวันตก ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากประมาณ ๒๐๐ พันล้านดอลลาร์ในปี ๑๙๔๐ เป็นมากกว่า ๕๐๐ พันล้านดอลลาร์ในปี ๑๙๖๐
    .
    🧵💲 What were the milestones leading to the global dollar system’s collapse?

    The 2024 Annual Meetings of the International Monetary Fund (IMF) and the World Bank Group (WBG) are opening on October 21 to focus on skyrocketing global public debt, which is expected to reach $100 trillion by the end of this year. The debt, in large part, is driven by the borrowing binge of the US, where the government debt currently stands at $35.68 trillion.
    .
    Meanwhile, the US’ share of the global economy calculated using purchasing power parity has reached a historic low, plunging below 15%, Sputnik’s analysis of World Bank and IMF calculations has showed. It is expected to sag further, to reach 14.76% by the end of President Joe Biden's term.
    .
    When did US finances and the global dollar system start losing clout?

    ◻️ The US is estimated to have accounted for 48-52% of global GDP and about 60% of global industrial production in 1944.
    .
    ◻️ America secured its economic superpower status at the end of WWII, when the international monetary system known as the Bretton Woods system was forged in July 1944. The Bretton Woods Conference officially crowned the US dollar as the global reserve currency, backed by the world’s largest gold reserves. Other currencies were pegged to the US dollar’s value.
    .
    ◻️ International rules for foreign trade were laid out in the General Agreement on Tariffs and Trade (GATT) in 1947. In 1995, the agreement was transformed into the WTO. The US wielded these “tools” to secure geopolitical influence across Europe and Japan. Eastern Europe, the USSR, and China remained outside the zone of American expansion.
    .
    ◻️ Under the Marshall Plan, the US provided money, chiefly in the form of grants, to rebuild war-ravaged European economies. At the same time, it funneled lucrative orders to American companies, stimulating its own economy while solidifying its influence over Western Europe's economic systems. US gross national product rose from about $200 billion in 1940 to more than $500 billion in 1960.
    .
    10:27 PM · Oct 21, 2024 · 8,506 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1848385613361225740
    🧵💲 เหตุการณ์สำคัญใดบ้างที่นำไปสู่การล่มสลายของระบบดอลลาร์ทั่วโลก? การประชุมประจำปี ๒๐๒๔ ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และกลุ่มธนาคารโลก (WBG) จะเปิดขึ้นในวันที่ ๒๑ ตุลาคม เพื่อมุ่งเน้นไปที่หนี้สาธารณะทั่วโลกที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว, ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง ๑๐๐ ล้านล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ หนี้, ส่วนใหญ่, เกิดจากการกู้ยืมเงินของสหรัฐฯมากเกินไป, โดยปัจจุบันหนี้ของรัฐบาลอยู่ที่ ๓๕.๖๘ ล้านล้านดอลลาร์ . ในขณะเดียวกัน, ส่วนแบ่งของสหรัฐฯในเศรษฐกิจโลกที่คำนวณโดยใช้ความเท่าเทียมของอำนาจซื้อได้แตะระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์, โดยร่วงลงต่ำกว่า ๑๕%, จากการวิเคราะห์ของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศของสปุตนิก คาดว่าจะลดลงอีก, โดยแตะระดับ ๑๔.๗๖% เมื่อสิ้นสุดวาระของประธานาธิบดีโจ ไบเดน . ระบบการเงินของสหรัฐฯและระบบดอลลาร์ทั่วโลก เริ่มสูญเสียอิทธิพลเมื่อใด? ◻️ สหรัฐฯคาดว่ามี ๔๘-๕๒% ของ GDP ทั่วโลก และประมาณ ๖๐% ของการผลิตภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกในปี ๑๙๔๔ . ◻️ อเมริกาได้รับสถานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๒, เมื่อมีการสร้างระบบการเงินระหว่างประเทศที่เรียกว่าระบบเบรตตันวูดส์ขึ้นในเดือนกรกฎาคม ๑๙๔๔ การประชุมเบรตตันวูดส์ได้แต่งตั้งให้ดอลลาร์สหรัฐฯเป็นสกุลเงินสำรองของโลกอย่างเป็นทางการ, โดยมีทองคำสำรองที่ใหญ่ที่สุดในโลกหนุนหลังอยู่ สกุลเงินอื่นๆจะถูกผูกไว้กับค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ . ◻️ กฎเกณฑ์ระหว่างประเทศสำหรับการค้าระหว่างประเทศได้ถูกกำหนดไว้ในข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า (GATT) ในปี ๑๙๔๗ ในปี ๑๙๙๕, ข้อตกลงดังกล่าวได้ถูกแปลงเป็นองค์การการค้าโลก (WTO) สหรัฐอเมริกาใช้ "เครื่องมือ" เหล่านี้เพื่อรักษาอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ในยุโรปและญี่ปุ่น ยุโรปตะวันออก, สหภาพโซเวียต, และจีน ยังคงอยู่ภายนอกเขตการขยายตัวของอเมริกา . ◻️ ภายใต้แผนการมาร์แชลล์, สหรัฐฯจัดสรรเงิน, โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของเงินช่วยเหลือ, เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม ในเวลาเดียวกัน, สหรัฐฯยังได้ส่งคำสั่งซื้อที่ทำกำไรมหาศาลให้กับบริษัทในอเมริกา, กระตุ้นเศรษฐกิจของตนเองไปพร้อมกับเสริมสร้างอิทธิพลที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของยุโรปตะวันตก ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากประมาณ ๒๐๐ พันล้านดอลลาร์ในปี ๑๙๔๐ เป็นมากกว่า ๕๐๐ พันล้านดอลลาร์ในปี ๑๙๖๐ . 🧵💲 What were the milestones leading to the global dollar system’s collapse? The 2024 Annual Meetings of the International Monetary Fund (IMF) and the World Bank Group (WBG) are opening on October 21 to focus on skyrocketing global public debt, which is expected to reach $100 trillion by the end of this year. The debt, in large part, is driven by the borrowing binge of the US, where the government debt currently stands at $35.68 trillion. . Meanwhile, the US’ share of the global economy calculated using purchasing power parity has reached a historic low, plunging below 15%, Sputnik’s analysis of World Bank and IMF calculations has showed. It is expected to sag further, to reach 14.76% by the end of President Joe Biden's term. . When did US finances and the global dollar system start losing clout? ◻️ The US is estimated to have accounted for 48-52% of global GDP and about 60% of global industrial production in 1944. . ◻️ America secured its economic superpower status at the end of WWII, when the international monetary system known as the Bretton Woods system was forged in July 1944. The Bretton Woods Conference officially crowned the US dollar as the global reserve currency, backed by the world’s largest gold reserves. Other currencies were pegged to the US dollar’s value. . ◻️ International rules for foreign trade were laid out in the General Agreement on Tariffs and Trade (GATT) in 1947. In 1995, the agreement was transformed into the WTO. The US wielded these “tools” to secure geopolitical influence across Europe and Japan. Eastern Europe, the USSR, and China remained outside the zone of American expansion. . ◻️ Under the Marshall Plan, the US provided money, chiefly in the form of grants, to rebuild war-ravaged European economies. At the same time, it funneled lucrative orders to American companies, stimulating its own economy while solidifying its influence over Western Europe's economic systems. US gross national product rose from about $200 billion in 1940 to more than $500 billion in 1960. . 10:27 PM · Oct 21, 2024 · 8,506 Views https://x.com/SputnikInt/status/1848385613361225740
    Like
    Wow
    2
    8 Comments 0 Shares 662 Views 0 Reviews
  • 22/10/67

    พ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง
    ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือ ไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษาหาความรู้

    ลูกชายของคนปลูกผักเป็นเด็กเรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์ และผู้ใหญ่ที่พบเห็น
    แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้านด้วยใบหน้าที่่บึ้งตึง
    เหมือนมีเรื่องขุ่นมัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง

    “ลูกรัก ระยะหลังมานี้พ่อรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยมีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง
    โดยเฉพาะเวลาที่กลับจากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมาเถิด”

    ลูกชายไม่่คิดปิดบังพ่อของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงานหนัก
    จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปากถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป

    ” ที่ห้องของผมมีนักเรียนย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน
    และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบได้คะแนนดี และได้รับคำชมจากครูบ่อย ๆ
    เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลา”

    ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ

    ” แล้วลูกทำอย่างไรเมือโดนเขาแกล้ง” ผู้เป็นพ่อถามต่อ

    ” ผมพยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่าผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ
    สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสียๆ ของเขาบ้าง”

    พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเองเผลอใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป
    เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธมากแน่ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรกเกเร
    หาเรื่องชกต่อยกับใคร ทว่า……..พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา!
    ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า

    ” ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้พวกคนที่ทำกับผมรู้จักความเจ็บปวด
    และอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง”

    ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายแล้วยิ้มน้อย ๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า

    ” อีกสามวันจะเป็นวันเกิด ครบสิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย
    แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พ่อจะให้ของขวัญแก่ลูก”

    ลูกชายรู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้วันเกิดในอีกสามวัน
    มาถึงเร็ว ๆ ครั้นเมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญา
    เป็นกล่องกระดาษสีขาว และ สีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง

    ” พ่อครับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว”
    ลูกชายกล่าวด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก

    ” ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจาก พ่อเถิด”

    ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อและกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก
    แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม

    ” เปิดกล่องสีดำด้วยสิลูกรัก” พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ

    ลูกชายรีบแกะเชือกที่ผูกกล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว

    นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้นกล่องเท่านั้น

    ” พ่อครับ ไม่มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ !!!! ” ลูกชายบอกกับพ่อของเขา

    “พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่องกระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ”

    ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า

    ” พ่อคงให้ของขวัญแก่ลูกได้แค่กล่องกระดาษสองใบนี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ! ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง
    กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดี ๆว หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข
    ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว

    ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์
    ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ
    แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน”

    แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี
    ทุก ๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียนเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว
    และเอาเศษกระดาษอีกมากมายที่เขียนเรื่องราวไม่ดีหย่อนลงไปกล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบ ๆ

    สามเดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหน ๆ
    เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลันออกจากบ้านไปอีกครั้ง
    แต่คนปลูกผักสังเกตเห็นก่อน เขาปราดเข้าไป ฉุดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

    ” ผมทนไม่ไหวแล้วครับพ่อ พวกคนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปลูกผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ
    แล้วมันยังขโมยหนังสือเรียนของผมไปทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ”

    คนปลูกผักไม่ได้โกรธตามลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า “วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง”

    ลูกชายประกาศเสียงกร้าวทันทีว่า ” ผมจะไปจัดการพวกคนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ยอมให้มันมาดูถูกเราได้อีก”

    ” ลูกต้องไปเขียนก่อน” พ่อบอกเสียงเรียบ “เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน”

    ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพวกนั้นในเวลานี้ด้วย
    แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธลงชั่วคราวแล้วทำตามที่พ่อบอก

    หลังจากหย่อนกระดาษความสุขความทุกข์ลงในกล่องกระดาษสีขาวสีดำเรียบร้อยแล้ว
    ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน

    ” โอ้โห แค่สาม! เดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้”
    ลูกชายอุทานอย่างคาดไม่ถึง ผู้เป็นพ่อยิ้ม และบอกว่า ” ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ”

    ” กล่องสีดำน่าจะหนักกว่านี้อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว”

    แต่ทันทีที่ลูกชายยกกล่องกระดาษสีดำขึ้นจากที่ตั้งเดิมของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคงเหลืออยู่ในนั้นแล้ว ลูกชายหันไปมองหน้าพ่อ

    ” ผมลืมไปเสียสนิทเลยครับว่ากล่องใบนี้มีรูอยู่ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ”

    แต่ผู้เป็นพ่อบอกว่า

    “เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็คือขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาดมากวาดมันทิ้งไปให้หมดเถิด
    ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่งความสุขของลูก
    จะเต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลา”

    อันที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่นแกล้งทำร้ายลูกไม่ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย
    เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความรู้จักมัน
    ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้

    ดูในกล่องสีขาวสิลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำไมลูกถึงมองข้ามไป ละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์
    กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ”

    ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างอัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง

    ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะ กล่องแห่งความทุกข์ของเขาว่างเปล่าแล้วนั่นเอง

    ………………………………………………………………………

    ช่างน่าฉงนจริง ๆ ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำ และยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมายที่เราเคยรู้จัก

    สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชายไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือสีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข
    ด้วยการละทิ้งความทุกข์ แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มีให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้
    ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจนตลอดชีวิต

    เราอาจจะเลี่ยงคนสกปรกที่ชอบโยนขยะและความโสโครกใส่หน้าบ้านเราไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ก้มลงเก็บมันเข้ามาไว้ในบ้าน
    และกวาดมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสได้

    แน่นอนว่าการรับมือกับคนพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราทำได้ต่อไปความสกปรกก็จะหายไปจากหน้าบ้านของเราเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย
    .
    22/10/67 พ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือ ไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษาหาความรู้ ลูกชายของคนปลูกผักเป็นเด็กเรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์ และผู้ใหญ่ที่พบเห็น แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้านด้วยใบหน้าที่่บึ้งตึง เหมือนมีเรื่องขุ่นมัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง “ลูกรัก ระยะหลังมานี้พ่อรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยมีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง โดยเฉพาะเวลาที่กลับจากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมาเถิด” ลูกชายไม่่คิดปิดบังพ่อของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงานหนัก จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปากถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป ” ที่ห้องของผมมีนักเรียนย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบได้คะแนนดี และได้รับคำชมจากครูบ่อย ๆ เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลา” ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ ” แล้วลูกทำอย่างไรเมือโดนเขาแกล้ง” ผู้เป็นพ่อถามต่อ ” ผมพยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่าผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสียๆ ของเขาบ้าง” พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเองเผลอใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธมากแน่ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรกเกเร หาเรื่องชกต่อยกับใคร ทว่า……..พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา! ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า ” ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้พวกคนที่ทำกับผมรู้จักความเจ็บปวด และอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง” ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายแล้วยิ้มน้อย ๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า ” อีกสามวันจะเป็นวันเกิด ครบสิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พ่อจะให้ของขวัญแก่ลูก” ลูกชายรู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้วันเกิดในอีกสามวัน มาถึงเร็ว ๆ ครั้นเมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญา เป็นกล่องกระดาษสีขาว และ สีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง ” พ่อครับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว” ลูกชายกล่าวด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก ” ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจาก พ่อเถิด” ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อและกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม ” เปิดกล่องสีดำด้วยสิลูกรัก” พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ ลูกชายรีบแกะเชือกที่ผูกกล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้นกล่องเท่านั้น ” พ่อครับ ไม่มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ !!!! ” ลูกชายบอกกับพ่อของเขา “พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่องกระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ” ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า ” พ่อคงให้ของขวัญแก่ลูกได้แค่กล่องกระดาษสองใบนี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ! ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดี ๆว หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์ ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน” แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี ทุก ๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียนเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว และเอาเศษกระดาษอีกมากมายที่เขียนเรื่องราวไม่ดีหย่อนลงไปกล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบ ๆ สามเดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหน ๆ เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลันออกจากบ้านไปอีกครั้ง แต่คนปลูกผักสังเกตเห็นก่อน เขาปราดเข้าไป ฉุดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ” ผมทนไม่ไหวแล้วครับพ่อ พวกคนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปลูกผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ แล้วมันยังขโมยหนังสือเรียนของผมไปทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ” คนปลูกผักไม่ได้โกรธตามลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า “วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง” ลูกชายประกาศเสียงกร้าวทันทีว่า ” ผมจะไปจัดการพวกคนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ยอมให้มันมาดูถูกเราได้อีก” ” ลูกต้องไปเขียนก่อน” พ่อบอกเสียงเรียบ “เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน” ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพวกนั้นในเวลานี้ด้วย แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธลงชั่วคราวแล้วทำตามที่พ่อบอก หลังจากหย่อนกระดาษความสุขความทุกข์ลงในกล่องกระดาษสีขาวสีดำเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน ” โอ้โห แค่สาม! เดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้” ลูกชายอุทานอย่างคาดไม่ถึง ผู้เป็นพ่อยิ้ม และบอกว่า ” ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ” ” กล่องสีดำน่าจะหนักกว่านี้อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว” แต่ทันทีที่ลูกชายยกกล่องกระดาษสีดำขึ้นจากที่ตั้งเดิมของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคงเหลืออยู่ในนั้นแล้ว ลูกชายหันไปมองหน้าพ่อ ” ผมลืมไปเสียสนิทเลยครับว่ากล่องใบนี้มีรูอยู่ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ” แต่ผู้เป็นพ่อบอกว่า “เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็คือขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาดมากวาดมันทิ้งไปให้หมดเถิด ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่งความสุขของลูก จะเต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลา” อันที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่นแกล้งทำร้ายลูกไม่ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความรู้จักมัน ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้ ดูในกล่องสีขาวสิลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำไมลูกถึงมองข้ามไป ละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์ กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ” ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างอัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะ กล่องแห่งความทุกข์ของเขาว่างเปล่าแล้วนั่นเอง ……………………………………………………………………… ช่างน่าฉงนจริง ๆ ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำ และยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมายที่เราเคยรู้จัก สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชายไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือสีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข ด้วยการละทิ้งความทุกข์ แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มีให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้ ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจนตลอดชีวิต เราอาจจะเลี่ยงคนสกปรกที่ชอบโยนขยะและความโสโครกใส่หน้าบ้านเราไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ก้มลงเก็บมันเข้ามาไว้ในบ้าน และกวาดมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสได้ แน่นอนว่าการรับมือกับคนพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราทำได้ต่อไปความสกปรกก็จะหายไปจากหน้าบ้านของเราเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย .
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • 22/10/67

    พ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง
    ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือ ไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษาหาความรู้

    ลูกชายของคนปลูกผักเป็นเด็กเรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์ และผู้ใหญ่ที่พบเห็น
    แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้านด้วยใบหน้าที่่บึ้งตึง
    เหมือนมีเรื่องขุ่นมัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง

    “ลูกรัก ระยะหลังมานี้พ่อรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยมีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง
    โดยเฉพาะเวลาที่กลับจากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมาเถิด”

    ลูกชายไม่่คิดปิดบังพ่อของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงานหนัก
    จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปากถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป

    ” ที่ห้องของผมมีนักเรียนย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน
    และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบได้คะแนนดี และได้รับคำชมจากครูบ่อย ๆ
    เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลา”

    ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ

    ” แล้วลูกทำอย่างไรเมือโดนเขาแกล้ง” ผู้เป็นพ่อถามต่อ

    ” ผมพยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่าผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ
    สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสียๆ ของเขาบ้าง”

    พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเองเผลอใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป
    เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธมากแน่ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรกเกเร
    หาเรื่องชกต่อยกับใคร ทว่า……..พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา!
    ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า

    ” ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้พวกคนที่ทำกับผมรู้จักความเจ็บปวด
    และอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง”

    ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายแล้วยิ้มน้อย ๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า

    ” อีกสามวันจะเป็นวันเกิด ครบสิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย
    แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พ่อจะให้ของขวัญแก่ลูก”

    ลูกชายรู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้วันเกิดในอีกสามวัน
    มาถึงเร็ว ๆ ครั้นเมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญา
    เป็นกล่องกระดาษสีขาว และ สีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง

    ” พ่อครับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว”
    ลูกชายกล่าวด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก

    ” ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจาก พ่อเถิด”

    ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อและกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก
    แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม

    ” เปิดกล่องสีดำด้วยสิลูกรัก” พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ

    ลูกชายรีบแกะเชือกที่ผูกกล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว

    นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้นกล่องเท่านั้น

    ” พ่อครับ ไม่มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ !!!! ” ลูกชายบอกกับพ่อของเขา

    “พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่องกระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ”

    ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า

    ” พ่อคงให้ของขวัญแก่ลูกได้แค่กล่องกระดาษสองใบนี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ! ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง
    กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดี ๆว หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข
    ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว

    ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์
    ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ
    แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน”

    แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี
    ทุก ๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียนเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว
    และเอาเศษกระดาษอีกมากมายที่เขียนเรื่องราวไม่ดีหย่อนลงไปกล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบ ๆ

    สามเดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหน ๆ
    เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลันออกจากบ้านไปอีกครั้ง
    แต่คนปลูกผักสังเกตเห็นก่อน เขาปราดเข้าไป ฉุดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

    ” ผมทนไม่ไหวแล้วครับพ่อ พวกคนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปลูกผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ
    แล้วมันยังขโมยหนังสือเรียนของผมไปทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ”

    คนปลูกผักไม่ได้โกรธตามลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า “วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง”

    ลูกชายประกาศเสียงกร้าวทันทีว่า ” ผมจะไปจัดการพวกคนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ยอมให้มันมาดูถูกเราได้อีก”

    ” ลูกต้องไปเขียนก่อน” พ่อบอกเสียงเรียบ “เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน”

    ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพวกนั้นในเวลานี้ด้วย
    แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธลงชั่วคราวแล้วทำตามที่พ่อบอก

    หลังจากหย่อนกระดาษความสุขความทุกข์ลงในกล่องกระดาษสีขาวสีดำเรียบร้อยแล้ว
    ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน

    ” โอ้โห แค่สาม! เดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้”
    ลูกชายอุทานอย่างคาดไม่ถึง ผู้เป็นพ่อยิ้ม และบอกว่า ” ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ”

    ” กล่องสีดำน่าจะหนักกว่านี้อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว”

    แต่ทันทีที่ลูกชายยกกล่องกระดาษสีดำขึ้นจากที่ตั้งเดิมของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคงเหลืออยู่ในนั้นแล้ว ลูกชายหันไปมองหน้าพ่อ

    ” ผมลืมไปเสียสนิทเลยครับว่ากล่องใบนี้มีรูอยู่ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ”

    แต่ผู้เป็นพ่อบอกว่า

    “เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็คือขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาดมากวาดมันทิ้งไปให้หมดเถิด
    ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่งความสุขของลูก
    จะเต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลา”

    อันที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่นแกล้งทำร้ายลูกไม่ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย
    เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความรู้จักมัน
    ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้

    ดูในกล่องสีขาวสิลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำไมลูกถึงมองข้ามไป ละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์
    กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ”

    ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างอัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง

    ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะ กล่องแห่งความทุกข์ของเขาว่างเปล่าแล้วนั่นเอง

    ………………………………………………………………………

    ช่างน่าฉงนจริง ๆ ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำ และยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมายที่เราเคยรู้จัก

    สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชายไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือสีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข
    ด้วยการละทิ้งความทุกข์ แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มีให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้
    ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจนตลอดชีวิต

    เราอาจจะเลี่ยงคนสกปรกที่ชอบโยนขยะและความโสโครกใส่หน้าบ้านเราไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ก้มลงเก็บมันเข้ามาไว้ในบ้าน
    และกวาดมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสได้

    แน่นอนว่าการรับมือกับคนพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราทำได้ต่อไปความสกปรกก็จะหายไปจากหน้าบ้านของเราเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย


    .
    22/10/67 พ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือ ไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษาหาความรู้ ลูกชายของคนปลูกผักเป็นเด็กเรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์ และผู้ใหญ่ที่พบเห็น แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้านด้วยใบหน้าที่่บึ้งตึง เหมือนมีเรื่องขุ่นมัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง “ลูกรัก ระยะหลังมานี้พ่อรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยมีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง โดยเฉพาะเวลาที่กลับจากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมาเถิด” ลูกชายไม่่คิดปิดบังพ่อของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงานหนัก จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปากถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป ” ที่ห้องของผมมีนักเรียนย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบได้คะแนนดี และได้รับคำชมจากครูบ่อย ๆ เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลา” ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ ” แล้วลูกทำอย่างไรเมือโดนเขาแกล้ง” ผู้เป็นพ่อถามต่อ ” ผมพยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่าผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสียๆ ของเขาบ้าง” พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเองเผลอใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธมากแน่ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรกเกเร หาเรื่องชกต่อยกับใคร ทว่า……..พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา! ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า ” ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้พวกคนที่ทำกับผมรู้จักความเจ็บปวด และอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง” ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายแล้วยิ้มน้อย ๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า ” อีกสามวันจะเป็นวันเกิด ครบสิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พ่อจะให้ของขวัญแก่ลูก” ลูกชายรู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้วันเกิดในอีกสามวัน มาถึงเร็ว ๆ ครั้นเมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญา เป็นกล่องกระดาษสีขาว และ สีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง ” พ่อครับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว” ลูกชายกล่าวด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก ” ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจาก พ่อเถิด” ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อและกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม ” เปิดกล่องสีดำด้วยสิลูกรัก” พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ ลูกชายรีบแกะเชือกที่ผูกกล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้นกล่องเท่านั้น ” พ่อครับ ไม่มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ !!!! ” ลูกชายบอกกับพ่อของเขา “พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่องกระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ” ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า ” พ่อคงให้ของขวัญแก่ลูกได้แค่กล่องกระดาษสองใบนี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ! ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดี ๆว หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์ ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน” แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี ทุก ๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียนเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว และเอาเศษกระดาษอีกมากมายที่เขียนเรื่องราวไม่ดีหย่อนลงไปกล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบ ๆ สามเดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหน ๆ เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลันออกจากบ้านไปอีกครั้ง แต่คนปลูกผักสังเกตเห็นก่อน เขาปราดเข้าไป ฉุดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ” ผมทนไม่ไหวแล้วครับพ่อ พวกคนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปลูกผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ แล้วมันยังขโมยหนังสือเรียนของผมไปทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ” คนปลูกผักไม่ได้โกรธตามลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า “วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง” ลูกชายประกาศเสียงกร้าวทันทีว่า ” ผมจะไปจัดการพวกคนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ยอมให้มันมาดูถูกเราได้อีก” ” ลูกต้องไปเขียนก่อน” พ่อบอกเสียงเรียบ “เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน” ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพวกนั้นในเวลานี้ด้วย แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธลงชั่วคราวแล้วทำตามที่พ่อบอก หลังจากหย่อนกระดาษความสุขความทุกข์ลงในกล่องกระดาษสีขาวสีดำเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน ” โอ้โห แค่สาม! เดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้” ลูกชายอุทานอย่างคาดไม่ถึง ผู้เป็นพ่อยิ้ม และบอกว่า ” ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ” ” กล่องสีดำน่าจะหนักกว่านี้อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว” แต่ทันทีที่ลูกชายยกกล่องกระดาษสีดำขึ้นจากที่ตั้งเดิมของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคงเหลืออยู่ในนั้นแล้ว ลูกชายหันไปมองหน้าพ่อ ” ผมลืมไปเสียสนิทเลยครับว่ากล่องใบนี้มีรูอยู่ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ” แต่ผู้เป็นพ่อบอกว่า “เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็คือขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาดมากวาดมันทิ้งไปให้หมดเถิด ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่งความสุขของลูก จะเต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลา” อันที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่นแกล้งทำร้ายลูกไม่ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความรู้จักมัน ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้ ดูในกล่องสีขาวสิลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำไมลูกถึงมองข้ามไป ละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์ กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ” ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างอัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะ กล่องแห่งความทุกข์ของเขาว่างเปล่าแล้วนั่นเอง ……………………………………………………………………… ช่างน่าฉงนจริง ๆ ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำ และยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมายที่เราเคยรู้จัก สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชายไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือสีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข ด้วยการละทิ้งความทุกข์ แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มีให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้ ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจนตลอดชีวิต เราอาจจะเลี่ยงคนสกปรกที่ชอบโยนขยะและความโสโครกใส่หน้าบ้านเราไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ก้มลงเก็บมันเข้ามาไว้ในบ้าน และกวาดมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสได้ แน่นอนว่าการรับมือกับคนพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราทำได้ต่อไปความสกปรกก็จะหายไปจากหน้าบ้านของเราเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย .
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • ไม่ว่าบทสวด คาถาใด ถ้าจิตไม่เป็นสมาธิ (นิ่งพอ) ไม่สามารถให้ผลอะไรได้เลย..พลังจิตของมนุษย์ หรือแม้แต่เกจิอาจารย์เก่งๆในอดีต...มันไม่ได้ทรงอยู่ตลอดเวลา..เหมือนไฟฟ้ากระแสตรง....แต่มันเหมือนไฟฟ้ากระแสสลับ...มีขึ้น มีลง...
    ...แล้ววัตถุมงคล ที่เกจิเสก ศักดิ์สิทธิ์เพราะอะไรให้ผลมากกว่า ..คาถา หรือพลังจิต..ต้องบอกว่า คาถามันจะสัมฤทธิ์ผลได้ คือ ต้องมีพลังจิต ที่ผลักดัน หรือ ประจุ เข้าไป....
    ..ในอดีต มีผู้อยู่ในเหตุการณ์ ของเกจิดัง 2 ท่าน คือ ท่านเจ้าคุณ นร และ หลวงปู่แหวน.เล่าให้ฟังว่า..ท่านใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที..และไม่ได้เสกคาถาอะไรเลย..ท่านอฐิษฐานจิตแค่ว่า ให้วัตถุมงคลนี้ มีความเป็นมงคล ปกป้องคุ้มครอง แคล้วคลาดปลอดภัย...ง่ายๆแค่นั้นเอง.....แต่วัตถุมงคลของท่านก็มีประสบการณ์มากมาย...
    #มีต่อ Ep2🦚
    ไม่ว่าบทสวด คาถาใด ถ้าจิตไม่เป็นสมาธิ (นิ่งพอ) ไม่สามารถให้ผลอะไรได้เลย..พลังจิตของมนุษย์ หรือแม้แต่เกจิอาจารย์เก่งๆในอดีต...มันไม่ได้ทรงอยู่ตลอดเวลา..เหมือนไฟฟ้ากระแสตรง....แต่มันเหมือนไฟฟ้ากระแสสลับ...มีขึ้น มีลง... ...แล้ววัตถุมงคล ที่เกจิเสก ศักดิ์สิทธิ์เพราะอะไรให้ผลมากกว่า ..คาถา หรือพลังจิต..ต้องบอกว่า คาถามันจะสัมฤทธิ์ผลได้ คือ ต้องมีพลังจิต ที่ผลักดัน หรือ ประจุ เข้าไป.... ..ในอดีต มีผู้อยู่ในเหตุการณ์ ของเกจิดัง 2 ท่าน คือ ท่านเจ้าคุณ นร และ หลวงปู่แหวน.เล่าให้ฟังว่า..ท่านใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที..และไม่ได้เสกคาถาอะไรเลย..ท่านอฐิษฐานจิตแค่ว่า ให้วัตถุมงคลนี้ มีความเป็นมงคล ปกป้องคุ้มครอง แคล้วคลาดปลอดภัย...ง่ายๆแค่นั้นเอง.....แต่วัตถุมงคลของท่านก็มีประสบการณ์มากมาย... #มีต่อ Ep2🦚
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • “ วัคซีนโควิดปลอดภัยในสตรีตั้งครรภ์จริงหรือ ? “

    รวบรวมข้อมูลจาก CDC/FDA Vaccine Adverse Event Reporting System (VAERS) ตั้งแต่ 1 มกราคม 1990 ถึง 26 เมษายน 2024 เพื่อดูผลข้างเคียง (adverse effect, AE) ของวัคซีนโควิดที่มีต่อสตรีตั้งครรภ์เมื่อเทียบกับวัคซีนชนิดอื่น รวมระยะเวลาทั้งหมด 412 เดือน ยกเว้นวัคซีนโควิดที่เก็บรวบรวมได้แค่ 40 เดือนจาก 412 เดือน (1 ธันวาคม 2020 ถึง 26 เมษายน April 2024) โดยดู proportional reporting ratios (PRR) ตามระยะเวลา เปรียบเทียบ AEs ระหว่างวัคซีนโควิดที่มีต่อสตรีตั้งครรภ์กับวัคซีนชนิดอื่น ในกรณีที่หา PRR ไม่ได้ก็ใช้ Chi-square analysis และ Fisher’s exact tests แทน โดยยึดข้อกำหนดตาม CDC/FDA safety concern คือต้องระวังเรื่องความปลอดภัย ถ้า PRR ≥ 2 หรือ Chi-square ≥ 4

    พบ 37 AE จากการฉีดวัคซีนโควิดในผู้ตั้งครรภ์ ได้แก่ : miscarriage, fetal chromosomal abnormality, fetal malformation, cervical insufficiency, premature rupture of membranes, premature labor, premature delivery, placental calcification, placental infarction, placental thrombosis, placenta accreta, placental abruption, placental insufficiency, placental disorder, fetal maternal hemorrhage, fetal growth restriction, reduced amniotic fluid volume, preeclampsia, fetal heart rate abnormality, fetal cardiac disorder, fetal vascular mal-perfusion, fetal arrhythmia, fetal distress, fetal biophysical profile abnormal, hemorrhage in pregnancy, fetal cardiac arrest, fetal death (stillbirth), premature infant death, neonatal asphyxia, neonatal dyspnea, neonatal infection, neonatal hemorrhage, insufficient breast milk, neonatal pneumonia, neonatal respiratory distress, neonatal respiratory distress syndrome, neonatal seizure.

    ขออนุญาตไม่แปลเป็นภาษาไทยทั้งหมดเพราะอาจสื่อความหมายได้ไม่ชัดเจน แต่สำหรับผู้ที่สนใจหาข้อมูลก็สามารถหาคำแปลภาวะต่างๆด้านบนได้ไม่ยาก

    Summary statistics for the deviation from the CDC/FDA safety signals mean (n, range) เป็นดังนี้ : PRR 69.3 (46, 5.37 - 499); z statistic 9.64 (46, 3.29 - 27.0); และ Chi-square was 74.7 (26, 28.9 - 148)

    จะเห็นได้ว่าผลข้างเคียงจากวัคซีนโควิดในสตรีตั้งครรภ์สูงกว่า safety concern ที่ CDC/FDA กำหนดไว้มาก

    และมีอีก 1 รายงานผลกระทบจากการฉีดวัคซีนโควิดที่มีต่อสตรีมีครรภ์จากการรวบรวมเคส 438 รายในประเทศซาอุดิอาระเบียช่วง มีค.-พค. 2022 โดยแบ่งกลุ่มศึกษาเป็น 2 กลุ่ม กลุ่ม A คือสตรีมีครรภ์ที่ไม่ได้รับวัคซีนเลยแม้แต่เข็มเดียว กลุ่ม B คือได้รับวัคซีนโควิดอย่างน้อย 1 เข็ม

    พบว่ากลุ่ม B มีอัตราการแท้ง น้ำคร่ำน้อย รกผิดปกติ การเจริญเติบโตของทารกผิดปกติ มีปัญหาเรื่องการให้นม ความดันโลหิตสูง อาการอื่นๆทางระบบ เช่น อ่อนเพลียปวดหัวเจ็บหน้าอก การหายใจมีปัญหา มีปัญหาการนอนหลับ มากกว่ากลุ่ม A อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

    เรียบเรียงโดย นพ.ดร. ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ

    Reference :

    https://www.preprints.org/manuscript/202406.2062/v1

    https://journals.sagepub.com/doi/epdf/10.1177/25151355241285594?utm_source=substack&utm_medium=email
    “ วัคซีนโควิดปลอดภัยในสตรีตั้งครรภ์จริงหรือ ? “ รวบรวมข้อมูลจาก CDC/FDA Vaccine Adverse Event Reporting System (VAERS) ตั้งแต่ 1 มกราคม 1990 ถึง 26 เมษายน 2024 เพื่อดูผลข้างเคียง (adverse effect, AE) ของวัคซีนโควิดที่มีต่อสตรีตั้งครรภ์เมื่อเทียบกับวัคซีนชนิดอื่น รวมระยะเวลาทั้งหมด 412 เดือน ยกเว้นวัคซีนโควิดที่เก็บรวบรวมได้แค่ 40 เดือนจาก 412 เดือน (1 ธันวาคม 2020 ถึง 26 เมษายน April 2024) โดยดู proportional reporting ratios (PRR) ตามระยะเวลา เปรียบเทียบ AEs ระหว่างวัคซีนโควิดที่มีต่อสตรีตั้งครรภ์กับวัคซีนชนิดอื่น ในกรณีที่หา PRR ไม่ได้ก็ใช้ Chi-square analysis และ Fisher’s exact tests แทน โดยยึดข้อกำหนดตาม CDC/FDA safety concern คือต้องระวังเรื่องความปลอดภัย ถ้า PRR ≥ 2 หรือ Chi-square ≥ 4 พบ 37 AE จากการฉีดวัคซีนโควิดในผู้ตั้งครรภ์ ได้แก่ : miscarriage, fetal chromosomal abnormality, fetal malformation, cervical insufficiency, premature rupture of membranes, premature labor, premature delivery, placental calcification, placental infarction, placental thrombosis, placenta accreta, placental abruption, placental insufficiency, placental disorder, fetal maternal hemorrhage, fetal growth restriction, reduced amniotic fluid volume, preeclampsia, fetal heart rate abnormality, fetal cardiac disorder, fetal vascular mal-perfusion, fetal arrhythmia, fetal distress, fetal biophysical profile abnormal, hemorrhage in pregnancy, fetal cardiac arrest, fetal death (stillbirth), premature infant death, neonatal asphyxia, neonatal dyspnea, neonatal infection, neonatal hemorrhage, insufficient breast milk, neonatal pneumonia, neonatal respiratory distress, neonatal respiratory distress syndrome, neonatal seizure. ขออนุญาตไม่แปลเป็นภาษาไทยทั้งหมดเพราะอาจสื่อความหมายได้ไม่ชัดเจน แต่สำหรับผู้ที่สนใจหาข้อมูลก็สามารถหาคำแปลภาวะต่างๆด้านบนได้ไม่ยาก Summary statistics for the deviation from the CDC/FDA safety signals mean (n, range) เป็นดังนี้ : PRR 69.3 (46, 5.37 - 499); z statistic 9.64 (46, 3.29 - 27.0); และ Chi-square was 74.7 (26, 28.9 - 148) จะเห็นได้ว่าผลข้างเคียงจากวัคซีนโควิดในสตรีตั้งครรภ์สูงกว่า safety concern ที่ CDC/FDA กำหนดไว้มาก และมีอีก 1 รายงานผลกระทบจากการฉีดวัคซีนโควิดที่มีต่อสตรีมีครรภ์จากการรวบรวมเคส 438 รายในประเทศซาอุดิอาระเบียช่วง มีค.-พค. 2022 โดยแบ่งกลุ่มศึกษาเป็น 2 กลุ่ม กลุ่ม A คือสตรีมีครรภ์ที่ไม่ได้รับวัคซีนเลยแม้แต่เข็มเดียว กลุ่ม B คือได้รับวัคซีนโควิดอย่างน้อย 1 เข็ม พบว่ากลุ่ม B มีอัตราการแท้ง น้ำคร่ำน้อย รกผิดปกติ การเจริญเติบโตของทารกผิดปกติ มีปัญหาเรื่องการให้นม ความดันโลหิตสูง อาการอื่นๆทางระบบ เช่น อ่อนเพลียปวดหัวเจ็บหน้าอก การหายใจมีปัญหา มีปัญหาการนอนหลับ มากกว่ากลุ่ม A อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เรียบเรียงโดย นพ.ดร. ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ Reference : https://www.preprints.org/manuscript/202406.2062/v1 https://journals.sagepub.com/doi/epdf/10.1177/25151355241285594?utm_source=substack&utm_medium=email
    WWW.PREPRINTS.ORG
    Are COVID-19 Vaccines in Pregnancy as Safe and Effective as the U.S. Government, Medical Organizations, and Pharmaceutical Industry Claim? Part I
    Introduction: In Part I of this three-part series we report a retrospective, population-based cohort study assessing rates of adverse events (AEs) in pregnancy after COVID-19 vaccines compared to the same AEs after influenza vaccines and after all other vaccines. Methods: Data were collected from the U.S. Centers for Disease Control and prevention (CDC) and the U.S. Food and Drug Administration (FDA). The CDC/FDA Vaccine Adverse Event Reporting System (VAERS) database was queried from January 1, 1990, to April 26, 2024, for adverse events (AEs) involving pregnancy complications following COVID-19 vaccination. The time-period included 412 months for all vaccines except COVID-19 vaccines, having been used for only 40 of the 412 months (December 1, 2020, to April 26, 2024). Proportional reporting ratios (PRR) by time compared AEs after COVID-19 vaccination to those after influenza vaccination, and after all other vaccine products administered to pregnant women. In cases in which the PRR was not applicable, Chi-square analysis and Fisher’s exact tests were used according to CDC/FDA guidance. CDC/FDA stipulate a safety concern if a PRR is ≥ 2 or if a Chi-square is ≥ 4. Results: The CDC/FDA’s safety signals were breached for all 37 AEs following COVID-19 vaccination in pregnancy: miscarriage, fetal chromosomal abnormality, fetal malformation, cervical insufficiency, premature rupture of membranes, premature labor, premature delivery, placental calcification, placental infarction, placental thrombosis, placenta accreta, placental abruption, placental insufficiency, placental disorder, fetal maternal hemorrhage, fetal growth restriction, reduced amniotic fluid volume, preeclampsia, fetal heart rate abnormality, fetal cardiac disorder, fetal vascular mal-perfusion, fetal arrhythmia, fetal distress, fetal biophysical profile abnormal, hemorrhage in pregnancy, fetal cardiac arrest, fetal death (stillbirth), premature infant death, neonatal asphyxia, neonatal dyspnea, neonatal infection, neonatal hemorrhage, insufficient breast milk, neonatal pneumonia, neonatal respiratory distress, neonatal respiratory distress syndrome, and neonatal seizure. All p values were ≤ 0.001 with the majority being
    Like
    6
    1 Comments 0 Shares 322 Views 0 Reviews
  • แฮร์ริส-ทรัมป์ขนเซเลบขึ้นเวทีช่วยหาเสียง โดยต่างฝ่ายโจมตีกันเรื่องความอึด และเรียกร้องผู้ลงคะแนนล่วงหน้าในรัฐสมรภูมิโหวตให้ตนเองในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่สูสีที่สุดเท่าที่เคยมีมา
    .
    ในการหาเสียงที่ดีทรอยต์ และแอตแลนตา รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ชวนป็อปสตาร์ ลิซโซ และอัชเชอร์ขึ้นเวทีอุ่นเครื่องให้ฝูงชน พร้อมโจมตีโดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งในศึกชิงทำเนียบขาวจากพรรครีพับลิกันว่า อ่อนระโหยโรยแรงและไร้สติ
    .
    อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ท้าทายคำกล่าวหาดังกล่าวด้วยการปราศรัยมาราธอนในเพนซิลเวเนีย ขณะที่อีลอน มัสก์ นักธุรกิจชื่อดัง ช่วยหาเสียงให้ทรัมป์ในเมืองอื่นในรัฐเดียวกัน
    .
    แคนดิเดตทั้งคู่ต่อสู้กันดุเดือดในทุกด้านเพื่อแย่งชิงการสนับสนุนในการแข่งขันที่โพลบ่งชี้ว่า คู่คี่สูสีกันมากขณะที่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 สัปดาห์จะถึงวันเลือกตั้ง
    .
    แฮร์ริสประกาศกับผู้มีสิทธิออกเสียงในดีทรอยต์ว่า แคมเปญหาเสียงของทรัมป์ทำลายตัวเอง พร้อมย้ำว่า จะลงทุนในชนชั้นแรงงานและชนชั้นกลาง และเสริมว่า สิ่งที่วัดความแข็งแกร่งของผู้นำที่แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราพยายามเอาชนะใคร แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครที่เราจะสนับสนุน
    .
    ต่อมาระหว่างหาเสียงที่แอตแลนตา แฮร์ริสกล่าวหาทรัมป์ วัย 78 ปี หนีการดีเบตและยกเลิกการให้สัมภาษณ์เพราะหมดแรง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า เวลาที่ต้องตอบคำถามหรือปราศรัยในการหาเสียง ทรัมป์มักพูดเรื่อยเปื่อยนอกสคริปต์ ซึ่งไม่ใช่เป็นการร้อยเรียงข้อความอย่างที่เจ้าตัวพยายามแก้ต่าง แต่เป็นการพูดจาเลื่อนเปื้อนไร้สาระ
    .
    ลิซโซที่ไปขึ้นเวทีสนับสนุนแฮร์ริส กล่าวกับฝูงชนว่า ทุกคนสมควรมีประธานาธิบดีที่รับฟัง เคารพสิทธิในการประท้วง และเข้าใจว่า งานของตัวเองคือการรับใช้ประชาชน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่แฮร์ริสนำเสนอ ก่อนทิ้งท้ายว่า อเมริกายิ่งกว่าพร้อมที่จะมีประธานาธิบดีหญิง
    .
    ขณะที่อัชเชอร์ หนึ่งในศิลปินแถวหน้าของเมืองแอตแลนตา ประกาศฝากความหวังกับฝูงชนในการนำแฮร์ริสเข้าสู่เส้นชัยในรัฐจอร์เจีย
    .
    ทางด้านทรัมป์เริ่มการหาเสียงด้วยการปราศรัยยาวเหยียดนานกว่า 90 นาที ซึ่งเริ่มต้นด้วยการพูดคนเดียวเกี่ยวกับอาร์โนลด์ ปาล์มเมอร์ นักกอล์ฟที่ถูกนำชื่อมาตั้งเป็นชื่อสนามบินในเมืองลาโทรบ รัฐเพนซิเวเนีย ที่ตัวเขากำลังหาเสียงอยู่
    .
    หลังจากนั้นทรัมป์จึงเริ่มพฤติกรรมเดิมคือพูดไปเรื่อยที่รวมถึงการโจมตีผู้อพยพ การใส่ร้ายแฮร์ริส และการกล่าวอ้างเท็จซ้ำๆ เกี่ยวกับการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 นอกจากนั้น ทรัมป์ยังพยายามดึงดูดชนชั้นกลางด้วยการนำพนักงานโรงงานเหล็กกล้าหลายคนขึ้นเวที
    .
    อดีตประธานาธิบดีผู้นี้ยังย้ำความสำคัญของตัวแทนคณะผู้เลือกตั้งในรัฐเพนซิลเวเนียที่มีต่อการเลือกตั้งทั้งหมดโดยประกาศว่า ถ้าชนะที่เพนซิลเวเนียก็จะชนะการเลือกตั้งทั้งประเทศ
    .
    สำหรับมัสก์ที่ออกมารับรองทรัมป์เมื่อเดือนกรกฎาคม ประกาศที่เมืองแฮร์ริสเบิร์ก ว่าจะสุ่มแจกเงินสดวันละ 1 ล้านดอลลาร์จนถึงวันที่ 5 พ.ย. ซึ่งเป็นวันเลือกตั้ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ลงชื่อสนับสนุนคำร้องออนไลน์สนับสนุนรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ของอเมริกา พีเอซี ซึ่งเป็นองค์กรการเมืองที่เขาตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการหาเสียงของทรัมป์
    .
    ทั้งแฮร์ริส และทรัมป์ยังใช้เวลาในรัฐสมรภูมิสำคัญที่เริ่มการเลือกตั้งล่วงหน้าแล้ว แฮร์ริสนั้นเห็นสัญญาณแง่บวกในการผลักดันผู้สนับสนุนให้ลงคะแนนล่วงหน้าโดยเร็วที่สุดที่เป็นไปได้ เพื่อเป็นปราการป้องกันความได้เปรียบของรีพับลิกันในบรรดาผู้ลงคะแนนในวันเลือกตั้ง
    .
    จากข้อมูลของห้องปฏิบัติการการเลือกตั้งมหาวิทยาลัยฟลอริดา มีผู้กาบัตรเลือกตั้งเกือบ 12 ล้านคนในวันศุกร์ (18 ต.ค.) หรือประมาณ 1 ใน 3 ของผู้มีสิทธิออกเสียงใน 7 รัฐสมรภูมิที่คาดว่า จะชี้ขาดการเลือกตั้ง
    .
    ข้อมูลยังระบุว่า รัฐจอร์เจียทำลายสถิติ ขณะที่นอร์ธแคโรไลนารายงานว่า จำนวนผู้กาบัตรในวันพฤหัสบดี (17 ต.ค.) ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งล่วงหน้าวันแรก มากกว่าเมื่อปี 2020 ที่การระบาดของโควิดทำให้ประชาชนพากันไปเลือกตั้งล่วงหน้าเพิ่มขึ้น
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000101217
    ..............
    Sondhi X
    แฮร์ริส-ทรัมป์ขนเซเลบขึ้นเวทีช่วยหาเสียง โดยต่างฝ่ายโจมตีกันเรื่องความอึด และเรียกร้องผู้ลงคะแนนล่วงหน้าในรัฐสมรภูมิโหวตให้ตนเองในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่สูสีที่สุดเท่าที่เคยมีมา . ในการหาเสียงที่ดีทรอยต์ และแอตแลนตา รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ชวนป็อปสตาร์ ลิซโซ และอัชเชอร์ขึ้นเวทีอุ่นเครื่องให้ฝูงชน พร้อมโจมตีโดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งในศึกชิงทำเนียบขาวจากพรรครีพับลิกันว่า อ่อนระโหยโรยแรงและไร้สติ . อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ท้าทายคำกล่าวหาดังกล่าวด้วยการปราศรัยมาราธอนในเพนซิลเวเนีย ขณะที่อีลอน มัสก์ นักธุรกิจชื่อดัง ช่วยหาเสียงให้ทรัมป์ในเมืองอื่นในรัฐเดียวกัน . แคนดิเดตทั้งคู่ต่อสู้กันดุเดือดในทุกด้านเพื่อแย่งชิงการสนับสนุนในการแข่งขันที่โพลบ่งชี้ว่า คู่คี่สูสีกันมากขณะที่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 สัปดาห์จะถึงวันเลือกตั้ง . แฮร์ริสประกาศกับผู้มีสิทธิออกเสียงในดีทรอยต์ว่า แคมเปญหาเสียงของทรัมป์ทำลายตัวเอง พร้อมย้ำว่า จะลงทุนในชนชั้นแรงงานและชนชั้นกลาง และเสริมว่า สิ่งที่วัดความแข็งแกร่งของผู้นำที่แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราพยายามเอาชนะใคร แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครที่เราจะสนับสนุน . ต่อมาระหว่างหาเสียงที่แอตแลนตา แฮร์ริสกล่าวหาทรัมป์ วัย 78 ปี หนีการดีเบตและยกเลิกการให้สัมภาษณ์เพราะหมดแรง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า เวลาที่ต้องตอบคำถามหรือปราศรัยในการหาเสียง ทรัมป์มักพูดเรื่อยเปื่อยนอกสคริปต์ ซึ่งไม่ใช่เป็นการร้อยเรียงข้อความอย่างที่เจ้าตัวพยายามแก้ต่าง แต่เป็นการพูดจาเลื่อนเปื้อนไร้สาระ . ลิซโซที่ไปขึ้นเวทีสนับสนุนแฮร์ริส กล่าวกับฝูงชนว่า ทุกคนสมควรมีประธานาธิบดีที่รับฟัง เคารพสิทธิในการประท้วง และเข้าใจว่า งานของตัวเองคือการรับใช้ประชาชน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่แฮร์ริสนำเสนอ ก่อนทิ้งท้ายว่า อเมริกายิ่งกว่าพร้อมที่จะมีประธานาธิบดีหญิง . ขณะที่อัชเชอร์ หนึ่งในศิลปินแถวหน้าของเมืองแอตแลนตา ประกาศฝากความหวังกับฝูงชนในการนำแฮร์ริสเข้าสู่เส้นชัยในรัฐจอร์เจีย . ทางด้านทรัมป์เริ่มการหาเสียงด้วยการปราศรัยยาวเหยียดนานกว่า 90 นาที ซึ่งเริ่มต้นด้วยการพูดคนเดียวเกี่ยวกับอาร์โนลด์ ปาล์มเมอร์ นักกอล์ฟที่ถูกนำชื่อมาตั้งเป็นชื่อสนามบินในเมืองลาโทรบ รัฐเพนซิเวเนีย ที่ตัวเขากำลังหาเสียงอยู่ . หลังจากนั้นทรัมป์จึงเริ่มพฤติกรรมเดิมคือพูดไปเรื่อยที่รวมถึงการโจมตีผู้อพยพ การใส่ร้ายแฮร์ริส และการกล่าวอ้างเท็จซ้ำๆ เกี่ยวกับการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 นอกจากนั้น ทรัมป์ยังพยายามดึงดูดชนชั้นกลางด้วยการนำพนักงานโรงงานเหล็กกล้าหลายคนขึ้นเวที . อดีตประธานาธิบดีผู้นี้ยังย้ำความสำคัญของตัวแทนคณะผู้เลือกตั้งในรัฐเพนซิลเวเนียที่มีต่อการเลือกตั้งทั้งหมดโดยประกาศว่า ถ้าชนะที่เพนซิลเวเนียก็จะชนะการเลือกตั้งทั้งประเทศ . สำหรับมัสก์ที่ออกมารับรองทรัมป์เมื่อเดือนกรกฎาคม ประกาศที่เมืองแฮร์ริสเบิร์ก ว่าจะสุ่มแจกเงินสดวันละ 1 ล้านดอลลาร์จนถึงวันที่ 5 พ.ย. ซึ่งเป็นวันเลือกตั้ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ลงชื่อสนับสนุนคำร้องออนไลน์สนับสนุนรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ของอเมริกา พีเอซี ซึ่งเป็นองค์กรการเมืองที่เขาตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการหาเสียงของทรัมป์ . ทั้งแฮร์ริส และทรัมป์ยังใช้เวลาในรัฐสมรภูมิสำคัญที่เริ่มการเลือกตั้งล่วงหน้าแล้ว แฮร์ริสนั้นเห็นสัญญาณแง่บวกในการผลักดันผู้สนับสนุนให้ลงคะแนนล่วงหน้าโดยเร็วที่สุดที่เป็นไปได้ เพื่อเป็นปราการป้องกันความได้เปรียบของรีพับลิกันในบรรดาผู้ลงคะแนนในวันเลือกตั้ง . จากข้อมูลของห้องปฏิบัติการการเลือกตั้งมหาวิทยาลัยฟลอริดา มีผู้กาบัตรเลือกตั้งเกือบ 12 ล้านคนในวันศุกร์ (18 ต.ค.) หรือประมาณ 1 ใน 3 ของผู้มีสิทธิออกเสียงใน 7 รัฐสมรภูมิที่คาดว่า จะชี้ขาดการเลือกตั้ง . ข้อมูลยังระบุว่า รัฐจอร์เจียทำลายสถิติ ขณะที่นอร์ธแคโรไลนารายงานว่า จำนวนผู้กาบัตรในวันพฤหัสบดี (17 ต.ค.) ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งล่วงหน้าวันแรก มากกว่าเมื่อปี 2020 ที่การระบาดของโควิดทำให้ประชาชนพากันไปเลือกตั้งล่วงหน้าเพิ่มขึ้น . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000101217 .............. Sondhi X
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 764 Views 0 Reviews
  • “ วัคซีนโควิดปลอดภัยในสตรีตั้งครรภ์จริงหรือ ? “

    รวบรวมข้อมูลจาก CDC/FDA Vaccine Adverse Event Reporting System (VAERS) ตั้งแต่ 1 มกราคม 1990 ถึง 26 เมษายน 2024 เพื่อดูผลข้างเคียง (adverse effect, AE) ของวัคซีนโควิดที่มีต่อสตรีตั้งครรภ์เมื่อเทียบกับวัคซีนชนิดอื่น รวมระยะเวลาทั้งหมด 412 เดือน ยกเว้นวัคซีนโควิดที่เก็บรวบรวมได้แค่ 40 เดือนจาก 412 เดือน (1 ธันวาคม 2020 ถึง 26 เมษายน April 2024) โดยดู proportional reporting ratios (PRR) ตามระยะเวลา เปรียบเทียบ AEs ระหว่างวัคซีนโควิดที่มีต่อสตรีตั้งครรภ์กับวัคซีนชนิดอื่น ในกรณีที่หา PRR ไม่ได้ก็ใช้ Chi-square analysis และ Fisher’s exact tests แทน โดยยึดข้อกำหนดตาม CDC/FDA safety concern คือต้องระวังเรื่องความปลอดภัย ถ้า PRR ≥ 2 หรือ Chi-square ≥ 4

    พบ 37 AE จากการฉีดวัคซีนโควิดในผู้ตั้งครรภ์ ได้แก่ : miscarriage, fetal chromosomal abnormality, fetal malformation, cervical insufficiency, premature rupture of membranes, premature labor, premature delivery, placental calcification, placental infarction, placental thrombosis, placenta accreta, placental abruption, placental insufficiency, placental disorder, fetal maternal hemorrhage, fetal growth restriction, reduced amniotic fluid volume, preeclampsia, fetal heart rate abnormality, fetal cardiac disorder, fetal vascular mal-perfusion, fetal arrhythmia, fetal distress, fetal biophysical profile abnormal, hemorrhage in pregnancy, fetal cardiac arrest, fetal death (stillbirth), premature infant death, neonatal asphyxia, neonatal dyspnea, neonatal infection, neonatal hemorrhage, insufficient breast milk, neonatal pneumonia, neonatal respiratory distress, neonatal respiratory distress syndrome, neonatal seizure.

    ขออนุญาตไม่แปลเป็นภาษาไทยทั้งหมดเพราะอาจสื่อความหมายได้ไม่ชัดเจน แต่สำหรับผู้ที่สนใจหาข้อมูลก็สามารถหาคำแปลภาวะต่างๆด้านบนได้ไม่ยาก

    Summary statistics for the deviation from the CDC/FDA safety signals mean (n, range) เป็นดังนี้ : PRR 69.3 (46, 5.37 - 499); z statistic 9.64 (46, 3.29 - 27.0); และ Chi-square was 74.7 (26, 28.9 - 148)

    จะเห็นได้ว่าผลข้างเคียงจากวัคซีนโควิดในสตรีตั้งครรภ์สูงกว่า safety concern ที่ CDC/FDA กำหนดไว้มาก

    และมีอีก 1 รายงานผลกระทบจากการฉีดวัคซีนโควิดที่มีต่อสตรีมีครรภ์จากการรวบรวมเคส 438 รายในประเทศซาอุดิอาระเบียช่วง มีค.-พค. 2022 โดยแบ่งกลุ่มศึกษาเป็น 2 กลุ่ม กลุ่ม A คือสตรีมีครรภ์ที่ไม่ได้รับวัคซีนเลยแม้แต่เข็มเดียว กลุ่ม B คือได้รับวัคซีนโควิดอย่างน้อย 1 เข็ม

    พบว่ากลุ่ม B มีอัตราการแท้ง น้ำคร่ำน้อย รกผิดปกติ การเจริญเติบโตของทารกผิดปกติ มีปัญหาเรื่องการให้นม ความดันโลหิตสูง อาการอื่นๆทางระบบ เช่น อ่อนเพลียปวดหัวเจ็บหน้าอก การหายใจมีปัญหา มีปัญหาการนอนหลับ มากกว่ากลุ่ม A อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

    เรียบเรียงโดย นพ.ดร. ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ

    Reference :

    https://www.preprints.org/manuscript/202406.2062/v1

    https://journals.sagepub.com/doi/epdf/10.1177/25151355241285594?utm_source=substack&utm_medium=email
    “ วัคซีนโควิดปลอดภัยในสตรีตั้งครรภ์จริงหรือ ? “ รวบรวมข้อมูลจาก CDC/FDA Vaccine Adverse Event Reporting System (VAERS) ตั้งแต่ 1 มกราคม 1990 ถึง 26 เมษายน 2024 เพื่อดูผลข้างเคียง (adverse effect, AE) ของวัคซีนโควิดที่มีต่อสตรีตั้งครรภ์เมื่อเทียบกับวัคซีนชนิดอื่น รวมระยะเวลาทั้งหมด 412 เดือน ยกเว้นวัคซีนโควิดที่เก็บรวบรวมได้แค่ 40 เดือนจาก 412 เดือน (1 ธันวาคม 2020 ถึง 26 เมษายน April 2024) โดยดู proportional reporting ratios (PRR) ตามระยะเวลา เปรียบเทียบ AEs ระหว่างวัคซีนโควิดที่มีต่อสตรีตั้งครรภ์กับวัคซีนชนิดอื่น ในกรณีที่หา PRR ไม่ได้ก็ใช้ Chi-square analysis และ Fisher’s exact tests แทน โดยยึดข้อกำหนดตาม CDC/FDA safety concern คือต้องระวังเรื่องความปลอดภัย ถ้า PRR ≥ 2 หรือ Chi-square ≥ 4 พบ 37 AE จากการฉีดวัคซีนโควิดในผู้ตั้งครรภ์ ได้แก่ : miscarriage, fetal chromosomal abnormality, fetal malformation, cervical insufficiency, premature rupture of membranes, premature labor, premature delivery, placental calcification, placental infarction, placental thrombosis, placenta accreta, placental abruption, placental insufficiency, placental disorder, fetal maternal hemorrhage, fetal growth restriction, reduced amniotic fluid volume, preeclampsia, fetal heart rate abnormality, fetal cardiac disorder, fetal vascular mal-perfusion, fetal arrhythmia, fetal distress, fetal biophysical profile abnormal, hemorrhage in pregnancy, fetal cardiac arrest, fetal death (stillbirth), premature infant death, neonatal asphyxia, neonatal dyspnea, neonatal infection, neonatal hemorrhage, insufficient breast milk, neonatal pneumonia, neonatal respiratory distress, neonatal respiratory distress syndrome, neonatal seizure. ขออนุญาตไม่แปลเป็นภาษาไทยทั้งหมดเพราะอาจสื่อความหมายได้ไม่ชัดเจน แต่สำหรับผู้ที่สนใจหาข้อมูลก็สามารถหาคำแปลภาวะต่างๆด้านบนได้ไม่ยาก Summary statistics for the deviation from the CDC/FDA safety signals mean (n, range) เป็นดังนี้ : PRR 69.3 (46, 5.37 - 499); z statistic 9.64 (46, 3.29 - 27.0); และ Chi-square was 74.7 (26, 28.9 - 148) จะเห็นได้ว่าผลข้างเคียงจากวัคซีนโควิดในสตรีตั้งครรภ์สูงกว่า safety concern ที่ CDC/FDA กำหนดไว้มาก และมีอีก 1 รายงานผลกระทบจากการฉีดวัคซีนโควิดที่มีต่อสตรีมีครรภ์จากการรวบรวมเคส 438 รายในประเทศซาอุดิอาระเบียช่วง มีค.-พค. 2022 โดยแบ่งกลุ่มศึกษาเป็น 2 กลุ่ม กลุ่ม A คือสตรีมีครรภ์ที่ไม่ได้รับวัคซีนเลยแม้แต่เข็มเดียว กลุ่ม B คือได้รับวัคซีนโควิดอย่างน้อย 1 เข็ม พบว่ากลุ่ม B มีอัตราการแท้ง น้ำคร่ำน้อย รกผิดปกติ การเจริญเติบโตของทารกผิดปกติ มีปัญหาเรื่องการให้นม ความดันโลหิตสูง อาการอื่นๆทางระบบ เช่น อ่อนเพลียปวดหัวเจ็บหน้าอก การหายใจมีปัญหา มีปัญหาการนอนหลับ มากกว่ากลุ่ม A อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เรียบเรียงโดย นพ.ดร. ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ Reference : https://www.preprints.org/manuscript/202406.2062/v1 https://journals.sagepub.com/doi/epdf/10.1177/25151355241285594?utm_source=substack&utm_medium=email
    0 Comments 0 Shares 73 Views 0 Reviews
  • มีรายงานข่าวว่าสหรัฐฯ กำลังมีแผนขยายฐานทัพในยุโรปสำหรับประจำการฝูงบินรบศักยภาพติดหัวรบนิวเคลียร์ ขณะที่พวกเขาหาทางตอบโต้ภัยคุกคามที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จากรัสเซีย
    .
    หนังสือพิมพ์ดิเอ็กซ์เพรส รายงานอ้างว่าสัญญาจัดซื้อต่างๆ ของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงแผนยกระดับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ณ ฐานทัพอากาศเคชเคเมตในฮังการี ส่วนหนึ่งในโครงการริเริ่มป้องกันยุโรปของวอชิงตัน (European Defence Initiative)
    .
    โครงการนี้ถูกเปิดเผยในประกาศทางออนไลน์ฉบับหนึ่ง ซึ่งให้จำกัดความว่าโครงการนี้มีความจำเป็นเพื่อรองรับเครื่องบินขับไล่ทางยุทธวิธีและอากาศยานลำเลียงทางยุทธศาสตร์ขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต)
    .
    สันนิษฐานว่าสิ่งอำนวยความสะดวก ณ ฐานทัพอากาศดังกล่าวจะสามารถรับรองเครื่องบินต่างๆ ในนั้นรวมถึง F-15 อีเกิล เครื่องบินขับไล่ทุกสภาพอากาศที่มีศักยภาพหย่อนระเบิดนิวเคลียร์ร้ายแรง B61-12 เช่นเดียวกับเครื่องบิน A-10 Warthog และเครื่องบินลำเลียงกาแล็กซี่ C-5
    .
    สหรัฐฯ มีกำลังพลอยู่จำนวนมากในยุโรป โดยประจำการอยู่ตามฐานทัพต่างๆ ทั่วทวีป ในนั้นรวมถึงเยอรมนี และสหราชอาณาจักร
    .
    ในข้อตกลงหนึ่งที่ลงนามในบูดาเปสต์เมื่อเดือนกรกฎาคม 2021 อนุญาตให้สหรัฐฯ เข้าถึงฐานทัพอากาศเคชเคเมต และฐานทัพอากาศปาปา ซึ่งใช้รองรับเครื่องบินขับไล่รุ่นเก่าๆ ของกองทัพอากาศในสมัยสหภาพโซเซียต ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศ
    .
    ทั้งนี้ ในปีเดียวกันนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายยังได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจอีกฉบับ เปิดทางให้สหรัฐฯ เข้าถึงที่ตั้งทางทหารในเมืองวาร์ปาโลตา และเมืองทาทา
    .
    ฝูงบิน F-15 และ F-16 ของสหรัฐฯ เคยประจำการที่ฐานทัพอากาศเคชเคเมตมาแล้ว ระหว่างการซ้อมรบ แต่ไม่ใช่การประจำการถาวร ตามรายงานของเทเลกราฟ
    .
    ส่วนหนึ่งของโครงการจะมีก่อสร้างลานจอดสำหรับฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ฐานทัพแห่งนี้ เช่นเดียวกับแท็กซี่เวย์คู่ขนาน และจัดทำเส้นทางสายใหม่สำหรับลำเลียงสินค้าไปยังที่ตั้งดังกล่าว เช่นเดียวกับคลังจัดเก็บเชื้อเพลิงเครื่องบิน
    .
    โครงการนี้มีขึ้นท่ามกลางเสียงเตือนของบรรดาหัวหน้าข่าวกรอง ที่เชื่อว่ารัสเซียอาจพร้อมสำหรับเปิดฉากโจมตีนาโตภายในช่วงปลายทศวรรษ
    .
    บรูโน คาห์ล หัวหน้าหน่วยข่าวกรองต่างประเทศของเยอรมนี เชื่อว่าเครมลินต้องการสร้างความแตกแยกในตะวันตก ซึ่งจะทำให้แรงสนับสนุนที่มีต่อยูเครนอ่อนแอลง และกำลังวางพื้นฐานต่างๆ สำหรับความเป็นไปได้ที่จะเปิดสงครามกับนาโต
    .
    ที่ผ่านมา มีความกังวลว่ารัสเซียอาจโจมตีชาติสมาชิกของพันธมิตรทหารแห่งนี้ประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งจะกระตุ้นให้นาโตบังคับใช้มาตรการ 5 หลักการที่ว่าการโจมตีสมาชิกคนหนึ่งของนาโตจะถือเป็นการโจมตีสมาชิกทั้งหมด ลากอเมริกา และสหราชอาณาจักรเข้าร่วมวงสงครามด้วย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000099630
    ..............
    Sondhi X
    มีรายงานข่าวว่าสหรัฐฯ กำลังมีแผนขยายฐานทัพในยุโรปสำหรับประจำการฝูงบินรบศักยภาพติดหัวรบนิวเคลียร์ ขณะที่พวกเขาหาทางตอบโต้ภัยคุกคามที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จากรัสเซีย . หนังสือพิมพ์ดิเอ็กซ์เพรส รายงานอ้างว่าสัญญาจัดซื้อต่างๆ ของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงแผนยกระดับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ณ ฐานทัพอากาศเคชเคเมตในฮังการี ส่วนหนึ่งในโครงการริเริ่มป้องกันยุโรปของวอชิงตัน (European Defence Initiative) . โครงการนี้ถูกเปิดเผยในประกาศทางออนไลน์ฉบับหนึ่ง ซึ่งให้จำกัดความว่าโครงการนี้มีความจำเป็นเพื่อรองรับเครื่องบินขับไล่ทางยุทธวิธีและอากาศยานลำเลียงทางยุทธศาสตร์ขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) . สันนิษฐานว่าสิ่งอำนวยความสะดวก ณ ฐานทัพอากาศดังกล่าวจะสามารถรับรองเครื่องบินต่างๆ ในนั้นรวมถึง F-15 อีเกิล เครื่องบินขับไล่ทุกสภาพอากาศที่มีศักยภาพหย่อนระเบิดนิวเคลียร์ร้ายแรง B61-12 เช่นเดียวกับเครื่องบิน A-10 Warthog และเครื่องบินลำเลียงกาแล็กซี่ C-5 . สหรัฐฯ มีกำลังพลอยู่จำนวนมากในยุโรป โดยประจำการอยู่ตามฐานทัพต่างๆ ทั่วทวีป ในนั้นรวมถึงเยอรมนี และสหราชอาณาจักร . ในข้อตกลงหนึ่งที่ลงนามในบูดาเปสต์เมื่อเดือนกรกฎาคม 2021 อนุญาตให้สหรัฐฯ เข้าถึงฐานทัพอากาศเคชเคเมต และฐานทัพอากาศปาปา ซึ่งใช้รองรับเครื่องบินขับไล่รุ่นเก่าๆ ของกองทัพอากาศในสมัยสหภาพโซเซียต ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศ . ทั้งนี้ ในปีเดียวกันนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายยังได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจอีกฉบับ เปิดทางให้สหรัฐฯ เข้าถึงที่ตั้งทางทหารในเมืองวาร์ปาโลตา และเมืองทาทา . ฝูงบิน F-15 และ F-16 ของสหรัฐฯ เคยประจำการที่ฐานทัพอากาศเคชเคเมตมาแล้ว ระหว่างการซ้อมรบ แต่ไม่ใช่การประจำการถาวร ตามรายงานของเทเลกราฟ . ส่วนหนึ่งของโครงการจะมีก่อสร้างลานจอดสำหรับฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ฐานทัพแห่งนี้ เช่นเดียวกับแท็กซี่เวย์คู่ขนาน และจัดทำเส้นทางสายใหม่สำหรับลำเลียงสินค้าไปยังที่ตั้งดังกล่าว เช่นเดียวกับคลังจัดเก็บเชื้อเพลิงเครื่องบิน . โครงการนี้มีขึ้นท่ามกลางเสียงเตือนของบรรดาหัวหน้าข่าวกรอง ที่เชื่อว่ารัสเซียอาจพร้อมสำหรับเปิดฉากโจมตีนาโตภายในช่วงปลายทศวรรษ . บรูโน คาห์ล หัวหน้าหน่วยข่าวกรองต่างประเทศของเยอรมนี เชื่อว่าเครมลินต้องการสร้างความแตกแยกในตะวันตก ซึ่งจะทำให้แรงสนับสนุนที่มีต่อยูเครนอ่อนแอลง และกำลังวางพื้นฐานต่างๆ สำหรับความเป็นไปได้ที่จะเปิดสงครามกับนาโต . ที่ผ่านมา มีความกังวลว่ารัสเซียอาจโจมตีชาติสมาชิกของพันธมิตรทหารแห่งนี้ประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งจะกระตุ้นให้นาโตบังคับใช้มาตรการ 5 หลักการที่ว่าการโจมตีสมาชิกคนหนึ่งของนาโตจะถือเป็นการโจมตีสมาชิกทั้งหมด ลากอเมริกา และสหราชอาณาจักรเข้าร่วมวงสงครามด้วย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000099630 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    5
    0 Comments 0 Shares 1184 Views 0 Reviews
  • "Steve Jobs" กล่าวไว้ว่า บุคคลที่ทรงพลังที่สุด คือ "นักเล่าเรื่อง" คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้วิธีเล่าเรื่องที่ดี และนี่คือ 13 เทคนิค การเล่าเรื่องที่จะทำให้โดดเด่นทั้งในเรื่องธุรกิจและชีวิตของคุณ..

    —————————

    🔥 มาร่วมฟังมุมมองพร้อมเปิดโอกาสการลงทุนของคุณไปกับ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เจ้าของฉายา "Warren Buffett เมืองไทย" นักลงทุนระดับตำนาน ได้ในงาน Follow The Future 2024 - Unravel The New Era พร้อมพบกับวิทยากรระดับประเทศอีกมากมาย อาทิ "ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย" อดีตรองนายกรัฐมนตรี, "บรรยง พงษ์พานิช" นักการเงินชั้นแนวหน้าผู้ผ่านทุกสนามธุรกิจการเงินระดับโลก

    #ห้ามพลาดแล้วพบกันวันที่ 30 พ.ย. 2567 ณ สมาคมราชกรีฑาสโมสร ร่วมพบปะเพื่อนนักลงทุน ทานอาหารเย็นและ Networking 💥 เปิดขายบัตร Early Bird ราคาพิเศษแล้ววันนี้!! รายละเอียดซื้อบัตร ใน Comment

    —————————

    🔵 1) ให้"เริ่มด้วยประโยคที่น่าสนใจ"
    • ทำให้ผู้ฟังได้ฟังประโยคที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการฟังได้

    🔵 2) "สร้างแรงบันดาลใจ" ในประโยคสุดท้าย
    • ให้ผู้ฟังของคุณได้รับแรงบันดาลใจและมีแรงจูงใจในการดำเนินการต่อ

    🔵 3) เล่าเรื่องอย่าง "เชื่อมต่อกับวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่"
    • ข้อเสนอที่มีต่อผู้ฟัง ควรมีวัตถุประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั่นคือแบ่งปันกับลูกค้าของคุณ

    —————————

    🔵 4) สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ฟัง
    • ทำให้ผู้ฟังหรือผู้ชมรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับเรา แบรนด์เรา และทำให้รู้สึกพิเศษ

    🔵 5) เน้นย้ำถึงปัญหา
    • ระบุถึงปัญหาให้ผู้ฟังได้เข้าใจ และเล่าถึงการแก้ปัญหาของเราหรือแบรนด์ จะช่วยให้ผู้ฟังรู้สึกตื่นเต้นและเข้าใจกับผลลัพธ์ของแบรนด์

    🔵 6) ทำให้กลุ่มผู้ฟังรู้สึกเป็นส่วนตัว (Personal)
    • ให้ผู้ชมของคุณได้เห็นถึงเบื้องหลัง กระบวนการ หรือผลิตภัณฑ์

    —————————

    🔵 7) ใช้กลยุทธ์ การ"เล่าซ้ำที่ไม่ซ้ำ"
    • เน้นย้ำและเล่าซ้ำถึงข้อความสำคัญของคุณอย่างสร้างสรรค์ โดยหลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำ เพื่อให้ผู้ฟังรู้สึกว่าน่าจดจำ

    🔵 8 ) ทำให้เห็นมากกว่าพูด
    • ให้ผู้ฟังได้สัมผัสกับผลลัพธ์ หรือข้อเสนอต่าง ๆ จนนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

    🔵 9) ฝึกฝนอย่างไม่หยยุดยั้ง
    • การเล่าที่ดีเป็นผลมาจากการฝึกฝนอย่างใจ

    —————————

    🔵 10) สร้างตัวร้ายในเรื่อง
    • วาดภาพจินตนาการบางสิ่งที่จะทำให้อุตสาหกรรมนั้นล้มเหลว และโชว์หรือเล่าถึงสนับสนุนเพื่อให้ผู้ชมได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง

    🔵 11) ใช้ความเงียบเป็นบางช่วงขณะที่เล่าเรื่อง
    • อย่าเร่งรีบจนเกินไป ให้ผู้ชมได้มีช่วงเวลาขณะหนึ่งที่ซึมซับถึงประโยคหรือข้อความที่คุณเล่า "ความเงียบ ก็ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่สุดยอด"

    🔵 12) สร้างความคาดหวังให้ผู้ฟัง
    • นอกจากทำให้มีประสบการณ์ที่ดี หรือมีส่วนร่วมด้วยแล้วนั้น การเรียงลำดับเรื่องที่สร้างความคาดหวัง จะทำให้ผู้ชมหรือผู้ฟัง อยากดูต่อไปเรื่อย ๆ

    🔵 13) เล่าไอเดียที่ยากของเราให้เข้าใจง่าย
    • ทำเรื่องเล่าให้เข้าใจง่าย ทั้งด้านการใช้การคำ การเรียงลำดับเรื่อง "ให้เด็ก อายุ 5 ขวบเข้าใจในไอเดียของคุณ" ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

    ที่มา: @matt_gray_

    #BusinessTomorrow #FollowtheFuture2024
    "Steve Jobs" กล่าวไว้ว่า บุคคลที่ทรงพลังที่สุด คือ "นักเล่าเรื่อง" คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้วิธีเล่าเรื่องที่ดี และนี่คือ 13 เทคนิค การเล่าเรื่องที่จะทำให้โดดเด่นทั้งในเรื่องธุรกิจและชีวิตของคุณ.. ————————— 🔥 มาร่วมฟังมุมมองพร้อมเปิดโอกาสการลงทุนของคุณไปกับ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เจ้าของฉายา "Warren Buffett เมืองไทย" นักลงทุนระดับตำนาน ได้ในงาน Follow The Future 2024 - Unravel The New Era พร้อมพบกับวิทยากรระดับประเทศอีกมากมาย อาทิ "ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย" อดีตรองนายกรัฐมนตรี, "บรรยง พงษ์พานิช" นักการเงินชั้นแนวหน้าผู้ผ่านทุกสนามธุรกิจการเงินระดับโลก #ห้ามพลาดแล้วพบกันวันที่ 30 พ.ย. 2567 ณ สมาคมราชกรีฑาสโมสร ร่วมพบปะเพื่อนนักลงทุน ทานอาหารเย็นและ Networking 💥 เปิดขายบัตร Early Bird ราคาพิเศษแล้ววันนี้!! รายละเอียดซื้อบัตร ใน Comment ————————— 🔵 1) ให้"เริ่มด้วยประโยคที่น่าสนใจ" • ทำให้ผู้ฟังได้ฟังประโยคที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการฟังได้ 🔵 2) "สร้างแรงบันดาลใจ" ในประโยคสุดท้าย • ให้ผู้ฟังของคุณได้รับแรงบันดาลใจและมีแรงจูงใจในการดำเนินการต่อ 🔵 3) เล่าเรื่องอย่าง "เชื่อมต่อกับวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่" • ข้อเสนอที่มีต่อผู้ฟัง ควรมีวัตถุประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั่นคือแบ่งปันกับลูกค้าของคุณ ————————— 🔵 4) สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ฟัง • ทำให้ผู้ฟังหรือผู้ชมรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับเรา แบรนด์เรา และทำให้รู้สึกพิเศษ 🔵 5) เน้นย้ำถึงปัญหา • ระบุถึงปัญหาให้ผู้ฟังได้เข้าใจ และเล่าถึงการแก้ปัญหาของเราหรือแบรนด์ จะช่วยให้ผู้ฟังรู้สึกตื่นเต้นและเข้าใจกับผลลัพธ์ของแบรนด์ 🔵 6) ทำให้กลุ่มผู้ฟังรู้สึกเป็นส่วนตัว (Personal) • ให้ผู้ชมของคุณได้เห็นถึงเบื้องหลัง กระบวนการ หรือผลิตภัณฑ์ ————————— 🔵 7) ใช้กลยุทธ์ การ"เล่าซ้ำที่ไม่ซ้ำ" • เน้นย้ำและเล่าซ้ำถึงข้อความสำคัญของคุณอย่างสร้างสรรค์ โดยหลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำ เพื่อให้ผู้ฟังรู้สึกว่าน่าจดจำ 🔵 8 ) ทำให้เห็นมากกว่าพูด • ให้ผู้ฟังได้สัมผัสกับผลลัพธ์ หรือข้อเสนอต่าง ๆ จนนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 🔵 9) ฝึกฝนอย่างไม่หยยุดยั้ง • การเล่าที่ดีเป็นผลมาจากการฝึกฝนอย่างใจ ————————— 🔵 10) สร้างตัวร้ายในเรื่อง • วาดภาพจินตนาการบางสิ่งที่จะทำให้อุตสาหกรรมนั้นล้มเหลว และโชว์หรือเล่าถึงสนับสนุนเพื่อให้ผู้ชมได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง 🔵 11) ใช้ความเงียบเป็นบางช่วงขณะที่เล่าเรื่อง • อย่าเร่งรีบจนเกินไป ให้ผู้ชมได้มีช่วงเวลาขณะหนึ่งที่ซึมซับถึงประโยคหรือข้อความที่คุณเล่า "ความเงียบ ก็ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่สุดยอด" 🔵 12) สร้างความคาดหวังให้ผู้ฟัง • นอกจากทำให้มีประสบการณ์ที่ดี หรือมีส่วนร่วมด้วยแล้วนั้น การเรียงลำดับเรื่องที่สร้างความคาดหวัง จะทำให้ผู้ชมหรือผู้ฟัง อยากดูต่อไปเรื่อย ๆ 🔵 13) เล่าไอเดียที่ยากของเราให้เข้าใจง่าย • ทำเรื่องเล่าให้เข้าใจง่าย ทั้งด้านการใช้การคำ การเรียงลำดับเรื่อง "ให้เด็ก อายุ 5 ขวบเข้าใจในไอเดียของคุณ" ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ที่มา: @matt_gray_ #BusinessTomorrow #FollowtheFuture2024
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ได้รีโพสต์หลังดูโหนกระแส "ที่มาของ น้ำตาจระเข้ 🐊 ตามหลักวิทยาศาสตร์"

    คำว่า "น้ำตาจระเข้" หรือที่แปลมาจากวลีในภาษาอังกฤษว่า “crocodile tears” นั้น มาจากการที่พบว่า เมื่อจระเข้งับเหยื่อ มันจะมีน้ำตาไหลออกมาด้วย ทำให้คนเข้าใจผิด คิดว่าจระเข้กำลังสงสารเหยื่อ แต่มันจำใจต้องกินเหยื่อนั้น เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด 😲

    ถึงแม้ว่า จระเข้จะมีต่อมน้ำตา (lachrymal glands) ที่ทำหน้าที่สร้างน้ำตา ออกมาหล่อลื่นดวงตา เหมือนกับของคน แต่การที่มันมีน้ำตาออกมาระหว่างที่งับเหยื่อนั้น ไม่ใช่เพราะความสงสาร แต่เกิดจากกระดูกขากรรไกรไปบีบต่อมน้ำตาของมัน ทำให้น้ำตาไหลออกมาอย่างอัตโนมัตินั่นเอง 🤔

    หากเปรียบเทียบกับการกระทำของคนแล้ว ก็เหมือนคนที่กำลังทำความผิด แล้วแกล้งเสแสร้งร้องไห้ออกมา มิได้รู้สึกเศร้าเสียใจจริงๆ การร้องไห้เป็นเพียงเพื่อกลบเกลื่อนเบี่ยงเบนความสนใจจากการกระทำผิดนั้น เท่านั้นเอง... 😅

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/RjyoXPfY2rDiwCFQ/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ได้รีโพสต์หลังดูโหนกระแส "ที่มาของ น้ำตาจระเข้ 🐊 ตามหลักวิทยาศาสตร์" คำว่า "น้ำตาจระเข้" หรือที่แปลมาจากวลีในภาษาอังกฤษว่า “crocodile tears” นั้น มาจากการที่พบว่า เมื่อจระเข้งับเหยื่อ มันจะมีน้ำตาไหลออกมาด้วย ทำให้คนเข้าใจผิด คิดว่าจระเข้กำลังสงสารเหยื่อ แต่มันจำใจต้องกินเหยื่อนั้น เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด 😲 ถึงแม้ว่า จระเข้จะมีต่อมน้ำตา (lachrymal glands) ที่ทำหน้าที่สร้างน้ำตา ออกมาหล่อลื่นดวงตา เหมือนกับของคน แต่การที่มันมีน้ำตาออกมาระหว่างที่งับเหยื่อนั้น ไม่ใช่เพราะความสงสาร แต่เกิดจากกระดูกขากรรไกรไปบีบต่อมน้ำตาของมัน ทำให้น้ำตาไหลออกมาอย่างอัตโนมัตินั่นเอง 🤔 หากเปรียบเทียบกับการกระทำของคนแล้ว ก็เหมือนคนที่กำลังทำความผิด แล้วแกล้งเสแสร้งร้องไห้ออกมา มิได้รู้สึกเศร้าเสียใจจริงๆ การร้องไห้เป็นเพียงเพื่อกลบเกลื่อนเบี่ยงเบนความสนใจจากการกระทำผิดนั้น เท่านั้นเอง... 😅 ที่มา : https://www.facebook.com/share/RjyoXPfY2rDiwCFQ/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Angry
    6
    1 Comments 0 Shares 348 Views 0 Reviews
  • #จับอาการทักษิณกับข่าวลือยุบพรรค
    เป็นที่น่าจับตาการอาการแปลกๆ หลังจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
    ตั้งแต่บุตรสาวอดีตนช.ทักษิณ ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย
    ทักษิณ แสดงอาการไม่กลัวใคร ตัดสัมพันธ์วงษ์สุวรรณ และการรวมเสียงพรรคร่วมตั้งรัฐบาลได้ผ่านฉลุย รวมถึงการแสดงความเก๋า แก้เกมส์การเมืองจนลุงป้อมไปไม่เป็น สร้างสถานการณ์จนทำให้เสี่ยแป้งต้องตัดลุงอย่างไม่ใยดี
    -แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวลือสะพัด กับการหายหน้าไปจากพื้นที่สื่อของทักษิณ ไปไกลกระทั่งลือว่าทักษิณหลบไปเป็นคนต่างด้าว ณ ต่างแดน แต่ก็มีการสยบข่าวลือ ด้วยการเข้าพบของเสี่ยหนู และเนวิน จนเปิดวาทะกรรม ไม่เคยพูดคำว่า "จบแล้วครับนาย" โดยอนุทินยังเน้นหน้าลอยๆให้สัมภาษณ์ว่า ลูกน้องจะไปพูดแบบนี้กับเจ้านายตัวเองได้อย่างไร แต่ถึงแม้กระนั้นก็ยังไม่เห็นเงาทักษิณออกมาให้เห็นหน้าซึ่งผิดปกติวิสัยอย่างยิ่งสำหรับคนชื่อทักษิณชินวัตร
    -มีข่าวที่ไม่ใช่ข่าวลือชุดต่อมา ว่าทักษิณ ได้ทำการขอนุญาตออกนอกประเทศ 2 วาระ ที่แรกคือ ประเทศอินโดยนีเซีย และวาระที่สองคือสหรัฐ ซึ่งวงการข่าวสารก็จะรับรู้ว่า การขอออกนอกประเทศของทักษิณ ส่วนใหญ่ จะมาพร้อมกับข่าววงใน ที่พบว่ามีความเสี่ยง มีความไม่แน่นอน ที่ควรจะออกไปตั้งหลักนอกประเทศก่อน
    -จึงเกิดคำถามว่า เหตุปัจจัยใดที่จะทำให้ทักษิณ ต้องหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในเกมส์นี้ได้บ้าง ก็พบว่า
    1. กรณี ป๋วยทิพย์ จากชั้น 14 มาถึงการแสดงออกถึงร่างกายที่แข็งแรงดุจพญาช้างสาร โดยไม่แคร์ผู้รับรอง ตั้งแต่ราชทัณฑ์ รพ.ตร. แพทย์ และทุกคนในกระบวนการที่ช่วยให้ทักษิณ ไม่ต้องเดินเข้าประตูตารางแม้แต่นาทีเดียว และยังเฉิดฉายแสดงบารมีอย่างไม่หวั่นเกรงสายตาของคนที่เคยต่อสู้กับระบอบทักษิณในอดีต
    2. กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ กับแผ่นดินธรณีสงฆ์ ที่แม้มีการให้สัมภาษณ์จากนักกฏหมายหลายคนจะออกมาในแนวทางที่ว่า เรื่องนี้ไม่สร้างผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลแน่นอนก็ตาม และผู้ร้องก็ถูกด้อยค่าต่างๆนาๆก็ตาม แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการ กลไกการทำงานเพื่อแสวงหาความจริงกลับพบปัจจัยที่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะเข้าสู่การพิจารณา
    3. กรณีบ้านจันทร์ส่องหล้า กับการเอ่ยถึงคลิปเสียง หรือคลิปภาพ ที่เห็นการบัญชาการของทักษิณ ที่มีต่อพรรคร่วม รวมถึงการใช้อำนาจในการสั่งการพรรคร่วม ไปทำสัญญาใจในการสนับสนุนบุตรสาวให้ได้ตำรงค์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่เข้าข่ายการครอบงำพรรคการเมือง แต่ภาพข่าวที่ออกมาก็ยังค้านสายตาประชาชนทั้งประเทศ และตัวนายทักษิณ ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์เย้ยอีกว่า ไม่ได้ครอบงำ แต่ตนเองครอบครอง เพราะเป็นบิดาของนายกรัฐมนตรี ซ้ำยังมีการแต่งตั้ง ผู้มีพระคุณต่อทักษิณ ได้เข้ามาดำรงค์ตำแหน่งสำคัญอย่างมากมาย โดยล่าสุด คือตำแหน่งที่ปรึกษานายก ที่มีจำนวนมากเท่ากับทีมฟุตซอล อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งหมดล้วนมีประวัติศาสตร์ในการรับใช้นายใหญ่ ที่ชื่อทักษิณทั้งสิ้น
    คิงส์โพธิ์ดำ จึงนำข้อมูลต่างๆมานำเสนอไว้ เพื่อหากเกิดเหตุทักษิณหายตัวไปจริงๆวันใด จะได้ทราบที่มาที่ไป ว่ามีอาการใดที่ผิดสังเกตุ กับข่าวความเคลื่อนไหวของทักษิณ ณ วันนี้
    #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    #จับอาการทักษิณกับข่าวลือยุบพรรค เป็นที่น่าจับตาการอาการแปลกๆ หลังจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่บุตรสาวอดีตนช.ทักษิณ ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย ทักษิณ แสดงอาการไม่กลัวใคร ตัดสัมพันธ์วงษ์สุวรรณ และการรวมเสียงพรรคร่วมตั้งรัฐบาลได้ผ่านฉลุย รวมถึงการแสดงความเก๋า แก้เกมส์การเมืองจนลุงป้อมไปไม่เป็น สร้างสถานการณ์จนทำให้เสี่ยแป้งต้องตัดลุงอย่างไม่ใยดี -แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวลือสะพัด กับการหายหน้าไปจากพื้นที่สื่อของทักษิณ ไปไกลกระทั่งลือว่าทักษิณหลบไปเป็นคนต่างด้าว ณ ต่างแดน แต่ก็มีการสยบข่าวลือ ด้วยการเข้าพบของเสี่ยหนู และเนวิน จนเปิดวาทะกรรม ไม่เคยพูดคำว่า "จบแล้วครับนาย" โดยอนุทินยังเน้นหน้าลอยๆให้สัมภาษณ์ว่า ลูกน้องจะไปพูดแบบนี้กับเจ้านายตัวเองได้อย่างไร แต่ถึงแม้กระนั้นก็ยังไม่เห็นเงาทักษิณออกมาให้เห็นหน้าซึ่งผิดปกติวิสัยอย่างยิ่งสำหรับคนชื่อทักษิณชินวัตร -มีข่าวที่ไม่ใช่ข่าวลือชุดต่อมา ว่าทักษิณ ได้ทำการขอนุญาตออกนอกประเทศ 2 วาระ ที่แรกคือ ประเทศอินโดยนีเซีย และวาระที่สองคือสหรัฐ ซึ่งวงการข่าวสารก็จะรับรู้ว่า การขอออกนอกประเทศของทักษิณ ส่วนใหญ่ จะมาพร้อมกับข่าววงใน ที่พบว่ามีความเสี่ยง มีความไม่แน่นอน ที่ควรจะออกไปตั้งหลักนอกประเทศก่อน -จึงเกิดคำถามว่า เหตุปัจจัยใดที่จะทำให้ทักษิณ ต้องหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในเกมส์นี้ได้บ้าง ก็พบว่า 1. กรณี ป๋วยทิพย์ จากชั้น 14 มาถึงการแสดงออกถึงร่างกายที่แข็งแรงดุจพญาช้างสาร โดยไม่แคร์ผู้รับรอง ตั้งแต่ราชทัณฑ์ รพ.ตร. แพทย์ และทุกคนในกระบวนการที่ช่วยให้ทักษิณ ไม่ต้องเดินเข้าประตูตารางแม้แต่นาทีเดียว และยังเฉิดฉายแสดงบารมีอย่างไม่หวั่นเกรงสายตาของคนที่เคยต่อสู้กับระบอบทักษิณในอดีต 2. กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ กับแผ่นดินธรณีสงฆ์ ที่แม้มีการให้สัมภาษณ์จากนักกฏหมายหลายคนจะออกมาในแนวทางที่ว่า เรื่องนี้ไม่สร้างผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลแน่นอนก็ตาม และผู้ร้องก็ถูกด้อยค่าต่างๆนาๆก็ตาม แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการ กลไกการทำงานเพื่อแสวงหาความจริงกลับพบปัจจัยที่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะเข้าสู่การพิจารณา 3. กรณีบ้านจันทร์ส่องหล้า กับการเอ่ยถึงคลิปเสียง หรือคลิปภาพ ที่เห็นการบัญชาการของทักษิณ ที่มีต่อพรรคร่วม รวมถึงการใช้อำนาจในการสั่งการพรรคร่วม ไปทำสัญญาใจในการสนับสนุนบุตรสาวให้ได้ตำรงค์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่เข้าข่ายการครอบงำพรรคการเมือง แต่ภาพข่าวที่ออกมาก็ยังค้านสายตาประชาชนทั้งประเทศ และตัวนายทักษิณ ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์เย้ยอีกว่า ไม่ได้ครอบงำ แต่ตนเองครอบครอง เพราะเป็นบิดาของนายกรัฐมนตรี ซ้ำยังมีการแต่งตั้ง ผู้มีพระคุณต่อทักษิณ ได้เข้ามาดำรงค์ตำแหน่งสำคัญอย่างมากมาย โดยล่าสุด คือตำแหน่งที่ปรึกษานายก ที่มีจำนวนมากเท่ากับทีมฟุตซอล อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งหมดล้วนมีประวัติศาสตร์ในการรับใช้นายใหญ่ ที่ชื่อทักษิณทั้งสิ้น คิงส์โพธิ์ดำ จึงนำข้อมูลต่างๆมานำเสนอไว้ เพื่อหากเกิดเหตุทักษิณหายตัวไปจริงๆวันใด จะได้ทราบที่มาที่ไป ว่ามีอาการใดที่ผิดสังเกตุ กับข่าวความเคลื่อนไหวของทักษิณ ณ วันนี้ #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 170 Views 70 0 Reviews
  • ขงเบ้ง ปรมาจารย์ The Icon กับกลยุทธ์บีบน้ำตาลดแรงเสียดทาน มีบทความน่าคิดพิจารณาในเพจเฟซบุ๊กชื่อสามก๊ก เซ็นโกคุประวัติศาสตร์ History teller เขียนไว้ว่า

    “ ขงเบ้ง ร้องไห้ในงานศพของจิวยี่ ช่วยลดความตึงเครียดจากเหล่าขุนพลของง่อก๊กที่กำลังไม่พอใจขงเบ้งให้เบาลง
    .
    ต้องยอมรับว่าในบางครั้งการร้องไห้ต่อหน้าผู้คนจำนวนมากที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องราว ก็อาจช่วยลดความตึงเครียดของสถานการณ์ลงได้ ในยุคสามก๊กมีหลายคนที่ทำแบบนี้ได้ดี ก็คือ เล่าปี่ และ โจโฉ ต่อมายังเพิ่มขงเบ้งเข้าไปอีกคน
    .
    กรณีขงเบ้ง เดิมเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในด้านการแสดงอารมณ์ละเอียดอ่อนต่อหน้าผู้คน แต่คาดว่าเขาเองได้ศึกษาและเรียนรู้เรื่องนี้จากเล่าปี่ ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกบรรยายไว้ในประวัติศาสตร์และวรรณกรรมว่า ไม่ว่าจะดีใจหรือเสียใจ มักไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้า แต่เล่าปี่จะร้องไห้หรือแสดงอารมณ์ออกมาต่อหน้าผู้คนเฉพาะกรณีที่หวังผลบางอย่างเป็นหลักมากกว่า และได้ผลดีเลิศเสมอ
    .
    ส่วนฉากที่ขงเบ้งใช้กลยุทธ์นี้แล้วได้ผลดีก็คือเหตุการณ์ที่เขาเดินทางไปคารวะศพของจิวยี่ที่ง่อก๊ก เขาร้องไห้เสียใจต่อหน้าเหล่าขุนพลและขุนนางง่อทั้งหมดที่อยู่ในงาน เรื่องนี้ทำให้พวกคนของง่อที่เคยแสดงความไม่พอใจต่อขงเบ้งลดความรู้สึกด้านนี้ลงไปพอสมควร แต่ก็มีบางคนที่มองออกว่าขงเบ้งใช้อุบาย นั่นคือบังทอง ที่เข้ามาทักขงเบ้งในระหว่างที่เขากำลังจะขึ้นเรือกลับเกงจิ๋ว
    .
    แน่นอนว่าการร้องไห้ของขงเบ้งไม่ได้แก้ปัญหาได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยเขาลดความร้อนระอุด้านอารมณ์ของขุนพลง่อที่มีต่อขงเบ้งและฝ่ายเล่าปี่ลงมาบ้างในระยะเวลาหนึ่ง
    .
    เพิ่มเติม ส่วนคู่ปรับขงเบ้งอย่างสุมาอึ้จะชอบใช้แผนแกล้งป่วย (ไม่ได้พาดพิงนักการเมืองท่านใด)
    .
    ปล.แนวกลยุทธ์การร้องไห้ออกสื่อ เพื่อขอความเห็นใจ ยังคงใช้งานกันในปัจจุบัน แม้แต่ในระดับประเทศหรือในระดับโลก
    ………
    ศิลปะและศาสตร์แห่งการร้องไห้ ฉบับ เล่าปี่ และ โจโฉ แล้วตอนหลังขงเบ้งก็ขอยืมเทคนิคนี้มาใช้ด้วย เรื่องนี้อาจจะตอบคำถามว่า อ่านสามก๊กแล้วได้อะไร วันนี้เราเพิ่งเห็นกันสดๆร้อนๆหนึ่งเรื่องในระดับประเทศ
    .
    ในสามก๊ก มีตัวอย่างของผู้นำหรือผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะแก้ไขได้โดยง่าย เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องอาศัยกลยุทธ์ในด้านอารมณ์เข้ามาช่วย นอกเหนือจากหลักเหตุผลเท่านั้น
    .
    สำหรับตัวอย่างโดดเด่นที่ เล่าปี่ โจโฉ ขงเบ้ง เคยนำมาใช้ แล้วได้ผลลัพธ์ระดับสุดยอด เช่น
    .
    เล่าปี่ ตอนที่ต้องพาประชาชนอพยพหนีการตามล่าจากทัพโจโฉ แล้วเห็นประชาชนที่ทุกข์ยากเพราะติดตามตนมา เขาก็ร้องไห้เสียใจหนัก จะกระโดดน้ำ แต่คนอื่นห้ามไว้ และที่เด็ดสุดจากนั้นคือตอนที่ “จูล่งฝ่าทัพรับอาเต๊า” ช่วยพาทั้งอาเต๊าและนางกำฮูหยินที่พลัดหลงอยู่ในทุ่งเต็งหยาง เตียงปัน ซึ่งมีทหารโจโฉกระจัดกระจายอยู่มากกว่าหลายแสนคน เมื่อจูล่งพาอาเต๊ามาให้เล่าปี่ เขาก็ปล่อยอาเต๊าลงพื้นแล้วร้องไห้ว่า เด็กนี่เกือบทำให้ข้าสูญเสียจูล่ง จากนั้นจูล่งก็เข้าไปอุ้มอาเต๊าแล้วประกาศว่า ข้าจะขอติดตามเป็นดั่งม้าใช้ของนายท่านตราบจนสิ้นไป
    .
    โจโฉ หลายครั้งที่เขาผ่านการเสี่ยงตาย แต่ครั้งที่เสียหายรุนแรงที่สุดคือศึกเมืองอ้วนเสีย เพราะความประมาทและลุ่มหลงในหญิงงามของตนทำให้เสียท่าต่อกลยุทธ์ของกาเซี่ยง ทำให้ทหารตนล้มตายไปมากมาย รวมถึง บุตรชายโจงั่น หลานชายโจอั๋นปิน และองครักษ์เตียนอุย ต่อมาโจโฉเดินทัพผ่านบริเวณที่เคยเกิดเหตุ เขาก็ร้องไห้เสียใจออกมาให้พวกทหารเห็น โจโฉยังบอกว่า เขาร้องไห้ครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อบุตรชายและหลานชาย แต่เพื่อเตียนอุย เรื่องนี้ทำให้ได้ใจเหล่าทหารในกองทัพมาก
    .
    ขงเบ้ง เหตุการณ์สำคัญที่ขงเบ้งพ่ายแพ้ในการบุกภาคเหนือครั้งแรก สาเหตุหนึ่งที่ขงเบ้งยอมรับว่าตนผิดพลาดก็คือ การเลือกม้าเจ๊ก มาคุมทัพที่เกเต๋ง แต่หลังจากนั้นเขากลับผิดพลาด จึงทำให้ส่งผลเสียหายต่อทั้งกองทัพ หนึ่งในความรับผิดชอบที่เขาต้องทำก็คือ การสั่งประหารม้าเจ๊ก ซึ่งเป็นคนที่ทำให้การบุกครั้งนี้ล้มเหลว ขงเบ้งต้องประหารทั้งน้ำตา ซึ่งเรื่องนี้เจ้าตัวก็น่าจะเสียใจมากจริงๆ แต่เรื่องนี้ทำให้ขงเบ้งแสดงตนชัดเจนว่า เขาไม่อิงระบบเส้นสาย ต่อให้ม้าเจ๊กเป็นคนโปรดขนาดไหน หากทำผิดพลาดครั้งใหญ่ก็ต้องโทษประหาร พวกทหารจึงให้ความเคารพเชื่อฟังขงเบ้งต่อไป แม้ว่าจะรบแพ้ใหญ่ก็ตามทึ
    .
    ทั้งนี้ ไม่ได้แปลว่า “ร้องไห้แล้วจบ” เพราะหลังจากนั้นทุกคนต้องรับผลลัพธ์ของการกระทำ และหาทางแก้ปัญหากับเดินหน้าต่อไป หากทำผิดก็ต้องรับผล

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/SUbTfaxKA3edYxLC/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes

    ขงเบ้ง ปรมาจารย์ The Icon กับกลยุทธ์บีบน้ำตาลดแรงเสียดทาน มีบทความน่าคิดพิจารณาในเพจเฟซบุ๊กชื่อสามก๊ก เซ็นโกคุประวัติศาสตร์ History teller เขียนไว้ว่า “ ขงเบ้ง ร้องไห้ในงานศพของจิวยี่ ช่วยลดความตึงเครียดจากเหล่าขุนพลของง่อก๊กที่กำลังไม่พอใจขงเบ้งให้เบาลง . ต้องยอมรับว่าในบางครั้งการร้องไห้ต่อหน้าผู้คนจำนวนมากที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องราว ก็อาจช่วยลดความตึงเครียดของสถานการณ์ลงได้ ในยุคสามก๊กมีหลายคนที่ทำแบบนี้ได้ดี ก็คือ เล่าปี่ และ โจโฉ ต่อมายังเพิ่มขงเบ้งเข้าไปอีกคน . กรณีขงเบ้ง เดิมเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในด้านการแสดงอารมณ์ละเอียดอ่อนต่อหน้าผู้คน แต่คาดว่าเขาเองได้ศึกษาและเรียนรู้เรื่องนี้จากเล่าปี่ ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกบรรยายไว้ในประวัติศาสตร์และวรรณกรรมว่า ไม่ว่าจะดีใจหรือเสียใจ มักไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้า แต่เล่าปี่จะร้องไห้หรือแสดงอารมณ์ออกมาต่อหน้าผู้คนเฉพาะกรณีที่หวังผลบางอย่างเป็นหลักมากกว่า และได้ผลดีเลิศเสมอ . ส่วนฉากที่ขงเบ้งใช้กลยุทธ์นี้แล้วได้ผลดีก็คือเหตุการณ์ที่เขาเดินทางไปคารวะศพของจิวยี่ที่ง่อก๊ก เขาร้องไห้เสียใจต่อหน้าเหล่าขุนพลและขุนนางง่อทั้งหมดที่อยู่ในงาน เรื่องนี้ทำให้พวกคนของง่อที่เคยแสดงความไม่พอใจต่อขงเบ้งลดความรู้สึกด้านนี้ลงไปพอสมควร แต่ก็มีบางคนที่มองออกว่าขงเบ้งใช้อุบาย นั่นคือบังทอง ที่เข้ามาทักขงเบ้งในระหว่างที่เขากำลังจะขึ้นเรือกลับเกงจิ๋ว . แน่นอนว่าการร้องไห้ของขงเบ้งไม่ได้แก้ปัญหาได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยเขาลดความร้อนระอุด้านอารมณ์ของขุนพลง่อที่มีต่อขงเบ้งและฝ่ายเล่าปี่ลงมาบ้างในระยะเวลาหนึ่ง . เพิ่มเติม ส่วนคู่ปรับขงเบ้งอย่างสุมาอึ้จะชอบใช้แผนแกล้งป่วย (ไม่ได้พาดพิงนักการเมืองท่านใด) . ปล.แนวกลยุทธ์การร้องไห้ออกสื่อ เพื่อขอความเห็นใจ ยังคงใช้งานกันในปัจจุบัน แม้แต่ในระดับประเทศหรือในระดับโลก ……… ศิลปะและศาสตร์แห่งการร้องไห้ ฉบับ เล่าปี่ และ โจโฉ แล้วตอนหลังขงเบ้งก็ขอยืมเทคนิคนี้มาใช้ด้วย เรื่องนี้อาจจะตอบคำถามว่า อ่านสามก๊กแล้วได้อะไร วันนี้เราเพิ่งเห็นกันสดๆร้อนๆหนึ่งเรื่องในระดับประเทศ . ในสามก๊ก มีตัวอย่างของผู้นำหรือผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะแก้ไขได้โดยง่าย เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องอาศัยกลยุทธ์ในด้านอารมณ์เข้ามาช่วย นอกเหนือจากหลักเหตุผลเท่านั้น . สำหรับตัวอย่างโดดเด่นที่ เล่าปี่ โจโฉ ขงเบ้ง เคยนำมาใช้ แล้วได้ผลลัพธ์ระดับสุดยอด เช่น . เล่าปี่ ตอนที่ต้องพาประชาชนอพยพหนีการตามล่าจากทัพโจโฉ แล้วเห็นประชาชนที่ทุกข์ยากเพราะติดตามตนมา เขาก็ร้องไห้เสียใจหนัก จะกระโดดน้ำ แต่คนอื่นห้ามไว้ และที่เด็ดสุดจากนั้นคือตอนที่ “จูล่งฝ่าทัพรับอาเต๊า” ช่วยพาทั้งอาเต๊าและนางกำฮูหยินที่พลัดหลงอยู่ในทุ่งเต็งหยาง เตียงปัน ซึ่งมีทหารโจโฉกระจัดกระจายอยู่มากกว่าหลายแสนคน เมื่อจูล่งพาอาเต๊ามาให้เล่าปี่ เขาก็ปล่อยอาเต๊าลงพื้นแล้วร้องไห้ว่า เด็กนี่เกือบทำให้ข้าสูญเสียจูล่ง จากนั้นจูล่งก็เข้าไปอุ้มอาเต๊าแล้วประกาศว่า ข้าจะขอติดตามเป็นดั่งม้าใช้ของนายท่านตราบจนสิ้นไป . โจโฉ หลายครั้งที่เขาผ่านการเสี่ยงตาย แต่ครั้งที่เสียหายรุนแรงที่สุดคือศึกเมืองอ้วนเสีย เพราะความประมาทและลุ่มหลงในหญิงงามของตนทำให้เสียท่าต่อกลยุทธ์ของกาเซี่ยง ทำให้ทหารตนล้มตายไปมากมาย รวมถึง บุตรชายโจงั่น หลานชายโจอั๋นปิน และองครักษ์เตียนอุย ต่อมาโจโฉเดินทัพผ่านบริเวณที่เคยเกิดเหตุ เขาก็ร้องไห้เสียใจออกมาให้พวกทหารเห็น โจโฉยังบอกว่า เขาร้องไห้ครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อบุตรชายและหลานชาย แต่เพื่อเตียนอุย เรื่องนี้ทำให้ได้ใจเหล่าทหารในกองทัพมาก . ขงเบ้ง เหตุการณ์สำคัญที่ขงเบ้งพ่ายแพ้ในการบุกภาคเหนือครั้งแรก สาเหตุหนึ่งที่ขงเบ้งยอมรับว่าตนผิดพลาดก็คือ การเลือกม้าเจ๊ก มาคุมทัพที่เกเต๋ง แต่หลังจากนั้นเขากลับผิดพลาด จึงทำให้ส่งผลเสียหายต่อทั้งกองทัพ หนึ่งในความรับผิดชอบที่เขาต้องทำก็คือ การสั่งประหารม้าเจ๊ก ซึ่งเป็นคนที่ทำให้การบุกครั้งนี้ล้มเหลว ขงเบ้งต้องประหารทั้งน้ำตา ซึ่งเรื่องนี้เจ้าตัวก็น่าจะเสียใจมากจริงๆ แต่เรื่องนี้ทำให้ขงเบ้งแสดงตนชัดเจนว่า เขาไม่อิงระบบเส้นสาย ต่อให้ม้าเจ๊กเป็นคนโปรดขนาดไหน หากทำผิดพลาดครั้งใหญ่ก็ต้องโทษประหาร พวกทหารจึงให้ความเคารพเชื่อฟังขงเบ้งต่อไป แม้ว่าจะรบแพ้ใหญ่ก็ตามทึ . ทั้งนี้ ไม่ได้แปลว่า “ร้องไห้แล้วจบ” เพราะหลังจากนั้นทุกคนต้องรับผลลัพธ์ของการกระทำ และหาทางแก้ปัญหากับเดินหน้าต่อไป หากทำผิดก็ต้องรับผล ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/SUbTfaxKA3edYxLC/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 348 Views 0 Reviews
  • 🇮🇷 การปฏิวัติเพื่อมนุษยชาติ 🇮🇷

    การปฏิวัติที่เป็นแบบอย่างให้กับแกนต่อต้านการกดขี่ทั่วโลก

    ผลของการปฏิวัติอิสลามที่มีต่อการเมืองระดับโลก......

    เหตุใดการปฏิวัติอิสลามจึงมีความสำคัญ ?

    และส่งผลกระทบต่อการเมืองระดับโลกอย่างไร ?

    เหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นส่วนใหญ่ส่งผลกระทบเพียงชั่วครู่ชั่วคราวต่อโลก เนื่องมาจากมีเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้นพร้อมกันมากเกินไป บางอย่างเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น อุทกภัย แผ่นดินไหว และความอดอยาก ในขณะที่บางอย่างเกิดจากฝีมือมนุษย์

    สงครามเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย เช่น ความตาย การทำลายล้าง การอพยพผู้คน และความอดอยาก อย่างไรก็ตาม ยังมีเหตุการณ์อื่นๆ ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในสังคม

    การปฏิวัติอิสลามในอิหร่านเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่ยังไม่ค่อยมีการวิเคราะห์ผลกระทบอย่างเหมาะสม สาเหตุมาจากการต่อต้านและการโฆษณาชวนเชื่อเชิงลบที่เกิดขึ้นในหมู่จักรวรรดินิยมและไซออนิสต์

    การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน แตกต่างจากขบวนการเสรีภาพในช่วงก่อนๆ ที่เพียงแค่โอนอำนาจจากนักล่าอาณานิคมยุโรปไปยังหุ่นเชิดของพวกเขาในสังคมท้องถิ่น การปฏิวัติอิสลามทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในสังคม

    ระเบียบโลกในยุคปัจจุบันถูกกำหนดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามอันเลวร้ายนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบล้านคน โดยที่สหภาพโซเวียตมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากที่สุด

    สงครามดังกล่าวได้ทำลายล้างยุโรปไปเป็นจำนวนมาก มหาอำนาจอาณานิคมอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน เนเธอร์แลนด์ อิตาลี และแม้แต่เบลเยียมซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ต่างก็หมดอำนาจไป มหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียวที่ยังคงดำรงอยู่คือสหรัฐอเมริกา

    มหาอำนาจยุโรปจำเป็นต้องสละการครอบครองอาณานิคมในเอเชียและแอฟริกา เนื่องจากไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป

    การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆก็คือ พวกเขาถูกเปลี่ยนมือจากการควบคุมของนักล่าอาณานิคมชาวยุโรปไปอยู่ในมือของลุงแซม ซึ่งกลายเป็นผู้โหดร้ายยิ่งกว่าในการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรของพวกเขา

    ฐานทัพทหารสหรัฐฯ จำนวนมากรอบอ่าวเปอร์เซียและภูมิภาคเอเชียตะวันตกเป็นหลักฐานที่เพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติที่โลภมากของอเมริกา

    สหภาพโซเวียตได้ดำเนินตามแนวทางที่แตกต่างจากแนวทางของตะวันตกโดยรวมที่นำโดยสหรัฐอเมริกา แต่แนวคิดคอมมิวนิสต์ก็เป็นผลผลิตของความคิดทางการเมืองของตะวันตกเช่นกัน ดังนั้น จึงเกิดขั้วตรงข้ามสองขั้วจากรากฐานเดียวกัน ซึ่งประเทศต่างๆ ต่างมาบรรจบกัน

    สิ่งที่แปลกใหม่เกี่ยวกับการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านก็คือการหลุดพ้นจากการควบคุมของกลุ่มประเทศที่มีอำนาจในโลกตะวันตก นอกจากนี้ก็ยังไม่เข้าร่วมโดยทันทีกับกลุ่มที่นำโดยสหภาพโซเวียตเหมือนที่เกิดขึ้นกับประเทศอื่นๆ

    อิหร่านหวนคืนสู่รากเหง้าของตนเองนั่นคืออิสลาม ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเป็นปฏิปักษ์กันอย่างมากระหว่างมหาอำนาจทั้งในโลกตะวันตกและโลกตะวันออก

    ไม่นานหลังจากชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน อิมามโคมัยนี (รฎ) ได้ออกคำประกาศสองประการที่สั่นสะเทือนโลก

    ประการแรก มุสลิมต้องสามัคคีกันเพื่อปลดปล่อยอัลกุดส์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ มัสยิดอัลอักซอและเป็นกิบลัตแรกของมุสลิม ซึ่งประการแรกนี้ถูกมองว่าเป็นการท้าทายโดยตรงต่อกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานที่เป็นอาณานิคมไซออนิสต์

    ประการที่สอง การส่งออกการปฏิวัติอิสลามไปยังประเทศอื่นๆ ซึ่งก็ถูกมองว่าเป็นการท้าทายต่อระบอบการปกครองบนชายฝั่งตะวันตกของอ่าวเปอร์เซีย

    แนวคิดในการส่งออกการปฏิวัติถูกเข้าใจผิดโดยระบอบการปกครองเหล่านี้ พวกเขาคิดว่ากองกำลังปฏิวัติของอิหร่านจะไหลบ่าข้ามพรมแดนและเข้ายึดครองอาณาจักรที่สั่นคลอนของพวกเขา ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น

    ในหลายสิบปีที่ผ่านมา การส่งออกการปฏิวัติหมายถึงการส่งออกแนวคิดและได้รับการนำไปใช้โดยผู้คนในสังคมนั้นๆ

    รัฐบาลอาหรับซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจจักรวรรดินิยม ได้เปิดฉากสงครามอันเลวร้ายต่อสาธารณรัฐอิสลามโดยระบอบ ซัดดัม ฮุสเซน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลก เป้าหมายของมันคือการทำลายสาธารณรัฐอิสลาม !!!

    หลังจากนั้นไม่นาน สภาความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC) ก็ถูกจัดตั้งขึ้นตามคำสั่งของชาติตะวันตก และด้วยจุดมุ่งหมายเฉพาะเจาะจงเพื่อทำลายสาธารณรัฐอิสลามผ่านสงครามเศรษฐกิจ

    แปดปีที่สาธารณรัฐอิสลาม ผู้นำการปฏิวัติและประชาชนของสาธารณรัฐอิสลามสามารถต้านทานการโจมตีจากนานาชาติได้เพียงลำพัง พวกเขาได้ปกป้องดินแดนทุกตารางนิ้วและป้องกันการปฏิวัติด้วยการเสียสละอย่างมากมาย การป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาได้ปลูกฝังความกลัวให้กับศัตรูจนไม่กล้าที่จะรุกรานสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านด้วยกองกำลังภาคพื้นดินอีกเลย

    ประเด็นการส่งออกของการปฏิวัติอิสลาม การเคลื่อนไหวแรกๆเกิดขึ้นในสถานที่ที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคือเลบานอน ซึ่งขบวนการฮิซบุลลอฮ์ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากับผู้ยึดครองไซออนิสต์และสร้างความอัปยศให้กับไซออนิสต์อิสราเอลจนถึงทุกวันนี้

    แนวคิดปฏิวัติของอิหร่านถูกส่งออกไปยังปาเลสไตน์ ซึ่งการต่อต้านในฉนวนกาซาก็เป็นผลโดยตรงจากการแพร่กระจายแนวคิดปฏิวัติจากอิหร่าน แม้แต่นักวิจารณ์ชาวอิสราเอลหลายคนก็ยอมรับว่าอิสราเอลพ่ายแพ้ทางทหารต่อฮามาสและญิฮาดอิสลาม อิสราเอลได้สังหารพลเรือนชาวปาเลสไตน์ผู้บริสุทธิ์หลายหมื่นคนอย่างโหดเหี้ยมและป่าเถื่อนที่สุด

    พื้นที่ที่แนวคิดปฏิวัติของอิหร่านแพร่หลายออกไป ได้แก่ อิรักและเยเมน ในซีเรีย กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติของอิหร่าน (IRGC)มีบทบาทสำคัญในการป้องกันไม่ให้รัฐบาลในกรุงดามัสกัสล่มสลาย ซึ่งเผชิญกับแผนการสมคบคิดที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มไซออนิสต์ของสหรัฐฯ และซาอุดีอาระเบียมานานกว่าสิบปี

    แนวคิดปฏิวัติของอิหร่านได้แพร่กระจายไปถึงอเมริกาใต้ ไปถึงบริเวณหลังบ้านของสหรัฐฯ

    นับเป็นเวลากว่าศตวรรษแล้วที่สหรัฐฯ ได้รักษาอเมริกาใต้ไว้เป็นเขตอิทธิพลเฉพาะของตนในการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากร

    ทุกวันนี้ หลายๆประเทศ เช่น เวเนซุเอลา นิการากัว และโบลิเวีย ได้หลุดพ้นจากอำนาจการครอบงำของสหรัฐฯ และกำลังกำหนดเส้นทางอิสระ ซึ่งสิ่งนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากความร่วมมืออย่างแข็งขันของอิหร่าน

    การล่มสลายของระเบียบโลกขั้วเดียวที่นำโดยสหรัฐฯ เป็นผลโดยตรงจากการแพร่กระจายแนวคิดปฏิวัติของอิหร่าน

    "สิ่งนี้บ่งชี้ว่า เมื่อมีผู้นำที่ จริงใจ ซื่อสัตย์ มีความมุ่งมั่นที่ยึดหลักความยุติธรรมและความเป็นธรรมของศาสนาเป็นตัวตั้งแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องน่าแปลก ที่คนจำนวนน้อยจะสามารถเอาชนะอำนาจแห่งการกดขี่ที่แม้จะติดอาวุธหนักเพียงใดได้"
    🇮🇷 การปฏิวัติเพื่อมนุษยชาติ 🇮🇷 การปฏิวัติที่เป็นแบบอย่างให้กับแกนต่อต้านการกดขี่ทั่วโลก ผลของการปฏิวัติอิสลามที่มีต่อการเมืองระดับโลก...... เหตุใดการปฏิวัติอิสลามจึงมีความสำคัญ ? และส่งผลกระทบต่อการเมืองระดับโลกอย่างไร ? เหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นส่วนใหญ่ส่งผลกระทบเพียงชั่วครู่ชั่วคราวต่อโลก เนื่องมาจากมีเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้นพร้อมกันมากเกินไป บางอย่างเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น อุทกภัย แผ่นดินไหว และความอดอยาก ในขณะที่บางอย่างเกิดจากฝีมือมนุษย์ สงครามเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย เช่น ความตาย การทำลายล้าง การอพยพผู้คน และความอดอยาก อย่างไรก็ตาม ยังมีเหตุการณ์อื่นๆ ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในสังคม การปฏิวัติอิสลามในอิหร่านเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่ยังไม่ค่อยมีการวิเคราะห์ผลกระทบอย่างเหมาะสม สาเหตุมาจากการต่อต้านและการโฆษณาชวนเชื่อเชิงลบที่เกิดขึ้นในหมู่จักรวรรดินิยมและไซออนิสต์ การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน แตกต่างจากขบวนการเสรีภาพในช่วงก่อนๆ ที่เพียงแค่โอนอำนาจจากนักล่าอาณานิคมยุโรปไปยังหุ่นเชิดของพวกเขาในสังคมท้องถิ่น การปฏิวัติอิสลามทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในสังคม ระเบียบโลกในยุคปัจจุบันถูกกำหนดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามอันเลวร้ายนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบล้านคน โดยที่สหภาพโซเวียตมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากที่สุด สงครามดังกล่าวได้ทำลายล้างยุโรปไปเป็นจำนวนมาก มหาอำนาจอาณานิคมอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน เนเธอร์แลนด์ อิตาลี และแม้แต่เบลเยียมซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ต่างก็หมดอำนาจไป มหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียวที่ยังคงดำรงอยู่คือสหรัฐอเมริกา มหาอำนาจยุโรปจำเป็นต้องสละการครอบครองอาณานิคมในเอเชียและแอฟริกา เนื่องจากไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆก็คือ พวกเขาถูกเปลี่ยนมือจากการควบคุมของนักล่าอาณานิคมชาวยุโรปไปอยู่ในมือของลุงแซม ซึ่งกลายเป็นผู้โหดร้ายยิ่งกว่าในการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรของพวกเขา ฐานทัพทหารสหรัฐฯ จำนวนมากรอบอ่าวเปอร์เซียและภูมิภาคเอเชียตะวันตกเป็นหลักฐานที่เพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติที่โลภมากของอเมริกา สหภาพโซเวียตได้ดำเนินตามแนวทางที่แตกต่างจากแนวทางของตะวันตกโดยรวมที่นำโดยสหรัฐอเมริกา แต่แนวคิดคอมมิวนิสต์ก็เป็นผลผลิตของความคิดทางการเมืองของตะวันตกเช่นกัน ดังนั้น จึงเกิดขั้วตรงข้ามสองขั้วจากรากฐานเดียวกัน ซึ่งประเทศต่างๆ ต่างมาบรรจบกัน สิ่งที่แปลกใหม่เกี่ยวกับการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านก็คือการหลุดพ้นจากการควบคุมของกลุ่มประเทศที่มีอำนาจในโลกตะวันตก นอกจากนี้ก็ยังไม่เข้าร่วมโดยทันทีกับกลุ่มที่นำโดยสหภาพโซเวียตเหมือนที่เกิดขึ้นกับประเทศอื่นๆ อิหร่านหวนคืนสู่รากเหง้าของตนเองนั่นคืออิสลาม ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเป็นปฏิปักษ์กันอย่างมากระหว่างมหาอำนาจทั้งในโลกตะวันตกและโลกตะวันออก ไม่นานหลังจากชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน อิมามโคมัยนี (รฎ) ได้ออกคำประกาศสองประการที่สั่นสะเทือนโลก ประการแรก มุสลิมต้องสามัคคีกันเพื่อปลดปล่อยอัลกุดส์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ มัสยิดอัลอักซอและเป็นกิบลัตแรกของมุสลิม ซึ่งประการแรกนี้ถูกมองว่าเป็นการท้าทายโดยตรงต่อกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานที่เป็นอาณานิคมไซออนิสต์ ประการที่สอง การส่งออกการปฏิวัติอิสลามไปยังประเทศอื่นๆ ซึ่งก็ถูกมองว่าเป็นการท้าทายต่อระบอบการปกครองบนชายฝั่งตะวันตกของอ่าวเปอร์เซีย แนวคิดในการส่งออกการปฏิวัติถูกเข้าใจผิดโดยระบอบการปกครองเหล่านี้ พวกเขาคิดว่ากองกำลังปฏิวัติของอิหร่านจะไหลบ่าข้ามพรมแดนและเข้ายึดครองอาณาจักรที่สั่นคลอนของพวกเขา ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในหลายสิบปีที่ผ่านมา การส่งออกการปฏิวัติหมายถึงการส่งออกแนวคิดและได้รับการนำไปใช้โดยผู้คนในสังคมนั้นๆ รัฐบาลอาหรับซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจจักรวรรดินิยม ได้เปิดฉากสงครามอันเลวร้ายต่อสาธารณรัฐอิสลามโดยระบอบ ซัดดัม ฮุสเซน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลก เป้าหมายของมันคือการทำลายสาธารณรัฐอิสลาม !!! หลังจากนั้นไม่นาน สภาความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC) ก็ถูกจัดตั้งขึ้นตามคำสั่งของชาติตะวันตก และด้วยจุดมุ่งหมายเฉพาะเจาะจงเพื่อทำลายสาธารณรัฐอิสลามผ่านสงครามเศรษฐกิจ แปดปีที่สาธารณรัฐอิสลาม ผู้นำการปฏิวัติและประชาชนของสาธารณรัฐอิสลามสามารถต้านทานการโจมตีจากนานาชาติได้เพียงลำพัง พวกเขาได้ปกป้องดินแดนทุกตารางนิ้วและป้องกันการปฏิวัติด้วยการเสียสละอย่างมากมาย การป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาได้ปลูกฝังความกลัวให้กับศัตรูจนไม่กล้าที่จะรุกรานสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านด้วยกองกำลังภาคพื้นดินอีกเลย ประเด็นการส่งออกของการปฏิวัติอิสลาม การเคลื่อนไหวแรกๆเกิดขึ้นในสถานที่ที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคือเลบานอน ซึ่งขบวนการฮิซบุลลอฮ์ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากับผู้ยึดครองไซออนิสต์และสร้างความอัปยศให้กับไซออนิสต์อิสราเอลจนถึงทุกวันนี้ แนวคิดปฏิวัติของอิหร่านถูกส่งออกไปยังปาเลสไตน์ ซึ่งการต่อต้านในฉนวนกาซาก็เป็นผลโดยตรงจากการแพร่กระจายแนวคิดปฏิวัติจากอิหร่าน แม้แต่นักวิจารณ์ชาวอิสราเอลหลายคนก็ยอมรับว่าอิสราเอลพ่ายแพ้ทางทหารต่อฮามาสและญิฮาดอิสลาม อิสราเอลได้สังหารพลเรือนชาวปาเลสไตน์ผู้บริสุทธิ์หลายหมื่นคนอย่างโหดเหี้ยมและป่าเถื่อนที่สุด พื้นที่ที่แนวคิดปฏิวัติของอิหร่านแพร่หลายออกไป ได้แก่ อิรักและเยเมน ในซีเรีย กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติของอิหร่าน (IRGC)มีบทบาทสำคัญในการป้องกันไม่ให้รัฐบาลในกรุงดามัสกัสล่มสลาย ซึ่งเผชิญกับแผนการสมคบคิดที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มไซออนิสต์ของสหรัฐฯ และซาอุดีอาระเบียมานานกว่าสิบปี แนวคิดปฏิวัติของอิหร่านได้แพร่กระจายไปถึงอเมริกาใต้ ไปถึงบริเวณหลังบ้านของสหรัฐฯ นับเป็นเวลากว่าศตวรรษแล้วที่สหรัฐฯ ได้รักษาอเมริกาใต้ไว้เป็นเขตอิทธิพลเฉพาะของตนในการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากร ทุกวันนี้ หลายๆประเทศ เช่น เวเนซุเอลา นิการากัว และโบลิเวีย ได้หลุดพ้นจากอำนาจการครอบงำของสหรัฐฯ และกำลังกำหนดเส้นทางอิสระ ซึ่งสิ่งนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากความร่วมมืออย่างแข็งขันของอิหร่าน การล่มสลายของระเบียบโลกขั้วเดียวที่นำโดยสหรัฐฯ เป็นผลโดยตรงจากการแพร่กระจายแนวคิดปฏิวัติของอิหร่าน "สิ่งนี้บ่งชี้ว่า เมื่อมีผู้นำที่ จริงใจ ซื่อสัตย์ มีความมุ่งมั่นที่ยึดหลักความยุติธรรมและความเป็นธรรมของศาสนาเป็นตัวตั้งแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องน่าแปลก ที่คนจำนวนน้อยจะสามารถเอาชนะอำนาจแห่งการกดขี่ที่แม้จะติดอาวุธหนักเพียงใดได้"
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
  • ปฐมบท..บอสพอล The Icon

    พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ

    ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์

    หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท

    ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ

    พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย

    พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก)

    จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน..

    ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ

    คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global
    👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal

    ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ

    ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง

    เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท

    แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan
    👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/

    ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้

    เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้

    จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน

    และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558
    👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/

    เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน

    เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด

    เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ

    พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse

    และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค

    เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“

    ---------

    โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย

    โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี"

    โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา

    -----------

    ลูกค้าของพอล..

    ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง

    เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง)

    โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ

    และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี

    และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี

    การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV

    นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว

    รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก

    โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า

    ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที

    พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น

    พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น

    คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง

    พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่

    เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

    แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท

    89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน)

    มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ

    เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว

    ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว

    คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย

    เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon

    และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM

    เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ

    และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย
    ---------

    ยุคทองของ..บอสพอล The Icon

    เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง

    เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว

    แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป

    เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้

    The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล

    ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น

    แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด

    ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto

    ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ

    หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ

    คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม

    เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน

    พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ

    และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา

    และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร

    กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย

    เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย

    กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย

    แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ
    -----------

    ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลในฐานแชร์ลูกโซ่ได้เลย

    จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยากเพราะไปผิดทางไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู

    เพราะเคสแบบนี้มันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า

    การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน”และตัวแทนไม่ใช่ผู้บริโภค สคบ.จึงไม่มีอำนาจ“

    หรือเคยมีผู้บริโภคได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ

    จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้

    เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย

    ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง #และสินค้ามีคุณภาพ ตรงจุดนี้คือกุญแจดอกเดียวที่จะไขเข้าไปถึงตัวพอลได้นั่นคือ..สินค้าไม่ตรงปรก

    พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง

    เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ

    แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั

    ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป

    โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ

    หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้..

    พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน

    ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.?

    ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที

    เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย

    บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง

    พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ

    สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ..

    การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง

    ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร

    ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว

    คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว

    หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ

    เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว

    แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่

    บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ

    พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

    บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้

    จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว

    อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ

    สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship

    คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป

    กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต

    มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย
    ----------

    ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้

    1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ

    2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer

    3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20%

    เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง

    พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้

    4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย

    ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด"

    ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด

    ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส.

    น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣

    เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง

    สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง

    ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100%

    ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.?

    นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก

    #พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊

    ep.1
    👉 https://www.facebook.com/share/p/YgaYdxzS5FirmYa2/?mibextid=WC7FNe

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน

    ปฐมบท..บอสพอล The Icon พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์ หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก) จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน.. ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global 👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan 👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/ ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้ เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้ จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558 👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/ เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“ --------- โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี" โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา ----------- ลูกค้าของพอล.. ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง) โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่ เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท 89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน) มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย --------- ยุคทองของ..บอสพอล The Icon เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้ The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ ----------- ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลในฐานแชร์ลูกโซ่ได้เลย จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยากเพราะไปผิดทางไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู เพราะเคสแบบนี้มันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน”และตัวแทนไม่ใช่ผู้บริโภค สคบ.จึงไม่มีอำนาจ“ หรือเคยมีผู้บริโภคได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้ เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง #และสินค้ามีคุณภาพ ตรงจุดนี้คือกุญแจดอกเดียวที่จะไขเข้าไปถึงตัวพอลได้นั่นคือ..สินค้าไม่ตรงปรก พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้.. พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.? ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ.. การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่ บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้ จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย ---------- ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้ 1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ 2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer 3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20% เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้ 4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด" ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส. น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣 เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100% ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.? นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก #พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊ ep.1 👉 https://www.facebook.com/share/p/YgaYdxzS5FirmYa2/?mibextid=WC7FNe สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • บาป 18 ประการ คนตื่นธรรม
    กรณีคนตื่นธรรม สอนธรรมออนไลน์ในสื่อโซเชียล มีลักษณะการใช้คำพูดหยาบคาย ด้อยค่าด่ากราด ไม่ประนีประนอมเพื่อให้คนเข้าถึงธรรมะที่แท้จริง ตื่นรู้จากอวิชชา เดรัจฉานวิชา ปลุกเสก ได้สร้างบาป 18 ประการขึ้น คือในการสอนธรรม มีข้อผิดพลาดที่เป็นปัญหาควรต้องพิจารณาและปรับปรุง เพราะกระทบต่อภาพลักษณ์ของพุทธสาสนา และสร้างสัทธรรมปฏิรูปขึ้นแก่ชาวพุทธ เป็นบาปใหญ่หลวง

    1. ใช้วจีทุจริต ไม่เป็นสัมมาวาจา ไม่เป็นวาจาสุภาษิต (ตามแนวทางมรรค ๘)
    มีการใช้คำพูดด่า ดูถูก กดข่มผู้ฟัง เช่น มึงมันโง่ ไอ้ปัญญาอ่อน มึงปัญญาอ่อนไง โดยกล่าวอ้างว่า ธรรมแท้ไม่มีประนีประนอม ในหลักของมรรคมีองค์ ๘ ครอบคลุมอยู่ในทุกเรื่องของการกระทำ จึงจะถือว่าเป็นการปฏิบัติตามคำสอนในพระพุทธศาสนา การสอนโดยใช้วาจาไม่เป็นสัมมาวาจานั้น เป็นวจีทุจริต เป็นบาป ผิดหลักมรรคมีองค์ ๘

    2. สอนขัดแย้งกันเอง ยกธรรมตีธรรม เพราะไม่รอบรู้ไม่เข้าใจหลักเหตุผล มักจะเอาธรรมข้อใดข้อหนึ่งยกขึ้นมา ตีธรรมะข้ออื่นในชุดธรรมเดียวกัน หรือชุดอื่น เพื่อสร้างภาพว่าตนรู้ทั่วถึงธรรมวินัยดี อันไหนธรรมแท้ ธรรมถูก เช่น การกล่าวว่าการรู้อดีต รู้อนาคต ไม่ได้ทำให้เข้าใจปัจจุบัน ไม่มีประโยชน์
    ถือเป็นดูหมิ่นด้อยค่า คำสอน วิชชา 3 มี ปุพเพนิวาสนุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ โดยคำลักษณะนี้เป็นการบอกว่า ญาณ 2 อย่างข้างต้นไม่มีความสำคัญ ในขณะที่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกรู้อดีตชาติของพระพุทธเจ้า ได้เป็นการประจักษ์แจ้งการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ ทำให้รู้จุตูปปาตญาณ รู้ผลของการกระทำกรรม และนำสู่อาสวักขยญาณ ปัญญารู้ทำอาสวะกิเลสให้หมดสิ้นได้ และข้อธรรมอื่นก็คล้ายกัน ไม่รู้จักเหตุผล พุทธเจ้าแสดงธรรมเป็นชุดเหตุผล เป็นลำดับ

    3. พุทธคุณไม่มีอยู่จริง นอกจากพระบริสุทธิคุณ ปัญญาคุณ มหากรุณาคุณ
    ความจริงคุณของพระพุทธเจ้ามีหลายประการ ทั้งนวหรคุณ 9 อย่าง อะระหํ(เป็นพระอรหันต์) สัมมาสัมพุทโธ(ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง) วิชชาจรณสัมปันโน (เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ) เป็นต้น พุทธานุภาพที่เกิดจากอานุภาพบารมีที่สั่งสมแสดงออกอำนวยผล ในหลายลักษณะ ให้เกิดความสวัสดีแก่ผู้นับถือบูชา เช่น การปกป้องคุ้มครองพระภิกษุที่ไปปฏิบัติอยู่ในสถานที่ห่างไกล มักจะปูลาดอาสนะไว้ เมื่อมีภัย หรือเกิดอกุศลวิตก หวาดกลัว เพียงระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระองค์จะเสด็จมาปลอบ สอนธรรม ทำให้พระภิกษุไม่หวาดกลัวที่จะเดินทางไปอยู่ในที่ไกลๆ เพราะพลังแห่งพุทธะคุ้มครอง แม้ในยุคปัจจุบันพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ก็ยังมีพลังพุทธคุณหรือพุทธานุภาพปกป้องคุ้มครองชาวพุทธอยู่ ความเชื่อเหล่านี้จะมีผลได้ต้องปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงธรรมระดับหนึ่งจึงจะสามารถพิสูจน์ได้ การเห็นสุดโต่งปฏิเสธความมีอยู่แห่งพุทธานุภาพจึงเป็นความเห็นผิด อันร้ายแรงอย่างหนึ่ง

    4.พระเครื่องไม่มีพุทธคุณ เป็นความเห็นผิด พุทธเจ้าประทานบทพระปริตรหลายวาระหลายบท เพื่อป้องกัน เพื่อรักษา ไม่เบียดเบียน อยู่สำราญ ของพระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พุทธานุภาพหรือเขตอำนาจแห่งพุทธเจ้าแผ่ไปใน 3 เรื่อง คือ
    1)ชาติเขต แผ่ไปในหมื่นจักรวาล
    2)อาณาเขต คือ พุทธมนต์ หรือปริตร แผ่ไปในแสนโกฏิจักรวาล
    3)วิสัยเขต แผ่ไปไม่มีขอบเขต
    พุทธคุณหรือพุทธานุภาพ เกิดจากการสวดสาธยายมนต์ มีอำนาจแผ่ไปในแสนโกฏิจักรวาล ช่วยขจัดปัดเป่าอุปัทวันตราย โรคภัย เสนียดจัญไรต่างๆ ได้ มีการสืบทอดคำสอนมาช้านาน
    ดังข้อความว่า
    "ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเรียนมนต์เครื่องรักษาชื่ออาฏานาฏิยะจงเล่าเรียนมนต์เครื่องรักษาชื่ออาฏานาฏิยะ จงทรงจำมนต์เครื่องรักษาชื่ออาฏานาฏิยะไว้ ภิกษุทั้งหลาย มนต์เครื่องรักษาชื่ออาฏานาฏิยะนี้ ประกอบด้วยประโยชน์ เพื่อคุ้มครอง เพื่อรักษา เพื่อไม่เบียดเบียน เพื่ออยู่สำราญของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย”
    ข้อความนี้แสดงให้เห็นว่า บทปริตร หรือบทพุทธมนต์ มีพลังอำนาจ คุ้มครองป้องกันรักษา พระพุทธเจ้าจึงให้สวดสาธยาย และเมื่อนำมาใช้ในการสร้างพระพุทธรูป พระเครื่องต่างๆ ย่อมมีคุณตามที่พระพุทธเจ้าตรัส
    คำพูดปฏิเสธพุทธคุณ พุทธรูป สิ่งเคารพทางศาสนา ที่สืบทอดคติความเชื่อจารีตมาช้านานนับพันปี จึงเป็นการบ่อนทำลายความศรัทธาที่มีต่อ พระพุทธเจ้า สิ่งแทนพุทธเจ้า หรือคำสอนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ไม่ให้ผู้คนมีศรัทธา โดยยกคำสอนเรื่องอริยสัจ มาด้อยค่าคำสอนว่าด้วยเรื่องศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า จึงเป็นการทำลายศาสนา ไปพร้อมกัน อนาคตเด็กยุคใหม่เสพคำสอนนี้ จะไม่นับถือไม่ไหว้พระพุทธเจ้าและไม่เห็นความสำคัญ คุณค่าของพุทธรูปที่สร้างไว้ในฐานะเครื่องยึดเหนี่ยวที่เป็นรูปธรรมนำสุ่พุทธเจ้า รวมทั้งไม่เชื่อในพระพุทธเจ้า

    5. มิจฉาทิฐิ 10 สอนการบูชาที่ไร้ผล สายลัทธิวัดนา สอนไม่ให้กราบไหว้บูชาพระพุทธรูป องค์แทนพุทธเจ้าสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงพุทธเจ้า เป็นจารีตนิยมที่ถือมาช้านาน เชื่อมโยงคำสอนในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ ปีตวิมานวัตถุ
    “ติฏฺฐนฺเต นิพฺพุเต จาปิ, สเม จิตฺเต สมํ ผลํ;
    เจโตปณิธิเหตุ หิ, สตฺตา คจฺฉนฺติ สุคฺคตึ.
    "พระพุทธเจ้า จะทรงพระชนม์อยู่ หรือแม้จะนิพพานไปแล้วก็ตาม
    ถ้าจิตเสมอกัน ผลก็เสมอกัน สัตว์ทั้งหลายไปสู่สวรรค์ เพราะความเลื่อมใสตั้งมั่นแห่งจิตใจ
    การสอนไม่ให้ไหว้พุทธรูป นับเป็นมิจฉาทิฐิ ข้อที่ ๒ นัตถิ ยิตถัง และข้อที่ ๑๐ พระพุทธเจ้าไม่มีอยู่จริง ในชุดคำสอน มิจฉาทิฐิ ๑๐ ประการ เป็นการสร้างบาปทำลายคำสอน ความศรัทธาที่ชาวพุทธมีต่อพระพุทธเจ้า โดยอ้างว่าให้ยึดคำสอนสูงสุด อริยสัจสี่ เพื่อพ้นทุกข์

    6. คุณไสย ไสยเวทย์ ไม่มี. การปฏิเสธคำสอน ในเรื่องคุณไสย์ วิชาอาคม มนต์ มีพลังอำนาจอยู่จริง หรือไม่ เมื่อไม่สามารถหาคำตอบหรือพิสูจน์ได้ ก็ควรพิจารณาจากหลักฐานในพระไตรปิฎก มีที่ใดบ้าง ข้อความพุทธพจน์วินัยบัญญัติ ดังเรื่องต่อไปนี้
    ๑) พระภิกษุถูกผีสิง อมนุษย์สิง กินเลือดสด เนื้อสด ทรงอนุญาตให้พระภิกษุฉันเลือดและเนื้อสดได้ เพื่อเป็นเภสัช เมื่อฉันแล้วอมนุษย์จะออกไป แสดงให้เห็นว่าบทบัญญัติทางพระวินัย พระพุทธเจ้ายอมรับว่ามีผีหรืออมนุษย์สามารถสิงสู่คนได้ พระภิกษุถูกอมนุษย์สิงได้ และวิธีการรักษา ในครั้งนั้นตามอาการ คือเมื่ออมนุษย์มาสิงเพื่อกินเนื้อสด เลือดสด(ปอบ) ก็อนุญาตให้พระภิกษุกินได้ และไม่ถือว่าต้องอาบัติอะไร เพราะคนที่กิน ไม่ใช่พระ แต่เป็นอมนุษย์ หลักฐานนี้ยอมรับการมีอยู่ การสิงร่างคน ของอมนุษย์ เป็นความรู้ที่ควรต้องมี ไม่ปฏิเสธว่า ผี อมนุษย์ ไม่มี ไสยเวทย์ ไม่มี
    เรื่องเนื้อดิบและเลือดสด
    "อมนุษย์เคี้ยวกินเนื้อดิบและดื่มเลือดสด เพราะเหตุนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าไม่ได้เคี้ยวกินเนื้อดิบและดื่มเลือดสดนั้น. อมนุษย์ ครั้นเคี้ยวกินและดื่มแล้วได้ออกไป เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า อาพาธเกิดแต่อมนุษย์นั้นของเธอย่อมระงับ."
    วินัยปิฎก มหาวรรค ๕/๒๖๔๔๙.
    https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=5&siri=8

    ๒) เรื่องภิกษุโดนยาแฝดดื่มน้ำที่ละลายจากดินติดผาลไถ
    สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธโดนยาแฝด ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบพระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ดื่มน้ำที่เขาละลายดิน รอยไถติดผาล”
    (วินัยปิฎกมหาวรรค. ๕/๒๖๙/๖๑.)

    วิธีการรักษาโรคต่างๆ มีปรากฏอยู่ในตุวฏกสุตตนิทเทสขุททกนิกาย มหานิเทศ ได้กล่าวถึงวิธีการบำบัดโรคไว้ 5 อย่างด้วยกัน คือ
    (๑) การบำบัดด้วยการเสกเป่า (๒) การบำบัดด้วย (๓) การผ่าตัด (๔) การบำบัดด้วยยา (๕) การรักษาที่เกี่ยวข้องกับทางภูตผีหรือไสยศาสตร์ และการบำบัดโรคเด็ก (กุมารเวช)

    7.ปฏิเสธการสวดมนต์ สาธยายมนต์ พระปริตร ว่าไม่มีคุณค่า ไม่ได้ช่วยอะไร
    เป็นการปฏิเสธคำของพระพุทธเจ้า ที่อนุญาตให้พุทธบริษัท ๔ เรียน และสวดสาธยายปริตร ดังข้อความว่า "ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเรียนมนต์เครื่องรักษาชื่ออาฏานาฏิยะจงเล่าเรียนมนต์เครื่องรักษาชื่ออาฏานาฏิยะ จงทรงจำมนต์เครื่องรักษาชื่ออาฏานาฏิยะไว้ ภิกษุทั้งหลาย มนต์เครื่องรักษาชื่ออาฏานาฏิยะนี้ ประกอบด้วยประโยชน์เพื่อคุ้มครอง เพื่อรักษา เพื่อไม่เบียดเบียน เพื่ออยู่สำราญของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย”
    (ที.มหา. ๑๑/๒๙๕/๒๖๔.)

    8. เรียนไม่ถึง ตีความเอง ไม่ศึกษาเครื่องมือการศึกษาพระไตรปิฎก คือไวยากรณ์ภาษาบาลี คนตื่นธรรมเป็นศิษย์สำนักวัดนาจึงใช้ทิฏฐิของตน อัตโนมัติ ตัดสินธรรมตามชอบใจ ซึ่งเป็นหลักสำคัญที่สำนักนี้ใช้การตีความแบบนี้มาช้านาน
    โดยใช้หลักการยึดเอาพระไตรปิฎกเฉพาะบางส่วน ที่เห็นว่าเป็นคำพุทธวจนะแท้ จากพระโอษฐ์ โดยใช้ตรรกะง่ายๆ หาข้อความในพระสูตรที่มีคำว่า "ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย" เป็นต้น
    จึงจะเชื่อว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ส่วนคำสอนอื่นที่ไม่มีข้อความตรัสแบบนี้ จะตีความว่าไม่ใช่คำสอน เป็นคำแต่งเติม แต่งใหม่จึงมีส่วนคำสอนที่ถูกสำนักนี้ตัดออกไป เช่น เรื่องสวดปริตร หรือสิกบท 150 ข้อ การตัดสินความเป็นพุทธพจน์แท้ แบบนี้นับเป็นการตีความผิดพลาดอย่างมาก ได้สร้างบาปใหญ่ให้เกิดในสังฆมณฑลมา 20 กว่าปี ศิษย์สำนักนี้เผยแผ่ธรรม ตามการตีความแบบนี้จึงได้เกิด วิวาทะ ปะทะกับชาวพุทธส่วนใหญ่ ถกเถียงกันเรื่อง เดรัจฉานวิชา การทำน้ำมนต์ ปลุกเสก สิกขาบทวินัย ทำให้เกิดความแตกแยก ไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาแก้ปัญหา ยังคงเป็นปัญหาจนทุกวันนี้ คนตื่นธรรมถือเป็นผลผลิตของวัดนาที่ได้สร้างบาปให้แก่พุทธสาสนา ด้วยการศึกษาเอง ตีความเอง ข่มชาวพุทธ

    9.ศึกษาธรรมวินัยเอง ไม่มีครูอาจารย์ผู้สอน ทำให้ตีความธรรมวินัยผิดพลาด ขัดแย้งกับคำสอนหลายเรื่อง เป็นมิจฉาทิฐิ ในการเล่าเรียนธรรมพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติวิธีการศึกษาพระธรรมวินัยไว้ในสัทธิวิหาริกวัตรว่า
    “อุปชฺฌาเยน, ภิกฺขเว, สทฺธิวิหาริโก สงฺคเหตพฺโพ อนุคฺคเหตพฺโพ อุทฺเทเสน ปริปุจฺฉาย โอวาเทน อนุสาสนิยา.
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุปัชฌาย์ ต้องสงเคราะห์ อนุเคราะห์ สัทธิวิหาริก(พระลูกศิษย์) ด้วยอุทเทส(พระบาลี) ปริปุจฉา(การทวนสอบอรรถกถา) โอวาท และอนุสาสนีย์
    วินัยปิฎก มหาวรรค.๔/๖๗/๘๘
    https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=4&siri=20
    หลักการนี้ย้ำชัดว่า ในการศึกษาคำสอน ต้องทำอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ ที่รอบรู้ในพระธรรมวินัย ไม่สามารถศึกษาเองได้ คนตื่นธรรมหรือสำนักวัดนา ใช้วิธีการอ่านศึกษาธรรมเอง จึงได้เกิดความเห็นผิดขึ้นหลายประการ เรื่องการตีความคำสอนผิดพลาด

    10.ขาดคุณสมบัติของผู้สอนธรรม ๗ ประการ ที่จำเป็นของผู้สอนธรรม ตามพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ในอังคุตรนิกาย สัตตกนิบาตว่า
    “ปิโย ครุ ภาวนีโย, วตฺตา จ วจนกฺขโม;
    คมฺภีรญฺจ กถํ กตฺตา, โน จฏฺาเน นิโยชโก .
    ๑. เป็นที่รักเป็นที่พอใจ ๒. เป็นที่เคารพ ๓. เป็นที่ยกย่อง
    ๔. เป็นนักพูด ๕. เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ ๖. เป็นผู้พูดถ้อยคำลึกซึ้งได้
    ๗. ไม่ชักนำในอฐานะ
    ภิกษุทั้งหลาย มิตรประกอบด้วยองค์ ๗ ประการนี้แล เป็นผู้ควรเสพ ควรคบ
    ควรเข้าไปนั่งใกล้ แม้จะถูกขับไล่ก็ตาม
    อธิบายความ
    1.ปิโย เป็นที่รักเป็นที่พอใจ ในที่นี้หมายถึงมีลักษณะแห่งกัลยาณมิตร ๘ ประการ คือ (๑) มีศรัทธา คือ เชื่อการตรัสรู้ของพระตถาคต เชื่อกรรมและผลของกรรม (๒) มีศีล คือ เป็นที่รัก เป็นที่เคารพ เป็นที่นับถือของสัตว์ทั้งหลาย (๓) มีสุตะ คือ กล่าวถ้อยคำที่ลึกซึ้งที่สัมปยุตด้วยสัจจะและปฏิจจสมุปบาท (๔) มีจาคะ คือปรารถนาน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ (๕) มีความเพียร คือ ปรารภความเพียรในการปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ตนและเกื้อกูลแก่ผู้อื่น (๖) มีสติ คือ มีสติตั้งมั่น (๗) มีสมาธิ คือ มีจิตตั้งมั่นไม่ฟุ้งซ่าน(๘) มีปัญญา คือ รู้อย่างไม่วิปริต ใช้สติพิจารณาคติแห่งกุศลธรรมและอกุศลธรรม รู้สิ่งที่เกื้อกูลและสิ่งไม่เกื้อกูลแห่งสัตว์ทั้งหลายด้วยปัญญาตามความเป็นจริง มีจิตเป็นหนึ่งในอารมณ์นั้นด้วยสมาธิ เว้นสิ่งที่ไม่เกื้อกูล ประกอบสิ่งที่เกื้อกูลด้วยความเพียร (องฺ.สตฺตก.ฏีกา ๓/๓๗-๔๓/๒๐๓)
    2.ครุ เป็นที่เคารพ สูงส่งหนักแน่นดุจหินผา
    3.ภาวนีโย เป็นที่ยกย่อง น่าเจริญใจ
    4.วัตตา เป็นนักพูด(ผู้สอน) หมายถึงเป็นผู้ฉลาดในการใช้คำพูด (องฺ.สตฺตก.อ. ๓/๓๗/๑๗๙)
    5. วจนักขโม อดทนต่อถ้อยคำ หมายถึงปฏิบัติตามโอวาทที่ท่านให้แล้ว (องฺ.สตฺตก.อ. ๓/๓๗/๑๗๙)
    6. คัมภีรัญ จะ กถัง กัตตา ถ้อยคำลึกซึ้ง หมายถึงเรื่องเกี่ยวกับฌาน วิปัสสนา มรรค ผล และนิพพาน (องฺ.สตฺตก.อ. ๓/๓๗/๑๗๙)
    7. โน จัฏฐาเน นิโยชะโก ไม่ชักนำในอฐานะ หมายถึงป้องกันไม่ให้ทำในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล มีคติเป็นทุกข์ แต่ชักชวนให้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลมีคติเป็นสุข (เทียบ องฺ.สตฺตก.ฏีกา ๓/๓๗/๒๐๓)

    11. ไม่จำแนกแยกแยะ ให้ชัดเจน เหมาะรวม เช่น การสวดมนต์ เจริญพุทธมนต์ ปริตร การอธิษฐานจิตปลุกเสกพระเครื่องวัตถุมงคล กับเดรัจฉานวิชา เอามายำรวมกัน เป็นของที่ห้าม

    12.ไม่ให้บูชานับถือ สิ่งอื่นนอกเหนือจากพระรัตนตรัย หรือคำสอน บูชาเทวดา ยมยักษ์ ต่างๆ
    ในรายละเอียดเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าแสดงอานิสงส์ของการบูชาเจดีย์ ที่เป็นเหตุแห่งความเจริญไว้ ในมหาปรินิพพานสูตร ตอนราชอปริหานิยธรรม ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อที่ ๖ ว่า
    “อานนท์ เธอได้ยินไหมว่า ‘พวกเจ้าวัชชี สักการะ เคารพ นับถือ บูชา
    เจดีย์ในแคว้นวัชชีของชาววัชชี ทั้งในเมืองและนอกเมือง และไม่ละเลยการบูชาอันชอบธรรม ที่เคยให้เคยกระทำต่อเจดีย์เหล่านั้นให้เสื่อมสูญไป”
    “อานนท์ พวกเจ้าวัชชีพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสื่อมเลยตราบเท่าที่พวกเจ้าวัชชียังสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเจดีย์ในแคว้นวัชชีของชาววัชชีทั้งในเมืองและนอกเมือง และไม่ละเลยการบูชาอันชอบธรรมที่เคยให้เคยกระทำ ต่อเจดีย์เหล่านั้นให้เสื่อมสูญไป”
    (ที.มหา.10/134/78.)
    https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=10&siri=3
    คำว่า เจดีย์ ที่ชาววัชชีบูชา หมายถึง ต้นไม้ใหญ่ ที่มียักษ์สิงสถิตย์ ยักษ์เป็นเทวดาชั้นจาตุม ยกฺข ภาษาบาลีแปลว่า ผู้ที่เขาบูชา เมื่อบุคคลบูชาต้นไม้ใหญ่ หรือยักษ์ ย่อมมีความเจริญ ยักษ์คือเทวดาย่อมปกปักษ์รักษา สอดคล้องกับคำสอนเรื่อง เทวตานุสสติ ในพระพุทธศาสนา ไม่ขัดแย้งกัน
    ย่อมเป็นหลักการยืนยันว่า พระพุทธเจ้ายอมรับว่า มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังอำนาจอำนวยผลให้ผู้คนนับถือบูชา การบูชาเทวดา หรือต้นไม้ใหญ่ ก็มีผลนำความเจริญมาสู่ได้ เป็นหลักการย่อยในหลักการใหญ่ ที่ควรต้องรู้รอบและลึกชัดเจน จึงจะเข้าใจเรื่องนี้

    13. ไม่เข้าใจตัวบทพยัญชนะ ความหมายคำ
    ติรัจฉานวิชชา การสวดปริตร การใช้อิทธิปาฏิหาริย์ที่อนุญาต
    ติรจฺฉานวิชฺชา(อิต.) วิชาขวาง, วิชาขวาง ทางไปนิพพาน, ติรัจฉานวิชา คือความรู้ที่ไร้สาระ ความรู้ที่ไม่เป็นประโยชน์ วิชาที่ไม่ทำตนให้พ้นจากทุกข์ซึ่งพระพุทธเจ้า ทรงห้ามมิให้ภิกษุ - สามเณรศึกษา เช่น วิชาทำเสน่ห์ยาแฝดเป็นต้น.

    14. ไม่เข้าใจ แยกไม่ออกระหว่างการสวดปริตร กับการทำเดรัจฉานวิชา
    ทำให้ โจมตีพระที่สวดปริตร ทำน้ำมนต์ ปลุกเสก ในขณะที่เรื่องการทำวัตถุมงคล พุทธพานิชย์มีรายละเอียดหลายส่วน ต้องพิจารณาว่าพระสงฆ์รูปใดเข้าไปเกี่ยวข้องในลักษณะใดบ้าง ผิดพระวินัยข้อใด การสร้างพระพุทธรูป การสวดปริตร ปลุกเสก ไม่ได้ผิดหลักคำสอนทั้งในส่วนวินัยบัญญัติ หรือสัมมาอาชีวะแต่อย่างใด ส่วนการทำพานิชย์ที่เกี่ยวข้องเป็นหน้าที่ของฆราวาสดำเนินการด้วยมุ่งประโยชน์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาสร้างถาวรวัตถุ ก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ ไม่ใช่การหลอกลวงตามพระวินัย

    15. ไม่มีคารวธรรม คุณธรรม ศึกษาแบบลวกๆ ไม่เคารพในสิกขา การศึกษา ทำให้เข้าใจไม่ถูกต้อง นำสุ่การตีความธรรมวินัยผิด
    การศึกษาธรรมต้องมีความเคารพในสิกขา คือการศึกษาด้วยความเคารพ ข้อใดไม่เข้าใจก็ต้องไปสอบถาม กับอาจารย์ผู้รู้ จนเกิดความเข้าใจ การไม่แสวงหา ไม่ใฝ่หาผู้รู้มาสอบทานความรู้ที่ตนมีจึงเป็นการศึกษาโดยไม่เคารพในพระธรรม ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาในเรื่องความเข้าใจไม่ถูกต้อง และเป็นปัญหาชาวพุทธเมื่อนำไปเผยแผ่
    (มี ต่อ 16-18)

    อย่าร่วมกันสร้างบาปให้กับพระพุทธศาสนา คำสอนในพระไตรปิฎกมีความลึกซึ้ง ต้องศึกษาอย่างเคารพ ระมัดระวัง อย่างเป็นระบบ มีกระบวนการ และชาวพุทธควรยึดหลักการในพระไตรปิฎก ไม่สนับสนุนกลุ่มคนที่ทำลายคำสอนด้วยการสอนผิด
    บาป 18 ประการ คนตื่นธรรม กรณีคนตื่นธรรม สอนธรรมออนไลน์ในสื่อโซเชียล มีลักษณะการใช้คำพูดหยาบคาย ด้อยค่าด่ากราด ไม่ประนีประนอมเพื่อให้คนเข้าถึงธรรมะที่แท้จริง ตื่นรู้จากอวิชชา เดรัจฉานวิชา ปลุกเสก ได้สร้างบาป 18 ประการขึ้น คือในการสอนธรรม มีข้อผิดพลาดที่เป็นปัญหาควรต้องพิจารณาและปรับปรุง เพราะกระทบต่อภาพลักษณ์ของพุทธสาสนา และสร้างสัทธรรมปฏิรูปขึ้นแก่ชาวพุทธ เป็นบาปใหญ่หลวง 1. ใช้วจีทุจริต ไม่เป็นสัมมาวาจา ไม่เป็นวาจาสุภาษิต (ตามแนวทางมรรค ๘) มีการใช้คำพูดด่า ดูถูก กดข่มผู้ฟัง เช่น มึงมันโง่ ไอ้ปัญญาอ่อน มึงปัญญาอ่อนไง โดยกล่าวอ้างว่า ธรรมแท้ไม่มีประนีประนอม ในหลักของมรรคมีองค์ ๘ ครอบคลุมอยู่ในทุกเรื่องของการกระทำ จึงจะถือว่าเป็นการปฏิบัติตามคำสอนในพระพุทธศาสนา การสอนโดยใช้วาจาไม่เป็นสัมมาวาจานั้น เป็นวจีทุจริต เป็นบาป ผิดหลักมรรคมีองค์ ๘ 2. สอนขัดแย้งกันเอง ยกธรรมตีธรรม เพราะไม่รอบรู้ไม่เข้าใจหลักเหตุผล มักจะเอาธรรมข้อใดข้อหนึ่งยกขึ้นมา ตีธรรมะข้ออื่นในชุดธรรมเดียวกัน หรือชุดอื่น เพื่อสร้างภาพว่าตนรู้ทั่วถึงธรรมวินัยดี อันไหนธรรมแท้ ธรรมถูก เช่น การกล่าวว่าการรู้อดีต รู้อนาคต ไม่ได้ทำให้เข้าใจปัจจุบัน ไม่มีประโยชน์ ถือเป็นดูหมิ่นด้อยค่า คำสอน วิชชา 3 มี ปุพเพนิวาสนุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ โดยคำลักษณะนี้เป็นการบอกว่า ญาณ 2 อย่างข้างต้นไม่มีความสำคัญ ในขณะที่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกรู้อดีตชาติของพระพุทธเจ้า ได้เป็นการประจักษ์แจ้งการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ ทำให้รู้จุตูปปาตญาณ รู้ผลของการกระทำกรรม และนำสู่อาสวักขยญาณ ปัญญารู้ทำอาสวะกิเลสให้หมดสิ้นได้ และข้อธรรมอื่นก็คล้ายกัน ไม่รู้จักเหตุผล พุทธเจ้าแสดงธรรมเป็นชุดเหตุผล เป็นลำดับ 3. พุทธคุณไม่มีอยู่จริง นอกจากพระบริสุทธิคุณ ปัญญาคุณ มหากรุณาคุณ ความจริงคุณของพระพุทธเจ้ามีหลายประการ ทั้งนวหรคุณ 9 อย่าง อะระหํ(เป็นพระอรหันต์) สัมมาสัมพุทโธ(ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง) วิชชาจรณสัมปันโน (เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ) เป็นต้น พุทธานุภาพที่เกิดจากอานุภาพบารมีที่สั่งสมแสดงออกอำนวยผล ในหลายลักษณะ ให้เกิดความสวัสดีแก่ผู้นับถือบูชา เช่น การปกป้องคุ้มครองพระภิกษุที่ไปปฏิบัติอยู่ในสถานที่ห่างไกล มักจะปูลาดอาสนะไว้ เมื่อมีภัย หรือเกิดอกุศลวิตก หวาดกลัว เพียงระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระองค์จะเสด็จมาปลอบ สอนธรรม ทำให้พระภิกษุไม่หวาดกลัวที่จะเดินทางไปอยู่ในที่ไกลๆ เพราะพลังแห่งพุทธะคุ้มครอง แม้ในยุคปัจจุบันพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ก็ยังมีพลังพุทธคุณหรือพุทธานุภาพปกป้องคุ้มครองชาวพุทธอยู่ ความเชื่อเหล่านี้จะมีผลได้ต้องปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงธรรมระดับหนึ่งจึงจะสามารถพิสูจน์ได้ การเห็นสุดโต่งปฏิเสธความมีอยู่แห่งพุทธานุภาพจึงเป็นความเห็นผิด อันร้ายแรงอย่างหนึ่ง 4.พระเครื่องไม่มีพุทธคุณ เป็นความเห็นผิด พุทธเจ้าประทานบทพระปริตรหลายวาระหลายบท เพื่อป้องกัน เพื่อรักษา ไม่เบียดเบียน อยู่สำราญ ของพระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พุทธานุภาพหรือเขตอำนาจแห่งพุทธเจ้าแผ่ไปใน 3 เรื่อง คือ 1)ชาติเขต แผ่ไปในหมื่นจักรวาล 2)อาณาเขต คือ พุทธมนต์ หรือปริตร แผ่ไปในแสนโกฏิจักรวาล 3)วิสัยเขต แผ่ไปไม่มีขอบเขต พุทธคุณหรือพุทธานุภาพ เกิดจากการสวดสาธยายมนต์ มีอำนาจแผ่ไปในแสนโกฏิจักรวาล ช่วยขจัดปัดเป่าอุปัทวันตราย โรคภัย เสนียดจัญไรต่างๆ ได้ มีการสืบทอดคำสอนมาช้านาน ดังข้อความว่า "ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเรียนมนต์เครื่องรักษาชื่ออาฏานาฏิยะจงเล่าเรียนมนต์เครื่องรักษาชื่ออาฏานาฏิยะ จงทรงจำมนต์เครื่องรักษาชื่ออาฏานาฏิยะไว้ ภิกษุทั้งหลาย มนต์เครื่องรักษาชื่ออาฏานาฏิยะนี้ ประกอบด้วยประโยชน์ เพื่อคุ้มครอง เพื่อรักษา เพื่อไม่เบียดเบียน เพื่ออยู่สำราญของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย” ข้อความนี้แสดงให้เห็นว่า บทปริตร หรือบทพุทธมนต์ มีพลังอำนาจ คุ้มครองป้องกันรักษา พระพุทธเจ้าจึงให้สวดสาธยาย และเมื่อนำมาใช้ในการสร้างพระพุทธรูป พระเครื่องต่างๆ ย่อมมีคุณตามที่พระพุทธเจ้าตรัส คำพูดปฏิเสธพุทธคุณ พุทธรูป สิ่งเคารพทางศาสนา ที่สืบทอดคติความเชื่อจารีตมาช้านานนับพันปี จึงเป็นการบ่อนทำลายความศรัทธาที่มีต่อ พระพุทธเจ้า สิ่งแทนพุทธเจ้า หรือคำสอนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ไม่ให้ผู้คนมีศรัทธา โดยยกคำสอนเรื่องอริยสัจ มาด้อยค่าคำสอนว่าด้วยเรื่องศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า จึงเป็นการทำลายศาสนา ไปพร้อมกัน อนาคตเด็กยุคใหม่เสพคำสอนนี้ จะไม่นับถือไม่ไหว้พระพุทธเจ้าและไม่เห็นความสำคัญ คุณค่าของพุทธรูปที่สร้างไว้ในฐานะเครื่องยึดเหนี่ยวที่เป็นรูปธรรมนำสุ่พุทธเจ้า รวมทั้งไม่เชื่อในพระพุทธเจ้า 5. มิจฉาทิฐิ 10 สอนการบูชาที่ไร้ผล สายลัทธิวัดนา สอนไม่ให้กราบไหว้บูชาพระพุทธรูป องค์แทนพุทธเจ้าสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงพุทธเจ้า เป็นจารีตนิยมที่ถือมาช้านาน เชื่อมโยงคำสอนในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ ปีตวิมานวัตถุ “ติฏฺฐนฺเต นิพฺพุเต จาปิ, สเม จิตฺเต สมํ ผลํ; เจโตปณิธิเหตุ หิ, สตฺตา คจฺฉนฺติ สุคฺคตึ. "พระพุทธเจ้า จะทรงพระชนม์อยู่ หรือแม้จะนิพพานไปแล้วก็ตาม ถ้าจิตเสมอกัน ผลก็เสมอกัน สัตว์ทั้งหลายไปสู่สวรรค์ เพราะความเลื่อมใสตั้งมั่นแห่งจิตใจ การสอนไม่ให้ไหว้พุทธรูป นับเป็นมิจฉาทิฐิ ข้อที่ ๒ นัตถิ ยิตถัง และข้อที่ ๑๐ พระพุทธเจ้าไม่มีอยู่จริง ในชุดคำสอน มิจฉาทิฐิ ๑๐ ประการ เป็นการสร้างบาปทำลายคำสอน ความศรัทธาที่ชาวพุทธมีต่อพระพุทธเจ้า โดยอ้างว่าให้ยึดคำสอนสูงสุด อริยสัจสี่ เพื่อพ้นทุกข์ 6. คุณไสย ไสยเวทย์ ไม่มี. การปฏิเสธคำสอน ในเรื่องคุณไสย์ วิชาอาคม มนต์ มีพลังอำนาจอยู่จริง หรือไม่ เมื่อไม่สามารถหาคำตอบหรือพิสูจน์ได้ ก็ควรพิจารณาจากหลักฐานในพระไตรปิฎก มีที่ใดบ้าง ข้อความพุทธพจน์วินัยบัญญัติ ดังเรื่องต่อไปนี้ ๑) พระภิกษุถูกผีสิง อมนุษย์สิง กินเลือดสด เนื้อสด ทรงอนุญาตให้พระภิกษุฉันเลือดและเนื้อสดได้ เพื่อเป็นเภสัช เมื่อฉันแล้วอมนุษย์จะออกไป แสดงให้เห็นว่าบทบัญญัติทางพระวินัย พระพุทธเจ้ายอมรับว่ามีผีหรืออมนุษย์สามารถสิงสู่คนได้ พระภิกษุถูกอมนุษย์สิงได้ และวิธีการรักษา ในครั้งนั้นตามอาการ คือเมื่ออมนุษย์มาสิงเพื่อกินเนื้อสด เลือดสด(ปอบ) ก็อนุญาตให้พระภิกษุกินได้ และไม่ถือว่าต้องอาบัติอะไร เพราะคนที่กิน ไม่ใช่พระ แต่เป็นอมนุษย์ หลักฐานนี้ยอมรับการมีอยู่ การสิงร่างคน ของอมนุษย์ เป็นความรู้ที่ควรต้องมี ไม่ปฏิเสธว่า ผี อมนุษย์ ไม่มี ไสยเวทย์ ไม่มี เรื่องเนื้อดิบและเลือดสด "อมนุษย์เคี้ยวกินเนื้อดิบและดื่มเลือดสด เพราะเหตุนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าไม่ได้เคี้ยวกินเนื้อดิบและดื่มเลือดสดนั้น. อมนุษย์ ครั้นเคี้ยวกินและดื่มแล้วได้ออกไป เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า อาพาธเกิดแต่อมนุษย์นั้นของเธอย่อมระงับ." วินัยปิฎก มหาวรรค ๕/๒๖๔๔๙. https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=5&siri=8 ๒) เรื่องภิกษุโดนยาแฝดดื่มน้ำที่ละลายจากดินติดผาลไถ สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธโดนยาแฝด ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบพระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ดื่มน้ำที่เขาละลายดิน รอยไถติดผาล” (วินัยปิฎกมหาวรรค. ๕/๒๖๙/๖๑.) วิธีการรักษาโรคต่างๆ มีปรากฏอยู่ในตุวฏกสุตตนิทเทสขุททกนิกาย มหานิเทศ ได้กล่าวถึงวิธีการบำบัดโรคไว้ 5 อย่างด้วยกัน คือ (๑) การบำบัดด้วยการเสกเป่า (๒) การบำบัดด้วย (๓) การผ่าตัด (๔) การบำบัดด้วยยา (๕) การรักษาที่เกี่ยวข้องกับทางภูตผีหรือไสยศาสตร์ และการบำบัดโรคเด็ก (กุมารเวช) 7.ปฏิเสธการสวดมนต์ สาธยายมนต์ พระปริตร ว่าไม่มีคุณค่า ไม่ได้ช่วยอะไร เป็นการปฏิเสธคำของพระพุทธเจ้า ที่อนุญาตให้พุทธบริษัท ๔ เรียน และสวดสาธยายปริตร ดังข้อความว่า "ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเรียนมนต์เครื่องรักษาชื่ออาฏานาฏิยะจงเล่าเรียนมนต์เครื่องรักษาชื่ออาฏานาฏิยะ จงทรงจำมนต์เครื่องรักษาชื่ออาฏานาฏิยะไว้ ภิกษุทั้งหลาย มนต์เครื่องรักษาชื่ออาฏานาฏิยะนี้ ประกอบด้วยประโยชน์เพื่อคุ้มครอง เพื่อรักษา เพื่อไม่เบียดเบียน เพื่ออยู่สำราญของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย” (ที.มหา. ๑๑/๒๙๕/๒๖๔.) 8. เรียนไม่ถึง ตีความเอง ไม่ศึกษาเครื่องมือการศึกษาพระไตรปิฎก คือไวยากรณ์ภาษาบาลี คนตื่นธรรมเป็นศิษย์สำนักวัดนาจึงใช้ทิฏฐิของตน อัตโนมัติ ตัดสินธรรมตามชอบใจ ซึ่งเป็นหลักสำคัญที่สำนักนี้ใช้การตีความแบบนี้มาช้านาน โดยใช้หลักการยึดเอาพระไตรปิฎกเฉพาะบางส่วน ที่เห็นว่าเป็นคำพุทธวจนะแท้ จากพระโอษฐ์ โดยใช้ตรรกะง่ายๆ หาข้อความในพระสูตรที่มีคำว่า "ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย" เป็นต้น จึงจะเชื่อว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ส่วนคำสอนอื่นที่ไม่มีข้อความตรัสแบบนี้ จะตีความว่าไม่ใช่คำสอน เป็นคำแต่งเติม แต่งใหม่จึงมีส่วนคำสอนที่ถูกสำนักนี้ตัดออกไป เช่น เรื่องสวดปริตร หรือสิกบท 150 ข้อ การตัดสินความเป็นพุทธพจน์แท้ แบบนี้นับเป็นการตีความผิดพลาดอย่างมาก ได้สร้างบาปใหญ่ให้เกิดในสังฆมณฑลมา 20 กว่าปี ศิษย์สำนักนี้เผยแผ่ธรรม ตามการตีความแบบนี้จึงได้เกิด วิวาทะ ปะทะกับชาวพุทธส่วนใหญ่ ถกเถียงกันเรื่อง เดรัจฉานวิชา การทำน้ำมนต์ ปลุกเสก สิกขาบทวินัย ทำให้เกิดความแตกแยก ไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาแก้ปัญหา ยังคงเป็นปัญหาจนทุกวันนี้ คนตื่นธรรมถือเป็นผลผลิตของวัดนาที่ได้สร้างบาปให้แก่พุทธสาสนา ด้วยการศึกษาเอง ตีความเอง ข่มชาวพุทธ 9.ศึกษาธรรมวินัยเอง ไม่มีครูอาจารย์ผู้สอน ทำให้ตีความธรรมวินัยผิดพลาด ขัดแย้งกับคำสอนหลายเรื่อง เป็นมิจฉาทิฐิ ในการเล่าเรียนธรรมพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติวิธีการศึกษาพระธรรมวินัยไว้ในสัทธิวิหาริกวัตรว่า “อุปชฺฌาเยน, ภิกฺขเว, สทฺธิวิหาริโก สงฺคเหตพฺโพ อนุคฺคเหตพฺโพ อุทฺเทเสน ปริปุจฺฉาย โอวาเทน อนุสาสนิยา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุปัชฌาย์ ต้องสงเคราะห์ อนุเคราะห์ สัทธิวิหาริก(พระลูกศิษย์) ด้วยอุทเทส(พระบาลี) ปริปุจฉา(การทวนสอบอรรถกถา) โอวาท และอนุสาสนีย์ วินัยปิฎก มหาวรรค.๔/๖๗/๘๘ https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=4&siri=20 หลักการนี้ย้ำชัดว่า ในการศึกษาคำสอน ต้องทำอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ ที่รอบรู้ในพระธรรมวินัย ไม่สามารถศึกษาเองได้ คนตื่นธรรมหรือสำนักวัดนา ใช้วิธีการอ่านศึกษาธรรมเอง จึงได้เกิดความเห็นผิดขึ้นหลายประการ เรื่องการตีความคำสอนผิดพลาด 10.ขาดคุณสมบัติของผู้สอนธรรม ๗ ประการ ที่จำเป็นของผู้สอนธรรม ตามพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ในอังคุตรนิกาย สัตตกนิบาตว่า “ปิโย ครุ ภาวนีโย, วตฺตา จ วจนกฺขโม; คมฺภีรญฺจ กถํ กตฺตา, โน จฏฺาเน นิโยชโก . ๑. เป็นที่รักเป็นที่พอใจ ๒. เป็นที่เคารพ ๓. เป็นที่ยกย่อง ๔. เป็นนักพูด ๕. เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ ๖. เป็นผู้พูดถ้อยคำลึกซึ้งได้ ๗. ไม่ชักนำในอฐานะ ภิกษุทั้งหลาย มิตรประกอบด้วยองค์ ๗ ประการนี้แล เป็นผู้ควรเสพ ควรคบ ควรเข้าไปนั่งใกล้ แม้จะถูกขับไล่ก็ตาม อธิบายความ 1.ปิโย เป็นที่รักเป็นที่พอใจ ในที่นี้หมายถึงมีลักษณะแห่งกัลยาณมิตร ๘ ประการ คือ (๑) มีศรัทธา คือ เชื่อการตรัสรู้ของพระตถาคต เชื่อกรรมและผลของกรรม (๒) มีศีล คือ เป็นที่รัก เป็นที่เคารพ เป็นที่นับถือของสัตว์ทั้งหลาย (๓) มีสุตะ คือ กล่าวถ้อยคำที่ลึกซึ้งที่สัมปยุตด้วยสัจจะและปฏิจจสมุปบาท (๔) มีจาคะ คือปรารถนาน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ (๕) มีความเพียร คือ ปรารภความเพียรในการปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ตนและเกื้อกูลแก่ผู้อื่น (๖) มีสติ คือ มีสติตั้งมั่น (๗) มีสมาธิ คือ มีจิตตั้งมั่นไม่ฟุ้งซ่าน(๘) มีปัญญา คือ รู้อย่างไม่วิปริต ใช้สติพิจารณาคติแห่งกุศลธรรมและอกุศลธรรม รู้สิ่งที่เกื้อกูลและสิ่งไม่เกื้อกูลแห่งสัตว์ทั้งหลายด้วยปัญญาตามความเป็นจริง มีจิตเป็นหนึ่งในอารมณ์นั้นด้วยสมาธิ เว้นสิ่งที่ไม่เกื้อกูล ประกอบสิ่งที่เกื้อกูลด้วยความเพียร (องฺ.สตฺตก.ฏีกา ๓/๓๗-๔๓/๒๐๓) 2.ครุ เป็นที่เคารพ สูงส่งหนักแน่นดุจหินผา 3.ภาวนีโย เป็นที่ยกย่อง น่าเจริญใจ 4.วัตตา เป็นนักพูด(ผู้สอน) หมายถึงเป็นผู้ฉลาดในการใช้คำพูด (องฺ.สตฺตก.อ. ๓/๓๗/๑๗๙) 5. วจนักขโม อดทนต่อถ้อยคำ หมายถึงปฏิบัติตามโอวาทที่ท่านให้แล้ว (องฺ.สตฺตก.อ. ๓/๓๗/๑๗๙) 6. คัมภีรัญ จะ กถัง กัตตา ถ้อยคำลึกซึ้ง หมายถึงเรื่องเกี่ยวกับฌาน วิปัสสนา มรรค ผล และนิพพาน (องฺ.สตฺตก.อ. ๓/๓๗/๑๗๙) 7. โน จัฏฐาเน นิโยชะโก ไม่ชักนำในอฐานะ หมายถึงป้องกันไม่ให้ทำในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล มีคติเป็นทุกข์ แต่ชักชวนให้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลมีคติเป็นสุข (เทียบ องฺ.สตฺตก.ฏีกา ๓/๓๗/๒๐๓) 11. ไม่จำแนกแยกแยะ ให้ชัดเจน เหมาะรวม เช่น การสวดมนต์ เจริญพุทธมนต์ ปริตร การอธิษฐานจิตปลุกเสกพระเครื่องวัตถุมงคล กับเดรัจฉานวิชา เอามายำรวมกัน เป็นของที่ห้าม 12.ไม่ให้บูชานับถือ สิ่งอื่นนอกเหนือจากพระรัตนตรัย หรือคำสอน บูชาเทวดา ยมยักษ์ ต่างๆ ในรายละเอียดเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าแสดงอานิสงส์ของการบูชาเจดีย์ ที่เป็นเหตุแห่งความเจริญไว้ ในมหาปรินิพพานสูตร ตอนราชอปริหานิยธรรม ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อที่ ๖ ว่า “อานนท์ เธอได้ยินไหมว่า ‘พวกเจ้าวัชชี สักการะ เคารพ นับถือ บูชา เจดีย์ในแคว้นวัชชีของชาววัชชี ทั้งในเมืองและนอกเมือง และไม่ละเลยการบูชาอันชอบธรรม ที่เคยให้เคยกระทำต่อเจดีย์เหล่านั้นให้เสื่อมสูญไป” “อานนท์ พวกเจ้าวัชชีพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสื่อมเลยตราบเท่าที่พวกเจ้าวัชชียังสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเจดีย์ในแคว้นวัชชีของชาววัชชีทั้งในเมืองและนอกเมือง และไม่ละเลยการบูชาอันชอบธรรมที่เคยให้เคยกระทำ ต่อเจดีย์เหล่านั้นให้เสื่อมสูญไป” (ที.มหา.10/134/78.) https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=10&siri=3 คำว่า เจดีย์ ที่ชาววัชชีบูชา หมายถึง ต้นไม้ใหญ่ ที่มียักษ์สิงสถิตย์ ยักษ์เป็นเทวดาชั้นจาตุม ยกฺข ภาษาบาลีแปลว่า ผู้ที่เขาบูชา เมื่อบุคคลบูชาต้นไม้ใหญ่ หรือยักษ์ ย่อมมีความเจริญ ยักษ์คือเทวดาย่อมปกปักษ์รักษา สอดคล้องกับคำสอนเรื่อง เทวตานุสสติ ในพระพุทธศาสนา ไม่ขัดแย้งกัน ย่อมเป็นหลักการยืนยันว่า พระพุทธเจ้ายอมรับว่า มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังอำนาจอำนวยผลให้ผู้คนนับถือบูชา การบูชาเทวดา หรือต้นไม้ใหญ่ ก็มีผลนำความเจริญมาสู่ได้ เป็นหลักการย่อยในหลักการใหญ่ ที่ควรต้องรู้รอบและลึกชัดเจน จึงจะเข้าใจเรื่องนี้ 13. ไม่เข้าใจตัวบทพยัญชนะ ความหมายคำ ติรัจฉานวิชชา การสวดปริตร การใช้อิทธิปาฏิหาริย์ที่อนุญาต ติรจฺฉานวิชฺชา(อิต.) วิชาขวาง, วิชาขวาง ทางไปนิพพาน, ติรัจฉานวิชา คือความรู้ที่ไร้สาระ ความรู้ที่ไม่เป็นประโยชน์ วิชาที่ไม่ทำตนให้พ้นจากทุกข์ซึ่งพระพุทธเจ้า ทรงห้ามมิให้ภิกษุ - สามเณรศึกษา เช่น วิชาทำเสน่ห์ยาแฝดเป็นต้น. 14. ไม่เข้าใจ แยกไม่ออกระหว่างการสวดปริตร กับการทำเดรัจฉานวิชา ทำให้ โจมตีพระที่สวดปริตร ทำน้ำมนต์ ปลุกเสก ในขณะที่เรื่องการทำวัตถุมงคล พุทธพานิชย์มีรายละเอียดหลายส่วน ต้องพิจารณาว่าพระสงฆ์รูปใดเข้าไปเกี่ยวข้องในลักษณะใดบ้าง ผิดพระวินัยข้อใด การสร้างพระพุทธรูป การสวดปริตร ปลุกเสก ไม่ได้ผิดหลักคำสอนทั้งในส่วนวินัยบัญญัติ หรือสัมมาอาชีวะแต่อย่างใด ส่วนการทำพานิชย์ที่เกี่ยวข้องเป็นหน้าที่ของฆราวาสดำเนินการด้วยมุ่งประโยชน์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาสร้างถาวรวัตถุ ก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ ไม่ใช่การหลอกลวงตามพระวินัย 15. ไม่มีคารวธรรม คุณธรรม ศึกษาแบบลวกๆ ไม่เคารพในสิกขา การศึกษา ทำให้เข้าใจไม่ถูกต้อง นำสุ่การตีความธรรมวินัยผิด การศึกษาธรรมต้องมีความเคารพในสิกขา คือการศึกษาด้วยความเคารพ ข้อใดไม่เข้าใจก็ต้องไปสอบถาม กับอาจารย์ผู้รู้ จนเกิดความเข้าใจ การไม่แสวงหา ไม่ใฝ่หาผู้รู้มาสอบทานความรู้ที่ตนมีจึงเป็นการศึกษาโดยไม่เคารพในพระธรรม ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาในเรื่องความเข้าใจไม่ถูกต้อง และเป็นปัญหาชาวพุทธเมื่อนำไปเผยแผ่ (มี ต่อ 16-18) อย่าร่วมกันสร้างบาปให้กับพระพุทธศาสนา คำสอนในพระไตรปิฎกมีความลึกซึ้ง ต้องศึกษาอย่างเคารพ ระมัดระวัง อย่างเป็นระบบ มีกระบวนการ และชาวพุทธควรยึดหลักการในพระไตรปิฎก ไม่สนับสนุนกลุ่มคนที่ทำลายคำสอนด้วยการสอนผิด
    0 Comments 0 Shares 179 Views 0 Reviews
  • ## Fake News ข่าวปั่นจาก พลพรรคสีส้มอีกแล้ว... ##
    ..
    ..
    ไม่หยุดไม่หย่อนจริงๆ สำหรับ พลพรรคสีส้ม ด้อมส้ม หรือ คอนด้อมส้ม แล้วแต่จะเรียก...
    .
    ย่อสุดกำลังคือ...
    .
    มีคนไปปั่นว่า น้องไปทำงาน ไม่ผ่านโปร เหตุเพราะ ชอบใส่เสื้อสีส้ม เป็นด้อมส้ม และ ชอบพูดภาษาอีสาน
    .
    คือ จะปั่นว่า พวกที่รัก สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นพวกไร้เหตุผล เป็นพวกคลั่งแบบไม่ลืมหูลืมตา
    .
    โดยพล็อตนี้วางให้ HR เป็นพวกคลั่งเจ้า จนใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือ ทำเรื่องกดขี่ข่มเหง "คนตัวเล็กๆ" แต่คิดต่าง ซึ่งเป็น "ด้อมส้มผู้ใสซื่อตาดำๆ"
    .
    โดย คนที่รับสมอ้างเป็น HR นี้ ยังแอ๊บแอ้ ไปโพสตามกลุ่มต่างๆ ว่าตนรักสถาบันพระมหากษัตริย์
    .
    แต่ พยายามไปปั่น ให้คนรังเกียจพฤติกรรม แย่ๆของตัวเอง ที่ "เสแสร้งว่ารัก สถาบันพระมหากษัตริย์"
    .
    จนคนที่พบเห็น พลอยรู้สึกไม่ดีกับ กลุ่มคนที่รักสถาบันพระมหากษัตริย์ ไปด้วย
    .
    อันนี้คือ เจตนาชัดมาก "เซาะกร่อนบ่อนทำลาย ความศรัทธา ของ ประชาชน ที่มีต่อ สถาบันพระมหากษัตริย์"
    .
    มีสื่อในโซเชียลมีเดีย หรือ เพจต่างๆ เอาไปเล่นกันหนักมากในช่วงก่อนหน้านี้ด้วย
    .
    ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นเครือข่าย ของพลพรรคสีส้ม ที่คอยยุยงปลุกปั่นหรือไม่
    .
    แต่ มักจะมีความเคลื่อนไหว ในโซเชียลมีเดีย ในทิศทางเดียวกัน บางทีก็ ข้อความเดียวกัน เช่นนี้เป็นระยะ
    ..
    ..
    ที่มา เพจเฟสบุ๊ค "วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร"
    ## Fake News ข่าวปั่นจาก พลพรรคสีส้มอีกแล้ว... ## .. .. ไม่หยุดไม่หย่อนจริงๆ สำหรับ พลพรรคสีส้ม ด้อมส้ม หรือ คอนด้อมส้ม แล้วแต่จะเรียก... . ย่อสุดกำลังคือ... . มีคนไปปั่นว่า น้องไปทำงาน ไม่ผ่านโปร เหตุเพราะ ชอบใส่เสื้อสีส้ม เป็นด้อมส้ม และ ชอบพูดภาษาอีสาน . คือ จะปั่นว่า พวกที่รัก สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นพวกไร้เหตุผล เป็นพวกคลั่งแบบไม่ลืมหูลืมตา . โดยพล็อตนี้วางให้ HR เป็นพวกคลั่งเจ้า จนใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือ ทำเรื่องกดขี่ข่มเหง "คนตัวเล็กๆ" แต่คิดต่าง ซึ่งเป็น "ด้อมส้มผู้ใสซื่อตาดำๆ" . โดย คนที่รับสมอ้างเป็น HR นี้ ยังแอ๊บแอ้ ไปโพสตามกลุ่มต่างๆ ว่าตนรักสถาบันพระมหากษัตริย์ . แต่ พยายามไปปั่น ให้คนรังเกียจพฤติกรรม แย่ๆของตัวเอง ที่ "เสแสร้งว่ารัก สถาบันพระมหากษัตริย์" . จนคนที่พบเห็น พลอยรู้สึกไม่ดีกับ กลุ่มคนที่รักสถาบันพระมหากษัตริย์ ไปด้วย . อันนี้คือ เจตนาชัดมาก "เซาะกร่อนบ่อนทำลาย ความศรัทธา ของ ประชาชน ที่มีต่อ สถาบันพระมหากษัตริย์" . มีสื่อในโซเชียลมีเดีย หรือ เพจต่างๆ เอาไปเล่นกันหนักมากในช่วงก่อนหน้านี้ด้วย . ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นเครือข่าย ของพลพรรคสีส้ม ที่คอยยุยงปลุกปั่นหรือไม่ . แต่ มักจะมีความเคลื่อนไหว ในโซเชียลมีเดีย ในทิศทางเดียวกัน บางทีก็ ข้อความเดียวกัน เช่นนี้เป็นระยะ .. .. ที่มา เพจเฟสบุ๊ค "วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร"
    0 Comments 0 Shares 75 Views 0 Reviews
  • #จับอาการทักษิณกับข่าวลือยุบพรรค
    เป็นที่น่าจับตาการอาการแปลกๆ หลังจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
    ตั้งแต่บุตรสาวอดีตนช.ทักษิณ ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย
    ทักษิณ แสดงอาการไม่กลัวใคร ตัดสัมพันธ์วงษ์สุวรรณ และการรวมเสียงพรรคร่วมตั้งรัฐบาลได้ผ่านฉลุย รวมถึงการแสดงความเก๋า แก้เกมส์การเมืองจนลุงป้อมไปไม่เป็น สร้างสถานการณ์จนทำให้เสี่ยแป้งต้องตัดลุงอย่างไม่ใยดี
    -แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวลือสะพัด กับการหายหน้าไปจากพื้นที่สื่อของทักษิณ ไปไกลกระทั่งลือว่าทักษิณหลบไปเป็นคนต่างด้าว ณ ต่างแดน แต่ก็มีการสยบข่าวลือ ด้วยการเข้าพบของเสี่ยหนู และเนวิน จนเปิดวาทะกรรม ไม่เคยพูดคำว่า "จบแล้วครับนาย" โดยอนุทินยังเน้นหน้าลอยๆให้สัมภาษณ์ว่า ลูกน้องจะไปพูดแบบนี้กับเจ้านายตัวเองได้อย่างไร แต่ถึงแม้กระนั้นก็ยังไม่เห็นเงาทักษิณออกมาให้เห็นหน้าซึ่งผิดปกติวิสัยอย่างยิ่งสำหรับคนชื่อทักษิณชินวัตร
    -มีข่าวที่ไม่ใช่ข่าวลือชุดต่อมา ว่าทักษิณ ได้ทำการขอนุญาตออกนอกประเทศ 2 วาระ ที่แรกคือ ประเทศอินโดยนีเซีย และวาระที่สองคือสหรัฐ ซึ่งวงการข่าวสารก็จะรับรู้ว่า การขอออกนอกประเทศของทักษิณ ส่วนใหญ่ จะมาพร้อมกับข่าววงใน ที่พบว่ามีความเสี่ยง มีความไม่แน่นอน ที่ควรจะออกไปตั้งหลักนอกประเทศก่อน
    -จึงเกิดคำถามว่า เหตุปัจจัยใดที่จะทำให้ทักษิณ ต้องหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในเกมส์นี้ได้บ้าง ก็พบว่า
    1. กรณี ป๋วยทิพย์ จากชั้น 14 มาถึงการแสดงออกถึงร่างกายที่แข็งแรงดุจพญาช้างสาร โดยไม่แคร์ผู้รับรอง ตั้งแต่ราชทัณฑ์ รพ.ตร. แพทย์ และทุกคนในกระบวนการที่ช่วยให้ทักษิณ ไม่ต้องเดินเข้าประตูตารางแม้แต่นาทีเดียว และยังเฉิดฉายแสดงบารมีอย่างไม่หวั่นเกรงสายตาของคนที่เคยต่อสู้กับระบอบทักษิณในอดีต
    2. กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ กับแผ่นดินธรณีสงฆ์ ที่แม้มีการให้สัมภาษณ์จากนักกฏหมายหลายคนจะออกมาในแนวทางที่ว่า เรื่องนี้ไม่สร้างผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลแน่นอนก็ตาม และผู้ร้องก็ถูกด้อยค่าต่างๆนาๆก็ตาม แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการ กลไกการทำงานเพื่อแสวงหาความจริงกลับพบปัจจัยที่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะเข้าสู่การพิจารณา
    3. กรณีบ้านจันทร์ส่องหล้า กับการเอ่ยถึงคลิปเสียง หรือคลิปภาพ ที่เห็นการบัญชาการของทักษิณ ที่มีต่อพรรคร่วม รวมถึงการใช้อำนาจในการสั่งการพรรคร่วม ไปทำสัญญาใจในการสนับสนุนบุตรสาวให้ได้ตำรงค์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่เข้าข่ายการครอบงำพรรคการเมือง แต่ภาพข่าวที่ออกมาก็ยังค้านสายตาประชาชนทั้งประเทศ และตัวนายทักษิณ ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์เย้ยอีกว่า ไม่ได้ครอบงำ แต่ตนเองครอบครอง เพราะเป็นบิดาของนายกรัฐมนตรี ซ้ำยังมีการแต่งตั้ง ผู้มีพระคุณต่อทักษิณ ได้เข้ามาดำรงค์ตำแหน่งสำคัญอย่างมากมาย โดยล่าสุด คือตำแหน่งที่ปรึกษานายก ที่มีจำนวนมากเท่ากับทีมฟุตซอล อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งหมดล้วนมีประวัติศาสตร์ในการรับใช้นายใหญ่ ที่ชื่อทักษิณทั้งสิ้น
    คิงส์โพธิ์ดำ จึงนำข้อมูลต่างๆมานำเสนอไว้ เพื่อหากเกิดเหตุทักษิณหายตัวไปจริงๆวันใด จะได้ทราบที่มาที่ไป ว่ามีอาการใดที่ผิดสังเกตุ กับข่าวความเคลื่อนไหวของทักษิณ ณ วันนี้
    #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    #จับอาการทักษิณกับข่าวลือยุบพรรค เป็นที่น่าจับตาการอาการแปลกๆ หลังจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่บุตรสาวอดีตนช.ทักษิณ ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย ทักษิณ แสดงอาการไม่กลัวใคร ตัดสัมพันธ์วงษ์สุวรรณ และการรวมเสียงพรรคร่วมตั้งรัฐบาลได้ผ่านฉลุย รวมถึงการแสดงความเก๋า แก้เกมส์การเมืองจนลุงป้อมไปไม่เป็น สร้างสถานการณ์จนทำให้เสี่ยแป้งต้องตัดลุงอย่างไม่ใยดี -แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวลือสะพัด กับการหายหน้าไปจากพื้นที่สื่อของทักษิณ ไปไกลกระทั่งลือว่าทักษิณหลบไปเป็นคนต่างด้าว ณ ต่างแดน แต่ก็มีการสยบข่าวลือ ด้วยการเข้าพบของเสี่ยหนู และเนวิน จนเปิดวาทะกรรม ไม่เคยพูดคำว่า "จบแล้วครับนาย" โดยอนุทินยังเน้นหน้าลอยๆให้สัมภาษณ์ว่า ลูกน้องจะไปพูดแบบนี้กับเจ้านายตัวเองได้อย่างไร แต่ถึงแม้กระนั้นก็ยังไม่เห็นเงาทักษิณออกมาให้เห็นหน้าซึ่งผิดปกติวิสัยอย่างยิ่งสำหรับคนชื่อทักษิณชินวัตร -มีข่าวที่ไม่ใช่ข่าวลือชุดต่อมา ว่าทักษิณ ได้ทำการขอนุญาตออกนอกประเทศ 2 วาระ ที่แรกคือ ประเทศอินโดยนีเซีย และวาระที่สองคือสหรัฐ ซึ่งวงการข่าวสารก็จะรับรู้ว่า การขอออกนอกประเทศของทักษิณ ส่วนใหญ่ จะมาพร้อมกับข่าววงใน ที่พบว่ามีความเสี่ยง มีความไม่แน่นอน ที่ควรจะออกไปตั้งหลักนอกประเทศก่อน -จึงเกิดคำถามว่า เหตุปัจจัยใดที่จะทำให้ทักษิณ ต้องหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในเกมส์นี้ได้บ้าง ก็พบว่า 1. กรณี ป๋วยทิพย์ จากชั้น 14 มาถึงการแสดงออกถึงร่างกายที่แข็งแรงดุจพญาช้างสาร โดยไม่แคร์ผู้รับรอง ตั้งแต่ราชทัณฑ์ รพ.ตร. แพทย์ และทุกคนในกระบวนการที่ช่วยให้ทักษิณ ไม่ต้องเดินเข้าประตูตารางแม้แต่นาทีเดียว และยังเฉิดฉายแสดงบารมีอย่างไม่หวั่นเกรงสายตาของคนที่เคยต่อสู้กับระบอบทักษิณในอดีต 2. กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ กับแผ่นดินธรณีสงฆ์ ที่แม้มีการให้สัมภาษณ์จากนักกฏหมายหลายคนจะออกมาในแนวทางที่ว่า เรื่องนี้ไม่สร้างผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลแน่นอนก็ตาม และผู้ร้องก็ถูกด้อยค่าต่างๆนาๆก็ตาม แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการ กลไกการทำงานเพื่อแสวงหาความจริงกลับพบปัจจัยที่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะเข้าสู่การพิจารณา 3. กรณีบ้านจันทร์ส่องหล้า กับการเอ่ยถึงคลิปเสียง หรือคลิปภาพ ที่เห็นการบัญชาการของทักษิณ ที่มีต่อพรรคร่วม รวมถึงการใช้อำนาจในการสั่งการพรรคร่วม ไปทำสัญญาใจในการสนับสนุนบุตรสาวให้ได้ตำรงค์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่เข้าข่ายการครอบงำพรรคการเมือง แต่ภาพข่าวที่ออกมาก็ยังค้านสายตาประชาชนทั้งประเทศ และตัวนายทักษิณ ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์เย้ยอีกว่า ไม่ได้ครอบงำ แต่ตนเองครอบครอง เพราะเป็นบิดาของนายกรัฐมนตรี ซ้ำยังมีการแต่งตั้ง ผู้มีพระคุณต่อทักษิณ ได้เข้ามาดำรงค์ตำแหน่งสำคัญอย่างมากมาย โดยล่าสุด คือตำแหน่งที่ปรึกษานายก ที่มีจำนวนมากเท่ากับทีมฟุตซอล อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งหมดล้วนมีประวัติศาสตร์ในการรับใช้นายใหญ่ ที่ชื่อทักษิณทั้งสิ้น คิงส์โพธิ์ดำ จึงนำข้อมูลต่างๆมานำเสนอไว้ เพื่อหากเกิดเหตุทักษิณหายตัวไปจริงๆวันใด จะได้ทราบที่มาที่ไป ว่ามีอาการใดที่ผิดสังเกตุ กับข่าวความเคลื่อนไหวของทักษิณ ณ วันนี้ #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    0 Comments 0 Shares 176 Views 0 Reviews
  • FB Page เหยื่อ V.2 เขียนดีมาก ครบถ้วน จึงขอยกมานำเสนอแบบเต็มๆ
    ...............
    ปฐมบท..บอสพอล The Icon

    พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ

    ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์

    หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท

    ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ

    พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย

    พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก)

    จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน..

    ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ

    คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global
    👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal

    ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ

    ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง

    เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท

    แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan
    👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/

    ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้

    เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้

    จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน

    และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558
    👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/

    เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน

    เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด

    เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ

    พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse

    และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค

    เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“

    ---------

    โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย

    โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี"

    โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา

    -----------

    ลูกค้าของพอล..

    ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง

    เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง)

    โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ

    และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี

    และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี

    การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV

    นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว

    รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก

    โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า

    ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที

    พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น

    พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น

    คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง

    พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่

    เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

    แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท

    89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน)

    มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ

    เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว

    ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว

    คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย

    เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon

    และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM

    เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ

    และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย
    ---------

    ยุคทองของ..บอสพอล The Icon

    เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง

    เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว

    แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป

    เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้

    The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล

    ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น

    แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด

    ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto

    ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ

    หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ

    คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม

    เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน

    พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ

    และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา

    และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร

    กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย

    เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย

    กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย

    แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ
    -----------

    ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลได้เลย

    จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยาก ไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู

    เพราะเคสแบบนีัมันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน”

    หรือเคยมีใครได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ

    จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้

    เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง

    พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง

    เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ

    แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั

    ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป

    โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ

    หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้..

    พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน

    ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.?

    ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที

    เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย

    บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง

    พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ

    สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ..

    การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง

    ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร

    ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว

    คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว

    หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ

    เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว

    แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่

    บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ

    พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

    บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้

    จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว

    อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ

    สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship

    คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป

    กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต

    มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย
    ----------

    ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้

    1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ

    2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer

    3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20%

    เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง

    พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้

    4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย

    ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด"

    ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด

    ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส.

    น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣

    เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง

    สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง

    ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100%

    ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.?

    นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก

    #พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    .
    Cr : FB เหยื่อ V.2
    FB Page เหยื่อ V.2 เขียนดีมาก ครบถ้วน จึงขอยกมานำเสนอแบบเต็มๆ ............... ปฐมบท..บอสพอล The Icon พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์ หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก) จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน.. ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global 👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan 👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/ ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้ เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้ จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558 👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/ เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“ --------- โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี" โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา ----------- ลูกค้าของพอล.. ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง) โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่ เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท 89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน) มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย --------- ยุคทองของ..บอสพอล The Icon เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้ The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ ----------- ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลได้เลย จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยาก ไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู เพราะเคสแบบนีัมันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน” หรือเคยมีใครได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้ เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้.. พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.? ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ.. การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่ บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้ จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย ---------- ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้ 1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ 2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer 3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20% เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้ 4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด" ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส. น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣 เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100% ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.? นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก #พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊ สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน . Cr : FB เหยื่อ V.2
    Like
    12
    1 Comments 1 Shares 621 Views 1 Reviews
  • 🤠#มังกรหยกเยือนสำนักแมวขาวแมวดำ ตอน 01🤠

    ในเช้าวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1981 เติ้งกง(邓公)ได้รับแขกพิเศษในห้องโถงใหญ่ของประชาชน

    แขกรับเชิญคนนี้ คือ จินยง(金庸)นักเขียนนวนิยายจีนกำลังภายในชื่อดัง

    ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นนักการเมือง อีกคนเป็นนักเขียน ดูเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ในความเป็นจริงพวกเขาชื่นชมซึ่งกันและกันเสมอ ในมุมมองของ จินยง(金庸) เติ้งกง(邓公) เป็นบุคคลที่น่านับถือที่สุดเหมือนเช่นเดียวกับวีรบุรุษที่เขาได้เขียนบรรยายไว้ในนวนิยาย

    🥸บ้านและเมืองในใต้หล้า🥸

    ในเวลานั้น จินยง(金庸)เป็นหัวหน้าบรรณาธิการของ "หมิงเป้า(明报)" เขาเคยตีพิมพ์บทความว่า เติ้งกง(邓公)ควรได้เป็นประธานาธิบดีของประเทศโดยเร็วที่สุด

    😎ในเวลานี้ เติ้งกง(邓公)ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำของจีนใหม่ และยังดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของประเทศอีกด้วย😎

    😎จากมุมมองของผู้คนทั่วไป เติ้งกง(邓公)ได้รับเลือกเป็นประธานประเทศเพิ่มขึ้นอีกสักตำแหน่งหนึ่ง เหตุผลมันก็ควรเป็นอย่างที่ควรจะเป็น😎

    😎แต่ครั้งนี้ เติ้งกง(邓公)ได้ชี้แจงกับจินยง(金庸)อย่างชัดเจนว่า เขาไม่ต้องการเป็นประธานาธิบดีของประเทศ😎

    ในตอนแรก จินยง(金庸)รู้สึกแปลกใจมาก เห็นได้ชัดว่า เติ้งกง(邓公)ได้เป็นประธานของประเทศ ซึ่งทุกคนต่างก็คาดหวังดังนั้น ทำไมเขาถึงไม่เต็มใจ?

    อย่างไรก็ตาม หลังจากฟังเหตุผลที่เติ้งกง(邓公)พูดจบ จินยง(金庸)ก็มีแต่ความชื่นชมอยู่ในใจ

    😎จินยง(金庸)เคยกล่าวไว้ว่า เติ้งกง(邓公)เป็นหนึ่งในบุคคลที่เขาชื่นชมมากที่สุด จากภายในตัวของ เติ้งกง(邓公) เขาได้เห็นตัวตนของวีรบุรุษในฐานะของการรับใช้ประเทศและประชาชนซึ่งเขาใฝ่แสวงหา😎

    จินยง(金庸)มีชื่อเสียงจากงานในด้านงานเขียน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในเวลาที่ผ่านมาโดยตลอดเขาไม่ใช่เป็นนักเขียนวรรณกรรมธรรมดาๆ เลย นอกจากนี้เขายังมีอิทธิพลในสนามด้านการเมืองด้วย

    เมื่อเขายังเด็กเยาววัย อุดมคติของจินยง(金庸) คือ การเป็นนักการทูตที่ยอดเยี่ยม

    ด้วยเหตุนี้ หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมในปี ค.ศ. 1942 เขาจึงเข้าเรียนที่โรงเรียนกฎหมายของมหาวิทยาลัย ซูโจว(苏州大学)ในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเขาเรียนวิชาเอกกฎหมายระหว่างประเทศ

    อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้จบลงด้วยการเป็นนักการทูต หลังจบการศึกษา ต้ากงเป้า(大公报)ได้ชวนจินยง(金庸)เป็นบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ

    สำหรับจินยง(金庸)ที่เพิ่งเรียนจบ นี่เป็นงานที่ดีมาก ดังนั้นเขาจึงยอมรับอย่างง่ายดาย

    หลังจากนั้นไม่นาน "ต้ากงเป้า(大公报)" ก็วางแผนที่จะกลับมาตีพิมพ์ในฮ่องกงและกำลังต้องการกำลังคนอย่างเร่งด่วน

    ดังนั้น จินยง(金庸)จึงถูกย้ายไปฮ่องกงด้วยวิธีนี้

    ฟันเฟืองแห่งโชคชะตากำลังพลิกผันอย่างไม่ทันตั้งตัว และจินยง(金庸)ต้องห่างไกลจากความฝันในการเป็นนักการทูตมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เขากลายเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อผลกระทบไม่ด้อยไปกว่านักการทูต

    ในปีค.ศ. 1959 จินยง(金庸)ออกจาก "ต้ากงเป้า(大公报)" และก่อตั้ง "หมิงเป้า(明报)"ที่มีชื่อเสียงด้วยตัวเขาเอง

    "หมิงเป้า(明报)"มีชื่อเสียงในเวลาต่อมาเนื่องจากออกพิมพ์นิยายกำลังภายในอย่างต่อเนื่องของจินยง(金庸)

    อย่างไรก็ตาม "หมิงเป้า(明报)" ไม่ได้มีแค่คอลัมน์นิยายกำลังภายใน อันที่จริง จินยง(金庸)มักจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันใน "หมิงเป้า(明报)"เสมอ

    ในเวลานั้น เติ้งกง(邓公)ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงทั้งในและต่างประเทศ และจินยง(金庸)ไม่เข้าใจปรากฏการณ์นี้

    เพราะแม้ว่าเขาจะไม่มีสายสัมพันธ์กับเติ้งกง(邓公)ในขณะนี้ แต่เขาได้เรียนรู้แนวคิดทางการเมืองบางอย่างของเติ้งกง(邓公) และเชื่อว่าเติ้งกง(邓公) เป็นบุคคลที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและเป็นคนที่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของจีนได้

    เขาไม่สามารถยอมรับการใส่ร้ายต่อเติ้งกง(邓公)ของคนอื่นได้ ดังนั้น ในฐานะบรรณาธิการ เขาจึงตีพิมพ์บทความหลายบทความใน "หมิงเป้า(明报)"เพื่อพูดแทนเติ้งกง(邓公)

    เนื่องจากในเวลานั้นเขามีชื่อเสียงมาก บทความเหล่านี้ทำให้เกิดกระแสคลื่นลมไม่เบาในฮ่องกงและแม้แต่ในแผ่นดินใหญ่

    แต่แม้ว่าจะเกิดการโต้แย้งกันขึ้น จินยง(金庸)ยังคงยืนยันในมุมมองของเขาเหมือนเดิม เขาถึงกับยังได้เขียนคำทำนายว่า "เติ้ง เสี่ยวผิง(邓小平)จะกลับมาแน่นอน" ในบทความ

    เหตุผลที่ทำให้ จินยง(金庸)มีความมั่นใจในตนเองคือในปีค.ศ. 1975 เติ้งกง(邓公)ได้กลับมาในช่วงสั้นๆ จากนั้นได้ดำเนินการแก้ไขภายในประเทศหลายครั้งด้วยความกล้าหาญอย่างยิ่งและใช้นโยบายใหม่

    อย่างไรก็ตาม การกลับมาครั้งนี้กินเวลาเพียงหนึ่งปี และเติ้งกง(邓公)ก็ออกจากเวทีการเมืองอีกครั้ง

    ในเวลานั้นคนส่วนใหญ่เชื่อว่าคราวนี้เติ้งกง(邓公)จะเลือนหายไปจากเวทีการเมืองตลอดไป แต่จินยง(金庸)ไม่เชื่อ เขาเชื่อว่า สักวันหนึ่งเติ้งกง(邓公)จะกลายเป็นผู้นำที่แท้จริงของจีนใหม่และนำจีนไปสู่บรรยากาศใหม่

    หลายคนไม่เข้าใจการสนับสนุนที่ร้อนแรงแข็งแกร่งของจินยง(金庸)ที่มีต่อเติ้งกง(邓公) ในตอนนั้น

    แม้ว่าจินยง(金庸)จะกระตือรือร้นใฝ่ใจในการแสดงความคิดเห็นวิภาษวิจารณ์เกี่ยวกับการเมือง แต่เขาก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเขาไม่เคยมีมิตรภาพกับเติ้งกง(邓公)

    ยิ่งไปกว่านั้นฮ่องกงยังไม่ได้กลับสู่มาตุภูมิในเวลานั้น ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งของช่องแคบไต้หวันก็อ่อนไหวมาก จินยง(金庸)เสี่ยงที่จะถูกปิดล้อมโดยผู้อ่านเนื่องมาจากการประสงค์ที่จะพูดแทน เติ้งกง(邓公) ทำไมเขาถึงมั่นใจในความสามารถของเติ้งกง(邓公)ถึงขนาดนั้น?

    ในการสัมภาษณ์ครั้งต่อมา จินยง(金庸)ชื่นชมต่อเติ้งกง(邓公)มาก เขากล่าวว่า: 😎"ผมชื่นชมบุคลิกที่แข็งแกร่งและไม่ยอมแพ้นี้ของเขามาโดยตลอด เหมือนกับวีระบุรุษผู้กล้าหาญที่เขียนบรรยายไว้ในนิยายต่อสู้กำลังภายในของผม.......เพียงแค่ความแข็งแกร่งนั้น แน่นอนว่ายังไม่เพียงพอ ต้องยืนหยัดในข้อเสนอที่ถูกต้องโดยไม่คำนึงถึงเกียรติยศ ความอับอาย และความปลอดภัยของตนเอง นี่ถึงจะทำให้ผู้อื่นยอมรับ”😎

    สำหรับการเคลื่อนไหวของ จินยง(金庸) ความจริงแล้ว เติ้งกง(邓公)ก็ได้สัมผัสรู้มา เมื่อเวลาที่เขาถูกส่งไปที่ เจึยงซี(江西) เขาได้ยินว่ามีนักเขียนที่มีชื่อเสียงมากในฮ่องกงซึ่งมักจะตีพิมพ์บทความที่เกี่ยวข้องกับการเมือง

    หลังจากเติ้งกง(邓公)อ่านบทความเหล่านี้ เขาคิดว่า จินยง(金庸) อยู่ในฮ่องกง แม้ว่าเขาจะมีมุมมองที่จำกัดในฮ่องกงก็ตาม ยังมีความเฉียบแหลมทางการเมืองของเขาและความสามารถของเขาในการพูดเพื่อความยุติธรรม จึงเป็นคนที่ควรค่าแก่การเคารพ

    แน่นอน สิ่งที่คาดไม่ถึงที่สุดคือตัวเติ้งกง(邓公)เองเป็นคนรักอ่านนวนิยายศิลปะการต่อสู้กำลังภายในมาก ทันทีที่เขาเห็นนิยายของจินยง(金庸) เขาก็เต็มไปด้วยคำชมและหมกมุ่นในการอ่านนวนิยายนั้น จนกระทั่งหลายปีต่อมา การอ่านนวนิยายของ จินยง(金庸)เป็นหนึ่งในงานอดิเรกที่ชื่นชอบที่สุดของเติ้งกง(邓公)

    ด้วยประการฉะนี้แม้ว่าทั้งสองจะยังไม่ได้พบหน้ากันแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนในฐานะเพื่อนรู้ใจ

    🥳โปรดติดตามบทความ #มังกรหยกเยือนสำนักแมวขาวแมวดำ ตอน 02.ต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#มังกรหยกเยือนสำนักแมวขาวแมวดำ ตอน 01🤠 ในเช้าวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1981 เติ้งกง(邓公)ได้รับแขกพิเศษในห้องโถงใหญ่ของประชาชน แขกรับเชิญคนนี้ คือ จินยง(金庸)นักเขียนนวนิยายจีนกำลังภายในชื่อดัง ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นนักการเมือง อีกคนเป็นนักเขียน ดูเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ในความเป็นจริงพวกเขาชื่นชมซึ่งกันและกันเสมอ ในมุมมองของ จินยง(金庸) เติ้งกง(邓公) เป็นบุคคลที่น่านับถือที่สุดเหมือนเช่นเดียวกับวีรบุรุษที่เขาได้เขียนบรรยายไว้ในนวนิยาย 🥸บ้านและเมืองในใต้หล้า🥸 ในเวลานั้น จินยง(金庸)เป็นหัวหน้าบรรณาธิการของ "หมิงเป้า(明报)" เขาเคยตีพิมพ์บทความว่า เติ้งกง(邓公)ควรได้เป็นประธานาธิบดีของประเทศโดยเร็วที่สุด 😎ในเวลานี้ เติ้งกง(邓公)ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำของจีนใหม่ และยังดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของประเทศอีกด้วย😎 😎จากมุมมองของผู้คนทั่วไป เติ้งกง(邓公)ได้รับเลือกเป็นประธานประเทศเพิ่มขึ้นอีกสักตำแหน่งหนึ่ง เหตุผลมันก็ควรเป็นอย่างที่ควรจะเป็น😎 😎แต่ครั้งนี้ เติ้งกง(邓公)ได้ชี้แจงกับจินยง(金庸)อย่างชัดเจนว่า เขาไม่ต้องการเป็นประธานาธิบดีของประเทศ😎 ในตอนแรก จินยง(金庸)รู้สึกแปลกใจมาก เห็นได้ชัดว่า เติ้งกง(邓公)ได้เป็นประธานของประเทศ ซึ่งทุกคนต่างก็คาดหวังดังนั้น ทำไมเขาถึงไม่เต็มใจ? อย่างไรก็ตาม หลังจากฟังเหตุผลที่เติ้งกง(邓公)พูดจบ จินยง(金庸)ก็มีแต่ความชื่นชมอยู่ในใจ 😎จินยง(金庸)เคยกล่าวไว้ว่า เติ้งกง(邓公)เป็นหนึ่งในบุคคลที่เขาชื่นชมมากที่สุด จากภายในตัวของ เติ้งกง(邓公) เขาได้เห็นตัวตนของวีรบุรุษในฐานะของการรับใช้ประเทศและประชาชนซึ่งเขาใฝ่แสวงหา😎 จินยง(金庸)มีชื่อเสียงจากงานในด้านงานเขียน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในเวลาที่ผ่านมาโดยตลอดเขาไม่ใช่เป็นนักเขียนวรรณกรรมธรรมดาๆ เลย นอกจากนี้เขายังมีอิทธิพลในสนามด้านการเมืองด้วย เมื่อเขายังเด็กเยาววัย อุดมคติของจินยง(金庸) คือ การเป็นนักการทูตที่ยอดเยี่ยม ด้วยเหตุนี้ หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมในปี ค.ศ. 1942 เขาจึงเข้าเรียนที่โรงเรียนกฎหมายของมหาวิทยาลัย ซูโจว(苏州大学)ในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเขาเรียนวิชาเอกกฎหมายระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้จบลงด้วยการเป็นนักการทูต หลังจบการศึกษา ต้ากงเป้า(大公报)ได้ชวนจินยง(金庸)เป็นบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ สำหรับจินยง(金庸)ที่เพิ่งเรียนจบ นี่เป็นงานที่ดีมาก ดังนั้นเขาจึงยอมรับอย่างง่ายดาย หลังจากนั้นไม่นาน "ต้ากงเป้า(大公报)" ก็วางแผนที่จะกลับมาตีพิมพ์ในฮ่องกงและกำลังต้องการกำลังคนอย่างเร่งด่วน ดังนั้น จินยง(金庸)จึงถูกย้ายไปฮ่องกงด้วยวิธีนี้ ฟันเฟืองแห่งโชคชะตากำลังพลิกผันอย่างไม่ทันตั้งตัว และจินยง(金庸)ต้องห่างไกลจากความฝันในการเป็นนักการทูตมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เขากลายเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อผลกระทบไม่ด้อยไปกว่านักการทูต ในปีค.ศ. 1959 จินยง(金庸)ออกจาก "ต้ากงเป้า(大公报)" และก่อตั้ง "หมิงเป้า(明报)"ที่มีชื่อเสียงด้วยตัวเขาเอง "หมิงเป้า(明报)"มีชื่อเสียงในเวลาต่อมาเนื่องจากออกพิมพ์นิยายกำลังภายในอย่างต่อเนื่องของจินยง(金庸) อย่างไรก็ตาม "หมิงเป้า(明报)" ไม่ได้มีแค่คอลัมน์นิยายกำลังภายใน อันที่จริง จินยง(金庸)มักจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันใน "หมิงเป้า(明报)"เสมอ ในเวลานั้น เติ้งกง(邓公)ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงทั้งในและต่างประเทศ และจินยง(金庸)ไม่เข้าใจปรากฏการณ์นี้ เพราะแม้ว่าเขาจะไม่มีสายสัมพันธ์กับเติ้งกง(邓公)ในขณะนี้ แต่เขาได้เรียนรู้แนวคิดทางการเมืองบางอย่างของเติ้งกง(邓公) และเชื่อว่าเติ้งกง(邓公) เป็นบุคคลที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและเป็นคนที่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของจีนได้ เขาไม่สามารถยอมรับการใส่ร้ายต่อเติ้งกง(邓公)ของคนอื่นได้ ดังนั้น ในฐานะบรรณาธิการ เขาจึงตีพิมพ์บทความหลายบทความใน "หมิงเป้า(明报)"เพื่อพูดแทนเติ้งกง(邓公) เนื่องจากในเวลานั้นเขามีชื่อเสียงมาก บทความเหล่านี้ทำให้เกิดกระแสคลื่นลมไม่เบาในฮ่องกงและแม้แต่ในแผ่นดินใหญ่ แต่แม้ว่าจะเกิดการโต้แย้งกันขึ้น จินยง(金庸)ยังคงยืนยันในมุมมองของเขาเหมือนเดิม เขาถึงกับยังได้เขียนคำทำนายว่า "เติ้ง เสี่ยวผิง(邓小平)จะกลับมาแน่นอน" ในบทความ เหตุผลที่ทำให้ จินยง(金庸)มีความมั่นใจในตนเองคือในปีค.ศ. 1975 เติ้งกง(邓公)ได้กลับมาในช่วงสั้นๆ จากนั้นได้ดำเนินการแก้ไขภายในประเทศหลายครั้งด้วยความกล้าหาญอย่างยิ่งและใช้นโยบายใหม่ อย่างไรก็ตาม การกลับมาครั้งนี้กินเวลาเพียงหนึ่งปี และเติ้งกง(邓公)ก็ออกจากเวทีการเมืองอีกครั้ง ในเวลานั้นคนส่วนใหญ่เชื่อว่าคราวนี้เติ้งกง(邓公)จะเลือนหายไปจากเวทีการเมืองตลอดไป แต่จินยง(金庸)ไม่เชื่อ เขาเชื่อว่า สักวันหนึ่งเติ้งกง(邓公)จะกลายเป็นผู้นำที่แท้จริงของจีนใหม่และนำจีนไปสู่บรรยากาศใหม่ หลายคนไม่เข้าใจการสนับสนุนที่ร้อนแรงแข็งแกร่งของจินยง(金庸)ที่มีต่อเติ้งกง(邓公) ในตอนนั้น แม้ว่าจินยง(金庸)จะกระตือรือร้นใฝ่ใจในการแสดงความคิดเห็นวิภาษวิจารณ์เกี่ยวกับการเมือง แต่เขาก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเขาไม่เคยมีมิตรภาพกับเติ้งกง(邓公) ยิ่งไปกว่านั้นฮ่องกงยังไม่ได้กลับสู่มาตุภูมิในเวลานั้น ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งของช่องแคบไต้หวันก็อ่อนไหวมาก จินยง(金庸)เสี่ยงที่จะถูกปิดล้อมโดยผู้อ่านเนื่องมาจากการประสงค์ที่จะพูดแทน เติ้งกง(邓公) ทำไมเขาถึงมั่นใจในความสามารถของเติ้งกง(邓公)ถึงขนาดนั้น? ในการสัมภาษณ์ครั้งต่อมา จินยง(金庸)ชื่นชมต่อเติ้งกง(邓公)มาก เขากล่าวว่า: 😎"ผมชื่นชมบุคลิกที่แข็งแกร่งและไม่ยอมแพ้นี้ของเขามาโดยตลอด เหมือนกับวีระบุรุษผู้กล้าหาญที่เขียนบรรยายไว้ในนิยายต่อสู้กำลังภายในของผม.......เพียงแค่ความแข็งแกร่งนั้น แน่นอนว่ายังไม่เพียงพอ ต้องยืนหยัดในข้อเสนอที่ถูกต้องโดยไม่คำนึงถึงเกียรติยศ ความอับอาย และความปลอดภัยของตนเอง นี่ถึงจะทำให้ผู้อื่นยอมรับ”😎 สำหรับการเคลื่อนไหวของ จินยง(金庸) ความจริงแล้ว เติ้งกง(邓公)ก็ได้สัมผัสรู้มา เมื่อเวลาที่เขาถูกส่งไปที่ เจึยงซี(江西) เขาได้ยินว่ามีนักเขียนที่มีชื่อเสียงมากในฮ่องกงซึ่งมักจะตีพิมพ์บทความที่เกี่ยวข้องกับการเมือง หลังจากเติ้งกง(邓公)อ่านบทความเหล่านี้ เขาคิดว่า จินยง(金庸) อยู่ในฮ่องกง แม้ว่าเขาจะมีมุมมองที่จำกัดในฮ่องกงก็ตาม ยังมีความเฉียบแหลมทางการเมืองของเขาและความสามารถของเขาในการพูดเพื่อความยุติธรรม จึงเป็นคนที่ควรค่าแก่การเคารพ แน่นอน สิ่งที่คาดไม่ถึงที่สุดคือตัวเติ้งกง(邓公)เองเป็นคนรักอ่านนวนิยายศิลปะการต่อสู้กำลังภายในมาก ทันทีที่เขาเห็นนิยายของจินยง(金庸) เขาก็เต็มไปด้วยคำชมและหมกมุ่นในการอ่านนวนิยายนั้น จนกระทั่งหลายปีต่อมา การอ่านนวนิยายของ จินยง(金庸)เป็นหนึ่งในงานอดิเรกที่ชื่นชอบที่สุดของเติ้งกง(邓公) ด้วยประการฉะนี้แม้ว่าทั้งสองจะยังไม่ได้พบหน้ากันแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนในฐานะเพื่อนรู้ใจ 🥳โปรดติดตามบทความ #มังกรหยกเยือนสำนักแมวขาวแมวดำ ตอน 02.ต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 Comments 0 Shares 115 Views 0 Reviews
  • เพื่อไทย เมิน ตามล่า 'พิศาล' อ้างไม่ใช่หน้าที่
    .
    ยิ่งใกล้ถึงวันที่ 25 ตุลาคม มากขึ้นเท่าไหร ซึ่งเป็นวันที่คดีการสลายการชุมนุมหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส กำลังจะหมดอายุความ เสียงวิจารณ์ที่มีต่อพรรคเพื่อไทยยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เพราะถึงวันนั้นเมื่อไหรเท่ากับว่าพล.อ.พิศาล วัฒนวงศ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 หนึ่งในจำเลยคดีดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ก็จะเป็นอิสระทันที
    .
    จากเสียงวิจารณ์ที่เกิดขึ้นนั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นแรงกดดันให้พรรคเพื่อไทยแสดงความรับผิดชอบด้วยการเร่งติดตามตัวอดีตนายทหารใหญ่ให้ยอมรับกระบวนการยุติธรรม แต่ปรากฎว่าได้รับการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง
    .
    นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานส.ส. พรรคเพื่อไทย ระบุว่า " เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม เราเป็นผู้แทนราษฎร ไม่สามารถไปติดตามใครได้ เพราะเหนืออำนาจของเรา ตอนนี้เป็นเรื่องอำนาจของศาลที่จะออกหมายเรียก หมายจับ เราเองก็ไม่ทราบว่าท่านไหนไปอยู่ที่ไหนบ้าง สุดแล้วแต่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะต้องไปติดตาม"
    .
    ส่วนจะกระทบต่อคะแนนเสียงหรือภาพลักษณ์ของพรรคหรือไม่นั้น นายวิสุทธิ์ ยืนยันอย่างมั่นใจว่า ไม่เกี่ยวกันเป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่ใช่เรื่องนโยบายพรรค ใครคนใดคนหนึ่งทำผิดไปพรรคไม่ได้รับผิดชอบ ก็แล้วแต่จะคิดกันไป
    .
    “เรื่องอื่นๆที่น่าติดตามมีเยอะแยะ โคลนเต็มเชียงรายเดือดร้อนกันหนัก เชียงใหม่ก็เดือดร้อนหนัก เรื่องพวกนี้น่าสนใจมากกว่า" นายวิสุทธิ์กล่าว
    ..............
    Sondhi X
    เพื่อไทย เมิน ตามล่า 'พิศาล' อ้างไม่ใช่หน้าที่ . ยิ่งใกล้ถึงวันที่ 25 ตุลาคม มากขึ้นเท่าไหร ซึ่งเป็นวันที่คดีการสลายการชุมนุมหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส กำลังจะหมดอายุความ เสียงวิจารณ์ที่มีต่อพรรคเพื่อไทยยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เพราะถึงวันนั้นเมื่อไหรเท่ากับว่าพล.อ.พิศาล วัฒนวงศ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 หนึ่งในจำเลยคดีดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ก็จะเป็นอิสระทันที . จากเสียงวิจารณ์ที่เกิดขึ้นนั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นแรงกดดันให้พรรคเพื่อไทยแสดงความรับผิดชอบด้วยการเร่งติดตามตัวอดีตนายทหารใหญ่ให้ยอมรับกระบวนการยุติธรรม แต่ปรากฎว่าได้รับการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง . นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานส.ส. พรรคเพื่อไทย ระบุว่า " เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม เราเป็นผู้แทนราษฎร ไม่สามารถไปติดตามใครได้ เพราะเหนืออำนาจของเรา ตอนนี้เป็นเรื่องอำนาจของศาลที่จะออกหมายเรียก หมายจับ เราเองก็ไม่ทราบว่าท่านไหนไปอยู่ที่ไหนบ้าง สุดแล้วแต่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะต้องไปติดตาม" . ส่วนจะกระทบต่อคะแนนเสียงหรือภาพลักษณ์ของพรรคหรือไม่นั้น นายวิสุทธิ์ ยืนยันอย่างมั่นใจว่า ไม่เกี่ยวกันเป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่ใช่เรื่องนโยบายพรรค ใครคนใดคนหนึ่งทำผิดไปพรรคไม่ได้รับผิดชอบ ก็แล้วแต่จะคิดกันไป . “เรื่องอื่นๆที่น่าติดตามมีเยอะแยะ โคลนเต็มเชียงรายเดือดร้อนกันหนัก เชียงใหม่ก็เดือดร้อนหนัก เรื่องพวกนี้น่าสนใจมากกว่า" นายวิสุทธิ์กล่าว .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 Comments 1 Shares 683 Views 0 Reviews
  • พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงกรรมที่ทำให้มีบริวารมากและบริวารดีนั้น เกิดจากการที่ท่านเคยนำความสุขมาให้แก่คนหมู่มาก ช่วยบรรเทาความกลัวและความเดือดร้อนของผู้คน และให้ทานด้วยทรัพย์ที่หามาอย่างชอบธรรม สิ่งเหล่านี้เป็นกรรมดีที่สร้างให้ท่านมีบริวารมากในชาตินี้ เรื่องนี้ปรากฏในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ว่าด้วยเรื่องการพยากรณ์มหาบุรุษ

    อย่างไรก็ตาม ความเชื่อที่ว่าการชักชวนให้ผู้อื่นทำบุญจะช่วยให้มีบริวารมากนั้น มีมาในอรรถกถา เช่นเรื่องของเศรษฐีพิฬาลปทกะ ซึ่งไม่ได้มีปรากฏในพระไตรปิฎกโดยตรง พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญการทำความดีและการชักชวนให้ผู้อื่นทำความดีตาม ซึ่งหลักการนี้สามารถพบได้ในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ว่าด้วยผู้ที่รักษาศีลและชักชวนผู้อื่นให้รักษาศีลตามตน

    กรรมที่ทำให้มีบริวารมากจึงไม่ได้เกิดจากการชักชวนให้ทำบุญเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก "น้ำใจคิดช่วยคนหมู่มาก" ที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงเพื่อผลลัพธ์ส่วนตน การมีน้ำใจช่วยเหลือ การมีเมตตา และการเป็นแรงบันดาลใจให้คนรอบข้างอยากทำความดีตาม เป็นเหตุที่แท้จริงที่จะทำให้เรามีบริวารที่ดี

    ในทางปฏิบัติ หากเราชักชวนให้คนทำบุญอย่างจริงใจ สร้างความรู้สึกดีและมีส่วนร่วมให้แก่พวกเขา กรรมดีก็จะส่งผลให้เรามีบริวารที่ดีได้ แต่หากชักชวนอย่างขอไปทีหรือทำให้คนอื่นอึดอัดใจ ก็ไม่ใช่หนทางที่จะทำให้เกิดบริวารที่ดีตามมา

    กฎแห่งการให้ผลของกรรมคือเรื่องที่มีความชอบธรรมและสัมพันธ์กับเหตุและผลโดยตรง การให้ความสำคัญกับน้ำใจที่มีต่อผู้อื่นและการสร้างแรงบันดาลใจที่ดี จึงเป็นแนวทางที่ถูกต้องในการสร้างบริวารที่แท้จริง
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงกรรมที่ทำให้มีบริวารมากและบริวารดีนั้น เกิดจากการที่ท่านเคยนำความสุขมาให้แก่คนหมู่มาก ช่วยบรรเทาความกลัวและความเดือดร้อนของผู้คน และให้ทานด้วยทรัพย์ที่หามาอย่างชอบธรรม สิ่งเหล่านี้เป็นกรรมดีที่สร้างให้ท่านมีบริวารมากในชาตินี้ เรื่องนี้ปรากฏในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ว่าด้วยเรื่องการพยากรณ์มหาบุรุษ อย่างไรก็ตาม ความเชื่อที่ว่าการชักชวนให้ผู้อื่นทำบุญจะช่วยให้มีบริวารมากนั้น มีมาในอรรถกถา เช่นเรื่องของเศรษฐีพิฬาลปทกะ ซึ่งไม่ได้มีปรากฏในพระไตรปิฎกโดยตรง พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญการทำความดีและการชักชวนให้ผู้อื่นทำความดีตาม ซึ่งหลักการนี้สามารถพบได้ในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ว่าด้วยผู้ที่รักษาศีลและชักชวนผู้อื่นให้รักษาศีลตามตน กรรมที่ทำให้มีบริวารมากจึงไม่ได้เกิดจากการชักชวนให้ทำบุญเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก "น้ำใจคิดช่วยคนหมู่มาก" ที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงเพื่อผลลัพธ์ส่วนตน การมีน้ำใจช่วยเหลือ การมีเมตตา และการเป็นแรงบันดาลใจให้คนรอบข้างอยากทำความดีตาม เป็นเหตุที่แท้จริงที่จะทำให้เรามีบริวารที่ดี ในทางปฏิบัติ หากเราชักชวนให้คนทำบุญอย่างจริงใจ สร้างความรู้สึกดีและมีส่วนร่วมให้แก่พวกเขา กรรมดีก็จะส่งผลให้เรามีบริวารที่ดีได้ แต่หากชักชวนอย่างขอไปทีหรือทำให้คนอื่นอึดอัดใจ ก็ไม่ใช่หนทางที่จะทำให้เกิดบริวารที่ดีตามมา กฎแห่งการให้ผลของกรรมคือเรื่องที่มีความชอบธรรมและสัมพันธ์กับเหตุและผลโดยตรง การให้ความสำคัญกับน้ำใจที่มีต่อผู้อื่นและการสร้างแรงบันดาลใจที่ดี จึงเป็นแนวทางที่ถูกต้องในการสร้างบริวารที่แท้จริง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • ต่อเรื่องพี่ปูอีกนิด…..แค้นนี้………กี่ปีก็ไม่สาย……!!

    อย่าซีเรียสนะคะ มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรอย่างที่จั่วหัวไว้หรอก แต่อยากให้อ่านเป็นบทเรียนสำหรับหญิงๆว่า……จะพูดจะจาอะไรต้องระวังให้มากถึงมากที่สุด
    เพราะมันทำให้ใครคนหนึ่งถึงกับตกจากสวรรค์เลยทันที
    ตกเฉยๆก็คงไม่กระไร……แต่นี่เข้าขั้นอับอายและหาทางกลับแทบไม่ได้เลย

    ดิฉันกำลังพูดถึง คู่เชือดคู่เฉือนแห่งปี มาดาม ฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกาและ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย (พูดถึงอีกแล้ว)
    ที่คนทั้งสองศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่ยังไม่เจอหน้าด้วยซ้ำ เพราะมาดาม คลินตัน
    เธอช่างกระหายสงครามอย่างออกนอกหน้า ไม่ว่าจะมีการสัมภาษณ์ครั้งใด เธอจะต้องพาดพิงถึงการแทรกแซงของรัสเซีย รวมไปถึวการวิจารณ์ปูตินอย่างเปิดเผย
    เมื่อตอนต้นปี 2016 ที่เธอเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต เพื่อชิงประธานาธิบดี เธอใช้การหาเสียงด้วยการโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งในเรื่องของความโหดร้ายในสงครามซีเรีย
    ว่า
    “ปูตินเป็นคนที่ไม่มีหัวจิตหัวใจ เพราะเขาเคยเป็นเคจีบีมาก่อน”

    ซึ่งข้อความนี้……ปูตินได้ออกอากาศให้สัมภาษณ์โต้กลับไปว่า
    “คนที่เป็นผู้นำ เขาไม่ได้ใช้หัวใจในการบริหารประเทศ เขาใช้สมอง!!”

    สื่อเองก็ช่างกระไร……ชอบนักที่จะคอยถาม คอยจี้ให้แต่ละฝ่ายออกมาแสดงความเห็นต่อกัน ทางฝ่ายชายมักจะนิ่งๆ ตอบสั้นๆ
    แต่ฝ่ายหญิงมักจะสาวยืดเสมอ มีทั้งประชดประชัน และ ดิสเครคิต
    จนปูตินเริ่มจะเชื่อแล้วว่า การเดินขบวนที่เกิดขึ้นบ่อยๆในรัสเซีย น่าจะเกิดจากการแทรกแซงจากภายนอกแน่นอน เพราะตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมา รัสเซียมีการเดินขบวนบ่อยมาก และฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล เช่นสื่ออิสระหัวรุนแรง อย่าง Anna Politkovskaya**

    หรือ นักการเมือง Boris Nemtsov***
    ปี 2014 ที่รัสเซียได้ขยายเชื่อมกับ ไครเมียได้สำเร็จ เพราะตลอดเวลา 10ปีที่ผ่านมา รัสเซียพยายามที่จะต่อติดกับทั้งยุโรปและตะวันออกกลาง
    มาดามคลินตันก็โวยวาย กล่าวหาว่า นั่นคือการกระทำของฮิตเล่อร์ชัดๆ
    และเธอได้พยายามล็อบบี้ขัดขวางทุกวิถีทาง

    นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เรียกว่าไม่เกรงใจกันแล้ว

    จนเถึงคราวที่มาดามคลินตันลงเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ดูเหมือนว่า
    เส้นทางนี้ไม่มีพลาด ยิ่งมาเจอคู่แข่งขันที่เป็นเจ้าพ่อวงการนางงาม ท่าทางวิปลาส พูดจาไม่มีหูรูด……นาย Donald Trump ที่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานทางการเมืองมาก่อน
    เธอและครอบครัวมั่นใจเต็มร้อย ว่าประชากรชาวอเมริกันเกือบทั้งประเทศอยู่ฝ่ายเธอ
    ขนาด Chelsea ธิดาสาวคนเดียวของเธอ ยังประกาศเปิดตัวเธอบนเวที พร้อมทั้งต่อด้วยว่า The next President of the United States of America..
    เสียงในโพล……ก็มาแบบนั้นจริงๆ

    แต่ที่เครมลิน……ทุกคนเชียร์ทรัมป์……รวมทั้งมั่นใจกันอย่างเต็มที่ว่า ตำแหน่งประธานาธิบดีจะต้องเป็นนายทรัมป์แน่นอน…

    ไม่กี่อาทิตย์ก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียง……สิ่งประหลาดได้เกิดขึ้นทางสื่อออนไลน์ นั่นคือ Wikileaks ที่ได้มีการเปิดเผยข้อความจากอีเมล์ของ
    มาดามคลินตันที่ติดต่อกับผู้คนต่างๆ กว่าร้อยฉบับ ล้วนแต่เป็นสาระสำคัญยิ่ง
    เช่นการสนับสนุนสงคราม, ด่ายิว, รับสินบน, รับเงินสนับสนุนจากแหล่งที่ไม่สุจริต, รับเงินจากต่างประเทศเพื่อแลกกับผลประโยชน์ (ในสมัยที่นั่งกลาโหม)
    ทั้งหมดนี้...มาจากฝีมือใครก็ไม่รู้……แต่ต้องเป็นมือแฮคระดับเทพเท่านั้นที่จะทำได้

    ผลคือ……คะแนนของมาดามที่ว่านำมาลิ่วๆนั้น ตกฮวบลงอย่างน่าใจหาย
    วินาทีสุดท้ายคะแนนของกลุ่มที่รอการตัดสินใจได้เทไปให้ทางนายทรัมป์จนหมด เขาชนะไปแบบเฉือนกันปลายจมูก……
    อเมริกา ได้นายทรัมป์มาเป็นประธานาธิบดี
    มาดามคลินตัน จุกจนพูดไม่ออก……เพราะมันหมายถึงสิ่งที่ตั้งความหวังมาตลอดชีวิตว่าจะเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศนั้นหายวับไปต่อหน้าต่อตา เพราะอีเมล์จำนวนร้อยฉบับเหล่านั้น มันได้เปิดหน้ากากเธอจนหมดสิ้น……

    วันนั้น……ทางเครมลินได้รอฟังผลการเลือกตั้งเช่นกัน พร้อมเหล้ายาปลาปิ้ง กับแกล้มพร้อม เตรียมฉลองเหมือนจะรู้ว่า รถหมูคว่ำแน่……!!!

    นี่คือการ”เอาคืน” แบบย้อนเกล็ดที่เจ็บแสบที่สุด………ที่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นฝีมือของรัสเซีย

    การเอาคืนในระบบปูตินนั้น……มาได้หลายรูปแบบ อย่างที่ยกชื่อมาเป็นตัวอย่างสองคนข้างบน คนแรก

    Anna Politkovskaya อายุ 48 ปีเป็น อเมริกัน-รัสเซีย ทำงานสื่ออิสระในสายของ Human Rights Watch ที่เอาตัวเองเข้าไปคลุกคลีในสนามรบของสงคราม
    Chechen แล้วส่งข่าวรายงานสู่สื่อใหญ่อเมริกา
    เธอได้รับการเตือนแบบเป็นระยะ นับตั้งแต่ถูกวางยาให้ป่วย, คุมขัง แต่ก็ไม่ได้ผล
    ในที่สุด……เธอได้เสียชีวิตจากการถูกลอบสังหารในบริเวณที่พักของเธอเอง
    ในปี 2006
    คาดว่า……ทางรัสเซียคงหมดความอดทนหลังจากที่จับได้ว่า เธอได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาย Boris Berezovsky เจ้าพ่อสื่อโทรทัศน์ตัวการสำคัญที่หลบหนีไปอยู่ที่อังกฤษ
    หมายเหตุ เรื่องของนาย Boris นี้ ดิฉันเคยเล่าไปแล้ว...

    คนต่อมาคือนาย Boris Nemtsov ที่เคยเป็นอธิบดี (ในรัฐบาลของ ประธานาธิบดี Yeltzin) ที่ต่อต้านปูตินอย่างเปิดเผย อีกทั้งเขาได้พยายามหาพวกจากฝั่งอเมริกาและอังกฤษเพื่อ ช่วยกระจายข่าวต่อ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ปูตินคือบุคคลที่รวยที่สุดในโลก มีบ้านราคาพันล้านเหรียญ มีเรือสำราญ และอีกสารพัดที่จะมี
    วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2015 สองวันก่อนที่เขาจะขึ้นเวทีการอภิปรายใหญ่เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสของรัฐบาล เวลาเที่ยงคืนเศษ เขากับแฟนสาวเดินข้ามสะพานบริเวณหน้าพระราชวังเครมลิน
    มีรถแล่นผ่านไปอย่างช้าๆ แล้วเขาก็ล้มลงไป……สิ้นใจด้วยกระสุนที่ยิงเข้ากลางหลังสี่นัด
    งานนี้เป็นงานดี ฝีมือเนี๊ยบ……เพราะแฟนสาวที่เดินเคลียคลออยู่ข้างๆนั้น ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโดนยิง คิดว่าสะดุดอะไรล้มลง...ไม่มียินเสียงอะไรทั้งสิ้น

    ฟังแล้วก็ต้องทำใจนะคะ……นี่คือด้านมืดของมนุษย์ มีพระคุณแล้วก็ต้องมีพระเดช แล้วยังต้องมีการเก็บกวาดสิ่งที่เรียกว่าเสี้ยนหนาม กีดขวางทางเดิน
    ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล……ก็ใช้แฮ๊คเคอร์

    แต่พี่รัสเซียนี่ เขาเอามาใช้ทุกอย่าง……ระยะหลังนี่ หนักไปทางยาพิษชนิดที่นักเคมีต้องค้นตำราแก้……

    ขนาดเก่งกล้าสารพัด มาเสียเชิงให้เป็นที่ขบขันได้ จากข่าวเรื่องทองคำแท่ง หนักกว่า 3.4 ตัน ร่วงลงมากจากเครื่องบินขณะที่กำลังวิ่งบนลู่ เพื่อที่จะเหินขึ้นฟ้า เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้
    ชาวบ้านอเมริกันเขาว่า
    “โธ่เอ๊ยย……ขนาดขนทองยังเอาเครื่องบินผุๆมาใช้………ไหนคุยว่าสร้างจรวดไง?”


    Wiwanda W. Vichit
    ต่อเรื่องพี่ปูอีกนิด…..แค้นนี้………กี่ปีก็ไม่สาย……!! อย่าซีเรียสนะคะ มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรอย่างที่จั่วหัวไว้หรอก แต่อยากให้อ่านเป็นบทเรียนสำหรับหญิงๆว่า……จะพูดจะจาอะไรต้องระวังให้มากถึงมากที่สุด เพราะมันทำให้ใครคนหนึ่งถึงกับตกจากสวรรค์เลยทันที ตกเฉยๆก็คงไม่กระไร……แต่นี่เข้าขั้นอับอายและหาทางกลับแทบไม่ได้เลย ดิฉันกำลังพูดถึง คู่เชือดคู่เฉือนแห่งปี มาดาม ฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกาและ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย (พูดถึงอีกแล้ว) ที่คนทั้งสองศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่ยังไม่เจอหน้าด้วยซ้ำ เพราะมาดาม คลินตัน เธอช่างกระหายสงครามอย่างออกนอกหน้า ไม่ว่าจะมีการสัมภาษณ์ครั้งใด เธอจะต้องพาดพิงถึงการแทรกแซงของรัสเซีย รวมไปถึวการวิจารณ์ปูตินอย่างเปิดเผย เมื่อตอนต้นปี 2016 ที่เธอเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต เพื่อชิงประธานาธิบดี เธอใช้การหาเสียงด้วยการโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งในเรื่องของความโหดร้ายในสงครามซีเรีย ว่า “ปูตินเป็นคนที่ไม่มีหัวจิตหัวใจ เพราะเขาเคยเป็นเคจีบีมาก่อน” ซึ่งข้อความนี้……ปูตินได้ออกอากาศให้สัมภาษณ์โต้กลับไปว่า “คนที่เป็นผู้นำ เขาไม่ได้ใช้หัวใจในการบริหารประเทศ เขาใช้สมอง!!” สื่อเองก็ช่างกระไร……ชอบนักที่จะคอยถาม คอยจี้ให้แต่ละฝ่ายออกมาแสดงความเห็นต่อกัน ทางฝ่ายชายมักจะนิ่งๆ ตอบสั้นๆ แต่ฝ่ายหญิงมักจะสาวยืดเสมอ มีทั้งประชดประชัน และ ดิสเครคิต จนปูตินเริ่มจะเชื่อแล้วว่า การเดินขบวนที่เกิดขึ้นบ่อยๆในรัสเซีย น่าจะเกิดจากการแทรกแซงจากภายนอกแน่นอน เพราะตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมา รัสเซียมีการเดินขบวนบ่อยมาก และฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล เช่นสื่ออิสระหัวรุนแรง อย่าง Anna Politkovskaya** หรือ นักการเมือง Boris Nemtsov*** ปี 2014 ที่รัสเซียได้ขยายเชื่อมกับ ไครเมียได้สำเร็จ เพราะตลอดเวลา 10ปีที่ผ่านมา รัสเซียพยายามที่จะต่อติดกับทั้งยุโรปและตะวันออกกลาง มาดามคลินตันก็โวยวาย กล่าวหาว่า นั่นคือการกระทำของฮิตเล่อร์ชัดๆ และเธอได้พยายามล็อบบี้ขัดขวางทุกวิถีทาง นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เรียกว่าไม่เกรงใจกันแล้ว จนเถึงคราวที่มาดามคลินตันลงเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ดูเหมือนว่า เส้นทางนี้ไม่มีพลาด ยิ่งมาเจอคู่แข่งขันที่เป็นเจ้าพ่อวงการนางงาม ท่าทางวิปลาส พูดจาไม่มีหูรูด……นาย Donald Trump ที่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานทางการเมืองมาก่อน เธอและครอบครัวมั่นใจเต็มร้อย ว่าประชากรชาวอเมริกันเกือบทั้งประเทศอยู่ฝ่ายเธอ ขนาด Chelsea ธิดาสาวคนเดียวของเธอ ยังประกาศเปิดตัวเธอบนเวที พร้อมทั้งต่อด้วยว่า The next President of the United States of America.. เสียงในโพล……ก็มาแบบนั้นจริงๆ แต่ที่เครมลิน……ทุกคนเชียร์ทรัมป์……รวมทั้งมั่นใจกันอย่างเต็มที่ว่า ตำแหน่งประธานาธิบดีจะต้องเป็นนายทรัมป์แน่นอน… ไม่กี่อาทิตย์ก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียง……สิ่งประหลาดได้เกิดขึ้นทางสื่อออนไลน์ นั่นคือ Wikileaks ที่ได้มีการเปิดเผยข้อความจากอีเมล์ของ มาดามคลินตันที่ติดต่อกับผู้คนต่างๆ กว่าร้อยฉบับ ล้วนแต่เป็นสาระสำคัญยิ่ง เช่นการสนับสนุนสงคราม, ด่ายิว, รับสินบน, รับเงินสนับสนุนจากแหล่งที่ไม่สุจริต, รับเงินจากต่างประเทศเพื่อแลกกับผลประโยชน์ (ในสมัยที่นั่งกลาโหม) ทั้งหมดนี้...มาจากฝีมือใครก็ไม่รู้……แต่ต้องเป็นมือแฮคระดับเทพเท่านั้นที่จะทำได้ ผลคือ……คะแนนของมาดามที่ว่านำมาลิ่วๆนั้น ตกฮวบลงอย่างน่าใจหาย วินาทีสุดท้ายคะแนนของกลุ่มที่รอการตัดสินใจได้เทไปให้ทางนายทรัมป์จนหมด เขาชนะไปแบบเฉือนกันปลายจมูก…… อเมริกา ได้นายทรัมป์มาเป็นประธานาธิบดี มาดามคลินตัน จุกจนพูดไม่ออก……เพราะมันหมายถึงสิ่งที่ตั้งความหวังมาตลอดชีวิตว่าจะเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศนั้นหายวับไปต่อหน้าต่อตา เพราะอีเมล์จำนวนร้อยฉบับเหล่านั้น มันได้เปิดหน้ากากเธอจนหมดสิ้น…… วันนั้น……ทางเครมลินได้รอฟังผลการเลือกตั้งเช่นกัน พร้อมเหล้ายาปลาปิ้ง กับแกล้มพร้อม เตรียมฉลองเหมือนจะรู้ว่า รถหมูคว่ำแน่……!!! นี่คือการ”เอาคืน” แบบย้อนเกล็ดที่เจ็บแสบที่สุด………ที่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นฝีมือของรัสเซีย การเอาคืนในระบบปูตินนั้น……มาได้หลายรูปแบบ อย่างที่ยกชื่อมาเป็นตัวอย่างสองคนข้างบน คนแรก Anna Politkovskaya อายุ 48 ปีเป็น อเมริกัน-รัสเซีย ทำงานสื่ออิสระในสายของ Human Rights Watch ที่เอาตัวเองเข้าไปคลุกคลีในสนามรบของสงคราม Chechen แล้วส่งข่าวรายงานสู่สื่อใหญ่อเมริกา เธอได้รับการเตือนแบบเป็นระยะ นับตั้งแต่ถูกวางยาให้ป่วย, คุมขัง แต่ก็ไม่ได้ผล ในที่สุด……เธอได้เสียชีวิตจากการถูกลอบสังหารในบริเวณที่พักของเธอเอง ในปี 2006 คาดว่า……ทางรัสเซียคงหมดความอดทนหลังจากที่จับได้ว่า เธอได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาย Boris Berezovsky เจ้าพ่อสื่อโทรทัศน์ตัวการสำคัญที่หลบหนีไปอยู่ที่อังกฤษ หมายเหตุ เรื่องของนาย Boris นี้ ดิฉันเคยเล่าไปแล้ว... คนต่อมาคือนาย Boris Nemtsov ที่เคยเป็นอธิบดี (ในรัฐบาลของ ประธานาธิบดี Yeltzin) ที่ต่อต้านปูตินอย่างเปิดเผย อีกทั้งเขาได้พยายามหาพวกจากฝั่งอเมริกาและอังกฤษเพื่อ ช่วยกระจายข่าวต่อ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ปูตินคือบุคคลที่รวยที่สุดในโลก มีบ้านราคาพันล้านเหรียญ มีเรือสำราญ และอีกสารพัดที่จะมี วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2015 สองวันก่อนที่เขาจะขึ้นเวทีการอภิปรายใหญ่เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสของรัฐบาล เวลาเที่ยงคืนเศษ เขากับแฟนสาวเดินข้ามสะพานบริเวณหน้าพระราชวังเครมลิน มีรถแล่นผ่านไปอย่างช้าๆ แล้วเขาก็ล้มลงไป……สิ้นใจด้วยกระสุนที่ยิงเข้ากลางหลังสี่นัด งานนี้เป็นงานดี ฝีมือเนี๊ยบ……เพราะแฟนสาวที่เดินเคลียคลออยู่ข้างๆนั้น ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโดนยิง คิดว่าสะดุดอะไรล้มลง...ไม่มียินเสียงอะไรทั้งสิ้น ฟังแล้วก็ต้องทำใจนะคะ……นี่คือด้านมืดของมนุษย์ มีพระคุณแล้วก็ต้องมีพระเดช แล้วยังต้องมีการเก็บกวาดสิ่งที่เรียกว่าเสี้ยนหนาม กีดขวางทางเดิน ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล……ก็ใช้แฮ๊คเคอร์ แต่พี่รัสเซียนี่ เขาเอามาใช้ทุกอย่าง……ระยะหลังนี่ หนักไปทางยาพิษชนิดที่นักเคมีต้องค้นตำราแก้…… ขนาดเก่งกล้าสารพัด มาเสียเชิงให้เป็นที่ขบขันได้ จากข่าวเรื่องทองคำแท่ง หนักกว่า 3.4 ตัน ร่วงลงมากจากเครื่องบินขณะที่กำลังวิ่งบนลู่ เพื่อที่จะเหินขึ้นฟ้า เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ ชาวบ้านอเมริกันเขาว่า “โธ่เอ๊ยย……ขนาดขนทองยังเอาเครื่องบินผุๆมาใช้………ไหนคุยว่าสร้างจรวดไง?” Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 43 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส เรียกร้องในวันเสาร์ (5 ต.ค.) ให้ระงับป้อนอาวุธแก่อิสราเอลที่ใช้ในฉนวนกาซา ความเคลื่อนไหวที่กระตุ้นเสียงตอบโต้อย่างดุเดือดจากเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล
    .
    นอกจากนี้ มาครง ยังวิพากษ์วิจารณ์อิสราเอล ต่อการตัดสินใจเปิดปฏิบัติการทางภาคพื้นที่ในเลบานอนด้วยเช่นกัน "ผมคิดว่าวันนี้ เป้าหมายลำดับต้นๆ คือการกลับสู่ทางออกทางการเมือง เราควรหยุดป้อนอาวุธที่ใช้สู้รบในกาซา" ผู้นำฝรั่งเศสให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแดนน้ำหอม "ฝรั่งเศสจะไม่ป้อนอาวุธใดๆ"
    .
    มาครง เน้นย้ำความกังวลของเขาที่มีต่อความขัดแย้งในกาซาที่ยังคงเป็นไปอย่างเลวร้าย แม้มีเสียงเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าสำหรับข้อตกลงหยุดยิง "เราคิดว่าพวกเขาไม่ได้ยินเสียงของเรา ผมคิดว่ามันคือความผิดพลาด ในนั้นรวมถึงสำหรับความมั่นคงของอิสราเอล" เขากล่าว พร้อมระบุว่าความขัดแย้งกำลังนำมาซึ่งความเกลียดชัง
    .
    ความเห็นของเขาเรียกเสียงตอบโต้อย่างดุเดือดมาจาก เนทันยาฮู "ในขณะที่อิสราเอลกำลังสู้รบกับกองกำลังที่ป่าเถื่อนทั้งหลายที่นำโดยอิหร่าน พวกประเทศศิวิไลซ์ทั้งหมดควรยืนหยัดอยู่เคียงข้างอิสราเอล" เนทันยาฮูระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่โดยทำเนียบนายกรัฐมตรีอิสราเอล "แต่ประธานาธิบดีมาครง และพวกผู้นำตะวันตกคนอื่นๆ ตอนนี้กลับมาเรียกร้องให้ใช้มาตรการปิดล้อมทางอาวุธกับอิสราเอล พวกเขามันน่าอดสู"
    .
    อิสราเอลสู้รบในสงครามในหลายแนวหน้ากับบรรดากลุ่มติดอาวุธทั้งหลายที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน คู่อริตัวฉกาจ
    .
    ทำเนียบของประธานาธิบดีมาครง เผยแพร่ถ้อยแถลงของตนเองเช่นกันในช่วงค่ำวันเสาร์ (5 ต.ค.) ตอบโต้ความเห็นของผู้นำอิสราเอล "ฝรั่งเศสเป็นมิตรที่แน่วแน่ของอิสราเอล" พร้อมระบุปฏิกิริยาตอบสนองของเนทันยาฮู "นั้นเลยเถิดเกินไปและไม่ใกล้เคียงความเป็นมิตรระหว่างฝรั่งเศสกับอิสราเอล"
    .
    ระหว่างการให้สัมภาษณ์ มาครง ยังบอกว่าควรให้ความสำคัญลำดับต้นๆ ในการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ลุกลามบานปลายในเลบานอน "เลบานอนไม่อาจเป็นอีกหนึ่งกาซา" เขากล่าว พร้อมเน้นย้ำเสียงเรียกร้องของปารีสและวอชิงตันเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง "ผมเสียใจที่นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูเลือกทางเลือกอื่น เขาต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับปฏิบัติการทางภาคพื้นในแผ่นดินของเลบานอน"
    .
    สมาชิก 88 รัฐขององค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส (OIF) ในนั้นรวมถึงฝรั่งเศสและแคนาดา เรียกร้องการหยุดยิงในทันทีและยั่งยืนในเลบานอน อย่างไรก็ตาม มาครง เน้นย้ำเกี่ยวกับสิทธิในการป้องกันตนเองของอิสราเอล และเปิดเผยว่าเขาจะพบปะกับบรรดาญาติๆ ของตัวประกันเชื้อสายฝรั่งเศส-อิสราอล ที่เคยถูกควบคุมตัวในกาซา ในวันจันทร์ (7 ต.ค.)
    .
    ในวันจันทร์ (7 ต.ค.) ถือเป็นวาระครบรอบ 1 ปี ที่อิสราเอลถูกพวกนักรบปาเลสไตน์ฮามาสบุกจู่โจมอย่างไม่คาดคิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 โหมกระพือสงครามในกาซา และเวลานี้แผ่ลามไปยังเลบานอน ประเทศที่อยู่ติดกัน ก่อวิกฤตในภูมิภาค
    .
    ผลจากปฏิบัติการโจมตีของฮามาส ได้ปลิดชีพไป 1,205 คนในอิสราเอล ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน ในขณะที่ปฏิบัติการรุกรานแก้แค้นของอิสราเอลถล่มกาซา ได้สังหารไปแล้วอย่างน้อย 41,825 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนเช่นกัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000094758
    ..................
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส เรียกร้องในวันเสาร์ (5 ต.ค.) ให้ระงับป้อนอาวุธแก่อิสราเอลที่ใช้ในฉนวนกาซา ความเคลื่อนไหวที่กระตุ้นเสียงตอบโต้อย่างดุเดือดจากเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล . นอกจากนี้ มาครง ยังวิพากษ์วิจารณ์อิสราเอล ต่อการตัดสินใจเปิดปฏิบัติการทางภาคพื้นที่ในเลบานอนด้วยเช่นกัน "ผมคิดว่าวันนี้ เป้าหมายลำดับต้นๆ คือการกลับสู่ทางออกทางการเมือง เราควรหยุดป้อนอาวุธที่ใช้สู้รบในกาซา" ผู้นำฝรั่งเศสให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแดนน้ำหอม "ฝรั่งเศสจะไม่ป้อนอาวุธใดๆ" . มาครง เน้นย้ำความกังวลของเขาที่มีต่อความขัดแย้งในกาซาที่ยังคงเป็นไปอย่างเลวร้าย แม้มีเสียงเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าสำหรับข้อตกลงหยุดยิง "เราคิดว่าพวกเขาไม่ได้ยินเสียงของเรา ผมคิดว่ามันคือความผิดพลาด ในนั้นรวมถึงสำหรับความมั่นคงของอิสราเอล" เขากล่าว พร้อมระบุว่าความขัดแย้งกำลังนำมาซึ่งความเกลียดชัง . ความเห็นของเขาเรียกเสียงตอบโต้อย่างดุเดือดมาจาก เนทันยาฮู "ในขณะที่อิสราเอลกำลังสู้รบกับกองกำลังที่ป่าเถื่อนทั้งหลายที่นำโดยอิหร่าน พวกประเทศศิวิไลซ์ทั้งหมดควรยืนหยัดอยู่เคียงข้างอิสราเอล" เนทันยาฮูระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่โดยทำเนียบนายกรัฐมตรีอิสราเอล "แต่ประธานาธิบดีมาครง และพวกผู้นำตะวันตกคนอื่นๆ ตอนนี้กลับมาเรียกร้องให้ใช้มาตรการปิดล้อมทางอาวุธกับอิสราเอล พวกเขามันน่าอดสู" . อิสราเอลสู้รบในสงครามในหลายแนวหน้ากับบรรดากลุ่มติดอาวุธทั้งหลายที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน คู่อริตัวฉกาจ . ทำเนียบของประธานาธิบดีมาครง เผยแพร่ถ้อยแถลงของตนเองเช่นกันในช่วงค่ำวันเสาร์ (5 ต.ค.) ตอบโต้ความเห็นของผู้นำอิสราเอล "ฝรั่งเศสเป็นมิตรที่แน่วแน่ของอิสราเอล" พร้อมระบุปฏิกิริยาตอบสนองของเนทันยาฮู "นั้นเลยเถิดเกินไปและไม่ใกล้เคียงความเป็นมิตรระหว่างฝรั่งเศสกับอิสราเอล" . ระหว่างการให้สัมภาษณ์ มาครง ยังบอกว่าควรให้ความสำคัญลำดับต้นๆ ในการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ลุกลามบานปลายในเลบานอน "เลบานอนไม่อาจเป็นอีกหนึ่งกาซา" เขากล่าว พร้อมเน้นย้ำเสียงเรียกร้องของปารีสและวอชิงตันเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง "ผมเสียใจที่นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูเลือกทางเลือกอื่น เขาต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับปฏิบัติการทางภาคพื้นในแผ่นดินของเลบานอน" . สมาชิก 88 รัฐขององค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส (OIF) ในนั้นรวมถึงฝรั่งเศสและแคนาดา เรียกร้องการหยุดยิงในทันทีและยั่งยืนในเลบานอน อย่างไรก็ตาม มาครง เน้นย้ำเกี่ยวกับสิทธิในการป้องกันตนเองของอิสราเอล และเปิดเผยว่าเขาจะพบปะกับบรรดาญาติๆ ของตัวประกันเชื้อสายฝรั่งเศส-อิสราอล ที่เคยถูกควบคุมตัวในกาซา ในวันจันทร์ (7 ต.ค.) . ในวันจันทร์ (7 ต.ค.) ถือเป็นวาระครบรอบ 1 ปี ที่อิสราเอลถูกพวกนักรบปาเลสไตน์ฮามาสบุกจู่โจมอย่างไม่คาดคิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 โหมกระพือสงครามในกาซา และเวลานี้แผ่ลามไปยังเลบานอน ประเทศที่อยู่ติดกัน ก่อวิกฤตในภูมิภาค . ผลจากปฏิบัติการโจมตีของฮามาส ได้ปลิดชีพไป 1,205 คนในอิสราเอล ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน ในขณะที่ปฏิบัติการรุกรานแก้แค้นของอิสราเอลถล่มกาซา ได้สังหารไปแล้วอย่างน้อย 41,825 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนเช่นกัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000094758 .................. Sondhi X
    Like
    Yay
    Haha
    13
    0 Comments 0 Shares 1399 Views 0 Reviews
  • 🤠#โลกของภูมิภาคตะวันตกในสายตาของพระภิกษุถังซัมจั๋ง ตอน 01.🤠

    😎#ออกจากประตูหยก😎

    🥸การเดินทางของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไปทางทิศตะวันตกเพื่อแสวงหาธรรมะนั้นเป็นการกระทำส่วนตัวโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากทางการ แต่ด้วยเหตุนี้ มุมมองของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ที่มีต่อภูมิภาคตะวันตกจึงมีความเป็นพลเรือนมากกว่า เป็นกลางมากกว่า และเป็นจริงมากกว่า🥸

    🥸ต่อไปนี้เชิญท่านมาเผชิญหน้ากับท่ามกลางท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยลมและทราย เดินย่ำเหยียบฝ่าหมอกควันทะเลทราย เริ่มต้นเข้าร่วมกับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ในการเดินทางอันน่ามหัศจรรย์ของเขาเพื่อร่างขอบเขตดินแดนของภูมิภาคตะวันตก🥸

    😎ออกจากประตูหยก(玉门)ไปทางทิศตะวันตก 😎

    🥸ในปีคริสตศักราช 629 ภัยพิบัติน้ำแข็งเกิดขึ้นในพื้นที่กวนจง(关中) ราชวงศ์ถัง(唐)ออกคำสั่งให้พระภิกษุและฆราวาสในพื้นที่ คยองกี(Gyeonggi京畿) ย้ายไปยังสถานที่อื่นเพื่อหาอาหารและหลีกเลี่ยงหลบหนีจากความอดอยาก พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ซึ่งแต่เดิมต้องการออกจากด่านทางผ่าน แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากราชสำนักจึงใช้โอกาสนี้ออกจากฉางอาน(长安)🥸 เขาเดินทางผ่านหลานโจว(兰州)และเหลียงโจว(凉州) เขาหลีกเลี่ยงการติดตามจัยกุมของทางการโดยการเดินทางเวลากลางคืนและพักเวลากลางวัน ต่อมา พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) เสี่ยงภัยเดินทางผ่าน กวัวโจว(瓜州) และ อวี้เหมินกวน(Yumen Pass玉门关) ผ่านหอคอยสัญญาณไฟ 5 แห่งที่มีกองทหารคุ้มกันตามลำดับรายทาง ด้วยความช่วยเหลือจากทหารรักษาชายแดนผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ข้ามทะเลทรายโกบีด้วยพลังแห่งความศรัทธาและความอุตสาหะอย่างแรงกล้าก่อนจะไปถึงอีหวู(伊吾) และเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)ทางตะวันออกของภูมิภาคตะวันตก

    🥸สถานีแรกของการเดินทาง อีหวู(伊吾) ได้มีการส่งมอบการมาถึงอย่างกะทันหันของพระภิกษุให้กับเกาชาง(Gaochang高昌) (ปัจจุบันคือเมืองถูหลู่ฟาน(Turfan 吐鲁番) เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์(Xinjiang Uygur Autonomous Region 新疆维吾尔自治区)) เจ้าเหนือหัวองค์น้อยทางตะวันออกของภูมิภาคตะวันตกในขณะนั้น ซึ่งตั้งอยู่ริมแอ่งถูหลู่ฟาน(Turfan Depression吐鲁番盆地)🥸

    🥸หลังจากได้ยินข่าวว่า พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)มาถึงแล้ว กษัตริย์เกาชาง(Gaochang高昌) เสนาบดี และสาวใช้ออกมาจากพระราชวังในเวลากลางคืน ทรงจุดเทียน และเข้าแถวเพื่อต้อนรับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)เข้าสู่พระราชวังด้วยความเคารพ🥸 หลังจากเห็น พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) แล้ว ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ก็ดีใจมากและบอกกับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ว่า: นับตั้งแต่ฉันรู้ชื่ออาจารย์ ฉันมีความสุขมากจนลืมกินลืมนอน ฉันรู้ว่าพระภิกษุผู้แสวงธรรมจากตะวันออกจะมาคืนนี้ ฉันก็เลยพร้อมกับพระราชินีและเจ้าชายทรงพากันสวดมนต์ตลอดทั้งคืนรอการมาถึงของพระอาจารย์

    พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ถูกจัดให้อยู่ที่สนามหลวงทางพิธีกรรมของศาสนาถัดจากพระราชวังกษัตริย์เกาชาง(Gaochang高昌) และจัดขันทีให้ดูแลอาหารและชีวิตประจำวันของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)

    รัฐเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)เป็นนครรัฐที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคตะวันตก และถูกปกครองโดยผู้รอดชีวิตจากราชวงศ์ฮั่น(汉)และเว่ย(魏) ซึ่งเป็นโครงสร้างทางการเมืองที่รวมหู(胡)และฮั่น(汉)เข้าด้วยกัน ในบรรดาพลเมืองนั้น ไม่เพียงแต่สืบเชื้อสายมาจากผู้อพยพชาวฮั่น(汉)เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้คนจากภูมิภาคตะวันตกด้วย เช่น ชาวซ็อกเดียน(Sogdians粟特) ชาวซานซาน(Shanshan鄯善人)และชาวเติร์ก(Turks突厥人) 🥸ก่อนที่ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)จะมาถึง ประเทศนี้ก็ก่อตั้งขึ้นที่นั่นมานานกว่า 100 ปีแล้ว เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่พบว่าข้อมูลจำเพาะของเมืองที่นี่มีความคล้ายคลึงกับเมืองฉางอัน(长安)ในราชวงศ์ซุย(隋)และราชวงศ์ถัง(唐)มาก นอกจากนี้ยังมีรูปของ ดยุคไอแห่งหลู่(鲁哀公)สอดถามขงจื๊อ(孔子)เกี่ยวกับปัญหาการเมืองที่แขวนอยู่ในพระราชวังของอาณาจักร เกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)🥸

    😎การต้อนรับด้วยมารยาทอันสูงส่ง😎

    🥸ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)และบิดาของเขาเดินทางไปยังราชวงศ์สุย(隋)ในยุครุ่งเรืองเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิสุยหยางตี้(隋炀帝)🥸 เขาไม่เพียงแต่เดินทางไปยังฉางอาน(长安) ล่อหยาง(洛阳) เฝินหยาง(汾阳) เอี้ยนตี้(燕地) ไต้ตี้(代地) และเมืองสำคัญอื่นๆ และได้เห็นวัฒนธรรมฮั่น(汉)ของที่ราบตอนกลางดั้งเดิม แต่เขายังไปเยี่ยมคารวะพระภิกษุผู้มีชื่อเสียงและผู้มีคุณธรรมอีกมากมาย และเขาก็ชื่นชมที่ราบภาคกลางที่เป็นบ้านเกิดทางวัฒนธรรมของเขาเป็นอย่างมาก แต่ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)รู้สึกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับพระภิกษุผู้มีชื่อเสียงในอดีตของราชวงศ์ซุย ความฉลาดสามารถของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)นั้นเหนือกว่ามาก

    เมื่อใดก็ตามที่พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)บรรยายธรรมแก่ขุนนางของเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)ในเต็นท์ใหญ่ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ก็ถือกระถางธูปเพื่อเคลียร์นำทางให้พระภิกษุผู้มีชื่อเสียงด้วยตนเอง เมื่อพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไปที่แท่นธรรมาสน์เพื่อขึ้นเทศนาธรรม กษัตริย์แห่งเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)ถึงกับคุกเข่าโน้มตัวลง และทำหน้าที่เป็นบันไดให้ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ก้าวขึ้นแท่นธรรมาสน์ การปฏิบัตินี้ไม่สอดคล้องกับประเพณีตะวันออก แต่ก็มีบันทึกไว้ในหนังสือดั้งเดิมของอินเดียบางเรื่อง สิ่งนี้พิสูจน์ได้จากสิ่งแวดล้อมข้วงเคียงว่า เกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)คือจุดทางสี่แยกของอารยธรรมตะวันออกและตะวันตก นอกจากนี้ยังอธิบายถึงการบูชาสักการะอย่างสูงสุดต่อ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ของ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)

    พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ยังคัดเลือกพระภิกษุในท้องถิ่นหลายแห่งใน เกาชาง(Gaochang高昌)ให้เป็นนักเรียนและคนรับใช้ นิสัยปกิบัติในการรับลูกศิษย์ไปตลอดทางนี้ กลายเป็นต้นแบบทางประวัติศาสตร์สำหรับทีมอาจารย์และลูกศิษย์ของภิกษุราชวงศ์ถัง(唐)ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องใน "บันทึกการเดินทางสู่ตะวันตก(Journey to the West西游记)" แม้ว่ากษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)แห่งเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)จะชื่นชมพรสวรรค์และการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) เขาถึงกับมีความคิดหน่วงรั้งพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไว้ที่เกาชาง(Gaochang高昌)ด้วยซ้ำ และขอให้ประทับอยู่ที่นี่ตลอดไป แสดงธรรมสั่งสอนให้ความรู้ความกระจ่างแก่คนทั่วไป จนกระทั่งเป็นพระอาจารย์ระดับชาติของ เกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国) พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไม่เห็นด้วยเพราะมีตวามเห็นว่าเรื่องธรรมะเป็นเรื่องใหญ่กว่า กษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)เห็นว่าพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) มีความมุ่งมั่นดังนั้นเขาจึงจำต้องโยนไพ่ตายทางเลือกสุดท้ายของเขาออกไป: 🥸ถ้าพระคุณท่านไม่ปรารถนาอยู่ในเกาชาง(Gaochang高昌) ข้าพระเจ้าจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งท่านอาจารย์กลับไปทางทิศตะวันออก🥸

    เมื่อต้องเผชิญกับกลยุทธ์ไม้แข็งและไม้อ่อนร่วมกันของ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰) พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) กล่าวด้วยท่าทีที่ไม่ถ่อมตัวหรือหยิ่งผยองว่า: 🥸พระองค์สามารถจะเพียงได้รับกระดูกของอาตมาเอาไว้ได้ แต่พระองค์ไม่สามารถหยุดยั้งความตั้งใจของอาตมาที่จะไปทางตะวันตกได้🥸

    😎หนทางเบื้องหน้าอันยาวไกล😎

    🥸ด้วยเหตุนี้ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) จึงอดอาหารเป็นเวลาสามวันเพื่อแสดงความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะเดินทางไปดินแดนทางทิศตะวันตก🥸 ในฐานะเป็นอาณาจักรในภูมิภาคตะวันตกที่นับถือศาสนาพุทธ หากมีพระภิกษุที่แสวงหาธรรมะมาอดอยากจนตายภายในดินแดนของตน ชื่อเสียงสู่ภายนอกของเกาชาง(Gaochang高昌)ในภูมิภาคตะวันตกจะเสียหายอย่างมาก และเขาจะพลอยได้รับชื่อเสียงเสื่อมเสียงจากการทำร้ายพระภิกษุที่มีชื่อเสียงด้วย ยิ่งไปกว่านั้นความจริงแล้ว การขัดขวางการเดินทางไปดินแดนทางทิศตะวันตกของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ด้วยเพื่อความปรารถนาอันเห็นแก่ตัวของเขาเองก็เป็นการขัดแย้งกับความตั้งใจเดิมของเขา

    🥸เมื่อเขาคิดมาถึง ณ จุดนี้ กษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ก็ก้มหัวให้ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) เพื่อขอโทษ🥸 ความคิดที่เห็นแก่ตัวของเขาที่มีต่อเกาชาง(Gaochang高昌) ก็ถูกขจัดออกไปในที่สุดด้วยความมุ่งมั่นมีเมตตาที่จะช่วยสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ในเวลาเดียวกันกับขณะที่รู้สึกประทับใจกับความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ที่จะแสวงหาธรรมะโดยปราศจากสิ่งภายนอกมาบั่นทอนความตั้งใจ กษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)และพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ได้สาบานต่อฟ้าดินสัญญาเป็นพี่น้องกัน ภายใต้การอุปถัมภ์จากแม่ของแผ่นดินเจ้าจอมมารดา จาง(张太妃) เพื่อให้พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)เดินทางไปถึงอินเดียได้อย่างราบรื่น กษัตริย์เกาชาง(Gaochang高昌) ทรงสั่งการให้จัดทีมงานเล็กๆ ประกอบด้วยม้า 30 ตัว พนักงานข้าราชการเกาชาง(Gaochang高昌)1 คน ผู้ติดตามกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ 25 คน และพระภิกษุหนุ่ม 4 รูป เพื่อดูแลเรื่องอาหาร เสื้อผ้า และชีวิตประจำวันของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมหน้ากากและหมวกพิเศษสำหรับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)สำหรับการเดินทางผ่านภูเขาและทะเลทรายที่เต็มไปด้วยหิมะ รวมถึงเสื้อคลุมสำหรับพระสงฆ์ซึ่งสามารถปรับให้เข้ากับเขตภูมิอากาศต่างๆ จัดทหารม้าขนนำทองคำ เงิน และผ้าไหมจำนวนมากไว้สำหรับการครั้งนี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไม่เพียงแต่จะไม่ต้องทนทุกข์จากความหิวโหยระหว่างทางไปอินเดียเท่านั้น แต่ยังมีเงินเพียงพอที่จะทำทานอีกด้วย ในสิ่งแต่งเคิมเหล่านี้เป็นรายละเอียดด้านที่อ่อนโยนของประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ที่มีต่ออัครสาวก

    🥸นอกจากทรัพย์สินแล้ว เนื่องจากเจ้าผู้ครองแคว้นตะวันตกในขณะนั้น คือ ข่านเตอร์กตะวันตก(西突厥)ได้สมรสกับราชวงศ์เกาชาง(Gaochang高昌) ยังมีจดหมายแสดงความเคารพที่กษัตริย์แห่งเกาชาง(Gaochang高昌)มอบให้กับข่านแห่งเติร์กตะวันตก(西突厥) อธิบายถึงความตั้งใจของ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ที่จะไปทางดินแดนแคว้นตะวันตกเพื่อแสวงหาธรรมะ🥸 ภายใต้การคุ้มครองของเตอร์กข่านตะวันตก (西突厥) ทุกประเทศในภูมิภาคตะวันตกตลอดเส้นทางให้ความเคารพแก่พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) และให้การสนับสนุนทางทหารที่เข้มแข็งและมีควาทปลอดภัยที่สุดสำหรับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)และคณะเดินทางของเขา และจดหมายแสดงความเคารพของกษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ถึงพระมหากษัตริย์ของยี่สิบสี่ประเทศในภูมิภาคตะวันตกจะช่วยให้การเดินทางของ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ง่ายและสะดวกขึ้นอย่างมาก

    🥸ในช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ของการอำลาอาณาจักรเกาชาง(Gaochang高昌) บรรดาราชวงศ์และชาวเกาชาง(Gaochang高昌)ก็ออกจากเมืองเพื่อส่งอำลา🥸 พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)สัญญาว่า เมื่อเดินทางผ่านเกาชาง(Gaochang高昌)หลังจากกลับจากการศึกษาในอินเดียจะแสดงเทศนาธรรมอีก จากนั้นเขาก็กล่าวคำอำลากษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ด้วยน้ำตา พวกบรรดาราชวงศ์ เกาชาง(Gaochang高昌)เจ้าหน้าที่และประชาชนชาวพุทธต่างพากันออกจากเมืองส่งเสียงอำลาดังลั่นสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งถิ่น ราวกับว่ามือแห่งโชคชะตาได้ฉีกหัวใจและจิตวิญญาณออกจากร่างกายของชาวเกาชาง(Gaochang高昌) ทำให้พวกเขาสูญเสียสมบัติของชาติไปตลอดกาล

    บรรดาพวกราชวงศ์เกาชาง(Gaochang高昌) ส่งพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ออกไปนอกเมืองหลายสิบลี้ แม้ว่าพระภิกษุสมณเพศจะมองเห็นบรรลุแล้วการจากแยกอำลาในทางโลกแล้วก็ตาม แต่พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ผู้ที่มีจิตใจละเอียดอ่อนและยังคงเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ของมนุษย์ก็ยังมีอารมณ์อ่อนไหวมาก เขาขอบคุณต่ออาณาจักรเกาชาง(Gaochang高昌)อย่างสุดซึ้งอีกครั้งสำหรับการสนับสนุนอย่างมีน้ำใจ ราชาแห่งเกาชาง(Gaochang高昌)ยังจับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง ร่ำไห้ราวกับสายฝนกล่าวว่า 🥸ในเมื่อพระคุณท่านถือเป็นพี่น้องกัน สัตว์พาหนะต่าง ๆ ในประเทศก็มีเจ้าของคนเดียวกัน แล้วเหตุใดจึงต้องขอบคุณพวกเขาด้วย?🥸

    พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ตอบว่า: 🥸ฉันจะไม่มีวันลืมความเมตตาของเสด็จพี่ตลอดชีวิตของอาตมา ในวันที่อาตมากลับจากนำพระคัมภีร์ทางพุทธศาสนากลับมา อาตมาจะอยู่สอนธรรมะในเกาชาง(Gaochang高昌)เป็นเวลาสามปีเป็นการตอบแทน!🥸

    หลายปีต่อมาในฉางอาน(长安) พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)เล่าถึงเหตุการณ์อันน่าประทับใจนี้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากให้เหล่าสาวกฟัง มิตรภาพฉันท์พี่น้องที่มีต่อราชาแห่งเกาชาง(Gaochang高昌)ยังคงเกินคำบรรยาย ดูเหมือนราวกับว่าพิธีอำลาที่หรูหราและยิ่งใหญ่นั้นได่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ตอนนั้นเขาไม่รู้ 🥸นี่ยังจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้พบกับพี่ชายร่วมสาบานของเขา🥸

    🥳โปรดติดตามบทความ#โลกของภูมิภาคตะวันตกในสายตาของพระภิกษุถังซัมจั๋ง ตอน 02.
    #อาณาจักรคาราซาห์และคูชาที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#โลกของภูมิภาคตะวันตกในสายตาของพระภิกษุถังซัมจั๋ง ตอน 01.🤠 😎#ออกจากประตูหยก😎 🥸การเดินทางของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไปทางทิศตะวันตกเพื่อแสวงหาธรรมะนั้นเป็นการกระทำส่วนตัวโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากทางการ แต่ด้วยเหตุนี้ มุมมองของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ที่มีต่อภูมิภาคตะวันตกจึงมีความเป็นพลเรือนมากกว่า เป็นกลางมากกว่า และเป็นจริงมากกว่า🥸 🥸ต่อไปนี้เชิญท่านมาเผชิญหน้ากับท่ามกลางท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยลมและทราย เดินย่ำเหยียบฝ่าหมอกควันทะเลทราย เริ่มต้นเข้าร่วมกับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ในการเดินทางอันน่ามหัศจรรย์ของเขาเพื่อร่างขอบเขตดินแดนของภูมิภาคตะวันตก🥸 😎ออกจากประตูหยก(玉门)ไปทางทิศตะวันตก 😎 🥸ในปีคริสตศักราช 629 ภัยพิบัติน้ำแข็งเกิดขึ้นในพื้นที่กวนจง(关中) ราชวงศ์ถัง(唐)ออกคำสั่งให้พระภิกษุและฆราวาสในพื้นที่ คยองกี(Gyeonggi京畿) ย้ายไปยังสถานที่อื่นเพื่อหาอาหารและหลีกเลี่ยงหลบหนีจากความอดอยาก พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ซึ่งแต่เดิมต้องการออกจากด่านทางผ่าน แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากราชสำนักจึงใช้โอกาสนี้ออกจากฉางอาน(长安)🥸 เขาเดินทางผ่านหลานโจว(兰州)และเหลียงโจว(凉州) เขาหลีกเลี่ยงการติดตามจัยกุมของทางการโดยการเดินทางเวลากลางคืนและพักเวลากลางวัน ต่อมา พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) เสี่ยงภัยเดินทางผ่าน กวัวโจว(瓜州) และ อวี้เหมินกวน(Yumen Pass玉门关) ผ่านหอคอยสัญญาณไฟ 5 แห่งที่มีกองทหารคุ้มกันตามลำดับรายทาง ด้วยความช่วยเหลือจากทหารรักษาชายแดนผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ข้ามทะเลทรายโกบีด้วยพลังแห่งความศรัทธาและความอุตสาหะอย่างแรงกล้าก่อนจะไปถึงอีหวู(伊吾) และเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)ทางตะวันออกของภูมิภาคตะวันตก 🥸สถานีแรกของการเดินทาง อีหวู(伊吾) ได้มีการส่งมอบการมาถึงอย่างกะทันหันของพระภิกษุให้กับเกาชาง(Gaochang高昌) (ปัจจุบันคือเมืองถูหลู่ฟาน(Turfan 吐鲁番) เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์(Xinjiang Uygur Autonomous Region 新疆维吾尔自治区)) เจ้าเหนือหัวองค์น้อยทางตะวันออกของภูมิภาคตะวันตกในขณะนั้น ซึ่งตั้งอยู่ริมแอ่งถูหลู่ฟาน(Turfan Depression吐鲁番盆地)🥸 🥸หลังจากได้ยินข่าวว่า พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)มาถึงแล้ว กษัตริย์เกาชาง(Gaochang高昌) เสนาบดี และสาวใช้ออกมาจากพระราชวังในเวลากลางคืน ทรงจุดเทียน และเข้าแถวเพื่อต้อนรับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)เข้าสู่พระราชวังด้วยความเคารพ🥸 หลังจากเห็น พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) แล้ว ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ก็ดีใจมากและบอกกับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ว่า: นับตั้งแต่ฉันรู้ชื่ออาจารย์ ฉันมีความสุขมากจนลืมกินลืมนอน ฉันรู้ว่าพระภิกษุผู้แสวงธรรมจากตะวันออกจะมาคืนนี้ ฉันก็เลยพร้อมกับพระราชินีและเจ้าชายทรงพากันสวดมนต์ตลอดทั้งคืนรอการมาถึงของพระอาจารย์ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ถูกจัดให้อยู่ที่สนามหลวงทางพิธีกรรมของศาสนาถัดจากพระราชวังกษัตริย์เกาชาง(Gaochang高昌) และจัดขันทีให้ดูแลอาหารและชีวิตประจำวันของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) รัฐเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)เป็นนครรัฐที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคตะวันตก และถูกปกครองโดยผู้รอดชีวิตจากราชวงศ์ฮั่น(汉)และเว่ย(魏) ซึ่งเป็นโครงสร้างทางการเมืองที่รวมหู(胡)และฮั่น(汉)เข้าด้วยกัน ในบรรดาพลเมืองนั้น ไม่เพียงแต่สืบเชื้อสายมาจากผู้อพยพชาวฮั่น(汉)เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้คนจากภูมิภาคตะวันตกด้วย เช่น ชาวซ็อกเดียน(Sogdians粟特) ชาวซานซาน(Shanshan鄯善人)และชาวเติร์ก(Turks突厥人) 🥸ก่อนที่ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)จะมาถึง ประเทศนี้ก็ก่อตั้งขึ้นที่นั่นมานานกว่า 100 ปีแล้ว เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่พบว่าข้อมูลจำเพาะของเมืองที่นี่มีความคล้ายคลึงกับเมืองฉางอัน(长安)ในราชวงศ์ซุย(隋)และราชวงศ์ถัง(唐)มาก นอกจากนี้ยังมีรูปของ ดยุคไอแห่งหลู่(鲁哀公)สอดถามขงจื๊อ(孔子)เกี่ยวกับปัญหาการเมืองที่แขวนอยู่ในพระราชวังของอาณาจักร เกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)🥸 😎การต้อนรับด้วยมารยาทอันสูงส่ง😎 🥸ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)และบิดาของเขาเดินทางไปยังราชวงศ์สุย(隋)ในยุครุ่งเรืองเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิสุยหยางตี้(隋炀帝)🥸 เขาไม่เพียงแต่เดินทางไปยังฉางอาน(长安) ล่อหยาง(洛阳) เฝินหยาง(汾阳) เอี้ยนตี้(燕地) ไต้ตี้(代地) และเมืองสำคัญอื่นๆ และได้เห็นวัฒนธรรมฮั่น(汉)ของที่ราบตอนกลางดั้งเดิม แต่เขายังไปเยี่ยมคารวะพระภิกษุผู้มีชื่อเสียงและผู้มีคุณธรรมอีกมากมาย และเขาก็ชื่นชมที่ราบภาคกลางที่เป็นบ้านเกิดทางวัฒนธรรมของเขาเป็นอย่างมาก แต่ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)รู้สึกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับพระภิกษุผู้มีชื่อเสียงในอดีตของราชวงศ์ซุย ความฉลาดสามารถของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)นั้นเหนือกว่ามาก เมื่อใดก็ตามที่พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)บรรยายธรรมแก่ขุนนางของเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)ในเต็นท์ใหญ่ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ก็ถือกระถางธูปเพื่อเคลียร์นำทางให้พระภิกษุผู้มีชื่อเสียงด้วยตนเอง เมื่อพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไปที่แท่นธรรมาสน์เพื่อขึ้นเทศนาธรรม กษัตริย์แห่งเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)ถึงกับคุกเข่าโน้มตัวลง และทำหน้าที่เป็นบันไดให้ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ก้าวขึ้นแท่นธรรมาสน์ การปฏิบัตินี้ไม่สอดคล้องกับประเพณีตะวันออก แต่ก็มีบันทึกไว้ในหนังสือดั้งเดิมของอินเดียบางเรื่อง สิ่งนี้พิสูจน์ได้จากสิ่งแวดล้อมข้วงเคียงว่า เกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)คือจุดทางสี่แยกของอารยธรรมตะวันออกและตะวันตก นอกจากนี้ยังอธิบายถึงการบูชาสักการะอย่างสูงสุดต่อ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ของ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰) พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ยังคัดเลือกพระภิกษุในท้องถิ่นหลายแห่งใน เกาชาง(Gaochang高昌)ให้เป็นนักเรียนและคนรับใช้ นิสัยปกิบัติในการรับลูกศิษย์ไปตลอดทางนี้ กลายเป็นต้นแบบทางประวัติศาสตร์สำหรับทีมอาจารย์และลูกศิษย์ของภิกษุราชวงศ์ถัง(唐)ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องใน "บันทึกการเดินทางสู่ตะวันตก(Journey to the West西游记)" แม้ว่ากษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)แห่งเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)จะชื่นชมพรสวรรค์และการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) เขาถึงกับมีความคิดหน่วงรั้งพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไว้ที่เกาชาง(Gaochang高昌)ด้วยซ้ำ และขอให้ประทับอยู่ที่นี่ตลอดไป แสดงธรรมสั่งสอนให้ความรู้ความกระจ่างแก่คนทั่วไป จนกระทั่งเป็นพระอาจารย์ระดับชาติของ เกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国) พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไม่เห็นด้วยเพราะมีตวามเห็นว่าเรื่องธรรมะเป็นเรื่องใหญ่กว่า กษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)เห็นว่าพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) มีความมุ่งมั่นดังนั้นเขาจึงจำต้องโยนไพ่ตายทางเลือกสุดท้ายของเขาออกไป: 🥸ถ้าพระคุณท่านไม่ปรารถนาอยู่ในเกาชาง(Gaochang高昌) ข้าพระเจ้าจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งท่านอาจารย์กลับไปทางทิศตะวันออก🥸 เมื่อต้องเผชิญกับกลยุทธ์ไม้แข็งและไม้อ่อนร่วมกันของ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰) พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) กล่าวด้วยท่าทีที่ไม่ถ่อมตัวหรือหยิ่งผยองว่า: 🥸พระองค์สามารถจะเพียงได้รับกระดูกของอาตมาเอาไว้ได้ แต่พระองค์ไม่สามารถหยุดยั้งความตั้งใจของอาตมาที่จะไปทางตะวันตกได้🥸 😎หนทางเบื้องหน้าอันยาวไกล😎 🥸ด้วยเหตุนี้ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) จึงอดอาหารเป็นเวลาสามวันเพื่อแสดงความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะเดินทางไปดินแดนทางทิศตะวันตก🥸 ในฐานะเป็นอาณาจักรในภูมิภาคตะวันตกที่นับถือศาสนาพุทธ หากมีพระภิกษุที่แสวงหาธรรมะมาอดอยากจนตายภายในดินแดนของตน ชื่อเสียงสู่ภายนอกของเกาชาง(Gaochang高昌)ในภูมิภาคตะวันตกจะเสียหายอย่างมาก และเขาจะพลอยได้รับชื่อเสียงเสื่อมเสียงจากการทำร้ายพระภิกษุที่มีชื่อเสียงด้วย ยิ่งไปกว่านั้นความจริงแล้ว การขัดขวางการเดินทางไปดินแดนทางทิศตะวันตกของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ด้วยเพื่อความปรารถนาอันเห็นแก่ตัวของเขาเองก็เป็นการขัดแย้งกับความตั้งใจเดิมของเขา 🥸เมื่อเขาคิดมาถึง ณ จุดนี้ กษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ก็ก้มหัวให้ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) เพื่อขอโทษ🥸 ความคิดที่เห็นแก่ตัวของเขาที่มีต่อเกาชาง(Gaochang高昌) ก็ถูกขจัดออกไปในที่สุดด้วยความมุ่งมั่นมีเมตตาที่จะช่วยสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ในเวลาเดียวกันกับขณะที่รู้สึกประทับใจกับความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ที่จะแสวงหาธรรมะโดยปราศจากสิ่งภายนอกมาบั่นทอนความตั้งใจ กษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)และพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ได้สาบานต่อฟ้าดินสัญญาเป็นพี่น้องกัน ภายใต้การอุปถัมภ์จากแม่ของแผ่นดินเจ้าจอมมารดา จาง(张太妃) เพื่อให้พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)เดินทางไปถึงอินเดียได้อย่างราบรื่น กษัตริย์เกาชาง(Gaochang高昌) ทรงสั่งการให้จัดทีมงานเล็กๆ ประกอบด้วยม้า 30 ตัว พนักงานข้าราชการเกาชาง(Gaochang高昌)1 คน ผู้ติดตามกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ 25 คน และพระภิกษุหนุ่ม 4 รูป เพื่อดูแลเรื่องอาหาร เสื้อผ้า และชีวิตประจำวันของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมหน้ากากและหมวกพิเศษสำหรับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)สำหรับการเดินทางผ่านภูเขาและทะเลทรายที่เต็มไปด้วยหิมะ รวมถึงเสื้อคลุมสำหรับพระสงฆ์ซึ่งสามารถปรับให้เข้ากับเขตภูมิอากาศต่างๆ จัดทหารม้าขนนำทองคำ เงิน และผ้าไหมจำนวนมากไว้สำหรับการครั้งนี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไม่เพียงแต่จะไม่ต้องทนทุกข์จากความหิวโหยระหว่างทางไปอินเดียเท่านั้น แต่ยังมีเงินเพียงพอที่จะทำทานอีกด้วย ในสิ่งแต่งเคิมเหล่านี้เป็นรายละเอียดด้านที่อ่อนโยนของประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ที่มีต่ออัครสาวก 🥸นอกจากทรัพย์สินแล้ว เนื่องจากเจ้าผู้ครองแคว้นตะวันตกในขณะนั้น คือ ข่านเตอร์กตะวันตก(西突厥)ได้สมรสกับราชวงศ์เกาชาง(Gaochang高昌) ยังมีจดหมายแสดงความเคารพที่กษัตริย์แห่งเกาชาง(Gaochang高昌)มอบให้กับข่านแห่งเติร์กตะวันตก(西突厥) อธิบายถึงความตั้งใจของ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ที่จะไปทางดินแดนแคว้นตะวันตกเพื่อแสวงหาธรรมะ🥸 ภายใต้การคุ้มครองของเตอร์กข่านตะวันตก (西突厥) ทุกประเทศในภูมิภาคตะวันตกตลอดเส้นทางให้ความเคารพแก่พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) และให้การสนับสนุนทางทหารที่เข้มแข็งและมีควาทปลอดภัยที่สุดสำหรับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)และคณะเดินทางของเขา และจดหมายแสดงความเคารพของกษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ถึงพระมหากษัตริย์ของยี่สิบสี่ประเทศในภูมิภาคตะวันตกจะช่วยให้การเดินทางของ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ง่ายและสะดวกขึ้นอย่างมาก 🥸ในช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ของการอำลาอาณาจักรเกาชาง(Gaochang高昌) บรรดาราชวงศ์และชาวเกาชาง(Gaochang高昌)ก็ออกจากเมืองเพื่อส่งอำลา🥸 พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)สัญญาว่า เมื่อเดินทางผ่านเกาชาง(Gaochang高昌)หลังจากกลับจากการศึกษาในอินเดียจะแสดงเทศนาธรรมอีก จากนั้นเขาก็กล่าวคำอำลากษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ด้วยน้ำตา พวกบรรดาราชวงศ์ เกาชาง(Gaochang高昌)เจ้าหน้าที่และประชาชนชาวพุทธต่างพากันออกจากเมืองส่งเสียงอำลาดังลั่นสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งถิ่น ราวกับว่ามือแห่งโชคชะตาได้ฉีกหัวใจและจิตวิญญาณออกจากร่างกายของชาวเกาชาง(Gaochang高昌) ทำให้พวกเขาสูญเสียสมบัติของชาติไปตลอดกาล บรรดาพวกราชวงศ์เกาชาง(Gaochang高昌) ส่งพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ออกไปนอกเมืองหลายสิบลี้ แม้ว่าพระภิกษุสมณเพศจะมองเห็นบรรลุแล้วการจากแยกอำลาในทางโลกแล้วก็ตาม แต่พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ผู้ที่มีจิตใจละเอียดอ่อนและยังคงเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ของมนุษย์ก็ยังมีอารมณ์อ่อนไหวมาก เขาขอบคุณต่ออาณาจักรเกาชาง(Gaochang高昌)อย่างสุดซึ้งอีกครั้งสำหรับการสนับสนุนอย่างมีน้ำใจ ราชาแห่งเกาชาง(Gaochang高昌)ยังจับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง ร่ำไห้ราวกับสายฝนกล่าวว่า 🥸ในเมื่อพระคุณท่านถือเป็นพี่น้องกัน สัตว์พาหนะต่าง ๆ ในประเทศก็มีเจ้าของคนเดียวกัน แล้วเหตุใดจึงต้องขอบคุณพวกเขาด้วย?🥸 พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ตอบว่า: 🥸ฉันจะไม่มีวันลืมความเมตตาของเสด็จพี่ตลอดชีวิตของอาตมา ในวันที่อาตมากลับจากนำพระคัมภีร์ทางพุทธศาสนากลับมา อาตมาจะอยู่สอนธรรมะในเกาชาง(Gaochang高昌)เป็นเวลาสามปีเป็นการตอบแทน!🥸 หลายปีต่อมาในฉางอาน(长安) พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)เล่าถึงเหตุการณ์อันน่าประทับใจนี้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากให้เหล่าสาวกฟัง มิตรภาพฉันท์พี่น้องที่มีต่อราชาแห่งเกาชาง(Gaochang高昌)ยังคงเกินคำบรรยาย ดูเหมือนราวกับว่าพิธีอำลาที่หรูหราและยิ่งใหญ่นั้นได่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ตอนนั้นเขาไม่รู้ 🥸นี่ยังจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้พบกับพี่ชายร่วมสาบานของเขา🥸 🥳โปรดติดตามบทความ#โลกของภูมิภาคตะวันตกในสายตาของพระภิกษุถังซัมจั๋ง ตอน 02. #อาณาจักรคาราซาห์และคูชาที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 Comments 0 Shares 138 Views 0 Reviews
  • ขออภัยนะคะ……ไปเที่ยวมานิดนึง แต่……ในฐานะติ่งอาวุโส ก็ต้องรีบกลับมาประจำที่ค่าาา……พี่ปูเค้ากำลังฮ็อต…!!!

    ตอนยี่สิบสอง……เรื่องการแทรกแซงในยูเครนไม่ใช่เรื่องใหม่……ยังไงก็ต้องเป็นสนามรบ……!!!

    2013 ในระหว่างที่รัสเซียกำลังพุ่งแรงในเรื่องของเศรษฐกิจและการส่งพลังงาน อเมริกาก็เริ่มอึดอัด……เพราะระหว่างสัมพันธภาพดีๆระหว่างรัสเซียกับอเมริกานั้น……ก็แค่ภาพลักษณ์ภายนอกในสำนักข่าวเท่านั้น
    ที่เหลือคือ…การคุมเชิงกันแบบไม่กระพริบตา……
    โชคได้เข้าข้างปูติน……แบบบุญหล่นทับ……ในวันที่ 23 มิถุนายน 2013
    ที่สายการบินแอโรฟลอตได้นำชายอเมริกันคนหนึ่งมาสู่แผ่นดินรัสเซีย
    เขาคนนั้นคือ Edward Snowden ชายวัย 40 ปี ที่เคยเป็นหนึ่งในทีมของบริษัท Dell และ Booz Allen Hamilton ที่เป็นบริษัทที่ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดของ NSA (National Security Agency) หรือ ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา
    สโนว์เดน……ได้พบกับความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับรัฐบาลสหรัฐ ด้วยหลักฐานหลายๆอย่างที่มีการดักฟังโทรศัพท์ประชาชน และ ควบคุมเพื่อเข้าถึงคอมพิวเตอร์ในทุกที่ ที่ข้ามไปถึง แคนาดา, อังกฤษ, ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์
    เขาได้ข้อมูลไปกระจายใน WikiLeaks และ หนังสือพิมพ์ออนไลน์ เช่น The Guardian, The Washington Post
    และได้หลบหนีไปยังฮ่องกง เพื่อไปพบกับใครบางคนที่สถานกงสุลรัสเซียที่นั่น……
    จากนั้นเขาตั้งใจจะไปที่คิวบา………แต่ทางสหรัฐอเมริกาได้ประกาศอายัดพาสปอร์ตของเขาและมีหมายจับ……นั่นหมายความว่าเขาจะไปที่ไหนไม่ได้ นอกจากจะต้องส่งกลับ หรือ ต้องติดอยู่ที่สนามบินที่ฮ่องกงเพื่อรอการจับกุมตัว

    แต่ทางฮ่องกงได้ส่งเขาขึ้นเครื่องบินไปที่มอสโคว์..…ที่ทางรัฐบาลของปูตินปูพรมแดงรอรับ……ที่หัวหน้าของ FSB ไปรอรับด้วยตัวเองในฐานะแขกผู้มีเกียรติและถือว่าเป็นว่าวีรบุรุษ……

    ปธน. บารัค โอบามา พยายามที่จะติดต่อขอตัว”ผู้ร้าย” กลับไป โดยอ้างว่าสโนว์เดนเป็นคนขายชาติ และเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคง
    รวมทั้งสัญญาว่า……จะไม่มีการทำร้าย หรือ จับไปทารุณกรรม จะดำเนินคดีตามกฏหมายเท่านั้น……
    ปูตินตอกกลับไปว่า……เขาไม่ได้มีความผิดอะไรในรัสเซีย และ ด้วยสิทธิมนุษยชน เขามีสิทธิที่จะขออยู่ในรัสเซียได้ เพราะมีคุณสมบัติครบถ้วน
    ว่าแล้ว…สโนว์เดนก็ได้รับวีซ่าลี้ภัยให้อยู่ในรัสเซียแบบยาวนาน

    การเปิดเผยความลับของสโนว์เดนนี้ ผู้นำหลายชาติจึงได้ทราบว่า โทรศัพท์ของตัวเองมีการถูกดักฟัง เช่น นางแองเจลา เมอร์เคิล ด้วยระบบ
    SORM (System of Operative-Investigative Measures) ที่อเมริกาได้สร้างเป็นมุ้งคลุมไว้ทั่วเพื่อเป็นสปายทางระบบใยแก้ว

    เมื่อความลับจากสโนว์เดนที่แจกแจงออกมาให้ชาวโลกได้ทราบ
    โอบามายิ่งแค้นปูตินมากขึ้นเป็นทวีคูณ……เขามีกำหนดการที่จะต้องพบกับปูตินในเดือนกันยายน ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในการประชุม G20
    แต่…ขอยกเลิก……โดยอ้างกับนักข่าวว่า พบไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรัสเซียทำตรงกันข้ามทุกอย่าง เช่นการเท่าเทียมทางกลุ่มรักร่วมเพศ,
    การลดขนาดการสร้างอาวุธ, ยกเลิกการรับเลี้ยงดูเด็ก และความวุ่นวายที่ตะวันออกกลาง
    แต่……โอบามาไม่ปริปากในเรื่องการรั่วไหลของความลับที่กำลังเป็นข่าวดังในขณะนั้น…
    ทางฝ่ายโฆษกของรัสเซียได้ออกมาตอบโต้ว่า……ตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง……!!!

    ผลจากวิกิลีคส์ ที่เผยแพร่ไปได้สร้างความหวั่นไหวให้กับหลายๆชาติ
    ที่ตอนนี้เริ่มมองเห็นความสำคัญของรัสเซีย เพราะทุกคนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า……รัฐบาลรัสเซียได้ล่วงรู้ข้อมูลลับไปมากน้อยแค่ไหน
    สายตาทั้งหมดที่มองไปที่สหรัฐอเมริกา……มีแต่ความเคลือบแคลงและหมดความไว้ใจ
    แม้แต่นิตยสาร Forbes ได้ติดตำแหน่งให้ปูตินเป็นบุคคลที่ทรงอานุภาพที่สุดในโลก
    บุคคลที่ทรงอานุภาพ……ได้หันมาโฟกัสที่ยูเครนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
    เพราะเมื่อปี 2010 ที่ Viktor Yanukovych ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี
    ได้มีความกลมเกลียวเป็นอันดีกับรัสเซีย แต่พอมาปลายสมัย คือ 2015
    เขาเริ่มเปลี่ยนไป……หันไปซบกับตะวันตก ที่กำลังขยายยุโรปมาจนติดชายขอบ เช่น Moldova, Georgia และ Armenia โดยเริ่มจากลงนามในสนธิสัญญาทางการค้า โดยหวังว่าจะต่อยอดไปจนถึงสมาชิกสภายูโรเปี้ยน

    สำหรับปูติน……การก้าวล่วงมาถึงยูเครน……มันเกินกว่าที่จะรับได้
    เพราะเขามองออกว่า……นั่นคือ สิ่งที่ตะวันตกต้องการมากที่สุด คือ พื้นที่ที่จะจัดตั้งเป็นเขตทหารในนามของนาโต้……
    และทางพลังงาน……ที่จะเข้ามาควบคุมแหล่งทรัพยากร……
    ถ้าเกิดมีสงครามระหว่าง รัสเซียกับอเมริกา (มีความเป็นไปได้สูง)
    ทางตะวันตกแทบไม่ต้องลงแรงรบเลย เพราะ มีพลังงานให้ใช้ไม่มีหมด
    มีการหนุนหลังเรื่องเสบียงจากยุโรปไม่อั้น และ สามารถปิดกั้นทะเลบอลติก……
    ดังนั้น ยูเครนคือกล่องดวงใจ……ที่ต้องเต้นตามจังหวะของรัสเซียเท่านั้น
    ปูตินตั้งใจที่จะสร้างกลุ่ม Eurasian Union ขึ้นมา คือ เป็นการรวมตัวของโลกฝั่งตะวันออก ( ตอนนี้ก็เริ่มแล้ว คือ BRICS)
    แต่หัวใจสำคัญคือ ยูเครนที่ปูตินถือว่า เป็นดินแดน(เก่าแก่)ต้นกำเนิดของรัสเซียจะต้องเป็นพื้นที่ที่ปลอดตะวันตก….โดยเริ่มความเป็น Eurasian Union จากพรมแดนตรงนั้น……
    แต่ไปๆมาๆ…ยูเครนได้หันไปโปรตะวันตกอย่างออกหน้าออกตา
    โดยเฉพาะกับนางฮิลลารี คลินตันที่เคยออกมาเย้ยเยาะว่า (2012)
    “ถ้าคิดว่ายูเครนคือหมูในอวย…ฝันไปเถอะ……”

    ก่อนที่ EU จะรับ Lithuania เข้าไปเป็นสมาชิก อียูได้หันมาเร่งให้ยูเครนรีบเซ็นสัญญาค้าขายกันเสียก่อน เพื่อจะได้เอาไว้เป็นเครดิตว่ามีกิจกรรมกับทางยุโรป
    ปูตินพยายามคัดค้าน และพยายามไปเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง แม้กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2013 ที่เป็นวันสำคัญทางศาสนาร่วมกัน ที่ปูตินได้ย้ำเตือนถึงความเป็นออโธด็อกซ์ที่ผูกพันมาตั้งแต่ ปี 988

    ฝ่ายพ่อค้ายูเครนที่โปรตะวันตก เช่น บริษัท Roshen (ขายขนมทอฟฟี่)
    ปูตินสั่งบอยคอต……ห้ามเข้า
    เขาได้พบกับประธานาธิบดี Yanukovych สองครั้งติดกันในเดือนตุลาคมและ พฤศจิกายน และบอกตรงๆว่า……ยูเครนจะต้องเจอกับอะไรบ้าง หากคิดที่จะหวังไปร่วมกับยุโรป……รวมทั้ง พลังงานทั้งหลายแหล่ จะต้องถูกตัดขาด……
    เมื่อโดนเข้าไปเต็มๆ……ท่าทีของยานุโควิชที่มีต่อยูโรปได้เปลี่ยนไปไม่กล้าที่จะออกความเห็นหรือตัดสินใจ เขาได้บอกกับทางอียูไปตรงๆว่า
    ยูเครนเป็นหนี้รัสเซียอยู่ แสนหกหมื่นล้านเหรียญ ถ้าทางสภายุโรปมีหนทางที่จะช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ได้ ยูเครนก็จะได้มีโอกาสทำสัญญาทางการค้าด้วย
    สภายุโรปได้ยินจำนวนเงิน………ก็ลมจับ ไม่เสนอหน้ามาชวนอีกเลย

    แต่ก่อนที่จะโดนปูตินอัดเข้าไป ยานุโควิชได้ทำการโฆษณาให้ความหวังกับประชาชนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะเปิดความสัมพันธ์กับยูโรป และจะพยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสภาอียู
    แต่เมื่อถึงเวลาการประชุม ที่ลิธัวเนีย ในวันที่ 21 พฤศจิกายน
    ยานุโควิช……ได้ประกาศออกสื่อให้ทราบทั่วกันว่า เขาเปลี่ยนใจแล้ว
    ไม่ขอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสัมพันธ์ทางพานิชย์กับอียู
    อยู่อย่างนี้เหมือนเดิม…
    ผลคือ……ประชาชนออกมาเดินขบวน แน่นหนาเต็มเมือง
    แต่คราวนี้ไม่ใช่ธงสีส้ม……แต่เป็นธงอียูสีฟ้าที่มีดาวเหลืองเป็นวงกลม

    ยานุโควิช……แทบไม่ต้องแก้ไขอะไรเพราะในเวลานั้นเป็นฤดูหนาวที่ใกล้เทศกาลปลายปี ชุมนุมกันก็ได้แค่เดี๋ยวเดียว เขาบินไปจีน ไปทำสัญญาการค้าขาย (แทนยุโรป) ก่อนไปที่จีน เขาแวะพบกับปูตินเพื่อทำการตกลงกันว่า ทางรัสเซียจะให้เงินอุดหนุนสภาพคล่องหมื่นห้าพันล้านเหรียญ
    และลดราคาก๊าส จาก$400 คิวบิตเมตร เป็น $268
    ที่จะเก็บเป็นความลับไปจนกว่าจะถึงวันที่ 9 มีนาคม 2014 ที่ผู้นำทั้งสองจะมีการพบปะกัน แล้วค่อยประกาศอย่างเป็นทางการ………

    เป็นอันว่า…ในยกนี้ ปูตินได้เอาชนะต่อคำเยาะเย้ยของนางคลินตันไปได้

    ตอนนั้นเป็นช่วงที่ใกล้จะเปิดพิธีกีฬาโอลิมปิกที่ Sochi ประมุขของประเทศต่างๆจะเข้ามาเป็นอาคันตุกะ เขาได้ทำการปล่อยนักโทษการเมือง ให้เป็นอิสระ อย่างเช่น Mikhaïl Khodorkovsky ที่จำคุกมาแล้ว10 ปี
    โดยมีการทำสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับการเมืองอีก…… และปลดปล่อยกลุ่มสาวห่าม ***** Riot ตามด้วยกลุ่มที่เคยประท้วงอื่นๆ
    สองวันก่อนที่จะมีพิธีเปิด….กลุ่มนักข่าวสามสิบกว่าคนได้ทำการเขียนข่าวในทำนองว่า เป็นการใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองเพื่อสนองความต้องการของคนคนเดียว……
    ปูตินให้สัมภาษณ์โต้ว่า……”การทำให้คนรักเรา สรรเสริญเรา ชื่นชมเรา นั้นทำไม่ยากเลย..”
    นักข่าวถามว่า ต้องทำอย่างไร?
    คำตอบคือ……ก็เวลาที่เราลดขนาดกองทัพ…ยกพื้นที่ให้เขา…ขายทรัพยากรให้เขาอย่างถูกๆไงล่ะ ……แค่นั้นเขาก็จะรักเรา ดีกับเราสารพัด…!!
    แต่เมื่อพิธีงานเปิดผ่านไป.……คนที่เคยติ……คนที่เคยต่อต้านกลับมาชื่นชมในผลงานและภาคภูมิใจไปตามๆกัน

    สำหรับปูติน.……มันคือการเรียกศักดิ์ศรีของประเทศกลับคืนมา เฉกเช่นเมื่อครั้ง Yuri Gagarin ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ……และกองทัพแดงได้ชัยชนะในสงครามกับนาซี
    ความยิ่งใหญ่ในครั้งนี้…ได้ส่งข้ามไปถึงสหรัฐอเมริกา ที่ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ไม่ได้เข้ามาร่วม เพราะหนึ่งคือความขัดแย้ง
    สองคือ……ความบาดตาบาดใจ…!!!!


    Wiwanda W. Vichit
    ขออภัยนะคะ……ไปเที่ยวมานิดนึง แต่……ในฐานะติ่งอาวุโส ก็ต้องรีบกลับมาประจำที่ค่าาา……พี่ปูเค้ากำลังฮ็อต…!!! ตอนยี่สิบสอง……เรื่องการแทรกแซงในยูเครนไม่ใช่เรื่องใหม่……ยังไงก็ต้องเป็นสนามรบ……!!! 2013 ในระหว่างที่รัสเซียกำลังพุ่งแรงในเรื่องของเศรษฐกิจและการส่งพลังงาน อเมริกาก็เริ่มอึดอัด……เพราะระหว่างสัมพันธภาพดีๆระหว่างรัสเซียกับอเมริกานั้น……ก็แค่ภาพลักษณ์ภายนอกในสำนักข่าวเท่านั้น ที่เหลือคือ…การคุมเชิงกันแบบไม่กระพริบตา…… โชคได้เข้าข้างปูติน……แบบบุญหล่นทับ……ในวันที่ 23 มิถุนายน 2013 ที่สายการบินแอโรฟลอตได้นำชายอเมริกันคนหนึ่งมาสู่แผ่นดินรัสเซีย เขาคนนั้นคือ Edward Snowden ชายวัย 40 ปี ที่เคยเป็นหนึ่งในทีมของบริษัท Dell และ Booz Allen Hamilton ที่เป็นบริษัทที่ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดของ NSA (National Security Agency) หรือ ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา สโนว์เดน……ได้พบกับความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับรัฐบาลสหรัฐ ด้วยหลักฐานหลายๆอย่างที่มีการดักฟังโทรศัพท์ประชาชน และ ควบคุมเพื่อเข้าถึงคอมพิวเตอร์ในทุกที่ ที่ข้ามไปถึง แคนาดา, อังกฤษ, ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ เขาได้ข้อมูลไปกระจายใน WikiLeaks และ หนังสือพิมพ์ออนไลน์ เช่น The Guardian, The Washington Post และได้หลบหนีไปยังฮ่องกง เพื่อไปพบกับใครบางคนที่สถานกงสุลรัสเซียที่นั่น…… จากนั้นเขาตั้งใจจะไปที่คิวบา………แต่ทางสหรัฐอเมริกาได้ประกาศอายัดพาสปอร์ตของเขาและมีหมายจับ……นั่นหมายความว่าเขาจะไปที่ไหนไม่ได้ นอกจากจะต้องส่งกลับ หรือ ต้องติดอยู่ที่สนามบินที่ฮ่องกงเพื่อรอการจับกุมตัว แต่ทางฮ่องกงได้ส่งเขาขึ้นเครื่องบินไปที่มอสโคว์..…ที่ทางรัฐบาลของปูตินปูพรมแดงรอรับ……ที่หัวหน้าของ FSB ไปรอรับด้วยตัวเองในฐานะแขกผู้มีเกียรติและถือว่าเป็นว่าวีรบุรุษ…… ปธน. บารัค โอบามา พยายามที่จะติดต่อขอตัว”ผู้ร้าย” กลับไป โดยอ้างว่าสโนว์เดนเป็นคนขายชาติ และเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคง รวมทั้งสัญญาว่า……จะไม่มีการทำร้าย หรือ จับไปทารุณกรรม จะดำเนินคดีตามกฏหมายเท่านั้น…… ปูตินตอกกลับไปว่า……เขาไม่ได้มีความผิดอะไรในรัสเซีย และ ด้วยสิทธิมนุษยชน เขามีสิทธิที่จะขออยู่ในรัสเซียได้ เพราะมีคุณสมบัติครบถ้วน ว่าแล้ว…สโนว์เดนก็ได้รับวีซ่าลี้ภัยให้อยู่ในรัสเซียแบบยาวนาน การเปิดเผยความลับของสโนว์เดนนี้ ผู้นำหลายชาติจึงได้ทราบว่า โทรศัพท์ของตัวเองมีการถูกดักฟัง เช่น นางแองเจลา เมอร์เคิล ด้วยระบบ SORM (System of Operative-Investigative Measures) ที่อเมริกาได้สร้างเป็นมุ้งคลุมไว้ทั่วเพื่อเป็นสปายทางระบบใยแก้ว เมื่อความลับจากสโนว์เดนที่แจกแจงออกมาให้ชาวโลกได้ทราบ โอบามายิ่งแค้นปูตินมากขึ้นเป็นทวีคูณ……เขามีกำหนดการที่จะต้องพบกับปูตินในเดือนกันยายน ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในการประชุม G20 แต่…ขอยกเลิก……โดยอ้างกับนักข่าวว่า พบไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรัสเซียทำตรงกันข้ามทุกอย่าง เช่นการเท่าเทียมทางกลุ่มรักร่วมเพศ, การลดขนาดการสร้างอาวุธ, ยกเลิกการรับเลี้ยงดูเด็ก และความวุ่นวายที่ตะวันออกกลาง แต่……โอบามาไม่ปริปากในเรื่องการรั่วไหลของความลับที่กำลังเป็นข่าวดังในขณะนั้น… ทางฝ่ายโฆษกของรัสเซียได้ออกมาตอบโต้ว่า……ตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง……!!! ผลจากวิกิลีคส์ ที่เผยแพร่ไปได้สร้างความหวั่นไหวให้กับหลายๆชาติ ที่ตอนนี้เริ่มมองเห็นความสำคัญของรัสเซีย เพราะทุกคนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า……รัฐบาลรัสเซียได้ล่วงรู้ข้อมูลลับไปมากน้อยแค่ไหน สายตาทั้งหมดที่มองไปที่สหรัฐอเมริกา……มีแต่ความเคลือบแคลงและหมดความไว้ใจ แม้แต่นิตยสาร Forbes ได้ติดตำแหน่งให้ปูตินเป็นบุคคลที่ทรงอานุภาพที่สุดในโลก บุคคลที่ทรงอานุภาพ……ได้หันมาโฟกัสที่ยูเครนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะเมื่อปี 2010 ที่ Viktor Yanukovych ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ได้มีความกลมเกลียวเป็นอันดีกับรัสเซีย แต่พอมาปลายสมัย คือ 2015 เขาเริ่มเปลี่ยนไป……หันไปซบกับตะวันตก ที่กำลังขยายยุโรปมาจนติดชายขอบ เช่น Moldova, Georgia และ Armenia โดยเริ่มจากลงนามในสนธิสัญญาทางการค้า โดยหวังว่าจะต่อยอดไปจนถึงสมาชิกสภายูโรเปี้ยน สำหรับปูติน……การก้าวล่วงมาถึงยูเครน……มันเกินกว่าที่จะรับได้ เพราะเขามองออกว่า……นั่นคือ สิ่งที่ตะวันตกต้องการมากที่สุด คือ พื้นที่ที่จะจัดตั้งเป็นเขตทหารในนามของนาโต้…… และทางพลังงาน……ที่จะเข้ามาควบคุมแหล่งทรัพยากร…… ถ้าเกิดมีสงครามระหว่าง รัสเซียกับอเมริกา (มีความเป็นไปได้สูง) ทางตะวันตกแทบไม่ต้องลงแรงรบเลย เพราะ มีพลังงานให้ใช้ไม่มีหมด มีการหนุนหลังเรื่องเสบียงจากยุโรปไม่อั้น และ สามารถปิดกั้นทะเลบอลติก…… ดังนั้น ยูเครนคือกล่องดวงใจ……ที่ต้องเต้นตามจังหวะของรัสเซียเท่านั้น ปูตินตั้งใจที่จะสร้างกลุ่ม Eurasian Union ขึ้นมา คือ เป็นการรวมตัวของโลกฝั่งตะวันออก ( ตอนนี้ก็เริ่มแล้ว คือ BRICS) แต่หัวใจสำคัญคือ ยูเครนที่ปูตินถือว่า เป็นดินแดน(เก่าแก่)ต้นกำเนิดของรัสเซียจะต้องเป็นพื้นที่ที่ปลอดตะวันตก….โดยเริ่มความเป็น Eurasian Union จากพรมแดนตรงนั้น…… แต่ไปๆมาๆ…ยูเครนได้หันไปโปรตะวันตกอย่างออกหน้าออกตา โดยเฉพาะกับนางฮิลลารี คลินตันที่เคยออกมาเย้ยเยาะว่า (2012) “ถ้าคิดว่ายูเครนคือหมูในอวย…ฝันไปเถอะ……” ก่อนที่ EU จะรับ Lithuania เข้าไปเป็นสมาชิก อียูได้หันมาเร่งให้ยูเครนรีบเซ็นสัญญาค้าขายกันเสียก่อน เพื่อจะได้เอาไว้เป็นเครดิตว่ามีกิจกรรมกับทางยุโรป ปูตินพยายามคัดค้าน และพยายามไปเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง แม้กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2013 ที่เป็นวันสำคัญทางศาสนาร่วมกัน ที่ปูตินได้ย้ำเตือนถึงความเป็นออโธด็อกซ์ที่ผูกพันมาตั้งแต่ ปี 988 ฝ่ายพ่อค้ายูเครนที่โปรตะวันตก เช่น บริษัท Roshen (ขายขนมทอฟฟี่) ปูตินสั่งบอยคอต……ห้ามเข้า เขาได้พบกับประธานาธิบดี Yanukovych สองครั้งติดกันในเดือนตุลาคมและ พฤศจิกายน และบอกตรงๆว่า……ยูเครนจะต้องเจอกับอะไรบ้าง หากคิดที่จะหวังไปร่วมกับยุโรป……รวมทั้ง พลังงานทั้งหลายแหล่ จะต้องถูกตัดขาด…… เมื่อโดนเข้าไปเต็มๆ……ท่าทีของยานุโควิชที่มีต่อยูโรปได้เปลี่ยนไปไม่กล้าที่จะออกความเห็นหรือตัดสินใจ เขาได้บอกกับทางอียูไปตรงๆว่า ยูเครนเป็นหนี้รัสเซียอยู่ แสนหกหมื่นล้านเหรียญ ถ้าทางสภายุโรปมีหนทางที่จะช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ได้ ยูเครนก็จะได้มีโอกาสทำสัญญาทางการค้าด้วย สภายุโรปได้ยินจำนวนเงิน………ก็ลมจับ ไม่เสนอหน้ามาชวนอีกเลย แต่ก่อนที่จะโดนปูตินอัดเข้าไป ยานุโควิชได้ทำการโฆษณาให้ความหวังกับประชาชนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะเปิดความสัมพันธ์กับยูโรป และจะพยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสภาอียู แต่เมื่อถึงเวลาการประชุม ที่ลิธัวเนีย ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ยานุโควิช……ได้ประกาศออกสื่อให้ทราบทั่วกันว่า เขาเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ขอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสัมพันธ์ทางพานิชย์กับอียู อยู่อย่างนี้เหมือนเดิม… ผลคือ……ประชาชนออกมาเดินขบวน แน่นหนาเต็มเมือง แต่คราวนี้ไม่ใช่ธงสีส้ม……แต่เป็นธงอียูสีฟ้าที่มีดาวเหลืองเป็นวงกลม ยานุโควิช……แทบไม่ต้องแก้ไขอะไรเพราะในเวลานั้นเป็นฤดูหนาวที่ใกล้เทศกาลปลายปี ชุมนุมกันก็ได้แค่เดี๋ยวเดียว เขาบินไปจีน ไปทำสัญญาการค้าขาย (แทนยุโรป) ก่อนไปที่จีน เขาแวะพบกับปูตินเพื่อทำการตกลงกันว่า ทางรัสเซียจะให้เงินอุดหนุนสภาพคล่องหมื่นห้าพันล้านเหรียญ และลดราคาก๊าส จาก$400 คิวบิตเมตร เป็น $268 ที่จะเก็บเป็นความลับไปจนกว่าจะถึงวันที่ 9 มีนาคม 2014 ที่ผู้นำทั้งสองจะมีการพบปะกัน แล้วค่อยประกาศอย่างเป็นทางการ……… เป็นอันว่า…ในยกนี้ ปูตินได้เอาชนะต่อคำเยาะเย้ยของนางคลินตันไปได้ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ใกล้จะเปิดพิธีกีฬาโอลิมปิกที่ Sochi ประมุขของประเทศต่างๆจะเข้ามาเป็นอาคันตุกะ เขาได้ทำการปล่อยนักโทษการเมือง ให้เป็นอิสระ อย่างเช่น Mikhaïl Khodorkovsky ที่จำคุกมาแล้ว10 ปี โดยมีการทำสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับการเมืองอีก…… และปลดปล่อยกลุ่มสาวห่าม Pussy Riot ตามด้วยกลุ่มที่เคยประท้วงอื่นๆ สองวันก่อนที่จะมีพิธีเปิด….กลุ่มนักข่าวสามสิบกว่าคนได้ทำการเขียนข่าวในทำนองว่า เป็นการใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองเพื่อสนองความต้องการของคนคนเดียว…… ปูตินให้สัมภาษณ์โต้ว่า……”การทำให้คนรักเรา สรรเสริญเรา ชื่นชมเรา นั้นทำไม่ยากเลย..” นักข่าวถามว่า ต้องทำอย่างไร? คำตอบคือ……ก็เวลาที่เราลดขนาดกองทัพ…ยกพื้นที่ให้เขา…ขายทรัพยากรให้เขาอย่างถูกๆไงล่ะ ……แค่นั้นเขาก็จะรักเรา ดีกับเราสารพัด…!! แต่เมื่อพิธีงานเปิดผ่านไป.……คนที่เคยติ……คนที่เคยต่อต้านกลับมาชื่นชมในผลงานและภาคภูมิใจไปตามๆกัน สำหรับปูติน.……มันคือการเรียกศักดิ์ศรีของประเทศกลับคืนมา เฉกเช่นเมื่อครั้ง Yuri Gagarin ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ……และกองทัพแดงได้ชัยชนะในสงครามกับนาซี ความยิ่งใหญ่ในครั้งนี้…ได้ส่งข้ามไปถึงสหรัฐอเมริกา ที่ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ไม่ได้เข้ามาร่วม เพราะหนึ่งคือความขัดแย้ง สองคือ……ความบาดตาบาดใจ…!!!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 355 Views 0 Reviews
  • สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ประกาศแต่งตั้ง ทาคายูกิ นิชิกายะ ชาวญี่ปุ่น วัย 51 ปี เข้ามาทำหน้าที่ หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี⁣

    3 ตุลาคม 2567- รายงานข่าวระบุว่าทาคายูกิ นิชิกายะ ได้บรรลุการเจรจาเงื่อนไขสัญญากับ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เรียบร้อยแล้ว หลังจากเดินทางมาถึงประเทศไทย ในช่วงต้นเดือน กันยายนนี้ ก่อนจะร่วมเดินทางไปกับทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ที่ประเทศเวียดนาม ในโปรแกรมฟีฟ่า เดย์ พร้อมกับ มาซาทาดะ อิชิอิ เพื่อเรียนรู้ และ ทำความรู้จักกับผู้เล่นไทยทันที

    ด้าน ทาคายูกิ นิชิกายะ กุนซือชาวญี่ปุ่น วัย 51 ปี เผยถึงการได้รับตำแหน่งนี้ว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติ และมีความสุขมากที่ได้มาอยู่ที่นี่ ขอบคุณสำหรับโอกาสจากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ โดยเฉพาะกับ นายกสมาคมฯ (นวลพรรณ ล่ำซำ)

    ที่ติดต่อผมเข้ามาโดยตรง ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อผม ทั้งหมดนี้จึงเป็นการตัดสินใจที่ง่ายมาก และอย่างที่บอก ผมยินดีอย่างมาก

    ส่วนกับ โค้ชอิชิอิ เรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ผมอยากทำงานร่วมกับ โค้ชอิชิอิ เราจะพยายามสนับสนุนซึ่งกันและกัน รวมถึงพัฒนาไปฟุตบอลไทยไปด้วยกัน ทั้งนี้ ฝากแฟนบอลช่วยเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ”

    #Thaitimes
    สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ประกาศแต่งตั้ง ทาคายูกิ นิชิกายะ ชาวญี่ปุ่น วัย 51 ปี เข้ามาทำหน้าที่ หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี⁣ 3 ตุลาคม 2567- รายงานข่าวระบุว่าทาคายูกิ นิชิกายะ ได้บรรลุการเจรจาเงื่อนไขสัญญากับ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เรียบร้อยแล้ว หลังจากเดินทางมาถึงประเทศไทย ในช่วงต้นเดือน กันยายนนี้ ก่อนจะร่วมเดินทางไปกับทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ที่ประเทศเวียดนาม ในโปรแกรมฟีฟ่า เดย์ พร้อมกับ มาซาทาดะ อิชิอิ เพื่อเรียนรู้ และ ทำความรู้จักกับผู้เล่นไทยทันที ด้าน ทาคายูกิ นิชิกายะ กุนซือชาวญี่ปุ่น วัย 51 ปี เผยถึงการได้รับตำแหน่งนี้ว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติ และมีความสุขมากที่ได้มาอยู่ที่นี่ ขอบคุณสำหรับโอกาสจากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ โดยเฉพาะกับ นายกสมาคมฯ (นวลพรรณ ล่ำซำ) ที่ติดต่อผมเข้ามาโดยตรง ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อผม ทั้งหมดนี้จึงเป็นการตัดสินใจที่ง่ายมาก และอย่างที่บอก ผมยินดีอย่างมาก ส่วนกับ โค้ชอิชิอิ เรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ผมอยากทำงานร่วมกับ โค้ชอิชิอิ เราจะพยายามสนับสนุนซึ่งกันและกัน รวมถึงพัฒนาไปฟุตบอลไทยไปด้วยกัน ทั้งนี้ ฝากแฟนบอลช่วยเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ” #Thaitimes
    Like
    6
    0 Comments 0 Shares 519 Views 0 Reviews
  • 1 ตุลาคม 2567-รายงานจากเพจเฟซบุ๊ก สายัณห์ รุจิรโมรา ชี้ประเด็น การ audit การถือครองและการตรวจคุณภาพ (assay)ของจำนวนทองคำในคลังของรัฐบาลสหรัฐที่Fort Knox ตลอดถึงธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับทองคำสำรองทั้งหมดนี้

    “ moneymetals
    50-Year Anniversary of the Notorious “Show Audit” of Fort Knox Gold
    การตรวจสอบปริมาณทองคำสำรองสหรัฐที่ Fort Knox เมื่อ 50 ปีก่อน เป็นเพียงทีวีโชว์ ..."show audit"

    Matthew Cortez. Sept 23, 2024

    เงินเฟ้อเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่ตอนนี้กำลังกระจายไปทั่ว มันสูบความมั่งคั่งของผู้ออมเงินผ่านอำนาจซื้อของ "เงิน" ปีแล้วปีเล่า

    ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางทั่วโลก -ตั้งแต่ซาอุดิอราเบีย ยันถึงจีน และทั้งโลก- ต่างก็แข่งกันซื้อทองคำอย่างเร่งด่วน หลายประเทศเช่นพวกกลุ่ม BRICS ถึงขนาดคิดที่จะเลิกใช้ดอลลาร์ในการค้ากันแล้ว

    และเมื่อสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์เกิดความไม่แน่นอน ทั้งนักลงทุน ธุรกิจเอกชน และหน่วยงานของรัฐบาลต่างก็ถือทองคำเพื่อเป็นการปกป้องตนเองให้พ้นจากอิทธิพลจากเงินเฟ้อ

    จากรายงานที่เรารับรู้มาตลอด ทองคำรีเสิร์ฟของสหรัฐมีอยู่ 8,133 ตัน เกือบทั้งหมดนั้นเก็บรักษาที่คลังของรัฐบาลสหรัฐ (Bullion Depository) ที่ Fort Knox, Kentucky ...คลังนี้ถือเป็นสัญญลักษณ์ของสถานะอำนาจทางการเงินที่แข็งแกร่งของอเมริกาที่มีต่อทั้งโลก

    ทุนสำรองทองคำของสหรัฐนี้ไม่มีการตรวจสอบที่เชื่อถือได้มาตั้งแต่ปี 1974 ...ไม่นานหลังจากที่อเมริกาฉีกสัญญา Bretton Woods ที่ทำให้สถานะการถือครองทองคำของอเมริกาเป็นที่น่าเคลิอบแคลงสงสัย ที่จริงแล้ว การ audit ครั้งที่เกิดก่อนหน้าปี 1974 ก็ไม่น่าเชื่อถือเหมือนกัน

    นี่ก็ครบรอบ 50 ปีแล้วที่ประชาชนยังคงอยู่กับความน่าสงสัย คำถามก็ยังคงอยู่...ทองคำทั้งหมดของอเมริกา ยังอยู่มั้ย?

    ประวัติศาสตร์ของคลัง Bullion Depository ของสหรัฐที่ Kentucky

    ก่อสร้างปี 1936 เพื่อสนับสนุนคำสั่ง ปธน. ที่ 6102 (Executive Order 6102) ของปธน. รูสเวลท์ที่บังคับให้ประชาขนแลกทองคำของตนเป็นเงินกระดาษ ...คลังนี้ถูกเรียกตามสถานที่ตั้งว่า Fort Knox

    U.S. Bullion Depository แห่งนี้อยู่ใจกลางประเทศที่ห่างไกลจากชายฝั่งประเทศ เพื่อความปลอดภัยกรณีที่ถูกรุกราน

    ประตูของคลังแห่งนี้หนาถึง 21 นิ้ว ก่อสร้างด้วยเหล็กกล้าถึง 1,420 ตัน มันถูกออกแบบเป็นการเฉพาะเพื่อเก็บรักษาทองคำนับล้านๆ ออนซ์ (เป็นทองคำแท่งที่หลอมมาจากเหรียญ) ทีได้รับมาจากประชาชนสหรัฐ ตามคำสั่ง 6102 กับทองที่ยึดเข้ามาดื้อ ๆ จากประเทศในยุโรป ที่ถูกทำลายจากสงคราม

    ตั้งแต่เมื่อ 50 ปีมาแล้ว ที่ประชาชนอเมริกันก็แคลงใจว่าในคลังยังมีทองคำอยู่จริงหรือ?

    ตอนนั้นมีหลายทฤษฎีที่เกี่ยวกับทองคำเหล่านี้แพร่กระจายไปทั่ว ...ทฤษฎีหนึ่งที่นักฏหมายคนหนึ่งในวอชิงตันให้สัมภาษณ์สื่อ The National Tattler ว่า ทองคำมูลค่า $20,000 ล้านอันตรธานไปจากคลังของรัฐบาลแห่งนี้ ข่าวนี้แพร่ไปทั่วคองเกรสอย่างรวดเร็ว

    คนอเมริกันจำนวนมากข้องใจกับคลังแห่งนี้ คิดว่าทองคำน่าจะหมดไปแล้ว จากการถูกต่างประเทศแลกคืนตลอดหลายปีก่อนหน้านั้น

    The “Show Audit” of Fort Knox Gold in 1974 Created More Questions

    รัฐบาลแก้เกม โดยจัดให้มีการ "Show Audit" ของ Fort Knox Gold เมื่อวันที่ 23 กันยายน 1974 กระทรวงคลังเปิดห้องเก็บทองคำโชว์ แต่เปิดแค่ 1 ห้องจากทั้งหมด 15 ห้อง ให้นักการเมืองและนักข่าวเข้าชมทองคำอย่างใกล้ชิด เพื่อยืนยันว่ามันยังอยู่ ....ดูยังไง ๆ มันก็เป็นรายการทีวีโชว์ ไม่ใช่ audit ...(ผมจะแชร์ลิ้งค์ คลิปส่วนหนึ่งในคอมเมนท์ครับ)

    รายการโชว์ที่มีคลิปรวมกันประมาณสองชั่วโมง เต็มไปด้วยรอยยิ้มของนักการเมืองและนักข่าว ที่มองดูทองคำแท่งที่กองเต็มรวม..สูงถึงเพดานในห้องเก็บนั้น

    ตลอดช่วงของการเข้าชม กลับไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องของ serial# ของทองคำแต่ละแท่ง หรือผลการตรวจสอบความบริสุทธิ์ (assay) หรือแม้แต่หลักฐานความเป็นเจ้าของของรัฐบาลสหรัฐ ....(ตอนนั้นยังมีการรับฝากจากรัฐบาลต่างประเทศอยู่มาก)

    นี่เป็นรายการทีวีที่ออกอากาศปี 1974 มากกว่าจะเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือ..แสดงจำนวนทองคำของสหรัฐในคลัง

    หลายสิบปีหลังจากนั้น มันก็ยังคงอึมครึมอยู่อย่างนั้น Fed ก็ยังพิมพ์เงินต่อไป ...ธนาคารกลางทั่วโลกก็เก็บสะสมทองคำกันต่อไป ....คนอเมริกันก็ยังเซ่อ..ไม่รู้อะไรเหมือนเดิมอยู่ต่อไป

    เมื่อปี 2021 สมาชิกสภา Alex Mooney (WV - R) เสนอออกกฎหมายให้มีการ audit การถือครอง ..การตรวจคุณภาพ (assay) และจำนวนทองคำของรัฐบาลสหรัฐ ตลอดถึงธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับทองคำสำรองทั้งหมดนี้ ...แต่เรื่องก็เงียบไป น่าจะต้องมีการเสนออีกในปีต่อ ๆ ไป

    คลิป "show audit" ผมแปะไว้ที่คอมเมนท์ครับ

    https://www.moneymetals.com/news/2024/09/23/50-year-anniversary-of-the-notorious-show-audit-of-fort-knox-gold-003484

    #Thaitimes
    1 ตุลาคม 2567-รายงานจากเพจเฟซบุ๊ก สายัณห์ รุจิรโมรา ชี้ประเด็น การ audit การถือครองและการตรวจคุณภาพ (assay)ของจำนวนทองคำในคลังของรัฐบาลสหรัฐที่Fort Knox ตลอดถึงธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับทองคำสำรองทั้งหมดนี้ “ moneymetals 50-Year Anniversary of the Notorious “Show Audit” of Fort Knox Gold การตรวจสอบปริมาณทองคำสำรองสหรัฐที่ Fort Knox เมื่อ 50 ปีก่อน เป็นเพียงทีวีโชว์ ..."show audit" Matthew Cortez. Sept 23, 2024 เงินเฟ้อเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่ตอนนี้กำลังกระจายไปทั่ว มันสูบความมั่งคั่งของผู้ออมเงินผ่านอำนาจซื้อของ "เงิน" ปีแล้วปีเล่า ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางทั่วโลก -ตั้งแต่ซาอุดิอราเบีย ยันถึงจีน และทั้งโลก- ต่างก็แข่งกันซื้อทองคำอย่างเร่งด่วน หลายประเทศเช่นพวกกลุ่ม BRICS ถึงขนาดคิดที่จะเลิกใช้ดอลลาร์ในการค้ากันแล้ว และเมื่อสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์เกิดความไม่แน่นอน ทั้งนักลงทุน ธุรกิจเอกชน และหน่วยงานของรัฐบาลต่างก็ถือทองคำเพื่อเป็นการปกป้องตนเองให้พ้นจากอิทธิพลจากเงินเฟ้อ จากรายงานที่เรารับรู้มาตลอด ทองคำรีเสิร์ฟของสหรัฐมีอยู่ 8,133 ตัน เกือบทั้งหมดนั้นเก็บรักษาที่คลังของรัฐบาลสหรัฐ (Bullion Depository) ที่ Fort Knox, Kentucky ...คลังนี้ถือเป็นสัญญลักษณ์ของสถานะอำนาจทางการเงินที่แข็งแกร่งของอเมริกาที่มีต่อทั้งโลก ทุนสำรองทองคำของสหรัฐนี้ไม่มีการตรวจสอบที่เชื่อถือได้มาตั้งแต่ปี 1974 ...ไม่นานหลังจากที่อเมริกาฉีกสัญญา Bretton Woods ที่ทำให้สถานะการถือครองทองคำของอเมริกาเป็นที่น่าเคลิอบแคลงสงสัย ที่จริงแล้ว การ audit ครั้งที่เกิดก่อนหน้าปี 1974 ก็ไม่น่าเชื่อถือเหมือนกัน นี่ก็ครบรอบ 50 ปีแล้วที่ประชาชนยังคงอยู่กับความน่าสงสัย คำถามก็ยังคงอยู่...ทองคำทั้งหมดของอเมริกา ยังอยู่มั้ย? ประวัติศาสตร์ของคลัง Bullion Depository ของสหรัฐที่ Kentucky ก่อสร้างปี 1936 เพื่อสนับสนุนคำสั่ง ปธน. ที่ 6102 (Executive Order 6102) ของปธน. รูสเวลท์ที่บังคับให้ประชาขนแลกทองคำของตนเป็นเงินกระดาษ ...คลังนี้ถูกเรียกตามสถานที่ตั้งว่า Fort Knox U.S. Bullion Depository แห่งนี้อยู่ใจกลางประเทศที่ห่างไกลจากชายฝั่งประเทศ เพื่อความปลอดภัยกรณีที่ถูกรุกราน ประตูของคลังแห่งนี้หนาถึง 21 นิ้ว ก่อสร้างด้วยเหล็กกล้าถึง 1,420 ตัน มันถูกออกแบบเป็นการเฉพาะเพื่อเก็บรักษาทองคำนับล้านๆ ออนซ์ (เป็นทองคำแท่งที่หลอมมาจากเหรียญ) ทีได้รับมาจากประชาชนสหรัฐ ตามคำสั่ง 6102 กับทองที่ยึดเข้ามาดื้อ ๆ จากประเทศในยุโรป ที่ถูกทำลายจากสงคราม ตั้งแต่เมื่อ 50 ปีมาแล้ว ที่ประชาชนอเมริกันก็แคลงใจว่าในคลังยังมีทองคำอยู่จริงหรือ? ตอนนั้นมีหลายทฤษฎีที่เกี่ยวกับทองคำเหล่านี้แพร่กระจายไปทั่ว ...ทฤษฎีหนึ่งที่นักฏหมายคนหนึ่งในวอชิงตันให้สัมภาษณ์สื่อ The National Tattler ว่า ทองคำมูลค่า $20,000 ล้านอันตรธานไปจากคลังของรัฐบาลแห่งนี้ ข่าวนี้แพร่ไปทั่วคองเกรสอย่างรวดเร็ว คนอเมริกันจำนวนมากข้องใจกับคลังแห่งนี้ คิดว่าทองคำน่าจะหมดไปแล้ว จากการถูกต่างประเทศแลกคืนตลอดหลายปีก่อนหน้านั้น The “Show Audit” of Fort Knox Gold in 1974 Created More Questions รัฐบาลแก้เกม โดยจัดให้มีการ "Show Audit" ของ Fort Knox Gold เมื่อวันที่ 23 กันยายน 1974 กระทรวงคลังเปิดห้องเก็บทองคำโชว์ แต่เปิดแค่ 1 ห้องจากทั้งหมด 15 ห้อง ให้นักการเมืองและนักข่าวเข้าชมทองคำอย่างใกล้ชิด เพื่อยืนยันว่ามันยังอยู่ ....ดูยังไง ๆ มันก็เป็นรายการทีวีโชว์ ไม่ใช่ audit ...(ผมจะแชร์ลิ้งค์ คลิปส่วนหนึ่งในคอมเมนท์ครับ) รายการโชว์ที่มีคลิปรวมกันประมาณสองชั่วโมง เต็มไปด้วยรอยยิ้มของนักการเมืองและนักข่าว ที่มองดูทองคำแท่งที่กองเต็มรวม..สูงถึงเพดานในห้องเก็บนั้น ตลอดช่วงของการเข้าชม กลับไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องของ serial# ของทองคำแต่ละแท่ง หรือผลการตรวจสอบความบริสุทธิ์ (assay) หรือแม้แต่หลักฐานความเป็นเจ้าของของรัฐบาลสหรัฐ ....(ตอนนั้นยังมีการรับฝากจากรัฐบาลต่างประเทศอยู่มาก) นี่เป็นรายการทีวีที่ออกอากาศปี 1974 มากกว่าจะเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือ..แสดงจำนวนทองคำของสหรัฐในคลัง หลายสิบปีหลังจากนั้น มันก็ยังคงอึมครึมอยู่อย่างนั้น Fed ก็ยังพิมพ์เงินต่อไป ...ธนาคารกลางทั่วโลกก็เก็บสะสมทองคำกันต่อไป ....คนอเมริกันก็ยังเซ่อ..ไม่รู้อะไรเหมือนเดิมอยู่ต่อไป เมื่อปี 2021 สมาชิกสภา Alex Mooney (WV - R) เสนอออกกฎหมายให้มีการ audit การถือครอง ..การตรวจคุณภาพ (assay) และจำนวนทองคำของรัฐบาลสหรัฐ ตลอดถึงธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับทองคำสำรองทั้งหมดนี้ ...แต่เรื่องก็เงียบไป น่าจะต้องมีการเสนออีกในปีต่อ ๆ ไป คลิป "show audit" ผมแปะไว้ที่คอมเมนท์ครับ https://www.moneymetals.com/news/2024/09/23/50-year-anniversary-of-the-notorious-show-audit-of-fort-knox-gold-003484 #Thaitimes
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 544 Views 1 Reviews
  • 🤠#สงครามเกาหลีมีผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างไร ตอน02.🤠

    😎เมื่อสงครามจบลงแล้ว😎

    นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง หนทางเดินของอเมริกาดำเนินไปอย่างราบรื่น พวกเขาเข้าควบคุมยุโรปด้วยวิธีการต่างๆ และกลายเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก

    ก่อนที่สงครามเกาหลีจะปะทุขึ้น พวกเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและคิดว่าตนเองจะชนะ แต่เมื่อหลังจากจีนส่งทหารไป สหรัฐฯ ยังคงเพิกเฉย

    แต่สุดท้ายจีนก็เป็นผู้ชนะ

    ดังนั้นจนกระทั่งมีการลงนามข้อตกลง ตัวแทนชาวอเมริกันจึงดูเหมือนยังคงฝันอยู่

    เนื่องจากสหรัฐฯ มีจิตใจที่หนักอึ้ง พวกเขาจึงไม่พูดอะไรสักคำในระหว่างกระบวนการลงนามข้อตกลงสงบศึกทั้งหมด และสถานที่จัดงานก็เงียบสนิท

    หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายลงนามในข้อตกลง จากนั้นก็นำข้อตกลงไปให้กับ เผิงเต๋อะไหว(彭德怀) และนายพลมาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) ชาวอเมริกันเพื่อลงนาม

    หลังจากที่จอมพลเผิงเต๋อะไหวลงนาม เขาก็กล่าวอย่างภาคภูมิใจในรายงานฉบับต่อมาว่า:

    “เป็นเวลาหลายร้อยปีที่ผู้รุกรานชาวตะวันตกสามารถยึดครองประเทศได้โดยการวางปืนใหญ่เพียงไม่กี่กระบอกบนชายฝั่งทางตะวันออกนั้นได้หายไปตลอดกาล”

    มาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) คร่ำครวญว่า: เขาเป็นผู้บัญชาการคนแรกในประวัติศาสตร์ของกองทัพสหรัฐฯ ที่ลงนามข้อตกลงสงบศึกโดยไม่ได้รับชัยชนะ

    สงครามสิ้นสุดลงแล้ว แต่ผลกระทบยังขยายวงกว้าง สงครามเกาหลีประทับเงาทางจิตวิทยาที่ร้ายแรงอย่างยิ่งทิ้งไว้ต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งถึงกับเรียกสงครามเกาหลีว่าเป็นหลุมดำในประวัติศาสตร์อเมริกา

    หนังสือพิมพ์อเมริกันระบุว่า:

    “(จีน) ใช้อาวุธจำนวนน้อยจนน่าสมเพชและระบบการจัดหาแบบดั้งเดิมที่น่าหัวเราะ แค่สามารถยับยั้งสหรัฐอเมริกามหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกซึ่งมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ อุตสาหกรรมขั้นสูง และอาวุธล้ำสมัยจำนวนมากลงได้”

    ความรู้สึกว่าพ่ายแพ้นี้ก่อให้เกิดผลโดยตรงสองประการ ประการแรก ความรู้สึกต่อต้านจีนในสหรัฐอเมริกามีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขานำเอาสาเหตุของความพ่ายแพ้ของสงครามเกาหลี ทั้งหมดนี้โยนให้กับจีน

    ในความเป็นจริงแล้วในสถานการณ์สู้รบจริงพวกเขามีความเกรงกลัวต่อจีน

    เป็นเวลาหลายปีต่อจากนั้น ทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนไม่เคยมีความขัดแย้งในสนามรบโดยตรง นี่เป็นเพราะสงครามเกาหลีทำให้สหรัฐฯตระหนักว่า แม้จีนจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่ใช่ประเทศที่สามารถรังแกได้

    ประธานเหมาเคยกล่าวไว้ว่า: ในสงครามเกาหลีครั้งหนึ่งสร้างสันติภาพมาห้าสิบปี!

    นี่ไม่ใช่คำพูดที่ว่างเปล่าไร้สาระ แต่เป็นชัยชนะที่คนรุ่นก่อนได้แลกมาด้วยเลือดเนื้อ

    😎อิทธิพลผลกระทบที่กว้างขวาง😎

    นอกจากตัวเอกที่เป็นอเมริกาแล้ว ปฏิกิริยาจากประเทศอื่นๆ ก็น่าสนใจเช่นกัน ในจำนวนประเทศทั้งหมดนี้ที่มีคุณค่ากล่าวขวัญถึง คือ ญี่ปุ่น

    ญี่ปุ่นมีความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่อจีนมาโดยตลอด เมื่อเกิดสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ปฏิกิริยาของญี่ปุ่นคือการได้ดูรายการการแสดงดีๆ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้รับประโยชน์มากมายจากสงครามเกาหลี

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่ในสภาพที่ซบเซา สังคมทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยเงาแห่งความพ่ายแพ้สงคราม และประเทศก็ตกอยู่ในสภาวะที่บิดเบี้ยว

    ในเวลาขณะนี้ชาวอเมริกันก็มาถึง แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะสามารถควบคุมญี่ปุ่นไว้ได้ และใช้เป็นหุ่นเชิดทิ้งไว้ในเอเชีย แต่ญี่ปุ่นกลับต้องมีความคิดพึ่งพาต้นไม้ใหญ่เช่นสหรัฐอเมริกา

    ญี่ปุ่นมีจิตวิทยาที่แปลกประหลาด พวกเขาประสบความสูญเสียอย่างหนักจากระเบิดปรมาณูของสหรัฐฯ แต่สิ่งนี้กลับทำให้พวกเขาอยู่ใต้อำนาจของสหรัฐอเมริกาแทน

    ในทางการเมืองและเศรษฐกิจ พวกเขามีความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออกกับสหรัฐอเมริกา จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นพยายามทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อทำให้ชาวอเมริกันพอใจ หากสหรัฐฯ ต้องการโจมตีเกาหลีเหนือและจีน ญี่ปุ่นก็จะกระตือรือร้นอย่างมาก

    เนื่องจากปัญหาที่คั่งค้างมาทางประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นจึงไม่สามารถประกาศสงครามกับเกาหลีเหนือและจีนต่อสาธารณะได้ แต่เบื้องหลังได้ช่วยเหลือสหรัฐฯมากมาย

    ในปี ค.ศ. 1950 ญี่ปุ่นรับหน้าที่บำรุงรักษารถบรรทุกทหารมากกว่า 6,000 คันจากสหรัฐอเมริกา และผลิตอาวุธจำนวนมากให้กับสหรัฐอเมริกา

    ในขณะเดียวกัน ในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ดักลาส แมกอาเธอร์(Douglas MacArthur道格拉斯·麦克阿瑟) พบว่า ตัวเองขาดกำลังคน แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีกำลังทหารเพียงพอ แต่ระยะทางจากอเมริกาไปยังเอเชียนั้นห่างไหลมาก เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ญี่ปุ่นจะเดินทางไปเกาหลีเหนือได้สะดวกกว่ามาก

    ดังนั้นในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ในบรรดาเรือบรรทุกรถถังจำนวน 47 ลำที่กองทัพสหรัฐฯ ส่งมา จริงๆแล้วมีเรือ 30 ลำที่ขับเคลื่อนโดยคนชาวญี่ปุ่น

    นอกจากนี้ โดยพื้นฐานแล้วสหรัฐอเมริกายังใช้ฐานทัพอากาศในญี่ปุ่นเพื่อขนส่งวัสดุและบุคลากรตลอดช่วงสงคราม

    ตามสถิติที่ไม่สมบูรณ์นัก ตลอดช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นช่วยสหรัฐฯ ในการขนส่งทหารมากกว่า 3 ล้านคนและเสบียงมากกว่า 700,000 ตัน

    ในช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นกลายเป็นฐานทัพทหารและคลังแสงของสหรัฐอเมริกา เมื่อประเทศหนึ่งเป็นผู้ทำสงครามโดยล้างผลาญใช้ทรัพยากรของประเทศอื่น แต่ญี่ปุ่นไม่รู้สึกละอายกับสิ่งนี้ แต่กลับมีความภาคภูมิใจกับสิ่งนี้

    นอกจากนี้ เศรษฐกิจของพวกเขายังได้รับการฟื้นฟูโดยการทำกำไรจากสงคราม

    ระหว่างปี ค.ศ. 1950 ถึงค.ศ. 1953 ญี่ปุ่นมีรายได้มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์จากการส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์อื่นๆ ไปยังสหรัฐอเมริกา

    เมื่อสงครามสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1953 การส่งออกของญี่ปุ่นประมาณ 60% ถูกกำหนดไว้สำหรับสนามรบของเกาหลี

    นอกจากการส่งออกทางเศรษฐกิจแล้ว ญี่ปุ่นยังส่งคนงานจำนวนมากไปยังสนามรบเกาหลีอย่างเงียบๆ เพื่อช่วยเหลือกองทัพสหรัฐฯ ในการสู้รบ

    ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นบางคนในช่วงสงครามรุกรานจีนก็ถูกส่งไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อชี้แนะสหรัฐอเมริกาในการทำสงครามเชื้อโรค ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังได้ส่งคณะร้องเพลงและเต้นรำจำนวนมากไปยังแนวหน้าเพื่อมอบความบันเทิง และแสดงการปลอบขวัญให้กำลังใจต่อกองทัพสหรัฐฯ

    ญี่ปุ่นกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามเกาหลีได้ขจัดความเศร้าโศกภายหลังความพ่ายแพ้ของกองทัพญี่ปุ่น

    หลังจากการลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในที่สุดสหรัฐฯ ก็ระงับความร่วมมือทางเศรษฐกิจพหุภาคีกับญี่ปุ่น ในเวลานี้ญี่ปุ่นมีความมั่งคั่งเพียงพอแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะยอมรับมัน แม้จะเผชิญกับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นก็ยังอินต่อเหตุการณ์มากกว่าชาวอเมริกันอีกด้วย

    ดังคำกล่าวที่ว่า เป็นเรื่องง่ายที่จะเพลิดเพลินไปกับร่มเงาโดยมีต้นไม้ใหญ่อยู่ด้านหลัง พวกเขามีชีวิตที่ดีได้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น เนื่องมาจากเหตุการณ์สงครามที่เริ่มต้นขึ้นโดยสหรัฐอเมริกา ขณะนี้สหรัฐฯ ได้ถอนทหารออกไปแล้ว ญี่ปุ่นกังวลเรื่องความอยู่รอดของตนเองมากที่สุด

    ดังนั้น ก่อนที่จะลงนามข้อตกลงสงบศึก ญี่ปุ่นจึงเตรียมการหลายประการและกระชับความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาอย่างเข้มข้นเพื่อปูทางไปสู่ความมั่งคั่งหลังสงคราม

    ในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้กระตุ้นให้ญี่ปุ่นเกิดความกลัวต่อจีนในระดับลึกลงไปถึงที่สุด

    เมื่อสงครามต่อต้านญี่ปุ่นสิ้นสุดลง ภายในประเทศญี่ปุ่นได้เกิดมีกระแสความสงสัยในตนเองเกิดขึ้นมามากมาย พวกเขาเชื่อว่ากองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นอยู่ยงคงกระพัน แต่ทำไมจีนถึงกลายเป็นผู้ชนะในเมื่อเทคโนโลยีล้าหลังมากและประเทศก็ยากจนมาก?

    แต่ตอนนี้ จีนไม่เพียงแต่เอาชนะญี่ปุ่นได้เท่านั้น แม้แต่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของโลกก็ยังพ่ายแพ้อีกด้วย ญี่ปุ่นยิ่งเพิ่มความสงสัยในตัวเองมากขึ้น

    ต้องรู้ว่าในเวลานี้ญี่ปุ่นยังไม่สลัดรอดพ้นเงาของประเทศลัทธิรัฐเผด็จการทหาร แม้กระทั้งว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว แต่ลัทธิรัฐเผด็จการทหารก็ยังแสดงสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

    ดังนั้นในด้านสุดขั้วของจิตวิทยาของพวกเขาจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกาได้เลย ในหนังสือพิมพ์ ญี่ปุ่นหลีกเลี่ยงการพูดถึงชัยชนะของจีน แต่กลับพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาสาเหตุของความล้มเหลวของสหรัฐฯ

    แน่นอนว่ามีการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น นับตั้งแต่การลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในภาษาเขียนของญี่ปุ่น คำว่า“จวือน่า(支那)”ชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลนนี้ค่อยๆหายไป

    ในความเป็นจริง ในช่วงต้นปึ ค.ศ. 1946 สหรัฐฯ สั่งให้ญี่ปุ่นไม่ให้ใช้ คำว่า“จวือน่า(支那)”และอื่นๆชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลน

    อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกฎระเบียบอย่างเป็นทางการ คนญี่ปุ่นก็ยังคงไปตามทางของตัวเอง

    เพราะพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนความดูถูกภายในใจที่มีต่อจีนได้ และถึงกับเชื่ออย่างหยิ่งผยองว่ารัฐบาลจีนใหม่จะอยู่ได้ไม่นาน จนถึงสงครามเกาหลีทำให้พวกเขาตระหนักถึงความเป็นจริง

    สงครามครั้งนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษต่อจีน โดยประกาศให้โลกรู้ว่าจีนกำลังผงาดขึ้น

    ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือประเทศในยุโรป พวกเขาค่อยๆ ตระหนักว่าจีนไม่ใช่คนป่วยของเอเชียตะวันออกอีกต่อไป

    ในช่วงหลายปีหลังสงครามเกาหลี แม้ว่าโลกยังคงประสบกับความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ที่จีนเผชิญยังคงยากลำบาก ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียดเช่นนี้ สถานะระหว่างประเทศของจีนยังคงดีขึ้นทีละขั้น

    ทั้งหมดนี้แยกออกจากรากฐานที่วางไว้โดยการการช่วยเหลือเกาหลีรบต่อต้านการรุกรานของสหรัฐฯ ดังนั้น ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของสงครามเกาหลีจึงสมควรได้รับการจดจำตลอดไปโดยคนรุ่นต่อๆ ไป

    🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#สงครามเกาหลีมีผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างไร ตอน02.🤠 😎เมื่อสงครามจบลงแล้ว😎 นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง หนทางเดินของอเมริกาดำเนินไปอย่างราบรื่น พวกเขาเข้าควบคุมยุโรปด้วยวิธีการต่างๆ และกลายเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก ก่อนที่สงครามเกาหลีจะปะทุขึ้น พวกเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและคิดว่าตนเองจะชนะ แต่เมื่อหลังจากจีนส่งทหารไป สหรัฐฯ ยังคงเพิกเฉย แต่สุดท้ายจีนก็เป็นผู้ชนะ ดังนั้นจนกระทั่งมีการลงนามข้อตกลง ตัวแทนชาวอเมริกันจึงดูเหมือนยังคงฝันอยู่ เนื่องจากสหรัฐฯ มีจิตใจที่หนักอึ้ง พวกเขาจึงไม่พูดอะไรสักคำในระหว่างกระบวนการลงนามข้อตกลงสงบศึกทั้งหมด และสถานที่จัดงานก็เงียบสนิท หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายลงนามในข้อตกลง จากนั้นก็นำข้อตกลงไปให้กับ เผิงเต๋อะไหว(彭德怀) และนายพลมาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) ชาวอเมริกันเพื่อลงนาม หลังจากที่จอมพลเผิงเต๋อะไหวลงนาม เขาก็กล่าวอย่างภาคภูมิใจในรายงานฉบับต่อมาว่า: “เป็นเวลาหลายร้อยปีที่ผู้รุกรานชาวตะวันตกสามารถยึดครองประเทศได้โดยการวางปืนใหญ่เพียงไม่กี่กระบอกบนชายฝั่งทางตะวันออกนั้นได้หายไปตลอดกาล” มาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) คร่ำครวญว่า: เขาเป็นผู้บัญชาการคนแรกในประวัติศาสตร์ของกองทัพสหรัฐฯ ที่ลงนามข้อตกลงสงบศึกโดยไม่ได้รับชัยชนะ สงครามสิ้นสุดลงแล้ว แต่ผลกระทบยังขยายวงกว้าง สงครามเกาหลีประทับเงาทางจิตวิทยาที่ร้ายแรงอย่างยิ่งทิ้งไว้ต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งถึงกับเรียกสงครามเกาหลีว่าเป็นหลุมดำในประวัติศาสตร์อเมริกา หนังสือพิมพ์อเมริกันระบุว่า: “(จีน) ใช้อาวุธจำนวนน้อยจนน่าสมเพชและระบบการจัดหาแบบดั้งเดิมที่น่าหัวเราะ แค่สามารถยับยั้งสหรัฐอเมริกามหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกซึ่งมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ อุตสาหกรรมขั้นสูง และอาวุธล้ำสมัยจำนวนมากลงได้” ความรู้สึกว่าพ่ายแพ้นี้ก่อให้เกิดผลโดยตรงสองประการ ประการแรก ความรู้สึกต่อต้านจีนในสหรัฐอเมริกามีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขานำเอาสาเหตุของความพ่ายแพ้ของสงครามเกาหลี ทั้งหมดนี้โยนให้กับจีน ในความเป็นจริงแล้วในสถานการณ์สู้รบจริงพวกเขามีความเกรงกลัวต่อจีน เป็นเวลาหลายปีต่อจากนั้น ทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนไม่เคยมีความขัดแย้งในสนามรบโดยตรง นี่เป็นเพราะสงครามเกาหลีทำให้สหรัฐฯตระหนักว่า แม้จีนจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่ใช่ประเทศที่สามารถรังแกได้ ประธานเหมาเคยกล่าวไว้ว่า: ในสงครามเกาหลีครั้งหนึ่งสร้างสันติภาพมาห้าสิบปี! นี่ไม่ใช่คำพูดที่ว่างเปล่าไร้สาระ แต่เป็นชัยชนะที่คนรุ่นก่อนได้แลกมาด้วยเลือดเนื้อ 😎อิทธิพลผลกระทบที่กว้างขวาง😎 นอกจากตัวเอกที่เป็นอเมริกาแล้ว ปฏิกิริยาจากประเทศอื่นๆ ก็น่าสนใจเช่นกัน ในจำนวนประเทศทั้งหมดนี้ที่มีคุณค่ากล่าวขวัญถึง คือ ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นมีความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่อจีนมาโดยตลอด เมื่อเกิดสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ปฏิกิริยาของญี่ปุ่นคือการได้ดูรายการการแสดงดีๆ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้รับประโยชน์มากมายจากสงครามเกาหลี หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่ในสภาพที่ซบเซา สังคมทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยเงาแห่งความพ่ายแพ้สงคราม และประเทศก็ตกอยู่ในสภาวะที่บิดเบี้ยว ในเวลาขณะนี้ชาวอเมริกันก็มาถึง แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะสามารถควบคุมญี่ปุ่นไว้ได้ และใช้เป็นหุ่นเชิดทิ้งไว้ในเอเชีย แต่ญี่ปุ่นกลับต้องมีความคิดพึ่งพาต้นไม้ใหญ่เช่นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นมีจิตวิทยาที่แปลกประหลาด พวกเขาประสบความสูญเสียอย่างหนักจากระเบิดปรมาณูของสหรัฐฯ แต่สิ่งนี้กลับทำให้พวกเขาอยู่ใต้อำนาจของสหรัฐอเมริกาแทน ในทางการเมืองและเศรษฐกิจ พวกเขามีความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออกกับสหรัฐอเมริกา จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นพยายามทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อทำให้ชาวอเมริกันพอใจ หากสหรัฐฯ ต้องการโจมตีเกาหลีเหนือและจีน ญี่ปุ่นก็จะกระตือรือร้นอย่างมาก เนื่องจากปัญหาที่คั่งค้างมาทางประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นจึงไม่สามารถประกาศสงครามกับเกาหลีเหนือและจีนต่อสาธารณะได้ แต่เบื้องหลังได้ช่วยเหลือสหรัฐฯมากมาย ในปี ค.ศ. 1950 ญี่ปุ่นรับหน้าที่บำรุงรักษารถบรรทุกทหารมากกว่า 6,000 คันจากสหรัฐอเมริกา และผลิตอาวุธจำนวนมากให้กับสหรัฐอเมริกา ในขณะเดียวกัน ในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ดักลาส แมกอาเธอร์(Douglas MacArthur道格拉斯·麦克阿瑟) พบว่า ตัวเองขาดกำลังคน แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีกำลังทหารเพียงพอ แต่ระยะทางจากอเมริกาไปยังเอเชียนั้นห่างไหลมาก เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ญี่ปุ่นจะเดินทางไปเกาหลีเหนือได้สะดวกกว่ามาก ดังนั้นในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ในบรรดาเรือบรรทุกรถถังจำนวน 47 ลำที่กองทัพสหรัฐฯ ส่งมา จริงๆแล้วมีเรือ 30 ลำที่ขับเคลื่อนโดยคนชาวญี่ปุ่น นอกจากนี้ โดยพื้นฐานแล้วสหรัฐอเมริกายังใช้ฐานทัพอากาศในญี่ปุ่นเพื่อขนส่งวัสดุและบุคลากรตลอดช่วงสงคราม ตามสถิติที่ไม่สมบูรณ์นัก ตลอดช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นช่วยสหรัฐฯ ในการขนส่งทหารมากกว่า 3 ล้านคนและเสบียงมากกว่า 700,000 ตัน ในช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นกลายเป็นฐานทัพทหารและคลังแสงของสหรัฐอเมริกา เมื่อประเทศหนึ่งเป็นผู้ทำสงครามโดยล้างผลาญใช้ทรัพยากรของประเทศอื่น แต่ญี่ปุ่นไม่รู้สึกละอายกับสิ่งนี้ แต่กลับมีความภาคภูมิใจกับสิ่งนี้ นอกจากนี้ เศรษฐกิจของพวกเขายังได้รับการฟื้นฟูโดยการทำกำไรจากสงคราม ระหว่างปี ค.ศ. 1950 ถึงค.ศ. 1953 ญี่ปุ่นมีรายได้มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์จากการส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์อื่นๆ ไปยังสหรัฐอเมริกา เมื่อสงครามสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1953 การส่งออกของญี่ปุ่นประมาณ 60% ถูกกำหนดไว้สำหรับสนามรบของเกาหลี นอกจากการส่งออกทางเศรษฐกิจแล้ว ญี่ปุ่นยังส่งคนงานจำนวนมากไปยังสนามรบเกาหลีอย่างเงียบๆ เพื่อช่วยเหลือกองทัพสหรัฐฯ ในการสู้รบ ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นบางคนในช่วงสงครามรุกรานจีนก็ถูกส่งไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อชี้แนะสหรัฐอเมริกาในการทำสงครามเชื้อโรค ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังได้ส่งคณะร้องเพลงและเต้นรำจำนวนมากไปยังแนวหน้าเพื่อมอบความบันเทิง และแสดงการปลอบขวัญให้กำลังใจต่อกองทัพสหรัฐฯ ญี่ปุ่นกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามเกาหลีได้ขจัดความเศร้าโศกภายหลังความพ่ายแพ้ของกองทัพญี่ปุ่น หลังจากการลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในที่สุดสหรัฐฯ ก็ระงับความร่วมมือทางเศรษฐกิจพหุภาคีกับญี่ปุ่น ในเวลานี้ญี่ปุ่นมีความมั่งคั่งเพียงพอแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะยอมรับมัน แม้จะเผชิญกับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นก็ยังอินต่อเหตุการณ์มากกว่าชาวอเมริกันอีกด้วย ดังคำกล่าวที่ว่า เป็นเรื่องง่ายที่จะเพลิดเพลินไปกับร่มเงาโดยมีต้นไม้ใหญ่อยู่ด้านหลัง พวกเขามีชีวิตที่ดีได้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น เนื่องมาจากเหตุการณ์สงครามที่เริ่มต้นขึ้นโดยสหรัฐอเมริกา ขณะนี้สหรัฐฯ ได้ถอนทหารออกไปแล้ว ญี่ปุ่นกังวลเรื่องความอยู่รอดของตนเองมากที่สุด ดังนั้น ก่อนที่จะลงนามข้อตกลงสงบศึก ญี่ปุ่นจึงเตรียมการหลายประการและกระชับความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาอย่างเข้มข้นเพื่อปูทางไปสู่ความมั่งคั่งหลังสงคราม ในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้กระตุ้นให้ญี่ปุ่นเกิดความกลัวต่อจีนในระดับลึกลงไปถึงที่สุด เมื่อสงครามต่อต้านญี่ปุ่นสิ้นสุดลง ภายในประเทศญี่ปุ่นได้เกิดมีกระแสความสงสัยในตนเองเกิดขึ้นมามากมาย พวกเขาเชื่อว่ากองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นอยู่ยงคงกระพัน แต่ทำไมจีนถึงกลายเป็นผู้ชนะในเมื่อเทคโนโลยีล้าหลังมากและประเทศก็ยากจนมาก? แต่ตอนนี้ จีนไม่เพียงแต่เอาชนะญี่ปุ่นได้เท่านั้น แม้แต่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของโลกก็ยังพ่ายแพ้อีกด้วย ญี่ปุ่นยิ่งเพิ่มความสงสัยในตัวเองมากขึ้น ต้องรู้ว่าในเวลานี้ญี่ปุ่นยังไม่สลัดรอดพ้นเงาของประเทศลัทธิรัฐเผด็จการทหาร แม้กระทั้งว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว แต่ลัทธิรัฐเผด็จการทหารก็ยังแสดงสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นในด้านสุดขั้วของจิตวิทยาของพวกเขาจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกาได้เลย ในหนังสือพิมพ์ ญี่ปุ่นหลีกเลี่ยงการพูดถึงชัยชนะของจีน แต่กลับพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาสาเหตุของความล้มเหลวของสหรัฐฯ แน่นอนว่ามีการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น นับตั้งแต่การลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในภาษาเขียนของญี่ปุ่น คำว่า“จวือน่า(支那)”ชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลนนี้ค่อยๆหายไป ในความเป็นจริง ในช่วงต้นปึ ค.ศ. 1946 สหรัฐฯ สั่งให้ญี่ปุ่นไม่ให้ใช้ คำว่า“จวือน่า(支那)”และอื่นๆชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกฎระเบียบอย่างเป็นทางการ คนญี่ปุ่นก็ยังคงไปตามทางของตัวเอง เพราะพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนความดูถูกภายในใจที่มีต่อจีนได้ และถึงกับเชื่ออย่างหยิ่งผยองว่ารัฐบาลจีนใหม่จะอยู่ได้ไม่นาน จนถึงสงครามเกาหลีทำให้พวกเขาตระหนักถึงความเป็นจริง สงครามครั้งนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษต่อจีน โดยประกาศให้โลกรู้ว่าจีนกำลังผงาดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือประเทศในยุโรป พวกเขาค่อยๆ ตระหนักว่าจีนไม่ใช่คนป่วยของเอเชียตะวันออกอีกต่อไป ในช่วงหลายปีหลังสงครามเกาหลี แม้ว่าโลกยังคงประสบกับความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ที่จีนเผชิญยังคงยากลำบาก ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียดเช่นนี้ สถานะระหว่างประเทศของจีนยังคงดีขึ้นทีละขั้น ทั้งหมดนี้แยกออกจากรากฐานที่วางไว้โดยการการช่วยเหลือเกาหลีรบต่อต้านการรุกรานของสหรัฐฯ ดังนั้น ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของสงครามเกาหลีจึงสมควรได้รับการจดจำตลอดไปโดยคนรุ่นต่อๆ ไป 🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • เรื่องจริงที่น่าสมเพช
    ⭕️⭕️⭕️⭕️⭕️
    คนไทยทุกคน
    ควรอ่าน
    ************
    เดิมที ลิเบียถูกอิตาลียึดครอง ต่อมาอิตาลีแพ้สงครามโลก อังกฤษและฝรั่งเศสเข้ามาปกครองลิเบียโดยแย่งไปจากอิตาลี และได้ขุดน้ำมัน บริษัทของอังกฤษและฝรั่งเศสได้สัมปทานกอบโกยน้ำมันไปจนร่ำรวย ส่วนคนลิเบียแทบไม่ได้อะไรเลย แม้ภายหลังลิเบียได้เอกราช แต่สัมปทานน้ำมันแบบเกือบฟรี ก็ยังอยู่ในมือบริษัทอังกฤษและฝรั่งเศส

    ต่อมา กัดดาฟีเห็นว่าไม่เป็นธรรมจึงทำการปฏิวัติ และยึดสัมปทานน้ำมันคืนมา กัดดาฟีปกครอง ให้ประชาชนทุกอย่าง สวัสดิการดีที่สุดในบรรดาประเทศที่รวยน้ำมัน อาจจะเรียกได้ว่า ดีที่สุดในโลก ประชาชนอยู่ดี กินดี มีความสุขสบายทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียวคือ ไม่มีประชาธิปไตยแบบตะวันตก ไม่มีการเลือกผู้แทน ไม่มีการเลือกรัฐบาล และผู้นำ

    กลุ่มนักศึกษา ที่นึกฝันว่า ถ้าประเทศลิเบียมีประชาธิปไตยแบบอเมริกา น่าจะทำให้ประชาชนได้สวัสดิการมากกว่าที่กัดดาฟี มีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่ มีความคับข้องใจ แต่ทำอะไรไม่ได้

    จนกัดดาฟี อึดอัดกับคำสั่งอเมริกาและซาอุ ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ในโอเปค (ตอนนั้นยังไม่ใช่โอเปคพลัสอย่างทุกวันนี้) ที่ให้ทุกประเทศในโอเปคต้องขายน้ำมันผูกขาดด้วย petrodollar เท่านั้น กัดดาฟีประกาศจะไม่ทำตาม จะขายน้ำมันด้วยเงินดีนาร์ทองคำ หรือแลกด้วยทองคำ ซึ่งจะเป็นการเริ่มต้นทำลาย petrodollar อเมริกาจึงวางแผนกำจัดกัดดาฟี

    อเมริกาจึงไปยุยงวางแผนให้นักศึกษาก่อการจลาจล ลิเบียสปริง มีอเมริกาโดย CIA ดำเนินการให้ทั้งเงิน อาวุธ และสนับสนุนด้านอื่นๆ กัดดาฟีปราบปรามนักศึกษาที่ก่อการจลาจล สื่อตะวันตกก็พร้อมใจกันประโคมว่า กัดดาฟีเป็นผู้นำเผด็จการเข่นฆ่าประชาชนและนักศึกษา อย่างต่อเนื่อง ใหญ่โต และเป็นระบบ

    พอโหมประโคมโฆษณาชวนเชื่อจนล้างสมองคนทั้งโลกได้ อเมริกาและอังกฤษ ก็ส่งกองกำลังเข้าไปจับกัดดาฟีฆ่า ปล้นเอาทองคำในคลังหลวงของลิเบียไปหมด ยึดสัมปทานน้ำมันให้บริษัทตะวันตกไปร่ำรวยต่อ สวัสดิการทุกอย่างหายไปหมดสิ้น

    อังกฤษ อเมริกา และฝรั่งเศส จัดตั้งคนที่ตนสั่งได้ขึ้นมาแทนกัดดาฟี แต่กองกำลังอื่นๆ ไม่ยอมรับและเริ่มมีการต่อสู้แย่งอำนาจกันรุนแรงขึ้นเรื่อย จนบ้านเมืองพินาศวอดวาย อเมริกา หลังจากฆ่ากัดดาฟีได้ ก็ถอยไปให้อังกฤษกับฝรั่งเศสเจ้านายเดิมเข้ามาจัดการ แต่อังกฤษและฝรั่งเศส ก็ไม่อยากลงทุนส่งทหารไปตายในลิเบีย เพราะสงครามแย่งชิงอำนาจของกองกำลังต่างๆ รบกันรุนแรงมาก ถ้าอังกฤษ ฝรั่งเศส ส่งทหารไป จะต้องใช้เงินจำนวนมาก ทหารจะตายเยอะ และดูว่าไม่น่าจะสำเร็จจึงถอยมาปล่อยให้กองกำลังลิเบียฆ่ากันเองต่อไป จนโอบาม่าออกปากว่า อเมริกาฆ่ากัดดาฟีให้แล้ว พรรคพวกในยุโรปจัดการแย่มากจนลิเบียเละตุ้มเป๊ะไปหมด

    คนลิเบียฆ่ากันตายมากมาย บ้านเมืองพังพินาศ ความยากจนขาดแคลน เกิดทั่วประเทศ คนลิเบียหลายล้านคน ราวหนึ่งในสามต้องหนีตายจากสงครามและความอดอยาก ต้องอพยพเป็นมนุษย์เรือลี้ภัยออกจากลิเบียไปยุโรป เรือล่มจมน้ำตายมากมาย ที่เหลือต้องไปอยู่เป็นพลเมืองชั้นสาม สี่ ห้า อยู่อย่างลำบากยากแค้น ถูกกดขี่ และเกลียดชัง เพราะเป็นคนอิสลามผิวสี ไปอยู่ในหมู่ชาวคริสตผิวขาว เป็นผู้ลี้ภัยที่เจ้าของบ้าน ไม่อยากต้อนรับ

    จนเดี๋ยวนี้ ลิเบียยังรบกันอยู่

    จากเมืองที่เคยเป็นเหมือนสวรรค์ อเมริกาทำให้กลับกลายเป็นนรกได้ ตอนนี้พวกนักศึกษาที่ก่อการจลาจล ลี้ภัย ตกนรกกันอยู่ที่ไหนบ้าง

    แต่อเมริกาทำไม่ได้ ถ้านักศึกษาของลิเบีย (ที่กัดดาฟีใช้เงินจากการขายน้ำมันส่งให้เรียนฟรีทั้งในและต่างประเทศ) ไม่หลงลมและร่วมมือกับ CIA ของอเมริกาก่อการจลาจล

    นักศึกษาที่ออกมาประท้วงก่อการจลาจล ป่านนี้คงรู้สำนึกแล้วว่าไม่น่าทำลายบ้านเมืองตัวเอง ถูกหลอกใช้เป็นเบี้ยในกระดาน พอใช้เสร็จก็ถูกทิ้ง แต่รู้สำนึกตอนนี้ก็สายไปแล้ว ลิเบียกลายเป็นนรกไปทุกหย่อมหญ้าแล้ว

    กบเลือกนายจนทำให้บ้านเมืองฉิบหายวายวอดละครับ
    วันชัย รุจนวงศ์
    20/4/23

    ***************************

    # บทความของ ชัย ราชวัตร เตือนคนไทย

    อุทาหรณ์!! เสรีภาพที่มาพร้อมกับความโง่เขลา"
    ....ชัย ราชวัตร ยกบทความ นศ.ลิเบียถูกอเมริกาชักใยก่อม็อบร่วมโค่นผู้นำจนทำให้ต้องประเทศพัง!!
    .....นายสมชัย กตัญญุตานันท์ หรือ ชัย ราชวัตร การ์ตูนนิสต์ชื่อดังได้โพสต์บทความลงในเฟซบุ๊กโดยเป็นการหยิบเอาบทความเกี่ยวกับเรื่องลิเบีย และเสรีภาพ นำมาให้สังคมการเคลื่อนไหวในประเทศไทยได้เห็นเป็นตัวอย่างว่า..ประชาธิปไตยที่บางคนโหยหา…. ตัวอย่างที่น่าคิด…….
    .....ประเทศลิเบีย เสรีภาพที่มาพร้อมกับความโง่เขลา….ลิเบีย เป็นประเทศหลายชนเผ่า เป็นประเทศล้าหลัง ยากจน ถึงจะมีน้ำมันเยอะ แต่ชาติตะวันตกก็เป็นเจ้าของสัมปทาน ได้ประโยชน์ส่วนใหญ่ไป เหลือทิ้งไว้ให้คนในลิเบียนิดเดียว
    .....กัดดาฟี่ทำการรัฐประหาร แล้วทำการยึดสัมปทานน้ำมันจากชาติตะวันตก เอาน้ำมันเข้ารัฐ ส่งผลให้ลิเบียร่ำรวยมากขึ้น กัดดาฟี่ จึงนำเอาเงินที่ได้มาให้สวัสดิการประชาชนอย่างเต็มที่ทุกคนเรียนฟรี รักษาฟรี มีเงินสนับสนุนให้ ไม่ว่าจะแต่งงานหรือมีลูกและสวัสดิการอื่นๆอีกมากมาย รัฐมีเงินให้ จะสร้างบ้าน จะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก รัฐให้ฟรีหมด …..
    .....เกษตรกรไม่ต้องห่วงเรื่องน้ำ แม้จะเป็นทะเลทราย แต่กัดดาฟี่จัดหาน้ำ และทำท่อส่งน้ำใต้ดินถึงที่ดินทุกแปลงจนประชากรลิเบียมีมาตรฐานคุณภาพชีวิตที่ดีมาก และสูงขึ้นเป็นอันดับต้นๆของโลก… กลุ่มชนเผ่าในประเทศก็เลิกตีกัน เพราะกัดดาฟี ได้จัดการแบ่งผลประโยชน์จากน้ำมันให้อย่างทั่วถึง ….มีความเป็นอยู่อย่างดีมาตลอดหลายสิบปี…..
    .....ถึงประชาชนจะสุขสบาย แต่ก็เริ่มเบื่อกับการปกครองของกัดดาฟี่ มหาอำนาจตะวันตก สหรัฐ กับอังกฤษ เห็นว่าคนลิเบียเริ่มเบื่อกับการปกครองของกัดดาฟี่ จึงได้โอกาสจัดอาหรับสปริง
    .....โดยจัดให้นักศึกษาชาวลิเบียที่ไปเรียนต่างประเทศมา…. มาเป็นแกนนำในการเรียกร้องเสรีภาพ โดยมีอเมริกาและอังกฤษเป็นอีแอบสนับสนุนอยู่ข้างหลัง เกิดม๊อบเกิดจลาจลทั่วประเทศ….. กลุ่มทหารกลุ่มหนึ่งฉวยโอกาสหักหลังกัดดาฟี่ เป็นกบฏต่อรัฐบาล สู้รบกับรัฐบาล ผลสุดท้ายฝ่ายทหารกบฏกับกลุ่มประชาชน นักศึกษาที่เรียกร้องเสรีภาพชนะฝ่ายกัดดาฟี่ ….กัดดาฟี่ตาย
    .....มีข่าวว่านางฮิลลารี่ คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ถึงกับบินไปดูศพของกัดดาฟี่ด้วยตัวเอง พร้อมกับพูดด้วยความสะใจว่า…. ฉันมา ฉันรู้ ฉันเห็นมันตาย …..
    .....กัดดาฟี่ตาย ไม่มีผู้นำที่เป็นคนยึดเหนี่ยวกลุ่มชนไว้ด้วยกัน… กลุ่มชนเผ่าในประเทศแต่ละฝ่ายก็ตั้งตัวเป็นใหญ่ แย่งชิงอำนาจกัน ….เกิดสงครามรบพุ่งกันภายในประเทศตลอดเวลา ….ทีนี้ประชาชนก็อยู่ไม่ได้ ต่างอพยพหนีภัยสงครามกันจ้าละหวั่น ….
    .....ประชากรเกือบหนึ่งในสามของประเทศ ต้องอพยพหนีภัยสงครามไปต่างประเทศ ส่วนคนที่เหลือในประเทศ ก็ต้องประสบชะตากรรม บ้านแตกสาแหรกขาด อดอยาก หิวโหย วันๆ หลบแต่กระสุนและลูกระเบิด…. ผู้ชายถูกเกณฑ์ไปรบ ผู้หญิงถูกบังคับให้บริการทางเพศ ….มีข่าวว่าถูกจับไปขายเป็นทาสทั้งหญิงและชายอย่างลับๆในประเทศเพื่อนบ้าน
    .....ลิเบียจากประเทศที่สงบสุข ประชาชนร่ำรวย มีความสุข ปานอยู่สวรรค์ เพียงพริบตาเดียวที่กัดดาฟีตาย ……ก็กลายเป็นเหมือนตกนรกทั้งเป็น จะโทษใครเล่า ก็ต้องโทษความโง่เขลาเบาปัญญาของตัวเองที่หลงกลชาติมหาอำนาจ
    .....ผ่านมาจะสิบปีแล้ว นรกในลิเบียก็ยังดำเนินต่อไป และไม่มีท่าว่าจะสิ้นสุด แถมดูแล้ว ประเทศลิเบียก็คงจะไม่มีต่อไป คงสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดินเป็นแน่แท้
    .....โอ้อนิจจา…เสรีภาพที่มาพร้อมกับความโง่เขลา ประชาชนถูกปั่นหัวว่า…มันหอมหวนแสนหวานปานน้ำผึ้งนั้นมีเฉพาะในฝัน ….แต่บางครั้งมันคือน้ำกรดที่รดลงทำลายประเทศจนสิ้นทรากในพริบตา..มันคือความเป็นจริง
    .....ขออย่าให้ประเทศไทยต้องเป็นอย่างประเทศลิเบียเลย..ถ้าท่านเห็นว่าบทความนี้ควรจะเผยแพร่ไปยังผู้ที่กำลังคิดจะทำให้ประเทศไทยเป็นอย่างประเทศลิเบีย..ขอโปรดแชร์บทความนี้ต่อไปยังเพื่อนของท่านด้วย…
    #เรารักประเทศไทย
    Cr : ชัย ราชวัตร
    เรื่องจริงที่น่าสมเพช ⭕️⭕️⭕️⭕️⭕️ คนไทยทุกคน ควรอ่าน ************ เดิมที ลิเบียถูกอิตาลียึดครอง ต่อมาอิตาลีแพ้สงครามโลก อังกฤษและฝรั่งเศสเข้ามาปกครองลิเบียโดยแย่งไปจากอิตาลี และได้ขุดน้ำมัน บริษัทของอังกฤษและฝรั่งเศสได้สัมปทานกอบโกยน้ำมันไปจนร่ำรวย ส่วนคนลิเบียแทบไม่ได้อะไรเลย แม้ภายหลังลิเบียได้เอกราช แต่สัมปทานน้ำมันแบบเกือบฟรี ก็ยังอยู่ในมือบริษัทอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมา กัดดาฟีเห็นว่าไม่เป็นธรรมจึงทำการปฏิวัติ และยึดสัมปทานน้ำมันคืนมา กัดดาฟีปกครอง ให้ประชาชนทุกอย่าง สวัสดิการดีที่สุดในบรรดาประเทศที่รวยน้ำมัน อาจจะเรียกได้ว่า ดีที่สุดในโลก ประชาชนอยู่ดี กินดี มีความสุขสบายทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียวคือ ไม่มีประชาธิปไตยแบบตะวันตก ไม่มีการเลือกผู้แทน ไม่มีการเลือกรัฐบาล และผู้นำ กลุ่มนักศึกษา ที่นึกฝันว่า ถ้าประเทศลิเบียมีประชาธิปไตยแบบอเมริกา น่าจะทำให้ประชาชนได้สวัสดิการมากกว่าที่กัดดาฟี มีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่ มีความคับข้องใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ จนกัดดาฟี อึดอัดกับคำสั่งอเมริกาและซาอุ ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ในโอเปค (ตอนนั้นยังไม่ใช่โอเปคพลัสอย่างทุกวันนี้) ที่ให้ทุกประเทศในโอเปคต้องขายน้ำมันผูกขาดด้วย petrodollar เท่านั้น กัดดาฟีประกาศจะไม่ทำตาม จะขายน้ำมันด้วยเงินดีนาร์ทองคำ หรือแลกด้วยทองคำ ซึ่งจะเป็นการเริ่มต้นทำลาย petrodollar อเมริกาจึงวางแผนกำจัดกัดดาฟี อเมริกาจึงไปยุยงวางแผนให้นักศึกษาก่อการจลาจล ลิเบียสปริง มีอเมริกาโดย CIA ดำเนินการให้ทั้งเงิน อาวุธ และสนับสนุนด้านอื่นๆ กัดดาฟีปราบปรามนักศึกษาที่ก่อการจลาจล สื่อตะวันตกก็พร้อมใจกันประโคมว่า กัดดาฟีเป็นผู้นำเผด็จการเข่นฆ่าประชาชนและนักศึกษา อย่างต่อเนื่อง ใหญ่โต และเป็นระบบ พอโหมประโคมโฆษณาชวนเชื่อจนล้างสมองคนทั้งโลกได้ อเมริกาและอังกฤษ ก็ส่งกองกำลังเข้าไปจับกัดดาฟีฆ่า ปล้นเอาทองคำในคลังหลวงของลิเบียไปหมด ยึดสัมปทานน้ำมันให้บริษัทตะวันตกไปร่ำรวยต่อ สวัสดิการทุกอย่างหายไปหมดสิ้น อังกฤษ อเมริกา และฝรั่งเศส จัดตั้งคนที่ตนสั่งได้ขึ้นมาแทนกัดดาฟี แต่กองกำลังอื่นๆ ไม่ยอมรับและเริ่มมีการต่อสู้แย่งอำนาจกันรุนแรงขึ้นเรื่อย จนบ้านเมืองพินาศวอดวาย อเมริกา หลังจากฆ่ากัดดาฟีได้ ก็ถอยไปให้อังกฤษกับฝรั่งเศสเจ้านายเดิมเข้ามาจัดการ แต่อังกฤษและฝรั่งเศส ก็ไม่อยากลงทุนส่งทหารไปตายในลิเบีย เพราะสงครามแย่งชิงอำนาจของกองกำลังต่างๆ รบกันรุนแรงมาก ถ้าอังกฤษ ฝรั่งเศส ส่งทหารไป จะต้องใช้เงินจำนวนมาก ทหารจะตายเยอะ และดูว่าไม่น่าจะสำเร็จจึงถอยมาปล่อยให้กองกำลังลิเบียฆ่ากันเองต่อไป จนโอบาม่าออกปากว่า อเมริกาฆ่ากัดดาฟีให้แล้ว พรรคพวกในยุโรปจัดการแย่มากจนลิเบียเละตุ้มเป๊ะไปหมด คนลิเบียฆ่ากันตายมากมาย บ้านเมืองพังพินาศ ความยากจนขาดแคลน เกิดทั่วประเทศ คนลิเบียหลายล้านคน ราวหนึ่งในสามต้องหนีตายจากสงครามและความอดอยาก ต้องอพยพเป็นมนุษย์เรือลี้ภัยออกจากลิเบียไปยุโรป เรือล่มจมน้ำตายมากมาย ที่เหลือต้องไปอยู่เป็นพลเมืองชั้นสาม สี่ ห้า อยู่อย่างลำบากยากแค้น ถูกกดขี่ และเกลียดชัง เพราะเป็นคนอิสลามผิวสี ไปอยู่ในหมู่ชาวคริสตผิวขาว เป็นผู้ลี้ภัยที่เจ้าของบ้าน ไม่อยากต้อนรับ จนเดี๋ยวนี้ ลิเบียยังรบกันอยู่ จากเมืองที่เคยเป็นเหมือนสวรรค์ อเมริกาทำให้กลับกลายเป็นนรกได้ ตอนนี้พวกนักศึกษาที่ก่อการจลาจล ลี้ภัย ตกนรกกันอยู่ที่ไหนบ้าง แต่อเมริกาทำไม่ได้ ถ้านักศึกษาของลิเบีย (ที่กัดดาฟีใช้เงินจากการขายน้ำมันส่งให้เรียนฟรีทั้งในและต่างประเทศ) ไม่หลงลมและร่วมมือกับ CIA ของอเมริกาก่อการจลาจล นักศึกษาที่ออกมาประท้วงก่อการจลาจล ป่านนี้คงรู้สำนึกแล้วว่าไม่น่าทำลายบ้านเมืองตัวเอง ถูกหลอกใช้เป็นเบี้ยในกระดาน พอใช้เสร็จก็ถูกทิ้ง แต่รู้สำนึกตอนนี้ก็สายไปแล้ว ลิเบียกลายเป็นนรกไปทุกหย่อมหญ้าแล้ว กบเลือกนายจนทำให้บ้านเมืองฉิบหายวายวอดละครับ วันชัย รุจนวงศ์ 20/4/23 *************************** # บทความของ ชัย ราชวัตร เตือนคนไทย อุทาหรณ์!! เสรีภาพที่มาพร้อมกับความโง่เขลา" ....ชัย ราชวัตร ยกบทความ นศ.ลิเบียถูกอเมริกาชักใยก่อม็อบร่วมโค่นผู้นำจนทำให้ต้องประเทศพัง!! .....นายสมชัย กตัญญุตานันท์ หรือ ชัย ราชวัตร การ์ตูนนิสต์ชื่อดังได้โพสต์บทความลงในเฟซบุ๊กโดยเป็นการหยิบเอาบทความเกี่ยวกับเรื่องลิเบีย และเสรีภาพ นำมาให้สังคมการเคลื่อนไหวในประเทศไทยได้เห็นเป็นตัวอย่างว่า..ประชาธิปไตยที่บางคนโหยหา…. ตัวอย่างที่น่าคิด……. .....ประเทศลิเบีย เสรีภาพที่มาพร้อมกับความโง่เขลา….ลิเบีย เป็นประเทศหลายชนเผ่า เป็นประเทศล้าหลัง ยากจน ถึงจะมีน้ำมันเยอะ แต่ชาติตะวันตกก็เป็นเจ้าของสัมปทาน ได้ประโยชน์ส่วนใหญ่ไป เหลือทิ้งไว้ให้คนในลิเบียนิดเดียว .....กัดดาฟี่ทำการรัฐประหาร แล้วทำการยึดสัมปทานน้ำมันจากชาติตะวันตก เอาน้ำมันเข้ารัฐ ส่งผลให้ลิเบียร่ำรวยมากขึ้น กัดดาฟี่ จึงนำเอาเงินที่ได้มาให้สวัสดิการประชาชนอย่างเต็มที่ทุกคนเรียนฟรี รักษาฟรี มีเงินสนับสนุนให้ ไม่ว่าจะแต่งงานหรือมีลูกและสวัสดิการอื่นๆอีกมากมาย รัฐมีเงินให้ จะสร้างบ้าน จะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก รัฐให้ฟรีหมด ….. .....เกษตรกรไม่ต้องห่วงเรื่องน้ำ แม้จะเป็นทะเลทราย แต่กัดดาฟี่จัดหาน้ำ และทำท่อส่งน้ำใต้ดินถึงที่ดินทุกแปลงจนประชากรลิเบียมีมาตรฐานคุณภาพชีวิตที่ดีมาก และสูงขึ้นเป็นอันดับต้นๆของโลก… กลุ่มชนเผ่าในประเทศก็เลิกตีกัน เพราะกัดดาฟี ได้จัดการแบ่งผลประโยชน์จากน้ำมันให้อย่างทั่วถึง ….มีความเป็นอยู่อย่างดีมาตลอดหลายสิบปี….. .....ถึงประชาชนจะสุขสบาย แต่ก็เริ่มเบื่อกับการปกครองของกัดดาฟี่ มหาอำนาจตะวันตก สหรัฐ กับอังกฤษ เห็นว่าคนลิเบียเริ่มเบื่อกับการปกครองของกัดดาฟี่ จึงได้โอกาสจัดอาหรับสปริง .....โดยจัดให้นักศึกษาชาวลิเบียที่ไปเรียนต่างประเทศมา…. มาเป็นแกนนำในการเรียกร้องเสรีภาพ โดยมีอเมริกาและอังกฤษเป็นอีแอบสนับสนุนอยู่ข้างหลัง เกิดม๊อบเกิดจลาจลทั่วประเทศ….. กลุ่มทหารกลุ่มหนึ่งฉวยโอกาสหักหลังกัดดาฟี่ เป็นกบฏต่อรัฐบาล สู้รบกับรัฐบาล ผลสุดท้ายฝ่ายทหารกบฏกับกลุ่มประชาชน นักศึกษาที่เรียกร้องเสรีภาพชนะฝ่ายกัดดาฟี่ ….กัดดาฟี่ตาย .....มีข่าวว่านางฮิลลารี่ คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ถึงกับบินไปดูศพของกัดดาฟี่ด้วยตัวเอง พร้อมกับพูดด้วยความสะใจว่า…. ฉันมา ฉันรู้ ฉันเห็นมันตาย ….. .....กัดดาฟี่ตาย ไม่มีผู้นำที่เป็นคนยึดเหนี่ยวกลุ่มชนไว้ด้วยกัน… กลุ่มชนเผ่าในประเทศแต่ละฝ่ายก็ตั้งตัวเป็นใหญ่ แย่งชิงอำนาจกัน ….เกิดสงครามรบพุ่งกันภายในประเทศตลอดเวลา ….ทีนี้ประชาชนก็อยู่ไม่ได้ ต่างอพยพหนีภัยสงครามกันจ้าละหวั่น …. .....ประชากรเกือบหนึ่งในสามของประเทศ ต้องอพยพหนีภัยสงครามไปต่างประเทศ ส่วนคนที่เหลือในประเทศ ก็ต้องประสบชะตากรรม บ้านแตกสาแหรกขาด อดอยาก หิวโหย วันๆ หลบแต่กระสุนและลูกระเบิด…. ผู้ชายถูกเกณฑ์ไปรบ ผู้หญิงถูกบังคับให้บริการทางเพศ ….มีข่าวว่าถูกจับไปขายเป็นทาสทั้งหญิงและชายอย่างลับๆในประเทศเพื่อนบ้าน .....ลิเบียจากประเทศที่สงบสุข ประชาชนร่ำรวย มีความสุข ปานอยู่สวรรค์ เพียงพริบตาเดียวที่กัดดาฟีตาย ……ก็กลายเป็นเหมือนตกนรกทั้งเป็น จะโทษใครเล่า ก็ต้องโทษความโง่เขลาเบาปัญญาของตัวเองที่หลงกลชาติมหาอำนาจ .....ผ่านมาจะสิบปีแล้ว นรกในลิเบียก็ยังดำเนินต่อไป และไม่มีท่าว่าจะสิ้นสุด แถมดูแล้ว ประเทศลิเบียก็คงจะไม่มีต่อไป คงสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดินเป็นแน่แท้ .....โอ้อนิจจา…เสรีภาพที่มาพร้อมกับความโง่เขลา ประชาชนถูกปั่นหัวว่า…มันหอมหวนแสนหวานปานน้ำผึ้งนั้นมีเฉพาะในฝัน ….แต่บางครั้งมันคือน้ำกรดที่รดลงทำลายประเทศจนสิ้นทรากในพริบตา..มันคือความเป็นจริง .....ขออย่าให้ประเทศไทยต้องเป็นอย่างประเทศลิเบียเลย..ถ้าท่านเห็นว่าบทความนี้ควรจะเผยแพร่ไปยังผู้ที่กำลังคิดจะทำให้ประเทศไทยเป็นอย่างประเทศลิเบีย..ขอโปรดแชร์บทความนี้ต่อไปยังเพื่อนของท่านด้วย… #เรารักประเทศไทย Cr : ชัย ราชวัตร
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • วิเคราะห์หนังสือในมือ

    เล่มล่าสุดที่เพิ่งอ่านจบครับ เป็นหนังสือที่เพิ่งเห็นในห้องสมุดไม่นานนี้ ก่อนหน้าได้เคยอ่านบ้านวิกลคนประหลาดเล่มแรกไปเมื่อหลายเดือนก่อน รู้สึกว่าผลงานนักเขียนคนนี้จะค่อนข้างมีกระแสแรงทั้งสองด้าน คนที่ชอบก็จะชอบมาก ส่วนคนที่ไม่ชอบก็ไม่ชอบมากถึงขั้นเกลียดก็มี ที่จะอยู่ตรงกลางไม่ค่อยเห็น ผมสนใจอ่านผลงานของเขาด้วยเหตุผล 2 ประการ

    1. อยากอ่านจริง ๆ เพราะมีเนื้อหาที่น่าสนใจอีกทั้งการนำเสนอที่มีอะไรให้เล่นสนุกได้นอกเหนือไปจากตัวอักษรล้วน ปกติชอบหนังสือประเภทมีภาพประกอบให้ได้ใช้ความคิดวิเคราะห์อยู่แล้ว

    2 อยากทราบว่าทำไมผลงานของเขาถึงก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมในวงการนักอ่านได้อย่างรุนแรงชนิดที่เป็นขั้วตรงข้ามขนาดนั้น

    อ่านแล้วได้ข้อสรุปกับตัวเองคือ ผมชอบนะ แต่ไม่ได้ถึงขนาดชอบมาก ชอบในการสร้างสรรค์งานเขียนที่สร้างจุดแปลกให้แตกต่าง อาจจะไม่ได้เป็นครั้งแรก คนแรก ที่ใช้กลวิธีนำเสนอภาพกับเนื้อหาให้สอดคล้องกันไปกับเรื่องที่ต้องการเล่า ในขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้คนเขียนได้ออกกำลังทางความคิด ไปจนถึงความขัดแย้งทางความเห็นได้มากกว่างานเขียนอื่นที่ปรากฏสู่สายตานักอ่านในช่วงเดียวกันในเมืองไทย

    ไม่ว่าอ่านแล้ว จะมีทั้งคนชอบหรือคนไม่ชอบ ไปจนถึงรักหรือเกลียดในผลงาน หรืออาจพาไปถึงเกลียดคนเขียนด้วยหรือไม่นั้น ผมถือว่าเขาทำสำเร็จแล้วในแง่ของนักเขียนผู้สร้างปรากฏการณ์ที่เขย่าวงการ อย่างน้อยที่สุดการที่ได้มีการโต้แย้งทางความเห็นที่ไม่ไหลไปในทางเดียวกันทั้งหมด คือมีทั้งคนที่ชี้ข้อดี และข้อเสีย ก็น่าเป็นผลดีที่ทำให้เกิดความตื่นตัวต่อแวดวงคนอ่าน จะได้ไม่ซบเซาเหงาหงอยเกินไป

    ส่วนความเห็น ไม่ว่าจะฝั่งไหน ก็ไม่ได้ลดทอนคุณค่าหรือสาระที่มีอยู่ในหนังสือเล่มใดให้มากขึ้น หรือลดลง เนื่องจากความเห็นยังไม่เที่ยงแท้และไม่ใช่ความจริง ด้วยขึ้นกับปัจจัยแวดล้อมมากมายในแต่ละบุคคล ไม่ได้หมายความว่าความเห็นของคนที่ชอบจะต้องถูก หรือความเห็นของคนที่ไม่ชอบจะต้องผิด

    แม้แต่ความเห็นของเราเองยังเชื่อใจไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ว่าจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ไม่แน่ว่ากาลเวลาล่วงเลยไปถึงระยะหนึ่งในวันข้างหน้า ที่เราเติบโตขึ้นต่างไปจากความรู้สึกในปัจจุบัน มุมมองความเห็นเราอาจกลายเป็นตรงข้ามกับตัวเองในตอนนี้ก็ยังได้ นั่นต่างหากคือความจริง

    #ภาพวาดปริศนากับการตามหาฆาตกร
    สนพ.Prism
    ฉบับพิมพ์ครั้ง4 ม.ค.2567
    อุเก็ตสึ เขียน
    ฉัตรขวัญ อดิศัย แปล
    335 บาท 274 หน้า

    เนื้อหาอย่างคร่าว

    เริ่มต้นบทนำด้วยหญิงคนหนึ่งที่เป็นผู้ศึกษามาทางด้านจิตวิเคราะห์ นำภาพวาดของเด็กหญิงวัย 11 ปี ที่เคยเป็นคนในความดูแลของตนช่วงเวลาหนึ่งมาฉายให้นักศึกษาที่เข้าฟังบรรยายชม และบอกว่าเด็กหญิงฆ่าแม่ตัวเองตาย เธออธิบายความหมายเบื้องหลังภาพนั้น ก่อนจะลงท้ายว่าเด็กหญิงเคยถูกแม่ทารุณกรรม แต่มีแนวโน้มพอจะเยียวยาได้ ปัจจุบันมีข่าวว่าเธอเป็นแม่คนแล้ว

    บทที่1ภาพวาดผู้หญิงยืนกลางสายลม

    เข้าสู่เรื่องราวของความแปลกด้วยการที่ นักศีกษาชมรมเรื่องลี้ลับชายคนหนึ่ง ได้รับการกระตุ้นให้เกิดสนใจในการเข้าไปอ่านในบล็อก ที่ผู้เขียนไม่เปิดเผยตัวตน แต่พิมพ์เล่าเรื่องราวในชีวิตตนเองคล้ายไดอารีให้คนที่เข้ามาอ่านทราบความเป็นไปของเขา ซึ่งมีอะไรที่ชวนฉงน อีกทั้งเจ้าของบล็อกลงรูปภาพหลายภาพ ที่ชวนให้รู้สึกว่าเรื่องราวที่เขาเล่ามีอะไรที่ไม่ปกติซ่อนเร้นอยู่ ยิ่งสุดท้ายมีการระบุว่าเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นกับคนในครอบครัว และจะไม่อัปบล็อกอีกต่อไป เนื้อหาเหล่านั้นจึงค้างคาในใจของรุ่นน้อง แล้วพลอยส่งต่อความรู้สึกมายังรุ่นพี่ให้อยากรู้ตาม จนนอนไม่หลับ ใคร่จะไขปริศนาให้จงได้ จบตอน

    บทที่2 ภาพวาดหมอกปกคลุมห้อง

    กล่าวถึงหญิงคนหนึ่งที่ถูกเรียกหาว่า หม่าม้า จากลูกชายวัย 6 ขวบ ทั้งคู่อาศัยอยู่ด้วยกันตามลำพังในแมนชั่นแห่งหนึ่ง แม่ทำงานเป็นพนักงานในซูเปอร์มาร์เก็ต ลูกชายนั้นเรียนที่โรงเรียนใกล้ที่พัก ระยะนี้คนเป็นแม่รู้สึกได้ว่าถูกใครสักคนลอบดูและแอบติดตามขณะเธอและลูกออกนอกแมนชั่น โดยเฉพาะช่วงเวลากลับจากรับลูกที่โรงเรียน จนมีความเครียดและกังวล ในขณะคุณครูที่ดูแลเด็กนักเรียนห้องที่ลูกชายของเธอเรียนอยู่นั้น ก็มีเรื่องที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับภาพวาดของเขามาหารือ เป็นภาพที่มีหัวข้อเกี่ยวกับแม่ แต่มีอะไรบางอย่างในภาพนั้นที่รบกวนใจของครูอย่างแปลกประหลาด จนภายหลังเมื่อค้นพบข้อมูลเพิ่มเติมจากการวิเคราะห์คำพูดของเพื่อนครูคนอื่น รวมถึงคำบอกเล่าของเด็กหญิงที่เป็นเพื่อนสนิทกันของเด็กชาย ดูเหมือนจะมีความลับที่น่าตกใจซ่อนอยู่ เกี่ยวกับแม่ลูกคู่นี้

    บทที่3 ภาพวาดในวาระสุดท้ายของครูสอนศิลปะ

    ครูหนุ่มใหญ่ซึ่งสอนในชมรมศิลปะของโรงเรียนแห่งหนึ่ง เป็นคนค่อนข้างตรง และอุปนิสัยแข็งกร้าว เขามีน้ำใจชอบช่วยลูกศิษย์ และกับเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันในอดีต ชื่นชอบการวาดรูปกับปีนเขา เรื่องเกิดขึ้นในวันหนึ่งที่เขาขึ้นไปวาดรูปบนยอดเขาแล้วถูกพบเป็นศพในวันต่อมา สภาพศพน่าอเนจอนาถ คดีนี้มีผู้ได้รับการสอบถามจากนักข่าว 4 รายคือพนักงานที่คอยดูแลตรวจตราสภาพของภูเขา ,เมียผู้ตาย ซึ่งมีลูกชายวัยประถม ,เพื่อนสมัยเป็นนักศึกษาที่ปัจจุบันทำงานพิเศษเป็นครูอยู่โรงเรียนเดียวกับผู้ตาย และนักเรียนชมรมศิลปะที่ผู้ตายสอน แต่ตำรวจไม่สามารถจับคนร้าย ต่อมาหนุ่มนักศึกษาที่เคยเป็นลูกศิษย์ของผู้ตาย ที่หลังจบม.ปลายได้เข้าทำงานกับบริษัทหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เขารักครูผู้ตายที่เคยช่วยเหลือตนสมัยเรียน จึงอยากสืบหาความจริง จากเบาะแสภาพวาดที่ทิ้งไว้ก่อนเสียชีวิต ทว่าเรื่องราวช่างซับซ้อนซ่อนกล และแฝงไว้ซึ่งความจริงอันน่าตื่นตระหนก

    บทที่4 ภาพวาดต้นไม้ปกป้องนกกระจอกชวา

    บทสุดท้ายที่จะขมวดทุกเหตุการณ์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นเข้าสู่เรื่องยาวของชีวิต ๆ หนึ่ง ที่ย้อนกลับสู่บทนำในภาพแรกที่นักจิตวิเคราะห์ได้นำเสนอ โดยเล่าถึงชีวิตที่น่าสงสารและเห็นใจของเด็กหญิงที่บอกเล่าที่มาซึ่งทำให้เธอกลายเป็นฆาตกรฆ่าแม่ และเรื่องราวหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่จะไปเชื่อมต่อกับเนื้อหาในบทที่ 1 2 3 ตามลำดับ เพื่อจะได้ทราบความจริงที่ถูกซ้อนทับด้วยคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในอดีตหลายคดีด้วยกัน ทั้งหมดล้วนมีต้อตอมาจากคนคนเดียว

    เป็นใคร และทำไม ไปตามต่อได้ในเล่มครับ

    🖋หลังอ่านจบ

    ชอบในความอ่านง่าย ยิ่งมีภาพประกอบสลับเป็นช่วง ทำให้ได้พักสายตา จะขอไม่กล่าวถึงในแง่ต่าง ๆ ที่ทั้งคนชอบและไม่ชอบต่างวิจารณ์กันไปเยอะแล้ว แต่อยากพูดถึงในแง่ว่า ผู้เขียนฉลาดนักในการตัดสินใจเล่าอย่างตรงไปตรงมา ไม่อธิบายบรรยายฉากหรือเรื่องที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์อย่างละเอียดมาก บางฉากถึงกับใช้วิธีที่ง่าย สั้น และตรง ๆ ทื่อ ๆ เลยด้วยซ้ำ

    ซึ่งมันกลับได้ผล ทรงพลัง เมื่อเราได้จินตนาการไปตามตัวอักษรเหล่านั้น เช่น

    ปั้กกก

    แล้วก็
    ปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกก...

    แค่ตอนที่อ่านถึงตรงบรรทัดนี้ ความรู้สึกเวลาหลับตานึกถึงกิริยาที่ก่อให้เกิดเสียง กับอาการที่เกิดขึ้นอันเป็นผลลัพธ์ ก็ทำเอาใจคอไม่เป็นปกติแล้ว

    เสียงชนิดเดียวที่ดังต่อเนื่องซ้ำแล้วซ้ำอีกชั่วระยะเวลาที่แม้นไม่นานนัก แต่น่าจะยาวนานที่สุดในชีวิตสำหรับความรู้สึกของผู้อยู่ในเหตุการณ์

    เพียงแค่ฉากนี้ฉากเดียว สามารถสื่อถึงความวิปริตผิดปกติของจิตใจคนคนนั้นได้อย่างชัดเจน เพราะแสดงให้เห็นถึงสภาพคนที่มีความเก็บกด อดกลั้น ย้ำคิดย้ำทำ กังวลและเครียด ไม่สามารถจะควบคุมหรือยับยั้งความคิดหรืออารมณ์ที่ผุดพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พอปล่อยให้มันแสดงออกตามสบาย จึงล้นทะลักราวทำนบทลาย

    ซึ่งสังเกตได้ว่าไม่ได้ปรากฏขึ้นแค่เฉพาะฉากนี้เท่านั้น

    นี่คือความน่ากลัว และน่าขนลุกอย่างแท้จริง

    อ่านแล้วอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสังคมไทยในปัจจุบัน เด็กหญิงชายจำนวนมากมาย ที่เติบโตขึ้นมาอย่างผู้ถูกกระทำจากคนใกล้ชิดในครอบครัว แม้บางส่วนถูกช่วยเหลือออกมาได้ และเข้าสู่ขั้นตอนช่วยเหลือเยียวยา

    ทว่า..เราจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าสิ่งที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของเด็ก ๆ ได้รับการสะสางชำระล้างไปจนหมดสิ้น แล้วจะไม่กลายร่างเป็นดังเช่นคนร้ายที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้

    เด็กทั้งหลาย เขาได้เติบโตขึ้นมาและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนทั่วไปในสังคม โดยที่เหมือนมีระเบิดเวลาซุกซ่อนอยู่ในตัว รอวันที่จะถูกสิ่งใดมากระตุ้นโดนจุดอ่อนนั้นให้เกิดเป็นเรื่องราวบทใหม่หรือไม่

    เป็นไปได้ว่าสักวันเหยื่อเหมือนในหนังสือเล่มนี้ อาจเป็นใครบางคนที่เรารักหรือรักเรา แม้กระทั่งตัวเราเองก็เป็นได้ ใครจะรู้?!

    #บทความ
    #บทวิจารณ์
    #หนังสือน่าอ่าน
    #ฆาตกรรม
    #จิตวิทยา
    #หนังสือแปล
    #นิยายแปล
    #ความรุนแรงในครอบครีว
    #พ่อแม่รังแกฉัน
    #ปริศนา
    #ภาพวาด
    #thaitimes
    #อุเก็ตสึ
    วิเคราะห์หนังสือในมือ เล่มล่าสุดที่เพิ่งอ่านจบครับ เป็นหนังสือที่เพิ่งเห็นในห้องสมุดไม่นานนี้ ก่อนหน้าได้เคยอ่านบ้านวิกลคนประหลาดเล่มแรกไปเมื่อหลายเดือนก่อน รู้สึกว่าผลงานนักเขียนคนนี้จะค่อนข้างมีกระแสแรงทั้งสองด้าน คนที่ชอบก็จะชอบมาก ส่วนคนที่ไม่ชอบก็ไม่ชอบมากถึงขั้นเกลียดก็มี ที่จะอยู่ตรงกลางไม่ค่อยเห็น ผมสนใจอ่านผลงานของเขาด้วยเหตุผล 2 ประการ 1. อยากอ่านจริง ๆ เพราะมีเนื้อหาที่น่าสนใจอีกทั้งการนำเสนอที่มีอะไรให้เล่นสนุกได้นอกเหนือไปจากตัวอักษรล้วน ปกติชอบหนังสือประเภทมีภาพประกอบให้ได้ใช้ความคิดวิเคราะห์อยู่แล้ว 2 อยากทราบว่าทำไมผลงานของเขาถึงก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมในวงการนักอ่านได้อย่างรุนแรงชนิดที่เป็นขั้วตรงข้ามขนาดนั้น อ่านแล้วได้ข้อสรุปกับตัวเองคือ ผมชอบนะ แต่ไม่ได้ถึงขนาดชอบมาก ชอบในการสร้างสรรค์งานเขียนที่สร้างจุดแปลกให้แตกต่าง อาจจะไม่ได้เป็นครั้งแรก คนแรก ที่ใช้กลวิธีนำเสนอภาพกับเนื้อหาให้สอดคล้องกันไปกับเรื่องที่ต้องการเล่า ในขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้คนเขียนได้ออกกำลังทางความคิด ไปจนถึงความขัดแย้งทางความเห็นได้มากกว่างานเขียนอื่นที่ปรากฏสู่สายตานักอ่านในช่วงเดียวกันในเมืองไทย ไม่ว่าอ่านแล้ว จะมีทั้งคนชอบหรือคนไม่ชอบ ไปจนถึงรักหรือเกลียดในผลงาน หรืออาจพาไปถึงเกลียดคนเขียนด้วยหรือไม่นั้น ผมถือว่าเขาทำสำเร็จแล้วในแง่ของนักเขียนผู้สร้างปรากฏการณ์ที่เขย่าวงการ อย่างน้อยที่สุดการที่ได้มีการโต้แย้งทางความเห็นที่ไม่ไหลไปในทางเดียวกันทั้งหมด คือมีทั้งคนที่ชี้ข้อดี และข้อเสีย ก็น่าเป็นผลดีที่ทำให้เกิดความตื่นตัวต่อแวดวงคนอ่าน จะได้ไม่ซบเซาเหงาหงอยเกินไป ส่วนความเห็น ไม่ว่าจะฝั่งไหน ก็ไม่ได้ลดทอนคุณค่าหรือสาระที่มีอยู่ในหนังสือเล่มใดให้มากขึ้น หรือลดลง เนื่องจากความเห็นยังไม่เที่ยงแท้และไม่ใช่ความจริง ด้วยขึ้นกับปัจจัยแวดล้อมมากมายในแต่ละบุคคล ไม่ได้หมายความว่าความเห็นของคนที่ชอบจะต้องถูก หรือความเห็นของคนที่ไม่ชอบจะต้องผิด แม้แต่ความเห็นของเราเองยังเชื่อใจไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ว่าจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ไม่แน่ว่ากาลเวลาล่วงเลยไปถึงระยะหนึ่งในวันข้างหน้า ที่เราเติบโตขึ้นต่างไปจากความรู้สึกในปัจจุบัน มุมมองความเห็นเราอาจกลายเป็นตรงข้ามกับตัวเองในตอนนี้ก็ยังได้ นั่นต่างหากคือความจริง #ภาพวาดปริศนากับการตามหาฆาตกร สนพ.Prism ฉบับพิมพ์ครั้ง4 ม.ค.2567 อุเก็ตสึ เขียน ฉัตรขวัญ อดิศัย แปล 335 บาท 274 หน้า เนื้อหาอย่างคร่าว เริ่มต้นบทนำด้วยหญิงคนหนึ่งที่เป็นผู้ศึกษามาทางด้านจิตวิเคราะห์ นำภาพวาดของเด็กหญิงวัย 11 ปี ที่เคยเป็นคนในความดูแลของตนช่วงเวลาหนึ่งมาฉายให้นักศึกษาที่เข้าฟังบรรยายชม และบอกว่าเด็กหญิงฆ่าแม่ตัวเองตาย เธออธิบายความหมายเบื้องหลังภาพนั้น ก่อนจะลงท้ายว่าเด็กหญิงเคยถูกแม่ทารุณกรรม แต่มีแนวโน้มพอจะเยียวยาได้ ปัจจุบันมีข่าวว่าเธอเป็นแม่คนแล้ว บทที่1ภาพวาดผู้หญิงยืนกลางสายลม เข้าสู่เรื่องราวของความแปลกด้วยการที่ นักศีกษาชมรมเรื่องลี้ลับชายคนหนึ่ง ได้รับการกระตุ้นให้เกิดสนใจในการเข้าไปอ่านในบล็อก ที่ผู้เขียนไม่เปิดเผยตัวตน แต่พิมพ์เล่าเรื่องราวในชีวิตตนเองคล้ายไดอารีให้คนที่เข้ามาอ่านทราบความเป็นไปของเขา ซึ่งมีอะไรที่ชวนฉงน อีกทั้งเจ้าของบล็อกลงรูปภาพหลายภาพ ที่ชวนให้รู้สึกว่าเรื่องราวที่เขาเล่ามีอะไรที่ไม่ปกติซ่อนเร้นอยู่ ยิ่งสุดท้ายมีการระบุว่าเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นกับคนในครอบครัว และจะไม่อัปบล็อกอีกต่อไป เนื้อหาเหล่านั้นจึงค้างคาในใจของรุ่นน้อง แล้วพลอยส่งต่อความรู้สึกมายังรุ่นพี่ให้อยากรู้ตาม จนนอนไม่หลับ ใคร่จะไขปริศนาให้จงได้ จบตอน บทที่2 ภาพวาดหมอกปกคลุมห้อง กล่าวถึงหญิงคนหนึ่งที่ถูกเรียกหาว่า หม่าม้า จากลูกชายวัย 6 ขวบ ทั้งคู่อาศัยอยู่ด้วยกันตามลำพังในแมนชั่นแห่งหนึ่ง แม่ทำงานเป็นพนักงานในซูเปอร์มาร์เก็ต ลูกชายนั้นเรียนที่โรงเรียนใกล้ที่พัก ระยะนี้คนเป็นแม่รู้สึกได้ว่าถูกใครสักคนลอบดูและแอบติดตามขณะเธอและลูกออกนอกแมนชั่น โดยเฉพาะช่วงเวลากลับจากรับลูกที่โรงเรียน จนมีความเครียดและกังวล ในขณะคุณครูที่ดูแลเด็กนักเรียนห้องที่ลูกชายของเธอเรียนอยู่นั้น ก็มีเรื่องที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับภาพวาดของเขามาหารือ เป็นภาพที่มีหัวข้อเกี่ยวกับแม่ แต่มีอะไรบางอย่างในภาพนั้นที่รบกวนใจของครูอย่างแปลกประหลาด จนภายหลังเมื่อค้นพบข้อมูลเพิ่มเติมจากการวิเคราะห์คำพูดของเพื่อนครูคนอื่น รวมถึงคำบอกเล่าของเด็กหญิงที่เป็นเพื่อนสนิทกันของเด็กชาย ดูเหมือนจะมีความลับที่น่าตกใจซ่อนอยู่ เกี่ยวกับแม่ลูกคู่นี้ บทที่3 ภาพวาดในวาระสุดท้ายของครูสอนศิลปะ ครูหนุ่มใหญ่ซึ่งสอนในชมรมศิลปะของโรงเรียนแห่งหนึ่ง เป็นคนค่อนข้างตรง และอุปนิสัยแข็งกร้าว เขามีน้ำใจชอบช่วยลูกศิษย์ และกับเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันในอดีต ชื่นชอบการวาดรูปกับปีนเขา เรื่องเกิดขึ้นในวันหนึ่งที่เขาขึ้นไปวาดรูปบนยอดเขาแล้วถูกพบเป็นศพในวันต่อมา สภาพศพน่าอเนจอนาถ คดีนี้มีผู้ได้รับการสอบถามจากนักข่าว 4 รายคือพนักงานที่คอยดูแลตรวจตราสภาพของภูเขา ,เมียผู้ตาย ซึ่งมีลูกชายวัยประถม ,เพื่อนสมัยเป็นนักศึกษาที่ปัจจุบันทำงานพิเศษเป็นครูอยู่โรงเรียนเดียวกับผู้ตาย และนักเรียนชมรมศิลปะที่ผู้ตายสอน แต่ตำรวจไม่สามารถจับคนร้าย ต่อมาหนุ่มนักศึกษาที่เคยเป็นลูกศิษย์ของผู้ตาย ที่หลังจบม.ปลายได้เข้าทำงานกับบริษัทหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เขารักครูผู้ตายที่เคยช่วยเหลือตนสมัยเรียน จึงอยากสืบหาความจริง จากเบาะแสภาพวาดที่ทิ้งไว้ก่อนเสียชีวิต ทว่าเรื่องราวช่างซับซ้อนซ่อนกล และแฝงไว้ซึ่งความจริงอันน่าตื่นตระหนก บทที่4 ภาพวาดต้นไม้ปกป้องนกกระจอกชวา บทสุดท้ายที่จะขมวดทุกเหตุการณ์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นเข้าสู่เรื่องยาวของชีวิต ๆ หนึ่ง ที่ย้อนกลับสู่บทนำในภาพแรกที่นักจิตวิเคราะห์ได้นำเสนอ โดยเล่าถึงชีวิตที่น่าสงสารและเห็นใจของเด็กหญิงที่บอกเล่าที่มาซึ่งทำให้เธอกลายเป็นฆาตกรฆ่าแม่ และเรื่องราวหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่จะไปเชื่อมต่อกับเนื้อหาในบทที่ 1 2 3 ตามลำดับ เพื่อจะได้ทราบความจริงที่ถูกซ้อนทับด้วยคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในอดีตหลายคดีด้วยกัน ทั้งหมดล้วนมีต้อตอมาจากคนคนเดียว เป็นใคร และทำไม ไปตามต่อได้ในเล่มครับ 🖋หลังอ่านจบ ชอบในความอ่านง่าย ยิ่งมีภาพประกอบสลับเป็นช่วง ทำให้ได้พักสายตา จะขอไม่กล่าวถึงในแง่ต่าง ๆ ที่ทั้งคนชอบและไม่ชอบต่างวิจารณ์กันไปเยอะแล้ว แต่อยากพูดถึงในแง่ว่า ผู้เขียนฉลาดนักในการตัดสินใจเล่าอย่างตรงไปตรงมา ไม่อธิบายบรรยายฉากหรือเรื่องที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์อย่างละเอียดมาก บางฉากถึงกับใช้วิธีที่ง่าย สั้น และตรง ๆ ทื่อ ๆ เลยด้วยซ้ำ ซึ่งมันกลับได้ผล ทรงพลัง เมื่อเราได้จินตนาการไปตามตัวอักษรเหล่านั้น เช่น ปั้กกก แล้วก็ ปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกก... แค่ตอนที่อ่านถึงตรงบรรทัดนี้ ความรู้สึกเวลาหลับตานึกถึงกิริยาที่ก่อให้เกิดเสียง กับอาการที่เกิดขึ้นอันเป็นผลลัพธ์ ก็ทำเอาใจคอไม่เป็นปกติแล้ว เสียงชนิดเดียวที่ดังต่อเนื่องซ้ำแล้วซ้ำอีกชั่วระยะเวลาที่แม้นไม่นานนัก แต่น่าจะยาวนานที่สุดในชีวิตสำหรับความรู้สึกของผู้อยู่ในเหตุการณ์ เพียงแค่ฉากนี้ฉากเดียว สามารถสื่อถึงความวิปริตผิดปกติของจิตใจคนคนนั้นได้อย่างชัดเจน เพราะแสดงให้เห็นถึงสภาพคนที่มีความเก็บกด อดกลั้น ย้ำคิดย้ำทำ กังวลและเครียด ไม่สามารถจะควบคุมหรือยับยั้งความคิดหรืออารมณ์ที่ผุดพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พอปล่อยให้มันแสดงออกตามสบาย จึงล้นทะลักราวทำนบทลาย ซึ่งสังเกตได้ว่าไม่ได้ปรากฏขึ้นแค่เฉพาะฉากนี้เท่านั้น นี่คือความน่ากลัว และน่าขนลุกอย่างแท้จริง อ่านแล้วอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสังคมไทยในปัจจุบัน เด็กหญิงชายจำนวนมากมาย ที่เติบโตขึ้นมาอย่างผู้ถูกกระทำจากคนใกล้ชิดในครอบครัว แม้บางส่วนถูกช่วยเหลือออกมาได้ และเข้าสู่ขั้นตอนช่วยเหลือเยียวยา ทว่า..เราจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าสิ่งที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของเด็ก ๆ ได้รับการสะสางชำระล้างไปจนหมดสิ้น แล้วจะไม่กลายร่างเป็นดังเช่นคนร้ายที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ เด็กทั้งหลาย เขาได้เติบโตขึ้นมาและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนทั่วไปในสังคม โดยที่เหมือนมีระเบิดเวลาซุกซ่อนอยู่ในตัว รอวันที่จะถูกสิ่งใดมากระตุ้นโดนจุดอ่อนนั้นให้เกิดเป็นเรื่องราวบทใหม่หรือไม่ เป็นไปได้ว่าสักวันเหยื่อเหมือนในหนังสือเล่มนี้ อาจเป็นใครบางคนที่เรารักหรือรักเรา แม้กระทั่งตัวเราเองก็เป็นได้ ใครจะรู้?! #บทความ #บทวิจารณ์ #หนังสือน่าอ่าน #ฆาตกรรม #จิตวิทยา #หนังสือแปล #นิยายแปล #ความรุนแรงในครอบครีว #พ่อแม่รังแกฉัน #ปริศนา #ภาพวาด #thaitimes #อุเก็ตสึ
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 1253 Views 0 Reviews
  • หัวเลี้ยวแห่งความเป็นใหญ่……หัวต่อแห่งความโหดร้าย………
    ติ่งขา……พี่ปูแบกไว้ทั้งหมด……!!

    ตอนสิบสี่………ปีแห่งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกและจดจำ…….!!!

    หลังจากที่ปูตินได้ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัย
    วันที่ 1 กันยายน 2004 ได้เดินทางไปที่ Sochi อีกครั้งเพื่อหวังว่าจะได้พักร่าง พักสมอง เพราะที่ผ่านมาต้องพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆจนไม่มีเวลาพักผ่อน เช่น กับ Jacques Chirac (ฝรั่งเศส) Gerhard Schröder (เยอรมัน)
    ผู้คนส่วนใหญ่จะพักร้อนกันในเดือนสิงหาคม……แต่ปูตินไม่ได้พักเลยเพราะกลุ่มกบฏในเชเชนได้ก่อตัวขึ้นในการปฎิบัติการก่อการร้ายที่หนักข้อขึ้นทุกวัน โดยมีตัวการเป็นหญิงสาวสี่คน คือ Rosa Nagayeva และน้องสาว Amanat….โดยมีเพื่อนสาว Satsita Dzhbirkhanova และ Maryam Taburova ที่ร่วมมือกันวางระเบิดก่อความไม่สงบในหลายพื้นที่

    ในวันที่ปิดหีบบัตรลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาจเปรียบเสมือนลางร้ายของผู้นำคนใหม่ นั่นคือ ไฟไหม้ที่ อาคาร Manezh ที่ตั้งอยู่ใน Alexsandr Gardens ที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตรงข้ามกับเครมลิน ไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว จนทะลายลงมาทั้งหลัง
    ปูตินได้ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ที่ขั้นบนของสภา การกล่าวคำปราศรัยต้องเลื่อนออกไป เพราะไม่เช่นนั้นฉากหลังของการปราศรัยจะเป็นฉากที่เพลิงลุกไหม้ที่พร่าชีวิตของนักดับเพลิงไปสองนาย……

    เพื่อแสดงสปิริตของความเป็นนักการเมืองประชาธิปไตยรุ่นใหม่ เขาจึงลดกระแสด้วยการปล่อยตัว MK ให้มาสู้คดีหลังจากที่อยู่ในที่คุมขังประมาณห้าเดือน
    และ……นั่นคือการเปิดศึกระหว่าง ผู้ที่มีอำนาจกับผู้ที่มีเงิน (จนถึงทุกวันนี้)

    เป็นช่วงเดียวกันกับที่ปูตินกำลังก้าวขึ้นมาในเส้นทางของนักการเมืองเต็มตัว โดยที่ไม่มีพี่เลี้ยงคอยประกบเหมือนเมื่อก่อน (เยลซิน)
    และนับว่าเป็นปีทดสอบความเป็นผู้นำที่แสนโหด และแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตัวและชาติรอดมาได้อย่างไร..…?!!
    เริ่มจาก กระแสความเคลื่อนไหวในการจับกุม MK อภิมหาเศรษฐีคนดัง
    ที่แม้แต่นายกรัฐมนตรีของเขาเอง Mikhaïl Kesyanov ก็ยังแสดงความไม่พอใจ ถึงกับไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ว่า MK ไม่ได้โกงภาษี…เพียงแต่ใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น……

    อย่างไรก็ตาม……ไม่ได้มีใครสนใจกับข้อโต้แย้งของเขานัก เพราะทั้งรัสเซียกำลังตื่นเต้นกับ ราคาน้ำมันส่งออกทะยานขึ้นเกินสิบเท่าของที่เคยได้ จาก หกพันล้าน พุ่งขึ้นมาเป็น แปดหมื่นล้านเหรียญ
    และรัสเซียได้กลายมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าซาอุดิ อะเรเบีย
    และสินค้าอื่นๆเริ่มมีใบสั่งเข้ามายาวเป็นหางว่าว……
    แต่ปูตินไม่ได้ปล่อยให้ความคิดเห็นคัดค้านของนายกฯผ่านไป
    วันที่ 23 กุมภาพันธุ์ หลังจากการประชุมบอร์ดผ่านไป ปูตินให้ นายกฯ
    คาเซียนอฟ เข้ามาพบ และพูดสั้นๆว่า……
    “ต่อไปนี้……คุณหมดหน้าที่แล้วนะ” เป็นการไล่ออกแบบง่ายๆที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง……
    และ……ไม่มีการประกาศว่า ใครจะมาแทน…ผู้คนก็เดากันไปต่างๆนานา
    ว่าอาจจะเป็นคนนั้นคนนี้ จนอาทิตย์หนึ่งผ่านไป ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่ง คือ
    Mikhaïl Fradkov ที่แสน”โนเนม”จากปีเตอร์สเบอร์ก

    แต่ไม่โนเนมสำหรับปูติน เพราะ MF (Mikhaïl Fradkov) คนนี้เคยเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในสมัยเยลซิน เป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายภาษา เป็นคนตรง…สมถะ และ ไม่สนใจในการเมือง
    ในขณะที่ปูตินติดต่อไปให้มารับตำแหน่ง ตอนนั้น MF อยู่ที่ Brussels กำลังทำหน้าที่เป็นทูตพานิชย์รัสเซียประจำ EU
    เมื่อเขาบินมาถึงมอสโคว์ในวันต่อมา เพื่อเข้ารับตำแหน่ง นัดข่าวได้ถามถึงนโยบายในการทำงาน เขาตอบสั้นๆว่า
    “ก็ทำตามนโยบายของท่านประธานาธิบดี……”

    วันที่ 1 กันยายน เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆกลับเข้าโรงเรียน ที่มีธรรมเนียมที่น่ารัก คือเด็กๆแต่งตัวกันสวยงาม เตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆไปสวัสดีคุณครู
    ผู้ปกครองพากันตื่นเต้น จูงลูก พาหลานไปพบปะสังสรรกันที่หอประชุมโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก
    ที่เมือง Beslan, North-Ossetia (คอเคซัส) ก็เช่นกัน เหตุการณ์ที่ควรจะเป็นภาพสวยงามนี้ ได้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรม

    ผู้คนประมาณหลายร้อยคนได้ชุมนุมกันที่ลานหน้าโรงเรียน ทันใดนั้น ได้มีรถบรรทุกวิ่งผ่าเข้ามา……ผ่าใบคลุมหลังรถได้เปิดออก กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ตะโกนเรียกพระนาม แล้วกระโดดลงมาพร้อมอาวุธ
    ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน กลุ่มกบฎได้ต้อนทุกคนเข้าไปอยู่ในโรงยิม ……
    กลุ่มกบฏ……มีผู้หญิงสองคนรวมอยู่ด้วย นั่นคือ Maryam Taburova และ Rosa Negayeva

    เป็นการกระทำที่อุกอาจที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะเมื่อวันที่ 9 เดือนพฤษภาที่ผ่านมา……ที่เป็นวันฉลองชัยชนะของรัสเซีย ประธานาธิบดีเชเชน Akhmad Kadyrov ที่เพิ่งรับตำแหน่งสดๆร้อนๆได้ไปเป็นประธานในพิธี ได้ถูกลอบวางระเบิดที่กลางงานจนเสียชีวิต เหลือไว้คือลูกชายวัย 27 Ramzan ที่มีเลือดพ่อเต็มร้อย พร้อมลงสานต่อ แต่อายุยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะเป็นผู้นำ
    จึงต้องคอยไปก่อน ปูตินแต่งตั้งให้ Aslan Maskhadov ขึ้นมาแทนไปก่อน
    แต่กลุ่มกบฏ……ก็ได้ให้คำเตือนมาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า……Ramzan จะเป็นรายต่อไป…เมื่อมีโอกาส…!!

    คราวนี้ที่ Beslan ที่ฝ่ายกบฏได้ยื่นความประสงค์กับปูตินว่า
    กองทัพรัสเซียจะต้องออกไปจากพื้นที่ และประกาศให้เชเชนเป็นเอกราช ซึ่งเชเชนจะร่วมเป็นพันธมิตรและยังคงใช้รูเบิ้ลเป็นสกุลเงินตรา
    เชเชนจะร่วมมือกับรัสเซียในการพัฒนากองกำลังและฟื้นฟูประเทศ (ที่เป็นเอกราช)

    ในนามของพระเจ้า
    ลงชื่อ Shamil Basayev

    ซึ่ง ชามิลตัวหัวหน้า……มาแต่เพียงในนาม ไม่ได้อยู่รวมในกลุ่ม และข้อเสนอนั้น ……เป็นไปไม่ได้ที่ทางรัสเซียจะยอมรับ

    การกักตัวผู้คนจำนวนหลายร้อยในที่ที่จำกัด ได้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับเด็กๆอย่างแสนสาหัส เพราะไม่มีอาการ ไม่มีน้ำ
    ผู้ที่ขัดขืนได้ถูกยิงทิ้ง แล้วนำศพโยนออกมาทางหน้าต่าง……จำนวนหลายศพ

    ในที่สุด วันที่สองของการควบคุมตัว ได้มีการเจรจาขอให้ปล่อยเด็กเล็กกว่าสามสิบคนออกมาได้

    วันที่สาม……ฝ่ายเจรจาขอให้มีการนำรถพยาบาลเข้าไปรับศพที่เริ่มบวมออกมาจากสถานที่
    ในเวลาตีหนึ่ง ที่หน่วยพยาบาลสี่คนได้เข้าไปพร้อมรถตามกำหนดการ
    เมื่อไปถึง……เพียงสองนาทีผ่านไป…..ได้เกิดระเบิดขึ้น ที่ทำให้ผนังของโรงยิมได้เปิดออก หลังคาเปิง
    คราวนี้……ฝ่ายกบฏได้เปิดฉากยิงมั่วซั่ว ขว้างระเบิดมือท่ามกลางฝุ่นที่ตลบคลุ้ง
    เป็นการโกลาหลจนสุดบรรยาย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นเชลยไม่อยู่ในสภาพที่จะหลบหนีได้ พวกเขาอ่อนเปลี้ยจนเกินไป

    เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป ทั้งหมดในนั้นเสียชีวิต จำนวนเชลย 334 คน (เด็กโต 186 คน) คอมมานโด 10 คน ผู้ก่อการ 30 คน (ผู้หญิง 2)
    อันเป็นข่าวที่น่าสลดใจไปยังรอบโลก ที่มีการค้นหาความจริง ว่า
    ระเบิดที่เกิดขึ้นนั้น มาจากระเบิดที่ทางฝ่ายคณะผู้ก่อการได้วางสายเอาไว้แล้วเกิดการผิดพลาด…จนเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมหมู่
    ปูติน..พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มีการสูญเสีย เพราะประสบการณ์จากโรงละครที่ทำให้เขาไม่ยอมใช้วิธีการยาสลบพ่นเข้าไป
    เขาหวังในการเจรจา……ที่ควรจะมีการต่อรองกับ Shamil โดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง
    แต่นั่นหมายถึงว่า แม้ว่าเขาจะเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการสูญเสียครั้งใหญ่เขายังต้องตอบคำถามที่หลั่งไหลเข้ามาจากนักข่าว
    โดยเฉพาะฝ่ายศัตรูที่คอยเล่นงานทิ่มแทง

    วันที่ 13 กันยายน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญโลกที่ Beslan
    พวกที่นั่งในสภา 150 ที่นั่งที่ได้รับเลือกตั้งมา (จากต่างพรรค)
    ที่ปูตินเรียกสัมภาษณ์รายคน ถึง จุดมุ่งหมายในความคิดและนโยบายที่มีต่อประเทศ แต่ละรายเพ้อเจ้อในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยที่เอนเอียงไปในทางที่จะให้เอกราชกับเชเชน…

    ปูตินจีงประกาศสั่งระงับการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอ หรือ นายกเทศมนตรี ทุกอย่างขะงักกึก………
    เท่ากับว่า มอสโคว์คือศูนย์กลางของการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เปรียบได้ว่าการปกครองได้กลับเข้าไปสู่ยุคของคอมมิวนิสต์
    เพราะเขาได้ประกาศว่า……
    “ประชากรชาวรัสเชี่ยนของเรา ยังมีความคิดล้าหลัง ยังไม่ปรับตัวให้ทันกับสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยที่มาถึงพร้อมกับความชั่วร้าย ……เราต้องใช้เวลากับการทำความรู้จักกับมัน……เพราะสิ่งที่จะใช้ได้ผลที่สุดในยามนี้
    คือการยืนค่อนไปทางซ้าย..(ระบอบคอมมิวนิสต์)”

    พรรคฝ่ายซ้ายขานรับกันจ้าละหวั่น และ เสนอตัวกันอย่างแข็งขันในการร่วมมือ …

    ~~~หลังจากการก่อการร้ายของ Shamil Basayev ที่ได้สร้างความเขย่าขวัญนานหลายปี ตั้งแต่วางแผนจับตัวประกันที่โรงละคร และ ที่โรงเรียน
    รวมทั้งที่อื่นๆทั่วรัสเซียนานกว่าสิบปี
    ฝ่าย FSB ได้ถือว่า ชามิล คือ อาชญากรที่ทางแารรัสเซียต้องการตัวที่สุด
    ในที่สุด การ”ล่อซื้อ” ได้เกิดขึ้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2006 นั่นคือ การค้าขายอาวุธให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่เป็นล๊อตขนาดใหญ่ ที่มีจุดรับของที่หมู่บ้าน Ekazhevo
    ชามิล และคณะมารอรับ และเมื่อรถบรรทุกอาวุธที่ว่ามาถึง ระหว่างที่มีการตรวจคุณภาพของกัน รถบรรทุกได้เกิดระเบิดขึ้น คร่าชีวิตของชามิลและคณะนับสิบคน…ตามวัตถุประสงค์ของ FSB ……!!!

    Wiwanda W. Vichit
    หัวเลี้ยวแห่งความเป็นใหญ่……หัวต่อแห่งความโหดร้าย……… ติ่งขา……พี่ปูแบกไว้ทั้งหมด……!! ตอนสิบสี่………ปีแห่งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกและจดจำ…….!!! หลังจากที่ปูตินได้ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัย วันที่ 1 กันยายน 2004 ได้เดินทางไปที่ Sochi อีกครั้งเพื่อหวังว่าจะได้พักร่าง พักสมอง เพราะที่ผ่านมาต้องพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆจนไม่มีเวลาพักผ่อน เช่น กับ Jacques Chirac (ฝรั่งเศส) Gerhard Schröder (เยอรมัน) ผู้คนส่วนใหญ่จะพักร้อนกันในเดือนสิงหาคม……แต่ปูตินไม่ได้พักเลยเพราะกลุ่มกบฏในเชเชนได้ก่อตัวขึ้นในการปฎิบัติการก่อการร้ายที่หนักข้อขึ้นทุกวัน โดยมีตัวการเป็นหญิงสาวสี่คน คือ Rosa Nagayeva และน้องสาว Amanat….โดยมีเพื่อนสาว Satsita Dzhbirkhanova และ Maryam Taburova ที่ร่วมมือกันวางระเบิดก่อความไม่สงบในหลายพื้นที่ ในวันที่ปิดหีบบัตรลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาจเปรียบเสมือนลางร้ายของผู้นำคนใหม่ นั่นคือ ไฟไหม้ที่ อาคาร Manezh ที่ตั้งอยู่ใน Alexsandr Gardens ที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตรงข้ามกับเครมลิน ไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว จนทะลายลงมาทั้งหลัง ปูตินได้ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ที่ขั้นบนของสภา การกล่าวคำปราศรัยต้องเลื่อนออกไป เพราะไม่เช่นนั้นฉากหลังของการปราศรัยจะเป็นฉากที่เพลิงลุกไหม้ที่พร่าชีวิตของนักดับเพลิงไปสองนาย…… เพื่อแสดงสปิริตของความเป็นนักการเมืองประชาธิปไตยรุ่นใหม่ เขาจึงลดกระแสด้วยการปล่อยตัว MK ให้มาสู้คดีหลังจากที่อยู่ในที่คุมขังประมาณห้าเดือน และ……นั่นคือการเปิดศึกระหว่าง ผู้ที่มีอำนาจกับผู้ที่มีเงิน (จนถึงทุกวันนี้) เป็นช่วงเดียวกันกับที่ปูตินกำลังก้าวขึ้นมาในเส้นทางของนักการเมืองเต็มตัว โดยที่ไม่มีพี่เลี้ยงคอยประกบเหมือนเมื่อก่อน (เยลซิน) และนับว่าเป็นปีทดสอบความเป็นผู้นำที่แสนโหด และแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตัวและชาติรอดมาได้อย่างไร..…?!! เริ่มจาก กระแสความเคลื่อนไหวในการจับกุม MK อภิมหาเศรษฐีคนดัง ที่แม้แต่นายกรัฐมนตรีของเขาเอง Mikhaïl Kesyanov ก็ยังแสดงความไม่พอใจ ถึงกับไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ว่า MK ไม่ได้โกงภาษี…เพียงแต่ใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น…… อย่างไรก็ตาม……ไม่ได้มีใครสนใจกับข้อโต้แย้งของเขานัก เพราะทั้งรัสเซียกำลังตื่นเต้นกับ ราคาน้ำมันส่งออกทะยานขึ้นเกินสิบเท่าของที่เคยได้ จาก หกพันล้าน พุ่งขึ้นมาเป็น แปดหมื่นล้านเหรียญ และรัสเซียได้กลายมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าซาอุดิ อะเรเบีย และสินค้าอื่นๆเริ่มมีใบสั่งเข้ามายาวเป็นหางว่าว…… แต่ปูตินไม่ได้ปล่อยให้ความคิดเห็นคัดค้านของนายกฯผ่านไป วันที่ 23 กุมภาพันธุ์ หลังจากการประชุมบอร์ดผ่านไป ปูตินให้ นายกฯ คาเซียนอฟ เข้ามาพบ และพูดสั้นๆว่า…… “ต่อไปนี้……คุณหมดหน้าที่แล้วนะ” เป็นการไล่ออกแบบง่ายๆที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง…… และ……ไม่มีการประกาศว่า ใครจะมาแทน…ผู้คนก็เดากันไปต่างๆนานา ว่าอาจจะเป็นคนนั้นคนนี้ จนอาทิตย์หนึ่งผ่านไป ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่ง คือ Mikhaïl Fradkov ที่แสน”โนเนม”จากปีเตอร์สเบอร์ก แต่ไม่โนเนมสำหรับปูติน เพราะ MF (Mikhaïl Fradkov) คนนี้เคยเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในสมัยเยลซิน เป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายภาษา เป็นคนตรง…สมถะ และ ไม่สนใจในการเมือง ในขณะที่ปูตินติดต่อไปให้มารับตำแหน่ง ตอนนั้น MF อยู่ที่ Brussels กำลังทำหน้าที่เป็นทูตพานิชย์รัสเซียประจำ EU เมื่อเขาบินมาถึงมอสโคว์ในวันต่อมา เพื่อเข้ารับตำแหน่ง นัดข่าวได้ถามถึงนโยบายในการทำงาน เขาตอบสั้นๆว่า “ก็ทำตามนโยบายของท่านประธานาธิบดี……” วันที่ 1 กันยายน เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆกลับเข้าโรงเรียน ที่มีธรรมเนียมที่น่ารัก คือเด็กๆแต่งตัวกันสวยงาม เตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆไปสวัสดีคุณครู ผู้ปกครองพากันตื่นเต้น จูงลูก พาหลานไปพบปะสังสรรกันที่หอประชุมโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก ที่เมือง Beslan, North-Ossetia (คอเคซัส) ก็เช่นกัน เหตุการณ์ที่ควรจะเป็นภาพสวยงามนี้ ได้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรม ผู้คนประมาณหลายร้อยคนได้ชุมนุมกันที่ลานหน้าโรงเรียน ทันใดนั้น ได้มีรถบรรทุกวิ่งผ่าเข้ามา……ผ่าใบคลุมหลังรถได้เปิดออก กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ตะโกนเรียกพระนาม แล้วกระโดดลงมาพร้อมอาวุธ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน กลุ่มกบฎได้ต้อนทุกคนเข้าไปอยู่ในโรงยิม …… กลุ่มกบฏ……มีผู้หญิงสองคนรวมอยู่ด้วย นั่นคือ Maryam Taburova และ Rosa Negayeva เป็นการกระทำที่อุกอาจที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะเมื่อวันที่ 9 เดือนพฤษภาที่ผ่านมา……ที่เป็นวันฉลองชัยชนะของรัสเซีย ประธานาธิบดีเชเชน Akhmad Kadyrov ที่เพิ่งรับตำแหน่งสดๆร้อนๆได้ไปเป็นประธานในพิธี ได้ถูกลอบวางระเบิดที่กลางงานจนเสียชีวิต เหลือไว้คือลูกชายวัย 27 Ramzan ที่มีเลือดพ่อเต็มร้อย พร้อมลงสานต่อ แต่อายุยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะเป็นผู้นำ จึงต้องคอยไปก่อน ปูตินแต่งตั้งให้ Aslan Maskhadov ขึ้นมาแทนไปก่อน แต่กลุ่มกบฏ……ก็ได้ให้คำเตือนมาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า……Ramzan จะเป็นรายต่อไป…เมื่อมีโอกาส…!! คราวนี้ที่ Beslan ที่ฝ่ายกบฏได้ยื่นความประสงค์กับปูตินว่า กองทัพรัสเซียจะต้องออกไปจากพื้นที่ และประกาศให้เชเชนเป็นเอกราช ซึ่งเชเชนจะร่วมเป็นพันธมิตรและยังคงใช้รูเบิ้ลเป็นสกุลเงินตรา เชเชนจะร่วมมือกับรัสเซียในการพัฒนากองกำลังและฟื้นฟูประเทศ (ที่เป็นเอกราช) ในนามของพระเจ้า ลงชื่อ Shamil Basayev ซึ่ง ชามิลตัวหัวหน้า……มาแต่เพียงในนาม ไม่ได้อยู่รวมในกลุ่ม และข้อเสนอนั้น ……เป็นไปไม่ได้ที่ทางรัสเซียจะยอมรับ การกักตัวผู้คนจำนวนหลายร้อยในที่ที่จำกัด ได้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับเด็กๆอย่างแสนสาหัส เพราะไม่มีอาการ ไม่มีน้ำ ผู้ที่ขัดขืนได้ถูกยิงทิ้ง แล้วนำศพโยนออกมาทางหน้าต่าง……จำนวนหลายศพ ในที่สุด วันที่สองของการควบคุมตัว ได้มีการเจรจาขอให้ปล่อยเด็กเล็กกว่าสามสิบคนออกมาได้ วันที่สาม……ฝ่ายเจรจาขอให้มีการนำรถพยาบาลเข้าไปรับศพที่เริ่มบวมออกมาจากสถานที่ ในเวลาตีหนึ่ง ที่หน่วยพยาบาลสี่คนได้เข้าไปพร้อมรถตามกำหนดการ เมื่อไปถึง……เพียงสองนาทีผ่านไป…..ได้เกิดระเบิดขึ้น ที่ทำให้ผนังของโรงยิมได้เปิดออก หลังคาเปิง คราวนี้……ฝ่ายกบฏได้เปิดฉากยิงมั่วซั่ว ขว้างระเบิดมือท่ามกลางฝุ่นที่ตลบคลุ้ง เป็นการโกลาหลจนสุดบรรยาย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นเชลยไม่อยู่ในสภาพที่จะหลบหนีได้ พวกเขาอ่อนเปลี้ยจนเกินไป เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป ทั้งหมดในนั้นเสียชีวิต จำนวนเชลย 334 คน (เด็กโต 186 คน) คอมมานโด 10 คน ผู้ก่อการ 30 คน (ผู้หญิง 2) อันเป็นข่าวที่น่าสลดใจไปยังรอบโลก ที่มีการค้นหาความจริง ว่า ระเบิดที่เกิดขึ้นนั้น มาจากระเบิดที่ทางฝ่ายคณะผู้ก่อการได้วางสายเอาไว้แล้วเกิดการผิดพลาด…จนเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมหมู่ ปูติน..พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มีการสูญเสีย เพราะประสบการณ์จากโรงละครที่ทำให้เขาไม่ยอมใช้วิธีการยาสลบพ่นเข้าไป เขาหวังในการเจรจา……ที่ควรจะมีการต่อรองกับ Shamil โดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง แต่นั่นหมายถึงว่า แม้ว่าเขาจะเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการสูญเสียครั้งใหญ่เขายังต้องตอบคำถามที่หลั่งไหลเข้ามาจากนักข่าว โดยเฉพาะฝ่ายศัตรูที่คอยเล่นงานทิ่มแทง วันที่ 13 กันยายน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญโลกที่ Beslan พวกที่นั่งในสภา 150 ที่นั่งที่ได้รับเลือกตั้งมา (จากต่างพรรค) ที่ปูตินเรียกสัมภาษณ์รายคน ถึง จุดมุ่งหมายในความคิดและนโยบายที่มีต่อประเทศ แต่ละรายเพ้อเจ้อในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยที่เอนเอียงไปในทางที่จะให้เอกราชกับเชเชน… ปูตินจีงประกาศสั่งระงับการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอ หรือ นายกเทศมนตรี ทุกอย่างขะงักกึก……… เท่ากับว่า มอสโคว์คือศูนย์กลางของการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เปรียบได้ว่าการปกครองได้กลับเข้าไปสู่ยุคของคอมมิวนิสต์ เพราะเขาได้ประกาศว่า…… “ประชากรชาวรัสเชี่ยนของเรา ยังมีความคิดล้าหลัง ยังไม่ปรับตัวให้ทันกับสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยที่มาถึงพร้อมกับความชั่วร้าย ……เราต้องใช้เวลากับการทำความรู้จักกับมัน……เพราะสิ่งที่จะใช้ได้ผลที่สุดในยามนี้ คือการยืนค่อนไปทางซ้าย..(ระบอบคอมมิวนิสต์)” พรรคฝ่ายซ้ายขานรับกันจ้าละหวั่น และ เสนอตัวกันอย่างแข็งขันในการร่วมมือ … ~~~หลังจากการก่อการร้ายของ Shamil Basayev ที่ได้สร้างความเขย่าขวัญนานหลายปี ตั้งแต่วางแผนจับตัวประกันที่โรงละคร และ ที่โรงเรียน รวมทั้งที่อื่นๆทั่วรัสเซียนานกว่าสิบปี ฝ่าย FSB ได้ถือว่า ชามิล คือ อาชญากรที่ทางแารรัสเซียต้องการตัวที่สุด ในที่สุด การ”ล่อซื้อ” ได้เกิดขึ้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2006 นั่นคือ การค้าขายอาวุธให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่เป็นล๊อตขนาดใหญ่ ที่มีจุดรับของที่หมู่บ้าน Ekazhevo ชามิล และคณะมารอรับ และเมื่อรถบรรทุกอาวุธที่ว่ามาถึง ระหว่างที่มีการตรวจคุณภาพของกัน รถบรรทุกได้เกิดระเบิดขึ้น คร่าชีวิตของชามิลและคณะนับสิบคน…ตามวัตถุประสงค์ของ FSB ……!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 344 Views 0 Reviews
More Results