• “Ivanpah: โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ในแคลิฟอร์เนีย เตรียมปิดตัวในปี 2026 — บทเรียนจากเทคโนโลยีที่ล้าสมัยเร็วเกินไป”

    หากคุณเคยขับรถผ่าน Interstate 15 ระหว่างลอสแอนเจลิสกับลาสเวกัส คุณอาจเคยเห็นแสงสะท้อนจากหอคอยสูง 459 ฟุต 3 ต้นกลางทะเลทรายโมฮาวี นั่นคือ Ivanpah Solar Electric Generating System — โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดมหึมาที่เคยเป็นความหวังของวงการพลังงานสะอาดในสหรัฐฯ

    เปิดใช้งานในปี 2014 ด้วยงบประมาณกว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์ Ivanpah ใช้เทคโนโลยี “solar thermal” ที่แตกต่างจากแผงโซลาร์เซลล์ทั่วไป โดยใช้กระจกกว่า 173,500 แผ่นสะท้อนแสงอาทิตย์ไปยังหอคอยเพื่อสร้างไอน้ำหมุนกังหันผลิตไฟฟ้า

    แม้จะเคยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เทคโนโลยีนี้กลับกลายเป็น “ล้าสมัย” อย่างรวดเร็ว เมื่อแผงโซลาร์เซลล์แบบ photovoltaic มีราคาถูกลงและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้ PG&E ซึ่งเป็นผู้ซื้อไฟฟ้าหลัก ประกาศยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าก่อนกำหนดในปี 2025 ทั้งที่เดิมจะซื้อถึงปี 2039

    นอกจากปัญหาด้านต้นทุนและประสิทธิภาพ Ivanpah ยังเผชิญกับข้อวิจารณ์ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การฆ่านกกว่า 6,000 ตัวต่อปีจากความร้อนของแสงสะท้อน และการรบกวนสายตาผู้ขับขี่บนทางหลวงจากแสงสะท้อนของกระจก

    แม้ยังไม่มีแผนการใช้พื้นที่หลังการปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่เจ้าของโครงการ NRG Energy เสนอว่าอาจเปลี่ยนมาใช้ระบบแผงโซลาร์เซลล์แทน ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ในปัจจุบัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Ivanpah Solar Plant ตั้งอยู่ในทะเลทรายโมฮาวี เปิดใช้งานในปี 2014
    ใช้เทคโนโลยี solar thermal โดยสะท้อนแสงไปยังหอคอยเพื่อผลิตไอน้ำ
    มีงบประมาณก่อสร้าง 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับเงินกู้จากรัฐบาล 1.6 พันล้าน
    ใช้กระจกสะท้อนแสงกว่า 173,500 แผ่น เรียกว่า heliostats
    PG&E ประกาศยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าในปี 2025 เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
    Ivanpah เคยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    มีข้อเสนอให้เปลี่ยนมาใช้ระบบ photovoltaic ที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกกว่า
    คาดว่าจะปิดตัวในปี 2026 ก่อนกำหนดเดิมถึง 13 ปี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เทคโนโลยี solar thermal มีข้อดีด้านการผลิตพลังงานต่อเนื่อง แต่ต้นทุนสูง
    photovoltaic panels มีราคาลดลงกว่า 80% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
    ระบบ solar thermal ต้องพึ่งพาแก๊สธรรมชาติเพื่อเริ่มต้นการทำงานในบางช่วง
    โครงการ Project Nexus ในแคลิฟอร์เนียทดลองติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองชลประทาน
    Ivanpah เป็นตัวอย่างของความเสี่ยงในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนเร็ว

    https://www.slashgear.com/1986261/california-ivanpah-solar-plant-shut-down-reason/
    ☀️ “Ivanpah: โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ในแคลิฟอร์เนีย เตรียมปิดตัวในปี 2026 — บทเรียนจากเทคโนโลยีที่ล้าสมัยเร็วเกินไป” หากคุณเคยขับรถผ่าน Interstate 15 ระหว่างลอสแอนเจลิสกับลาสเวกัส คุณอาจเคยเห็นแสงสะท้อนจากหอคอยสูง 459 ฟุต 3 ต้นกลางทะเลทรายโมฮาวี นั่นคือ Ivanpah Solar Electric Generating System — โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดมหึมาที่เคยเป็นความหวังของวงการพลังงานสะอาดในสหรัฐฯ เปิดใช้งานในปี 2014 ด้วยงบประมาณกว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์ Ivanpah ใช้เทคโนโลยี “solar thermal” ที่แตกต่างจากแผงโซลาร์เซลล์ทั่วไป โดยใช้กระจกกว่า 173,500 แผ่นสะท้อนแสงอาทิตย์ไปยังหอคอยเพื่อสร้างไอน้ำหมุนกังหันผลิตไฟฟ้า แม้จะเคยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เทคโนโลยีนี้กลับกลายเป็น “ล้าสมัย” อย่างรวดเร็ว เมื่อแผงโซลาร์เซลล์แบบ photovoltaic มีราคาถูกลงและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้ PG&E ซึ่งเป็นผู้ซื้อไฟฟ้าหลัก ประกาศยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าก่อนกำหนดในปี 2025 ทั้งที่เดิมจะซื้อถึงปี 2039 นอกจากปัญหาด้านต้นทุนและประสิทธิภาพ Ivanpah ยังเผชิญกับข้อวิจารณ์ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การฆ่านกกว่า 6,000 ตัวต่อปีจากความร้อนของแสงสะท้อน และการรบกวนสายตาผู้ขับขี่บนทางหลวงจากแสงสะท้อนของกระจก แม้ยังไม่มีแผนการใช้พื้นที่หลังการปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่เจ้าของโครงการ NRG Energy เสนอว่าอาจเปลี่ยนมาใช้ระบบแผงโซลาร์เซลล์แทน ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ในปัจจุบัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Ivanpah Solar Plant ตั้งอยู่ในทะเลทรายโมฮาวี เปิดใช้งานในปี 2014 ➡️ ใช้เทคโนโลยี solar thermal โดยสะท้อนแสงไปยังหอคอยเพื่อผลิตไอน้ำ ➡️ มีงบประมาณก่อสร้าง 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับเงินกู้จากรัฐบาล 1.6 พันล้าน ➡️ ใช้กระจกสะท้อนแสงกว่า 173,500 แผ่น เรียกว่า heliostats ➡️ PG&E ประกาศยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าในปี 2025 เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ➡️ Ivanpah เคยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ➡️ มีข้อเสนอให้เปลี่ยนมาใช้ระบบ photovoltaic ที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกกว่า ➡️ คาดว่าจะปิดตัวในปี 2026 ก่อนกำหนดเดิมถึง 13 ปี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เทคโนโลยี solar thermal มีข้อดีด้านการผลิตพลังงานต่อเนื่อง แต่ต้นทุนสูง ➡️ photovoltaic panels มีราคาลดลงกว่า 80% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ➡️ ระบบ solar thermal ต้องพึ่งพาแก๊สธรรมชาติเพื่อเริ่มต้นการทำงานในบางช่วง ➡️ โครงการ Project Nexus ในแคลิฟอร์เนียทดลองติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองชลประทาน ➡️ Ivanpah เป็นตัวอย่างของความเสี่ยงในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนเร็ว https://www.slashgear.com/1986261/california-ivanpah-solar-plant-shut-down-reason/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    $2B California Solar Plant To Shut Down After A Decade For The Most Frustrating Reason - SlashGear
    The Ivanpah facility's decommissioning comes from its use of a now-obsolete solar technology that's both more expensive and less efficient in generating energy.
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • ขับเคลื่อนนโยบายพลังงานยั่งยืน สมาคมสันนิบาตสหกรณ์ฯ เปิดตัวโครงการโซลาร์เซลล์ลดค่าใช้จ่ายข้าราชการ
    https://www.thai-tai.tv/news/21762/
    .
    #พลังงานแสงอาทิตย์ #โซลาร์เซลล์ #สหกรณ์ไทย #ข้าราชการ #ลดค่าใช้จ่าย #พลังงานสะอาด #ทูตไต้หวัน #ENERGY_SOLUTION_GOAL
    ขับเคลื่อนนโยบายพลังงานยั่งยืน สมาคมสันนิบาตสหกรณ์ฯ เปิดตัวโครงการโซลาร์เซลล์ลดค่าใช้จ่ายข้าราชการ https://www.thai-tai.tv/news/21762/ . #พลังงานแสงอาทิตย์ #โซลาร์เซลล์ #สหกรณ์ไทย #ข้าราชการ #ลดค่าใช้จ่าย #พลังงานสะอาด #ทูตไต้หวัน #ENERGY_SOLUTION_GOAL
    0 Comments 0 Shares 32 Views 0 Reviews
  • “Jeff Bezos วาดภาพศูนย์ข้อมูลในอวกาศภายใน 20 ปี — พลังงานแสงอาทิตย์ 24/7 และระบบระบายความร้อนตามธรรมชาติ”

    ในงาน Italian Tech Week ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon และ Blue Origin ได้เปิดเผยวิสัยทัศน์ที่น่าตื่นตาเกี่ยวกับอนาคตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเขาคาดว่าในอีก 10–20 ปีข้างหน้า เราจะเริ่มสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดกิกะวัตต์ในวงโคจรของโลก ซึ่งจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่องและระบายความร้อนได้ง่ายกว่าบนโลก

    เหตุผลหลักคือในอวกาศไม่มีเมฆ ไม่มีฝน และไม่มีรอบกลางวันกลางคืน ทำให้สามารถผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ หรือการประมวลผลแบบคลัสเตอร์

    นอกจากนี้ อุณหภูมิในอวกาศที่ต่ำมาก (ถึง -270°C ในเงามืด) ช่วยให้การระบายความร้อนของเซิร์ฟเวอร์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องใช้ระบบทำความเย็นที่กินไฟมหาศาลเหมือนศูนย์ข้อมูลบนโลก

    อย่างไรก็ตาม การสร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศยังมีอุปสรรคใหญ่มาก ทั้งด้านวิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ และโลจิสติกส์ เช่น ต้องใช้แผงโซลาร์เซลล์ขนาด 2.4–3.3 ล้านตารางเมตร ซึ่งหนักกว่า 9,000 ตัน และต้องใช้จรวดมากกว่า 150 เที่ยวในการขนส่งขึ้นสู่วงโคจร รวมถึงระบบหม้อน้ำขนาดมหึมาเพื่อระบายความร้อน และอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์ที่หนักหลายหมื่นตัน

    Bezos เชื่อว่า Blue Origin จะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีจรวดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ เพื่อทำให้การขนส่งอุปกรณ์ขึ้นสู่อวกาศมีต้นทุนต่ำลง และเขายังมองว่าในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า จะมี “ผู้คนหลายล้านคนอาศัยอยู่ในอวกาศ” ซึ่งจะเป็นการขยายขอบเขตของอุตสาหกรรมมนุษย์ออกไปนอกโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Jeff Bezos คาดว่าในอีก 10–20 ปีจะมีศูนย์ข้อมูลขนาดกิกะวัตต์ในวงโคจรของโลก
    พลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศสามารถผลิตได้ต่อเนื่อง 24/7 เพราะไม่มีเมฆหรือกลางคืน
    อุณหภูมิในอวกาศช่วยให้ระบายความร้อนได้ง่ายกว่าบนโลก
    เหมาะสำหรับงานที่ใช้พลังงานสูง เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่
    ต้องใช้แผงโซลาร์เซลล์ขนาด 2.4–3.3 ล้านตารางเมตร น้ำหนักกว่า 9,000 ตัน
    ต้องใช้จรวดมากกว่า 150 เที่ยวในการขนส่งขึ้นสู่วงโคจร
    ระบบหม้อน้ำต้องมีพื้นที่หลายล้านตารางเมตรเพื่อระบายความร้อน
    Bezos เชื่อว่า Blue Origin จะพัฒนาจรวดนำกลับมาใช้ใหม่ได้
    เขามองว่าในอนาคตจะมีผู้คนหลายล้านคนอาศัยอยู่ในอวกาศ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    พลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศมีความเข้มข้นสูงกว่าและเสถียรกว่าบนโลก
    การระบายความร้อนในอวกาศใช้การแผ่รังสี (radiative cooling) แทนการพาความร้อน
    การใช้เลเซอร์หรือคลื่นวิทยุสามารถส่งข้อมูลจากอวกาศกลับมายังโลกได้
    บริษัทอื่น เช่น Lumen Orbit ก็เริ่มพัฒนาแนวคิดศูนย์ข้อมูลในอวกาศ
    ความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูล AI บนโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการแสวงหาทางเลือกใหม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jeff-bezos-envisions-space-based-data-centers-in-10-to-20-years-could-allow-for-natural-cooling-and-more-effective-solar-power
    🚀 “Jeff Bezos วาดภาพศูนย์ข้อมูลในอวกาศภายใน 20 ปี — พลังงานแสงอาทิตย์ 24/7 และระบบระบายความร้อนตามธรรมชาติ” ในงาน Italian Tech Week ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon และ Blue Origin ได้เปิดเผยวิสัยทัศน์ที่น่าตื่นตาเกี่ยวกับอนาคตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเขาคาดว่าในอีก 10–20 ปีข้างหน้า เราจะเริ่มสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดกิกะวัตต์ในวงโคจรของโลก ซึ่งจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่องและระบายความร้อนได้ง่ายกว่าบนโลก เหตุผลหลักคือในอวกาศไม่มีเมฆ ไม่มีฝน และไม่มีรอบกลางวันกลางคืน ทำให้สามารถผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ หรือการประมวลผลแบบคลัสเตอร์ นอกจากนี้ อุณหภูมิในอวกาศที่ต่ำมาก (ถึง -270°C ในเงามืด) ช่วยให้การระบายความร้อนของเซิร์ฟเวอร์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องใช้ระบบทำความเย็นที่กินไฟมหาศาลเหมือนศูนย์ข้อมูลบนโลก อย่างไรก็ตาม การสร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศยังมีอุปสรรคใหญ่มาก ทั้งด้านวิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ และโลจิสติกส์ เช่น ต้องใช้แผงโซลาร์เซลล์ขนาด 2.4–3.3 ล้านตารางเมตร ซึ่งหนักกว่า 9,000 ตัน และต้องใช้จรวดมากกว่า 150 เที่ยวในการขนส่งขึ้นสู่วงโคจร รวมถึงระบบหม้อน้ำขนาดมหึมาเพื่อระบายความร้อน และอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์ที่หนักหลายหมื่นตัน Bezos เชื่อว่า Blue Origin จะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีจรวดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ เพื่อทำให้การขนส่งอุปกรณ์ขึ้นสู่อวกาศมีต้นทุนต่ำลง และเขายังมองว่าในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า จะมี “ผู้คนหลายล้านคนอาศัยอยู่ในอวกาศ” ซึ่งจะเป็นการขยายขอบเขตของอุตสาหกรรมมนุษย์ออกไปนอกโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Jeff Bezos คาดว่าในอีก 10–20 ปีจะมีศูนย์ข้อมูลขนาดกิกะวัตต์ในวงโคจรของโลก ➡️ พลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศสามารถผลิตได้ต่อเนื่อง 24/7 เพราะไม่มีเมฆหรือกลางคืน ➡️ อุณหภูมิในอวกาศช่วยให้ระบายความร้อนได้ง่ายกว่าบนโลก ➡️ เหมาะสำหรับงานที่ใช้พลังงานสูง เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ ➡️ ต้องใช้แผงโซลาร์เซลล์ขนาด 2.4–3.3 ล้านตารางเมตร น้ำหนักกว่า 9,000 ตัน ➡️ ต้องใช้จรวดมากกว่า 150 เที่ยวในการขนส่งขึ้นสู่วงโคจร ➡️ ระบบหม้อน้ำต้องมีพื้นที่หลายล้านตารางเมตรเพื่อระบายความร้อน ➡️ Bezos เชื่อว่า Blue Origin จะพัฒนาจรวดนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ➡️ เขามองว่าในอนาคตจะมีผู้คนหลายล้านคนอาศัยอยู่ในอวกาศ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ พลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศมีความเข้มข้นสูงกว่าและเสถียรกว่าบนโลก ➡️ การระบายความร้อนในอวกาศใช้การแผ่รังสี (radiative cooling) แทนการพาความร้อน ➡️ การใช้เลเซอร์หรือคลื่นวิทยุสามารถส่งข้อมูลจากอวกาศกลับมายังโลกได้ ➡️ บริษัทอื่น เช่น Lumen Orbit ก็เริ่มพัฒนาแนวคิดศูนย์ข้อมูลในอวกาศ ➡️ ความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูล AI บนโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการแสวงหาทางเลือกใหม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jeff-bezos-envisions-space-based-data-centers-in-10-to-20-years-could-allow-for-natural-cooling-and-more-effective-solar-power
    0 Comments 0 Shares 130 Views 0 Reviews
  • “ทำไมศูนย์ข้อมูล AI ถึงยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิล? — เมื่อความต้องการพลังงานแซงหน้าความเขียว”

    ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวใหญ่ในวงการ AI: Nvidia ประกาศลงทุนกว่า 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานของ OpenAI ตามมาด้วยดีล Stargate Project มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์ระหว่าง OpenAI, SoftBank และ Oracle เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ถึง 5 แห่งในสหรัฐฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องการพลังงานมหาศาลตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน

    แม้เทคโนโลยีจะล้ำหน้า แต่พลังงานที่ใช้กลับยังคงเป็นฟอสซิลเป็นหลัก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่มากกว่าครึ่งของพลังงานศูนย์ข้อมูลมาจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีทรัมป์ที่เรียกพลังงานสะอาดว่า “หลอกลวง” และผลักดันนโยบายสนับสนุนฟอสซิลอย่างเต็มที่

    เหตุผลที่ศูนย์ข้อมูลยังไม่สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้เต็มรูปแบบนั้นมีหลายด้าน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และลมไม่สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่องตลอดวัน หากไฟดับแม้เพียงไม่กี่วินาที อาจทำให้บริษัทสูญเสียเงินมหาศาล การใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่เพื่อเก็บพลังงานก็ยังมีต้นทุนสูง และไม่สามารถรองรับการใช้งานข้ามฤดูกาลได้

    นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ต้องการพลังงานระดับกิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้แผงโซลาร์กว่า 12.5 ล้านแผง หรือกังหันลมจำนวนมหาศาล ซึ่งพื้นที่ใกล้เมืองมักไม่สามารถรองรับได้

    ทางเลือกหนึ่งคือพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งมีข้อดีคือปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์และจ่ายไฟได้ต่อเนื่อง แต่ก็ต้องใช้เวลา 7–8 ปีในการสร้างโรงงานใหม่ และยังมีอุปสรรคด้านต้นทุน ความปลอดภัย และการจัดการกากนิวเคลียร์

    ดังนั้นในระยะสั้น บริษัทเทคโนโลยีจึงยังต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมใช้งานภายใน 1–2 ปี และสามารถตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเติบโตของ AI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Nvidia ลงทุน 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนศูนย์ข้อมูลของ OpenAI
    OpenAI, SoftBank และ Oracle ร่วมกันสร้างศูนย์ข้อมูล Stargate Project มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์
    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังลงทุนรวมกว่า 325 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูลภายในปีนี้
    มากกว่าครึ่งของพลังงานศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ มาจากฟอสซิล เช่น ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ
    พลังงานหมุนเวียนไม่สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่อง และแบตเตอรี่ยังมีต้นทุนสูง
    การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องใช้เวลา 7–8 ปี และมีต้นทุนสูง
    ก๊าซธรรมชาติสามารถสร้างโรงไฟฟ้าได้ภายใน 1–2 ปี และมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อม
    ประธานาธิบดีทรัมป์สนับสนุนฟอสซิลและลดเครดิตภาษีสำหรับพลังงานสะอาด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Goldman Sachs คาดว่าความต้องการพลังงานจากศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้น 160% ภายในปี 2030
    หากใช้ฟอสซิลเป็นหลัก อาจเพิ่มการปล่อยคาร์บอนถึง 220 ล้านตันทั่วโลกภายในปี 2030
    พลังงานนิวเคลียร์มีศักยภาพสูง แต่ยังมีข้อจำกัดด้านแรงงานและการขออนุญาต
    การใช้พลังงานหมุนเวียนร่วมกับระบบจัดการข้อมูลและซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพสามารถลดการใช้พลังงานได้มาก
    การออกแบบโมเดล AI ที่เหมาะสมและใช้ข้อมูลคุณภาพสูงช่วยลดการใช้พลังงานในการฝึกและใช้งานโมเดล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/29/why-dont-data-centres-use-more-green-energy
    ⚡ “ทำไมศูนย์ข้อมูล AI ถึงยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิล? — เมื่อความต้องการพลังงานแซงหน้าความเขียว” ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวใหญ่ในวงการ AI: Nvidia ประกาศลงทุนกว่า 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานของ OpenAI ตามมาด้วยดีล Stargate Project มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์ระหว่าง OpenAI, SoftBank และ Oracle เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ถึง 5 แห่งในสหรัฐฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องการพลังงานมหาศาลตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน แม้เทคโนโลยีจะล้ำหน้า แต่พลังงานที่ใช้กลับยังคงเป็นฟอสซิลเป็นหลัก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่มากกว่าครึ่งของพลังงานศูนย์ข้อมูลมาจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีทรัมป์ที่เรียกพลังงานสะอาดว่า “หลอกลวง” และผลักดันนโยบายสนับสนุนฟอสซิลอย่างเต็มที่ เหตุผลที่ศูนย์ข้อมูลยังไม่สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้เต็มรูปแบบนั้นมีหลายด้าน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และลมไม่สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่องตลอดวัน หากไฟดับแม้เพียงไม่กี่วินาที อาจทำให้บริษัทสูญเสียเงินมหาศาล การใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่เพื่อเก็บพลังงานก็ยังมีต้นทุนสูง และไม่สามารถรองรับการใช้งานข้ามฤดูกาลได้ นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ต้องการพลังงานระดับกิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้แผงโซลาร์กว่า 12.5 ล้านแผง หรือกังหันลมจำนวนมหาศาล ซึ่งพื้นที่ใกล้เมืองมักไม่สามารถรองรับได้ ทางเลือกหนึ่งคือพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งมีข้อดีคือปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์และจ่ายไฟได้ต่อเนื่อง แต่ก็ต้องใช้เวลา 7–8 ปีในการสร้างโรงงานใหม่ และยังมีอุปสรรคด้านต้นทุน ความปลอดภัย และการจัดการกากนิวเคลียร์ ดังนั้นในระยะสั้น บริษัทเทคโนโลยีจึงยังต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมใช้งานภายใน 1–2 ปี และสามารถตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเติบโตของ AI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Nvidia ลงทุน 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนศูนย์ข้อมูลของ OpenAI ➡️ OpenAI, SoftBank และ Oracle ร่วมกันสร้างศูนย์ข้อมูล Stargate Project มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์ ➡️ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังลงทุนรวมกว่า 325 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูลภายในปีนี้ ➡️ มากกว่าครึ่งของพลังงานศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ มาจากฟอสซิล เช่น ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ➡️ พลังงานหมุนเวียนไม่สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่อง และแบตเตอรี่ยังมีต้นทุนสูง ➡️ การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องใช้เวลา 7–8 ปี และมีต้นทุนสูง ➡️ ก๊าซธรรมชาติสามารถสร้างโรงไฟฟ้าได้ภายใน 1–2 ปี และมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อม ➡️ ประธานาธิบดีทรัมป์สนับสนุนฟอสซิลและลดเครดิตภาษีสำหรับพลังงานสะอาด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Goldman Sachs คาดว่าความต้องการพลังงานจากศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้น 160% ภายในปี 2030 ➡️ หากใช้ฟอสซิลเป็นหลัก อาจเพิ่มการปล่อยคาร์บอนถึง 220 ล้านตันทั่วโลกภายในปี 2030 ➡️ พลังงานนิวเคลียร์มีศักยภาพสูง แต่ยังมีข้อจำกัดด้านแรงงานและการขออนุญาต ➡️ การใช้พลังงานหมุนเวียนร่วมกับระบบจัดการข้อมูลและซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพสามารถลดการใช้พลังงานได้มาก ➡️ การออกแบบโมเดล AI ที่เหมาะสมและใช้ข้อมูลคุณภาพสูงช่วยลดการใช้พลังงานในการฝึกและใช้งานโมเดล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/29/why-dont-data-centres-use-more-green-energy
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Why don't data centres use more green energy?
    Reliance on fossil fuels is almost unavoidable — at least for now.
    0 Comments 0 Shares 159 Views 0 Reviews
  • “Project Nexus: แผงโซลาร์เหนือคลองชลประทานในแคลิฟอร์เนีย — พลังงานสะอาดที่ช่วยรักษาน้ำและลดต้นทุนทั่วโลก”

    ในขณะที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯลดงบประมาณด้านพลังงานแสงอาทิตย์อย่างหนัก โครงการ “Project Nexus” ของรัฐแคลิฟอร์เนียกลับกลายเป็นความหวังใหม่ที่กำลังแสดงผลลัพธ์เชิงบวกอย่างชัดเจน โครงการนี้ใช้งบประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เหนือคลองชลประทานใน Central Valley ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรมสำคัญของรัฐ โดยคาดว่าจะผลิตพลังงานสะอาดได้ถึง 1.6 เมกะวัตต์

    Project Nexus เป็นความร่วมมือระหว่าง Turlock Irrigation District, กรมทรัพยากรน้ำแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย, มหาวิทยาลัย UC Merced และบริษัท Solar AquaGrid โดยมีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์แนวคิดว่าการใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมอย่างคลองชลประทานสามารถสร้างพลังงานหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมลดการระเหยของน้ำและการเติบโตของพืชน้ำที่ทำให้ต้องบำรุงรักษาบ่อย

    นอกจากการผลิตไฟฟ้าแล้ว การติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองยังช่วยให้แผงเย็นขึ้นจากการอยู่เหนือแหล่งน้ำ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น และลดต้นทุนการดูแลระบบในระยะยาว

    แม้การติดตั้งจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยหนึ่งปีในการวิเคราะห์ผลตอบแทน แต่ผลเบื้องต้นจาก Turlock Irrigation District พบว่าคุณภาพน้ำดีขึ้น และพืชน้ำลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประเทศต่าง ๆ เช่น โรมาเนีย ยูเครน เวียดนาม และสเปน ต่างแสดงความสนใจในการนำโมเดลนี้ไปใช้

    โครงการนี้ยังสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียที่ต้องการให้ไฟฟ้า 60% มาจากพลังงานหมุนเวียนภายในปี 2030 และลดคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี 2045

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Project Nexus ใช้งบประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ในการติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองชลประทาน
    คาดว่าจะผลิตพลังงานได้ 1.6 เมกะวัตต์
    เป็นความร่วมมือระหว่าง Turlock Irrigation District, UC Merced, Solar AquaGrid และกรมทรัพยากรน้ำ
    ช่วยลดการระเหยของน้ำและการเติบโตของพืชน้ำ
    แผงโซลาร์เย็นขึ้นจากการอยู่เหนือคลอง ทำให้ผลิตไฟฟ้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    มีการทดลองติดตั้งทั้งในคลองแคบและกว้าง เพื่อศึกษาผลกระทบจากสภาพแวดล้อม
    แผงบางส่วนจะใช้ระบบพับเก็บได้ในเดือนพฤศจิกายน 2025
    สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียในการใช้พลังงานหมุนเวียน 60% ภายในปี 2030
    ประเทศอื่น ๆ เช่น เวียดนามและสเปน สนใจนำโมเดลนี้ไปใช้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองช่วยประหยัดน้ำได้ถึง 63 พันล้านแกลลอนต่อปี
    ประสิทธิภาพโดยรวมของแผงเหนือคลองสูงกว่าการติดตั้งบนพื้นดินหรือหลังคาถึง 20–50%
    การใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมช่วยลดการใช้พื้นที่เกษตรกรรม
    การลดพืชน้ำช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาคลอง
    การติดตั้งแผงโซลาร์ในลักษณะนี้สามารถใช้ได้กับประเทศที่มีระบบชลประทานขนาดใหญ่

    https://www.slashgear.com/1977609/california-solar-energy-canal-experiment-impact/
    ☀️ “Project Nexus: แผงโซลาร์เหนือคลองชลประทานในแคลิฟอร์เนีย — พลังงานสะอาดที่ช่วยรักษาน้ำและลดต้นทุนทั่วโลก” ในขณะที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯลดงบประมาณด้านพลังงานแสงอาทิตย์อย่างหนัก โครงการ “Project Nexus” ของรัฐแคลิฟอร์เนียกลับกลายเป็นความหวังใหม่ที่กำลังแสดงผลลัพธ์เชิงบวกอย่างชัดเจน โครงการนี้ใช้งบประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เหนือคลองชลประทานใน Central Valley ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรมสำคัญของรัฐ โดยคาดว่าจะผลิตพลังงานสะอาดได้ถึง 1.6 เมกะวัตต์ Project Nexus เป็นความร่วมมือระหว่าง Turlock Irrigation District, กรมทรัพยากรน้ำแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย, มหาวิทยาลัย UC Merced และบริษัท Solar AquaGrid โดยมีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์แนวคิดว่าการใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมอย่างคลองชลประทานสามารถสร้างพลังงานหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมลดการระเหยของน้ำและการเติบโตของพืชน้ำที่ทำให้ต้องบำรุงรักษาบ่อย นอกจากการผลิตไฟฟ้าแล้ว การติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองยังช่วยให้แผงเย็นขึ้นจากการอยู่เหนือแหล่งน้ำ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น และลดต้นทุนการดูแลระบบในระยะยาว แม้การติดตั้งจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยหนึ่งปีในการวิเคราะห์ผลตอบแทน แต่ผลเบื้องต้นจาก Turlock Irrigation District พบว่าคุณภาพน้ำดีขึ้น และพืชน้ำลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประเทศต่าง ๆ เช่น โรมาเนีย ยูเครน เวียดนาม และสเปน ต่างแสดงความสนใจในการนำโมเดลนี้ไปใช้ โครงการนี้ยังสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียที่ต้องการให้ไฟฟ้า 60% มาจากพลังงานหมุนเวียนภายในปี 2030 และลดคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี 2045 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Project Nexus ใช้งบประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ในการติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองชลประทาน ➡️ คาดว่าจะผลิตพลังงานได้ 1.6 เมกะวัตต์ ➡️ เป็นความร่วมมือระหว่าง Turlock Irrigation District, UC Merced, Solar AquaGrid และกรมทรัพยากรน้ำ ➡️ ช่วยลดการระเหยของน้ำและการเติบโตของพืชน้ำ ➡️ แผงโซลาร์เย็นขึ้นจากการอยู่เหนือคลอง ทำให้ผลิตไฟฟ้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ มีการทดลองติดตั้งทั้งในคลองแคบและกว้าง เพื่อศึกษาผลกระทบจากสภาพแวดล้อม ➡️ แผงบางส่วนจะใช้ระบบพับเก็บได้ในเดือนพฤศจิกายน 2025 ➡️ สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียในการใช้พลังงานหมุนเวียน 60% ภายในปี 2030 ➡️ ประเทศอื่น ๆ เช่น เวียดนามและสเปน สนใจนำโมเดลนี้ไปใช้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองช่วยประหยัดน้ำได้ถึง 63 พันล้านแกลลอนต่อปี ➡️ ประสิทธิภาพโดยรวมของแผงเหนือคลองสูงกว่าการติดตั้งบนพื้นดินหรือหลังคาถึง 20–50% ➡️ การใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมช่วยลดการใช้พื้นที่เกษตรกรรม ➡️ การลดพืชน้ำช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาคลอง ➡️ การติดตั้งแผงโซลาร์ในลักษณะนี้สามารถใช้ได้กับประเทศที่มีระบบชลประทานขนาดใหญ่ https://www.slashgear.com/1977609/california-solar-energy-canal-experiment-impact/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    California's Solar Experiment Is Working – Here's What That Could Mean For Everyone Else - SlashGear
    California is doing something unique with its investment in renewable energy, and seems to be proving beneficial not just for increasing solar power generation.
    0 Comments 0 Shares 196 Views 0 Reviews
  • “Evanston สั่ง Flock ถอนกล้อง LPR ทันที หลังบริษัทแอบติดตั้งใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต — ขัดคำสั่งเมือง เสี่ยงฟ้องร้อง”

    เมือง Evanston ในรัฐอิลลินอยส์ออกคำสั่ง “หยุดและถอน” (cease-and-desist) ต่อบริษัท Flock Safety หลังพบว่าบริษัทได้แอบนำกล้องอ่านป้ายทะเบียน (License Plate Reader – LPR) กลับมาติดตั้งใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งที่ก่อนหน้านี้เมืองได้สั่งให้ถอดกล้องทั้งหมดและเตรียมยกเลิกสัญญาในวันที่ 26 กันยายน 2025

    เหตุการณ์เริ่มต้นจากการที่รัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐอิลลินอยส์พบว่า Flock ได้อนุญาตให้หน่วยงานรัฐบาลกลาง เช่น U.S. Customs and Border Protection เข้าถึงข้อมูลจากกล้องในรัฐ ซึ่งขัดต่อกฎหมายของรัฐ และละเมิดนโยบายของเมือง Evanston ที่ห้ามแชร์ข้อมูลกับหน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง

    แม้ Flock จะถอดกล้องออกไปแล้ว 15 จาก 18 ตัวภายในวันที่ 8 กันยายน แต่กลับนำกลับมาติดตั้งใหม่ในจุดเดิมภายในเวลาไม่ถึงเดือน โดยบางกล้องใช้เสาใหม่ มีการพ่นสี “FLOCK” และหมายเลขกำกับไว้ชัดเจน บางจุดยังใช้กล้องรุ่นใหม่ที่เชื่อมต่อกับสายไฟของเมืองโดยตรง แทนที่จะใช้พลังงานจากแผงโซลาร์เหมือนเดิม

    เมือง Evanston ยืนยันว่าไม่ได้เปลี่ยนนโยบายใด ๆ และการติดตั้งใหม่ถือเป็นการละเมิดคำสั่งอย่างชัดเจน โดย Flock ได้ให้คำมั่นว่าจะถอดกล้องออกอีกครั้งหลังได้รับคำสั่งล่าสุด

    อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก “transparency portal” ของ Flock เองกลับแสดงให้เห็นว่ากล้องบางตัวอาจยังคงทำงานอยู่ แม้จะมีคำสั่งปิดระบบตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม โดยจำนวนรถที่ถูกตรวจจับในช่วง 30 วันยังไม่ลดลงตามที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจบ่งชี้ว่ามีการเก็บข้อมูลต่อเนื่องโดยไม่ได้รับอนุญาต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เมือง Evanston ออกคำสั่ง cease-and-desist ต่อ Flock Safety หลังพบการติดตั้งกล้องใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต
    เดิมเมืองสั่งให้ถอดกล้อง LPR ทั้งหมด 19 ตัว และเตรียมยกเลิกสัญญาในวันที่ 26 กันยายน 2025
    การยกเลิกสัญญาเกิดจากการที่ Flock แชร์ข้อมูลกับหน่วยงานรัฐบาลกลางโดยไม่ได้รับอนุญาต
    กล้อง 15 ตัวที่เคยถอดออกถูกนำกลับมาติดตั้งในจุดเดิม พร้อมเสาใหม่และหมายเลขกำกับ
    บางกล้องใช้รุ่นใหม่ที่เชื่อมต่อกับสายไฟของเมือง แทนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์
    Flock ให้คำมั่นว่าจะถอดกล้องออกอีกครั้งหลังได้รับคำสั่งล่าสุด
    ข้อมูลจาก transparency portal ของ Flock แสดงว่ากล้องบางตัวอาจยังคงทำงานอยู่
    เมือง Evanston อาจต้องจ่ายเงิน $145,500 หากสัญญายังถูกถือว่าใช้งานอยู่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    LPR เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจจับและบันทึกหมายเลขทะเบียนรถโดยอัตโนมัติ
    การแชร์ข้อมูลกับหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองขัดต่อ “Welcoming City Ordinance” ของ Evanston
    การติดตั้งกล้องใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาตอาจนำไปสู่การฟ้องร้องทางกฎหมาย
    การใช้กล้องที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าของเมืองอาจละเมิดข้อกำหนดด้านความปลอดภัย
    Transparency portal เป็นเครื่องมือที่ Flock ใช้แสดงข้อมูลการทำงานของกล้องแบบสาธารณะ

    https://evanstonroundtable.com/2025/09/24/flock-safety-reinstalls-evanston-cameras/
    📸 “Evanston สั่ง Flock ถอนกล้อง LPR ทันที หลังบริษัทแอบติดตั้งใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต — ขัดคำสั่งเมือง เสี่ยงฟ้องร้อง” เมือง Evanston ในรัฐอิลลินอยส์ออกคำสั่ง “หยุดและถอน” (cease-and-desist) ต่อบริษัท Flock Safety หลังพบว่าบริษัทได้แอบนำกล้องอ่านป้ายทะเบียน (License Plate Reader – LPR) กลับมาติดตั้งใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งที่ก่อนหน้านี้เมืองได้สั่งให้ถอดกล้องทั้งหมดและเตรียมยกเลิกสัญญาในวันที่ 26 กันยายน 2025 เหตุการณ์เริ่มต้นจากการที่รัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐอิลลินอยส์พบว่า Flock ได้อนุญาตให้หน่วยงานรัฐบาลกลาง เช่น U.S. Customs and Border Protection เข้าถึงข้อมูลจากกล้องในรัฐ ซึ่งขัดต่อกฎหมายของรัฐ และละเมิดนโยบายของเมือง Evanston ที่ห้ามแชร์ข้อมูลกับหน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง แม้ Flock จะถอดกล้องออกไปแล้ว 15 จาก 18 ตัวภายในวันที่ 8 กันยายน แต่กลับนำกลับมาติดตั้งใหม่ในจุดเดิมภายในเวลาไม่ถึงเดือน โดยบางกล้องใช้เสาใหม่ มีการพ่นสี “FLOCK” และหมายเลขกำกับไว้ชัดเจน บางจุดยังใช้กล้องรุ่นใหม่ที่เชื่อมต่อกับสายไฟของเมืองโดยตรง แทนที่จะใช้พลังงานจากแผงโซลาร์เหมือนเดิม เมือง Evanston ยืนยันว่าไม่ได้เปลี่ยนนโยบายใด ๆ และการติดตั้งใหม่ถือเป็นการละเมิดคำสั่งอย่างชัดเจน โดย Flock ได้ให้คำมั่นว่าจะถอดกล้องออกอีกครั้งหลังได้รับคำสั่งล่าสุด อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก “transparency portal” ของ Flock เองกลับแสดงให้เห็นว่ากล้องบางตัวอาจยังคงทำงานอยู่ แม้จะมีคำสั่งปิดระบบตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม โดยจำนวนรถที่ถูกตรวจจับในช่วง 30 วันยังไม่ลดลงตามที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจบ่งชี้ว่ามีการเก็บข้อมูลต่อเนื่องโดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เมือง Evanston ออกคำสั่ง cease-and-desist ต่อ Flock Safety หลังพบการติดตั้งกล้องใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ เดิมเมืองสั่งให้ถอดกล้อง LPR ทั้งหมด 19 ตัว และเตรียมยกเลิกสัญญาในวันที่ 26 กันยายน 2025 ➡️ การยกเลิกสัญญาเกิดจากการที่ Flock แชร์ข้อมูลกับหน่วยงานรัฐบาลกลางโดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ กล้อง 15 ตัวที่เคยถอดออกถูกนำกลับมาติดตั้งในจุดเดิม พร้อมเสาใหม่และหมายเลขกำกับ ➡️ บางกล้องใช้รุ่นใหม่ที่เชื่อมต่อกับสายไฟของเมือง แทนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ➡️ Flock ให้คำมั่นว่าจะถอดกล้องออกอีกครั้งหลังได้รับคำสั่งล่าสุด ➡️ ข้อมูลจาก transparency portal ของ Flock แสดงว่ากล้องบางตัวอาจยังคงทำงานอยู่ ➡️ เมือง Evanston อาจต้องจ่ายเงิน $145,500 หากสัญญายังถูกถือว่าใช้งานอยู่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ LPR เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจจับและบันทึกหมายเลขทะเบียนรถโดยอัตโนมัติ ➡️ การแชร์ข้อมูลกับหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองขัดต่อ “Welcoming City Ordinance” ของ Evanston ➡️ การติดตั้งกล้องใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาตอาจนำไปสู่การฟ้องร้องทางกฎหมาย ➡️ การใช้กล้องที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าของเมืองอาจละเมิดข้อกำหนดด้านความปลอดภัย ➡️ Transparency portal เป็นเครื่องมือที่ Flock ใช้แสดงข้อมูลการทำงานของกล้องแบบสาธารณะ https://evanstonroundtable.com/2025/09/24/flock-safety-reinstalls-evanston-cameras/
    EVANSTONROUNDTABLE.COM
    Evanston orders Flock to remove reinstalled cameras - Evanston RoundTable
    Private surveillance vendor Flock Safety reinstalled all of its stationary license plate cameras in Evanston that had previously been removed, apparently
    0 Comments 0 Shares 145 Views 0 Reviews
  • “ลาก่อนกังหันลมรุ่นบุกเบิก — นิวยอร์กรื้อฟาร์มลมแห่งแรก หลังใช้งานกว่า 25 ปี เหตุค่าบำรุงรักษาแพงเกินคุ้ม”

    ฟาร์มกังหันลมแห่งแรกของรัฐนิวยอร์กในเขต Madison County ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของพลังงานสะอาด ถูกรื้อถอนอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 หลังจากให้บริการมานานกว่า 25 ปี โดยไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายรัฐบาลกลางหรือข้อกังวลด้านสุขภาพ แต่เป็นเพราะต้นทุนการบำรุงรักษาที่สูงเกินไป และชิ้นส่วนอะไหล่ที่หายากจนไม่สามารถซ่อมแซมได้อย่างคุ้มค่าอีกต่อไป

    กังหันลมทั้ง 7 ตัวในฟาร์มนี้เป็นรุ่นต้นแบบที่ติดตั้งตั้งแต่ปี 2000 โดยแต่ละตัวสูงกว่า 220 ฟุต และผลิตไฟฟ้าได้ 1.65 เมกะวัตต์ ซึ่งถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับกังหันลมรุ่นใหม่ที่สามารถผลิตได้ถึง 26 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง และมีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า

    การรื้อถอนใช้วิธี “implosion” หรือการระเบิดฐานของแต่ละกังหันให้ล้มลงภายในเวลาเพียง 20–30 วินาที ซึ่งปลอดภัยและประหยัดกว่าการใช้เครนยกออกทีละชิ้น ทีมงานวางแผนอย่างละเอียดเพื่อให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่น โดยใบพัดจะถูกส่งไปยังโรงงานแปรรูปพลังงานใน Niagara County ส่วนชิ้นส่วนอื่นจะถูกคัดแยกเพื่อนำไปรีไซเคิลหรือฝังกลบตามความเหมาะสม

    พื้นที่เดิมของฟาร์มลมจะถูกปรับกลับไปใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งตรงข้ามกับแนวทางของรัฐแคลิฟอร์เนียที่เปลี่ยนพื้นที่เกษตรไม่ได้ผลผลิตให้กลายเป็นศูนย์เก็บพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ฟาร์มลม Madison County ถูกรื้อถอนหลังใช้งานมากว่า 25 ปี
    เหตุผลหลักคือค่าบำรุงรักษาสูงและอะไหล่หายาก
    ใช้วิธีระเบิดฐานกังหัน (implosion) เพื่อรื้อถอนภายใน 30 วินาที
    ใบพัดส่งไปแปรรูปพลังงาน ส่วนชิ้นส่วนอื่นคัดแยกเพื่อรีไซเคิล
    พื้นที่ฟาร์มจะถูกปรับกลับไปใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม
    ฟาร์มนี้เคยผลิตไฟฟ้าได้ 11.5 เมกะวัตต์ แต่ลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสามในปีหลังสุด
    นิวยอร์กยังมีโครงการฟาร์มลมนอกชายฝั่งและฟาร์มลมอื่น ๆ ที่ยังดำเนินการอยู่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    กังหันลมรุ่นใหม่มีความสูงเฉลี่ย 340 ฟุต และผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า 3.4 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง
    การรื้อถอนฟาร์มลมเก่าเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในหลายรัฐเมื่อเทคโนโลยีใหม่มีประสิทธิภาพสูงกว่า
    EDP Global ผู้ดำเนินการฟาร์มลมนี้เป็นบริษัทพลังงานหมุนเวียนจากโปรตุเกส
    การใช้ implosion ลดต้นทุนและความเสี่ยงจากการใช้เครื่องจักรหนัก
    การเปลี่ยนพื้นที่กลับสู่การเกษตรช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

    https://www.slashgear.com/1975931/new-york-first-wind-farm-demolished-reason/
    🌬️ “ลาก่อนกังหันลมรุ่นบุกเบิก — นิวยอร์กรื้อฟาร์มลมแห่งแรก หลังใช้งานกว่า 25 ปี เหตุค่าบำรุงรักษาแพงเกินคุ้ม” ฟาร์มกังหันลมแห่งแรกของรัฐนิวยอร์กในเขต Madison County ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของพลังงานสะอาด ถูกรื้อถอนอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 หลังจากให้บริการมานานกว่า 25 ปี โดยไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายรัฐบาลกลางหรือข้อกังวลด้านสุขภาพ แต่เป็นเพราะต้นทุนการบำรุงรักษาที่สูงเกินไป และชิ้นส่วนอะไหล่ที่หายากจนไม่สามารถซ่อมแซมได้อย่างคุ้มค่าอีกต่อไป กังหันลมทั้ง 7 ตัวในฟาร์มนี้เป็นรุ่นต้นแบบที่ติดตั้งตั้งแต่ปี 2000 โดยแต่ละตัวสูงกว่า 220 ฟุต และผลิตไฟฟ้าได้ 1.65 เมกะวัตต์ ซึ่งถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับกังหันลมรุ่นใหม่ที่สามารถผลิตได้ถึง 26 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง และมีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า การรื้อถอนใช้วิธี “implosion” หรือการระเบิดฐานของแต่ละกังหันให้ล้มลงภายในเวลาเพียง 20–30 วินาที ซึ่งปลอดภัยและประหยัดกว่าการใช้เครนยกออกทีละชิ้น ทีมงานวางแผนอย่างละเอียดเพื่อให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่น โดยใบพัดจะถูกส่งไปยังโรงงานแปรรูปพลังงานใน Niagara County ส่วนชิ้นส่วนอื่นจะถูกคัดแยกเพื่อนำไปรีไซเคิลหรือฝังกลบตามความเหมาะสม พื้นที่เดิมของฟาร์มลมจะถูกปรับกลับไปใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งตรงข้ามกับแนวทางของรัฐแคลิฟอร์เนียที่เปลี่ยนพื้นที่เกษตรไม่ได้ผลผลิตให้กลายเป็นศูนย์เก็บพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ฟาร์มลม Madison County ถูกรื้อถอนหลังใช้งานมากว่า 25 ปี ➡️ เหตุผลหลักคือค่าบำรุงรักษาสูงและอะไหล่หายาก ➡️ ใช้วิธีระเบิดฐานกังหัน (implosion) เพื่อรื้อถอนภายใน 30 วินาที ➡️ ใบพัดส่งไปแปรรูปพลังงาน ส่วนชิ้นส่วนอื่นคัดแยกเพื่อรีไซเคิล ➡️ พื้นที่ฟาร์มจะถูกปรับกลับไปใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ➡️ ฟาร์มนี้เคยผลิตไฟฟ้าได้ 11.5 เมกะวัตต์ แต่ลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสามในปีหลังสุด ➡️ นิวยอร์กยังมีโครงการฟาร์มลมนอกชายฝั่งและฟาร์มลมอื่น ๆ ที่ยังดำเนินการอยู่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ กังหันลมรุ่นใหม่มีความสูงเฉลี่ย 340 ฟุต และผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า 3.4 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง ➡️ การรื้อถอนฟาร์มลมเก่าเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในหลายรัฐเมื่อเทคโนโลยีใหม่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ➡️ EDP Global ผู้ดำเนินการฟาร์มลมนี้เป็นบริษัทพลังงานหมุนเวียนจากโปรตุเกส ➡️ การใช้ implosion ลดต้นทุนและความเสี่ยงจากการใช้เครื่องจักรหนัก ➡️ การเปลี่ยนพื้นที่กลับสู่การเกษตรช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว https://www.slashgear.com/1975931/new-york-first-wind-farm-demolished-reason/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    New York's First Wind Farm Has Been Torn Down, And It's Easy To Understand Why - SlashGear
    The seven wind turbines that made up New York's first wind farm were demolished because maintenance of those early units had become too costly.
    0 Comments 0 Shares 215 Views 0 Reviews
  • “เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ — ประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟ แต่ต้องคิดให้รอบด้านก่อนติดตั้ง”

    การทำน้ำร้อนในบ้านถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ใช้พลังงานมากที่สุด โดยเฉลี่ยแล้วคิดเป็น 18% ของค่าไฟฟ้ารายเดือนในครัวเรือนสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้ เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Water Heater) จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

    ระบบนี้ใช้แผงรับแสงบนหลังคาเพื่อเก็บพลังงานจากดวงอาทิตย์ แล้วเปลี่ยนเป็นความร้อนเพื่อเก็บไว้ในถังน้ำร้อน โดยมีทั้งแบบที่ให้ความร้อนโดยตรง และแบบใช้ของเหลวถ่ายเทความร้อน ซึ่งสามารถทำงานได้แม้ในสภาพอากาศหนาวเย็น

    ข้อดีที่โดดเด่นคือการประหยัดค่าไฟในระยะยาว โดยระบบสามารถให้ความร้อนแก่น้ำได้ถึง 80% ของความต้องการในบ้าน และเมื่อรวมกับเครดิตภาษีพลังงานสะอาดของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่คืนเงินได้ถึง 30% ของค่าติดตั้งจนถึงปี 2032 ก็ยิ่งทำให้คุ้มค่ามากขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีข้อดีด้านสิ่งแวดล้อม เพราะระบบนี้ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกใด ๆ และใช้พื้นที่หลังคาน้อยกว่าระบบโซลาร์เซลล์ทั่วไป จึงเหมาะกับบ้านขนาดเล็กหรือพื้นที่จำกัด

    อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา เช่น ราคาติดตั้งที่สูงกว่าระบบทั่วไปหลายเท่า ความจำเป็นในการมีหลังคาที่รับแสงได้ดี และพื้นที่สำหรับติดตั้งถังน้ำร้อนที่อาจไม่เหมาะกับบ้านขนาดเล็ก รวมถึงความเสี่ยงด้านการกัดกร่อนและการสะสมของแร่ธาตุในระบบที่อาจต้องดูแลในระยะยาว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยลดค่าไฟได้ถึง 80% ของความต้องการน้ำร้อนในบ้าน
    มีเครดิตภาษี 30% จากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ สำหรับค่าติดตั้งจนถึงปี 2032
    ระบบสามารถทำงานได้แม้ในสภาพอากาศหนาวเย็น ด้วยการใช้ของเหลวถ่ายเทความร้อน
    ใช้พื้นที่หลังคาน้อยกว่าระบบโซลาร์เซลล์ — เหมาะกับบ้านขนาดเล็ก

    ข้อดีด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้งาน
    ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก — ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ของครัวเรือน
    แผงรับแสงมีอายุการใช้งานยาวนาน และต้องการการดูแลน้อย
    เหมาะกับผู้ที่ต้องการพลังงานสะอาดและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
    เห็นผลทันทีในการลดการใช้พลังงานจากการทำน้ำร้อน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ระบบมีทั้งแบบ active (ใช้ปั๊ม) และ passive (ใช้การพาความร้อนตามธรรมชาติ)
    ค่าใช้จ่ายติดตั้งเฉลี่ยอยู่ที่ $2,000–$4,000 สำหรับบ้านพักอาศัย
    การติดตั้งในพื้นที่ที่มีแดดจัด เช่น แคลิฟอร์เนียหรือฟลอริดา จะคุ้มค่ากว่า
    การบำรุงรักษาโดยทั่วไปมีแค่การเปลี่ยนสารกันแข็งและตรวจสอบระบบปีละครั้ง

    https://www.slashgear.com/1965062/solar-water-heater-in-your-home-pros-and-cons/
    🌞 “เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ — ประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟ แต่ต้องคิดให้รอบด้านก่อนติดตั้ง” การทำน้ำร้อนในบ้านถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ใช้พลังงานมากที่สุด โดยเฉลี่ยแล้วคิดเป็น 18% ของค่าไฟฟ้ารายเดือนในครัวเรือนสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้ เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Water Heater) จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ระบบนี้ใช้แผงรับแสงบนหลังคาเพื่อเก็บพลังงานจากดวงอาทิตย์ แล้วเปลี่ยนเป็นความร้อนเพื่อเก็บไว้ในถังน้ำร้อน โดยมีทั้งแบบที่ให้ความร้อนโดยตรง และแบบใช้ของเหลวถ่ายเทความร้อน ซึ่งสามารถทำงานได้แม้ในสภาพอากาศหนาวเย็น ข้อดีที่โดดเด่นคือการประหยัดค่าไฟในระยะยาว โดยระบบสามารถให้ความร้อนแก่น้ำได้ถึง 80% ของความต้องการในบ้าน และเมื่อรวมกับเครดิตภาษีพลังงานสะอาดของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่คืนเงินได้ถึง 30% ของค่าติดตั้งจนถึงปี 2032 ก็ยิ่งทำให้คุ้มค่ามากขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อดีด้านสิ่งแวดล้อม เพราะระบบนี้ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกใด ๆ และใช้พื้นที่หลังคาน้อยกว่าระบบโซลาร์เซลล์ทั่วไป จึงเหมาะกับบ้านขนาดเล็กหรือพื้นที่จำกัด อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา เช่น ราคาติดตั้งที่สูงกว่าระบบทั่วไปหลายเท่า ความจำเป็นในการมีหลังคาที่รับแสงได้ดี และพื้นที่สำหรับติดตั้งถังน้ำร้อนที่อาจไม่เหมาะกับบ้านขนาดเล็ก รวมถึงความเสี่ยงด้านการกัดกร่อนและการสะสมของแร่ธาตุในระบบที่อาจต้องดูแลในระยะยาว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยลดค่าไฟได้ถึง 80% ของความต้องการน้ำร้อนในบ้าน ➡️ มีเครดิตภาษี 30% จากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ สำหรับค่าติดตั้งจนถึงปี 2032 ➡️ ระบบสามารถทำงานได้แม้ในสภาพอากาศหนาวเย็น ด้วยการใช้ของเหลวถ่ายเทความร้อน ➡️ ใช้พื้นที่หลังคาน้อยกว่าระบบโซลาร์เซลล์ — เหมาะกับบ้านขนาดเล็ก ✅ ข้อดีด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้งาน ➡️ ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก — ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ของครัวเรือน ➡️ แผงรับแสงมีอายุการใช้งานยาวนาน และต้องการการดูแลน้อย ➡️ เหมาะกับผู้ที่ต้องการพลังงานสะอาดและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ➡️ เห็นผลทันทีในการลดการใช้พลังงานจากการทำน้ำร้อน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ระบบมีทั้งแบบ active (ใช้ปั๊ม) และ passive (ใช้การพาความร้อนตามธรรมชาติ) ➡️ ค่าใช้จ่ายติดตั้งเฉลี่ยอยู่ที่ $2,000–$4,000 สำหรับบ้านพักอาศัย ➡️ การติดตั้งในพื้นที่ที่มีแดดจัด เช่น แคลิฟอร์เนียหรือฟลอริดา จะคุ้มค่ากว่า ➡️ การบำรุงรักษาโดยทั่วไปมีแค่การเปลี่ยนสารกันแข็งและตรวจสอบระบบปีละครั้ง https://www.slashgear.com/1965062/solar-water-heater-in-your-home-pros-and-cons/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Solar Water Heater: The Pros And Cons Of Using One In Your Home - SlashGear
    Solar water heaters can provide up to 80% of your hot water needs, but installation costs, roof space, and sunlight exposure determine if it’s worth it.
    0 Comments 0 Shares 185 Views 0 Reviews
  • มันนึกว่ารถถังใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ระยะทางมากรุงเทพฯหลายร้อยกิโลเมตร ต้องใช้น้ำมันมหาศาล แค่น้ำมันในประเทศยังไม่พอจะขาย รีบๆ มาเลย ฝูงบินไทยรออยู่
    #คิงส์โพธิ์แดง
    มันนึกว่ารถถังใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ระยะทางมากรุงเทพฯหลายร้อยกิโลเมตร ต้องใช้น้ำมันมหาศาล แค่น้ำมันในประเทศยังไม่พอจะขาย รีบๆ มาเลย ฝูงบินไทยรออยู่ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 146 Views 0 Reviews
  • Google กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ — เมื่อพลังงานสะอาดกลายเป็นหัวใจของคลาวด์และ AI

    ในยุคที่ศูนย์ข้อมูลกลายเป็นเส้นเลือดหลักของโลกดิจิทัล และ AI ต้องการพลังงานมหาศาล Google กำลังเดินเกมใหม่ด้วยการลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์ โดยร่วมมือกับ Kairos Power และ TVA เพื่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก Hermes 2 ที่เมือง Oak Ridge รัฐเทนเนสซี

    โรงไฟฟ้า Hermes 2 เป็นโรงไฟฟ้ารุ่น Generation IV ที่ใช้เทคโนโลยีหล่อเย็นด้วยเกลือฟลูออไรด์ (fluoride salt-cooled reactor) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงและสามารถผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ต่างจากพลังงานแสงอาทิตย์และลมที่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ

    โรงไฟฟ้านี้จะผลิตไฟฟ้าได้ 50 เมกะวัตต์ เริ่มดำเนินการในปี 2030 และส่งพลังงานเข้าสู่ระบบของ TVA เพื่อใช้ในศูนย์ข้อมูลของ Google ที่รัฐเทนเนสซีและแอละแบมา โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนระยะยาวที่จะเพิ่มกำลังผลิตนิวเคลียร์ถึง 500 เมกะวัตต์ภายในปี 2035

    สิ่งที่น่าสนใจคือรูปแบบความร่วมมือครั้งนี้เป็น Power Purchase Agreement (PPA) แบบใหม่ ที่ Google รับความเสี่ยงด้านต้นทุนและการพัฒนาเทคโนโลยี ส่วน TVA รับผิดชอบด้านการซื้อไฟฟ้าและส่งต่อพลังงานสะอาดให้กับ Google

    นอกจากเรื่องพลังงานแล้ว โครงการนี้ยังมีเป้าหมายในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของ Oak Ridge ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของการวิจัยนิวเคลียร์ในอดีต โดยมีแผนฝึกอบรมแรงงานร่วมกับมหาวิทยาลัยเทนเนสซีเพื่อเตรียมบุคลากรสำหรับงานด้านเทคนิคในโรงไฟฟ้า

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Google ร่วมมือกับ Kairos Power และ TVA สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Hermes 2 ที่ Oak Ridge, Tennessee
    Hermes 2 เป็นโรงไฟฟ้า Generation IV ที่ใช้เทคโนโลยี fluoride salt-cooled reactor
    เริ่มดำเนินการในปี 2030 และผลิตไฟฟ้าได้ 50 เมกะวัตต์
    พลังงานจะถูกส่งเข้าสู่ระบบของ TVA เพื่อใช้ในศูนย์ข้อมูลของ Google ที่ Tennessee และ Alabama
    ความร่วมมือเป็นรูปแบบ Power Purchase Agreement ที่ Google รับความเสี่ยงด้านต้นทุน
    โครงการนี้เป็นการซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า Gen IV ครั้งแรกของสหรัฐฯ
    Google มีแผนเพิ่มกำลังผลิตนิวเคลียร์เป็น 500 เมกะวัตต์ภายในปี 2035
    Oak Ridge จะกลายเป็นศูนย์กลางนิวเคลียร์อีกครั้ง พร้อมโครงการฝึกอบรมแรงงานร่วมกับมหาวิทยาลัย
    Hermes 2 จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานให้กับระบบคลาวด์
    โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลรัฐเทนเนสซีและหน่วยงานด้านพลังงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Kairos Power เป็นบริษัทสตาร์ทอัพจากแคลิฟอร์เนียที่พัฒนาเทคโนโลยี KP-FHR มาตั้งแต่ปี 2016
    Hermes 2 ใช้เชื้อเพลิงแบบ TRISO pebble bed ซึ่งมีความปลอดภัยสูงและทนความร้อนได้ดี
    โรงไฟฟ้าแบบ SMR (Small Modular Reactor) มีขนาดเล็กและสามารถสร้างได้เร็วกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบดั้งเดิม
    ศูนย์ข้อมูลอาจใช้ไฟฟ้าสูงถึง 9% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศภายในปี 2030
    การใช้พลังงานนิวเคลียร์ช่วยให้ Google สามารถจัดการโหลดพลังงานของ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.techradar.com/pro/google-is-building-a-small-nuclear-reactor-in-tennessee-to-power-its-data-centers
    ⚛️ Google กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ — เมื่อพลังงานสะอาดกลายเป็นหัวใจของคลาวด์และ AI ในยุคที่ศูนย์ข้อมูลกลายเป็นเส้นเลือดหลักของโลกดิจิทัล และ AI ต้องการพลังงานมหาศาล Google กำลังเดินเกมใหม่ด้วยการลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์ โดยร่วมมือกับ Kairos Power และ TVA เพื่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก Hermes 2 ที่เมือง Oak Ridge รัฐเทนเนสซี โรงไฟฟ้า Hermes 2 เป็นโรงไฟฟ้ารุ่น Generation IV ที่ใช้เทคโนโลยีหล่อเย็นด้วยเกลือฟลูออไรด์ (fluoride salt-cooled reactor) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงและสามารถผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ต่างจากพลังงานแสงอาทิตย์และลมที่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ โรงไฟฟ้านี้จะผลิตไฟฟ้าได้ 50 เมกะวัตต์ เริ่มดำเนินการในปี 2030 และส่งพลังงานเข้าสู่ระบบของ TVA เพื่อใช้ในศูนย์ข้อมูลของ Google ที่รัฐเทนเนสซีและแอละแบมา โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนระยะยาวที่จะเพิ่มกำลังผลิตนิวเคลียร์ถึง 500 เมกะวัตต์ภายในปี 2035 สิ่งที่น่าสนใจคือรูปแบบความร่วมมือครั้งนี้เป็น Power Purchase Agreement (PPA) แบบใหม่ ที่ Google รับความเสี่ยงด้านต้นทุนและการพัฒนาเทคโนโลยี ส่วน TVA รับผิดชอบด้านการซื้อไฟฟ้าและส่งต่อพลังงานสะอาดให้กับ Google นอกจากเรื่องพลังงานแล้ว โครงการนี้ยังมีเป้าหมายในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของ Oak Ridge ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของการวิจัยนิวเคลียร์ในอดีต โดยมีแผนฝึกอบรมแรงงานร่วมกับมหาวิทยาลัยเทนเนสซีเพื่อเตรียมบุคลากรสำหรับงานด้านเทคนิคในโรงไฟฟ้า 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Google ร่วมมือกับ Kairos Power และ TVA สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Hermes 2 ที่ Oak Ridge, Tennessee ➡️ Hermes 2 เป็นโรงไฟฟ้า Generation IV ที่ใช้เทคโนโลยี fluoride salt-cooled reactor ➡️ เริ่มดำเนินการในปี 2030 และผลิตไฟฟ้าได้ 50 เมกะวัตต์ ➡️ พลังงานจะถูกส่งเข้าสู่ระบบของ TVA เพื่อใช้ในศูนย์ข้อมูลของ Google ที่ Tennessee และ Alabama ➡️ ความร่วมมือเป็นรูปแบบ Power Purchase Agreement ที่ Google รับความเสี่ยงด้านต้นทุน ➡️ โครงการนี้เป็นการซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า Gen IV ครั้งแรกของสหรัฐฯ ➡️ Google มีแผนเพิ่มกำลังผลิตนิวเคลียร์เป็น 500 เมกะวัตต์ภายในปี 2035 ➡️ Oak Ridge จะกลายเป็นศูนย์กลางนิวเคลียร์อีกครั้ง พร้อมโครงการฝึกอบรมแรงงานร่วมกับมหาวิทยาลัย ➡️ Hermes 2 จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานให้กับระบบคลาวด์ ➡️ โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลรัฐเทนเนสซีและหน่วยงานด้านพลังงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Kairos Power เป็นบริษัทสตาร์ทอัพจากแคลิฟอร์เนียที่พัฒนาเทคโนโลยี KP-FHR มาตั้งแต่ปี 2016 ➡️ Hermes 2 ใช้เชื้อเพลิงแบบ TRISO pebble bed ซึ่งมีความปลอดภัยสูงและทนความร้อนได้ดี ➡️ โรงไฟฟ้าแบบ SMR (Small Modular Reactor) มีขนาดเล็กและสามารถสร้างได้เร็วกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบดั้งเดิม ➡️ ศูนย์ข้อมูลอาจใช้ไฟฟ้าสูงถึง 9% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศภายในปี 2030 ➡️ การใช้พลังงานนิวเคลียร์ช่วยให้ Google สามารถจัดการโหลดพลังงานของ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://www.techradar.com/pro/google-is-building-a-small-nuclear-reactor-in-tennessee-to-power-its-data-centers
    0 Comments 0 Shares 265 Views 0 Reviews
  • AI: พลังขับเคลื่อนความก้าวหน้า... หรือเร่งโลกให้ร้อนขึ้น?

    บทนำ: ยุค AI กับผลกระทบที่มองไม่เห็น
    ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนแปลงโลก จากการค้นหาข้อมูล รถยนต์ไร้คนขับ ไปจนถึงการวินิจฉัยทางการแพทย์ แต่ความก้าวหน้านี้มาพร้อมต้นทุนที่ซ่อนอยู่: การใช้พลังงานมหาศาลและความร้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลต่อภาวะโลกร้อน บทความนี้สำรวจสาเหตุที่ AI ใช้พลังงานมาก ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน

    AI กับความต้องการพลังงานมหาศาล

    ทำไม AI ถึงใช้พลังงานมาก?
    AI โดยเฉพาะโมเดลกำเนิด เช่น GPT-4 ต้องการพลังการประมวลผลสูง ใช้หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPUs) และหน่วยประมวลผลเทนเซอร์ (TPUs) ซึ่งกินไฟมากและสร้างความร้อนที่ต้องระบายด้วยระบบทำความเย็นซับซ้อน การฝึกโมเดล เช่น GPT-3 ใช้ไฟฟ้า ~1,300 MWh และ GPT-4 ใช้ ~1,750 MWh ส่วนการอนุมาน (เช่น การสอบถาม ChatGPT) ใช้พลังงานรวมมากกว่าการฝึกเมื่อมีผู้ใช้จำนวนมาก

    ตัวอย่างการใช้พลังงาน
    - ชั้นวาง AI ใช้ไฟมากกว่าครัวเรือนสหรัฐฯ 39 เท่า
    - การฝึก GPT-3 เทียบเท่าการใช้ไฟของบ้าน 120-130 หลังต่อปี
    - การสอบถาม ChatGPT ครั้งหนึ่งใช้พลังงานมากกว่าการค้นหา Google 10-15 เท่า และปล่อย CO2 มากกว่า 340 เท่า
    - ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกในปี 2022 ใช้ไฟ 460 TWh และคาดว่าในปี 2026 จะเพิ่มเป็น ~1,050 TWh เทียบเท่าการใช้ไฟของเยอรมนี

    ความร้อนจาก AI: ตัวเร่งโลกร้อน

    จากไฟฟ้าสู่ความร้อน
    พลังงานไฟฟ้าที่ AI ใช้เกือบทั้งหมดแปลงเป็นความร้อน โดย 1 วัตต์ผลิตความร้อน 3.412 BTU/ชั่วโมง GPUs สมัยใหม่ใช้ไฟเกิน 1,000 วัตต์ต่อตัว สร้างความร้อนที่ต้องระบาย

    รอยเท้าคาร์บอนและน้ำ
    การฝึกโมเดล AI ปล่อย CO2 ได้ถึง 284 ตัน เทียบเท่ารถยนต์สหรัฐฯ 5 คันต่อปี การระบายความร้อนศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้าถึง 40% และน้ำราว 2 ลิตรต่อ kWh โดย ChatGPT-4o ใช้น้ำเทียบเท่าความต้องการน้ำดื่มของ 1.2 ล้านคนต่อปี คาดว่าภายในปี 2030 ศูนย์ข้อมูล AI อาจใช้ไฟมากกว่าฝรั่งเศสทั้งประเทศ

    ความท้าทายด้านความร้อน
    ความร้อนสูงเกินไปทำให้ประสิทธิภาพลดลง อายุฮาร์ดแวร์สั้นลง และระบบไม่เสถียร การระบายความร้อนด้วยอากาศแบบดั้งเดิมไม่เพียงพอต่อความร้อนจาก AI สมัยใหม่ และระบบทำความเย็นใช้พลังงานสูง ตัวอย่างการใช้พลังงาน GPU ในอนาคต:
    - ปี 2025 (Blackwell Ultra): 1,400W, ใช้การระบายความร้อนแบบ Direct-to-Chip
    - ปี 2027 (Rubin Ultra): 3,600W, ใช้ Direct-to-Chip
    - ปี 2029 (Feynman Ultra): 6,000W, ใช้ Immersion Cooling
    - ปี 2032: 15,360W, ใช้ Embedded Cooling

    นวัตกรรมเพื่อ AI ที่ยั่งยืน

    การระบายความร้อนที่ชาญฉลาด
    - การระบายความร้อนด้วยของLikely ResponseHed: มีประสิทธิภาพสูงกว่าอากาศ 3000 เท่า ใช้ในระบบ Direct-to-Chip และ Immersion Cooling
    - ระบบ HVAC ขั้นสูง: ใช้การระบายความร้อนแบบระเหยและท่อความร้อน ลดการใช้พลังงานและน้ำ
    - ตัวชี้วัด TUE: วัดประสิทธิภาพพลังงานโดยรวมของศูนย์ข้อมูล

    การออกแบบ AI ที่ประหยัดพลังงาน
    - การตัดแต่งโมเดล/ควอนไทซ์: ลดขนาดโมเดลและพลังงานที่ใช้
    - การกลั่นความรู้: ถ่ายทอดความรู้สู่โมเดลขนาดเล็ก
    - ชิปประหยัดพลังงาน: เช่น TPUs และ NPUs
    - AI จัดการพลังงาน: ใช้ AI วิเคราะห์และลดการใช้พลังงานในโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ
    - Edge Computing: ลดการส่งข้อมูลไปยังคลาวด์

    พลังงานหมุนเวียน
    ศูนย์ข้อมูลเปลี่ยนไปใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และน้ำ รวมถึงนวัตกรรมอย่างการระบายความร้อนด้วยน้ำทะเลและพลังงานแสงอาทิตย์แบบ Dispatchable

    ความรับผิดชอบร่วมกัน

    ความโปร่งใสของบริษัท AI
    บริษัทควรเปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและรอยเท้าคาร์บอน เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบ

    นโยบายและกฎระเบียบ
    รัฐบาลทั่วโลกผลักดันนโยบาย Green AI เช่น กฎหมาย AI ของสหภาพยุโรป เพื่อความยั่งยืน

    บทบาทของนักพัฒนาและผู้ใช้
    - นักพัฒนา: เลือกโมเดลและฮาร์ดแวร์ประหยัดพลังงาน ใช้เครื่องมือติดตามคาร์บอน
    - ผู้ใช้: ตระหนักถึงการใช้พลังงานของ AI และสนับสนุนบริษัทที่ยั่งยืน

    บทสรุป: วิสัยทัศน์ Green AI
    AI มีศักยภาพเปลี่ยนแปลงโลก แต่ต้องจัดการกับการใช้พลังงานและความร้อนที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน ด้วยนวัตกรรมการระบายความร้อน การออกแบบ AI ที่ประหยัดพลังงาน และพลังงานหมุนเวียน รวมถึงความโปร่งใสและนโยบายที่เหมาะสม เราสามารถสร้างอนาคต AI ที่ยั่งยืน โดยไม่ต้องเลือกว่าจะพัฒนา AI หรือรักษาสภาพภูมิอากาศ

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    🌍 AI: พลังขับเคลื่อนความก้าวหน้า... หรือเร่งโลกให้ร้อนขึ้น? 📝 บทนำ: ยุค AI กับผลกระทบที่มองไม่เห็น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนแปลงโลก จากการค้นหาข้อมูล รถยนต์ไร้คนขับ ไปจนถึงการวินิจฉัยทางการแพทย์ แต่ความก้าวหน้านี้มาพร้อมต้นทุนที่ซ่อนอยู่: การใช้พลังงานมหาศาลและความร้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลต่อภาวะโลกร้อน บทความนี้สำรวจสาเหตุที่ AI ใช้พลังงานมาก ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ⚡ AI กับความต้องการพลังงานมหาศาล ❓ ทำไม AI ถึงใช้พลังงานมาก? AI โดยเฉพาะโมเดลกำเนิด เช่น GPT-4 ต้องการพลังการประมวลผลสูง ใช้หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPUs) และหน่วยประมวลผลเทนเซอร์ (TPUs) ซึ่งกินไฟมากและสร้างความร้อนที่ต้องระบายด้วยระบบทำความเย็นซับซ้อน การฝึกโมเดล เช่น GPT-3 ใช้ไฟฟ้า ~1,300 MWh และ GPT-4 ใช้ ~1,750 MWh ส่วนการอนุมาน (เช่น การสอบถาม ChatGPT) ใช้พลังงานรวมมากกว่าการฝึกเมื่อมีผู้ใช้จำนวนมาก 📊 ตัวอย่างการใช้พลังงาน - ชั้นวาง AI ใช้ไฟมากกว่าครัวเรือนสหรัฐฯ 39 เท่า - การฝึก GPT-3 เทียบเท่าการใช้ไฟของบ้าน 120-130 หลังต่อปี - การสอบถาม ChatGPT ครั้งหนึ่งใช้พลังงานมากกว่าการค้นหา Google 10-15 เท่า และปล่อย CO2 มากกว่า 340 เท่า - ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกในปี 2022 ใช้ไฟ 460 TWh และคาดว่าในปี 2026 จะเพิ่มเป็น ~1,050 TWh เทียบเท่าการใช้ไฟของเยอรมนี 🔥 ความร้อนจาก AI: ตัวเร่งโลกร้อน 🌡️ จากไฟฟ้าสู่ความร้อน พลังงานไฟฟ้าที่ AI ใช้เกือบทั้งหมดแปลงเป็นความร้อน โดย 1 วัตต์ผลิตความร้อน 3.412 BTU/ชั่วโมง GPUs สมัยใหม่ใช้ไฟเกิน 1,000 วัตต์ต่อตัว สร้างความร้อนที่ต้องระบาย 🌱 รอยเท้าคาร์บอนและน้ำ การฝึกโมเดล AI ปล่อย CO2 ได้ถึง 284 ตัน เทียบเท่ารถยนต์สหรัฐฯ 5 คันต่อปี การระบายความร้อนศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้าถึง 40% และน้ำราว 2 ลิตรต่อ kWh โดย ChatGPT-4o ใช้น้ำเทียบเท่าความต้องการน้ำดื่มของ 1.2 ล้านคนต่อปี คาดว่าภายในปี 2030 ศูนย์ข้อมูล AI อาจใช้ไฟมากกว่าฝรั่งเศสทั้งประเทศ 🛠️ ความท้าทายด้านความร้อน ความร้อนสูงเกินไปทำให้ประสิทธิภาพลดลง อายุฮาร์ดแวร์สั้นลง และระบบไม่เสถียร การระบายความร้อนด้วยอากาศแบบดั้งเดิมไม่เพียงพอต่อความร้อนจาก AI สมัยใหม่ และระบบทำความเย็นใช้พลังงานสูง ตัวอย่างการใช้พลังงาน GPU ในอนาคต: - ปี 2025 (Blackwell Ultra): 1,400W, ใช้การระบายความร้อนแบบ Direct-to-Chip - ปี 2027 (Rubin Ultra): 3,600W, ใช้ Direct-to-Chip - ปี 2029 (Feynman Ultra): 6,000W, ใช้ Immersion Cooling - ปี 2032: 15,360W, ใช้ Embedded Cooling 🌱 นวัตกรรมเพื่อ AI ที่ยั่งยืน 💧 การระบายความร้อนที่ชาญฉลาด - การระบายความร้อนด้วยของLikely ResponseHed: มีประสิทธิภาพสูงกว่าอากาศ 3000 เท่า ใช้ในระบบ Direct-to-Chip และ Immersion Cooling - ระบบ HVAC ขั้นสูง: ใช้การระบายความร้อนแบบระเหยและท่อความร้อน ลดการใช้พลังงานและน้ำ - ตัวชี้วัด TUE: วัดประสิทธิภาพพลังงานโดยรวมของศูนย์ข้อมูล 🖥️ การออกแบบ AI ที่ประหยัดพลังงาน - การตัดแต่งโมเดล/ควอนไทซ์: ลดขนาดโมเดลและพลังงานที่ใช้ - การกลั่นความรู้: ถ่ายทอดความรู้สู่โมเดลขนาดเล็ก - ชิปประหยัดพลังงาน: เช่น TPUs และ NPUs - AI จัดการพลังงาน: ใช้ AI วิเคราะห์และลดการใช้พลังงานในโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ - Edge Computing: ลดการส่งข้อมูลไปยังคลาวด์ ☀️ พลังงานหมุนเวียน ศูนย์ข้อมูลเปลี่ยนไปใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และน้ำ รวมถึงนวัตกรรมอย่างการระบายความร้อนด้วยน้ำทะเลและพลังงานแสงอาทิตย์แบบ Dispatchable 🤝 ความรับผิดชอบร่วมกัน 📊 ความโปร่งใสของบริษัท AI บริษัทควรเปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและรอยเท้าคาร์บอน เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบ 📜 นโยบายและกฎระเบียบ รัฐบาลทั่วโลกผลักดันนโยบาย Green AI เช่น กฎหมาย AI ของสหภาพยุโรป เพื่อความยั่งยืน 🧑‍💻 บทบาทของนักพัฒนาและผู้ใช้ - นักพัฒนา: เลือกโมเดลและฮาร์ดแวร์ประหยัดพลังงาน ใช้เครื่องมือติดตามคาร์บอน - ผู้ใช้: ตระหนักถึงการใช้พลังงานของ AI และสนับสนุนบริษัทที่ยั่งยืน 🌟 บทสรุป: วิสัยทัศน์ Green AI AI มีศักยภาพเปลี่ยนแปลงโลก แต่ต้องจัดการกับการใช้พลังงานและความร้อนที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน ด้วยนวัตกรรมการระบายความร้อน การออกแบบ AI ที่ประหยัดพลังงาน และพลังงานหมุนเวียน รวมถึงความโปร่งใสและนโยบายที่เหมาะสม เราสามารถสร้างอนาคต AI ที่ยั่งยืน โดยไม่ต้องเลือกว่าจะพัฒนา AI หรือรักษาสภาพภูมิอากาศ #ลุงเขียนหลานอ่าน
    1 Comments 0 Shares 524 Views 0 Reviews
  • หลายคนอาจคิดว่าชิป AI หรือคลาวด์คือปัญหาใหญ่ของยุคนี้ — แต่จริง ๆ แล้วศูนย์ข้อมูล AI ทั้งหลายมีอีกสิ่งที่ “กินไม่อั้น” ยิ่งกว่า…นั่นคือ “ไฟฟ้า”

    Meta หนึ่งในบริษัทที่ลงทุนใน AI หนักมาก (ตั้งเป้าใช้ $65 พันล้านในด้านนี้) เริ่มเผชิญ “คอขวดด้านพลังงาน” อย่างหนัก เลยต้องเดินเกมสองด้าน:

    1️⃣ หันไปซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาด จากบริษัท Invenergy ทั้งแสงอาทิตย์และลม รวมกัน 1,800 เมกะวัตต์ (MW)

    2️⃣ ขุดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เก่าในรัฐอิลลินอยส์กลับมาใช้งานอีกครั้ง เป็นเวลานาน 20 ปี!

    3️⃣ ยังไม่พอ Meta ยังประกาศหา “พันธมิตรด้านพลังงานนิวเคลียร์ใหม่” ในสหรัฐอีกด้วย เพราะวางแผนจะสร้างไฟนิวเคลียร์ใหม่ให้ได้ 1–4 กิกะวัตต์ (GW) ภายในต้นทศวรรษ 2030

    แม้พลังงานหมุนเวียนจะสะอาดและดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่ก็ไม่สามารถให้พลังงานได้ “แน่นอนทุกวินาที” เหมือนนิวเคลียร์ ทำให้ในระยะยาว Meta และบริษัทเทคอื่น ๆ ต้องพึ่งไฟแบบ “เสถียรคงที่” มากขึ้น

    Meta เซ็นสัญญากับ Invenergy เพื่อซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่ม 791 MW  
    • ครอบคลุมพลังงานแสงอาทิตย์และลม  
    • เพิ่มจากข้อตกลงเดิมปีที่แล้วอีก 760 MW → รวมกลายเป็น 1,800 MW

    พลังงานหมุนเวียนมาจากโครงการในรัฐ Ohio, Arkansas, Texas  
    • ใช้ป้อนศูนย์ข้อมูลของ Meta ในพื้นที่นั้น ๆ

    Meta ประกาศแผนหาโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เพิ่มอีก 1–4 GW ภายในต้นปี 2030  
    • เปิด RFP หาผู้พัฒนาใหม่จากสหรัฐฯ ตั้งแต่ปีที่แล้ว

    ร่วมกับบริษัท Constellation เพื่อฟื้นฟูโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในรัฐ Illinois  
    • โรงงานนี้หยุดทำงานไปตั้งแต่ปี 2017 จากปัญหาขาดทุน  
    • Meta จะใช้พลังงานจากโรงงานนี้อีกอย่างน้อย 20 ปี

    ความต้องการไฟฟ้าจาก AI Data Center กลายเป็นแรงผลักดันให้ Big Tech หันมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานพลังงานโดยตรง

    https://www.neowin.net/news/meta-is-now-using-every-possible-source-to-power-its-data-centers/
    หลายคนอาจคิดว่าชิป AI หรือคลาวด์คือปัญหาใหญ่ของยุคนี้ — แต่จริง ๆ แล้วศูนย์ข้อมูล AI ทั้งหลายมีอีกสิ่งที่ “กินไม่อั้น” ยิ่งกว่า…นั่นคือ “ไฟฟ้า” Meta หนึ่งในบริษัทที่ลงทุนใน AI หนักมาก (ตั้งเป้าใช้ $65 พันล้านในด้านนี้) เริ่มเผชิญ “คอขวดด้านพลังงาน” อย่างหนัก เลยต้องเดินเกมสองด้าน: 1️⃣ หันไปซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาด จากบริษัท Invenergy ทั้งแสงอาทิตย์และลม รวมกัน 1,800 เมกะวัตต์ (MW) 2️⃣ ขุดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เก่าในรัฐอิลลินอยส์กลับมาใช้งานอีกครั้ง เป็นเวลานาน 20 ปี! 3️⃣ ยังไม่พอ Meta ยังประกาศหา “พันธมิตรด้านพลังงานนิวเคลียร์ใหม่” ในสหรัฐอีกด้วย เพราะวางแผนจะสร้างไฟนิวเคลียร์ใหม่ให้ได้ 1–4 กิกะวัตต์ (GW) ภายในต้นทศวรรษ 2030 แม้พลังงานหมุนเวียนจะสะอาดและดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่ก็ไม่สามารถให้พลังงานได้ “แน่นอนทุกวินาที” เหมือนนิวเคลียร์ ทำให้ในระยะยาว Meta และบริษัทเทคอื่น ๆ ต้องพึ่งไฟแบบ “เสถียรคงที่” มากขึ้น ✅ Meta เซ็นสัญญากับ Invenergy เพื่อซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่ม 791 MW   • ครอบคลุมพลังงานแสงอาทิตย์และลม   • เพิ่มจากข้อตกลงเดิมปีที่แล้วอีก 760 MW → รวมกลายเป็น 1,800 MW ✅ พลังงานหมุนเวียนมาจากโครงการในรัฐ Ohio, Arkansas, Texas   • ใช้ป้อนศูนย์ข้อมูลของ Meta ในพื้นที่นั้น ๆ ✅ Meta ประกาศแผนหาโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เพิ่มอีก 1–4 GW ภายในต้นปี 2030   • เปิด RFP หาผู้พัฒนาใหม่จากสหรัฐฯ ตั้งแต่ปีที่แล้ว ✅ ร่วมกับบริษัท Constellation เพื่อฟื้นฟูโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในรัฐ Illinois   • โรงงานนี้หยุดทำงานไปตั้งแต่ปี 2017 จากปัญหาขาดทุน   • Meta จะใช้พลังงานจากโรงงานนี้อีกอย่างน้อย 20 ปี ✅ ความต้องการไฟฟ้าจาก AI Data Center กลายเป็นแรงผลักดันให้ Big Tech หันมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานพลังงานโดยตรง https://www.neowin.net/news/meta-is-now-using-every-possible-source-to-power-its-data-centers/
    WWW.NEOWIN.NET
    Meta is now using every possible source to power its data centers
    After investing in nuclear power plants, Meta is now turning to renewable energy to power its data centers.
    0 Comments 0 Shares 227 Views 0 Reviews
  • นักวิจัยด้านความปลอดภัยเผยว่า 35,000 อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ มีช่องโหว่และสามารถถูกโจมตีทางไซเบอร์ได้ อุปกรณ์เหล่านี้ เช่น อินเวอร์เตอร์, ดาต้า ล็อกเกอร์ และเกตเวย์ ถูกเปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ต ทำให้เสี่ยงต่อการถูกแฮก โดย ยุโรปมีอุปกรณ์ที่เสี่ยงสูงสุดถึง 76% โดยเฉพาะใน เยอรมนีและกรีซ

    อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์กว่า 35,000 รายการมีช่องโหว่
    - ผลการศึกษาจาก Forescout’s Vedere Labs พบว่าอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์หลายพันตัวเปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ต
    - พบ 46 ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์
    - อุปกรณ์ที่เปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ต อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

    ยุโรปคือจุดเสี่ยงหลัก
    - 76% ของอุปกรณ์ที่เปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนีและกรีซ
    - อุปกรณ์ SolarView Compact ถูกเปิดเผยมากขึ้น 350% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา และเคยเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไซเบอร์ในปี 2024 ที่ทำให้บัญชีธนาคารในญี่ปุ่นถูกโจมตี

    ปัญหาการตั้งค่าที่ไม่ปลอดภัย
    - นักวิเคราะห์พบว่า ผู้ผลิตที่มีอุปกรณ์เปิดเผยมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัทที่มีการติดตั้งสูงสุด
    - ปัญหาอาจเกิดจาก การตั้งค่าเริ่มต้นที่ไม่ปลอดภัย หรือคำแนะนำผู้ใช้ที่ไม่ชัดเจน

    คำเตือนและแนวทางป้องกัน
    อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ที่ไม่ได้รับการอัปเดตอาจถูกโจมตีได้
    - อุปกรณ์ที่มี เฟิร์มแวร์ล้าสมัย อาจมีช่องโหว่ที่ ถูกใช้ในการโจมตีในปัจจุบัน
    - ตัวอย่างเช่น SMA Sunny WebBox ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว ยังคงมีอุปกรณ์เปิดเผยจำนวนมาก

    วิธีลดความเสี่ยงในการถูกโจมตี
    - ห้ามเปิดเผยอินเทอร์เฟซการจัดการอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ต่ออินเทอร์เน็ต
    - ใช้ VPN ที่มีความปลอดภัย และปฏิบัติตามแนวทางจาก CISA และ NIST
    - ใช้ระบบป้องกัน เช่น Zero Trust Network Access (ZTNA) และเครื่องมือแอนตี้ไวรัสระดับสูง

    https://www.techradar.com/pro/security/35-000-solar-pv-devices-hit-by-dozens-of-vulnerabilities-and-weaknesses-is-yours-one-of-them
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยเผยว่า 35,000 อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ มีช่องโหว่และสามารถถูกโจมตีทางไซเบอร์ได้ อุปกรณ์เหล่านี้ เช่น อินเวอร์เตอร์, ดาต้า ล็อกเกอร์ และเกตเวย์ ถูกเปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ต ทำให้เสี่ยงต่อการถูกแฮก โดย ยุโรปมีอุปกรณ์ที่เสี่ยงสูงสุดถึง 76% โดยเฉพาะใน เยอรมนีและกรีซ ✅ อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์กว่า 35,000 รายการมีช่องโหว่ - ผลการศึกษาจาก Forescout’s Vedere Labs พบว่าอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์หลายพันตัวเปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ต - พบ 46 ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์ - อุปกรณ์ที่เปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ต อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ✅ ยุโรปคือจุดเสี่ยงหลัก - 76% ของอุปกรณ์ที่เปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนีและกรีซ - อุปกรณ์ SolarView Compact ถูกเปิดเผยมากขึ้น 350% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา และเคยเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไซเบอร์ในปี 2024 ที่ทำให้บัญชีธนาคารในญี่ปุ่นถูกโจมตี ✅ ปัญหาการตั้งค่าที่ไม่ปลอดภัย - นักวิเคราะห์พบว่า ผู้ผลิตที่มีอุปกรณ์เปิดเผยมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัทที่มีการติดตั้งสูงสุด - ปัญหาอาจเกิดจาก การตั้งค่าเริ่มต้นที่ไม่ปลอดภัย หรือคำแนะนำผู้ใช้ที่ไม่ชัดเจน ⚠️ คำเตือนและแนวทางป้องกัน ‼️ อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ที่ไม่ได้รับการอัปเดตอาจถูกโจมตีได้ - อุปกรณ์ที่มี เฟิร์มแวร์ล้าสมัย อาจมีช่องโหว่ที่ ถูกใช้ในการโจมตีในปัจจุบัน - ตัวอย่างเช่น SMA Sunny WebBox ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว ยังคงมีอุปกรณ์เปิดเผยจำนวนมาก ‼️ วิธีลดความเสี่ยงในการถูกโจมตี - ห้ามเปิดเผยอินเทอร์เฟซการจัดการอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ต่ออินเทอร์เน็ต - ใช้ VPN ที่มีความปลอดภัย และปฏิบัติตามแนวทางจาก CISA และ NIST - ใช้ระบบป้องกัน เช่น Zero Trust Network Access (ZTNA) และเครื่องมือแอนตี้ไวรัสระดับสูง https://www.techradar.com/pro/security/35-000-solar-pv-devices-hit-by-dozens-of-vulnerabilities-and-weaknesses-is-yours-one-of-them
    0 Comments 0 Shares 362 Views 0 Reviews
  • พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ: ก้าวใหม่ของเทคโนโลยี
    นักวิจัยจาก Japan Space Systems (JSS) ประสบความสำเร็จในการส่งพลังงานแบบไร้สายจากเครื่องบินไปยังเสาอากาศบนพื้นดิน ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่อาจนำไปสู่การส่งพลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศมายังโลก

    แนวคิดการส่งพลังงานจากอวกาศไม่ใช่เรื่องใหม่ Caltech เคยทดลองส่งพลังงานจากวงโคจรต่ำมายังพื้นโลกในปี 2023 และบริษัทสตาร์ทอัพในแคลิฟอร์เนียเคยเสนอแนวคิดใช้ดาวเทียมติดกระจกสะท้อนแสงอาทิตย์เพื่อผลิตพลังงาน

    ข้อดีของแผงโซลาร์เซลล์ในอวกาศคือ สามารถผลิตพลังงานได้มากกว่าบนโลกหลายเท่า เนื่องจากไม่มีชั้นบรรยากาศมาขวางกั้น และสามารถส่งพลังงานมายังโลกได้ตลอด 24 ชั่วโมง

    ข้อมูลจากข่าว
    - JSS ประสบความสำเร็จในการส่งพลังงานแบบไร้สายจากเครื่องบินไปยังพื้นดิน
    - พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ในอวกาศสามารถผลิตได้มากกว่าบนโลกหลายเท่า
    - การส่งพลังงานผ่านไมโครเวฟสูญเสียพลังงานเพียง 5% เมื่อผ่านชั้นบรรยากาศ
    - ระบบสามารถส่งพลังงานมายังโลกได้ตลอด 24 ชั่วโมง
    - JSS วางแผนส่งพลังงานจากดาวเทียมที่อยู่ห่างจากโลก 36,000 กิโลเมตร

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การแปลงพลังงานไปเป็นไมโครเวฟและกลับมาเป็นไฟฟ้าสูญเสียพลังงานจำนวนมาก
    - ดาวเทียมต้องเผชิญกับอันตรายจากอุกกาบาตขนาดเล็กและเศษซากอวกาศ
    - บางคนกังวลว่าเครื่องส่งพลังงานไมโครเวฟอาจถูกใช้เป็นอาวุธ
    - ต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มเติมเพื่อให้ระบบนี้สามารถใช้งานได้จริง

    ผลกระทบต่ออนาคตของพลังงาน
    หากเทคโนโลยีนี้สามารถใช้งานได้จริง อาจช่วยลดการใช้พลังงานจากฟอสซิลและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการพัฒนาและทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าระบบนี้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.techspot.com/news/108097-beaming-solar-power-space-closer-reality-after-breakthrough.html
    ☀️ พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ: ก้าวใหม่ของเทคโนโลยี นักวิจัยจาก Japan Space Systems (JSS) ประสบความสำเร็จในการส่งพลังงานแบบไร้สายจากเครื่องบินไปยังเสาอากาศบนพื้นดิน ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่อาจนำไปสู่การส่งพลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศมายังโลก แนวคิดการส่งพลังงานจากอวกาศไม่ใช่เรื่องใหม่ Caltech เคยทดลองส่งพลังงานจากวงโคจรต่ำมายังพื้นโลกในปี 2023 และบริษัทสตาร์ทอัพในแคลิฟอร์เนียเคยเสนอแนวคิดใช้ดาวเทียมติดกระจกสะท้อนแสงอาทิตย์เพื่อผลิตพลังงาน ข้อดีของแผงโซลาร์เซลล์ในอวกาศคือ สามารถผลิตพลังงานได้มากกว่าบนโลกหลายเท่า เนื่องจากไม่มีชั้นบรรยากาศมาขวางกั้น และสามารถส่งพลังงานมายังโลกได้ตลอด 24 ชั่วโมง ✅ ข้อมูลจากข่าว - JSS ประสบความสำเร็จในการส่งพลังงานแบบไร้สายจากเครื่องบินไปยังพื้นดิน - พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ในอวกาศสามารถผลิตได้มากกว่าบนโลกหลายเท่า - การส่งพลังงานผ่านไมโครเวฟสูญเสียพลังงานเพียง 5% เมื่อผ่านชั้นบรรยากาศ - ระบบสามารถส่งพลังงานมายังโลกได้ตลอด 24 ชั่วโมง - JSS วางแผนส่งพลังงานจากดาวเทียมที่อยู่ห่างจากโลก 36,000 กิโลเมตร ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การแปลงพลังงานไปเป็นไมโครเวฟและกลับมาเป็นไฟฟ้าสูญเสียพลังงานจำนวนมาก - ดาวเทียมต้องเผชิญกับอันตรายจากอุกกาบาตขนาดเล็กและเศษซากอวกาศ - บางคนกังวลว่าเครื่องส่งพลังงานไมโครเวฟอาจถูกใช้เป็นอาวุธ - ต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มเติมเพื่อให้ระบบนี้สามารถใช้งานได้จริง 🌍 ผลกระทบต่ออนาคตของพลังงาน หากเทคโนโลยีนี้สามารถใช้งานได้จริง อาจช่วยลดการใช้พลังงานจากฟอสซิลและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการพัฒนาและทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าระบบนี้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://www.techspot.com/news/108097-beaming-solar-power-space-closer-reality-after-breakthrough.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Beaming solar power from space is closer to reality after breakthrough Japanese test
    Researchers from Japan Space Systems (JSS) recently beamed energy wirelessly from a speeding jet to antennae on the ground. The successful experiment confirms the viability of numerous...
    0 Comments 0 Shares 370 Views 0 Reviews
  • จีนส่งเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะไปทดสอบในทะเลทรายของ UAE

    เมือง Shouguang ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตผักของจีน ได้ลงนามข้อตกลงกับ Silal บริษัทเกษตรเทคโนโลยีของ UAE เพื่อสร้าง ศูนย์เกษตรอัจฉริยะขนาด 100,000 ตารางเมตรในทะเลทรายของ UAE โดยใช้ AI และหุ่นยนต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูก

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับโครงการเกษตรอัจฉริยะของจีนใน UAE
    Shouguang และ Silal ลงทุนร่วมกัน 120 ล้านดีแรห์ม (ประมาณ 32.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
    - เป้าหมายคือ เปลี่ยนทะเลทรายให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่มีประสิทธิภาพสูง

    ใช้เทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์เพื่อควบคุมสภาพอากาศ, ระบบน้ำ และการเก็บเกี่ยว
    - รองรับ การปลูกพืชมากกว่า 10 ชนิด เช่น มะเขือเทศ, แตงกวา, เมลอน และสตรอว์เบอร์รี

    Abu Dhabi เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมเกษตรที่เหมาะสำหรับการทดสอบระบบขั้นสูง
    - Yang Ming ผู้ก่อตั้งโครงการกล่าวว่า UAE เป็นพื้นที่ทดลองที่สมบูรณ์แบบสำหรับเทคโนโลยีนี้

    โรงเรือนอัจฉริยะนำเข้าจากจีนและปรับแต่งให้เหมาะกับสภาพอากาศของ UAE
    - รวมถึง โรงเรือนพลังงานแสงอาทิตย์และระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ

    โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiative ของจีน
    - ส่งเสริม การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/22/chinas-vegetable-capital-to-test-farming-know-how-in-uaes-harsh-deserts
    จีนส่งเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะไปทดสอบในทะเลทรายของ UAE เมือง Shouguang ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตผักของจีน ได้ลงนามข้อตกลงกับ Silal บริษัทเกษตรเทคโนโลยีของ UAE เพื่อสร้าง ศูนย์เกษตรอัจฉริยะขนาด 100,000 ตารางเมตรในทะเลทรายของ UAE โดยใช้ AI และหุ่นยนต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูก 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับโครงการเกษตรอัจฉริยะของจีนใน UAE ✅ Shouguang และ Silal ลงทุนร่วมกัน 120 ล้านดีแรห์ม (ประมาณ 32.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) - เป้าหมายคือ เปลี่ยนทะเลทรายให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่มีประสิทธิภาพสูง ✅ ใช้เทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์เพื่อควบคุมสภาพอากาศ, ระบบน้ำ และการเก็บเกี่ยว - รองรับ การปลูกพืชมากกว่า 10 ชนิด เช่น มะเขือเทศ, แตงกวา, เมลอน และสตรอว์เบอร์รี ✅ Abu Dhabi เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมเกษตรที่เหมาะสำหรับการทดสอบระบบขั้นสูง - Yang Ming ผู้ก่อตั้งโครงการกล่าวว่า UAE เป็นพื้นที่ทดลองที่สมบูรณ์แบบสำหรับเทคโนโลยีนี้ ✅ โรงเรือนอัจฉริยะนำเข้าจากจีนและปรับแต่งให้เหมาะกับสภาพอากาศของ UAE - รวมถึง โรงเรือนพลังงานแสงอาทิตย์และระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ ✅ โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiative ของจีน - ส่งเสริม การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/22/chinas-vegetable-capital-to-test-farming-know-how-in-uaes-harsh-deserts
    WWW.THESTAR.COM.MY
    China’s ‘vegetable capital’ to test farming know-how in UAE’s harsh deserts
    A prominent Chinese city known for vegetable farming has agreed to build a smart agriculture centre in the UAE.
    0 Comments 0 Shares 493 Views 0 Reviews
  • พบอุปกรณ์สื่อสารซ่อนอยู่ในเทคโนโลยีพลังงานจากจีน: สหรัฐฯ เร่งประเมินความเสี่ยง

    เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กำลังตรวจสอบ อุปกรณ์สื่อสารที่ถูกซ่อนอยู่ในอินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์จากจีน ซึ่งอาจมีศักยภาพในการ ก่อกวนโครงข่ายไฟฟ้า และสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน

    อินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์จากจีนถูกพบว่ามีอุปกรณ์สื่อสารซ่อนอยู่
    - อุปกรณ์เหล่านี้ สามารถเปลี่ยนค่าการตั้งค่าและปิดระบบจากระยะไกล

    อินเวอร์เตอร์มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อแหล่งพลังงานหมุนเวียนกับโครงข่ายไฟฟ้า
    - ใช้ใน แผงโซลาร์เซลล์, กังหันลม, ปั๊มความร้อน, แบตเตอรี่ และเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

    พบอุปกรณ์สื่อสาร เช่น วิทยุเซลลูลาร์ในแบตเตอรี่ที่นำเข้าจากจีน
    - การค้นพบนี้ เกิดขึ้นในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา

    กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ กำลังประเมินความเสี่ยงของเทคโนโลยีจากจีน
    - มีความกังวลเกี่ยวกับ การเปิดเผยข้อมูลและฟังก์ชันที่ไม่ได้รับการรายงานจากผู้ผลิต

    Huawei เป็นผู้ผลิตอินเวอร์เตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็น 29% ของตลาดในปี 2022
    - อาจมีผลกระทบต่อ การตัดสินใจของสหรัฐฯ ในการลดการพึ่งพาการนำเข้าจากจีน

    https://www.techradar.com/pro/security/chinese-energy-tech-exports-found-to-contain-hidden-comms-and-radio-devices
    พบอุปกรณ์สื่อสารซ่อนอยู่ในเทคโนโลยีพลังงานจากจีน: สหรัฐฯ เร่งประเมินความเสี่ยง เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กำลังตรวจสอบ อุปกรณ์สื่อสารที่ถูกซ่อนอยู่ในอินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์จากจีน ซึ่งอาจมีศักยภาพในการ ก่อกวนโครงข่ายไฟฟ้า และสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ✅ อินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์จากจีนถูกพบว่ามีอุปกรณ์สื่อสารซ่อนอยู่ - อุปกรณ์เหล่านี้ สามารถเปลี่ยนค่าการตั้งค่าและปิดระบบจากระยะไกล ✅ อินเวอร์เตอร์มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อแหล่งพลังงานหมุนเวียนกับโครงข่ายไฟฟ้า - ใช้ใน แผงโซลาร์เซลล์, กังหันลม, ปั๊มความร้อน, แบตเตอรี่ และเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ✅ พบอุปกรณ์สื่อสาร เช่น วิทยุเซลลูลาร์ในแบตเตอรี่ที่นำเข้าจากจีน - การค้นพบนี้ เกิดขึ้นในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ✅ กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ กำลังประเมินความเสี่ยงของเทคโนโลยีจากจีน - มีความกังวลเกี่ยวกับ การเปิดเผยข้อมูลและฟังก์ชันที่ไม่ได้รับการรายงานจากผู้ผลิต ✅ Huawei เป็นผู้ผลิตอินเวอร์เตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็น 29% ของตลาดในปี 2022 - อาจมีผลกระทบต่อ การตัดสินใจของสหรัฐฯ ในการลดการพึ่งพาการนำเข้าจากจีน https://www.techradar.com/pro/security/chinese-energy-tech-exports-found-to-contain-hidden-comms-and-radio-devices
    0 Comments 0 Shares 294 Views 0 Reviews
  • 12 พฤษภาคม 2568- รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์ประเด็นสำคัญว่า ”กำไรของ GULF ต้นทุนของประชาชน?
    โควตา 12 โครงการที่ได้จากรัฐ...อาจจะกลายเป็นภาระค่าไฟที่เราทุกคนต้องจ่ายแพงเกินจริงยาว 25 ปี?
    ________________________________________
    5,395 ล้านบาท — คือกำไรสุทธิของ GULF ในไตรมาสแรกของปี 2568
    เพิ่มขึ้น 54.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
    ตัวเลขที่นักลงทุนอาจปรบมือให้
    แต่ประชาชนควรถาม…
    กำไรที่ได้? คือรายจ่ายของใคร?
    ________________________________________
    สัญญาใหม่ที่มาจากโควตาเก่า?
    เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 GULF เพิ่งเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับ กฟผ.
    รวม 12 โครงการพลังงานแสงอาทิตย์+ระบบกักเก็บพลังงาน (BESS)
    กำลังการผลิตรวม 649.31 เมกะวัตต์
    ภายใต้สัญญารับซื้อไฟฟ้ายาว 25 ปี
    แต่เบื้องหลังสัญญานี้คือ “โควตา” เดิมที่ได้โดยไม่ต้องประมูลใหม่
    ย้อนกลับไปเมื่อเมษายน 2566
    กกพ. เปิดโครงการพลังงานหมุนเวียนรอบแรก 4,852.26 เมกะวัตต์
    และผลที่ออกมาคือ:
    GULF ได้ไปถึง 1,891.89 เมกะวัตต์ (เกือบ 39%) — มากที่สุดในประเทศ
    GUNKUL ตามมาอีก 832.4 MW (17%)
    รวมสองกลุ่มนี้ถือครองโควตาเกิน 56% ของทั้งโครงการ
    ________________________________________
    โควตาเปิดแข่ง...แต่กระจุกในมือทุนใหญ่?
    รัฐใช้คำว่า “เปิดแข่งขัน” แต่ผลลัพธ์กลับเป็นภาพซ้ำซากของการ “กระจุกตัว”
    ทุนใหญ่ได้โควตาหลายรูปแบบ ทั้งโซลาร์พื้นดิน, โซลาร์+BESS, และพลังงานลม
    ขณะที่ทุนกลาง–เล็กได้แค่ 2–4%
    ประชาชนแทบไม่มีที่ยืน
    ชื่อใหม่ของ “พลังงานหมุนเวียน” จึงเหมือนหมุนวนอยู่ในมือคนเดิม
    ________________________________________
    ต้นทุนไฟฟ้า...ใครกำหนด?
    สัญญา 12 โครงการที่เพิ่งเซ็นนั้น
    กำหนดอัตรารับซื้อไว้ที่ 2.8331 บาทต่อหน่วย (กรณีมีระบบกักเก็บ)
    ล็อกราคานี้ไว้ยาว 25 ปี
    แม้ในอนาคตเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์จะถูกลงกว่านี้มาก
    สภาองค์กรของผู้บริโภค ประเมินว่า
    เพียงโครงการกลุ่มนี้ อาจทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟสูงถึง
    65,000 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา
    ทั้งที่ต้นทุนจริงในตลาดโลกต่ำกว่านั้นมาก
    ________________________________________
    สิ่งที่ต้องถามไม่ใช่แค่ “กำไร GULF มาจากไหน?”
    แต่คือ... “ต้นทุนที่ประชาชนจ่าย มันยุติธรรมหรือไม่?”
    ถ้ารัฐเปิดประมูลแบบโปร่งใส
    ปล่อยให้แข่งกันที่ราคาต่ำสุด
    ไม่ใช่แจกโควตาแบบลับ ๆ หรือให้เฉพาะกลุ่ม
    ค่าไฟอาจถูกกว่านี้หลายหมื่นล้านบาท
    ________________________________________
    เราไม่ได้ค้านพลังงานสะอาด...และไม่ได้อิจฉาผลกำไรของเอกชน
    แต่เราทวงถาม... พลังงานที่โปร่งใสและเป็นธรรม
    เพราะ “หมุนเวียน” ไม่ควรแปลว่า “หมุนจากกระเป๋าประชนชนไปเข้ากระเป๋าทุน”
    และ “อนาคตพลังงาน” ไม่ควรล็อกไว้ในสัญญาที่ประชาชนหมดสิทธิเลือก“
    12 พฤษภาคม 2568- รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์ประเด็นสำคัญว่า ”กำไรของ GULF ต้นทุนของประชาชน? โควตา 12 โครงการที่ได้จากรัฐ...อาจจะกลายเป็นภาระค่าไฟที่เราทุกคนต้องจ่ายแพงเกินจริงยาว 25 ปี? ________________________________________ 5,395 ล้านบาท — คือกำไรสุทธิของ GULF ในไตรมาสแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 54.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตัวเลขที่นักลงทุนอาจปรบมือให้ แต่ประชาชนควรถาม… กำไรที่ได้? คือรายจ่ายของใคร? ________________________________________ สัญญาใหม่ที่มาจากโควตาเก่า? เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 GULF เพิ่งเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับ กฟผ. รวม 12 โครงการพลังงานแสงอาทิตย์+ระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) กำลังการผลิตรวม 649.31 เมกะวัตต์ ภายใต้สัญญารับซื้อไฟฟ้ายาว 25 ปี แต่เบื้องหลังสัญญานี้คือ “โควตา” เดิมที่ได้โดยไม่ต้องประมูลใหม่ ย้อนกลับไปเมื่อเมษายน 2566 กกพ. เปิดโครงการพลังงานหมุนเวียนรอบแรก 4,852.26 เมกะวัตต์ และผลที่ออกมาคือ: GULF ได้ไปถึง 1,891.89 เมกะวัตต์ (เกือบ 39%) — มากที่สุดในประเทศ GUNKUL ตามมาอีก 832.4 MW (17%) รวมสองกลุ่มนี้ถือครองโควตาเกิน 56% ของทั้งโครงการ ________________________________________ โควตาเปิดแข่ง...แต่กระจุกในมือทุนใหญ่? รัฐใช้คำว่า “เปิดแข่งขัน” แต่ผลลัพธ์กลับเป็นภาพซ้ำซากของการ “กระจุกตัว” ทุนใหญ่ได้โควตาหลายรูปแบบ ทั้งโซลาร์พื้นดิน, โซลาร์+BESS, และพลังงานลม ขณะที่ทุนกลาง–เล็กได้แค่ 2–4% ประชาชนแทบไม่มีที่ยืน ชื่อใหม่ของ “พลังงานหมุนเวียน” จึงเหมือนหมุนวนอยู่ในมือคนเดิม ________________________________________ ต้นทุนไฟฟ้า...ใครกำหนด? สัญญา 12 โครงการที่เพิ่งเซ็นนั้น กำหนดอัตรารับซื้อไว้ที่ 2.8331 บาทต่อหน่วย (กรณีมีระบบกักเก็บ) ล็อกราคานี้ไว้ยาว 25 ปี แม้ในอนาคตเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์จะถูกลงกว่านี้มาก สภาองค์กรของผู้บริโภค ประเมินว่า เพียงโครงการกลุ่มนี้ อาจทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟสูงถึง 65,000 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา ทั้งที่ต้นทุนจริงในตลาดโลกต่ำกว่านั้นมาก ________________________________________ สิ่งที่ต้องถามไม่ใช่แค่ “กำไร GULF มาจากไหน?” แต่คือ... “ต้นทุนที่ประชาชนจ่าย มันยุติธรรมหรือไม่?” ถ้ารัฐเปิดประมูลแบบโปร่งใส ปล่อยให้แข่งกันที่ราคาต่ำสุด ไม่ใช่แจกโควตาแบบลับ ๆ หรือให้เฉพาะกลุ่ม ค่าไฟอาจถูกกว่านี้หลายหมื่นล้านบาท ________________________________________ เราไม่ได้ค้านพลังงานสะอาด...และไม่ได้อิจฉาผลกำไรของเอกชน แต่เราทวงถาม... พลังงานที่โปร่งใสและเป็นธรรม เพราะ “หมุนเวียน” ไม่ควรแปลว่า “หมุนจากกระเป๋าประชนชนไปเข้ากระเป๋าทุน” และ “อนาคตพลังงาน” ไม่ควรล็อกไว้ในสัญญาที่ประชาชนหมดสิทธิเลือก“
    0 Comments 0 Shares 393 Views 0 Reviews
  • อดีต CEO ของ Google Eric Schmidt กำลังผลักดันแนวคิด ศูนย์ข้อมูลในอวกาศ ผ่านบริษัท Relativity Space ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้านการปล่อยจรวด โดยมีเป้าหมายเพื่อ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากศูนย์ข้อมูลบนโลก

    Schmidt เตือนว่า การเติบโตของ AI อาจทำให้ศูนย์ข้อมูลใช้พลังงานมากขึ้น โดยอาจเพิ่มจาก 3% เป็น 99% ของการใช้ไฟฟ้าทั่วโลก ในอนาคต เขาจึงเสนอให้ สร้างศูนย์ข้อมูลในวงโคจรของโลก ซึ่งจะใช้ พลังงานแสงอาทิตย์และระบบระบายความร้อนด้วยสุญญากาศ

    Eric Schmidt เสนอแนวคิดศูนย์ข้อมูลในอวกาศ
    - ใช้ พลังงานแสงอาทิตย์ และ ระบบระบายความร้อนด้วยสุญญากาศ
    - ช่วยลด ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากศูนย์ข้อมูลบนโลก

    การเติบโตของ AI อาจทำให้ศูนย์ข้อมูลใช้พลังงานมากขึ้น
    - อาจเพิ่มจาก 3% เป็น 99% ของการใช้ไฟฟ้าทั่วโลก
    - ศูนย์ข้อมูล AI อาจต้องใช้พลังงานเทียบเท่า 10 เท่าของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

    Relativity Space กำลังพัฒนา Terran R เพื่อปล่อยศูนย์ข้อมูลขึ้นสู่อวกาศ
    - เป็นจรวด รีไซเคิลได้ ที่สามารถบรรทุกน้ำหนัก 30 ตัน
    - แข่งขันกับ SpaceX Falcon 9 และ Blue Origin New Glenn

    รายงานของ IEA คาดการณ์ว่าภายในปี 2030 ศูนย์ข้อมูลจะใช้ไฟฟ้าเท่ากับการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศญี่ปุ่น
    - แสดงให้เห็นถึง ความจำเป็นในการหาทางออกด้านพลังงาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/07/could-there-soon-be-data-centres-in-space
    อดีต CEO ของ Google Eric Schmidt กำลังผลักดันแนวคิด ศูนย์ข้อมูลในอวกาศ ผ่านบริษัท Relativity Space ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้านการปล่อยจรวด โดยมีเป้าหมายเพื่อ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากศูนย์ข้อมูลบนโลก Schmidt เตือนว่า การเติบโตของ AI อาจทำให้ศูนย์ข้อมูลใช้พลังงานมากขึ้น โดยอาจเพิ่มจาก 3% เป็น 99% ของการใช้ไฟฟ้าทั่วโลก ในอนาคต เขาจึงเสนอให้ สร้างศูนย์ข้อมูลในวงโคจรของโลก ซึ่งจะใช้ พลังงานแสงอาทิตย์และระบบระบายความร้อนด้วยสุญญากาศ ✅ Eric Schmidt เสนอแนวคิดศูนย์ข้อมูลในอวกาศ - ใช้ พลังงานแสงอาทิตย์ และ ระบบระบายความร้อนด้วยสุญญากาศ - ช่วยลด ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากศูนย์ข้อมูลบนโลก ✅ การเติบโตของ AI อาจทำให้ศูนย์ข้อมูลใช้พลังงานมากขึ้น - อาจเพิ่มจาก 3% เป็น 99% ของการใช้ไฟฟ้าทั่วโลก - ศูนย์ข้อมูล AI อาจต้องใช้พลังงานเทียบเท่า 10 เท่าของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ✅ Relativity Space กำลังพัฒนา Terran R เพื่อปล่อยศูนย์ข้อมูลขึ้นสู่อวกาศ - เป็นจรวด รีไซเคิลได้ ที่สามารถบรรทุกน้ำหนัก 30 ตัน - แข่งขันกับ SpaceX Falcon 9 และ Blue Origin New Glenn ✅ รายงานของ IEA คาดการณ์ว่าภายในปี 2030 ศูนย์ข้อมูลจะใช้ไฟฟ้าเท่ากับการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศญี่ปุ่น - แสดงให้เห็นถึง ความจำเป็นในการหาทางออกด้านพลังงาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/07/could-there-soon-be-data-centres-in-space
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Could there soon be data centres in space?
    Former Google CEO Eric Schmidt recently took the helm of Relativity Space, a startup specialising in space launchers. His ambition is to one day place data centres directly into orbit, powered by solar energy, with the aim of alleviating their environmental footprint on Earth.
    0 Comments 0 Shares 229 Views 0 Reviews
  • รายงานจากเพจเฟซบุ๊กBlognone ระบุว่า อุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ของสหรัฐฯ เตือนว่าการที่รัฐบาล Trump ปราบปรามพลังงานหมุนเวียนอย่างเข้มงวด กำลังขัดขวางการเติบโตของกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ และทำให้สหรัฐฯ เสี่ยงเสียตำแหน่งผู้นำ AI ระดับโลกให้กับจีนได้
    .
    จีนออกมาตรการเชิงรุกในการส่งเสริม และปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันสมัย และการจ่ายพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งตรงข้ามกับสหรัฐฯ ที่ระงับการพัฒนาพลังงานสะอาดบนที่ดินของรัฐบาลกลาง หยุดการปล่อยเงินกู้สำหรับพลังงานสะอาด และยกเลิกโครงการสำคัญ เช่น โครงการพลังงานลมของ Equinor มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ฯ
    .
    ดาต้าเซ็นเตอร์จำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าที่มั่นคงและมีราคาย่อมเยา ซึ่งพลังงานหมุนเวียนช่วยตอบโจทย์ได้ดี ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากสหรัฐฯ เข้าถึงแหล่งพลังงานหมุนเวียนได้น้อยลง ดาต้าเซ็นเตอร์อาจเผชิญกับปัญหาขาดแคลนพลังงาน ต้นทุนที่สูงขึ้น ความล่าช้าในการก่อสร้าง และต้องหันมาพึ่งพลังงานฟอสซิลมากขึ้น
    .
    แม้โครงการพลังงานก๊าซบางแห่งถูกเร่งดำเนินการ แต่ก็มีต้นทุนสูง และใช้เวลานานกว่าจะสร้างเสร็จ เช่นเดียวกับบิ๊กเทคฯ อย่าง Amazon, Google, และ Equinix ที่เจอปัญหาในการรักษาเป้าหมายด้านความยั่งยืน และควบคุมต้นทุนจากความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้น
    .
    ตอนนี้ในรัฐเท็กซัส ซึ่งตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสหรัฐฯ กำลังพิจารณาร่างกฎหมายที่อาจเพิ่มข้อจำกัดต่อโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และลม ซึ่งจะยิ่งทำให้การขยายโครงสร้างพื้นฐานของดาต้าเซ็นเตอร์ยากขึ้น
    .
    https://www.ft.com/content/6821ec83-3a33-4a20-a3c6-152135c8ad57
    รายงานจากเพจเฟซบุ๊กBlognone ระบุว่า อุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ของสหรัฐฯ เตือนว่าการที่รัฐบาล Trump ปราบปรามพลังงานหมุนเวียนอย่างเข้มงวด กำลังขัดขวางการเติบโตของกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ และทำให้สหรัฐฯ เสี่ยงเสียตำแหน่งผู้นำ AI ระดับโลกให้กับจีนได้ . จีนออกมาตรการเชิงรุกในการส่งเสริม และปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันสมัย และการจ่ายพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งตรงข้ามกับสหรัฐฯ ที่ระงับการพัฒนาพลังงานสะอาดบนที่ดินของรัฐบาลกลาง หยุดการปล่อยเงินกู้สำหรับพลังงานสะอาด และยกเลิกโครงการสำคัญ เช่น โครงการพลังงานลมของ Equinor มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ฯ . ดาต้าเซ็นเตอร์จำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าที่มั่นคงและมีราคาย่อมเยา ซึ่งพลังงานหมุนเวียนช่วยตอบโจทย์ได้ดี ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากสหรัฐฯ เข้าถึงแหล่งพลังงานหมุนเวียนได้น้อยลง ดาต้าเซ็นเตอร์อาจเผชิญกับปัญหาขาดแคลนพลังงาน ต้นทุนที่สูงขึ้น ความล่าช้าในการก่อสร้าง และต้องหันมาพึ่งพลังงานฟอสซิลมากขึ้น . แม้โครงการพลังงานก๊าซบางแห่งถูกเร่งดำเนินการ แต่ก็มีต้นทุนสูง และใช้เวลานานกว่าจะสร้างเสร็จ เช่นเดียวกับบิ๊กเทคฯ อย่าง Amazon, Google, และ Equinix ที่เจอปัญหาในการรักษาเป้าหมายด้านความยั่งยืน และควบคุมต้นทุนจากความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้น . ตอนนี้ในรัฐเท็กซัส ซึ่งตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสหรัฐฯ กำลังพิจารณาร่างกฎหมายที่อาจเพิ่มข้อจำกัดต่อโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และลม ซึ่งจะยิ่งทำให้การขยายโครงสร้างพื้นฐานของดาต้าเซ็นเตอร์ยากขึ้น . https://www.ft.com/content/6821ec83-3a33-4a20-a3c6-152135c8ad57
    WWW.FT.COM
    Donald Trump’s attack on green energy could hurt US in AI race, data centres warn
    Industry needs renewables to meet surging power demand from artificial intelligence
    0 Comments 0 Shares 425 Views 0 Reviews
  • อดีต CEO ของ Google Eric Schmidt กำลังผลักดันแนวคิด การสร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศ เพื่อแก้ปัญหาความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจาก AI และโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผลข้อมูล

    Schmidt ซึ่งปัจจุบันเป็น CEO ของ Relativity Space ได้กล่าวใน การประชุมรัฐสภาสหรัฐฯ ว่า ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่กำลังใช้พลังงานมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยบางแห่งอาจต้องใช้ พลังงานถึง 10 กิกะวัตต์ ซึ่งมากกว่ากำลังผลิตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไปถึง 10 เท่า

    แนวคิดของ Schmidt คือ การใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ เพื่อรองรับความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูล AI โดยใช้ จรวด Terran R ซึ่งเป็นจรวดขนส่งสินค้าหนักที่พัฒนาโดย Relativity Space

    Eric Schmidt ผลักดันแนวคิดศูนย์ข้อมูลในอวกาศ
    - ต้องการแก้ปัญหาความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นจาก AI
    - ใช้ พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ เพื่อรองรับศูนย์ข้อมูล

    ศูนย์ข้อมูล AI อาจต้องใช้พลังงานถึง 10 กิกะวัตต์
    - มากกว่ากำลังผลิตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไปถึง 10 เท่า
    - คาดว่าภายในปี 2030 อาจต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอีก 67 กิกะวัตต์

    Relativity Space พัฒนาเทคโนโลยีขนส่งสำหรับโครงการนี้
    - ใช้ จรวด Terran R ซึ่งสามารถขนส่ง 33,500 กิโลกรัม ไปยังวงโคจรโลก
    - พัฒนาโดยใช้ เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงาน
    - อาจช่วยแก้ปัญหาการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล AI
    - อาจเป็นแนวทางใหม่ในการใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ

    https://www.techspot.com/news/107801-former-google-ceo-eric-schmidt-wants-put-data.html
    อดีต CEO ของ Google Eric Schmidt กำลังผลักดันแนวคิด การสร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศ เพื่อแก้ปัญหาความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจาก AI และโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผลข้อมูล Schmidt ซึ่งปัจจุบันเป็น CEO ของ Relativity Space ได้กล่าวใน การประชุมรัฐสภาสหรัฐฯ ว่า ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่กำลังใช้พลังงานมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยบางแห่งอาจต้องใช้ พลังงานถึง 10 กิกะวัตต์ ซึ่งมากกว่ากำลังผลิตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไปถึง 10 เท่า แนวคิดของ Schmidt คือ การใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ เพื่อรองรับความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูล AI โดยใช้ จรวด Terran R ซึ่งเป็นจรวดขนส่งสินค้าหนักที่พัฒนาโดย Relativity Space ✅ Eric Schmidt ผลักดันแนวคิดศูนย์ข้อมูลในอวกาศ - ต้องการแก้ปัญหาความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นจาก AI - ใช้ พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ เพื่อรองรับศูนย์ข้อมูล ✅ ศูนย์ข้อมูล AI อาจต้องใช้พลังงานถึง 10 กิกะวัตต์ - มากกว่ากำลังผลิตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไปถึง 10 เท่า - คาดว่าภายในปี 2030 อาจต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอีก 67 กิกะวัตต์ ✅ Relativity Space พัฒนาเทคโนโลยีขนส่งสำหรับโครงการนี้ - ใช้ จรวด Terran R ซึ่งสามารถขนส่ง 33,500 กิโลกรัม ไปยังวงโคจรโลก - พัฒนาโดยใช้ เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงาน - อาจช่วยแก้ปัญหาการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล AI - อาจเป็นแนวทางใหม่ในการใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ https://www.techspot.com/news/107801-former-google-ceo-eric-schmidt-wants-put-data.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Former Google CEO Eric Schmidt wants to put data centers in space
    In his new role as CEO of Relativity Space, Eric Schmidt appears to be exploring the idea of launching data centers into Earth's orbit. During a recent...
    0 Comments 0 Shares 183 Views 0 Reviews
  • สหราชอาณาจักรเตรียมออกกฎหมาย บังคับติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนบ้านใหม่เกือบทั้งหมดภายในปี 2027 เพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและสนับสนุนเป้าหมาย การลดคาร์บอนในระบบไฟฟ้าภายในปี 2030

    ตามแผนที่รัฐบาลอังกฤษกำลังพิจารณา 80% ของบ้านใหม่จะต้องมีแผงโซลาร์เซลล์ครอบคลุมพื้นที่หลังคาอย่างน้อย 40% ขณะที่ 19% ของบ้านใหม่จะมีข้อกำหนดที่ต่ำกว่า เนื่องจากข้อจำกัดด้านมุมหลังคาและเงา ส่วน 1% อาจได้รับการยกเว้น

    แม้ว่าการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์จะทำให้ ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มขึ้นราว 4,000 ปอนด์ต่อหลัง แต่สามารถช่วยให้ครัวเรือน ประหยัดค่าไฟได้ถึง 1,000 ปอนด์ต่อปี ซึ่งหมายความว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นสามารถคืนทุนได้ภายใน 4 ปี

    รัฐบาลอังกฤษเตรียมออกกฎหมายบังคับติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนบ้านใหม่
    - คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2027
    - เป็นส่วนหนึ่งของแผน ลดคาร์บอนในระบบไฟฟ้าภายในปี 2030

    ข้อกำหนดสำหรับบ้านใหม่
    - 80% ของบ้านใหม่ต้องมีแผงโซลาร์เซลล์ครอบคลุมพื้นที่หลังคาอย่างน้อย 40%
    - 19% ของบ้านใหม่จะมีข้อกำหนดที่ต่ำกว่า เนื่องจากข้อจำกัดด้านมุมหลังคาและเงา
    - 1% อาจได้รับการยกเว้น

    ผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายและการประหยัดพลังงาน
    - ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มขึ้นราว 4,000 ปอนด์ต่อหลัง
    - สามารถช่วยให้ครัวเรือน ประหยัดค่าไฟได้ถึง 1,000 ปอนด์ต่อปี
    - คืนทุนได้ภายใน 4 ปี

    เป้าหมายด้านพลังงานของสหราชอาณาจักร
    - ติดตั้งกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 47 กิกะวัตต์ภายในปี 2030
    - สนับสนุน เงินกู้สำหรับติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนบ้านเก่า

    https://www.techspot.com/news/107783-uk-could-require-solar-panels-most-new-homes.html
    สหราชอาณาจักรเตรียมออกกฎหมาย บังคับติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนบ้านใหม่เกือบทั้งหมดภายในปี 2027 เพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและสนับสนุนเป้าหมาย การลดคาร์บอนในระบบไฟฟ้าภายในปี 2030 ตามแผนที่รัฐบาลอังกฤษกำลังพิจารณา 80% ของบ้านใหม่จะต้องมีแผงโซลาร์เซลล์ครอบคลุมพื้นที่หลังคาอย่างน้อย 40% ขณะที่ 19% ของบ้านใหม่จะมีข้อกำหนดที่ต่ำกว่า เนื่องจากข้อจำกัดด้านมุมหลังคาและเงา ส่วน 1% อาจได้รับการยกเว้น แม้ว่าการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์จะทำให้ ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มขึ้นราว 4,000 ปอนด์ต่อหลัง แต่สามารถช่วยให้ครัวเรือน ประหยัดค่าไฟได้ถึง 1,000 ปอนด์ต่อปี ซึ่งหมายความว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นสามารถคืนทุนได้ภายใน 4 ปี ✅ รัฐบาลอังกฤษเตรียมออกกฎหมายบังคับติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนบ้านใหม่ - คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2027 - เป็นส่วนหนึ่งของแผน ลดคาร์บอนในระบบไฟฟ้าภายในปี 2030 ✅ ข้อกำหนดสำหรับบ้านใหม่ - 80% ของบ้านใหม่ต้องมีแผงโซลาร์เซลล์ครอบคลุมพื้นที่หลังคาอย่างน้อย 40% - 19% ของบ้านใหม่จะมีข้อกำหนดที่ต่ำกว่า เนื่องจากข้อจำกัดด้านมุมหลังคาและเงา - 1% อาจได้รับการยกเว้น ✅ ผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายและการประหยัดพลังงาน - ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มขึ้นราว 4,000 ปอนด์ต่อหลัง - สามารถช่วยให้ครัวเรือน ประหยัดค่าไฟได้ถึง 1,000 ปอนด์ต่อปี - คืนทุนได้ภายใน 4 ปี ✅ เป้าหมายด้านพลังงานของสหราชอาณาจักร - ติดตั้งกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 47 กิกะวัตต์ภายในปี 2030 - สนับสนุน เงินกู้สำหรับติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนบ้านเก่า https://www.techspot.com/news/107783-uk-could-require-solar-panels-most-new-homes.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    UK could require solar panels on most new homes by 2027
    The Times has seen plans indicating that the British government will soon announce a roadmap for installing solar panels on virtually all newly-built houses. If the legislation...
    0 Comments 0 Shares 347 Views 0 Reviews
  • พิกัด --> https://s.shopee.co.th/4L6V5pbpGn
    ไฟโซล่าเซลล์ UFO ไฟถนนยูเอฟโอ Solar Light ทรงกลม 20000000W LED พลังงานแสงอาทิตย์ IP69 ป้องกันฟ้าผ่า
    พิกัด --> https://s.shopee.co.th/4L6V5pbpGn ไฟโซล่าเซลล์ UFO ไฟถนนยูเอฟโอ Solar Light ทรงกลม 20000000W LED พลังงานแสงอาทิตย์ IP69 ป้องกันฟ้าผ่า
    0 Comments 0 Shares 285 Views 15 0 Reviews
  • การสร้างสมดุลของจักรวาลมนุษย์ชาติ (Human Universe) เป็นแนวคิดที่ซับซ้อน ครอบคลุมทั้งมิติทางสังคม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และจิตวิญญาณ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและความปรองดองร่วมกัน ต่อไปนี้คือแนวทางหลักที่อาจนำไปสู่การสร้างสมดุลดังกล่าว:

    ### 1. **สมดุลทางสิ่งแวดล้อม**
    - **เปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด**: ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล หันไปใช้พลังงานหมุนเวียน (เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม) และส่งเสริมเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ
    - **ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)**: ลดการผลิตของเสียโดยออกแบบระบบการใช้วัสดุใหม่ (Reuse-Recycle) และส่งเสริมการบริโภคอย่างรับผิดชอบ
    - **ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ**: ฟื้นฟูระบบนิเวศ สร้างพื้นที่อนุรักษ์ และควบคุมการตัดไม้ทำลายป่า

    ### 2. **สมดุลทางสังคม**
    - **ลดความเหลื่อมล้ำ**: สร้างระบบสวัสดิการที่ทั่วถึง สนับสนุนการศึกษาและสุขภาพฟรีหรือราคาเข้าถึงได้ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ห่างไกล
    - **ส่งเสริมความเท่าเทียม**: ขจัดการเลือกปฏิบัติทางเพศ เชื้อชาติ ศาสนา และสถานะทางสังคม
    - **สร้างชุมชนเข้มแข็ง**: สนับสนุนการมีส่วนร่วมของท้องถิ่นในการตัดสินใจ และส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

    ### 3. **สมดุลทางเศรษฐกิจ**
    - **เศรษฐกิจแบบกระจายศูนย์**: ลดการผูกขาดโดยบริษัทขนาดใหญ่ สนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นและสตาร์ทอัพ
    - **วัดความเจริญด้วยดัชนีใหม่**: ไม่ใช้เพียง GDP แต่รวมถึงความสุขมวลรวม (Gross National Happiness) หรือดัชนีความยั่งยืน
    - **ภาษีโปรเกรสซีฟ**: เก็บภาษีจากกลุ่มรายได้สูงและบริษัทข้ามชาติเพื่อกระจายความมั่งคั่ง

    ### 4. **สมดุลทางเทคโนโลยี**
    - **จริยธรรมเทคโนโลยี**: ควบคุมการใช้ AI และข้อมูลส่วนตัวเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิ
    - **เทคโนโลยีเพื่อสังคม**: พัฒนานวัตกรรมที่แก้ปัญหาสังคม เช่น เทคโนโลยีช่วยเกษตรกรหรือระบบสุขภาพดิจิทัล
    - **ลดช่องว่างดิจิทัล**: ให้ทุกคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและความรู้ดิจิทัล

    ### 5. **สมดุลทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ**
    - **เคารพความหลากหลาย**: ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น
    - **สร้างจิตสำนึกใหม่**: ปลูกฝังค่านิยมเช่นความพอเพียง (ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง) และความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ
    - **ส่งเสริมสติและสุขภาพจิต**: บูรณาการ mindfulness ในการศึกษาและการทำงาน

    ### 6. **สมดุลทางการเมืองและการปกครอง**
    - **ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม**: เปิดช่องทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมนโยบายผ่าน Digital Platform
    - **ความร่วมมือระดับโลก**: เสริมสร้างองค์กรระหว่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาร่วม เช่น ภาวะโลกร้อนหรือการค้ามนุษย์
    - **ต่อต้านการทุจริต**: สร้างระบบตรวจสอบที่โปร่งใส และส่งเสริมหลักนิติธรรม

    ### 7. **การศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลง**
    - **เรียนรู้นอกกรอบ**: สอนทักษะศตวรรษที่ 21 เช่น การคิดวิเคราะห์ ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) และทักษะการอยู่ร่วมกัน
    - **การศึกษาเชิงบูรณาการ**: ผสมผสานความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับศิลปะและมนุษยศาสตร์

    ### บทสรุป
    สมดุลของจักรวาลมนุษย์ชาติไม่ใช่สถานะที่ตายตัว แต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องอาศัยการปรับตัว ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการมองมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ ไม่ใช่ผู้ครอบครอง การสร้างสมดุลนี้ต้องเริ่มจาก "การเปลี่ยนแปลงภายใน" ของแต่ละคน สู่การขับเคลื่อนนโยบายระดับโลก พร้อมกันนั้น ต้องไม่ลืมว่าความหลากหลายทางความคิดและวัฒนธรรมคือพลังขับเคลื่อน ไม่ใช่สิ่งต้องกำจัด!
    การสร้างสมดุลของจักรวาลมนุษย์ชาติ (Human Universe) เป็นแนวคิดที่ซับซ้อน ครอบคลุมทั้งมิติทางสังคม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และจิตวิญญาณ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและความปรองดองร่วมกัน ต่อไปนี้คือแนวทางหลักที่อาจนำไปสู่การสร้างสมดุลดังกล่าว: ### 1. **สมดุลทางสิ่งแวดล้อม** - **เปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด**: ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล หันไปใช้พลังงานหมุนเวียน (เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม) และส่งเสริมเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ - **ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)**: ลดการผลิตของเสียโดยออกแบบระบบการใช้วัสดุใหม่ (Reuse-Recycle) และส่งเสริมการบริโภคอย่างรับผิดชอบ - **ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ**: ฟื้นฟูระบบนิเวศ สร้างพื้นที่อนุรักษ์ และควบคุมการตัดไม้ทำลายป่า ### 2. **สมดุลทางสังคม** - **ลดความเหลื่อมล้ำ**: สร้างระบบสวัสดิการที่ทั่วถึง สนับสนุนการศึกษาและสุขภาพฟรีหรือราคาเข้าถึงได้ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ห่างไกล - **ส่งเสริมความเท่าเทียม**: ขจัดการเลือกปฏิบัติทางเพศ เชื้อชาติ ศาสนา และสถานะทางสังคม - **สร้างชุมชนเข้มแข็ง**: สนับสนุนการมีส่วนร่วมของท้องถิ่นในการตัดสินใจ และส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน ### 3. **สมดุลทางเศรษฐกิจ** - **เศรษฐกิจแบบกระจายศูนย์**: ลดการผูกขาดโดยบริษัทขนาดใหญ่ สนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นและสตาร์ทอัพ - **วัดความเจริญด้วยดัชนีใหม่**: ไม่ใช้เพียง GDP แต่รวมถึงความสุขมวลรวม (Gross National Happiness) หรือดัชนีความยั่งยืน - **ภาษีโปรเกรสซีฟ**: เก็บภาษีจากกลุ่มรายได้สูงและบริษัทข้ามชาติเพื่อกระจายความมั่งคั่ง ### 4. **สมดุลทางเทคโนโลยี** - **จริยธรรมเทคโนโลยี**: ควบคุมการใช้ AI และข้อมูลส่วนตัวเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิ - **เทคโนโลยีเพื่อสังคม**: พัฒนานวัตกรรมที่แก้ปัญหาสังคม เช่น เทคโนโลยีช่วยเกษตรกรหรือระบบสุขภาพดิจิทัล - **ลดช่องว่างดิจิทัล**: ให้ทุกคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและความรู้ดิจิทัล ### 5. **สมดุลทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ** - **เคารพความหลากหลาย**: ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น - **สร้างจิตสำนึกใหม่**: ปลูกฝังค่านิยมเช่นความพอเพียง (ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง) และความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ - **ส่งเสริมสติและสุขภาพจิต**: บูรณาการ mindfulness ในการศึกษาและการทำงาน ### 6. **สมดุลทางการเมืองและการปกครอง** - **ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม**: เปิดช่องทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมนโยบายผ่าน Digital Platform - **ความร่วมมือระดับโลก**: เสริมสร้างองค์กรระหว่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาร่วม เช่น ภาวะโลกร้อนหรือการค้ามนุษย์ - **ต่อต้านการทุจริต**: สร้างระบบตรวจสอบที่โปร่งใส และส่งเสริมหลักนิติธรรม ### 7. **การศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลง** - **เรียนรู้นอกกรอบ**: สอนทักษะศตวรรษที่ 21 เช่น การคิดวิเคราะห์ ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) และทักษะการอยู่ร่วมกัน - **การศึกษาเชิงบูรณาการ**: ผสมผสานความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับศิลปะและมนุษยศาสตร์ ### บทสรุป สมดุลของจักรวาลมนุษย์ชาติไม่ใช่สถานะที่ตายตัว แต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องอาศัยการปรับตัว ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการมองมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ ไม่ใช่ผู้ครอบครอง การสร้างสมดุลนี้ต้องเริ่มจาก "การเปลี่ยนแปลงภายใน" ของแต่ละคน สู่การขับเคลื่อนนโยบายระดับโลก พร้อมกันนั้น ต้องไม่ลืมว่าความหลากหลายทางความคิดและวัฒนธรรมคือพลังขับเคลื่อน ไม่ใช่สิ่งต้องกำจัด!
    0 Comments 0 Shares 894 Views 0 Reviews
  • ข่าวนี้พูดถึงช่องโหว่ความปลอดภัยใน ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งอาจทำให้ นักโจมตีทางไซเบอร์ สามารถควบคุมการผลิตพลังงาน แทรกแซงข้อมูลส่วนตัว หรือแม้กระทั่งขัดขวางการทำงานของโครงข่ายพลังงาน ผู้เชี่ยวชาญจาก Forescout – Vedere Labs ระบุช่องโหว่ใหม่ถึง 46 รายการในอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์จากผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Sungrow, Growatt และ SMA โดย 80% ของช่องโหว่ที่รายงานถือเป็นปัญหาร้ายแรงหรือสำคัญ

    ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อออนไลน์:
    - หลายอินเวอร์เตอร์ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยตรง ทำให้ง่ายต่อการโจมตีผ่านการใช้เฟิร์มแวร์ที่ล้าสมัยหรือการเข้ารหัสข้อมูลที่อ่อนแอ

    ผลกระทบที่เกิดขึ้น:
    - การโจมตีสามารถทำให้เกิดความไม่สมดุลในโครงข่ายพลังงาน การขโมยข้อมูลที่ละเมิดข้อกำหนดด้าน GDPR รวมถึงการควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้านอัจฉริยะ เช่น เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

    คำแนะนำในการป้องกัน:
    - ผู้ผลิตควรเร่งแก้ไขปัญหาด้วยการอัปเดตระบบ ปรับปรุงโค้ดให้ปลอดภัย และทดสอบเจาะระบบอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ควรมีการใช้ Web Application Firewall และมาตรการความปลอดภัยมาตรฐาน เช่น NIST IR 8259

    บทบาทของเจ้าของระบบพลังงานแสงอาทิตย์:
    - การแยกเครือข่ายของอุปกรณ์แสงอาทิตย์ การตั้งค่าระบบเฝ้าระวังความปลอดภัย และการใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันภัยไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้ควรดำเนินการ

    https://www.techradar.com/pro/millions-of-solar-power-systems-could-be-at-risk-of-cyber-attacks-after-researchers-find-flurry-of-vulnerabilities
    ข่าวนี้พูดถึงช่องโหว่ความปลอดภัยใน ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งอาจทำให้ นักโจมตีทางไซเบอร์ สามารถควบคุมการผลิตพลังงาน แทรกแซงข้อมูลส่วนตัว หรือแม้กระทั่งขัดขวางการทำงานของโครงข่ายพลังงาน ผู้เชี่ยวชาญจาก Forescout – Vedere Labs ระบุช่องโหว่ใหม่ถึง 46 รายการในอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์จากผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Sungrow, Growatt และ SMA โดย 80% ของช่องโหว่ที่รายงานถือเป็นปัญหาร้ายแรงหรือสำคัญ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อออนไลน์: - หลายอินเวอร์เตอร์ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยตรง ทำให้ง่ายต่อการโจมตีผ่านการใช้เฟิร์มแวร์ที่ล้าสมัยหรือการเข้ารหัสข้อมูลที่อ่อนแอ ผลกระทบที่เกิดขึ้น: - การโจมตีสามารถทำให้เกิดความไม่สมดุลในโครงข่ายพลังงาน การขโมยข้อมูลที่ละเมิดข้อกำหนดด้าน GDPR รวมถึงการควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้านอัจฉริยะ เช่น เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า คำแนะนำในการป้องกัน: - ผู้ผลิตควรเร่งแก้ไขปัญหาด้วยการอัปเดตระบบ ปรับปรุงโค้ดให้ปลอดภัย และทดสอบเจาะระบบอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ควรมีการใช้ Web Application Firewall และมาตรการความปลอดภัยมาตรฐาน เช่น NIST IR 8259 บทบาทของเจ้าของระบบพลังงานแสงอาทิตย์: - การแยกเครือข่ายของอุปกรณ์แสงอาทิตย์ การตั้งค่าระบบเฝ้าระวังความปลอดภัย และการใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันภัยไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้ควรดำเนินการ https://www.techradar.com/pro/millions-of-solar-power-systems-could-be-at-risk-of-cyber-attacks-after-researchers-find-flurry-of-vulnerabilities
    0 Comments 0 Shares 798 Views 0 Reviews
  • ‘พีระพันธุ์’ จ่อเสนอ ‘ร่างกฎหมายส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์’ เข้าสภาฯ
    https://www.thai-tai.tv/news/17664/
    ‘พีระพันธุ์’ จ่อเสนอ ‘ร่างกฎหมายส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์’ เข้าสภาฯ https://www.thai-tai.tv/news/17664/
    0 Comments 0 Shares 213 Views 0 Reviews
More Results