• 34 ปี โศกนาฏกรรม คลังสารเคมีคลองเตยระเบิด! “คาร์บอนแบล็ค” ฟุ้งกระจาย สูญเสียครั้งใหญ่ที่ถูกลืม ตายทันที 4 ศพ เจ็บ 1,700 คน การท่าเรือได้พื้นที่คืนสมใจ 200 ไร่

    📌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมท่าเรือคลองเตย 2534 ผ่านมา 34 ปีเต็ม กับเหตุการณ์โกดังเก็บสารเคมีระเบิด ครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2534 ที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร นำไปสู่การสูญเสียชีวิต และสุขภาพของผู้คนหลายพันราย แต่กลับไม่มีใครได้รับผิดชอบ อย่างแท้จริง! ⏳

    📆 บ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม 2534 เวลา 13.30 น. เสียงระเบิดดังสนั่น จากโกดังเก็บสารเคมีหมายเลข 3 ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ก่อนที่ไฟจะลุกลามอย่างรวดเร็วไปยังโกดังหมายเลข 4 และ 5 สารเคมีหลายชนิดถูกเผาไหม้ และปล่อยควันพิษมหาศาล รถดับเพลิงกว่า 100 คัน และเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 500 นาย ถูกระดมเข้าไปดับไฟ แต่กลับทำให้เกิดการระเบิด เพิ่มขึ้นอีก! 🔥

    🚨 แรงระเบิดทำให้เกิดไฟไหม้ ลามไปถึงบ้านเรือนประชาชนในรัศมี 1 กิโลเมตร ชุมชนคลองเตยถูกเผาผลาญไปกว่า 642 หลังคาเรือน กลายเป็นทะเลเพลิงในพริบตา

    ☠️ ผลกระทบจากการระเบิด สูญเสียมหาศาล!
    🔴 ยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ
    ✅ เสียชีวิตทันที 4 ศพ
    ✅ บาดเจ็บสาหัส 30 ราย รวมเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 16 นาย
    ✅ ได้รับสารพิษต้องรักษาในโรงพยาบาล 1,700 คน รวมหญิงมีครรภ์ 499 คน
    ✅ เสียชีวิตจากผลกระทบระยะยาว 43 ราย
    ✅ ผู้ไร้ที่อยู่อาศัย กว่า 5,000 คน

    💀 “คาร์บอนแบล็ค” และสารพิษที่แทรกซึมร่างกายผู้คน หนึ่งในสารเคมีอันตราย ที่กระจายออกมาจากเหตุการณ์นี้คือ "คาร์บอนแบล็ค" (Carbon Black) ซึ่งเป็นเขม่าสีดำ ที่เกิดจากการเผาไหม้สารเคมีในอุณหภูมิสูง มันไม่เพียงแต่กระจายไปไกล กว่า 13 กิโลเมตร แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายผู้คนโดยตรง

    🔬 นักวิจัยตรวจพบว่า
    ✔️ ฝุ่นคาร์บอนแบล็คกระจายไปตามบ้านเรือน โรงเรียน และพื้นที่สาธารณะ
    ✔️ มีการปนเปื้อนของสารพิษในแหล่งน้ำ ส่งผลให้สัตว์ทดลองตายใน 24-96 ชั่วโมง
    ✔️ ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ เกิดโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง ผิวหนังอักเสบ และมะเร็ง

    ⛔ ไม่มีแพทย์รายใดกล้ารับรองว่า โรคเหล่านี้เกิดจากพิษสารเคมีโดยตรง! ส่งผลให้ผู้ได้รับผลกระทบ
    ไม่ได้รับการเยียวยา อย่างเป็นธรรม

    🚒 การรับมือที่ผิดพลาด ทำไมความเสียหายถึงรุนแรง?
    ❌ การดับเพลิงที่ไม่ถูกต้อง สารเคมีหลายชนิด ห้ามใช้น้ำดับเพลิง แต่เจ้าหน้าที่กลับฉีดน้ำเข้าไป โดยไม่ทราบข้อมูล ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมี ที่ทำให้ไฟลุกลามและระเบิดซ้ำ 🔥

    ❌ ไม่มีมาตรการอพยพฉุกเฉิน ประชาชนในพื้นที่ ไม่ถูกสั่งให้อพยพอย่างเป็นระบบ หลายคนยังคงอยู่ในพื้นที่ ที่เต็มไปด้วยสารพิษ ส่งผลให้มีผู้ป่วย จากการสูดดมควันพิษจำนวนมาก 🏃‍♂️

    ❌ ขาดการเปิดเผยข้อมูล เจ้าหน้าที่และภาครัฐ ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมี ที่เก็บอยู่ในโกดัง ทำให้แพทย์ไม่สามารถให้การรักษาผู้ป่วย ได้อย่างถูกต้อง 📢

    💰 ใครต้องรับผิดชอบ? แต่กลับไม่มีใครต้องรับโทษ! การสอบสวนพบว่า โกดังที่ระเบิด เป็นที่เก็บสารเคมีอันตรายหลายชนิด แต่กลับสรุปว่า เหตุการณ์นี้เป็น "อุบัติเหตุ" 🚔

    🔍 การท่าเรือแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าของสถานที่
    ✔️ ให้เงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตเพียง 1,000 - 12,000 บาท
    ✔️ ใช้งบประมาณ 1,500 ล้านบาท สร้างแฟลตใหม่ แต่ไม่ใช่ค่าชดเชยให้กับผู้ประสบภัย
    ✔️ ไม่เคยมีการฟ้องร้องผู้บริหารระดับสูง ของการท่าเรือฯ หรือบริษัทที่เกี่ยวข้อง

    📜 มีการฟ้องร้องจากผู้ป่วยเพียง 2 ราย ในปี 2539 และ 2542 ซึ่งการดำเนินคดี เต็มไปด้วยอุปสรรคและไม่เป็นที่สนใจของรัฐ

    ⚖️ บทเรียนราคาแพงที่ไม่มีการแก้ไข
    📌 เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาสำคัญ หลายประการ
    ✅ การจัดเก็บสารเคมีที่อันตราย ในพื้นที่ชุมชน
    ✅ การไม่เปิดเผยข้อมูลอันตราย ต่อประชาชน
    ✅ ระบบกฎหมายไทย ที่ไม่สามารถคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบ
    ✅ ขาดมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในระยะยาว

    📢 34 ปีผ่านไป แต่เหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมที่ถูกลืม!

    🔴 34 ปีผ่านไป ท่าเรือคลองเตยได้พื้นที่คืน แต่ความเป็นธรรมยังมาไม่ถึง! วันนี้ที่ดินกว่า 200 ไร่ ที่เคยเป็นโกดังเก็บสารเคมี ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่ใช้สอย ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ตามแผนเดิมที่วางไว้ ⏳

    💬 คำถามคือ
    ✔️ ใครได้ประโยชน์ จากโศกนาฏกรรมครั้งนี้?
    ✔️ ใครคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ต่อชีวิตที่สูญเสียไป?
    ✔️ ระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับสารเคมีในประเทศไทย พัฒนาไปมากน้อยแค่ไหน?

    ⛔ อย่าปล่อยให้โศกนาฏกรรมครั้งนี้ถูกลืม! 💔

    📌 #คลองเตยระเบิด #โศกนาฏกรรมที่ถูกลืม #คาร์บอนแบล็ค #ภัยสารเคมี #กฎหมายสิ่งแวดล้อม #ความยุติธรรมที่หายไป #34ปีคลองเตย #อุบัติภัยครั้งใหญ่ #ระเบิดสารเคมี #สิ่งแวดล้อมไทย
    34 ปี โศกนาฏกรรม คลังสารเคมีคลองเตยระเบิด! “คาร์บอนแบล็ค” ฟุ้งกระจาย สูญเสียครั้งใหญ่ที่ถูกลืม ตายทันที 4 ศพ เจ็บ 1,700 คน การท่าเรือได้พื้นที่คืนสมใจ 200 ไร่ 📌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมท่าเรือคลองเตย 2534 ผ่านมา 34 ปีเต็ม กับเหตุการณ์โกดังเก็บสารเคมีระเบิด ครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2534 ที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร นำไปสู่การสูญเสียชีวิต และสุขภาพของผู้คนหลายพันราย แต่กลับไม่มีใครได้รับผิดชอบ อย่างแท้จริง! ⏳ 📆 บ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม 2534 เวลา 13.30 น. เสียงระเบิดดังสนั่น จากโกดังเก็บสารเคมีหมายเลข 3 ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ก่อนที่ไฟจะลุกลามอย่างรวดเร็วไปยังโกดังหมายเลข 4 และ 5 สารเคมีหลายชนิดถูกเผาไหม้ และปล่อยควันพิษมหาศาล รถดับเพลิงกว่า 100 คัน และเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 500 นาย ถูกระดมเข้าไปดับไฟ แต่กลับทำให้เกิดการระเบิด เพิ่มขึ้นอีก! 🔥 🚨 แรงระเบิดทำให้เกิดไฟไหม้ ลามไปถึงบ้านเรือนประชาชนในรัศมี 1 กิโลเมตร ชุมชนคลองเตยถูกเผาผลาญไปกว่า 642 หลังคาเรือน กลายเป็นทะเลเพลิงในพริบตา ☠️ ผลกระทบจากการระเบิด สูญเสียมหาศาล! 🔴 ยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ✅ เสียชีวิตทันที 4 ศพ ✅ บาดเจ็บสาหัส 30 ราย รวมเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 16 นาย ✅ ได้รับสารพิษต้องรักษาในโรงพยาบาล 1,700 คน รวมหญิงมีครรภ์ 499 คน ✅ เสียชีวิตจากผลกระทบระยะยาว 43 ราย ✅ ผู้ไร้ที่อยู่อาศัย กว่า 5,000 คน 💀 “คาร์บอนแบล็ค” และสารพิษที่แทรกซึมร่างกายผู้คน หนึ่งในสารเคมีอันตราย ที่กระจายออกมาจากเหตุการณ์นี้คือ "คาร์บอนแบล็ค" (Carbon Black) ซึ่งเป็นเขม่าสีดำ ที่เกิดจากการเผาไหม้สารเคมีในอุณหภูมิสูง มันไม่เพียงแต่กระจายไปไกล กว่า 13 กิโลเมตร แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายผู้คนโดยตรง 🔬 นักวิจัยตรวจพบว่า ✔️ ฝุ่นคาร์บอนแบล็คกระจายไปตามบ้านเรือน โรงเรียน และพื้นที่สาธารณะ ✔️ มีการปนเปื้อนของสารพิษในแหล่งน้ำ ส่งผลให้สัตว์ทดลองตายใน 24-96 ชั่วโมง ✔️ ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ เกิดโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง ผิวหนังอักเสบ และมะเร็ง ⛔ ไม่มีแพทย์รายใดกล้ารับรองว่า โรคเหล่านี้เกิดจากพิษสารเคมีโดยตรง! ส่งผลให้ผู้ได้รับผลกระทบ ไม่ได้รับการเยียวยา อย่างเป็นธรรม 🚒 การรับมือที่ผิดพลาด ทำไมความเสียหายถึงรุนแรง? ❌ การดับเพลิงที่ไม่ถูกต้อง สารเคมีหลายชนิด ห้ามใช้น้ำดับเพลิง แต่เจ้าหน้าที่กลับฉีดน้ำเข้าไป โดยไม่ทราบข้อมูล ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมี ที่ทำให้ไฟลุกลามและระเบิดซ้ำ 🔥 ❌ ไม่มีมาตรการอพยพฉุกเฉิน ประชาชนในพื้นที่ ไม่ถูกสั่งให้อพยพอย่างเป็นระบบ หลายคนยังคงอยู่ในพื้นที่ ที่เต็มไปด้วยสารพิษ ส่งผลให้มีผู้ป่วย จากการสูดดมควันพิษจำนวนมาก 🏃‍♂️ ❌ ขาดการเปิดเผยข้อมูล เจ้าหน้าที่และภาครัฐ ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมี ที่เก็บอยู่ในโกดัง ทำให้แพทย์ไม่สามารถให้การรักษาผู้ป่วย ได้อย่างถูกต้อง 📢 💰 ใครต้องรับผิดชอบ? แต่กลับไม่มีใครต้องรับโทษ! การสอบสวนพบว่า โกดังที่ระเบิด เป็นที่เก็บสารเคมีอันตรายหลายชนิด แต่กลับสรุปว่า เหตุการณ์นี้เป็น "อุบัติเหตุ" 🚔 🔍 การท่าเรือแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าของสถานที่ ✔️ ให้เงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตเพียง 1,000 - 12,000 บาท ✔️ ใช้งบประมาณ 1,500 ล้านบาท สร้างแฟลตใหม่ แต่ไม่ใช่ค่าชดเชยให้กับผู้ประสบภัย ✔️ ไม่เคยมีการฟ้องร้องผู้บริหารระดับสูง ของการท่าเรือฯ หรือบริษัทที่เกี่ยวข้อง 📜 มีการฟ้องร้องจากผู้ป่วยเพียง 2 ราย ในปี 2539 และ 2542 ซึ่งการดำเนินคดี เต็มไปด้วยอุปสรรคและไม่เป็นที่สนใจของรัฐ ⚖️ บทเรียนราคาแพงที่ไม่มีการแก้ไข 📌 เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาสำคัญ หลายประการ ✅ การจัดเก็บสารเคมีที่อันตราย ในพื้นที่ชุมชน ✅ การไม่เปิดเผยข้อมูลอันตราย ต่อประชาชน ✅ ระบบกฎหมายไทย ที่ไม่สามารถคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบ ✅ ขาดมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในระยะยาว 📢 34 ปีผ่านไป แต่เหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมที่ถูกลืม! 🔴 34 ปีผ่านไป ท่าเรือคลองเตยได้พื้นที่คืน แต่ความเป็นธรรมยังมาไม่ถึง! วันนี้ที่ดินกว่า 200 ไร่ ที่เคยเป็นโกดังเก็บสารเคมี ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่ใช้สอย ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ตามแผนเดิมที่วางไว้ ⏳ 💬 คำถามคือ ✔️ ใครได้ประโยชน์ จากโศกนาฏกรรมครั้งนี้? ✔️ ใครคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ต่อชีวิตที่สูญเสียไป? ✔️ ระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับสารเคมีในประเทศไทย พัฒนาไปมากน้อยแค่ไหน? ⛔ อย่าปล่อยให้โศกนาฏกรรมครั้งนี้ถูกลืม! 💔 📌 #คลองเตยระเบิด #โศกนาฏกรรมที่ถูกลืม #คาร์บอนแบล็ค #ภัยสารเคมี #กฎหมายสิ่งแวดล้อม #ความยุติธรรมที่หายไป #34ปีคลองเตย #อุบัติภัยครั้งใหญ่ #ระเบิดสารเคมี #สิ่งแวดล้อมไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อมูลจาก Biothai

    ถ้าไม่กล้ากิน ไชน์มัสแคน ผลไม้นำเข้าจากจีน และผลไม้อื่นใดที่เสี่ยงต่อสารพิษตกค้าง

    นี่เลย #ส้มโอ โดยจากการตรวจหาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างในส้มโอ 16 ตัวอย่าง ไม่เจอสารเคมีเลย 15 ตัวอย่าง ส่วนอีก 1 ตัวอย่างพบการตกค้างเล็กน้อยในระดับไม่เกินมาตรฐาน จากการตรวจหาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชกว่า 500 ชนิด โดยห้องปฏิบัติการในประเทศสหราชอาณาจักร ของ เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) !
    ข้อมูลจาก Biothai ถ้าไม่กล้ากิน ไชน์มัสแคน ผลไม้นำเข้าจากจีน และผลไม้อื่นใดที่เสี่ยงต่อสารพิษตกค้าง นี่เลย #ส้มโอ โดยจากการตรวจหาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างในส้มโอ 16 ตัวอย่าง ไม่เจอสารเคมีเลย 15 ตัวอย่าง ส่วนอีก 1 ตัวอย่างพบการตกค้างเล็กน้อยในระดับไม่เกินมาตรฐาน จากการตรวจหาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชกว่า 500 ชนิด โดยห้องปฏิบัติการในประเทศสหราชอาณาจักร ของ เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) !
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 493 มุมมอง 0 รีวิว
  • องุ่นพิษ 'ไชน์มัสแคท' สารเคมีเกิน 50 ชนิด เสี่ยงอันตรายล้างยาก
    .
    เป็นข่าวที่สะเทือนประชาชนผู้บริโภคพอสมควร ภายหลังเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ร่วมกับนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สุ่มตรวจองุ่นไชน์มัสแคท 24 ตัวอย่าง ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล พบสารเคมีเกษตรตกค้างเกินค่ามาตรฐานมากถึงร้อยละ 95.8 โดยปัจจจุบันองุ่นพันธุ์นี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย
    .
    ทั้งนี้ การเก็บตัวอย่างองุ่นไชน์มัสแคทมีทั้งหมดทั้งหมด 24 ตัวอย่าง จาก 15 สถานที่จำหน่ายในพื้นที่ กทม. และปริมณฑลข้อค้นพบสำคัญของการเฝ้าระวังสารพิษตกค้างในองุ่นไชน์มัสแคท โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ร้อยละ 95.8 ของตัวอย่างองุ่นไชน์มัสแคทหรือ 23 จาก 24 ตัวอย่าง พบสารพิษตกค้างเกินค่าที่กฎหมายกำหนด เช่น สารคลอร์ไพริฟอสซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 2. พบสารพิษตกค้างทั้งหมด 50 ชนิด โดยเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 จำนวน 26 ชนิด เช่น Chlorpyrifos และ Endrin aldehyde และเป็นสารที่อยู่นอกบัญชีวัตถุอันตรายมากถึง 22 ชนิด 4. จากสารพิษตกค้าง 50 ชนิด มีสารประเภทดูดซึม (Systemic pesticide) 37 ชนิด หรือคิดเป็น 74% ของสารพิษตกค้าง โดยสารกลุ่มนี้มีโอกาสตกค้างอยู่ในเนื้อเยื่อขององุ่น ซึ่งการล้างสารกลุ่มนี้ออกจากเนื้อเยื่อพืชคงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่าย
    .
    ดังนั้น เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) และนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มีข้อเสนอว่า ห้างโมเดิร์นเทรดและผู้จำหน่ายองุ่นไชน์มัสแคท ควรจัดเก็บออกจากชั้นวาง แถลงมาตรการที่ชัดเจนกับซัพพลายเออร์และแหล่งผลิตที่มีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน เช่น ผู้ประกอบการต้องยกเลิกการนำเข้าจากซัพพลายเออร์และแหล่งผลิตนั้นเมื่อมีการกระทำผิดซ้ำอีก ผู้ประกอบการนำเข้า ห้างโมเดิร์นเทรดและผู้จำหน่ายต้องระบุแหล่งที่มา/ประเทศต้นทางของสินค้านำเข้า เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้เมื่อเกิดปัญหา
    ขณะที่ กระทรวงสาธารณสุข ควรใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎระเบียบและกฎหมายที่มีอยู่กำหนดผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายต้องติดฉลากแสดงที่มาและประเทศต้นทาง เพิ่มมาตรการในการรับประกันคุณภาพความปลอดภัย และ สร้างระบบ Rapid Alert System ที่ตอบสนองต่อสถานการณ์แบบนี้อย่างรวดเร็ว เช่น การแจ้งให้ทราบ การเรียกคืน การทำลายสินค้า ทันทีที่ตรวจพบ รวมทั้งการเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจวิเคราะห์จากประเทศต้นทางหรือแหล่งผลิตที่พบว่ามีความเสี่ยงสูง
    .
    ที่สำคัญ รัฐบาลควรกำหนดเป้าหมายความปลอดภัยของผักผลไม้ โดยในปี 2573 ผักผลไม้ที่จำหน่ายในประเทศไทย มีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน ไม่เกิน 5% และกำหนดเป้าหมายและงบประมาณในการพัฒนาระบบเฝ้าระวังเพื่อยกระดับความปลอดภัยทางอาหาร โดยในปี 2571 ประเทศไทยมีระบบ Rapid Alert System เพื่อให้เกิดการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนเร่งด่วนที่มีประสิทธิภาพ เท่าทันต่อสถานการณ์ และมีกลไกการเชื่อมต่อข้อมูลและติดตามการจัดการปัญหาตลอดห่วงโซ่
    ............
    Sondhi X
    องุ่นพิษ 'ไชน์มัสแคท' สารเคมีเกิน 50 ชนิด เสี่ยงอันตรายล้างยาก . เป็นข่าวที่สะเทือนประชาชนผู้บริโภคพอสมควร ภายหลังเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ร่วมกับนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สุ่มตรวจองุ่นไชน์มัสแคท 24 ตัวอย่าง ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล พบสารเคมีเกษตรตกค้างเกินค่ามาตรฐานมากถึงร้อยละ 95.8 โดยปัจจจุบันองุ่นพันธุ์นี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย . ทั้งนี้ การเก็บตัวอย่างองุ่นไชน์มัสแคทมีทั้งหมดทั้งหมด 24 ตัวอย่าง จาก 15 สถานที่จำหน่ายในพื้นที่ กทม. และปริมณฑลข้อค้นพบสำคัญของการเฝ้าระวังสารพิษตกค้างในองุ่นไชน์มัสแคท โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ร้อยละ 95.8 ของตัวอย่างองุ่นไชน์มัสแคทหรือ 23 จาก 24 ตัวอย่าง พบสารพิษตกค้างเกินค่าที่กฎหมายกำหนด เช่น สารคลอร์ไพริฟอสซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 2. พบสารพิษตกค้างทั้งหมด 50 ชนิด โดยเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 จำนวน 26 ชนิด เช่น Chlorpyrifos และ Endrin aldehyde และเป็นสารที่อยู่นอกบัญชีวัตถุอันตรายมากถึง 22 ชนิด 4. จากสารพิษตกค้าง 50 ชนิด มีสารประเภทดูดซึม (Systemic pesticide) 37 ชนิด หรือคิดเป็น 74% ของสารพิษตกค้าง โดยสารกลุ่มนี้มีโอกาสตกค้างอยู่ในเนื้อเยื่อขององุ่น ซึ่งการล้างสารกลุ่มนี้ออกจากเนื้อเยื่อพืชคงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่าย . ดังนั้น เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) และนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มีข้อเสนอว่า ห้างโมเดิร์นเทรดและผู้จำหน่ายองุ่นไชน์มัสแคท ควรจัดเก็บออกจากชั้นวาง แถลงมาตรการที่ชัดเจนกับซัพพลายเออร์และแหล่งผลิตที่มีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน เช่น ผู้ประกอบการต้องยกเลิกการนำเข้าจากซัพพลายเออร์และแหล่งผลิตนั้นเมื่อมีการกระทำผิดซ้ำอีก ผู้ประกอบการนำเข้า ห้างโมเดิร์นเทรดและผู้จำหน่ายต้องระบุแหล่งที่มา/ประเทศต้นทางของสินค้านำเข้า เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้เมื่อเกิดปัญหา ขณะที่ กระทรวงสาธารณสุข ควรใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎระเบียบและกฎหมายที่มีอยู่กำหนดผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายต้องติดฉลากแสดงที่มาและประเทศต้นทาง เพิ่มมาตรการในการรับประกันคุณภาพความปลอดภัย และ สร้างระบบ Rapid Alert System ที่ตอบสนองต่อสถานการณ์แบบนี้อย่างรวดเร็ว เช่น การแจ้งให้ทราบ การเรียกคืน การทำลายสินค้า ทันทีที่ตรวจพบ รวมทั้งการเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจวิเคราะห์จากประเทศต้นทางหรือแหล่งผลิตที่พบว่ามีความเสี่ยงสูง . ที่สำคัญ รัฐบาลควรกำหนดเป้าหมายความปลอดภัยของผักผลไม้ โดยในปี 2573 ผักผลไม้ที่จำหน่ายในประเทศไทย มีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน ไม่เกิน 5% และกำหนดเป้าหมายและงบประมาณในการพัฒนาระบบเฝ้าระวังเพื่อยกระดับความปลอดภัยทางอาหาร โดยในปี 2571 ประเทศไทยมีระบบ Rapid Alert System เพื่อให้เกิดการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนเร่งด่วนที่มีประสิทธิภาพ เท่าทันต่อสถานการณ์ และมีกลไกการเชื่อมต่อข้อมูลและติดตามการจัดการปัญหาตลอดห่วงโซ่ ............ Sondhi X
    Like
    Angry
    13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1402 มุมมอง 1 รีวิว
  • 24 ตุลาคม 2567-Thai-PAN ร่วมกับ นิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แถลงผลการตรวจสารพิษในองุ่นไชน์มัสแคททั้งหมด 24 ตัวอย่าง ถ่ายทอดสดจากห้องประชุมชั้น 2 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
    โดย..
    1. คุณปรกชล อู๋ทรัพย์ - เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช Thai-PAN
    2. คุณทัศนีย์ แน่นอุดร - นิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
    3. ภญ. สุภาวดี ธีระวัฒน์สกุล ผู้อำนวยการกองอาหาร - สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
    4. ดร.วัฒนศักดิ์ ศรรุ่ง ผู้อำนวยการกองด่านอาหารและยา - สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
    ชวนตั้งคำถาม โดย คุณกรรณิการ์ กิจติเวชกุล

    สรุปผลตรวจวันนี้
    1. ประเทศผู้ผลิตองุ่นไชน์มัสแคท 24 ตัวอย่าง ที่สุ่มซื้อมาจากการสั่งออนไลน์ 2 ตัวอย่าง มาจากร้านค้าและตลาด 7 ตัวอย่าง และจากโมเดิร์นเทรด 15 ตัวอย่าง สามารถระบุได้เพียง 9 ตัวอย่างว่ามาจากประเทศจีน อีก 15 ตัวอย่างไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้

    2. 95.8% ของตัวอย่างองุ่นไชน์มัสแคทหรือ 23 จาก 24 ตัวอย่าง พบสารพิษตกค้างเกินค่าที่กฎหมายกำหนด แบ่งเป็น 2 กรณี 1) องุ่น 1 ตัวอย่าง พบสารคลอร์ไพริฟอสซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ทั้งนี้ตามกฎหมายต้องตรวจไม่พบเนื่องจากยกเลิกค่า MRL แล้ว 2) องุ่นอีก 22 ตัวอย่าง พบสารพิษตกค้าง 14 ชนิด เกินค่าดีฟอลต์ลิมิต (สารพิษตกค้างที่ไม่มีค่า MRL ตามกฎหมายกำหนดให้พบได้ไม่เกินค่าดีฟอลต์ลิมิต 0.01 mg/kg) ซึ่งสารเหล่านี้อาจยังไม่มีการประเมินความปลอดภัย

    3. พบสารพิษตกค้างทั้งหมด 50 ชนิด พบว่าเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 จำนวน 26 ชนิด เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 (ยกเลิกการใช้ในประเทศไทย) จำนวน 2 ชนิด ได้แก่ Chlorpyrifos และ Endrin aldehyde และเป็นสารที่อยู่นอกบัญชีวัตถุอันตรายมากถึง 22 ชนิด ซึ่งเป็นสารที่ยังไม่มีการประเมินใดๆภายใต้กฎหมายไทย

    4. จากสารพิษตกค้าง 50 ชนิด มีสารประเภทดูดซึม (Systemic pesticide) 37 ชนิด หรือคิดเป็น 74% ของสารพิษตกค้าง โดยสารกลุ่มนี้มีโอกาสตกค้างอยู่ในเนื้อเยื่อขององุ่น ซึ่งการล้างสารกลุ่มนี้ออกจากเนื้อเยื่อพืชคงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่าย

    5. องุ่นไชน์มัสแคทแต่ละตัวอย่างพบสารพิษตกค้างระหว่าง 7-18 ชนิด โดยจำนวน 23 จาก 24 ตัวอย่างพบสารพิษตกค้างเกินค่าที่กฎหมายกำหนด 1-6 ชนิด

    ที่มา https://www.facebook.com/share/v/C6K7h2P7pNNFv5ZY/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    24 ตุลาคม 2567-Thai-PAN ร่วมกับ นิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แถลงผลการตรวจสารพิษในองุ่นไชน์มัสแคททั้งหมด 24 ตัวอย่าง ถ่ายทอดสดจากห้องประชุมชั้น 2 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดย.. 1. คุณปรกชล อู๋ทรัพย์ - เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช Thai-PAN 2. คุณทัศนีย์ แน่นอุดร - นิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค 3. ภญ. สุภาวดี ธีระวัฒน์สกุล ผู้อำนวยการกองอาหาร - สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา 4. ดร.วัฒนศักดิ์ ศรรุ่ง ผู้อำนวยการกองด่านอาหารและยา - สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ชวนตั้งคำถาม โดย คุณกรรณิการ์ กิจติเวชกุล สรุปผลตรวจวันนี้ 1. ประเทศผู้ผลิตองุ่นไชน์มัสแคท 24 ตัวอย่าง ที่สุ่มซื้อมาจากการสั่งออนไลน์ 2 ตัวอย่าง มาจากร้านค้าและตลาด 7 ตัวอย่าง และจากโมเดิร์นเทรด 15 ตัวอย่าง สามารถระบุได้เพียง 9 ตัวอย่างว่ามาจากประเทศจีน อีก 15 ตัวอย่างไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ 2. 95.8% ของตัวอย่างองุ่นไชน์มัสแคทหรือ 23 จาก 24 ตัวอย่าง พบสารพิษตกค้างเกินค่าที่กฎหมายกำหนด แบ่งเป็น 2 กรณี 1) องุ่น 1 ตัวอย่าง พบสารคลอร์ไพริฟอสซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ทั้งนี้ตามกฎหมายต้องตรวจไม่พบเนื่องจากยกเลิกค่า MRL แล้ว 2) องุ่นอีก 22 ตัวอย่าง พบสารพิษตกค้าง 14 ชนิด เกินค่าดีฟอลต์ลิมิต (สารพิษตกค้างที่ไม่มีค่า MRL ตามกฎหมายกำหนดให้พบได้ไม่เกินค่าดีฟอลต์ลิมิต 0.01 mg/kg) ซึ่งสารเหล่านี้อาจยังไม่มีการประเมินความปลอดภัย 3. พบสารพิษตกค้างทั้งหมด 50 ชนิด พบว่าเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 จำนวน 26 ชนิด เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 (ยกเลิกการใช้ในประเทศไทย) จำนวน 2 ชนิด ได้แก่ Chlorpyrifos และ Endrin aldehyde และเป็นสารที่อยู่นอกบัญชีวัตถุอันตรายมากถึง 22 ชนิด ซึ่งเป็นสารที่ยังไม่มีการประเมินใดๆภายใต้กฎหมายไทย 4. จากสารพิษตกค้าง 50 ชนิด มีสารประเภทดูดซึม (Systemic pesticide) 37 ชนิด หรือคิดเป็น 74% ของสารพิษตกค้าง โดยสารกลุ่มนี้มีโอกาสตกค้างอยู่ในเนื้อเยื่อขององุ่น ซึ่งการล้างสารกลุ่มนี้ออกจากเนื้อเยื่อพืชคงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่าย 5. องุ่นไชน์มัสแคทแต่ละตัวอย่างพบสารพิษตกค้างระหว่าง 7-18 ชนิด โดยจำนวน 23 จาก 24 ตัวอย่างพบสารพิษตกค้างเกินค่าที่กฎหมายกำหนด 1-6 ชนิด ที่มา https://www.facebook.com/share/v/C6K7h2P7pNNFv5ZY/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 624 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทุนแม่ของแผ่นดินไทยเรา,ต้องไปฟื้นฟูกองทุนร้านค้าชุมชนหมู่บ้านกว่า80,000หมู่บ้านเชิงรุกทันที ปรับปรุงระบบใช้สไตล์ร้านสากลสะดวกซื้อผสมผสานคลังสินค้าโลจิสติกในตัวบริการคนในชุมชุมเชื่อมโยงสินค้า&บริการทั่วประเทศ ทุกๆคนไทยคือเจ้าของร้่นค้าตนเองร่วมกันในระบบหุ้นร้านค้ากองทุนหมู่บ้าน จะต่อยอดตลาดได้สาระพัดทิศทาง,โดรนส่งของก็ได้ในชุมชนตนเมื่อสินค้ามาถึงชุมชน หากไม่สะดวกมารับ ส่งถึงดอยถึงภูกลางป่าได้ รับคำสั่งซื้ออิสระโน้น ทุเรียนภาคใต้ เหนืออีสานอยากทานราคาถูกก็ส่งผ่านสาขาร้านค้ากองทุนหมู่บ้านได้เพราะเป็นคลังโกดังใหญ่ประจำหมู่บ้านก็ได้ ขายสินค้าราคาต่ำกว่าร้านชำทั่วไปอีก คนในชุมชนประหยัดตังด้วยคือจุดขายอีกด้าน รัฐสนับสนุนการพึ่งพาตนเองในชุมชนและเป็นเครือข่ายระดับชาติอีกจะแข็งแกร่งโคตรๆ ตังสะพัดปกติต่อปี40-50ล้านล้านบาททั่วประเทศ แต่ถ้าสิ่งนี้เกิดจริงได้ เม็ดเงินมหาศาลจะหมุนเวียนในชุมชนสังคมไทยเราจริงและถึงระดับชาติด้วยถูกดูดออกจากระบบชุมชนยากมาก สะพัดกว่า100ล้านล้านบาทสบายๆสภาพคล่องกระแสใช้จ่ายโคตรๆหมุนเวียนภายในเลยก็ว่า ขายตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ มีคลังยักษ์ใหญ่ระดับชาติจัดส่งรับคำสั่งซื้อได้ สร้างแพลตฟอร์มขายออนไลน์ ไลฟ์สดตลาดออนไลน์เรียลไทม์ชาวบ้านเราได้ด้วย ตลาดก็มี คลังสินค้ากว่า80,000สาขาเจ้าของจริงคนไทยร่วมกันอีก,จะขายจะซื้ออะไรกดสั่งผ่านกองทุนร้านค้าตนเองเป็นคลังส่งคลังเก็บส่วนกลางสินค้าได้หมด ลูกค้ากับคนสวนเจ้าของมาเองขายเองราคาส่งตรงถูกสดปลอดภัยสารเคมีจะล้ำขนาดไหนอีก,สร้างแพลตฟอร์มระดับสากลว่าแอป"ตลาดสากลหมูเด้งนานาชาติ" ก็ได้ ต่างชาติในอนาคตมาสร้างช่องสร้างตลาดร่วมมาเปิดร้านค้าเสรีชุมชนออนไลน์บนแพลตฟอร์มไทยในนามสากลไม่ห่วงลิขสิทธิต่อชาวโลกก็ได้ ใครมีอะไรมาขายออนไลน์จะชาติไหน เล่นอะไร ขายของไปด้วย เชิญมาใช้บริการที่แพลตฟอร์มไทยฟรีๆเราได้เลย แพลตฟอร์มชื่อ"หมูเด้ง"ก็ว่า.,ชาวโลกมาสร้างงานสร้างรายได้ออนไลน์ร่วมกันทั่วโลกแบ่งปันกันในการทำสัมมาอาชีพจะดีขนาดไหน,แบบติ๊กต๊อกผสมTemuก็ว่า บันเทิงกันในตัวล่ะ,เงินจะสะพัดน่าจะกว่า1,000ล้านล้านบาทสบายๆแน่ๆต่อปีหรือต่อเดือนก็ไม่แน่,ตลาดการค้าสากลเสรีปลอดภาษีระดับโลกสู่ระดับจักรวาลใครจะรู้ "หมูเด้ง" คือโอกาสทำสัมมาอาชีพต่อทุกๆคนบนโลกอย่างเสรียิ้มแย้มแจ่มใสมีความสุขแบ่งปันต่อกันและกันใครจะมาว่า.
    กองทุนแม่ของแผ่นดินไทยเรา,ต้องไปฟื้นฟูกองทุนร้านค้าชุมชนหมู่บ้านกว่า80,000หมู่บ้านเชิงรุกทันที ปรับปรุงระบบใช้สไตล์ร้านสากลสะดวกซื้อผสมผสานคลังสินค้าโลจิสติกในตัวบริการคนในชุมชุมเชื่อมโยงสินค้า&บริการทั่วประเทศ ทุกๆคนไทยคือเจ้าของร้่นค้าตนเองร่วมกันในระบบหุ้นร้านค้ากองทุนหมู่บ้าน จะต่อยอดตลาดได้สาระพัดทิศทาง,โดรนส่งของก็ได้ในชุมชนตนเมื่อสินค้ามาถึงชุมชน หากไม่สะดวกมารับ ส่งถึงดอยถึงภูกลางป่าได้ รับคำสั่งซื้ออิสระโน้น ทุเรียนภาคใต้ เหนืออีสานอยากทานราคาถูกก็ส่งผ่านสาขาร้านค้ากองทุนหมู่บ้านได้เพราะเป็นคลังโกดังใหญ่ประจำหมู่บ้านก็ได้ ขายสินค้าราคาต่ำกว่าร้านชำทั่วไปอีก คนในชุมชนประหยัดตังด้วยคือจุดขายอีกด้าน รัฐสนับสนุนการพึ่งพาตนเองในชุมชนและเป็นเครือข่ายระดับชาติอีกจะแข็งแกร่งโคตรๆ ตังสะพัดปกติต่อปี40-50ล้านล้านบาททั่วประเทศ แต่ถ้าสิ่งนี้เกิดจริงได้ เม็ดเงินมหาศาลจะหมุนเวียนในชุมชนสังคมไทยเราจริงและถึงระดับชาติด้วยถูกดูดออกจากระบบชุมชนยากมาก สะพัดกว่า100ล้านล้านบาทสบายๆสภาพคล่องกระแสใช้จ่ายโคตรๆหมุนเวียนภายในเลยก็ว่า ขายตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ มีคลังยักษ์ใหญ่ระดับชาติจัดส่งรับคำสั่งซื้อได้ สร้างแพลตฟอร์มขายออนไลน์ ไลฟ์สดตลาดออนไลน์เรียลไทม์ชาวบ้านเราได้ด้วย ตลาดก็มี คลังสินค้ากว่า80,000สาขาเจ้าของจริงคนไทยร่วมกันอีก,จะขายจะซื้ออะไรกดสั่งผ่านกองทุนร้านค้าตนเองเป็นคลังส่งคลังเก็บส่วนกลางสินค้าได้หมด ลูกค้ากับคนสวนเจ้าของมาเองขายเองราคาส่งตรงถูกสดปลอดภัยสารเคมีจะล้ำขนาดไหนอีก,สร้างแพลตฟอร์มระดับสากลว่าแอป"ตลาดสากลหมูเด้งนานาชาติ" ก็ได้ ต่างชาติในอนาคตมาสร้างช่องสร้างตลาดร่วมมาเปิดร้านค้าเสรีชุมชนออนไลน์บนแพลตฟอร์มไทยในนามสากลไม่ห่วงลิขสิทธิต่อชาวโลกก็ได้ ใครมีอะไรมาขายออนไลน์จะชาติไหน เล่นอะไร ขายของไปด้วย เชิญมาใช้บริการที่แพลตฟอร์มไทยฟรีๆเราได้เลย แพลตฟอร์มชื่อ"หมูเด้ง"ก็ว่า.,ชาวโลกมาสร้างงานสร้างรายได้ออนไลน์ร่วมกันทั่วโลกแบ่งปันกันในการทำสัมมาอาชีพจะดีขนาดไหน,แบบติ๊กต๊อกผสมTemuก็ว่า บันเทิงกันในตัวล่ะ,เงินจะสะพัดน่าจะกว่า1,000ล้านล้านบาทสบายๆแน่ๆต่อปีหรือต่อเดือนก็ไม่แน่,ตลาดการค้าสากลเสรีปลอดภาษีระดับโลกสู่ระดับจักรวาลใครจะรู้ "หมูเด้ง" คือโอกาสทำสัมมาอาชีพต่อทุกๆคนบนโลกอย่างเสรียิ้มแย้มแจ่มใสมีความสุขแบ่งปันต่อกันและกันใครจะมาว่า.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 423 มุมมอง 0 รีวิว