• “นราพัฒน์ แก้วทอง” เปิดงานใหญ่ TREC-18 มทส. ชู “พลังชุมชน” หัวใจหลักขับเคลื่อนไทยสู่ Carbon Neutrality
    https://www.thai-tai.tv/news/22360/
    .
    #ไทยไท #นราพัฒน์แก้วทอง #TREC18 #CarbonNeutrality #พลังงานสะอาด #รทสช.

    “นราพัฒน์ แก้วทอง” เปิดงานใหญ่ TREC-18 มทส. ชู “พลังชุมชน” หัวใจหลักขับเคลื่อนไทยสู่ Carbon Neutrality https://www.thai-tai.tv/news/22360/ . #ไทยไท #นราพัฒน์แก้วทอง #TREC18 #CarbonNeutrality #พลังงานสะอาด #รทสช.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากโอไฮโอ

    Google ลงนามสัญญากับ TotalEnergies เพื่อซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากฟาร์ม Montpelier ในรัฐโอไฮโอ เป็นเวลา 15 ปี รวมปริมาณกว่า 1.5 เทราวัตต์ชั่วโมงต่อปี ฟาร์มนี้มีขนาด 50 เมกะวัตต์ และจะส่งพลังงานส่วนใหญ่ไปยังศูนย์ข้อมูลของ Google

    แม้จะเป็นข่าวดีด้านสิ่งแวดล้อม แต่ก็มีข้อกังวลว่าพลังงานที่ผลิตได้อาจไม่เหลือให้ชุมชนท้องถิ่นใช้ เนื่องจากศูนย์ข้อมูลต้องใช้พลังงานมหาศาล อีกทั้งยังมีปัญหาด้านการใช้น้ำจำนวนมากเพื่อระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล ซึ่งอาจกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

    อย่างไรก็ตาม การใช้พลังงานหมุนเวียนถือเป็นสัญญาณบวกที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น และ TotalEnergies เองก็มีแผนลงทุนโครงการพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐฯ รวมกว่า 10 กิกะวัตต์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/google-strikes-massive-deal-to-buy-1-5-terawatt-hours-of-ohio-solar-capacity-15-year-deal-will-see-most-of-50-megawatt-solar-farms-capacity-diverted-to-data-centers
    ☀️ Google ซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากโอไฮโอ Google ลงนามสัญญากับ TotalEnergies เพื่อซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากฟาร์ม Montpelier ในรัฐโอไฮโอ เป็นเวลา 15 ปี รวมปริมาณกว่า 1.5 เทราวัตต์ชั่วโมงต่อปี ฟาร์มนี้มีขนาด 50 เมกะวัตต์ และจะส่งพลังงานส่วนใหญ่ไปยังศูนย์ข้อมูลของ Google แม้จะเป็นข่าวดีด้านสิ่งแวดล้อม แต่ก็มีข้อกังวลว่าพลังงานที่ผลิตได้อาจไม่เหลือให้ชุมชนท้องถิ่นใช้ เนื่องจากศูนย์ข้อมูลต้องใช้พลังงานมหาศาล อีกทั้งยังมีปัญหาด้านการใช้น้ำจำนวนมากเพื่อระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล ซึ่งอาจกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม การใช้พลังงานหมุนเวียนถือเป็นสัญญาณบวกที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น และ TotalEnergies เองก็มีแผนลงทุนโครงการพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐฯ รวมกว่า 10 กิกะวัตต์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/google-strikes-massive-deal-to-buy-1-5-terawatt-hours-of-ohio-solar-capacity-15-year-deal-will-see-most-of-50-megawatt-solar-farms-capacity-diverted-to-data-centers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    เจาะลึกมหาสงครามเทพระดับอะตอม: ศึกชิงอำนาจในโลกควอนตัม

    จักรวาลคู่ขนานระดับอนุภาค

    การค้นพบอาณาจักรควอนตัม

    หนูดีค้นพบโดยบังเอิญขณะฝึกควบคุมพลังงาน:
    "มันเหมือนกับมีเมืองเล็กๆ นับไม่ถ้วนอยู่ในทุกอะตอม...
    แต่ละเมืองมีกฎเกณฑ์และผู้ปกครองของตัวเอง"

    ```mermaid
    graph TB
    A[โลกควอนตัม] --> B[อาณาจักรโปรตอน<br>เมืองแห่งความมั่นคง]
    A --> C[อาณาจักรอิเล็กตรอน<br>เมืองแห่งพลังงาน]
    A --> D[อาณาจักรนิวตรอน<br>เมืองแห่งสมดุล]
    A --> E[อาณาจักรควาร์ก<br>เมืองแห่งพื้นฐาน]
    ```

    โครงสร้างสังคมเทพระดับอะตอม

    ```python
    class QuantumSociety:
    def __init__(self):
    self.hierarchy = {
    "elementary_level": {
    "quark_deities": "เทพพื้นฐาน 6 ประเภท",
    "lepton_sages": "ปราชญ์เลปตอน",
    "force_carriers": "ผู้ส่งผ่านแรงพื้นฐาน"
    },
    "composite_level": {
    "proton_monarchs": "กษัตริย์โปรตอน",
    "electron_nomads": "อิเล็กตรอนเร่ร่อน",
    "neutron_guardians": "ผู้พิทักษ์นิวตรอน"
    },
    "atomic_level": {
    "nucleus_kingdom": "อาณาจักรนิวเคลียส",
    "electron_cloud_cities": "เมืองเมฆอิเล็กตรอน",
    "bonding_alliances": "พันธมิตรทางการพันธะ"
    }
    }
    ```

    ราชวงศ์แห่งนิวเคลียส

    ราชอาณาจักรโปรตอน

    ผู้ปกครอง: พระเจ้าประจุบวก (Positive Majesty)

    · ลักษณะ: ทรงกายสีแดงเรืองรอง มีมงกุฎทำจากเกลียวควาร์ก
    · พระราชวัง: ป้อมปราการนิวเคลียสที่แข็งแกร่ง
    · พระราชอำนาจ: ควบคุมแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม

    สหพันธ์อิเล็กตรอน

    ผู้นำ: เทพีวงโคจร (Orbital Goddess)

    · ลักษณะ: ร่างกายกึ่งโปร่งแสง เคลื่อนไหวรวดเร็ว
    · ที่พำนัก: เมฆอิเล็กตรอนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
    · อำนาจ: ควบคุมการแลกเปลี่ยนพลังงาน

    สภาคนกลางนิวตรอน

    ประธาน: จอมฤๅษีสมดุล (Balance Sage)

    · ลักษณะ: ทรงเครื่องหมายอินฟินิตี้ สีเทาเงิน
    · สถานที่ปฏิบัติธรรม: ศูนย์กลางนิวเคลียส
    · อำนาจ: รักษาเสถียรภาพและป้องกันการสลายตัว

    ต้นตอแห่งความขัดแย้ง

    การค้นพบ "อนุภาคศักดิ์สิทธิ์"

    นักวิทยาศาสตร์มนุษย์ทำการทดลอง LHC ทำให้ค้นพบ:

    ```mermaid
    graph LR
    A[การทดลอง LHC] --> B[ค้นพบอนุภาค<br>"พระเจ้าองค์เล็ก"]
    B --> C[พลังงานรั่วไหล<br>สู่โลกควอนตัม]
    C --> D[ทั้งสามอาณาจักร<br>ต้องการครอบครอง]
    ```

    ความต้องการที่ขัดแย้ง

    แต่ละอาณาจักรต้องการอนุภาคศักดิ์สิทธิ์เพื่อ:

    โปรตอน: "เพื่อสร้างอาณาจักรที่แข็งแกร่งถาวร!"
    อิเล็กตรอน:"เพื่อปลดปล่อยพลังงานอันไร้ขีดจำกัด!"
    นิวตรอน:"เพื่อสร้างสมดุลแห่งจักรวาล!"

    การเริ่มต้นสงคราม

    สงครามเริ่มต้นด้วย "ยุทธการแรงแม่เหล็ก":

    · อิเล็กตรอนโจมตีด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
    · โปรตอนตอบโต้ด้วยแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม
    · นิวตรอนพยายามไกล่เกลี่ยแต่ล้มเหลว

    ผลกระทบต่อโลกมนุษย์

    ความผิดปกติทางวิทยาศาสตร์

    การทดลองทางวิทยาศาสตร์เริ่มให้ผลผิดปกติ:

    ```python
    class Anomalies:
    def __init__(self):
    self.chemistry = [
    "พันธะเคมีแข็งแกร่งผิดปกติ",
    "อัตราการเกิดปฏิกิริยาผิดพลาด",
    "สารประกอบใหม่ที่ไม่มีในตารางธาตุ"
    ]

    self.physics = [
    "ค่าคงที่ทางฟิสิกส์เปลี่ยนแปลง",
    "กาลอวกาศบิดเบี้ยวในระดับจุลภาค",
    "หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์กล้มเหลว"
    ]

    self.technology = [
    "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ล้มเหลว",
    "ระบบนำทางผิดพลาด",
    "พลังงานไฟฟ้าขัดข้อง"
    ]
    ```

    ผลกระทบต่อสุขภาพ

    มนุษย์เริ่มมีอาการแปลกๆ:

    · ความรู้สึกเสียวซ่า: จากอิเล็กตรอนเกินกำลัง
    · อาการแข็งเกร็ง: จากโปรตอนครอบงำ
    · ความไม่สมดุล: จากนิวตรอนไร้เสถียรภาพ

    บทบาทของหนูดีในสงคราม

    การเป็นสื่อสานระหว่างโลก

    หนูดีค้นพบว่าสามารถสื่อสารกับเทพระดับอะตอมได้:
    "พวกท่านทั้งหลาย...โลกมนุษย์กำลังได้รับผลกระทบจากการสู้รบของท่าน"

    การไกล่เกลี่ยครั้งประวัติศาสตร์

    หนูดีจัด สภาสันติภาพระหว่างมิติ:

    ```mermaid
    graph TB
    A[หนูดี<br>เป็นผู้ไกล่เกลี่ย] --> B[เชิญตัวแทน<br>ทั้งสามอาณาจักร]
    B --> C[จัดสภาใน<br>มิติกลาง]
    C --> D[หาข้อตกลง<br>ร่วมกัน]
    ```

    ข้อเสนอการแบ่งปัน

    หนูดีเสนอระบบการแบ่งปันอนุภาคศักดิ์สิทธิ์:

    · ระบบหมุนเวียน: แต่ละอาณาจักรได้ใช้ตามฤดูกาล
    · คณะกรรมการร่วม: ดูแลการใช้อย่างยุติธรรม
    · กองทุนพลังงาน: สำหรับโครงการเพื่อส่วนรวม

    สนธิสัญญาสันติภาพควอนตัม

    ข้อตกลงสำคัญ

    มีการลงนาม "สนธิสัญญาแรงพื้นฐานสามเส้า":

    ```python
    class QuantumTreaty:
    def __init__(self):
    self.agreements = {
    "power_sharing": {
    "protons": "ควบคุม 40% ของอนุภาคศักดิ์สิทธิ์",
    "electrons": "ควบคุม 40% ของอนุภาคศักดิ์สิทธิ์",
    "neutrons": "ควบคุม 20% สำหรับการรักษาสมดุล"
    },
    "territorial_rights": {
    "nuclear_zone": "ภายใต้การดูแลของโปรตอนและนิวตรอน",
    "electron_clouds": "เขตอิทธิพลของอิเล็กตรอน",
    "bonding_regions": "พื้นที่ร่วมกันสำหรับการสร้างพันธะ"
    },
    "collaboration_projects": [
    "การพัฒนาพลังงานสะอาด",
    "การรักษาโรคระดับโมเลกุล",
    "การสำรวจมิติควอนตัม"
    ]
    }
    ```

    พิธีลงนาม

    การลงนามเกิดขึ้นใน "ฮอลล์แรงนิวเคลียร์":

    · ผู้ลงนาม: ตัวแทนทั้งสามอาณาจักร
    · พยาน: หนูดีและร.ต.อ.สิงห์
    · สถานที่: มิติระหว่างโลก ที่สร้างขึ้นพิเศษ

    โลกใหม่หลังสันติภาพ

    ความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์

    เกิดโครงการวิจัยร่วมระหว่างมนุษย์และเทพระดับอะตอม:

    · การแพทย์ควอนตัม: รักษาโรคในระดับเซลล์
    · วัสดุศาสตร์: พัฒนาวัสดุใหม่จากความรู้ควอนตัม
    · พลังงาน: แหล่งพลังงานไร้ขีดจำกัด

    วัฒนธรรมแลกเปลี่ยน

    ```python
    class CulturalExchange:
    def __init__(self):
    self.knowledge_transfer = {
    "human_to_quantum": [
    "ศิลปะและอารมณ์มนุษย์",
    "ความคิดสร้างสรรค์",
    "หลักจริยธรรม"
    ],
    "quantum_to_human": [
    "ความลับของแรงพื้นฐาน",
    "เทคนิคการควบคุมพลังงาน",
    "ภูมิปัญญาการอยู่ร่วมกัน"
    ]
    }

    self.joint_projects = [
    "มหาวิทยาลัยระหว่างมิติ",
    "พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ควอนตัม",
    "เทศกาลศิลปะระดับอะตอม"
    ]
    ```

    บทเรียนจากสงคราม

    🪷 สำหรับเทพระดับอะตอม

    "เราตระหนักว่า...
    อำนาจที่แท้จริงไม่ใช่การครอบครอง
    แต่คือการแบ่งปันและความร่วมมือ"

    สำหรับมนุษยชาติ

    "เราเรียนรู้ว่า...
    จักรวาลนี้มีชีวิตในทุกระดับ
    และความรับผิดชอบของเรา
    คือการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล"

    สำหรับหนูดี

    "การเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลก...
    สอนฉันว่าความเข้าใจคือกุญแจสู่สันติภาพ
    ไม่ว่าจะเป็นโลกใหญ่หรือโลกเล็ก"

    อนาคตแห่งความร่วมมือ

    โครงการระยะยาว

    สถาบันวิวัฒนาการจิตตั้ง "แผนกควอนตัมสัมพันธ์":

    · หน้าที่: ประสานงานกับเทพระดับอะตอม
    · โครงการ: วิจัยและพัฒนาร่วมกัน
    · การศึกษา: สอนเรื่องโลกควอนตัมแก่คนรุ่นใหม่

    มรดกแห่งสันติภาพ

    สงครามครั้งนี้ทิ้งมรดกสำคัญ:
    "ไม่ว่าความขัดแย้งจะอยู่ระดับไหน
    การพูดคุยและความเข้าใจ
    คือทางออกเดียวที่ยั่งยืน"

    ---

    คำสอนจากเทพนิวตรอน:
    "ในความเป็นกลาง...
    มีพลังแห่งสันติภาพ
    และในความสมดุล...
    มีอนาคตแห่งความเจริญ

    จักรวาลนี้ใหญ่พอสำหรับทุกชีวิต
    ตั้งแต่ควาร์กจนถึงดวงดาว
    ขอเพียงเราเรียนรู้ที่จะแบ่งปัน"

    คำคมสุดท้าย:
    "มหาสงครามที่เล็กที่สุด...
    สอนบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
    ว่าสันติภาพเริ่มต้นได้จากใจ
    ที่พร้อมจะเข้าใจในความแตกต่าง"
    O.P.K. ⚛️ เจาะลึกมหาสงครามเทพระดับอะตอม: ศึกชิงอำนาจในโลกควอนตัม 🌌 จักรวาลคู่ขนานระดับอนุภาค 🔬 การค้นพบอาณาจักรควอนตัม หนูดีค้นพบโดยบังเอิญขณะฝึกควบคุมพลังงาน: "มันเหมือนกับมีเมืองเล็กๆ นับไม่ถ้วนอยู่ในทุกอะตอม... แต่ละเมืองมีกฎเกณฑ์และผู้ปกครองของตัวเอง" ```mermaid graph TB A[โลกควอนตัม] --> B[อาณาจักรโปรตอน<br>เมืองแห่งความมั่นคง] A --> C[อาณาจักรอิเล็กตรอน<br>เมืองแห่งพลังงาน] A --> D[อาณาจักรนิวตรอน<br>เมืองแห่งสมดุล] A --> E[อาณาจักรควาร์ก<br>เมืองแห่งพื้นฐาน] ``` 🏛️ โครงสร้างสังคมเทพระดับอะตอม ```python class QuantumSociety: def __init__(self): self.hierarchy = { "elementary_level": { "quark_deities": "เทพพื้นฐาน 6 ประเภท", "lepton_sages": "ปราชญ์เลปตอน", "force_carriers": "ผู้ส่งผ่านแรงพื้นฐาน" }, "composite_level": { "proton_monarchs": "กษัตริย์โปรตอน", "electron_nomads": "อิเล็กตรอนเร่ร่อน", "neutron_guardians": "ผู้พิทักษ์นิวตรอน" }, "atomic_level": { "nucleus_kingdom": "อาณาจักรนิวเคลียส", "electron_cloud_cities": "เมืองเมฆอิเล็กตรอน", "bonding_alliances": "พันธมิตรทางการพันธะ" } } ``` 👑 ราชวงศ์แห่งนิวเคลียส 💎 ราชอาณาจักรโปรตอน ผู้ปกครอง: พระเจ้าประจุบวก (Positive Majesty) · ลักษณะ: ทรงกายสีแดงเรืองรอง มีมงกุฎทำจากเกลียวควาร์ก · พระราชวัง: ป้อมปราการนิวเคลียสที่แข็งแกร่ง · พระราชอำนาจ: ควบคุมแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม 🌪️ สหพันธ์อิเล็กตรอน ผู้นำ: เทพีวงโคจร (Orbital Goddess) · ลักษณะ: ร่างกายกึ่งโปร่งแสง เคลื่อนไหวรวดเร็ว · ที่พำนัก: เมฆอิเล็กตรอนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา · อำนาจ: ควบคุมการแลกเปลี่ยนพลังงาน 🛡️ สภาคนกลางนิวตรอน ประธาน: จอมฤๅษีสมดุล (Balance Sage) · ลักษณะ: ทรงเครื่องหมายอินฟินิตี้ สีเทาเงิน · สถานที่ปฏิบัติธรรม: ศูนย์กลางนิวเคลียส · อำนาจ: รักษาเสถียรภาพและป้องกันการสลายตัว 💥 ต้นตอแห่งความขัดแย้ง 🔥 การค้นพบ "อนุภาคศักดิ์สิทธิ์" นักวิทยาศาสตร์มนุษย์ทำการทดลอง LHC ทำให้ค้นพบ: ```mermaid graph LR A[การทดลอง LHC] --> B[ค้นพบอนุภาค<br>"พระเจ้าองค์เล็ก"] B --> C[พลังงานรั่วไหล<br>สู่โลกควอนตัม] C --> D[ทั้งสามอาณาจักร<br>ต้องการครอบครอง] ``` 🎯 ความต้องการที่ขัดแย้ง แต่ละอาณาจักรต้องการอนุภาคศักดิ์สิทธิ์เพื่อ: โปรตอน: "เพื่อสร้างอาณาจักรที่แข็งแกร่งถาวร!" อิเล็กตรอน:"เพื่อปลดปล่อยพลังงานอันไร้ขีดจำกัด!" นิวตรอน:"เพื่อสร้างสมดุลแห่งจักรวาล!" ⚡ การเริ่มต้นสงคราม สงครามเริ่มต้นด้วย "ยุทธการแรงแม่เหล็ก": · อิเล็กตรอนโจมตีด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า · โปรตอนตอบโต้ด้วยแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม · นิวตรอนพยายามไกล่เกลี่ยแต่ล้มเหลว 🌪️ ผลกระทบต่อโลกมนุษย์ 🔬 ความผิดปกติทางวิทยาศาสตร์ การทดลองทางวิทยาศาสตร์เริ่มให้ผลผิดปกติ: ```python class Anomalies: def __init__(self): self.chemistry = [ "พันธะเคมีแข็งแกร่งผิดปกติ", "อัตราการเกิดปฏิกิริยาผิดพลาด", "สารประกอบใหม่ที่ไม่มีในตารางธาตุ" ] self.physics = [ "ค่าคงที่ทางฟิสิกส์เปลี่ยนแปลง", "กาลอวกาศบิดเบี้ยวในระดับจุลภาค", "หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์กล้มเหลว" ] self.technology = [ "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ล้มเหลว", "ระบบนำทางผิดพลาด", "พลังงานไฟฟ้าขัดข้อง" ] ``` 🏥 ผลกระทบต่อสุขภาพ มนุษย์เริ่มมีอาการแปลกๆ: · ความรู้สึกเสียวซ่า: จากอิเล็กตรอนเกินกำลัง · อาการแข็งเกร็ง: จากโปรตอนครอบงำ · ความไม่สมดุล: จากนิวตรอนไร้เสถียรภาพ 💫 บทบาทของหนูดีในสงคราม 🔍 การเป็นสื่อสานระหว่างโลก หนูดีค้นพบว่าสามารถสื่อสารกับเทพระดับอะตอมได้: "พวกท่านทั้งหลาย...โลกมนุษย์กำลังได้รับผลกระทบจากการสู้รบของท่าน" 🕊️ การไกล่เกลี่ยครั้งประวัติศาสตร์ หนูดีจัด สภาสันติภาพระหว่างมิติ: ```mermaid graph TB A[หนูดี<br>เป็นผู้ไกล่เกลี่ย] --> B[เชิญตัวแทน<br>ทั้งสามอาณาจักร] B --> C[จัดสภาใน<br>มิติกลาง] C --> D[หาข้อตกลง<br>ร่วมกัน] ``` 🌟 ข้อเสนอการแบ่งปัน หนูดีเสนอระบบการแบ่งปันอนุภาคศักดิ์สิทธิ์: · ระบบหมุนเวียน: แต่ละอาณาจักรได้ใช้ตามฤดูกาล · คณะกรรมการร่วม: ดูแลการใช้อย่างยุติธรรม · กองทุนพลังงาน: สำหรับโครงการเพื่อส่วนรวม 🏛️ สนธิสัญญาสันติภาพควอนตัม 📜 ข้อตกลงสำคัญ มีการลงนาม "สนธิสัญญาแรงพื้นฐานสามเส้า": ```python class QuantumTreaty: def __init__(self): self.agreements = { "power_sharing": { "protons": "ควบคุม 40% ของอนุภาคศักดิ์สิทธิ์", "electrons": "ควบคุม 40% ของอนุภาคศักดิ์สิทธิ์", "neutrons": "ควบคุม 20% สำหรับการรักษาสมดุล" }, "territorial_rights": { "nuclear_zone": "ภายใต้การดูแลของโปรตอนและนิวตรอน", "electron_clouds": "เขตอิทธิพลของอิเล็กตรอน", "bonding_regions": "พื้นที่ร่วมกันสำหรับการสร้างพันธะ" }, "collaboration_projects": [ "การพัฒนาพลังงานสะอาด", "การรักษาโรคระดับโมเลกุล", "การสำรวจมิติควอนตัม" ] } ``` 🎉 พิธีลงนาม การลงนามเกิดขึ้นใน "ฮอลล์แรงนิวเคลียร์": · ผู้ลงนาม: ตัวแทนทั้งสามอาณาจักร · พยาน: หนูดีและร.ต.อ.สิงห์ · สถานที่: มิติระหว่างโลก ที่สร้างขึ้นพิเศษ 🌈 โลกใหม่หลังสันติภาพ 🔬 ความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ เกิดโครงการวิจัยร่วมระหว่างมนุษย์และเทพระดับอะตอม: · การแพทย์ควอนตัม: รักษาโรคในระดับเซลล์ · วัสดุศาสตร์: พัฒนาวัสดุใหม่จากความรู้ควอนตัม · พลังงาน: แหล่งพลังงานไร้ขีดจำกัด 💞 วัฒนธรรมแลกเปลี่ยน ```python class CulturalExchange: def __init__(self): self.knowledge_transfer = { "human_to_quantum": [ "ศิลปะและอารมณ์มนุษย์", "ความคิดสร้างสรรค์", "หลักจริยธรรม" ], "quantum_to_human": [ "ความลับของแรงพื้นฐาน", "เทคนิคการควบคุมพลังงาน", "ภูมิปัญญาการอยู่ร่วมกัน" ] } self.joint_projects = [ "มหาวิทยาลัยระหว่างมิติ", "พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ควอนตัม", "เทศกาลศิลปะระดับอะตอม" ] ``` 🏆 บทเรียนจากสงคราม 🪷 สำหรับเทพระดับอะตอม "เราตระหนักว่า... อำนาจที่แท้จริงไม่ใช่การครอบครอง แต่คือการแบ่งปันและความร่วมมือ" 💫 สำหรับมนุษยชาติ "เราเรียนรู้ว่า... จักรวาลนี้มีชีวิตในทุกระดับ และความรับผิดชอบของเรา คือการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล" 🌟 สำหรับหนูดี "การเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลก... สอนฉันว่าความเข้าใจคือกุญแจสู่สันติภาพ ไม่ว่าจะเป็นโลกใหญ่หรือโลกเล็ก" 🔮 อนาคตแห่งความร่วมมือ 🚀 โครงการระยะยาว สถาบันวิวัฒนาการจิตตั้ง "แผนกควอนตัมสัมพันธ์": · หน้าที่: ประสานงานกับเทพระดับอะตอม · โครงการ: วิจัยและพัฒนาร่วมกัน · การศึกษา: สอนเรื่องโลกควอนตัมแก่คนรุ่นใหม่ 💝 มรดกแห่งสันติภาพ สงครามครั้งนี้ทิ้งมรดกสำคัญ: "ไม่ว่าความขัดแย้งจะอยู่ระดับไหน การพูดคุยและความเข้าใจ คือทางออกเดียวที่ยั่งยืน" --- คำสอนจากเทพนิวตรอน: "ในความเป็นกลาง... มีพลังแห่งสันติภาพ และในความสมดุล... มีอนาคตแห่งความเจริญ จักรวาลนี้ใหญ่พอสำหรับทุกชีวิต ตั้งแต่ควาร์กจนถึงดวงดาว ขอเพียงเราเรียนรู้ที่จะแบ่งปัน"⚛️✨ คำคมสุดท้าย: "มหาสงครามที่เล็กที่สุด... สอนบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ว่าสันติภาพเริ่มต้นได้จากใจ ที่พร้อมจะเข้าใจในความแตกต่าง"🌌
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรือใบขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ที่สุดในโลกข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสำเร็จเป็นครั้งแรก! จุดเปลี่ยนของโลจิสติกส์สีเขียว

    เรือใบขนส่งสินค้า “Canopée” ซึ่งเป็นเรือใบขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสำเร็จเป็นครั้งแรก โดยใช้พลังงานลมเป็นหลักในการขับเคลื่อน ถือเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมขนส่งที่มุ่งสู่ความยั่งยืนและลดการปล่อยคาร์บอน

    Canopée เป็นเรือใบขนส่งสินค้าขนาด 121 เมตร ที่ติดตั้งระบบใบเรือแบบอัตโนมัติชื่อ “Oceanwings” จำนวน 4 ใบ ซึ่งสามารถปรับมุมและพับเก็บได้ตามสภาพลม โดยการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกครั้งนี้เริ่มต้นจากฝรั่งเศสไปยังเฟรนช์เกียนา ใช้เวลาหลายวันโดยลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลลงอย่างมาก

    เรือลำนี้ถูกออกแบบมาเพื่อขนส่งชิ้นส่วนของจรวด Ariane 6 ของ European Space Agency โดยมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่งทางทะเล ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    จุดเด่นของเรือ Canopée
    เป็นเรือใบขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (121 เมตร)
    ใช้ระบบใบเรือ Oceanwings แบบอัตโนมัติ 4 ใบ
    ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกจากฝรั่งเศสไปเฟรนช์เกียนาสำเร็จ
    ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและการปล่อยคาร์บอน
    ขนส่งชิ้นส่วนจรวด Ariane 6 ให้กับ ESA
    เป็นตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยีสีเขียวในโลจิสติกส์
    ได้รับการสนับสนุนจากโครงการขนส่งยั่งยืนของยุโรป

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    การใช้ใบเรือยังขึ้นอยู่กับสภาพลมและภูมิอากาศ
    ความเร็วและระยะเวลาการเดินทางอาจไม่เทียบเท่าเรือขนส่งทั่วไป
    ยังต้องใช้เครื่องยนต์เสริมในบางช่วงของการเดินทาง
    การขยายเทคโนโลยีนี้ไปยังเรือขนาดใหญ่ทั่วโลกยังต้องใช้เวลาและงบประมาณสูง

    Canopée ไม่ใช่แค่เรือใบธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตที่โลจิสติกส์สามารถเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างแท้จริง ใครที่สนใจเรื่องพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีทางทะเล นี่คือเรื่องราวที่ควรจับตามอง!

    https://www.marineinsight.com/shipping-news/worlds-largest-cargo-sailboat-completes-historic-first-atlantic-crossing/
    ⛵ เรือใบขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ที่สุดในโลกข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสำเร็จเป็นครั้งแรก! จุดเปลี่ยนของโลจิสติกส์สีเขียว เรือใบขนส่งสินค้า “Canopée” ซึ่งเป็นเรือใบขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสำเร็จเป็นครั้งแรก โดยใช้พลังงานลมเป็นหลักในการขับเคลื่อน ถือเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมขนส่งที่มุ่งสู่ความยั่งยืนและลดการปล่อยคาร์บอน Canopée เป็นเรือใบขนส่งสินค้าขนาด 121 เมตร ที่ติดตั้งระบบใบเรือแบบอัตโนมัติชื่อ “Oceanwings” จำนวน 4 ใบ ซึ่งสามารถปรับมุมและพับเก็บได้ตามสภาพลม โดยการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกครั้งนี้เริ่มต้นจากฝรั่งเศสไปยังเฟรนช์เกียนา ใช้เวลาหลายวันโดยลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลลงอย่างมาก เรือลำนี้ถูกออกแบบมาเพื่อขนส่งชิ้นส่วนของจรวด Ariane 6 ของ European Space Agency โดยมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่งทางทะเล ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ✅ จุดเด่นของเรือ Canopée ➡️ เป็นเรือใบขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (121 เมตร) ➡️ ใช้ระบบใบเรือ Oceanwings แบบอัตโนมัติ 4 ใบ ➡️ ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกจากฝรั่งเศสไปเฟรนช์เกียนาสำเร็จ ➡️ ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและการปล่อยคาร์บอน ➡️ ขนส่งชิ้นส่วนจรวด Ariane 6 ให้กับ ESA ➡️ เป็นตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยีสีเขียวในโลจิสติกส์ ➡️ ได้รับการสนับสนุนจากโครงการขนส่งยั่งยืนของยุโรป ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ การใช้ใบเรือยังขึ้นอยู่กับสภาพลมและภูมิอากาศ ⛔ ความเร็วและระยะเวลาการเดินทางอาจไม่เทียบเท่าเรือขนส่งทั่วไป ⛔ ยังต้องใช้เครื่องยนต์เสริมในบางช่วงของการเดินทาง ⛔ การขยายเทคโนโลยีนี้ไปยังเรือขนาดใหญ่ทั่วโลกยังต้องใช้เวลาและงบประมาณสูง Canopée ไม่ใช่แค่เรือใบธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตที่โลจิสติกส์สามารถเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างแท้จริง ใครที่สนใจเรื่องพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีทางทะเล นี่คือเรื่องราวที่ควรจับตามอง! https://www.marineinsight.com/shipping-news/worlds-largest-cargo-sailboat-completes-historic-first-atlantic-crossing/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Solarpunk แอฟริกา – เมื่ออนาคตไม่รอใคร”

    ลองจินตนาการว่าไฟฟ้าไม่เคยมาเยือนบ้านคุณเลยตลอดชีวิต แล้ววันหนึ่งคุณได้แสงสว่างจากแผงโซลาร์ที่ผ่อนได้ผ่านมือถือ… นี่คือเรื่องจริงของผู้คนกว่า 600 ล้านคนในแอฟริกา ที่ไม่ได้รอให้รัฐบาลหรือธนาคารโลกมาสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ แต่ลุกขึ้นมาสร้างมันเองผ่านโมเดล Solarpunk ที่กำลังเปลี่ยนโลก

    ในขณะที่โลกพัฒนาแล้วกำลังถกเถียงเรื่องพลังงานสะอาด แอฟริกากำลังลงมือทำจริง ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีราคาถูก การเงินดิจิทัล และโมเดลธุรกิจแบบจ่ายรายวัน (PAYG) ที่ทำให้พลังงานแสงอาทิตย์เข้าถึงได้แม้กับคนที่มีรายได้เพียง $2 ต่อวัน

    ในอดีต การขยายสายไฟฟ้าไปยังพื้นที่ชนบทต้องใช้เงินมหาศาลและเวลานานหลายสิบปี แต่วันนี้ บริษัทสตาร์ทอัพในแอฟริกาอย่าง Sun King และ SunCulture กลับสามารถติดตั้งระบบโซลาร์ให้เกษตรกรได้ภายในไม่กี่วัน ด้วยเงินดาวน์เพียง $100 และจ่ายรายวันผ่านมือถือ

    ระบบเหล่านี้มาพร้อม IoT ที่สามารถตัดไฟหากไม่จ่าย และเปิดไฟเมื่อชำระเงิน ทำให้เกิดวินัยทางการเงิน และอัตราการชำระหนี้สูงถึง 90% ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศที่มีระบบธนาคารเต็มรูปแบบเสียอีก

    ที่น่าทึ่งคือ โมเดลนี้ไม่เพียงให้แสงสว่าง แต่ยังเปลี่ยนชีวิต:
    เกษตรกรสามารถใช้ปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเพิ่มผลผลิต 3-5 เท่า
    เด็กๆ อ่านหนังสือตอนกลางคืนได้
    ผู้หญิงไม่ต้องสูดควันจากเตาเผาดีเซลหรือถ่านอีกต่อไป

    และทั้งหมดนี้ยังสามารถขายคาร์บอนเครดิตได้อีกด้วย ทำให้ต้นทุนลดลง และขยายตลาดได้มากขึ้น

    สรุปเนื้อหาสำคัญ
    แอฟริกากำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานพลังงานใหม่ด้วยตัวเอง
    ใช้โมเดล Pay-As-You-Go (PAYG) ผ่านมือถือ
    ระบบโซลาร์ติดตั้งง่าย จ่ายรายวันผ่าน M-PESA
    มี IoT ควบคุมการเปิด-ปิดไฟตามการชำระเงิน
    อัตราการชำระหนี้สูงกว่า 90%
    บริษัท Sun King และ SunCulture มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 50%
    ปั๊มน้ำโซลาร์ช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกรจาก $600 เป็น $14,000 ต่อเอเคอร์
    คาร์บอนเครดิตช่วยลดต้นทุนลง 25-40%
    มีการลงทุนล่วงหน้าโดยองค์กรต่างประเทศ เช่น British International Investment

    การขยายโมเดลนี้ยังมีความเสี่ยง
    ความผันผวนของค่าเงินในประเทศต่างๆ
    ความเสี่ยงด้านนโยบายจากรัฐบาล
    ความผันผวนของราคาคาร์บอนเครดิต
    ความซับซ้อนในการบำรุงรักษาอุปกรณ์
    ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติหรือความไม่มั่นคงทางการเมือง

    ถ้าโมเดลนี้ขยายไปยังเอเชียใต้ ลาตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกที่ไม่ต้องรอ “สายไฟ” อีกต่อไป แต่ใช้แสงแดดเป็นตัวนำทางสู่อนาคต

    https://climatedrift.substack.com/p/why-solarpunk-is-already-happening
    ☀️ “Solarpunk แอฟริกา – เมื่ออนาคตไม่รอใคร” ลองจินตนาการว่าไฟฟ้าไม่เคยมาเยือนบ้านคุณเลยตลอดชีวิต แล้ววันหนึ่งคุณได้แสงสว่างจากแผงโซลาร์ที่ผ่อนได้ผ่านมือถือ… นี่คือเรื่องจริงของผู้คนกว่า 600 ล้านคนในแอฟริกา ที่ไม่ได้รอให้รัฐบาลหรือธนาคารโลกมาสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ แต่ลุกขึ้นมาสร้างมันเองผ่านโมเดล Solarpunk ที่กำลังเปลี่ยนโลก ในขณะที่โลกพัฒนาแล้วกำลังถกเถียงเรื่องพลังงานสะอาด แอฟริกากำลังลงมือทำจริง ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีราคาถูก การเงินดิจิทัล และโมเดลธุรกิจแบบจ่ายรายวัน (PAYG) ที่ทำให้พลังงานแสงอาทิตย์เข้าถึงได้แม้กับคนที่มีรายได้เพียง $2 ต่อวัน ในอดีต การขยายสายไฟฟ้าไปยังพื้นที่ชนบทต้องใช้เงินมหาศาลและเวลานานหลายสิบปี แต่วันนี้ บริษัทสตาร์ทอัพในแอฟริกาอย่าง Sun King และ SunCulture กลับสามารถติดตั้งระบบโซลาร์ให้เกษตรกรได้ภายในไม่กี่วัน ด้วยเงินดาวน์เพียง $100 และจ่ายรายวันผ่านมือถือ ระบบเหล่านี้มาพร้อม IoT ที่สามารถตัดไฟหากไม่จ่าย และเปิดไฟเมื่อชำระเงิน ทำให้เกิดวินัยทางการเงิน และอัตราการชำระหนี้สูงถึง 90% ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศที่มีระบบธนาคารเต็มรูปแบบเสียอีก ที่น่าทึ่งคือ โมเดลนี้ไม่เพียงให้แสงสว่าง แต่ยังเปลี่ยนชีวิต: 📍 เกษตรกรสามารถใช้ปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเพิ่มผลผลิต 3-5 เท่า 📍 เด็กๆ อ่านหนังสือตอนกลางคืนได้ 📍 ผู้หญิงไม่ต้องสูดควันจากเตาเผาดีเซลหรือถ่านอีกต่อไป และทั้งหมดนี้ยังสามารถขายคาร์บอนเครดิตได้อีกด้วย ทำให้ต้นทุนลดลง และขยายตลาดได้มากขึ้น 📌 สรุปเนื้อหาสำคัญ ✅ แอฟริกากำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานพลังงานใหม่ด้วยตัวเอง ➡️ ใช้โมเดล Pay-As-You-Go (PAYG) ผ่านมือถือ ➡️ ระบบโซลาร์ติดตั้งง่าย จ่ายรายวันผ่าน M-PESA ➡️ มี IoT ควบคุมการเปิด-ปิดไฟตามการชำระเงิน ➡️ อัตราการชำระหนี้สูงกว่า 90% ➡️ บริษัท Sun King และ SunCulture มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 50% ➡️ ปั๊มน้ำโซลาร์ช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกรจาก $600 เป็น $14,000 ต่อเอเคอร์ ➡️ คาร์บอนเครดิตช่วยลดต้นทุนลง 25-40% ➡️ มีการลงทุนล่วงหน้าโดยองค์กรต่างประเทศ เช่น British International Investment ‼️ การขยายโมเดลนี้ยังมีความเสี่ยง ⛔ ความผันผวนของค่าเงินในประเทศต่างๆ ⛔ ความเสี่ยงด้านนโยบายจากรัฐบาล ⛔ ความผันผวนของราคาคาร์บอนเครดิต ⛔ ความซับซ้อนในการบำรุงรักษาอุปกรณ์ ⛔ ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติหรือความไม่มั่นคงทางการเมือง ถ้าโมเดลนี้ขยายไปยังเอเชียใต้ ลาตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกที่ไม่ต้องรอ “สายไฟ” อีกต่อไป แต่ใช้แสงแดดเป็นตัวนำทางสู่อนาคต https://climatedrift.substack.com/p/why-solarpunk-is-already-happening
    CLIMATEDRIFT.SUBSTACK.COM
    Why Solarpunk is already happening in Africa
    Or: How Africa is building the future by skipping the past
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google เปิดตัว Project Suncatcher: ส่งศูนย์ข้อมูล AI ขึ้นสู่อวกาศ!

    Google ประกาศโครงการสุดล้ำ “Project Suncatcher” ที่จะนำศูนย์ข้อมูล AI ขึ้นสู่วงโคจรโลก โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์และเทคโนโลยี TPU เพื่อประมวลผลแบบไร้ขีดจำกัดในอวกาศ พร้อมจับมือ Planet Labs เตรียมปล่อยดาวเทียมต้นแบบภายในปี 2027.

    Google กำลังพลิกโฉมการประมวลผล AI ด้วยแนวคิดใหม่: แทนที่จะสร้างศูนย์ข้อมูลบนโลกที่ใช้พลังงานมหาศาลและต้องการระบบระบายความร้อนซับซ้อน พวกเขาจะส่งศูนย์ข้อมูลขึ้นสู่อวกาศ!

    โดยใช้ดาวเทียมที่ติดตั้ง TPU (Tensor Processing Units) ซึ่งเป็นชิปประมวลผล AI ของ Google พร้อมแผงโซลาร์เซลล์ประสิทธิภาพสูงที่สามารถผลิตพลังงานได้มากกว่าแผงบนโลกถึง 8 เท่า

    ข้อดีคือ:
    ได้พลังงานสะอาดตลอด 24 ชั่วโมง
    ไม่ต้องใช้ระบบระบายความร้อนแบบเดิม
    ลดต้นทุนระยะยาวในการดำเนินงาน

    แต่ก็มีความท้าทาย:
    ต้องสร้างระบบสื่อสารที่ส่งข้อมูลได้หลายเทราไบต์ต่อวินาที
    ต้องป้องกัน TPU จากรังสีในอวกาศ ซึ่ง Google ได้ทดสอบแล้วว่า Trillium TPU ทนได้ถึง 5 ปีโดยไม่เสียหาย
    ต้องจัดการความเสี่ยงจากการชนกันของดาวเทียมในวงโคจร

    Google คาดว่าในปี 2035 ต้นทุนการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลในอวกาศจะใกล้เคียงกับบนโลก และจะเป็นทางเลือกใหม่ที่ยั่งยืนสำหรับการพัฒนา AI ในอนาคต

    แนวคิดของ Project Suncatcher
    ส่ง TPU ขึ้นสู่วงโคจรเพื่อประมวลผล AI
    ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่มีประสิทธิภาพสูง
    ลดต้นทุนและปัญหาระบบระบายความร้อน

    ความร่วมมือและแผนการดำเนินงาน
    ร่วมมือกับ Planet Labs
    เตรียมปล่อยดาวเทียมต้นแบบภายในปี 2027
    คาดว่าความคุ้มทุนจะเกิดในช่วงปี 2035

    ความท้าทายทางเทคนิค
    ต้องสร้างระบบสื่อสารความเร็วสูงระหว่างดาวเทียม
    ต้องป้องกัน TPU จากรังสีอวกาศ
    ต้องจัดการความเสี่ยงจากการชนกันของดาวเทียม

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    การสื่อสารข้อมูลจากอวกาศยังมีข้อจำกัดด้านความเร็วและความเสถียร
    การจัดการดาวเทียมจำนวนมากอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในวงโคจร
    ต้องมีการตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในระยะยาว

    Project Suncatcher ไม่ใช่แค่การส่งชิปขึ้นฟ้า แต่มันคือการเปิดประตูสู่ยุคใหม่ของการประมวลผล AI ที่ไร้ขีดจำกัด… และอาจเปลี่ยนวิธีที่โลกใช้พลังงานและเทคโนโลยีไปตลอดกาล

    https://securityonline.info/orbital-ai-google-unveils-project-suncatcher-to-launch-tpu-data-centers-into-space/
    🚀 Google เปิดตัว Project Suncatcher: ส่งศูนย์ข้อมูล AI ขึ้นสู่อวกาศ! Google ประกาศโครงการสุดล้ำ “Project Suncatcher” ที่จะนำศูนย์ข้อมูล AI ขึ้นสู่วงโคจรโลก โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์และเทคโนโลยี TPU เพื่อประมวลผลแบบไร้ขีดจำกัดในอวกาศ พร้อมจับมือ Planet Labs เตรียมปล่อยดาวเทียมต้นแบบภายในปี 2027. Google กำลังพลิกโฉมการประมวลผล AI ด้วยแนวคิดใหม่: แทนที่จะสร้างศูนย์ข้อมูลบนโลกที่ใช้พลังงานมหาศาลและต้องการระบบระบายความร้อนซับซ้อน พวกเขาจะส่งศูนย์ข้อมูลขึ้นสู่อวกาศ! โดยใช้ดาวเทียมที่ติดตั้ง TPU (Tensor Processing Units) ซึ่งเป็นชิปประมวลผล AI ของ Google พร้อมแผงโซลาร์เซลล์ประสิทธิภาพสูงที่สามารถผลิตพลังงานได้มากกว่าแผงบนโลกถึง 8 เท่า ข้อดีคือ: 💠 ได้พลังงานสะอาดตลอด 24 ชั่วโมง 💠 ไม่ต้องใช้ระบบระบายความร้อนแบบเดิม 💠 ลดต้นทุนระยะยาวในการดำเนินงาน แต่ก็มีความท้าทาย: 🎗️ ต้องสร้างระบบสื่อสารที่ส่งข้อมูลได้หลายเทราไบต์ต่อวินาที 🎗️ ต้องป้องกัน TPU จากรังสีในอวกาศ ซึ่ง Google ได้ทดสอบแล้วว่า Trillium TPU ทนได้ถึง 5 ปีโดยไม่เสียหาย 🎗️ ต้องจัดการความเสี่ยงจากการชนกันของดาวเทียมในวงโคจร Google คาดว่าในปี 2035 ต้นทุนการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลในอวกาศจะใกล้เคียงกับบนโลก และจะเป็นทางเลือกใหม่ที่ยั่งยืนสำหรับการพัฒนา AI ในอนาคต ✅ แนวคิดของ Project Suncatcher ➡️ ส่ง TPU ขึ้นสู่วงโคจรเพื่อประมวลผล AI ➡️ ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่มีประสิทธิภาพสูง ➡️ ลดต้นทุนและปัญหาระบบระบายความร้อน ✅ ความร่วมมือและแผนการดำเนินงาน ➡️ ร่วมมือกับ Planet Labs ➡️ เตรียมปล่อยดาวเทียมต้นแบบภายในปี 2027 ➡️ คาดว่าความคุ้มทุนจะเกิดในช่วงปี 2035 ✅ ความท้าทายทางเทคนิค ➡️ ต้องสร้างระบบสื่อสารความเร็วสูงระหว่างดาวเทียม ➡️ ต้องป้องกัน TPU จากรังสีอวกาศ ➡️ ต้องจัดการความเสี่ยงจากการชนกันของดาวเทียม ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ การสื่อสารข้อมูลจากอวกาศยังมีข้อจำกัดด้านความเร็วและความเสถียร ⛔ การจัดการดาวเทียมจำนวนมากอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในวงโคจร ⛔ ต้องมีการตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในระยะยาว Project Suncatcher ไม่ใช่แค่การส่งชิปขึ้นฟ้า แต่มันคือการเปิดประตูสู่ยุคใหม่ของการประมวลผล AI ที่ไร้ขีดจำกัด… และอาจเปลี่ยนวิธีที่โลกใช้พลังงานและเทคโนโลยีไปตลอดกาล https://securityonline.info/orbital-ai-google-unveils-project-suncatcher-to-launch-tpu-data-centers-into-space/
    SECURITYONLINE.INFO
    Orbital AI: Google Unveils Project Suncatcher to Launch TPU Data Centers into Space
    Google announced Project Suncatcher: an ambitious plan to launch TPU-equipped satellites to perform AI computing in space, harnessing limitless solar power and low temperatures.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “TSMC นำทีมร้องรัฐบาลไต้หวันเร่งพลังงานสะอาด – โรงงานผลิตชิปเสี่ยงสะดุดเพราะไฟฟ้าไม่พอ”

    ในขณะที่โลกกำลังเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันกลับต้องเผชิญกับวิกฤตพลังงานอย่างหนัก Taiwan Semiconductor Industry Association (TSIA) ซึ่งนำโดย TSMC ได้ออกแถลงการณ์กดดันรัฐบาลให้เร่งแก้ปัญหาความไม่มั่นคงด้านไฟฟ้า พร้อมเรียกร้องให้เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนอย่างจริงจัง

    ปัจจุบันโรงงานผลิตชิปในไต้หวันใช้พลังงานหมุนเวียนเพียง 14.1% ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐาน RE100 ที่ตั้งเป้าไว้ 60% ภายในปี 2030 และ 100% ภายในปี 2050 หากไม่สามารถเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าได้ทันเวลา อุตสาหกรรมอาจต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นที่มีเสถียรภาพด้านพลังงานมากกว่า

    ความท้าทายของไต้หวันคือพื้นที่จำกัด ทำให้การสร้างฟาร์มโซลาร์หรือกังหันลมเป็นเรื่องยาก อีกทั้งยังมีปัญหาข้อพิพาทด้านที่ดินและการประสานงานในท้องถิ่น ส่งผลให้โครงการพลังงานสะอาดต้องใช้เวลานานถึง 4 ปีจึงจะเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ ซึ่งช้าเกินไปสำหรับความต้องการของโรงงานชิปที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    TSIA นำโดย TSMC เรียกร้องรัฐบาลไต้หวันให้เร่งแก้ปัญหาพลังงาน
    พลังงานหมุนเวียนในโรงงานชิปอยู่ที่ 14.1% (ปี 2024)
    เป้าหมาย RE100 คือ 60% ภายในปี 2030 และ 100% ภายในปี 2050
    หากถึงเป้าหมาย 60% ในปี 2030 อุตสาหกรรมชิปจะใช้ไฟฟ้าถึง 35–40% ของกำลังผลิตทั้งประเทศ

    ความท้าทายด้านพลังงานของไต้หวัน
    พื้นที่จำกัด ไม่เหมาะกับฟาร์มโซลาร์หรือกังหันลมขนาดใหญ่
    โครงการพลังงานสะอาดใช้เวลานานถึง 4 ปีในการเริ่มผลิต
    ปัญหาด้านการประสานงานในท้องถิ่นและข้อพิพาทที่ดิน

    ความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    โรงงานผลิตชิปต้องการไฟฟ้าเสถียรและสะอาด
    ความผันผวนของแรงดันไฟฟ้าอาจทำให้เวเฟอร์เสียหายทั้งชุด
    หากไม่มีไฟฟ้าพอ อาจต้องย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/tmsc-led-semiconductor-association-begs-taiwan-government-for-clean-green-energy-as-demand-skyrockets-fabs-are-struggling-to-keep-up-with-power-needs
    🌱 หัวข้อข่าว: “TSMC นำทีมร้องรัฐบาลไต้หวันเร่งพลังงานสะอาด – โรงงานผลิตชิปเสี่ยงสะดุดเพราะไฟฟ้าไม่พอ” ในขณะที่โลกกำลังเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันกลับต้องเผชิญกับวิกฤตพลังงานอย่างหนัก Taiwan Semiconductor Industry Association (TSIA) ซึ่งนำโดย TSMC ได้ออกแถลงการณ์กดดันรัฐบาลให้เร่งแก้ปัญหาความไม่มั่นคงด้านไฟฟ้า พร้อมเรียกร้องให้เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนอย่างจริงจัง ปัจจุบันโรงงานผลิตชิปในไต้หวันใช้พลังงานหมุนเวียนเพียง 14.1% ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐาน RE100 ที่ตั้งเป้าไว้ 60% ภายในปี 2030 และ 100% ภายในปี 2050 หากไม่สามารถเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าได้ทันเวลา อุตสาหกรรมอาจต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นที่มีเสถียรภาพด้านพลังงานมากกว่า ความท้าทายของไต้หวันคือพื้นที่จำกัด ทำให้การสร้างฟาร์มโซลาร์หรือกังหันลมเป็นเรื่องยาก อีกทั้งยังมีปัญหาข้อพิพาทด้านที่ดินและการประสานงานในท้องถิ่น ส่งผลให้โครงการพลังงานสะอาดต้องใช้เวลานานถึง 4 ปีจึงจะเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ ซึ่งช้าเกินไปสำหรับความต้องการของโรงงานชิปที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ TSIA นำโดย TSMC เรียกร้องรัฐบาลไต้หวันให้เร่งแก้ปัญหาพลังงาน ➡️ พลังงานหมุนเวียนในโรงงานชิปอยู่ที่ 14.1% (ปี 2024) ➡️ เป้าหมาย RE100 คือ 60% ภายในปี 2030 และ 100% ภายในปี 2050 ➡️ หากถึงเป้าหมาย 60% ในปี 2030 อุตสาหกรรมชิปจะใช้ไฟฟ้าถึง 35–40% ของกำลังผลิตทั้งประเทศ ✅ ความท้าทายด้านพลังงานของไต้หวัน ➡️ พื้นที่จำกัด ไม่เหมาะกับฟาร์มโซลาร์หรือกังหันลมขนาดใหญ่ ➡️ โครงการพลังงานสะอาดใช้เวลานานถึง 4 ปีในการเริ่มผลิต ➡️ ปัญหาด้านการประสานงานในท้องถิ่นและข้อพิพาทที่ดิน ✅ ความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ➡️ โรงงานผลิตชิปต้องการไฟฟ้าเสถียรและสะอาด ➡️ ความผันผวนของแรงดันไฟฟ้าอาจทำให้เวเฟอร์เสียหายทั้งชุด ➡️ หากไม่มีไฟฟ้าพอ อาจต้องย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น https://www.tomshardware.com/tech-industry/tmsc-led-semiconductor-association-begs-taiwan-government-for-clean-green-energy-as-demand-skyrockets-fabs-are-struggling-to-keep-up-with-power-needs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แคลิฟอร์เนียผ่านฤดูร้อนปี 2025 โดยไม่ต้องออกคำเตือน Flex Alert – สัญญาณดีจากพลังงานสะอาดและระบบจัดการใหม่”

    ฤดูร้อนในแคลิฟอร์เนียมักเป็นช่วงเวลาที่ระบบไฟฟ้าต้องเผชิญกับความท้าทายจากอุณหภูมิสูงและการใช้พลังงานที่พุ่งขึ้น แต่ในปี 2025 รัฐสามารถผ่านช่วงเวลานี้ไปได้โดยไม่ต้องออกคำเตือน “Flex Alert” เลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในการบริหารจัดการพลังงาน

    Flex Alert คือคำเตือนที่ออกโดย California ISO เพื่อขอให้ประชาชนลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาวิกฤต เช่น ปิดเครื่องปรับอากาศหรือเลื่อนการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อหลีกเลี่ยงการดับไฟแบบหมุนเวียน (rolling blackout)

    ปีนี้ แคลิฟอร์เนียสามารถหลีกเลี่ยง Flex Alert ได้ด้วยการลงทุนในระบบกักเก็บพลังงาน (battery storage) ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์และลม ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้าให้ตอบสนองความต้องการได้ดีขึ้น

    ความสำเร็จในการจัดการพลังงานปี 2025
    ไม่มีการออก Flex Alert ตลอดฤดูร้อน
    ระบบไฟฟ้ารับมือกับความต้องการสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ปัจจัยที่ช่วยให้หลีกเลี่ยงวิกฤต
    การลงทุนใน battery storage เพิ่มขึ้น
    การใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น solar และ wind
    การปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความยืดหยุ่น

    ความหมายเชิงนโยบาย
    แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดสามารถทำได้จริง
    ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลในช่วงวิกฤต

    คำเตือนสำหรับอนาคต
    แม้ปีนี้จะไม่มี Flex Alert แต่สภาพอากาศสุดขั้วอาจกลับมาอีก
    ต้องลงทุนต่อเนื่องในระบบกักเก็บพลังงานและโครงข่ายไฟฟ้า
    การบริหารความต้องการพลังงานยังต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชน

    https://www.latimes.com/environment/story/2025-10-17/california-made-it-through-another-summer-without-a-flex-alert
    📰 “แคลิฟอร์เนียผ่านฤดูร้อนปี 2025 โดยไม่ต้องออกคำเตือน Flex Alert – สัญญาณดีจากพลังงานสะอาดและระบบจัดการใหม่” ฤดูร้อนในแคลิฟอร์เนียมักเป็นช่วงเวลาที่ระบบไฟฟ้าต้องเผชิญกับความท้าทายจากอุณหภูมิสูงและการใช้พลังงานที่พุ่งขึ้น แต่ในปี 2025 รัฐสามารถผ่านช่วงเวลานี้ไปได้โดยไม่ต้องออกคำเตือน “Flex Alert” เลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในการบริหารจัดการพลังงาน Flex Alert คือคำเตือนที่ออกโดย California ISO เพื่อขอให้ประชาชนลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาวิกฤต เช่น ปิดเครื่องปรับอากาศหรือเลื่อนการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อหลีกเลี่ยงการดับไฟแบบหมุนเวียน (rolling blackout) ปีนี้ แคลิฟอร์เนียสามารถหลีกเลี่ยง Flex Alert ได้ด้วยการลงทุนในระบบกักเก็บพลังงาน (battery storage) ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์และลม ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้าให้ตอบสนองความต้องการได้ดีขึ้น ✅ ความสำเร็จในการจัดการพลังงานปี 2025 ➡️ ไม่มีการออก Flex Alert ตลอดฤดูร้อน ➡️ ระบบไฟฟ้ารับมือกับความต้องการสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ปัจจัยที่ช่วยให้หลีกเลี่ยงวิกฤต ➡️ การลงทุนใน battery storage เพิ่มขึ้น ➡️ การใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น solar และ wind ➡️ การปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความยืดหยุ่น ✅ ความหมายเชิงนโยบาย ➡️ แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดสามารถทำได้จริง ➡️ ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลในช่วงวิกฤต ‼️ คำเตือนสำหรับอนาคต ⛔ แม้ปีนี้จะไม่มี Flex Alert แต่สภาพอากาศสุดขั้วอาจกลับมาอีก ⛔ ต้องลงทุนต่อเนื่องในระบบกักเก็บพลังงานและโครงข่ายไฟฟ้า ⛔ การบริหารความต้องการพลังงานยังต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชน https://www.latimes.com/environment/story/2025-10-17/california-made-it-through-another-summer-without-a-flex-alert
    WWW.LATIMES.COM
    California invests big in battery energy storage — and leaves rolling blackouts behind
    Batteries that pair with clean solar and wind energy or just bolster electrical grids in general have completely taken off and are making a big difference on the California grid.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • “DeepMind จับมือ CFS ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพเตาปฏิกรณ์ฟิวชัน SPARC” — เมื่อ AI ไม่ได้แค่เล่นหมากรุก แต่ช่วยเร่งอนาคตพลังงานสะอาดให้ใกล้ขึ้น

    Google DeepMind ประกาศความร่วมมือกับบริษัทฟิวชันพลังงานจากสหรัฐฯ อย่าง Commonwealth Fusion Systems (CFS) เพื่อใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเตาปฏิกรณ์ฟิวชัน SPARC ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่มีเป้าหมายเพื่อผลิตพลังงานสะอาดแบบ “เกินดุล” (net energy gain) ให้ได้ภายในปี 2027

    CFS เพิ่งระดมทุนได้ถึง 863 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนรายใหญ่ เช่น NVIDIA, Google, Breakthrough Energy Ventures (ของ Bill Gates), Morgan Stanley, และบริษัทญี่ปุ่นอย่าง Mitsui & Co. และ Mitsubishi Corporation สะท้อนถึงความเชื่อมั่นระดับโลกในพลังงานฟิวชัน

    DeepMind จะนำเทคโนโลยี AI ที่เคยใช้ควบคุมพลาสมาใน tokamak (เตาปฏิกรณ์ฟิวชันแบบแม่เหล็ก) มาพัฒนา 3 ระบบหลักให้กับ SPARC ได้แก่:

    1️⃣ TORAX — ซอฟต์แวร์จำลองพลาสมาแบบ open-source ที่สามารถรันการทดลองจำลองนับล้านครั้งเพื่อปรับแต่งพารามิเตอร์ของเตาปฏิกรณ์

    2️⃣ AlphaEvolve — ระบบ AI ที่ใช้ reinforcement learning เพื่อค้นหาวิธีการควบคุมพลาสมาให้ได้พลังงานสูงสุด

    3️⃣ AI Navigator — ระบบควบคุมพลาสมาแบบเรียลไทม์ ที่สามารถปรับสมดุลความร้อนและแรงดันในเตาได้อย่างแม่นยำ

    เป้าหมายสูงสุดคือการสร้างระบบควบคุมอัตโนมัติที่ “ฉลาดกว่าวิศวกรมนุษย์” ในการจัดการเตาปฏิกรณ์ฟิวชัน ซึ่งจะเป็นรากฐานของโรงไฟฟ้าฟิวชันในอนาคต

    DeepMind ร่วมมือกับ CFS เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเตาฟิวชัน SPARC
    ใช้ AI ควบคุมพลาสมาและจำลองการทำงานของเตา

    CFS ได้รับเงินลงทุน 863 ล้านดอลลาร์จากบริษัทชั้นนำ
    เช่น Google, NVIDIA, Breakthrough Energy, Morgan Stanley ฯลฯ

    เป้าหมายคือการผลิตพลังงานฟิวชันแบบ net energy gain ภายในปี 2027
    หมายถึงผลิตพลังงานได้มากกว่าที่ใช้ในการจุดพลาสมา

    DeepMind พัฒนา 3 ระบบ AI ได้แก่ TORAX, AlphaEvolve และ AI Navigator
    ครอบคลุมทั้งการจำลอง, การเรียนรู้, และการควบคุมแบบเรียลไทม์

    ระบบ AI จะช่วยควบคุมความร้อนและแรงดันในเตา
    ป้องกันความเสียหายและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงาน

    https://securityonline.info/google-deepmind-partners-with-cfs-to-use-ai-for-optimizing-sparc-fusion-reactor-efficiency/
    ⚛️ “DeepMind จับมือ CFS ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพเตาปฏิกรณ์ฟิวชัน SPARC” — เมื่อ AI ไม่ได้แค่เล่นหมากรุก แต่ช่วยเร่งอนาคตพลังงานสะอาดให้ใกล้ขึ้น Google DeepMind ประกาศความร่วมมือกับบริษัทฟิวชันพลังงานจากสหรัฐฯ อย่าง Commonwealth Fusion Systems (CFS) เพื่อใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเตาปฏิกรณ์ฟิวชัน SPARC ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่มีเป้าหมายเพื่อผลิตพลังงานสะอาดแบบ “เกินดุล” (net energy gain) ให้ได้ภายในปี 2027 CFS เพิ่งระดมทุนได้ถึง 863 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนรายใหญ่ เช่น NVIDIA, Google, Breakthrough Energy Ventures (ของ Bill Gates), Morgan Stanley, และบริษัทญี่ปุ่นอย่าง Mitsui & Co. และ Mitsubishi Corporation สะท้อนถึงความเชื่อมั่นระดับโลกในพลังงานฟิวชัน DeepMind จะนำเทคโนโลยี AI ที่เคยใช้ควบคุมพลาสมาใน tokamak (เตาปฏิกรณ์ฟิวชันแบบแม่เหล็ก) มาพัฒนา 3 ระบบหลักให้กับ SPARC ได้แก่: 1️⃣ TORAX — ซอฟต์แวร์จำลองพลาสมาแบบ open-source ที่สามารถรันการทดลองจำลองนับล้านครั้งเพื่อปรับแต่งพารามิเตอร์ของเตาปฏิกรณ์ 2️⃣ AlphaEvolve — ระบบ AI ที่ใช้ reinforcement learning เพื่อค้นหาวิธีการควบคุมพลาสมาให้ได้พลังงานสูงสุด 3️⃣ AI Navigator — ระบบควบคุมพลาสมาแบบเรียลไทม์ ที่สามารถปรับสมดุลความร้อนและแรงดันในเตาได้อย่างแม่นยำ เป้าหมายสูงสุดคือการสร้างระบบควบคุมอัตโนมัติที่ “ฉลาดกว่าวิศวกรมนุษย์” ในการจัดการเตาปฏิกรณ์ฟิวชัน ซึ่งจะเป็นรากฐานของโรงไฟฟ้าฟิวชันในอนาคต ✅ DeepMind ร่วมมือกับ CFS เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเตาฟิวชัน SPARC ➡️ ใช้ AI ควบคุมพลาสมาและจำลองการทำงานของเตา ✅ CFS ได้รับเงินลงทุน 863 ล้านดอลลาร์จากบริษัทชั้นนำ ➡️ เช่น Google, NVIDIA, Breakthrough Energy, Morgan Stanley ฯลฯ ✅ เป้าหมายคือการผลิตพลังงานฟิวชันแบบ net energy gain ภายในปี 2027 ➡️ หมายถึงผลิตพลังงานได้มากกว่าที่ใช้ในการจุดพลาสมา ✅ DeepMind พัฒนา 3 ระบบ AI ได้แก่ TORAX, AlphaEvolve และ AI Navigator ➡️ ครอบคลุมทั้งการจำลอง, การเรียนรู้, และการควบคุมแบบเรียลไทม์ ✅ ระบบ AI จะช่วยควบคุมความร้อนและแรงดันในเตา ➡️ ป้องกันความเสียหายและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงาน https://securityonline.info/google-deepmind-partners-with-cfs-to-use-ai-for-optimizing-sparc-fusion-reactor-efficiency/
    SECURITYONLINE.INFO
    Google DeepMind Partners with CFS to Use AI for Optimizing SPARC Fusion Reactor Efficiency
    DeepMind is partnering with CFS to optimize its SPARC fusion reactor for net energy gain (Q>1) by 2027. The AI uses TORAX simulations and AlphaEvolve agents to control extreme plasma heat.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 272 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘นายกฯ’ ย้ำ ‘สปป.ลาว’ คือ ‘มิตรแท้ของไทย’ ร่วมผลักดัน ความร่วมมือ ความมั่นคง-ศก.-คมนาคม
    https://www.thai-tai.tv/news/21934/
    .
    #ไทยไท #อนุทิน #สปปลาว #Landlinked #ความมั่นคงชายแดน #พลังงานสะอาด #ครบรอบ75ปี

    ‘นายกฯ’ ย้ำ ‘สปป.ลาว’ คือ ‘มิตรแท้ของไทย’ ร่วมผลักดัน ความร่วมมือ ความมั่นคง-ศก.-คมนาคม https://www.thai-tai.tv/news/21934/ . #ไทยไท #อนุทิน #สปปลาว #Landlinked #ความมั่นคงชายแดน #พลังงานสะอาด #ครบรอบ75ปี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวง อว. รวมพลังเครือข่ายขับเคลื่อนนโยบายนายกอนุทิน ‘พลังงานสะอาด–สังคมคาร์บอนต่ำ’ เตรียมพร้อมเทคโนโลยี พลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์มาตรฐานปลอดภัยขนาดเล็ก (SMR)
    https://www.thai-tai.tv/news/21836/
    .
    #ไทยไท #SMR #พลังงานสะอาด #อนุทิน #ปรมาณูเพื่อสันติ #สังคมคาร์บอนต่ำ

    ปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวง อว. รวมพลังเครือข่ายขับเคลื่อนนโยบายนายกอนุทิน ‘พลังงานสะอาด–สังคมคาร์บอนต่ำ’ เตรียมพร้อมเทคโนโลยี พลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์มาตรฐานปลอดภัยขนาดเล็ก (SMR) https://www.thai-tai.tv/news/21836/ . #ไทยไท #SMR #พลังงานสะอาด #อนุทิน #ปรมาณูเพื่อสันติ #สังคมคาร์บอนต่ำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Microsoft จับมือ Shizen Energy เดินหน้าพลังงานแสงอาทิตย์ 100MW ในญี่ปุ่น — ป้อนพลังงานสะอาดให้ศูนย์ข้อมูล AI”

    Microsoft เดินหน้าสู่เป้าหมายลดคาร์บอนในญี่ปุ่น ด้วยการลงนามข้อตกลงซื้อพลังงานระยะยาว (PPA) กับบริษัทพลังงานหมุนเวียน Shizen Energy รวม 3 โครงการใหม่ในภูมิภาคคิวชูและชูโกกุ ซึ่งจะผลิตไฟฟ้ารวม 100 เมกะวัตต์ (MW) เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลและบริการ AI ของ Microsoft ในประเทศ

    นี่เป็นการขยายความร่วมมือจากโครงการ Inuyama Solar Project ที่เริ่มต้นในปี 2023 และถือเป็นสัญญาระยะยาวฉบับที่ 4 ระหว่างสองบริษัท โดยหนึ่งในโรงไฟฟ้าในคิวชูเริ่มดำเนินการแล้ว ส่วนอีกสองแห่งในชูโกกุกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และจะบริหารโดยบริษัทลูก Shizen Operations

    โครงการทั้งหมดได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากกลุ่มสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพของตลาดพลังงานหมุนเวียนในญี่ปุ่น

    Microsoft ใช้รูปแบบสัญญา PPA และ VPPA เพื่อรับประกันการใช้พลังงานสะอาดในราคาคงที่ โดย VPPA จะดำเนินการผ่านการแลกเปลี่ยนใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (REC) ซึ่งช่วยชดเชยการปล่อยคาร์บอนแม้ไม่มีการเชื่อมต่อทางกายภาพกับแหล่งผลิต

    การลงทุนครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายของ Microsoft ที่จะใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2025 และเป็นองค์กรที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นลบภายในปี 2030 โดยเฉพาะในยุคที่การประมวลผล AI และคลาวด์ต้องใช้พลังงานมหาศาล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft ลงนาม PPA กับ Shizen Energy รวม 100MW สำหรับพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น
    ครอบคลุม 3 โครงการในคิวชูและชูโกกุ หนึ่งแห่งเริ่มดำเนินการแล้ว อีกสองแห่งกำลังก่อสร้าง
    โครงการได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากสถาบันทั้งในและต่างประเทศ
    เป็นสัญญาระยะยาวฉบับที่ 4 ระหว่าง Microsoft กับ Shizen Energy
    ใช้รูปแบบ PPA และ VPPA เพื่อรับประกันการใช้พลังงานสะอาด
    VPPA ดำเนินการผ่านการแลกเปลี่ยนใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (REC)
    สนับสนุนเป้าหมายของ Microsoft ที่จะใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2025
    Microsoft ตั้งเป้าเป็นองค์กรที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นลบภายในปี 2030
    โครงการนี้จะช่วยป้อนพลังงานให้ศูนย์ข้อมูล AI และคลาวด์ในญี่ปุ่น

    https://securityonline.info/microsoft-signs-100-mw-solar-ppa-with-shizen-energy-to-power-ai-in-japan/
    ☀️ “Microsoft จับมือ Shizen Energy เดินหน้าพลังงานแสงอาทิตย์ 100MW ในญี่ปุ่น — ป้อนพลังงานสะอาดให้ศูนย์ข้อมูล AI” Microsoft เดินหน้าสู่เป้าหมายลดคาร์บอนในญี่ปุ่น ด้วยการลงนามข้อตกลงซื้อพลังงานระยะยาว (PPA) กับบริษัทพลังงานหมุนเวียน Shizen Energy รวม 3 โครงการใหม่ในภูมิภาคคิวชูและชูโกกุ ซึ่งจะผลิตไฟฟ้ารวม 100 เมกะวัตต์ (MW) เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลและบริการ AI ของ Microsoft ในประเทศ นี่เป็นการขยายความร่วมมือจากโครงการ Inuyama Solar Project ที่เริ่มต้นในปี 2023 และถือเป็นสัญญาระยะยาวฉบับที่ 4 ระหว่างสองบริษัท โดยหนึ่งในโรงไฟฟ้าในคิวชูเริ่มดำเนินการแล้ว ส่วนอีกสองแห่งในชูโกกุกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และจะบริหารโดยบริษัทลูก Shizen Operations โครงการทั้งหมดได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากกลุ่มสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพของตลาดพลังงานหมุนเวียนในญี่ปุ่น Microsoft ใช้รูปแบบสัญญา PPA และ VPPA เพื่อรับประกันการใช้พลังงานสะอาดในราคาคงที่ โดย VPPA จะดำเนินการผ่านการแลกเปลี่ยนใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (REC) ซึ่งช่วยชดเชยการปล่อยคาร์บอนแม้ไม่มีการเชื่อมต่อทางกายภาพกับแหล่งผลิต การลงทุนครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายของ Microsoft ที่จะใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2025 และเป็นองค์กรที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นลบภายในปี 2030 โดยเฉพาะในยุคที่การประมวลผล AI และคลาวด์ต้องใช้พลังงานมหาศาล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft ลงนาม PPA กับ Shizen Energy รวม 100MW สำหรับพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น ➡️ ครอบคลุม 3 โครงการในคิวชูและชูโกกุ หนึ่งแห่งเริ่มดำเนินการแล้ว อีกสองแห่งกำลังก่อสร้าง ➡️ โครงการได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากสถาบันทั้งในและต่างประเทศ ➡️ เป็นสัญญาระยะยาวฉบับที่ 4 ระหว่าง Microsoft กับ Shizen Energy ➡️ ใช้รูปแบบ PPA และ VPPA เพื่อรับประกันการใช้พลังงานสะอาด ➡️ VPPA ดำเนินการผ่านการแลกเปลี่ยนใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (REC) ➡️ สนับสนุนเป้าหมายของ Microsoft ที่จะใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2025 ➡️ Microsoft ตั้งเป้าเป็นองค์กรที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นลบภายในปี 2030 ➡️ โครงการนี้จะช่วยป้อนพลังงานให้ศูนย์ข้อมูล AI และคลาวด์ในญี่ปุ่น https://securityonline.info/microsoft-signs-100-mw-solar-ppa-with-shizen-energy-to-power-ai-in-japan/
    SECURITYONLINE.INFO
    Microsoft Signs 100 MW Solar PPA with Shizen Energy to Power AI in Japan
    Microsoft expanded its partnership with Shizen Energy, signing three new solar PPAs for 100 MW to power its cloud/AI infrastructure, accelerating Japan's energy transition.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'พีระพันธุ์-อรรถวิชช์' สู้ต่อ ผลักดัน พ.ร.บ.โซลาร์เสรี ชี้กฎหมายขัดประโยชน์หลายกลุ่ม
    https://www.thai-tai.tv/news/21805/
    .
    #ไทยไท #โซลาร์เสรี #อรรถวิชช์ #รวมไทยสร้างชาติ #พีระพันธุ์ #พลังงานสะอาด #กฎหมายกฤษฎีกา
    'พีระพันธุ์-อรรถวิชช์' สู้ต่อ ผลักดัน พ.ร.บ.โซลาร์เสรี ชี้กฎหมายขัดประโยชน์หลายกลุ่ม https://www.thai-tai.tv/news/21805/ . #ไทยไท #โซลาร์เสรี #อรรถวิชช์ #รวมไทยสร้างชาติ #พีระพันธุ์ #พลังงานสะอาด #กฎหมายกฤษฎีกา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงกว่า 500,000 จุด — พลังงานสะอาดที่ใครก็เข้าถึงได้”

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เยอรมนีได้พลิกโฉมการใช้พลังงานสะอาดด้วยการผลักดัน “Balkonkraftwerk” หรือระบบโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กที่ติดตั้งบนระเบียง ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับปลั๊กไฟภายในบ้านได้โดยตรง โดยไม่ต้องมีการติดตั้งซับซ้อนหรือเป็นเจ้าของบ้านเอง

    ระบบนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2023 เพียงปีเดียวมีการติดตั้งมากกว่า 275,000 จุด และในปี 2024 ตัวเลขรวมทะลุ 550,000 จุดทั่วประเทศ โดยแต่ละชุดมีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการชาร์จแล็ปท็อปหรือใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก

    ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่เรียบง่าย ราคาที่เข้าถึงได้ (ประมาณ 500–700 ยูโรต่อชุด) และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนอย่างจริงจัง เช่น การลดขั้นตอนการขออนุญาต การอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน และการออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกเจ้าของบ้านขัดขวางการติดตั้ง

    แม้ระบบจะผลิตไฟฟ้าได้ไม่มากนัก — เฉลี่ยประมาณ 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี — แต่ผู้ใช้งานจำนวนมากมองว่าเป็น “การกระทำเล็ก ๆ ที่มีความหมาย” ทั้งในแง่ของการลดค่าไฟ และการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ

    ผู้ใช้งานหลายคนยังกล่าวว่า การติดตั้งโซลาร์ระเบียงทำให้พวกเขาเริ่มตระหนักถึงการใช้พลังงานมากขึ้น เช่น การเลือกเวลาซักผ้าให้ตรงกับช่วงแดดจัด หรือการติดตามปริมาณพลังงานที่ผลิตผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมที่สร้างความภูมิใจและแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้าง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงมากกว่า 550,000 จุดทั่วประเทศ
    ระบบ Balkonkraftwerk มีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ และเชื่อมต่อผ่านปลั๊กไฟบ้าน
    ราคาต่อชุดประมาณ 500–700 ยูโร และติดตั้งได้เองโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของบ้าน
    รัฐบาลออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกขัดขวางการติดตั้ง
    มีการลดขั้นตอนการขออนุญาตและอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน
    ระบบผลิตไฟฟ้าเฉลี่ย 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี
    ผู้ใช้งานสามารถติดตามการผลิตพลังงานผ่านแอปพลิเคชัน
    การติดตั้งช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงการใช้พลังงานและวางแผนการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
    เป็นการมีส่วนร่วมเล็ก ๆ ที่ช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ในปี 2024 เยอรมนีผ่าน “Solarpaket 1” เพื่อสนับสนุนโซลาร์ระเบียงอย่างเป็นระบบ
    ระบบโซลาร์ระเบียงสามารถคืนทุนได้ภายใน 3–5 ปี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและทิศทางของแสง
    ประเทศอื่นในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย และเบลเยียม กำลังนำแนวทางนี้ไปใช้
    ระบบแบบ plug-and-play ช่วยลดความซับซ้อนในการติดตั้งและเพิ่มการเข้าถึง
    การผลิตพลังงานในระดับครัวเรือนช่วยลดภาระของโครงข่ายไฟฟ้ากลาง

    https://grist.org/buildings/how-germany-outfitted-half-a-million-balconies-with-solar-panels/
    ☀️ “เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงกว่า 500,000 จุด — พลังงานสะอาดที่ใครก็เข้าถึงได้” ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เยอรมนีได้พลิกโฉมการใช้พลังงานสะอาดด้วยการผลักดัน “Balkonkraftwerk” หรือระบบโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กที่ติดตั้งบนระเบียง ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับปลั๊กไฟภายในบ้านได้โดยตรง โดยไม่ต้องมีการติดตั้งซับซ้อนหรือเป็นเจ้าของบ้านเอง ระบบนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2023 เพียงปีเดียวมีการติดตั้งมากกว่า 275,000 จุด และในปี 2024 ตัวเลขรวมทะลุ 550,000 จุดทั่วประเทศ โดยแต่ละชุดมีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการชาร์จแล็ปท็อปหรือใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่เรียบง่าย ราคาที่เข้าถึงได้ (ประมาณ 500–700 ยูโรต่อชุด) และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนอย่างจริงจัง เช่น การลดขั้นตอนการขออนุญาต การอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน และการออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกเจ้าของบ้านขัดขวางการติดตั้ง แม้ระบบจะผลิตไฟฟ้าได้ไม่มากนัก — เฉลี่ยประมาณ 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี — แต่ผู้ใช้งานจำนวนมากมองว่าเป็น “การกระทำเล็ก ๆ ที่มีความหมาย” ทั้งในแง่ของการลดค่าไฟ และการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ ผู้ใช้งานหลายคนยังกล่าวว่า การติดตั้งโซลาร์ระเบียงทำให้พวกเขาเริ่มตระหนักถึงการใช้พลังงานมากขึ้น เช่น การเลือกเวลาซักผ้าให้ตรงกับช่วงแดดจัด หรือการติดตามปริมาณพลังงานที่ผลิตผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมที่สร้างความภูมิใจและแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้าง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงมากกว่า 550,000 จุดทั่วประเทศ ➡️ ระบบ Balkonkraftwerk มีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ และเชื่อมต่อผ่านปลั๊กไฟบ้าน ➡️ ราคาต่อชุดประมาณ 500–700 ยูโร และติดตั้งได้เองโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของบ้าน ➡️ รัฐบาลออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกขัดขวางการติดตั้ง ➡️ มีการลดขั้นตอนการขออนุญาตและอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน ➡️ ระบบผลิตไฟฟ้าเฉลี่ย 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ➡️ ผู้ใช้งานสามารถติดตามการผลิตพลังงานผ่านแอปพลิเคชัน ➡️ การติดตั้งช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงการใช้พลังงานและวางแผนการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ เป็นการมีส่วนร่วมเล็ก ๆ ที่ช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ในปี 2024 เยอรมนีผ่าน “Solarpaket 1” เพื่อสนับสนุนโซลาร์ระเบียงอย่างเป็นระบบ ➡️ ระบบโซลาร์ระเบียงสามารถคืนทุนได้ภายใน 3–5 ปี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและทิศทางของแสง ➡️ ประเทศอื่นในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย และเบลเยียม กำลังนำแนวทางนี้ไปใช้ ➡️ ระบบแบบ plug-and-play ช่วยลดความซับซ้อนในการติดตั้งและเพิ่มการเข้าถึง ➡️ การผลิตพลังงานในระดับครัวเรือนช่วยลดภาระของโครงข่ายไฟฟ้ากลาง https://grist.org/buildings/how-germany-outfitted-half-a-million-balconies-with-solar-panels/
    GRIST.ORG
    How Germany outfitted half a million balconies with solar panels
    Meet balkonkraftwerk, the simple technology putting solar power in the hands of renters and nudging Germany toward its clean energy goals.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Ivanpah: โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ในแคลิฟอร์เนีย เตรียมปิดตัวในปี 2026 — บทเรียนจากเทคโนโลยีที่ล้าสมัยเร็วเกินไป”

    หากคุณเคยขับรถผ่าน Interstate 15 ระหว่างลอสแอนเจลิสกับลาสเวกัส คุณอาจเคยเห็นแสงสะท้อนจากหอคอยสูง 459 ฟุต 3 ต้นกลางทะเลทรายโมฮาวี นั่นคือ Ivanpah Solar Electric Generating System — โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดมหึมาที่เคยเป็นความหวังของวงการพลังงานสะอาดในสหรัฐฯ

    เปิดใช้งานในปี 2014 ด้วยงบประมาณกว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์ Ivanpah ใช้เทคโนโลยี “solar thermal” ที่แตกต่างจากแผงโซลาร์เซลล์ทั่วไป โดยใช้กระจกกว่า 173,500 แผ่นสะท้อนแสงอาทิตย์ไปยังหอคอยเพื่อสร้างไอน้ำหมุนกังหันผลิตไฟฟ้า

    แม้จะเคยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เทคโนโลยีนี้กลับกลายเป็น “ล้าสมัย” อย่างรวดเร็ว เมื่อแผงโซลาร์เซลล์แบบ photovoltaic มีราคาถูกลงและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้ PG&E ซึ่งเป็นผู้ซื้อไฟฟ้าหลัก ประกาศยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าก่อนกำหนดในปี 2025 ทั้งที่เดิมจะซื้อถึงปี 2039

    นอกจากปัญหาด้านต้นทุนและประสิทธิภาพ Ivanpah ยังเผชิญกับข้อวิจารณ์ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การฆ่านกกว่า 6,000 ตัวต่อปีจากความร้อนของแสงสะท้อน และการรบกวนสายตาผู้ขับขี่บนทางหลวงจากแสงสะท้อนของกระจก

    แม้ยังไม่มีแผนการใช้พื้นที่หลังการปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่เจ้าของโครงการ NRG Energy เสนอว่าอาจเปลี่ยนมาใช้ระบบแผงโซลาร์เซลล์แทน ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ในปัจจุบัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Ivanpah Solar Plant ตั้งอยู่ในทะเลทรายโมฮาวี เปิดใช้งานในปี 2014
    ใช้เทคโนโลยี solar thermal โดยสะท้อนแสงไปยังหอคอยเพื่อผลิตไอน้ำ
    มีงบประมาณก่อสร้าง 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับเงินกู้จากรัฐบาล 1.6 พันล้าน
    ใช้กระจกสะท้อนแสงกว่า 173,500 แผ่น เรียกว่า heliostats
    PG&E ประกาศยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าในปี 2025 เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
    Ivanpah เคยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    มีข้อเสนอให้เปลี่ยนมาใช้ระบบ photovoltaic ที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกกว่า
    คาดว่าจะปิดตัวในปี 2026 ก่อนกำหนดเดิมถึง 13 ปี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เทคโนโลยี solar thermal มีข้อดีด้านการผลิตพลังงานต่อเนื่อง แต่ต้นทุนสูง
    photovoltaic panels มีราคาลดลงกว่า 80% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
    ระบบ solar thermal ต้องพึ่งพาแก๊สธรรมชาติเพื่อเริ่มต้นการทำงานในบางช่วง
    โครงการ Project Nexus ในแคลิฟอร์เนียทดลองติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองชลประทาน
    Ivanpah เป็นตัวอย่างของความเสี่ยงในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนเร็ว

    https://www.slashgear.com/1986261/california-ivanpah-solar-plant-shut-down-reason/
    ☀️ “Ivanpah: โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ในแคลิฟอร์เนีย เตรียมปิดตัวในปี 2026 — บทเรียนจากเทคโนโลยีที่ล้าสมัยเร็วเกินไป” หากคุณเคยขับรถผ่าน Interstate 15 ระหว่างลอสแอนเจลิสกับลาสเวกัส คุณอาจเคยเห็นแสงสะท้อนจากหอคอยสูง 459 ฟุต 3 ต้นกลางทะเลทรายโมฮาวี นั่นคือ Ivanpah Solar Electric Generating System — โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดมหึมาที่เคยเป็นความหวังของวงการพลังงานสะอาดในสหรัฐฯ เปิดใช้งานในปี 2014 ด้วยงบประมาณกว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์ Ivanpah ใช้เทคโนโลยี “solar thermal” ที่แตกต่างจากแผงโซลาร์เซลล์ทั่วไป โดยใช้กระจกกว่า 173,500 แผ่นสะท้อนแสงอาทิตย์ไปยังหอคอยเพื่อสร้างไอน้ำหมุนกังหันผลิตไฟฟ้า แม้จะเคยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เทคโนโลยีนี้กลับกลายเป็น “ล้าสมัย” อย่างรวดเร็ว เมื่อแผงโซลาร์เซลล์แบบ photovoltaic มีราคาถูกลงและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้ PG&E ซึ่งเป็นผู้ซื้อไฟฟ้าหลัก ประกาศยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าก่อนกำหนดในปี 2025 ทั้งที่เดิมจะซื้อถึงปี 2039 นอกจากปัญหาด้านต้นทุนและประสิทธิภาพ Ivanpah ยังเผชิญกับข้อวิจารณ์ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การฆ่านกกว่า 6,000 ตัวต่อปีจากความร้อนของแสงสะท้อน และการรบกวนสายตาผู้ขับขี่บนทางหลวงจากแสงสะท้อนของกระจก แม้ยังไม่มีแผนการใช้พื้นที่หลังการปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่เจ้าของโครงการ NRG Energy เสนอว่าอาจเปลี่ยนมาใช้ระบบแผงโซลาร์เซลล์แทน ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ในปัจจุบัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Ivanpah Solar Plant ตั้งอยู่ในทะเลทรายโมฮาวี เปิดใช้งานในปี 2014 ➡️ ใช้เทคโนโลยี solar thermal โดยสะท้อนแสงไปยังหอคอยเพื่อผลิตไอน้ำ ➡️ มีงบประมาณก่อสร้าง 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับเงินกู้จากรัฐบาล 1.6 พันล้าน ➡️ ใช้กระจกสะท้อนแสงกว่า 173,500 แผ่น เรียกว่า heliostats ➡️ PG&E ประกาศยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าในปี 2025 เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ➡️ Ivanpah เคยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ➡️ มีข้อเสนอให้เปลี่ยนมาใช้ระบบ photovoltaic ที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกกว่า ➡️ คาดว่าจะปิดตัวในปี 2026 ก่อนกำหนดเดิมถึง 13 ปี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เทคโนโลยี solar thermal มีข้อดีด้านการผลิตพลังงานต่อเนื่อง แต่ต้นทุนสูง ➡️ photovoltaic panels มีราคาลดลงกว่า 80% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ➡️ ระบบ solar thermal ต้องพึ่งพาแก๊สธรรมชาติเพื่อเริ่มต้นการทำงานในบางช่วง ➡️ โครงการ Project Nexus ในแคลิฟอร์เนียทดลองติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองชลประทาน ➡️ Ivanpah เป็นตัวอย่างของความเสี่ยงในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนเร็ว https://www.slashgear.com/1986261/california-ivanpah-solar-plant-shut-down-reason/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    $2B California Solar Plant To Shut Down After A Decade For The Most Frustrating Reason - SlashGear
    The Ivanpah facility's decommissioning comes from its use of a now-obsolete solar technology that's both more expensive and less efficient in generating energy.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 342 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขับเคลื่อนนโยบายพลังงานยั่งยืน สมาคมสันนิบาตสหกรณ์ฯ เปิดตัวโครงการโซลาร์เซลล์ลดค่าใช้จ่ายข้าราชการ
    https://www.thai-tai.tv/news/21762/
    .
    #พลังงานแสงอาทิตย์ #โซลาร์เซลล์ #สหกรณ์ไทย #ข้าราชการ #ลดค่าใช้จ่าย #พลังงานสะอาด #ทูตไต้หวัน #ENERGY_SOLUTION_GOAL
    ขับเคลื่อนนโยบายพลังงานยั่งยืน สมาคมสันนิบาตสหกรณ์ฯ เปิดตัวโครงการโซลาร์เซลล์ลดค่าใช้จ่ายข้าราชการ https://www.thai-tai.tv/news/21762/ . #พลังงานแสงอาทิตย์ #โซลาร์เซลล์ #สหกรณ์ไทย #ข้าราชการ #ลดค่าใช้จ่าย #พลังงานสะอาด #ทูตไต้หวัน #ENERGY_SOLUTION_GOAL
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • “WPI พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV ดึงลิเธียมบริสุทธิ์ 99.79% — ทางออกใหม่ของปัญหาสิ่งแวดล้อมและห่วงโซ่วัตถุดิบ”

    ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังกลายเป็นกระแสหลักของการขับเคลื่อนโลกไปสู่พลังงานสะอาด ปัญหาที่ตามมาคือ “การจัดการแบตเตอรี่หมดอายุ” ที่ทั้งอันตราย ซับซ้อน และมีต้นทุนสูง โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีอัตราการรีไซเคิลทั่วโลกเพียง 5% ณ ปี 2022

    ล่าสุดทีมนักวิจัยจาก Worcester Polytechnic Institute (WPI) ได้พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบบ hydrometallurgical ที่สามารถสกัดลิเธียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์ได้ถึง 99.79% พร้อมกับดึงโลหะสำคัญอื่น ๆ เช่น โคบอลต์ แมงกานีส และนิกเกิล ได้มากถึง 92%

    เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงลดการพึ่งพาการขุดแร่จากประเทศที่มีประวัติด้านสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนลง 13.9% และใช้พลังงานน้อยกว่ากระบวนการเดิมถึง 8.6% ที่สำคัญคือสามารถนำลิเธียมที่รีไซเคิลกลับมาใช้ในแบตเตอรี่ใหม่ได้ โดยยังคงประสิทธิภาพสูงถึง 88% หลังผ่านการชาร์จ 500 รอบ และ 85% หลัง 900 รอบ

    แม้กระบวนการ hydrometallurgical จะยังมีข้อจำกัดเรื่องของเสียเคมี แต่เมื่อเทียบกับ pyrometallurgy ที่ใช้ความร้อนสูงและปล่อยก๊าซพิษจำนวนมากแล้ว ถือว่าเป็นทางเลือกที่สะอาดและมีศักยภาพในการขยายสู่ระดับอุตสาหกรรมได้จริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    WPI พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบ hydrometallurgical
    สามารถสกัดลิเธียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์ได้ถึง 99.79%
    ดึงโลหะสำคัญอื่น ๆ ได้ถึง 92% เช่น โคบอลต์ แมงกานีส และนิกเกิล
    ลิเธียมที่รีไซเคิลสามารถนำกลับมาใช้ในแบตเตอรี่ใหม่ได้โดยยังคงประสิทธิภาพสูง
    แบตเตอรี่ทดลองยังคงความจุ 88% หลัง 500 รอบ และ 85% หลัง 900 รอบ
    ลดการใช้พลังงานลง 8.6% และลดการปล่อยคาร์บอนลง 13.9%
    ลดการพึ่งพาการขุดแร่จากประเทศที่มีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน
    กระบวนการมีศักยภาพในการขยายสู่ระดับอุตสาหกรรม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Pyrometallurgy เป็นวิธีรีไซเคิลแบบใช้ความร้อนสูงที่ปล่อยก๊าซพิษและใช้พลังงานมาก
    Hydrometallurgy ใช้สารเคมีในการสกัดโลหะจากแบตเตอรี่ แต่มีของเสียเคมีเป็นผลข้างเคียง
    ลิเธียมเป็นธาตุที่เกิดจากการระเบิดของดาวฤกษ์ และเป็นหัวใจของแบตเตอรี่ยุคใหม่
    การรีไซเคิลแบตเตอรี่ช่วยลดความเสี่ยงจากไฟไหม้และสารพิษในแบตเตอรี่หมดอายุ
    การรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพช่วยสร้างห่วงโซ่วัตถุดิบแบบหมุนเวียน (closed-loop supply chain)

    https://www.slashgear.com/1980965/used-ev-battery-recycling-pure-lithium-recovery-breakthough-new-method/
    🔋 “WPI พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV ดึงลิเธียมบริสุทธิ์ 99.79% — ทางออกใหม่ของปัญหาสิ่งแวดล้อมและห่วงโซ่วัตถุดิบ” ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังกลายเป็นกระแสหลักของการขับเคลื่อนโลกไปสู่พลังงานสะอาด ปัญหาที่ตามมาคือ “การจัดการแบตเตอรี่หมดอายุ” ที่ทั้งอันตราย ซับซ้อน และมีต้นทุนสูง โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีอัตราการรีไซเคิลทั่วโลกเพียง 5% ณ ปี 2022 ล่าสุดทีมนักวิจัยจาก Worcester Polytechnic Institute (WPI) ได้พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบบ hydrometallurgical ที่สามารถสกัดลิเธียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์ได้ถึง 99.79% พร้อมกับดึงโลหะสำคัญอื่น ๆ เช่น โคบอลต์ แมงกานีส และนิกเกิล ได้มากถึง 92% เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงลดการพึ่งพาการขุดแร่จากประเทศที่มีประวัติด้านสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนลง 13.9% และใช้พลังงานน้อยกว่ากระบวนการเดิมถึง 8.6% ที่สำคัญคือสามารถนำลิเธียมที่รีไซเคิลกลับมาใช้ในแบตเตอรี่ใหม่ได้ โดยยังคงประสิทธิภาพสูงถึง 88% หลังผ่านการชาร์จ 500 รอบ และ 85% หลัง 900 รอบ แม้กระบวนการ hydrometallurgical จะยังมีข้อจำกัดเรื่องของเสียเคมี แต่เมื่อเทียบกับ pyrometallurgy ที่ใช้ความร้อนสูงและปล่อยก๊าซพิษจำนวนมากแล้ว ถือว่าเป็นทางเลือกที่สะอาดและมีศักยภาพในการขยายสู่ระดับอุตสาหกรรมได้จริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ WPI พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบ hydrometallurgical ➡️ สามารถสกัดลิเธียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์ได้ถึง 99.79% ➡️ ดึงโลหะสำคัญอื่น ๆ ได้ถึง 92% เช่น โคบอลต์ แมงกานีส และนิกเกิล ➡️ ลิเธียมที่รีไซเคิลสามารถนำกลับมาใช้ในแบตเตอรี่ใหม่ได้โดยยังคงประสิทธิภาพสูง ➡️ แบตเตอรี่ทดลองยังคงความจุ 88% หลัง 500 รอบ และ 85% หลัง 900 รอบ ➡️ ลดการใช้พลังงานลง 8.6% และลดการปล่อยคาร์บอนลง 13.9% ➡️ ลดการพึ่งพาการขุดแร่จากประเทศที่มีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน ➡️ กระบวนการมีศักยภาพในการขยายสู่ระดับอุตสาหกรรม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Pyrometallurgy เป็นวิธีรีไซเคิลแบบใช้ความร้อนสูงที่ปล่อยก๊าซพิษและใช้พลังงานมาก ➡️ Hydrometallurgy ใช้สารเคมีในการสกัดโลหะจากแบตเตอรี่ แต่มีของเสียเคมีเป็นผลข้างเคียง ➡️ ลิเธียมเป็นธาตุที่เกิดจากการระเบิดของดาวฤกษ์ และเป็นหัวใจของแบตเตอรี่ยุคใหม่ ➡️ การรีไซเคิลแบตเตอรี่ช่วยลดความเสี่ยงจากไฟไหม้และสารพิษในแบตเตอรี่หมดอายุ ➡️ การรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพช่วยสร้างห่วงโซ่วัตถุดิบแบบหมุนเวียน (closed-loop supply chain) https://www.slashgear.com/1980965/used-ev-battery-recycling-pure-lithium-recovery-breakthough-new-method/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    New Recycling Method Helps Researchers Recover 99% Pure Lithium From Used EV Batteries - SlashGear
    Lithium-ion battery waste is a huge concern for the future, but researchers have found a recycling method capable of extracting 99% pure lithium.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทำไมศูนย์ข้อมูล AI ถึงยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิล? — เมื่อความต้องการพลังงานแซงหน้าความเขียว”

    ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวใหญ่ในวงการ AI: Nvidia ประกาศลงทุนกว่า 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานของ OpenAI ตามมาด้วยดีล Stargate Project มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์ระหว่าง OpenAI, SoftBank และ Oracle เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ถึง 5 แห่งในสหรัฐฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องการพลังงานมหาศาลตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน

    แม้เทคโนโลยีจะล้ำหน้า แต่พลังงานที่ใช้กลับยังคงเป็นฟอสซิลเป็นหลัก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่มากกว่าครึ่งของพลังงานศูนย์ข้อมูลมาจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีทรัมป์ที่เรียกพลังงานสะอาดว่า “หลอกลวง” และผลักดันนโยบายสนับสนุนฟอสซิลอย่างเต็มที่

    เหตุผลที่ศูนย์ข้อมูลยังไม่สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้เต็มรูปแบบนั้นมีหลายด้าน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และลมไม่สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่องตลอดวัน หากไฟดับแม้เพียงไม่กี่วินาที อาจทำให้บริษัทสูญเสียเงินมหาศาล การใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่เพื่อเก็บพลังงานก็ยังมีต้นทุนสูง และไม่สามารถรองรับการใช้งานข้ามฤดูกาลได้

    นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ต้องการพลังงานระดับกิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้แผงโซลาร์กว่า 12.5 ล้านแผง หรือกังหันลมจำนวนมหาศาล ซึ่งพื้นที่ใกล้เมืองมักไม่สามารถรองรับได้

    ทางเลือกหนึ่งคือพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งมีข้อดีคือปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์และจ่ายไฟได้ต่อเนื่อง แต่ก็ต้องใช้เวลา 7–8 ปีในการสร้างโรงงานใหม่ และยังมีอุปสรรคด้านต้นทุน ความปลอดภัย และการจัดการกากนิวเคลียร์

    ดังนั้นในระยะสั้น บริษัทเทคโนโลยีจึงยังต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมใช้งานภายใน 1–2 ปี และสามารถตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเติบโตของ AI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Nvidia ลงทุน 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนศูนย์ข้อมูลของ OpenAI
    OpenAI, SoftBank และ Oracle ร่วมกันสร้างศูนย์ข้อมูล Stargate Project มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์
    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังลงทุนรวมกว่า 325 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูลภายในปีนี้
    มากกว่าครึ่งของพลังงานศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ มาจากฟอสซิล เช่น ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ
    พลังงานหมุนเวียนไม่สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่อง และแบตเตอรี่ยังมีต้นทุนสูง
    การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องใช้เวลา 7–8 ปี และมีต้นทุนสูง
    ก๊าซธรรมชาติสามารถสร้างโรงไฟฟ้าได้ภายใน 1–2 ปี และมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อม
    ประธานาธิบดีทรัมป์สนับสนุนฟอสซิลและลดเครดิตภาษีสำหรับพลังงานสะอาด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Goldman Sachs คาดว่าความต้องการพลังงานจากศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้น 160% ภายในปี 2030
    หากใช้ฟอสซิลเป็นหลัก อาจเพิ่มการปล่อยคาร์บอนถึง 220 ล้านตันทั่วโลกภายในปี 2030
    พลังงานนิวเคลียร์มีศักยภาพสูง แต่ยังมีข้อจำกัดด้านแรงงานและการขออนุญาต
    การใช้พลังงานหมุนเวียนร่วมกับระบบจัดการข้อมูลและซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพสามารถลดการใช้พลังงานได้มาก
    การออกแบบโมเดล AI ที่เหมาะสมและใช้ข้อมูลคุณภาพสูงช่วยลดการใช้พลังงานในการฝึกและใช้งานโมเดล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/29/why-dont-data-centres-use-more-green-energy
    ⚡ “ทำไมศูนย์ข้อมูล AI ถึงยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิล? — เมื่อความต้องการพลังงานแซงหน้าความเขียว” ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวใหญ่ในวงการ AI: Nvidia ประกาศลงทุนกว่า 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานของ OpenAI ตามมาด้วยดีล Stargate Project มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์ระหว่าง OpenAI, SoftBank และ Oracle เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ถึง 5 แห่งในสหรัฐฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องการพลังงานมหาศาลตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน แม้เทคโนโลยีจะล้ำหน้า แต่พลังงานที่ใช้กลับยังคงเป็นฟอสซิลเป็นหลัก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่มากกว่าครึ่งของพลังงานศูนย์ข้อมูลมาจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีทรัมป์ที่เรียกพลังงานสะอาดว่า “หลอกลวง” และผลักดันนโยบายสนับสนุนฟอสซิลอย่างเต็มที่ เหตุผลที่ศูนย์ข้อมูลยังไม่สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้เต็มรูปแบบนั้นมีหลายด้าน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และลมไม่สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่องตลอดวัน หากไฟดับแม้เพียงไม่กี่วินาที อาจทำให้บริษัทสูญเสียเงินมหาศาล การใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่เพื่อเก็บพลังงานก็ยังมีต้นทุนสูง และไม่สามารถรองรับการใช้งานข้ามฤดูกาลได้ นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ต้องการพลังงานระดับกิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้แผงโซลาร์กว่า 12.5 ล้านแผง หรือกังหันลมจำนวนมหาศาล ซึ่งพื้นที่ใกล้เมืองมักไม่สามารถรองรับได้ ทางเลือกหนึ่งคือพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งมีข้อดีคือปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์และจ่ายไฟได้ต่อเนื่อง แต่ก็ต้องใช้เวลา 7–8 ปีในการสร้างโรงงานใหม่ และยังมีอุปสรรคด้านต้นทุน ความปลอดภัย และการจัดการกากนิวเคลียร์ ดังนั้นในระยะสั้น บริษัทเทคโนโลยีจึงยังต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมใช้งานภายใน 1–2 ปี และสามารถตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเติบโตของ AI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Nvidia ลงทุน 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนศูนย์ข้อมูลของ OpenAI ➡️ OpenAI, SoftBank และ Oracle ร่วมกันสร้างศูนย์ข้อมูล Stargate Project มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์ ➡️ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังลงทุนรวมกว่า 325 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูลภายในปีนี้ ➡️ มากกว่าครึ่งของพลังงานศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ มาจากฟอสซิล เช่น ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ➡️ พลังงานหมุนเวียนไม่สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่อง และแบตเตอรี่ยังมีต้นทุนสูง ➡️ การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องใช้เวลา 7–8 ปี และมีต้นทุนสูง ➡️ ก๊าซธรรมชาติสามารถสร้างโรงไฟฟ้าได้ภายใน 1–2 ปี และมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อม ➡️ ประธานาธิบดีทรัมป์สนับสนุนฟอสซิลและลดเครดิตภาษีสำหรับพลังงานสะอาด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Goldman Sachs คาดว่าความต้องการพลังงานจากศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้น 160% ภายในปี 2030 ➡️ หากใช้ฟอสซิลเป็นหลัก อาจเพิ่มการปล่อยคาร์บอนถึง 220 ล้านตันทั่วโลกภายในปี 2030 ➡️ พลังงานนิวเคลียร์มีศักยภาพสูง แต่ยังมีข้อจำกัดด้านแรงงานและการขออนุญาต ➡️ การใช้พลังงานหมุนเวียนร่วมกับระบบจัดการข้อมูลและซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพสามารถลดการใช้พลังงานได้มาก ➡️ การออกแบบโมเดล AI ที่เหมาะสมและใช้ข้อมูลคุณภาพสูงช่วยลดการใช้พลังงานในการฝึกและใช้งานโมเดล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/29/why-dont-data-centres-use-more-green-energy
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Why don't data centres use more green energy?
    Reliance on fossil fuels is almost unavoidable — at least for now.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 299 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Project Nexus: แผงโซลาร์เหนือคลองชลประทานในแคลิฟอร์เนีย — พลังงานสะอาดที่ช่วยรักษาน้ำและลดต้นทุนทั่วโลก”

    ในขณะที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯลดงบประมาณด้านพลังงานแสงอาทิตย์อย่างหนัก โครงการ “Project Nexus” ของรัฐแคลิฟอร์เนียกลับกลายเป็นความหวังใหม่ที่กำลังแสดงผลลัพธ์เชิงบวกอย่างชัดเจน โครงการนี้ใช้งบประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เหนือคลองชลประทานใน Central Valley ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรมสำคัญของรัฐ โดยคาดว่าจะผลิตพลังงานสะอาดได้ถึง 1.6 เมกะวัตต์

    Project Nexus เป็นความร่วมมือระหว่าง Turlock Irrigation District, กรมทรัพยากรน้ำแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย, มหาวิทยาลัย UC Merced และบริษัท Solar AquaGrid โดยมีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์แนวคิดว่าการใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมอย่างคลองชลประทานสามารถสร้างพลังงานหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมลดการระเหยของน้ำและการเติบโตของพืชน้ำที่ทำให้ต้องบำรุงรักษาบ่อย

    นอกจากการผลิตไฟฟ้าแล้ว การติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองยังช่วยให้แผงเย็นขึ้นจากการอยู่เหนือแหล่งน้ำ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น และลดต้นทุนการดูแลระบบในระยะยาว

    แม้การติดตั้งจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยหนึ่งปีในการวิเคราะห์ผลตอบแทน แต่ผลเบื้องต้นจาก Turlock Irrigation District พบว่าคุณภาพน้ำดีขึ้น และพืชน้ำลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประเทศต่าง ๆ เช่น โรมาเนีย ยูเครน เวียดนาม และสเปน ต่างแสดงความสนใจในการนำโมเดลนี้ไปใช้

    โครงการนี้ยังสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียที่ต้องการให้ไฟฟ้า 60% มาจากพลังงานหมุนเวียนภายในปี 2030 และลดคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี 2045

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Project Nexus ใช้งบประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ในการติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองชลประทาน
    คาดว่าจะผลิตพลังงานได้ 1.6 เมกะวัตต์
    เป็นความร่วมมือระหว่าง Turlock Irrigation District, UC Merced, Solar AquaGrid และกรมทรัพยากรน้ำ
    ช่วยลดการระเหยของน้ำและการเติบโตของพืชน้ำ
    แผงโซลาร์เย็นขึ้นจากการอยู่เหนือคลอง ทำให้ผลิตไฟฟ้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    มีการทดลองติดตั้งทั้งในคลองแคบและกว้าง เพื่อศึกษาผลกระทบจากสภาพแวดล้อม
    แผงบางส่วนจะใช้ระบบพับเก็บได้ในเดือนพฤศจิกายน 2025
    สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียในการใช้พลังงานหมุนเวียน 60% ภายในปี 2030
    ประเทศอื่น ๆ เช่น เวียดนามและสเปน สนใจนำโมเดลนี้ไปใช้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองช่วยประหยัดน้ำได้ถึง 63 พันล้านแกลลอนต่อปี
    ประสิทธิภาพโดยรวมของแผงเหนือคลองสูงกว่าการติดตั้งบนพื้นดินหรือหลังคาถึง 20–50%
    การใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมช่วยลดการใช้พื้นที่เกษตรกรรม
    การลดพืชน้ำช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาคลอง
    การติดตั้งแผงโซลาร์ในลักษณะนี้สามารถใช้ได้กับประเทศที่มีระบบชลประทานขนาดใหญ่

    https://www.slashgear.com/1977609/california-solar-energy-canal-experiment-impact/
    ☀️ “Project Nexus: แผงโซลาร์เหนือคลองชลประทานในแคลิฟอร์เนีย — พลังงานสะอาดที่ช่วยรักษาน้ำและลดต้นทุนทั่วโลก” ในขณะที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯลดงบประมาณด้านพลังงานแสงอาทิตย์อย่างหนัก โครงการ “Project Nexus” ของรัฐแคลิฟอร์เนียกลับกลายเป็นความหวังใหม่ที่กำลังแสดงผลลัพธ์เชิงบวกอย่างชัดเจน โครงการนี้ใช้งบประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เหนือคลองชลประทานใน Central Valley ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรมสำคัญของรัฐ โดยคาดว่าจะผลิตพลังงานสะอาดได้ถึง 1.6 เมกะวัตต์ Project Nexus เป็นความร่วมมือระหว่าง Turlock Irrigation District, กรมทรัพยากรน้ำแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย, มหาวิทยาลัย UC Merced และบริษัท Solar AquaGrid โดยมีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์แนวคิดว่าการใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมอย่างคลองชลประทานสามารถสร้างพลังงานหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมลดการระเหยของน้ำและการเติบโตของพืชน้ำที่ทำให้ต้องบำรุงรักษาบ่อย นอกจากการผลิตไฟฟ้าแล้ว การติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองยังช่วยให้แผงเย็นขึ้นจากการอยู่เหนือแหล่งน้ำ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น และลดต้นทุนการดูแลระบบในระยะยาว แม้การติดตั้งจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยหนึ่งปีในการวิเคราะห์ผลตอบแทน แต่ผลเบื้องต้นจาก Turlock Irrigation District พบว่าคุณภาพน้ำดีขึ้น และพืชน้ำลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประเทศต่าง ๆ เช่น โรมาเนีย ยูเครน เวียดนาม และสเปน ต่างแสดงความสนใจในการนำโมเดลนี้ไปใช้ โครงการนี้ยังสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียที่ต้องการให้ไฟฟ้า 60% มาจากพลังงานหมุนเวียนภายในปี 2030 และลดคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี 2045 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Project Nexus ใช้งบประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ในการติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองชลประทาน ➡️ คาดว่าจะผลิตพลังงานได้ 1.6 เมกะวัตต์ ➡️ เป็นความร่วมมือระหว่าง Turlock Irrigation District, UC Merced, Solar AquaGrid และกรมทรัพยากรน้ำ ➡️ ช่วยลดการระเหยของน้ำและการเติบโตของพืชน้ำ ➡️ แผงโซลาร์เย็นขึ้นจากการอยู่เหนือคลอง ทำให้ผลิตไฟฟ้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ มีการทดลองติดตั้งทั้งในคลองแคบและกว้าง เพื่อศึกษาผลกระทบจากสภาพแวดล้อม ➡️ แผงบางส่วนจะใช้ระบบพับเก็บได้ในเดือนพฤศจิกายน 2025 ➡️ สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียในการใช้พลังงานหมุนเวียน 60% ภายในปี 2030 ➡️ ประเทศอื่น ๆ เช่น เวียดนามและสเปน สนใจนำโมเดลนี้ไปใช้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองช่วยประหยัดน้ำได้ถึง 63 พันล้านแกลลอนต่อปี ➡️ ประสิทธิภาพโดยรวมของแผงเหนือคลองสูงกว่าการติดตั้งบนพื้นดินหรือหลังคาถึง 20–50% ➡️ การใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมช่วยลดการใช้พื้นที่เกษตรกรรม ➡️ การลดพืชน้ำช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาคลอง ➡️ การติดตั้งแผงโซลาร์ในลักษณะนี้สามารถใช้ได้กับประเทศที่มีระบบชลประทานขนาดใหญ่ https://www.slashgear.com/1977609/california-solar-energy-canal-experiment-impact/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    California's Solar Experiment Is Working – Here's What That Could Mean For Everyone Else - SlashGear
    California is doing something unique with its investment in renewable energy, and seems to be proving beneficial not just for increasing solar power generation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 380 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ลาก่อนกังหันลมรุ่นบุกเบิก — นิวยอร์กรื้อฟาร์มลมแห่งแรก หลังใช้งานกว่า 25 ปี เหตุค่าบำรุงรักษาแพงเกินคุ้ม”

    ฟาร์มกังหันลมแห่งแรกของรัฐนิวยอร์กในเขต Madison County ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของพลังงานสะอาด ถูกรื้อถอนอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 หลังจากให้บริการมานานกว่า 25 ปี โดยไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายรัฐบาลกลางหรือข้อกังวลด้านสุขภาพ แต่เป็นเพราะต้นทุนการบำรุงรักษาที่สูงเกินไป และชิ้นส่วนอะไหล่ที่หายากจนไม่สามารถซ่อมแซมได้อย่างคุ้มค่าอีกต่อไป

    กังหันลมทั้ง 7 ตัวในฟาร์มนี้เป็นรุ่นต้นแบบที่ติดตั้งตั้งแต่ปี 2000 โดยแต่ละตัวสูงกว่า 220 ฟุต และผลิตไฟฟ้าได้ 1.65 เมกะวัตต์ ซึ่งถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับกังหันลมรุ่นใหม่ที่สามารถผลิตได้ถึง 26 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง และมีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า

    การรื้อถอนใช้วิธี “implosion” หรือการระเบิดฐานของแต่ละกังหันให้ล้มลงภายในเวลาเพียง 20–30 วินาที ซึ่งปลอดภัยและประหยัดกว่าการใช้เครนยกออกทีละชิ้น ทีมงานวางแผนอย่างละเอียดเพื่อให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่น โดยใบพัดจะถูกส่งไปยังโรงงานแปรรูปพลังงานใน Niagara County ส่วนชิ้นส่วนอื่นจะถูกคัดแยกเพื่อนำไปรีไซเคิลหรือฝังกลบตามความเหมาะสม

    พื้นที่เดิมของฟาร์มลมจะถูกปรับกลับไปใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งตรงข้ามกับแนวทางของรัฐแคลิฟอร์เนียที่เปลี่ยนพื้นที่เกษตรไม่ได้ผลผลิตให้กลายเป็นศูนย์เก็บพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ฟาร์มลม Madison County ถูกรื้อถอนหลังใช้งานมากว่า 25 ปี
    เหตุผลหลักคือค่าบำรุงรักษาสูงและอะไหล่หายาก
    ใช้วิธีระเบิดฐานกังหัน (implosion) เพื่อรื้อถอนภายใน 30 วินาที
    ใบพัดส่งไปแปรรูปพลังงาน ส่วนชิ้นส่วนอื่นคัดแยกเพื่อรีไซเคิล
    พื้นที่ฟาร์มจะถูกปรับกลับไปใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม
    ฟาร์มนี้เคยผลิตไฟฟ้าได้ 11.5 เมกะวัตต์ แต่ลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสามในปีหลังสุด
    นิวยอร์กยังมีโครงการฟาร์มลมนอกชายฝั่งและฟาร์มลมอื่น ๆ ที่ยังดำเนินการอยู่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    กังหันลมรุ่นใหม่มีความสูงเฉลี่ย 340 ฟุต และผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า 3.4 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง
    การรื้อถอนฟาร์มลมเก่าเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในหลายรัฐเมื่อเทคโนโลยีใหม่มีประสิทธิภาพสูงกว่า
    EDP Global ผู้ดำเนินการฟาร์มลมนี้เป็นบริษัทพลังงานหมุนเวียนจากโปรตุเกส
    การใช้ implosion ลดต้นทุนและความเสี่ยงจากการใช้เครื่องจักรหนัก
    การเปลี่ยนพื้นที่กลับสู่การเกษตรช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

    https://www.slashgear.com/1975931/new-york-first-wind-farm-demolished-reason/
    🌬️ “ลาก่อนกังหันลมรุ่นบุกเบิก — นิวยอร์กรื้อฟาร์มลมแห่งแรก หลังใช้งานกว่า 25 ปี เหตุค่าบำรุงรักษาแพงเกินคุ้ม” ฟาร์มกังหันลมแห่งแรกของรัฐนิวยอร์กในเขต Madison County ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของพลังงานสะอาด ถูกรื้อถอนอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 หลังจากให้บริการมานานกว่า 25 ปี โดยไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายรัฐบาลกลางหรือข้อกังวลด้านสุขภาพ แต่เป็นเพราะต้นทุนการบำรุงรักษาที่สูงเกินไป และชิ้นส่วนอะไหล่ที่หายากจนไม่สามารถซ่อมแซมได้อย่างคุ้มค่าอีกต่อไป กังหันลมทั้ง 7 ตัวในฟาร์มนี้เป็นรุ่นต้นแบบที่ติดตั้งตั้งแต่ปี 2000 โดยแต่ละตัวสูงกว่า 220 ฟุต และผลิตไฟฟ้าได้ 1.65 เมกะวัตต์ ซึ่งถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับกังหันลมรุ่นใหม่ที่สามารถผลิตได้ถึง 26 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง และมีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า การรื้อถอนใช้วิธี “implosion” หรือการระเบิดฐานของแต่ละกังหันให้ล้มลงภายในเวลาเพียง 20–30 วินาที ซึ่งปลอดภัยและประหยัดกว่าการใช้เครนยกออกทีละชิ้น ทีมงานวางแผนอย่างละเอียดเพื่อให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่น โดยใบพัดจะถูกส่งไปยังโรงงานแปรรูปพลังงานใน Niagara County ส่วนชิ้นส่วนอื่นจะถูกคัดแยกเพื่อนำไปรีไซเคิลหรือฝังกลบตามความเหมาะสม พื้นที่เดิมของฟาร์มลมจะถูกปรับกลับไปใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งตรงข้ามกับแนวทางของรัฐแคลิฟอร์เนียที่เปลี่ยนพื้นที่เกษตรไม่ได้ผลผลิตให้กลายเป็นศูนย์เก็บพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ฟาร์มลม Madison County ถูกรื้อถอนหลังใช้งานมากว่า 25 ปี ➡️ เหตุผลหลักคือค่าบำรุงรักษาสูงและอะไหล่หายาก ➡️ ใช้วิธีระเบิดฐานกังหัน (implosion) เพื่อรื้อถอนภายใน 30 วินาที ➡️ ใบพัดส่งไปแปรรูปพลังงาน ส่วนชิ้นส่วนอื่นคัดแยกเพื่อรีไซเคิล ➡️ พื้นที่ฟาร์มจะถูกปรับกลับไปใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ➡️ ฟาร์มนี้เคยผลิตไฟฟ้าได้ 11.5 เมกะวัตต์ แต่ลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสามในปีหลังสุด ➡️ นิวยอร์กยังมีโครงการฟาร์มลมนอกชายฝั่งและฟาร์มลมอื่น ๆ ที่ยังดำเนินการอยู่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ กังหันลมรุ่นใหม่มีความสูงเฉลี่ย 340 ฟุต และผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า 3.4 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง ➡️ การรื้อถอนฟาร์มลมเก่าเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในหลายรัฐเมื่อเทคโนโลยีใหม่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ➡️ EDP Global ผู้ดำเนินการฟาร์มลมนี้เป็นบริษัทพลังงานหมุนเวียนจากโปรตุเกส ➡️ การใช้ implosion ลดต้นทุนและความเสี่ยงจากการใช้เครื่องจักรหนัก ➡️ การเปลี่ยนพื้นที่กลับสู่การเกษตรช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว https://www.slashgear.com/1975931/new-york-first-wind-farm-demolished-reason/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    New York's First Wind Farm Has Been Torn Down, And It's Easy To Understand Why - SlashGear
    The seven wind turbines that made up New York's first wind farm were demolished because maintenance of those early units had become too costly.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 448 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เซลล์เชื้อเพลิงเซรามิกพิมพ์สามมิติจาก DTU — เบา ทน และผลิตพลังงานได้มากกว่าหนึ่งวัตต์ต่อกรัม พร้อมพลิกโฉมอุตสาหกรรมการบิน”

    ทีมนักวิจัยจาก Technical University of Denmark (DTU) ได้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ที่อาจเปลี่ยนอนาคตของเซลล์เชื้อเพลิงสำหรับการบิน ด้วยการพัฒนาเซลล์เชื้อเพลิงแบบใหม่ที่เรียกว่า “Monolithic Gyroidal Solid Oxide Cell” หรือ “The Monolith” ซึ่งผลิตด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติจากวัสดุเซรามิกทั้งหมด

    จุดเด่นของเซลล์เชื้อเพลิงนี้คือโครงสร้างแบบ “gyroid” ซึ่งเป็นรูปทรงเรขาคณิตที่เรียกว่า triply periodic minimal surface (TPMS) มีคุณสมบัติด้านการกระจายความร้อนดีเยี่ยม พื้นที่ผิวสูง และน้ำหนักเบา โดยได้รับแรงบันดาลใจจากโครงสร้างธรรมชาติ เช่น ปะการังและปีกผีเสื้อ

    ต่างจากเซลล์เชื้อเพลิงทั่วไปที่ใช้โลหะเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งคิดเป็นกว่า 75% ของน้ำหนักทั้งหมด เซลล์เชื้อเพลิงแบบใหม่ของ DTU ใช้เซรามิกล้วน ทำให้เบากว่า ทนต่อการกัดกร่อน และสามารถผลิตพลังงานได้มากกว่า 1 วัตต์ต่อกรัม ซึ่งเป็นอัตราส่วนพลังงานต่อน้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมการบิน

    นอกจากนี้ “The Monolith” ยังสามารถสลับโหมดการทำงานระหว่างการผลิตพลังงานและการเก็บพลังงาน (electrolysis mode) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในโหมด electrolysis สามารถผลิตไฮโดรเจนได้มากกว่ามาตรฐานถึง 10 เท่า

    การผลิตด้วยการพิมพ์สามมิติยังช่วยลดขั้นตอนการประกอบ ลดจำนวนชิ้นส่วน และเพิ่มความแม่นยำในการควบคุมโครงสร้างภายใน ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง และสามารถปรับแต่งการออกแบบได้ตามความต้องการเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    DTU พัฒนาเซลล์เชื้อเพลิงแบบใหม่ชื่อ “Monolithic Gyroidal Solid Oxide Cell” หรือ “The Monolith”
    ใช้โครงสร้าง gyroid ซึ่งเป็น TPMS เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวและลดน้ำหนัก
    ผลิตจากเซรามิกทั้งหมด ไม่มีส่วนประกอบโลหะ
    ให้พลังงานมากกว่า 1 วัตต์ต่อกรัม ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในอุตสาหกรรมการบิน

    คุณสมบัติเด่นของเซลล์เชื้อเพลิง
    ทนต่ออุณหภูมิสูงถึง 100°C และสลับโหมดการทำงานได้ระหว่างผลิตและเก็บพลังงาน
    โหมด electrolysis เพิ่มอัตราการผลิตไฮโดรเจนได้ถึง 10 เท่า
    โครงสร้าง gyroid ช่วยกระจายความร้อนและไหลเวียนก๊าซได้ดี
    การพิมพ์สามมิติช่วยลดขั้นตอนการผลิตและต้นทุน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    TPMS ถูกใช้ในงานวิศวกรรม เช่น heat exchanger และวัสดุโครงสร้างเบา
    เซลล์เชื้อเพลิงแบบ solid oxide (SOC) ถูกใช้ในโรงพยาบาล เรือ และระบบพลังงานหมุนเวียน
    การใช้เซรามิกแทนโลหะช่วยลดปัญหาการกัดกร่อนและเพิ่มอายุการใช้งาน
    DTU เป็นหนึ่งในสถาบันที่มีผลงานวิจัยด้านพลังงานสะอาดระดับแนวหน้าในยุโรป

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/researchers-3d-print-lightweight-ceramic-fuel-cell-suggests-alternative-power-source-for-the-aerospace-industry
    🔬 “เซลล์เชื้อเพลิงเซรามิกพิมพ์สามมิติจาก DTU — เบา ทน และผลิตพลังงานได้มากกว่าหนึ่งวัตต์ต่อกรัม พร้อมพลิกโฉมอุตสาหกรรมการบิน” ทีมนักวิจัยจาก Technical University of Denmark (DTU) ได้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ที่อาจเปลี่ยนอนาคตของเซลล์เชื้อเพลิงสำหรับการบิน ด้วยการพัฒนาเซลล์เชื้อเพลิงแบบใหม่ที่เรียกว่า “Monolithic Gyroidal Solid Oxide Cell” หรือ “The Monolith” ซึ่งผลิตด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติจากวัสดุเซรามิกทั้งหมด จุดเด่นของเซลล์เชื้อเพลิงนี้คือโครงสร้างแบบ “gyroid” ซึ่งเป็นรูปทรงเรขาคณิตที่เรียกว่า triply periodic minimal surface (TPMS) มีคุณสมบัติด้านการกระจายความร้อนดีเยี่ยม พื้นที่ผิวสูง และน้ำหนักเบา โดยได้รับแรงบันดาลใจจากโครงสร้างธรรมชาติ เช่น ปะการังและปีกผีเสื้อ ต่างจากเซลล์เชื้อเพลิงทั่วไปที่ใช้โลหะเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งคิดเป็นกว่า 75% ของน้ำหนักทั้งหมด เซลล์เชื้อเพลิงแบบใหม่ของ DTU ใช้เซรามิกล้วน ทำให้เบากว่า ทนต่อการกัดกร่อน และสามารถผลิตพลังงานได้มากกว่า 1 วัตต์ต่อกรัม ซึ่งเป็นอัตราส่วนพลังงานต่อน้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมการบิน นอกจากนี้ “The Monolith” ยังสามารถสลับโหมดการทำงานระหว่างการผลิตพลังงานและการเก็บพลังงาน (electrolysis mode) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในโหมด electrolysis สามารถผลิตไฮโดรเจนได้มากกว่ามาตรฐานถึง 10 เท่า การผลิตด้วยการพิมพ์สามมิติยังช่วยลดขั้นตอนการประกอบ ลดจำนวนชิ้นส่วน และเพิ่มความแม่นยำในการควบคุมโครงสร้างภายใน ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง และสามารถปรับแต่งการออกแบบได้ตามความต้องการเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ DTU พัฒนาเซลล์เชื้อเพลิงแบบใหม่ชื่อ “Monolithic Gyroidal Solid Oxide Cell” หรือ “The Monolith” ➡️ ใช้โครงสร้าง gyroid ซึ่งเป็น TPMS เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวและลดน้ำหนัก ➡️ ผลิตจากเซรามิกทั้งหมด ไม่มีส่วนประกอบโลหะ ➡️ ให้พลังงานมากกว่า 1 วัตต์ต่อกรัม ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในอุตสาหกรรมการบิน ✅ คุณสมบัติเด่นของเซลล์เชื้อเพลิง ➡️ ทนต่ออุณหภูมิสูงถึง 100°C และสลับโหมดการทำงานได้ระหว่างผลิตและเก็บพลังงาน ➡️ โหมด electrolysis เพิ่มอัตราการผลิตไฮโดรเจนได้ถึง 10 เท่า ➡️ โครงสร้าง gyroid ช่วยกระจายความร้อนและไหลเวียนก๊าซได้ดี ➡️ การพิมพ์สามมิติช่วยลดขั้นตอนการผลิตและต้นทุน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ TPMS ถูกใช้ในงานวิศวกรรม เช่น heat exchanger และวัสดุโครงสร้างเบา ➡️ เซลล์เชื้อเพลิงแบบ solid oxide (SOC) ถูกใช้ในโรงพยาบาล เรือ และระบบพลังงานหมุนเวียน ➡️ การใช้เซรามิกแทนโลหะช่วยลดปัญหาการกัดกร่อนและเพิ่มอายุการใช้งาน ➡️ DTU เป็นหนึ่งในสถาบันที่มีผลงานวิจัยด้านพลังงานสะอาดระดับแนวหน้าในยุโรป https://www.tomshardware.com/3d-printing/researchers-3d-print-lightweight-ceramic-fuel-cell-suggests-alternative-power-source-for-the-aerospace-industry
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 400 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ — ประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟ แต่ต้องคิดให้รอบด้านก่อนติดตั้ง”

    การทำน้ำร้อนในบ้านถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ใช้พลังงานมากที่สุด โดยเฉลี่ยแล้วคิดเป็น 18% ของค่าไฟฟ้ารายเดือนในครัวเรือนสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้ เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Water Heater) จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

    ระบบนี้ใช้แผงรับแสงบนหลังคาเพื่อเก็บพลังงานจากดวงอาทิตย์ แล้วเปลี่ยนเป็นความร้อนเพื่อเก็บไว้ในถังน้ำร้อน โดยมีทั้งแบบที่ให้ความร้อนโดยตรง และแบบใช้ของเหลวถ่ายเทความร้อน ซึ่งสามารถทำงานได้แม้ในสภาพอากาศหนาวเย็น

    ข้อดีที่โดดเด่นคือการประหยัดค่าไฟในระยะยาว โดยระบบสามารถให้ความร้อนแก่น้ำได้ถึง 80% ของความต้องการในบ้าน และเมื่อรวมกับเครดิตภาษีพลังงานสะอาดของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่คืนเงินได้ถึง 30% ของค่าติดตั้งจนถึงปี 2032 ก็ยิ่งทำให้คุ้มค่ามากขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีข้อดีด้านสิ่งแวดล้อม เพราะระบบนี้ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกใด ๆ และใช้พื้นที่หลังคาน้อยกว่าระบบโซลาร์เซลล์ทั่วไป จึงเหมาะกับบ้านขนาดเล็กหรือพื้นที่จำกัด

    อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา เช่น ราคาติดตั้งที่สูงกว่าระบบทั่วไปหลายเท่า ความจำเป็นในการมีหลังคาที่รับแสงได้ดี และพื้นที่สำหรับติดตั้งถังน้ำร้อนที่อาจไม่เหมาะกับบ้านขนาดเล็ก รวมถึงความเสี่ยงด้านการกัดกร่อนและการสะสมของแร่ธาตุในระบบที่อาจต้องดูแลในระยะยาว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยลดค่าไฟได้ถึง 80% ของความต้องการน้ำร้อนในบ้าน
    มีเครดิตภาษี 30% จากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ สำหรับค่าติดตั้งจนถึงปี 2032
    ระบบสามารถทำงานได้แม้ในสภาพอากาศหนาวเย็น ด้วยการใช้ของเหลวถ่ายเทความร้อน
    ใช้พื้นที่หลังคาน้อยกว่าระบบโซลาร์เซลล์ — เหมาะกับบ้านขนาดเล็ก

    ข้อดีด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้งาน
    ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก — ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ของครัวเรือน
    แผงรับแสงมีอายุการใช้งานยาวนาน และต้องการการดูแลน้อย
    เหมาะกับผู้ที่ต้องการพลังงานสะอาดและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
    เห็นผลทันทีในการลดการใช้พลังงานจากการทำน้ำร้อน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ระบบมีทั้งแบบ active (ใช้ปั๊ม) และ passive (ใช้การพาความร้อนตามธรรมชาติ)
    ค่าใช้จ่ายติดตั้งเฉลี่ยอยู่ที่ $2,000–$4,000 สำหรับบ้านพักอาศัย
    การติดตั้งในพื้นที่ที่มีแดดจัด เช่น แคลิฟอร์เนียหรือฟลอริดา จะคุ้มค่ากว่า
    การบำรุงรักษาโดยทั่วไปมีแค่การเปลี่ยนสารกันแข็งและตรวจสอบระบบปีละครั้ง

    https://www.slashgear.com/1965062/solar-water-heater-in-your-home-pros-and-cons/
    🌞 “เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ — ประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟ แต่ต้องคิดให้รอบด้านก่อนติดตั้ง” การทำน้ำร้อนในบ้านถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ใช้พลังงานมากที่สุด โดยเฉลี่ยแล้วคิดเป็น 18% ของค่าไฟฟ้ารายเดือนในครัวเรือนสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้ เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Water Heater) จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ระบบนี้ใช้แผงรับแสงบนหลังคาเพื่อเก็บพลังงานจากดวงอาทิตย์ แล้วเปลี่ยนเป็นความร้อนเพื่อเก็บไว้ในถังน้ำร้อน โดยมีทั้งแบบที่ให้ความร้อนโดยตรง และแบบใช้ของเหลวถ่ายเทความร้อน ซึ่งสามารถทำงานได้แม้ในสภาพอากาศหนาวเย็น ข้อดีที่โดดเด่นคือการประหยัดค่าไฟในระยะยาว โดยระบบสามารถให้ความร้อนแก่น้ำได้ถึง 80% ของความต้องการในบ้าน และเมื่อรวมกับเครดิตภาษีพลังงานสะอาดของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่คืนเงินได้ถึง 30% ของค่าติดตั้งจนถึงปี 2032 ก็ยิ่งทำให้คุ้มค่ามากขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อดีด้านสิ่งแวดล้อม เพราะระบบนี้ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกใด ๆ และใช้พื้นที่หลังคาน้อยกว่าระบบโซลาร์เซลล์ทั่วไป จึงเหมาะกับบ้านขนาดเล็กหรือพื้นที่จำกัด อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา เช่น ราคาติดตั้งที่สูงกว่าระบบทั่วไปหลายเท่า ความจำเป็นในการมีหลังคาที่รับแสงได้ดี และพื้นที่สำหรับติดตั้งถังน้ำร้อนที่อาจไม่เหมาะกับบ้านขนาดเล็ก รวมถึงความเสี่ยงด้านการกัดกร่อนและการสะสมของแร่ธาตุในระบบที่อาจต้องดูแลในระยะยาว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยลดค่าไฟได้ถึง 80% ของความต้องการน้ำร้อนในบ้าน ➡️ มีเครดิตภาษี 30% จากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ สำหรับค่าติดตั้งจนถึงปี 2032 ➡️ ระบบสามารถทำงานได้แม้ในสภาพอากาศหนาวเย็น ด้วยการใช้ของเหลวถ่ายเทความร้อน ➡️ ใช้พื้นที่หลังคาน้อยกว่าระบบโซลาร์เซลล์ — เหมาะกับบ้านขนาดเล็ก ✅ ข้อดีด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้งาน ➡️ ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก — ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ของครัวเรือน ➡️ แผงรับแสงมีอายุการใช้งานยาวนาน และต้องการการดูแลน้อย ➡️ เหมาะกับผู้ที่ต้องการพลังงานสะอาดและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ➡️ เห็นผลทันทีในการลดการใช้พลังงานจากการทำน้ำร้อน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ระบบมีทั้งแบบ active (ใช้ปั๊ม) และ passive (ใช้การพาความร้อนตามธรรมชาติ) ➡️ ค่าใช้จ่ายติดตั้งเฉลี่ยอยู่ที่ $2,000–$4,000 สำหรับบ้านพักอาศัย ➡️ การติดตั้งในพื้นที่ที่มีแดดจัด เช่น แคลิฟอร์เนียหรือฟลอริดา จะคุ้มค่ากว่า ➡️ การบำรุงรักษาโดยทั่วไปมีแค่การเปลี่ยนสารกันแข็งและตรวจสอบระบบปีละครั้ง https://www.slashgear.com/1965062/solar-water-heater-in-your-home-pros-and-cons/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Solar Water Heater: The Pros And Cons Of Using One In Your Home - SlashGear
    Solar water heaters can provide up to 80% of your hot water needs, but installation costs, roof space, and sunlight exposure determine if it’s worth it.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงเองก็สนับสนุนให้ใช้พลังงานนิวเคลียร์ครับ ไม่ว่าจะเป็น fission หรือ fusion

    เรื่องเล่าจากการฟ้องร้องของออสเตรียถึงชัยชนะของวิทยาศาสตร์: เมื่อศาลสูงสุดของยุโรปตัดสินว่า “นิวเคลียร์คือพลังงานสะอาด”

    ย้อนกลับไปในปี 2022 ออสเตรียได้ยื่นฟ้องต่อศาลสหภาพยุโรปเพื่อขอให้ยกเลิกการจัดให้นิวเคลียร์และก๊าซธรรมชาติเป็นพลังงานที่ “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ตามกฎเกณฑ์ของ EU Taxonomy ซึ่งเป็นระบบที่ใช้กำหนดว่าโครงการใดสามารถรับเงินลงทุนในฐานะพลังงานสีเขียวได้

    ออสเตรียอ้างว่านิวเคลียร์มีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องกากกัมมันตรังสี และก๊าซธรรมชาติปล่อย CO₂ ซึ่งขัดกับหลักการ “ไม่ก่อให้เกิดอันตรายอย่างมีนัยสำคัญ” ที่ควรใช้กับพลังงานสีเขียว

    แต่เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025 ศาลสูงสุดของ EU ได้ตัดสินยกฟ้อง โดยระบุว่า “การผลิตพลังงานนิวเคลียร์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกแทบไม่มีเลย” และ “ยังไม่มีเทคโนโลยีอื่นที่สามารถทดแทนได้ในระดับที่เพียงพอ” จึงถือว่าเป็นพลังงานที่สามารถช่วยลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้

    คำตัดสินนี้ไม่เพียงแต่ยืนยันสิทธิ์ของนิวเคลียร์ในการรับเงินลงทุนจากกองทุนสีเขียวของ EU แต่ยังส่งผลให้คดีอื่น ๆ เช่นของ Greenpeace มีแนวโน้มจะแพ้ตามไปด้วย

    แม้จะมีเสียงคัดค้านจากองค์กรสิ่งแวดล้อม เช่น Greenpeace ที่เรียกวันนี้ว่า “วันมืดมนของสภาพภูมิอากาศ” แต่หลายประเทศ เช่น ฝรั่งเศส โปแลนด์ และบัลแกเรีย กลับมองว่านี่คือโอกาสในการเร่งลงทุนในพลังงานที่มั่นคงและปลอดภัย

    คำตัดสินของศาลสูงสุด EU
    ยืนยันว่าพลังงานนิวเคลียร์และก๊าซธรรมชาติสามารถจัดเป็นพลังงานสีเขียว
    ปฏิเสธคำร้องของออสเตรียที่ขอให้ยกเลิกการจัดประเภทนี้
    ระบุว่านิวเคลียร์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยมาก และยังไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าในปัจจุบัน

    ผลกระทบต่อการลงทุนและนโยบาย
    เปิดทางให้โครงการนิวเคลียร์ได้รับเงินลงทุนจากกองทุนสีเขียวของ EU
    อาจยุติการชะงักงันของการลงทุนในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบดั้งเดิม
    ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น ข้อตกลงล่าสุดระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมนี

    การตอบสนองจากฝ่ายสนับสนุนและคัดค้าน
    Greenpeace เรียกคำตัดสินนี้ว่า “วันมืดมน” และเตือนว่าจะทำให้เงินไหลไปยังพลังงานที่ไม่ยั่งยืน
    ฝ่ายสนับสนุนชี้ว่านี่คือชัยชนะของวิทยาศาสตร์และความมั่นคงด้านพลังงาน
    ออสเตรียยังสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลชั้นสูงของ EU ได้

    https://www.weplanet.org/post/eu-court-rules-nuclear-energy-is-clean-energy
    ลุงเองก็สนับสนุนให้ใช้พลังงานนิวเคลียร์ครับ ไม่ว่าจะเป็น fission หรือ fusion 🎙️ เรื่องเล่าจากการฟ้องร้องของออสเตรียถึงชัยชนะของวิทยาศาสตร์: เมื่อศาลสูงสุดของยุโรปตัดสินว่า “นิวเคลียร์คือพลังงานสะอาด” ย้อนกลับไปในปี 2022 ออสเตรียได้ยื่นฟ้องต่อศาลสหภาพยุโรปเพื่อขอให้ยกเลิกการจัดให้นิวเคลียร์และก๊าซธรรมชาติเป็นพลังงานที่ “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ตามกฎเกณฑ์ของ EU Taxonomy ซึ่งเป็นระบบที่ใช้กำหนดว่าโครงการใดสามารถรับเงินลงทุนในฐานะพลังงานสีเขียวได้ ออสเตรียอ้างว่านิวเคลียร์มีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องกากกัมมันตรังสี และก๊าซธรรมชาติปล่อย CO₂ ซึ่งขัดกับหลักการ “ไม่ก่อให้เกิดอันตรายอย่างมีนัยสำคัญ” ที่ควรใช้กับพลังงานสีเขียว แต่เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025 ศาลสูงสุดของ EU ได้ตัดสินยกฟ้อง โดยระบุว่า “การผลิตพลังงานนิวเคลียร์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกแทบไม่มีเลย” และ “ยังไม่มีเทคโนโลยีอื่นที่สามารถทดแทนได้ในระดับที่เพียงพอ” จึงถือว่าเป็นพลังงานที่สามารถช่วยลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ คำตัดสินนี้ไม่เพียงแต่ยืนยันสิทธิ์ของนิวเคลียร์ในการรับเงินลงทุนจากกองทุนสีเขียวของ EU แต่ยังส่งผลให้คดีอื่น ๆ เช่นของ Greenpeace มีแนวโน้มจะแพ้ตามไปด้วย แม้จะมีเสียงคัดค้านจากองค์กรสิ่งแวดล้อม เช่น Greenpeace ที่เรียกวันนี้ว่า “วันมืดมนของสภาพภูมิอากาศ” แต่หลายประเทศ เช่น ฝรั่งเศส โปแลนด์ และบัลแกเรีย กลับมองว่านี่คือโอกาสในการเร่งลงทุนในพลังงานที่มั่นคงและปลอดภัย ✅ คำตัดสินของศาลสูงสุด EU ➡️ ยืนยันว่าพลังงานนิวเคลียร์และก๊าซธรรมชาติสามารถจัดเป็นพลังงานสีเขียว ➡️ ปฏิเสธคำร้องของออสเตรียที่ขอให้ยกเลิกการจัดประเภทนี้ ➡️ ระบุว่านิวเคลียร์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยมาก และยังไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าในปัจจุบัน ✅ ผลกระทบต่อการลงทุนและนโยบาย ➡️ เปิดทางให้โครงการนิวเคลียร์ได้รับเงินลงทุนจากกองทุนสีเขียวของ EU ➡️ อาจยุติการชะงักงันของการลงทุนในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบดั้งเดิม ➡️ ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น ข้อตกลงล่าสุดระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมนี ✅ การตอบสนองจากฝ่ายสนับสนุนและคัดค้าน ➡️ Greenpeace เรียกคำตัดสินนี้ว่า “วันมืดมน” และเตือนว่าจะทำให้เงินไหลไปยังพลังงานที่ไม่ยั่งยืน ➡️ ฝ่ายสนับสนุนชี้ว่านี่คือชัยชนะของวิทยาศาสตร์และความมั่นคงด้านพลังงาน ➡️ ออสเตรียยังสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลชั้นสูงของ EU ได้ https://www.weplanet.org/post/eu-court-rules-nuclear-energy-is-clean-energy
    WWW.WEPLANET.ORG
    EU Court Rules Nuclear Energy is Clean Energy
    The highest court in the EU just reaffirmed that nuclear energy meets the scientific and environmental standards to be included in sustainable finance, and Greenpeace still refuses to budge.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 320 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..พล.อ.รังษี อย่าให้จีนมาถือการลงทุนมากกว่าไทยเลยนะ ไม่ดีแน่นอน นี้คือการครอบงำกิจการ ครอบงำการปฏิบัติงานอธิปไตยของชาตินะ จะทำอะไรก็ต้องขออนุญาตจีนแล้วนะนั้น อันตรายมาก,แนวคิดนี้ท่านพลาดใหญ่หลวงเลยนะ,การดำรงอธิปไตยไทยได้ดีที่สุดคือเป็นเจ้าของ100% ให้บริการดูแลเขาเต็มที่ก็พอ เสมือนห้องประชุมงานเลี้ยงที่สถานที่คือของเรา100%ผลประโยชน์ด้านงานสถานที่คือรับเต็มๆ100%
    เราบริหารจัดการสั่งการบัญชาการอะไร ปรับปรุงแบบไหนอิสระเต็มที่ ไม่ต้องรออนุญาตอนุมัติจากใคร รอใครมาเห็นชอบด้วย บริหารจัดการได้100%.

    ..จะรถไฟระบบรางความเร็วสูงจะรีบร้อนอะไร เรามีกำลังเท่าไรก็ทำเองเท่านั้นก่อน,ที่ดินและระบบรางเป็นตังเป็นทุนของเราเองสร้าง ความเป็นเจ้าของเราก็100%เต็ม พื้นที่บริหารจัดการรางรถไฟทั้งหมดเราบริหารจัดการเอง,เชื่อมรถไฟจีน จีนแค่เอารถไฟจีนของตัวเองมาวิ่งแค่นั้น ห้ามมีสิทธิใดๆในอธิปไตยดินแดนบนแผ่นดินไทยเราให้บรืหารจัดการยุ่งยาก,ผลประโยชน์ทั้งหมดจะตกแก่คนไทยในชาติเราเอง,เช่นสถานีพักระหว่างทางขึ้นลง คนไทยสร้างศูนย์การค้าการตลาดประชาชนเองร่วมกัน นักท่องเที่ยวลงจอดแวะซื้อขายบนเขตพื้นที่บริหารจัดการเราผู้เดียว ตังก็หมุนเวียนทันทีภายในประเทศไทยเรา รถไฟจีนมาหน้าที่ขนคนขนสินค้าบริการตนตามเป้าหมายปลายทางแค่นั้น,ไทยไม่เป็นหนี้ตังจีนมาเร่งรีบลงทุนงานก่อสร้างด้วย,เราจัดการข้าราชการทุจริตจริงจังจบก็สบายทันที โปร่งใสสร้างความเชื่อถือได้แล้ว ไม่ยากอะไร,อย่าเป็นแบบลาว จีนสร้างเแ็นของจีนหมดตลอดที่ดินสร้างรางรถไฟ นี้เสียอธิปไตยบริหารจัดการบนแผ่นดินตนชัดเจน,ความโลภลักษณะนี้อันตรายต่อลูกหลานเราเองในคนรุ่นหลังๆเราอาจด่าโคตรเหง้าว่าขายชาติขายสิทธิอธิปไตยตนเองได้,

    ..ขุดคลองคิดกระก็ขุดเอง100%ห้ามต่างชาติมายุ่ง
    ..สร้างแลนด์บริดจ์ข้างคลองคอดกระทั้งสองข้างก็ห้ามใครมายุ่ง,ระดมทุนจากภาคประชาชนทั้งประเทศไทยได้ สร้างมันขึ้นมาสิ.,ตั้งเป็นกองทุนคลองไทยแห่งชาติก็ได้ สร้างบริษัทบริหารจัดการคลองคอดกระและแลนด์บริดจ์เอง,ไม่ต้องให้มหาอำนาจใดมาแดกตังมากอบโกยเม็ดเงินมหาศาลนี้ง่ายๆจะจีนจะอเมริกาก็ตามที่เป็นเขตราชอาณาจักรอธิปไตยไทยนี้,เม็ดเงินมหาศาลจากการบริหารจัดการคลองคอดกระ จากแลนด์บริดจ์อาจกว่า1,000ล้านล้านบาทต่อปีได้ทั่วประ้ทศไทยเราโดยเฉพาะเขตคลองคอดกระและแลนด์บริดจ์นี้.,จะไปให้จีนถือมากกว่าไทยทำไม,ใช่ไม่ได้ เสมือนหมอบกราบสยบใต้ตีนจีนเกินไป ไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรีเพราะนี้คือดินแดนแผ่นดินไทย เขตอธิปไตยไทยคลองไทยเราขุดเองระเบิดเองจะทำไม,จีนอเมริกามาบีบหมายบังคับจะแดกด้วยใช้ไม่ได้,ให้สามารถสร้างงานบริการเต็มที่ที่ลูกค้าทั่วโลกผ่านเข้าออกคลองไทยเรา,ต่างชาติจะมาแทรกแซงสั่งการใดๆไม่ได้ เราจะปิดจะเปิดคลองไทยมันคืออธิปไตยไทย100% รวมรางรถไฟความเร็วสูงด้วย ปิดระบบรางเพื่อความมั่นคงของไทยก็ได้ตลอดเวลาอีก ใครจะมาปรับเอาความเสียหายกับเราก็ไม่ได้,รางรถไฟเราสร้างเองไม่ต้องกู้ตังใครถูกต้องที่สุด ดำเนินทางสายกลางถูกแล้ว.

    ..จริงๆเราสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยเราทันทีได้ง่ายๆ พลิกหน้ามือมารอดมาตั้งหลักตั้งฐานได้ทันทีกันเลย นั้นคือ ยกเลิกสัมปทานปิโตรเลียมทั้งหมดที่ไม่ผ่านสภาประชาธิปไตยใดๆเลย ซึ่งเป็นกิจการความมั่นคงโดยตรงด้านพลังงานขับเคลื่อนทุกๆบริบทกิจกรรมภายในประเทศไทยเรา ต้องโมฆะทันที ยึดคืนสู่สามัญใหม่ให้ถูกต้องเป็นธรรมกว่าในอดีตๆที่ผ่านๆมา,เศรษฐกิจจะพลิกฟื้นทันที เราสามารถส่งทหารไปผลิตเองใช้ในประเทศก่อนได้ ขายน้ำมันราคาไม่แพงแก่ประชาชนแลัอุตสาหกรรมภายในประเทศที่เป็นของคนไทยก่อน สัญชาติไทย100%หุ้นไทยก่อน,ใครมีต่างชาติถือหุ้นด้วยก็อีกราคาต่างหาก,เกษตรกรสามารถซื้อน้ำมันราคาลิตรละ1-2บาทได้ ขนส่งก็อาจลิตรละ0.90บาท ,ค่าครองชีพค่าขนส่งจะลดลงทันที,ราคาสินค้าจะปรับฐานใหม่ภายในประเทศ ทุกๆอย่างจะปรับฐานใหม่หมดจะเชื่อมโยงกระทบทางที่ดีหมด,ราคาสินค้าเราจะต้นทุนต่ำ สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ทันที ข้าวจากตันละ400-600$,อาจลดเหลือ200-300$ ต้นทุนแค่10$ต่อตัน,กำไรกว่า100$พอใจมั้ย,คนซื้อก็พอใจประหยัดตังได้อีก,ความอุดมสมบูรณ์จะกลับคืนมาทันที,นักเรียนนักศึกษาจากปกติพกตังหลายร้อยบาทไปโรงเรียนไปมหาลัยตื๊ดๆทีก็หมดไปหลายร้อย,ปัจจุบันตื๊ดๆที ได้สินค้าอาหารกับข้าวกินจนอิ่มจนเหลือทุกๆวันเพราะ10-20บาทอาจเทียบกับพกตังไปในกระเป๋ากว่าพันกว่าหมื่นบาทกันเลย,ข้าวอาหารก๋วยเตี๋ยวอาจชามละ0.25บาทนั้นเอง,น้ำมันเติมมอไซค์ไปโรงเรียนไปมหาลัยอาจแค่ลิตรละ0.5-1บาทสำหรับนักเรียนนักศึกษาก็ได้,1บาทได้2ลิตรเกือบเต็มถัง.2บาท4ลิตรล้นถังมอไซค์แน่นอน,
    ..ต้นเหตุเศรษฐกิจจริงๆตอนนี้คือน้ำมันคือพลังงาน จะรบจะทำสงครามกันเครื่องจักรปัจจุบันกินน้ำมันหมด,
    ..ไทยเรายึดบ่อน้ำมันจากอีลิทต่างชาติdeep state หลายๆปัญหาจบแน่นอน,ยึดสัก20-30บ่อมาผลิตขายเองในไทยดูสิ จะเห็นผลทันที ทุกๆคนไทยใช้รถ ขนส่งสินค้าใช้รถ ราคาสินค้าบวกต้นทุนขนส่งหมด,ต้นทุนต้นน้ำแบบเกษตรกร โรงงานผู้ผลิตต่างๆลดลง กำไรเขาก็มากได้ ลดค่าใช้จ่ายรวมอีก,ต้นน้ำถูก ปลายน้ำก็ถูกทันที
    ..จริงๆปัญหาประเทศไทยตัวโคตรพ่อโคตรแมร่งจริงๆคือบ่อน้ำมันในไทยเรา,ยึดคืนมาทั้งหมดที่ถูกปล้นจากสัญญาสัมปทานเอาเปรียบประเทศไทยมานานก็จบแล้ว.,ไปเดินอ้อมปัญหาจริงๆทำไม.ลดค่าน้ำมันลิตรละ0.50-1บาทในไทย ลดค่าไฟฟ้า 0.15-0.25บาทต่อหน่วย ,เศรษฐกิจทั่วประเทศไทยฟื้นฟูทันที,จากนั้นค่อยแก้ไปทีละจุดๆต่อไป,ขายน้ำมันในราคาตลาดโลกเมื่อส่งออก,วิกฤติไทยแก้ได้แน่นอน.,ที่เขมรใช้1:200,000ก็ฝรั่งเศสอเมริกาหรือหลายชาติต่างอยากได้แดกบ่อน้ำมันในอ่าวไทยเรานี้ด้วยล่ะ,ก่อนไปพลังงานสะอาดอื่นๆที่สร้างค่าเสถียรการใช้งานปลอดภัยได้แล้ว.,แต่คงหลายสิบปีหรือหลายร้อยปีกันเลย.


    https://youtube.com/watch?v=41WZaOg8ZFo&si=RViZxHzSvx9JtmUZ
    ..พล.อ.รังษี อย่าให้จีนมาถือการลงทุนมากกว่าไทยเลยนะ ไม่ดีแน่นอน นี้คือการครอบงำกิจการ ครอบงำการปฏิบัติงานอธิปไตยของชาตินะ จะทำอะไรก็ต้องขออนุญาตจีนแล้วนะนั้น อันตรายมาก,แนวคิดนี้ท่านพลาดใหญ่หลวงเลยนะ,การดำรงอธิปไตยไทยได้ดีที่สุดคือเป็นเจ้าของ100% ให้บริการดูแลเขาเต็มที่ก็พอ เสมือนห้องประชุมงานเลี้ยงที่สถานที่คือของเรา100%ผลประโยชน์ด้านงานสถานที่คือรับเต็มๆ100% เราบริหารจัดการสั่งการบัญชาการอะไร ปรับปรุงแบบไหนอิสระเต็มที่ ไม่ต้องรออนุญาตอนุมัติจากใคร รอใครมาเห็นชอบด้วย บริหารจัดการได้100%. ..จะรถไฟระบบรางความเร็วสูงจะรีบร้อนอะไร เรามีกำลังเท่าไรก็ทำเองเท่านั้นก่อน,ที่ดินและระบบรางเป็นตังเป็นทุนของเราเองสร้าง ความเป็นเจ้าของเราก็100%เต็ม พื้นที่บริหารจัดการรางรถไฟทั้งหมดเราบริหารจัดการเอง,เชื่อมรถไฟจีน จีนแค่เอารถไฟจีนของตัวเองมาวิ่งแค่นั้น ห้ามมีสิทธิใดๆในอธิปไตยดินแดนบนแผ่นดินไทยเราให้บรืหารจัดการยุ่งยาก,ผลประโยชน์ทั้งหมดจะตกแก่คนไทยในชาติเราเอง,เช่นสถานีพักระหว่างทางขึ้นลง คนไทยสร้างศูนย์การค้าการตลาดประชาชนเองร่วมกัน นักท่องเที่ยวลงจอดแวะซื้อขายบนเขตพื้นที่บริหารจัดการเราผู้เดียว ตังก็หมุนเวียนทันทีภายในประเทศไทยเรา รถไฟจีนมาหน้าที่ขนคนขนสินค้าบริการตนตามเป้าหมายปลายทางแค่นั้น,ไทยไม่เป็นหนี้ตังจีนมาเร่งรีบลงทุนงานก่อสร้างด้วย,เราจัดการข้าราชการทุจริตจริงจังจบก็สบายทันที โปร่งใสสร้างความเชื่อถือได้แล้ว ไม่ยากอะไร,อย่าเป็นแบบลาว จีนสร้างเแ็นของจีนหมดตลอดที่ดินสร้างรางรถไฟ นี้เสียอธิปไตยบริหารจัดการบนแผ่นดินตนชัดเจน,ความโลภลักษณะนี้อันตรายต่อลูกหลานเราเองในคนรุ่นหลังๆเราอาจด่าโคตรเหง้าว่าขายชาติขายสิทธิอธิปไตยตนเองได้, ..ขุดคลองคิดกระก็ขุดเอง100%ห้ามต่างชาติมายุ่ง ..สร้างแลนด์บริดจ์ข้างคลองคอดกระทั้งสองข้างก็ห้ามใครมายุ่ง,ระดมทุนจากภาคประชาชนทั้งประเทศไทยได้ สร้างมันขึ้นมาสิ.,ตั้งเป็นกองทุนคลองไทยแห่งชาติก็ได้ สร้างบริษัทบริหารจัดการคลองคอดกระและแลนด์บริดจ์เอง,ไม่ต้องให้มหาอำนาจใดมาแดกตังมากอบโกยเม็ดเงินมหาศาลนี้ง่ายๆจะจีนจะอเมริกาก็ตามที่เป็นเขตราชอาณาจักรอธิปไตยไทยนี้,เม็ดเงินมหาศาลจากการบริหารจัดการคลองคอดกระ จากแลนด์บริดจ์อาจกว่า1,000ล้านล้านบาทต่อปีได้ทั่วประ้ทศไทยเราโดยเฉพาะเขตคลองคอดกระและแลนด์บริดจ์นี้.,จะไปให้จีนถือมากกว่าไทยทำไม,ใช่ไม่ได้ เสมือนหมอบกราบสยบใต้ตีนจีนเกินไป ไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรีเพราะนี้คือดินแดนแผ่นดินไทย เขตอธิปไตยไทยคลองไทยเราขุดเองระเบิดเองจะทำไม,จีนอเมริกามาบีบหมายบังคับจะแดกด้วยใช้ไม่ได้,ให้สามารถสร้างงานบริการเต็มที่ที่ลูกค้าทั่วโลกผ่านเข้าออกคลองไทยเรา,ต่างชาติจะมาแทรกแซงสั่งการใดๆไม่ได้ เราจะปิดจะเปิดคลองไทยมันคืออธิปไตยไทย100% รวมรางรถไฟความเร็วสูงด้วย ปิดระบบรางเพื่อความมั่นคงของไทยก็ได้ตลอดเวลาอีก ใครจะมาปรับเอาความเสียหายกับเราก็ไม่ได้,รางรถไฟเราสร้างเองไม่ต้องกู้ตังใครถูกต้องที่สุด ดำเนินทางสายกลางถูกแล้ว. ..จริงๆเราสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยเราทันทีได้ง่ายๆ พลิกหน้ามือมารอดมาตั้งหลักตั้งฐานได้ทันทีกันเลย นั้นคือ ยกเลิกสัมปทานปิโตรเลียมทั้งหมดที่ไม่ผ่านสภาประชาธิปไตยใดๆเลย ซึ่งเป็นกิจการความมั่นคงโดยตรงด้านพลังงานขับเคลื่อนทุกๆบริบทกิจกรรมภายในประเทศไทยเรา ต้องโมฆะทันที ยึดคืนสู่สามัญใหม่ให้ถูกต้องเป็นธรรมกว่าในอดีตๆที่ผ่านๆมา,เศรษฐกิจจะพลิกฟื้นทันที เราสามารถส่งทหารไปผลิตเองใช้ในประเทศก่อนได้ ขายน้ำมันราคาไม่แพงแก่ประชาชนแลัอุตสาหกรรมภายในประเทศที่เป็นของคนไทยก่อน สัญชาติไทย100%หุ้นไทยก่อน,ใครมีต่างชาติถือหุ้นด้วยก็อีกราคาต่างหาก,เกษตรกรสามารถซื้อน้ำมันราคาลิตรละ1-2บาทได้ ขนส่งก็อาจลิตรละ0.90บาท ,ค่าครองชีพค่าขนส่งจะลดลงทันที,ราคาสินค้าจะปรับฐานใหม่ภายในประเทศ ทุกๆอย่างจะปรับฐานใหม่หมดจะเชื่อมโยงกระทบทางที่ดีหมด,ราคาสินค้าเราจะต้นทุนต่ำ สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ทันที ข้าวจากตันละ400-600$,อาจลดเหลือ200-300$ ต้นทุนแค่10$ต่อตัน,กำไรกว่า100$พอใจมั้ย,คนซื้อก็พอใจประหยัดตังได้อีก,ความอุดมสมบูรณ์จะกลับคืนมาทันที,นักเรียนนักศึกษาจากปกติพกตังหลายร้อยบาทไปโรงเรียนไปมหาลัยตื๊ดๆทีก็หมดไปหลายร้อย,ปัจจุบันตื๊ดๆที ได้สินค้าอาหารกับข้าวกินจนอิ่มจนเหลือทุกๆวันเพราะ10-20บาทอาจเทียบกับพกตังไปในกระเป๋ากว่าพันกว่าหมื่นบาทกันเลย,ข้าวอาหารก๋วยเตี๋ยวอาจชามละ0.25บาทนั้นเอง,น้ำมันเติมมอไซค์ไปโรงเรียนไปมหาลัยอาจแค่ลิตรละ0.5-1บาทสำหรับนักเรียนนักศึกษาก็ได้,1บาทได้2ลิตรเกือบเต็มถัง.2บาท4ลิตรล้นถังมอไซค์แน่นอน, ..ต้นเหตุเศรษฐกิจจริงๆตอนนี้คือน้ำมันคือพลังงาน จะรบจะทำสงครามกันเครื่องจักรปัจจุบันกินน้ำมันหมด, ..ไทยเรายึดบ่อน้ำมันจากอีลิทต่างชาติdeep state หลายๆปัญหาจบแน่นอน,ยึดสัก20-30บ่อมาผลิตขายเองในไทยดูสิ จะเห็นผลทันที ทุกๆคนไทยใช้รถ ขนส่งสินค้าใช้รถ ราคาสินค้าบวกต้นทุนขนส่งหมด,ต้นทุนต้นน้ำแบบเกษตรกร โรงงานผู้ผลิตต่างๆลดลง กำไรเขาก็มากได้ ลดค่าใช้จ่ายรวมอีก,ต้นน้ำถูก ปลายน้ำก็ถูกทันที ..จริงๆปัญหาประเทศไทยตัวโคตรพ่อโคตรแมร่งจริงๆคือบ่อน้ำมันในไทยเรา,ยึดคืนมาทั้งหมดที่ถูกปล้นจากสัญญาสัมปทานเอาเปรียบประเทศไทยมานานก็จบแล้ว.,ไปเดินอ้อมปัญหาจริงๆทำไม.ลดค่าน้ำมันลิตรละ0.50-1บาทในไทย ลดค่าไฟฟ้า 0.15-0.25บาทต่อหน่วย ,เศรษฐกิจทั่วประเทศไทยฟื้นฟูทันที,จากนั้นค่อยแก้ไปทีละจุดๆต่อไป,ขายน้ำมันในราคาตลาดโลกเมื่อส่งออก,วิกฤติไทยแก้ได้แน่นอน.,ที่เขมรใช้1:200,000ก็ฝรั่งเศสอเมริกาหรือหลายชาติต่างอยากได้แดกบ่อน้ำมันในอ่าวไทยเรานี้ด้วยล่ะ,ก่อนไปพลังงานสะอาดอื่นๆที่สร้างค่าเสถียรการใช้งานปลอดภัยได้แล้ว.,แต่คงหลายสิบปีหรือหลายร้อยปีกันเลย. https://youtube.com/watch?v=41WZaOg8ZFo&si=RViZxHzSvx9JtmUZ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 586 มุมมอง 0 รีวิว
  • เค้ามีแต่พลังงานสะอาด พลังงานสีเขียว แต่ไทยกำลังเข้าสู่ยุค พลังงานสกปรก พลังงานสีเทา ยังไม่ทันได้เป็นรัฐมนตรี ก็รีบล้างแผลเก่าเชียว
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เค้ามีแต่พลังงานสะอาด พลังงานสีเขียว แต่ไทยกำลังเข้าสู่ยุค พลังงานสกปรก พลังงานสีเทา ยังไม่ทันได้เป็นรัฐมนตรี ก็รีบล้างแผลเก่าเชียว #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts