• #แทนคุณแผ่นดิน

    คำนำ

    “ฉันสาบานว่าจะอุทิศด้วยเลือดในกายทั้งหมดของฉันเพื่อรับใช้มาตุภูมิ(我以我血荐轩辕)” นี่เป็นบทประพันธท่อนหนึ่งในถ้อยคำที่เขียนแล้วทำให้หัวใจคุกรุ่นซึ่งเขียนโดยหลู่ซวิ่น(鲁迅)ด้วยความรู้สึกรักชาติ เป็นเวลาหลายพันปีที่ความรักต่อมาตุภูมิเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวจีนจำนวนนับไม่ถ้วนต่อสู้เพื่อมาตุภูมิ และเราได้รู้จักผู้รักชาตินับไม่ถ้วนมาตั้งแต่เด็ก อย่างไรก็ตาม ในยุคสมัยที่ต่างกัน การแสดงความรักชาติก็แตกต่างกันไป ในยุคแห่งสงคราม ความรักชาติอาจหมายถึงการเข้าสู่สนามรบ และไม่เสียใจที่ต้องสละชีวิตเพื่อทำลายศัตรูเพื่อมาตุภูมิ ในยุคที่ประเทศสงบสุขประชาชนปลอดภัย ความรักชาติยังหมายถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สำเร็จและไม่สร้างปัญหาให้กับมาตุภูมิ

    หลังจากการสถาปนาจีนใหม่ ก็ไม่ต้องทนกับความวุ่นวายของสงครามอีกต่อไป และสถานการณ์ความรักชาติก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน สำหรับผู้ประกอบการจำนวนมาก ความรักชาติของพวกเขาสะท้อนให้เห็นจากการใช้ทรัพย์สมบัติของตนเพื่อตอบแทนมาตุภูมิ เคยมีผู้ประกอบการรายหนึ่ง เขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินจากต่างประเทศและบริจาคให้กับมาตุภูมิ จากนั้น สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ประกาศให้บริษัทล้มละลาย เกิดอะไรขึ้นกับเขา

    1. ตัดสินใจซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินส่งไปมาตุภูมิบ้านเกิด

    สวี เจิงผิง(徐增平)เคยเป็นทหาร ในปีค.ศ. 1997 เขาเป็นประธานของ Hong Kong Chuanglu Group(香港创律集团)ข่าวที่เขาเห็นโดยบังเอิญทำให้หัวใจของเขาเต้นไหว ปรากฏว่ามีรายงานของสื่อว่ายูเครนต้องการขายเรือบรรทุกเครื่องบินที่ยังสร้างไม่เสร็จ และความรักชาติของเขาก็จุดประกายขึ้นมาทันที เขาตั้งใจจะซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินลำนั้นและมอบให้กับบ้านเกิดมาตุภูมิของเขา

    เนื่องจากเรือบรรทุกเครื่องบินเกี่ยวข้องกับการพัฒนาภารกิจด้านการป้องกันประเทศของประเทศ เรือบรรทุกเครื่องบินยูเครนไม่สามารถซื้อในนามของประเทศได้ เพราะจะทำให้ประเทศอื่นมีโอกาสเข้ามาแทรกแซงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สวี เจิงผิง(徐增平)จึงตัดสินใจซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยเงินของเขาเอง อย่างไรก็ตาม เรือบรรทุกเครื่องบินถือเป็นอาวุธที่ใช้ในการป้องกันประเทศ รัฐบาลยูเครนจะไม่เห็นด้วยกับการซื้อของเขาโดยไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเปิดบริษัทบันเทิงภายใต้ชื่อของเขาเอง ซึ่งมีชื่อเต็มว่า Chuanglu Tourism and Entertainment Company(创律旅游娱乐公司) และอ้างว่าเขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยความตั้งใจที่จะเปลี่ยนให้เป็นสถานบันเทิง

    ในปีค.ศ. 1998 สวี เจิงผิง(徐增平)ซึ่งไม่เข้าใจในเรื่องภาษาได้เดินทางมายังยูเครนอย่างมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว เขาเห็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้ชื่อ "Varyag" สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาเขาคือสถานการณ์เมื่อร้อยปีก่อน เมื่อกิจการทหารเรือของจีนตกต่ำจนขีดต่ำสุด และถูกรังแกโดยประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ เขามีความตั้งใจมากขึ้นที่จะมีส่วนร่วมวางพื้นฐานเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินในการพัฒนากองทัพเรือของมาตุภูมิ ที่โต๊ะไวน์ สวี เจิงผิง(徐增平)ไม่สามารถสื่อสารกับบุคคลที่รับผิดชอบฝ่ายยูเครนได้ดี เขาดื่มเหล้าหนัก 6 ปอนด์เพื่อแสดงความมุ่งมั่น ในท้ายที่สุด เขาก็เจรจาเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินได้สำเร็จ

    2. อุปสรรคของการเดินทางกลับมาตุภูมิบ้านเกิดของเรือบรรทุกเครื่องบิน

    ในเวลานั้น ยูเครนตกลงที่จะขายเรือบรรทุกเครื่องบินลำดังกล่าวให้กับ สวี เจิงผิง(徐增平)ในราคา 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐแต่ไม่รวมแบบร่างการออกแบบ สวี เจิงผิง(徐增平)รู้ดีว่าแบบการออกแบบเรือบรรทุกเครื่องบินมีความสำคัญมากกว่าตัวเรือบรรทุกเครื่องบิน การได้แบบดังกล่าวเท่านั้น จึงจะสามารถผลิตเรือบรรทุกเครื่องบินของจีนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงเจรจาอีกครั้ง และหลังจากการเจรจาบางอย่าง สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ซื้อแบบของการออกแบบเรือในราคาสูงถึง 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เดิมทีคิดว่าเรือบรรทุกเครื่องบินสามารถกลับบ้านได้ในเวลานี้ แต่เนื่องจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นร่วมมือกัน เรือบรรทุกเครื่องบินจึงเกือบจะไม่สามารถกลับได้

    สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นร่วมกันกดดันยูเครนให้หยุดขายเรือบรรทุกเครื่องบิน เมื่อหมดทางออกยูเครนจึงละทิ้งข้อตกลงทางวาจากับ สวี เจิงผิง(徐增平) และขายเรือบรรทุกเครื่องบินดังกล่าวในรูปแบบของการประมูลแทน เมื่อเห็นว่าเรือบรรทุกเครื่องบินที่เขากำลังจะได้มา แต่คนอื่นก็กำลังจะแย่งชิงเอาไป สวี เจิงผิง(徐增平)ระงับความขุ่นเคืองภายในของเขาและยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ เขาจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเข้าร่วมการประมูล และได้ประมูลซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินในราคาสูงถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐ

    หลังจากเหตุการณ์นี้ สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้น เพื่อที่จะนำเรือบรรทุกเครื่องบินกลับมาตุภูมิโดยเร็วที่สุด เขาได้จัดการเรื่องเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ของเรือบรรทุกเครื่องบินทันทีและปกป้องแบบของการออกแบบอย่างระมัดระวัง เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบินแล่นมุ่งหน้าสู่มาตุภูมิเขารู้สึกตื่นเต้นซาบซึ้งมากจนน้ำตาไหล แต่เมื่อแบบร่างการออกแบบถูกส่งกลับไปยังประเทศจีน ช่างเทคนิคพบว่าแบบร่างนั้นไม่สมบูรณ์และข้อมูลสำคัญจำนวนมากยังขาดหายไป สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเดินทางไปยูเครนอีกครั้งเพื่อขอแบบร่างการออกแบบที่สมบูรณ์ นอกจากนี้ ระหว่างทางกลับบ้านมาตุภูมิ ยังถูกรัฐบาลตุรกีเข้าแทรกแซง ทำให้เรือบรรทุกเครื่องบินลำดังกล่าวลอยอยู่ในทะเลเป็นเวลาหนึ่งปี

    3. เรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงบ้านมาตุภูมิ และบริษัทล้มละลาย

    ต่อมาการเจรจาระหว่างประเทศจีนกับตุรกีใช้เวลานานกว่าหนึ่งปี ในช่วงเวลานี้ บริษัทเรือลากจูงจำเป็นต้องใช้ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมท่าเทียบเรือของเรือบรรทุกเครื่องบินก็ต้องจ่ายด้วย ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมหลายแสนดอลลาร์ บริษัทของ สวี เจิงผิง(徐增平)ไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อีกต่อไป ในปี ค.ศ. 2002 เรือบรรทุกเครื่องบินได้แล่นเข้าสู่น่านน้ำของมาตุภูมิและเข้าสู่อ้อมกอดของมาตุภูมิในที่สุด ตั้งแต่การซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินไปจนถึงการส่งกลับจีน ใช้เวลาทั้งหมด 5 ปี และ สวี เจิงผิง(徐增平)ใช้เงินมากกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐ

    เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบินเดินทางถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย สวี เจิงผิง(徐增平)ได้ประกาศว่าบริษัทบันเทิงของเขาล้มละลายอย่างเป็นทางการ เดิมทีนี่เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อซื้อเรือบรรทุกเครื่องบิน คำโกหกนี้ปรากฏชัดออกมาในตัวเองทันทีที่เรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงบ้านมาตุภูมิ สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเปลี่ยนมือและบริจาคเรือบรรทุกเครื่องบินให้กับประเทศ แม้ว่าบริษัทบันเทิงในมาเก๊าจะล้มละลาย แต่ สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ไม่ได้ตกอยู่ในสภาพความยากจน เขายังมีบริษัทอื่นในฮ่องกงและเขายังคงเป็นนักธุรกิจผู้รักชาติ

    “ตี๋น้อยต้องการรับใช้ชาติ ไม่ใช่เพื่อเป็นเจ้าขุนมูลนาย” ผู้รักชาติที่แท้จริงถือว่าความรักชาติเป็นความรับผิดชอบของเขาเอง และไม่สนใจความสำเร็จหรือความล้มเหลวส่วนบุคคล สวี เจิงผิง(徐增平)ก็คือคนเช่นนี้ เขาแสดงมิตรภาพอันลึกซึ้งต่อมาตุภูมิในรูปแบบของเขาเอง และสมควรได้รับความเคารพอย่างสุดซึ้งต่อเขา

    โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า

    กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ
    #แทนคุณแผ่นดิน 🤠คำนำ🤠 “ฉันสาบานว่าจะอุทิศด้วยเลือดในกายทั้งหมดของฉันเพื่อรับใช้มาตุภูมิ(我以我血荐轩辕)” นี่เป็นบทประพันธท่อนหนึ่งในถ้อยคำที่เขียนแล้วทำให้หัวใจคุกรุ่นซึ่งเขียนโดยหลู่ซวิ่น(鲁迅)ด้วยความรู้สึกรักชาติ เป็นเวลาหลายพันปีที่ความรักต่อมาตุภูมิเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวจีนจำนวนนับไม่ถ้วนต่อสู้เพื่อมาตุภูมิ และเราได้รู้จักผู้รักชาตินับไม่ถ้วนมาตั้งแต่เด็ก อย่างไรก็ตาม ในยุคสมัยที่ต่างกัน การแสดงความรักชาติก็แตกต่างกันไป ในยุคแห่งสงคราม ความรักชาติอาจหมายถึงการเข้าสู่สนามรบ และไม่เสียใจที่ต้องสละชีวิตเพื่อทำลายศัตรูเพื่อมาตุภูมิ ในยุคที่ประเทศสงบสุขประชาชนปลอดภัย ความรักชาติยังหมายถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สำเร็จและไม่สร้างปัญหาให้กับมาตุภูมิ หลังจากการสถาปนาจีนใหม่ ก็ไม่ต้องทนกับความวุ่นวายของสงครามอีกต่อไป และสถานการณ์ความรักชาติก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน สำหรับผู้ประกอบการจำนวนมาก ความรักชาติของพวกเขาสะท้อนให้เห็นจากการใช้ทรัพย์สมบัติของตนเพื่อตอบแทนมาตุภูมิ เคยมีผู้ประกอบการรายหนึ่ง เขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินจากต่างประเทศและบริจาคให้กับมาตุภูมิ จากนั้น สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ประกาศให้บริษัทล้มละลาย เกิดอะไรขึ้นกับเขา 🤠1. ตัดสินใจซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินส่งไปมาตุภูมิบ้านเกิด🤠 สวี เจิงผิง(徐增平)เคยเป็นทหาร ในปีค.ศ. 1997 เขาเป็นประธานของ Hong Kong Chuanglu Group(香港创律集团)ข่าวที่เขาเห็นโดยบังเอิญทำให้หัวใจของเขาเต้นไหว ปรากฏว่ามีรายงานของสื่อว่ายูเครนต้องการขายเรือบรรทุกเครื่องบินที่ยังสร้างไม่เสร็จ และความรักชาติของเขาก็จุดประกายขึ้นมาทันที เขาตั้งใจจะซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินลำนั้นและมอบให้กับบ้านเกิดมาตุภูมิของเขา เนื่องจากเรือบรรทุกเครื่องบินเกี่ยวข้องกับการพัฒนาภารกิจด้านการป้องกันประเทศของประเทศ เรือบรรทุกเครื่องบินยูเครนไม่สามารถซื้อในนามของประเทศได้ เพราะจะทำให้ประเทศอื่นมีโอกาสเข้ามาแทรกแซงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สวี เจิงผิง(徐增平)จึงตัดสินใจซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยเงินของเขาเอง อย่างไรก็ตาม เรือบรรทุกเครื่องบินถือเป็นอาวุธที่ใช้ในการป้องกันประเทศ รัฐบาลยูเครนจะไม่เห็นด้วยกับการซื้อของเขาโดยไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเปิดบริษัทบันเทิงภายใต้ชื่อของเขาเอง ซึ่งมีชื่อเต็มว่า Chuanglu Tourism and Entertainment Company(创律旅游娱乐公司) และอ้างว่าเขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยความตั้งใจที่จะเปลี่ยนให้เป็นสถานบันเทิง ในปีค.ศ. 1998 สวี เจิงผิง(徐增平)ซึ่งไม่เข้าใจในเรื่องภาษาได้เดินทางมายังยูเครนอย่างมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว เขาเห็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้ชื่อ "Varyag" สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาเขาคือสถานการณ์เมื่อร้อยปีก่อน เมื่อกิจการทหารเรือของจีนตกต่ำจนขีดต่ำสุด และถูกรังแกโดยประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ เขามีความตั้งใจมากขึ้นที่จะมีส่วนร่วมวางพื้นฐานเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินในการพัฒนากองทัพเรือของมาตุภูมิ ที่โต๊ะไวน์ สวี เจิงผิง(徐增平)ไม่สามารถสื่อสารกับบุคคลที่รับผิดชอบฝ่ายยูเครนได้ดี เขาดื่มเหล้าหนัก 6 ปอนด์เพื่อแสดงความมุ่งมั่น ในท้ายที่สุด เขาก็เจรจาเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินได้สำเร็จ 🤠2. อุปสรรคของการเดินทางกลับมาตุภูมิบ้านเกิดของเรือบรรทุกเครื่องบิน🤠 ในเวลานั้น ยูเครนตกลงที่จะขายเรือบรรทุกเครื่องบินลำดังกล่าวให้กับ สวี เจิงผิง(徐增平)ในราคา 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐแต่ไม่รวมแบบร่างการออกแบบ สวี เจิงผิง(徐增平)รู้ดีว่าแบบการออกแบบเรือบรรทุกเครื่องบินมีความสำคัญมากกว่าตัวเรือบรรทุกเครื่องบิน การได้แบบดังกล่าวเท่านั้น จึงจะสามารถผลิตเรือบรรทุกเครื่องบินของจีนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงเจรจาอีกครั้ง และหลังจากการเจรจาบางอย่าง สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ซื้อแบบของการออกแบบเรือในราคาสูงถึง 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เดิมทีคิดว่าเรือบรรทุกเครื่องบินสามารถกลับบ้านได้ในเวลานี้ แต่เนื่องจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นร่วมมือกัน เรือบรรทุกเครื่องบินจึงเกือบจะไม่สามารถกลับได้ สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นร่วมกันกดดันยูเครนให้หยุดขายเรือบรรทุกเครื่องบิน เมื่อหมดทางออกยูเครนจึงละทิ้งข้อตกลงทางวาจากับ สวี เจิงผิง(徐增平) และขายเรือบรรทุกเครื่องบินดังกล่าวในรูปแบบของการประมูลแทน เมื่อเห็นว่าเรือบรรทุกเครื่องบินที่เขากำลังจะได้มา แต่คนอื่นก็กำลังจะแย่งชิงเอาไป สวี เจิงผิง(徐增平)ระงับความขุ่นเคืองภายในของเขาและยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ เขาจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเข้าร่วมการประมูล และได้ประมูลซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินในราคาสูงถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากเหตุการณ์นี้ สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้น เพื่อที่จะนำเรือบรรทุกเครื่องบินกลับมาตุภูมิโดยเร็วที่สุด เขาได้จัดการเรื่องเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ของเรือบรรทุกเครื่องบินทันทีและปกป้องแบบของการออกแบบอย่างระมัดระวัง เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบินแล่นมุ่งหน้าสู่มาตุภูมิเขารู้สึกตื่นเต้นซาบซึ้งมากจนน้ำตาไหล แต่เมื่อแบบร่างการออกแบบถูกส่งกลับไปยังประเทศจีน ช่างเทคนิคพบว่าแบบร่างนั้นไม่สมบูรณ์และข้อมูลสำคัญจำนวนมากยังขาดหายไป สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเดินทางไปยูเครนอีกครั้งเพื่อขอแบบร่างการออกแบบที่สมบูรณ์ นอกจากนี้ ระหว่างทางกลับบ้านมาตุภูมิ ยังถูกรัฐบาลตุรกีเข้าแทรกแซง ทำให้เรือบรรทุกเครื่องบินลำดังกล่าวลอยอยู่ในทะเลเป็นเวลาหนึ่งปี 🤠3. เรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงบ้านมาตุภูมิ และบริษัทล้มละลาย🤠 ต่อมาการเจรจาระหว่างประเทศจีนกับตุรกีใช้เวลานานกว่าหนึ่งปี ในช่วงเวลานี้ บริษัทเรือลากจูงจำเป็นต้องใช้ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมท่าเทียบเรือของเรือบรรทุกเครื่องบินก็ต้องจ่ายด้วย ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมหลายแสนดอลลาร์ บริษัทของ สวี เจิงผิง(徐增平)ไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อีกต่อไป ในปี ค.ศ. 2002 เรือบรรทุกเครื่องบินได้แล่นเข้าสู่น่านน้ำของมาตุภูมิและเข้าสู่อ้อมกอดของมาตุภูมิในที่สุด ตั้งแต่การซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินไปจนถึงการส่งกลับจีน ใช้เวลาทั้งหมด 5 ปี และ สวี เจิงผิง(徐增平)ใช้เงินมากกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบินเดินทางถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย สวี เจิงผิง(徐增平)ได้ประกาศว่าบริษัทบันเทิงของเขาล้มละลายอย่างเป็นทางการ เดิมทีนี่เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อซื้อเรือบรรทุกเครื่องบิน คำโกหกนี้ปรากฏชัดออกมาในตัวเองทันทีที่เรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงบ้านมาตุภูมิ สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเปลี่ยนมือและบริจาคเรือบรรทุกเครื่องบินให้กับประเทศ แม้ว่าบริษัทบันเทิงในมาเก๊าจะล้มละลาย แต่ สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ไม่ได้ตกอยู่ในสภาพความยากจน เขายังมีบริษัทอื่นในฮ่องกงและเขายังคงเป็นนักธุรกิจผู้รักชาติ “ตี๋น้อยต้องการรับใช้ชาติ ไม่ใช่เพื่อเป็นเจ้าขุนมูลนาย” ผู้รักชาติที่แท้จริงถือว่าความรักชาติเป็นความรับผิดชอบของเขาเอง และไม่สนใจความสำเร็จหรือความล้มเหลวส่วนบุคคล สวี เจิงผิง(徐增平)ก็คือคนเช่นนี้ เขาแสดงมิตรภาพอันลึกซึ้งต่อมาตุภูมิในรูปแบบของเขาเอง และสมควรได้รับความเคารพอย่างสุดซึ้งต่อเขา 🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 Comments 0 Shares 34 Views 0 Reviews
  • โรงแรมสะเหน่ นิมมาน
    ราคาโปรโมชั่นสำหรับการเข้าพักตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม - ตุลาคม 2567 (ยกเว้นช่วงวันหยุดยาวและเทศกาล)
    ห้อง Suite room King bed & Twin beds
    โปรโมชั่นคืนละ 2,700 บาท
    แพ็คเกจ 3 คืน 6,999 บาท (คืนละ 2,333 บาท)
    ห้อง Executive Suite room King bed
    โปรโมชั่นคืนละ 3,900 บาท
    แพ็คเกจ 3 คืน 9,999 บาท (คืนละ 3,333 บาท)
    ห้อง Sanae' Signature Suite King bed
    โปรโมชั่นคืนละ 5,100 บาท
    แพ็คเกจ 3 คืนละ 13,350 บาท (คืนละ 4,450 บาท)
    ห้อง Ground floor Suite room King bed & Twin beds
    โปรโมชั่นคืนละ 2,400 บาท
    แพ็คเกจ 3 คืน 6,000 บาท (คืนละ 2,000 บาท)
    ห้อง Townhouse
    **หมายเหตุ : ห้องพักประเภทนี้จะอยู่แยกจากอาคารหลักของโรงแรม แต่อยู่ในบริเวณเดียวกัน**
    โปรโมชั่นคืนละ 2,200 บาท
    แพ็คเกจ 3 คืน 5,550 บาท (คืนละ 1,850 บาท)
    #พิเศษทุกการจองแถมเซ็ทอาหารเช้าหลากหลายเมนู
    โรงแรมสะเหน่ ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย SHA
    สิ่งอำนวยความสะดวก
    ฟรี Internet Wifi
    เครื่องปรับอากาศ 2 เครื่อง ทีวี 2 เครื่องขนาด 40-50 นิ้ว
    ตู้เย็น น้ำดื่ม 4 ขวดในห้องพัก
    ตู้เซฟ ไดร์เป่าผม
    สระว่ายน้ำส่วนกลาง ที่จอดรถใต้อาคาร
    สอบถามข้อมูลห้องพัก : 053-222-299
    Line : sanaehotel
    Website : www.sanaehotel.com❤❤
    #สะเหน่เชียงใหม่ #hotel #โรงเเรมสะเหน่ #ที่พักในเชียงใหม่ #โรงแรมเชียงใหม่ #โรงแรมดังเชียงใหม่ #โปรโมชั่นโรงแรม #ที่พักนิมมาน #นักธุรกิจ #ท่องเที่ยว #คู่รัก #ครอบครัว #โปรโมชั่นห้องพัก #รีวิวเชียงใหม่ #reviewchiangmai #sanaehotel #sanae #nimman #tripchiangmai #เที่ยวเชียงใหม่ #สะเหน่โฮเท็ล #ฤดูหนาว #เดินทางท่องเที่ยว
    Sanae' Hotel Nimman
    โรงแรมสะเหน่ นิมมาน ราคาโปรโมชั่นสำหรับการเข้าพักตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม - ตุลาคม 2567 (ยกเว้นช่วงวันหยุดยาวและเทศกาล) ⭐ ห้อง Suite room King bed & Twin beds โปรโมชั่นคืนละ 2,700 บาท แพ็คเกจ 3 คืน 6,999 บาท (คืนละ 2,333 บาท) ⭐ ห้อง Executive Suite room King bed โปรโมชั่นคืนละ 3,900 บาท แพ็คเกจ 3 คืน 9,999 บาท (คืนละ 3,333 บาท) ⭐ ห้อง Sanae' Signature Suite King bed โปรโมชั่นคืนละ 5,100 บาท แพ็คเกจ 3 คืนละ 13,350 บาท (คืนละ 4,450 บาท) ⭐ ห้อง Ground floor Suite room King bed & Twin beds โปรโมชั่นคืนละ 2,400 บาท แพ็คเกจ 3 คืน 6,000 บาท (คืนละ 2,000 บาท) ⭐ ห้อง Townhouse **หมายเหตุ : ห้องพักประเภทนี้จะอยู่แยกจากอาคารหลักของโรงแรม แต่อยู่ในบริเวณเดียวกัน** โปรโมชั่นคืนละ 2,200 บาท แพ็คเกจ 3 คืน 5,550 บาท (คืนละ 1,850 บาท) #พิเศษทุกการจองแถมเซ็ทอาหารเช้าหลากหลายเมนู 💛💛โรงแรมสะเหน่ ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย SHA💛💛 👉 สิ่งอำนวยความสะดวก ✅ฟรี Internet Wifi ✅เครื่องปรับอากาศ 2 เครื่อง ✅ทีวี 2 เครื่องขนาด 40-50 นิ้ว ✅ตู้เย็น ✅น้ำดื่ม 4 ขวดในห้องพัก ✅ตู้เซฟ ✅ไดร์เป่าผม ✅สระว่ายน้ำส่วนกลาง ✅ที่จอดรถใต้อาคาร ☎️สอบถามข้อมูลห้องพัก : 053-222-299 🌍 Line : sanaehotel 🏡 Website : www.sanaehotel.com❤❤ #สะเหน่เชียงใหม่ #hotel #โรงเเรมสะเหน่ #ที่พักในเชียงใหม่ #โรงแรมเชียงใหม่ #โรงแรมดังเชียงใหม่ #โปรโมชั่นโรงแรม #ที่พักนิมมาน #นักธุรกิจ #ท่องเที่ยว #คู่รัก #ครอบครัว #โปรโมชั่นห้องพัก #รีวิวเชียงใหม่ #reviewchiangmai #sanaehotel #sanae #nimman #tripchiangmai #เที่ยวเชียงใหม่ #สะเหน่โฮเท็ล #ฤดูหนาว #เดินทางท่องเที่ยว Sanae' Hotel Nimman
    0 Comments 0 Shares 162 Views 0 Reviews
  • "ราเกซ"อดีตพ่อมดการเงินที่ต้องโทษคดีฉ้อโกงธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ BBCจนแบงก์เจ้ง ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ตำรวจเตรียมผลักดันออกนอกประเทศ
    .
    10 กันยายน 2567 -รายงานข่าวแจ้งว่า เช้าวันนี้ ตำรวจกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้ไปรับตัวนายราเกซ สักเสนา (Rakesh Saxena) สัญชาติอินเดีย ผู้ต้องขังในคดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ (บีบีซี) ออกจากเรือนจำ เพื่อผลักดันออกนอกประเทศ
    .
    หลังได้รับพระราชทานอภัยโทษ ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฏาคม 2567 โดยได้ส่งตัวนายราเกซไปยังกองกำกับการ 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (บก.สส.สตม.) เพื่อดำเนินการผลักดันออกนอกประเทศตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ต่อไป
    .
    นับเป็นการปิดฉากชีวิตพ่อมดการเงินในประเทศไทย จากการปล่อยสินเชื่อให้แก่นักธุรกิจและนักการเมืองเพื่อเข้าเทกโอเวอร์บริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีกำไรจากการซื้อมา-ขายไป จนเกิดหนี้เน่ามากกว่า 80,000 ล้านบาท และเป็นต้นเหตุที่ทำให้บีบีซีปิดกิจการ
    .
    สำหรับนายราเกซ ชาวเมืองอินดอร์ รัฐมัธยประเทศ อดีตโบรกเกอร์ค้าเงิน เป็นผู้ต้องขังคดีหมายเลขแดงที่ อ 4138/2559 ในความผิดฐานพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือ บีบีซี ระหว่างปี 2537-2539 ขณะดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่งขณะนั้นคือนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์
    .
    โดยกระทำการทุจริตอนุมัติวงเงินสินเชื่อเกินบัญชี (โอดี) กับบริษัท สมประสงค์ อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และเอกชนอื่นร่วม 10 แห่ง เกินกว่า 30 ล้านบาท โดยไม่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการสินเชื่อ หรือคณะกรรมการบริหารของธนาคารก่อน อีกทั้งไม่ได้จัดให้มีหลักประกัน ไม่มีการวิเคราะห์ฐานะของลูกหนี้ และความสามารถในการชำระหนี้คืน อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งธนาคารแห่งประเทศไทย
    .
    นอกจากนี้ จำเลยและพวกยังได้ร่วมกันแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ร่วมกันเบียดบังเอาเงินของธนาคารผู้เสียหาย (บีบีซี) ซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายเกริกเกียรติ ไปเป็นของจำเลยกับพวกและนายเกริกเกียรติโดยทุจริต แม้ภายหลังจำเลยกับพวกได้ชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายบางส่วน แต่คงเหลือเงินที่ยังไม่ได้คืนผู้เสียหาย 353,363,966 บาท
    .
    คดีนี้ต่อสู้กันสามศาล ในที่สุดศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2565 จำคุกกระทงละ 5 ปี และปรับกระทงละ 500,000 บาท โดยมีสำนวนแรก 60 กระทง สำนวนที่สอง 6 กระทง และสำนวนที่สาม 1 กระทง รวม 67 กระทง รวมจำคุก 335 ปี และปรับ 33,500,000 บาท เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุก 20 ปี และสั่งคืนเงินผู้เสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท
    .
    ก่อนหน้านี้นายราเกซหลบหนีคดีไปยังประเทศแคนาดา ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2539 แม้ทางการไทยได้ประสานงานกับแคนาดาขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน แต่นายราเกซได้ให้ทนายความยื่นคัดค้าน ใช้ระยะเวลาพิจารณาถึง 13 ปี กระทั่งวันที่ 29 ต.ค. 2552 ศาลฎีกาแคนาดามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา และส่งตัวมาถึงประเทศไทยด้วยเที่ยวบิน TG 615 เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2552
    .
    ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาเมื่อปี 2555 จำคุกนายราเกซ 10 ปี และต่อสู้คดีเรื่อยมา กระทั่งคดีถึงที่สุดเมื่อปี 2565 รวมระยะเวลาที่รับโทษในประเทศไทย 15 ปี

    ที่มา https://sondhitalk.com/detail/9670000083928

    #Thaitimes
    "ราเกซ"อดีตพ่อมดการเงินที่ต้องโทษคดีฉ้อโกงธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ BBCจนแบงก์เจ้ง ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ตำรวจเตรียมผลักดันออกนอกประเทศ . 10 กันยายน 2567 -รายงานข่าวแจ้งว่า เช้าวันนี้ ตำรวจกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้ไปรับตัวนายราเกซ สักเสนา (Rakesh Saxena) สัญชาติอินเดีย ผู้ต้องขังในคดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ (บีบีซี) ออกจากเรือนจำ เพื่อผลักดันออกนอกประเทศ . หลังได้รับพระราชทานอภัยโทษ ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฏาคม 2567 โดยได้ส่งตัวนายราเกซไปยังกองกำกับการ 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (บก.สส.สตม.) เพื่อดำเนินการผลักดันออกนอกประเทศตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ต่อไป . นับเป็นการปิดฉากชีวิตพ่อมดการเงินในประเทศไทย จากการปล่อยสินเชื่อให้แก่นักธุรกิจและนักการเมืองเพื่อเข้าเทกโอเวอร์บริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีกำไรจากการซื้อมา-ขายไป จนเกิดหนี้เน่ามากกว่า 80,000 ล้านบาท และเป็นต้นเหตุที่ทำให้บีบีซีปิดกิจการ . สำหรับนายราเกซ ชาวเมืองอินดอร์ รัฐมัธยประเทศ อดีตโบรกเกอร์ค้าเงิน เป็นผู้ต้องขังคดีหมายเลขแดงที่ อ 4138/2559 ในความผิดฐานพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือ บีบีซี ระหว่างปี 2537-2539 ขณะดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่งขณะนั้นคือนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ . โดยกระทำการทุจริตอนุมัติวงเงินสินเชื่อเกินบัญชี (โอดี) กับบริษัท สมประสงค์ อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และเอกชนอื่นร่วม 10 แห่ง เกินกว่า 30 ล้านบาท โดยไม่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการสินเชื่อ หรือคณะกรรมการบริหารของธนาคารก่อน อีกทั้งไม่ได้จัดให้มีหลักประกัน ไม่มีการวิเคราะห์ฐานะของลูกหนี้ และความสามารถในการชำระหนี้คืน อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งธนาคารแห่งประเทศไทย . นอกจากนี้ จำเลยและพวกยังได้ร่วมกันแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ร่วมกันเบียดบังเอาเงินของธนาคารผู้เสียหาย (บีบีซี) ซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายเกริกเกียรติ ไปเป็นของจำเลยกับพวกและนายเกริกเกียรติโดยทุจริต แม้ภายหลังจำเลยกับพวกได้ชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายบางส่วน แต่คงเหลือเงินที่ยังไม่ได้คืนผู้เสียหาย 353,363,966 บาท . คดีนี้ต่อสู้กันสามศาล ในที่สุดศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2565 จำคุกกระทงละ 5 ปี และปรับกระทงละ 500,000 บาท โดยมีสำนวนแรก 60 กระทง สำนวนที่สอง 6 กระทง และสำนวนที่สาม 1 กระทง รวม 67 กระทง รวมจำคุก 335 ปี และปรับ 33,500,000 บาท เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุก 20 ปี และสั่งคืนเงินผู้เสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท . ก่อนหน้านี้นายราเกซหลบหนีคดีไปยังประเทศแคนาดา ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2539 แม้ทางการไทยได้ประสานงานกับแคนาดาขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน แต่นายราเกซได้ให้ทนายความยื่นคัดค้าน ใช้ระยะเวลาพิจารณาถึง 13 ปี กระทั่งวันที่ 29 ต.ค. 2552 ศาลฎีกาแคนาดามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา และส่งตัวมาถึงประเทศไทยด้วยเที่ยวบิน TG 615 เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2552 . ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาเมื่อปี 2555 จำคุกนายราเกซ 10 ปี และต่อสู้คดีเรื่อยมา กระทั่งคดีถึงที่สุดเมื่อปี 2565 รวมระยะเวลาที่รับโทษในประเทศไทย 15 ปี ที่มา https://sondhitalk.com/detail/9670000083928 #Thaitimes
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 1278 Views 0 Reviews
  • World Economic Forum ยอมรับว่าใช้ “โควิด” เป็น แบบทดสอบ สู่ “New World Order”

    - นี่คือโพสล่าสุดของ World Economic Forum ที่ชื่อว่า “My Carbon” ที่พูดถึง แผนการณ์ 3 อย่างที่จะต้องเกิดขึ้น ก่อนที่โลกจะพัฒนาไปสู่วิสัยทัศน์ “Utopia” " เมืองอัจฉริยะแบบยั่งยืน" ของพวกเค้า คือ การปฏิบัติตาม ข้อจํากัดในเสรีภาพ ที่พวกเค้าออกแบบ มานั่นเอง !!!

    - World Economic Forum ยอมรับว่าการระบาดใหญ่ของ โควิด-19 เป็นการทดสอบการเชื่อฟังของประชาชนในการยอมรับ “New World Order” (ระเบียบโลกใหม่) ของพวกเค้า โดยมีเนื้อหาในข้อที่ 1 ว่า โควิด-19 เป็นการทดสอบ ความรับผิดชอบต่อสังคม การยอมรับต่อ ข้อจํากัดที่ไม่อาจจินตนาการได้ ที่สาธารณสุขนํามาใช้ ต่อพลเมืองหลายพันล้านคนทั่วโลก มีตัวอย่างมากมายทั่วโลก ของการรักษาระยะห่างทางสังคม การ สวมหน้ากาก การฉีดวัคซีนจํานวนมาก และ การยอมรับแอปพลิเคชัน การติดตามของ สาธารณสุข ซึ่งแสดงให้เห็นถึง แก่นแท้ของความรับผิดชอบต่อสังคม ของแต่ละบุคคล !!!!

    #เพจนิวเวิลด์ออเดอร์
    - ทั้งหมดนี้คือการทดสอบ ระบบ ดูว่าจะมี “สักกี่คนที่จะละทิ้งเสรีภาพส่วนบุคคล และอธิปไตยส่วนบุคคล” โดยปฏิบัติตาม "New Normal" ให้ที่พวกเค้ากำหนดให้ การใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง รวมไปถึง การต้อนไป ”ฉีด” ยาพิษ แบบ สมัครใจ อีกด้วย !!! ซึ่งทั้งหมด ก็เป็นไปตามแผนการณ์ ของพวกเค้า คือผู้คน มากกว่า 90% ยอมทำตามด้วยความสมัครใจ เดินตาม เส้นทางที่พวกเค้าขีดไว้ โดยไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ว่าทั้งหมดนี้คือ “แผนการณ์” !!!!

    - ก็แปลกดีนะครับ ที่คนสาย Conspiracy Theory ที่โดนคนทั่วไป ต่อว่า ว่า “บ้า” เป็นผู้รอด และ รู้ทัน แผนการณ์เหล่านี้ มากกว่าคนที่คิดว่าตัวเองปกติดี 5555

    - เพราะ ฉะนั้น เลิกพูดกันสักทีว่า โควิด เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือ เหตุบังเอิญ ที่หลุดจาก Lab เพราะเจ้าตัวเค้าออกมาเฉลยแล้ว หลังจากเกิดเหตุ มา 5 ปี ว่า ทั้งหมดนี้ คือ “ ฝืมือของพวกเราเอง ”

    -ในบทความนี้ ยังไม่จบนะครับ ยังพูดถึง เหตุการณ์ อีก 2 อย่างที่กำลังผลักดันให้เกิดขึ้นให้ได้ ก่อนที่โลกใบนี้จะก้าวเข้าสู่ “New World Order” นั่นก็คือเรื่อง
    “ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4” และ “เพิ่มความตระหนักและความเป็นเจ้าของต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม”

    - มาดูภาพที่เกิดขึ้นในประเทศไทย หลักจากที่ รัฐบาลไทย ได้เข้าไปร่วม ประชุม World Economic Forum ในปีที่ผ่านมา นอกจากที่ นายกคนเก่าได้ “กระดิ่งวัว” ติดมือกลับบ้านมาแล้ว ก็รีบ ผลักดัน นโยบาย ต่างๆ รับลูก Agenda ของ WEF ทันควันทั้งนััน !!!! และ ในภาคของ เอกชน บางคน (ที่หัวยุ่งๆ ติดเข็มกลัด Agenda 2030 โชว์ตลอดทุกงาน) หลังจากกลับมาจากประชุม ก็ผันตัวจาก นักธุรกิจ มาเป็น “Influencer” ประกาศ สิ่งที่ได้เข้าประชุมมา ว่า WEF ดีมากมาย โชว์ให้คนเห็นแต่ด้านดี และ ให้ผู้คน คล้อยตาม เดินตามที่เค้าวางไว้ และยังได้ พื้นที่ของ สื่อแทบทุกช่อง เรียกไปสัมภาษณ์ กระจาย Agenda เหล่านี้ !!! “ล้างสมอง ให้คนเห็นปีศาจ เป็น เทพเจ้า”

    “ โควิดไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มันคือ แผนการณ์ที่พวกเค้าวางไว้ ”

    ** ถ้าชอบโพสแนว สบคบคิด ฝากกด ติดตาม เพจนิวเวิลด์ออเดอร์ ด้วยครับ **
    World Economic Forum ยอมรับว่าใช้ “โควิด” เป็น แบบทดสอบ สู่ “New World Order” - นี่คือโพสล่าสุดของ World Economic Forum ที่ชื่อว่า “My Carbon” ที่พูดถึง แผนการณ์ 3 อย่างที่จะต้องเกิดขึ้น ก่อนที่โลกจะพัฒนาไปสู่วิสัยทัศน์ “Utopia” " เมืองอัจฉริยะแบบยั่งยืน" ของพวกเค้า คือ การปฏิบัติตาม ข้อจํากัดในเสรีภาพ ที่พวกเค้าออกแบบ มานั่นเอง !!! - World Economic Forum ยอมรับว่าการระบาดใหญ่ของ โควิด-19 เป็นการทดสอบการเชื่อฟังของประชาชนในการยอมรับ “New World Order” (ระเบียบโลกใหม่) ของพวกเค้า โดยมีเนื้อหาในข้อที่ 1 ว่า โควิด-19 เป็นการทดสอบ ความรับผิดชอบต่อสังคม การยอมรับต่อ ข้อจํากัดที่ไม่อาจจินตนาการได้ ที่สาธารณสุขนํามาใช้ ต่อพลเมืองหลายพันล้านคนทั่วโลก มีตัวอย่างมากมายทั่วโลก ของการรักษาระยะห่างทางสังคม การ สวมหน้ากาก การฉีดวัคซีนจํานวนมาก และ การยอมรับแอปพลิเคชัน การติดตามของ สาธารณสุข ซึ่งแสดงให้เห็นถึง แก่นแท้ของความรับผิดชอบต่อสังคม ของแต่ละบุคคล !!!! #เพจนิวเวิลด์ออเดอร์ - ทั้งหมดนี้คือการทดสอบ ระบบ ดูว่าจะมี “สักกี่คนที่จะละทิ้งเสรีภาพส่วนบุคคล และอธิปไตยส่วนบุคคล” โดยปฏิบัติตาม "New Normal" ให้ที่พวกเค้ากำหนดให้ การใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง รวมไปถึง การต้อนไป ”ฉีด” ยาพิษ แบบ สมัครใจ อีกด้วย !!! ซึ่งทั้งหมด ก็เป็นไปตามแผนการณ์ ของพวกเค้า คือผู้คน มากกว่า 90% ยอมทำตามด้วยความสมัครใจ เดินตาม เส้นทางที่พวกเค้าขีดไว้ โดยไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ว่าทั้งหมดนี้คือ “แผนการณ์” !!!! - ก็แปลกดีนะครับ ที่คนสาย Conspiracy Theory ที่โดนคนทั่วไป ต่อว่า ว่า “บ้า” เป็นผู้รอด และ รู้ทัน แผนการณ์เหล่านี้ มากกว่าคนที่คิดว่าตัวเองปกติดี 5555 - เพราะ ฉะนั้น เลิกพูดกันสักทีว่า โควิด เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือ เหตุบังเอิญ ที่หลุดจาก Lab เพราะเจ้าตัวเค้าออกมาเฉลยแล้ว หลังจากเกิดเหตุ มา 5 ปี ว่า ทั้งหมดนี้ คือ “ ฝืมือของพวกเราเอง ” -ในบทความนี้ ยังไม่จบนะครับ ยังพูดถึง เหตุการณ์ อีก 2 อย่างที่กำลังผลักดันให้เกิดขึ้นให้ได้ ก่อนที่โลกใบนี้จะก้าวเข้าสู่ “New World Order” นั่นก็คือเรื่อง “ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4” และ “เพิ่มความตระหนักและความเป็นเจ้าของต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” - มาดูภาพที่เกิดขึ้นในประเทศไทย หลักจากที่ รัฐบาลไทย ได้เข้าไปร่วม ประชุม World Economic Forum ในปีที่ผ่านมา นอกจากที่ นายกคนเก่าได้ “กระดิ่งวัว” ติดมือกลับบ้านมาแล้ว ก็รีบ ผลักดัน นโยบาย ต่างๆ รับลูก Agenda ของ WEF ทันควันทั้งนััน !!!! และ ในภาคของ เอกชน บางคน (ที่หัวยุ่งๆ ติดเข็มกลัด Agenda 2030 โชว์ตลอดทุกงาน) หลังจากกลับมาจากประชุม ก็ผันตัวจาก นักธุรกิจ มาเป็น “Influencer” ประกาศ สิ่งที่ได้เข้าประชุมมา ว่า WEF ดีมากมาย โชว์ให้คนเห็นแต่ด้านดี และ ให้ผู้คน คล้อยตาม เดินตามที่เค้าวางไว้ และยังได้ พื้นที่ของ สื่อแทบทุกช่อง เรียกไปสัมภาษณ์ กระจาย Agenda เหล่านี้ !!! “ล้างสมอง ให้คนเห็นปีศาจ เป็น เทพเจ้า” “ โควิดไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มันคือ แผนการณ์ที่พวกเค้าวางไว้ ” ** ถ้าชอบโพสแนว สบคบคิด ฝากกด ติดตาม เพจนิวเวิลด์ออเดอร์ ด้วยครับ **
    Like
    Love
    4
    1 Comments 1 Shares 319 Views 0 Reviews
  • THE MALL KORAT x PRIMA หรูหรา เลอค่า ที่สุดแห่งปี

    วันเสาร์ที่ 7 กันยายน 2567 เวลา 14.00น. เดอะมอลล์โคราช ร่วมกับ PRIMA จัดงานแฟชั่นโชว์ความงดงามของเครื่องประดับชั้นนำสัญชาติไทย เครื่องประดับทองคำบริสุทธิ์ 99.9% (24K) พร้อมเพชรน้ำงามดีไซน์สุดหรู และหัตถศิลป์ทองคำชั้นสูงจาก PRIMA โดยได้รับเกียรติจากเหล่าเซเลบริตี้,นักธุรกิจชื่อดังในจังหวัดนครราชสีมา กว่า 11 ท่าน ให้เกียรติเดินแบบเครื่องประดับ กับ 11 ชุดเครื่องประดับที่รังสรรค์ชิ้นงานสุดประณีต เพื่อส่งมอบชิ้นงานอันทรงคุณค่าในทุกช่วงเวลาพิเศษ รวมมูลค่ากว่า 20 ล้านบาทที่มาโชว์บนรันเวย์

    โดยไฮไลท์ภายในงานคุณพรชนก บุญธรรมเจริญ ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขากองทัพภาคที่ 2 ได้สวมใส่ชุดเครื่องเพชร Monarch เดินฟินนาเล่ชุดเครื่องเพชรมูลค่ารวม 10,589,000.- อวดโฉมให้ผู้เข้าร่วมงานได้ชมถึงแรงบันดาลใจหรูหราดุจราชินีแห่ง DIAMOND ด้วยรูปแบบดีไซน์ที่อ่อนหวานงดงามของเพชรรูปทรงหยดน้ำ ผสมผสานรูปแบบลวดลายความเป็นไทยเพิ่มความสง่างามดุจดั่งต้องมนต์

    ทั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ PRIMA ได้นำเครื่องเพชรมูลค่ากว่า 10 ล้านบาทมาร่วมแสดงแฟชั่นโชว์ในครั้งนี้ด้วยให้ชาวโคราชได้ชมและไม่พลาดกับความพิเศษ รวมถึงโปรโมชั่นสุดคุ้มกับโอกาสที่จะได้ครอบครองเป็นเจ้าของเครื่องประดับสุดหรูจาก PRIMA GOLD และ PRIMA DIMOND ที่เคาน์เตอร์ PRIMA GOLD ชั้น 1 เดอะมอลล์โคราช
    THE MALL KORAT x PRIMA หรูหรา เลอค่า ที่สุดแห่งปี วันเสาร์ที่ 7 กันยายน 2567 เวลา 14.00น. เดอะมอลล์โคราช ร่วมกับ PRIMA จัดงานแฟชั่นโชว์ความงดงามของเครื่องประดับชั้นนำสัญชาติไทย เครื่องประดับทองคำบริสุทธิ์ 99.9% (24K) พร้อมเพชรน้ำงามดีไซน์สุดหรู และหัตถศิลป์ทองคำชั้นสูงจาก PRIMA โดยได้รับเกียรติจากเหล่าเซเลบริตี้,นักธุรกิจชื่อดังในจังหวัดนครราชสีมา กว่า 11 ท่าน ให้เกียรติเดินแบบเครื่องประดับ กับ 11 ชุดเครื่องประดับที่รังสรรค์ชิ้นงานสุดประณีต เพื่อส่งมอบชิ้นงานอันทรงคุณค่าในทุกช่วงเวลาพิเศษ รวมมูลค่ากว่า 20 ล้านบาทที่มาโชว์บนรันเวย์ โดยไฮไลท์ภายในงานคุณพรชนก บุญธรรมเจริญ ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขากองทัพภาคที่ 2 ได้สวมใส่ชุดเครื่องเพชร Monarch เดินฟินนาเล่ชุดเครื่องเพชรมูลค่ารวม 10,589,000.- อวดโฉมให้ผู้เข้าร่วมงานได้ชมถึงแรงบันดาลใจหรูหราดุจราชินีแห่ง DIAMOND ด้วยรูปแบบดีไซน์ที่อ่อนหวานงดงามของเพชรรูปทรงหยดน้ำ ผสมผสานรูปแบบลวดลายความเป็นไทยเพิ่มความสง่างามดุจดั่งต้องมนต์ ทั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ PRIMA ได้นำเครื่องเพชรมูลค่ากว่า 10 ล้านบาทมาร่วมแสดงแฟชั่นโชว์ในครั้งนี้ด้วยให้ชาวโคราชได้ชมและไม่พลาดกับความพิเศษ รวมถึงโปรโมชั่นสุดคุ้มกับโอกาสที่จะได้ครอบครองเป็นเจ้าของเครื่องประดับสุดหรูจาก PRIMA GOLD และ PRIMA DIMOND ที่เคาน์เตอร์ PRIMA GOLD ชั้น 1 เดอะมอลล์โคราช
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 261 Views 0 Reviews
  • #ความลับอยู่ใต้พรมที่พี่คิงส์จะเปิดให้ทุกคนได้รู้
    นายกนิดเป็นตัวละครที่คนไทยเพิ่งรู้จักได้ไม่นาน
    เป็นแผนอันใจร้ายมากของโทนี่ที่วางไว้แต่แรก
    เพราะรู้ว่านายกนิดมีฝันที่อยากเป็นนายกที่ดี
    อยากทำอะไรดีๆไว้เป็นความทรงจำให้กับประเทศชาติ
    โทนี่ได้วางหมากตัวแรกคือการให้นายกนิดชูนโยบายวอลเลท
    ซึ่งทีมกุนซือต่างให้ความเชื่อมั่นว่าเป็นไปได้
    แต่ถูกซ่อนเงื่อนไว้เป็นสิบปม
    ถ้าคนที่คร่ำหวอดวงการข่าวสารจะรู้
    ว่าถ้าโปรเจคนี้ฝืนทำต่อ นายกนิดต้องเข้าซังเตแน่นอน
    สิ่งที่โทนี่ได้คือ คะแนนเสียงที่มากมายจากนโยบายที่ให้นายกนิดล่อเป้าไว้
    ชั้นที่สองคือ เมื่อถึงขั้นดำเนินการมันไม่มีทางสำเร็จ
    ก็จะอ้างว่า เพราะนิดไม่มีฝีมือ นโยบายวอลเลทคือของนิด
    และไม้ตายคือ ยัดคนมีประวัติอย่างพิชิตชื่นบาน ผู้ด่างพร้อย
    ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่า นี่คือการสกายคิกส์ให้นายกนิดหลุด
    แต่ที่หลายคนไม่รู้จุดสำคัญที่ถือว่าใจร้ายที่สุดคือ
    การบีบให้นายกนิดเสนอชื่อพิชิตชื่นบาน สิ่งที่นายกนิดต้องเจอ
    ไม่ใช่แค่การถูกถอดจากการเป็นนายก เพราะฐานความผิดคือ
    ผิดจริยะธรรมร้ายแรง เนื่องจากเสนอคนที่มีประวัติด่างพร้อยหรือคนซั่วมาเป็นรัฐมนตรี ก็เท่ากับเชิดชูคนซั่วให้มีอำนาจ นี่แหละจึงถือว่าผิดจริยธรรมร้ายแรง และถ้าดูข้อแก้ต่างของนายกนิด ท่านบอกว่า เพราะเป็นนักธุรกิจไม่มีความรู้เรื่องเงื่อนไขนี้ ก็เป็นการบอกกับสังคมกลายๆว่า ถูกบีบมาให้เสนอ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ตัวเองต้องการ เพราะพิชิตไม่มีสัมพันธ์ใดๆกับนายกมาก่อน สัมพันธ์กันโทนี่เต็มๆเถียงไม่ได้
    และตรงที่ถูกตัดสินว่า เป็นผู้ผิดจริยธรรมร้ายแรง
    ทำให้นายกนิด ไม่มีสิทธิ์กลับมาเป็นนายก และ ไม่สามารถเข้าไปมีชื่อเป็นผู้บริหารบริษัทตัวเองหรือบริษัทไหนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ได้เลย เพราะมีระเบียบตลาดหลักทรัพย์เรื่อง ธรรมาภิบาล
    โทนี่ ห-ล-อ-ก-ใช้ ไม่พอ แต่ใจร้ายถึงขนาด ตัดทุกเส้นทางที่จะเติบโตมาเป็นคู่แข่งในอนาคต คนใกล้ตัวต่างคุ้นชินพฤติกรรมนี้ของโทนี่
    มีแต่คนวงนอกที่ไม่รู้ และแม้แต่สิ่งที่นายกนิดต้องประสบ เรื่องนี้ที่พี่คิงส์มาบอก ก็ยังมีน้อยคนนักที่จะรู้ ว่านายกนิดคนนี้ต้องพบกับอะไรบ้าง ที่โทนี่ได้ก่อกรรมไว้
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #ความลับอยู่ใต้พรมที่พี่คิงส์จะเปิดให้ทุกคนได้รู้ นายกนิดเป็นตัวละครที่คนไทยเพิ่งรู้จักได้ไม่นาน เป็นแผนอันใจร้ายมากของโทนี่ที่วางไว้แต่แรก เพราะรู้ว่านายกนิดมีฝันที่อยากเป็นนายกที่ดี อยากทำอะไรดีๆไว้เป็นความทรงจำให้กับประเทศชาติ โทนี่ได้วางหมากตัวแรกคือการให้นายกนิดชูนโยบายวอลเลท ซึ่งทีมกุนซือต่างให้ความเชื่อมั่นว่าเป็นไปได้ แต่ถูกซ่อนเงื่อนไว้เป็นสิบปม ถ้าคนที่คร่ำหวอดวงการข่าวสารจะรู้ ว่าถ้าโปรเจคนี้ฝืนทำต่อ นายกนิดต้องเข้าซังเตแน่นอน สิ่งที่โทนี่ได้คือ คะแนนเสียงที่มากมายจากนโยบายที่ให้นายกนิดล่อเป้าไว้ ชั้นที่สองคือ เมื่อถึงขั้นดำเนินการมันไม่มีทางสำเร็จ ก็จะอ้างว่า เพราะนิดไม่มีฝีมือ นโยบายวอลเลทคือของนิด และไม้ตายคือ ยัดคนมีประวัติอย่างพิชิตชื่นบาน ผู้ด่างพร้อย ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่า นี่คือการสกายคิกส์ให้นายกนิดหลุด แต่ที่หลายคนไม่รู้จุดสำคัญที่ถือว่าใจร้ายที่สุดคือ การบีบให้นายกนิดเสนอชื่อพิชิตชื่นบาน สิ่งที่นายกนิดต้องเจอ ไม่ใช่แค่การถูกถอดจากการเป็นนายก เพราะฐานความผิดคือ ผิดจริยะธรรมร้ายแรง เนื่องจากเสนอคนที่มีประวัติด่างพร้อยหรือคนซั่วมาเป็นรัฐมนตรี ก็เท่ากับเชิดชูคนซั่วให้มีอำนาจ นี่แหละจึงถือว่าผิดจริยธรรมร้ายแรง และถ้าดูข้อแก้ต่างของนายกนิด ท่านบอกว่า เพราะเป็นนักธุรกิจไม่มีความรู้เรื่องเงื่อนไขนี้ ก็เป็นการบอกกับสังคมกลายๆว่า ถูกบีบมาให้เสนอ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ตัวเองต้องการ เพราะพิชิตไม่มีสัมพันธ์ใดๆกับนายกมาก่อน สัมพันธ์กันโทนี่เต็มๆเถียงไม่ได้ และตรงที่ถูกตัดสินว่า เป็นผู้ผิดจริยธรรมร้ายแรง ทำให้นายกนิด ไม่มีสิทธิ์กลับมาเป็นนายก และ ไม่สามารถเข้าไปมีชื่อเป็นผู้บริหารบริษัทตัวเองหรือบริษัทไหนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ได้เลย เพราะมีระเบียบตลาดหลักทรัพย์เรื่อง ธรรมาภิบาล โทนี่ ห-ล-อ-ก-ใช้ ไม่พอ แต่ใจร้ายถึงขนาด ตัดทุกเส้นทางที่จะเติบโตมาเป็นคู่แข่งในอนาคต คนใกล้ตัวต่างคุ้นชินพฤติกรรมนี้ของโทนี่ มีแต่คนวงนอกที่ไม่รู้ และแม้แต่สิ่งที่นายกนิดต้องประสบ เรื่องนี้ที่พี่คิงส์มาบอก ก็ยังมีน้อยคนนักที่จะรู้ ว่านายกนิดคนนี้ต้องพบกับอะไรบ้าง ที่โทนี่ได้ก่อกรรมไว้ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 358 Views 0 Reviews
  • สะพัด 'ชัยเกษม' นายกรัฐมนตรีคนที่ 31

    หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 4 วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ จากกรณีนําความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่นายพิชิตเคยถูกศาลฎีกาสั่งจําคุกเป็นเวลา 6 เดือน ในความผิดฐานละเมิดอํานาจศาล เป็นบุคคลที่กระทําการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญ

    นับเป็นการปิดฉากนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย จากนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สู่นักการเมือง หลังดำรงตำแหน่งได้เพียง 358 วัน นับตั้งแต่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา

    เมื่อพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ปล่อยให้บรรยากาศทางการเมืองตกอยู่ในภาวะสูญญากาศ การหารือระหว่างแกนนำพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาล ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เกิดขึ้นเมื่อเย็นวันที่ 14 ส.ค. โดยมีรายงานว่า พรรคเพื่อไทย จะเสนอชื่อนายชัยเกษม นิติสิริ ซึ่งเป็นหนึ่งในแคนดิเดต เป็นนายกรัฐมนตรี

    ด้านนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร มีคำสั่งให้นัดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นพิเศษ ในวันศุกร์ที่ 16 ส.ค. 2567 เวลา 10.00 น. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญ โดยก่อนหน้านี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร แจ้งต่อที่ประชุมเมื่อวันที่ 8 ส.ค. ว่า จำนวน สส.ในสภาปัจจุบันเท่าที่มีและปฏิบัติหน้าที่ได้ มีจำนวน 493 คน องค์ประชุมกึ่งหนึ่งคือ 247 คน หลังจากพรรคก้าวไกลถูกยุบและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค

    ปัจจุบันเสียง สส.ฝ่ายรัฐบาล รวม 315 เสียง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 141 เสียง พรรคภูมิใจไทย 71 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรคประชาชาติ 9 เสียง พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง พรรคเสรีรวมไทย พรรคพลังสังคมใหม่ และพรรคท้องที่ไทย พรรคละ 1 เสียง หากเป็นไปในทิศทางเดียวกันย่อมได้เสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งไม่ยาก เว้นเสียแต่การเมืองไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้

    สำหรับนายชัยเกษม นิติสิริ อายุ 75 ปี จบการศึกษาปริญญาตรี นิติศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับสอง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโท กฎหมายระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา เคยเป็นอดีตประธาน ก.ล.ต. อดีตอัยการสูงสุด อดีต รมว.ยุติธรรม ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการด้านประชาธิปไตย กระบวนการยุติธรรม และความเสมอภาคเท่าเทียม พรรคเพื่อไทย

    ก่อนหน้านี้นายชัยเกษมมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ป่วยกะทันหันหลังจากลงพื้นที่หาเสียงช่วยผู้สมัคร ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ที่ จ.น่าน เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2566 เมื่อตรวจซีทีสแกนพบว่ามีก้อนเลือดแห้งอยู่ในสมอง เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช แต่นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี ระบุว่า สุขภาพกลับมาแข็งแรงแล้ว ที่ผ่านมาก็เข้ามาช่วยทำงานกับพรรคมาโดยตลอด

    #Newskit #ชัยเกษม #นายกรัฐมนตรี
    สะพัด 'ชัยเกษม' นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 4 วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ จากกรณีนําความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่นายพิชิตเคยถูกศาลฎีกาสั่งจําคุกเป็นเวลา 6 เดือน ในความผิดฐานละเมิดอํานาจศาล เป็นบุคคลที่กระทําการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญ นับเป็นการปิดฉากนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย จากนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สู่นักการเมือง หลังดำรงตำแหน่งได้เพียง 358 วัน นับตั้งแต่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา เมื่อพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ปล่อยให้บรรยากาศทางการเมืองตกอยู่ในภาวะสูญญากาศ การหารือระหว่างแกนนำพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาล ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เกิดขึ้นเมื่อเย็นวันที่ 14 ส.ค. โดยมีรายงานว่า พรรคเพื่อไทย จะเสนอชื่อนายชัยเกษม นิติสิริ ซึ่งเป็นหนึ่งในแคนดิเดต เป็นนายกรัฐมนตรี ด้านนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร มีคำสั่งให้นัดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นพิเศษ ในวันศุกร์ที่ 16 ส.ค. 2567 เวลา 10.00 น. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญ โดยก่อนหน้านี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร แจ้งต่อที่ประชุมเมื่อวันที่ 8 ส.ค. ว่า จำนวน สส.ในสภาปัจจุบันเท่าที่มีและปฏิบัติหน้าที่ได้ มีจำนวน 493 คน องค์ประชุมกึ่งหนึ่งคือ 247 คน หลังจากพรรคก้าวไกลถูกยุบและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค ปัจจุบันเสียง สส.ฝ่ายรัฐบาล รวม 315 เสียง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 141 เสียง พรรคภูมิใจไทย 71 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรคประชาชาติ 9 เสียง พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง พรรคเสรีรวมไทย พรรคพลังสังคมใหม่ และพรรคท้องที่ไทย พรรคละ 1 เสียง หากเป็นไปในทิศทางเดียวกันย่อมได้เสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งไม่ยาก เว้นเสียแต่การเมืองไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้ สำหรับนายชัยเกษม นิติสิริ อายุ 75 ปี จบการศึกษาปริญญาตรี นิติศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับสอง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโท กฎหมายระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา เคยเป็นอดีตประธาน ก.ล.ต. อดีตอัยการสูงสุด อดีต รมว.ยุติธรรม ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการด้านประชาธิปไตย กระบวนการยุติธรรม และความเสมอภาคเท่าเทียม พรรคเพื่อไทย ก่อนหน้านี้นายชัยเกษมมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ป่วยกะทันหันหลังจากลงพื้นที่หาเสียงช่วยผู้สมัคร ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ที่ จ.น่าน เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2566 เมื่อตรวจซีทีสแกนพบว่ามีก้อนเลือดแห้งอยู่ในสมอง เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช แต่นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี ระบุว่า สุขภาพกลับมาแข็งแรงแล้ว ที่ผ่านมาก็เข้ามาช่วยทำงานกับพรรคมาโดยตลอด #Newskit #ชัยเกษม #นายกรัฐมนตรี
    Sad
    1
    0 Comments 0 Shares 661 Views 0 Reviews
  • ’อนันต์ อัศวโภคิน’นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์‘แลนด์แอนด์เฮ้าส์ป่วยหนัก ยังส่งอัยการฟ้องคดีฟอกเงินสหกรณ์คลองจั่นไม่ได้ อัยการคดีพิเศษสั่งพนักงานสอบสวนตรวจสอบข้อเท็จจริง

    3 สิงหาคม 2567-รายงานผู้จัดการออนไลน์ระบุว่า ความคืบหน้าคดีที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้อง นายอนันต์ อัศวโภคิน นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของอาณาจักรธุรกิจ 4 หมื่นล้าน ผู้ต้องหาฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุได้มีการสมคบกัน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5, 9, 60 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 มาตรา 10 ตามความเห็นแย้งของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ

    ในคดียักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน จากการขายที่ดินต่อให้กับ นายอนันต์ อัศวโภคิน ที่มีการออกเอกสารข่าวชี้ขาดสั่งฟ้อง เมื่อวันที่ 29 ก.พ.2567 ที่ผ่านมา

    สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 โดยพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบดำเนินคดี ได้นัดหมาย นายอนันต์ อัศวโภคิน ผู้ต้องหา มาพบพนักงานอัยการ เพื่อส่งฟ้องศาลในวันที่ 2 เม.ย.2567 แต่ นายอนันต์ ไม่ได้เดินทางมาพบพนักงานอัยการ ขอเลื่อนการส่งตัวออกไปก่อน โดยอ้างเหตุผลอาการเจ็บป่วย พร้อมแสดงใบรองรับแพทย์ยืนยัน

    พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 ได้ให้เลื่อนการส่งตัวฟ้องดังกล่าว เป็นวันที่ 24 พ.ค.2567 เเละเลื่อนอีกครั้ง 24 มิ.ย. 2567 โดยให้เหตุผลทางการเจ็บป่วยเช่นเดิม

    เหตุจากการตรวจสอบ พบว่า คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีฟอกเงินทางอาญา ได้ตรวจสอบอาการเจ็บป่วยของนายอนันต์ โดยเรียกแพทย์หญิง ผู้ทำการรักษาให้ถ้อยคำชี้แจงเกี่ยวกับการรักษาอาการเจ็บป่วย พบว่า มีภาวะไตวายระยะสุดท้าย ได้รับการเปลี่ยนแปลงไตที่ประเทศออสเตรเลีย พบความเสียหายของไตจนทำงานไม่ได้ เรียกว่าภาวะสลัดไต ส่งผลให้ต้องกลับมาฟอกเลือดล้างไตอีกครั้ง เมื่อไตเสียหายขั้นสุดท้ายกลายเป็นไตวายระยะสุดท้ายอย่างถาวร ต้องฟอกเลือดใหม่สามครั้งต่อหนึ่งสัปดาห์ต่อไปตลอดชีวิตจนกว่าจะปลูกถ่ายไตครั้งที่สองอีกครั้ง

    ขณะนี้ยังไม่สามารถเปลี่ยนไตใหม่ได้ เนื่องจากร่างกายมีภาวะแทรกซ้อนที่อวัยวะสำคัญ คือ ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เลือดออกในสมอง และไม่มีภาวะภูมิคุ้มกันสภาพ ร่างกายไม่ควรที่จะเคลื่อนย้ายออกจากสถานที่ปลอดเชื้อ ในขณะที่ยังมีอาการป่วยเช่นนี้ เนื่องจากทำให้ติดเชื้อ และเสียชีวิตได้ จึงไม่ควรนำตัวนายอนันต์ ไปจากการดูแลรักษาของแพทย์เฉพาะทาง และร่างกายของผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย พร้อมที่จะรักษาชีวิตผู้ป่วยได้ จนกว่าผ่าตัดปลูกถ่ายเปลี่ยนไตใหม่จะเรียบร้อย และไม่เกิดภาวะสลัดไตอีก ยังถือว่าเป็นผู้ป่วยวิกฤติมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ตลอดเวลา หากอยู่ในสถานที่ไม่เหมาะสมแก่การดูแลรักษาดังกล่าว

    โดยเเพทย์หญิงคนดังกล่าวได้ให้การไว้ เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2567 ก่อนส่งเรื่องมายังอัยการคดีพิเศษ 4 ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาในเรื่องการนัดตัวส่งฟ้อง
    ทั้งนี้มีรายงานว่า เเนวทางของพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนนั้น ให้พนักงานสอบสวนไปตรวจสอบ ว่า นายอนันต์ อัศวโภคิน มีอาการเจ็บป่วยจริงหรือไม่เเละให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำแพทย์เพิ่มเติม ว่า หากมีกรณีที่จะต้องยื่นฟ้อง นายอนันต์ ต่อศาลอาญา การนำตัวมาฟ้องต่อศาล จะกระทบหรือ เสี่ยงต่ออาการป่วยในระดับใด เพราะเหตุใด เเละแพทย์มีคำแนะนำอย่างไร

    ที่มา : https://mgronline.com/crime/detail/9670000070517

    #Thaitimes
    ’อนันต์ อัศวโภคิน’นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์‘แลนด์แอนด์เฮ้าส์ป่วยหนัก ยังส่งอัยการฟ้องคดีฟอกเงินสหกรณ์คลองจั่นไม่ได้ อัยการคดีพิเศษสั่งพนักงานสอบสวนตรวจสอบข้อเท็จจริง 3 สิงหาคม 2567-รายงานผู้จัดการออนไลน์ระบุว่า ความคืบหน้าคดีที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้อง นายอนันต์ อัศวโภคิน นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของอาณาจักรธุรกิจ 4 หมื่นล้าน ผู้ต้องหาฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุได้มีการสมคบกัน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5, 9, 60 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 มาตรา 10 ตามความเห็นแย้งของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในคดียักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน จากการขายที่ดินต่อให้กับ นายอนันต์ อัศวโภคิน ที่มีการออกเอกสารข่าวชี้ขาดสั่งฟ้อง เมื่อวันที่ 29 ก.พ.2567 ที่ผ่านมา สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 โดยพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบดำเนินคดี ได้นัดหมาย นายอนันต์ อัศวโภคิน ผู้ต้องหา มาพบพนักงานอัยการ เพื่อส่งฟ้องศาลในวันที่ 2 เม.ย.2567 แต่ นายอนันต์ ไม่ได้เดินทางมาพบพนักงานอัยการ ขอเลื่อนการส่งตัวออกไปก่อน โดยอ้างเหตุผลอาการเจ็บป่วย พร้อมแสดงใบรองรับแพทย์ยืนยัน พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 ได้ให้เลื่อนการส่งตัวฟ้องดังกล่าว เป็นวันที่ 24 พ.ค.2567 เเละเลื่อนอีกครั้ง 24 มิ.ย. 2567 โดยให้เหตุผลทางการเจ็บป่วยเช่นเดิม เหตุจากการตรวจสอบ พบว่า คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีฟอกเงินทางอาญา ได้ตรวจสอบอาการเจ็บป่วยของนายอนันต์ โดยเรียกแพทย์หญิง ผู้ทำการรักษาให้ถ้อยคำชี้แจงเกี่ยวกับการรักษาอาการเจ็บป่วย พบว่า มีภาวะไตวายระยะสุดท้าย ได้รับการเปลี่ยนแปลงไตที่ประเทศออสเตรเลีย พบความเสียหายของไตจนทำงานไม่ได้ เรียกว่าภาวะสลัดไต ส่งผลให้ต้องกลับมาฟอกเลือดล้างไตอีกครั้ง เมื่อไตเสียหายขั้นสุดท้ายกลายเป็นไตวายระยะสุดท้ายอย่างถาวร ต้องฟอกเลือดใหม่สามครั้งต่อหนึ่งสัปดาห์ต่อไปตลอดชีวิตจนกว่าจะปลูกถ่ายไตครั้งที่สองอีกครั้ง ขณะนี้ยังไม่สามารถเปลี่ยนไตใหม่ได้ เนื่องจากร่างกายมีภาวะแทรกซ้อนที่อวัยวะสำคัญ คือ ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เลือดออกในสมอง และไม่มีภาวะภูมิคุ้มกันสภาพ ร่างกายไม่ควรที่จะเคลื่อนย้ายออกจากสถานที่ปลอดเชื้อ ในขณะที่ยังมีอาการป่วยเช่นนี้ เนื่องจากทำให้ติดเชื้อ และเสียชีวิตได้ จึงไม่ควรนำตัวนายอนันต์ ไปจากการดูแลรักษาของแพทย์เฉพาะทาง และร่างกายของผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย พร้อมที่จะรักษาชีวิตผู้ป่วยได้ จนกว่าผ่าตัดปลูกถ่ายเปลี่ยนไตใหม่จะเรียบร้อย และไม่เกิดภาวะสลัดไตอีก ยังถือว่าเป็นผู้ป่วยวิกฤติมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ตลอดเวลา หากอยู่ในสถานที่ไม่เหมาะสมแก่การดูแลรักษาดังกล่าว โดยเเพทย์หญิงคนดังกล่าวได้ให้การไว้ เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2567 ก่อนส่งเรื่องมายังอัยการคดีพิเศษ 4 ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาในเรื่องการนัดตัวส่งฟ้อง ทั้งนี้มีรายงานว่า เเนวทางของพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนนั้น ให้พนักงานสอบสวนไปตรวจสอบ ว่า นายอนันต์ อัศวโภคิน มีอาการเจ็บป่วยจริงหรือไม่เเละให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำแพทย์เพิ่มเติม ว่า หากมีกรณีที่จะต้องยื่นฟ้อง นายอนันต์ ต่อศาลอาญา การนำตัวมาฟ้องต่อศาล จะกระทบหรือ เสี่ยงต่ออาการป่วยในระดับใด เพราะเหตุใด เเละแพทย์มีคำแนะนำอย่างไร ที่มา : https://mgronline.com/crime/detail/9670000070517 #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 500 Views 0 Reviews
  • พรรคคอมมิวนิสต์จีนลงมติขับหวัง อี้หลินอดีตประธาน CNPC และเลขาธิการพรรคฯออกจากตำแหน่ง

    31 กรกฏาคม2567-รายงานข่าวรอยเตอร์ส ระบุว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนได้ขับไล่หวัง อี้หลิน อดีตประธานของบริษัทปิโตรเลียมแห่งชาติจีน และเลขาธิการพรรค ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากละเมิดวินัย

    ตามรายงานของ CCTV ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ หวังรับสินบนเป็นทรัพย์สินและสินค้าที่มีมูลค่าสูงอย่างผิดกฎหมาย และใช้ประโยชน์จากตำแหน่งของเขาเพื่อเอื้อผู้อื่นแสวงหาผลประโยชน์ในการทำสัญญาโครงการและดำเนินการทางธุรกิจ

    รายงานระบุว่า นอกจากนี้เขายังรับบริการการเดินทางที่จัดเตรียมโดยผู้ประกอบการเอกชนหลายครั้ง

    สื่อของรัฐรายงานว่าคดีของหวังจะถูกส่งต่อไปยังอัยการเพื่อดำเนินการสอบสวนตามกฎหมาย

    ตามประวัติในวิกิพีเดีย ระบุว่า Wáng Yílín เกิดในเดือนกันยายน พ.ศ. 2499 เป็นนักธุรกิจด้านพลังงานน้ำมันชาวจีน ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการของบริษัทปิโตรเลียมแห่งชาติจีน (CNPC ) และประธานคณะกรรมการของPetroChina

    ในฐานะผู้นำธุรกิจที่มีอิทธิพลมากที่สุดของประเทศขณะนั้น หวังได้ร่วมเดินทางกับสีจิ้นผิงเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการเยือนอย่างเป็นทางการหลายครั้ง รวมถึงอังกฤษฝรั่งเศสคาซัคสถานรัสเซียสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ฯลฯ

    ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2554 หวังรับบทบาทเป็นประธานของบริษัท China National Offshore Oil Corporation หรือ CNOOC ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ CNOOC Ltd.

    ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิก คณะกรรมการกลางการตรวจสอบวินัยครั้งที่ 18ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

    หวัง อี้หลิน เริ่มดำรงตำแหน่งประธานของ CNPC เป็นบริษัทแม่ของ PetroChina ในเดือนเมษายน 2558 และเริ่มดำรงตำแหน่งประธานของ PetroChina ในเดือนมิถุนายน 2558 ในเดือนกรกฎาคม 2560 หวัง อี้หลิน ประธานของ CNPC ได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะผู้แทนแห่งชาติจีนในการประชุมปิโตรเลียมโลกที่อิสตันบูล

    13 มีนาคม2561 หวังได้รับเลือกเป็นประธานร่วมของคณะกรรมการเศรษฐกิจของการประชุมปรึกษาการเมืองของประชาชนจีน (PCC 2018)

    หวังลาออกจากตำแหน่งที่ CNPC ในเดือนมกราคม 2563 เมื่อถึงวัยเกษียณ ตามรายงานของเว็บไซต์ข่าวของรัฐ อย่างไรก็ตาม เขายังคงดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการคณะกรรมการเศรษฐกิจของสภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีน (CPPCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ปรึกษาระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์

    แต่ปัจจุบันหวังไม่มีชื่อเป็นสมาชิกคณะกรรมการเศรษฐกิจอยู่บนเว็บไซต์ขององค์กร และไม่มีชื่อเป็นผู้แทน CPPCC ในรายชื่อปี 2023 ด้วย

    ที่มา : https://www.reuters.com/world/china/chinas-communist-party-expels-former-cnpc-chairman-party-secretary-2024-07-31/?taid=66a9bca477b8640001206c7a&utm_campaign=trueAnthem:+Trending+Content&utm_medium=trueAnthem&utm_source=twitter

    #Thaitimes
    พรรคคอมมิวนิสต์จีนลงมติขับหวัง อี้หลินอดีตประธาน CNPC และเลขาธิการพรรคฯออกจากตำแหน่ง 31 กรกฏาคม2567-รายงานข่าวรอยเตอร์ส ระบุว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนได้ขับไล่หวัง อี้หลิน อดีตประธานของบริษัทปิโตรเลียมแห่งชาติจีน และเลขาธิการพรรค ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากละเมิดวินัย ตามรายงานของ CCTV ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ หวังรับสินบนเป็นทรัพย์สินและสินค้าที่มีมูลค่าสูงอย่างผิดกฎหมาย และใช้ประโยชน์จากตำแหน่งของเขาเพื่อเอื้อผู้อื่นแสวงหาผลประโยชน์ในการทำสัญญาโครงการและดำเนินการทางธุรกิจ รายงานระบุว่า นอกจากนี้เขายังรับบริการการเดินทางที่จัดเตรียมโดยผู้ประกอบการเอกชนหลายครั้ง สื่อของรัฐรายงานว่าคดีของหวังจะถูกส่งต่อไปยังอัยการเพื่อดำเนินการสอบสวนตามกฎหมาย ตามประวัติในวิกิพีเดีย ระบุว่า Wáng Yílín เกิดในเดือนกันยายน พ.ศ. 2499 เป็นนักธุรกิจด้านพลังงานน้ำมันชาวจีน ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการของบริษัทปิโตรเลียมแห่งชาติจีน (CNPC ) และประธานคณะกรรมการของPetroChina ในฐานะผู้นำธุรกิจที่มีอิทธิพลมากที่สุดของประเทศขณะนั้น หวังได้ร่วมเดินทางกับสีจิ้นผิงเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการเยือนอย่างเป็นทางการหลายครั้ง รวมถึงอังกฤษฝรั่งเศสคาซัคสถานรัสเซียสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ฯลฯ ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2554 หวังรับบทบาทเป็นประธานของบริษัท China National Offshore Oil Corporation หรือ CNOOC ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ CNOOC Ltd. ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิก คณะกรรมการกลางการตรวจสอบวินัยครั้งที่ 18ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน หวัง อี้หลิน เริ่มดำรงตำแหน่งประธานของ CNPC เป็นบริษัทแม่ของ PetroChina ในเดือนเมษายน 2558 และเริ่มดำรงตำแหน่งประธานของ PetroChina ในเดือนมิถุนายน 2558 ในเดือนกรกฎาคม 2560 หวัง อี้หลิน ประธานของ CNPC ได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะผู้แทนแห่งชาติจีนในการประชุมปิโตรเลียมโลกที่อิสตันบูล 13 มีนาคม2561 หวังได้รับเลือกเป็นประธานร่วมของคณะกรรมการเศรษฐกิจของการประชุมปรึกษาการเมืองของประชาชนจีน (PCC 2018) หวังลาออกจากตำแหน่งที่ CNPC ในเดือนมกราคม 2563 เมื่อถึงวัยเกษียณ ตามรายงานของเว็บไซต์ข่าวของรัฐ อย่างไรก็ตาม เขายังคงดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการคณะกรรมการเศรษฐกิจของสภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีน (CPPCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ปรึกษาระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ปัจจุบันหวังไม่มีชื่อเป็นสมาชิกคณะกรรมการเศรษฐกิจอยู่บนเว็บไซต์ขององค์กร และไม่มีชื่อเป็นผู้แทน CPPCC ในรายชื่อปี 2023 ด้วย ที่มา : https://www.reuters.com/world/china/chinas-communist-party-expels-former-cnpc-chairman-party-secretary-2024-07-31/?taid=66a9bca477b8640001206c7a&utm_campaign=trueAnthem:+Trending+Content&utm_medium=trueAnthem&utm_source=twitter #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 495 Views 0 Reviews
  • “พีเอ็ม วิลล่า” โคราช ฟื้นซูเปอร์ฯ สู้ทุนยักษ์

    วิกฤตเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากโควิด-19 และสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบไม่เว้นแม้แต่กลุ่มทุนท้องถิ่น เฉกเช่น กลุ่มคลังพลาซ่า ของตระกูลมานะศิลป์ ที่ปิดกิจการห้างสรรพสินค้าในจังหวัดนครราชสีมา ไล่ตั้งแต่คลังพลาซ่า จอมสุรางค์ (คลังใหม่) คลังวิลล่า สุรนารายน์ (คลังสาม) ส่วนคลังพลาซ่า อัษฎางค์ (คลังเก่า) ปรับพื้นที่เหลือแผนกดีพาร์ตเมนต์สโตร์

    แต่ก็มีความเปลี่ยนแปลงที่คลังวิลล่า สุรนารายน์ (คลังสาม) ซึ่งปิดตัวลงไปเมื่อปี 2565 เมื่อมีผู้เช่ารายใหม่ในนาม "พีเอ็ม วิลล่า" ที่นำโดย บริษัท พีเอ็ม วิลล่า จำกัด ตัดสินใจเช่าพื้นที่ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้น 1 คลังวิลล่า จากตระกูลมานะศิลป์ เป็นเวลา 3 ปี และลงทุนกว่า 10 ล้านบาท จำหน่ายอาหารสด เนื้อสัตว์ ผักสด ผลไม้ ของใช้ในครัวเรือน อาหารและเครื่องดื่ม

    เปิดให้บริการแบบซอฟต์ โอเพนนิ่ง เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา และจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ 3 สิงหาคม 2567 ชูจุดเด่นเป็นซูเปอร์มาร์เก็ต จำหน่ายสินค้าราคาประหยัด และรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แตกต่างจากโมเดิร์นเทรดของบรรดาทุนยักษ์ พร้อมเตรียมรองรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อีกด้วย

    สำหรับผู้บริหารพี เอ็ม วิลล่า คือ นายขวัญชัย วันชัย กรรมการบริษัท พีเอ็ม วิลล่า จำกัด เป็นนักธุรกิจท้องถิ่นในโคราช อดีตผู้บริหารธนาคาร และเป็นข้าราชการบำนาญ โดยมีอดีตผู้บริหารซูเปอร์มาร์เก็ตของคลังวิลล่ามาร่วมงานด้วย

    สำหรับทำเลที่ตั้งคลังวิลล่า สุรนารายน์ ตั้งอยู่บนถนนสุรนารายน์ เขตเทศบาลนครนครราชสีมา ห่างจากอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ลานย่าโม) ประมาณ 3.5 กิโลเมตร ใกล้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน และมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ใกล้ซอย 30 กันยา แหล่งที่อยู่อาศัยของนักศึกษาและกลุ่มที่เพิ่งเข้าสู่วัยทำงาน (First Jobber) ในจังหวัดนครราชสีมา

    ต้องคอยดูว่า ธุรกิจใหม่ ภายใต้ทำเลที่กลุ่มทุนท้องถิ่นในตำนานเป็นผู้บุกเบิก จะมีเสียงตอบรับจากผู้บริโภคมากน้อยขนาดไหน เพราะวงการค้าปลีกในจังหวัดนครราชสีมา ทั้งกลุ่มทุนใหญ่ "เดอะมอลล์-บิ๊กซี-ซีพี-เซ็นทรัล-คาราบาว" มากันเกือบครบ และกลุ่มทุนท้องถิ่นที่ปรับตัวสู่ความเป็นโมเดิร์นเทรด นับว่าแข่งขันกันสูงไม่แพ้จังหวัดหัวเมืองหลักทางเศรษฐกิจจังหวัดอื่น

    #Newskit #PMVilla #นครราชสีมา
    “พีเอ็ม วิลล่า” โคราช ฟื้นซูเปอร์ฯ สู้ทุนยักษ์ วิกฤตเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากโควิด-19 และสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบไม่เว้นแม้แต่กลุ่มทุนท้องถิ่น เฉกเช่น กลุ่มคลังพลาซ่า ของตระกูลมานะศิลป์ ที่ปิดกิจการห้างสรรพสินค้าในจังหวัดนครราชสีมา ไล่ตั้งแต่คลังพลาซ่า จอมสุรางค์ (คลังใหม่) คลังวิลล่า สุรนารายน์ (คลังสาม) ส่วนคลังพลาซ่า อัษฎางค์ (คลังเก่า) ปรับพื้นที่เหลือแผนกดีพาร์ตเมนต์สโตร์ แต่ก็มีความเปลี่ยนแปลงที่คลังวิลล่า สุรนารายน์ (คลังสาม) ซึ่งปิดตัวลงไปเมื่อปี 2565 เมื่อมีผู้เช่ารายใหม่ในนาม "พีเอ็ม วิลล่า" ที่นำโดย บริษัท พีเอ็ม วิลล่า จำกัด ตัดสินใจเช่าพื้นที่ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้น 1 คลังวิลล่า จากตระกูลมานะศิลป์ เป็นเวลา 3 ปี และลงทุนกว่า 10 ล้านบาท จำหน่ายอาหารสด เนื้อสัตว์ ผักสด ผลไม้ ของใช้ในครัวเรือน อาหารและเครื่องดื่ม เปิดให้บริการแบบซอฟต์ โอเพนนิ่ง เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา และจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ 3 สิงหาคม 2567 ชูจุดเด่นเป็นซูเปอร์มาร์เก็ต จำหน่ายสินค้าราคาประหยัด และรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แตกต่างจากโมเดิร์นเทรดของบรรดาทุนยักษ์ พร้อมเตรียมรองรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อีกด้วย สำหรับผู้บริหารพี เอ็ม วิลล่า คือ นายขวัญชัย วันชัย กรรมการบริษัท พีเอ็ม วิลล่า จำกัด เป็นนักธุรกิจท้องถิ่นในโคราช อดีตผู้บริหารธนาคาร และเป็นข้าราชการบำนาญ โดยมีอดีตผู้บริหารซูเปอร์มาร์เก็ตของคลังวิลล่ามาร่วมงานด้วย สำหรับทำเลที่ตั้งคลังวิลล่า สุรนารายน์ ตั้งอยู่บนถนนสุรนารายน์ เขตเทศบาลนครนครราชสีมา ห่างจากอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ลานย่าโม) ประมาณ 3.5 กิโลเมตร ใกล้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน และมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ใกล้ซอย 30 กันยา แหล่งที่อยู่อาศัยของนักศึกษาและกลุ่มที่เพิ่งเข้าสู่วัยทำงาน (First Jobber) ในจังหวัดนครราชสีมา ต้องคอยดูว่า ธุรกิจใหม่ ภายใต้ทำเลที่กลุ่มทุนท้องถิ่นในตำนานเป็นผู้บุกเบิก จะมีเสียงตอบรับจากผู้บริโภคมากน้อยขนาดไหน เพราะวงการค้าปลีกในจังหวัดนครราชสีมา ทั้งกลุ่มทุนใหญ่ "เดอะมอลล์-บิ๊กซี-ซีพี-เซ็นทรัล-คาราบาว" มากันเกือบครบ และกลุ่มทุนท้องถิ่นที่ปรับตัวสู่ความเป็นโมเดิร์นเทรด นับว่าแข่งขันกันสูงไม่แพ้จังหวัดหัวเมืองหลักทางเศรษฐกิจจังหวัดอื่น #Newskit #PMVilla #นครราชสีมา
    Like
    2
    0 Comments 1 Shares 668 Views 0 Reviews
  • นครชัยแอร์บ้านใหม่ ภายใต้กลุ่มทุนใหม่

    การประกาศย้ายสำนักงานใหญ่ ออฟฟิศและอู่จอดรถ ของบริษัท นครชัยแอร์ จำกัด ผู้ประกอบการเดินรถโดยสารรายใหญ่ในประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 จากบริเวณก่อนถึงแยกรัชวิภา ไปยังปั๊มน้ำมันบางจาก ปากซอยวิภาวดีรังสิต 60 บนพื้นที่ประมาณ 28 ไร่ นับเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของรถทัวร์รายใหญ่ ที่อยู่บนเส้นทางธุรกิจมานานถึง 38 ปี

    นครชัยแอร์ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2529 โดยมีนายจักรินทร์ วงศ์เบญจรัตน์ เป็นประธานผู้ก่อตั้ง เริ่มต้นได้เปิดให้บริการ 2 เส้นทาง ได้แก่ กรุงเทพฯ-ขอนแก่น และ กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี โดยมีรถโดยสารปรับอากาศ 42 ที่นั่ง 20 คัน ก่อนผลักดันรถนอนพิเศษเป็นบริษัทแรก ลดจำนวนที่นั่งจาก 42 ที่นั่งเหลือ 32 ที่นั่ง และขยายเส้นทางอย่างต่อเนื่อง

    ที่ผ่านมานครชัยแอร์ย้ายสำนักงานใหญ่มาแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ เมื่อปี 2556 ย้ายมาจากเลขที่ 27 ซอยวิภาวดีรังสิต 19 ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานและที่พักอาศัย 5 ชั้น ไปยังเลขที่ 109 ถนนวิภาวดีรังสิต ก่อนถึงแยกรัชวิภา บนพื้นที่กว่า 16 ไร่ เพื่อรองรับการขยายกิจการ สร้างความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัวนครชัยแอร์ ผ่านมา 11 ปี จึงย้ายมาที่ปากซอยวิภาวดีรังสิต 60 ในปัจจุบัน

    ถึงกระนั้น สถานีเดินรถนครชัยแอร์ กรุงเทพฯ ยังคงตั้งอยู่ริมถนนกำแพงเพชร 2 เช่นเดิม ผู้โดยสารสามารถใช้บริการได้ตามปกติ รวมทั้งสามารถเลือกขึ้นรถได้ที่ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) หรือหมอชิต 2 และนครชัยแอร์ สาขารังสิต ภายในปั๊มน้ำมันบางจาก รังสิต ถนนพหลโยธิน ตรงข้ามโรงงานบริดจสโตน เช่นเดิม

    เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ ตระกูลวงศ์เบญจรัตน์ได้ขายกิจการเดินรถ ไม่รวมทรัพย์สิน เช่น ที่ดิน แก่กลุ่มนายคีรี กาญจนพาสน์ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และระบบขนส่งมวลชน กระทั่งส่งตัวแทนซึ่งล้วนเป็นคนของกลุ่มนายคีรีเข้ามาบริหารแทน ส่วนทายาทรุ่นที่ 3 อย่างนางเครือวัลย์ วงศ์รักมิตร ได้หายไปจากพื้นที่ข่าว หลังปรากฎครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนธันวาคม 2565

    อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทบีทีเอส ยังไม่ประกาศว่านครชัยแอร์เป็นหนึ่งธุรกิจในเครือ จากปัจจุบันกลุ่มธุรกิจ MOVE ประกอบด้วยรถไฟฟ้า 4 สี รถเมล์ด่วนพิเศษ BRT ด่านเก็บเงินมอเตอร์เวย์ 2 เส้นทาง โครงการสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาและเมืองการบิน

    ข้อความที่ระบุว่า "ต้นแบบการเดินทางไกล ที่สะดวกสบาย ปลอดภัย ด้วยองค์กรที่มั่นคง และร่วมแรงร่วมใจ ให้บริการ" ซึ่งนายจักรินทร์ ประธานผู้ก่อตั้งได้เขียนไว้ในสำนักงาน คงเป็นตำนานอีกหน้าหนึ่งของธุรกิจรถทัวร์ในไทย เพราะอีกไม่นานที่ดินผืนงามกว่า 16 ไร่ย่านแยกรัชวิภา อาจเปลี่ยนมือไปเป็นอย่างอื่น ตามแผนการย้ายสำนักงานใหญ่และขายที่ดินที่เกิดขึ้นนานแล้ว

    #Newskit #นครชัยแอร์ #BTSGroup
    นครชัยแอร์บ้านใหม่ ภายใต้กลุ่มทุนใหม่ การประกาศย้ายสำนักงานใหญ่ ออฟฟิศและอู่จอดรถ ของบริษัท นครชัยแอร์ จำกัด ผู้ประกอบการเดินรถโดยสารรายใหญ่ในประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 จากบริเวณก่อนถึงแยกรัชวิภา ไปยังปั๊มน้ำมันบางจาก ปากซอยวิภาวดีรังสิต 60 บนพื้นที่ประมาณ 28 ไร่ นับเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของรถทัวร์รายใหญ่ ที่อยู่บนเส้นทางธุรกิจมานานถึง 38 ปี นครชัยแอร์ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2529 โดยมีนายจักรินทร์ วงศ์เบญจรัตน์ เป็นประธานผู้ก่อตั้ง เริ่มต้นได้เปิดให้บริการ 2 เส้นทาง ได้แก่ กรุงเทพฯ-ขอนแก่น และ กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี โดยมีรถโดยสารปรับอากาศ 42 ที่นั่ง 20 คัน ก่อนผลักดันรถนอนพิเศษเป็นบริษัทแรก ลดจำนวนที่นั่งจาก 42 ที่นั่งเหลือ 32 ที่นั่ง และขยายเส้นทางอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมานครชัยแอร์ย้ายสำนักงานใหญ่มาแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ เมื่อปี 2556 ย้ายมาจากเลขที่ 27 ซอยวิภาวดีรังสิต 19 ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานและที่พักอาศัย 5 ชั้น ไปยังเลขที่ 109 ถนนวิภาวดีรังสิต ก่อนถึงแยกรัชวิภา บนพื้นที่กว่า 16 ไร่ เพื่อรองรับการขยายกิจการ สร้างความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัวนครชัยแอร์ ผ่านมา 11 ปี จึงย้ายมาที่ปากซอยวิภาวดีรังสิต 60 ในปัจจุบัน ถึงกระนั้น สถานีเดินรถนครชัยแอร์ กรุงเทพฯ ยังคงตั้งอยู่ริมถนนกำแพงเพชร 2 เช่นเดิม ผู้โดยสารสามารถใช้บริการได้ตามปกติ รวมทั้งสามารถเลือกขึ้นรถได้ที่ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) หรือหมอชิต 2 และนครชัยแอร์ สาขารังสิต ภายในปั๊มน้ำมันบางจาก รังสิต ถนนพหลโยธิน ตรงข้ามโรงงานบริดจสโตน เช่นเดิม เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ ตระกูลวงศ์เบญจรัตน์ได้ขายกิจการเดินรถ ไม่รวมทรัพย์สิน เช่น ที่ดิน แก่กลุ่มนายคีรี กาญจนพาสน์ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และระบบขนส่งมวลชน กระทั่งส่งตัวแทนซึ่งล้วนเป็นคนของกลุ่มนายคีรีเข้ามาบริหารแทน ส่วนทายาทรุ่นที่ 3 อย่างนางเครือวัลย์ วงศ์รักมิตร ได้หายไปจากพื้นที่ข่าว หลังปรากฎครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนธันวาคม 2565 อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทบีทีเอส ยังไม่ประกาศว่านครชัยแอร์เป็นหนึ่งธุรกิจในเครือ จากปัจจุบันกลุ่มธุรกิจ MOVE ประกอบด้วยรถไฟฟ้า 4 สี รถเมล์ด่วนพิเศษ BRT ด่านเก็บเงินมอเตอร์เวย์ 2 เส้นทาง โครงการสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาและเมืองการบิน ข้อความที่ระบุว่า "ต้นแบบการเดินทางไกล ที่สะดวกสบาย ปลอดภัย ด้วยองค์กรที่มั่นคง และร่วมแรงร่วมใจ ให้บริการ" ซึ่งนายจักรินทร์ ประธานผู้ก่อตั้งได้เขียนไว้ในสำนักงาน คงเป็นตำนานอีกหน้าหนึ่งของธุรกิจรถทัวร์ในไทย เพราะอีกไม่นานที่ดินผืนงามกว่า 16 ไร่ย่านแยกรัชวิภา อาจเปลี่ยนมือไปเป็นอย่างอื่น ตามแผนการย้ายสำนักงานใหญ่และขายที่ดินที่เกิดขึ้นนานแล้ว #Newskit #นครชัยแอร์ #BTSGroup
    Like
    7
    0 Comments 1 Shares 604 Views 0 Reviews
  • มาเเล้ว! ทุนจีนบุกโคราช ขึ้นป้ายภาษาจีนเตรียมเปิด "ซูเปอร์มาร์เกตจีน" บนถนนย่านเศรษฐกิจกลางเมืองโคราช นักธุรกิจเตือนผู้ประกอบการไทยเตรียมรับแรงกระแทกได้เลย ชี้จีนต้นทุนต่ำมากและการขนส่งรวดเร็วด้วยรถไฟความเร็วสูง สินค้าจีนราคาถูกทะลัก ผู้ประกอบการไทยสู้ไม่ได้
    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000062713

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    มาเเล้ว! ทุนจีนบุกโคราช ขึ้นป้ายภาษาจีนเตรียมเปิด "ซูเปอร์มาร์เกตจีน" บนถนนย่านเศรษฐกิจกลางเมืองโคราช นักธุรกิจเตือนผู้ประกอบการไทยเตรียมรับแรงกระแทกได้เลย ชี้จีนต้นทุนต่ำมากและการขนส่งรวดเร็วด้วยรถไฟความเร็วสูง สินค้าจีนราคาถูกทะลัก ผู้ประกอบการไทยสู้ไม่ได้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000062713 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Sad
    Angry
    Yay
    23
    6 Comments 0 Shares 2087 Views 0 Reviews
  • สนธิเล่าเรื่อง : สนธิ เคยลงทุนสะสมไวน์ 10-07-67
    สมัยยังเป็นนักธุรกิจหนุ่ม ที่ครั้งนึงเคยเป็นนักลงทุนสะสมไวน์

    #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ #สนธิเล่าเรื่อง

    ติดตาม สนธิเล่าเรื่อง สดๆทุกวันจันทร์และวันพุธ
    ทาง YouTube คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    https://youtube.com/@sondhitalk?si=aUqWgzCydyeshzmi
    สนธิเล่าเรื่อง : สนธิ เคยลงทุนสะสมไวน์ 10-07-67 สมัยยังเป็นนักธุรกิจหนุ่ม ที่ครั้งนึงเคยเป็นนักลงทุนสะสมไวน์ #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ #สนธิเล่าเรื่อง ติดตาม สนธิเล่าเรื่อง สดๆทุกวันจันทร์และวันพุธ ทาง YouTube คุยทุกเรื่องกับสนธิ https://youtube.com/@sondhitalk?si=aUqWgzCydyeshzmi
    Like
    Love
    14
    2 Comments 0 Shares 3283 Views 756 2 Reviews