• วันนี้ยังคงคุยกันเรื่องสิบสองภาพวาด ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก ภาพที่จะคุยกันคือภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ หรือ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ (昭容评诗图) ที่แขวนอยู่ในตำหนักอี้คุนกง ซึ่ง Storyฯ ก็จำไม่ได้แล้วว่าในเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> นี้ อี้คุนกงเป็นที่ประทับของพระมเหสีองค์ไหน แต่ใน <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> นั้น นี่เป็นพระตำหนักของหรูอี้

    จาวหรงเป็นหนึ่งในตำแหน่งพระสนมเอก แล้วจาวหรงที่กล่าวถึงในภาพนี้คือใคร?

    นางคือซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ (ค.ศ. 664-710) ผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่ปราดเปรื่องที่สุดแห่งราชวงศ์ถัง แม้มิได้เป็นขุนนางฝ่ายนอกแต่บทบาทและอิทธิพลทางการเมืองของนางมีไม่น้อย จนได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘จิงกั๋วจ่ายเซี่ยง’ (แปลตรงตัวว่า ผ้าโพกผมสตรี + อัครมหาเสนาบดี หรือหมายความว่า อัครมหาเสนาบดีหญิงนั่นเอง) นางมีผลงานด้านวรรณกรรมมากมายที่ยังสืบทอดมาจนปัจจุบัน เพิ่งมีคนโพสต์เกี่ยวกับเรื่องราวของนางไปเมื่อไม่นานมานี้ (ดูได้ตามลิ้งค์ข้างล่าง) Storyฯ ก็จะพยายามเล่าให้ไม่ซ้ำกันนะคะ

    ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นหลานปู่ของซ่างกวนอี๋ กวีและอัครเสนาบดีในสมัยถังเกาจง ชีวิตของนางผ่านร้อนผ่านหนาวไม่น้อย เนื่องจากซ่างกวนอี๋และตระกูลถูกลงโทษโดยพระนางบูเช็กเทียน (สมัยยังเป็นเพียงฮองเฮา) ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ซึ่งอายุเพียงขวบกว่าก็ต้องโทษตามมารดากลายเป็นทาสหลวงรับใช้อยู่ในส่วนของวังหลังที่เรียกว่า ‘เยี่ยถิง’ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลความเป็นอยู่ของเหล่าสนมและนางกำนัล แต่ภายใต้การดูแลสั่งสอนของมารดา ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์อ่านหนังสือนับไม่ถ้วน ทั้งบทกวี บทความ ประวัติศาสตร์และบันทึกงานราชการของฝ่ายใน โตขึ้นเป็นเด็กที่ฉลาดและทำงานคล่องแคล่ว

    ต่อมาพระนางบูเช็กเทียนผ่านตาบทประพันธ์ของนาง (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์จึงถูกเรียกให้ไปเข้าเฝ้า ตอนนั้นเป็นรัชสมัยของถังจงจงและพระนางบูเช็กเทียนกุมอำนาจในฐานะไทเฮา ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์มีอายุเพียงสิบสามย่างสิบสี่ปี นางต้องแต่งบทความตอบโจทย์ต่อหน้าพระนางและทำได้อย่างดี ทั้งในแง่เนื้อหาและทักษะภาษา เป็นที่ถูกใจของพระนางบูเช็กเทียน จึงได้รับการปลดสถานะทาสและแต่งตั้งให้เป็นข้าราชสำนักหญิงรับผิดชอบงานด้านประกาศและพระราชเสาวนีย์ โดยมีตำแหน่งไฉเหริน (แต่ไม่ได้เป็นสนม)

    ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นที่โปรดปรานของพระนางบูเช็กเทียน นางรับผิดชอบงานราชโองการและรับฎีกาของพระนางทั้งหมดภายหลังจากทรงยึดอำนาจตั้งตนเป็นจักรพรรดินี อีกทั้งพระนางยังหารือราชกิจกับนางบ่อยครั้ง แม้มีเหตุการณ์ขัดขืนพระราชโองการอยู่ครั้งหนึ่งแต่ก็ยังได้รับการไว้ชีวิตเพราะพระนางบูเช็กเทียนเสียดายในความรู้ความสามารถของนาง

    ต่อมาองค์ถังจงจงยึดบัลลังก์คืนมาจากบูเช็กเทียนได้ ก็รับซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นพระสนมโดยยังคงรับหน้าที่ยกร่างพระราชโองการและงานราชเลขาเหมือนเดิม เรื่องราวสมัยที่นางเป็นพระสนมก็จะดูจะอีรุงตุงนังไม่แพ้เรื่องเกมการเมืองสมัยบูเช็กเทียน ประวัติศาสตร์จีนบันทึกว่านางสนิทกับอู่ซานซือ (หลานของบูเช็กเทียน) และชักนำให้อู่ซานซือมาเป็นพวกร่วมกับเหวยฮองเฮาและกลายเป็นขุนนางมือขวาของถังจงจง เป็นหนึ่งสายของขุมอำนาจด้านการเมือง แต่บทความต่างประเทศเขียนเจาะจงว่านางเป็นชู้กับอู่ซานซือ และเขาก็เป็นชู้กับเหวยฮองเฮาอีกด้วย ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร Storyฯ ก็ไม่ทราบได้ แต่เรื่องราวการชิงอำนาจและตัวละครที่เกี่ยวข้องในยุคสมัยนั้นก็มีมากจนไม่สามารถเอามาเล่าให้ฟังหมด ขอสรุปสั้นๆ เพียงว่า ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ใช้ชีวิตด้วยชั้นเชิงในการรักษาสมดุลและช่วงชิงอำนาจ และสุดท้ายก็จบชีวิตลงด้วยเกมการเมืองดังกล่าว

    ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ไม่เพียงฉลาดแต่ยังโฉมงาม นางจึงเป็นที่โปรดปรานของถังจงจง ได้รับการปรับระดับขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นถึงจาวหรง นางเป็นคนที่คอยชี้นำให้องค์ถังจงจงเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความรู้เข้ามารับใช้ราชสำนักมากขึ้นและส่งเสริมด้านการศึกษาอย่างกว้างขวาง อีกทั้งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลต่อสไตล์ของบทกวีในสมัยนั้น

    ภายใต้บรรยากาศที่ให้ความสำคัญต่อผู้ที่มีความรู้และความสามารถด้านอักษรนี้ องค์ถังจงจงจึงมักจัดงานเลี้ยงขึ้นเพื่อให้ข้าราชสำนักสังสรรค์และแสดงความสามารถกัน และเหตุการณ์ที่กล่าวถึงในภาพ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ นี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับหนึ่งในงานเลี้ยงดังกล่าวที่ถูกจัดขึ้นที่สระคุนหมิง มีเหล่าข้าราชสำนักร่วมแต่งบทกวีกว่า 100 บทภายใต้หัวข้อ ‘ชุน’ (วสันต์)

    ในงานเลี้ยงนี้ องค์ถังจงจงให้ซ่างกวนจาวหรงเป็นคนตัดสินคัดเลือกบทกวีที่ดีที่สุด มีการบรรยายฉากนี้ไว้ว่า นางนั่งอ่านบทกวีอยู่บนหอ ข้าราชสำนักรอฟังผลอยู่ข้างล่าง ครั้นเห็นกระดาษโปรยปรายลงมาก็พากันไปตามหาจนได้บทกวีของตัวเองคืนมา เหลืออยู่เพียงสองคนที่หาบทความของตนเองไม่เจอ คือเสิ่นเฉวียนชีและซ่งจือเวิ่น รอกันอีกสักพัก กระดาษแผ่นสุดท้ายก็ปลิวลงมา ปรากฏเป็นผลงานของเสิ่นเฉวียนชี ถือว่าซ่งจือเวิ่นเป็นผู้ชนะ โดยซ่างกวนเจาหรงวิจารณ์ไว้ว่า บทกวีของทั้งสองคนนั้น เนื้อหาใจความสูสีกันเพราะเป็นการบรรยายถึงบรรยากาศของงานเลี้ยงได้อย่างไพเราะและวรรคแรกเปิดตัวได้อย่างงดงามไม่แพ้กัน แต่ของเสิ่นเฉวียนชีนั้น วรรคท้ายใช้ภาษาในเชิงถ่อมตน ทำให้พลังของภาษาหดหาย ในขณะที่วรรคท้ายของซ่งจือเวิ่นนั้น แม้บทกวีจบลงแต่ให้ความหวัง ทำให้พลังของบทความคงอยู่ จึงเหนือชั้นกว่าของเสิ่นเฉวียนซีอยู่หนึ่งขั้น เหตุการณ์ครั้งนี้ได้รับการจดจำในแง่ที่ว่า ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ฉลาดในการวิจารณ์ เข้าใจถึงแก่นความหมายและมีทักษะด้านภาษาอย่างยิ่งยวด

    ผลงานที่โดดเด่นของซ่างกวนหว่านเอ๋อร์คือการเป็นผู้ดูแลและปรับปรุงหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นใหม่ในรัชสมัยของจักรพรรดินีบูเช็กเทียน คือ ‘ซิวเหวินก่วน’ (修文馆 ต่อมาภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น จาวเหวินก่วน / 昭文馆) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่รวบรวมและดูแลหนังสือบันทึกต่างๆ และเป็นสำนักศึกษาหลวงเปิดการเรียนการสอนโดยแต่งตั้งขุนนางที่มีชื่อฝ่ายบุ๋นหลายคนมาเป็นอาจารย์ที่นี่ ภายใต้การดูแลของนาง หน่วยงานนี้จึงมีบทบาทและน้ำหนักในราชสำนักมากขึ้น

    ภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ หรือ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ นี้ ถูกตีความว่า หมายถึงการศึกษา ภาพนี้จริงแท้หน้าแต่เป็นอย่างไร Storyฯ ก็หาไม่พบ ภาพที่แปะมาให้ดูเป็นภาพวาดเกี่ยวกับเหตุการณ์เดียวกันแต่มีชื่อเรียกว่า ‘หว่านเอ๋อร์ตัดสินบทกวี’ ส่วนป้ายที่ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงพระราชทานไปที่อี้คุนกงพร้อมกับภาพนี้เขียนว่า ‘อี้กงหว่านซุ่น’ (懿恭婉顺) แปลได้ประมาณว่า เคารพพระราชเสาวนีย์ คล้อยตามอย่างละมุนละม่อม

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://waptv.sogou.com/teleplay/orswyzlqnrqxsxzwgmydsnjzbhi5h3h3xgs4fva.html
    https://kknews.cc/zh-sg/history/4bb8n3x.html#google_vignette

    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://wapbaike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=abb5f0b7bf81f3dcd9c7745c
    https://baike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=08b8cb852955ec63d33764ec
    https://baike.baidu.com/item/上官婉儿/26942
    http://collection.sina.com.cn/plfx/20130924/1618128246.shtml
    https://www.sohu.com/a/221802957_752265
    https://www.sohu.com/a/365940296_348930

    บทความเกี่ยวกับซ่างกวนหว่านเอ๋อร์: https://www.facebook.com/groups/288237788323632/permalink/1649073795573351

    #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ #บูเช็กเทียน #จาวหรงตัดสินบทกวี #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    วันนี้ยังคงคุยกันเรื่องสิบสองภาพวาด ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก ภาพที่จะคุยกันคือภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ หรือ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ (昭容评诗图) ที่แขวนอยู่ในตำหนักอี้คุนกง ซึ่ง Storyฯ ก็จำไม่ได้แล้วว่าในเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> นี้ อี้คุนกงเป็นที่ประทับของพระมเหสีองค์ไหน แต่ใน <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> นั้น นี่เป็นพระตำหนักของหรูอี้ จาวหรงเป็นหนึ่งในตำแหน่งพระสนมเอก แล้วจาวหรงที่กล่าวถึงในภาพนี้คือใคร? นางคือซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ (ค.ศ. 664-710) ผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่ปราดเปรื่องที่สุดแห่งราชวงศ์ถัง แม้มิได้เป็นขุนนางฝ่ายนอกแต่บทบาทและอิทธิพลทางการเมืองของนางมีไม่น้อย จนได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘จิงกั๋วจ่ายเซี่ยง’ (แปลตรงตัวว่า ผ้าโพกผมสตรี + อัครมหาเสนาบดี หรือหมายความว่า อัครมหาเสนาบดีหญิงนั่นเอง) นางมีผลงานด้านวรรณกรรมมากมายที่ยังสืบทอดมาจนปัจจุบัน เพิ่งมีคนโพสต์เกี่ยวกับเรื่องราวของนางไปเมื่อไม่นานมานี้ (ดูได้ตามลิ้งค์ข้างล่าง) Storyฯ ก็จะพยายามเล่าให้ไม่ซ้ำกันนะคะ ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นหลานปู่ของซ่างกวนอี๋ กวีและอัครเสนาบดีในสมัยถังเกาจง ชีวิตของนางผ่านร้อนผ่านหนาวไม่น้อย เนื่องจากซ่างกวนอี๋และตระกูลถูกลงโทษโดยพระนางบูเช็กเทียน (สมัยยังเป็นเพียงฮองเฮา) ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ซึ่งอายุเพียงขวบกว่าก็ต้องโทษตามมารดากลายเป็นทาสหลวงรับใช้อยู่ในส่วนของวังหลังที่เรียกว่า ‘เยี่ยถิง’ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลความเป็นอยู่ของเหล่าสนมและนางกำนัล แต่ภายใต้การดูแลสั่งสอนของมารดา ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์อ่านหนังสือนับไม่ถ้วน ทั้งบทกวี บทความ ประวัติศาสตร์และบันทึกงานราชการของฝ่ายใน โตขึ้นเป็นเด็กที่ฉลาดและทำงานคล่องแคล่ว ต่อมาพระนางบูเช็กเทียนผ่านตาบทประพันธ์ของนาง (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์จึงถูกเรียกให้ไปเข้าเฝ้า ตอนนั้นเป็นรัชสมัยของถังจงจงและพระนางบูเช็กเทียนกุมอำนาจในฐานะไทเฮา ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์มีอายุเพียงสิบสามย่างสิบสี่ปี นางต้องแต่งบทความตอบโจทย์ต่อหน้าพระนางและทำได้อย่างดี ทั้งในแง่เนื้อหาและทักษะภาษา เป็นที่ถูกใจของพระนางบูเช็กเทียน จึงได้รับการปลดสถานะทาสและแต่งตั้งให้เป็นข้าราชสำนักหญิงรับผิดชอบงานด้านประกาศและพระราชเสาวนีย์ โดยมีตำแหน่งไฉเหริน (แต่ไม่ได้เป็นสนม) ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นที่โปรดปรานของพระนางบูเช็กเทียน นางรับผิดชอบงานราชโองการและรับฎีกาของพระนางทั้งหมดภายหลังจากทรงยึดอำนาจตั้งตนเป็นจักรพรรดินี อีกทั้งพระนางยังหารือราชกิจกับนางบ่อยครั้ง แม้มีเหตุการณ์ขัดขืนพระราชโองการอยู่ครั้งหนึ่งแต่ก็ยังได้รับการไว้ชีวิตเพราะพระนางบูเช็กเทียนเสียดายในความรู้ความสามารถของนาง ต่อมาองค์ถังจงจงยึดบัลลังก์คืนมาจากบูเช็กเทียนได้ ก็รับซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นพระสนมโดยยังคงรับหน้าที่ยกร่างพระราชโองการและงานราชเลขาเหมือนเดิม เรื่องราวสมัยที่นางเป็นพระสนมก็จะดูจะอีรุงตุงนังไม่แพ้เรื่องเกมการเมืองสมัยบูเช็กเทียน ประวัติศาสตร์จีนบันทึกว่านางสนิทกับอู่ซานซือ (หลานของบูเช็กเทียน) และชักนำให้อู่ซานซือมาเป็นพวกร่วมกับเหวยฮองเฮาและกลายเป็นขุนนางมือขวาของถังจงจง เป็นหนึ่งสายของขุมอำนาจด้านการเมือง แต่บทความต่างประเทศเขียนเจาะจงว่านางเป็นชู้กับอู่ซานซือ และเขาก็เป็นชู้กับเหวยฮองเฮาอีกด้วย ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร Storyฯ ก็ไม่ทราบได้ แต่เรื่องราวการชิงอำนาจและตัวละครที่เกี่ยวข้องในยุคสมัยนั้นก็มีมากจนไม่สามารถเอามาเล่าให้ฟังหมด ขอสรุปสั้นๆ เพียงว่า ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ใช้ชีวิตด้วยชั้นเชิงในการรักษาสมดุลและช่วงชิงอำนาจ และสุดท้ายก็จบชีวิตลงด้วยเกมการเมืองดังกล่าว ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ไม่เพียงฉลาดแต่ยังโฉมงาม นางจึงเป็นที่โปรดปรานของถังจงจง ได้รับการปรับระดับขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นถึงจาวหรง นางเป็นคนที่คอยชี้นำให้องค์ถังจงจงเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความรู้เข้ามารับใช้ราชสำนักมากขึ้นและส่งเสริมด้านการศึกษาอย่างกว้างขวาง อีกทั้งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลต่อสไตล์ของบทกวีในสมัยนั้น ภายใต้บรรยากาศที่ให้ความสำคัญต่อผู้ที่มีความรู้และความสามารถด้านอักษรนี้ องค์ถังจงจงจึงมักจัดงานเลี้ยงขึ้นเพื่อให้ข้าราชสำนักสังสรรค์และแสดงความสามารถกัน และเหตุการณ์ที่กล่าวถึงในภาพ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ นี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับหนึ่งในงานเลี้ยงดังกล่าวที่ถูกจัดขึ้นที่สระคุนหมิง มีเหล่าข้าราชสำนักร่วมแต่งบทกวีกว่า 100 บทภายใต้หัวข้อ ‘ชุน’ (วสันต์) ในงานเลี้ยงนี้ องค์ถังจงจงให้ซ่างกวนจาวหรงเป็นคนตัดสินคัดเลือกบทกวีที่ดีที่สุด มีการบรรยายฉากนี้ไว้ว่า นางนั่งอ่านบทกวีอยู่บนหอ ข้าราชสำนักรอฟังผลอยู่ข้างล่าง ครั้นเห็นกระดาษโปรยปรายลงมาก็พากันไปตามหาจนได้บทกวีของตัวเองคืนมา เหลืออยู่เพียงสองคนที่หาบทความของตนเองไม่เจอ คือเสิ่นเฉวียนชีและซ่งจือเวิ่น รอกันอีกสักพัก กระดาษแผ่นสุดท้ายก็ปลิวลงมา ปรากฏเป็นผลงานของเสิ่นเฉวียนชี ถือว่าซ่งจือเวิ่นเป็นผู้ชนะ โดยซ่างกวนเจาหรงวิจารณ์ไว้ว่า บทกวีของทั้งสองคนนั้น เนื้อหาใจความสูสีกันเพราะเป็นการบรรยายถึงบรรยากาศของงานเลี้ยงได้อย่างไพเราะและวรรคแรกเปิดตัวได้อย่างงดงามไม่แพ้กัน แต่ของเสิ่นเฉวียนชีนั้น วรรคท้ายใช้ภาษาในเชิงถ่อมตน ทำให้พลังของภาษาหดหาย ในขณะที่วรรคท้ายของซ่งจือเวิ่นนั้น แม้บทกวีจบลงแต่ให้ความหวัง ทำให้พลังของบทความคงอยู่ จึงเหนือชั้นกว่าของเสิ่นเฉวียนซีอยู่หนึ่งขั้น เหตุการณ์ครั้งนี้ได้รับการจดจำในแง่ที่ว่า ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ฉลาดในการวิจารณ์ เข้าใจถึงแก่นความหมายและมีทักษะด้านภาษาอย่างยิ่งยวด ผลงานที่โดดเด่นของซ่างกวนหว่านเอ๋อร์คือการเป็นผู้ดูแลและปรับปรุงหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นใหม่ในรัชสมัยของจักรพรรดินีบูเช็กเทียน คือ ‘ซิวเหวินก่วน’ (修文馆 ต่อมาภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น จาวเหวินก่วน / 昭文馆) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่รวบรวมและดูแลหนังสือบันทึกต่างๆ และเป็นสำนักศึกษาหลวงเปิดการเรียนการสอนโดยแต่งตั้งขุนนางที่มีชื่อฝ่ายบุ๋นหลายคนมาเป็นอาจารย์ที่นี่ ภายใต้การดูแลของนาง หน่วยงานนี้จึงมีบทบาทและน้ำหนักในราชสำนักมากขึ้น ภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ หรือ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ นี้ ถูกตีความว่า หมายถึงการศึกษา ภาพนี้จริงแท้หน้าแต่เป็นอย่างไร Storyฯ ก็หาไม่พบ ภาพที่แปะมาให้ดูเป็นภาพวาดเกี่ยวกับเหตุการณ์เดียวกันแต่มีชื่อเรียกว่า ‘หว่านเอ๋อร์ตัดสินบทกวี’ ส่วนป้ายที่ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงพระราชทานไปที่อี้คุนกงพร้อมกับภาพนี้เขียนว่า ‘อี้กงหว่านซุ่น’ (懿恭婉顺) แปลได้ประมาณว่า เคารพพระราชเสาวนีย์ คล้อยตามอย่างละมุนละม่อม (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://waptv.sogou.com/teleplay/orswyzlqnrqxsxzwgmydsnjzbhi5h3h3xgs4fva.html https://kknews.cc/zh-sg/history/4bb8n3x.html#google_vignette Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://wapbaike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=abb5f0b7bf81f3dcd9c7745c https://baike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=08b8cb852955ec63d33764ec https://baike.baidu.com/item/上官婉儿/26942 http://collection.sina.com.cn/plfx/20130924/1618128246.shtml https://www.sohu.com/a/221802957_752265 https://www.sohu.com/a/365940296_348930 บทความเกี่ยวกับซ่างกวนหว่านเอ๋อร์: https://www.facebook.com/groups/288237788323632/permalink/1649073795573351 #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ #บูเช็กเทียน #จาวหรงตัดสินบทกวี #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    《延禧攻略》全集-电视剧-免费在线观看
    电视剧《延禧攻略》高清免费在线播放,延禧攻略是是由惠楷栋;温德光导演,由秦岚,聂远,张嘉倪,吴谨言主演的中国大陆电视剧,剧情:乾隆六年,少女魏璎珞为寻求长姐死亡真相,...
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • เป็นเรื่องน่าปวดหัวจริงๆ ครับ สำหรับการสู้กันของอาจารย์และ AI เพื่อที่จะทดสอบลูกศิษย์ว่ามีความรู้จริงๆ หรือเปล่า

    เรื่องนี้เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัย Minnesota ซึ่งนักศึกษาชื่อ Haishan Yang กำลังฟ้องร้องมหาวิทยาลัยหลังจากที่เขาถูกไล่ออกในปีที่แล้ว เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการเขียนเรียงความสำหรับการสอบ Yang อายุ 33 ปี เป็นนักศึกษาที่กำลังศึกษาระดับปริญญาเอกที่สอง ขณะกำลังเดินทางไปประเทศโมร็อกโกในช่วงฤดูร้อนปี 2024 เขาได้ทำการสอบที่ต้องเขียนเรียงความ 3 ชิ้นภายในเวลา 8 ชั่วโมง

    ถึงแม้ว่า Yang จะได้รับอนุญาตให้ใช้บันทึก รายงาน และหนังสือได้ แต่เครื่องมือ AI ถูกห้ามใช้ ทุกคณะบัณฑิตที่ตรวจสอบข้อสอบของ Yang แสดงความกังวลว่าเรียงความไม่ใช่ผลงานของเขาเอง พวกเขาชี้ถึงคำตอบที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องหรือไม่ได้ถูกสอนในชั้นเรียน รวมทั้งการใช้ตัวย่อที่ไม่ค่อยพบในสาขานี้ แต่ปรากฏในคำตอบที่ถูกสร้างขึ้นโดย ChatGPT เป็นประจำ

    นอกจากนี้ สองคณาจารย์ยังได้นำคำถามเรียงความไปให้ ChatGPT เพื่อเปรียบเทียบกับคำตอบของ Yang พบว่าการจัดรูปแบบ การใช้ภาษา และเนื้อหาเหมือนกันอย่างมาก ซึ่งศาสตราจารย์ Peter Huckfeldt ได้เขียนจดหมายถึงคณะกรรมการการพิจารณาว่า “ผมประหลาดใจในความคล้ายคลึงกันระหว่างสองสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่เป็นไปได้”

    Yang อ้างว่าเหตุนี้เกิดจากการที่ OpenAI ใช้แหล่งข้อมูลเดียวกันกับเขา และกล่าวว่าคณาจารย์อาจแก้ไขคำตอบของ ChatGPT เพื่อให้ดูเหมือนกับคำตอบของเขา นอกจากนี้ยังกล่าวถึงปัญหาวิธีการตรวจสอบการใช้ AI ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือและมีอคติ โดยเฉพาะกับคนที่ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแรก

    Yang กล่าวถึงประสบการณ์ของเขาในฐานะผู้ช่วยวิจัยที่ได้รับการตัดการสนับสนุนทางการเงินจากมหาวิทยาลัยเนื่องจากการแสดงความเห็นไม่ดี หลังจากที่เขาโต้แย้งและชนะคดี มหาวิทยาลัย

    ลุงรู้เรื่องปัญหาแบบนี้มานานแล้ว รู้สึกเฉยๆ สำหรับนักเรียนในระดับ ม.ต้น - ป.ตรี แต่นี่มัน ป.เอกเลยนะ Yang คงต้องเข้าใจสิว่าเขาปล่อยผ่านไม่ได้ง่ายๆ ส่วนการพรูฟที่ดีที่สุดในความคิดของลุงคือคือการทดสอบแบบถามตอบปากเปล่านี่แหละ

    https://www.techspot.com/news/106881-university-minnesota-sued-student-who-ai-expulsion-part.html
    เป็นเรื่องน่าปวดหัวจริงๆ ครับ สำหรับการสู้กันของอาจารย์และ AI เพื่อที่จะทดสอบลูกศิษย์ว่ามีความรู้จริงๆ หรือเปล่า เรื่องนี้เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัย Minnesota ซึ่งนักศึกษาชื่อ Haishan Yang กำลังฟ้องร้องมหาวิทยาลัยหลังจากที่เขาถูกไล่ออกในปีที่แล้ว เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการเขียนเรียงความสำหรับการสอบ Yang อายุ 33 ปี เป็นนักศึกษาที่กำลังศึกษาระดับปริญญาเอกที่สอง ขณะกำลังเดินทางไปประเทศโมร็อกโกในช่วงฤดูร้อนปี 2024 เขาได้ทำการสอบที่ต้องเขียนเรียงความ 3 ชิ้นภายในเวลา 8 ชั่วโมง ถึงแม้ว่า Yang จะได้รับอนุญาตให้ใช้บันทึก รายงาน และหนังสือได้ แต่เครื่องมือ AI ถูกห้ามใช้ ทุกคณะบัณฑิตที่ตรวจสอบข้อสอบของ Yang แสดงความกังวลว่าเรียงความไม่ใช่ผลงานของเขาเอง พวกเขาชี้ถึงคำตอบที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องหรือไม่ได้ถูกสอนในชั้นเรียน รวมทั้งการใช้ตัวย่อที่ไม่ค่อยพบในสาขานี้ แต่ปรากฏในคำตอบที่ถูกสร้างขึ้นโดย ChatGPT เป็นประจำ นอกจากนี้ สองคณาจารย์ยังได้นำคำถามเรียงความไปให้ ChatGPT เพื่อเปรียบเทียบกับคำตอบของ Yang พบว่าการจัดรูปแบบ การใช้ภาษา และเนื้อหาเหมือนกันอย่างมาก ซึ่งศาสตราจารย์ Peter Huckfeldt ได้เขียนจดหมายถึงคณะกรรมการการพิจารณาว่า “ผมประหลาดใจในความคล้ายคลึงกันระหว่างสองสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่เป็นไปได้” Yang อ้างว่าเหตุนี้เกิดจากการที่ OpenAI ใช้แหล่งข้อมูลเดียวกันกับเขา และกล่าวว่าคณาจารย์อาจแก้ไขคำตอบของ ChatGPT เพื่อให้ดูเหมือนกับคำตอบของเขา นอกจากนี้ยังกล่าวถึงปัญหาวิธีการตรวจสอบการใช้ AI ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือและมีอคติ โดยเฉพาะกับคนที่ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแรก Yang กล่าวถึงประสบการณ์ของเขาในฐานะผู้ช่วยวิจัยที่ได้รับการตัดการสนับสนุนทางการเงินจากมหาวิทยาลัยเนื่องจากการแสดงความเห็นไม่ดี หลังจากที่เขาโต้แย้งและชนะคดี มหาวิทยาลัย ลุงรู้เรื่องปัญหาแบบนี้มานานแล้ว รู้สึกเฉยๆ สำหรับนักเรียนในระดับ ม.ต้น - ป.ตรี แต่นี่มัน ป.เอกเลยนะ Yang คงต้องเข้าใจสิว่าเขาปล่อยผ่านไม่ได้ง่ายๆ ส่วนการพรูฟที่ดีที่สุดในความคิดของลุงคือคือการทดสอบแบบถามตอบปากเปล่านี่แหละ https://www.techspot.com/news/106881-university-minnesota-sued-student-who-ai-expulsion-part.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    University of Minnesota sued by student who says AI expulsion was part of a conspiracy
    Haishan Yang was working toward his second PhD from the University of Minnesota when he was expelled last year. It's alleged that he used artificial intelligence tools...
    0 Comments 0 Shares 115 Views 0 Reviews
  • เป็นเรื่องราวของคนหนุ่มที่น่าติดตามมากครับ

    Wang Xingxing วัย 35 ปี ผู้ก่อตั้งและ CEO ของบริษัท Unitree Robotics บริษัทผู้นำในด้านหุ่นยนต์ของจีน ได้ทำให้เกิดความสนใจอย่างมากเมื่อเขาได้รับเชิญให้นั่งแถวหน้าในงานสัมมนาธุรกิจระดับสูงของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดในปี 1990 Wang เป็นผู้นำที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มผู้บริหารระดับสูงที่ร่วมประชุม

    Wang กลายเป็นที่สนใจอีกครั้งหลังจากที่หุ่นยนต์ฮิวมานอยด์ของ Unitree ได้แสดงการเต้นฟอร์คแดนซ์ในงานเทศกาลฤดูใบไม้ผลิที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ CCTV เมื่อเดือนที่แล้ว Wang บอกกับ CCTV ว่าหุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์นั้นกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และเขาเชื่อว่าหุ่นยนต์ฮิวมานอยด์จะก้าวขึ้นไปอีกขั้นก่อนสิ้นปีนี้

    แม้ว่า Unitree จะยังคงเป็นบริษัทเอกชน แต่นักลงทุนก็หันมาสนใจซัพพลายเออร์ของบริษัทนี้ เช่น หุ้นของ Zhejiang Changsheng Sliding Bearings ที่กระโดดขึ้น 62% ในช่วงห้าวันที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นกว่า 600% ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ Ningbo Shuanglin Auto Parts ก็พุ่งขึ้น 575% จากปีที่แล้ว

    Wang มีความหลงใหลในด้านหุ่นยนต์ตั้งแต่วัยเด็ก เกิดในเมืองหนิงโป จังหวัดเจ้อเจียง เขามักใช้เวลาว่างสร้างแบบจำลองเครื่องบินและทำการทดลองเล็ก ๆ น้อย ๆ ตั้งแต่มัธยมต้น เขาได้สร้างเครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตขนาดเล็ก Wang ศึกษาวิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์ที่มหาวิทยาลัย Zhejiang Sci-Tech และสร้างหุ่นยนต์เดินสองขาตัวแรกของเขาด้วยงบประมาณเพียง 200 หยวน

    หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรี เขาได้รับสิทธิบัตรแรกสำหรับอุปกรณ์ฟีดแบ็กหลายแรง แล้วเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ และในปี 2016 เขาได้ก่อตั้ง Unitree ด้วยเงินทุนเริ่มต้น 2 ล้านหยวน

    Unitree กลายเป็นบริษัทแรกในโลกที่ขายหุ่นยนต์ขาหนาและฮิวมานอยด์ประสิทธิภาพสูงให้กับประชาชนทั่วไป ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาได้รับการแสดงในงานใหญ่เช่นการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ที่หางโจวในปี 2023 นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังสนับสนุนอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ในท้องถิ่นด้วยแนวทางและเงินทุนจากรัฐ

    Wang บอกกับนักศึกษาในงานต้อนรับที่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เมื่อปีที่แล้วว่า “หาสิ่งที่คุณรัก ทำงานหนัก เรียนรู้ตลอดเวลา และไม่หยุดพัฒนาตัวเอง ตั้งแต่เด็กผมมีแรงบันดาลใจที่จะใช้เทคโนโลยีสร้างสิ่งมีค่าเพื่อพิสูจน์ตัวเองและเปลี่ยนแปลงโลก นั่นเป็นแรงขับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผม”

    นี่คือเรื่องราวของ Wang Xingxing ที่กลายมาเป็นดาวรุ่งในวงการหุ่นยนต์ของจีน และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมายในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/21/meet-wang-xingxing-the-young-chinese-robotics-star-from-unitree-at-xi-jinpings-symposium
    เป็นเรื่องราวของคนหนุ่มที่น่าติดตามมากครับ Wang Xingxing วัย 35 ปี ผู้ก่อตั้งและ CEO ของบริษัท Unitree Robotics บริษัทผู้นำในด้านหุ่นยนต์ของจีน ได้ทำให้เกิดความสนใจอย่างมากเมื่อเขาได้รับเชิญให้นั่งแถวหน้าในงานสัมมนาธุรกิจระดับสูงของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดในปี 1990 Wang เป็นผู้นำที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มผู้บริหารระดับสูงที่ร่วมประชุม Wang กลายเป็นที่สนใจอีกครั้งหลังจากที่หุ่นยนต์ฮิวมานอยด์ของ Unitree ได้แสดงการเต้นฟอร์คแดนซ์ในงานเทศกาลฤดูใบไม้ผลิที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ CCTV เมื่อเดือนที่แล้ว Wang บอกกับ CCTV ว่าหุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์นั้นกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และเขาเชื่อว่าหุ่นยนต์ฮิวมานอยด์จะก้าวขึ้นไปอีกขั้นก่อนสิ้นปีนี้ แม้ว่า Unitree จะยังคงเป็นบริษัทเอกชน แต่นักลงทุนก็หันมาสนใจซัพพลายเออร์ของบริษัทนี้ เช่น หุ้นของ Zhejiang Changsheng Sliding Bearings ที่กระโดดขึ้น 62% ในช่วงห้าวันที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นกว่า 600% ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ Ningbo Shuanglin Auto Parts ก็พุ่งขึ้น 575% จากปีที่แล้ว Wang มีความหลงใหลในด้านหุ่นยนต์ตั้งแต่วัยเด็ก เกิดในเมืองหนิงโป จังหวัดเจ้อเจียง เขามักใช้เวลาว่างสร้างแบบจำลองเครื่องบินและทำการทดลองเล็ก ๆ น้อย ๆ ตั้งแต่มัธยมต้น เขาได้สร้างเครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตขนาดเล็ก Wang ศึกษาวิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์ที่มหาวิทยาลัย Zhejiang Sci-Tech และสร้างหุ่นยนต์เดินสองขาตัวแรกของเขาด้วยงบประมาณเพียง 200 หยวน หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรี เขาได้รับสิทธิบัตรแรกสำหรับอุปกรณ์ฟีดแบ็กหลายแรง แล้วเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ และในปี 2016 เขาได้ก่อตั้ง Unitree ด้วยเงินทุนเริ่มต้น 2 ล้านหยวน Unitree กลายเป็นบริษัทแรกในโลกที่ขายหุ่นยนต์ขาหนาและฮิวมานอยด์ประสิทธิภาพสูงให้กับประชาชนทั่วไป ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาได้รับการแสดงในงานใหญ่เช่นการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ที่หางโจวในปี 2023 นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังสนับสนุนอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ในท้องถิ่นด้วยแนวทางและเงินทุนจากรัฐ Wang บอกกับนักศึกษาในงานต้อนรับที่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เมื่อปีที่แล้วว่า “หาสิ่งที่คุณรัก ทำงานหนัก เรียนรู้ตลอดเวลา และไม่หยุดพัฒนาตัวเอง ตั้งแต่เด็กผมมีแรงบันดาลใจที่จะใช้เทคโนโลยีสร้างสิ่งมีค่าเพื่อพิสูจน์ตัวเองและเปลี่ยนแปลงโลก นั่นเป็นแรงขับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผม” นี่คือเรื่องราวของ Wang Xingxing ที่กลายมาเป็นดาวรุ่งในวงการหุ่นยนต์ของจีน และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมายในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/21/meet-wang-xingxing-the-young-chinese-robotics-star-from-unitree-at-xi-jinpings-symposium
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meet Wang Xingxing, the young Chinese robotics star from Unitree at Xi Jinping’s symposium
    Wang, 35, is the founder and CEO of Unitree – one of China's top developers of quadrupedal and humanoid robots.
    0 Comments 0 Shares 328 Views 0 Reviews
  • นโยบายพรรคการเมือง: การปฏิรูปการศึกษาเพื่ออนาคต ด้วยเทคโนโลยีและ STEM

    วิสัยทัศน์

    สร้างระบบการศึกษาที่ทันสมัย เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนเข้าถึงองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม พัฒนาเยาวชนให้เป็นนักคิด นักแก้ปัญหา และนักนวัตกรรมที่พร้อมแข่งขันในเวทีโลก


    ---

    1. การพัฒนา STEM Education ให้เป็นรากฐานของระบบการศึกษา

    ✅ ปรับหลักสูตรการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับแนวทาง STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา
    ✅ ส่งเสริมโครงการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Project-Based Learning) ให้นักเรียนได้ทดลอง คิดวิเคราะห์ และพัฒนาทักษะผ่านโครงงานจริง
    ✅ เพิ่มวิชาหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเขียนโค้ด (Coding) เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรมาตรฐาน
    ✅ สนับสนุนการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น โอลิมปิกวิชาการ การแข่งขันหุ่นยนต์ และแฮ็กกาธอน


    ---

    2. การนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงการเรียนการสอน

    ✅ จัดหาอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้โรงเรียนทั่วประเทศ เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียน
    ✅ พัฒนาระบบการเรียนการสอนออนไลน์ (E-Learning & Hybrid Learning) เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา
    ✅ ใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ เพื่อออกแบบการสอนที่เหมาะกับนักเรียนแต่ละคน
    ✅ พัฒนาคลังสื่อดิจิทัล (Open Educational Resources - OER) รวมถึงแพลตฟอร์มบทเรียนออนไลน์ฟรีสำหรับทุกคน


    ---

    3. การพัฒนาครูให้พร้อมสำหรับยุคดิจิทัล

    ✅ อบรมและพัฒนาครูด้านเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้สามารถถ่ายทอดความรู้และพัฒนาทักษะของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    ✅ สร้างเครือข่ายครูและนักวิชาการด้านเทคโนโลยี เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาแนวทางการสอนที่ทันสมัย
    ✅ เพิ่มแรงจูงใจให้ครูพัฒนาทักษะดิจิทัล เช่น การให้ทุนอบรมหรือการเลื่อนขั้นสำหรับครูที่ผ่านการรับรองทักษะเทคโนโลยี


    ---

    4. สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและอุตสาหกรรม

    ✅ เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้การเรียนการสอนสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน
    ✅ ส่งเสริมการฝึกงานและโครงการนักศึกษาฝึกงานในสายงานเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้นักเรียนได้ประสบการณ์จริงก่อนจบการศึกษา
    ✅ จัดตั้งกองทุนส่งเสริมนวัตกรรมทางการศึกษา สนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการศึกษา (EdTech)


    ---

    5. ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

    ✅ ให้ทุนการศึกษาและอุปกรณ์เรียนฟรีสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและห่างไกล
    ✅ สร้างโรงเรียนต้นแบบด้านเทคโนโลยีในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ STEM ในแต่ละพื้นที่
    ✅ พัฒนาระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมและอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการศึกษาเท่าเทียมกับเมืองใหญ่


    ---

    ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

    ✅ นักเรียนไทยมีทักษะด้านเทคโนโลยีและ STEM ที่แข็งแกร่ง พร้อมแข่งขันในระดับนานาชาติ
    ✅ ครูมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน
    ✅ ระบบการศึกษาของไทยสามารถตอบโจทย์ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจดิจิทัล
    ✅ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้โอกาสเด็กทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ


    ---

    "การศึกษาไทยก้าวไกล เทคโนโลยีล้ำหน้า STEM นำอนาคต"
    #พรรคเพื่อการศึกษายุคใหม่

    นโยบายพรรคการเมือง: การปฏิรูปการศึกษาเพื่ออนาคต ด้วยเทคโนโลยีและ STEM วิสัยทัศน์ สร้างระบบการศึกษาที่ทันสมัย เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนเข้าถึงองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม พัฒนาเยาวชนให้เป็นนักคิด นักแก้ปัญหา และนักนวัตกรรมที่พร้อมแข่งขันในเวทีโลก --- 1. การพัฒนา STEM Education ให้เป็นรากฐานของระบบการศึกษา ✅ ปรับหลักสูตรการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับแนวทาง STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ✅ ส่งเสริมโครงการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Project-Based Learning) ให้นักเรียนได้ทดลอง คิดวิเคราะห์ และพัฒนาทักษะผ่านโครงงานจริง ✅ เพิ่มวิชาหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเขียนโค้ด (Coding) เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรมาตรฐาน ✅ สนับสนุนการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น โอลิมปิกวิชาการ การแข่งขันหุ่นยนต์ และแฮ็กกาธอน --- 2. การนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงการเรียนการสอน ✅ จัดหาอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้โรงเรียนทั่วประเทศ เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียน ✅ พัฒนาระบบการเรียนการสอนออนไลน์ (E-Learning & Hybrid Learning) เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ✅ ใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ เพื่อออกแบบการสอนที่เหมาะกับนักเรียนแต่ละคน ✅ พัฒนาคลังสื่อดิจิทัล (Open Educational Resources - OER) รวมถึงแพลตฟอร์มบทเรียนออนไลน์ฟรีสำหรับทุกคน --- 3. การพัฒนาครูให้พร้อมสำหรับยุคดิจิทัล ✅ อบรมและพัฒนาครูด้านเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้สามารถถ่ายทอดความรู้และพัฒนาทักษะของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ สร้างเครือข่ายครูและนักวิชาการด้านเทคโนโลยี เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาแนวทางการสอนที่ทันสมัย ✅ เพิ่มแรงจูงใจให้ครูพัฒนาทักษะดิจิทัล เช่น การให้ทุนอบรมหรือการเลื่อนขั้นสำหรับครูที่ผ่านการรับรองทักษะเทคโนโลยี --- 4. สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและอุตสาหกรรม ✅ เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้การเรียนการสอนสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ✅ ส่งเสริมการฝึกงานและโครงการนักศึกษาฝึกงานในสายงานเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้นักเรียนได้ประสบการณ์จริงก่อนจบการศึกษา ✅ จัดตั้งกองทุนส่งเสริมนวัตกรรมทางการศึกษา สนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการศึกษา (EdTech) --- 5. ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ✅ ให้ทุนการศึกษาและอุปกรณ์เรียนฟรีสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและห่างไกล ✅ สร้างโรงเรียนต้นแบบด้านเทคโนโลยีในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ STEM ในแต่ละพื้นที่ ✅ พัฒนาระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมและอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการศึกษาเท่าเทียมกับเมืองใหญ่ --- ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ✅ นักเรียนไทยมีทักษะด้านเทคโนโลยีและ STEM ที่แข็งแกร่ง พร้อมแข่งขันในระดับนานาชาติ ✅ ครูมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน ✅ ระบบการศึกษาของไทยสามารถตอบโจทย์ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจดิจิทัล ✅ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้โอกาสเด็กทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ --- "การศึกษาไทยก้าวไกล เทคโนโลยีล้ำหน้า STEM นำอนาคต" #พรรคเพื่อการศึกษายุคใหม่
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 401 Views 0 Reviews
  • นโยบายพรรคการเมือง: การปฏิรูปการศึกษาเพื่ออนาคต ด้วยเทคโนโลยีและ STEM

    วิสัยทัศน์

    สร้างระบบการศึกษาที่ทันสมัย เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนเข้าถึงองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม พัฒนาเยาวชนให้เป็นนักคิด นักแก้ปัญหา และนักนวัตกรรมที่พร้อมแข่งขันในเวทีโลก


    ---

    1. การพัฒนา STEM Education ให้เป็นรากฐานของระบบการศึกษา

    ✅ ปรับหลักสูตรการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับแนวทาง STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา
    ✅ ส่งเสริมโครงการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Project-Based Learning) ให้นักเรียนได้ทดลอง คิดวิเคราะห์ และพัฒนาทักษะผ่านโครงงานจริง
    ✅ เพิ่มวิชาหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเขียนโค้ด (Coding) เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรมาตรฐาน
    ✅ สนับสนุนการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น โอลิมปิกวิชาการ การแข่งขันหุ่นยนต์ และแฮ็กกาธอน


    ---

    2. การนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงการเรียนการสอน

    ✅ จัดหาอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้โรงเรียนทั่วประเทศ เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียน
    ✅ พัฒนาระบบการเรียนการสอนออนไลน์ (E-Learning & Hybrid Learning) เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา
    ✅ ใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ เพื่อออกแบบการสอนที่เหมาะกับนักเรียนแต่ละคน
    ✅ พัฒนาคลังสื่อดิจิทัล (Open Educational Resources - OER) รวมถึงแพลตฟอร์มบทเรียนออนไลน์ฟรีสำหรับทุกคน


    ---

    3. การพัฒนาครูให้พร้อมสำหรับยุคดิจิทัล

    ✅ อบรมและพัฒนาครูด้านเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้สามารถถ่ายทอดความรู้และพัฒนาทักษะของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    ✅ สร้างเครือข่ายครูและนักวิชาการด้านเทคโนโลยี เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาแนวทางการสอนที่ทันสมัย
    ✅ เพิ่มแรงจูงใจให้ครูพัฒนาทักษะดิจิทัล เช่น การให้ทุนอบรมหรือการเลื่อนขั้นสำหรับครูที่ผ่านการรับรองทักษะเทคโนโลยี


    ---

    4. สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและอุตสาหกรรม

    ✅ เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้การเรียนการสอนสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน
    ✅ ส่งเสริมการฝึกงานและโครงการนักศึกษาฝึกงานในสายงานเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้นักเรียนได้ประสบการณ์จริงก่อนจบการศึกษา
    ✅ จัดตั้งกองทุนส่งเสริมนวัตกรรมทางการศึกษา สนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการศึกษา (EdTech)


    ---

    5. ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

    ✅ ให้ทุนการศึกษาและอุปกรณ์เรียนฟรีสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและห่างไกล
    ✅ สร้างโรงเรียนต้นแบบด้านเทคโนโลยีในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ STEM ในแต่ละพื้นที่
    ✅ พัฒนาระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมและอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการศึกษาเท่าเทียมกับเมืองใหญ่


    ---

    ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

    ✅ นักเรียนไทยมีทักษะด้านเทคโนโลยีและ STEM ที่แข็งแกร่ง พร้อมแข่งขันในระดับนานาชาติ
    ✅ ครูมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน
    ✅ ระบบการศึกษาของไทยสามารถตอบโจทย์ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจดิจิทัล
    ✅ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้โอกาสเด็กทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ


    ---

    "การศึกษาไทยก้าวไกล เทคโนโลยีล้ำหน้า STEM นำอนาคต"
    #พรรคเพื่อการศึกษายุคใหม่

    นโยบายพรรคการเมือง: การปฏิรูปการศึกษาเพื่ออนาคต ด้วยเทคโนโลยีและ STEM วิสัยทัศน์ สร้างระบบการศึกษาที่ทันสมัย เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนเข้าถึงองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม พัฒนาเยาวชนให้เป็นนักคิด นักแก้ปัญหา และนักนวัตกรรมที่พร้อมแข่งขันในเวทีโลก --- 1. การพัฒนา STEM Education ให้เป็นรากฐานของระบบการศึกษา ✅ ปรับหลักสูตรการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับแนวทาง STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ✅ ส่งเสริมโครงการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Project-Based Learning) ให้นักเรียนได้ทดลอง คิดวิเคราะห์ และพัฒนาทักษะผ่านโครงงานจริง ✅ เพิ่มวิชาหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเขียนโค้ด (Coding) เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรมาตรฐาน ✅ สนับสนุนการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น โอลิมปิกวิชาการ การแข่งขันหุ่นยนต์ และแฮ็กกาธอน --- 2. การนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงการเรียนการสอน ✅ จัดหาอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้โรงเรียนทั่วประเทศ เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียน ✅ พัฒนาระบบการเรียนการสอนออนไลน์ (E-Learning & Hybrid Learning) เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ✅ ใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ เพื่อออกแบบการสอนที่เหมาะกับนักเรียนแต่ละคน ✅ พัฒนาคลังสื่อดิจิทัล (Open Educational Resources - OER) รวมถึงแพลตฟอร์มบทเรียนออนไลน์ฟรีสำหรับทุกคน --- 3. การพัฒนาครูให้พร้อมสำหรับยุคดิจิทัล ✅ อบรมและพัฒนาครูด้านเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้สามารถถ่ายทอดความรู้และพัฒนาทักษะของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ สร้างเครือข่ายครูและนักวิชาการด้านเทคโนโลยี เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาแนวทางการสอนที่ทันสมัย ✅ เพิ่มแรงจูงใจให้ครูพัฒนาทักษะดิจิทัล เช่น การให้ทุนอบรมหรือการเลื่อนขั้นสำหรับครูที่ผ่านการรับรองทักษะเทคโนโลยี --- 4. สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและอุตสาหกรรม ✅ เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้การเรียนการสอนสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ✅ ส่งเสริมการฝึกงานและโครงการนักศึกษาฝึกงานในสายงานเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้นักเรียนได้ประสบการณ์จริงก่อนจบการศึกษา ✅ จัดตั้งกองทุนส่งเสริมนวัตกรรมทางการศึกษา สนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการศึกษา (EdTech) --- 5. ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ✅ ให้ทุนการศึกษาและอุปกรณ์เรียนฟรีสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและห่างไกล ✅ สร้างโรงเรียนต้นแบบด้านเทคโนโลยีในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ STEM ในแต่ละพื้นที่ ✅ พัฒนาระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมและอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการศึกษาเท่าเทียมกับเมืองใหญ่ --- ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ✅ นักเรียนไทยมีทักษะด้านเทคโนโลยีและ STEM ที่แข็งแกร่ง พร้อมแข่งขันในระดับนานาชาติ ✅ ครูมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน ✅ ระบบการศึกษาของไทยสามารถตอบโจทย์ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจดิจิทัล ✅ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้โอกาสเด็กทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ --- "การศึกษาไทยก้าวไกล เทคโนโลยีล้ำหน้า STEM นำอนาคต" #พรรคเพื่อการศึกษายุคใหม่
    0 Comments 0 Shares 394 Views 0 Reviews
  • ขอเรียนเชิญสมาชิกสรีรวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย บุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข วิทยาศาสตร์การแพทย์ นิสิต นักศึกษา ผู้สนใจร่วมประชุมอบรมสรีรวิทยา-พยาธิสรีรวิทยา ครั้งที่ 42 ประจำปี 2568
    "ภาวะเปราะบาง: จากงานวิจัยสู่การปฏิบัติ | Frailty: From Bench to Bedside"
    วันพฤหัสบดีที่ 1 และ วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องบรรยายอวย เกตุสิงห์ อาคารศรีสวรินทิรา ชั้น 3 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
    เปิดรับลงทะทะเบียน วันที่ 1 มีนาคม - 8 เมษายน 2568
    ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://ps.si.mahidol.ac.th/pst42_frailty_from_bench_to_bedside
    ขอเรียนเชิญสมาชิกสรีรวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย บุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข วิทยาศาสตร์การแพทย์ นิสิต นักศึกษา ผู้สนใจร่วมประชุมอบรมสรีรวิทยา-พยาธิสรีรวิทยา ครั้งที่ 42 ประจำปี 2568 "ภาวะเปราะบาง: จากงานวิจัยสู่การปฏิบัติ | Frailty: From Bench to Bedside" วันพฤหัสบดีที่ 1 และ วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องบรรยายอวย เกตุสิงห์ อาคารศรีสวรินทิรา ชั้น 3 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดรับลงทะทะเบียน วันที่ 1 มีนาคม - 8 เมษายน 2568 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://ps.si.mahidol.ac.th/pst42_frailty_from_bench_to_bedside
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 137 Views 0 Reviews
  • ทีนี้ก็รู้กันหมดแล้ว! นักศึกษาชายจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเหอเฟย ในมณฑลอันฮุย จุดไฟเผาตุ๊กตายาง เพราะรูมเมทกลับห้องก่อนกำหนด จนทำเอาไฟไหม้หอพัก

    รายงานระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ขณะที่นักศึกษาคนนี้กำลังเล่นจ้ำจี้กับตุ๊กตายางของเขาอยู่ในห้องพัก จู่ๆ เพื่อนร่วมห้องของเขาก็กลับมากะทันหัน

    ด้วยความตื่นตระหนกและตกใจ รวมทั้งไม่อยากให้เพื่อนรู้ เขาจึงจุดไฟเผาตุ๊กตายางบริเวณโถงทางเดินหอพัก เพื่อทำลายหลักฐาน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000016542

    #MGROnline #ตุ๊กตายาง
    ทีนี้ก็รู้กันหมดแล้ว! นักศึกษาชายจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเหอเฟย ในมณฑลอันฮุย จุดไฟเผาตุ๊กตายาง เพราะรูมเมทกลับห้องก่อนกำหนด จนทำเอาไฟไหม้หอพัก • รายงานระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ขณะที่นักศึกษาคนนี้กำลังเล่นจ้ำจี้กับตุ๊กตายางของเขาอยู่ในห้องพัก จู่ๆ เพื่อนร่วมห้องของเขาก็กลับมากะทันหัน • ด้วยความตื่นตระหนกและตกใจ รวมทั้งไม่อยากให้เพื่อนรู้ เขาจึงจุดไฟเผาตุ๊กตายางบริเวณโถงทางเดินหอพัก เพื่อทำลายหลักฐาน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000016542 • #MGROnline #ตุ๊กตายาง
    0 Comments 0 Shares 153 Views 0 Reviews
  • เปิดร่างกฎหมายกาสิโน ขีดเส้นให้มีแค่ 10% เท่านั้น ภาคประชาชนค้านเต็มกำลัง
    .
    มาถึงชั่วโมงนี้แม้ว่าจะมีกระแสต่อต้านการเปิดกาสิโนถูกกฎหมาย แต่คงเป็นเรื่องยากที่รัฐบาลจะทบทวนตามข้อเรียกร้องของภาคประชาชน ภายหลังล่าสุดเว็บไซต์ระบบกลางทางกฎหมาย ได้เปิดรับฟังความคิดเห็น ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ปี พ.ศ. .... หรือ​ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นร่างผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา วาระที่ 1 เพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชน ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์​ -​ 1 มีนาคม​ 2568
    .
    สาระสำคัญในพระราชบัญญัติ​ดังกล่าว​ มีการระบุสัดส่วนชัดเจนของกาสิโนตามมาตรา 18 ( 6)​ ที่กำหนดสัดส่วนพื้นที่ของกาสิโนในสถานบันเทิงครบวงจร ทั้งนี้ ต้องไม่เกินร้อยละสิบของที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานบันเทิงครบวงจร ในกรณีที่กาสิโนตั้งอยู่ในอาคารใดให้นับจากพื้นที่อาคารนั้นทั้งหมด
    .
    นอกจากนี้ มาตรา 46 ในการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ต้องกำหนดให้มีใบอนุญาตตามจำนวนกิจการหรือธุรกิจในสถานบันเทิงตามที่ระบุไว้ในบัญชีแนบท้ายพระราชบัญญัตินี้อย่างน้อยสี่ประเภท ร่วมกับกาสิโน และให้ถือว่าผู้ได้รับใบอนุญาตในกิจการใดกิจการหนึ่ง เป็นผู้ได้รับอนุญาตในกิจการอื่นที่ประกอบกันเป็นสถานบันเทิงครบวงจร โดยไม่ต้องยื่นคำขอมีใบอนุญาตเป็นรายกิจการใหม่อีก และให้ระบุการได้รับอนุญาตสำหรับกิจการที่ได้รับอนุญาตหรือใบอนุญาตอื่นให้ชัดแจ้งไว้ในใบอนุญาตทุกใบด้วย
    .
    มาตรา 63 ผู้รับใบอนุญาตจะต้องดำเนินการดังนี้ (1) จัดให้มีเขตบริเวณของกาสิโนซึ่งแยกเป็นเอกเทศจากสถานประกอบธุรกิจสถานบันเทิงอื่นโดยมีรั้วและประตูทางเข้าแยกจากสถานประกอบธุรกิจอื่น เว้นแต่เป็นธุรกิจที่อยู่ในกาสิโนเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้เข้าเล่นพนัน (2) มีการควบคุมการเข้าออกโดย มีการตรวจสอบและลงทะเบียนหนังสือเดินทางหรือบัตรประชาชนหรือเอกสารระบุตัวตนอื่น พร้อมทั้งภาพถ่ายใบหน้า(4) ตรวจสอบผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันให้เป็นไปตามมาตรา 64 และมาตรา 65
    .
    ด้าน กลุ่มเครือข่ายประชาชน นำโดย นายพิชิต ไชยมงคล และ นายนัสเซอร์ ยีหมะ ตัวแทนเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) นายใจเพชร กล้าจน ตัวแทนกองทัพธรรม และ นายอานนท์ กลิ่นแก้ว ตัวแทนศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) เดินทางมายื่นหนังสือคัดค้านการเปิดกาสิโนในประเทศไทย
    .
    เนื้อหาในหนังสือระบุว่า ขณะนี้คณะกรรมการกฤษฎีกากำลังพิจารณาร่าง พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …. ซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรี แต่พบว่ามีการบรรจุ “กาสิโน” ไว้ในร่างกฎหมายดังกล่าวด้วย ซึ่งกลุ่มผู้คัดค้านเปรียบเปรยว่า เป็นเหมือนการแอบผสมสารพิษลงในอาหาร แม้จะมีสัดส่วนเพียง 10% ของพื้นที่สถานบันเทิงตามมาตรา 18 (6) ของร่างกฎหมาย แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้
    .
    การพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวตามนโยบายรัฐบาล ไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งกาสิโน เพราะธุรกิจการพนันมีแต่จะทำให้คุณภาพของสังคมไทยเสื่อมโทรมลง และนำไปสู่ปัญหาสังคมในอนาคต พวกเขาจึงเสนอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาข้อเสนอของภาคประชาชนและแจ้งไปยังคณะรัฐมนตรีให้รับทราบถึงความห่วงใยของประชาชนต่อเรื่องนี้
    ..............
    Sondhi X
    เปิดร่างกฎหมายกาสิโน ขีดเส้นให้มีแค่ 10% เท่านั้น ภาคประชาชนค้านเต็มกำลัง . มาถึงชั่วโมงนี้แม้ว่าจะมีกระแสต่อต้านการเปิดกาสิโนถูกกฎหมาย แต่คงเป็นเรื่องยากที่รัฐบาลจะทบทวนตามข้อเรียกร้องของภาคประชาชน ภายหลังล่าสุดเว็บไซต์ระบบกลางทางกฎหมาย ได้เปิดรับฟังความคิดเห็น ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ปี พ.ศ. .... หรือ​ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นร่างผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา วาระที่ 1 เพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชน ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์​ -​ 1 มีนาคม​ 2568 . สาระสำคัญในพระราชบัญญัติ​ดังกล่าว​ มีการระบุสัดส่วนชัดเจนของกาสิโนตามมาตรา 18 ( 6)​ ที่กำหนดสัดส่วนพื้นที่ของกาสิโนในสถานบันเทิงครบวงจร ทั้งนี้ ต้องไม่เกินร้อยละสิบของที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานบันเทิงครบวงจร ในกรณีที่กาสิโนตั้งอยู่ในอาคารใดให้นับจากพื้นที่อาคารนั้นทั้งหมด . นอกจากนี้ มาตรา 46 ในการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ต้องกำหนดให้มีใบอนุญาตตามจำนวนกิจการหรือธุรกิจในสถานบันเทิงตามที่ระบุไว้ในบัญชีแนบท้ายพระราชบัญญัตินี้อย่างน้อยสี่ประเภท ร่วมกับกาสิโน และให้ถือว่าผู้ได้รับใบอนุญาตในกิจการใดกิจการหนึ่ง เป็นผู้ได้รับอนุญาตในกิจการอื่นที่ประกอบกันเป็นสถานบันเทิงครบวงจร โดยไม่ต้องยื่นคำขอมีใบอนุญาตเป็นรายกิจการใหม่อีก และให้ระบุการได้รับอนุญาตสำหรับกิจการที่ได้รับอนุญาตหรือใบอนุญาตอื่นให้ชัดแจ้งไว้ในใบอนุญาตทุกใบด้วย . มาตรา 63 ผู้รับใบอนุญาตจะต้องดำเนินการดังนี้ (1) จัดให้มีเขตบริเวณของกาสิโนซึ่งแยกเป็นเอกเทศจากสถานประกอบธุรกิจสถานบันเทิงอื่นโดยมีรั้วและประตูทางเข้าแยกจากสถานประกอบธุรกิจอื่น เว้นแต่เป็นธุรกิจที่อยู่ในกาสิโนเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้เข้าเล่นพนัน (2) มีการควบคุมการเข้าออกโดย มีการตรวจสอบและลงทะเบียนหนังสือเดินทางหรือบัตรประชาชนหรือเอกสารระบุตัวตนอื่น พร้อมทั้งภาพถ่ายใบหน้า(4) ตรวจสอบผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันให้เป็นไปตามมาตรา 64 และมาตรา 65 . ด้าน กลุ่มเครือข่ายประชาชน นำโดย นายพิชิต ไชยมงคล และ นายนัสเซอร์ ยีหมะ ตัวแทนเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) นายใจเพชร กล้าจน ตัวแทนกองทัพธรรม และ นายอานนท์ กลิ่นแก้ว ตัวแทนศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) เดินทางมายื่นหนังสือคัดค้านการเปิดกาสิโนในประเทศไทย . เนื้อหาในหนังสือระบุว่า ขณะนี้คณะกรรมการกฤษฎีกากำลังพิจารณาร่าง พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …. ซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรี แต่พบว่ามีการบรรจุ “กาสิโน” ไว้ในร่างกฎหมายดังกล่าวด้วย ซึ่งกลุ่มผู้คัดค้านเปรียบเปรยว่า เป็นเหมือนการแอบผสมสารพิษลงในอาหาร แม้จะมีสัดส่วนเพียง 10% ของพื้นที่สถานบันเทิงตามมาตรา 18 (6) ของร่างกฎหมาย แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้ . การพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวตามนโยบายรัฐบาล ไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งกาสิโน เพราะธุรกิจการพนันมีแต่จะทำให้คุณภาพของสังคมไทยเสื่อมโทรมลง และนำไปสู่ปัญหาสังคมในอนาคต พวกเขาจึงเสนอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาข้อเสนอของภาคประชาชนและแจ้งไปยังคณะรัฐมนตรีให้รับทราบถึงความห่วงใยของประชาชนต่อเรื่องนี้ .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    Love
    12
    3 Comments 1 Shares 2060 Views 0 Reviews
  • ศาลสั่งขังยกแก๊ง ขบวนการสาดน้ำซุป อว.ล้างมาเฟียมหาลัย
    .
    ความคืบหน้ากรณีอดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังสาดน้ำร้อนใส่ผู้เสียหายนั้น เวลานี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินขยายผลต่อเนื่อง ภายหลังตำรวจ สภ.คลอง จ.ปทุมธานี สามารถจับกุมตัว นายรษิภา หรือ เจ๊พรีม อายุ 22 ปี และ นายชคัทพล หรือ โอชิ อายุ 19 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดธัญบุรี ในข้อหา 1.ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ 2 ร่วมกันกรรโชกทรัพย์ 3.ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังหรือกระทำด้วยประการใดๆ ทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพ 4.ร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยใช้กำลังประทุษร้าย
    .
    ทั้งนี้ ล่าสุดตำรวจสามารถจับกุมกลุ่มเพื่อนที่ร่วมก่อเหตุได้อีกรวมทั้งหมด 8 คน ประกอบด้วย นาย ดลลธี หรือ พอล อายุ 21 ปี น.ส.วรัญญา หรือ แบม อายุ 21 น.ส.กันยาพัชร หรือ พิมเจล อายุ 21 ปี นักแสดงซีรี่ย์ น.ส.อุ้มบุญ หรือ อุ้มบุญ อายุ 21 ปี นาย นพคุณ หรือ เจ๊จั๊ก อายุ 21 ปี นาย ภราดร หรือ ไอซ์ อายุ 21 ปี พร้อมนำตัวไปฝากขังยังศาลจังหวัดธัญบุรี โดยศาลจังหวัดธัญบุรี ไม่อนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 8 คน
    .
    ด้าน น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. ร่วมหารือแนวทางการดูแลป้องกันความปลอดภัยในสถาบันอุดมศึกษา กับนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ “กัน จอมพลัง” ที่เดินทางมาพร้อมกับนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพที่เป็นผู้เสียหาย จากกรณีโดนรุ่นพี่ LGBTQ มหาวิทยาลัยเดียวกันทำร้ายและข่มขู่
    .
    น.ส.ศุภมาส ได้พูดคุยสอบถามและให้กำลังใจผู้เสียหาย พร้อมกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นกรณีศึกษาว่ามีกลุ่มมาเฟียในมหาวิทยาลัย หลังจากเกิดเรื่องทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ รีบดำเนินการลงโทษผู้กระทำผิดโดยให้พ้นสภาพนักศึกษาทันที พร้อมเข้าไปดูแลผู้เสียหายให้ได้รับความเป็นธรรม แสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการแก้ปัญหา ทำให้เห็นว่าคนทำผิดต้องได้รับโทษ และทุกภาคส่วนพร้อมอ้าแขนปกป้องน้องๆ ให้กลับเข้าไปเรียนได้อย่างมีความสุข
    .
    “ขณะนี้ยังดำเนินการสอบสวนอย่างต่อเนื่อง ยืนยันว่าคนที่ทำผิดกฎมหาวิทยาลัยต้องโดนไล่ออก คนที่ทำผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย สถานศึกษาต้องเป็นที่ที่ปลอดภัย ต้องไม่มีมาเฟียหรือการกระทำที่ผิดกฎหมาย เรามี พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน ที่เอาไว้กำกับดูแลมหาวิทยาลัยเอกชน”
    .
    น.ส.ศุภมาส กล่าวอีกว่า ถ้ามหาวิทยาลัยทำผิดเราสามารถเข้าไปควบคุมหรือปิดมหาวิทยาลัยได้ ถ้ามหาวิทยาลัยนั้นๆ ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง ซึ่งเราเคยทำมาแล้ว จากนี้กระทรวง อว. จะกำชับไปยังทุกมหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ต้องไม่ปล่อยผ่าน หน้าที่ของเราคือต้องดูแลนักศึกษาให้เรียนได้อย่างมีความสุข และต้องรู้สึกปลอดภัย
    .............
    Sondhi X
    ศาลสั่งขังยกแก๊ง ขบวนการสาดน้ำซุป อว.ล้างมาเฟียมหาลัย . ความคืบหน้ากรณีอดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังสาดน้ำร้อนใส่ผู้เสียหายนั้น เวลานี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินขยายผลต่อเนื่อง ภายหลังตำรวจ สภ.คลอง จ.ปทุมธานี สามารถจับกุมตัว นายรษิภา หรือ เจ๊พรีม อายุ 22 ปี และ นายชคัทพล หรือ โอชิ อายุ 19 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดธัญบุรี ในข้อหา 1.ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ 2 ร่วมกันกรรโชกทรัพย์ 3.ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังหรือกระทำด้วยประการใดๆ ทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพ 4.ร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยใช้กำลังประทุษร้าย . ทั้งนี้ ล่าสุดตำรวจสามารถจับกุมกลุ่มเพื่อนที่ร่วมก่อเหตุได้อีกรวมทั้งหมด 8 คน ประกอบด้วย นาย ดลลธี หรือ พอล อายุ 21 ปี น.ส.วรัญญา หรือ แบม อายุ 21 น.ส.กันยาพัชร หรือ พิมเจล อายุ 21 ปี นักแสดงซีรี่ย์ น.ส.อุ้มบุญ หรือ อุ้มบุญ อายุ 21 ปี นาย นพคุณ หรือ เจ๊จั๊ก อายุ 21 ปี นาย ภราดร หรือ ไอซ์ อายุ 21 ปี พร้อมนำตัวไปฝากขังยังศาลจังหวัดธัญบุรี โดยศาลจังหวัดธัญบุรี ไม่อนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 8 คน . ด้าน น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. ร่วมหารือแนวทางการดูแลป้องกันความปลอดภัยในสถาบันอุดมศึกษา กับนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ “กัน จอมพลัง” ที่เดินทางมาพร้อมกับนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพที่เป็นผู้เสียหาย จากกรณีโดนรุ่นพี่ LGBTQ มหาวิทยาลัยเดียวกันทำร้ายและข่มขู่ . น.ส.ศุภมาส ได้พูดคุยสอบถามและให้กำลังใจผู้เสียหาย พร้อมกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นกรณีศึกษาว่ามีกลุ่มมาเฟียในมหาวิทยาลัย หลังจากเกิดเรื่องทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ รีบดำเนินการลงโทษผู้กระทำผิดโดยให้พ้นสภาพนักศึกษาทันที พร้อมเข้าไปดูแลผู้เสียหายให้ได้รับความเป็นธรรม แสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการแก้ปัญหา ทำให้เห็นว่าคนทำผิดต้องได้รับโทษ และทุกภาคส่วนพร้อมอ้าแขนปกป้องน้องๆ ให้กลับเข้าไปเรียนได้อย่างมีความสุข . “ขณะนี้ยังดำเนินการสอบสวนอย่างต่อเนื่อง ยืนยันว่าคนที่ทำผิดกฎมหาวิทยาลัยต้องโดนไล่ออก คนที่ทำผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย สถานศึกษาต้องเป็นที่ที่ปลอดภัย ต้องไม่มีมาเฟียหรือการกระทำที่ผิดกฎหมาย เรามี พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน ที่เอาไว้กำกับดูแลมหาวิทยาลัยเอกชน” . น.ส.ศุภมาส กล่าวอีกว่า ถ้ามหาวิทยาลัยทำผิดเราสามารถเข้าไปควบคุมหรือปิดมหาวิทยาลัยได้ ถ้ามหาวิทยาลัยนั้นๆ ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง ซึ่งเราเคยทำมาแล้ว จากนี้กระทรวง อว. จะกำชับไปยังทุกมหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ต้องไม่ปล่อยผ่าน หน้าที่ของเราคือต้องดูแลนักศึกษาให้เรียนได้อย่างมีความสุข และต้องรู้สึกปลอดภัย ............. Sondhi X
    Like
    Love
    Sad
    15
    0 Comments 0 Shares 2143 Views 0 Reviews
  • พรีม สาดน้ำซุปร้อนโดนถอดพ้นสภาพนักศึกษาแล้ว แต่ไอ่สส.ระญำหมา สาดน้ำเหนียวมีกม.คุ้มครอง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    พรีม สาดน้ำซุปร้อนโดนถอดพ้นสภาพนักศึกษาแล้ว แต่ไอ่สส.ระญำหมา สาดน้ำเหนียวมีกม.คุ้มครอง #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 189 Views 0 Reviews
  • 🌿✨ หาค่าขนมเสริม!
    ใครอยากมีรายได้ระหว่างเรียน + ได้ประสบการณ์ในธุรกิจนวัตกรรมสมุนไพร?
    บริษัท T1 TEAM HERBAL INNOVATION เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจงานออนไลน์ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพ มาร่วมทีม ไม่ต้องมีประสบการณ์ก็ทำได้!
    ทำไมต้องร่วมงานกับเรา?
    ✅ งานใกล้ตัว – ทำงานออนไลน์ ทำได้ทุกที่
    ✅ เวลายืดหยุ่น – เลือกช่วงเวลาได้ ไม่กระทบการเรียน
    ✅ รายได้ดี – แผนรายได้ที่ทำง่าย ได้จริง
    ✅ ฝึกอบรมฟรี – มีการสอนงานทางออนไลน์
    คุณสมบัติผู้สมัคร:
    อายุ 18 ปีขึ้นไป
    สนใจพัฒนาตัวเอง และรักการเรียนรู้
    #หางานนักศึกษา #ค่าขนมเสริม #พาร์ทไทม์กรุงเทพ #สมุทรปราการ #ปทุมธานี #HerbalInnovation
    T1 TEAM – เราเชื่อว่า “โอกาสที่ดีเริ่มจากก้าวแรก” 🌱
    ข้อมูลเพิ่มเติม
    www.t1team.com
    Line: @t1herb
    เริ่มสร้างรายได้และประสบการณ์ไปด้วยกัน! 🚀
    เหมาะสำหรับนักศึกษาที่อยากพัฒนาตัวเอง แถมมีเวลาเหลือเฟือมาทำงานควบคู่การเรียน 😊
    🌿✨ หาค่าขนมเสริม! ใครอยากมีรายได้ระหว่างเรียน + ได้ประสบการณ์ในธุรกิจนวัตกรรมสมุนไพร? บริษัท T1 TEAM HERBAL INNOVATION เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจงานออนไลน์ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพ มาร่วมทีม ไม่ต้องมีประสบการณ์ก็ทำได้! ทำไมต้องร่วมงานกับเรา? ✅ งานใกล้ตัว – ทำงานออนไลน์ ทำได้ทุกที่ ✅ เวลายืดหยุ่น – เลือกช่วงเวลาได้ ไม่กระทบการเรียน ✅ รายได้ดี – แผนรายได้ที่ทำง่าย ได้จริง ✅ ฝึกอบรมฟรี – มีการสอนงานทางออนไลน์ คุณสมบัติผู้สมัคร: อายุ 18 ปีขึ้นไป สนใจพัฒนาตัวเอง และรักการเรียนรู้ #หางานนักศึกษา #ค่าขนมเสริม #พาร์ทไทม์กรุงเทพ #สมุทรปราการ #ปทุมธานี #HerbalInnovation T1 TEAM – เราเชื่อว่า “โอกาสที่ดีเริ่มจากก้าวแรก” 🌱 ข้อมูลเพิ่มเติม www.t1team.com Line: @t1herb เริ่มสร้างรายได้และประสบการณ์ไปด้วยกัน! 🚀 เหมาะสำหรับนักศึกษาที่อยากพัฒนาตัวเอง แถมมีเวลาเหลือเฟือมาทำงานควบคู่การเรียน 😊
    0 Comments 0 Shares 282 Views 0 Reviews
  • มหาวิทยาลัยกรุงเทพได้ออกแถลงการณ์ กรณีนักศึกษาของมหาวิทยาลัยถูกทำร้ายร่างกาย ย้ำจุดยืนว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ รวมทั้งถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดวินัยนักศึกษาอย่างร้ายแรง

    จากกรณีเมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. วันที่ 8 ก.พ. 2568 กลุ่ม LGBTQ+ รวมตัวกันบริเวณคอนโดแห่งหนึ่งใน อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เพื่อเรียกร้องให้ผู้ก่อเหตุซึ่งเป็น LGBTQ+ ลงมาขอโทษ หลังใช้น้ำร้อนราดใส่หลังของรุ่นน้อง ซึ่งเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ของมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง ได้รับบาดเจ็บ จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมากในโลกโซเชียลฯ ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

    วันนี้ (9 ก.พ.) มหาวิทยาลัยกรุงเทพได้ออกแถลงการณ์ถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า “ตามที่ปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณชน กรณีนักศึกษาของมหาวิทยาลัยถูกทำร้ายร่างกาย เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา จนได้รับบาดเจ็บ มหาวิทยาลัยกรุงเทพขอแสดงความห่วงใยต่อผู้ได้รับผลกระทบ และขอย้ำจุดยืนว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ รวมทั้งถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดวินัยนักศึกษาอย่างร้ายแรง

    มหาวิทยาลัยได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงโดยทันทีที่ทราบเรื่อง และได้ทราบตัวผู้ก่อเหตุ พร้อมเก็บรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องทุกกรณี ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยได้ตั้งคณะกรรมการปกครอง เพื่อดำเนินการสอบสวนและพิจารณาโทษตามระเบียบข้อบังคับทางวินัยของมหาวิทยาลัย ควบคู่ไปกับการให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษตามกฎหมาย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000013083

    #MGROnline #มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ##สาดน้ำร้อน #รังสิต
    มหาวิทยาลัยกรุงเทพได้ออกแถลงการณ์ กรณีนักศึกษาของมหาวิทยาลัยถูกทำร้ายร่างกาย ย้ำจุดยืนว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ รวมทั้งถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดวินัยนักศึกษาอย่างร้ายแรง จากกรณีเมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. วันที่ 8 ก.พ. 2568 กลุ่ม LGBTQ+ รวมตัวกันบริเวณคอนโดแห่งหนึ่งใน อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เพื่อเรียกร้องให้ผู้ก่อเหตุซึ่งเป็น LGBTQ+ ลงมาขอโทษ หลังใช้น้ำร้อนราดใส่หลังของรุ่นน้อง ซึ่งเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ของมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง ได้รับบาดเจ็บ จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมากในโลกโซเชียลฯ ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น • วันนี้ (9 ก.พ.) มหาวิทยาลัยกรุงเทพได้ออกแถลงการณ์ถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า “ตามที่ปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณชน กรณีนักศึกษาของมหาวิทยาลัยถูกทำร้ายร่างกาย เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา จนได้รับบาดเจ็บ มหาวิทยาลัยกรุงเทพขอแสดงความห่วงใยต่อผู้ได้รับผลกระทบ และขอย้ำจุดยืนว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ รวมทั้งถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดวินัยนักศึกษาอย่างร้ายแรง • มหาวิทยาลัยได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงโดยทันทีที่ทราบเรื่อง และได้ทราบตัวผู้ก่อเหตุ พร้อมเก็บรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องทุกกรณี ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยได้ตั้งคณะกรรมการปกครอง เพื่อดำเนินการสอบสวนและพิจารณาโทษตามระเบียบข้อบังคับทางวินัยของมหาวิทยาลัย ควบคู่ไปกับการให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษตามกฎหมาย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000013083 • #MGROnline #มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ##สาดน้ำร้อน #รังสิต
    1 Comments 0 Shares 278 Views 0 Reviews
  • ครูวาฬ สอนเปียโน​ กีตาร์​ ​ตามบ้าน และออนไลน์
    สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตรดุริยางคศาสตรบัณฑิต (ดศ.บ.) วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อปีพ.ศ. 2555

    สาขาวิชาที่รับสอน :
    1. ปฏิบัติเครื่องดนตรี Piano สำหรับดนตรีคลาสสิค และดนตรีสมัยนิยม
    2. ปฏิบัติเครื่องดนตรี Guitar สำหรับดนตรีคลาสสิค และดนตรีสมัยนิยม
    3. ทฤษฎีดนตรีตะวันตก Western Music Theory
    4. การฝึกโสตและการอ่านโน้ต Ear Training And Sight-Singing
    5. ลักษณะของจังหวะ ควบคู่กับเครื่องกำกับจังหวะ Rhythm Concept With Metronome

    รูปแบบการสอน และสถานที่รับสอน :
    1. Private Teaching บริเวณที่พักอาศัยของผู้เรียน ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร และในจังหวัดนนทบุรี
    2. Online Teaching หรือ Learn From Home ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยการใช้ Web and Video Conferencing Application ต่างๆ เช่น Google Meets, Cisco Webex, Zoom, Line ฯลฯ ในทุกจังหวัดของประเทศไทย และต่างประเทศ

    วัตถุประสงค์ของการสอน :
    1. ให้ผู้เรียนสามารถสอบเข้าศึกษาต่อในสาขาวิชาดนตรี ระดับเตรียมอุดมฯ และระดับปริญญาตรี, การสอบตามเกณฑ์ในระดับต่างๆ และการสอบเทียบทางด้านดนตรี
    2. ให้ผู้เรียนมีความผ่อนคลาย สบายอารมณ์ การสังสรรค์ และงานอดิเรก
    3. ให้ผู้เรียนสามารถประกอบอาชีพดนตรีในอนาคต
    4. ให้ผู้เรียนมีความเข้าใจ และความรู้ ที่เพียงพอในศาสตร์ด้านดนตรี

    * หัวข้อหลักในการเรียน การสอน​ :
    1. เทคนิคพื้นฐาน Basic ต่างๆ ตั้งแต่ท่าทาง, การจัดระเบียบ, รูปลักษณ์, ลักษณะที่ดี และถูกต้อง
    2. วิธีการเล่นดนตรี การซ้อมดนตรีที่ดี มีประสิทธิภาพ ถูกวิธี และเป็นระบบ เช่น ความสบาย, การ Save พลัง และการป้องกันการบาดเจ็บได้ดี
    3. Mindset ระบบความคิด, Attitude ทัศนคติ, การวางแผน Plan, วิธีคิด, ความสัมพันธ์ และการคิดล่วงหน้า
    4. เทคนิคในการอ่านโน้ตดนตรี
    5. การให้ความสำคัญกับคุณภาพเสียง มิติเสียงที่ควรจะเป็น และทิศทางประโยคของบทเพลง
    6. เทคนิคการบรรเลงเครื่องดนตรี การควบคุมเสียง และความต่อเนื่องในการเล่นอย่างมั่นใจ ไม่สะดุดและติดขัด
    7. ความเที่ยงตรงของจังหวะ, ความเร็วของจังหวะ Tempo มีความคงที่ และระดับเสียงที่ถูกต้อง
    8. การเล่นดนตรี ร่วมกับผู้อื่น เพื่อพัฒนาโสตประสาท การรักษาจังหวะ และอารมณ์เพลง ให้มีประสิทธิภาพ
    9. การบริหารการจัดการ และการก้าวข้ามผ่านอุปสรรค
    และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อปูพื้นฐานทักษะเหล่านี้ ให้แข็งแรง แข็งแกร่ง ไปจนถึงสามารถเล่นเพลงได้ทุกเพลงในโลก ที่มีโน้ตเพลงอยู่ข้างหน้าเรา อย่างมีประสิทธิภาพ

    ประสบการณ์การทำงานและการสอน :
    1. เข้าร่วมคณะนักร้องเสียงประสาน Mahidol Symphonic Choir เมื่อปีพ.ศ. 2551 - 2552 ผ่านการแสดงร้องเสียงประสานในบทเพลง
    - Ludwig van Beethoven, "An die Freude" (Ode to Joy) from Symphony No.9, Op.125 "Choral" (1882) และ​ Carl Orff's Carmina Burana​ ร่วมกับวงดุริยางค์ฟีลฮาร์โมนิกแห่งประเทศไทย หรือ Thailand Philharmonic Orchestra
    - Johannes Brahms's Ein Deutshes Requiem
    - Puccini's Messa di Gloria
    2. ผู้ช่วยคณะกรรมการคุมสอบเข้าศึกษาต่อในระดับเตรียมอุดมดนตรี และระดับปริญญาตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เ​​มื่อปีพ.ศ. 2552
    3. รับสอนตามสถาบันสอนดนตรี, โรงเรียนสอนดนตรี, ที่พักอาศัยของผู้เรียน และที่พักอาศัยของครูผู้สอน ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2555 ถึงปัจจุบัน

    ประวัติการฝึกอบรม :
    1. เข้าร่วมอบรมโครงการ "การใช้ดนตรีเพื่อพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม" วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ม.มหิดล เมื่อปีพ.ศ. 2553
    2. เข้าร่วมอบรมหลักสูตร "พัฒนาผู้นำองค์กรนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล MU Leadership Program" รุ่นที่ 1 เมื่อปีพ.ศ. 2553
    3. ผ่านการอบรมออนไลน์ "โควิด19 และระบาดวิทยา" โดยศาสตราจารย์ นพ. ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปีพ.ศ. 2564
    4. ผ่านการอบรมออนไลน์ "ชีวิตวิถีใหม่และความฉลาดทางดิจิทัล New Normal Life and Digital Quotient" โดยรองศาสตราจารย์ ยืน ภู่วรวรรณ ผู้ทรงคุณวุฒิมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในปีพ.ศ. 2564
    5. ผ่านการอบรมออนไลน์ "โครงการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาบุคลากรทางไซเบอร์" สำหรับบุคคลทั่วไป "หลักสูตรเสริมสร้างการรับรู้ที่แข็งแกร่งด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ Build a Strong Security Awareness Program" โดยสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และบริษัท เทรนด์ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด ในปีพ.ศ. 2564
    6. เข้าร่วมอบรมออนไลน์ "Thailand National Cyber Week 2021 เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และทักษะด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์" โดยสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ในปีพ.ศ. 2564

    คุณลักษณะ :
    ใจเย็น ใส่ใจในรายละเอียด สามารถปรับแก้ไขเนื้อหา เรื่องราวต่างๆ ให้เหมาะสมตามสถานการณ์ของแต่ละบุคคล รวมถึงการฝึกระเบียบวินัยเบื้องต้นต่อตนเองและผู้อื่น ให้ความสำคัญกับสุขอนามัย ทั้งแนวทางการดูแล การจัดการ การปฏิบัติ การป้องกัน ระหว่างผู้เรียนและผู้สอน ให้ดีมีประสิทธิภาพมากที่สุด

    คุณสมบัติของผู้เรียน :
    มีเครื่องดนตรีเป็นของตนเอง ทุกเพศ ทุกเชื้อชาติ ตั้งแต่วัยมัธยมต้น​ อายุ​ 12​ ปี​, วัยมัธยมปลาย, วัยมหาวิทยาลัย, วัยผู้ใหญ่, วัยกลางคน และวัยผู้สูงอายุ​ อายุ​ 60​ ปีขึ้นไป

    สนใจสมัครเรียน :
    ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 081-483-5190
    ถ้าไม่มีสัญญานตอบรับ หรือไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนั้น สามารถไปที่เว็บไซต์ https://bestkru.com/39158 ได้เช่นกัน และรอการติดต่อกลับ จากครูวาฬได้ ทั้ง 2 ช่องทางครับ

    ขอบคุณครับ
    ครูวาฬ สอนเปียโน​ กีตาร์​ ​ตามบ้าน และออนไลน์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตรดุริยางคศาสตรบัณฑิต (ดศ.บ.) วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อปีพ.ศ. 2555 สาขาวิชาที่รับสอน : 1. ปฏิบัติเครื่องดนตรี Piano สำหรับดนตรีคลาสสิค และดนตรีสมัยนิยม 2. ปฏิบัติเครื่องดนตรี Guitar สำหรับดนตรีคลาสสิค และดนตรีสมัยนิยม 3. ทฤษฎีดนตรีตะวันตก Western Music Theory 4. การฝึกโสตและการอ่านโน้ต Ear Training And Sight-Singing 5. ลักษณะของจังหวะ ควบคู่กับเครื่องกำกับจังหวะ Rhythm Concept With Metronome รูปแบบการสอน และสถานที่รับสอน : 1. Private Teaching บริเวณที่พักอาศัยของผู้เรียน ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร และในจังหวัดนนทบุรี 2. Online Teaching หรือ Learn From Home ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยการใช้ Web and Video Conferencing Application ต่างๆ เช่น Google Meets, Cisco Webex, Zoom, Line ฯลฯ ในทุกจังหวัดของประเทศไทย และต่างประเทศ วัตถุประสงค์ของการสอน : 1. ให้ผู้เรียนสามารถสอบเข้าศึกษาต่อในสาขาวิชาดนตรี ระดับเตรียมอุดมฯ และระดับปริญญาตรี, การสอบตามเกณฑ์ในระดับต่างๆ และการสอบเทียบทางด้านดนตรี 2. ให้ผู้เรียนมีความผ่อนคลาย สบายอารมณ์ การสังสรรค์ และงานอดิเรก 3. ให้ผู้เรียนสามารถประกอบอาชีพดนตรีในอนาคต 4. ให้ผู้เรียนมีความเข้าใจ และความรู้ ที่เพียงพอในศาสตร์ด้านดนตรี * หัวข้อหลักในการเรียน การสอน​ : 1. เทคนิคพื้นฐาน Basic ต่างๆ ตั้งแต่ท่าทาง, การจัดระเบียบ, รูปลักษณ์, ลักษณะที่ดี และถูกต้อง 2. วิธีการเล่นดนตรี การซ้อมดนตรีที่ดี มีประสิทธิภาพ ถูกวิธี และเป็นระบบ เช่น ความสบาย, การ Save พลัง และการป้องกันการบาดเจ็บได้ดี 3. Mindset ระบบความคิด, Attitude ทัศนคติ, การวางแผน Plan, วิธีคิด, ความสัมพันธ์ และการคิดล่วงหน้า 4. เทคนิคในการอ่านโน้ตดนตรี 5. การให้ความสำคัญกับคุณภาพเสียง มิติเสียงที่ควรจะเป็น และทิศทางประโยคของบทเพลง 6. เทคนิคการบรรเลงเครื่องดนตรี การควบคุมเสียง และความต่อเนื่องในการเล่นอย่างมั่นใจ ไม่สะดุดและติดขัด 7. ความเที่ยงตรงของจังหวะ, ความเร็วของจังหวะ Tempo มีความคงที่ และระดับเสียงที่ถูกต้อง 8. การเล่นดนตรี ร่วมกับผู้อื่น เพื่อพัฒนาโสตประสาท การรักษาจังหวะ และอารมณ์เพลง ให้มีประสิทธิภาพ 9. การบริหารการจัดการ และการก้าวข้ามผ่านอุปสรรค และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อปูพื้นฐานทักษะเหล่านี้ ให้แข็งแรง แข็งแกร่ง ไปจนถึงสามารถเล่นเพลงได้ทุกเพลงในโลก ที่มีโน้ตเพลงอยู่ข้างหน้าเรา อย่างมีประสิทธิภาพ ประสบการณ์การทำงานและการสอน : 1. เข้าร่วมคณะนักร้องเสียงประสาน Mahidol Symphonic Choir เมื่อปีพ.ศ. 2551 - 2552 ผ่านการแสดงร้องเสียงประสานในบทเพลง - Ludwig van Beethoven, "An die Freude" (Ode to Joy) from Symphony No.9, Op.125 "Choral" (1882) และ​ Carl Orff's Carmina Burana​ ร่วมกับวงดุริยางค์ฟีลฮาร์โมนิกแห่งประเทศไทย หรือ Thailand Philharmonic Orchestra - Johannes Brahms's Ein Deutshes Requiem - Puccini's Messa di Gloria 2. ผู้ช่วยคณะกรรมการคุมสอบเข้าศึกษาต่อในระดับเตรียมอุดมดนตรี และระดับปริญญาตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เ​​มื่อปีพ.ศ. 2552 3. รับสอนตามสถาบันสอนดนตรี, โรงเรียนสอนดนตรี, ที่พักอาศัยของผู้เรียน และที่พักอาศัยของครูผู้สอน ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2555 ถึงปัจจุบัน ประวัติการฝึกอบรม : 1. เข้าร่วมอบรมโครงการ "การใช้ดนตรีเพื่อพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม" วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ม.มหิดล เมื่อปีพ.ศ. 2553 2. เข้าร่วมอบรมหลักสูตร "พัฒนาผู้นำองค์กรนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล MU Leadership Program" รุ่นที่ 1 เมื่อปีพ.ศ. 2553 3. ผ่านการอบรมออนไลน์ "โควิด19 และระบาดวิทยา" โดยศาสตราจารย์ นพ. ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปีพ.ศ. 2564 4. ผ่านการอบรมออนไลน์ "ชีวิตวิถีใหม่และความฉลาดทางดิจิทัล New Normal Life and Digital Quotient" โดยรองศาสตราจารย์ ยืน ภู่วรวรรณ ผู้ทรงคุณวุฒิมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในปีพ.ศ. 2564 5. ผ่านการอบรมออนไลน์ "โครงการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาบุคลากรทางไซเบอร์" สำหรับบุคคลทั่วไป "หลักสูตรเสริมสร้างการรับรู้ที่แข็งแกร่งด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ Build a Strong Security Awareness Program" โดยสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และบริษัท เทรนด์ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด ในปีพ.ศ. 2564 6. เข้าร่วมอบรมออนไลน์ "Thailand National Cyber Week 2021 เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และทักษะด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์" โดยสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ในปีพ.ศ. 2564 คุณลักษณะ : ใจเย็น ใส่ใจในรายละเอียด สามารถปรับแก้ไขเนื้อหา เรื่องราวต่างๆ ให้เหมาะสมตามสถานการณ์ของแต่ละบุคคล รวมถึงการฝึกระเบียบวินัยเบื้องต้นต่อตนเองและผู้อื่น ให้ความสำคัญกับสุขอนามัย ทั้งแนวทางการดูแล การจัดการ การปฏิบัติ การป้องกัน ระหว่างผู้เรียนและผู้สอน ให้ดีมีประสิทธิภาพมากที่สุด คุณสมบัติของผู้เรียน : มีเครื่องดนตรีเป็นของตนเอง ทุกเพศ ทุกเชื้อชาติ ตั้งแต่วัยมัธยมต้น​ อายุ​ 12​ ปี​, วัยมัธยมปลาย, วัยมหาวิทยาลัย, วัยผู้ใหญ่, วัยกลางคน และวัยผู้สูงอายุ​ อายุ​ 60​ ปีขึ้นไป สนใจสมัครเรียน : ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 081-483-5190 ถ้าไม่มีสัญญานตอบรับ หรือไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนั้น สามารถไปที่เว็บไซต์ https://bestkru.com/39158 ได้เช่นกัน และรอการติดต่อกลับ จากครูวาฬได้ ทั้ง 2 ช่องทางครับ ขอบคุณครับ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 530 Views 0 Reviews
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.93 : อัลฟ่าโกะกับจีน

    ในปี ค.ศ.2016 มีเหตุการณ์เล็กๆที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นครับ คือ มีการแข่งขันเกมส์ &ldquo;โกะ&rdquo; (หรือ หมากล้อม) ระหว่างแชมป์โลกโกะชาวเกาหลีใต้ชื่อ &ldquo;ลี เซดอล&ldquo; กับหุ่นยนต์เอไอของกูเกิ้ล ชื่อ &rdquo;อัลฟ่าโกะ - AlphaGo&quot;

    ผลก็คือ อัลฟ่าโกะชนะลี เซดอลไปได้ขาดลอย คือ แข่งกัน 5 กระดาน อัลฟ่าโกะชนะไป 4 กระดาน ทำเอาแขมป์โลกลี เซดอลต้องยอมแพ้และถอนตัวจากแข่งขัน

    เผื่อใครไม่ทราบ โกะคือเกมส์ที่เล่นบนกระดานครับ ผู้เล่นสองฝั่งต้องวางแผนล่วงหน้าในการเดินหมากเพื่อลวงคู่ต่อสู้ เป็นเกมส์ที่ใช้พลังสมองและฝึกกระบวนการคิดซับซ้อนเป็นอย่างดี
    .
    .
    .
    ข่าวชัยชนะของอัลฟ่าโกะนี้แพร่กระจายไปทั่วโลก จนกระทั่งไปเข้าถึงหูของกลุ่มผู้นำจีนในเวลานั้น

    เรื่องใครชนะใครแพ้ในเกมส์โกะนั้นไม่สำคัญสำหรับกลุ่มผู้นำรัฐบาลจีนเท่ากับความจริงที่ว่า เทคโนโลยีเอไอนั้นก้าวล้ำไปรวดเร็วกว่าที่ใครจะคาดคิดครับ

    ผู้นำจีนได้พูดคุยกันและตัดสินใจทันทีว่า จีนจะต้องเร่งพัฒนาองค์ความรู้เรื่องเอไอเพื่อให้จีนเป็นผู้นำเทคโนโลยีนี้ให้ได้

    ดังนั้นแล้วหนึ่งปีหลังจากชัยชนะของอัลฟ่าโกะ คือ ค.ศ.2017 รัฐบาลจีนได้ประกาศแผนแห่งชาติที่ชื่อว่า &ldquo;New Generation Artificial Intelligence Development Plan&quot; หรือ &rdquo;แผนพัฒนาเอไอยุคใหม่&ldquo; ออกมาครับ

    กล่าวโดยสรุปคือ แผนนี้กำหนดเป้าหมายไว้ว่า

    ภายในปี 2020 จีนจะต้องตามทันอเมริกาและชาติที่ก้าวล้ำในด้านเอไอ

    ภายในปี 2025 จีนจะต้องสร้างนวัตกรรมสำคัญในเรื่อง เอไอ application

    ภายในปี 2030 จีนจะต้องเป็นผู้นำโลกด้านเอไอ

    และในหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลจีนก็ได้จัดสรรเงินลงทุนประมาณ 200,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐมุ่งไปที่การพัฒนาเอไออย่างเดียว

    เงินก้อนนี้คิดเป็น 23% ของงบประมาณลงทุนทั้งหมดของรัฐบาลจีนในทศวรรษนี้ครับ

    บางท่านอาจถามว่า &ldquo;อ้าว&hellip; แล้วก่อนหน้าปี 2017 นี่ จีนไม่ได้สนใจเรื่องเอไอเลยเหรอ?&rdquo;

    คำตอบคือ สนใจครับ ในยุคนั้นมีบริษัทดังๆเช่น หัวเหว่ย, อาลีบาบา, เทนเซนท์ และไป่ตู้ (Baidu) ซึ่งเป็นบริษัทเทคสำคัญๆของจีนก็สนใจเอไออยู่ แต่งบประมาณยังไม่ได้มากมายอะไร

    เมื่อรัฐบาลจีนเข้ามาส่งเสริมเอไอเต็มสูบแบบนี้ พวกบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ของจีนก็เดินหน้าเต็มเหนี่ยวเช่นกัน เช่น ระบบเอไอเฮลธ์แคร์โดยเทนเซนท์, ระบบสมาร์ทซิตี้ของอาลีบาบา หรือ ระบบจดจำใบหน้าของเอไอโดยเซนส์ไทม์ ฯลฯ
    .
    .
    .
    งบ 2 แสนล้านดอลล่าร์ของรัฐบาลนี้ ไม่ได้ส่งไปที่บริษัทหรือเทคสตาร์ทอัพอย่างเดียวครับ แต่ส่งไปยังโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศจีนเพื่อส่งเสริมการเรียนการสอนทั้ง STEM + เอไอด้วย

    STEM ย่อมาจาก การเรียนสายวิทยาศาสตร์คือ Science, Technology, Engineering and Mathematic ครับ

    ในระดับประถม-มัธยมก็เริ่มสอนการเขียนโปรแกรม หรือ โค้ดดิ้ง (Coding) แต่เด็กๆ โดยใส่เข้าไปในหลักสูตรเลย

    ที่น่าสนใจคือ โรงเรียนและผู้ปกครองส่งเสริมให้เด็กๆหัดเล่นโกะเยอะขึ้นมาก เพื่อให้ฝึกกระบวนการคิดหลายชั้น

    และให้เอไอเป็นโค้ชสอนเด็กเล่นโกะด้วยซ้ำ

    มหาวิทยาลัยทั้งหลายในจีนเริ่มเปิดหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับเอไอและ STEM มากขึ้น

    ในช่วงปี 2016-2019 นักศึกษาปริญญาเอกในสาย STEM ของมหาวิทยาลัยจีนเพิ่มขึ้นจาก 59,000 คน เป็น 83,000 คน

    คาดว่าในปี 2025 จีนจะผลิตด็อกเตอร์จบใหม่สาย STEM ได้ปีละ 77,000 คน เทียบกับสหรัฐอเมริกาที่ผลิตปีละ 40,000 คน

    ส่วนในระดับปริญญาตรีและโท จีนผลิตบัณฑิตและมหาบัณฑิตได้ปีละหลักล้านคน

    ในจีนนั้นมีอยู่ 3 มหาวิทยาลัยที่ถือว่าโด่งดังในหลักสูตรเอไอ คือ ปักกิ่ง, ซิงหัว และ Zhejiang ครับ ซึ่งมหาลัยเหล่านี้เขาก็ทำงานร่วมกับบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ของจีน 3 แห่งคือ Baitu, Alibaba และ Tencent

    ย่อหน้าที่แล้วผมเขียนชื่อสามบริษัทนี้เป็นภาษาอังกฤษ เพราะยักษ์ใหญ่สามบริษัทนี้เขามีชื่อเรียกย่อๆรวมกันว่า BAT ครับ
    .
    .
    .
    ที่ผมนำเรื่องนี้มาเล่า ก็เพราะอยากจะบอกว่าความสำเร็จของเอไอ &ldquo;ดีปซีค&rdquo; นั้นไม่ใช่ความสำเร็จชั่วข้ามคืน

    แต่เกิดจากยุทธศาสตร์ที่มุ่งพัฒนาชาติของรัฐบาลจีนและความมานะหมั่นเพียรของเด็กจีน

    อัลฟ่าโกะนั้นเปรียบเสมือนเสียงนาฬิกาปลุกสำหรับมังกรจีน

    เทียบได้กับในวันที่โซเวียตส่งยานสปุตนิกขึ้นไปโคจรรอบโลกแล้วนั่นคือนาฬิกาปลุกของอเมริกา

    สำหรับประเทศไทยเรานั้น อย่าไปหวังยุทธศาสตร์อะไรกับนายกรัฐมนตรีที่เทงบซอฟท์พาวเวอร์ไป 5 พันล้านบาทเลยครับ

    ยิ่งเห็นข่าวคณะผู้แทนจีนตั้งคำถามกับฝ่ายความมั่นคงและตำรวจไทยเรื่องแก๊งคอลล์เซ็นเตอร์ว่า &ldquo;ทำไมพวกคุณไม่สนใจดูแลบ้านเมืองของตัวเองบ้างเลย&ldquo; แล้ว

    ผมอายบรรพบุรุษครับ

    อายว่า &ldquo;เจนเนอเรชั่นพวกเรานั้น ทำได้แค่นี้เหรอ? มีดีแค่นี้เหรอ?&ldquo;
    อ่านเอาเรื่อง Ep.93 : อัลฟ่าโกะกับจีน ในปี ค.ศ.2016 มีเหตุการณ์เล็กๆที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นครับ คือ มีการแข่งขันเกมส์ &ldquo;โกะ&rdquo; (หรือ หมากล้อม) ระหว่างแชมป์โลกโกะชาวเกาหลีใต้ชื่อ &ldquo;ลี เซดอล&ldquo; กับหุ่นยนต์เอไอของกูเกิ้ล ชื่อ &rdquo;อัลฟ่าโกะ - AlphaGo&quot; ผลก็คือ อัลฟ่าโกะชนะลี เซดอลไปได้ขาดลอย คือ แข่งกัน 5 กระดาน อัลฟ่าโกะชนะไป 4 กระดาน ทำเอาแขมป์โลกลี เซดอลต้องยอมแพ้และถอนตัวจากแข่งขัน เผื่อใครไม่ทราบ โกะคือเกมส์ที่เล่นบนกระดานครับ ผู้เล่นสองฝั่งต้องวางแผนล่วงหน้าในการเดินหมากเพื่อลวงคู่ต่อสู้ เป็นเกมส์ที่ใช้พลังสมองและฝึกกระบวนการคิดซับซ้อนเป็นอย่างดี . . . ข่าวชัยชนะของอัลฟ่าโกะนี้แพร่กระจายไปทั่วโลก จนกระทั่งไปเข้าถึงหูของกลุ่มผู้นำจีนในเวลานั้น เรื่องใครชนะใครแพ้ในเกมส์โกะนั้นไม่สำคัญสำหรับกลุ่มผู้นำรัฐบาลจีนเท่ากับความจริงที่ว่า เทคโนโลยีเอไอนั้นก้าวล้ำไปรวดเร็วกว่าที่ใครจะคาดคิดครับ ผู้นำจีนได้พูดคุยกันและตัดสินใจทันทีว่า จีนจะต้องเร่งพัฒนาองค์ความรู้เรื่องเอไอเพื่อให้จีนเป็นผู้นำเทคโนโลยีนี้ให้ได้ ดังนั้นแล้วหนึ่งปีหลังจากชัยชนะของอัลฟ่าโกะ คือ ค.ศ.2017 รัฐบาลจีนได้ประกาศแผนแห่งชาติที่ชื่อว่า &ldquo;New Generation Artificial Intelligence Development Plan&quot; หรือ &rdquo;แผนพัฒนาเอไอยุคใหม่&ldquo; ออกมาครับ กล่าวโดยสรุปคือ แผนนี้กำหนดเป้าหมายไว้ว่า ภายในปี 2020 จีนจะต้องตามทันอเมริกาและชาติที่ก้าวล้ำในด้านเอไอ ภายในปี 2025 จีนจะต้องสร้างนวัตกรรมสำคัญในเรื่อง เอไอ application ภายในปี 2030 จีนจะต้องเป็นผู้นำโลกด้านเอไอ และในหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลจีนก็ได้จัดสรรเงินลงทุนประมาณ 200,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐมุ่งไปที่การพัฒนาเอไออย่างเดียว เงินก้อนนี้คิดเป็น 23% ของงบประมาณลงทุนทั้งหมดของรัฐบาลจีนในทศวรรษนี้ครับ บางท่านอาจถามว่า &ldquo;อ้าว&hellip; แล้วก่อนหน้าปี 2017 นี่ จีนไม่ได้สนใจเรื่องเอไอเลยเหรอ?&rdquo; คำตอบคือ สนใจครับ ในยุคนั้นมีบริษัทดังๆเช่น หัวเหว่ย, อาลีบาบา, เทนเซนท์ และไป่ตู้ (Baidu) ซึ่งเป็นบริษัทเทคสำคัญๆของจีนก็สนใจเอไออยู่ แต่งบประมาณยังไม่ได้มากมายอะไร เมื่อรัฐบาลจีนเข้ามาส่งเสริมเอไอเต็มสูบแบบนี้ พวกบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ของจีนก็เดินหน้าเต็มเหนี่ยวเช่นกัน เช่น ระบบเอไอเฮลธ์แคร์โดยเทนเซนท์, ระบบสมาร์ทซิตี้ของอาลีบาบา หรือ ระบบจดจำใบหน้าของเอไอโดยเซนส์ไทม์ ฯลฯ . . . งบ 2 แสนล้านดอลล่าร์ของรัฐบาลนี้ ไม่ได้ส่งไปที่บริษัทหรือเทคสตาร์ทอัพอย่างเดียวครับ แต่ส่งไปยังโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศจีนเพื่อส่งเสริมการเรียนการสอนทั้ง STEM + เอไอด้วย STEM ย่อมาจาก การเรียนสายวิทยาศาสตร์คือ Science, Technology, Engineering and Mathematic ครับ ในระดับประถม-มัธยมก็เริ่มสอนการเขียนโปรแกรม หรือ โค้ดดิ้ง (Coding) แต่เด็กๆ โดยใส่เข้าไปในหลักสูตรเลย ที่น่าสนใจคือ โรงเรียนและผู้ปกครองส่งเสริมให้เด็กๆหัดเล่นโกะเยอะขึ้นมาก เพื่อให้ฝึกกระบวนการคิดหลายชั้น และให้เอไอเป็นโค้ชสอนเด็กเล่นโกะด้วยซ้ำ มหาวิทยาลัยทั้งหลายในจีนเริ่มเปิดหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับเอไอและ STEM มากขึ้น ในช่วงปี 2016-2019 นักศึกษาปริญญาเอกในสาย STEM ของมหาวิทยาลัยจีนเพิ่มขึ้นจาก 59,000 คน เป็น 83,000 คน คาดว่าในปี 2025 จีนจะผลิตด็อกเตอร์จบใหม่สาย STEM ได้ปีละ 77,000 คน เทียบกับสหรัฐอเมริกาที่ผลิตปีละ 40,000 คน ส่วนในระดับปริญญาตรีและโท จีนผลิตบัณฑิตและมหาบัณฑิตได้ปีละหลักล้านคน ในจีนนั้นมีอยู่ 3 มหาวิทยาลัยที่ถือว่าโด่งดังในหลักสูตรเอไอ คือ ปักกิ่ง, ซิงหัว และ Zhejiang ครับ ซึ่งมหาลัยเหล่านี้เขาก็ทำงานร่วมกับบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ของจีน 3 แห่งคือ Baitu, Alibaba และ Tencent ย่อหน้าที่แล้วผมเขียนชื่อสามบริษัทนี้เป็นภาษาอังกฤษ เพราะยักษ์ใหญ่สามบริษัทนี้เขามีชื่อเรียกย่อๆรวมกันว่า BAT ครับ . . . ที่ผมนำเรื่องนี้มาเล่า ก็เพราะอยากจะบอกว่าความสำเร็จของเอไอ &ldquo;ดีปซีค&rdquo; นั้นไม่ใช่ความสำเร็จชั่วข้ามคืน แต่เกิดจากยุทธศาสตร์ที่มุ่งพัฒนาชาติของรัฐบาลจีนและความมานะหมั่นเพียรของเด็กจีน อัลฟ่าโกะนั้นเปรียบเสมือนเสียงนาฬิกาปลุกสำหรับมังกรจีน เทียบได้กับในวันที่โซเวียตส่งยานสปุตนิกขึ้นไปโคจรรอบโลกแล้วนั่นคือนาฬิกาปลุกของอเมริกา สำหรับประเทศไทยเรานั้น อย่าไปหวังยุทธศาสตร์อะไรกับนายกรัฐมนตรีที่เทงบซอฟท์พาวเวอร์ไป 5 พันล้านบาทเลยครับ ยิ่งเห็นข่าวคณะผู้แทนจีนตั้งคำถามกับฝ่ายความมั่นคงและตำรวจไทยเรื่องแก๊งคอลล์เซ็นเตอร์ว่า &ldquo;ทำไมพวกคุณไม่สนใจดูแลบ้านเมืองของตัวเองบ้างเลย&ldquo; แล้ว ผมอายบรรพบุรุษครับ อายว่า &ldquo;เจนเนอเรชั่นพวกเรานั้น ทำได้แค่นี้เหรอ? มีดีแค่นี้เหรอ?&ldquo;
    0 Comments 0 Shares 427 Views 0 Reviews
  • ข่าวนักศึกษาหญิงชาวจีน "Liu Lijun" ของ UCLA ถูกยกเลิกวีซา ซึ่งเป็นผลจากคำสั่งบริหารของทรัมป์ เนื่องจากเข้าร่วมการชุมนุมสนับสนุนปาเลสไตน์ และต่อต้านชาวยิว ที่มีการแชร์อย่างมากมายในโซเชียลตอนนี้

    "ขอยังไม่เชื่อไว้ก่อน"

    เนื่องจากมันแปลกๆ ทำไมมีข่าวแค่คนเดียว และเจาะจงว่าเป็นชาวจีน ทั้งที่มีนักศึกษาเข้าร่วมการชุมนุมมากมาย

    และภาพวิดีโอที่แชร์กันอยู่ตอนนี้ เป็นภาพเก่าเมื่อพฤษภาคม 2024

    ที่สำคัญ ทาง UCLA ยังไม่ได้ออกมาชี้แจงใดๆ

    ข่าวนักศึกษาหญิงชาวจีน "Liu Lijun" ของ UCLA ถูกยกเลิกวีซา ซึ่งเป็นผลจากคำสั่งบริหารของทรัมป์ เนื่องจากเข้าร่วมการชุมนุมสนับสนุนปาเลสไตน์ และต่อต้านชาวยิว ที่มีการแชร์อย่างมากมายในโซเชียลตอนนี้ "ขอยังไม่เชื่อไว้ก่อน" เนื่องจากมันแปลกๆ ทำไมมีข่าวแค่คนเดียว และเจาะจงว่าเป็นชาวจีน ทั้งที่มีนักศึกษาเข้าร่วมการชุมนุมมากมาย และภาพวิดีโอที่แชร์กันอยู่ตอนนี้ เป็นภาพเก่าเมื่อพฤษภาคม 2024 ที่สำคัญ ทาง UCLA ยังไม่ได้ออกมาชี้แจงใดๆ
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 207 Views 0 Reviews
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ออกมาประกาศถึงการระงับเงินทุนช่วยเหลือด้านการศึกษามูลค่า 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1,518,884,289 บาท) สำหรับนักเรียน นักศึกษาชาวเมียนมา

    เงินทุนดังกล่าวนั้นเป็นเงินที่อนุมัติสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพื่อสนับสนุนนักศึกษาในเมียนมาตามนโยบาย DEI (นโยบายสนับสนุนความหลากหลาย,ความเท่าเทียม และการเปิดรับคนทุกคน) ภายใต้ชื่อโครงการทุนการศึกษาความหลากหลายและการไม่แบ่งแยก (DISP)

    เงินทุนสนับสนุนการศึกษาดังกล่าวมีผู้หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐฯ (USAID) และสถานทูตสหรัฐฯในนครย่างกุ้งเป็นผู้เบิกจ่าย

    ทรัมป์กล่าวถึงการระงับเงินทุนสนับสนุนการศึกษาครั้งนี้ว่า “เงิน 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น เป็นเงินที่มากเกินไปสำหรับการลงทุนเพื่อการศึกษา หรือเพื่อความหลากหลายในเมียนมา พวกคุณคงจินตนาการกันได้ว่าเงินเหล่านั้นมันจะไปไหนได้บ้าง นี่คืออีกรูปแบบของการจ่ายเงิน และยังมีอีกมาก ผมสามารถยืนอยู่ที่นี่ทั้งวัน เพื่อเล่าให้พวกคุณฟังถึงสิ่งที่เราได้พบมา เราแค่ต้องการให้เงินมันไปยังที่ๆเหมาะสมกว่าเท่านั้น”
    โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ออกมาประกาศถึงการระงับเงินทุนช่วยเหลือด้านการศึกษามูลค่า 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1,518,884,289 บาท) สำหรับนักเรียน นักศึกษาชาวเมียนมา เงินทุนดังกล่าวนั้นเป็นเงินที่อนุมัติสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพื่อสนับสนุนนักศึกษาในเมียนมาตามนโยบาย DEI (นโยบายสนับสนุนความหลากหลาย,ความเท่าเทียม และการเปิดรับคนทุกคน) ภายใต้ชื่อโครงการทุนการศึกษาความหลากหลายและการไม่แบ่งแยก (DISP) เงินทุนสนับสนุนการศึกษาดังกล่าวมีผู้หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐฯ (USAID) และสถานทูตสหรัฐฯในนครย่างกุ้งเป็นผู้เบิกจ่าย ทรัมป์กล่าวถึงการระงับเงินทุนสนับสนุนการศึกษาครั้งนี้ว่า “เงิน 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น เป็นเงินที่มากเกินไปสำหรับการลงทุนเพื่อการศึกษา หรือเพื่อความหลากหลายในเมียนมา พวกคุณคงจินตนาการกันได้ว่าเงินเหล่านั้นมันจะไปไหนได้บ้าง นี่คืออีกรูปแบบของการจ่ายเงิน และยังมีอีกมาก ผมสามารถยืนอยู่ที่นี่ทั้งวัน เพื่อเล่าให้พวกคุณฟังถึงสิ่งที่เราได้พบมา เราแค่ต้องการให้เงินมันไปยังที่ๆเหมาะสมกว่าเท่านั้น”
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 428 Views 13 0 Reviews
  • เพจ "กิ๊ฟจังนั่งเล่า" เพจที่นำเสนอเรื่องราวของประเทศญี่ปุ่น ออกมาโพสต์ข้อความเตือนเกี่ยวกับข่าวปลอมของ "น้องมะพร้าว" นักศึกษาปริญญาเอกชาวไทย หลังหายตัวปริศนา ว่าขณะนี้ยังคงไม่เจอน้อง หลังปรากฏข่าวว่อนเน็ตว่าเจอตัวน้องแล้ว ขณะนี้ยังคงอยู่ระหว่างค้นหาและสืบสวน

    จากกรณีโซเชียลฯ ร่วมแชร์ช่วยหลังเพื่อนประกาศตามหา “มะพร้าว พรสวรรค์” นักศึกษาปริญญาเอกชาวไทย วัย 30 ปี หลังหายตัวปริศนาในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่วันศุกร์ที่ 24 ม.ค. 68

    ล่าสุดวันนี้ (30 ม.ค.) เพจ "กิ๊ฟจังนั่งเล่า" เพจที่แชร์ข้อมูลเรื่องข่าวสารในประเทศญี่ปุ่น ออกมาโพสต์ข้อความเกี่ยวกับการเผยแพร่ Fake News เกี่ยวกับน้องมะพร้าว เช่น เจอน้องแล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริง โดยทางเพจได้ระบุข้อความว่า

    "ขอความกรุณาอย่าเผยแพร่ Fake News (ข่าวปลอม) เกี่ยวกับน้องมะพร้าว

    ขณะนี้เกิดข่าวปลอมจำนวนมากในกลุ่มญี่ปุ่น เช่น พบน้องแล้ว / เนื้อความในจดหมายมีเนื้อความว่า พร้อมทั้งมีลายมือเขียนด้วย เป็นต้น

    ขอเรียนแจ้งให้ทราบว่า ณ วันที่ 30 มกราคม เวลา 12.00 น.

    เนื้อหาที่เผยแพร่ไม่เป็นความจริง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000009653

    #MGROnline #มะพร้าวพรสวรรค์ #นักศึกษาปริญญาเอก #ชาวไทย #หายตัวปริศนา #ประเทศญี่ปุ่น
    เพจ "กิ๊ฟจังนั่งเล่า" เพจที่นำเสนอเรื่องราวของประเทศญี่ปุ่น ออกมาโพสต์ข้อความเตือนเกี่ยวกับข่าวปลอมของ "น้องมะพร้าว" นักศึกษาปริญญาเอกชาวไทย หลังหายตัวปริศนา ว่าขณะนี้ยังคงไม่เจอน้อง หลังปรากฏข่าวว่อนเน็ตว่าเจอตัวน้องแล้ว ขณะนี้ยังคงอยู่ระหว่างค้นหาและสืบสวน • จากกรณีโซเชียลฯ ร่วมแชร์ช่วยหลังเพื่อนประกาศตามหา “มะพร้าว พรสวรรค์” นักศึกษาปริญญาเอกชาวไทย วัย 30 ปี หลังหายตัวปริศนาในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่วันศุกร์ที่ 24 ม.ค. 68 • ล่าสุดวันนี้ (30 ม.ค.) เพจ "กิ๊ฟจังนั่งเล่า" เพจที่แชร์ข้อมูลเรื่องข่าวสารในประเทศญี่ปุ่น ออกมาโพสต์ข้อความเกี่ยวกับการเผยแพร่ Fake News เกี่ยวกับน้องมะพร้าว เช่น เจอน้องแล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริง โดยทางเพจได้ระบุข้อความว่า • "ขอความกรุณาอย่าเผยแพร่ Fake News (ข่าวปลอม) เกี่ยวกับน้องมะพร้าว • ขณะนี้เกิดข่าวปลอมจำนวนมากในกลุ่มญี่ปุ่น เช่น พบน้องแล้ว / เนื้อความในจดหมายมีเนื้อความว่า พร้อมทั้งมีลายมือเขียนด้วย เป็นต้น • ขอเรียนแจ้งให้ทราบว่า ณ วันที่ 30 มกราคม เวลา 12.00 น. • เนื้อหาที่เผยแพร่ไม่เป็นความจริง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000009653 • #MGROnline #มะพร้าวพรสวรรค์ #นักศึกษาปริญญาเอก #ชาวไทย #หายตัวปริศนา #ประเทศญี่ปุ่น
    0 Comments 0 Shares 434 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามใน "คำสั่งฝ่ายบริหาร" ที่สั่งให้หน่วยงานต่างๆ ปราบปรามการต่อต้านชาวยิวเพื่อตอบสนองต่อการประท้วงสงครามในฉนวนกาซา

    คำสั่งดังกล่าวกำหนดให้มหาวิทยาลัยต้องรายงานพฤติกรรมนักศึกษาและเจ้าหน้าที่ต่างชาติที่แสดงความเห็นต่อต้านชาวยิว รวมถึงแสดงความเห็นใจและสนับสนุนต่อกลุ่มฮามาส และต้องแน่ใจว่าการรายงานดังกล่าวจะสามารถนำไปสู่การสืบสวนและการเนรเทศเมื่อจำเป็น

    ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯ อย่างแข็งกร้าว โดยอ้างถึงความล้มเหลวในการปกป้องนักศึกษาชาวยิวหลังวันที่ 7 ตุลาคม และสั่งให้หน่วยงานต่างๆ ใช้ทุกวิถีทางทางกฎหมายเพื่อปราบปรามการต่อต้านชาวยิว
    ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามใน "คำสั่งฝ่ายบริหาร" ที่สั่งให้หน่วยงานต่างๆ ปราบปรามการต่อต้านชาวยิวเพื่อตอบสนองต่อการประท้วงสงครามในฉนวนกาซา คำสั่งดังกล่าวกำหนดให้มหาวิทยาลัยต้องรายงานพฤติกรรมนักศึกษาและเจ้าหน้าที่ต่างชาติที่แสดงความเห็นต่อต้านชาวยิว รวมถึงแสดงความเห็นใจและสนับสนุนต่อกลุ่มฮามาส และต้องแน่ใจว่าการรายงานดังกล่าวจะสามารถนำไปสู่การสืบสวนและการเนรเทศเมื่อจำเป็น ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯ อย่างแข็งกร้าว โดยอ้างถึงความล้มเหลวในการปกป้องนักศึกษาชาวยิวหลังวันที่ 7 ตุลาคม และสั่งให้หน่วยงานต่างๆ ใช้ทุกวิถีทางทางกฎหมายเพื่อปราบปรามการต่อต้านชาวยิว
    Sad
    1
    0 Comments 0 Shares 259 Views 0 Reviews
  • ตามที่หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสรีรวิทยาการแพทย์ (หลักสูตรนานาชาติ) คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เปิดรายวิชา SIPS521 PHYSIOLOGICAL BIOCHEMISTRY (2 หน่วยกิต) สำหรับนักศึกษาบัณฑิตศึกษา บุคคลทั่วไป หรือ ผู้ที่กำลังศึกษาทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ระดับปริญญาตรี นั้น

    ในการนี้ หลักสูตรฯ จึงขอประชาสัมพันธ์การรับสมัครนักศึกษาบัณฑิตศึกษาที่สนใจศึกษา SIPS521 PHYSIOLOGICAL BIOCHEMISTRY (2 หน่วยกิต) ประจำภาคการเรียนที่ 2/2567 โดยจะจัดการเรียนผ่านระบบออนไลน์ (เรียนอิสระ) หรือสอนสดนอกเวลาทำการ (ผ่านระบบ ZOOM) ระหว่างวันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ – เสาร์ 24 พฤษภาคม 2568 ซึ่งผู้สนใจสามารถลงทะเบียนตั้งแต่วันนี้ – อาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 ผ่านทางบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล (MAP-C) ตามรายละเอียดที่แนบ หรือ คลิกที่ https://graduate.mahidol.ac.th/MAP-2021/CourseList.php?ID=4357

    ทั้งนี้ หากท่านสนใจศึกษา หรือ ต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ คุณสุนทรี มีชำนาญ โทร: 02 419 7577 หรือ E-mail: soontaree.mee@mahidol.edu
    ตามที่หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสรีรวิทยาการแพทย์ (หลักสูตรนานาชาติ) คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เปิดรายวิชา SIPS521 PHYSIOLOGICAL BIOCHEMISTRY (2 หน่วยกิต) สำหรับนักศึกษาบัณฑิตศึกษา บุคคลทั่วไป หรือ ผู้ที่กำลังศึกษาทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ระดับปริญญาตรี นั้น ในการนี้ หลักสูตรฯ จึงขอประชาสัมพันธ์การรับสมัครนักศึกษาบัณฑิตศึกษาที่สนใจศึกษา SIPS521 PHYSIOLOGICAL BIOCHEMISTRY (2 หน่วยกิต) ประจำภาคการเรียนที่ 2/2567 โดยจะจัดการเรียนผ่านระบบออนไลน์ (เรียนอิสระ) หรือสอนสดนอกเวลาทำการ (ผ่านระบบ ZOOM) ระหว่างวันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ – เสาร์ 24 พฤษภาคม 2568 ซึ่งผู้สนใจสามารถลงทะเบียนตั้งแต่วันนี้ – อาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 ผ่านทางบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล (MAP-C) ตามรายละเอียดที่แนบ หรือ คลิกที่ https://graduate.mahidol.ac.th/MAP-2021/CourseList.php?ID=4357 ทั้งนี้ หากท่านสนใจศึกษา หรือ ต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ คุณสุนทรี มีชำนาญ โทร: 02 419 7577 หรือ E-mail: soontaree.mee@mahidol.edu
    Like
    2
    0 Comments 1 Shares 296 Views 0 Reviews
  • ทีมวิจัย AI จาก University of California, Berkeley นำโดย Jiayi Pan, นักศึกษาปริญญาเอก อ้างว่าสามารถสร้างเทคโนโลยีหลักของ DeepSeek R1-Zero ขึ้นมาใหม่ได้ในราคาเพียง 30 ดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโมเดลขั้นสูงสามารถนำมาใช้ได้ในราคาที่ไม่แพง

    ทีมวิจัยนี้ได้ทำการทดสอบโมเดล DeepSeek R1-Zero ในเกม Countdown ซึ่งเป็นเกมที่ผู้เล่นต้องหาคำตอบจากตัวเลขที่กำหนดให้โดยใช้การคำนวณพื้นฐาน โมเดลนี้มีพารามิเตอร์ 3 พันล้านตัว และพัฒนาความสามารถในการตรวจสอบและค้นหาคำตอบด้วยการเรียนรู้แบบเสริมแรง ทีมวิจัยเริ่มต้นด้วยโมเดลภาษาพื้นฐาน, คำสั่ง, และรางวัลที่เป็นความจริง จากนั้นทำการเรียนรู้แบบเสริมแรงโดยใช้เกม Countdown

    นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังได้ทดลองใช้โมเดลนี้ในการคูณเลข โดยใช้เทคนิคการกระจายการคูณเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแก้ปัญหาของโมเดลนี้

    การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่าโมเดล DeepSeek R1-Zero สามารถพัฒนาเทคนิคต่างๆ เพื่อหาคำตอบที่ถูกต้องได้ในขั้นตอนที่น้อยลง และมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าโมเดล AI อื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-research-team-claims-to-reproduce-deepseek-core-technologies-for-usd30-relatively-small-r1-zero-model-has-remarkable-problem-solving-abilities
    ทีมวิจัย AI จาก University of California, Berkeley นำโดย Jiayi Pan, นักศึกษาปริญญาเอก อ้างว่าสามารถสร้างเทคโนโลยีหลักของ DeepSeek R1-Zero ขึ้นมาใหม่ได้ในราคาเพียง 30 ดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโมเดลขั้นสูงสามารถนำมาใช้ได้ในราคาที่ไม่แพง ทีมวิจัยนี้ได้ทำการทดสอบโมเดล DeepSeek R1-Zero ในเกม Countdown ซึ่งเป็นเกมที่ผู้เล่นต้องหาคำตอบจากตัวเลขที่กำหนดให้โดยใช้การคำนวณพื้นฐาน โมเดลนี้มีพารามิเตอร์ 3 พันล้านตัว และพัฒนาความสามารถในการตรวจสอบและค้นหาคำตอบด้วยการเรียนรู้แบบเสริมแรง ทีมวิจัยเริ่มต้นด้วยโมเดลภาษาพื้นฐาน, คำสั่ง, และรางวัลที่เป็นความจริง จากนั้นทำการเรียนรู้แบบเสริมแรงโดยใช้เกม Countdown นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังได้ทดลองใช้โมเดลนี้ในการคูณเลข โดยใช้เทคนิคการกระจายการคูณเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแก้ปัญหาของโมเดลนี้ การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่าโมเดล DeepSeek R1-Zero สามารถพัฒนาเทคนิคต่างๆ เพื่อหาคำตอบที่ถูกต้องได้ในขั้นตอนที่น้อยลง และมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าโมเดล AI อื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาด https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-research-team-claims-to-reproduce-deepseek-core-technologies-for-usd30-relatively-small-r1-zero-model-has-remarkable-problem-solving-abilities
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 326 Views 0 Reviews
  • ทรัมป์สั่งตรวจสอบเพื่อหาทางกำหนดบทลงโทษ และเนรเทศ ลัทธิต่อต้านชาวยิว รวมถึงนักศึกษาที่ถือวีซ่า

    คาดว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารในวันพุธ เพื่อสั่งให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางทั้งหมดระบุหน่วยงานแพ่งและอาญาที่มีอยู่ ปราบปรามการต่อต้านชาวยิว รวมถึงหาวิธีเนรเทศนักเคลื่อนไหวต่อต้านชาวยิวที่ละเมิดกฎหมาย

    คาดว่าคำสั่งดังกล่าว จะกำหนดให้ผู้นำหน่วยงานและกระทรวงต่างๆ จัดเตรียมคำแนะนำให้กับทำเนียบขาวภายใน 60 วัน และระบุแผนในการสืบสวนการพ่นสีและการข่มขู่ที่สนับสนุนกลุ่มฮามาส รวมถึงในมหาวิทยาลัย
    ทรัมป์สั่งตรวจสอบเพื่อหาทางกำหนดบทลงโทษ และเนรเทศ ลัทธิต่อต้านชาวยิว รวมถึงนักศึกษาที่ถือวีซ่า คาดว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารในวันพุธ เพื่อสั่งให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางทั้งหมดระบุหน่วยงานแพ่งและอาญาที่มีอยู่ ปราบปรามการต่อต้านชาวยิว รวมถึงหาวิธีเนรเทศนักเคลื่อนไหวต่อต้านชาวยิวที่ละเมิดกฎหมาย คาดว่าคำสั่งดังกล่าว จะกำหนดให้ผู้นำหน่วยงานและกระทรวงต่างๆ จัดเตรียมคำแนะนำให้กับทำเนียบขาวภายใน 60 วัน และระบุแผนในการสืบสวนการพ่นสีและการข่มขู่ที่สนับสนุนกลุ่มฮามาส รวมถึงในมหาวิทยาลัย
    Sad
    1
    0 Comments 0 Shares 255 Views 0 Reviews
  • Part 1 : The Beats and William S. Burroughs

    บีทเจนเนอเรชั่น คือ กลุ่มคนหนุ่ม-สาว ในยุคต้น 1960s ที่เกี่ยวข้องแวะกันด้วยอิทธิพลทางความคิดต้านกระแสสังคม พวกเขายืนอยู่บนเส้นแบ่งของแนวคิดแบบองค์รวมของสังคมอเมริกันอุดมคติแบบ แฟร้งคลิน ดีลาโน่ รูทส์เวลท์ และ สังคมที่นิยมความเป็นปัจเจกบุคคลแบบสุดโต่งในช่วงเวลานั้น ตัวตนขวกเขาถูกแสดงผ่านผลงานการเขียน หลากหลายรูปแบบ เซ็กซ์ ดนตรี และ ศิลปะ พวกเขาเชื่อกันเองว่าในกลุ่มพวกเขามีอยู่เพียงหลักร้อยคน ซึ่งอันที่จริง จำนวนที่แท้จริงของกลุ่ม บีทส์ นั้นไม่ปรากฏเป็นตัวเลขที่ชัดเจนนัก



    นอแมน เมลเลอร์ ผู้อุปถัมภ์ค้ำจุน ความมีตัวตนของ บีทส์ กล่าวไว้อย่างสวยงามมากว่า บีทส์นั้นคือผู้กล้าหาญที่จะแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง ในยุคที่ทุกกระแสสังคมถูกจับจ้องโดยรัฐบาลสหรัฐ พวกเขาคือคนที่อยู่นอกกฏระเบียบของสังคม งานเขียนของพวกเขาสะท้อนสิ่งที่ประชาชนยุคนั้นมองไม่เห็นหรือแกล้งมองไม่เห็น ซึ่งครอบคลุมเรื่องการเมือง วัฒนธรรม และ การแสวงหาทางจิตวิญญาณ โดยที่พวกเขานั้นไม่อิงแอบกับตรรกะภายนอก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องทุนนิยมเรื่องสังคมนิยม แต่เป็นการค้นพบสิ่งใหม่ด้วยตัวเอง ผลงานของพวกเขาจึงเป็นดั่งการเบิกทางให้กับผู้ที่จะค้นพบสิ่งใหม่ๆในยุคต่อๆมา



    แจ็ค คูโรแวค

    แอลลัน กินเบิร์ค

    วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์



    สามศาสดาแถวหน้า บีทเจนเนอเรชั่น



    วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ “อัจฉริยะ รุนแรง บ้าคลั่ง”

    .

    .

    วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ อายุมากกว่าเพื่อนอีกสองคน และ ผลงานของเขาประสบความสำเร็จช้ากว่าอีกสองคนมาก แต่เป็นการประสบความสำเร็จที่ยาวนานและยั่งยืนที่สุด บิล เกิดในปี ค.ศ. 1914 ในเซนหลุยส์ มิสซูรี่ ปู่ของเขาร่ำรวยจากกว่าเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องบวกเลขเครื่องแรกของโลก แม้ครอบครัวของบิลจะไม่รวยเท่ากับรุ่นปู่แต่บอกได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีมากๆครอบครัวหนึ่งในเวลานั้น เมื่ออายุได้ 15 ปี ตามกระแสในยุคนั้น ครอบครัวส่งบิลได้เรียนในโรงเรียน “บ้านไร่” โรงเรียนประจำที่อยู่ในรัฐตะวันตกอเมริกา ซึ่งเขาถูกส่งไปอยู่ถึงรัฐนิวแม็กซิโก - โรงเรียนประจำลอสอลาโมสแรนช์สกูล เนื่องจากบิลเป็นคนที่เกลียดกิจกรรมภายนอกห้องเรียนอยู่เป็นทุนเดิน เขาแทบจะเข้ากับที่นั่นไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่กีฬาชนิดหนึ่งของโรงเรียนที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษนั่นก็คือ กีฬายิงปืนนั่นเอง

    .

    ที่นั่นบิลได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับสารเสพติดเป็นครั้งแรกนั่นก็คือ คลอรอลไฮเดรต ยาระงับประสาท และเป็นที่รู้กันว่า บิลเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการเสพเกินขนาด พอเรียนต่อไม่ได้จึงต้องย้ายไปเข้าโรงเรียนเอกชนเพื่อเก็บเกรดไว้ไปต่อที่ฮาร์วาร์ด ซึ่งก็ทันตอนอายุ 18 พอดี พอเข้าไปได้ บิลก็ไม่ได้สนใจเล่าเรียนเท่าไหร่ แต่มักพบว่าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ที่นั่นเขาได้อ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสอย่างจุใจ พอเรียนจบตอนอายุ 21 ปีพอดี บิลขอพ่อแม่ออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วยุโรป และ ก็ได้เมียเป็นแม่หม้าย ชาวยิวอายุ 35 ปี จาก ยูโกสลาเวีย นัยว่าตัวเขานั้นอยากเป็นฮีโร่ ปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งจากลัทธิเผด็จการที่เริ่มก่อตัวในยุโรปในขณะนั้น ซึ่งก็อยู่กินกับเขาเกือบ 9 ปีในนิวยอร์ค กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945

    .

    หลังจากกลับมาถึงสหรัฐอเมริกา บิลเลือกจะที่กลับไปสู่แวดวงการศึกษาโดยเข้าเรียนในระดับปริญญาโทอีกครั้งที่ ฮาร์วาร์ด โดยแรงจูงใจในครั้งนี้คือการได้ใกล้ชิดกับเพื่อนชายของเขา เคลส์ แอลวินส์ ที่นั่นเอง ทั้งสองคนได้ร่วมกันผลิตงานเขียนเสียดสี เกี่้ยวกับการจมลงของเรือไททานิคโดยใช้ชื่อว่า "แสงสะท้อนสุดท้ายของยามพลบค่ำ" ซึ่งพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการหาสำนักพิมพ์ที่จะรับซื้องานเขียนดังกล่าวได้ โดยนิตยสาร Esquire ตอบกลับมาว่า มันไม่มีเนื้อหาอะไรลึกซึ้งพอที่จะให้พวกเขานำไปตีพิมพ์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม งานเขียนนี้กลับมาปรากฏในนิยายเรื่อง "โนวา เอ็กซ์เพรส"ของบิลในเวลาต่อมา

    .

    บิลเลือกที่จะทิ้งการเรียนปริญญาโทไปแบบครึ่งๆกลางๆ และ กลับไปอยู่ที่ เซนหลุยส์ มิสซูรี่ เพื่อจะไปเป็นลูกศิษย์ของ อัลเฟรด คอซิบสกี้ นักอรรถศาสตร์ ผู้เสนอแนวคิดว่า "คำพูดต่างๆนั้นสูญเสียความหมายที่แท้จริง" และ จากนี้ต่อไปตลอดชีวิต บิลก็ทุ่มเทความคิดให้กับการค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำศัพท์แต่ละคำที่เขาเล็งเห็นว่าถูกใช้อย่างผิดๆโดยมนุษย์
    .
    "ผมขอเสนอทฤษฎีอย่างกว้างๆว่า คำศัพท์ของมนุษย์เราจริงๆแล้วคือ ไวรัส แต่มนุษย์เราจะไม่ได้ทราบว่ามันเป็นไวรัส ก็เพราะว่าเราเป็นพาหะที่ค่อนข้างเสถียร ซึ่ง ไอ้ไวรัสนี่ไม่มีหน้าที่อะไรนอกจาก ทำสำเนาให้ตัวเอง และส่งต่อจากมนุษย์คนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งหรือหลายๆคน..."
    .
    หลังเหตุการณ์ประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะ บิลถูกหมายเกณฑ์ให้เป็นทหาร แต่แม่ของบิลช่วยเขาหลีกเลี่ยงการเป็นทหารโดยการส่งเขาเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช และให้การรับรองว่าเขาป่วยทางจิตและไม่เหมาะสมกับการรับใช้ชาติ ช่วงเวลาดังกล่าว บิลเดินทางออกจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ สู่เมืองชิคาโก้ และหาเลี้ยงชีพโดยการรับจ้างกำจัดสัตว์ไม่พึงประสงค์ (อาชีพนี้ทำให้เขาได้เข้าไปสัมผัสมุมมืดในสังคมเมืองใหญ่ ที่เขาเคยแต่เพียงอ่านจากในหนังสือเท่านั้น พอเป็นแบบนี้มันทำให้บิลมีความรู้สึกว่า สิ่งที่เขาพบเจอนั้นคือของแท้) นอกจากนี้ยังได้รับเงินอุดหนุนจากทางบ้านเป็นค่ากินอยู่อีกเดือนละ 200 เหรียญ เป็นอยู่อย่างนี้อีกประมาณแปดเดือนเศษ กระทั่งเขาได้เจอเพื่อนเก่าจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ นั่นก็คือ ลูเชี่ยน คารร์ และ เดวิท แคมเมอเรอร์ ที่ชิคาโก้ (ในเวลาต่อมา คารร์ก็ปลิดชีพ แคมเมอเรอร์ ที่นิวยอร์ค)
    .
    คารร์ มาแวะเพียงชั่วคราว และ มุ่งหน้าสู่นิวยอร์คเพื่อจะกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ บิล กับ แคมเมอเรอร์ก็ตามไปสมทบในที่สุด ซึ่งที่นี่เองเป็นที่ ที่ บิลได้พบกับเพื่อนที่จะข้องเกี่ยวกับตัวเขาเองไปอีกครึ่งศตวรรษ เขาคนนั้นคือ แอลลัน กินเบิร์ค - และ แอลลันก็แนะนำพวกเขาให้รู้จักกับ แจ็ค คูโรแวค , อีดี้ ปาร์คเกอร์ (แฟนสาวของแจ็ค) และ โจแอน โวมเมอร์ (ภรรยาของบิลในเวลาต่อมา) แอลลัน กับ แจ็ค ร่วมกันผลิตงานเขียนด้วยกันเป็นครั้งแรก มีชื่อว่า "และฮิปโปโดนต้มในบ่อของมันเอง" ซึ่งก็ไม่ได้ถูกสำนักพิมพ์ใดๆนำไปตีพิมพ์ ขณะเดียวกัน บิลก็เริ่มเบนเข็มสู่อีกช่าวของชีวิต เขาเริ่มเป็นแมงดาข้างถนนย่านไทม์สแควร์ ขายของอีหยิบ ขายมอร์ฟีนแบบเข็มฉีดเข้าเส้น และ ปล้นจี้คนด้วยปืนพกในสถานีรถไฟใต้ดินในยามค่ำคืน คนที่เป็นผู้ชักชวนบิลสู่เส้นทางสายนี้คือ เฮอเบิร์ท ฮังค์คี ซึ่งอยู่ในสายอาชีพ ปล้นชิงทรัพย์ ลักเล็กขโมยน้อย มาแต่เดิม อีกด้านหนึ่ง บิลก็แนะนำ เฮอเบิร์ทให้รู้กจักกับพวกกลุ่มเพื่อนของเขาใน มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ รวมกลุ่มกันอยู่แบบชุมชนเล็กในอพาร์ทเม็นท์ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย นั่นแหละ
    .
    โจแอน โวมเมอร์ นักศึกษาสาวคณะวารสารศาสตร์ เริ่มคบหาเชิงชู้สาวกับ บิล ทั้งๆที่ใครๆในกลุ่มก็ทราบดีว่าบิลมีรสนิยมทางเพศแบบโฮโมเซ็กซ์ชั่ล แต่เธอให้เห็นผลว่า "บิลเก่งเรื่องบนเตียง แบบที่แมงดาควรเป็น" - สองคนนี้อยู่กินกันแบบสามีภรรยา และเสพยาหนักทั้งคู่ กระทั่งวันหนึ่งก็ถูกตำรวจบุกจับถึงอพาร์ทเม็นท์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สองคนยังหาเวลาไปเขียนบทละครสั้น เกี่ยวกับเรื่องรสนิยมทางเพศ อยู่ด้วยกันอยู่หลายเรื่อง ซึ่งในเวลาต่อมา บิลก็เอาไปยัดใส่ในวรรณกรรมของเขาทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ไม่นานหลังจากห้วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย โวมเมอร์กับบิล ร่วมกันซื้อไร่ขนาด 99 เอเคอร์ ในเมือง นิวเวเวอรี่ รัฐเท็กซัส และ โวมเมอร์ก็ให้กำเนิดลูกชายของบิลหนึ่งคน สองผัวเมียมองหาธุรกิจทำและในที่สุดก็ชักชวน ฮังค์คี ให้มาอยู่ด้วยกันที่ไร่ และไม่นานเกินรอผลผลิตหลักจากไร่ของสองผัวเมีย คือ กัญชา
    .
    เพื่อนที่เริ่มมีชื่อเสียงมาก ก็ได้แวะเวียนมาเยี่ยมสองผัวเมีย ไม่ว่าจะเป็น อัลแลน รวมไปถึง นีล แคซซิดี้ (คู่ขาเพศชายของอัลแลน) นีลทำหน้าที่หลักคือขนกัญชาของบิลไปขายในนิวยอร์ค ส่วน อัลแลนส่งกัญชาของสองผัวเมียไปขายผ่านเส้นสายของเหล่าพาณิชย์นาวี ที่เขามีแต่เดิม เป็นแผนธุรกิจฟังดูดีใช่ไหม? แต่เอาจริง แม่งเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะค่าใช้จ่ายของแต่ละคนมันสูงมาก เนื่องจาก สองผัวเมียนักเสพ ต้องคอยส่งส่วยให้ตำรวจท้องถิ่นตลอด ราคาขายส่งที่ควรจะเป็นมันถีบสูงไปถึงร้อยเหรียญ ในที่สุดสองผัวเมียและอีกหนึ่งนักปลูกเพื่อนผัว ก็ต้องระเห็ดไปอยู่ที่ นิวออร์ลีนส์ แต่แค่พักเดียวยังไม่ทันได้ทำอะไรจริงจัง ตำรวจก็เข้าจับกุมพวกเขาถึงบ้าน ซ้ำร้ายนอกจากกัญชาที่ปลูกไว้เสพด้วย ขายด้วยแล้ว ก็เจอยาเสพติดอีกหลายประเภทในบ้านของสองผัวเมีย แต่โชคดีพวกนี้รู้จักทนายเก่ง ทนายก็ทำให้คดีหลุดด้วยช่องโหว่ทางกฏหมาย แต่ก็แนะนำว่า สองผัวเมียควรออกไปอยู่นอกประเทศสักพักจะเป็นการดีที่สุด
    .
    ในปี 1950 บิลเขียนจดหมายหาอัลแลน จากที่ประเทศแม็กซิโก แจ้งว่าเขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ใกล้เสร็จแล้ว หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "ไอ้ขี้ยา" - Junkie. ในวันที่ 6 กันยายน ปีเดียวกันนั้นเอง เล่ากันว่า บิลและโวมเมอร์กำลังเมากันได้ที่ จากการเสพและดื่ม โวมเมอร์เริ่มต้นก่อนด้วยการท้าทายฝีมือการแม่นปืนของบิล ซึ่งเธอเอาแก้วน้ำวางไว้เหนือหัว และ บิลก็ชักปืนสั้นขึ้นยิงแก้วนั้น แต่เล็งพลาด กระสุนเลยพุ่งเข้ากลางหน้าผากโวมเมอร์ ปลิดชีพภรรยาคู่เสพทันที และ ปิดบทบาทสามี ที่ บิลไม่ค่อยเต็มใจนัก
    .
    .
    to be continued...
    Part 1 : The Beats and William S. Burroughs บีทเจนเนอเรชั่น คือ กลุ่มคนหนุ่ม-สาว ในยุคต้น 1960s ที่เกี่ยวข้องแวะกันด้วยอิทธิพลทางความคิดต้านกระแสสังคม พวกเขายืนอยู่บนเส้นแบ่งของแนวคิดแบบองค์รวมของสังคมอเมริกันอุดมคติแบบ แฟร้งคลิน ดีลาโน่ รูทส์เวลท์ และ สังคมที่นิยมความเป็นปัจเจกบุคคลแบบสุดโต่งในช่วงเวลานั้น ตัวตนขวกเขาถูกแสดงผ่านผลงานการเขียน หลากหลายรูปแบบ เซ็กซ์ ดนตรี และ ศิลปะ พวกเขาเชื่อกันเองว่าในกลุ่มพวกเขามีอยู่เพียงหลักร้อยคน ซึ่งอันที่จริง จำนวนที่แท้จริงของกลุ่ม บีทส์ นั้นไม่ปรากฏเป็นตัวเลขที่ชัดเจนนัก นอแมน เมลเลอร์ ผู้อุปถัมภ์ค้ำจุน ความมีตัวตนของ บีทส์ กล่าวไว้อย่างสวยงามมากว่า บีทส์นั้นคือผู้กล้าหาญที่จะแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง ในยุคที่ทุกกระแสสังคมถูกจับจ้องโดยรัฐบาลสหรัฐ พวกเขาคือคนที่อยู่นอกกฏระเบียบของสังคม งานเขียนของพวกเขาสะท้อนสิ่งที่ประชาชนยุคนั้นมองไม่เห็นหรือแกล้งมองไม่เห็น ซึ่งครอบคลุมเรื่องการเมือง วัฒนธรรม และ การแสวงหาทางจิตวิญญาณ โดยที่พวกเขานั้นไม่อิงแอบกับตรรกะภายนอก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องทุนนิยมเรื่องสังคมนิยม แต่เป็นการค้นพบสิ่งใหม่ด้วยตัวเอง ผลงานของพวกเขาจึงเป็นดั่งการเบิกทางให้กับผู้ที่จะค้นพบสิ่งใหม่ๆในยุคต่อๆมา แจ็ค คูโรแวค แอลลัน กินเบิร์ค วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ สามศาสดาแถวหน้า บีทเจนเนอเรชั่น วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ “อัจฉริยะ รุนแรง บ้าคลั่ง” . . วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ อายุมากกว่าเพื่อนอีกสองคน และ ผลงานของเขาประสบความสำเร็จช้ากว่าอีกสองคนมาก แต่เป็นการประสบความสำเร็จที่ยาวนานและยั่งยืนที่สุด บิล เกิดในปี ค.ศ. 1914 ในเซนหลุยส์ มิสซูรี่ ปู่ของเขาร่ำรวยจากกว่าเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องบวกเลขเครื่องแรกของโลก แม้ครอบครัวของบิลจะไม่รวยเท่ากับรุ่นปู่แต่บอกได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีมากๆครอบครัวหนึ่งในเวลานั้น เมื่ออายุได้ 15 ปี ตามกระแสในยุคนั้น ครอบครัวส่งบิลได้เรียนในโรงเรียน “บ้านไร่” โรงเรียนประจำที่อยู่ในรัฐตะวันตกอเมริกา ซึ่งเขาถูกส่งไปอยู่ถึงรัฐนิวแม็กซิโก - โรงเรียนประจำลอสอลาโมสแรนช์สกูล เนื่องจากบิลเป็นคนที่เกลียดกิจกรรมภายนอกห้องเรียนอยู่เป็นทุนเดิน เขาแทบจะเข้ากับที่นั่นไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่กีฬาชนิดหนึ่งของโรงเรียนที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษนั่นก็คือ กีฬายิงปืนนั่นเอง . ที่นั่นบิลได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับสารเสพติดเป็นครั้งแรกนั่นก็คือ คลอรอลไฮเดรต ยาระงับประสาท และเป็นที่รู้กันว่า บิลเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการเสพเกินขนาด พอเรียนต่อไม่ได้จึงต้องย้ายไปเข้าโรงเรียนเอกชนเพื่อเก็บเกรดไว้ไปต่อที่ฮาร์วาร์ด ซึ่งก็ทันตอนอายุ 18 พอดี พอเข้าไปได้ บิลก็ไม่ได้สนใจเล่าเรียนเท่าไหร่ แต่มักพบว่าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ที่นั่นเขาได้อ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสอย่างจุใจ พอเรียนจบตอนอายุ 21 ปีพอดี บิลขอพ่อแม่ออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วยุโรป และ ก็ได้เมียเป็นแม่หม้าย ชาวยิวอายุ 35 ปี จาก ยูโกสลาเวีย นัยว่าตัวเขานั้นอยากเป็นฮีโร่ ปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งจากลัทธิเผด็จการที่เริ่มก่อตัวในยุโรปในขณะนั้น ซึ่งก็อยู่กินกับเขาเกือบ 9 ปีในนิวยอร์ค กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945 . หลังจากกลับมาถึงสหรัฐอเมริกา บิลเลือกจะที่กลับไปสู่แวดวงการศึกษาโดยเข้าเรียนในระดับปริญญาโทอีกครั้งที่ ฮาร์วาร์ด โดยแรงจูงใจในครั้งนี้คือการได้ใกล้ชิดกับเพื่อนชายของเขา เคลส์ แอลวินส์ ที่นั่นเอง ทั้งสองคนได้ร่วมกันผลิตงานเขียนเสียดสี เกี่้ยวกับการจมลงของเรือไททานิคโดยใช้ชื่อว่า "แสงสะท้อนสุดท้ายของยามพลบค่ำ" ซึ่งพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการหาสำนักพิมพ์ที่จะรับซื้องานเขียนดังกล่าวได้ โดยนิตยสาร Esquire ตอบกลับมาว่า มันไม่มีเนื้อหาอะไรลึกซึ้งพอที่จะให้พวกเขานำไปตีพิมพ์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม งานเขียนนี้กลับมาปรากฏในนิยายเรื่อง "โนวา เอ็กซ์เพรส"ของบิลในเวลาต่อมา . บิลเลือกที่จะทิ้งการเรียนปริญญาโทไปแบบครึ่งๆกลางๆ และ กลับไปอยู่ที่ เซนหลุยส์ มิสซูรี่ เพื่อจะไปเป็นลูกศิษย์ของ อัลเฟรด คอซิบสกี้ นักอรรถศาสตร์ ผู้เสนอแนวคิดว่า "คำพูดต่างๆนั้นสูญเสียความหมายที่แท้จริง" และ จากนี้ต่อไปตลอดชีวิต บิลก็ทุ่มเทความคิดให้กับการค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำศัพท์แต่ละคำที่เขาเล็งเห็นว่าถูกใช้อย่างผิดๆโดยมนุษย์ . "ผมขอเสนอทฤษฎีอย่างกว้างๆว่า คำศัพท์ของมนุษย์เราจริงๆแล้วคือ ไวรัส แต่มนุษย์เราจะไม่ได้ทราบว่ามันเป็นไวรัส ก็เพราะว่าเราเป็นพาหะที่ค่อนข้างเสถียร ซึ่ง ไอ้ไวรัสนี่ไม่มีหน้าที่อะไรนอกจาก ทำสำเนาให้ตัวเอง และส่งต่อจากมนุษย์คนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งหรือหลายๆคน..." . หลังเหตุการณ์ประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะ บิลถูกหมายเกณฑ์ให้เป็นทหาร แต่แม่ของบิลช่วยเขาหลีกเลี่ยงการเป็นทหารโดยการส่งเขาเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช และให้การรับรองว่าเขาป่วยทางจิตและไม่เหมาะสมกับการรับใช้ชาติ ช่วงเวลาดังกล่าว บิลเดินทางออกจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ สู่เมืองชิคาโก้ และหาเลี้ยงชีพโดยการรับจ้างกำจัดสัตว์ไม่พึงประสงค์ (อาชีพนี้ทำให้เขาได้เข้าไปสัมผัสมุมมืดในสังคมเมืองใหญ่ ที่เขาเคยแต่เพียงอ่านจากในหนังสือเท่านั้น พอเป็นแบบนี้มันทำให้บิลมีความรู้สึกว่า สิ่งที่เขาพบเจอนั้นคือของแท้) นอกจากนี้ยังได้รับเงินอุดหนุนจากทางบ้านเป็นค่ากินอยู่อีกเดือนละ 200 เหรียญ เป็นอยู่อย่างนี้อีกประมาณแปดเดือนเศษ กระทั่งเขาได้เจอเพื่อนเก่าจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ นั่นก็คือ ลูเชี่ยน คารร์ และ เดวิท แคมเมอเรอร์ ที่ชิคาโก้ (ในเวลาต่อมา คารร์ก็ปลิดชีพ แคมเมอเรอร์ ที่นิวยอร์ค) . คารร์ มาแวะเพียงชั่วคราว และ มุ่งหน้าสู่นิวยอร์คเพื่อจะกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ บิล กับ แคมเมอเรอร์ก็ตามไปสมทบในที่สุด ซึ่งที่นี่เองเป็นที่ ที่ บิลได้พบกับเพื่อนที่จะข้องเกี่ยวกับตัวเขาเองไปอีกครึ่งศตวรรษ เขาคนนั้นคือ แอลลัน กินเบิร์ค - และ แอลลันก็แนะนำพวกเขาให้รู้จักกับ แจ็ค คูโรแวค , อีดี้ ปาร์คเกอร์ (แฟนสาวของแจ็ค) และ โจแอน โวมเมอร์ (ภรรยาของบิลในเวลาต่อมา) แอลลัน กับ แจ็ค ร่วมกันผลิตงานเขียนด้วยกันเป็นครั้งแรก มีชื่อว่า "และฮิปโปโดนต้มในบ่อของมันเอง" ซึ่งก็ไม่ได้ถูกสำนักพิมพ์ใดๆนำไปตีพิมพ์ ขณะเดียวกัน บิลก็เริ่มเบนเข็มสู่อีกช่าวของชีวิต เขาเริ่มเป็นแมงดาข้างถนนย่านไทม์สแควร์ ขายของอีหยิบ ขายมอร์ฟีนแบบเข็มฉีดเข้าเส้น และ ปล้นจี้คนด้วยปืนพกในสถานีรถไฟใต้ดินในยามค่ำคืน คนที่เป็นผู้ชักชวนบิลสู่เส้นทางสายนี้คือ เฮอเบิร์ท ฮังค์คี ซึ่งอยู่ในสายอาชีพ ปล้นชิงทรัพย์ ลักเล็กขโมยน้อย มาแต่เดิม อีกด้านหนึ่ง บิลก็แนะนำ เฮอเบิร์ทให้รู้กจักกับพวกกลุ่มเพื่อนของเขาใน มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ รวมกลุ่มกันอยู่แบบชุมชนเล็กในอพาร์ทเม็นท์ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย นั่นแหละ . โจแอน โวมเมอร์ นักศึกษาสาวคณะวารสารศาสตร์ เริ่มคบหาเชิงชู้สาวกับ บิล ทั้งๆที่ใครๆในกลุ่มก็ทราบดีว่าบิลมีรสนิยมทางเพศแบบโฮโมเซ็กซ์ชั่ล แต่เธอให้เห็นผลว่า "บิลเก่งเรื่องบนเตียง แบบที่แมงดาควรเป็น" - สองคนนี้อยู่กินกันแบบสามีภรรยา และเสพยาหนักทั้งคู่ กระทั่งวันหนึ่งก็ถูกตำรวจบุกจับถึงอพาร์ทเม็นท์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สองคนยังหาเวลาไปเขียนบทละครสั้น เกี่ยวกับเรื่องรสนิยมทางเพศ อยู่ด้วยกันอยู่หลายเรื่อง ซึ่งในเวลาต่อมา บิลก็เอาไปยัดใส่ในวรรณกรรมของเขาทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ไม่นานหลังจากห้วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย โวมเมอร์กับบิล ร่วมกันซื้อไร่ขนาด 99 เอเคอร์ ในเมือง นิวเวเวอรี่ รัฐเท็กซัส และ โวมเมอร์ก็ให้กำเนิดลูกชายของบิลหนึ่งคน สองผัวเมียมองหาธุรกิจทำและในที่สุดก็ชักชวน ฮังค์คี ให้มาอยู่ด้วยกันที่ไร่ และไม่นานเกินรอผลผลิตหลักจากไร่ของสองผัวเมีย คือ กัญชา . เพื่อนที่เริ่มมีชื่อเสียงมาก ก็ได้แวะเวียนมาเยี่ยมสองผัวเมีย ไม่ว่าจะเป็น อัลแลน รวมไปถึง นีล แคซซิดี้ (คู่ขาเพศชายของอัลแลน) นีลทำหน้าที่หลักคือขนกัญชาของบิลไปขายในนิวยอร์ค ส่วน อัลแลนส่งกัญชาของสองผัวเมียไปขายผ่านเส้นสายของเหล่าพาณิชย์นาวี ที่เขามีแต่เดิม เป็นแผนธุรกิจฟังดูดีใช่ไหม? แต่เอาจริง แม่งเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะค่าใช้จ่ายของแต่ละคนมันสูงมาก เนื่องจาก สองผัวเมียนักเสพ ต้องคอยส่งส่วยให้ตำรวจท้องถิ่นตลอด ราคาขายส่งที่ควรจะเป็นมันถีบสูงไปถึงร้อยเหรียญ ในที่สุดสองผัวเมียและอีกหนึ่งนักปลูกเพื่อนผัว ก็ต้องระเห็ดไปอยู่ที่ นิวออร์ลีนส์ แต่แค่พักเดียวยังไม่ทันได้ทำอะไรจริงจัง ตำรวจก็เข้าจับกุมพวกเขาถึงบ้าน ซ้ำร้ายนอกจากกัญชาที่ปลูกไว้เสพด้วย ขายด้วยแล้ว ก็เจอยาเสพติดอีกหลายประเภทในบ้านของสองผัวเมีย แต่โชคดีพวกนี้รู้จักทนายเก่ง ทนายก็ทำให้คดีหลุดด้วยช่องโหว่ทางกฏหมาย แต่ก็แนะนำว่า สองผัวเมียควรออกไปอยู่นอกประเทศสักพักจะเป็นการดีที่สุด . ในปี 1950 บิลเขียนจดหมายหาอัลแลน จากที่ประเทศแม็กซิโก แจ้งว่าเขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ใกล้เสร็จแล้ว หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "ไอ้ขี้ยา" - Junkie. ในวันที่ 6 กันยายน ปีเดียวกันนั้นเอง เล่ากันว่า บิลและโวมเมอร์กำลังเมากันได้ที่ จากการเสพและดื่ม โวมเมอร์เริ่มต้นก่อนด้วยการท้าทายฝีมือการแม่นปืนของบิล ซึ่งเธอเอาแก้วน้ำวางไว้เหนือหัว และ บิลก็ชักปืนสั้นขึ้นยิงแก้วนั้น แต่เล็งพลาด กระสุนเลยพุ่งเข้ากลางหน้าผากโวมเมอร์ ปลิดชีพภรรยาคู่เสพทันที และ ปิดบทบาทสามี ที่ บิลไม่ค่อยเต็มใจนัก . . to be continued...
    0 Comments 0 Shares 652 Views 0 Reviews
  • "DeepSeek สตาร์ทอัพ AI จีนท้าชน OpenAI คว้าอันดับ 1 แอปสหรัฐฯ ด้วยโมเดล R1 โอเพนซอร์ส ต้นทุนพัฒนาเพียง 1 ใน 20 ของคู่แข่ง!"

    ที่มาและความเป็นมาของ DeepSeek

    DeepSeek คือสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ก่อตั้งใน พฤษภาคม 2023 โดย เหลียง เวินเฟิง (Liang Wenfeng) นักลงทุนชื่อดังและผู้เชี่ยวชาญ AI อดีตผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ทีมวิจัยหลักประกอบด้วยบัณฑิตจบใหม่และนักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน เช่น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และมหาวิทยาลัยชิงหวา

    จุดพลิกเกม
    DeepSeek เปิดตัว โมเดล R1 อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 หลังมีข่าวลือตั้งแต่พฤศจิกายน 2024 โดยโมเดลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ OpenAI o1 โดยตรง ด้วยจุดเด่น 3 ด้าน:
    1. ความสามารถเชิงวิเคราะห์: ให้ผลลัพธ์เหนือกว่าในงานคำนวณคณิตศาสตร์-เขียนโปรแกรม และการให้เหตุผลขั้นสูง
    2. ต้นทุนพัฒนาต่ำสุดวงการ: ใช้เงินเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์ เทียบกับคู่แข่งที่ใช้งบหลายร้อยล้าน (ต่ำกว่า 18-20 เท่า)
    3. ระบบโอเพนซอร์สเต็มรูปแบบ: เปิดเผยโค้ดและโครงสร้างโมเดลทั้งหมด ต่างจาก OpenAI ที่ยังปิดบางส่วน

    แม้มีสำนักงานใหญ่ในจีน แต่โมเดล R1 กลับโด่งดังในตลาดสหรัฐฯ ด้วยการขึ้นเป็น แอปฯ อันดับ 1 บน App Store และ Google Play แซงหน้า ChatGPT ภายใน 2 สัปดาห์หลังเปิดตัว

    เบื้องหลังความสำเร็จ
    • เทคโนโลยี MLA + DeepSeekMoESparse: สถาปัตยกรรม AI ที่ลดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ได้ถึง 40%
    • กลยุทธ์ "วิจัยก่อนค้า": เปิด API ฟรีให้ชุมชนนักพัฒนาและวิจัย ทุ่มงบ 80% ของบริษัทเพื่อการวิจัยพื้นฐาน
    • แรงกดดันต่อตลาด: ก่อให้เกิด "สงครามราคา AI" ในจีน บีบให้ Alibaba, Tencent และ Baidu ต้องลดราคาโมเดลตัวเอง 30-50%

    สัญญาณเปลี่ยนสนาม AI โลก
    ความสำเร็จของ DeepSeek ถูกมองว่าเป็นหลักฐานว่า จีนสามารถท้าทายการผูกขาด AI ของสหรัฐฯ ได้ แม้ถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ดังที่ The Wall Street Journal วิเคราะห์ว่า
    "R1 คือตัวอย่างชัดเจนที่แสดงว่า มาตรการควบคุมชิปของสหรัฐฯ อาจส่งผลตรงข้าม – กระตุ้นให้จีนสร้างนวัตกรรมแบบ 'คิดนอกกรอบ'"
    ขณะที่ เหลียง เวินเฟิง ให้สัมภาษณ์ว่า
    "เราเชื่อว่า AGI (ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป) ต้องเกิดจากความร่วมมือของมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่แค่บริษัทยักษ์ใหญ่ 2-3 แห่ง"

    อนาคตที่จับตาของ DeepSeek
    บริษัทประกาศแผนระยะยาว 3 ด้าน:
    1. พัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ (Large Language Model) รุ่นถัดไปภายในปี 2026
    2. ขยายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก
    3. ท้าทายเป้าหมายสูงสุด: สร้าง AGI ที่เข้าถึงได้ทุกคน
    ข้อเท็จจริงน่าสนใจ: หลังเปิดตัว R1 มีนักพัฒนาเกือบ 50,000 คน จาก 120 ประเทศ เข้ามาปรับใช้โมเดลนี้ในโครงการของตัวเองภายในเดือนแรก!

    ล่าสุด
    จีน: ประกาศแผนสนับสนุน AI ด้วยเงิน 1 ล้านล้านหยวน (137 พันล้านดอลลาร์)
    เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2025 ธนาคารแห่งประเทศจีน (Bank of China) ประกาศแผน "支持人工智能产业链发展行动方案" (แผนปฏิบัติการสนับสนุนห่วงโซ่อุตสาหกรรม AI) โดยจะจัดสรรเงินทุน 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 137 พันล้านดอลลาร์) ในระยะเวลา 5 ปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรม AI ทั้งในด้านการวิจัยพื้นฐาน การประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจ และการสร้างระบบนิเวศ AI ที่แข็งแกร่ง

    ติดตามผู้ก่อตั้งได้ที่
    https://x.com/zizhpan
    https://x.com/deepseek_ai

    ใช้งานฟรีไม่จำกัดได้ที่ (สมัครสมาชิกฟรี):
    https://chat.deepseek.com/

    อ้างอิง: Spring News, Mekha News, https://x.com/kimmonismus
    "DeepSeek สตาร์ทอัพ AI จีนท้าชน OpenAI คว้าอันดับ 1 แอปสหรัฐฯ ด้วยโมเดล R1 โอเพนซอร์ส ต้นทุนพัฒนาเพียง 1 ใน 20 ของคู่แข่ง!" ที่มาและความเป็นมาของ DeepSeek DeepSeek คือสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ก่อตั้งใน พฤษภาคม 2023 โดย เหลียง เวินเฟิง (Liang Wenfeng) นักลงทุนชื่อดังและผู้เชี่ยวชาญ AI อดีตผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ทีมวิจัยหลักประกอบด้วยบัณฑิตจบใหม่และนักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน เช่น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และมหาวิทยาลัยชิงหวา จุดพลิกเกม DeepSeek เปิดตัว โมเดล R1 อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 หลังมีข่าวลือตั้งแต่พฤศจิกายน 2024 โดยโมเดลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ OpenAI o1 โดยตรง ด้วยจุดเด่น 3 ด้าน: 1. ความสามารถเชิงวิเคราะห์: ให้ผลลัพธ์เหนือกว่าในงานคำนวณคณิตศาสตร์-เขียนโปรแกรม และการให้เหตุผลขั้นสูง 2. ต้นทุนพัฒนาต่ำสุดวงการ: ใช้เงินเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์ เทียบกับคู่แข่งที่ใช้งบหลายร้อยล้าน (ต่ำกว่า 18-20 เท่า) 3. ระบบโอเพนซอร์สเต็มรูปแบบ: เปิดเผยโค้ดและโครงสร้างโมเดลทั้งหมด ต่างจาก OpenAI ที่ยังปิดบางส่วน แม้มีสำนักงานใหญ่ในจีน แต่โมเดล R1 กลับโด่งดังในตลาดสหรัฐฯ ด้วยการขึ้นเป็น แอปฯ อันดับ 1 บน App Store และ Google Play แซงหน้า ChatGPT ภายใน 2 สัปดาห์หลังเปิดตัว เบื้องหลังความสำเร็จ • เทคโนโลยี MLA + DeepSeekMoESparse: สถาปัตยกรรม AI ที่ลดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ได้ถึง 40% • กลยุทธ์ "วิจัยก่อนค้า": เปิด API ฟรีให้ชุมชนนักพัฒนาและวิจัย ทุ่มงบ 80% ของบริษัทเพื่อการวิจัยพื้นฐาน • แรงกดดันต่อตลาด: ก่อให้เกิด "สงครามราคา AI" ในจีน บีบให้ Alibaba, Tencent และ Baidu ต้องลดราคาโมเดลตัวเอง 30-50% สัญญาณเปลี่ยนสนาม AI โลก ความสำเร็จของ DeepSeek ถูกมองว่าเป็นหลักฐานว่า จีนสามารถท้าทายการผูกขาด AI ของสหรัฐฯ ได้ แม้ถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ดังที่ The Wall Street Journal วิเคราะห์ว่า "R1 คือตัวอย่างชัดเจนที่แสดงว่า มาตรการควบคุมชิปของสหรัฐฯ อาจส่งผลตรงข้าม – กระตุ้นให้จีนสร้างนวัตกรรมแบบ 'คิดนอกกรอบ'" ขณะที่ เหลียง เวินเฟิง ให้สัมภาษณ์ว่า "เราเชื่อว่า AGI (ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป) ต้องเกิดจากความร่วมมือของมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่แค่บริษัทยักษ์ใหญ่ 2-3 แห่ง" อนาคตที่จับตาของ DeepSeek บริษัทประกาศแผนระยะยาว 3 ด้าน: 1. พัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ (Large Language Model) รุ่นถัดไปภายในปี 2026 2. ขยายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก 3. ท้าทายเป้าหมายสูงสุด: สร้าง AGI ที่เข้าถึงได้ทุกคน ข้อเท็จจริงน่าสนใจ: หลังเปิดตัว R1 มีนักพัฒนาเกือบ 50,000 คน จาก 120 ประเทศ เข้ามาปรับใช้โมเดลนี้ในโครงการของตัวเองภายในเดือนแรก! ล่าสุด จีน: ประกาศแผนสนับสนุน AI ด้วยเงิน 1 ล้านล้านหยวน (137 พันล้านดอลลาร์) เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2025 ธนาคารแห่งประเทศจีน (Bank of China) ประกาศแผน "支持人工智能产业链发展行动方案" (แผนปฏิบัติการสนับสนุนห่วงโซ่อุตสาหกรรม AI) โดยจะจัดสรรเงินทุน 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 137 พันล้านดอลลาร์) ในระยะเวลา 5 ปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรม AI ทั้งในด้านการวิจัยพื้นฐาน การประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจ และการสร้างระบบนิเวศ AI ที่แข็งแกร่ง ติดตามผู้ก่อตั้งได้ที่ https://x.com/zizhpan https://x.com/deepseek_ai ใช้งานฟรีไม่จำกัดได้ที่ (สมัครสมาชิกฟรี): https://chat.deepseek.com/ อ้างอิง: Spring News, Mekha News, https://x.com/kimmonismus
    Wow
    1
    0 Comments 0 Shares 594 Views 0 Reviews
  • 52 ปี ข้อตกลงสันติภาพปารีส ปิดฉากสงครามเวียดนาม บทบาทของไทยในสงครามเย็น

    สงครามเวียดนาม เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สุด ในศตวรรษที่ 20 ซึ่งไม่ได้เพียงแค่ แสดงถึงความขัดแย้ง ระหว่างสองขั้วอำนาจของโลก ในยุคสงครามเย็น แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนที่ส่งผลกระทบ ต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยโดยตรง การลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีส เมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2516 นับเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามเวียดนาม ซึ่งกินระยะเวลายาวนานถึง 18 ปี 🌏

    จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง
    สงครามเวียดนาม เริ่มต้นจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ระหว่างระบอบคอมมิวนิสต์ และเสรีนิยม ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เวียดนามเหนือ ได้รับการสนับสนุนจาก สหภาพโซเวียต และจีน ในขณะที่เวียดนามใต้ มีสหรัฐอเมริกา เป็นพันธมิตรสำคัญ

    นโยบายของสหรัฐ สกัดกั้นคอมมิวนิสต์
    สหรัฐตัดสินใจ เข้ามามีบทบาทในเวียดนาม ตั้งแต่ช่วง พ.ศ. 2493 ด้วยเป้าหมายในการ "หยุดยั้งการขยายตัวของคอมมิวนิสต์" (Containment Policy) โดยมองว่า หากเวียดนามเหนือ ตกอยู่ใต้อิทธิพลคอมมิวนิสต์ ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็อาจถูกครอบงำด้วยเช่นกัน หรือที่เรียกว่า "ทฤษฎีโดมิโน"

    ประเทศไทย พันธมิตรสำคัญของสหรัฐ
    ในยุคสงครามเย็น ประเทศไทย ได้กลายเป็นพันธมิตรสำคัญ ของสหรัฐอเมริกา ในการต่อสู้กับภัยคอมมิวนิสต์ เนื่องจากไทย ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ใกล้กับเวียดนามและลาว

    รัฐบาลไทยในยุคนั้น โดยเฉพาะภายใต้การนำของ "จอมพลถนอม กิตติขจร" และ "จอมพลประภาส จารุเสถียร" ให้การสนับสนุนสหรัฐเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดให้ใช้ ฐานทัพในประเทศไทย หรือการส่งทหารไทยเข้าร่วมในสงคราม

    ฐานทัพในไทย ศูนย์กลางปฏิบัติการ
    สหรัฐได้ตั้งฐานทัพในประเทศไทยถึง 7 แห่ง ได้แก่
    - ดอนเมือง
    - นครราชสีมา
    - ตาคลี
    - อุบลราชธานี
    - อุดรธานี
    - นครพนม
    - อู่ตะเภา

    ฐานทัพเหล่านี้ เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ สำหรับการทิ้งระเบิด ในเวียดนามเหนือ และการดำเนินปฏิบัติการทางอากาศ โดยมีการประมาณว่า 80% ของการโจมตีทางอากาศของสหรัฐ ในเวียดนามเหนือ มาจากฐานทัพในประเทศไทย

    ข้อตกลงสันติภาพปารีส จุดสิ้นสุดของสงคราม
    ข้อตกลงสันติภาพปารีส ที่ลงนามในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2516 เป็นข้อตกลงสำคัญ ที่มีเป้าหมายเพื่อยุติสงคราม และฟื้นฟูสันติภาพในเวียดนาม ข้อตกลงนี้ลงนามระหว่าง

    - รัฐบาลสหรัฐ
    - รัฐบาลเวียดนามเหนือ
    - รัฐบาลเวียดนามใต้
    - รัฐบาลปฏิวัติเฉพาะกาล แห่งสาธารณรัฐเวียดนามใต้

    เนื้อหาสำคัญ ได้แก่
    - การยุติการแทรกแซงทางทหาร ของสหรัฐในเวียดนาม
    - การถอนทหารอเมริกันทั้งหมด ออกจากเวียดนาม
    - การแลกเปลี่ยนนักโทษสงคราม
    - การยอมรับสถานะของรัฐบาล เวียดนามเหนือและใต้

    ผลกระทบจากข้อตกลง
    การลงนามในข้อตกลงนี้ ส่งผลให้สหรัฐ ถอนกำลังออกจากเวียดนาม อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างเวียดนามเหนือและใต้ ยังคงดำเนินต่อไป และสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2518 เมื่อเวียดนามเหนือ เข้ายึดครองไซง่อน

    ผลกระทบนามต่อประเทศไทย
    1. ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และเศรษฐกิจ
    - ความช่วยเหลือจากสหรัฐ การสนับสนุนสหรัฐ ในสงครามเวียดนาม นำมาซึ่งการลงทุน ด้านโครงสร้างพื้นฐานในไทย เช่น ถนน สนามบิน และเทคโนโลยีทางการทหาร
    - ผลกระทบทางเศรษฐกิจ การที่ไทยเป็นฐานทัพ นำไปสู่การเติบโตของธุรกิจในท้องถิ่น เช่น โรงแรม บาร์ และธุรกิจบริการ

    2. การสูญเสียเอกราช
    มีข้อถกเถียงว่า การที่ไทยอนุญาตให้สหรัฐ ใช้พื้นที่เป็นฐานทัพ และมีทหารจำนวนมาก ประจำอยู่ในประเทศ เป็นการละเมิด อธิปไตยของชาติ และทำให้เกิดความไม่พอใจ ในกลุ่มนักวิชาการ และนักศึกษา

    3. ผลกระทบทางสังคม
    การมีทหารอเมริกันในไทย ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม เช่น การนำวัฒนธรรมตะวันตก เข้ามาในสังคมไทย ซึ่งทั้งส่งผลดี และผลเสียในระยะยาว

    สงครามเวียดนาม และบทบาทของไทยในยุคนั้นเ ป็นตัวอย่างที่สำคัญ ของการดำเนินนโยบาย ในยุคสงครามเย็น แม้จะมีผลกระทบทางลบในด้านสังคม และการสูญเสียเอกราชบางส่วน แต่การสนับสนุนสหรัฐ ในสงครามเวียดนาม ก็ช่วยให้ไทยรอดพ้นจากการคุกคาม ของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค

    การลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีส เป็นการเตือนให้เราตระหนัก ถึงความสำคัญของสันติภาพ และการเจรจา เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในอนาคต

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 270827 ม.ค. 2568

    #สงครามเวียดนาม #ข้อตกลงปารีส #การเมืองโลก #สงครามเย็น #บทบาทไทยในสงคราม #ประวัติศาสตร์เอเชีย #ฐานทัพสหรัฐในไทย #การเจรจาสันติภาพ #การเมืองระหว่างประเทศ #ประวัติศาสตร์สงคราม

    🎯
    52 ปี ข้อตกลงสันติภาพปารีส ปิดฉากสงครามเวียดนาม บทบาทของไทยในสงครามเย็น สงครามเวียดนาม เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สุด ในศตวรรษที่ 20 ซึ่งไม่ได้เพียงแค่ แสดงถึงความขัดแย้ง ระหว่างสองขั้วอำนาจของโลก ในยุคสงครามเย็น แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนที่ส่งผลกระทบ ต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยโดยตรง การลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีส เมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2516 นับเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามเวียดนาม ซึ่งกินระยะเวลายาวนานถึง 18 ปี 🌏 จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง สงครามเวียดนาม เริ่มต้นจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ระหว่างระบอบคอมมิวนิสต์ และเสรีนิยม ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เวียดนามเหนือ ได้รับการสนับสนุนจาก สหภาพโซเวียต และจีน ในขณะที่เวียดนามใต้ มีสหรัฐอเมริกา เป็นพันธมิตรสำคัญ นโยบายของสหรัฐ สกัดกั้นคอมมิวนิสต์ สหรัฐตัดสินใจ เข้ามามีบทบาทในเวียดนาม ตั้งแต่ช่วง พ.ศ. 2493 ด้วยเป้าหมายในการ "หยุดยั้งการขยายตัวของคอมมิวนิสต์" (Containment Policy) โดยมองว่า หากเวียดนามเหนือ ตกอยู่ใต้อิทธิพลคอมมิวนิสต์ ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็อาจถูกครอบงำด้วยเช่นกัน หรือที่เรียกว่า "ทฤษฎีโดมิโน" ประเทศไทย พันธมิตรสำคัญของสหรัฐ ในยุคสงครามเย็น ประเทศไทย ได้กลายเป็นพันธมิตรสำคัญ ของสหรัฐอเมริกา ในการต่อสู้กับภัยคอมมิวนิสต์ เนื่องจากไทย ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ใกล้กับเวียดนามและลาว รัฐบาลไทยในยุคนั้น โดยเฉพาะภายใต้การนำของ "จอมพลถนอม กิตติขจร" และ "จอมพลประภาส จารุเสถียร" ให้การสนับสนุนสหรัฐเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดให้ใช้ ฐานทัพในประเทศไทย หรือการส่งทหารไทยเข้าร่วมในสงคราม ฐานทัพในไทย ศูนย์กลางปฏิบัติการ สหรัฐได้ตั้งฐานทัพในประเทศไทยถึง 7 แห่ง ได้แก่ - ดอนเมือง - นครราชสีมา - ตาคลี - อุบลราชธานี - อุดรธานี - นครพนม - อู่ตะเภา ฐานทัพเหล่านี้ เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ สำหรับการทิ้งระเบิด ในเวียดนามเหนือ และการดำเนินปฏิบัติการทางอากาศ โดยมีการประมาณว่า 80% ของการโจมตีทางอากาศของสหรัฐ ในเวียดนามเหนือ มาจากฐานทัพในประเทศไทย ข้อตกลงสันติภาพปารีส จุดสิ้นสุดของสงคราม ข้อตกลงสันติภาพปารีส ที่ลงนามในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2516 เป็นข้อตกลงสำคัญ ที่มีเป้าหมายเพื่อยุติสงคราม และฟื้นฟูสันติภาพในเวียดนาม ข้อตกลงนี้ลงนามระหว่าง - รัฐบาลสหรัฐ - รัฐบาลเวียดนามเหนือ - รัฐบาลเวียดนามใต้ - รัฐบาลปฏิวัติเฉพาะกาล แห่งสาธารณรัฐเวียดนามใต้ เนื้อหาสำคัญ ได้แก่ - การยุติการแทรกแซงทางทหาร ของสหรัฐในเวียดนาม - การถอนทหารอเมริกันทั้งหมด ออกจากเวียดนาม - การแลกเปลี่ยนนักโทษสงคราม - การยอมรับสถานะของรัฐบาล เวียดนามเหนือและใต้ ผลกระทบจากข้อตกลง การลงนามในข้อตกลงนี้ ส่งผลให้สหรัฐ ถอนกำลังออกจากเวียดนาม อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างเวียดนามเหนือและใต้ ยังคงดำเนินต่อไป และสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2518 เมื่อเวียดนามเหนือ เข้ายึดครองไซง่อน ผลกระทบนามต่อประเทศไทย 1. ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และเศรษฐกิจ - ความช่วยเหลือจากสหรัฐ การสนับสนุนสหรัฐ ในสงครามเวียดนาม นำมาซึ่งการลงทุน ด้านโครงสร้างพื้นฐานในไทย เช่น ถนน สนามบิน และเทคโนโลยีทางการทหาร - ผลกระทบทางเศรษฐกิจ การที่ไทยเป็นฐานทัพ นำไปสู่การเติบโตของธุรกิจในท้องถิ่น เช่น โรงแรม บาร์ และธุรกิจบริการ 2. การสูญเสียเอกราช มีข้อถกเถียงว่า การที่ไทยอนุญาตให้สหรัฐ ใช้พื้นที่เป็นฐานทัพ และมีทหารจำนวนมาก ประจำอยู่ในประเทศ เป็นการละเมิด อธิปไตยของชาติ และทำให้เกิดความไม่พอใจ ในกลุ่มนักวิชาการ และนักศึกษา 3. ผลกระทบทางสังคม การมีทหารอเมริกันในไทย ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม เช่น การนำวัฒนธรรมตะวันตก เข้ามาในสังคมไทย ซึ่งทั้งส่งผลดี และผลเสียในระยะยาว สงครามเวียดนาม และบทบาทของไทยในยุคนั้นเ ป็นตัวอย่างที่สำคัญ ของการดำเนินนโยบาย ในยุคสงครามเย็น แม้จะมีผลกระทบทางลบในด้านสังคม และการสูญเสียเอกราชบางส่วน แต่การสนับสนุนสหรัฐ ในสงครามเวียดนาม ก็ช่วยให้ไทยรอดพ้นจากการคุกคาม ของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค การลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีส เป็นการเตือนให้เราตระหนัก ถึงความสำคัญของสันติภาพ และการเจรจา เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในอนาคต ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 270827 ม.ค. 2568 #สงครามเวียดนาม #ข้อตกลงปารีส #การเมืองโลก #สงครามเย็น #บทบาทไทยในสงคราม #ประวัติศาสตร์เอเชีย #ฐานทัพสหรัฐในไทย #การเจรจาสันติภาพ #การเมืองระหว่างประเทศ #ประวัติศาสตร์สงคราม 🎯
    0 Comments 0 Shares 776 Views 0 Reviews
  • ยาตะวันตก กับ ยาแผนโบราณ
    News Punch
    How Rockefeller Founded Big Pharma And Waged War On Natural Cures
    March 27, 2018. Baxter Dmitry

    ผลิตภัณท์ยาของโลกตะวันตกมีส่วนที่ดีอยู่ที่ มันสามารถจัดการกับสถานการณ์เจ็บป่วยฉุกเฉินได้ ..(มันเป็นการรักษาโดยใช้สารออกฤทธิ์ตรงข้ามกับกลุ่มอาการของโรค (allopathy) ตรงข้ามกับการรักษาแบบธรรมชาติ ..homeopathy..ผู้แปล)

    ตอนนี้มันน่าจะถึงเวลาที่เราๆควรรู้ว่าการแพทย์ตะวันตกที่มันโฟกัสไปที่ ..ยา ..การฉายรังสี ..ผ่าตัด ..และยาเท่านั้น ....มาจากการหาเงินของนายทุน Rockefeller ล้วนๆ

    ผู้คนทุกวันนี้จะมองว่าคุณเป็นมนุษย์ประหลาด ถ้าคุณจะพูดถึงการแพทย์แผนโบราณที่ใช้แต่พืชสมุนไพร ..มันก็ถูกต้องแล้ว เพราะเงินถูกใช้ไปมากในการล้างสมองผู้คนเหล่านั้นที่จะให้ชื่นชอบกับแนวทางที่เข้าทางพวกนายทุน

    เรื่องเริ่มต้นเมื่อ John D. Rockefeller (1839 – 1937) ประสบความสำเร็จเป็นเศรษฐีระดับ billionaire จากธุรกิจน้ำมัน จอมเขมือบคนแรกในอเมริกา ..เป็นนักผูกขาดโดยสายเลือด

    ตอนต้นศตวรรษที่ 20 โรงกลั่นน้ำมันถึง 90% ทั่วสหรัฐเป็นของ Standard Oil ของเขา และต่อมามีการแตกออกเป็น Chevron, Exxon, Mobil etc.

    จากรายงานของ World Affairs : ช่วงปี 1900 นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ เปโตรเคมี ซึ่งทำให้ผลิตสารเคมีได้นานาชนิดจากน้ำมัน เช่นผลิตภัณท์พลาสติก ที่เรียกกันยุคนั้นว่า Bakelite (ตอนผมเป็นเด็กก็เรียกอย่างนั้น) ผลิตในปี 1907 ..และยังมีการค้นพบวิตามินหลายชนิด จึงมีการคาดกันในตอนนั้นว่าน่าจะสามารถผลิตยารักษาโรคจากน้ำมันปิโตรเลียมได้...

    ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้มันจึงเป็นโอกาศอันดีสำหรับร้อคกี้เฟลเลอร์ ที่จะได้ผูกขาดธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมัน เคมีภัณท์และยารักษาโรค พร้อมๆกันไปเลย ..เปโตรเคมีนี่มันยอดเยี่ยมมาก ทุกๆอย่างในนั้นมันเอามาจดสิทธิบัตรผลิตขายสร้างกำไรมหาศาลแน่ๆ..

    แต่มันยังมีปัญหาเล็กๆ ที่มาขวางทางแผนผลิตยาของร้อคกี้เฟลเลอร์อยู่ นั่นคือการแพทย์แผนธรรมชาติและสมุนไพรซึ่งตอนนั้นป้อปปูล่ามากในอเมริกา ครึ่งหนึ่งของบรรดาแพทย์ยุคนั้นเรียนรู้การใช้ยาแผนโบราณโดยใช้ความรู้จากยุโรปและชนพื้นเมืองอเมริกัน

    จอมผูกขาดต้องหาทางกำจัดคู่แข่งรายนี้ให้ได้ ...มันมีเทคนิคแบบคลาสสิคอยู่อย่างหนึ่งคือการสร้าง "ปัญหา-ผลกระทบ-ทางแก้".....นั่นคือสร้างปัญหาขึ้น ทำให้ผู้คนหวาดกลัว แล้วจึงเสนอทางแก้ให้ ......(เหมือนมีโรคระบาด..มีตัวเลขผู้ติดเชื้อฟังดูน่ากลัว..แล้วเสนอทางแก้คือวัคซีนเทพ)

    เขาจึงขอให้เพื่อน Andrew Carnegie เศรษฐีนักผูกขาดอีกคนหนึ่งจากอุตสาหกรรมเหล็กกล้า มาช่วยในการสร้างแผนให้ .....เขาใช้มูลนิธิ Carnegie Foundation ส่งนาย
    Abraham Flexner ตระเวณล้างสมองผู้คนในมหาวิทยาลัยการแพทย์และโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศ ...

    จนเกิด Flexner Report ที่เป็นจุดเริ่มของการแพทย์สมัยปัจจุบัน ..ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องโจมตีการแพทย์โบราณจนเละ ..จนในที่สุดเกินครึ่งของวิทยาลัยการแพทย์แบบเดิมๆถึงคราวต้องยุติ ....แพทย์แผนโบราณกลายเป็นตัวตลก แพทย์บางคนถึงกับต้องถูกจำคุก

    การเปลี่ยนผ่านจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแนวคิดของแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ จึงมีการให้ทุน $100 ล้านแก่วิทยาลัยและโรงพยาบาลต่างๆ ...มีการก่อตั้งมูลนิธิเพื่อการศึกษา
    “General Education Board” (GEB) ..นับเป็นการใช้วิธี ทั้งล่อทั้งชน

    ในไม่ช้า วิทยาลัยการแพทย์ต่างๆก็เข้ารูปเข้ารอย เดินในแนวทางเดียวกัน ..นักศึกษาแพทย์เรียนรู้เรื่องเดียวกัน การใช้เวชภัณท์ก็แน่นอน ต้องเป็นยาที่มี "สิทธิบัตร"

    เข้าสู่ยุคโมเดอร์น ที่ยาเม็ดเล็กๆแค่หนึ่งเม็ดก็เอาอยู่

    แล้ว 100 ปีต่อมา สุขภาพของพวกเราก็เข้าสู่ยุคที่ต้องขึ้นอยู่กับบริษัทยาใหญ่ๆ

    อเมริกาใช้เงินถึง 15% ของ GDP ไปในการรักษาทางการแพทย์ ..ซึ่งที่จริงแล้วน่าจะเรียกว่าการพยุงอาการของโรคไว้น่าจะถูกกว่า และนั่นทำให้เราต้องเป็นคนไข้ หรือเรียกอีกอย่างว่าลูกค้าประจำ...

    เพราะหลายโรค เช่น มะเร็ง ..เบาหวาน ..ออติสม์ ..หอบหืด ..หรือแม้แต่ไข้หวัดใหญ่ ไม่มีการพยายามหาวิธีรักษาให้หายขาด ทำไมน่ะหรือ ..ก็เพราะระบบนี้ไม่ได้เริ่มก่อตั้งจากเหล่านายแพทย์จริงๆ ....แต่เป็นนายทุนที่ต้องการกำไร

    สถาบันมะเร็ง American Cancer Society น่ะหรือ ..ก่อตั้งเมื่อปี 1913 โดย Rockefeller นั่นเอง....
    ยาตะวันตก กับ ยาแผนโบราณ News Punch How Rockefeller Founded Big Pharma And Waged War On Natural Cures March 27, 2018. Baxter Dmitry ผลิตภัณท์ยาของโลกตะวันตกมีส่วนที่ดีอยู่ที่ มันสามารถจัดการกับสถานการณ์เจ็บป่วยฉุกเฉินได้ ..(มันเป็นการรักษาโดยใช้สารออกฤทธิ์ตรงข้ามกับกลุ่มอาการของโรค (allopathy) ตรงข้ามกับการรักษาแบบธรรมชาติ ..homeopathy..ผู้แปล) ตอนนี้มันน่าจะถึงเวลาที่เราๆควรรู้ว่าการแพทย์ตะวันตกที่มันโฟกัสไปที่ ..ยา ..การฉายรังสี ..ผ่าตัด ..และยาเท่านั้น ....มาจากการหาเงินของนายทุน Rockefeller ล้วนๆ ผู้คนทุกวันนี้จะมองว่าคุณเป็นมนุษย์ประหลาด ถ้าคุณจะพูดถึงการแพทย์แผนโบราณที่ใช้แต่พืชสมุนไพร ..มันก็ถูกต้องแล้ว เพราะเงินถูกใช้ไปมากในการล้างสมองผู้คนเหล่านั้นที่จะให้ชื่นชอบกับแนวทางที่เข้าทางพวกนายทุน เรื่องเริ่มต้นเมื่อ John D. Rockefeller (1839 – 1937) ประสบความสำเร็จเป็นเศรษฐีระดับ billionaire จากธุรกิจน้ำมัน จอมเขมือบคนแรกในอเมริกา ..เป็นนักผูกขาดโดยสายเลือด ตอนต้นศตวรรษที่ 20 โรงกลั่นน้ำมันถึง 90% ทั่วสหรัฐเป็นของ Standard Oil ของเขา และต่อมามีการแตกออกเป็น Chevron, Exxon, Mobil etc. จากรายงานของ World Affairs : ช่วงปี 1900 นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ เปโตรเคมี ซึ่งทำให้ผลิตสารเคมีได้นานาชนิดจากน้ำมัน เช่นผลิตภัณท์พลาสติก ที่เรียกกันยุคนั้นว่า Bakelite (ตอนผมเป็นเด็กก็เรียกอย่างนั้น) ผลิตในปี 1907 ..และยังมีการค้นพบวิตามินหลายชนิด จึงมีการคาดกันในตอนนั้นว่าน่าจะสามารถผลิตยารักษาโรคจากน้ำมันปิโตรเลียมได้... ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้มันจึงเป็นโอกาศอันดีสำหรับร้อคกี้เฟลเลอร์ ที่จะได้ผูกขาดธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมัน เคมีภัณท์และยารักษาโรค พร้อมๆกันไปเลย ..เปโตรเคมีนี่มันยอดเยี่ยมมาก ทุกๆอย่างในนั้นมันเอามาจดสิทธิบัตรผลิตขายสร้างกำไรมหาศาลแน่ๆ.. แต่มันยังมีปัญหาเล็กๆ ที่มาขวางทางแผนผลิตยาของร้อคกี้เฟลเลอร์อยู่ นั่นคือการแพทย์แผนธรรมชาติและสมุนไพรซึ่งตอนนั้นป้อปปูล่ามากในอเมริกา ครึ่งหนึ่งของบรรดาแพทย์ยุคนั้นเรียนรู้การใช้ยาแผนโบราณโดยใช้ความรู้จากยุโรปและชนพื้นเมืองอเมริกัน จอมผูกขาดต้องหาทางกำจัดคู่แข่งรายนี้ให้ได้ ...มันมีเทคนิคแบบคลาสสิคอยู่อย่างหนึ่งคือการสร้าง "ปัญหา-ผลกระทบ-ทางแก้".....นั่นคือสร้างปัญหาขึ้น ทำให้ผู้คนหวาดกลัว แล้วจึงเสนอทางแก้ให้ ......(เหมือนมีโรคระบาด..มีตัวเลขผู้ติดเชื้อฟังดูน่ากลัว..แล้วเสนอทางแก้คือวัคซีนเทพ) เขาจึงขอให้เพื่อน Andrew Carnegie เศรษฐีนักผูกขาดอีกคนหนึ่งจากอุตสาหกรรมเหล็กกล้า มาช่วยในการสร้างแผนให้ .....เขาใช้มูลนิธิ Carnegie Foundation ส่งนาย Abraham Flexner ตระเวณล้างสมองผู้คนในมหาวิทยาลัยการแพทย์และโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศ ... จนเกิด Flexner Report ที่เป็นจุดเริ่มของการแพทย์สมัยปัจจุบัน ..ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องโจมตีการแพทย์โบราณจนเละ ..จนในที่สุดเกินครึ่งของวิทยาลัยการแพทย์แบบเดิมๆถึงคราวต้องยุติ ....แพทย์แผนโบราณกลายเป็นตัวตลก แพทย์บางคนถึงกับต้องถูกจำคุก การเปลี่ยนผ่านจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแนวคิดของแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ จึงมีการให้ทุน $100 ล้านแก่วิทยาลัยและโรงพยาบาลต่างๆ ...มีการก่อตั้งมูลนิธิเพื่อการศึกษา “General Education Board” (GEB) ..นับเป็นการใช้วิธี ทั้งล่อทั้งชน ในไม่ช้า วิทยาลัยการแพทย์ต่างๆก็เข้ารูปเข้ารอย เดินในแนวทางเดียวกัน ..นักศึกษาแพทย์เรียนรู้เรื่องเดียวกัน การใช้เวชภัณท์ก็แน่นอน ต้องเป็นยาที่มี "สิทธิบัตร" เข้าสู่ยุคโมเดอร์น ที่ยาเม็ดเล็กๆแค่หนึ่งเม็ดก็เอาอยู่ แล้ว 100 ปีต่อมา สุขภาพของพวกเราก็เข้าสู่ยุคที่ต้องขึ้นอยู่กับบริษัทยาใหญ่ๆ อเมริกาใช้เงินถึง 15% ของ GDP ไปในการรักษาทางการแพทย์ ..ซึ่งที่จริงแล้วน่าจะเรียกว่าการพยุงอาการของโรคไว้น่าจะถูกกว่า และนั่นทำให้เราต้องเป็นคนไข้ หรือเรียกอีกอย่างว่าลูกค้าประจำ... เพราะหลายโรค เช่น มะเร็ง ..เบาหวาน ..ออติสม์ ..หอบหืด ..หรือแม้แต่ไข้หวัดใหญ่ ไม่มีการพยายามหาวิธีรักษาให้หายขาด ทำไมน่ะหรือ ..ก็เพราะระบบนี้ไม่ได้เริ่มก่อตั้งจากเหล่านายแพทย์จริงๆ ....แต่เป็นนายทุนที่ต้องการกำไร สถาบันมะเร็ง American Cancer Society น่ะหรือ ..ก่อตั้งเมื่อปี 1913 โดย Rockefeller นั่นเอง....
    Like
    2
    1 Comments 0 Shares 528 Views 1 Reviews
More Results