• 'พ่อนายกฯ'บอกงบทหารสูงขึ้นมากระหว่างผมไม่อยู่ แนะลดงบกองทัพ ปรับสู่ 'สงครามไซเบอร์' ชี้อาวุธเก่าล้าสมัยสิ้นเปลือง
    https://www.thai-tai.tv/news/20370/
    .
    #ทักษิณชินวัตร #งบประมาณกองทัพ #สงครามไซเบอร์ #ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย #ลดค่าใช้จ่าย #ข่าวการเมือง #ปฏิรูปกองทัพ
    'พ่อนายกฯ'บอกงบทหารสูงขึ้นมากระหว่างผมไม่อยู่ แนะลดงบกองทัพ ปรับสู่ 'สงครามไซเบอร์' ชี้อาวุธเก่าล้าสมัยสิ้นเปลือง https://www.thai-tai.tv/news/20370/ . #ทักษิณชินวัตร #งบประมาณกองทัพ #สงครามไซเบอร์ #ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย #ลดค่าใช้จ่าย #ข่าวการเมือง #ปฏิรูปกองทัพ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'พ่อนายกฯ' บอกงบทหารสูงขึ้นมากระหว่างผมไม่อยู่ แนะลดงบกองทัพ ปรับสู่ 'สงครามไซเบอร์' ชี้อาวุธเก่าล้าสมัยสิ้นเปลือง
    https://www.thai-tai.tv/news/20370/
    .
    #ทักษิณชินวัตร #งบประมาณกองทัพ #สงครามไซเบอร์ #ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย #ลดค่าใช้จ่าย #ข่าวการเมือง #ปฏิรูปกองทัพ
    'พ่อนายกฯ' บอกงบทหารสูงขึ้นมากระหว่างผมไม่อยู่ แนะลดงบกองทัพ ปรับสู่ 'สงครามไซเบอร์' ชี้อาวุธเก่าล้าสมัยสิ้นเปลือง https://www.thai-tai.tv/news/20370/ . #ทักษิณชินวัตร #งบประมาณกองทัพ #สงครามไซเบอร์ #ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย #ลดค่าใช้จ่าย #ข่าวการเมือง #ปฏิรูปกองทัพ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายคนกลัวว่า AI จะมาแย่งงาน “เด็กจบใหม่” เพราะงานซ้ำ ๆ ง่าย ๆ เช่น สรุปรายงาน, เขียนโค้ดพื้นฐาน, หรือ customer support ล้วนทำได้โดย AI อย่างรวดเร็ว → Dario Amodei จาก Anthropic บอกชัดว่า AI อาจ “แย่งงานครึ่งหนึ่งของงานระดับเริ่มต้นในออฟฟิศ” ภายใน 5 ปี → ข้อมูลจาก ADP ระบุว่า “การจ้างพนักงานในสายไอทีที่มีอายุงานไม่เกิน 2 ปี ลดลง 20–25% ตั้งแต่ปี 2023” แล้ว

    แต่ฝั่งผู้มีประสบการณ์ก็ไม่ได้รอด → Brad Lightcap จาก OpenAI ชี้ว่า AI กำลังแทนที่ “พนักงานอาวุโสที่ยึดติดกับวิธีทำงานแบบเดิม” → บริษัทหลายแห่งลดจำนวน middle manager และ software engineer รุ่นเก๋า เช่น Microsoft, Google และ Meta → เพราะงานระดับเอกสาร–ติดตามโปรเจกต์–ประสานงาน ตอนนี้ AI ทำได้หมดแล้ว

    ในทางกลับกัน บางงานกลับ “ใช้ AI เสริมแรง” เช่น → นักพัฒนา mid-level ที่ใช้ AI เพื่อช่วยทีมทำงานข้ามภาษาโปรแกรม → หรือหัวหน้าทีมที่ใช้ AI คอยแนะนำ–รีวิว–วิเคราะห์งานลูกทีม → ส่งผลให้บางบริษัทเริ่ม “จ้างนักพัฒนา junior แล้วให้ AI + หัวหน้าคุม” → ลดจำนวนพนักงานระดับกลางไปเลย

    Harper Reed ซีอีโอจาก 2389 Research บอกว่า “การลดค่าใช้จ่ายไม่ใช่การไล่คนถูกออก แต่เอาคนถูกให้ทำงานได้แบบคนแพง” → โดยการใช้ AI เป็นตัวคูณประสิทธิภาพ

    พนักงานอาวุโสที่ “ไม่ปรับตัว–ไม่ใช้ AI” เสี่ยงตกขบวน  
    • ไม่ใช่แค่ระดับ junior ที่ถูกแทน แต่คนแพงที่ดื้อก็โดนก่อน

    การลด middle-tier อาจส่งผลต่อ career path → junior โตไว แต่ไม่มีระดับกลางรองรับ

    แรงงานที่ใช้ทักษะเดียว เช่น coding เฉพาะทาง อาจสูญเสียจุดแข็งเมื่อ AI ทำแทนได้

    หาก AI ทำงานเชิง routine ได้ดี แต่ไม่มีการเสริมแรงมนุษย์ → องค์กรอาจขาดความลึกซึ้ง–ความเข้าใจทางปริบท

    ระบบ HR และการศึกษาควรเร่งปรับตัว → เสริม soft skill, cross-domain, ความรู้เชิงระบบ มากกว่าสอนแค่เทคนิค

    https://www.techspot.com/news/108593-who-faces-greater-risk-ai-novices-or-experienced.html
    หลายคนกลัวว่า AI จะมาแย่งงาน “เด็กจบใหม่” เพราะงานซ้ำ ๆ ง่าย ๆ เช่น สรุปรายงาน, เขียนโค้ดพื้นฐาน, หรือ customer support ล้วนทำได้โดย AI อย่างรวดเร็ว → Dario Amodei จาก Anthropic บอกชัดว่า AI อาจ “แย่งงานครึ่งหนึ่งของงานระดับเริ่มต้นในออฟฟิศ” ภายใน 5 ปี → ข้อมูลจาก ADP ระบุว่า “การจ้างพนักงานในสายไอทีที่มีอายุงานไม่เกิน 2 ปี ลดลง 20–25% ตั้งแต่ปี 2023” แล้ว แต่ฝั่งผู้มีประสบการณ์ก็ไม่ได้รอด → Brad Lightcap จาก OpenAI ชี้ว่า AI กำลังแทนที่ “พนักงานอาวุโสที่ยึดติดกับวิธีทำงานแบบเดิม” → บริษัทหลายแห่งลดจำนวน middle manager และ software engineer รุ่นเก๋า เช่น Microsoft, Google และ Meta → เพราะงานระดับเอกสาร–ติดตามโปรเจกต์–ประสานงาน ตอนนี้ AI ทำได้หมดแล้ว ในทางกลับกัน บางงานกลับ “ใช้ AI เสริมแรง” เช่น → นักพัฒนา mid-level ที่ใช้ AI เพื่อช่วยทีมทำงานข้ามภาษาโปรแกรม → หรือหัวหน้าทีมที่ใช้ AI คอยแนะนำ–รีวิว–วิเคราะห์งานลูกทีม → ส่งผลให้บางบริษัทเริ่ม “จ้างนักพัฒนา junior แล้วให้ AI + หัวหน้าคุม” → ลดจำนวนพนักงานระดับกลางไปเลย Harper Reed ซีอีโอจาก 2389 Research บอกว่า “การลดค่าใช้จ่ายไม่ใช่การไล่คนถูกออก แต่เอาคนถูกให้ทำงานได้แบบคนแพง” → โดยการใช้ AI เป็นตัวคูณประสิทธิภาพ ‼️ พนักงานอาวุโสที่ “ไม่ปรับตัว–ไม่ใช้ AI” เสี่ยงตกขบวน   • ไม่ใช่แค่ระดับ junior ที่ถูกแทน แต่คนแพงที่ดื้อก็โดนก่อน ‼️ การลด middle-tier อาจส่งผลต่อ career path → junior โตไว แต่ไม่มีระดับกลางรองรับ ‼️ แรงงานที่ใช้ทักษะเดียว เช่น coding เฉพาะทาง อาจสูญเสียจุดแข็งเมื่อ AI ทำแทนได้ ‼️ หาก AI ทำงานเชิง routine ได้ดี แต่ไม่มีการเสริมแรงมนุษย์ → องค์กรอาจขาดความลึกซึ้ง–ความเข้าใจทางปริบท ‼️ ระบบ HR และการศึกษาควรเร่งปรับตัว → เสริม soft skill, cross-domain, ความรู้เชิงระบบ มากกว่าสอนแค่เทคนิค https://www.techspot.com/news/108593-who-faces-greater-risk-ai-novices-or-experienced.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Tech layoffs show AI's impact extends beyond entry-level roles
    Some within the industry, like Dario Amodei of Anthropic, argue that entry-level positions are most susceptible because their tasks are more easily automated. Amodei said that AI...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าตามข่าว Intel ช่วงนี้จะรู้เลยว่า “กำลังปรับองค์กรแบบยกเครื่อง” — ตั้งแต่สายการผลิต Fab ยันหน่วยพัฒนาชิป AI แต่คราวนี้แรงสุดคือการเลย์ออฟพนักงาน “เชิงเทคนิค” ที่เดิมทีถือเป็นหัวใจของบริษัท

    มีการยืนยันว่า Intel จะไล่พนักงานออกในหลายตำแหน่งสำคัญ เช่น:
    - วิศวกรออกแบบวงจร (Physical Design Engineers)
    - ผู้จัดการสายวิศวกรรม
    - สถาปนิกซอฟต์แวร์ Cloud
    - ผู้นำด้านกลยุทธ์ไอที และรองประธานฝ่ายไอที

    และยิ่งไปกว่านั้นคือการ ปิดหน่วยพัฒนาชิปสำหรับรถยนต์ ที่เคยตั้งอยู่ในเยอรมนี — ซึ่งมีภารกิจสร้างระบบสำหรับ “รถยนต์ขับเองได้” (software-defined vehicles) และเคยเป็นแผนกที่มีอิสระสูงมาก

    สิ่งที่ Tan กล่าวในจดหมายภายในคือ “ต่อไปนี้ ผู้นำที่ดีไม่ใช่คนที่มีลูกทีมเยอะ — แต่คือต้องทำให้ได้มากที่สุดด้วยทีมที่เล็กที่สุด” พร้อมประกาศว่า จะเลย์ออฟ 15–20% ของทั้งบริษัทในปีนี้ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและเร่งการตัดสินใจในองค์กร

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-lays-off-hundreds-of-engineers-in-california-including-chip-design-engineers-automotive-chip-division-also-axed
    ถ้าตามข่าว Intel ช่วงนี้จะรู้เลยว่า “กำลังปรับองค์กรแบบยกเครื่อง” — ตั้งแต่สายการผลิต Fab ยันหน่วยพัฒนาชิป AI แต่คราวนี้แรงสุดคือการเลย์ออฟพนักงาน “เชิงเทคนิค” ที่เดิมทีถือเป็นหัวใจของบริษัท มีการยืนยันว่า Intel จะไล่พนักงานออกในหลายตำแหน่งสำคัญ เช่น: - วิศวกรออกแบบวงจร (Physical Design Engineers) - ผู้จัดการสายวิศวกรรม - สถาปนิกซอฟต์แวร์ Cloud - ผู้นำด้านกลยุทธ์ไอที และรองประธานฝ่ายไอที และยิ่งไปกว่านั้นคือการ ปิดหน่วยพัฒนาชิปสำหรับรถยนต์ ที่เคยตั้งอยู่ในเยอรมนี — ซึ่งมีภารกิจสร้างระบบสำหรับ “รถยนต์ขับเองได้” (software-defined vehicles) และเคยเป็นแผนกที่มีอิสระสูงมาก สิ่งที่ Tan กล่าวในจดหมายภายในคือ “ต่อไปนี้ ผู้นำที่ดีไม่ใช่คนที่มีลูกทีมเยอะ — แต่คือต้องทำให้ได้มากที่สุดด้วยทีมที่เล็กที่สุด” พร้อมประกาศว่า จะเลย์ออฟ 15–20% ของทั้งบริษัทในปีนี้ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและเร่งการตัดสินใจในองค์กร https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-lays-off-hundreds-of-engineers-in-california-including-chip-design-engineers-automotive-chip-division-also-axed
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไม Android Tablet รุ่นใหม่ถึงไม่นิยมใส่ SIM Card อีกต่อไป

    ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว อุปกรณ์อย่างแท็บเล็ต (Tablet) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการทำงาน ความบันเทิง และการเรียนรู้ โดยเฉพาะ Android Tablet ที่ได้รับความนิยมจากความหลากหลายและราคาที่เข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าแท็บเล็ตรุ่นใหม่ ๆ ในปัจจุบันมักไม่ค่อยมีช่องใส่ SIM Card เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือเหมือนในอดีต ซึ่งเคยเป็นฟีเจอร์ยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องพึ่ง Wi-Fi แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผู้ผลิตเลือกตัดฟีเจอร์นี้ออก? บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจเหตุผลหลัก ๆ ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของเทรนด์และพฤติกรรมการใช้งานในยุคปัจจุบัน

    1️⃣. การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ใช้

    ในอดีต แท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card เป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ โดยเฉพาะในสถานที่ที่ไม่มี Wi-Fi อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน สมาร์ทโฟนได้พัฒนาไปไกลจนสามารถทดแทนการใช้งานของแท็บเล็ตได้ในหลายด้าน ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ผู้ใช้จำนวนมากจึงมองว่าสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียวก็เพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะเมื่อสมาร์ทโฟนสามารถแชร์อินเทอร์เน็ตผ่านฟีเจอร์ Hotspot ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว การมี SIM Card บนแท็บเล็ตจึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่

    2️⃣. การเข้าถึง Wi-Fi ที่แพร่หลายมากขึ้น

    ในยุคที่ Wi-Fi มีอยู่เกือบทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน สถานที่ทำงาน ร้านกาแฟ ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ในที่สาธารณะอย่างรถไฟฟ้าและสนามบิน การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi กลายเป็นเรื่องสะดวกและประหยัดกว่าการใช้เครือข่ายมือถือ ผู้ใช้แท็บเล็ตส่วนใหญ่จึงเลือกเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi แทนการสมัครแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตเพิ่มเติมสำหรับแท็บเล็ต ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้การใช้งานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และวัยทำงานที่มักอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มี Wi-Fi ให้บริการอยู่แล้ว

    3️⃣. การลดต้นทุนการผลิตเพื่อราคาที่เข้าถึงได้

    การผลิตแท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card ต้องใช้ชิ้นส่วนเพิ่มเติม เช่น ชิปโมเด็มสำหรับเชื่อมต่อ LTE หรือ 5G และช่องใส่ SIM Card ซึ่งทั้งหมดนี้เพิ่มต้นทุนการผลิตให้สูงขึ้น ในเมื่อความต้องการฟีเจอร์นี้ในตลาดลดลง ผู้ผลิตจึงเลือกตัดส่วนนี้ออกเพื่อลดต้นทุนและสามารถวางจำหน่ายแท็บเล็ตในราคาที่แข่งขันได้ ส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ที่มองหาแท็บเล็ตเพื่อการใช้งานทั่วไป เช่น ดูวิดีโอ อ่านหนังสือ หรือทำงานเบื้องต้น

    4️⃣. การออกแบบที่บางและเบาเพื่อความคล่องตัว

    ดีไซน์ของแท็บเล็ตในปัจจุบันเน้นความบางและเบาเพื่อให้พกพาสะดวกและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ต้องการความคล่องตัว การเพิ่มช่องใส่ SIM Card และชิปโมเด็มอาจทำให้ต้องเสียพื้นที่ภายในตัวเครื่อง ซึ่งส่งผลต่อความบางและน้ำหนักของอุปกรณ์ ผู้ผลิตจึงเลือกตัดฟีเจอร์นี้ออกเพื่อให้แท็บเล็ตมีดีไซน์ที่สวยงามและพกพาง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคในยุคนี้ให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและนักเรียนที่ต้องการอุปกรณ์ที่ทั้งทันสมัยและสะดวกต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน

    5️⃣. บริการอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่ตอบโจทย์มากขึ้น

    เทคโนโลยีเครือข่ายในปัจจุบันได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนในยุคนี้มีความเร็วสูงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรองรับ eSIM, เครือข่าย 5G หรือแพ็กเกจแบบ Unlimited Data Plan ที่อนุญาตให้แชร์ข้อมูลไปยังอุปกรณ์อื่นได้โดยไม่มีข้อจำกัดมากนัก การแชร์อินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนไปยังแท็บเล็ตจึงเป็นทางเลือกที่สะดวกและประหยัดกว่าการใช้ SIM Card แยกสำหรับแท็บเล็ต ทำให้ความจำเป็นในการมีช่องใส่ SIM Card บนแท็บเล็ตลดลงอย่างมาก

    อนาคตของแท็บเล็ตในยุคดิจิทัล

    ถึงแม้ว่าแท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card จะยังคงมีอยู่ในตลาด แต่จำนวนรุ่นที่ออกใหม่นั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับสมัยก่อน ผู้ผลิตมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแท็บเล็ตที่มีประสิทธิภาพสูง ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย เช่น การเรียนออนไลน์ การทำงานจากระยะไกล หรือความบันเทิงในรูปแบบต่าง ๆ มากกว่าการเพิ่มฟีเจอร์ที่อาจไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ การเลือกซื้อแท็บเล็ตในปัจจุบันจึงควรพิจารณาจากความต้องการใช้งานเป็นหลัก เช่น ขนาดหน้าจอ ความจุแบตเตอรี่ หรือซอฟต์แวร์ที่เหมาะสม มากกว่าการมองหาฟีเจอร์อย่างการรองรับ SIM Card

    สรุป

    การที่ Android Tablet รุ่นใหม่ ๆ ไม่นิยมใส่ช่อง SIM Card อีกต่อไปเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านพฤติกรรมผู้ใช้ เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น และกลยุทธ์ของผู้ผลิตที่ต้องการตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ การแชร์อินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนที่ง่ายและสะดวก รวมถึงการเข้าถึง Wi-Fi ที่แพร่หลาย ทำให้แท็บเล็ตที่เน้นการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi กลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น สำหรับนักเรียนและผู้ที่สนใจเลือกซื้อแท็บเล็ต การทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้เลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานและงบประมาณได้ดียิ่งขึ้น

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    ทำไม Android Tablet รุ่นใหม่ถึงไม่นิยมใส่ SIM Card อีกต่อไป 🗒️ ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว อุปกรณ์อย่างแท็บเล็ต (Tablet) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการทำงาน ความบันเทิง และการเรียนรู้ โดยเฉพาะ Android Tablet ที่ได้รับความนิยมจากความหลากหลายและราคาที่เข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าแท็บเล็ตรุ่นใหม่ ๆ ในปัจจุบันมักไม่ค่อยมีช่องใส่ SIM Card เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือเหมือนในอดีต ซึ่งเคยเป็นฟีเจอร์ยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องพึ่ง Wi-Fi แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผู้ผลิตเลือกตัดฟีเจอร์นี้ออก? บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจเหตุผลหลัก ๆ ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของเทรนด์และพฤติกรรมการใช้งานในยุคปัจจุบัน 1️⃣. การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ใช้ ในอดีต แท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card เป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ โดยเฉพาะในสถานที่ที่ไม่มี Wi-Fi อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน สมาร์ทโฟนได้พัฒนาไปไกลจนสามารถทดแทนการใช้งานของแท็บเล็ตได้ในหลายด้าน ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ผู้ใช้จำนวนมากจึงมองว่าสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียวก็เพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะเมื่อสมาร์ทโฟนสามารถแชร์อินเทอร์เน็ตผ่านฟีเจอร์ Hotspot ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว การมี SIM Card บนแท็บเล็ตจึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ 2️⃣. การเข้าถึง Wi-Fi ที่แพร่หลายมากขึ้น ในยุคที่ Wi-Fi มีอยู่เกือบทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน สถานที่ทำงาน ร้านกาแฟ ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ในที่สาธารณะอย่างรถไฟฟ้าและสนามบิน การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi กลายเป็นเรื่องสะดวกและประหยัดกว่าการใช้เครือข่ายมือถือ ผู้ใช้แท็บเล็ตส่วนใหญ่จึงเลือกเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi แทนการสมัครแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตเพิ่มเติมสำหรับแท็บเล็ต ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้การใช้งานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และวัยทำงานที่มักอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มี Wi-Fi ให้บริการอยู่แล้ว 3️⃣. การลดต้นทุนการผลิตเพื่อราคาที่เข้าถึงได้ การผลิตแท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card ต้องใช้ชิ้นส่วนเพิ่มเติม เช่น ชิปโมเด็มสำหรับเชื่อมต่อ LTE หรือ 5G และช่องใส่ SIM Card ซึ่งทั้งหมดนี้เพิ่มต้นทุนการผลิตให้สูงขึ้น ในเมื่อความต้องการฟีเจอร์นี้ในตลาดลดลง ผู้ผลิตจึงเลือกตัดส่วนนี้ออกเพื่อลดต้นทุนและสามารถวางจำหน่ายแท็บเล็ตในราคาที่แข่งขันได้ ส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ที่มองหาแท็บเล็ตเพื่อการใช้งานทั่วไป เช่น ดูวิดีโอ อ่านหนังสือ หรือทำงานเบื้องต้น 4️⃣. การออกแบบที่บางและเบาเพื่อความคล่องตัว ดีไซน์ของแท็บเล็ตในปัจจุบันเน้นความบางและเบาเพื่อให้พกพาสะดวกและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ต้องการความคล่องตัว การเพิ่มช่องใส่ SIM Card และชิปโมเด็มอาจทำให้ต้องเสียพื้นที่ภายในตัวเครื่อง ซึ่งส่งผลต่อความบางและน้ำหนักของอุปกรณ์ ผู้ผลิตจึงเลือกตัดฟีเจอร์นี้ออกเพื่อให้แท็บเล็ตมีดีไซน์ที่สวยงามและพกพาง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคในยุคนี้ให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและนักเรียนที่ต้องการอุปกรณ์ที่ทั้งทันสมัยและสะดวกต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน 5️⃣. บริการอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่ตอบโจทย์มากขึ้น เทคโนโลยีเครือข่ายในปัจจุบันได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนในยุคนี้มีความเร็วสูงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรองรับ eSIM, เครือข่าย 5G หรือแพ็กเกจแบบ Unlimited Data Plan ที่อนุญาตให้แชร์ข้อมูลไปยังอุปกรณ์อื่นได้โดยไม่มีข้อจำกัดมากนัก การแชร์อินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนไปยังแท็บเล็ตจึงเป็นทางเลือกที่สะดวกและประหยัดกว่าการใช้ SIM Card แยกสำหรับแท็บเล็ต ทำให้ความจำเป็นในการมีช่องใส่ SIM Card บนแท็บเล็ตลดลงอย่างมาก 🔮 อนาคตของแท็บเล็ตในยุคดิจิทัล ถึงแม้ว่าแท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card จะยังคงมีอยู่ในตลาด แต่จำนวนรุ่นที่ออกใหม่นั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับสมัยก่อน ผู้ผลิตมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแท็บเล็ตที่มีประสิทธิภาพสูง ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย เช่น การเรียนออนไลน์ การทำงานจากระยะไกล หรือความบันเทิงในรูปแบบต่าง ๆ มากกว่าการเพิ่มฟีเจอร์ที่อาจไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ การเลือกซื้อแท็บเล็ตในปัจจุบันจึงควรพิจารณาจากความต้องการใช้งานเป็นหลัก เช่น ขนาดหน้าจอ ความจุแบตเตอรี่ หรือซอฟต์แวร์ที่เหมาะสม มากกว่าการมองหาฟีเจอร์อย่างการรองรับ SIM Card ℹ️ℹ️ สรุป ℹ️ℹ️ การที่ Android Tablet รุ่นใหม่ ๆ ไม่นิยมใส่ช่อง SIM Card อีกต่อไปเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านพฤติกรรมผู้ใช้ เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น และกลยุทธ์ของผู้ผลิตที่ต้องการตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ การแชร์อินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนที่ง่ายและสะดวก รวมถึงการเข้าถึง Wi-Fi ที่แพร่หลาย ทำให้แท็บเล็ตที่เน้นการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi กลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น สำหรับนักเรียนและผู้ที่สนใจเลือกซื้อแท็บเล็ต การทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้เลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานและงบประมาณได้ดียิ่งขึ้น #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 381 มุมมอง 0 รีวิว
  • ที่ผ่านมา เวลาพูดถึงเทคโนโลยีในกองทัพ คนก็มักนึกถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่กี่เจ้า เช่น Lockheed Martin หรือ Palantir แต่ Oracle ตอนนี้กำลังเปิดประตูใหม่ให้ “บริษัทเล็ก ๆ ที่มีของดี” ได้เข้าถึงโอกาสในวงการนี้ผ่านโครงการใหม่ชื่อ Oracle Defense Ecosystem

    ใจความหลักคือ Oracle จะสนับสนุนบริษัทเทคโนโลยีเล็ก-กลางให้มีโอกาสเข้าร่วมประกวดราคา (bidding) ในโครงการของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (DoD) โดยช่วยตั้งแต่ที่ทำงาน, เครื่องมือ, การให้คำปรึกษา และแม้แต่ส่วนลดในการใช้แพลตฟอร์มจาก Oracle และ Palantir

    เป้าหมายคือทำให้บริษัทที่เคยหมดหวังกับความยุ่งยากของระบบจัดซื้อของรัฐ – มีทางลัด มีคนแนะนำ และเข้าใจวิธีการเข้าถึงตลาดมูลค่าสูงระดับชาติ ที่เดิมเคยสงวนไว้แค่กับบริษัท “สายตรงเพนตากอน” เท่านั้น

    เบื้องหลังของความเคลื่อนไหวนี้ยังบอกถึงการปรับตัวครั้งใหญ่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการเลิกพึ่งพาเจ้าเดิม ๆ และเปิดรับนวัตกรรมจากภาคเอกชนมากขึ้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความหลากหลายของเทคโนโลยีป้องกันประเทศ

    Oracle เปิดตัวโปรแกรม “Defense Ecosystem” สำหรับบริษัทเทคโนโลยี SMB  
    • ช่วยเข้าถึงสัญญาโครงการจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (DoD)  
    • เริ่มต้นมี 10 บริษัทเข้าร่วม เช่น Blackshar.ai, SensusQ, Arqit

    สิทธิประโยชน์สำหรับผู้เข้าร่วมโปรแกรม  
    • ใช้พื้นที่สำนักงานของ Oracle  
    • ได้ส่วนลดการใช้งาน Palantir Cloud/AI Tools และ Oracle NetSuite  
    • รับคำปรึกษาเฉพาะจากผู้เชี่ยวชาญด้านจัดซื้อของรัฐบาล

    เป้าหมายของโครงการ  
    • ปรับสมดุลให้บริษัทเล็กสามารถแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี-กลาโหม  
    • ผลักดัน Oracle Cloud ให้แทรกซึมในการใช้งานของภาครัฐโดยอ้อม

    รัฐบาลสหรัฐกำลังปฏิรูประบบจัดซื้อเทคโนโลยีภาครัฐ  
    • ยกเลิกแนวโน้มผูกขาดกับรายเดิม ๆ  
    • สนับสนุนการประหยัดงบประมาณและเพิ่มความคล่องตัวในนโยบายความมั่นคง

    Oracle วางตัวเป็นแกนกลางใหม่ของ AI และ Defense Tech Ecosystem  
    • ร่วมกับพันธมิตรภาคเอกชนและหน่วยงานพันธมิตรของสหรัฐฯ

    คำเตือนและข้อควรระวัง:
    แม้จะเปิดรับบริษัทเล็ก แต่ขั้นตอนจัดซื้อของกระทรวงกลาโหมยังซับซ้อนมาก  
    • ต้องเข้าใจขั้นตอนการขออนุญาต ความปลอดภัย และ compliance ขั้นสูง  
    • บริษัทที่ขาดแผนงานระยะยาวอาจเสียเวลาโดยไม่ประสบผลสำเร็จ

    การผูกความร่วมมือกับ Oracle อาจสร้างความผูกพันทางเทคโนโลยี (vendor lock-in)  
    • บริษัทอาจต้องพึ่งพาเครื่องมือหรือแพลตฟอร์มเฉพาะมากเกินไป  
    • ควรวางแผนใช้เทคโนโลยีแบบเปิดเพื่อยืดหยุ่นในอนาคต

    การแข่งขันภายในโปรแกรมอาจสูงขึ้นเรื่อย ๆ  
    • หากบริษัทเข้าร่วมมากขึ้น ความโดดเด่นของแต่ละรายอาจลดลง  
    • จำเป็นต้องมีจุดขายเฉพาะที่ชัดเจน

    https://www.techradar.com/pro/oracle-wants-to-help-smaller-firms-sell-their-tech-to-the-us-government
    ที่ผ่านมา เวลาพูดถึงเทคโนโลยีในกองทัพ คนก็มักนึกถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่กี่เจ้า เช่น Lockheed Martin หรือ Palantir แต่ Oracle ตอนนี้กำลังเปิดประตูใหม่ให้ “บริษัทเล็ก ๆ ที่มีของดี” ได้เข้าถึงโอกาสในวงการนี้ผ่านโครงการใหม่ชื่อ Oracle Defense Ecosystem ใจความหลักคือ Oracle จะสนับสนุนบริษัทเทคโนโลยีเล็ก-กลางให้มีโอกาสเข้าร่วมประกวดราคา (bidding) ในโครงการของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (DoD) โดยช่วยตั้งแต่ที่ทำงาน, เครื่องมือ, การให้คำปรึกษา และแม้แต่ส่วนลดในการใช้แพลตฟอร์มจาก Oracle และ Palantir เป้าหมายคือทำให้บริษัทที่เคยหมดหวังกับความยุ่งยากของระบบจัดซื้อของรัฐ – มีทางลัด มีคนแนะนำ และเข้าใจวิธีการเข้าถึงตลาดมูลค่าสูงระดับชาติ ที่เดิมเคยสงวนไว้แค่กับบริษัท “สายตรงเพนตากอน” เท่านั้น เบื้องหลังของความเคลื่อนไหวนี้ยังบอกถึงการปรับตัวครั้งใหญ่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการเลิกพึ่งพาเจ้าเดิม ๆ และเปิดรับนวัตกรรมจากภาคเอกชนมากขึ้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความหลากหลายของเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ✅ Oracle เปิดตัวโปรแกรม “Defense Ecosystem” สำหรับบริษัทเทคโนโลยี SMB   • ช่วยเข้าถึงสัญญาโครงการจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (DoD)   • เริ่มต้นมี 10 บริษัทเข้าร่วม เช่น Blackshar.ai, SensusQ, Arqit ✅ สิทธิประโยชน์สำหรับผู้เข้าร่วมโปรแกรม   • ใช้พื้นที่สำนักงานของ Oracle   • ได้ส่วนลดการใช้งาน Palantir Cloud/AI Tools และ Oracle NetSuite   • รับคำปรึกษาเฉพาะจากผู้เชี่ยวชาญด้านจัดซื้อของรัฐบาล ✅ เป้าหมายของโครงการ   • ปรับสมดุลให้บริษัทเล็กสามารถแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี-กลาโหม   • ผลักดัน Oracle Cloud ให้แทรกซึมในการใช้งานของภาครัฐโดยอ้อม ✅ รัฐบาลสหรัฐกำลังปฏิรูประบบจัดซื้อเทคโนโลยีภาครัฐ   • ยกเลิกแนวโน้มผูกขาดกับรายเดิม ๆ   • สนับสนุนการประหยัดงบประมาณและเพิ่มความคล่องตัวในนโยบายความมั่นคง ✅ Oracle วางตัวเป็นแกนกลางใหม่ของ AI และ Defense Tech Ecosystem   • ร่วมกับพันธมิตรภาคเอกชนและหน่วยงานพันธมิตรของสหรัฐฯ ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง: ‼️ แม้จะเปิดรับบริษัทเล็ก แต่ขั้นตอนจัดซื้อของกระทรวงกลาโหมยังซับซ้อนมาก   • ต้องเข้าใจขั้นตอนการขออนุญาต ความปลอดภัย และ compliance ขั้นสูง   • บริษัทที่ขาดแผนงานระยะยาวอาจเสียเวลาโดยไม่ประสบผลสำเร็จ ‼️ การผูกความร่วมมือกับ Oracle อาจสร้างความผูกพันทางเทคโนโลยี (vendor lock-in)   • บริษัทอาจต้องพึ่งพาเครื่องมือหรือแพลตฟอร์มเฉพาะมากเกินไป   • ควรวางแผนใช้เทคโนโลยีแบบเปิดเพื่อยืดหยุ่นในอนาคต ‼️ การแข่งขันภายในโปรแกรมอาจสูงขึ้นเรื่อย ๆ   • หากบริษัทเข้าร่วมมากขึ้น ความโดดเด่นของแต่ละรายอาจลดลง   • จำเป็นต้องมีจุดขายเฉพาะที่ชัดเจน https://www.techradar.com/pro/oracle-wants-to-help-smaller-firms-sell-their-tech-to-the-us-government
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 324 มุมมอง 0 รีวิว
  • เยอรมนีเตรียมเลิกใช้ Microsoft: "เราพอแล้วกับ Teams!"
    รัฐ Schleswig-Holstein ทางตอนเหนือของเยอรมนี กำลังดำเนินการเปลี่ยนจากซอฟต์แวร์ของ Microsoft ไปใช้ โอเพ่นซอร์ส อย่างเต็มรูปแบบ โดยเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 60,000 คน จะเลิกใช้ Teams, Word, Excel และ Outlook ภายในสามเดือนข้างหน้า เพื่อเพิ่มความเป็นอิสระ ความยั่งยืน และความปลอดภัย.

    เหตุผลที่เยอรมนีเลิกใช้ Microsoft
    ลดค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ ที่มีมูลค่าหลายล้านยูโรต่อปี.
    ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากบริษัทสหรัฐฯ.
    ปฏิบัติตามกฎหมาย "Interoperable Europe Act" ที่สนับสนุนการใช้โอเพ่นซอร์สในหน่วยงานรัฐ.
    ปัญหาด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล โดยเฉพาะการจัดเก็บข้อมูลของพลเมือง.

    ผลกระทบและข้อควรระวัง
    การเปลี่ยนระบบอาจมีความยุ่งยากในช่วงแรก เนื่องจากต้องฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้คุ้นเคยกับซอฟต์แวร์ใหม่.
    อาจเกิดปัญหาความเข้ากันได้กับเอกสารและระบบเดิม ที่ยังใช้ Microsoft Office.
    ต้องมีการสนับสนุนทางเทคนิคที่แข็งแกร่ง เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่น.

    แนวทางการเปลี่ยนไปใช้โอเพ่นซอร์ส
    ใช้ LibreOffice แทน Microsoft Office ซึ่งรองรับไฟล์เอกสารส่วนใหญ่.
    เปลี่ยนจาก Windows เป็น Linux เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดค่าใช้จ่าย.
    ใช้ Nextcloud แทน OneDrive และ Google Drive สำหรับการจัดเก็บและแชร์ไฟล์.
    ใช้ Open-Xchange แทน Outlook เพื่อการจัดการอีเมลและปฏิทิน.

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลเยอรมนี
    รัฐบาลฝรั่งเศสและอินเดียก็เริ่มเปลี่ยนไปใช้โอเพ่นซอร์ส เช่นเดียวกับเยอรมนี.
    เมืองมิวนิกเคยเปลี่ยนไปใช้ Linux ในปี 2004 แต่กลับมาใช้ Windows ในปี 2017 เนื่องจากปัญหาด้านการสนับสนุน.
    องค์กรที่ต้องการเปลี่ยนไปใช้โอเพ่นซอร์สควรมีแผนรองรับ เพื่อป้องกันปัญหาด้านความเข้ากันได้.

    https://www.techspot.com/news/108327-german-state-moves-closer-ditching-microsoft-products-government.html
    เยอรมนีเตรียมเลิกใช้ Microsoft: "เราพอแล้วกับ Teams!" รัฐ Schleswig-Holstein ทางตอนเหนือของเยอรมนี กำลังดำเนินการเปลี่ยนจากซอฟต์แวร์ของ Microsoft ไปใช้ โอเพ่นซอร์ส อย่างเต็มรูปแบบ โดยเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 60,000 คน จะเลิกใช้ Teams, Word, Excel และ Outlook ภายในสามเดือนข้างหน้า เพื่อเพิ่มความเป็นอิสระ ความยั่งยืน และความปลอดภัย. เหตุผลที่เยอรมนีเลิกใช้ Microsoft ✅ ลดค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ ที่มีมูลค่าหลายล้านยูโรต่อปี. ✅ ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากบริษัทสหรัฐฯ. ✅ ปฏิบัติตามกฎหมาย "Interoperable Europe Act" ที่สนับสนุนการใช้โอเพ่นซอร์สในหน่วยงานรัฐ. ✅ ปัญหาด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล โดยเฉพาะการจัดเก็บข้อมูลของพลเมือง. ผลกระทบและข้อควรระวัง ‼️ การเปลี่ยนระบบอาจมีความยุ่งยากในช่วงแรก เนื่องจากต้องฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้คุ้นเคยกับซอฟต์แวร์ใหม่. ‼️ อาจเกิดปัญหาความเข้ากันได้กับเอกสารและระบบเดิม ที่ยังใช้ Microsoft Office. ‼️ ต้องมีการสนับสนุนทางเทคนิคที่แข็งแกร่ง เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่น. แนวทางการเปลี่ยนไปใช้โอเพ่นซอร์ส ✅ ใช้ LibreOffice แทน Microsoft Office ซึ่งรองรับไฟล์เอกสารส่วนใหญ่. ✅ เปลี่ยนจาก Windows เป็น Linux เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดค่าใช้จ่าย. ✅ ใช้ Nextcloud แทน OneDrive และ Google Drive สำหรับการจัดเก็บและแชร์ไฟล์. ✅ ใช้ Open-Xchange แทน Outlook เพื่อการจัดการอีเมลและปฏิทิน. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลเยอรมนี ✅ รัฐบาลฝรั่งเศสและอินเดียก็เริ่มเปลี่ยนไปใช้โอเพ่นซอร์ส เช่นเดียวกับเยอรมนี. ✅ เมืองมิวนิกเคยเปลี่ยนไปใช้ Linux ในปี 2004 แต่กลับมาใช้ Windows ในปี 2017 เนื่องจากปัญหาด้านการสนับสนุน. ‼️ องค์กรที่ต้องการเปลี่ยนไปใช้โอเพ่นซอร์สควรมีแผนรองรับ เพื่อป้องกันปัญหาด้านความเข้ากันได้. https://www.techspot.com/news/108327-german-state-moves-closer-ditching-microsoft-products-government.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    German government moves closer to ditching Microsoft: "We're done with Teams!"
    Plans to go open-source were drawn up by Schleswig-Holstein as far back as 2017. In 2021, the state found another incentive to make the switch: Windows 11's...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเปลี่ยนอะไหล่แท็บเล็ต: วิธีประหยัดเงินและยืดอายุการใช้งาน
    แท็บเล็ตเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะใช้ทำงาน เรียน หรือเพื่อความบันเทิง แต่เมื่อเกิดปัญหาด้านฮาร์ดแวร์ เช่น หน้าจอแตก แบตเตอรี่เสื่อม หรือพอร์ตชาร์จเสีย การเปลี่ยนอะไหล่แทนการซื้อเครื่องใหม่สามารถช่วยประหยัดเงินได้มาก

    เหตุผลที่ควรซ่อมแทนการซื้อใหม่
    แท็บเล็ตใหม่มีราคาสูง โดยเฉพาะรุ่นพรีเมียม เช่น iPad Pro หรือ Galaxy Tab S9 Ultra.
    การเปลี่ยนอะไหล่ช่วยลดค่าใช้จ่าย เช่น การเปลี่ยนหน้าจอหรือแบตเตอรี่มีราคาถูกกว่าการซื้อเครื่องใหม่หลายเท่า.
    ชุดซ่อม DIY มีจำหน่ายพร้อมเครื่องมือและคู่มือ ทำให้การซ่อมเองเป็นเรื่องง่ายขึ้น แม้แต่ผู้เริ่มต้น.

    อะไหล่แท็บเล็ตที่ควรเปลี่ยนและข้อควรระวัง
    หน้าจอ เป็นอะไหล่ที่เปลี่ยนบ่อยที่สุดหลังจากการตกกระแทก ควรเลือกหน้าจอที่มีกาวติดตั้งมาให้แล้ว.
    แบตเตอรี่ มีอายุการใช้งานประมาณ 300-500 รอบการชาร์จ ก่อนที่จะเริ่มเสื่อม.
    พอร์ตชาร์จ อาจหลวมจากการใช้งานบ่อย ควรตรวจสอบว่าพอร์ตเป็นแบบโมดูลหรือแบบต้องบัดกรี.
    การเปลี่ยนหน้าจอและพอร์ตชาร์จต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะอาจทำให้สายแพรภายในเสียหาย.
    บางอะไหล่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ เช่น ปืนลมร้อนหรือแผ่นแม่เหล็กสำหรับจัดเรียงสกรู.

    เครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการซ่อม
    ไขควงความละเอียดสูง สำหรับเปิดฝาแท็บเล็ต.
    เครื่องมืองัดพลาสติก เพื่อถอดหน้าจอโดยไม่ทำให้เกิดรอย.
    ถุงมือป้องกันไฟฟ้าสถิต เพื่อป้องกันความเสียหายต่อวงจรภายใน.

    เคล็ดลับการซ่อมให้สำเร็จ
    ดูวิดีโอสอนก่อนเริ่มซ่อม เพื่อเข้าใจขั้นตอนอย่างละเอียด.
    ใช้พื้นที่ทำงานที่สะอาดและไม่มีไฟฟ้าสถิต เพื่อป้องกันความเสียหายต่ออุปกรณ์.
    อย่าประกอบเครื่องกลับก่อนทดสอบอะไหล่ใหม่ เพราะอาจต้องแกะออกมาแก้ไขอีกครั้ง.

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซ่อมแท็บเล็ต
    อะไหล่แท็บเล็ตที่ได้รับความนิยม เช่น หน้าจอ iPad 9, พอร์ตชาร์จ Galaxy Tab A7 และแบตเตอรี่แท็บเล็ต Onn.
    การเลือกอะไหล่ที่เหมาะสม ควรตรวจสอบรุ่นแท็บเล็ตก่อนซื้อเพื่อให้แน่ใจว่าเข้ากันได้.
    การซ่อมบางประเภทอาจต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ เช่น การเปลี่ยนพอร์ตชาร์จที่ต้องบัดกรี.

    https://computercity.com/tablets/tablet-replacement-parts
    การเปลี่ยนอะไหล่แท็บเล็ต: วิธีประหยัดเงินและยืดอายุการใช้งาน แท็บเล็ตเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะใช้ทำงาน เรียน หรือเพื่อความบันเทิง แต่เมื่อเกิดปัญหาด้านฮาร์ดแวร์ เช่น หน้าจอแตก แบตเตอรี่เสื่อม หรือพอร์ตชาร์จเสีย การเปลี่ยนอะไหล่แทนการซื้อเครื่องใหม่สามารถช่วยประหยัดเงินได้มาก เหตุผลที่ควรซ่อมแทนการซื้อใหม่ ✅ แท็บเล็ตใหม่มีราคาสูง โดยเฉพาะรุ่นพรีเมียม เช่น iPad Pro หรือ Galaxy Tab S9 Ultra. ✅ การเปลี่ยนอะไหล่ช่วยลดค่าใช้จ่าย เช่น การเปลี่ยนหน้าจอหรือแบตเตอรี่มีราคาถูกกว่าการซื้อเครื่องใหม่หลายเท่า. ✅ ชุดซ่อม DIY มีจำหน่ายพร้อมเครื่องมือและคู่มือ ทำให้การซ่อมเองเป็นเรื่องง่ายขึ้น แม้แต่ผู้เริ่มต้น. อะไหล่แท็บเล็ตที่ควรเปลี่ยนและข้อควรระวัง ✅ หน้าจอ เป็นอะไหล่ที่เปลี่ยนบ่อยที่สุดหลังจากการตกกระแทก ควรเลือกหน้าจอที่มีกาวติดตั้งมาให้แล้ว. ✅ แบตเตอรี่ มีอายุการใช้งานประมาณ 300-500 รอบการชาร์จ ก่อนที่จะเริ่มเสื่อม. ✅ พอร์ตชาร์จ อาจหลวมจากการใช้งานบ่อย ควรตรวจสอบว่าพอร์ตเป็นแบบโมดูลหรือแบบต้องบัดกรี. ‼️ การเปลี่ยนหน้าจอและพอร์ตชาร์จต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะอาจทำให้สายแพรภายในเสียหาย. ‼️ บางอะไหล่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ เช่น ปืนลมร้อนหรือแผ่นแม่เหล็กสำหรับจัดเรียงสกรู. เครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการซ่อม ✅ ไขควงความละเอียดสูง สำหรับเปิดฝาแท็บเล็ต. ✅ เครื่องมืองัดพลาสติก เพื่อถอดหน้าจอโดยไม่ทำให้เกิดรอย. ✅ ถุงมือป้องกันไฟฟ้าสถิต เพื่อป้องกันความเสียหายต่อวงจรภายใน. เคล็ดลับการซ่อมให้สำเร็จ ✅ ดูวิดีโอสอนก่อนเริ่มซ่อม เพื่อเข้าใจขั้นตอนอย่างละเอียด. ✅ ใช้พื้นที่ทำงานที่สะอาดและไม่มีไฟฟ้าสถิต เพื่อป้องกันความเสียหายต่ออุปกรณ์. ‼️ อย่าประกอบเครื่องกลับก่อนทดสอบอะไหล่ใหม่ เพราะอาจต้องแกะออกมาแก้ไขอีกครั้ง. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซ่อมแท็บเล็ต ✅ อะไหล่แท็บเล็ตที่ได้รับความนิยม เช่น หน้าจอ iPad 9, พอร์ตชาร์จ Galaxy Tab A7 และแบตเตอรี่แท็บเล็ต Onn. ✅ การเลือกอะไหล่ที่เหมาะสม ควรตรวจสอบรุ่นแท็บเล็ตก่อนซื้อเพื่อให้แน่ใจว่าเข้ากันได้. ‼️ การซ่อมบางประเภทอาจต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ เช่น การเปลี่ยนพอร์ตชาร์จที่ต้องบัดกรี. https://computercity.com/tablets/tablet-replacement-parts
    COMPUTERCITY.COM
    Tablet Replacement Parts Guide: Save Money and Extend Your Device’s Life
    Tablets have become indispensable for work, school, entertainment, and even creative tasks. From iPads to Galaxy Tabs and Amazon Fire tablets, these compact
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • Pirelli เปิดตัว Cyber Tyre: ยางอัจฉริยะที่ตรวจสอบสภาพถนนแบบเรียลไทม์
    Pirelli ร่วมมือกับรัฐบาลภูมิภาค Apulia ในอิตาลี เพื่อเปิดตัว โครงการนำร่องที่ใช้ยางอัจฉริยะ Cyber Tyre ซึ่งสามารถ ตรวจสอบสภาพถนนแบบเรียลไทม์ โดยใช้ เซ็นเซอร์ในตัวยางและกล้องวิเคราะห์ภาพ

    เซ็นเซอร์ในตัวยางช่วยตรวจสอบสภาพถนน
    - Cyber Tyre มีเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งภายในยาง ซึ่งสามารถ วัดอุณหภูมิและแรงดันลมยาง
    - เซ็นเซอร์สามารถทนต่อแรงกระแทกสูงถึง 3,500G และใช้ แบตเตอรี่ขนาดเล็กที่มีอายุการใช้งานเท่ากับอายุของยาง

    ระบบวิเคราะห์ภาพช่วยตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐาน
    - ใช้กล้องจาก Univrses บริษัทเทคโนโลยีจากสวีเดน เพื่อ ตรวจสอบพื้นผิวถนนและป้ายจราจร
    - ข้อมูลทั้งหมดถูกส่งไปยังระบบคลาวด์เพื่อให้หน่วยงานท้องถิ่นสามารถเข้าถึงและวิเคราะห์ได้

    ใช้รถยนต์เฉพาะทางเพื่อเก็บข้อมูล
    - โครงการนำร่องใช้รถยนต์จาก Ayvens ซึ่งเป็นบริษัทจัดการรถเช่าในยุโรป
    - การใช้รถเฉพาะทางช่วยลดปัญหาด้านความเป็นส่วนตัวที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลจากรถยนต์ส่วนบุคคล

    ผลกระทบต่อการบำรุงรักษาถนนและความปลอดภัย
    ช่วยให้หน่วยงานสามารถซ่อมแซมถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    - ข้อมูลจาก Cyber Tyre ช่วยให้สามารถระบุจุดที่ต้องซ่อมแซมได้อย่างแม่นยำ

    ลดต้นทุนการบำรุงรักษาถนนในระยะยาว
    - การตรวจสอบสภาพถนนแบบเรียลไทม์ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและซ่อมแซม

    ต้องติดตามว่าระบบนี้จะสามารถนำไปใช้ในประเทศอื่น ๆ ได้หรือไม่
    - หากโครงการนำร่องประสบความสำเร็จ อาจมีการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในระดับสากล

    อนาคตของ Cyber Tyre และเทคโนโลยียางอัจฉริยะ
    Pirelli กำลังพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกับ Bosch เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเซ็นเซอร์ในยาง Cyber Tyre อาจถูกนำไปใช้ในรถยนต์ระดับหรู เช่น Pagani Utopia Roadster

    https://www.techspot.com/news/108301-pirelli-new-sensor-equipped-tires-monitor-road-conditions.html
    🚗 Pirelli เปิดตัว Cyber Tyre: ยางอัจฉริยะที่ตรวจสอบสภาพถนนแบบเรียลไทม์ Pirelli ร่วมมือกับรัฐบาลภูมิภาค Apulia ในอิตาลี เพื่อเปิดตัว โครงการนำร่องที่ใช้ยางอัจฉริยะ Cyber Tyre ซึ่งสามารถ ตรวจสอบสภาพถนนแบบเรียลไทม์ โดยใช้ เซ็นเซอร์ในตัวยางและกล้องวิเคราะห์ภาพ ✅ เซ็นเซอร์ในตัวยางช่วยตรวจสอบสภาพถนน - Cyber Tyre มีเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งภายในยาง ซึ่งสามารถ วัดอุณหภูมิและแรงดันลมยาง - เซ็นเซอร์สามารถทนต่อแรงกระแทกสูงถึง 3,500G และใช้ แบตเตอรี่ขนาดเล็กที่มีอายุการใช้งานเท่ากับอายุของยาง ✅ ระบบวิเคราะห์ภาพช่วยตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐาน - ใช้กล้องจาก Univrses บริษัทเทคโนโลยีจากสวีเดน เพื่อ ตรวจสอบพื้นผิวถนนและป้ายจราจร - ข้อมูลทั้งหมดถูกส่งไปยังระบบคลาวด์เพื่อให้หน่วยงานท้องถิ่นสามารถเข้าถึงและวิเคราะห์ได้ ✅ ใช้รถยนต์เฉพาะทางเพื่อเก็บข้อมูล - โครงการนำร่องใช้รถยนต์จาก Ayvens ซึ่งเป็นบริษัทจัดการรถเช่าในยุโรป - การใช้รถเฉพาะทางช่วยลดปัญหาด้านความเป็นส่วนตัวที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลจากรถยนต์ส่วนบุคคล 🔥 ผลกระทบต่อการบำรุงรักษาถนนและความปลอดภัย ‼️ ช่วยให้หน่วยงานสามารถซ่อมแซมถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น - ข้อมูลจาก Cyber Tyre ช่วยให้สามารถระบุจุดที่ต้องซ่อมแซมได้อย่างแม่นยำ ‼️ ลดต้นทุนการบำรุงรักษาถนนในระยะยาว - การตรวจสอบสภาพถนนแบบเรียลไทม์ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและซ่อมแซม ‼️ ต้องติดตามว่าระบบนี้จะสามารถนำไปใช้ในประเทศอื่น ๆ ได้หรือไม่ - หากโครงการนำร่องประสบความสำเร็จ อาจมีการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในระดับสากล 🚀 อนาคตของ Cyber Tyre และเทคโนโลยียางอัจฉริยะ ✅ Pirelli กำลังพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกับ Bosch เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเซ็นเซอร์ในยาง ✅ Cyber Tyre อาจถูกนำไปใช้ในรถยนต์ระดับหรู เช่น Pagani Utopia Roadster https://www.techspot.com/news/108301-pirelli-new-sensor-equipped-tires-monitor-road-conditions.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Pirelli's new sensor-equipped tires to monitor road conditions in real time
    At the heart of the project is Pirelli's Cyber Tyre, a high-tech solution that embeds sensors within the tire itself. These sensors track a range of critical...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • **ภาพวาด 24 กตัญญู**

    สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยกันถึงฉากที่พระนางในเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> สวมหน้ากากร่วมทายปริศนากันในเทศกาลโคมไฟ วันนี้มาคุยกันต่ออีกนิดเกี่ยวกับฉากนี้ ในเนื้อเรื่องนางเอกชนะได้โคมไฟหนึ่งใบซึ่งนางมอบให้พระเอกและพระเอกให้คนส่งต่อไปให้พ่อของเขา โดยโคมไฟใบนี้เป็นลายภาพที่นางเอกเรียกว่า ‘ภาพวาด 24 กตัญญู’

    ‘24 กตัญญู’ (二十四孝/เอ้อร์สือซื่อเซี่ยว) เป็นเรื่องราวความกตัญญูยี่สิบสี่เรื่องที่ถูกเรียบเรียงขึ้นในสมัยหยวนโดยกัวจวีจิ้ง บัณฑิตชนบทธรรดาจากหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งในมณฑลฝูเจี้ยน โดยเป็นการรวบรวมเรื่องเล่าความกตัญญูในประวัติศาสตร์จากหลายแหล่งมาเรียบเรียงเป็นประโยคกลอนสั้นประมาณสี่วรรค ทำให้ง่ายต่อการเล่าต่อและจดจำ จึงกลายเป็นหนึ่งในนิทานสอนเด็กที่ชาวบ้านนิยมอย่างแพร่หลาย ต่อมาถูกหยิบยกมาเป็นเนื้อหาของภาพวาดหรืองานแกะสลักโดยหลากหลายศิลปินหลายยุคสมัย

    เนื้อหาส่วนใหญ่ของบทกวี 24 กตัญญูมีที่มาจาก ‘ตำนานบุตรกตัญญู’ (孝子传/เซี่ยวจื่อจ้วน) ซึ่งถูกประพันธ์ขึ้นโดยหลิวเซี่ยง ราชนิกุลและนักประวัติศาสตร์อักษรศาสตร์สมัยฮั่นตะวันตก เป็นหนึ่งในบทประพันธ์ที่สะท้อนแนวคำสอนและปรัชญาของขงจื๊อ และต่อมา ‘ตำนานบุตรกตัญญู’ ถูกนำไปรวมอยู่ในอีกหลากหลายบทประพันธ์ในอีกหลายยุคสมัย หนึ่งในนั้นคือบันทึกเรื่องเล่าความกตัญญูยาวกว่าห้าม้วนที่ถูกค้นพบในห้องศิลาที่ตุนหวง

    24 กตัญญูกล่าวถึงอะไรบ้าง บทความยาวหน่อยนะคะ สรุปโดยสั้นได้ดังนี้ (ดูรูปประกอบ):

    1. กตัญญูสะเทือนสวรรค์: เป็นเรื่องราวของจักรพรรดิซุ่นกว่าสี่พันปีที่แล้ว (เป็นหนึ่งในสามราชันห้าจักรพรรดิในตำนาน) เมื่อครั้งเขายังเป็นชาวบ้านธรรมดาก็ถูกพ่อ แม่เลี้ยงและน้องต่างมารดาให้ร้ายสารพัดจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่เขาไม่คิดแค้นเคืองและยังคงดูแลพวกเขาอย่างดี จนสวรรค์เห็นใจจึงบันดาลให้มีช้างมาช่วยปรับผิวดินและมีนกมาช่วยหว่านเมล็ดพืชจนทำมาหาเลี้ยงชีพได้ ต่อมาจักรพรรดิ์เหยาได้ยินกิตติศัพท์ความกตัญญูของเขาก็รับเป็นราชบุตรเขยและสุดท้ายให้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป

    2. แบกข้าวให้บุพการี: กล่าวถึงจงโหยว (นามรองจื่อลู่) หนึ่งในศิษย์เอกของขงจื๊อ ขุนนางชื่อดังแห่งแคว้นเว่ยในยุคสมัยชุนชิว เขามีพื้นเพยากจน ทุกวันจะกินแต่ผักผลไม้ป่าเพื่อประหยัดเงิน แต่ยอมเดินทางไกลกว่าร้อยหลี่เพื่อไปหาซื้อข้าวแบกกลับมาให้พ่อแม่กิน ต่อมาเมื่อชีวิตความเป็นอยู่ดีมีอันจะกินก็มักจะพร่ำเสียดายที่พ่อแม่ไม่มีชีวิตอยู่ดีกินดีกับเขา

    3. ฮ่องเต้ชิมยา: เป็นเรื่องราวของฮั่นเหวินตี้หลิวเหิง บุตรของป๋อไทเฮา ที่คอยดูแลป๋อไทเฮาในยามป่วยตลอดสามปีด้วยตนเองแม้จะเป็นถึงฮ่องเต้มีข้าราชบริพารมากมาย โดยจะชิมยาของแม่ก่อนป้อนให้แม่ทุกครั้งเพื่อทดสอบว่ายานั้นอุ่นกำลังดีไม่ร้อนเกินไป

    4. ขายตัวฝังศพพ่อ: เป็นเรื่องราวของบุรุษนามว่าตงหย่งในสมัยฮั่นที่กำพร้าแม่แต่เด็ก ต่อมาเมื่อพ่อเสียชีวิตก็ไม่มีเงินทำศพพ่อจึงยอมขายตัวเองไปเป็นทาส วันหนึ่งพบเข้ากับสตรีกำพร้าไร้ที่ไป นางขอให้เขาช่วยแต่งงานอยู่กินกันโดยนางยินดีเข้าไปช่วยทำงานที่เรือนเศรษฐีด้วย เศรษฐีตกลงว่าเมื่อนางทอผ้าได้ครบสามร้อยพับก็จะอนุญาตให้ทั้งคู่ไถ่ตัวได้ นางใช้เวลาเพียงเดือนเดียวก็ทำสำเร็จ ต่อมานางบอกความจริงว่านางเป็นเทพธิดาและสวรรค์ซาบซึ้งกับความกตัญญูของเขาจึงมอบหมายให้มาช่วยเขา จากนั้นก็อำลาจากไป

    5. สีสันบันเทิงเพื่อบุพการี: กล่าวถึงเหล่าช่ายจื่อ หนึ่งในบัณฑิตมากความรู้ที่เร้นกายอยู่ในป่าในสมัยชุนชิว เขารักพ่อแม่มากอยากให้พ่อแม่เบิกบานใจทุกวัน ถึงขนาดว่าตัวเองอยู่ในวัย 70 ปีแล้วแต่ก็ยังแต่งตัวสีสันฉูดฉาดเล่นเป็นเด็ก หกล้มลงก็แกล้งทำเป็นกลิ้งเล่นอยู่บนพื้นเพื่อให้พ่อแม่วัยเฒ่าหัวเราะแทนที่จะตกใจเสียใจ

    6. นิ้วแม่เชื่อมใจลูก: เป็นเรื่องราวของเจิงจื่อ นักปรัชญาแห่งราชสำนักโจวและลูกศิษย์ของขงจื๊อ ที่วันหนึ่งออกไปเก็บฟืน แต่มีแขกมาเยือน แม่ของเขาอยู่บ้านคนเดียวก็กระวนกระวายไม่รู้ว่าจะต้อนรับขับสู้อย่างไรดี จนถึงขนาดกัดนิ้วตนเองด้วยความเครียด เจิงจื่อที่อยู่ในป่ากลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บนั้น จึงรีบรุดกลับบ้านมาดูแม่และรับรองแขกด้วยตนเอง บ่งบอกถึงสายใยเหนียวแน่นของแม่ลูก

    7. คัดผลไม้ให้แม่กิน: เป็นเรื่องราวของไช่ซุ่นในสมัยฮั่น เขาอาศัยเก็บผลหม่อนกินประทังชีวิตเพราะยากจนมากและข้าวของราคาแพงเพราะสงคราม อยู่มาวันหนึ่งมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่นำขบวนทหารผ่านมาเห็นเขาแยกผลหม่อน ถามได้ความว่าเขาแยกผลสุกสีเข้มให้แม่กิน ส่วนตัวเองกินที่สีแดงที่ยังเปรี้ยวเฝื่อน นายทหารเห็นแก่ความกตัญญูของเขาจึงแบ่งปันเสบียงทหารให้ชายหนุ่ม

    8. กราบไหว้รูปสลักบุพการี: กล่าวถึงบุรุษสมัยฮั่นตะวันออกนามว่าหลันติงที่กำพร้าพ่อแม่แต่เด็ก เขาแกะสลักรูปปั้นพ่อแม่ตั้งไว้ในบ้านกราบไหว้ทุกวันเพราะละอายใจที่ไม่มีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณ ไม่เพียงกราบไหว้สามมื้อก่อนจะกินข้าว แต่มีเรื่องอะไรก็จะไปนั่งคุยให้รูปปั้นฟัง หนักเข้าภรรยาก็รำคาญ เลยลองเอาเข็มไปจิ้มรูปปั้น เมื่อเขากลับมาบ้านพบว่ารูปปั้นน้ำตาไหล เมื่อสืบสาวราวเรื่องได้แล้วเขาก็เลิกกับภรรยา

    9. น้ำนมกวางเพื่อบุพการี: กล่าวถึงถานจื่อ ประมุขแคว้นถานซึ่งเป็นแคว้นเล็กในสมัยราชวงศ์โจว ในสมัยเด็กเขายากจนและต้องดูแลพ่อแม่ที่แก่ชราแล้วและตาไม่ดี ต้องกินนมกวางช่วยบำรุงรักษา เขามักจะใช้หนังกวางคลุมตัวแล้วย่องเข้าไปปะปนอยู่ในฝูงกวางเพื่อเอานมกวางมาให้พ่อแม่กิน มีอยู่ครั้งหนึ่งเกือบโดนนายพรานยิง แต่เมื่อนายพรานได้ยินเรื่องราวความจำเป็นของเขาก็ยกนมกวางให้และยังส่งเขากลับบ้านด้วยตนเอง

    10. สวมเสื้อไส้ใยกก: เป็นเรื่องของหมินสุ่น (นามรองจื่อเชียน) หนึ่งในลูกศิษย์ของขงจื๊อ เขากำพร้าแม่ตั้งแต่เด็ก พ่อแต่งภรรยาใหม่มีลูกชายอีกสองคน เขาถูกแม่เลี้ยงกลั่นแกล้งบ่อยครั้ง ต้องสวมเสื้อใยกกในขณะที่น้องๆ ได้สวมเสื้อบุฝ้ายในยามหนาว วันหนึ่งเขาช่วยจูงรถให้พ่อแต่หนาวจนทำให้เชือกหลุดมือ พ่อบันดาลโทสะเฆี่ยนจนเสื้อขาดจึงพบว่าลูกชายคนนี้ใส่เสื้อผ้าที่ไม่ช่วยกันหนาว พ่อโกรธแม่เลี้ยงมากถึงกับเอ่ยปากบอกเลิกทันทีที่กลับถึงบ้าน แต่หมินสุ่นอ้อนวอนขออภัยแทนแม่เลี้ยง โดยให้เหตุผลว่า ตอนนี้มีลูกเพียงคนเดียวที่ลำบาก แต่ถ้าแม่เลี้ยงไม่อยู่จะมีลูกถึงสามคนที่ลำบาก สุดท้ายแม่เลี้ยงได้รับการให้อภัย นางจึงกลับตัวกลับใจดูแลหมินสุ่นอย่างดีนับแต่นั้นมา

    11. ฝังลูกเพื่อแม่: กล่าวถึงบุรุษนามว่ากัวจวี้ในสมัยฮั่น เขามีฐานะยากจน เมื่อพ่อเสียก็แลแม่เป็นอย่างดี ต่อมาเมื่อภรรยาคลอดบุตร เขาก็รู้สึกว่าเลี้ยงดูไม่ไหวและไม่อยากให้แม่ต้องมาอดมื้อกินมื้อไปกับเขา จึงตัดสินใจจะฝังลูกเพื่อจะได้ลดค่าใช้จ่ายโดยไม่ฟังคำทัดทานของภรรยา แต่เมื่อขุดดินลงไปกลับพบทองคำหนึ่งไห เรื่องราวจบลงด้วยดีโดยเขาไม่ต้องฆ่าลูกตัวเองและมีฐานะดีขึ้น

    12. ปลากระโดดจากบ่อน้ำ: กล่าวถึงบุรุษนามว่าเจียงซือในสมัยฮั่น เขามีภรรยาแซ่ผางที่กตัญญูกับแม่สามีมาก แม่สามีชอบกินปลาก็ออกไปจับปลามาให้กิน อยู่มาวันหนึ่งอากาศไม่ดีกว่านางแซ่ผางจะกลับถึงบ้านก็ดึกจึงถูกเจียงซือไล่ออกจากบ้านเพราะเข้าใจผิดว่านางตั้งใจละเลยแม่ของเขา เมื่อแม่ของเจียงซือรู้เรื่องให้เจียงซือไปรับนางกลับมา และตั้งแต่วันที่นางกลับเข้าบ้านมาก็ปรากฏปลาหลีฮื้อสองตัวกระโดดออกมาจากบ่อน้ำกลางบ้านทุกวัน ทำให้นางไม่ต้องไปจับปลาในแม่น้ำอีกต่อไป

    13. ซุกส้มให้แม่: เป็นเรื่องราวของลู่จี้ ขุนนางในสมัยราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย กล่าวถึงเมื่อตอนเขาอายุหกขวบ ได้มีโอกาสติดตามพ่อไปพบแม่ทัพท่านหนึ่งที่จวน ครั้นพอเขาคารวะอำลากลับ ส้มสองลูกที่เขาซุกไว้อยู่ในแขนเสื้อกลิ้งหล่นออกมา สอบถามได้ใจความว่าเขาเห็นแม่ชอบกินส้มจึงตั้งใจเก็บเอาไปให้แม่กิน ทำให้แม่ทัพรู้สึกประหลาดใจและชมชอบในความกตัญญูของเด็กคนนี้

    14. ยินเสียงฟ้าร้องปลอบแม่ที่หลุมศพ: กล่าวถึงบัณฑิตหนุ่มจากแคว้นเว่ยนามว่าหวางโผว แม่ของเขาเป็นคนกลัวเสียงฟ้าร้องมาก แม้ว่าจะตายไปแล้วแต่ทุกครั้งที่ฝนตกหนักฟ้าร้อง หวางโผวจะไปกราบหลุมศพนางพร้อมกับปลอบให้นางไม่ต้องกลัว

    15. กอดเสือช่วยพ่อ: กล่าวถึงสตรีนางหนึ่งในสมัยราชวงศ์จิ้นนามว่าหยางเซียง เมื่อครั้งนางมีอายุสิบสี่ปีได้ออกไปทำนากับพ่อ แต่พลันปรากฏเสือตัวหนึ่งกระโจนใส่พ่อจนล้มไป นางไม่มีอาวุธใดแต่ก็กระโดดกอดคอเสือแน่นเพื่อไม่ให้เสือกัดพ่อ สุดท้ายเสือยอมแพ้ปล่อยพ่อของนางแล้วหนีไป

    16. ให้นมย่าทวด: เป็นเรื่องราวความกตัญญูของย่าของเจี๋ยตู้สื่อชุยซานหนานในสมัยถัง เล่าถึงเมื่อครั้งที่ย่าทวดของชุยซานหนานทั้งแก่ทั้งไม่สบายจนเคี้ยวอาหารหยาบไม่ได้เลย ย่าของเขาคอยดูแลโดยใช้น้ำนมของตนป้อนจนย่าทวดอิ่ม ต่อมาทั้งครอบครัวอยู่กันอย่างสงบสุขและรุ่นลูกรุ่นหลานล้วนแสดงความกตัญญูต่อย่าของเขาเช่นกัน

    17. พัดหมอนอุ่นผ้าห่ม: เป็นเรื่องราวของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในสมัยฮั่นนามว่าหวงเซียง เขากำพร้าแม่แต่เด็กและคอยดูแลพ่อ แม้ด้วยวัยเพียงเก้าขวบก็รู้จักพัดหมอนของพ่อให้คลายร้อนในหน้าร้อนและนอนอุ่นผ้าห่มของพ่อในหน้าหนาวเพื่อว่าพ่อของเขาจะได้นอนหลับสบาย

    18. ร่ำไห้จนเกิดหน่อไม้: กล่าวถึงขุนนางสมัยสามก๊กนามว่าเมิ่งจง เขากำพร้าพ่อแต่เด็ก เมื่อครั้งยังหนุ่มต้องดูแลแม่ที่ชราและป่วยหนัก หมอบอกว่าต้องให้แม่กินหน่อไม้สด แต่จนใจเป็นฤดูหนาว เขาหาจนทั่วก็ไม่มีจึงเสียใจคุกเข่าร้องไห้กลางป่า ปรากฏว่าอยู่ดีๆ พื้นดินก็แยกออกแล้วมีหน่อไม้ผุดขึ้นมาให้เขาเก็บกลับบ้านให้แม่กินจนหายป่วย

    19. ล่อยุงแทนพ่อ: กล่าวถึงอู๋เหมิ่ง นักพรตในสมัยสามก๊ก ที่ในสมัยเด็กครอบครัวยากจนไม่มีแม้แต่มุ้งจะกางนอน เขามักจะถอดเสื้อนอนล่อให้ยุงมากัด เพื่อว่าพ่อแม่จะได้นอนหลับสบาย

    20. ล้างกระโถนให้แม่: เป็นเรื่องราวของกวีและนักเขียนอักษรชื่อดังสมัยซ่งเหนือนามว่าหวงถิงเจียน เขาดูแลแม่อย่างเสมอต้นเสมอปลายแม้ว่าจะมีฐานะดี และจะเอากระโถนของแม่ไปเทล้างด้วยตนเองทุกวันไม่เคยขาด

    21. แบกแม่หลบภัย: กล่าวถึงเจียงเก๋อ ขุนนางตงฉินชื่อดังผู้ถูกยกย่องเป็นขุนนางยอดกตัญญูในรัชสมัยของกษัตริย์อู่ตี้แห่งราชวงศ์เหลียงในยุคราชวงศ์เหนือใต้ เจียงเก๋อกำพร้าพ่อแต่เด็กและกตัญญูต่อแม่มาก ครั้งหนึ่งเคยแบกแม่เดินทางหนีสงคราม พบเข้ากับโจรภูเขา เขาอ้อนวอนว่าถ้าเขาตายไป แม่ผู้ชราก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ สุดท้ายโจรภูเขาเลยย้อมไว้ชีวิตปล่อยตัวไปทั้งเขาและแม่

    22. ขอปลาบนน้ำแข็ง: เป็นเรื่องของหวางเสียง หนึ่งในขุนนางระดับสูงของราชวงศ์จิ้นตะวันตก เขากำพร้าแม่แต่เด็ก มีแม่เลี้ยงก็ถูกแม่เลี้ยงใส่ไฟจนพ่อไม่รัก อยู่มาวันหนึ่งแม่เลี้ยงไม่สบายมากเขาก็ดูแลนางอย่างใกล้ชิด ครั้นเห็นนางอยากกินปลาจึงออกไปจับปลา แต่จนใจอากาศหนาวจัดจนผิวน้ำเป็นน้ำแข็ง ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงถอดเสื้อลงนอนทาบน้ำแข็งโดยหวังว่ามันจะทำให้น้ำแข็งละลาย แล้วปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น น้ำแข็งละลายจริงและมีปลาโดดออกมาให้เขาจับกลับบ้าน เมื่อแม่เลี้ยงได้กินปลาก็หายป่วย

    23. ชิมอุจจาระดูอาการป่วยพ่อ: เป็นเรื่องของขุนนางสมัยฉีใต้นามว่าอวี่เฉียนโหลว อยู่มาวันหนึ่งเขารู้สึกใจคอว้าวุ่นคิดถึงพ่อที่อยู่บ้านนอก จึงตัดสินใจลาเกษียณกลับไปดูแลพ่อที่ชรามากแล้ว เมื่อถึงบ้านก็พบว่าพ่อของเขาไม่สบายมาก หมอบอกว่าอาการของพ่อเขาสาหัสมาก หากอุจจาระมีรสขมก็จะดีมีโอกาสหาย เขาจึงแอบชิมอุจจาระพ่อ พบว่ามันมีรสหวานก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ กราบไหว้ฟ้าขอให้พ่อให้และยอมแลกด้วยชีวิตตัวเองแทน แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันพ่อของเขาก็สิ้นใจ

    24. ออกจากราชการเพื่อตามหาแม่: กล่าวถึงขุนนางสมัยซ่งนามว่าจูโซ่วชาง เมื่อครั้งเขาอายุเพียงเจ็ดขวบ แม่ของเขาที่มีสถานะเป็นอนุภรรยาได้ถูกภรรยาเอกของพ่อบีบให้ต้องแต่งงานไปกับคนอื่นจนเขาต้องพลัดพรากจากแม่โดยไม่มีข่าวคราว แต่เขาไม่เคยหยุดที่จะสืบหาแม่ของเขา ต่อมาห้าสิบปีให้หลังเขาได้รับเบาะแสเกี่ยวกับแม่ จึงขอลาออกจากตำแหน่งขุนนางระดับสูงเพื่อออกตามหาแม่พร้อมประกาศกร้าวว่าถ้าไม่พบแม่จะไม่กลับเมืองหลวงอีก และเขาก็ทำสำเร็จพบแม่ที่มีอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้วและพานางกลับเมืองหลวงด้วยกัน

    อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น เรื่องราว 24 กตัญญูถูกเรียบเรียงเป็นกลอนสั้น แต่ละเรื่องยาวเพียงสี่วรรค ง่ายต่อการจดจำ เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายท่านคงรู้สึกไม่อินกับบางเรื่อง และที่ประเทศจีนเองก็มีการถกกันในวงกว้างว่า การกระทำต่างๆ ที่ถูกกล่าวถึงในเรื่องราวเหล่านี้ยังเหมาะสมต่อบริบทสังคมปัจจุบันหรือไม่ แต่อย่างไรก็ดีเชื่อว่าเพื่อนเพจอ่านแล้วคงพอเห็นภาพว่า เหตุใดเรื่องราวเหล่านี้จึงถูกยกเป็นตัวอย่างเพื่อสะท้อนความดีงามของความกตัญญูต่อพ่อแม่และเป็นตัวอย่างของการทำดีแล้วได้ดี

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://news.qq.com/rain/a/20241216A05PWX00
    http://www.n12345.com/wenji/24xiao.html?id=1
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.chinakongzi.org/zt/3419/tp/201705/t20170510_135104.htm
    http://www.chinaknowledge.de/Literature/Historiography/xiaozizhuan.html
    http://www.n12345.com/wenji/24xiao.html?id=1
    https://www.8bei8.com/book/24xiao_1.html

    #จิ่วฉงจื่อ #24กตัญญู #เรื่องเล่าจีนโบราณ #สาระจีน
    **ภาพวาด 24 กตัญญู** สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยกันถึงฉากที่พระนางในเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> สวมหน้ากากร่วมทายปริศนากันในเทศกาลโคมไฟ วันนี้มาคุยกันต่ออีกนิดเกี่ยวกับฉากนี้ ในเนื้อเรื่องนางเอกชนะได้โคมไฟหนึ่งใบซึ่งนางมอบให้พระเอกและพระเอกให้คนส่งต่อไปให้พ่อของเขา โดยโคมไฟใบนี้เป็นลายภาพที่นางเอกเรียกว่า ‘ภาพวาด 24 กตัญญู’ ‘24 กตัญญู’ (二十四孝/เอ้อร์สือซื่อเซี่ยว) เป็นเรื่องราวความกตัญญูยี่สิบสี่เรื่องที่ถูกเรียบเรียงขึ้นในสมัยหยวนโดยกัวจวีจิ้ง บัณฑิตชนบทธรรดาจากหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งในมณฑลฝูเจี้ยน โดยเป็นการรวบรวมเรื่องเล่าความกตัญญูในประวัติศาสตร์จากหลายแหล่งมาเรียบเรียงเป็นประโยคกลอนสั้นประมาณสี่วรรค ทำให้ง่ายต่อการเล่าต่อและจดจำ จึงกลายเป็นหนึ่งในนิทานสอนเด็กที่ชาวบ้านนิยมอย่างแพร่หลาย ต่อมาถูกหยิบยกมาเป็นเนื้อหาของภาพวาดหรืองานแกะสลักโดยหลากหลายศิลปินหลายยุคสมัย เนื้อหาส่วนใหญ่ของบทกวี 24 กตัญญูมีที่มาจาก ‘ตำนานบุตรกตัญญู’ (孝子传/เซี่ยวจื่อจ้วน) ซึ่งถูกประพันธ์ขึ้นโดยหลิวเซี่ยง ราชนิกุลและนักประวัติศาสตร์อักษรศาสตร์สมัยฮั่นตะวันตก เป็นหนึ่งในบทประพันธ์ที่สะท้อนแนวคำสอนและปรัชญาของขงจื๊อ และต่อมา ‘ตำนานบุตรกตัญญู’ ถูกนำไปรวมอยู่ในอีกหลากหลายบทประพันธ์ในอีกหลายยุคสมัย หนึ่งในนั้นคือบันทึกเรื่องเล่าความกตัญญูยาวกว่าห้าม้วนที่ถูกค้นพบในห้องศิลาที่ตุนหวง 24 กตัญญูกล่าวถึงอะไรบ้าง บทความยาวหน่อยนะคะ สรุปโดยสั้นได้ดังนี้ (ดูรูปประกอบ): 1. กตัญญูสะเทือนสวรรค์: เป็นเรื่องราวของจักรพรรดิซุ่นกว่าสี่พันปีที่แล้ว (เป็นหนึ่งในสามราชันห้าจักรพรรดิในตำนาน) เมื่อครั้งเขายังเป็นชาวบ้านธรรมดาก็ถูกพ่อ แม่เลี้ยงและน้องต่างมารดาให้ร้ายสารพัดจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่เขาไม่คิดแค้นเคืองและยังคงดูแลพวกเขาอย่างดี จนสวรรค์เห็นใจจึงบันดาลให้มีช้างมาช่วยปรับผิวดินและมีนกมาช่วยหว่านเมล็ดพืชจนทำมาหาเลี้ยงชีพได้ ต่อมาจักรพรรดิ์เหยาได้ยินกิตติศัพท์ความกตัญญูของเขาก็รับเป็นราชบุตรเขยและสุดท้ายให้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป 2. แบกข้าวให้บุพการี: กล่าวถึงจงโหยว (นามรองจื่อลู่) หนึ่งในศิษย์เอกของขงจื๊อ ขุนนางชื่อดังแห่งแคว้นเว่ยในยุคสมัยชุนชิว เขามีพื้นเพยากจน ทุกวันจะกินแต่ผักผลไม้ป่าเพื่อประหยัดเงิน แต่ยอมเดินทางไกลกว่าร้อยหลี่เพื่อไปหาซื้อข้าวแบกกลับมาให้พ่อแม่กิน ต่อมาเมื่อชีวิตความเป็นอยู่ดีมีอันจะกินก็มักจะพร่ำเสียดายที่พ่อแม่ไม่มีชีวิตอยู่ดีกินดีกับเขา 3. ฮ่องเต้ชิมยา: เป็นเรื่องราวของฮั่นเหวินตี้หลิวเหิง บุตรของป๋อไทเฮา ที่คอยดูแลป๋อไทเฮาในยามป่วยตลอดสามปีด้วยตนเองแม้จะเป็นถึงฮ่องเต้มีข้าราชบริพารมากมาย โดยจะชิมยาของแม่ก่อนป้อนให้แม่ทุกครั้งเพื่อทดสอบว่ายานั้นอุ่นกำลังดีไม่ร้อนเกินไป 4. ขายตัวฝังศพพ่อ: เป็นเรื่องราวของบุรุษนามว่าตงหย่งในสมัยฮั่นที่กำพร้าแม่แต่เด็ก ต่อมาเมื่อพ่อเสียชีวิตก็ไม่มีเงินทำศพพ่อจึงยอมขายตัวเองไปเป็นทาส วันหนึ่งพบเข้ากับสตรีกำพร้าไร้ที่ไป นางขอให้เขาช่วยแต่งงานอยู่กินกันโดยนางยินดีเข้าไปช่วยทำงานที่เรือนเศรษฐีด้วย เศรษฐีตกลงว่าเมื่อนางทอผ้าได้ครบสามร้อยพับก็จะอนุญาตให้ทั้งคู่ไถ่ตัวได้ นางใช้เวลาเพียงเดือนเดียวก็ทำสำเร็จ ต่อมานางบอกความจริงว่านางเป็นเทพธิดาและสวรรค์ซาบซึ้งกับความกตัญญูของเขาจึงมอบหมายให้มาช่วยเขา จากนั้นก็อำลาจากไป 5. สีสันบันเทิงเพื่อบุพการี: กล่าวถึงเหล่าช่ายจื่อ หนึ่งในบัณฑิตมากความรู้ที่เร้นกายอยู่ในป่าในสมัยชุนชิว เขารักพ่อแม่มากอยากให้พ่อแม่เบิกบานใจทุกวัน ถึงขนาดว่าตัวเองอยู่ในวัย 70 ปีแล้วแต่ก็ยังแต่งตัวสีสันฉูดฉาดเล่นเป็นเด็ก หกล้มลงก็แกล้งทำเป็นกลิ้งเล่นอยู่บนพื้นเพื่อให้พ่อแม่วัยเฒ่าหัวเราะแทนที่จะตกใจเสียใจ 6. นิ้วแม่เชื่อมใจลูก: เป็นเรื่องราวของเจิงจื่อ นักปรัชญาแห่งราชสำนักโจวและลูกศิษย์ของขงจื๊อ ที่วันหนึ่งออกไปเก็บฟืน แต่มีแขกมาเยือน แม่ของเขาอยู่บ้านคนเดียวก็กระวนกระวายไม่รู้ว่าจะต้อนรับขับสู้อย่างไรดี จนถึงขนาดกัดนิ้วตนเองด้วยความเครียด เจิงจื่อที่อยู่ในป่ากลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บนั้น จึงรีบรุดกลับบ้านมาดูแม่และรับรองแขกด้วยตนเอง บ่งบอกถึงสายใยเหนียวแน่นของแม่ลูก 7. คัดผลไม้ให้แม่กิน: เป็นเรื่องราวของไช่ซุ่นในสมัยฮั่น เขาอาศัยเก็บผลหม่อนกินประทังชีวิตเพราะยากจนมากและข้าวของราคาแพงเพราะสงคราม อยู่มาวันหนึ่งมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่นำขบวนทหารผ่านมาเห็นเขาแยกผลหม่อน ถามได้ความว่าเขาแยกผลสุกสีเข้มให้แม่กิน ส่วนตัวเองกินที่สีแดงที่ยังเปรี้ยวเฝื่อน นายทหารเห็นแก่ความกตัญญูของเขาจึงแบ่งปันเสบียงทหารให้ชายหนุ่ม 8. กราบไหว้รูปสลักบุพการี: กล่าวถึงบุรุษสมัยฮั่นตะวันออกนามว่าหลันติงที่กำพร้าพ่อแม่แต่เด็ก เขาแกะสลักรูปปั้นพ่อแม่ตั้งไว้ในบ้านกราบไหว้ทุกวันเพราะละอายใจที่ไม่มีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณ ไม่เพียงกราบไหว้สามมื้อก่อนจะกินข้าว แต่มีเรื่องอะไรก็จะไปนั่งคุยให้รูปปั้นฟัง หนักเข้าภรรยาก็รำคาญ เลยลองเอาเข็มไปจิ้มรูปปั้น เมื่อเขากลับมาบ้านพบว่ารูปปั้นน้ำตาไหล เมื่อสืบสาวราวเรื่องได้แล้วเขาก็เลิกกับภรรยา 9. น้ำนมกวางเพื่อบุพการี: กล่าวถึงถานจื่อ ประมุขแคว้นถานซึ่งเป็นแคว้นเล็กในสมัยราชวงศ์โจว ในสมัยเด็กเขายากจนและต้องดูแลพ่อแม่ที่แก่ชราแล้วและตาไม่ดี ต้องกินนมกวางช่วยบำรุงรักษา เขามักจะใช้หนังกวางคลุมตัวแล้วย่องเข้าไปปะปนอยู่ในฝูงกวางเพื่อเอานมกวางมาให้พ่อแม่กิน มีอยู่ครั้งหนึ่งเกือบโดนนายพรานยิง แต่เมื่อนายพรานได้ยินเรื่องราวความจำเป็นของเขาก็ยกนมกวางให้และยังส่งเขากลับบ้านด้วยตนเอง 10. สวมเสื้อไส้ใยกก: เป็นเรื่องของหมินสุ่น (นามรองจื่อเชียน) หนึ่งในลูกศิษย์ของขงจื๊อ เขากำพร้าแม่ตั้งแต่เด็ก พ่อแต่งภรรยาใหม่มีลูกชายอีกสองคน เขาถูกแม่เลี้ยงกลั่นแกล้งบ่อยครั้ง ต้องสวมเสื้อใยกกในขณะที่น้องๆ ได้สวมเสื้อบุฝ้ายในยามหนาว วันหนึ่งเขาช่วยจูงรถให้พ่อแต่หนาวจนทำให้เชือกหลุดมือ พ่อบันดาลโทสะเฆี่ยนจนเสื้อขาดจึงพบว่าลูกชายคนนี้ใส่เสื้อผ้าที่ไม่ช่วยกันหนาว พ่อโกรธแม่เลี้ยงมากถึงกับเอ่ยปากบอกเลิกทันทีที่กลับถึงบ้าน แต่หมินสุ่นอ้อนวอนขออภัยแทนแม่เลี้ยง โดยให้เหตุผลว่า ตอนนี้มีลูกเพียงคนเดียวที่ลำบาก แต่ถ้าแม่เลี้ยงไม่อยู่จะมีลูกถึงสามคนที่ลำบาก สุดท้ายแม่เลี้ยงได้รับการให้อภัย นางจึงกลับตัวกลับใจดูแลหมินสุ่นอย่างดีนับแต่นั้นมา 11. ฝังลูกเพื่อแม่: กล่าวถึงบุรุษนามว่ากัวจวี้ในสมัยฮั่น เขามีฐานะยากจน เมื่อพ่อเสียก็แลแม่เป็นอย่างดี ต่อมาเมื่อภรรยาคลอดบุตร เขาก็รู้สึกว่าเลี้ยงดูไม่ไหวและไม่อยากให้แม่ต้องมาอดมื้อกินมื้อไปกับเขา จึงตัดสินใจจะฝังลูกเพื่อจะได้ลดค่าใช้จ่ายโดยไม่ฟังคำทัดทานของภรรยา แต่เมื่อขุดดินลงไปกลับพบทองคำหนึ่งไห เรื่องราวจบลงด้วยดีโดยเขาไม่ต้องฆ่าลูกตัวเองและมีฐานะดีขึ้น 12. ปลากระโดดจากบ่อน้ำ: กล่าวถึงบุรุษนามว่าเจียงซือในสมัยฮั่น เขามีภรรยาแซ่ผางที่กตัญญูกับแม่สามีมาก แม่สามีชอบกินปลาก็ออกไปจับปลามาให้กิน อยู่มาวันหนึ่งอากาศไม่ดีกว่านางแซ่ผางจะกลับถึงบ้านก็ดึกจึงถูกเจียงซือไล่ออกจากบ้านเพราะเข้าใจผิดว่านางตั้งใจละเลยแม่ของเขา เมื่อแม่ของเจียงซือรู้เรื่องให้เจียงซือไปรับนางกลับมา และตั้งแต่วันที่นางกลับเข้าบ้านมาก็ปรากฏปลาหลีฮื้อสองตัวกระโดดออกมาจากบ่อน้ำกลางบ้านทุกวัน ทำให้นางไม่ต้องไปจับปลาในแม่น้ำอีกต่อไป 13. ซุกส้มให้แม่: เป็นเรื่องราวของลู่จี้ ขุนนางในสมัยราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย กล่าวถึงเมื่อตอนเขาอายุหกขวบ ได้มีโอกาสติดตามพ่อไปพบแม่ทัพท่านหนึ่งที่จวน ครั้นพอเขาคารวะอำลากลับ ส้มสองลูกที่เขาซุกไว้อยู่ในแขนเสื้อกลิ้งหล่นออกมา สอบถามได้ใจความว่าเขาเห็นแม่ชอบกินส้มจึงตั้งใจเก็บเอาไปให้แม่กิน ทำให้แม่ทัพรู้สึกประหลาดใจและชมชอบในความกตัญญูของเด็กคนนี้ 14. ยินเสียงฟ้าร้องปลอบแม่ที่หลุมศพ: กล่าวถึงบัณฑิตหนุ่มจากแคว้นเว่ยนามว่าหวางโผว แม่ของเขาเป็นคนกลัวเสียงฟ้าร้องมาก แม้ว่าจะตายไปแล้วแต่ทุกครั้งที่ฝนตกหนักฟ้าร้อง หวางโผวจะไปกราบหลุมศพนางพร้อมกับปลอบให้นางไม่ต้องกลัว 15. กอดเสือช่วยพ่อ: กล่าวถึงสตรีนางหนึ่งในสมัยราชวงศ์จิ้นนามว่าหยางเซียง เมื่อครั้งนางมีอายุสิบสี่ปีได้ออกไปทำนากับพ่อ แต่พลันปรากฏเสือตัวหนึ่งกระโจนใส่พ่อจนล้มไป นางไม่มีอาวุธใดแต่ก็กระโดดกอดคอเสือแน่นเพื่อไม่ให้เสือกัดพ่อ สุดท้ายเสือยอมแพ้ปล่อยพ่อของนางแล้วหนีไป 16. ให้นมย่าทวด: เป็นเรื่องราวความกตัญญูของย่าของเจี๋ยตู้สื่อชุยซานหนานในสมัยถัง เล่าถึงเมื่อครั้งที่ย่าทวดของชุยซานหนานทั้งแก่ทั้งไม่สบายจนเคี้ยวอาหารหยาบไม่ได้เลย ย่าของเขาคอยดูแลโดยใช้น้ำนมของตนป้อนจนย่าทวดอิ่ม ต่อมาทั้งครอบครัวอยู่กันอย่างสงบสุขและรุ่นลูกรุ่นหลานล้วนแสดงความกตัญญูต่อย่าของเขาเช่นกัน 17. พัดหมอนอุ่นผ้าห่ม: เป็นเรื่องราวของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในสมัยฮั่นนามว่าหวงเซียง เขากำพร้าแม่แต่เด็กและคอยดูแลพ่อ แม้ด้วยวัยเพียงเก้าขวบก็รู้จักพัดหมอนของพ่อให้คลายร้อนในหน้าร้อนและนอนอุ่นผ้าห่มของพ่อในหน้าหนาวเพื่อว่าพ่อของเขาจะได้นอนหลับสบาย 18. ร่ำไห้จนเกิดหน่อไม้: กล่าวถึงขุนนางสมัยสามก๊กนามว่าเมิ่งจง เขากำพร้าพ่อแต่เด็ก เมื่อครั้งยังหนุ่มต้องดูแลแม่ที่ชราและป่วยหนัก หมอบอกว่าต้องให้แม่กินหน่อไม้สด แต่จนใจเป็นฤดูหนาว เขาหาจนทั่วก็ไม่มีจึงเสียใจคุกเข่าร้องไห้กลางป่า ปรากฏว่าอยู่ดีๆ พื้นดินก็แยกออกแล้วมีหน่อไม้ผุดขึ้นมาให้เขาเก็บกลับบ้านให้แม่กินจนหายป่วย 19. ล่อยุงแทนพ่อ: กล่าวถึงอู๋เหมิ่ง นักพรตในสมัยสามก๊ก ที่ในสมัยเด็กครอบครัวยากจนไม่มีแม้แต่มุ้งจะกางนอน เขามักจะถอดเสื้อนอนล่อให้ยุงมากัด เพื่อว่าพ่อแม่จะได้นอนหลับสบาย 20. ล้างกระโถนให้แม่: เป็นเรื่องราวของกวีและนักเขียนอักษรชื่อดังสมัยซ่งเหนือนามว่าหวงถิงเจียน เขาดูแลแม่อย่างเสมอต้นเสมอปลายแม้ว่าจะมีฐานะดี และจะเอากระโถนของแม่ไปเทล้างด้วยตนเองทุกวันไม่เคยขาด 21. แบกแม่หลบภัย: กล่าวถึงเจียงเก๋อ ขุนนางตงฉินชื่อดังผู้ถูกยกย่องเป็นขุนนางยอดกตัญญูในรัชสมัยของกษัตริย์อู่ตี้แห่งราชวงศ์เหลียงในยุคราชวงศ์เหนือใต้ เจียงเก๋อกำพร้าพ่อแต่เด็กและกตัญญูต่อแม่มาก ครั้งหนึ่งเคยแบกแม่เดินทางหนีสงคราม พบเข้ากับโจรภูเขา เขาอ้อนวอนว่าถ้าเขาตายไป แม่ผู้ชราก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ สุดท้ายโจรภูเขาเลยย้อมไว้ชีวิตปล่อยตัวไปทั้งเขาและแม่ 22. ขอปลาบนน้ำแข็ง: เป็นเรื่องของหวางเสียง หนึ่งในขุนนางระดับสูงของราชวงศ์จิ้นตะวันตก เขากำพร้าแม่แต่เด็ก มีแม่เลี้ยงก็ถูกแม่เลี้ยงใส่ไฟจนพ่อไม่รัก อยู่มาวันหนึ่งแม่เลี้ยงไม่สบายมากเขาก็ดูแลนางอย่างใกล้ชิด ครั้นเห็นนางอยากกินปลาจึงออกไปจับปลา แต่จนใจอากาศหนาวจัดจนผิวน้ำเป็นน้ำแข็ง ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงถอดเสื้อลงนอนทาบน้ำแข็งโดยหวังว่ามันจะทำให้น้ำแข็งละลาย แล้วปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น น้ำแข็งละลายจริงและมีปลาโดดออกมาให้เขาจับกลับบ้าน เมื่อแม่เลี้ยงได้กินปลาก็หายป่วย 23. ชิมอุจจาระดูอาการป่วยพ่อ: เป็นเรื่องของขุนนางสมัยฉีใต้นามว่าอวี่เฉียนโหลว อยู่มาวันหนึ่งเขารู้สึกใจคอว้าวุ่นคิดถึงพ่อที่อยู่บ้านนอก จึงตัดสินใจลาเกษียณกลับไปดูแลพ่อที่ชรามากแล้ว เมื่อถึงบ้านก็พบว่าพ่อของเขาไม่สบายมาก หมอบอกว่าอาการของพ่อเขาสาหัสมาก หากอุจจาระมีรสขมก็จะดีมีโอกาสหาย เขาจึงแอบชิมอุจจาระพ่อ พบว่ามันมีรสหวานก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ กราบไหว้ฟ้าขอให้พ่อให้และยอมแลกด้วยชีวิตตัวเองแทน แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันพ่อของเขาก็สิ้นใจ 24. ออกจากราชการเพื่อตามหาแม่: กล่าวถึงขุนนางสมัยซ่งนามว่าจูโซ่วชาง เมื่อครั้งเขาอายุเพียงเจ็ดขวบ แม่ของเขาที่มีสถานะเป็นอนุภรรยาได้ถูกภรรยาเอกของพ่อบีบให้ต้องแต่งงานไปกับคนอื่นจนเขาต้องพลัดพรากจากแม่โดยไม่มีข่าวคราว แต่เขาไม่เคยหยุดที่จะสืบหาแม่ของเขา ต่อมาห้าสิบปีให้หลังเขาได้รับเบาะแสเกี่ยวกับแม่ จึงขอลาออกจากตำแหน่งขุนนางระดับสูงเพื่อออกตามหาแม่พร้อมประกาศกร้าวว่าถ้าไม่พบแม่จะไม่กลับเมืองหลวงอีก และเขาก็ทำสำเร็จพบแม่ที่มีอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้วและพานางกลับเมืองหลวงด้วยกัน อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น เรื่องราว 24 กตัญญูถูกเรียบเรียงเป็นกลอนสั้น แต่ละเรื่องยาวเพียงสี่วรรค ง่ายต่อการจดจำ เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายท่านคงรู้สึกไม่อินกับบางเรื่อง และที่ประเทศจีนเองก็มีการถกกันในวงกว้างว่า การกระทำต่างๆ ที่ถูกกล่าวถึงในเรื่องราวเหล่านี้ยังเหมาะสมต่อบริบทสังคมปัจจุบันหรือไม่ แต่อย่างไรก็ดีเชื่อว่าเพื่อนเพจอ่านแล้วคงพอเห็นภาพว่า เหตุใดเรื่องราวเหล่านี้จึงถูกยกเป็นตัวอย่างเพื่อสะท้อนความดีงามของความกตัญญูต่อพ่อแม่และเป็นตัวอย่างของการทำดีแล้วได้ดี (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://news.qq.com/rain/a/20241216A05PWX00 http://www.n12345.com/wenji/24xiao.html?id=1 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.chinakongzi.org/zt/3419/tp/201705/t20170510_135104.htm http://www.chinaknowledge.de/Literature/Historiography/xiaozizhuan.html http://www.n12345.com/wenji/24xiao.html?id=1 https://www.8bei8.com/book/24xiao_1.html #จิ่วฉงจื่อ #24กตัญญู #เรื่องเล่าจีนโบราณ #สาระจีน
    NEWS.QQ.COM
    《九重紫》暴露了他好身材,长相人畜无害,却脱衣有肉穿衣显瘦_腾讯新闻
    由孟子义、李昀锐主演的电视剧《九重紫》,自开播以来,热度迅速攀升,播到15集,站内热度破了29000,有望展望30000了。 这个成绩在今年古装剧中是相当牛了,要知道,腾讯今年的古装剧热度....
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 721 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ (29 พฤษภาคม พ.ศ. 2568) นายแพทย์ธนสิทธิ์ ไพรพงษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ร่วมแถลงข่าวสื่อมวลชน ในประเด็นการก่อสร้างอคารศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ 18 ชั้น ณ ห้องประชุม ท้าวสุรนารี ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา

    นายแพทย์ธนสิทธิ์ ไพรพงษ์ กล่าวว่า จังหวัดนครราชสีมาเป็นจังหวัดที่สำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “เป็นประตูสู่ภาคอีสาน” เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ สังคม คมนาคม และการศึกษาของภาคอีสาน มีการเจริญ เติบโตสูงรองจากกรุงเทพมหานคร สำหรับด้านการแพทย์และสาธารณสุข ต้องได้รับการพัฒนาเพื่อยกระดับ หน่วยบริการให้เป็น Excellence Center ศูนย์กลางความเป็นเลิศทางการแพทย์ในภูมิภาค เพื่อให้สอดคล้อง กับการขยายตัวของจังหวัดนครราชสีมาในทุกมิติ ซึ่งโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาเป็นโรงพยาบาลศูนย์ เพียงแห่งเดียวของจังหวัดนครราชสีมา เป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายของเขตสุขภาพที่ 9 ประกอบด้วย 4 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์และสุรินทร์ ดูแลสุขภาพประชาชนประมาณ 6.7 ล้านคน เป็นโรงพยาบาลที่พึ่ง ของคนอีสาน และยังเป็นสถาบันผลิตแพทย์ แหล่งฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขทุกวิชาชีพ นายแพทย์ธนสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า "อาคารศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ 18 ชั้น โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา" จะเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: ด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด

    ด้านโรคมะเร็ง ต้านอุบัติเหตุฉุกเฉิน ด้านทารกแรกเกิด และด้านการรับบริจาคและเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ และศูนย์ ความเชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดระดับด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น หุ่นยนต์ผ่าตัด, ศูนย์ผ่าตัดแบบแผลเล็ก, ศูนย์ผ่าตัดสมอง, ศูนย์ผ่าตัดตา, ศูนย์กระดูกและข้อ เป็นต้น พื้นที่ใช้สอยกว่า 1 แสนตารางเมตร วงเงินก่อสร้าง 3,550,156,700 บาท ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ 563,500,000 บาท ช่วยแก้ปัญหาและลดความเหลื่อมล้ำของ การเข้าถึงบริการสุขภาพ ลดแออัด ลดการส่งต่อผู้ป่วย ลดค่าใช้จ่ายของประชาชนในการเดินทางไปยัง โรงเรียนแพทย์อื่นๆ เพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงบริการ ลดอัตราการเสียชีวิต ยังเป็นการพัฒนาให้ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาให้เป็นสถาบันวิจัยทางการแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน สําหรับแพทย์ และ บุคลากรสหวิชาชีพ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาวะที่ดีและได้ประโยชน์โดยตรงอย่างสูงสุด
    วันนี้ (29 พฤษภาคม พ.ศ. 2568) นายแพทย์ธนสิทธิ์ ไพรพงษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ร่วมแถลงข่าวสื่อมวลชน ในประเด็นการก่อสร้างอคารศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ 18 ชั้น ณ ห้องประชุม ท้าวสุรนารี ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา นายแพทย์ธนสิทธิ์ ไพรพงษ์ กล่าวว่า จังหวัดนครราชสีมาเป็นจังหวัดที่สำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “เป็นประตูสู่ภาคอีสาน” เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ สังคม คมนาคม และการศึกษาของภาคอีสาน มีการเจริญ เติบโตสูงรองจากกรุงเทพมหานคร สำหรับด้านการแพทย์และสาธารณสุข ต้องได้รับการพัฒนาเพื่อยกระดับ หน่วยบริการให้เป็น Excellence Center ศูนย์กลางความเป็นเลิศทางการแพทย์ในภูมิภาค เพื่อให้สอดคล้อง กับการขยายตัวของจังหวัดนครราชสีมาในทุกมิติ ซึ่งโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาเป็นโรงพยาบาลศูนย์ เพียงแห่งเดียวของจังหวัดนครราชสีมา เป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายของเขตสุขภาพที่ 9 ประกอบด้วย 4 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์และสุรินทร์ ดูแลสุขภาพประชาชนประมาณ 6.7 ล้านคน เป็นโรงพยาบาลที่พึ่ง ของคนอีสาน และยังเป็นสถาบันผลิตแพทย์ แหล่งฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขทุกวิชาชีพ นายแพทย์ธนสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า "อาคารศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ 18 ชั้น โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา" จะเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: ด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด ด้านโรคมะเร็ง ต้านอุบัติเหตุฉุกเฉิน ด้านทารกแรกเกิด และด้านการรับบริจาคและเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ และศูนย์ ความเชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดระดับด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น หุ่นยนต์ผ่าตัด, ศูนย์ผ่าตัดแบบแผลเล็ก, ศูนย์ผ่าตัดสมอง, ศูนย์ผ่าตัดตา, ศูนย์กระดูกและข้อ เป็นต้น พื้นที่ใช้สอยกว่า 1 แสนตารางเมตร วงเงินก่อสร้าง 3,550,156,700 บาท ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ 563,500,000 บาท ช่วยแก้ปัญหาและลดความเหลื่อมล้ำของ การเข้าถึงบริการสุขภาพ ลดแออัด ลดการส่งต่อผู้ป่วย ลดค่าใช้จ่ายของประชาชนในการเดินทางไปยัง โรงเรียนแพทย์อื่นๆ เพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงบริการ ลดอัตราการเสียชีวิต ยังเป็นการพัฒนาให้ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาให้เป็นสถาบันวิจัยทางการแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน สําหรับแพทย์ และ บุคลากรสหวิชาชีพ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาวะที่ดีและได้ประโยชน์โดยตรงอย่างสูงสุด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 525 มุมมอง 0 รีวิว
  • AT&T เข้าซื้อธุรกิจไฟเบอร์ของ Lumen มูลค่า 5.75 พันล้านดอลลาร์

    AT&T ประกาศเข้าซื้อกิจการของ Lumen Technologies ในส่วนของธุรกิจไฟเบอร์สำหรับผู้บริโภค ด้วยมูลค่า 5.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยดีลนี้จะช่วยให้ AT&T ขยายเครือข่ายไฟเบอร์ไปยังเมืองสำคัญหลายแห่ง และเพิ่มฐานลูกค้าไฟเบอร์อีก 1 ล้านราย

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับดีลระหว่าง AT&T และ Lumen
    AT&T จะได้รับลูกค้าไฟเบอร์เพิ่มอีก 1 ล้านราย
    - รวมถึง การขยายเครือข่ายไปยังเมืองสำคัญ เช่น เดนเวอร์, ลาสเวกัส, มินนิอาโปลิส-เซนต์พอล, ออร์แลนโด, ฟีนิกซ์, พอร์ตแลนด์, ซอลต์เลกซิตี้ และซีแอตเทิล

    Lumen จะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจไฟเบอร์สำหรับองค์กรแทน
    - CFO ของ Lumen ระบุว่าการขายธุรกิจนี้ช่วยให้บริษัทสามารถลงทุนในเทคโนโลยีที่มีความหน่วงต่ำ ซึ่งจำเป็นสำหรับ AI

    เงินที่ได้จากการขายจะช่วยให้ Lumen ลดหนี้ลง 4.8 พันล้านดอลลาร์
    - รวมถึง ลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลงกว่า 300 ล้านดอลลาร์ต่อปี

    AT&T วางแผนจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่เพื่อบริหารสินทรัพย์ที่ได้มา
    - และมีแผน ขายหุ้นส่วนน้อยของบริษัทย่อยนี้ในอนาคต

    ดีลนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในครึ่งแรกของปี 2026
    - ขึ้นอยู่กับ การอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/22/att-agrees-to-buy-lumen039s-consumer-fiber-business-for-575-billion-in-cash
    AT&T เข้าซื้อธุรกิจไฟเบอร์ของ Lumen มูลค่า 5.75 พันล้านดอลลาร์ AT&T ประกาศเข้าซื้อกิจการของ Lumen Technologies ในส่วนของธุรกิจไฟเบอร์สำหรับผู้บริโภค ด้วยมูลค่า 5.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยดีลนี้จะช่วยให้ AT&T ขยายเครือข่ายไฟเบอร์ไปยังเมืองสำคัญหลายแห่ง และเพิ่มฐานลูกค้าไฟเบอร์อีก 1 ล้านราย 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับดีลระหว่าง AT&T และ Lumen ✅ AT&T จะได้รับลูกค้าไฟเบอร์เพิ่มอีก 1 ล้านราย - รวมถึง การขยายเครือข่ายไปยังเมืองสำคัญ เช่น เดนเวอร์, ลาสเวกัส, มินนิอาโปลิส-เซนต์พอล, ออร์แลนโด, ฟีนิกซ์, พอร์ตแลนด์, ซอลต์เลกซิตี้ และซีแอตเทิล ✅ Lumen จะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจไฟเบอร์สำหรับองค์กรแทน - CFO ของ Lumen ระบุว่าการขายธุรกิจนี้ช่วยให้บริษัทสามารถลงทุนในเทคโนโลยีที่มีความหน่วงต่ำ ซึ่งจำเป็นสำหรับ AI ✅ เงินที่ได้จากการขายจะช่วยให้ Lumen ลดหนี้ลง 4.8 พันล้านดอลลาร์ - รวมถึง ลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลงกว่า 300 ล้านดอลลาร์ต่อปี ✅ AT&T วางแผนจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่เพื่อบริหารสินทรัพย์ที่ได้มา - และมีแผน ขายหุ้นส่วนน้อยของบริษัทย่อยนี้ในอนาคต ✅ ดีลนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในครึ่งแรกของปี 2026 - ขึ้นอยู่กับ การอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/22/att-agrees-to-buy-lumen039s-consumer-fiber-business-for-575-billion-in-cash
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AT&T agrees to buy Lumen's consumer fiber business for $5.75 billion
    (Reuters) -AT&T has clinched a deal to acquire Lumen Technologies' consumer fiber operations for $5.75 billion in cash, the companies said on Wednesday, as the wireless provider adds further scale to its national fiber footprint.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • พักนี้คงต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด แต่ก็เศร้านะที่ต้องกินอาหารหนักกว่าเดิม มากกว่าเดิม คงต้องลดการกินอาหาร ลดค่าใช้จ่าย เผื่ออะไรจะดีขึ้น ช่วงนี้ก็เบียวไปหลายจักรวาลเกมส์ ก่อนหน้านี้ก็อินจัด คือไม่อยากจะโทษครอบครัว แต่ยอมรับแหละว่าไม่ใช่เป็นเพราะครอบครัวดูเหมือนจะพยายามควบคุมเข้มงวดกับผมมากขึ้นช่วงเรียนใกล้จบ ใช้ความหวังดีบังหน้า สุดท้ายผมก็ต้องเลือกเอง ผมต้องอยู่กับตัวของตัวเอง ไม่ใช่พึ่งพาครอบครัวไปเสียทั้งหมด คือครอบครัวจะให้ผมพึ่งพาครอบครัวตลอดไปเพื่อ????? อย่าเรียกเรียนเสียข้าวสุกเลย เรียนเสียหญ้าสด ดูถูกผมว่าเป็นควายก็ดูถูกไป ผมเสียคนไปนานแล้ว แต่จะไม่ยอมเป็นควายให้ใครสนตะพาย ควายอย่างผมสามารถค้นพบตัวตนได้ โตๆแล้ว
    พักนี้คงต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด แต่ก็เศร้านะที่ต้องกินอาหารหนักกว่าเดิม มากกว่าเดิม คงต้องลดการกินอาหาร ลดค่าใช้จ่าย เผื่ออะไรจะดีขึ้น ช่วงนี้ก็เบียวไปหลายจักรวาลเกมส์ ก่อนหน้านี้ก็อินจัด คือไม่อยากจะโทษครอบครัว แต่ยอมรับแหละว่าไม่ใช่เป็นเพราะครอบครัวดูเหมือนจะพยายามควบคุมเข้มงวดกับผมมากขึ้นช่วงเรียนใกล้จบ ใช้ความหวังดีบังหน้า สุดท้ายผมก็ต้องเลือกเอง ผมต้องอยู่กับตัวของตัวเอง ไม่ใช่พึ่งพาครอบครัวไปเสียทั้งหมด คือครอบครัวจะให้ผมพึ่งพาครอบครัวตลอดไปเพื่อ????? อย่าเรียกเรียนเสียข้าวสุกเลย เรียนเสียหญ้าสด ดูถูกผมว่าเป็นควายก็ดูถูกไป ผมเสียคนไปนานแล้ว แต่จะไม่ยอมเป็นควายให้ใครสนตะพาย ควายอย่างผมสามารถค้นพบตัวตนได้ โตๆแล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • IRS เตรียมใช้ AI แทนพนักงาน หลังเลิกจ้างจำนวนมาก กรมสรรพากรสหรัฐฯ (IRS) กำลังวางแผนใช้ AI เพื่อเสริมกำลังแรงงาน หลังจากมีการ ปลดพนักงานถึง 25% โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง Scott Bessent ระบุว่า AI จะช่วยให้การจัดเก็บภาษียังคงมีประสิทธิภาพ แม้จะมีการลดจำนวนพนักงาน

    ตั้งแต่ต้นสมัยรัฐบาลทรัมป์ที่สอง IRS สูญเสียผู้ตรวจสอบภาษีไปเกือบหนึ่งในสาม โดย กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) ที่นำโดย Elon Musk ได้ดำเนินการลดจำนวนพนักงานผ่านการเลิกจ้างและการลาออกแบบเลื่อนกำหนด

    IRS วางแผนใช้ AI เพื่อเสริมกำลังแรงงานหลังปลดพนักงาน 25%
    - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง Scott Bessent ยืนยันว่า AI จะช่วยให้การจัดเก็บภาษียังคงมีประสิทธิภาพ

    ตั้งแต่ต้นสมัยรัฐบาลทรัมป์ที่สอง IRS สูญเสียผู้ตรวจสอบภาษีไปเกือบหนึ่งในสาม
    - โดย กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) ที่นำโดย Elon Musk ดำเนินการลดจำนวนพนักงาน

    AI อาจช่วยให้การจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    - Bessent ระบุว่า การใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะจะช่วยให้การจัดเก็บภาษีมีความแม่นยำและรวดเร็วขึ้น

    การลดจำนวนพนักงานอาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการคืนภาษี
    - แต่ IRS เชื่อว่า AI จะช่วยลดผลกระทบนี้

    DOGE ได้ยกเลิกสัญญากับบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น IBM, Deloitte และ Gartner
    - เพื่อ ลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล

    https://www.techradar.com/pro/irs-could-use-ai-to-replace-workers-after-mass-layoffs
    IRS เตรียมใช้ AI แทนพนักงาน หลังเลิกจ้างจำนวนมาก กรมสรรพากรสหรัฐฯ (IRS) กำลังวางแผนใช้ AI เพื่อเสริมกำลังแรงงาน หลังจากมีการ ปลดพนักงานถึง 25% โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง Scott Bessent ระบุว่า AI จะช่วยให้การจัดเก็บภาษียังคงมีประสิทธิภาพ แม้จะมีการลดจำนวนพนักงาน ตั้งแต่ต้นสมัยรัฐบาลทรัมป์ที่สอง IRS สูญเสียผู้ตรวจสอบภาษีไปเกือบหนึ่งในสาม โดย กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) ที่นำโดย Elon Musk ได้ดำเนินการลดจำนวนพนักงานผ่านการเลิกจ้างและการลาออกแบบเลื่อนกำหนด ✅ IRS วางแผนใช้ AI เพื่อเสริมกำลังแรงงานหลังปลดพนักงาน 25% - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง Scott Bessent ยืนยันว่า AI จะช่วยให้การจัดเก็บภาษียังคงมีประสิทธิภาพ ✅ ตั้งแต่ต้นสมัยรัฐบาลทรัมป์ที่สอง IRS สูญเสียผู้ตรวจสอบภาษีไปเกือบหนึ่งในสาม - โดย กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) ที่นำโดย Elon Musk ดำเนินการลดจำนวนพนักงาน ✅ AI อาจช่วยให้การจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น - Bessent ระบุว่า การใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะจะช่วยให้การจัดเก็บภาษีมีความแม่นยำและรวดเร็วขึ้น ✅ การลดจำนวนพนักงานอาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการคืนภาษี - แต่ IRS เชื่อว่า AI จะช่วยลดผลกระทบนี้ ✅ DOGE ได้ยกเลิกสัญญากับบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น IBM, Deloitte และ Gartner - เพื่อ ลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล https://www.techradar.com/pro/irs-could-use-ai-to-replace-workers-after-mass-layoffs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนของทรัมป์ในการยกเลิกโครงการ Energy Star อาจทำให้ค่าไฟของครัวเรือนอเมริกันสูงขึ้น รัฐบาลทรัมป์มีแผนที่จะ ยกเลิกโครงการ Energy Star ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูง โดยโครงการนี้ถูกริเริ่มโดย รัฐบาลบุชในปี 1992 และได้รับการยอมรับทั่วโลกว่าเป็น มาตรฐานทองคำด้านประสิทธิภาพพลังงาน

    Energy Star ได้ช่วย ประหยัดพลังงานกว่า 5 ล้านล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง และลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไปกว่า 500 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปกว่า 4 พันล้านเมตริกตัน

    Energy Star เป็นโครงการที่ช่วยให้ผู้บริโภคเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูง
    - ช่วยให้ ครัวเรือนสามารถประหยัดค่าไฟได้ประมาณ $450 ต่อปี

    โครงการนี้ถูกริเริ่มโดยรัฐบาลบุชในปี 1992 และได้รับการยอมรับทั่วโลก
    - เป็น หนึ่งในโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและอุตสาหกรรมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในสหรัฐฯ

    Energy Star ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปกว่า 4 พันล้านเมตริกตัน
    - ส่งผลดีต่อ สิ่งแวดล้อมและการลดภาวะโลกร้อน

    ทุก 1 ดอลลาร์ที่ใช้ในโครงการนี้ช่วยให้ธุรกิจและผู้บริโภคประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ถึง $350
    - เป็น โครงการที่ให้ผลตอบแทนสูงต่อการลงทุนของรัฐบาล

    องค์กรและบริษัทกว่า 1,100 แห่งได้ส่งจดหมายถึง EPA เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทรัมป์คงไว้ซึ่งโครงการ Energy Star
    - เนื่องจาก การยกเลิกโครงการนี้อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและผู้บริโภค

    https://www.techspot.com/news/107858-trump-plan-eliminate-energy-star-could-raise-utility.html
    แผนของทรัมป์ในการยกเลิกโครงการ Energy Star อาจทำให้ค่าไฟของครัวเรือนอเมริกันสูงขึ้น รัฐบาลทรัมป์มีแผนที่จะ ยกเลิกโครงการ Energy Star ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูง โดยโครงการนี้ถูกริเริ่มโดย รัฐบาลบุชในปี 1992 และได้รับการยอมรับทั่วโลกว่าเป็น มาตรฐานทองคำด้านประสิทธิภาพพลังงาน Energy Star ได้ช่วย ประหยัดพลังงานกว่า 5 ล้านล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง และลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไปกว่า 500 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปกว่า 4 พันล้านเมตริกตัน ✅ Energy Star เป็นโครงการที่ช่วยให้ผู้บริโภคเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูง - ช่วยให้ ครัวเรือนสามารถประหยัดค่าไฟได้ประมาณ $450 ต่อปี ✅ โครงการนี้ถูกริเริ่มโดยรัฐบาลบุชในปี 1992 และได้รับการยอมรับทั่วโลก - เป็น หนึ่งในโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและอุตสาหกรรมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในสหรัฐฯ ✅ Energy Star ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปกว่า 4 พันล้านเมตริกตัน - ส่งผลดีต่อ สิ่งแวดล้อมและการลดภาวะโลกร้อน ✅ ทุก 1 ดอลลาร์ที่ใช้ในโครงการนี้ช่วยให้ธุรกิจและผู้บริโภคประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ถึง $350 - เป็น โครงการที่ให้ผลตอบแทนสูงต่อการลงทุนของรัฐบาล ✅ องค์กรและบริษัทกว่า 1,100 แห่งได้ส่งจดหมายถึง EPA เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทรัมป์คงไว้ซึ่งโครงการ Energy Star - เนื่องจาก การยกเลิกโครงการนี้อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและผู้บริโภค https://www.techspot.com/news/107858-trump-plan-eliminate-energy-star-could-raise-utility.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Trump's plan to eliminate Energy Star could raise utility bills for American families, experts say
    Internal sources at the Environmental Protection Agency (EPA) report that the administration plans to kill the Energy Star program. After serving as a "gold standard" of sorts...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 343 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เคยเป็นที่ใฝ่ฝันของหลายคน แต่ปัจจุบันกลับเผชิญกับความท้าทายมากมาย เช่น การปลดพนักงานจำนวนมาก การลดสิทธิประโยชน์ และความกดดันจากการพัฒนา AI ที่ส่งผลต่อการทำงานของพนักงาน

    ในปี 2025 อุตสาหกรรมเทคโนโลยีมีการปลดพนักงานมากที่สุดในภาคเอกชน โดยมีพนักงานกว่า 50,000 คน จากบริษัทเทคโนโลยี 100 แห่งถูกปลดออก นอกจากนี้ สิทธิประโยชน์ที่เคยมี เช่น การทำงานจากที่บ้านและอาหารฟรี ถูกลดลงอย่างมาก ขณะที่พนักงานต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่บริษัทคาดหวัง

    การพัฒนา AI ยังส่งผลให้พนักงานบางส่วนต้องกลับมาทำงานที่เคยถูกแทนที่ด้วย AI เช่น การเขียนโค้ด และยังมีการลดตำแหน่งงานที่ไม่จำเป็นลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

    การปลดพนักงานและผลกระทบ
    - พนักงานกว่า 50,000 คนจาก 100 บริษัทถูกปลดออก
    - บริษัทใหญ่ เช่น Intel, Meta และ Google มีการปลดพนักงานจำนวนมาก

    การลดสิทธิประโยชน์
    - สิทธิประโยชน์ เช่น การทำงานจากที่บ้านและอาหารฟรี ถูกลดลง
    - พนักงานต้องทำงานหนักขึ้น เช่น การทำงาน 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

    ผลกระทบจากการพัฒนา AI
    - AI แทนที่งานบางส่วน แต่พนักงานบางคนต้องกลับมาทำงานที่ AI ไม่สามารถทำได้
    - บริษัทมุ่งเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI มากกว่าการเพิ่มเงินเดือน

    เป้าหมายของบริษัทเทคโนโลยี
    - เพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง

    https://www.techspot.com/news/107700-reality-today-tech-industry-layoffs-long-hours-ai.html
    บทความนี้กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เคยเป็นที่ใฝ่ฝันของหลายคน แต่ปัจจุบันกลับเผชิญกับความท้าทายมากมาย เช่น การปลดพนักงานจำนวนมาก การลดสิทธิประโยชน์ และความกดดันจากการพัฒนา AI ที่ส่งผลต่อการทำงานของพนักงาน ในปี 2025 อุตสาหกรรมเทคโนโลยีมีการปลดพนักงานมากที่สุดในภาคเอกชน โดยมีพนักงานกว่า 50,000 คน จากบริษัทเทคโนโลยี 100 แห่งถูกปลดออก นอกจากนี้ สิทธิประโยชน์ที่เคยมี เช่น การทำงานจากที่บ้านและอาหารฟรี ถูกลดลงอย่างมาก ขณะที่พนักงานต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่บริษัทคาดหวัง การพัฒนา AI ยังส่งผลให้พนักงานบางส่วนต้องกลับมาทำงานที่เคยถูกแทนที่ด้วย AI เช่น การเขียนโค้ด และยังมีการลดตำแหน่งงานที่ไม่จำเป็นลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ✅ การปลดพนักงานและผลกระทบ - พนักงานกว่า 50,000 คนจาก 100 บริษัทถูกปลดออก - บริษัทใหญ่ เช่น Intel, Meta และ Google มีการปลดพนักงานจำนวนมาก ✅ การลดสิทธิประโยชน์ - สิทธิประโยชน์ เช่น การทำงานจากที่บ้านและอาหารฟรี ถูกลดลง - พนักงานต้องทำงานหนักขึ้น เช่น การทำงาน 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ✅ ผลกระทบจากการพัฒนา AI - AI แทนที่งานบางส่วน แต่พนักงานบางคนต้องกลับมาทำงานที่ AI ไม่สามารถทำได้ - บริษัทมุ่งเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI มากกว่าการเพิ่มเงินเดือน ✅ เป้าหมายของบริษัทเทคโนโลยี - เพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง https://www.techspot.com/news/107700-reality-today-tech-industry-layoffs-long-hours-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    The reality of today's tech industry: layoffs, long hours, AI threats, and few perks
    As parodied in the brilliant Silicon Valley show, there was a time when some tech employees were paid fortunes to do almost nothing in their jobs. Their...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • DeepSeek บริษัทที่สร้างชื่อเสียงในวงการ AI ด้วยโมเดล R1 กำลังเตรียมเปิดตัวโมเดลใหม่ที่ชื่อว่า DeepSeek R2 ซึ่งมีประสิทธิภาพการประมวลผลสูงถึง 512 PetaFLOPS โดยใช้ชิป Huawei Ascend 910B และระบบการฝึกอบรมแบบกระจายที่พัฒนาโดย DeepSeek เอง โมเดลนี้มีการปรับปรุงการใช้งานชิปให้มีประสิทธิภาพถึง 82% และลดค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมต่อหน่วยลงถึง 97.3%

    DeepSeek R2 ยังมีการสนับสนุนจากพันธมิตรหลายราย เช่น Tuowei Information ที่จัดการคำสั่งซื้อฮาร์ดแวร์กว่า 50% และ Sugon ที่ให้บริการตู้เซิร์ฟเวอร์ระบายความร้อนด้วยของเหลวที่รองรับพลังงานสูงถึง 40 kW ต่อหน่วย นอกจากนี้ Huawei ยังเตรียมเปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 ซึ่งเป็นทางเลือกในประเทศสำหรับ NVIDIA GB200 NVL72 โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่าในด้านการประมวลผลรวมและความจุ HBM

    ประสิทธิภาพการประมวลผล
    - DeepSeek R2 มีประสิทธิภาพการประมวลผลสูงถึง 512 PetaFLOPS
    - ใช้ชิป Huawei Ascend 910B และระบบการฝึกอบรมแบบกระจาย

    การลดค่าใช้จ่าย
    - ลดค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมต่อหน่วยลงถึง 97.3%

    การสนับสนุนจากพันธมิตร
    - Tuowei Information จัดการคำสั่งซื้อฮาร์ดแวร์กว่า 50%
    - Sugon ให้บริการตู้เซิร์ฟเวอร์ระบายความร้อนด้วยของเหลว

    การใช้งานในโครงการสมาร์ทซิตี้
    - DeepSeek R2 สนับสนุนโครงการสมาร์ทซิตี้ใน 15 จังหวัดผ่านแพลตฟอร์ม Yun Sai Zhilian

    การเปิดตัวระบบ CloudMatrix 384
    - Huawei เตรียมเปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า NVIDIA GB200 NVL72

    https://www.techpowerup.com/335984/deepseek-r2-leak-reveals-512-petaflops-push-on-domestic-ai-accelerator-infrastructure
    DeepSeek บริษัทที่สร้างชื่อเสียงในวงการ AI ด้วยโมเดล R1 กำลังเตรียมเปิดตัวโมเดลใหม่ที่ชื่อว่า DeepSeek R2 ซึ่งมีประสิทธิภาพการประมวลผลสูงถึง 512 PetaFLOPS โดยใช้ชิป Huawei Ascend 910B และระบบการฝึกอบรมแบบกระจายที่พัฒนาโดย DeepSeek เอง โมเดลนี้มีการปรับปรุงการใช้งานชิปให้มีประสิทธิภาพถึง 82% และลดค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมต่อหน่วยลงถึง 97.3% DeepSeek R2 ยังมีการสนับสนุนจากพันธมิตรหลายราย เช่น Tuowei Information ที่จัดการคำสั่งซื้อฮาร์ดแวร์กว่า 50% และ Sugon ที่ให้บริการตู้เซิร์ฟเวอร์ระบายความร้อนด้วยของเหลวที่รองรับพลังงานสูงถึง 40 kW ต่อหน่วย นอกจากนี้ Huawei ยังเตรียมเปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 ซึ่งเป็นทางเลือกในประเทศสำหรับ NVIDIA GB200 NVL72 โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่าในด้านการประมวลผลรวมและความจุ HBM ✅ ประสิทธิภาพการประมวลผล - DeepSeek R2 มีประสิทธิภาพการประมวลผลสูงถึง 512 PetaFLOPS - ใช้ชิป Huawei Ascend 910B และระบบการฝึกอบรมแบบกระจาย ✅ การลดค่าใช้จ่าย - ลดค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมต่อหน่วยลงถึง 97.3% ✅ การสนับสนุนจากพันธมิตร - Tuowei Information จัดการคำสั่งซื้อฮาร์ดแวร์กว่า 50% - Sugon ให้บริการตู้เซิร์ฟเวอร์ระบายความร้อนด้วยของเหลว ✅ การใช้งานในโครงการสมาร์ทซิตี้ - DeepSeek R2 สนับสนุนโครงการสมาร์ทซิตี้ใน 15 จังหวัดผ่านแพลตฟอร์ม Yun Sai Zhilian ✅ การเปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 - Huawei เตรียมเปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า NVIDIA GB200 NVL72 https://www.techpowerup.com/335984/deepseek-r2-leak-reveals-512-petaflops-push-on-domestic-ai-accelerator-infrastructure
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    DeepSeek R2 Leak Reveals 512 PetaFLOPS Push on Domestic AI Accelerator Infrastructure
    DeepSeek, a company that took the AI world by storm with its R1 model, is preparing a new and reportedly much improved DeepSeek R2 model release, according to a well-known AI insider @iruletheworldmo on X. Powered by Huawei's Ascend 910B chip clusters, a possible Huawei Atlas 900, and DeepSeek's in-...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 388 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบดิจิทัล (Digital Divide) เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย โดยความเหลื่อมล้ำนี้สามารถแบ่งออกได้หลายมิติ ดังนี้:

    ### 1. **ความเหลื่อมล้ำด้านโครงสร้างพื้นฐาน**
    - **พื้นที่เมือง vs. ชนบท**: ในเขตเมืองมักมีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ดีกว่า ในขณะที่พื้นที่ห่างไกลหรือชนบทอาจขาดแคลนสัญญาณอินเทอร์เน็ตหรือไฟฟ้า
    - **ความเร็วและความเสถียร**: แม้ในพื้นที่ที่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต ความเร็วและความเสถียรอาจไม่เท่ากัน ทำให้การใช้งานมีประสิทธิภาพต่างกัน

    ### 2. **ความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจ**
    - **ค่าใช้จ่าย**: การเข้าถึงอุปกรณ์ดิจิทัล (เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์) และค่าบริการอินเทอร์เน็ตอาจเป็นภาระสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย
    - **รายได้และโอกาส**: กลุ่มที่มีรายได้สูงมักมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีและทักษะดิจิทัลได้ดีกว่า ส่งผลให้เกิดช่องว่างทางเศรษฐกิจมากขึ้น

    ### 3. **ความเหลื่อมล้ำด้านทักษะและการศึกษา**
    - **ทักษะดิจิทัล**: กลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ที่ขาดโอกาสในการเรียนรู้อาจไม่มีความรู้เพียงพอในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
    - **การศึกษา**: โรงเรียนในเมืองอาจมีทรัพยากรด้านดิจิทัล (เช่น อุปกรณ์การเรียนออนไลน์) ดีกว่าโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล

    ### 4. **ความเหลื่อมล้ำด้านสังคมและประชากรศาสตร์**
    - **วัย**: คนรุ่นใหม่อาจปรับตัวกับเทคโนโลยีได้ดีกว่าผู้สูงอายุ
    - **เพศ**: ในบางสังคม ผู้หญิงอาจมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีน้อยกว่าผู้ชายเนื่องจากอคติทางวัฒนธรรม

    ### 5. **นโยบายและการสนับสนุนจากรัฐ**
    - **การกระจายทรัพยากร**: นโยบายของรัฐอาจไม่ทั่วถึง ทำให้บางพื้นที่หรือกลุ่มคนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
    - **การส่งเสริมทักษะดิจิทัล**: โครงการฝึกอบรมอาจไม่เพียงพอหรือไม่ครอบคลุมทุกกลุ่ม

    ### ผลกระทบของความเหลื่อมล้ำดิจิทัล
    - **เศรษฐกิจ**: กลุ่มที่ขาดแคลนโอกาสดิจิทัลอาจถูกกีดกันจากตลาดงานสมัยใหม่
    - **การศึกษา**: นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลอาจเสียเปรียบเนื่องจากขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนออนไลน์
    - **สุขภาพ**: การเข้าถึงบริการสุขภาพดิจิทัล (Telemedicine) อาจจำกัดในบางพื้นที่
    - **สังคม**: ความเหลื่อมล้ำอาจทำให้เกิดช่องว่างทางสังคมระหว่างกลุ่มคนที่เข้าถึงเทคโนโลยีและกลุ่มที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

    ### แนทางแก้ไข
    - **พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน** โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล
    - **ลดค่าใช้จ่าย** ในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์ดิจิทัล
    - **ส่งเสริมการศึกษาและฝึกทักษะดิจิทัล** ให้กับทุกกลุ่มวัย
    - **ออกนโยบายที่ครอบคลุม** เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เช่น โครงการอินเทอร์เน็ตหมู่บ้านหรือแจกแท็บเล็ตสำหรับนักเรียน

    ความเหลื่อมล้ำด้านดิจิทัลเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะในยุคที่เทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต การเข้าถึงดิจิทัลอย่างเท่าเทียมจะช่วยลดความไม่เสมอภาคทางสังคมและเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ
    การเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบดิจิทัล (Digital Divide) เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย โดยความเหลื่อมล้ำนี้สามารถแบ่งออกได้หลายมิติ ดังนี้: ### 1. **ความเหลื่อมล้ำด้านโครงสร้างพื้นฐาน** - **พื้นที่เมือง vs. ชนบท**: ในเขตเมืองมักมีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ดีกว่า ในขณะที่พื้นที่ห่างไกลหรือชนบทอาจขาดแคลนสัญญาณอินเทอร์เน็ตหรือไฟฟ้า - **ความเร็วและความเสถียร**: แม้ในพื้นที่ที่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต ความเร็วและความเสถียรอาจไม่เท่ากัน ทำให้การใช้งานมีประสิทธิภาพต่างกัน ### 2. **ความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจ** - **ค่าใช้จ่าย**: การเข้าถึงอุปกรณ์ดิจิทัล (เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์) และค่าบริการอินเทอร์เน็ตอาจเป็นภาระสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย - **รายได้และโอกาส**: กลุ่มที่มีรายได้สูงมักมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีและทักษะดิจิทัลได้ดีกว่า ส่งผลให้เกิดช่องว่างทางเศรษฐกิจมากขึ้น ### 3. **ความเหลื่อมล้ำด้านทักษะและการศึกษา** - **ทักษะดิจิทัล**: กลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ที่ขาดโอกาสในการเรียนรู้อาจไม่มีความรู้เพียงพอในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล - **การศึกษา**: โรงเรียนในเมืองอาจมีทรัพยากรด้านดิจิทัล (เช่น อุปกรณ์การเรียนออนไลน์) ดีกว่าโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ### 4. **ความเหลื่อมล้ำด้านสังคมและประชากรศาสตร์** - **วัย**: คนรุ่นใหม่อาจปรับตัวกับเทคโนโลยีได้ดีกว่าผู้สูงอายุ - **เพศ**: ในบางสังคม ผู้หญิงอาจมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีน้อยกว่าผู้ชายเนื่องจากอคติทางวัฒนธรรม ### 5. **นโยบายและการสนับสนุนจากรัฐ** - **การกระจายทรัพยากร**: นโยบายของรัฐอาจไม่ทั่วถึง ทำให้บางพื้นที่หรือกลุ่มคนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง - **การส่งเสริมทักษะดิจิทัล**: โครงการฝึกอบรมอาจไม่เพียงพอหรือไม่ครอบคลุมทุกกลุ่ม ### ผลกระทบของความเหลื่อมล้ำดิจิทัล - **เศรษฐกิจ**: กลุ่มที่ขาดแคลนโอกาสดิจิทัลอาจถูกกีดกันจากตลาดงานสมัยใหม่ - **การศึกษา**: นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลอาจเสียเปรียบเนื่องจากขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนออนไลน์ - **สุขภาพ**: การเข้าถึงบริการสุขภาพดิจิทัล (Telemedicine) อาจจำกัดในบางพื้นที่ - **สังคม**: ความเหลื่อมล้ำอาจทำให้เกิดช่องว่างทางสังคมระหว่างกลุ่มคนที่เข้าถึงเทคโนโลยีและกลุ่มที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ### แนทางแก้ไข - **พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน** โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล - **ลดค่าใช้จ่าย** ในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์ดิจิทัล - **ส่งเสริมการศึกษาและฝึกทักษะดิจิทัล** ให้กับทุกกลุ่มวัย - **ออกนโยบายที่ครอบคลุม** เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เช่น โครงการอินเทอร์เน็ตหมู่บ้านหรือแจกแท็บเล็ตสำหรับนักเรียน ความเหลื่อมล้ำด้านดิจิทัลเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะในยุคที่เทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต การเข้าถึงดิจิทัลอย่างเท่าเทียมจะช่วยลดความไม่เสมอภาคทางสังคมและเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 453 มุมมอง 0 รีวิว
  • IBM ได้ประกาศว่ามีสัญญากับรัฐบาลสหรัฐฯ จำนวน 15 ฉบับที่ถูกยกเลิก เนื่องจากนโยบายลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่ปรึกษาของ IBM อย่างไรก็ตาม บริษัทได้รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกที่ดีกว่าคาดการณ์ และยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้อย่างน้อย 5% ในปี 2025

    สัญญากับรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกยกเลิก 15 ฉบับ
    - สัญญาที่ถูกยกเลิกมีมูลค่ารวมประมาณ 100 ล้านดอลลาร์
    - คิดเป็นน้อยกว่า 1% ของงานที่ค้างอยู่ในหน่วยธุรกิจที่ปรึกษาของ IBM

    ผลประกอบการไตรมาสแรกที่ดีกว่าคาดการณ์
    - รายได้เพิ่มขึ้น 1% เป็น 14.5 พันล้านดอลลาร์
    - กำไรต่อหุ้นปรับปรุงอยู่ที่ 1.60 ดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ที่ 1.40 ดอลลาร์

    การเติบโตในธุรกิจซอฟต์แวร์ที่มีอัตรากำไรสูง
    - IBM มีรายได้จากธุรกิจ AI มากกว่า 6 พันล้านดอลลาร์

    การให้คำแนะนำรายได้ไตรมาสที่สอง
    - คาดการณ์รายได้ระหว่าง 16.40 ถึง 16.75 พันล้านดอลลาร์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/24/ibm-forecasts-second-quarter-revenue-above-estimates-soothing-tariff-worries
    IBM ได้ประกาศว่ามีสัญญากับรัฐบาลสหรัฐฯ จำนวน 15 ฉบับที่ถูกยกเลิก เนื่องจากนโยบายลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่ปรึกษาของ IBM อย่างไรก็ตาม บริษัทได้รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกที่ดีกว่าคาดการณ์ และยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้อย่างน้อย 5% ในปี 2025 ✅ สัญญากับรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกยกเลิก 15 ฉบับ - สัญญาที่ถูกยกเลิกมีมูลค่ารวมประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ - คิดเป็นน้อยกว่า 1% ของงานที่ค้างอยู่ในหน่วยธุรกิจที่ปรึกษาของ IBM ✅ ผลประกอบการไตรมาสแรกที่ดีกว่าคาดการณ์ - รายได้เพิ่มขึ้น 1% เป็น 14.5 พันล้านดอลลาร์ - กำไรต่อหุ้นปรับปรุงอยู่ที่ 1.60 ดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ที่ 1.40 ดอลลาร์ ✅ การเติบโตในธุรกิจซอฟต์แวร์ที่มีอัตรากำไรสูง - IBM มีรายได้จากธุรกิจ AI มากกว่า 6 พันล้านดอลลาร์ ✅ การให้คำแนะนำรายได้ไตรมาสที่สอง - คาดการณ์รายได้ระหว่าง 16.40 ถึง 16.75 พันล้านดอลลาร์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/24/ibm-forecasts-second-quarter-revenue-above-estimates-soothing-tariff-worries
    WWW.THESTAR.COM.MY
    IBM says 15 contracts impacted by DOGE cost cuts, shares drop
    (Reuters) -International Business Machines said 15 of its government contracts were shelved under a cost-cutting drive by the Trump administration, a setback that eclipsed its upbeat revenue forecast and dragged its shares down over 6% after hours.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมฟุตบอลฯ บริจาคเงินส่วนตัว 25 ล้าน ให้สมาคมชำระหนี้บางส่วนแก่สยามสปอร์ต และบริจาคอีก 5 ล้าน ประเดิมตั้งกองทุนสำหรับสภากรรมการฯ ลดค่าใช้จ่ายของสมาคมฯ อีกด้านเผยแคมเปญ "คนไทยรักบอลไทย" 4 กิจกรรม ทั้งละครเวที ขายเสื้อ จัดโรดโชว์ และระดมทุนบริจาค
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000038087

    นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมฟุตบอลฯ บริจาคเงินส่วนตัว 25 ล้าน ให้สมาคมชำระหนี้บางส่วนแก่สยามสปอร์ต และบริจาคอีก 5 ล้าน ประเดิมตั้งกองทุนสำหรับสภากรรมการฯ ลดค่าใช้จ่ายของสมาคมฯ อีกด้านเผยแคมเปญ "คนไทยรักบอลไทย" 4 กิจกรรม ทั้งละครเวที ขายเสื้อ จัดโรดโชว์ และระดมทุนบริจาค . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000038087
    Like
    Love
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1423 มุมมอง 0 รีวิว
  • นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมฟุตบอลฯ บริจาคเงินส่วนตัว 25 ล้าน ให้สมาคมชำระหนี้บางส่วนแก่สยามสปอร์ต และบริจาคอีก 5 ล้าน ประเดิมตั้งกองทุนสำหรับสภากรรมการฯ ลดค่าใช้จ่ายของสมาคมฯ อีกด้านเผยแคมเปญ "คนไทยรักบอลไทย" 4 กิจกรรม ทั้งละครเวที ขายเสื้อ จัดโรดโชว์ และระดมทุนบริจาค
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000038087

    #SondhiX #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมฟุตบอลฯ บริจาคเงินส่วนตัว 25 ล้าน ให้สมาคมชำระหนี้บางส่วนแก่สยามสปอร์ต และบริจาคอีก 5 ล้าน ประเดิมตั้งกองทุนสำหรับสภากรรมการฯ ลดค่าใช้จ่ายของสมาคมฯ อีกด้านเผยแคมเปญ "คนไทยรักบอลไทย" 4 กิจกรรม ทั้งละครเวที ขายเสื้อ จัดโรดโชว์ และระดมทุนบริจาค . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000038087 #SondhiX #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Love
    Like
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1406 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel กำลังวางแผนลดจำนวนพนักงานกว่า 20% เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานและลดความซับซ้อนในโครงสร้างองค์กร โดยการลดจำนวนพนักงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการสร้างวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยวิศวกรรม และแก้ไขปัญหาการจัดการที่ซับซ้อนในระดับกลาง

    Intel วางแผนลดจำนวนพนักงานกว่า 20%
    - การลดจำนวนพนักงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการปรับปรุงโครงสร้างองค์กร
    - CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan ระบุว่าการลดจำนวนพนักงานเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก

    การลดจำนวนพนักงานเป็นส่วนหนึ่งของแผนลดค่าใช้จ่ายมูลค่า 10 พันล้านดอลลาร์
    - Intel เผชิญกับต้นทุนที่สูงและกำไรที่ลดลงในกลุ่ม PC และ Data Center
    - การเปลี่ยนแปลงนี้ยังรวมถึงการปรับกลยุทธ์ด้าน AI เพื่อแข่งขันกับ Nvidia

    Intel มีการปรับโครงสร้างทีมผู้นำ
    - กลุ่มชิปสำคัญรายงานตรงต่อ CEO เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ

    การลดจำนวนพนักงานในปี 2024 มีผลกระทบต่อพนักงานประมาณ 15,000 คน
    - การลดจำนวนพนักงานในปี 2025 จะมีผลกระทบมากขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/23/intel-to-cut-over-20-of-workforce-bloomberg-news-reports
    Intel กำลังวางแผนลดจำนวนพนักงานกว่า 20% เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานและลดความซับซ้อนในโครงสร้างองค์กร โดยการลดจำนวนพนักงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการสร้างวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยวิศวกรรม และแก้ไขปัญหาการจัดการที่ซับซ้อนในระดับกลาง ✅ Intel วางแผนลดจำนวนพนักงานกว่า 20% - การลดจำนวนพนักงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการปรับปรุงโครงสร้างองค์กร - CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan ระบุว่าการลดจำนวนพนักงานเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก ✅ การลดจำนวนพนักงานเป็นส่วนหนึ่งของแผนลดค่าใช้จ่ายมูลค่า 10 พันล้านดอลลาร์ - Intel เผชิญกับต้นทุนที่สูงและกำไรที่ลดลงในกลุ่ม PC และ Data Center - การเปลี่ยนแปลงนี้ยังรวมถึงการปรับกลยุทธ์ด้าน AI เพื่อแข่งขันกับ Nvidia ✅ Intel มีการปรับโครงสร้างทีมผู้นำ - กลุ่มชิปสำคัญรายงานตรงต่อ CEO เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ ✅ การลดจำนวนพนักงานในปี 2024 มีผลกระทบต่อพนักงานประมาณ 15,000 คน - การลดจำนวนพนักงานในปี 2025 จะมีผลกระทบมากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/23/intel-to-cut-over-20-of-workforce-bloomberg-news-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Intel to cut over 20% of workforce, Bloomberg News reports
    (Reuters) -Intel is set to unveil plans this week to slash more than 20% of its workforce, in a move to streamline operations and reduce bureaucratic inefficiencies, Bloomberg News reported on Tuesday, citing a person familiar with the matter.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • "กรณ์" อดีตรมว.คลังชี้ "ศิริกัญญา"เห็นด้วยกู้เงินนอกระบบทำงบปี69เร็วไป แนะรัฐบาลปรับลดค่าใช้จ่ายในงบฯปี68ก่อน
    https://www.thai-tai.tv/news/18272/
    "กรณ์" อดีตรมว.คลังชี้ "ศิริกัญญา"เห็นด้วยกู้เงินนอกระบบทำงบปี69เร็วไป แนะรัฐบาลปรับลดค่าใช้จ่ายในงบฯปี68ก่อน https://www.thai-tai.tv/news/18272/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึง FramePack ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่ช่วยให้การสร้างวิดีโอด้วย AI สามารถทำได้บน GPU สำหรับเล่นเกมที่มีหน่วยความจำเพียง 6GB VRAM โดย FramePack ใช้เทคนิคการบีบอัดเฟรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้หน่วยความจำ GPU ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถสร้างวิดีโอ AI ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ที่มีค่าใช้จ่ายสูง

    FramePack ช่วยให้การสร้างวิดีโอ AI ทำได้บน GPU ที่มี VRAM เพียง 6GB
    - ใช้เทคนิคการบีบอัดเฟรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้หน่วยความจำ
    - รองรับ GPU รุ่น RTX 30/40/50 ที่มีการสนับสนุน FP16 และ BF16

    FramePack ใช้สถาปัตยกรรมที่ลดการใช้หน่วยความจำ GPU
    - บีบอัดเฟรมตามความสำคัญเพื่อให้ได้ความยาวคอนเท็กซ์ที่เหมาะสม
    - ลดปัญหา "drifting" ที่ทำให้คุณภาพวิดีโอลดลงเมื่อวิดีโอมีความยาวมากขึ้น

    สามารถสร้างวิดีโอคุณภาพสูงได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์
    - ช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้การสร้างวิดีโอ AI เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

    เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น การสร้าง GIF และมีม
    - แม้ไม่ใช่ครีเอเตอร์มืออาชีพ ก็สามารถใช้งาน FramePack เพื่อความบันเทิงได้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/framepack-can-generate-ai-videos-locally-with-just-6gb-of-vram
    บทความนี้กล่าวถึง FramePack ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่ช่วยให้การสร้างวิดีโอด้วย AI สามารถทำได้บน GPU สำหรับเล่นเกมที่มีหน่วยความจำเพียง 6GB VRAM โดย FramePack ใช้เทคนิคการบีบอัดเฟรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้หน่วยความจำ GPU ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถสร้างวิดีโอ AI ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ที่มีค่าใช้จ่ายสูง ✅ FramePack ช่วยให้การสร้างวิดีโอ AI ทำได้บน GPU ที่มี VRAM เพียง 6GB - ใช้เทคนิคการบีบอัดเฟรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้หน่วยความจำ - รองรับ GPU รุ่น RTX 30/40/50 ที่มีการสนับสนุน FP16 และ BF16 ✅ FramePack ใช้สถาปัตยกรรมที่ลดการใช้หน่วยความจำ GPU - บีบอัดเฟรมตามความสำคัญเพื่อให้ได้ความยาวคอนเท็กซ์ที่เหมาะสม - ลดปัญหา "drifting" ที่ทำให้คุณภาพวิดีโอลดลงเมื่อวิดีโอมีความยาวมากขึ้น ✅ สามารถสร้างวิดีโอคุณภาพสูงได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ - ช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้การสร้างวิดีโอ AI เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ✅ เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น การสร้าง GIF และมีม - แม้ไม่ใช่ครีเอเตอร์มืออาชีพ ก็สามารถใช้งาน FramePack เพื่อความบันเทิงได้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/framepack-can-generate-ai-videos-locally-with-just-6gb-of-vram
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 326 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดย Pat Gelsinger อดีต CEO ของ Intel ได้เข้าร่วมกับบริษัท xLight ในฐานะประธานกรรมการบริหาร เพื่อพัฒนาแหล่งกำเนิดแสงแบบ Free Electron Laser (FEL) สำหรับระบบลิโทกราฟี Extreme Ultraviolet (EUV) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตชิป

    xLight กำลังพัฒนาแหล่งกำเนิดแสง FEL ที่ใช้เทคโนโลยีเครื่องเร่งอนุภาค (Particle Accelerator) เพื่อสร้างแสงที่มีความยาวคลื่นสั้นมาก (13.5 นาโนเมตร) ซึ่งเหมาะสำหรับการผลิตชิปที่มีความละเอียดสูงถึง 8 นาโนเมตร เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการลดต้นทุนการผลิตต่อแผ่นเวเฟอร์ลงถึง 50% และลดค่าใช้จ่ายทั้งด้านทุนและการดำเนินงานถึงสามเท่า

    นอกจากนี้ xLight ยังตั้งเป้าที่จะทำให้แหล่งกำเนิดแสง FEL นี้สามารถใช้งานร่วมกับเครื่องลิโทกราฟีของ ASML ได้ภายในปี 2028 โดยเทคโนโลยีนี้ยังมีศักยภาพในการนำไปใช้ในด้านอื่นๆ เช่น การตรวจวัดพลังงานสูง การควบคุมเศษซากในอวกาศ และการวิจัยทางการแพทย์

    การพัฒนาแหล่งกำเนิดแสง FEL
    - ใช้เทคโนโลยีเครื่องเร่งอนุภาคเพื่อสร้างแสงที่มีความยาวคลื่น 13.5 นาโนเมตร
    - เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตชิปที่มีความละเอียดสูงถึง 8 นาโนเมตร

    เป้าหมายของ xLight
    - ลดต้นทุนการผลิตต่อแผ่นเวเฟอร์ลงถึง 50%
    - ลดค่าใช้จ่ายทั้งด้านทุนและการดำเนินงานถึงสามเท่า

    การใช้งานในอนาคต
    - ใช้งานร่วมกับเครื่องลิโทกราฟีของ ASML ภายในปี 2028
    - มีศักยภาพในการนำไปใช้ในด้านพลังงาน อวกาศ และการแพทย์

    ข้อจำกัดของเทคโนโลยี FEL
    - ขนาดของเครื่องเร่งอนุภาคอาจไม่เหมาะสมกับโรงงานผลิตชิปในปัจจุบัน
    - การพัฒนาเทคโนโลยีนี้อาจต้องใช้เวลาและทรัพยากรเพิ่มเติม

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    - การแข่งขันในอุตสาหกรรมอาจเพิ่มขึ้นจากการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่
    - ความสำเร็จของ xLight อาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างต้นทุนในอุตสาหกรรม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/pat-gelsinger-turns-to-particle-accelerators-for-a-new-way-to-make-chips-joins-xlight
    ข่าวนี้เล่าถึงการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดย Pat Gelsinger อดีต CEO ของ Intel ได้เข้าร่วมกับบริษัท xLight ในฐานะประธานกรรมการบริหาร เพื่อพัฒนาแหล่งกำเนิดแสงแบบ Free Electron Laser (FEL) สำหรับระบบลิโทกราฟี Extreme Ultraviolet (EUV) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตชิป xLight กำลังพัฒนาแหล่งกำเนิดแสง FEL ที่ใช้เทคโนโลยีเครื่องเร่งอนุภาค (Particle Accelerator) เพื่อสร้างแสงที่มีความยาวคลื่นสั้นมาก (13.5 นาโนเมตร) ซึ่งเหมาะสำหรับการผลิตชิปที่มีความละเอียดสูงถึง 8 นาโนเมตร เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการลดต้นทุนการผลิตต่อแผ่นเวเฟอร์ลงถึง 50% และลดค่าใช้จ่ายทั้งด้านทุนและการดำเนินงานถึงสามเท่า นอกจากนี้ xLight ยังตั้งเป้าที่จะทำให้แหล่งกำเนิดแสง FEL นี้สามารถใช้งานร่วมกับเครื่องลิโทกราฟีของ ASML ได้ภายในปี 2028 โดยเทคโนโลยีนี้ยังมีศักยภาพในการนำไปใช้ในด้านอื่นๆ เช่น การตรวจวัดพลังงานสูง การควบคุมเศษซากในอวกาศ และการวิจัยทางการแพทย์ ✅ การพัฒนาแหล่งกำเนิดแสง FEL - ใช้เทคโนโลยีเครื่องเร่งอนุภาคเพื่อสร้างแสงที่มีความยาวคลื่น 13.5 นาโนเมตร - เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตชิปที่มีความละเอียดสูงถึง 8 นาโนเมตร ✅ เป้าหมายของ xLight - ลดต้นทุนการผลิตต่อแผ่นเวเฟอร์ลงถึง 50% - ลดค่าใช้จ่ายทั้งด้านทุนและการดำเนินงานถึงสามเท่า ✅ การใช้งานในอนาคต - ใช้งานร่วมกับเครื่องลิโทกราฟีของ ASML ภายในปี 2028 - มีศักยภาพในการนำไปใช้ในด้านพลังงาน อวกาศ และการแพทย์ ℹ️ ข้อจำกัดของเทคโนโลยี FEL - ขนาดของเครื่องเร่งอนุภาคอาจไม่เหมาะสมกับโรงงานผลิตชิปในปัจจุบัน - การพัฒนาเทคโนโลยีนี้อาจต้องใช้เวลาและทรัพยากรเพิ่มเติม ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ - การแข่งขันในอุตสาหกรรมอาจเพิ่มขึ้นจากการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ - ความสำเร็จของ xLight อาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างต้นทุนในอุตสาหกรรม https://www.tomshardware.com/tech-industry/pat-gelsinger-turns-to-particle-accelerators-for-a-new-way-to-make-chips-joins-xlight
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Pat Gelsinger turns to particle accelerators for a new way to make chips, joins xLight
    xLight aims to deliver a powerful alternative LPP source for ASML EUV tools by 2028.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts