• แม้ว่า Redline และ Meta Stealer จะถูกปราบปราม แต่ตลาด Infostealer malware ยังคงเติบโต โดยขโมยข้อมูลไปกว่า 2.1 พันล้านรายการในปี 2024 มัลแวร์เหล่านี้มีต้นทุนต่ำและเข้าถึงง่าย ทำให้กลุ่มอาชญากรใช้โจมตีองค์กรอย่างต่อเนื่อง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการใช้ MFA, EDR และการฝึกอบรมพนักงานเพื่อลดความเสี่ยง

    ขนาดความเสียหายจาก Infostealers
    - ในปี 2024 มัลแวร์ประเภทนี้ขโมยข้อมูลไปกว่า 2.1 พันล้านรายการ คิดเป็น 75% ของข้อมูลที่ถูกขโมยทั้งหมด
    - สายพันธุ์ที่เป็นอันตรายเช่น RisePro, StealC และ Lumma มีผลต่ออุปกรณ์และเซิร์ฟเวอร์กว่า 23 ล้านเครื่อง

    การพัฒนาอย่างรวดเร็วของมัลแวร์
    - เมื่อ Google Chrome เพิ่มมาตรการป้องกัน cookie encryption ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว Lumma, Vidar และ Meduza สามารถอัปเดตโค้ดภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อรับมือ
    - กลุ่มแฮกเกอร์พัฒนามัลแวร์แบบต่อเนื่อง คล้ายกับทีมพัฒนาแอปพลิเคชัน

    ต้นทุนที่ต่ำและการเข้าถึงง่าย
    - Infostealers มีค่าใช้จ่ายเพียง $200 ต่อเดือน ทำให้กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับอาชญากรไซเบอร์
    - มีมัลแวร์ 24 สายพันธุ์ จำหน่ายในตลาดมืด โดยสามารถซื้อขายผ่าน Telegram และแพลตฟอร์มอื่น ๆ

    Infostealers กับ Ransomware
    - มัลแวร์ประเภทนี้มักถูกใช้ร่วมกับ RATs (Remote Access Trojans) ซึ่งช่วยให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมระบบจากระยะไกล
    - กลุ่มแฮกเกอร์ Hellcat ใช้ Infostealer โจมตี Telefonica ในเดือนมกราคม โดยขโมยข้อมูลพนักงาน 24,000 คน และเอกสารภายใน 5,000 ชุด

    == แนวทางรับมือสำหรับองค์กร ==
    - ใช้ Multi-Factor Authentication (MFA) และ Least Privilege Access เพื่อป้องกันการบุกรุก
    - ใช้ Endpoint Detection and Response (EDR) และระบบ Anti-malware เพื่อตรวจจับและกักกันมัลแวร์
    - อัปเดตระบบและแพตช์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อปิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้ในการเจาะระบบ
    - ฝึกอบรมพนักงานให้สามารถระบุ Phishing และ Malvertising เพื่อป้องกันการหลอกลวง

    https://www.csoonline.com/article/3951147/infostealer-malware-poses-potent-threat-despite-recent-takedowns.html
    แม้ว่า Redline และ Meta Stealer จะถูกปราบปราม แต่ตลาด Infostealer malware ยังคงเติบโต โดยขโมยข้อมูลไปกว่า 2.1 พันล้านรายการในปี 2024 มัลแวร์เหล่านี้มีต้นทุนต่ำและเข้าถึงง่าย ทำให้กลุ่มอาชญากรใช้โจมตีองค์กรอย่างต่อเนื่อง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการใช้ MFA, EDR และการฝึกอบรมพนักงานเพื่อลดความเสี่ยง ขนาดความเสียหายจาก Infostealers - ในปี 2024 มัลแวร์ประเภทนี้ขโมยข้อมูลไปกว่า 2.1 พันล้านรายการ คิดเป็น 75% ของข้อมูลที่ถูกขโมยทั้งหมด - สายพันธุ์ที่เป็นอันตรายเช่น RisePro, StealC และ Lumma มีผลต่ออุปกรณ์และเซิร์ฟเวอร์กว่า 23 ล้านเครื่อง การพัฒนาอย่างรวดเร็วของมัลแวร์ - เมื่อ Google Chrome เพิ่มมาตรการป้องกัน cookie encryption ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว Lumma, Vidar และ Meduza สามารถอัปเดตโค้ดภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อรับมือ - กลุ่มแฮกเกอร์พัฒนามัลแวร์แบบต่อเนื่อง คล้ายกับทีมพัฒนาแอปพลิเคชัน ต้นทุนที่ต่ำและการเข้าถึงง่าย - Infostealers มีค่าใช้จ่ายเพียง $200 ต่อเดือน ทำให้กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับอาชญากรไซเบอร์ - มีมัลแวร์ 24 สายพันธุ์ จำหน่ายในตลาดมืด โดยสามารถซื้อขายผ่าน Telegram และแพลตฟอร์มอื่น ๆ Infostealers กับ Ransomware - มัลแวร์ประเภทนี้มักถูกใช้ร่วมกับ RATs (Remote Access Trojans) ซึ่งช่วยให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมระบบจากระยะไกล - กลุ่มแฮกเกอร์ Hellcat ใช้ Infostealer โจมตี Telefonica ในเดือนมกราคม โดยขโมยข้อมูลพนักงาน 24,000 คน และเอกสารภายใน 5,000 ชุด == แนวทางรับมือสำหรับองค์กร == - ใช้ Multi-Factor Authentication (MFA) และ Least Privilege Access เพื่อป้องกันการบุกรุก - ใช้ Endpoint Detection and Response (EDR) และระบบ Anti-malware เพื่อตรวจจับและกักกันมัลแวร์ - อัปเดตระบบและแพตช์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อปิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้ในการเจาะระบบ - ฝึกอบรมพนักงานให้สามารถระบุ Phishing และ Malvertising เพื่อป้องกันการหลอกลวง https://www.csoonline.com/article/3951147/infostealer-malware-poses-potent-threat-despite-recent-takedowns.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Infostealer malware poses potent threat despite recent takedowns
    Law enforcement action has failed to dent the impact of infostealer malware, a potent and growing threat to enterprise security.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • Plugable เปิดตัวอะแดปเตอร์ USB-C ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้เชื่อมต่อจอ 4K ได้สูงสุด 4 จอ และรองรับจอเสมือน 8K ผ่าน DisplayLink DL-7400 อุปกรณ์นี้สามารถจ่ายไฟให้เครื่องถึง 90W และช่วยขยายการใช้งานจอภาพสำหรับทั้ง Windows และ Mac โดยเฉพาะ MacBook M4 ที่มีข้อจำกัดด้านการเชื่อมต่อจอหลายจอ

    รองรับจอเสมือน 8K ผ่าน USB-C
    - นอกจากจอ 4K ได้สูงสุด 4 จอ อะแดปเตอร์ยังสามารถสร้าง จอเสมือน 8K เพื่อเพิ่มพื้นที่ทำงานให้กับผู้ใช้ที่ต้องการความละเอียดสูง

    เทคโนโลยีการจ่ายไฟแบบ Pass-Through
    - รองรับ Power Delivery สูงสุด 100W และสามารถ จ่ายไฟให้กับเครื่องในระดับ 90W โดยไม่ต้องใช้อะแดปเตอร์แยก

    เหนือกว่าคู่แข่งในตลาด
    - อะแดปเตอร์ส่วนใหญ่รองรับเพียง 1080p หรือจอภาพจำนวนจำกัด ขณะที่ USBC-7400H4 ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ ขยายพื้นที่หน้าจอเกินกว่าที่แล็ปท็อปทั่วไปรองรับ

    ราคาและการวางจำหน่าย
    - วางจำหน่ายแล้วบน Plugable และ Amazon ในราคา $124.95 พร้อมส่วนลดเปิดตัว 10%

    https://www.techradar.com/pro/i-cant-believe-you-can-connect-up-to-four-4k-monitors-to-almost-any-laptop-and-it-is-even-compatible-with-mac
    Plugable เปิดตัวอะแดปเตอร์ USB-C ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้เชื่อมต่อจอ 4K ได้สูงสุด 4 จอ และรองรับจอเสมือน 8K ผ่าน DisplayLink DL-7400 อุปกรณ์นี้สามารถจ่ายไฟให้เครื่องถึง 90W และช่วยขยายการใช้งานจอภาพสำหรับทั้ง Windows และ Mac โดยเฉพาะ MacBook M4 ที่มีข้อจำกัดด้านการเชื่อมต่อจอหลายจอ รองรับจอเสมือน 8K ผ่าน USB-C - นอกจากจอ 4K ได้สูงสุด 4 จอ อะแดปเตอร์ยังสามารถสร้าง จอเสมือน 8K เพื่อเพิ่มพื้นที่ทำงานให้กับผู้ใช้ที่ต้องการความละเอียดสูง เทคโนโลยีการจ่ายไฟแบบ Pass-Through - รองรับ Power Delivery สูงสุด 100W และสามารถ จ่ายไฟให้กับเครื่องในระดับ 90W โดยไม่ต้องใช้อะแดปเตอร์แยก เหนือกว่าคู่แข่งในตลาด - อะแดปเตอร์ส่วนใหญ่รองรับเพียง 1080p หรือจอภาพจำนวนจำกัด ขณะที่ USBC-7400H4 ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ ขยายพื้นที่หน้าจอเกินกว่าที่แล็ปท็อปทั่วไปรองรับ ราคาและการวางจำหน่าย - วางจำหน่ายแล้วบน Plugable และ Amazon ในราคา $124.95 พร้อมส่วนลดเปิดตัว 10% https://www.techradar.com/pro/i-cant-believe-you-can-connect-up-to-four-4k-monitors-to-almost-any-laptop-and-it-is-even-compatible-with-mac
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Beijing Betavolt New Energy Technology ได้เปิดตัวแบตเตอรี่ BV100 ซึ่งเป็นนวัตกรรมแบตเตอรี่พลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็กเท่ากับเหรียญ โดยใช้ นิกเกิล-63 เป็นแหล่งพลังงานและมีอายุการใช้งาน ยาวนานถึง 50 ปี โดยไม่ต้องชาร์จหรือบำรุงรักษา ความก้าวหน้าครั้งนี้ช่วยให้ Betavolt กลายเป็นผู้นำในตลาดแบตเตอรี่นิวเคลียร์ ซึ่งกำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดในจีน สหรัฐฯ และยุโรป

    เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์เพชรรุ่นที่สี่
    - BV100 เป็นแบตเตอรี่นิวเคลียร์ตัวแรกที่ใช้ เซมิคอนดักเตอร์เพชรสองชั้น ซึ่งช่วยแปลงพลังงานจากการสลายตัวของนิกเกิล-63 ให้เป็นไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    คุณสมบัติที่โดดเด่นเหนือแบตเตอรี่ทั่วไป
    - ความหนาแน่นพลังงานมากกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 10 เท่า
    - ทนต่ออุณหภูมิสุดขั้ว ตั้งแต่ -60°C ถึง +120°C
    - ไม่เสี่ยงต่อการลุกไหม้หรือระเบิด เช่นเดียวกับแบตเตอรี่เคมี

    การใช้งานและแผนพัฒนาในอนาคต
    - ปัจจุบัน BV100 มีพลังงานที่ 100 ไมโรวัตต์ที่ 3 โวลต์ ซึ่งยังไม่เพียงพอสำหรับสมาร์ทโฟนหรือแล็ปท็อป แต่บริษัทมีแผนเปิดตัวแบตเตอรี่รุ่น 1 วัตต์ ภายในปีนี้เพื่อรองรับอุปกรณ์ขนาดใหญ่ขึ้น เช่น โดรนที่บินได้ต่อเนื่องโดยไม่ต้องชาร์จ

    ความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรม
    - Betavolt กำลังจดสิทธิบัตรและขยายการพัฒนานานาชาติ ซึ่งรวมถึงการใช้งานใน อุปกรณ์การแพทย์, หุ่นยนต์ขนาดเล็ก, AI และอุตสาหกรรมอวกาศ
    - บริษัทคู่แข่งอย่าง City Labs (สหรัฐฯ) และ Arkenlight (อังกฤษ) ก็กำลังพัฒนาเทคโนโลยีคล้ายกัน

    https://www.techspot.com/news/107357-coin-sized-nuclear-3v-battery-50-year-lifespan.html
    บริษัท Beijing Betavolt New Energy Technology ได้เปิดตัวแบตเตอรี่ BV100 ซึ่งเป็นนวัตกรรมแบตเตอรี่พลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็กเท่ากับเหรียญ โดยใช้ นิกเกิล-63 เป็นแหล่งพลังงานและมีอายุการใช้งาน ยาวนานถึง 50 ปี โดยไม่ต้องชาร์จหรือบำรุงรักษา ความก้าวหน้าครั้งนี้ช่วยให้ Betavolt กลายเป็นผู้นำในตลาดแบตเตอรี่นิวเคลียร์ ซึ่งกำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดในจีน สหรัฐฯ และยุโรป เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์เพชรรุ่นที่สี่ - BV100 เป็นแบตเตอรี่นิวเคลียร์ตัวแรกที่ใช้ เซมิคอนดักเตอร์เพชรสองชั้น ซึ่งช่วยแปลงพลังงานจากการสลายตัวของนิกเกิล-63 ให้เป็นไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณสมบัติที่โดดเด่นเหนือแบตเตอรี่ทั่วไป - ความหนาแน่นพลังงานมากกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 10 เท่า - ทนต่ออุณหภูมิสุดขั้ว ตั้งแต่ -60°C ถึง +120°C - ไม่เสี่ยงต่อการลุกไหม้หรือระเบิด เช่นเดียวกับแบตเตอรี่เคมี การใช้งานและแผนพัฒนาในอนาคต - ปัจจุบัน BV100 มีพลังงานที่ 100 ไมโรวัตต์ที่ 3 โวลต์ ซึ่งยังไม่เพียงพอสำหรับสมาร์ทโฟนหรือแล็ปท็อป แต่บริษัทมีแผนเปิดตัวแบตเตอรี่รุ่น 1 วัตต์ ภายในปีนี้เพื่อรองรับอุปกรณ์ขนาดใหญ่ขึ้น เช่น โดรนที่บินได้ต่อเนื่องโดยไม่ต้องชาร์จ ความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรม - Betavolt กำลังจดสิทธิบัตรและขยายการพัฒนานานาชาติ ซึ่งรวมถึงการใช้งานใน อุปกรณ์การแพทย์, หุ่นยนต์ขนาดเล็ก, AI และอุตสาหกรรมอวกาศ - บริษัทคู่แข่งอย่าง City Labs (สหรัฐฯ) และ Arkenlight (อังกฤษ) ก็กำลังพัฒนาเทคโนโลยีคล้ายกัน https://www.techspot.com/news/107357-coin-sized-nuclear-3v-battery-50-year-lifespan.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Coin-sized nuclear 3V battery with 50-year lifespan enters mass production
    Energy storage technology has reached a transformative milestone as the BV100, a miniature atomic energy battery, enters mass production. Popular Mechanic notes that the coin-sized cell from...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon Photos เพิ่มฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้ระบุและค้นหาสินค้าในรูปภาพผ่าน AI เพียงแตะที่ไอคอน Lens ระบบจะสแกนภาพและแสดงรายการสินค้าที่ตรงกัน แม้ว่าบางคนจะมองว่าเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้การช้อปปิ้งสะดวกขึ้น แต่บางคนกังวลว่าอาจเป็นการเปลี่ยนคลังรูปภาพของผู้ใช้ให้กลายเป็นโฆษณาแฝง

    บทบาทของ Panos Panay ในการพัฒนา
    - อดีตผู้บริหารของ Microsoft Panos Panay ซึ่งปัจจุบันเป็นรองประธานฝ่ายอุปกรณ์และบริการของ Amazon ได้ประกาศฟีเจอร์นี้ผ่าน Threads พร้อมสาธิตการใช้งาน

    การเชื่อมต่อ AI กับการค้นหาสินค้า
    - ฟีเจอร์นี้เริ่มต้นจากการค้นหาด้วยคำถามแบบภาษาธรรมชาติ เช่น "Max playing with robot dog" ระบบจะดึงภาพที่ตรงกับคำค้นหาและแสดงสินค้าในภาพที่สามารถซื้อได้

    มุมมองที่หลากหลายจากผู้ใช้
    - มีความเห็นจากผู้ใช้ทั้งด้านบวกและลบ บางคนมองว่าฟีเจอร์นี้ช่วยให้ค้นหาสินค้าได้ง่ายขึ้น ขณะที่บางคนกังวลว่าอาจเป็นเพียงการเปลี่ยนภาพถ่ายของผู้ใช้ให้กลายเป็นโฆษณาแฝง

    ความคลุมเครือเรื่องการตั้งค่า
    - Amazon ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าการปิดฟีเจอร์ Tag Photos จะหยุดการทำงานของระบบค้นหาสินค้าหรือไม่

    https://www.techspot.com/news/107352-amazon-photos-app-can-now-identify-products-images.html
    Amazon Photos เพิ่มฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้ระบุและค้นหาสินค้าในรูปภาพผ่าน AI เพียงแตะที่ไอคอน Lens ระบบจะสแกนภาพและแสดงรายการสินค้าที่ตรงกัน แม้ว่าบางคนจะมองว่าเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้การช้อปปิ้งสะดวกขึ้น แต่บางคนกังวลว่าอาจเป็นการเปลี่ยนคลังรูปภาพของผู้ใช้ให้กลายเป็นโฆษณาแฝง บทบาทของ Panos Panay ในการพัฒนา - อดีตผู้บริหารของ Microsoft Panos Panay ซึ่งปัจจุบันเป็นรองประธานฝ่ายอุปกรณ์และบริการของ Amazon ได้ประกาศฟีเจอร์นี้ผ่าน Threads พร้อมสาธิตการใช้งาน การเชื่อมต่อ AI กับการค้นหาสินค้า - ฟีเจอร์นี้เริ่มต้นจากการค้นหาด้วยคำถามแบบภาษาธรรมชาติ เช่น "Max playing with robot dog" ระบบจะดึงภาพที่ตรงกับคำค้นหาและแสดงสินค้าในภาพที่สามารถซื้อได้ มุมมองที่หลากหลายจากผู้ใช้ - มีความเห็นจากผู้ใช้ทั้งด้านบวกและลบ บางคนมองว่าฟีเจอร์นี้ช่วยให้ค้นหาสินค้าได้ง่ายขึ้น ขณะที่บางคนกังวลว่าอาจเป็นเพียงการเปลี่ยนภาพถ่ายของผู้ใช้ให้กลายเป็นโฆษณาแฝง ความคลุมเครือเรื่องการตั้งค่า - Amazon ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าการปิดฟีเจอร์ Tag Photos จะหยุดการทำงานของระบบค้นหาสินค้าหรือไม่ https://www.techspot.com/news/107352-amazon-photos-app-can-now-identify-products-images.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Amazon Photos app can now identify products in your images and link to store pages
    Former Microsoft executive Panos Panay, now senior vice president of Amazon's Devices and Services division, announced the update to Amazon Photos on Threads.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานของ Cisco พบว่าอุปกรณ์เครือข่ายเก่าที่ไม่ได้รับการอัปเดตกลายเป็นเป้าหมายหลักของนักโจมตีไซเบอร์ ซึ่งอาจถูกใช้ในการโจมตีแบบ DDoS และการบุกรุกระบบที่สำคัญ ช่องโหว่บางตัวมีอายุถึง 10 ปีและยังคงถูกใช้โจมตี องค์กรควรเร่งเปลี่ยนอุปกรณ์ที่หมดอายุเพื่อปิดช่องโหว่และรักษาความปลอดภัยเครือข่ายของตนเอง

    ช่องโหว่ที่ได้รับการโจมตีมากที่สุด:
    - ช่องโหว่หลัก ได้แก่ CVE-2024-3273 และ CVE-2024-3272 ในอุปกรณ์ Network-Attached Storage (NAS) ของ D-Link รวมถึง CVE-2024-24919 ที่พบใน Check Point Quantum Security Gateways ช่องโหว่เหล่านี้ถูกใช้ในการโจมตีมากกว่าครึ่งของทั้งหมดในปีที่ผ่านมา.

    การใช้งานบอทเน็ตในการเจาะระบบ:
    - กลุ่มบอทเน็ตเช่น Mirai และ Gafgyt ใช้ช่องโหว่เหล่านี้ในการเข้าควบคุมอุปกรณ์เครือข่ายและสั่งให้ดำเนินการโจมตีแบบ Distributed Denial-of-Service (DDoS) ซึ่งอาจทำให้เครือข่ายองค์กรล่มหรือถูกบุกรุก.

    ปัญหาการละเลยการอัปเดตซอฟต์แวร์:
    - รายงานพบว่า ช่องโหว่หลายตัวที่ยังถูกใช้งานในการโจมตีถูกค้นพบเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว เช่น กลุ่มช่องโหว่ Log4j2 (2021) และ ShellShock (2014) ยังคงเป็นเป้าหมายของการบุกรุก เพราะมีการใช้งานอยู่ในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น เซิร์ฟเวอร์และ IoT.

    มาตรการป้องกันที่แนะนำ:
    - Cisco แนะนำให้องค์กรเร่งอัปเดตระบบและเปลี่ยนอุปกรณ์ที่หมดอายุ รวมถึงการตั้งค่าความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น Multi-Factor Authentication (MFA) และ Network Segmentation เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจลุกลามไปทั่วทั้งระบบ.

    https://www.csoonline.com/article/3951165/volume-of-attacks-on-network-devices-shows-need-to-replace-end-of-life-devices-quickly.html
    รายงานของ Cisco พบว่าอุปกรณ์เครือข่ายเก่าที่ไม่ได้รับการอัปเดตกลายเป็นเป้าหมายหลักของนักโจมตีไซเบอร์ ซึ่งอาจถูกใช้ในการโจมตีแบบ DDoS และการบุกรุกระบบที่สำคัญ ช่องโหว่บางตัวมีอายุถึง 10 ปีและยังคงถูกใช้โจมตี องค์กรควรเร่งเปลี่ยนอุปกรณ์ที่หมดอายุเพื่อปิดช่องโหว่และรักษาความปลอดภัยเครือข่ายของตนเอง ช่องโหว่ที่ได้รับการโจมตีมากที่สุด: - ช่องโหว่หลัก ได้แก่ CVE-2024-3273 และ CVE-2024-3272 ในอุปกรณ์ Network-Attached Storage (NAS) ของ D-Link รวมถึง CVE-2024-24919 ที่พบใน Check Point Quantum Security Gateways ช่องโหว่เหล่านี้ถูกใช้ในการโจมตีมากกว่าครึ่งของทั้งหมดในปีที่ผ่านมา. การใช้งานบอทเน็ตในการเจาะระบบ: - กลุ่มบอทเน็ตเช่น Mirai และ Gafgyt ใช้ช่องโหว่เหล่านี้ในการเข้าควบคุมอุปกรณ์เครือข่ายและสั่งให้ดำเนินการโจมตีแบบ Distributed Denial-of-Service (DDoS) ซึ่งอาจทำให้เครือข่ายองค์กรล่มหรือถูกบุกรุก. ปัญหาการละเลยการอัปเดตซอฟต์แวร์: - รายงานพบว่า ช่องโหว่หลายตัวที่ยังถูกใช้งานในการโจมตีถูกค้นพบเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว เช่น กลุ่มช่องโหว่ Log4j2 (2021) และ ShellShock (2014) ยังคงเป็นเป้าหมายของการบุกรุก เพราะมีการใช้งานอยู่ในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น เซิร์ฟเวอร์และ IoT. มาตรการป้องกันที่แนะนำ: - Cisco แนะนำให้องค์กรเร่งอัปเดตระบบและเปลี่ยนอุปกรณ์ที่หมดอายุ รวมถึงการตั้งค่าความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น Multi-Factor Authentication (MFA) และ Network Segmentation เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจลุกลามไปทั่วทั้งระบบ. https://www.csoonline.com/article/3951165/volume-of-attacks-on-network-devices-shows-need-to-replace-end-of-life-devices-quickly.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Volume of attacks on network devices shows need to replace end of life devices quickly
    Cisco report reveals two of the three top vulnerabilities attackers went after in 2024 were in old network devices.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • จินตนาการว่าคุณกำลังเข้าสู่ระบบอีเมลของคุณผ่านหน้าเว็บที่ดูเหมือนของ Microsoft จริง ๆ แต่เบื้องหลังนั้นมีผู้โจมตีซ่อนตัวอยู่โดยใช้ Evilginx ทำหน้าที่เป็นสะพานกลางระหว่างคุณกับเซิร์ฟเวอร์จริง ขณะที่คุณไม่รู้ตัว ข้อมูลสำคัญอย่าง cookie ที่ช่วยให้ระบบรู้ว่าคุณได้ผ่านการยืนยันตัวตนแล้วถูกดักไว้ ผู้โจมตีจึงสามารถนำไปใช้ล็อกอินเข้าไปในบัญชีของคุณได้ทันที แม้ว่าคุณจะใช้งาน MFA ควบคู่ไปด้วยก็ตาม นี่คือข้อพิสูจน์ว่าการรักษาความปลอดภัยในยุคดิจิทัลต้องพัฒนาไปพร้อมกับเทคนิคการโจมตีที่ล้ำสมัย ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำวิธีการป้องกันแบบหลายชั้น โดยเปลี่ยนมาใช้มาตรฐานการยืนยันตัวตนที่แข็งแกร่ง เช่น FIDO2 และตรวจสอบกิจกรรมที่ผิดปกติใน log ของระบบอย่างต่อเนื่อง

    Evilginx ทำงานอย่างไร?
    - ผู้โจมตีตั้งค่าโดเมนและ “phishlet” ที่เลียนแบบหน้าเว็บของบริการจริงอย่าง Microsoft 365 โดยที่ผู้ใช้เมื่อเข้าสู่ระบบก็จะได้รับประสบการณ์เหมือนกับการเข้าเว็บของบริษัทนั้นโดยตรง ข้อมูลที่ส่งผ่าน เช่น ชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน และสำคัญที่สุดคือ session cookie จะถูกดักจับไปเก็บไว้ในฐานข้อมูลของผู้โจมตี จากนั้น ผู้โจมตีสามารถนำ cookie ดังกล่าวไปใช้เพื่อเข้าสู่บัญชีของเหยื่อโดยไม่ต้องรู้รหัสผ่านหรือรหัส OTP ที่ใช้ใน MFA

    ผลกระทบที่เกิดขึ้น
    - ด้วยข้อมูล session cookie ที่ถูกดักจับ ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงบัญชีอีเมลของเหยื่อได้อย่างเต็มที่ ทั้งสามารถเปลี่ยนแปลงการตั้งค่า เช่น การเพิ่ม device MFA ใหม่หรือการตั้งค่าอีเมลเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการควบคุมบัญชีได้อย่างต่อเนื่อง

    เทคนิคขั้นสูงในการโจมตี:
    - Evilginx ไม่ได้ทำเพียงแค่ส่งผู้ใช้ไปยังหน้า phishing ธรรมดาเท่านั้น แต่ทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ที่ส่งข้อมูลระหว่างผู้ใช้กับเซิร์ฟเวอร์จริงอย่างโปร่งใส ทำให้ผู้ใช้ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ

    การตรวจจับและบันทึก:
    - บริการอย่าง Azure AD และ Microsoft 365 มีระบบ log เพื่อบันทึกกิจกรรมที่ผิดปกติ เช่น การเข้าสู่ระบบจาก IP ที่น่าสงสัยหรือการเพิ่ม MFA device ใหม่ ซึ่งสามารถช่วยให้ผู้ดูแลระบบระบุและตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้รวดเร็ว

    แนวทางป้องกัน:
    - ผู้เชี่ยวชาญแนะนำแนวทางแบบหลายชั้นในการป้องกันภัยไซเบอร์ ได้แก่ แนะนำให้ย้ายจากวิธีการตรวจสอบด้วย token-based หรือ push MFA ไปสู่การยืนยันตัวตนที่มีความต้านทานต่อฟิชชิง เช่น FIDO2 และฮาร์ดแวร์ security keys รวมถึงการใช้ Conditional Access Policies เพื่อจัดการการเข้าถึงจากอุปกรณ์ที่เชื่อถือได้

    https://news.sophos.com/en-us/2025/03/28/stealing-user-credentials-with-evilginx/
    จินตนาการว่าคุณกำลังเข้าสู่ระบบอีเมลของคุณผ่านหน้าเว็บที่ดูเหมือนของ Microsoft จริง ๆ แต่เบื้องหลังนั้นมีผู้โจมตีซ่อนตัวอยู่โดยใช้ Evilginx ทำหน้าที่เป็นสะพานกลางระหว่างคุณกับเซิร์ฟเวอร์จริง ขณะที่คุณไม่รู้ตัว ข้อมูลสำคัญอย่าง cookie ที่ช่วยให้ระบบรู้ว่าคุณได้ผ่านการยืนยันตัวตนแล้วถูกดักไว้ ผู้โจมตีจึงสามารถนำไปใช้ล็อกอินเข้าไปในบัญชีของคุณได้ทันที แม้ว่าคุณจะใช้งาน MFA ควบคู่ไปด้วยก็ตาม นี่คือข้อพิสูจน์ว่าการรักษาความปลอดภัยในยุคดิจิทัลต้องพัฒนาไปพร้อมกับเทคนิคการโจมตีที่ล้ำสมัย ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำวิธีการป้องกันแบบหลายชั้น โดยเปลี่ยนมาใช้มาตรฐานการยืนยันตัวตนที่แข็งแกร่ง เช่น FIDO2 และตรวจสอบกิจกรรมที่ผิดปกติใน log ของระบบอย่างต่อเนื่อง Evilginx ทำงานอย่างไร? - ผู้โจมตีตั้งค่าโดเมนและ “phishlet” ที่เลียนแบบหน้าเว็บของบริการจริงอย่าง Microsoft 365 โดยที่ผู้ใช้เมื่อเข้าสู่ระบบก็จะได้รับประสบการณ์เหมือนกับการเข้าเว็บของบริษัทนั้นโดยตรง ข้อมูลที่ส่งผ่าน เช่น ชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน และสำคัญที่สุดคือ session cookie จะถูกดักจับไปเก็บไว้ในฐานข้อมูลของผู้โจมตี จากนั้น ผู้โจมตีสามารถนำ cookie ดังกล่าวไปใช้เพื่อเข้าสู่บัญชีของเหยื่อโดยไม่ต้องรู้รหัสผ่านหรือรหัส OTP ที่ใช้ใน MFA ผลกระทบที่เกิดขึ้น - ด้วยข้อมูล session cookie ที่ถูกดักจับ ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงบัญชีอีเมลของเหยื่อได้อย่างเต็มที่ ทั้งสามารถเปลี่ยนแปลงการตั้งค่า เช่น การเพิ่ม device MFA ใหม่หรือการตั้งค่าอีเมลเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการควบคุมบัญชีได้อย่างต่อเนื่อง เทคนิคขั้นสูงในการโจมตี: - Evilginx ไม่ได้ทำเพียงแค่ส่งผู้ใช้ไปยังหน้า phishing ธรรมดาเท่านั้น แต่ทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ที่ส่งข้อมูลระหว่างผู้ใช้กับเซิร์ฟเวอร์จริงอย่างโปร่งใส ทำให้ผู้ใช้ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ การตรวจจับและบันทึก: - บริการอย่าง Azure AD และ Microsoft 365 มีระบบ log เพื่อบันทึกกิจกรรมที่ผิดปกติ เช่น การเข้าสู่ระบบจาก IP ที่น่าสงสัยหรือการเพิ่ม MFA device ใหม่ ซึ่งสามารถช่วยให้ผู้ดูแลระบบระบุและตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้รวดเร็ว แนวทางป้องกัน: - ผู้เชี่ยวชาญแนะนำแนวทางแบบหลายชั้นในการป้องกันภัยไซเบอร์ ได้แก่ แนะนำให้ย้ายจากวิธีการตรวจสอบด้วย token-based หรือ push MFA ไปสู่การยืนยันตัวตนที่มีความต้านทานต่อฟิชชิง เช่น FIDO2 และฮาร์ดแวร์ security keys รวมถึงการใช้ Conditional Access Policies เพื่อจัดการการเข้าถึงจากอุปกรณ์ที่เชื่อถือได้ https://news.sophos.com/en-us/2025/03/28/stealing-user-credentials-with-evilginx/
    NEWS.SOPHOS.COM
    Stealing user credentials with evilginx
    A malevolent mutation of the widely used nginx web server facilitates Adversary-in-the-Middle action, but there’s hope
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • MagStor เปิดตัว Thunderbolt 5 LTO Tape Drive ที่เพิ่มความเร็วการเชื่อมต่อและเหมาะสำหรับงานข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น สื่อและธุรกิจ แม้เทคโนโลยีนี้ยังคงมีข้อจำกัดด้านความเร็วของเทป แต่อุปกรณ์นี้ช่วยยกระดับการเก็บข้อมูลระยะยาวที่ทนทานและคุ้มค่าในระยะยาวได้ดี

    คุณสมบัติที่โดดเด่น:
    - Thunderbolt 5 รองรับการส่งข้อมูลสูงสุดที่ 80Gbps (10GB/s) แบบสองทิศทาง หรือถึง 120Gbps ในโหมด Bandwidth Boost ซึ่งช่วยให้การถ่ายโอนข้อมูลระหว่างระบบเทปและคอมพิวเตอร์มีความรวดเร็วขึ้นอย่างมาก.

    ความจุและการใช้งาน:
    - รองรับเทป LTO-9 ที่มีความจุ 18TB (ปกติ) และ 45TB (เมื่อบีบอัดข้อมูล) แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าจะรองรับ LTO-10 ซึ่งเพิ่มความจุเป็น 36TB (ปกติ) และ 90TB (บีบอัดข้อมูล).

    การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม:
    - เทปยังคงมีบทบาทสำคัญในเก็บข้อมูลระยะยาวเนื่องจากความทนทาน และต้นทุนต่ำเมื่อเทียบกับฮาร์ดดิสก์หรือ SSD ที่มีความจุใกล้เคียงกัน.

    ต้นทุนและอนาคต:
    - ราคาอุปกรณ์ยังไม่ได้ประกาศ แต่คาดว่าจะสูง เนื่องจากรุ่นก่อนหน้า (Thunderbolt 3 LTO-9) มีราคาเริ่มต้นที่ $6,299 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามคุณสมบัติที่ล้ำสมัย.

    https://www.techradar.com/pro/this-is-the-worlds-first-thunderbolt-5-lto-tape-drive-and-i-cant-understand-why-it-exists-in-the-first-place
    MagStor เปิดตัว Thunderbolt 5 LTO Tape Drive ที่เพิ่มความเร็วการเชื่อมต่อและเหมาะสำหรับงานข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น สื่อและธุรกิจ แม้เทคโนโลยีนี้ยังคงมีข้อจำกัดด้านความเร็วของเทป แต่อุปกรณ์นี้ช่วยยกระดับการเก็บข้อมูลระยะยาวที่ทนทานและคุ้มค่าในระยะยาวได้ดี คุณสมบัติที่โดดเด่น: - Thunderbolt 5 รองรับการส่งข้อมูลสูงสุดที่ 80Gbps (10GB/s) แบบสองทิศทาง หรือถึง 120Gbps ในโหมด Bandwidth Boost ซึ่งช่วยให้การถ่ายโอนข้อมูลระหว่างระบบเทปและคอมพิวเตอร์มีความรวดเร็วขึ้นอย่างมาก. ความจุและการใช้งาน: - รองรับเทป LTO-9 ที่มีความจุ 18TB (ปกติ) และ 45TB (เมื่อบีบอัดข้อมูล) แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าจะรองรับ LTO-10 ซึ่งเพิ่มความจุเป็น 36TB (ปกติ) และ 90TB (บีบอัดข้อมูล). การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม: - เทปยังคงมีบทบาทสำคัญในเก็บข้อมูลระยะยาวเนื่องจากความทนทาน และต้นทุนต่ำเมื่อเทียบกับฮาร์ดดิสก์หรือ SSD ที่มีความจุใกล้เคียงกัน. ต้นทุนและอนาคต: - ราคาอุปกรณ์ยังไม่ได้ประกาศ แต่คาดว่าจะสูง เนื่องจากรุ่นก่อนหน้า (Thunderbolt 3 LTO-9) มีราคาเริ่มต้นที่ $6,299 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามคุณสมบัติที่ล้ำสมัย. https://www.techradar.com/pro/this-is-the-worlds-first-thunderbolt-5-lto-tape-drive-and-i-cant-understand-why-it-exists-in-the-first-place
    WWW.TECHRADAR.COM
    The world's first Thunderbolt 5 LTO tape drive just launched but I wonder who will buy it
    MagStor says it's pushing the boundaries of what is possible in data storage
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้พูดถึงช่องโหว่ความปลอดภัยใน ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งอาจทำให้ นักโจมตีทางไซเบอร์ สามารถควบคุมการผลิตพลังงาน แทรกแซงข้อมูลส่วนตัว หรือแม้กระทั่งขัดขวางการทำงานของโครงข่ายพลังงาน ผู้เชี่ยวชาญจาก Forescout – Vedere Labs ระบุช่องโหว่ใหม่ถึง 46 รายการในอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์จากผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Sungrow, Growatt และ SMA โดย 80% ของช่องโหว่ที่รายงานถือเป็นปัญหาร้ายแรงหรือสำคัญ

    ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อออนไลน์:
    - หลายอินเวอร์เตอร์ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยตรง ทำให้ง่ายต่อการโจมตีผ่านการใช้เฟิร์มแวร์ที่ล้าสมัยหรือการเข้ารหัสข้อมูลที่อ่อนแอ

    ผลกระทบที่เกิดขึ้น:
    - การโจมตีสามารถทำให้เกิดความไม่สมดุลในโครงข่ายพลังงาน การขโมยข้อมูลที่ละเมิดข้อกำหนดด้าน GDPR รวมถึงการควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้านอัจฉริยะ เช่น เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

    คำแนะนำในการป้องกัน:
    - ผู้ผลิตควรเร่งแก้ไขปัญหาด้วยการอัปเดตระบบ ปรับปรุงโค้ดให้ปลอดภัย และทดสอบเจาะระบบอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ควรมีการใช้ Web Application Firewall และมาตรการความปลอดภัยมาตรฐาน เช่น NIST IR 8259

    บทบาทของเจ้าของระบบพลังงานแสงอาทิตย์:
    - การแยกเครือข่ายของอุปกรณ์แสงอาทิตย์ การตั้งค่าระบบเฝ้าระวังความปลอดภัย และการใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันภัยไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้ควรดำเนินการ

    https://www.techradar.com/pro/millions-of-solar-power-systems-could-be-at-risk-of-cyber-attacks-after-researchers-find-flurry-of-vulnerabilities
    ข่าวนี้พูดถึงช่องโหว่ความปลอดภัยใน ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งอาจทำให้ นักโจมตีทางไซเบอร์ สามารถควบคุมการผลิตพลังงาน แทรกแซงข้อมูลส่วนตัว หรือแม้กระทั่งขัดขวางการทำงานของโครงข่ายพลังงาน ผู้เชี่ยวชาญจาก Forescout – Vedere Labs ระบุช่องโหว่ใหม่ถึง 46 รายการในอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์จากผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Sungrow, Growatt และ SMA โดย 80% ของช่องโหว่ที่รายงานถือเป็นปัญหาร้ายแรงหรือสำคัญ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อออนไลน์: - หลายอินเวอร์เตอร์ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยตรง ทำให้ง่ายต่อการโจมตีผ่านการใช้เฟิร์มแวร์ที่ล้าสมัยหรือการเข้ารหัสข้อมูลที่อ่อนแอ ผลกระทบที่เกิดขึ้น: - การโจมตีสามารถทำให้เกิดความไม่สมดุลในโครงข่ายพลังงาน การขโมยข้อมูลที่ละเมิดข้อกำหนดด้าน GDPR รวมถึงการควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้านอัจฉริยะ เช่น เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า คำแนะนำในการป้องกัน: - ผู้ผลิตควรเร่งแก้ไขปัญหาด้วยการอัปเดตระบบ ปรับปรุงโค้ดให้ปลอดภัย และทดสอบเจาะระบบอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ควรมีการใช้ Web Application Firewall และมาตรการความปลอดภัยมาตรฐาน เช่น NIST IR 8259 บทบาทของเจ้าของระบบพลังงานแสงอาทิตย์: - การแยกเครือข่ายของอุปกรณ์แสงอาทิตย์ การตั้งค่าระบบเฝ้าระวังความปลอดภัย และการใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันภัยไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้ควรดำเนินการ https://www.techradar.com/pro/millions-of-solar-power-systems-could-be-at-risk-of-cyber-attacks-after-researchers-find-flurry-of-vulnerabilities
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทีมนักวิจัยเกาหลีใต้กำลังพัฒนาแบตเตอรี่พลังงานนิวเคลียร์ที่ใช้ Radiocarbon วัสดุที่มีครึ่งชีวิตยาวนานถึงหลายพันปี แบตเตอรี่ต้นแบบช่วยแปลงรังสีเบตาเป็นพลังงานไฟฟ้า เหมาะสำหรับอุปกรณ์ระยะยาว เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจและดาวเทียม โดยมีเป้าหมายสร้างเทคโนโลยีที่ยั่งยืนและช่วยลดข้อจำกัดของแบตเตอรี่ Li-ion

    ข้อดีของ Radiocarbon:
    - Radiocarbon เป็นวัสดุที่ได้จากผลพลอยได้ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ราคาถูก และสามารถรีไซเคิลได้ง่าย อีกทั้งยังปลอดภัยต่อการใช้งานในแบตเตอรี่เนื่องจากปล่อยรังสีเบตาซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยแผ่นอะลูมิเนียมบาง ๆ.

    การออกแบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ:
    - แบตเตอรี่ต้นแบบใช้วัสดุ Titanium Dioxide ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการแปลงรังสีเบตาเป็นพลังงานไฟฟ้า และมีการออกแบบอิเล็กโทรดที่วาง Radiocarbon ทั้งในส่วน Cathode และ Anode เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างพลังงาน.

    แอปพลิเคชันที่หลากหลาย:
    - แบตเตอรี่ชนิดนี้เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานในระยะยาว เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจที่ไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ดาวเทียม เซ็นเซอร์ในพื้นที่ห่างไกล หรือแม้กระทั่งยานพาหนะไร้คนขับ.

    ความท้าทายและอนาคต:
    - แม้ประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานยังต่ำกว่าแบตเตอรี่ Li-ion แต่ทีมวิจัยกำลังทำงานเพื่อปรับปรุงรูปร่างของวัสดุปล่อยรังสีเบตาและผู้ดูดซับพลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    https://www.techspot.com/news/107339-nuclear-powered-battery-could-eliminate-need-recharging.html
    ทีมนักวิจัยเกาหลีใต้กำลังพัฒนาแบตเตอรี่พลังงานนิวเคลียร์ที่ใช้ Radiocarbon วัสดุที่มีครึ่งชีวิตยาวนานถึงหลายพันปี แบตเตอรี่ต้นแบบช่วยแปลงรังสีเบตาเป็นพลังงานไฟฟ้า เหมาะสำหรับอุปกรณ์ระยะยาว เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจและดาวเทียม โดยมีเป้าหมายสร้างเทคโนโลยีที่ยั่งยืนและช่วยลดข้อจำกัดของแบตเตอรี่ Li-ion ข้อดีของ Radiocarbon: - Radiocarbon เป็นวัสดุที่ได้จากผลพลอยได้ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ราคาถูก และสามารถรีไซเคิลได้ง่าย อีกทั้งยังปลอดภัยต่อการใช้งานในแบตเตอรี่เนื่องจากปล่อยรังสีเบตาซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยแผ่นอะลูมิเนียมบาง ๆ. การออกแบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ: - แบตเตอรี่ต้นแบบใช้วัสดุ Titanium Dioxide ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการแปลงรังสีเบตาเป็นพลังงานไฟฟ้า และมีการออกแบบอิเล็กโทรดที่วาง Radiocarbon ทั้งในส่วน Cathode และ Anode เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างพลังงาน. แอปพลิเคชันที่หลากหลาย: - แบตเตอรี่ชนิดนี้เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานในระยะยาว เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจที่ไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ดาวเทียม เซ็นเซอร์ในพื้นที่ห่างไกล หรือแม้กระทั่งยานพาหนะไร้คนขับ. ความท้าทายและอนาคต: - แม้ประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานยังต่ำกว่าแบตเตอรี่ Li-ion แต่ทีมวิจัยกำลังทำงานเพื่อปรับปรุงรูปร่างของวัสดุปล่อยรังสีเบตาและผู้ดูดซับพลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น https://www.techspot.com/news/107339-nuclear-powered-battery-could-eliminate-need-recharging.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Nuclear-powered battery could eliminate need for recharging
    A team led by Su-Il In, a professor at South Korea's Daegu Gyeongbuk Institute of Science and Technology, is developing an innovative solution: radiocarbon-powered nuclear batteries that...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft กำลังเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Startup Boost ซึ่งจะช่วยให้แอปพลิเคชัน Office เช่น Word, Excel, และ PowerPoint เปิดได้รวดเร็วขึ้น โดยฟีเจอร์นี้จะเริ่มทำงานทันทีหลังจากที่ผู้ใช้เข้าสู่ระบบ Windows โดยการโหลดข้อมูลล่วงหน้าและเก็บไว้ในหน่วยความจำในสถานะพักจนกระทั่งผู้ใช้เปิดใช้งานจริง นอกจากนี้ ฟีเจอร์ยังออกแบบมาเพื่อให้สามารถคืนทรัพยากรหน่วยความจำให้ระบบอัตโนมัติหากจำเป็น

    ข้อจำกัดของฟีเจอร์:
    - ฟีเจอร์นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะในอุปกรณ์ที่มี RAM อย่างน้อย 8GB และพื้นที่ว่างบนดิสก์ 5GB และจะปิดการทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อเปิดโหมด Energy Saver เพื่อประหยัดแบตเตอรี่.

    ตัวเลือกการปิดการใช้งาน:
    - ผู้ใช้ที่ไม่ต้องการให้ฟีเจอร์ทำงาน สามารถปิดการใช้งานได้ใน Settings ของ Office แต่หลังจากที่มีการอัปเดต Office ครั้งใหม่ ฟีเจอร์จะกลับมาเปิดอีกครั้ง ซึ่งผู้ใช้จะต้องปิดซ้ำเอง.

    แรงบันดาลใจจาก Edge:
    - ฟีเจอร์นี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก Startup Boost ของเบราว์เซอร์ Microsoft Edge ที่ใช้วิธีเดียวกันในการโหลดโปรเซสพื้นหลังเพื่อช่วยให้เปิดเบราว์เซอร์ได้เร็วขึ้น ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ.

    กำหนดการเปิดตัว:
    - การเปิดตัวจะเริ่มกลางเดือนพฤษภาคม โดยจะมีใน Word เป็นแอปแรก และจะขยายไปยังแอป Office อื่น ๆ ในภายหลัง.

    https://www.techspot.com/news/107343-microsoft-office-apps-soon-preload-windows-boot-faster.html
    Microsoft กำลังเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Startup Boost ซึ่งจะช่วยให้แอปพลิเคชัน Office เช่น Word, Excel, และ PowerPoint เปิดได้รวดเร็วขึ้น โดยฟีเจอร์นี้จะเริ่มทำงานทันทีหลังจากที่ผู้ใช้เข้าสู่ระบบ Windows โดยการโหลดข้อมูลล่วงหน้าและเก็บไว้ในหน่วยความจำในสถานะพักจนกระทั่งผู้ใช้เปิดใช้งานจริง นอกจากนี้ ฟีเจอร์ยังออกแบบมาเพื่อให้สามารถคืนทรัพยากรหน่วยความจำให้ระบบอัตโนมัติหากจำเป็น ข้อจำกัดของฟีเจอร์: - ฟีเจอร์นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะในอุปกรณ์ที่มี RAM อย่างน้อย 8GB และพื้นที่ว่างบนดิสก์ 5GB และจะปิดการทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อเปิดโหมด Energy Saver เพื่อประหยัดแบตเตอรี่. ตัวเลือกการปิดการใช้งาน: - ผู้ใช้ที่ไม่ต้องการให้ฟีเจอร์ทำงาน สามารถปิดการใช้งานได้ใน Settings ของ Office แต่หลังจากที่มีการอัปเดต Office ครั้งใหม่ ฟีเจอร์จะกลับมาเปิดอีกครั้ง ซึ่งผู้ใช้จะต้องปิดซ้ำเอง. แรงบันดาลใจจาก Edge: - ฟีเจอร์นี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก Startup Boost ของเบราว์เซอร์ Microsoft Edge ที่ใช้วิธีเดียวกันในการโหลดโปรเซสพื้นหลังเพื่อช่วยให้เปิดเบราว์เซอร์ได้เร็วขึ้น ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ. กำหนดการเปิดตัว: - การเปิดตัวจะเริ่มกลางเดือนพฤษภาคม โดยจะมีใน Word เป็นแอปแรก และจะขยายไปยังแอป Office อื่น ๆ ในภายหลัง. https://www.techspot.com/news/107343-microsoft-office-apps-soon-preload-windows-boot-faster.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Microsoft Office apps will soon preload on Windows boot for faster launch
    The announcement comes from the Microsoft 365 Message Center. The feature works by preloading parts of Office apps into memory after Windows startup and keeping them in...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • Space Force ร่วมมือกับ Gravitics สร้างยาน mothership ในวงโคจรเพื่อสำรองดาวเทียมและยานอวกาศ พร้อมตอบโต้ภัยคุกคามในอวกาศเช่นการโจมตีจากรัสเซียหรือจีน ยานนี้มีโมดูลที่ป้องกันรังสีและสภาพแวดล้อม ทำให้สามารถใช้งานได้ทันทีในกรณีฉุกเฉิน ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในเทคโนโลยีด้านการบินและความมั่นคงในอวกาศ

    การตอบโต้ภัยคุกคามในอวกาศ:
    - มีรายงานว่าประเทศอย่างรัสเซียและจีนกำลังพัฒนาเทคโนโลยีต่อต้านดาวเทียม เช่น ระบบโจมตีด้วยอุปกรณ์ kinetic และ non-kinetic รวมถึงการโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดเศษซากในอวกาศที่ส่งผลกระทบต่อระบบอื่น ๆ ในวงโคจร

    ความสำคัญของ mothership:
    - ยานจะถูกออกแบบให้มีโมดูลที่สามารถกักเก็บแบตเตอรี่และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ละเอียดอ่อนไว้ภายใน พร้อมป้องกันรังสีและสภาพแวดล้อมในอวกาศเพื่อใช้งานได้ในกรณีฉุกเฉิน

    แผนการสาธิตภารกิจในอนาคต:
    - แม้ยังไม่มีวันกำหนดแน่นอน บริษัท Gravitics วางแผนการสาธิตภารกิจในปี 2026 พร้อมกับเปิดตัวโมดูลรุ่นใหม่ที่มีพื้นที่กดอากาศขนาดใหญ่ขึ้น.

    ความมุ่งมั่นของบริษัท Gravitics:
    - บริษัทมีแผนพัฒนาโครงสร้างที่รองรับการสร้างพื้นที่อยู่อาศัยในอวกาศในอนาคต โดยเริ่มจากการสร้างโมดูลสำหรับสถานีอวกาศส่วนตัว ซึ่งถือเป็นขั้นตอนแรกสู่เป้าหมายในระยะยาว

    https://www.techspot.com/news/107341-new-space-force-project-aims-counter-threats-orbital.html
    Space Force ร่วมมือกับ Gravitics สร้างยาน mothership ในวงโคจรเพื่อสำรองดาวเทียมและยานอวกาศ พร้อมตอบโต้ภัยคุกคามในอวกาศเช่นการโจมตีจากรัสเซียหรือจีน ยานนี้มีโมดูลที่ป้องกันรังสีและสภาพแวดล้อม ทำให้สามารถใช้งานได้ทันทีในกรณีฉุกเฉิน ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในเทคโนโลยีด้านการบินและความมั่นคงในอวกาศ การตอบโต้ภัยคุกคามในอวกาศ: - มีรายงานว่าประเทศอย่างรัสเซียและจีนกำลังพัฒนาเทคโนโลยีต่อต้านดาวเทียม เช่น ระบบโจมตีด้วยอุปกรณ์ kinetic และ non-kinetic รวมถึงการโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดเศษซากในอวกาศที่ส่งผลกระทบต่อระบบอื่น ๆ ในวงโคจร ความสำคัญของ mothership: - ยานจะถูกออกแบบให้มีโมดูลที่สามารถกักเก็บแบตเตอรี่และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ละเอียดอ่อนไว้ภายใน พร้อมป้องกันรังสีและสภาพแวดล้อมในอวกาศเพื่อใช้งานได้ในกรณีฉุกเฉิน แผนการสาธิตภารกิจในอนาคต: - แม้ยังไม่มีวันกำหนดแน่นอน บริษัท Gravitics วางแผนการสาธิตภารกิจในปี 2026 พร้อมกับเปิดตัวโมดูลรุ่นใหม่ที่มีพื้นที่กดอากาศขนาดใหญ่ขึ้น. ความมุ่งมั่นของบริษัท Gravitics: - บริษัทมีแผนพัฒนาโครงสร้างที่รองรับการสร้างพื้นที่อยู่อาศัยในอวกาศในอนาคต โดยเริ่มจากการสร้างโมดูลสำหรับสถานีอวกาศส่วนตัว ซึ่งถือเป็นขั้นตอนแรกสู่เป้าหมายในระยะยาว https://www.techspot.com/news/107341-new-space-force-project-aims-counter-threats-orbital.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    New Space Force project aims to counter threats with orbital mothership
    Reports suggest that countries like Russia and China are developing advanced counter-space capabilities. These include a mix of kinetic, non-kinetic, and cyber tools designed to disable or...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลการศึกษาใหม่ที่เผยว่า การลดเวลาใช้สมาร์ทโฟนลงเหลือไม่เกิน สองชั่วโมงต่อวัน สามารถส่งผลดีต่อสุขภาพจิตอย่างมีนัยสำคัญ โดยการวิจัยนี้จัดทำโดยทีมงานมหาวิทยาลัย Krems ในเยอรมนี พบว่าในเวลาเพียง สามสัปดาห์ ผู้เข้าร่วมที่จำกัดการใช้สมาร์ทโฟนแสดงอาการซึมเศร้าลดลงถึง 27% ความเครียดลดลง 16% คุณภาพการนอนหลับเพิ่มขึ้น 18% และสุขภาพจิตโดยรวมเพิ่มขึ้น 14% อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่มักกลับมาใช้เวลาบนโทรศัพท์มากขึ้นหลังการทดลอง เนื่องจากความท้าทายในการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานในระยะยาว

    ความสำคัญของการกำหนดเวลาใช้งาน:
    - การติดตามและจำกัดเวลาใช้สมาร์ทโฟนสามารถทำได้ง่ายผ่านฟังก์ชัน Screen Time บนอุปกรณ์ iOS หรือ Digital Wellbeing บน Android ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจพฤติกรรมการใช้งานได้ชัดเจนขึ้น.

    ต้นทุนของการใช้สมาร์ทโฟนมากเกินไป:
    - การใช้มือถือโดยเฉลี่ย 3.5 ชั่วโมงต่อวันตลอดชีวิตนั้นเทียบเท่ากับการเสียเวลาไปถึง 10 ปี ซึ่งสามารถนำไปใช้ทำสิ่งอื่นที่มีคุณค่าได้.

    ข้อเสียจากพฤติกรรมติดโทรศัพท์:
    - สมาร์ทโฟนและแอปต่าง ๆ ถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูดความสนใจ ซึ่งทำให้การลดเวลาใช้งานเป็นเรื่องยาก เพราะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนนิสัยและความเคยชินที่ต้องใช้ความพยายามสูง.

    เคล็ดลับลดเวลาใช้สมาร์ทโฟน:
    - ตั้งค่าจำกัดเวลาการใช้งาน, หมั่นตรวจสอบพฤติกรรม และตั้งคำถามกับตัวเองว่าใช้โทรศัพท์เพื่ออะไร หากใช้เพื่อฆ่าเวลา ควรหากิจกรรมอื่นที่เติมเต็มชีวิตได้มากกว่า.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/29/cutting-time-spent-on-your-smartphone-can-improve-your-mental-health
    ผลการศึกษาใหม่ที่เผยว่า การลดเวลาใช้สมาร์ทโฟนลงเหลือไม่เกิน สองชั่วโมงต่อวัน สามารถส่งผลดีต่อสุขภาพจิตอย่างมีนัยสำคัญ โดยการวิจัยนี้จัดทำโดยทีมงานมหาวิทยาลัย Krems ในเยอรมนี พบว่าในเวลาเพียง สามสัปดาห์ ผู้เข้าร่วมที่จำกัดการใช้สมาร์ทโฟนแสดงอาการซึมเศร้าลดลงถึง 27% ความเครียดลดลง 16% คุณภาพการนอนหลับเพิ่มขึ้น 18% และสุขภาพจิตโดยรวมเพิ่มขึ้น 14% อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่มักกลับมาใช้เวลาบนโทรศัพท์มากขึ้นหลังการทดลอง เนื่องจากความท้าทายในการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานในระยะยาว ความสำคัญของการกำหนดเวลาใช้งาน: - การติดตามและจำกัดเวลาใช้สมาร์ทโฟนสามารถทำได้ง่ายผ่านฟังก์ชัน Screen Time บนอุปกรณ์ iOS หรือ Digital Wellbeing บน Android ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจพฤติกรรมการใช้งานได้ชัดเจนขึ้น. ต้นทุนของการใช้สมาร์ทโฟนมากเกินไป: - การใช้มือถือโดยเฉลี่ย 3.5 ชั่วโมงต่อวันตลอดชีวิตนั้นเทียบเท่ากับการเสียเวลาไปถึง 10 ปี ซึ่งสามารถนำไปใช้ทำสิ่งอื่นที่มีคุณค่าได้. ข้อเสียจากพฤติกรรมติดโทรศัพท์: - สมาร์ทโฟนและแอปต่าง ๆ ถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูดความสนใจ ซึ่งทำให้การลดเวลาใช้งานเป็นเรื่องยาก เพราะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนนิสัยและความเคยชินที่ต้องใช้ความพยายามสูง. เคล็ดลับลดเวลาใช้สมาร์ทโฟน: - ตั้งค่าจำกัดเวลาการใช้งาน, หมั่นตรวจสอบพฤติกรรม และตั้งคำถามกับตัวเองว่าใช้โทรศัพท์เพื่ออะไร หากใช้เพื่อฆ่าเวลา ควรหากิจกรรมอื่นที่เติมเต็มชีวิตได้มากกว่า. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/29/cutting-time-spent-on-your-smartphone-can-improve-your-mental-health
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Cutting time spent on your smartphone can improve your mental health
    Spending less than two hours on our smartphones could noticeably improve our well-being, according to the latest science.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปี 2025 บริษัททั่วโลกกำลังวางแผนเพิ่มงบ IT เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี เช่น Generative AI และโซลูชันความปลอดภัย แม้จะเพิ่มงบ แต่มีการนำแผนลดต้นทุนมาใช้อย่างเข้มงวด การขาดแคลนทักษะในตลาดแรงงาน เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลและ AI ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญที่องค์กรต้องเผชิญ

    การลงทุนที่โดดเด่น:
    - ปี 2025 จะเห็นการเติบโตของการลงทุนในซอฟต์แวร์ Generative AI (54%) โซลูชันความปลอดภัย (52%) และการซื้อแล็ปท็อป (47%) โดยได้รับแรงหนุนจากการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ในเดือนตุลาคม 2025 และความจำเป็นในการอัปเดตอุปกรณ์.

    ทิศทางการลดต้นทุน:
    - แม้จะมีการเพิ่มงบ แต่ 92% ของบริษัทมีแผนลดค่าใช้จ่าย เช่น การเลิกใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่จำเป็น (38%) ทบทวนสัญญาและผู้ให้บริการ (37%) และการนำโซลูชันอัตโนมัติมาใช้ (34%).

    ทักษะที่ยังขาดแคลนในตลาดแรงงาน:
    - การขาดทักษะในด้านสำคัญ เช่น การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ การวิเคราะห์ข้อมูล และ AI เป็นหนึ่งในความท้าทายใหญ่ขององค์กรที่ต้องการบุคลากรที่เชี่ยวชาญ.

    มุมมองที่แตกต่างของฝ่าย IT และผู้บริหาร:
    - พนักงาน IT ส่วนใหญ่มองว่าบริษัทไม่ได้ลงทุนเพียงพอในเทคโนโลยี ขณะที่ผู้บริหารกลับคิดว่าลงทุนมากเกินพอแล้ว นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับค่าแรงที่ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพยังส่งผลให้แรงงานรุ่นใหม่มีแนวโน้มเปลี่ยนงานสูง.

    https://www.zdnet.com/article/most-companies-will-increase-it-spending-in-2025-but-theres-a-twist-in-the-tale/
    ปี 2025 บริษัททั่วโลกกำลังวางแผนเพิ่มงบ IT เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี เช่น Generative AI และโซลูชันความปลอดภัย แม้จะเพิ่มงบ แต่มีการนำแผนลดต้นทุนมาใช้อย่างเข้มงวด การขาดแคลนทักษะในตลาดแรงงาน เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลและ AI ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญที่องค์กรต้องเผชิญ การลงทุนที่โดดเด่น: - ปี 2025 จะเห็นการเติบโตของการลงทุนในซอฟต์แวร์ Generative AI (54%) โซลูชันความปลอดภัย (52%) และการซื้อแล็ปท็อป (47%) โดยได้รับแรงหนุนจากการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ในเดือนตุลาคม 2025 และความจำเป็นในการอัปเดตอุปกรณ์. ทิศทางการลดต้นทุน: - แม้จะมีการเพิ่มงบ แต่ 92% ของบริษัทมีแผนลดค่าใช้จ่าย เช่น การเลิกใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่จำเป็น (38%) ทบทวนสัญญาและผู้ให้บริการ (37%) และการนำโซลูชันอัตโนมัติมาใช้ (34%). ทักษะที่ยังขาดแคลนในตลาดแรงงาน: - การขาดทักษะในด้านสำคัญ เช่น การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ การวิเคราะห์ข้อมูล และ AI เป็นหนึ่งในความท้าทายใหญ่ขององค์กรที่ต้องการบุคลากรที่เชี่ยวชาญ. มุมมองที่แตกต่างของฝ่าย IT และผู้บริหาร: - พนักงาน IT ส่วนใหญ่มองว่าบริษัทไม่ได้ลงทุนเพียงพอในเทคโนโลยี ขณะที่ผู้บริหารกลับคิดว่าลงทุนมากเกินพอแล้ว นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับค่าแรงที่ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพยังส่งผลให้แรงงานรุ่นใหม่มีแนวโน้มเปลี่ยนงานสูง. https://www.zdnet.com/article/most-companies-will-increase-it-spending-in-2025-but-theres-a-twist-in-the-tale/
    WWW.ZDNET.COM
    Most companies will increase IT spending in 2025. But there's a twist in the tale
    Nearly two-thirds of companies plan to boost their IT budgets next year. Yet cost-saving measures are also on the agenda.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายละเอียดเพิ่มเติมในการพบปะกับสื่อมวลชนของเซเลนสกี:

    👉ยูเครนไม่ยอมรับการเป็นหนี้จากการสนับสนุนทางทหารของสหรัฐในนอดีต และสหรัฐได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าความช่วยเหลือในอนาคตจะไม่ฟรีอีกต่อไป

    👉ข้อตกลงแร่ธาตุของสหรัฐไม่หมือนที่เจรจากันไว้ และมันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในตอนนี้ เงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายไม่เห็นด้วยร่วมกัน แต่มันกลับถูกนำมาเพิ่มเติมใหม่

    👉ปูตินไม่อยากให้มีการเจรจาเกิดขึ้นกับยูเครน เขากลัวการเจรจาโดยตรงกับผม เขาพยายามหาเหตุผลเพื่อยืดเวลาสงครามออกไป ในความคิดของเขา ยูเครนไม่ได้มีอำนาจอธิปไตย ซึ่งนั่นเป็นความคิดส่วนตัวของเขา

    👉ยูเครนพร้อมเปิดใจให้การเจรจากับรัสเซีย "แต่ไม่ใช่กับปูติน"

    👉หากภายในธุรกิจหรือประชาชนในภูมิภาคใดๆของรัสเซียที่พร้อมจะต่อต้านสงครามและทำงานเพื่อสันติภาพ แจ้งมาที่เรา เราพร้อมที่จะรับฟังและร่วมมือกัน

    👉ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรพร้อมส่งกองกำลังเข้าสู่ยูเครน เราเป็นสามเหลี่ยมที่จับมือกันอย่างแน่นหนา "ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และยูเครน"

    👉ยูเครนจะมีการแลกเปลี่ยนข่าวกรอง ภาพถ่ายดาวเทียม รวมทั้งได้รับใบอนุญาตจากประเทศในยุโรป ในการผลิตกระสุน ขีปนาวุธ และเทคโนโลยีป้องกันภัยทางอากาศ

    👉สัปดาห์นี้ เคียฟจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฉุกเฉินแบบปิด(ไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าร่วมฟัง) ของผู้นำกองทัพจากประเทศต่างๆ ที่พร้อมจะส่งกองกำลังเข้าสู่ยูเครน

    👉ก่อนหน้านี้สหรัฐรับปากจะทำงานร่วมกับซาอุดีอาระเบีย ตุรกี และพันธมิตรในยุโรป เกี่ยวกับวิธีการติดตามการโจมตีของรัสเซียต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครน

    👉ยูเครนไม่เห็นด้วยที่จะให้ซาอุดีอาระเบียเข้ามากำกับดูแลโครงสร้างด้านพลังงานของเรา พวกเขาขาดอุปกรณ์ ประสบการณ์ความรู้ทางเทคนิค และความสามารถด้านข่าวกรอง

    👉การติดตามความปลอดภัยในทะเลดำ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และรัฐชายฝั่งทะเลดำ ได้แก่ โรมาเนียและบัลแกเรีย จะเป็นฝ่ายที่ต้องดูแลร่วมกัน
    รายละเอียดเพิ่มเติมในการพบปะกับสื่อมวลชนของเซเลนสกี: 👉ยูเครนไม่ยอมรับการเป็นหนี้จากการสนับสนุนทางทหารของสหรัฐในนอดีต และสหรัฐได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าความช่วยเหลือในอนาคตจะไม่ฟรีอีกต่อไป 👉ข้อตกลงแร่ธาตุของสหรัฐไม่หมือนที่เจรจากันไว้ และมันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในตอนนี้ เงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายไม่เห็นด้วยร่วมกัน แต่มันกลับถูกนำมาเพิ่มเติมใหม่ 👉ปูตินไม่อยากให้มีการเจรจาเกิดขึ้นกับยูเครน เขากลัวการเจรจาโดยตรงกับผม เขาพยายามหาเหตุผลเพื่อยืดเวลาสงครามออกไป ในความคิดของเขา ยูเครนไม่ได้มีอำนาจอธิปไตย ซึ่งนั่นเป็นความคิดส่วนตัวของเขา 👉ยูเครนพร้อมเปิดใจให้การเจรจากับรัสเซีย "แต่ไม่ใช่กับปูติน" 👉หากภายในธุรกิจหรือประชาชนในภูมิภาคใดๆของรัสเซียที่พร้อมจะต่อต้านสงครามและทำงานเพื่อสันติภาพ แจ้งมาที่เรา เราพร้อมที่จะรับฟังและร่วมมือกัน 👉ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรพร้อมส่งกองกำลังเข้าสู่ยูเครน เราเป็นสามเหลี่ยมที่จับมือกันอย่างแน่นหนา "ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และยูเครน" 👉ยูเครนจะมีการแลกเปลี่ยนข่าวกรอง ภาพถ่ายดาวเทียม รวมทั้งได้รับใบอนุญาตจากประเทศในยุโรป ในการผลิตกระสุน ขีปนาวุธ และเทคโนโลยีป้องกันภัยทางอากาศ 👉สัปดาห์นี้ เคียฟจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฉุกเฉินแบบปิด(ไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าร่วมฟัง) ของผู้นำกองทัพจากประเทศต่างๆ ที่พร้อมจะส่งกองกำลังเข้าสู่ยูเครน 👉ก่อนหน้านี้สหรัฐรับปากจะทำงานร่วมกับซาอุดีอาระเบีย ตุรกี และพันธมิตรในยุโรป เกี่ยวกับวิธีการติดตามการโจมตีของรัสเซียต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครน 👉ยูเครนไม่เห็นด้วยที่จะให้ซาอุดีอาระเบียเข้ามากำกับดูแลโครงสร้างด้านพลังงานของเรา พวกเขาขาดอุปกรณ์ ประสบการณ์ความรู้ทางเทคนิค และความสามารถด้านข่าวกรอง 👉การติดตามความปลอดภัยในทะเลดำ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และรัฐชายฝั่งทะเลดำ ได้แก่ โรมาเนียและบัลแกเรีย จะเป็นฝ่ายที่ต้องดูแลร่วมกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 308 มุมมอง 18 0 รีวิว
  • แบตเตอรี่รุ่นใหม่ในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านความจุ ความเร็วในการชาร์จ ความปลอดภัย และอายุการใช้งาน นี่คือความคืบหน้าล่าสุดและเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง:

    ### 1. **แบตเตอรี่ Solid-State**
    - **ความคืบหน้า**: หลายบริษัทเช่น Toyota, QuantumScape และ Samsung SDI กำลังเร่งพัฒนาสู่การผลิตมวลชน คาดว่าจะเริ่มใช้ในรถไฟฟ้า (EV) และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในปี 2025-2030
    - **จุดเด่น**:
    - ความหนาแน่นพลังงานสูงขึ้น (อาจถึง 2-3 เท่าของ Li-ion)
    - ชาร์จเร็วขึ้น ลดความเสี่ยงการระเบิดหรือ overheating
    - อายุการใช้งานยาวนานกว่า

    ### 2. **แบตเตอรี่ Lithium-Sulfur (Li-S)**
    - **ความคืบหน้า**: บริษัทเช่น Oxis Energy และ Sion Power กำลังทดสอบในโดรนและอากาศยาน
    - **จุดเด่น**:
    - ความจุพลังงานสูงกว่าลิเธียม-ไอออนถึง 5 เท่า
    - วัสดุราคาถูกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่า

    ### 3. **เทคโนโลยี Silicon Anode**
    - **ความคืบหน้า**: Tesla, Panasonic และ Sila Nanotechnologies เริ่มใช้ซิลิกอนแทนกราไฟต์ในแอโนด
    - **จุดเด่น**:
    - เพิ่มความจุพลังงาน 20-40%
    - ชาร์จเร็วขึ้นโดยไม่ลดอายุการใช้งาน

    ### 4. **แบตเตอรี่ Sodium-Ion (แทน Lithium)**
    - **ความคืบหน้า**: CATL (ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของจีน) เริ่มผลิตแล้วในปี 2023
    - **จุดเด่น**:
    - ราคาถูกกว่าเพราะใช้โซเดียม (มีมากในธรรมชาติ)
    - ทำงานได้ดีในอุณหภูมิต่ำ

    ### 5. **นวัตกรรมการชาร์จ**
    - **Ultra-Fast Charging**: แบตเตอรี่รุ่นใหม่บางชนิดชาร์จได้ 80% ใน 15 นาที (เช่นในรถไฟฟ้ารุ่นล่าสุด)
    - **Wireless Charging**: เริ่มใช้ในสมาร์ทโฟนและรถไฟฟ้าแบบไร้สาย

    ### **สรุปการพัฒนา**
    - **ดีขึ้นชัดเจน** ในด้านความจุและความเร็ว แต่ยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและการผลิตมวลชน
    - **รถไฟฟ้าได้ประโยชน์มากสุด** จากแบตเตอรี่ความจุสูงและปลอดภัยขึ้น
    - **อุปกรณ์พกพา** เช่น สมาร์ทโฟนอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงช้ากว่า เน้นการชาร์จเร็วและอายุการใช้งาน

    คาดการณ์ว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้า แบตเตอรี่รุ่นใหม่จะลดราคาและแพร่หลาย ส่งผลให้รถไฟฟ้าราคาถูกลงและเก็บพลังงานสะอาดได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น!
    แบตเตอรี่รุ่นใหม่ในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านความจุ ความเร็วในการชาร์จ ความปลอดภัย และอายุการใช้งาน นี่คือความคืบหน้าล่าสุดและเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง: ### 1. **แบตเตอรี่ Solid-State** - **ความคืบหน้า**: หลายบริษัทเช่น Toyota, QuantumScape และ Samsung SDI กำลังเร่งพัฒนาสู่การผลิตมวลชน คาดว่าจะเริ่มใช้ในรถไฟฟ้า (EV) และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในปี 2025-2030 - **จุดเด่น**: - ความหนาแน่นพลังงานสูงขึ้น (อาจถึง 2-3 เท่าของ Li-ion) - ชาร์จเร็วขึ้น ลดความเสี่ยงการระเบิดหรือ overheating - อายุการใช้งานยาวนานกว่า ### 2. **แบตเตอรี่ Lithium-Sulfur (Li-S)** - **ความคืบหน้า**: บริษัทเช่น Oxis Energy และ Sion Power กำลังทดสอบในโดรนและอากาศยาน - **จุดเด่น**: - ความจุพลังงานสูงกว่าลิเธียม-ไอออนถึง 5 เท่า - วัสดุราคาถูกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่า ### 3. **เทคโนโลยี Silicon Anode** - **ความคืบหน้า**: Tesla, Panasonic และ Sila Nanotechnologies เริ่มใช้ซิลิกอนแทนกราไฟต์ในแอโนด - **จุดเด่น**: - เพิ่มความจุพลังงาน 20-40% - ชาร์จเร็วขึ้นโดยไม่ลดอายุการใช้งาน ### 4. **แบตเตอรี่ Sodium-Ion (แทน Lithium)** - **ความคืบหน้า**: CATL (ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของจีน) เริ่มผลิตแล้วในปี 2023 - **จุดเด่น**: - ราคาถูกกว่าเพราะใช้โซเดียม (มีมากในธรรมชาติ) - ทำงานได้ดีในอุณหภูมิต่ำ ### 5. **นวัตกรรมการชาร์จ** - **Ultra-Fast Charging**: แบตเตอรี่รุ่นใหม่บางชนิดชาร์จได้ 80% ใน 15 นาที (เช่นในรถไฟฟ้ารุ่นล่าสุด) - **Wireless Charging**: เริ่มใช้ในสมาร์ทโฟนและรถไฟฟ้าแบบไร้สาย ### **สรุปการพัฒนา** - **ดีขึ้นชัดเจน** ในด้านความจุและความเร็ว แต่ยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและการผลิตมวลชน - **รถไฟฟ้าได้ประโยชน์มากสุด** จากแบตเตอรี่ความจุสูงและปลอดภัยขึ้น - **อุปกรณ์พกพา** เช่น สมาร์ทโฟนอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงช้ากว่า เน้นการชาร์จเร็วและอายุการใช้งาน คาดการณ์ว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้า แบตเตอรี่รุ่นใหม่จะลดราคาและแพร่หลาย ส่งผลให้รถไฟฟ้าราคาถูกลงและเก็บพลังงานสะอาดได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปฏิบัติการค้นหาและกู้ซากรถกู้ภัยหุ้มเกราะ M88A2 “Hercules” ของกองทัพสหรัฐฯ ที่จมโคลนพร้อมกับเจ้าหน้าที่ 4 นาย ซึ่งคาดว่าเสียชีวิตแล้ว ยังคงดำเนินต่อไปในลิทัวเนีย

    กองกำลังพิเศษที่ประกอบด้วยทหาร 50 นายและยุทโธปกรณ์หนักจากกองทัพโปแลนด์รวมถึงเจ้าหน้าที่ทหารอื่นๆ ของ NATO ยังคงทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อกู้รถหุ้มเกราะพร้อมด้วยร่างของทหารอเมริกัน 4 นายซึ่งจมลงไปในหนองน้ำระดับความลึก 5 เมตร นานกว่า 1 วัน ระหว่างการซ้อมรบร่วมเมื่อวันอังคารในลิทัวเนียตะวันออกห่างจากชายแดนเพียงไม่กี่ไมล์

    คาดว่าการกู้ซากอาจต้องใช้เวลาหลายวันในการระบายน้ำออก และขุดลงไปในโคลนลึกซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญ
    ปฏิบัติการค้นหาและกู้ซากรถกู้ภัยหุ้มเกราะ M88A2 “Hercules” ของกองทัพสหรัฐฯ ที่จมโคลนพร้อมกับเจ้าหน้าที่ 4 นาย ซึ่งคาดว่าเสียชีวิตแล้ว ยังคงดำเนินต่อไปในลิทัวเนีย กองกำลังพิเศษที่ประกอบด้วยทหาร 50 นายและยุทโธปกรณ์หนักจากกองทัพโปแลนด์รวมถึงเจ้าหน้าที่ทหารอื่นๆ ของ NATO ยังคงทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อกู้รถหุ้มเกราะพร้อมด้วยร่างของทหารอเมริกัน 4 นายซึ่งจมลงไปในหนองน้ำระดับความลึก 5 เมตร นานกว่า 1 วัน ระหว่างการซ้อมรบร่วมเมื่อวันอังคารในลิทัวเนียตะวันออกห่างจากชายแดนเพียงไม่กี่ไมล์ คาดว่าการกู้ซากอาจต้องใช้เวลาหลายวันในการระบายน้ำออก และขุดลงไปในโคลนลึกซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุติค้นหา ตึกใหม่ สตง. ถล่ม! ยืนยันตาย 7 ศพ สูญหาย 47 คน เปิดเบื้องหลังบริษัทยักษ์ใหญ่จีน ชิมลางสร้างตึกสูงในไทย แห่งแรกในต่างแดน ที่จบไม่สวย

    📌 เหตุการณ์สั่นสะเทือนวงการก่อสร้างไทย-จีน ที่สะท้อนความเสี่ยงระดับชาติ

    🏗️ แผ่นดินไหวแรงสะเทือนถึงใจ ตึกใหม่ สตง. ถล่มกลางกรุง! ในช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น... อาคารสำนักงานแห่งใหม่ของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในย่านจตุจักร กรุงเทพฯ พังถล่มลงมาอย่างรุนแรง หลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ในประเทศเมียนมา ซึ่งแรงสั่นสะเทือนส่งผลมาถึงกรุงเทพฯ

    เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะเทือนชีวิตผู้คน มีผู้เสียชีวิตยืนยันแล้ว 7 ศพ สูญหาย 47 คน และมีผู้ติดอยู่ใต้ซากอาคาร 30 คน แต่ยังเป็น จุดจบของความหวังทางยุทธศาสตร์ ที่จะให้บริษัทจีนเข้ามาชิมลาง สร้างอาคารสูงพิเศษในไทย เป็นครั้งแรกในต่างแดน 🇹🇭🇨🇳

    📌 เมื่อช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ 8.2 แมกนิจูด ในประเทศเมียนมา ซึ่งมีศูนย์กลางลึกใต้ดินกว่า 90 กม. แม้จะห่างจากกรุงเทพฯ หลายร้อยกิโลเมตร แต่แรงสั่นสะเทือน สามารถรับรู้ได้ถึงกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล 🌀

    จุดพังถล่มคือ อาคารสำนักงาน สตง. แห่งใหม่ บริเวณถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และเพิ่งสร้างโครงสร้างเสร็จไปได้เพียง 30% ของแผนงาน

    แม้อาคารจะยังไม่เปิดใช้งาน แต่ในขณะนั้นมีวิศวกร ช่างเทคนิค และคนงานกว่า 100 ชีวิต อยู่ภายใน เนื่องจากกำลังเร่งติดตั้งระบบภายใน เช่น ระบบไฟฟ้า น้ำ และระบบอาคารอัจฉริยะต่างๆ

    ⛑️ ทันทีหลังจากเหตุการณ์ถล่ม เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยหลายทีม ได้เข้าพื้นที่อย่างเร่งด่วน พร้อมอุปกรณ์ค้นหา และกู้ภัยทันสมัย เช่น กล้องจับความร้อน, โดรน, เครื่องตรวจจับเสียง ฯลฯ

    📉 ภาพรวมความเสียหาย และภารกิจค้นหาผู้รอดชีวิต
    🚨 สรุปสถานการณ์ ณ วันที่ 29 มีนาคม เวลา 05.00 น.
    - เสียชีวิตแล้ว 7 ศพ นำออกมาได้แล้ว 5 ศพ
    - ผู้รอดชีวิต 9 คน บาดเจ็บหลากหลายระดับ
    - ผู้ติดใต้ซาก 30 คน มีสัญญาณชีพ 15 คน
    - ผู้สูญหาย 47 คน
    - ยืนยันตัวตนแล้ว 85 คน

    การค้นหาแบ่งออกเป็น 4 โซน ได้แก่ A, B, C, D
    📍โซน A พบผู้มีสัญญาณชีพ 10 ราย
    📍โซน B พบผู้มีสัญญาณชีพ 2 ราย
    📍โซน D พบผู้มีสัญญาณชีพ 3 ราย

    การค้นหาต้องหยุดชั่วคราว เพื่อประเมินแผนใหม่ เนื่องจากโครงสร้างบางจุดยังไม่เสถียร เสี่ยงต่อเจ้าหน้าที่ค้นหาเองด้วย

    💬 “เรากำลังแข่งกับเวลา และแข่งกับซากปูนที่อาจถล่มซ้ำอีกทุกวินาที” หนึ่งในทีมกู้ภัยกล่าว

    🏢 โครงการก่อสร้างอาคาร สตง. เป้าหมายสู่อนาคตรัฐ อาคารสำนักงานแห่งใหม่นี้ ถูกวางเป้าหมายให้เป็น ศูนย์กลางการเงิน และการควบคุมงบประมาณของรัฐ โดยมีโครงสร้าง 30 ชั้น ความสูงรวม 137 เมตร รวมพื้นที่ก่อสร้างกว่า 96,000 ตารางเมตร

    👉 อาคารนี้ประกอบด้วย อาคารสำนักงานหลัก อาคารประชุม และอาคารจอดรถอัตโนมัติ

    โครงการเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2563 ด้วยงบประมาณ 2,136 ล้านบาท โดยผู้รับเหมาก่อสร้างหลัก คือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี และควบคุมงานโดยกลุ่มวิศวกร PKW โดยมีการลงนาม Integrity Pact กับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เพื่อความโปร่งใสในการจัดจ้าง

    🏗️ "ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10" บริษัทยักษ์จากจีนผู้หวังปักหมุดในไทย “China Railway No.10 Engineering Group” หรือ CRCC เป็นบริษัทลูกของกลุ่มรัฐวิสาหกิจจีน ที่มีชื่อเสียงด้านโครงสร้างพื้นฐาน

    โครงการ สตง. คือ โครงการอาคารสูงพิเศษแห่งแรกในต่างแดน ของบริษัทนี้ นำเทคโนโลยีล้ำสมัยจากจีนเข้ามาใช้เต็มที่ เช่น
    - ระบบ “แกนกลางรับแรง + พื้นไร้คาน”
    - เทคนิคแบบสไลด์คอนกรีต (Slip Form)
    - ระบบนั่งร้านปีนไต่อัตโนมัติ
    - ระบบติดตั้งไฟฟ้า แบบไม่ให้ท่อชนกันแม้แต่นิดเดียว

    👷 ทั้งหมดนี้แสดงถึงความพร้อมด้านวิศวกรรม และความหวังจะก้าวเข้าตลาดอาเซียนอย่างยิ่งใหญ่ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น กลับกลายเป็นวิกฤตแห่งความเชื่อมั่น...

    🔍 ความเสียหายเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่ตึกถล่ม แต่คือภาพลักษณ์ล่มสลาย ผลกระทบหลัก 3 ด้าน
    - ชีวิตคนงาน การสูญเสียชีวิต7 ศพ และผู้ติดอยู่ใต้ซากหลายสิบคน คือความสูญเสียที่ไม่มีเม็ดเงินใดทดแทนได้

    - ความเชื่อมั่นในบริษัทจีน โครงการนี้เคยเป็นความหวังว่าจะเป็น “โชว์เคสระดับอาเซียน” กลายเป็น “บทเรียนราคาแพง”

    - ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน โครงการยุทธศาสตร์ไทย-จีนในอนาคตอาจถูกชะลอ ตรวจสอบมากขึ้น และถูกตั้งคำถามมากขึ้น

    🧑‍💼 การตอบสนองของหน่วยงานรัฐ เดินหน้าแก้ไข เร่งค้นหาความจริง
    – นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ลงพื้นที่พร้อมทีมวิศวกรกว่า 100 คน เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารทั่วกรุงเทพฯ ที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว

    – นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เร่งตรวจสอบคุณภาพโครงการ และประเมินความเสียหาย พร้อมยืนยัน จะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส

    – นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กทม. รายงานสถานการณ์ค้นหาอย่างต่อเนื่อง พร้อมแบ่งโซนและใช้เทคโนโลยี ช่วยระบุตำแหน่งผู้ติดใต้ซาก

    ✅ จุดจบที่ไม่ควรเกิด กับความหวังที่ดับไปกลางซากอาคาร โศกนาฏกรรมครั้งนี้ เป็นจุดเตือนที่สะเทือนใจว่า การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ไม่อาจวัดด้วยเทคโนโลยี หรือเงินทุนเพียงอย่างเดียว ต้องอาศัย มาตรฐาน ความปลอดภัย และความโปร่งใสระดับสูงสุด

    หากสิ่งเหล่านี้ขาดหายไป... แม้จะเป็นโครงการที่ดูดีแค่ไหน ก็พร้อมจะพังถล่มลงมาในพริบตา 🕯️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 291100 มี.ค. 2568

    🔖#ตึกสตงถล่ม #CRCCไทย #ไชน่าเรลเวย์10 #ข่าวด่วน #แผ่นดินไหว #อาคารสูงพิเศษ #ก่อสร้างไทยจีน #ข่าวโศกนาฏกรรม #ตึกถล่ม #ไทยจีน
    ยุติค้นหา ตึกใหม่ สตง. ถล่ม! ยืนยันตาย 7 ศพ สูญหาย 47 คน เปิดเบื้องหลังบริษัทยักษ์ใหญ่จีน ชิมลางสร้างตึกสูงในไทย แห่งแรกในต่างแดน ที่จบไม่สวย 📌 เหตุการณ์สั่นสะเทือนวงการก่อสร้างไทย-จีน ที่สะท้อนความเสี่ยงระดับชาติ 🏗️ แผ่นดินไหวแรงสะเทือนถึงใจ ตึกใหม่ สตง. ถล่มกลางกรุง! ในช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น... อาคารสำนักงานแห่งใหม่ของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในย่านจตุจักร กรุงเทพฯ พังถล่มลงมาอย่างรุนแรง หลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ในประเทศเมียนมา ซึ่งแรงสั่นสะเทือนส่งผลมาถึงกรุงเทพฯ เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะเทือนชีวิตผู้คน มีผู้เสียชีวิตยืนยันแล้ว 7 ศพ สูญหาย 47 คน และมีผู้ติดอยู่ใต้ซากอาคาร 30 คน แต่ยังเป็น จุดจบของความหวังทางยุทธศาสตร์ ที่จะให้บริษัทจีนเข้ามาชิมลาง สร้างอาคารสูงพิเศษในไทย เป็นครั้งแรกในต่างแดน 🇹🇭🇨🇳 📌 เมื่อช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ 8.2 แมกนิจูด ในประเทศเมียนมา ซึ่งมีศูนย์กลางลึกใต้ดินกว่า 90 กม. แม้จะห่างจากกรุงเทพฯ หลายร้อยกิโลเมตร แต่แรงสั่นสะเทือน สามารถรับรู้ได้ถึงกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล 🌀 จุดพังถล่มคือ อาคารสำนักงาน สตง. แห่งใหม่ บริเวณถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และเพิ่งสร้างโครงสร้างเสร็จไปได้เพียง 30% ของแผนงาน แม้อาคารจะยังไม่เปิดใช้งาน แต่ในขณะนั้นมีวิศวกร ช่างเทคนิค และคนงานกว่า 100 ชีวิต อยู่ภายใน เนื่องจากกำลังเร่งติดตั้งระบบภายใน เช่น ระบบไฟฟ้า น้ำ และระบบอาคารอัจฉริยะต่างๆ ⛑️ ทันทีหลังจากเหตุการณ์ถล่ม เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยหลายทีม ได้เข้าพื้นที่อย่างเร่งด่วน พร้อมอุปกรณ์ค้นหา และกู้ภัยทันสมัย เช่น กล้องจับความร้อน, โดรน, เครื่องตรวจจับเสียง ฯลฯ 📉 ภาพรวมความเสียหาย และภารกิจค้นหาผู้รอดชีวิต 🚨 สรุปสถานการณ์ ณ วันที่ 29 มีนาคม เวลา 05.00 น. - เสียชีวิตแล้ว 7 ศพ นำออกมาได้แล้ว 5 ศพ - ผู้รอดชีวิต 9 คน บาดเจ็บหลากหลายระดับ - ผู้ติดใต้ซาก 30 คน มีสัญญาณชีพ 15 คน - ผู้สูญหาย 47 คน - ยืนยันตัวตนแล้ว 85 คน การค้นหาแบ่งออกเป็น 4 โซน ได้แก่ A, B, C, D 📍โซน A พบผู้มีสัญญาณชีพ 10 ราย 📍โซน B พบผู้มีสัญญาณชีพ 2 ราย 📍โซน D พบผู้มีสัญญาณชีพ 3 ราย การค้นหาต้องหยุดชั่วคราว เพื่อประเมินแผนใหม่ เนื่องจากโครงสร้างบางจุดยังไม่เสถียร เสี่ยงต่อเจ้าหน้าที่ค้นหาเองด้วย 💬 “เรากำลังแข่งกับเวลา และแข่งกับซากปูนที่อาจถล่มซ้ำอีกทุกวินาที” หนึ่งในทีมกู้ภัยกล่าว 🏢 โครงการก่อสร้างอาคาร สตง. เป้าหมายสู่อนาคตรัฐ อาคารสำนักงานแห่งใหม่นี้ ถูกวางเป้าหมายให้เป็น ศูนย์กลางการเงิน และการควบคุมงบประมาณของรัฐ โดยมีโครงสร้าง 30 ชั้น ความสูงรวม 137 เมตร รวมพื้นที่ก่อสร้างกว่า 96,000 ตารางเมตร 👉 อาคารนี้ประกอบด้วย อาคารสำนักงานหลัก อาคารประชุม และอาคารจอดรถอัตโนมัติ โครงการเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2563 ด้วยงบประมาณ 2,136 ล้านบาท โดยผู้รับเหมาก่อสร้างหลัก คือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี และควบคุมงานโดยกลุ่มวิศวกร PKW โดยมีการลงนาม Integrity Pact กับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เพื่อความโปร่งใสในการจัดจ้าง 🏗️ "ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10" บริษัทยักษ์จากจีนผู้หวังปักหมุดในไทย “China Railway No.10 Engineering Group” หรือ CRCC เป็นบริษัทลูกของกลุ่มรัฐวิสาหกิจจีน ที่มีชื่อเสียงด้านโครงสร้างพื้นฐาน โครงการ สตง. คือ โครงการอาคารสูงพิเศษแห่งแรกในต่างแดน ของบริษัทนี้ นำเทคโนโลยีล้ำสมัยจากจีนเข้ามาใช้เต็มที่ เช่น - ระบบ “แกนกลางรับแรง + พื้นไร้คาน” - เทคนิคแบบสไลด์คอนกรีต (Slip Form) - ระบบนั่งร้านปีนไต่อัตโนมัติ - ระบบติดตั้งไฟฟ้า แบบไม่ให้ท่อชนกันแม้แต่นิดเดียว 👷 ทั้งหมดนี้แสดงถึงความพร้อมด้านวิศวกรรม และความหวังจะก้าวเข้าตลาดอาเซียนอย่างยิ่งใหญ่ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น กลับกลายเป็นวิกฤตแห่งความเชื่อมั่น... 🔍 ความเสียหายเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่ตึกถล่ม แต่คือภาพลักษณ์ล่มสลาย ผลกระทบหลัก 3 ด้าน - ชีวิตคนงาน การสูญเสียชีวิต7 ศพ และผู้ติดอยู่ใต้ซากหลายสิบคน คือความสูญเสียที่ไม่มีเม็ดเงินใดทดแทนได้ - ความเชื่อมั่นในบริษัทจีน โครงการนี้เคยเป็นความหวังว่าจะเป็น “โชว์เคสระดับอาเซียน” กลายเป็น “บทเรียนราคาแพง” - ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน โครงการยุทธศาสตร์ไทย-จีนในอนาคตอาจถูกชะลอ ตรวจสอบมากขึ้น และถูกตั้งคำถามมากขึ้น 🧑‍💼 การตอบสนองของหน่วยงานรัฐ เดินหน้าแก้ไข เร่งค้นหาความจริง – นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ลงพื้นที่พร้อมทีมวิศวกรกว่า 100 คน เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารทั่วกรุงเทพฯ ที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว – นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เร่งตรวจสอบคุณภาพโครงการ และประเมินความเสียหาย พร้อมยืนยัน จะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส – นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กทม. รายงานสถานการณ์ค้นหาอย่างต่อเนื่อง พร้อมแบ่งโซนและใช้เทคโนโลยี ช่วยระบุตำแหน่งผู้ติดใต้ซาก ✅ จุดจบที่ไม่ควรเกิด กับความหวังที่ดับไปกลางซากอาคาร โศกนาฏกรรมครั้งนี้ เป็นจุดเตือนที่สะเทือนใจว่า การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ไม่อาจวัดด้วยเทคโนโลยี หรือเงินทุนเพียงอย่างเดียว ต้องอาศัย มาตรฐาน ความปลอดภัย และความโปร่งใสระดับสูงสุด หากสิ่งเหล่านี้ขาดหายไป... แม้จะเป็นโครงการที่ดูดีแค่ไหน ก็พร้อมจะพังถล่มลงมาในพริบตา 🕯️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 291100 มี.ค. 2568 🔖#ตึกสตงถล่ม #CRCCไทย #ไชน่าเรลเวย์10 #ข่าวด่วน #แผ่นดินไหว #อาคารสูงพิเศษ #ก่อสร้างไทยจีน #ข่าวโศกนาฏกรรม #ตึกถล่ม #ไทยจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 387 มุมมอง 0 รีวิว
  • SpaceX เตรียมสร้างประวัติศาสตร์ด้วยภารกิจ Fram2 ที่พายาน Crew Dragon บินผ่านขั้วโลกทั้งสอง โดยต้องปรับซอฟต์แวร์และเส้นทางใหม่เพื่อความปลอดภัย ภารกิจนี้ยังเพิ่มอินเทอร์เน็ต Starlink บนยานเพื่อรองรับการใช้งานระหว่างการโคจร ถือเป็นก้าวใหม่ที่น่าสนใจในเทคโนโลยีการบินอวกาศ

    ปรับเปลี่ยนเส้นทางบินครั้งสำคัญ:
    - เส้นทางบินของ Fram2 จะพุ่งตรงไปทางใต้ ผ่านฟลอริดา คิวบา ปานามา และทางตะวันตกของเปรูและเอกวาดอร์ ซึ่งเป็นการเบี่ยงเบนจากภารกิจทั่วไปของ SpaceX ที่มักจะมุ่งเน้นไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ทางตะวันออกเฉียงเหนือ.

    ปรับปรุงซอฟต์แวร์และความปลอดภัย:
    - ยาน Crew Dragon ได้รับการปรับซอฟต์แวร์เพื่อให้สามารถลงจอดในน้ำได้อย่างปลอดภัยในกรณีฉุกเฉิน ขณะเดียวกัน Falcon 9 ก็เปลี่ยนการลงจอดใหม่ โดยใช้การเบิร์น "boost-back" สั้น ๆ เพื่อให้ลงจอดในน่านน้ำสากล.

    การสื่อสารในขั้วโลก:
    - SpaceX เพิ่มสถานี Starlink ในยาน Crew Dragon เพื่อให้ลูกเรือสามารถใช้อินเทอร์เน็ตด้วยความเร็ว 1 กิกะบิตต่อวินาทีในระหว่างการโคจรผ่านขั้วโลก.

    ความท้าทายใหม่ที่ต้องเผชิญ:
    - การลงจอดทางฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ในภารกิจนี้เป็นครั้งแรก เพื่อป้องกันความเสียหายจากอุปกรณ์ที่ติดตั้งในส่วน "trunk" ของยาน นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงชั้นเมฆที่อาจเป็นปัญหาสำหรับเฮลิคอปเตอร์กู้ยาน.

    https://wccftech.com/spacex-spills-the-beans-on-historys-first-astronaut-mission-to-the-earths-poles/
    SpaceX เตรียมสร้างประวัติศาสตร์ด้วยภารกิจ Fram2 ที่พายาน Crew Dragon บินผ่านขั้วโลกทั้งสอง โดยต้องปรับซอฟต์แวร์และเส้นทางใหม่เพื่อความปลอดภัย ภารกิจนี้ยังเพิ่มอินเทอร์เน็ต Starlink บนยานเพื่อรองรับการใช้งานระหว่างการโคจร ถือเป็นก้าวใหม่ที่น่าสนใจในเทคโนโลยีการบินอวกาศ ปรับเปลี่ยนเส้นทางบินครั้งสำคัญ: - เส้นทางบินของ Fram2 จะพุ่งตรงไปทางใต้ ผ่านฟลอริดา คิวบา ปานามา และทางตะวันตกของเปรูและเอกวาดอร์ ซึ่งเป็นการเบี่ยงเบนจากภารกิจทั่วไปของ SpaceX ที่มักจะมุ่งเน้นไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ทางตะวันออกเฉียงเหนือ. ปรับปรุงซอฟต์แวร์และความปลอดภัย: - ยาน Crew Dragon ได้รับการปรับซอฟต์แวร์เพื่อให้สามารถลงจอดในน้ำได้อย่างปลอดภัยในกรณีฉุกเฉิน ขณะเดียวกัน Falcon 9 ก็เปลี่ยนการลงจอดใหม่ โดยใช้การเบิร์น "boost-back" สั้น ๆ เพื่อให้ลงจอดในน่านน้ำสากล. การสื่อสารในขั้วโลก: - SpaceX เพิ่มสถานี Starlink ในยาน Crew Dragon เพื่อให้ลูกเรือสามารถใช้อินเทอร์เน็ตด้วยความเร็ว 1 กิกะบิตต่อวินาทีในระหว่างการโคจรผ่านขั้วโลก. ความท้าทายใหม่ที่ต้องเผชิญ: - การลงจอดทางฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ในภารกิจนี้เป็นครั้งแรก เพื่อป้องกันความเสียหายจากอุปกรณ์ที่ติดตั้งในส่วน "trunk" ของยาน นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงชั้นเมฆที่อาจเป็นปัญหาสำหรับเฮลิคอปเตอร์กู้ยาน. https://wccftech.com/spacex-spills-the-beans-on-historys-first-astronaut-mission-to-the-earths-poles/
    WCCFTECH.COM
    SpaceX Spills The Beans On History's First Astronaut Mission To The Earth's Poles!
    SpaceX shares details about its historic Fram2 launch to the Earth's poles on coming Monday. Take a look here for more!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • มัลแวร์ PJobRAT กลับมาอีกครั้งพร้อมความสามารถใหม่ ๆ ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถขโมยข้อมูลสำคัญและควบคุมอุปกรณ์ Android ได้ มันปลอมตัวเป็นแอปแชทที่ดูเหมือนจริงและแจกจ่ายผ่านเว็บไซต์ WordPress ผู้ใช้ควรระวังการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือและอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันภัยคุกคาม

    พัฒนาการของมัลแวร์:
    - PJobRAT เวอร์ชันใหม่สามารถปลอมตัวเป็นแอปแชท เช่น SangaalLite และ CChat ซึ่งเป็นการเลียนแบบแอปแชทที่มีชื่อเสียง เพื่อให้ผู้ใช้ไว้วางใจและติดตั้ง.

    การแพร่กระจาย:
    - แอปที่ติดมัลแวร์ถูกแจกจ่ายผ่านเว็บไซต์ WordPress แทนที่จะผ่านแอปสโตร์หลัก เช่น Google Play ทำให้มัลแวร์สามารถแพร่กระจายได้อย่างยากที่จะตรวจสอบ.

    ผลกระทบต่อความปลอดภัย:
    - ความสามารถของมัลแวร์ที่รันคำสั่ง shell ช่วยให้ผู้โจมตีสามารถใช้อุปกรณ์ของเหยื่อในการโจมตีเป้าหมายอื่นในเครือข่ายได้ และยังสามารถลบตัวเองออกจากระบบเมื่อบรรลุเป้าหมาย.

    คำแนะนำสำหรับผู้ใช้:
    - หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ, ใช้แอนตี้ไวรัสบนอุปกรณ์ และอัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชันอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันความเสี่ยง.

    https://www.techradar.com/pro/security/an-old-android-rat-has-returned-with-some-new-tricks-here-is-what-to-look-out-for
    มัลแวร์ PJobRAT กลับมาอีกครั้งพร้อมความสามารถใหม่ ๆ ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถขโมยข้อมูลสำคัญและควบคุมอุปกรณ์ Android ได้ มันปลอมตัวเป็นแอปแชทที่ดูเหมือนจริงและแจกจ่ายผ่านเว็บไซต์ WordPress ผู้ใช้ควรระวังการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือและอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันภัยคุกคาม พัฒนาการของมัลแวร์: - PJobRAT เวอร์ชันใหม่สามารถปลอมตัวเป็นแอปแชท เช่น SangaalLite และ CChat ซึ่งเป็นการเลียนแบบแอปแชทที่มีชื่อเสียง เพื่อให้ผู้ใช้ไว้วางใจและติดตั้ง. การแพร่กระจาย: - แอปที่ติดมัลแวร์ถูกแจกจ่ายผ่านเว็บไซต์ WordPress แทนที่จะผ่านแอปสโตร์หลัก เช่น Google Play ทำให้มัลแวร์สามารถแพร่กระจายได้อย่างยากที่จะตรวจสอบ. ผลกระทบต่อความปลอดภัย: - ความสามารถของมัลแวร์ที่รันคำสั่ง shell ช่วยให้ผู้โจมตีสามารถใช้อุปกรณ์ของเหยื่อในการโจมตีเป้าหมายอื่นในเครือข่ายได้ และยังสามารถลบตัวเองออกจากระบบเมื่อบรรลุเป้าหมาย. คำแนะนำสำหรับผู้ใช้: - หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ, ใช้แอนตี้ไวรัสบนอุปกรณ์ และอัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชันอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันความเสี่ยง. https://www.techradar.com/pro/security/an-old-android-rat-has-returned-with-some-new-tricks-here-is-what-to-look-out-for
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนพยายามเร่งสร้างศูนย์ข้อมูล AI แต่กลับพบว่าหลายโครงการล้มเหลวเพราะวางแผนไม่รอบคอบ และไม่ได้ใช้งานจริงตามที่คาดหวัง โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้กลายเป็นภาระทางเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลยังคงมองว่าเป็นโอกาสเรียนรู้และปรับตัวในอนาคต โดยจะสนับสนุนบริษัทใหญ่ให้พัฒนา AI และโครงสร้างพื้นฐานต่อไป

    การเร่งลงทุนที่มากเกินไป:
    - จีนได้เปิดตัวศูนย์ข้อมูลกว่า 500 แห่งในปี 2023 โดยมีอย่างน้อย 150 แห่งเริ่มดำเนินการภายในปี 2024 แต่หลายโครงการมุ่งเน้นการดึงดูดเงินอุดหนุนจากรัฐบาลมากกว่าการสร้างศักยภาพ AI ที่แท้จริง.

    ปัญหาด้านเทคโนโลยีและอุปสงค์:
    - เทคโนโลยีที่ใช้ในศูนย์ข้อมูลไม่ตอบโจทย์ความต้องการปัจจุบัน เช่น งานด้าน AI inference ซึ่งต้องการอุปกรณ์ที่รวดเร็วและประหยัดพลังงาน แต่ศูนย์กลับถูกออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI training ที่ไม่จำเป็นในตลาด.

    ราคาที่ลดลงของ GPU Rental:
    - ค่าเช่าหน่วยประมวลผล AI เช่น Nvidia H100 ลดลงมากจาก 180,000 หยวน ($24,000) ต่อเดือน เหลือเพียง 75,000 หยวน ($10,000) ซึ่งสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของตลาด AI.

    การปรับเปลี่ยนแผนในอนาคต:
    - รัฐบาลจีนยังคงให้ความสำคัญกับ AI โดยมองว่านี่เป็นการเรียนรู้จากความผิดพลาด และมีแผนจะมอบหมายศูนย์ข้อมูลที่ไม่ประสบความสำเร็จให้กับผู้ดำเนินการที่มีศักยภาพสูงขึ้น เช่น Alibaba และ ByteDance ที่ได้ประกาศลงทุนเพิ่มในโครงสร้างพื้นฐาน AI.

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinas-ai-data-center-boom-goes-bust-rush-leaves-billions-of-dollars-in-idle-infrastructure
    จีนพยายามเร่งสร้างศูนย์ข้อมูล AI แต่กลับพบว่าหลายโครงการล้มเหลวเพราะวางแผนไม่รอบคอบ และไม่ได้ใช้งานจริงตามที่คาดหวัง โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้กลายเป็นภาระทางเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลยังคงมองว่าเป็นโอกาสเรียนรู้และปรับตัวในอนาคต โดยจะสนับสนุนบริษัทใหญ่ให้พัฒนา AI และโครงสร้างพื้นฐานต่อไป การเร่งลงทุนที่มากเกินไป: - จีนได้เปิดตัวศูนย์ข้อมูลกว่า 500 แห่งในปี 2023 โดยมีอย่างน้อย 150 แห่งเริ่มดำเนินการภายในปี 2024 แต่หลายโครงการมุ่งเน้นการดึงดูดเงินอุดหนุนจากรัฐบาลมากกว่าการสร้างศักยภาพ AI ที่แท้จริง. ปัญหาด้านเทคโนโลยีและอุปสงค์: - เทคโนโลยีที่ใช้ในศูนย์ข้อมูลไม่ตอบโจทย์ความต้องการปัจจุบัน เช่น งานด้าน AI inference ซึ่งต้องการอุปกรณ์ที่รวดเร็วและประหยัดพลังงาน แต่ศูนย์กลับถูกออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI training ที่ไม่จำเป็นในตลาด. ราคาที่ลดลงของ GPU Rental: - ค่าเช่าหน่วยประมวลผล AI เช่น Nvidia H100 ลดลงมากจาก 180,000 หยวน ($24,000) ต่อเดือน เหลือเพียง 75,000 หยวน ($10,000) ซึ่งสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของตลาด AI. การปรับเปลี่ยนแผนในอนาคต: - รัฐบาลจีนยังคงให้ความสำคัญกับ AI โดยมองว่านี่เป็นการเรียนรู้จากความผิดพลาด และมีแผนจะมอบหมายศูนย์ข้อมูลที่ไม่ประสบความสำเร็จให้กับผู้ดำเนินการที่มีศักยภาพสูงขึ้น เช่น Alibaba และ ByteDance ที่ได้ประกาศลงทุนเพิ่มในโครงสร้างพื้นฐาน AI. https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinas-ai-data-center-boom-goes-bust-rush-leaves-billions-of-dollars-in-idle-infrastructure
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 254 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft เปิดตัวเว็บไซต์ใหม่ (https://www.microsoft.com/en-us/windows/business/roadmap) ที่ช่วยให้ผู้ใช้ติดตามคุณสมบัติของ Windows 11 ที่กำลังพัฒนาได้ง่ายขึ้น ผู้ใช้สามารถกรองข้อมูลตามเวอร์ชัน Windows หรือสถานะการเปิดตัว และยังมีฟีเจอร์ AI อย่าง Recall ที่เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน นี่คือเครื่องมือที่สร้างมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้ IT และผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการติดตามการอัปเดตของ Windows อย่างมีประสิทธิภาพ

    คุณสมบัติพิเศษของ Roadmap:
    - เว็บไซต์ใหม่นี้แสดงข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติใหม่ เช่น คำอธิบายสั้น ๆ วันที่คาดว่าจะเปิดตัว รายละเอียดความเข้ากันได้ และลิงก์ไปยังบล็อกที่เกี่ยวข้อง ผู้ใช้สามารถกรองข้อมูล เช่น คุณสมบัติที่จำกัดเฉพาะอุปกรณ์ Copilot+ หรือเวอร์ชัน Windows อย่าง 23H2 และ 24H2.

    ตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้ IT:
    - Roadmap นี้พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองคำขอจากกลุ่มมืออาชีพด้านไอทีที่ต้องการเครื่องมือที่ดีกว่าในการติดตามคุณสมบัติต่าง ๆ ที่จะมาถึงในอุปกรณ์ที่พวกเขาดูแล.

    การนำ AI เข้ามาใช้ในฟีเจอร์ต่าง ๆ:
    - คุณสมบัติเด่นที่มีใน Roadmap ได้แก่ฟีเจอร์ AI เช่น Recall ที่ช่วยจดจำกิจกรรมบนอุปกรณ์ และฟีเจอร์การแปลภาษาจีนแบบเรียลไทม์ รวมถึงฟีเจอร์อื่น ๆ อย่าง "Click to Do" และเครื่องมือสร้างภาพและปรับความละเอียดขั้นสูงบน Copilot+ PCs.

    การเข้าถึง Roadmap:
    - ผู้ใช้สามารถเข้าถึงหน้า Roadmap ได้โดยไปที่เว็บไซต์ของ Microsoft ภายใต้ส่วน Windows > For Business > Features > Windows Roadmap.

    https://www.techspot.com/news/107337-microsoft-finally-offers-unified-roadmap-tracking-upcoming-windows.html
    Microsoft เปิดตัวเว็บไซต์ใหม่ (https://www.microsoft.com/en-us/windows/business/roadmap) ที่ช่วยให้ผู้ใช้ติดตามคุณสมบัติของ Windows 11 ที่กำลังพัฒนาได้ง่ายขึ้น ผู้ใช้สามารถกรองข้อมูลตามเวอร์ชัน Windows หรือสถานะการเปิดตัว และยังมีฟีเจอร์ AI อย่าง Recall ที่เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน นี่คือเครื่องมือที่สร้างมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้ IT และผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการติดตามการอัปเดตของ Windows อย่างมีประสิทธิภาพ คุณสมบัติพิเศษของ Roadmap: - เว็บไซต์ใหม่นี้แสดงข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติใหม่ เช่น คำอธิบายสั้น ๆ วันที่คาดว่าจะเปิดตัว รายละเอียดความเข้ากันได้ และลิงก์ไปยังบล็อกที่เกี่ยวข้อง ผู้ใช้สามารถกรองข้อมูล เช่น คุณสมบัติที่จำกัดเฉพาะอุปกรณ์ Copilot+ หรือเวอร์ชัน Windows อย่าง 23H2 และ 24H2. ตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้ IT: - Roadmap นี้พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองคำขอจากกลุ่มมืออาชีพด้านไอทีที่ต้องการเครื่องมือที่ดีกว่าในการติดตามคุณสมบัติต่าง ๆ ที่จะมาถึงในอุปกรณ์ที่พวกเขาดูแล. การนำ AI เข้ามาใช้ในฟีเจอร์ต่าง ๆ: - คุณสมบัติเด่นที่มีใน Roadmap ได้แก่ฟีเจอร์ AI เช่น Recall ที่ช่วยจดจำกิจกรรมบนอุปกรณ์ และฟีเจอร์การแปลภาษาจีนแบบเรียลไทม์ รวมถึงฟีเจอร์อื่น ๆ อย่าง "Click to Do" และเครื่องมือสร้างภาพและปรับความละเอียดขั้นสูงบน Copilot+ PCs. การเข้าถึง Roadmap: - ผู้ใช้สามารถเข้าถึงหน้า Roadmap ได้โดยไปที่เว็บไซต์ของ Microsoft ภายใต้ส่วน Windows > For Business > Features > Windows Roadmap. https://www.techspot.com/news/107337-microsoft-finally-offers-unified-roadmap-tracking-upcoming-windows.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Microsoft finally offers a unified roadmap for tracking upcoming Windows 11 features
    Microsoft has launched a unified roadmap that charts upcoming Windows 11 features. The page consolidates information from Windows Insider blogs and Microsoft's support site to help users...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้แผ่นดินไหว ที่รังสิตก็จะสั่นสะเทือนแต่โต๊ะคอมยังคงที่ สั่นแต่ไม่ถึงขึ้นทำคอมร่วงลงพื้น แต่ก็ได้เก็บเครื่องมือสร้างความสุขและทำมาหากินไปในตัว เป็น All in one ถ้าเสียคือสูญเสียอุปกรณ์อันมีค่ามหาศาลไปเลยครับ
    วันนี้แผ่นดินไหว ที่รังสิตก็จะสั่นสะเทือนแต่โต๊ะคอมยังคงที่ สั่นแต่ไม่ถึงขึ้นทำคอมร่วงลงพื้น แต่ก็ได้เก็บเครื่องมือสร้างความสุขและทำมาหากินไปในตัว เป็น All in one ถ้าเสียคือสูญเสียอุปกรณ์อันมีค่ามหาศาลไปเลยครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์จากเพจEnvironman 28 มีนาคม 2568 “ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี แผ่นดินไหว แต่เห็นได้ชัดเลยว่าประเทศไทยและรัฐบาลยังไม่ไหว.เหตุการณ์วันนี้ยิ่งสาดส่องสปอตไลท์ในสิ่งที่ชัดอยู่แล้วให้ชัดยิ่งขึ้นไปอีก ว่าเราไม่มีความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่รู้ว่าจะถอดกันอีกกี่บทเรียน กว่าที่รัฐจะมีมาตรการเตรียมพร้อมในการรับมือกับเหตุการณ์อะไรแบบนี้ .ใครมีความคิดเห็น มีอะไรจะเพิ่มก็เต็มที่เลยนะ แต่นี่คือสิ่งที่รับรู้ได้จากเหตุการณ์ครั้งนี้และนี่ไม่ใช่การถอดบทเรียนอะไรทั้งนั้น นี่คือการเล่าระบายล้วน ๆ.⚫️ 1. ประชาชนต้อง Emergency Alert กันเอง.จนถึงตอนนี้ ณ เวลาที่กำลังเขียน (19:52 น.) ข้าพเจ้ายังไม่ได้ SMS จากกระทรวงทบวงกรมใดๆ เลยขอรับ คือเข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติที่เกิดขึ้นบ่อย แต่หลังจากท่านนายกออกมาแถลงว่าจะมีการแจ้งเตือนตั้งแต่ช่วงบ่ายสอง ตอนนี้อาฟเตอร์กันไปแล้วไม่รู้กี่ช็อค ก็ยังเงียบกริบ .อีกพาร์ทนึงก็ต้องชมคนไทยที่ใส่ใจโซเชียล ที่ช่วยกันอัพเดท แชร์ข้อมูล คอยรายงานให้ได้ติดตามกัน แต่มันคือช่วงเวลาแบบนี้ไม่ใช่หรอ ที่ประชาชนอย่างเราจะหันไปหวังพึ่งรัฐ ที่ผู้เสียภาษีอย่างเราจะหวังพึ่งคุณภาพชีวิตพื้นฐานที่ควรได้รับ กลายเป็นว่าเราต้องเช็คกันเองว่าเกิดอะไรขึ้น เอาตรงๆ คือผมเป็นคนหนึ่งที่หาแถลงการณ์จากรัฐตอนเกิดเหตุ เพราะบางทีก็กลัวว่าชาวเน็ตบางกลุ่มจะเฟคนิวส์ล่อเอ็นเกจ แต่ก็ต้องผิดหวังต่อไป.⚫️ 2. หน้ามืด นอนน้อยกันทั้งแผ่นดิน.เชื่อแล้วว่าคนไทยทำงานหนักครับ 90% พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘คิดว่าตัวเองไม่สบาย’ ไม่มีใครคิดว่ามันคือแผ่นดินไหวเลย แต่ก็เข้าใจได้ ใครจะไปคิดว่าจะมีแผ่นดินไหวในไทย โดยเฉพาะชาวกทม. คือทุกคนเทไปว่าตัวเองโหมงาน นอนน้อยกันหมด ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แอบเศร้าหน่อย ๆ นะ.ส่วนอีกเรื่องคือ 90% ของคนที่อยู่คอนโดอพาร์ตเม้นตท์ มีสัตว์เลี้ยงที่นิติไม่รู้ แต่จะมารู้ก็วันนี้แหละ ถ้าพูดให้ไม่ติดตลก ผมคิดว่าอยากให้สถานที่คำนึงถึงความเป็น Pet-Friendly ให้มากขึ้น ปัจจุบันมีคนมีสัตว์เลี้ยงเยอะมาก จะด้วยเพื่อแก้เหงาหรือเป็นยุคที่ไม่ค่อยอยากมีลูกหรืออะไรก็ว่าไป แต่ผมเห็นว่าพื้นที่ที่สามารถพาสัตว์ไปร่วมกิจกรรมกับเจ้าของนั้นมีน้อยมาก.⚫️ 3. ระบบขนส่งสาธารณะล่มสลาย.สัญชาตญาณแรกของคนหลังเกิดแผ่นดินไหวคือหาที่ปลอดภัย ซึ่งส่วนมากก็น่าจะนึกถึงบ้าน แต่ระบบขนส่งสาธารณะทั้งหมดดูเหมือนจะไม่เพียงพอ ไม่มีแผนสำรอง ไม่มีโปรโตคอลฉุกเฉิน ไม่มีช่องทางพิเศษ ไม่มีอะไรเลย การจราจรติดแหง็ก ผู้คนติดแหง็ก ไร้ทางออก เกิดอะไรขึ้นก็ไม่บอก จะเดินทางไปไหนก็ไม่ได้ .ญี่ปุ่นเวลาเจอแผ่นดินไหว ประเทศเขาจะสวิตช์เป็นโหมดฉุกเฉินทันที รถไฟฟ้าก็จะมีมาตรการฉุกเฉินในการรับมือ รัฐมีการตกลงกับบริษัทขนส่งเอกชน แท็กซี่ ให้ออกมาช่วยอพยพหรือขนถ่ายคนในช่วงที่รถไฟฟ้าไม่สามารถใช้งานได้ มีการจัดการควบคุมจราจรอย่างเข้มงวดให้คนไม่ติดแหง็กอยู่อย่างนั้น อีกเรื่องคือญี่ปุ่นมีศูนย์พักพิง คือใครที่ยังกลับบ้านไม่ได้ ก็มาพักรอก่อนได้ เอาจริงศูนย์พักพิงญี่ปุ่นคือมีอาหาร มีน้ำ มีอุปกรณ์พื้นฐานให้พร้อม ไม่ปล่อยให้ใครต้องเร่ร่อนอยู่บนถนน.ผมดักไว้ก่อนเลยว่าจะมีคนอ้างว่า ญี่ปุ่นเจอกับแผ่นดินไหวบ่อยจนชิน ของเรานี่แทบจะเป็นครั้งแรกในชีวิตของใครหลายคนเลยนะ จะวิจารณ์ขนาดนั้นก็เกินไป แต่ต้องบอกว่าตอนนี้โลกเรารวนไปหมดแล้ว ปีนี้เราเห็นว่าเกิดภัยพิบัติที่รุนแรงมากมายทั่วโลก อยากลองชวนคนที่แย้งเรื่องทำไมผมถึงเอาเราไปเทียบกับญี่ปุ่น มาแลกเปลี่ยนโต้แย้งเกี่ยวกับการจัดการเหตุฉุกเฉินพื้นฐานของบ้านเรามากกว่า พื้นฐานที่ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็ควรรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวหรือเกิดภัยพิบัติอื่นใดก็ตาม เพราะนี่คือโครงสร้างที่เราต้องมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เราติดท็อป 10 ของประเทศที่จะได้รับผลกระทบจาก Climate Change ซึ่งจะมาในรูปแบบใดบ้างก็ไม่รู้.⚫️ 4. ระบบสาธารณสุขยังเปราะบาง.อันนี้เรามีบทเรียนจากโควิด-19 มาแล้ว แต่เหมือนจะยังถอดบทเรียนกันไม่เสร็จ การอพยพผู้ป่วยในยามฉุกเฉิน หรือโซนที่ให้โรงพยาบาลยังสามารถดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัยในช่วงวิกฤต ตามข่าวยังเห็นโรงพยาบาลเอาคนไข้ออกมาผ่าตัดกลางแจ้งเพราะเป็นเคสด่วนอยู่เลย ซึ่งนี่คือคำถาม นี่คือโจทย์ที่เราเอามาคิดตั้งแต่ตอนนี้จนถึงอนาคตว่าเมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้ เราจะรับมือและจะมีมาตรการอย่างไร .นี่ไม่ใช่การสักแต่ว่าจะด่าก็ด่านะครับ และใครจะหาว่าการเมืองก็เอาเถอะ แต่นี่เห็นได้ชัดเลยว่ารัฐบาลขาดความพร้อมอย่างมากในการรับมือ จริงอยู่ที่เราไม่ได้เจอแผ่นดินไหวเป็นประจำ แต่นั่นก็ยิ่งทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้น่ากลัวมาก ผมคิดว่ายิ่งช่วงเวลาแบบนี้ที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดนี่แหละ ที่จะยิ่งเป็นตัววัดว่าเราโครงสร้างพื้นฐานเราพร้อมแค่ไหน ซึ่งผมคิดว่าไม่มีใครใกล้เคียงกับพร้อมเลย ไม่รู้ทุกคนว่ายังไง.เรื่องความปลอดภัยมันมากับความเชื่อมั่นด้วยนะ วันนี้ในกรุ๊ปแชทก็คือมีเพื่อนๆ พิมพ์มาว่า ‘กูจะมั่นใจโครงสร้างตึกไทยได้มากขนาดไหน’ ซึ่งเป็นตลกร้ายมาก ๆ ที่ตอนนี้เรามีความเชื่อมั่นกับอะไรพวกนี้ต่ำมาก ทั้ง ๆ ที่ควรจะเป็นตรงกันข้าม .วันนี้เป็นวันที่ทุกคนควรจะมีคำถาม เราเคยเจอน้ำท่วม เจอพายุ เจอโควิด แต่เราได้เรียนรู้อะไรจากมันบ้าง ‘หรือเปล่า’ ? ผมเองมีคำว่าทำไมเยอะมาก ทำไมการแจ้งเตือนล่าช้ามาก ทำไมระบบขนส่งสาธารณะและสาธารณสุขถึงไม่พร้อม ทำไมคุณภาพชีวิตของเรามันเปราะบางขนาดนี้ ขออภัยที่ยาวและวนยืดเยื้อ แต่มันคือความอัดอั้นที่อยากแชร์ออกมา.สุดท้ายนี้ เราขอแสดงความเสียใจให้กับผู้ที่สูญเสียจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ด้วยนะครับและขอให้ทุกชีวิตปลอดภัยครับ
    รีโพสต์จากเพจEnvironman 28 มีนาคม 2568 “ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี แผ่นดินไหว แต่เห็นได้ชัดเลยว่าประเทศไทยและรัฐบาลยังไม่ไหว.เหตุการณ์วันนี้ยิ่งสาดส่องสปอตไลท์ในสิ่งที่ชัดอยู่แล้วให้ชัดยิ่งขึ้นไปอีก ว่าเราไม่มีความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่รู้ว่าจะถอดกันอีกกี่บทเรียน กว่าที่รัฐจะมีมาตรการเตรียมพร้อมในการรับมือกับเหตุการณ์อะไรแบบนี้ .ใครมีความคิดเห็น มีอะไรจะเพิ่มก็เต็มที่เลยนะ แต่นี่คือสิ่งที่รับรู้ได้จากเหตุการณ์ครั้งนี้และนี่ไม่ใช่การถอดบทเรียนอะไรทั้งนั้น นี่คือการเล่าระบายล้วน ๆ.⚫️ 1. ประชาชนต้อง Emergency Alert กันเอง.จนถึงตอนนี้ ณ เวลาที่กำลังเขียน (19:52 น.) ข้าพเจ้ายังไม่ได้ SMS จากกระทรวงทบวงกรมใดๆ เลยขอรับ คือเข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติที่เกิดขึ้นบ่อย แต่หลังจากท่านนายกออกมาแถลงว่าจะมีการแจ้งเตือนตั้งแต่ช่วงบ่ายสอง ตอนนี้อาฟเตอร์กันไปแล้วไม่รู้กี่ช็อค ก็ยังเงียบกริบ .อีกพาร์ทนึงก็ต้องชมคนไทยที่ใส่ใจโซเชียล ที่ช่วยกันอัพเดท แชร์ข้อมูล คอยรายงานให้ได้ติดตามกัน แต่มันคือช่วงเวลาแบบนี้ไม่ใช่หรอ ที่ประชาชนอย่างเราจะหันไปหวังพึ่งรัฐ ที่ผู้เสียภาษีอย่างเราจะหวังพึ่งคุณภาพชีวิตพื้นฐานที่ควรได้รับ กลายเป็นว่าเราต้องเช็คกันเองว่าเกิดอะไรขึ้น เอาตรงๆ คือผมเป็นคนหนึ่งที่หาแถลงการณ์จากรัฐตอนเกิดเหตุ เพราะบางทีก็กลัวว่าชาวเน็ตบางกลุ่มจะเฟคนิวส์ล่อเอ็นเกจ แต่ก็ต้องผิดหวังต่อไป.⚫️ 2. หน้ามืด นอนน้อยกันทั้งแผ่นดิน.เชื่อแล้วว่าคนไทยทำงานหนักครับ 90% พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘คิดว่าตัวเองไม่สบาย’ ไม่มีใครคิดว่ามันคือแผ่นดินไหวเลย แต่ก็เข้าใจได้ ใครจะไปคิดว่าจะมีแผ่นดินไหวในไทย โดยเฉพาะชาวกทม. คือทุกคนเทไปว่าตัวเองโหมงาน นอนน้อยกันหมด ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แอบเศร้าหน่อย ๆ นะ.ส่วนอีกเรื่องคือ 90% ของคนที่อยู่คอนโดอพาร์ตเม้นตท์ มีสัตว์เลี้ยงที่นิติไม่รู้ แต่จะมารู้ก็วันนี้แหละ ถ้าพูดให้ไม่ติดตลก ผมคิดว่าอยากให้สถานที่คำนึงถึงความเป็น Pet-Friendly ให้มากขึ้น ปัจจุบันมีคนมีสัตว์เลี้ยงเยอะมาก จะด้วยเพื่อแก้เหงาหรือเป็นยุคที่ไม่ค่อยอยากมีลูกหรืออะไรก็ว่าไป แต่ผมเห็นว่าพื้นที่ที่สามารถพาสัตว์ไปร่วมกิจกรรมกับเจ้าของนั้นมีน้อยมาก.⚫️ 3. ระบบขนส่งสาธารณะล่มสลาย.สัญชาตญาณแรกของคนหลังเกิดแผ่นดินไหวคือหาที่ปลอดภัย ซึ่งส่วนมากก็น่าจะนึกถึงบ้าน แต่ระบบขนส่งสาธารณะทั้งหมดดูเหมือนจะไม่เพียงพอ ไม่มีแผนสำรอง ไม่มีโปรโตคอลฉุกเฉิน ไม่มีช่องทางพิเศษ ไม่มีอะไรเลย การจราจรติดแหง็ก ผู้คนติดแหง็ก ไร้ทางออก เกิดอะไรขึ้นก็ไม่บอก จะเดินทางไปไหนก็ไม่ได้ .ญี่ปุ่นเวลาเจอแผ่นดินไหว ประเทศเขาจะสวิตช์เป็นโหมดฉุกเฉินทันที รถไฟฟ้าก็จะมีมาตรการฉุกเฉินในการรับมือ รัฐมีการตกลงกับบริษัทขนส่งเอกชน แท็กซี่ ให้ออกมาช่วยอพยพหรือขนถ่ายคนในช่วงที่รถไฟฟ้าไม่สามารถใช้งานได้ มีการจัดการควบคุมจราจรอย่างเข้มงวดให้คนไม่ติดแหง็กอยู่อย่างนั้น อีกเรื่องคือญี่ปุ่นมีศูนย์พักพิง คือใครที่ยังกลับบ้านไม่ได้ ก็มาพักรอก่อนได้ เอาจริงศูนย์พักพิงญี่ปุ่นคือมีอาหาร มีน้ำ มีอุปกรณ์พื้นฐานให้พร้อม ไม่ปล่อยให้ใครต้องเร่ร่อนอยู่บนถนน.ผมดักไว้ก่อนเลยว่าจะมีคนอ้างว่า ญี่ปุ่นเจอกับแผ่นดินไหวบ่อยจนชิน ของเรานี่แทบจะเป็นครั้งแรกในชีวิตของใครหลายคนเลยนะ จะวิจารณ์ขนาดนั้นก็เกินไป แต่ต้องบอกว่าตอนนี้โลกเรารวนไปหมดแล้ว ปีนี้เราเห็นว่าเกิดภัยพิบัติที่รุนแรงมากมายทั่วโลก อยากลองชวนคนที่แย้งเรื่องทำไมผมถึงเอาเราไปเทียบกับญี่ปุ่น มาแลกเปลี่ยนโต้แย้งเกี่ยวกับการจัดการเหตุฉุกเฉินพื้นฐานของบ้านเรามากกว่า พื้นฐานที่ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็ควรรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวหรือเกิดภัยพิบัติอื่นใดก็ตาม เพราะนี่คือโครงสร้างที่เราต้องมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เราติดท็อป 10 ของประเทศที่จะได้รับผลกระทบจาก Climate Change ซึ่งจะมาในรูปแบบใดบ้างก็ไม่รู้.⚫️ 4. ระบบสาธารณสุขยังเปราะบาง.อันนี้เรามีบทเรียนจากโควิด-19 มาแล้ว แต่เหมือนจะยังถอดบทเรียนกันไม่เสร็จ การอพยพผู้ป่วยในยามฉุกเฉิน หรือโซนที่ให้โรงพยาบาลยังสามารถดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัยในช่วงวิกฤต ตามข่าวยังเห็นโรงพยาบาลเอาคนไข้ออกมาผ่าตัดกลางแจ้งเพราะเป็นเคสด่วนอยู่เลย ซึ่งนี่คือคำถาม นี่คือโจทย์ที่เราเอามาคิดตั้งแต่ตอนนี้จนถึงอนาคตว่าเมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้ เราจะรับมือและจะมีมาตรการอย่างไร .นี่ไม่ใช่การสักแต่ว่าจะด่าก็ด่านะครับ และใครจะหาว่าการเมืองก็เอาเถอะ แต่นี่เห็นได้ชัดเลยว่ารัฐบาลขาดความพร้อมอย่างมากในการรับมือ จริงอยู่ที่เราไม่ได้เจอแผ่นดินไหวเป็นประจำ แต่นั่นก็ยิ่งทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้น่ากลัวมาก ผมคิดว่ายิ่งช่วงเวลาแบบนี้ที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดนี่แหละ ที่จะยิ่งเป็นตัววัดว่าเราโครงสร้างพื้นฐานเราพร้อมแค่ไหน ซึ่งผมคิดว่าไม่มีใครใกล้เคียงกับพร้อมเลย ไม่รู้ทุกคนว่ายังไง.เรื่องความปลอดภัยมันมากับความเชื่อมั่นด้วยนะ วันนี้ในกรุ๊ปแชทก็คือมีเพื่อนๆ พิมพ์มาว่า ‘กูจะมั่นใจโครงสร้างตึกไทยได้มากขนาดไหน’ ซึ่งเป็นตลกร้ายมาก ๆ ที่ตอนนี้เรามีความเชื่อมั่นกับอะไรพวกนี้ต่ำมาก ทั้ง ๆ ที่ควรจะเป็นตรงกันข้าม .วันนี้เป็นวันที่ทุกคนควรจะมีคำถาม เราเคยเจอน้ำท่วม เจอพายุ เจอโควิด แต่เราได้เรียนรู้อะไรจากมันบ้าง ‘หรือเปล่า’ ? ผมเองมีคำว่าทำไมเยอะมาก ทำไมการแจ้งเตือนล่าช้ามาก ทำไมระบบขนส่งสาธารณะและสาธารณสุขถึงไม่พร้อม ทำไมคุณภาพชีวิตของเรามันเปราะบางขนาดนี้ ขออภัยที่ยาวและวนยืดเยื้อ แต่มันคือความอัดอั้นที่อยากแชร์ออกมา.สุดท้ายนี้ เราขอแสดงความเสียใจให้กับผู้ที่สูญเสียจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ด้วยนะครับและขอให้ทุกชีวิตปลอดภัยครับ
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 323 มุมมอง 0 รีวิว
  • SMIC กำลังเข้าสู่การพัฒนาชิป 5 นาโนเมตร โดยใช้เครื่องมือ DUV แทน EUV ซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นและอัตราการผลิตต่ำกว่า TSMC แต่ความสำเร็จนี้ยังเป็นก้าวสำคัญในความพยายามลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดย Huawei เตรียมใช้ชิปดังกล่าวในโครงการ AI เพื่อลดการพึ่งพาบริษัทจากตะวันตก ความท้าทายที่ยังคงอยู่คือการปรับปรุงผลผลิตและลดต้นทุนในอนาคต

    ประสิทธิภาพและค่าใช้จ่าย:
    - แม้กระบวนการ 5 นาโนเมตรจะสำเร็จ แต่ผลผลิตที่ได้มีอัตราการผลิตที่ต่ำ (33%) เมื่อเทียบกับ TSMC ซึ่งสะท้อนถึงอุปสรรคของ SMIC ในการพัฒนาชิปเทคโนโลยีขั้นสูง.

    การพึ่งพาทรัพยากรในประเทศ:
    - SMIC ต้องรอการพัฒนาเครื่อง EUV ภายในประเทศ ซึ่งจะเริ่มการทดลองผลิตในไตรมาสที่ 3 ปี 2025 โดยหวังว่าจะช่วยให้บริษัทพัฒนากระบวนการผลิตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น.

    บทบาทของ Huawei:
    - Huawei มีแผนใช้เทคโนโลยีนี้ในชิป AI รุ่น Ascend 910C ซึ่งจะลดการพึ่งพา NVIDIA โดย SMIC ได้มุ่งเน้นการผลิตเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีของ Huawei อย่างเต็มที่.

    ความท้าทายในระยะยาว:
    - แม้ SMIC จะพัฒนาชิปได้สำเร็จ แต่ต้นทุนและผลผลิตที่ต่ำยังคงเป็นความท้าทาย บริษัทจำเป็นต้องลงทุนในอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้นเพื่อแข่งขันในตลาดระดับโลก.

    https://wccftech.com/smic-5nm-development-completed-in-2025/
    SMIC กำลังเข้าสู่การพัฒนาชิป 5 นาโนเมตร โดยใช้เครื่องมือ DUV แทน EUV ซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นและอัตราการผลิตต่ำกว่า TSMC แต่ความสำเร็จนี้ยังเป็นก้าวสำคัญในความพยายามลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดย Huawei เตรียมใช้ชิปดังกล่าวในโครงการ AI เพื่อลดการพึ่งพาบริษัทจากตะวันตก ความท้าทายที่ยังคงอยู่คือการปรับปรุงผลผลิตและลดต้นทุนในอนาคต ประสิทธิภาพและค่าใช้จ่าย: - แม้กระบวนการ 5 นาโนเมตรจะสำเร็จ แต่ผลผลิตที่ได้มีอัตราการผลิตที่ต่ำ (33%) เมื่อเทียบกับ TSMC ซึ่งสะท้อนถึงอุปสรรคของ SMIC ในการพัฒนาชิปเทคโนโลยีขั้นสูง. การพึ่งพาทรัพยากรในประเทศ: - SMIC ต้องรอการพัฒนาเครื่อง EUV ภายในประเทศ ซึ่งจะเริ่มการทดลองผลิตในไตรมาสที่ 3 ปี 2025 โดยหวังว่าจะช่วยให้บริษัทพัฒนากระบวนการผลิตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น. บทบาทของ Huawei: - Huawei มีแผนใช้เทคโนโลยีนี้ในชิป AI รุ่น Ascend 910C ซึ่งจะลดการพึ่งพา NVIDIA โดย SMIC ได้มุ่งเน้นการผลิตเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีของ Huawei อย่างเต็มที่. ความท้าทายในระยะยาว: - แม้ SMIC จะพัฒนาชิปได้สำเร็จ แต่ต้นทุนและผลผลิตที่ต่ำยังคงเป็นความท้าทาย บริษัทจำเป็นต้องลงทุนในอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้นเพื่อแข่งขันในตลาดระดับโลก. https://wccftech.com/smic-5nm-development-completed-in-2025/
    WCCFTECH.COM
    SMIC Is Rumored To Complete 5nm Chip Development By 2025; Costs Could Be Up To 50 Percent Higher Than TSMC’s Version Due To The Use Of Older-Generation Equipment
    China’s biggest semiconductor manufacturer, SMIC, is rumored to complete 5nm chip development in 2025, leading to advanced chip orders from Huawei
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple กำลังมุ่งมั่นพัฒนา iPhone Fold สมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้รุ่นแรกของบริษัท โดยมีจุดเด่นที่บานพับซึ่งทำจากวัสดุ Metallic Glass หรือโลหะเหลว ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยเพิ่มความทนทานต่อแรงกดและการเสียรูป คุณสมบัตินี้ไม่เพียงช่วยลดปัญหาเกี่ยวกับรอยพับบนหน้าจอ แต่ยังทำให้บานพับแข็งแรงกว่าโลหะไทเทเนียมถึง 2.5 เท่า นอกจากนี้ Apple ตั้งใจให้วัสดุดังกล่าวเพิ่มความเงางามและทนต่อการกัดกร่อนอีกด้วย

    ความล้ำหน้าของวัสดุ Metallic Glass:
    - วัสดุนี้ถูกออกแบบให้มีการจัดเรียงอะตอมแบบสุ่ม ซึ่งแตกต่างจากโลหะทั่วไปที่มีโครงสร้างอะตอมซ้ำซ้อน จึงช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดโอกาสเกิดรอยบุบเมื่ออุปกรณ์ตกหล่น.

    เป้าหมายของบานพับ:
    - บานพับมีบทบาทสำคัญต่อการเชื่อมต่อชิ้นส่วนของอุปกรณ์และส่งผลต่อคุณภาพการแสดงผล Apple ได้ใช้วัสดุเดียวกันนี้ในอุปกรณ์เล็ก ๆ อย่างเข็มจิ้มถาดซิมมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้ในชิ้นส่วนสำคัญ.

    ความคาดหวังจากตลาด:
    - iPhone Fold คาดว่าจะมีหน้าจอภายในขนาด 7.8 นิ้ว ซึ่งรูปแบบการออกแบบจะคล้ายกับ Galaxy Z Fold มากกว่าจะเป็น Z Flip และราคาประมาณ $2,000 ทำให้เป็น iPhone ที่แพงที่สุดจนถึงปัจจุบัน.

    ความสำคัญของซอฟต์แวร์:
    - นอกจากฮาร์ดแวร์แล้ว ความสำเร็จของ iPhone Fold จะขึ้นอยู่กับวิธีการปรับแต่งซอฟต์แวร์เพื่อใช้งานจอพับได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งยังต้องรอดูว่า Apple จะตอบโจทย์ตลาดอย่างไร.

    https://wccftech.com/iphone-fold-metallic-hinge-for-better-durability/
    Apple กำลังมุ่งมั่นพัฒนา iPhone Fold สมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้รุ่นแรกของบริษัท โดยมีจุดเด่นที่บานพับซึ่งทำจากวัสดุ Metallic Glass หรือโลหะเหลว ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยเพิ่มความทนทานต่อแรงกดและการเสียรูป คุณสมบัตินี้ไม่เพียงช่วยลดปัญหาเกี่ยวกับรอยพับบนหน้าจอ แต่ยังทำให้บานพับแข็งแรงกว่าโลหะไทเทเนียมถึง 2.5 เท่า นอกจากนี้ Apple ตั้งใจให้วัสดุดังกล่าวเพิ่มความเงางามและทนต่อการกัดกร่อนอีกด้วย ความล้ำหน้าของวัสดุ Metallic Glass: - วัสดุนี้ถูกออกแบบให้มีการจัดเรียงอะตอมแบบสุ่ม ซึ่งแตกต่างจากโลหะทั่วไปที่มีโครงสร้างอะตอมซ้ำซ้อน จึงช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดโอกาสเกิดรอยบุบเมื่ออุปกรณ์ตกหล่น. เป้าหมายของบานพับ: - บานพับมีบทบาทสำคัญต่อการเชื่อมต่อชิ้นส่วนของอุปกรณ์และส่งผลต่อคุณภาพการแสดงผล Apple ได้ใช้วัสดุเดียวกันนี้ในอุปกรณ์เล็ก ๆ อย่างเข็มจิ้มถาดซิมมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้ในชิ้นส่วนสำคัญ. ความคาดหวังจากตลาด: - iPhone Fold คาดว่าจะมีหน้าจอภายในขนาด 7.8 นิ้ว ซึ่งรูปแบบการออกแบบจะคล้ายกับ Galaxy Z Fold มากกว่าจะเป็น Z Flip และราคาประมาณ $2,000 ทำให้เป็น iPhone ที่แพงที่สุดจนถึงปัจจุบัน. ความสำคัญของซอฟต์แวร์: - นอกจากฮาร์ดแวร์แล้ว ความสำเร็จของ iPhone Fold จะขึ้นอยู่กับวิธีการปรับแต่งซอฟต์แวร์เพื่อใช้งานจอพับได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งยังต้องรอดูว่า Apple จะตอบโจทย์ตลาดอย่างไร. https://wccftech.com/iphone-fold-metallic-hinge-for-better-durability/
    WCCFTECH.COM
    Leak Claims "iPhone Fold" Will Feature Glossy Hinge Made From Metallic Glass, Offering Superior Resistance Against Bending And Deformation Under Extreme Pressure
    Apple's iPhone Fold to feature a metallic hinge with a glossy finish for better durability and resistance against dents and deformations.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts