• อยุธยาน้ำยังวิกฤต! ระดับน้ำเริ่มลดแต่ยอดเสียชีวิตเพิ่มเป็น 20 ราย , ท่าดินแดง–ผักไห่จมทั้งตำบล บ้านหลายหลังท่วมน้ำ 3–4 เมตร ชาวบ้านยังติดอยู่ในบ้าน

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110431

    #น้ำท่วมอยุธยา #ผักไห่ #ท่าดินแดง #น้ำท่วม2568 #อยุธยา #News1live #News1 #ข่าวด่วน
    อยุธยาน้ำยังวิกฤต! ระดับน้ำเริ่มลดแต่ยอดเสียชีวิตเพิ่มเป็น 20 ราย , ท่าดินแดง–ผักไห่จมทั้งตำบล บ้านหลายหลังท่วมน้ำ 3–4 เมตร ชาวบ้านยังติดอยู่ในบ้าน • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110431 • #น้ำท่วมอยุธยา #ผักไห่ #ท่าดินแดง #น้ำท่วม2568 #อยุธยา #News1live #News1 #ข่าวด่วน
    0 Comments 1 Shares 60 Views 0 Reviews

  • เขาขึ้นหรือเขานางบวชและวิหารพระอาจารย์ธรรมโชติ
    ....
    ในท้องทุ่งแห่งลุ่มแม่น้ำน้อยมีตำนานเล่าเรื่องวีรชนแห่งบ้านระจันหรือบางระจัน ที่ต้านทัพพม่า ซึ่งเข้ามาล้อมกรุงศรีอยุธยาที่อยู่ทางใต้ไม่ไกลนักได้ถึง ๗ ครั้ง ชาวบ้านบางระจันได้รวมตัวกันต่อสู้รบและเสียชีวิตทั้งหมู่บ้านในครั้งที่ ๘ แม้นักประวัติศาสตร์หลายท่านจะเห็นแย้งและกล่าวว่าทัพพม่าเข้ามาทางบ้านตากนั้นยังคงไม่ถึงกรุงศรีอยุธยา เอกสารที่บันทึกไว้อย่างละเอียดน่าจะเป็นพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวน่าจะขยายความและบรรยายอย่างละเอียด โดยมีนำมากล่าวถึงในหนังสือไทยรบพม่าของ สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ส่วนพระราชพงศาวดารฉบับอื่นคงบรรยายไว้เพียงไม่มาก ปรากฎชื่อสถานที่ว่า ‘บ้านระจัน’ พระอาจารย์วัดเขานางบวชซึ่งก็หมายถึงพระอาจารย์ธรรมโชติ นายจันเขียว พระยารัตนาธิเบศ
    .
    อย่างไรก็ตาม พระราชพงศาวดารและบันทึกคำให้การต่างๆ ล้วนมีการบันทึกเหตุการณ์ที่ชาวบ้านเสียชีวิตทั้งหมด ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญและมีส่วนที่เป็นข้อเท็จจริง ส่วนจะมีรายละเอียดอย่างใดนั้น เรื่องเล่าติดที่คือตำนานต่างๆ ถูกสร้างและแต่งเสริมด้วยผู้คนที่เป็นชาวบ้านแห่งท้องทุ่งในลุ่มแม่น้ำน้อยนี้
    .
    น่าสนใจว่า ผู้นำทางจิตวิญญาณที่สำคัญ คือ ‘พระอาจารย์ธรรมโชติ’ แห่งวัดเขานางบวช สุพรรณบุรี นั้นกลายเป็น Culture hero แห่งเขตพื้นที่กลางอันเป็นพื้นที่นครรัฐเจนลีฟูแต่เดิม เมื่อย้อนกลับไปราวห้าร้อยกว่าปีก่อนหน้านั้น
    .
    พื้นที่สู้รบนั้นอยู่ตามลำแม่น้ำน้อย ตั้งแต่แขวงเมืองวิเศษไชยชาญจนลงเข้าสู่ผักไห่และตั้งค่ายสำคัญอยู่ที่สีกุก
    .
    ส่วนด้านทางเหนือก็เข้าควบคุมพื้นที่ ทำให้ชาวบ้านไปรวมกันแถบรอบวัดโพธิ์เก้าต้น ต่อชาวบ้านไปอาราธนาพระอาจารย์ธรรมโชติจากวัดเขานางบวช ให้ไปช่วยคุ้มครองทำผ้าประเจียด ตะกรุด พิสมร (ตะกรุดรูปแบบหนึ่ง ใช้ร้อยสายไว้ป้องกันอันตราย) แจกจ่ายนักรบชาวบ้าน เล่าสืบต่อมาว่าพระอาจารย์ธรรมโชติ บวชครั้งแรกที่ ‘วัดยาง’ ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง กับวัดโพธิ์เก้าต้นหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘วัดแดง’ เพราะมีดงไม้แดงขึ้นเยอะ ทั้งสองวัดนี้เป็นวัดเก่า เพราะมีวิหารแบบแอ่นท้องสำเภา พระพุทธรูปหินทราย และพระพุทธรูปปูนปั้นประดิษฐานไว้ ก่อนย้ายไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานในถ้ำบนยอดเขานางบวช ต่อมาชาวบ้านบางระจันได้อาราธนามาอยู่ ณ วัดโพธิ์เก้าต้น เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการสู้รบ
    .
    บริเวณ ‘วัดโพธิ์เก้าต้น’ นี้เป็นย่านชุมชนเก่ามาตั้งแต่สมัยทวารวดีช่วงปลาย แต่อยู่อาศัยกันบางเบาเพราะเป็นเขตที่ต้องใช้ดารเดินทางติดต่อทางน้ำเป็นหลัก [Riverine] เพราะอยู่ไม่ไกลจาก ‘เมืองคูเมือง’ ในตำบลแสวงหา จังหวัดอ่างทอง ที่อยู่ห่างไปราว ๓ กิโลเมตร ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มเมืองรูปสี่เหลี่ยมของลุ่มน้ำระหว่างลำสีบัวทองและแม่น้ำน้อย มีการอยู่อาศัยมาตั้งแต่สมัยทวารวดีและยุคลพบุรีหรือราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ และคงอยู่สืบเนื่องกันต่อเรื่อยมาจนถึงสิ้นกรุงศรีอยุธยา
    .
    พอพม่าเข้าตีค่ายบางระจันที่วัดโพธิ์เก้าต้นได้ ใน ‘ไทยรบพม่า’ พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ก็ว่าชาวบ้านที่เหลือตายหนีไปได้บ้าง พม่าจับเอาไปเป็นเชลยบ้าง แต่พระอาจารย์ธรรมโชตินั้นเลยหายสาบสูญไป จะถึงมรณภาพในเวลาเสียค่ายพม่าหรือหนีรอดไปได้ไม่มีหลักฐานปรากฎ
    .
    แต่ในบทความของอาจารย์มนัส โอภากุล เรื่อง พระอาจารย์ธรรมโชติ หายไปไหน? (มนัส โอภากุล. พระอาจารย์ธรรมโชติหายไปไหน? ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๒๗) ใช้ข้อมูลประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจากทายกวัดนางบวช อายุ ๗๕ ปี ใน พ.ศ. ๒๕๒๗ เล่าว่า พระอาจารย์ธรรมโชติกลับมาจำพรรษาที่วัดเขานางบวชตามเดิม โดยคำบอกเล่าของปู่ย่าตายายเล่าว่า เมื่อค่ายบางระจันแตก พระอาจารย์ธรรมโชติหลบหนีมาที่เขานางบวช ทหารก็ไล่ติดตามมาจนมาค้นที่วัดเขานางบวชหาตัวเท่าไหร่ก็ไม่พบ เพราะท่านลงไปหลบในอุโมงค์ภายในวิหารที่ยังปรากฎอยู่จนปัจจุบันที่เคยเป็นที่นั่งวิปัสสนากรรมฐาน เล่ากันว่าภายในมีพื้นที่ให้คนนั่งรวมกันได้ ๕ - ๖ คน ทุกวันนี้ก็ยังปรากฎอยู่....
    .
    ซึ่งเป็นความเชื่อในคุณวิเศษของพระอาจารย์ธรรมโชติ ที่ชาวบ้านทางแถบเดิมบางตลอดไปจนถึงเขาพระ หัวเขาและบ้านกำมะเชียร ในย่านลุ่มน้ำสุพรรณเชื่อถือกันสืบต่อมา
    .
    พระวิหารวิปัสสนาที่เขาขึ้นหรือวัดเขานางบวชนั้น เป็นอาคารยาวมุงกระเบื้องกาบกล้วยแบบเก่า ประดิษฐานรอยพระบาท ด้านหลังเป็นโพรงหรืออุโมงค์ลงไปในโพรงแคบๆ ของพระเจดีย์ที่อาจจะเป็นกรุมาแต่ดั้งเดิม (ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มีพระราชวินิจฉัยเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เป็นโพรงถ้ำวิปัสสนามาแต่ก่อน
    .
    ‘เขาขึ้น’ หรือ ‘เขานางบวช’ นั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มโบราณสถานบนเขาและชุมชนยุคแรกๆ มราเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ เนื่องจากใกล้ชิดกับชุมชนที่เดิมบางฯ ริมแม่น้ำสุพรรณซึ่งเป็นจุดที่เชื่อมต่อเส้นทางเดินทางสมัยโบราณได้หลายทิศทาง ไม่ว่าจะขึ้นเหนือไปทางลุ่มน้ำสะแกกรังผ่านไปทางลำน้ำปิง ทางลำน้ำมะเขามเฒ่าสู่กลุ่มเมืองทางอู่ตะเภาและพื้นที่ดอนที่ติดต่อกับที่ราบสูงโคราช ทางตะวันตกสู่ลุ่มน้ำสุพรรณ อู่ทองและแม่กลอง และทางใต้ติดต่อกับท้องทุ่งและลำน้ำใหญ่น้อยที่ลงสูากลุ่มละโว้ได้เช่นกัน และมีการอยู่อาศัยต่อเนื่อง จนกลายเป็นแลนด์มาร์กและวัดสำคัญของท้องถิ่น มำตำนานของผู้เข้ามาอยู่อาศัยใหม่ๆ สร้างให้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น และกลายมาเป็นการสร้างประเพณีสำคัญของท้องถิ่นสืบมาจนถึงปัจจุบัน
    .
    เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสขึ้นบนเขานางบวช เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ ในพระราชหัตถเลขาบันทึกไว้ว่า
    .
    ...ที่บนนั้นมีพระอุโบสถหลังหนึ่ง ห้าห้อง ไม่มีหน้าต่าง ก่อเว้นช่องอย่างวัดพุทไธสวรรย์ แต่ไม่มีหลังคามุงแฝกคลุมไว้ พระที่ตั้งอยู่บนฐานชุกชีเป็นพระพุทธรูปศิลาปั้นปูน ประกอบปิดทอง ผนังโบสถ์ด้านหนึ่งก่อเป็นแท่นเหมือนอาสนสงฆ์ ตั้งพระพุทธรูป เป็นพระยืนขนาดใหญ่ เห็นจะเป็นพระเก่าผีมือดี ๆ อย่างโบราณ สวมเทริด หน้าต่าง ๆ แต่ ชำรุดทั้งสิ้น ได้เชิญให้ลงมาปฏิสังขรณ์ ๔ องค์ ถ้าเสร็จแล้วจะส่งกลับไปไว้ที่เขานั้นบ้าง เสมาใช้ศิลาแผ่นใหญ่ ๆ อย่างเสมาวัดหลวงกรุงเก่า มีกำแพงแก้วรอบไป จนกระทั่งเจดีย์และวิหารด้วย แต่วิหารนั้นเป็นที่น่าสงสัยอยู่ว่า ทำเป็นสองคราว เพราะกระชั้นพระเจดีย์นัก ไม่ได้ไว้ช่อง อีกมีช่องหน้าต่างเล็กสูงเพียงศอกเดียว กว้างกับเศษ ๒ ช่องเท่านั้น ท้ายวิหารจดฐานพระเจดีย์ มีทางเข้าไปในองค์พระเจดีย์ที่กำแพงแก้ว มีพระเจดีย์ประจำมุมเห็นจะมีถึงด้านละ ๔ องค์ พระเจดีย์นั้นก็เป็นพานแว่นฟ้า ๓ ชั้น
    .
    เขานางบวชนี้เป็นที่ราษฎรนับถือมาก มีกำหนดขึ้นไหว้กันกลางเดือน ๔ ทุกปี มาแต่หัวเมืองอื่นก็มากใช้เดินทางบกทั้งนั้น...
    .
    ลักษณะของเจดีย์ที่สร้างแบบผสมกับหินก้อนใหญ่ๆ ซึ่งมักนิยมสร้างกันเช่นนี้ตามเขาที่มีฐานวิหารและพระเจดีย์บนเขา เช่น ที่บ้านหัวเขาในอำเภอเดิมบางฯ นี้ และแนวเขาพระที่ต่อเนื่องมาจากอู่ทองจนถึงเลาขวัญอีกหลายแห่ง ก็มีลักษณะคล้ายกัน ซึ่งเป็นยุคสมัยแบบลพบุรีหรือในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ อันเป็นช่วงร่วมสมัยกับกลุ่มนครรัฐเจนลีฟูที่ปรากฎขึ้นในบริเวณนี้ และเป็นรัฐที่นับถือพุทธศาสนาเป็นหลักตามระบุไว้ในจดหมายเหตุจีน
    .
    และยังพบฐานแท่นหินทรายขนาดย่อมๆ สำหรับประติมากรรมที่อาจเป็นพระพุทธรูปหรือเทวรูปก็ได้ และพระพุทธรูปยืนสวมเทริดทำจากหินที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกล่าวถึงที่อาจนำไปปฏิสังขรณ์แล้วและอาจไม่ได้ส่งกลับมาก็เป็นได้ นอกจากนี้ยังพบพระพุทธรูปแบบหินทรายปางมารวิชัยแบบเก่าซึ่งพบในแถบพื้นที่ดอนของสามชุก หนองหญ้าไซ และดอนเจดีย์
    ...
    ภาพ วิหารพระอาจารย์ธรรมโชติบนเขาขึ้นหรือเขานางบวช ต่อด้วยเจดีย์ทำจากก้อนหินผสมกับอิฐ ซึ่งมีโพรงด้านใน และพระอุโบสถมีพระพุทธรูปหินทรายปางมารวิชัยที่พบในเขตนี้หลายองค์ ทั้งใบเสมาทำจากหินชนวนแบบวัดหลวงแต่ทำลวดลายที่พบได้ทั่วไปในเขตชัยนาท เมืองสิงห์เก่าและเมืองพรหมเก่า
    เขาขึ้นหรือเขานางบวชและวิหารพระอาจารย์ธรรมโชติ .... ในท้องทุ่งแห่งลุ่มแม่น้ำน้อยมีตำนานเล่าเรื่องวีรชนแห่งบ้านระจันหรือบางระจัน ที่ต้านทัพพม่า ซึ่งเข้ามาล้อมกรุงศรีอยุธยาที่อยู่ทางใต้ไม่ไกลนักได้ถึง ๗ ครั้ง ชาวบ้านบางระจันได้รวมตัวกันต่อสู้รบและเสียชีวิตทั้งหมู่บ้านในครั้งที่ ๘ แม้นักประวัติศาสตร์หลายท่านจะเห็นแย้งและกล่าวว่าทัพพม่าเข้ามาทางบ้านตากนั้นยังคงไม่ถึงกรุงศรีอยุธยา เอกสารที่บันทึกไว้อย่างละเอียดน่าจะเป็นพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวน่าจะขยายความและบรรยายอย่างละเอียด โดยมีนำมากล่าวถึงในหนังสือไทยรบพม่าของ สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ส่วนพระราชพงศาวดารฉบับอื่นคงบรรยายไว้เพียงไม่มาก ปรากฎชื่อสถานที่ว่า ‘บ้านระจัน’ พระอาจารย์วัดเขานางบวชซึ่งก็หมายถึงพระอาจารย์ธรรมโชติ นายจันเขียว พระยารัตนาธิเบศ . อย่างไรก็ตาม พระราชพงศาวดารและบันทึกคำให้การต่างๆ ล้วนมีการบันทึกเหตุการณ์ที่ชาวบ้านเสียชีวิตทั้งหมด ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญและมีส่วนที่เป็นข้อเท็จจริง ส่วนจะมีรายละเอียดอย่างใดนั้น เรื่องเล่าติดที่คือตำนานต่างๆ ถูกสร้างและแต่งเสริมด้วยผู้คนที่เป็นชาวบ้านแห่งท้องทุ่งในลุ่มแม่น้ำน้อยนี้ . น่าสนใจว่า ผู้นำทางจิตวิญญาณที่สำคัญ คือ ‘พระอาจารย์ธรรมโชติ’ แห่งวัดเขานางบวช สุพรรณบุรี นั้นกลายเป็น Culture hero แห่งเขตพื้นที่กลางอันเป็นพื้นที่นครรัฐเจนลีฟูแต่เดิม เมื่อย้อนกลับไปราวห้าร้อยกว่าปีก่อนหน้านั้น . พื้นที่สู้รบนั้นอยู่ตามลำแม่น้ำน้อย ตั้งแต่แขวงเมืองวิเศษไชยชาญจนลงเข้าสู่ผักไห่และตั้งค่ายสำคัญอยู่ที่สีกุก . ส่วนด้านทางเหนือก็เข้าควบคุมพื้นที่ ทำให้ชาวบ้านไปรวมกันแถบรอบวัดโพธิ์เก้าต้น ต่อชาวบ้านไปอาราธนาพระอาจารย์ธรรมโชติจากวัดเขานางบวช ให้ไปช่วยคุ้มครองทำผ้าประเจียด ตะกรุด พิสมร (ตะกรุดรูปแบบหนึ่ง ใช้ร้อยสายไว้ป้องกันอันตราย) แจกจ่ายนักรบชาวบ้าน เล่าสืบต่อมาว่าพระอาจารย์ธรรมโชติ บวชครั้งแรกที่ ‘วัดยาง’ ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง กับวัดโพธิ์เก้าต้นหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘วัดแดง’ เพราะมีดงไม้แดงขึ้นเยอะ ทั้งสองวัดนี้เป็นวัดเก่า เพราะมีวิหารแบบแอ่นท้องสำเภา พระพุทธรูปหินทราย และพระพุทธรูปปูนปั้นประดิษฐานไว้ ก่อนย้ายไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานในถ้ำบนยอดเขานางบวช ต่อมาชาวบ้านบางระจันได้อาราธนามาอยู่ ณ วัดโพธิ์เก้าต้น เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการสู้รบ . บริเวณ ‘วัดโพธิ์เก้าต้น’ นี้เป็นย่านชุมชนเก่ามาตั้งแต่สมัยทวารวดีช่วงปลาย แต่อยู่อาศัยกันบางเบาเพราะเป็นเขตที่ต้องใช้ดารเดินทางติดต่อทางน้ำเป็นหลัก [Riverine] เพราะอยู่ไม่ไกลจาก ‘เมืองคูเมือง’ ในตำบลแสวงหา จังหวัดอ่างทอง ที่อยู่ห่างไปราว ๓ กิโลเมตร ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มเมืองรูปสี่เหลี่ยมของลุ่มน้ำระหว่างลำสีบัวทองและแม่น้ำน้อย มีการอยู่อาศัยมาตั้งแต่สมัยทวารวดีและยุคลพบุรีหรือราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ และคงอยู่สืบเนื่องกันต่อเรื่อยมาจนถึงสิ้นกรุงศรีอยุธยา . พอพม่าเข้าตีค่ายบางระจันที่วัดโพธิ์เก้าต้นได้ ใน ‘ไทยรบพม่า’ พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ก็ว่าชาวบ้านที่เหลือตายหนีไปได้บ้าง พม่าจับเอาไปเป็นเชลยบ้าง แต่พระอาจารย์ธรรมโชตินั้นเลยหายสาบสูญไป จะถึงมรณภาพในเวลาเสียค่ายพม่าหรือหนีรอดไปได้ไม่มีหลักฐานปรากฎ . แต่ในบทความของอาจารย์มนัส โอภากุล เรื่อง พระอาจารย์ธรรมโชติ หายไปไหน? (มนัส โอภากุล. พระอาจารย์ธรรมโชติหายไปไหน? ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๒๗) ใช้ข้อมูลประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจากทายกวัดนางบวช อายุ ๗๕ ปี ใน พ.ศ. ๒๕๒๗ เล่าว่า พระอาจารย์ธรรมโชติกลับมาจำพรรษาที่วัดเขานางบวชตามเดิม โดยคำบอกเล่าของปู่ย่าตายายเล่าว่า เมื่อค่ายบางระจันแตก พระอาจารย์ธรรมโชติหลบหนีมาที่เขานางบวช ทหารก็ไล่ติดตามมาจนมาค้นที่วัดเขานางบวชหาตัวเท่าไหร่ก็ไม่พบ เพราะท่านลงไปหลบในอุโมงค์ภายในวิหารที่ยังปรากฎอยู่จนปัจจุบันที่เคยเป็นที่นั่งวิปัสสนากรรมฐาน เล่ากันว่าภายในมีพื้นที่ให้คนนั่งรวมกันได้ ๕ - ๖ คน ทุกวันนี้ก็ยังปรากฎอยู่.... . ซึ่งเป็นความเชื่อในคุณวิเศษของพระอาจารย์ธรรมโชติ ที่ชาวบ้านทางแถบเดิมบางตลอดไปจนถึงเขาพระ หัวเขาและบ้านกำมะเชียร ในย่านลุ่มน้ำสุพรรณเชื่อถือกันสืบต่อมา . พระวิหารวิปัสสนาที่เขาขึ้นหรือวัดเขานางบวชนั้น เป็นอาคารยาวมุงกระเบื้องกาบกล้วยแบบเก่า ประดิษฐานรอยพระบาท ด้านหลังเป็นโพรงหรืออุโมงค์ลงไปในโพรงแคบๆ ของพระเจดีย์ที่อาจจะเป็นกรุมาแต่ดั้งเดิม (ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มีพระราชวินิจฉัยเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เป็นโพรงถ้ำวิปัสสนามาแต่ก่อน . ‘เขาขึ้น’ หรือ ‘เขานางบวช’ นั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มโบราณสถานบนเขาและชุมชนยุคแรกๆ มราเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ เนื่องจากใกล้ชิดกับชุมชนที่เดิมบางฯ ริมแม่น้ำสุพรรณซึ่งเป็นจุดที่เชื่อมต่อเส้นทางเดินทางสมัยโบราณได้หลายทิศทาง ไม่ว่าจะขึ้นเหนือไปทางลุ่มน้ำสะแกกรังผ่านไปทางลำน้ำปิง ทางลำน้ำมะเขามเฒ่าสู่กลุ่มเมืองทางอู่ตะเภาและพื้นที่ดอนที่ติดต่อกับที่ราบสูงโคราช ทางตะวันตกสู่ลุ่มน้ำสุพรรณ อู่ทองและแม่กลอง และทางใต้ติดต่อกับท้องทุ่งและลำน้ำใหญ่น้อยที่ลงสูากลุ่มละโว้ได้เช่นกัน และมีการอยู่อาศัยต่อเนื่อง จนกลายเป็นแลนด์มาร์กและวัดสำคัญของท้องถิ่น มำตำนานของผู้เข้ามาอยู่อาศัยใหม่ๆ สร้างให้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น และกลายมาเป็นการสร้างประเพณีสำคัญของท้องถิ่นสืบมาจนถึงปัจจุบัน . เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสขึ้นบนเขานางบวช เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ ในพระราชหัตถเลขาบันทึกไว้ว่า . ...ที่บนนั้นมีพระอุโบสถหลังหนึ่ง ห้าห้อง ไม่มีหน้าต่าง ก่อเว้นช่องอย่างวัดพุทไธสวรรย์ แต่ไม่มีหลังคามุงแฝกคลุมไว้ พระที่ตั้งอยู่บนฐานชุกชีเป็นพระพุทธรูปศิลาปั้นปูน ประกอบปิดทอง ผนังโบสถ์ด้านหนึ่งก่อเป็นแท่นเหมือนอาสนสงฆ์ ตั้งพระพุทธรูป เป็นพระยืนขนาดใหญ่ เห็นจะเป็นพระเก่าผีมือดี ๆ อย่างโบราณ สวมเทริด หน้าต่าง ๆ แต่ ชำรุดทั้งสิ้น ได้เชิญให้ลงมาปฏิสังขรณ์ ๔ องค์ ถ้าเสร็จแล้วจะส่งกลับไปไว้ที่เขานั้นบ้าง เสมาใช้ศิลาแผ่นใหญ่ ๆ อย่างเสมาวัดหลวงกรุงเก่า มีกำแพงแก้วรอบไป จนกระทั่งเจดีย์และวิหารด้วย แต่วิหารนั้นเป็นที่น่าสงสัยอยู่ว่า ทำเป็นสองคราว เพราะกระชั้นพระเจดีย์นัก ไม่ได้ไว้ช่อง อีกมีช่องหน้าต่างเล็กสูงเพียงศอกเดียว กว้างกับเศษ ๒ ช่องเท่านั้น ท้ายวิหารจดฐานพระเจดีย์ มีทางเข้าไปในองค์พระเจดีย์ที่กำแพงแก้ว มีพระเจดีย์ประจำมุมเห็นจะมีถึงด้านละ ๔ องค์ พระเจดีย์นั้นก็เป็นพานแว่นฟ้า ๓ ชั้น . เขานางบวชนี้เป็นที่ราษฎรนับถือมาก มีกำหนดขึ้นไหว้กันกลางเดือน ๔ ทุกปี มาแต่หัวเมืองอื่นก็มากใช้เดินทางบกทั้งนั้น... . ลักษณะของเจดีย์ที่สร้างแบบผสมกับหินก้อนใหญ่ๆ ซึ่งมักนิยมสร้างกันเช่นนี้ตามเขาที่มีฐานวิหารและพระเจดีย์บนเขา เช่น ที่บ้านหัวเขาในอำเภอเดิมบางฯ นี้ และแนวเขาพระที่ต่อเนื่องมาจากอู่ทองจนถึงเลาขวัญอีกหลายแห่ง ก็มีลักษณะคล้ายกัน ซึ่งเป็นยุคสมัยแบบลพบุรีหรือในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ อันเป็นช่วงร่วมสมัยกับกลุ่มนครรัฐเจนลีฟูที่ปรากฎขึ้นในบริเวณนี้ และเป็นรัฐที่นับถือพุทธศาสนาเป็นหลักตามระบุไว้ในจดหมายเหตุจีน . และยังพบฐานแท่นหินทรายขนาดย่อมๆ สำหรับประติมากรรมที่อาจเป็นพระพุทธรูปหรือเทวรูปก็ได้ และพระพุทธรูปยืนสวมเทริดทำจากหินที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกล่าวถึงที่อาจนำไปปฏิสังขรณ์แล้วและอาจไม่ได้ส่งกลับมาก็เป็นได้ นอกจากนี้ยังพบพระพุทธรูปแบบหินทรายปางมารวิชัยแบบเก่าซึ่งพบในแถบพื้นที่ดอนของสามชุก หนองหญ้าไซ และดอนเจดีย์ ... ภาพ วิหารพระอาจารย์ธรรมโชติบนเขาขึ้นหรือเขานางบวช ต่อด้วยเจดีย์ทำจากก้อนหินผสมกับอิฐ ซึ่งมีโพรงด้านใน และพระอุโบสถมีพระพุทธรูปหินทรายปางมารวิชัยที่พบในเขตนี้หลายองค์ ทั้งใบเสมาทำจากหินชนวนแบบวัดหลวงแต่ทำลวดลายที่พบได้ทั่วไปในเขตชัยนาท เมืองสิงห์เก่าและเมืองพรหมเก่า
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 1276 Views 0 Reviews
  • ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,570
    วันพุธ: ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง
    วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ (6 November 2024)

    Photo Album Set 1/2
    ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท
    01. วัดภูมิขนุน อ.สังขะ จ.สุรินทร์
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    02. วัดมงคลนิมิตร อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    03. วัดรังสิต อ.เมือง จ.ปทุมธานี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    04. วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) อ.เมือง จ.เชียงใหม่
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    05. วัดไร่รถ อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    06. วัดลาดชะโด อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    07. วัดลำป่าสักมูล อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    08. วัดเลิศดุสิตาราม อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    09. วัดวังกุ่ม อ.เมือง จ.กาญจนบุรี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    10. วัดศรีนวรัฐ อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์
    คำนวณเวลาที่ยังเหลืออยู่ในชาตินี้ = 26 ปี 98 วัน
    I am willing to depart this life at the age of 75.
    ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,570 วันพุธ: ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ (6 November 2024) Photo Album Set 1/2 ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท 01. วัดภูมิขนุน อ.สังขะ จ.สุรินทร์ (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 02. วัดมงคลนิมิตร อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 03. วัดรังสิต อ.เมือง จ.ปทุมธานี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 04. วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) อ.เมือง จ.เชียงใหม่ (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 05. วัดไร่รถ อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 06. วัดลาดชะโด อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 07. วัดลำป่าสักมูล อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 08. วัดเลิศดุสิตาราม อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 09. วัดวังกุ่ม อ.เมือง จ.กาญจนบุรี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 10. วัดศรีนวรัฐ อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์ คำนวณเวลาที่ยังเหลืออยู่ในชาตินี้ = 26 ปี 98 วัน I am willing to depart this life at the age of 75.
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 706 Views 0 Reviews
  • ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,570
    วันพุธ: ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง
    วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ (6 November 2024)

    Photo Album Set 1/2
    ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท
    01. วัดภูมิขนุน อ.สังขะ จ.สุรินทร์
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    02. วัดมงคลนิมิตร อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    03. วัดรังสิต อ.เมือง จ.ปทุมธานี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    04. วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) อ.เมือง จ.เชียงใหม่
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    05. วัดไร่รถ อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    06. วัดลาดชะโด อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    07. วัดลำป่าสักมูล อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    08. วัดเลิศดุสิตาราม อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    09. วัดวังกุ่ม อ.เมือง จ.กาญจนบุรี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    10. วัดศรีนวรัฐ อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์
    คำนวณเวลาที่ยังเหลืออยู่ในชาตินี้ = 26 ปี 98 วัน
    I am willing to depart this life at the age of 75.
    ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,570 วันพุธ: ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ (6 November 2024) Photo Album Set 1/2 ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท 01. วัดภูมิขนุน อ.สังขะ จ.สุรินทร์ (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 02. วัดมงคลนิมิตร อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 03. วัดรังสิต อ.เมือง จ.ปทุมธานี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 04. วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) อ.เมือง จ.เชียงใหม่ (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 05. วัดไร่รถ อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 06. วัดลาดชะโด อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 07. วัดลำป่าสักมูล อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 08. วัดเลิศดุสิตาราม อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 09. วัดวังกุ่ม อ.เมือง จ.กาญจนบุรี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 10. วัดศรีนวรัฐ อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์ คำนวณเวลาที่ยังเหลืออยู่ในชาตินี้ = 26 ปี 98 วัน I am willing to depart this life at the age of 75.
    0 Comments 0 Shares 688 Views 0 Reviews
  • ถึงเวลารื้อถนนสายสุพรรณฯ

    เคยมีคำกล่าวว่า "ชีวิตไม่ได้ราบเรียบเหมือนถนนเส้นสุพรรณบุรี" เพราะย้อนกลับไปราว 30 ปีก่อน จังหวัดสุพรรณบุรีได้ชื่อว่าถนนดีที่สุดในประเทศไทย ถนนสายหลัก เช่น ถนนบางบัวทอง-สุพรรณบุรี ถนนสุพรรณบุรี-ชัยนาท ถนนมาลัยแมน เป็นถนนคอนกรีต 4 ช่องจราจร และถนนสายรองตามอำเภอต่างๆ ล้วนเป็นถนนลาดยาง ส่วนหนึ่งต้องยกให้เป็นผลงานของนายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 แต่เวลาผ่านไปกว่า 30 ปี ถนนที่เคยราบเรียบผ่านร้อนผ่านหนาว กระทั่งวันหนึ่งรับไม่ไหว

    แขวงทางหลวงสุพรรณบุรีที่ 1 กรมทางหลวง อธิบายว่า ถนนบางบัวทอง-สุพรรณบุรี เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2535 ปัจจุบันมีอายุ 33 ปี ผ่านสภาพอากาศและถูกน้ำท่วม ชั้นทางเสียหายอย่างหนัก ทำให้ผิวทางทรุดตัว ที่ผ่านมาพยายามซ่อมบำรุง ดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่ถนนถูกใช้งานมายาวนาน สภาพชำรุดเสียหายอย่างมาก อาจก่อให้เกิดอันตรายกับผู้ใช้เส้นทางได้ ประกอบกับปัญหาการจราจรติดขัดในช่วงเทศกาล ที่บริเวณคอขวดสะพานบางยี่หน อ.บางปลาม้า

    ในที่สุดสำนักก่อสร้างทางที่ 1 กรมทางหลวง จึงได้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนบางบัวทอง-สุพรรณบุรี ช่วงบ้านสาลี ถึงสุพรรณบุรี ระหว่างกิโลเมตรที่ 48+841 ถึงกิโลเมตรที่ 65+600 ระยะทาง 16.459 กิโลเมตร โดยรื้อถนนทำใหม่ตั้งแต่ชั้นโครงสร้างทาง พร้อมขยายสะพานบางยี่หน แบ่งออกเป็น 2 ตอน ผู้รับจ้างตอน 1 บริษัท เอส.เค.วาย. คอนสตรัคชั่น จำกัด ตอน 2 กิจการร่วมค้า ซีทีทีพีดี งบประมาณ 1,376.35 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 1,080 วัน คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน ก.ย. 2570

    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. 2567 เป็นต้นไป จะปิดการจราจรทีละฝั่งเป็นช่วงๆ แล้วเบี่ยงให้ไปวิ่งสวนทางกันอีกฝั่งหนึ่ง คาดว่าจะมีปัญหาการจราจรติดขัด โดยเฉพาะช่วงวันหยุด แขวงทางหลวงสุพรรณบุรีที่ 1 ได้แนะนำเส้นทางเลี่ยง 3 เส้นทาง ได้แก่ 1. ถนนพหลโยธิน ต่อด้วยถนนสายเอเชีย บางปะอิน-นครสวรรค์ ผ่านอยุธยา บางปะหัน ถึงทางแยกเข้าป่าโมก เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสุพรรณบุรี-ป่าโมก (ทางหลวงหมายเลข 33) เพื่อไปยังจังหวัดสุพรรณบุรี

    2. จากบางบัวทอง ไปตามถนนกาญจนาภิเษก ถึงทางแยกต่างระดับสามโคก จ.ปทุมธานี เลี้ยวซ้ายเข้าถนนปทุมธานี-สามโคก ผ่านเสนา ถึงแยกหน้าโคก อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสุพรรณบุรี-ป่าโมก เพื่อไปยังจังหวัดสุพรรณบุรี และ 3. ถนนบางบัวทอง-สุพรรณบุรี ถึงแยกลาดบัวหลวง เลี้ยวซ้ายเข้าถนนลาดบัวหลวง-สองพี่น้อง ข้ามสะพานแม่น้ำท่าจีน ถึงแยกบางสาม เลี้ยวขวาไปทาง อ.บางปลาม้า ถึงสามแยกเก้าห้องตรงไป ถึงถนนขุนช้าง เทศบาลเมืองสุพรรณบุรี

    #Newskit #สุพรรณบุรี #ถนนสาย340
    ถึงเวลารื้อถนนสายสุพรรณฯ เคยมีคำกล่าวว่า "ชีวิตไม่ได้ราบเรียบเหมือนถนนเส้นสุพรรณบุรี" เพราะย้อนกลับไปราว 30 ปีก่อน จังหวัดสุพรรณบุรีได้ชื่อว่าถนนดีที่สุดในประเทศไทย ถนนสายหลัก เช่น ถนนบางบัวทอง-สุพรรณบุรี ถนนสุพรรณบุรี-ชัยนาท ถนนมาลัยแมน เป็นถนนคอนกรีต 4 ช่องจราจร และถนนสายรองตามอำเภอต่างๆ ล้วนเป็นถนนลาดยาง ส่วนหนึ่งต้องยกให้เป็นผลงานของนายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 แต่เวลาผ่านไปกว่า 30 ปี ถนนที่เคยราบเรียบผ่านร้อนผ่านหนาว กระทั่งวันหนึ่งรับไม่ไหว แขวงทางหลวงสุพรรณบุรีที่ 1 กรมทางหลวง อธิบายว่า ถนนบางบัวทอง-สุพรรณบุรี เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2535 ปัจจุบันมีอายุ 33 ปี ผ่านสภาพอากาศและถูกน้ำท่วม ชั้นทางเสียหายอย่างหนัก ทำให้ผิวทางทรุดตัว ที่ผ่านมาพยายามซ่อมบำรุง ดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่ถนนถูกใช้งานมายาวนาน สภาพชำรุดเสียหายอย่างมาก อาจก่อให้เกิดอันตรายกับผู้ใช้เส้นทางได้ ประกอบกับปัญหาการจราจรติดขัดในช่วงเทศกาล ที่บริเวณคอขวดสะพานบางยี่หน อ.บางปลาม้า ในที่สุดสำนักก่อสร้างทางที่ 1 กรมทางหลวง จึงได้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนบางบัวทอง-สุพรรณบุรี ช่วงบ้านสาลี ถึงสุพรรณบุรี ระหว่างกิโลเมตรที่ 48+841 ถึงกิโลเมตรที่ 65+600 ระยะทาง 16.459 กิโลเมตร โดยรื้อถนนทำใหม่ตั้งแต่ชั้นโครงสร้างทาง พร้อมขยายสะพานบางยี่หน แบ่งออกเป็น 2 ตอน ผู้รับจ้างตอน 1 บริษัท เอส.เค.วาย. คอนสตรัคชั่น จำกัด ตอน 2 กิจการร่วมค้า ซีทีทีพีดี งบประมาณ 1,376.35 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 1,080 วัน คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน ก.ย. 2570 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. 2567 เป็นต้นไป จะปิดการจราจรทีละฝั่งเป็นช่วงๆ แล้วเบี่ยงให้ไปวิ่งสวนทางกันอีกฝั่งหนึ่ง คาดว่าจะมีปัญหาการจราจรติดขัด โดยเฉพาะช่วงวันหยุด แขวงทางหลวงสุพรรณบุรีที่ 1 ได้แนะนำเส้นทางเลี่ยง 3 เส้นทาง ได้แก่ 1. ถนนพหลโยธิน ต่อด้วยถนนสายเอเชีย บางปะอิน-นครสวรรค์ ผ่านอยุธยา บางปะหัน ถึงทางแยกเข้าป่าโมก เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสุพรรณบุรี-ป่าโมก (ทางหลวงหมายเลข 33) เพื่อไปยังจังหวัดสุพรรณบุรี 2. จากบางบัวทอง ไปตามถนนกาญจนาภิเษก ถึงทางแยกต่างระดับสามโคก จ.ปทุมธานี เลี้ยวซ้ายเข้าถนนปทุมธานี-สามโคก ผ่านเสนา ถึงแยกหน้าโคก อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสุพรรณบุรี-ป่าโมก เพื่อไปยังจังหวัดสุพรรณบุรี และ 3. ถนนบางบัวทอง-สุพรรณบุรี ถึงแยกลาดบัวหลวง เลี้ยวซ้ายเข้าถนนลาดบัวหลวง-สองพี่น้อง ข้ามสะพานแม่น้ำท่าจีน ถึงแยกบางสาม เลี้ยวขวาไปทาง อ.บางปลาม้า ถึงสามแยกเก้าห้องตรงไป ถึงถนนขุนช้าง เทศบาลเมืองสุพรรณบุรี #Newskit #สุพรรณบุรี #ถนนสาย340
    Like
    Yay
    6
    1 Comments 0 Shares 733 Views 0 Reviews
  • สถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา วันที่ 6 ตุลาคม 2567 เวลา 18.00 น.

    ปริมาณน้ำไหลผ่าน C.2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์ 2,379 ลบ.ม./วินาที
    -4 ลบ.ม./วินาที จาก 6 ต.ค.6 เวลา 12.00 น.

    ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท 2,199 ลบ.ม./วินาที
    ทรงตัว จาก 6 ต.ค.67 เวลา 12.00 น. (2,199 ลบ.ม./วินาที)

    จะส่งผลกระทบในพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองโผงเผง คลองบางบาล แม่น้ำน้อย และพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ บริเวณ
    จ.ชัยนาท อ.สรรพยา และ วัดสิงห์ (ต.โพนางดำตก)
    จ.สิงห์บุรี อ.เมือง พรหมบุรี และ อินทร์บุรี (วัดสิงห์ วัดเสือข้าม)
    จ.อ่างทอง อ.ป่าโมก และ อ.ไชโย (วัดไชโย)
    จ. พระนครศรีอยุธยา อ.พระนครศรีอยุธยา บางบาล ผักไห่ (ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง) และ เสนา (ต.หัวเวียง )
    จ.ปทุมธานี อ.เมือง (ต.บางปรก บ้านฉาง บางหลวง บางเดื่อ บางคูวัด บ้านใหม่ บ้านกลาง บ้านกระแชง บางกะดี และบางขะแยง) และ สามโคก (ต.เชียงรากใหญ่ บ้านงิ้ว บ้านปทุม และเชียงรากน้อย)
    จ.นนทบุรี อ.ปากเกร็ด (ต.ท่าอิฐ ) เมืองฯ (ต.ไทรม้า ต.บางไผ่)

    ข้อมูล : ศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ (สทนช.)

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/Da61HEKy3iJutWju/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    สถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา วันที่ 6 ตุลาคม 2567 เวลา 18.00 น. ▪️ ปริมาณน้ำไหลผ่าน C.2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์ 2,379 ลบ.ม./วินาที -4 ลบ.ม./วินาที จาก 6 ต.ค.6 เวลา 12.00 น. ▪️ ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท 2,199 ลบ.ม./วินาที ทรงตัว จาก 6 ต.ค.67 เวลา 12.00 น. (2,199 ลบ.ม./วินาที) จะส่งผลกระทบในพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองโผงเผง คลองบางบาล แม่น้ำน้อย และพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ บริเวณ ▫️ จ.ชัยนาท อ.สรรพยา และ วัดสิงห์ (ต.โพนางดำตก) ▫️ จ.สิงห์บุรี อ.เมือง พรหมบุรี และ อินทร์บุรี (วัดสิงห์ วัดเสือข้าม) ▫️ จ.อ่างทอง อ.ป่าโมก และ อ.ไชโย (วัดไชโย) ▫️ จ. พระนครศรีอยุธยา อ.พระนครศรีอยุธยา บางบาล ผักไห่ (ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง) และ เสนา (ต.หัวเวียง ) ▫️ จ.ปทุมธานี อ.เมือง (ต.บางปรก บ้านฉาง บางหลวง บางเดื่อ บางคูวัด บ้านใหม่ บ้านกลาง บ้านกระแชง บางกะดี และบางขะแยง) และ สามโคก (ต.เชียงรากใหญ่ บ้านงิ้ว บ้านปทุม และเชียงรากน้อย) ▫️ จ.นนทบุรี อ.ปากเกร็ด (ต.ท่าอิฐ ) เมืองฯ (ต.ไทรม้า ต.บางไผ่) ข้อมูล : ศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/Da61HEKy3iJutWju/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 868 Views 0 Reviews
  • กรมชลประทานเตือน 11 จังหวัดลุ่มเจ้าพระยาเตรียมรับสถานการณ์น้ำ หลังปริมาณน้ำเหนือที่ไหลลงลุ่มเจ้าพระยามีปริมาณเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ต้องปรับเพิ่มระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาอีกระลอก จาก 1,500 เป็น 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระดับน้ำท้ายเขื่อนจะสูงขึ้นอีก 1.50 เมตร กระทบพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ

    26 กันยายน 2567- รายงานข่าวผู้จัดการออนไลน์ระบุว่า นายเดช เล็กวิชัย รองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมชลประทาน ออกหนังสือแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำลุ่มเจ้าพระยา ฉบับที่ 9 ลงวันที่ 25 กันยายน 2567 ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด 11 จังหวัดลุ่มเจ้าพระยา ได้แก่ จังหวัดอุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร ให้เตรียมรับสถานการณ์น้ำ และประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อย ให้เฝ้าระวังระดับน้ำสูงขึ้น และติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด

    เนื่องจากปริมาณน้ำในพื้นที่ทางตอนบนที่ไหลลงลุ่มเจ้าพระยามีปริมาณเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยกรมชลประทานคาดการณ์ว่า ใน 1-7 วันข้างหน้า ในวันที่ 28 กันยายน 2567 จะมีปริมาณน้ำไหลผ่านสถานีวัดน้ำ C2 จ.นครสวรรค์ ประมาณ 2,000-2,100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที รวมกับปริมาณน้ำ Sideflow ประมาณ 150 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และน้ำจากแม่น้ำสะแกกรัง 100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

    จะทำให้ปริมาณน้ำที่เหนือเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ยกตัวสูงขึ้นมีปริมาณ 2,350 ลูกบาศก์เมตรวินาที จึงมีความจำเป็นต้องระบายน้ำผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นในอัตราไม่เกิน 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยจะมีการระบายเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันได ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนในพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ คลองโผงเผง จังหวัดอ่างทอง คลองบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และตำบลหัวเวียง อำเภอเสนา ตำบลลาดชิด ตำบลท่าดินแดง อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีระดับน้ำสูงขึ้นจากเดิมอีก 1 เมตร ถึง 1.50 เมตร และอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชน

    สำหรับสถานการณ์น้ำเขื่อนเจ้าพระยา วันนี้ เมื่อเวลา 06.00 น. ปริมาณน้ำไหลผ่านสถานีวัดน้ำ C2 จ.นครสวรรค์ 1,846 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 95 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที น้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาที่ จ.ชัยนาท มีปริมาณ 1,976 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที น้ำระบายท้ายเขื่อน 1,498 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระดับน้ำเหนือเขื่อนที่ อ.เมืองชัยนาท สูงขึ้นจากเมื่อวาน 22 เซนติเมตร อยู่ที่ระดับ 16.63 เมตร(รทก) ระดับน้ำท้ายเขื่อน ที่ อ.สรรพยา สูงขึ้นจากเมื่อวาน 72 เซนติเมตร อยู่ที่ระดับ 12.82 เมตร(รทก) ต่ำกว่าตลิ่ง 3.52 เมตร

    ที่มา https://mgronline.com/local/detail/9670000090419?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR2hmO9YVc6I4FiREnxOwnu7nxk9Np7TEoraa3ZmNf8t5So9DHNnOJRiKDc_aem_1j7Z3amKzwY5KhzYdXgZmQ#m1jac2ecpip0z6v17x

    #Thaitimes
    กรมชลประทานเตือน 11 จังหวัดลุ่มเจ้าพระยาเตรียมรับสถานการณ์น้ำ หลังปริมาณน้ำเหนือที่ไหลลงลุ่มเจ้าพระยามีปริมาณเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ต้องปรับเพิ่มระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาอีกระลอก จาก 1,500 เป็น 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระดับน้ำท้ายเขื่อนจะสูงขึ้นอีก 1.50 เมตร กระทบพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ 26 กันยายน 2567- รายงานข่าวผู้จัดการออนไลน์ระบุว่า นายเดช เล็กวิชัย รองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมชลประทาน ออกหนังสือแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำลุ่มเจ้าพระยา ฉบับที่ 9 ลงวันที่ 25 กันยายน 2567 ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด 11 จังหวัดลุ่มเจ้าพระยา ได้แก่ จังหวัดอุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร ให้เตรียมรับสถานการณ์น้ำ และประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อย ให้เฝ้าระวังระดับน้ำสูงขึ้น และติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด เนื่องจากปริมาณน้ำในพื้นที่ทางตอนบนที่ไหลลงลุ่มเจ้าพระยามีปริมาณเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยกรมชลประทานคาดการณ์ว่า ใน 1-7 วันข้างหน้า ในวันที่ 28 กันยายน 2567 จะมีปริมาณน้ำไหลผ่านสถานีวัดน้ำ C2 จ.นครสวรรค์ ประมาณ 2,000-2,100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที รวมกับปริมาณน้ำ Sideflow ประมาณ 150 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และน้ำจากแม่น้ำสะแกกรัง 100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จะทำให้ปริมาณน้ำที่เหนือเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ยกตัวสูงขึ้นมีปริมาณ 2,350 ลูกบาศก์เมตรวินาที จึงมีความจำเป็นต้องระบายน้ำผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นในอัตราไม่เกิน 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยจะมีการระบายเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันได ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนในพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ คลองโผงเผง จังหวัดอ่างทอง คลองบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และตำบลหัวเวียง อำเภอเสนา ตำบลลาดชิด ตำบลท่าดินแดง อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีระดับน้ำสูงขึ้นจากเดิมอีก 1 เมตร ถึง 1.50 เมตร และอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชน สำหรับสถานการณ์น้ำเขื่อนเจ้าพระยา วันนี้ เมื่อเวลา 06.00 น. ปริมาณน้ำไหลผ่านสถานีวัดน้ำ C2 จ.นครสวรรค์ 1,846 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 95 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที น้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาที่ จ.ชัยนาท มีปริมาณ 1,976 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที น้ำระบายท้ายเขื่อน 1,498 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระดับน้ำเหนือเขื่อนที่ อ.เมืองชัยนาท สูงขึ้นจากเมื่อวาน 22 เซนติเมตร อยู่ที่ระดับ 16.63 เมตร(รทก) ระดับน้ำท้ายเขื่อน ที่ อ.สรรพยา สูงขึ้นจากเมื่อวาน 72 เซนติเมตร อยู่ที่ระดับ 12.82 เมตร(รทก) ต่ำกว่าตลิ่ง 3.52 เมตร ที่มา https://mgronline.com/local/detail/9670000090419?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR2hmO9YVc6I4FiREnxOwnu7nxk9Np7TEoraa3ZmNf8t5So9DHNnOJRiKDc_aem_1j7Z3amKzwY5KhzYdXgZmQ#m1jac2ecpip0z6v17x #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 1238 Views 0 Reviews