• “อดีตวิศวกร Intel ถูกฟ้องฐานขโมยไฟล์ลับกว่า 18,000 รายการ ก่อนหลบหนีไร้ร่องรอย”

    อดีตพนักงาน Intel ถูกกล่าวหาว่าขโมยข้อมูลระดับ “Intel Top Secret” กว่า 18,000 ไฟล์ ก่อนหายตัวไปหลังถูกเลิกจ้าง โดยบริษัทพยายามติดต่อเขานานกว่า 3 เดือนแต่ไร้ผล จนต้องยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย 250,000 ดอลลาร์

    Jinfeng Luo อดีตวิศวกรซอฟต์แวร์ของ Intel ที่เริ่มงานตั้งแต่ปี 2014 ได้รับหนังสือแจ้งเลิกจ้างในเดือนกรกฎาคม 2024 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่ของบริษัทที่ปลดพนักงานไปแล้วกว่า 35,000 คนในช่วงสองปีที่ผ่านมา

    ก่อนออกจากงาน Luo พยายามคัดลอกไฟล์จากแล็ปท็อปของบริษัทไปยังอุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอก แต่ระบบรักษาความปลอดภัยของ Intel ขัดขวางไว้ได้ เขาจึงเปลี่ยนแผนโดยใช้ NAS (Network Attached Storage) และสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้สำเร็จในครั้งต่อมา

    หลังจากนั้น Luo ใช้เวลาที่เหลือในการดาวน์โหลดไฟล์จำนวนมหาศาล ซึ่งรวมถึงข้อมูลลับของบริษัท ก่อนจะหายตัวไปโดยไม่ตอบกลับอีเมล โทรศัพท์ หรือจดหมายจาก Intel แม้บริษัทจะพยายามติดต่อเขานานกว่า 3 เดือน

    Intel จึงตัดสินใจยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย 250,000 ดอลลาร์ และขอให้ Luo คืนข้อมูลทั้งหมด โดยระบุว่าเขาละเมิดข้อตกลงการรักษาความลับอย่างร้ายแรง

    น่าสนใจคือ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Intel เจอเหตุการณ์ลักษณะนี้ ก่อนหน้านี้อดีตพนักงานอีกคนก็เคยถูกตัดสินให้จ่ายค่าปรับ 34,000 ดอลลาร์ และถูกคุมประพฤติ 2 ปี หลังนำข้อมูลไปใช้สมัครงานกับ Microsoft ซึ่งส่งผลต่อการเจรจาธุรกิจระหว่างสองบริษัท

    เหตุการณ์การขโมยข้อมูล
    Luo ดาวน์โหลดไฟล์กว่า 18,000 รายการ
    รวมถึงข้อมูลระดับ “Intel Top Secret”
    ใช้ NAS ในการถ่ายโอนข้อมูล
    หายตัวไปหลังถูกเลิกจ้าง

    การดำเนินคดีของ Intel
    พยายามติดต่อ Luo นานกว่า 3 เดือน
    ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย 250,000 ดอลลาร์
    ขอคืนข้อมูลทั้งหมด
    ระบุว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงความลับ

    บริบทของบริษัท
    Intel ลดพนักงานกว่า 35,000 คนใน 2 ปี
    เผชิญวิกฤตการเงินตั้งแต่กลางปี 2024
    เคยมีเหตุการณ์คล้ายกันกับอดีตพนักงานอีกคน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/laid-off-intel-employee-allegedly-steals-top-secret-files-goes-on-the-run-ex-engineer-downloaded-18-000-files-before-disappearing
    🕵️‍♂️ “อดีตวิศวกร Intel ถูกฟ้องฐานขโมยไฟล์ลับกว่า 18,000 รายการ ก่อนหลบหนีไร้ร่องรอย” อดีตพนักงาน Intel ถูกกล่าวหาว่าขโมยข้อมูลระดับ “Intel Top Secret” กว่า 18,000 ไฟล์ ก่อนหายตัวไปหลังถูกเลิกจ้าง โดยบริษัทพยายามติดต่อเขานานกว่า 3 เดือนแต่ไร้ผล จนต้องยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย 250,000 ดอลลาร์ Jinfeng Luo อดีตวิศวกรซอฟต์แวร์ของ Intel ที่เริ่มงานตั้งแต่ปี 2014 ได้รับหนังสือแจ้งเลิกจ้างในเดือนกรกฎาคม 2024 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่ของบริษัทที่ปลดพนักงานไปแล้วกว่า 35,000 คนในช่วงสองปีที่ผ่านมา ก่อนออกจากงาน Luo พยายามคัดลอกไฟล์จากแล็ปท็อปของบริษัทไปยังอุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอก แต่ระบบรักษาความปลอดภัยของ Intel ขัดขวางไว้ได้ เขาจึงเปลี่ยนแผนโดยใช้ NAS (Network Attached Storage) และสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้สำเร็จในครั้งต่อมา หลังจากนั้น Luo ใช้เวลาที่เหลือในการดาวน์โหลดไฟล์จำนวนมหาศาล ซึ่งรวมถึงข้อมูลลับของบริษัท ก่อนจะหายตัวไปโดยไม่ตอบกลับอีเมล โทรศัพท์ หรือจดหมายจาก Intel แม้บริษัทจะพยายามติดต่อเขานานกว่า 3 เดือน Intel จึงตัดสินใจยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย 250,000 ดอลลาร์ และขอให้ Luo คืนข้อมูลทั้งหมด โดยระบุว่าเขาละเมิดข้อตกลงการรักษาความลับอย่างร้ายแรง น่าสนใจคือ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Intel เจอเหตุการณ์ลักษณะนี้ ก่อนหน้านี้อดีตพนักงานอีกคนก็เคยถูกตัดสินให้จ่ายค่าปรับ 34,000 ดอลลาร์ และถูกคุมประพฤติ 2 ปี หลังนำข้อมูลไปใช้สมัครงานกับ Microsoft ซึ่งส่งผลต่อการเจรจาธุรกิจระหว่างสองบริษัท ✅ เหตุการณ์การขโมยข้อมูล ➡️ Luo ดาวน์โหลดไฟล์กว่า 18,000 รายการ ➡️ รวมถึงข้อมูลระดับ “Intel Top Secret” ➡️ ใช้ NAS ในการถ่ายโอนข้อมูล ➡️ หายตัวไปหลังถูกเลิกจ้าง ✅ การดำเนินคดีของ Intel ➡️ พยายามติดต่อ Luo นานกว่า 3 เดือน ➡️ ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย 250,000 ดอลลาร์ ➡️ ขอคืนข้อมูลทั้งหมด ➡️ ระบุว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงความลับ ✅ บริบทของบริษัท ➡️ Intel ลดพนักงานกว่า 35,000 คนใน 2 ปี ➡️ เผชิญวิกฤตการเงินตั้งแต่กลางปี 2024 ➡️ เคยมีเหตุการณ์คล้ายกันกับอดีตพนักงานอีกคน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/laid-off-intel-employee-allegedly-steals-top-secret-files-goes-on-the-run-ex-engineer-downloaded-18-000-files-before-disappearing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Compaq Portable จุดเริ่มต้นของยุค PC Clone ที่เปลี่ยนโลกคอมพิวเตอร์”

    ลองจินตนาการย้อนกลับไปในปี 1982… โลกคอมพิวเตอร์ยังถูกครอบครองโดย IBM อย่างเบ็ดเสร็จ แต่แล้วบริษัทหน้าใหม่ชื่อ Compaq ก็เปิดตัว “Compaq Portable” คอมพิวเตอร์พกพาเครื่องแรกที่สามารถใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ของ IBM ได้แบบ 100% โดยไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น!

    เครื่องนี้หนักถึง 28 ปอนด์ (ประมาณ 12.7 กิโลกรัม) แต่ถือว่า “พกพาได้” ในยุคนั้น เพราะมันรวมทุกอย่างไว้ในกล่องเดียว—จอภาพ, คีย์บอร์ด, ดิสก์ไดรฟ์ และพอร์ตเชื่อมต่อ พร้อมระบบปฏิบัติการ Compaq DOS ที่เป็นเวอร์ชันพิเศษของ MS-DOS

    สิ่งที่ทำให้ Compaq โดดเด่นคือการ “reverse-engineer” BIOS ของ IBM โดยไม่ใช้โค้ดต้นฉบับเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งถือเป็นการหลบหลีกข้อกฎหมายอย่างชาญฉลาด และกลายเป็นต้นแบบให้บริษัทอื่น ๆ ทำตาม จนเกิดยุค “PC Clone” ที่ทำให้คอมพิวเตอร์ราคาถูกและหลากหลายแพร่หลายไปทั่วโลก

    ในปีแรก Compaq ขายได้ถึง 53,000 เครื่อง สร้างรายได้กว่า 111 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของธุรกิจอเมริกันในขณะนั้น และ IBM เองก็ต้องออกเครื่องพกพาของตัวเองในปีถัดมาเพื่อแข่งขัน

    นอกจากนั้น Compaq ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดวัฒนธรรม DIY คอมพิวเตอร์ที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ ก่อนที่ HP จะเข้าซื้อกิจการในปี 2002 และยุติแบรนด์ Compaq ในปี 2013

    จุดเริ่มต้นของ Compaq Portable
    เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 1982
    เป็น IBM PC Clone เครื่องแรกที่ถูกกฎหมาย
    ใช้ Intel 8088 ความเร็ว 4.77 MHz
    RAM เริ่มต้น 128KB ขยายได้ถึง 640KB
    จอภาพขนาด 9 นิ้วแบบเขียวขาว
    รองรับกราฟิก CGA และแสดงผล 80x25 ตัวอักษร
    ใช้ Compaq DOS ซึ่งเป็น MS-DOS เวอร์ชันพิเศษ
    ราคาเปิดตัว $2,995 (~$9,500 ปัจจุบัน)

    กลยุทธ์ reverse-engineering BIOS
    ไม่ใช้โค้ด IBM เลย
    หลีกเลี่ยงการละเมิดลิขสิทธิ์
    ทำให้สามารถโฆษณาว่า “100% compatible” ได้

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    ขายได้ 53,000 เครื่องในปีแรก
    สร้างรายได้ $111 ล้าน
    จุดประกายยุค PC Clone
    IBM ต้องออกเครื่องพกพาแข่งในปี 1984

    ความเปลี่ยนแปลงในระยะยาว
    Compaq ถูก HP ซื้อกิจการในปี 2002
    แบรนด์ Compaq ถูกยุติในปี 2013
    เป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรม DIY คอมพิวเตอร์

    คำเตือนด้านเทคโนโลยีในยุคนั้น
    น้ำหนักเครื่องถึง 28 ปอนด์—ไม่เหมาะกับการพกพาจริง
    หน่วยความจำและกราฟิกจำกัดมากเมื่อเทียบกับปัจจุบัน
    การ reverse-engineering BIOS แม้ถูกกฎหมาย แต่ต้องใช้ความระมัดระวังสูง
    การแข่งขันกับ IBM ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนในช่วงแรก

    https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/this-week-in-1982-compaq-announced-the-first-true-ibm-pc-clone-it-was-a-portable-too-as-long-as-you-were-comfortable-lugging-28-pounds
    🖥️ “Compaq Portable จุดเริ่มต้นของยุค PC Clone ที่เปลี่ยนโลกคอมพิวเตอร์” ลองจินตนาการย้อนกลับไปในปี 1982… โลกคอมพิวเตอร์ยังถูกครอบครองโดย IBM อย่างเบ็ดเสร็จ แต่แล้วบริษัทหน้าใหม่ชื่อ Compaq ก็เปิดตัว “Compaq Portable” คอมพิวเตอร์พกพาเครื่องแรกที่สามารถใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ของ IBM ได้แบบ 100% โดยไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น! เครื่องนี้หนักถึง 28 ปอนด์ (ประมาณ 12.7 กิโลกรัม) แต่ถือว่า “พกพาได้” ในยุคนั้น เพราะมันรวมทุกอย่างไว้ในกล่องเดียว—จอภาพ, คีย์บอร์ด, ดิสก์ไดรฟ์ และพอร์ตเชื่อมต่อ พร้อมระบบปฏิบัติการ Compaq DOS ที่เป็นเวอร์ชันพิเศษของ MS-DOS สิ่งที่ทำให้ Compaq โดดเด่นคือการ “reverse-engineer” BIOS ของ IBM โดยไม่ใช้โค้ดต้นฉบับเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งถือเป็นการหลบหลีกข้อกฎหมายอย่างชาญฉลาด และกลายเป็นต้นแบบให้บริษัทอื่น ๆ ทำตาม จนเกิดยุค “PC Clone” ที่ทำให้คอมพิวเตอร์ราคาถูกและหลากหลายแพร่หลายไปทั่วโลก 📈 ในปีแรก Compaq ขายได้ถึง 53,000 เครื่อง สร้างรายได้กว่า 111 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของธุรกิจอเมริกันในขณะนั้น และ IBM เองก็ต้องออกเครื่องพกพาของตัวเองในปีถัดมาเพื่อแข่งขัน นอกจากนั้น Compaq ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดวัฒนธรรม DIY คอมพิวเตอร์ที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ ก่อนที่ HP จะเข้าซื้อกิจการในปี 2002 และยุติแบรนด์ Compaq ในปี 2013 ✅ จุดเริ่มต้นของ Compaq Portable ➡️ เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 1982 ➡️ เป็น IBM PC Clone เครื่องแรกที่ถูกกฎหมาย ➡️ ใช้ Intel 8088 ความเร็ว 4.77 MHz ➡️ RAM เริ่มต้น 128KB ขยายได้ถึง 640KB ➡️ จอภาพขนาด 9 นิ้วแบบเขียวขาว ➡️ รองรับกราฟิก CGA และแสดงผล 80x25 ตัวอักษร ➡️ ใช้ Compaq DOS ซึ่งเป็น MS-DOS เวอร์ชันพิเศษ ➡️ ราคาเปิดตัว $2,995 (~$9,500 ปัจจุบัน) ✅ กลยุทธ์ reverse-engineering BIOS ➡️ ไม่ใช้โค้ด IBM เลย ➡️ หลีกเลี่ยงการละเมิดลิขสิทธิ์ ➡️ ทำให้สามารถโฆษณาว่า “100% compatible” ได้ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ ขายได้ 53,000 เครื่องในปีแรก ➡️ สร้างรายได้ $111 ล้าน ➡️ จุดประกายยุค PC Clone ➡️ IBM ต้องออกเครื่องพกพาแข่งในปี 1984 ✅ ความเปลี่ยนแปลงในระยะยาว ➡️ Compaq ถูก HP ซื้อกิจการในปี 2002 ➡️ แบรนด์ Compaq ถูกยุติในปี 2013 ➡️ เป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรม DIY คอมพิวเตอร์ ‼️ คำเตือนด้านเทคโนโลยีในยุคนั้น ⛔ น้ำหนักเครื่องถึง 28 ปอนด์—ไม่เหมาะกับการพกพาจริง ⛔ หน่วยความจำและกราฟิกจำกัดมากเมื่อเทียบกับปัจจุบัน ⛔ การ reverse-engineering BIOS แม้ถูกกฎหมาย แต่ต้องใช้ความระมัดระวังสูง ⛔ การแข่งขันกับ IBM ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนในช่วงแรก https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/this-week-in-1982-compaq-announced-the-first-true-ibm-pc-clone-it-was-a-portable-too-as-long-as-you-were-comfortable-lugging-28-pounds
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 5
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 5 (จบ)

    นายอาเบะ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสมัยที่ 2 ในเดือนธันวาคม 2012 เขามาจากครอบครัวนักการเมืองขนานแท้ดั้งเดิม ท้ังพ่อและปู่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ส่วนแม่ของอาเบะ เป็นลูกสาวของนักการเมืองชื่อดังระดับประเทศ นาย Nobusuke Kishi อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วง 1957-1960 ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่สมัยนายพลโตโจที่นำการรบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Kishi เป็นผู้ต้ังพรรค Democratic Party ต่อมาพรรคนี้ไปรวมกับพรรค Liberty ของอดีตนายกรัฐมนตรี Shigaru Yoshida พรรคขวาจัด ชาตินิยม และเปลี่ยนชื่อเป็นพรรค LDP ซึ่งครองอำนาจในญี่ปุ่นอย่างยาวนาน

    นายอาเบะ นี่ เคยไปเรียนหนังสือที่ University of Southern California แต่ไม่จบ กลับมาทำงานการเมืองในญี่ปุ่นต่อ เขานับเป็นลูกหม้อของพรรค LDP ถูกวางตัวให้เป็นดาราดาวรุ่ง ในที่สุดก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจคนดันในช่วงปี 2005-2006 เขาดูเหมือนนิยมตะวันตก และมีจุดยืนที่แข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือมาตลอด โดยพยายามหาทางคว่ำบาตรเกาหลีเหนือผ่านสหประชาติ และเมื่อตอนหาเสียงเลือกต้ังในปี ค.ศ.2012 เขาชูประเด็นเรื่องข้อพิพาทกับจีน และการขึ้นมาของจีนแทนที่ญี่ปุ่น ในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าในเอเซีย

    นับว่า สุดกร่าง CFR มีสายตายาวไกล และลึกซึ้ง การเลือกไพ่แต่ละใบของนักล่าใบตองแห้ง ดูเหมือนจะมีรูปแบบที่ชัดเจนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบ่อน หรือสร้างรังโจรที่ประเทศใด ไม่ว่าจะหัวนอก หรือหัวใน ต้องพร้อมรับใช้จนสุดทาง และสุดตัว
    คงจำกันได้ว่า CFR นั้นเป็นผลผลิตของกลุ่มอิลิต นักการเงิน และนักธุรกิจ แองโกลอเมริกัน จาก 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 ความใหญ่ของ CFR นั้น เกินจินตนาการของเราๆ ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่รู้จักว่า CFR คืออะไร มีอิทธิพลแค่ไหน อิทธิพล และอำนาจของ CFR เริ่มเห็นเด่นชัดขึ้น เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีอิทธิพลครอบงำการเมือง และรัฐบาลของอเมริกา ต้ังแต่ประมาณปี 1950 เป็นต้นมา และเมื่ออำนาจของอเมริกาครอบงำโลก ก็คงไม่เกินไปที่จะบอกว่า CFR นั้นก็มีส่วนครอบงำโลกด้วย

    (เรื่อง ของ CFR นั้น ผมเขียนเล่าไว้ในนิทาน เรื่อง “มายากลยุทธ” และ “แกะรอยนักล่า” สำหรับท่านผู้อ่าน ที่เข้ามาอ่านตอนหลังๆ ถ้าอยากเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ อีกมุมมอง อีกชุดของข้อมูล ลองอ่านนิทาน 2 เรื่องนี้นะครับ)

    ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับ CFR (เปิดดูจากกูเกิลได้ครับ) คือ ก่อตั้งในปี ค.ศ.1921 มีสมาชิก เริ่มแรกประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นชาวอังกฤษและอเมริกัน ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วโลกประมา ณ 5 พันคน สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกฝรั่งแองโกลแซกซอน และชาวยุโรป ใน 5 พันคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นระดับผู้นำ หัวหน้า และผู้บริหารระดับสูงของประเทศ และบรรษัทข้ามชาติ มีหลายคน เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา หลายคน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เป็นรัฐมนตรีการคลัง เป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง เป็นหัวหน้าซีไอเอและหลายคนเป็นพระราชวงศ์ในยุโรปและอังกฤษ ฯลฯ

    สำหรับไทยแลนด์แดนสมันน้อย เรามีคนไทยที่ถูกลาก หรือ สมัครใจ เข้าไปเกี่ยวกับ CFR โดยเป็นสมาชิกขององค์กร ชื่อ Trilatteral Commission ซึ่งเป็นองค์กรลูกของ CFR ที่ต้ังขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1973 ขณะน้ัน นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นประธาน CFR เห็นว่า ควรจะเอานักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ในความดูแลของ CFR ด้วย เลยพ่วงเอาชาวเอเซีย ลาติน และอาฟริกา ที่เข้าข่ายน่าจะเป็นประโยชน์ และมีแนวความคิด เกี่ยวกับความเป็นไปในโลกแนวทางเดียวกันกับ CFR เข้ามาร่วมด้วย
    จากเอกสารของ Trilateral Commissionเอง ปี ค.ศ.2014 ปรากฏมีรายชื่อ คนไทย เป็นสมาชิก Trilatteral Commission 4 คน คือ

    1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี
    2. นายสมเกียรติ ต้ังกิจวานิชย์ (ผู้อำนวยการ สถาบัน TDRI ของไทย)
    3. นางธาริษา วัฒนเกศ (อดีต ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย)
    4. นายกานต์ ตระกูลฮุน (กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนซิเมนต์ไทย)

    ปี ค.ศ.2015 รายชื่อ ซึ่งเปลี่ยนเมื่อเดือนเมษายน นี้เอง เหลือ 2 ชื่อ ดังนี้

    1. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์
    2. นางธาริษา วัฒนเกศ

    ทำไมผมพูดเรื่องญี่ปุ่น นายอาเบะ และเครือข่ายของ CFR เพราะมันเกี่ยวกัน และมันเป็นตัวอย่าง ที่น่าจะทำให้เรามองเห็นภาพหลายภาพชัดเจนขึ้น

    CFR นั้น เริ่มมีคนพูดถึงกันในช่วงประมาณปี ค.ศ.1960 แต่ช่วงนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ของ CFR ยังไม่มีออกมาแพร่หลายมากนัก นักวิเคราะห์การเมือง และคนทั่วไป จึงมอง CFR ไปในแนวทฤษฏีสมคบคิด ซึ่งมักทำให้ที่ผู้ได้ยินเรื่อง CFR ไม่ให้น้ำหนัก ไม่ให้ความเชื่อถือ ถึงอำนาจและอิทธิพลจริงขององค์กรนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ง่ายขึ้น และลึกขึ้น มีเอกสารที่เหมือนเป็นใบเสร็จ ออกมาให้เราศึกษามากขึ้น อย่างเช่นรายงานการวิเคราะห์ของ CFR เอง ที่ออกมาให้เห็นแนวความคิดของ CFR และกลายมาเป็นนโยบายของรัฐบาลอเมริกา และการดำเนินงานของอเมริกาตามนโยบาย ที่เสนอแนะโดย CFR อย่างจริงจังในหลายส่วนของโลก จึงทำให้ผู้ที่ติดตามดูความเป็น ไปขององค์กร CFR เชื่อมากขึ้นว่า การครอบงำโลกโดย CFR ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฏี แต่มันเป็นของจริง อำนาจจริง อิทธิพลจริง ที่ครอบงำโลกนี้อยู่

    และถ้ามันเป็นของจริงเช่นนั้น เรื่อง Grand Stategy แผนสอยมังกร ของ CFR ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะอ่านเล่น หรืออ่านแล้วก็แล้วกัน เราน่าจะต้อง อ่าน และวิเคราะห์เองต่อไปอีกด้วยว่า เมื่อญี่ปุ่น ซึ่งถูก Grand Strategy กำหนดให้มีบทบาทสำคัญ ในการสอยมังกรให้ร่วงนั้น ญี่ปุ่นเอาจริง เดินหน้าตามแผนที่ CFR กำหนดขนาดไหน และการเดินตามแผนนั้น เราคงจะพอมองเห็นได้ว่า อเมริกา กำลัง “ใช้” ญี่ปุ่น และไม่ได้ใช้ไปเดินเล่น จ่ายตลาด แต่ เป็นการ “ใช้” ให้ญี่ปุ่นไปรบแทน และอาจไปตายแทน ด้วยค่าใช้จ่ายที่อาจเป็นเงินภาษี หรือเงินกู้ของญี่ปุ่น แต่มันเป็น “ราคา” ที่ชาวญี่ปุ่นจะต้องจ่าย
    ขณะเดียวกัน ถ้าอเมริกลากเอาแดนสยาม เข้าไปร่วมขบวนการกับญี่ปุ่น ให้ช่วยกันสอยจีน เราจะถูก “ใช้” ไปรบแทน จนถึงตายแทน ร่วมกับญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ นั่นเป็นประเด็นหนึ่ง ที่ต้องคิดกัน แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่า ลุงตู่ของผมคงมองออก ไม่คิดเป็นคนรับใช้ต่างชาติ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ผันแปร มีการบีบไข่กัน จนต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราก็ช่วยกันมอง ช่วยกันคิดให้ดีๆ นะครับ รูปแบบที่ไอ้นักล่ามันชอบใช้ ไพ่ที่มันชอบเล่นมีอยู่ อย่าตกหลุมมันง่ายๆอีก นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง

    แต่อีกเรื่องที่น่าห่วงไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่าคือ กรณีที่ญี่ปุ่นเดินหน้า ตาม CFR อย่างไม่หยุดนั่นแหละครับ ถ้าเกิดถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกาสั่งให้ญี่ปุ่นเคลื่อนพล ไปปะทะจีน หรือตอนนั้นสถานการณ์ในเอเซียมันตึงเครียดได้ที่ ตามความต้องการของอเมริกาแล้ว แม้เราจะฉีกตัวออกมาจากการไปช่วยเขาแบกถาดได้ แต่ถ้าบรรดาคุณยุ่น ที่ขณะนี้ กระจายกันอยู่ในแดนสยามของเราไม่น้อย ไม่ว่าในกรุงเทพ โดยเฉพาะแถบสุขุมวิท ซึ่งใกล้จะเปลี่ยนเป็นแดนปลาดิบ แล้ว ยังมีที่ต่างจังหวัด ทางภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ศรีราชา หรือภาคใต้ เช่น ชุมพร ถ้าคุณยุ่นเขาพากันเปลี่ยนชุด หยิบเครื่องแบบทหารมาใส่ เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ที่กองทหารญี่ปุ่นบุกเข้าเมือง ไทย ยกพลมาจากทางภาคใต้ของไทย มาจาก สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ พอถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2484 ชาวญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ก็แต่งชุดทหารเดินเต็มอยู่ในกรุงเทพฯกันหมด แม้แต่หมอฟันของแม่ผม ผมได้แต่หวังว่า เหตุการณ์เช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีก

    และแม้ว่า ข้อสังเกตที่ว่า นายอาเบะอาจจะเล่นบท 2 หน้า จะเป็นซามูไรแบกถาด หรือซามูไรทิ้งถาด สิ่งที่ผมเขียนเล่ามา ผลกระทบต่อบ้านเรา ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงยังน่าเป็นห่วงเช่นเดิม บางส่วน บางอย่างอาจจะมีการเปลี่ยน ถ้าเขาหักหลังกันเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอะไรขึ้นมา เพราะไม่น่าไว้วางใจทั้งคนใช้ให้แบกถาด และคนแบกถาด หรือจะเป็นคนทิ้งถาด
    ในชีวิตคนเรา เห็นสงครามโลกครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 2 ผมยังไม่โตพอที่จะไปรบ แต่โตพอที่จะรู้เรื่องว่า บ้านเมืองเราอยู่ในสภาพบ้านพัง สาแหร่กขาดอย่างไร ครอบครัวเราส่วนใหญ่ลำบากอย่างไร และมันทิ้งอะไรไว้กับบ้านเมืองเราครอบครัวเรา ผ่านไป 70 ปี ยังจำได้ไม่ลืม

    เราชาวสยาม จะต้องตื่นรู้เสียที ไม่ใช่เขียนให้แตกตื่น แต่ต้องตื่นมารับรู้ ทันเหตุการณ์นอกบ้าน ที่จะมีผลกระทบในบ้านเราเสียบ้าง ช่วยกันปลุก ช่วยกันให้ข้อมูล ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่รู้แล้วเอาไปหาข้อมูลต่อ ว่า ที่อ่านกันมานี้ จริงเท็จอย่างไร แล้วคิดต่อ ดีกว่าไม่รู้จะคิดอะไร มันเป็นสมัยโลกาภิวัฒน์มิใช่หรือ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว เปลี่ยนแปลงเร็ว อย่ามัวเพลิดเพลินอยู่แต่กับการดูละครน้ำเน่า กับข่าวย้อมสี จนลืมสนใจภัยใหญ่ ที่อาจใกล้เราเข้ามาทุกทีแล้วนะครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 5 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 5 (จบ) นายอาเบะ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสมัยที่ 2 ในเดือนธันวาคม 2012 เขามาจากครอบครัวนักการเมืองขนานแท้ดั้งเดิม ท้ังพ่อและปู่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ส่วนแม่ของอาเบะ เป็นลูกสาวของนักการเมืองชื่อดังระดับประเทศ นาย Nobusuke Kishi อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วง 1957-1960 ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่สมัยนายพลโตโจที่นำการรบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Kishi เป็นผู้ต้ังพรรค Democratic Party ต่อมาพรรคนี้ไปรวมกับพรรค Liberty ของอดีตนายกรัฐมนตรี Shigaru Yoshida พรรคขวาจัด ชาตินิยม และเปลี่ยนชื่อเป็นพรรค LDP ซึ่งครองอำนาจในญี่ปุ่นอย่างยาวนาน นายอาเบะ นี่ เคยไปเรียนหนังสือที่ University of Southern California แต่ไม่จบ กลับมาทำงานการเมืองในญี่ปุ่นต่อ เขานับเป็นลูกหม้อของพรรค LDP ถูกวางตัวให้เป็นดาราดาวรุ่ง ในที่สุดก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจคนดันในช่วงปี 2005-2006 เขาดูเหมือนนิยมตะวันตก และมีจุดยืนที่แข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือมาตลอด โดยพยายามหาทางคว่ำบาตรเกาหลีเหนือผ่านสหประชาติ และเมื่อตอนหาเสียงเลือกต้ังในปี ค.ศ.2012 เขาชูประเด็นเรื่องข้อพิพาทกับจีน และการขึ้นมาของจีนแทนที่ญี่ปุ่น ในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าในเอเซีย นับว่า สุดกร่าง CFR มีสายตายาวไกล และลึกซึ้ง การเลือกไพ่แต่ละใบของนักล่าใบตองแห้ง ดูเหมือนจะมีรูปแบบที่ชัดเจนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบ่อน หรือสร้างรังโจรที่ประเทศใด ไม่ว่าจะหัวนอก หรือหัวใน ต้องพร้อมรับใช้จนสุดทาง และสุดตัว คงจำกันได้ว่า CFR นั้นเป็นผลผลิตของกลุ่มอิลิต นักการเงิน และนักธุรกิจ แองโกลอเมริกัน จาก 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 ความใหญ่ของ CFR นั้น เกินจินตนาการของเราๆ ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่รู้จักว่า CFR คืออะไร มีอิทธิพลแค่ไหน อิทธิพล และอำนาจของ CFR เริ่มเห็นเด่นชัดขึ้น เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีอิทธิพลครอบงำการเมือง และรัฐบาลของอเมริกา ต้ังแต่ประมาณปี 1950 เป็นต้นมา และเมื่ออำนาจของอเมริกาครอบงำโลก ก็คงไม่เกินไปที่จะบอกว่า CFR นั้นก็มีส่วนครอบงำโลกด้วย (เรื่อง ของ CFR นั้น ผมเขียนเล่าไว้ในนิทาน เรื่อง “มายากลยุทธ” และ “แกะรอยนักล่า” สำหรับท่านผู้อ่าน ที่เข้ามาอ่านตอนหลังๆ ถ้าอยากเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ อีกมุมมอง อีกชุดของข้อมูล ลองอ่านนิทาน 2 เรื่องนี้นะครับ) ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับ CFR (เปิดดูจากกูเกิลได้ครับ) คือ ก่อตั้งในปี ค.ศ.1921 มีสมาชิก เริ่มแรกประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นชาวอังกฤษและอเมริกัน ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วโลกประมา ณ 5 พันคน สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกฝรั่งแองโกลแซกซอน และชาวยุโรป ใน 5 พันคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นระดับผู้นำ หัวหน้า และผู้บริหารระดับสูงของประเทศ และบรรษัทข้ามชาติ มีหลายคน เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา หลายคน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เป็นรัฐมนตรีการคลัง เป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง เป็นหัวหน้าซีไอเอและหลายคนเป็นพระราชวงศ์ในยุโรปและอังกฤษ ฯลฯ สำหรับไทยแลนด์แดนสมันน้อย เรามีคนไทยที่ถูกลาก หรือ สมัครใจ เข้าไปเกี่ยวกับ CFR โดยเป็นสมาชิกขององค์กร ชื่อ Trilatteral Commission ซึ่งเป็นองค์กรลูกของ CFR ที่ต้ังขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1973 ขณะน้ัน นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นประธาน CFR เห็นว่า ควรจะเอานักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ในความดูแลของ CFR ด้วย เลยพ่วงเอาชาวเอเซีย ลาติน และอาฟริกา ที่เข้าข่ายน่าจะเป็นประโยชน์ และมีแนวความคิด เกี่ยวกับความเป็นไปในโลกแนวทางเดียวกันกับ CFR เข้ามาร่วมด้วย จากเอกสารของ Trilateral Commissionเอง ปี ค.ศ.2014 ปรากฏมีรายชื่อ คนไทย เป็นสมาชิก Trilatteral Commission 4 คน คือ 1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี 2. นายสมเกียรติ ต้ังกิจวานิชย์ (ผู้อำนวยการ สถาบัน TDRI ของไทย) 3. นางธาริษา วัฒนเกศ (อดีต ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย) 4. นายกานต์ ตระกูลฮุน (กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนซิเมนต์ไทย) ปี ค.ศ.2015 รายชื่อ ซึ่งเปลี่ยนเมื่อเดือนเมษายน นี้เอง เหลือ 2 ชื่อ ดังนี้ 1. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ 2. นางธาริษา วัฒนเกศ ทำไมผมพูดเรื่องญี่ปุ่น นายอาเบะ และเครือข่ายของ CFR เพราะมันเกี่ยวกัน และมันเป็นตัวอย่าง ที่น่าจะทำให้เรามองเห็นภาพหลายภาพชัดเจนขึ้น CFR นั้น เริ่มมีคนพูดถึงกันในช่วงประมาณปี ค.ศ.1960 แต่ช่วงนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ของ CFR ยังไม่มีออกมาแพร่หลายมากนัก นักวิเคราะห์การเมือง และคนทั่วไป จึงมอง CFR ไปในแนวทฤษฏีสมคบคิด ซึ่งมักทำให้ที่ผู้ได้ยินเรื่อง CFR ไม่ให้น้ำหนัก ไม่ให้ความเชื่อถือ ถึงอำนาจและอิทธิพลจริงขององค์กรนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ง่ายขึ้น และลึกขึ้น มีเอกสารที่เหมือนเป็นใบเสร็จ ออกมาให้เราศึกษามากขึ้น อย่างเช่นรายงานการวิเคราะห์ของ CFR เอง ที่ออกมาให้เห็นแนวความคิดของ CFR และกลายมาเป็นนโยบายของรัฐบาลอเมริกา และการดำเนินงานของอเมริกาตามนโยบาย ที่เสนอแนะโดย CFR อย่างจริงจังในหลายส่วนของโลก จึงทำให้ผู้ที่ติดตามดูความเป็น ไปขององค์กร CFR เชื่อมากขึ้นว่า การครอบงำโลกโดย CFR ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฏี แต่มันเป็นของจริง อำนาจจริง อิทธิพลจริง ที่ครอบงำโลกนี้อยู่ และถ้ามันเป็นของจริงเช่นนั้น เรื่อง Grand Stategy แผนสอยมังกร ของ CFR ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะอ่านเล่น หรืออ่านแล้วก็แล้วกัน เราน่าจะต้อง อ่าน และวิเคราะห์เองต่อไปอีกด้วยว่า เมื่อญี่ปุ่น ซึ่งถูก Grand Strategy กำหนดให้มีบทบาทสำคัญ ในการสอยมังกรให้ร่วงนั้น ญี่ปุ่นเอาจริง เดินหน้าตามแผนที่ CFR กำหนดขนาดไหน และการเดินตามแผนนั้น เราคงจะพอมองเห็นได้ว่า อเมริกา กำลัง “ใช้” ญี่ปุ่น และไม่ได้ใช้ไปเดินเล่น จ่ายตลาด แต่ เป็นการ “ใช้” ให้ญี่ปุ่นไปรบแทน และอาจไปตายแทน ด้วยค่าใช้จ่ายที่อาจเป็นเงินภาษี หรือเงินกู้ของญี่ปุ่น แต่มันเป็น “ราคา” ที่ชาวญี่ปุ่นจะต้องจ่าย ขณะเดียวกัน ถ้าอเมริกลากเอาแดนสยาม เข้าไปร่วมขบวนการกับญี่ปุ่น ให้ช่วยกันสอยจีน เราจะถูก “ใช้” ไปรบแทน จนถึงตายแทน ร่วมกับญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ นั่นเป็นประเด็นหนึ่ง ที่ต้องคิดกัน แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่า ลุงตู่ของผมคงมองออก ไม่คิดเป็นคนรับใช้ต่างชาติ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ผันแปร มีการบีบไข่กัน จนต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราก็ช่วยกันมอง ช่วยกันคิดให้ดีๆ นะครับ รูปแบบที่ไอ้นักล่ามันชอบใช้ ไพ่ที่มันชอบเล่นมีอยู่ อย่าตกหลุมมันง่ายๆอีก นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องที่น่าห่วงไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่าคือ กรณีที่ญี่ปุ่นเดินหน้า ตาม CFR อย่างไม่หยุดนั่นแหละครับ ถ้าเกิดถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกาสั่งให้ญี่ปุ่นเคลื่อนพล ไปปะทะจีน หรือตอนนั้นสถานการณ์ในเอเซียมันตึงเครียดได้ที่ ตามความต้องการของอเมริกาแล้ว แม้เราจะฉีกตัวออกมาจากการไปช่วยเขาแบกถาดได้ แต่ถ้าบรรดาคุณยุ่น ที่ขณะนี้ กระจายกันอยู่ในแดนสยามของเราไม่น้อย ไม่ว่าในกรุงเทพ โดยเฉพาะแถบสุขุมวิท ซึ่งใกล้จะเปลี่ยนเป็นแดนปลาดิบ แล้ว ยังมีที่ต่างจังหวัด ทางภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ศรีราชา หรือภาคใต้ เช่น ชุมพร ถ้าคุณยุ่นเขาพากันเปลี่ยนชุด หยิบเครื่องแบบทหารมาใส่ เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ที่กองทหารญี่ปุ่นบุกเข้าเมือง ไทย ยกพลมาจากทางภาคใต้ของไทย มาจาก สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ พอถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2484 ชาวญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ก็แต่งชุดทหารเดินเต็มอยู่ในกรุงเทพฯกันหมด แม้แต่หมอฟันของแม่ผม ผมได้แต่หวังว่า เหตุการณ์เช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีก และแม้ว่า ข้อสังเกตที่ว่า นายอาเบะอาจจะเล่นบท 2 หน้า จะเป็นซามูไรแบกถาด หรือซามูไรทิ้งถาด สิ่งที่ผมเขียนเล่ามา ผลกระทบต่อบ้านเรา ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงยังน่าเป็นห่วงเช่นเดิม บางส่วน บางอย่างอาจจะมีการเปลี่ยน ถ้าเขาหักหลังกันเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอะไรขึ้นมา เพราะไม่น่าไว้วางใจทั้งคนใช้ให้แบกถาด และคนแบกถาด หรือจะเป็นคนทิ้งถาด ในชีวิตคนเรา เห็นสงครามโลกครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 2 ผมยังไม่โตพอที่จะไปรบ แต่โตพอที่จะรู้เรื่องว่า บ้านเมืองเราอยู่ในสภาพบ้านพัง สาแหร่กขาดอย่างไร ครอบครัวเราส่วนใหญ่ลำบากอย่างไร และมันทิ้งอะไรไว้กับบ้านเมืองเราครอบครัวเรา ผ่านไป 70 ปี ยังจำได้ไม่ลืม เราชาวสยาม จะต้องตื่นรู้เสียที ไม่ใช่เขียนให้แตกตื่น แต่ต้องตื่นมารับรู้ ทันเหตุการณ์นอกบ้าน ที่จะมีผลกระทบในบ้านเราเสียบ้าง ช่วยกันปลุก ช่วยกันให้ข้อมูล ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่รู้แล้วเอาไปหาข้อมูลต่อ ว่า ที่อ่านกันมานี้ จริงเท็จอย่างไร แล้วคิดต่อ ดีกว่าไม่รู้จะคิดอะไร มันเป็นสมัยโลกาภิวัฒน์มิใช่หรือ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว เปลี่ยนแปลงเร็ว อย่ามัวเพลิดเพลินอยู่แต่กับการดูละครน้ำเน่า กับข่าวย้อมสี จนลืมสนใจภัยใหญ่ ที่อาจใกล้เราเข้ามาทุกทีแล้วนะครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 4
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 4

    อังกฤษ ซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่นมานานกว่าร้อยปี Anglo-Japanese Alliance มีมาตั้งแต่ ค.ศ.1902 ถ้าจำกันได้ การที่ญี่ปุ่นลุกขึ้นทำสงครามกับรัสเซีย ในปี ค.ศ.1904 ส่วนหนึ่งก็มาจากแรงยุของอังกฤษ ทำให้อังกฤษยังชื่นชมญี่ปุ่นอยู่จนทุกวันนี้ สัมพันธ์อังกฤษ-ญี่ปุ่นสะดุดชั่วคราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ไม่ได้ทำให้อังกฤษตัดจนขาดกับญี่ปุ่นอย่างจริงจัง

    ล่าสุด เมื่ออังกฤษจะมีการเลือกตั้งทั่ว ไป ในต้นเดือนพฤษาคม และผลของการเลือกต้ัง ทำให้ได้นายเดวิด แคมารอน คนชอบจีบปากเวลาพูด กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อีกรอบหนึ่ง Chatham House ถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่ง ของอังกฤษ แฝดตัวพี่ของไอ้สุดกร่าง CFR เจ้าของแผนสอยมังกร ซึ่งก็มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอังกฤษ ไม่ต่างกับที่ CFR มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอเมริกา ก็ได้เขียนบทความ ออกมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2015 เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ ไอ้สุดกร่าง เขียนแผนสอยมังกร ออกมาตบหน้าอาเฮีย ยังกับนัดกัน…

    รายงานของ Chatham House เป็นข้อเสนอต่อรัฐบาลอังกฤษ ชุดใหม่ ที่จะได้มาจากการเลือกตั้ง สรุปว่า

    …ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงของประเทศ โดยพยายามจัดทำนโยบายในแนวทางรุกมากขึ้น โดยมีเป้าหมายทั้งระดับภูมิภาค และระดับโลก นโยบายนี้น่าจะสอดคล้องกับความต้องการของอังกฤษ …

    …ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ยอมรับว่า ตนเองมี (หรือ หวัง?!) ผลประโยชน์มากมายในเอเซีย เช่นที่อินโดนีเซีย เกี่ยวกับธุรกิจการเงิน และการประกันภัย หรือเกี่ยวกับเรื่องน้ำมัน และแก๊ส ในส่วนอื่นของภูมิภาค ที่อยู่ทั้งในระยะสำรวจและขุดเจาะ และธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย ความมั่นคงของภูมิภาคเอเซีย จึงเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นเรื่องหนึ่ง ที่อังกฤษให้ความสำคัญ โดยเฉพาะ จะต้องพยายามรักษาเส้นทางเดินเรือ จากอังกฤษไปถึงเอเซีย ในบริเวณต่างๆเอาไว้ แต่นโยบายของจีน เกี่ยวกับข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ และตะวันออก การไม่สามัคคีกันในเอเซียอาคเณย์ และการถูกข่มขู่จากผู้ก่อการร้าย และสลัดทะเล ทำให้ผลประโยชน์ของอังกฤษมีความ เสี่ยงเพิ่มขึ้น … พูดภาษาชาวบ้าน ก็หมายความว่า อังกฤษ ทำท่าจะไม่รวยขึ้น หรือจะจนลงด้วยซ้ำ จากการที่ควบคุม ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเด็กแถวเอเซีย ไม่อยู่หมัด เหมือนสมัยเป็นนายท่านของพวกอาณานิคม
    แต่มันติดปัญหา … ชาวเกาะใหญ่ฯ สารภาพอย่างหมดท่า แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็คงจะส่งกองกำลังของตนเอง ไปดูแลอย่างเดิมไม่ได้ เพราะงบด้านความมั่นคง ถูกตัดเสียเหลือสั้นกว่านิ้วก้อย และถ้าพรรคอนุรักษ์นิยม เจ้าของนโยบายการตัดงบด้านความมั่นคง กลับมาเป็นรัฐบาล (ซึ่งก็กลับมาจริงๆ) งบนี้ก็คงถูกตัดเหมือนเดิม ทางออกที่ดีที่สุดของรัฐบาลใหม่ คือไปจับมือกับญี่ปุ่นเสียให้แน่น เพราะญี่ปุ่นเองก็ต้องจับตาจ้อง คอยกันท่าไม่ให้จีนแหยมหน้า เข้ามาใกล้ตัวเองอยู่แล้ว...

    ….ข่าวเรื่องญี่ปุ่นต้ังงบด้าน ความมั่นคงสำหรับปี 2015 เสียสูงลิ่วถึง 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ ทำให้ชาวเกาะใหญ่ฯ ตาโตเท่าไข่ห่าน งบขนาดนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ บอก เราไปเอี่ยวกับเขาน่ะ ดีที่สุดแล้ว …..

    นอกจากนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ ได้ยินมาว่า อเมริกากับญี่ปุ่น กำลังร่างยุทธศาสตร์ที่จะใช้ฐานทัพของญี่ปุ่นที่ Djibouti (ที่โซมาเลีย) ซึ่งเป็นฐานทัพนอกบ้านฐานแรกของญี่ปุ่น เพื่อใช้การปราบสลัดแถบนั้น ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์มาก กับเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ของอังกฤษ และดูแลผลประโยชน์ของอังกฤษ ได้ทั้งแถบตะวันออกกลาง และเอเซีย …. ซึ่งนายอาเบะ ก็แบะท่าไว้แล้ว ตั้งแต่มาคารวะอังกฤษในปี 2014 ว่า อยากจะเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงกับอังกฤษมากขึ้น เป็นท่าทีใหม่ของญี่ปุ่นที่มีกับชาวเกาะใหญ่ฯ ในรอบหลายปีเลยทีเดียว…

    Chatham House ฝาแฝดตัวพี่ ของสุดกร่าง CFR บอกว่า เราน่าจะชวน ญี่ปุ่น ชาวเกาะด้วยกัน มาทำสัญญาความร่วมมือสาระพัด แต่ดูๆไปแล้ว มันเป็นการกลบเกลื่อนความต้องการ จริงของชาวเกาะใหญ่ ที่ต้องการให้ญี่ปุ่น เป็นตัวแทน เป็นยาม เป็นหน่วยลาดตะเวน เป็นหน่วยปะทะ ถือถาดบริการชาวเกาะใหญ่ ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ยาวไปถึงโซมาเลียได้ยิ่งดี เหมือนกับที่ญี่ปุ่น กำลังเตรียมตัวทำให้นักล่าใบตองแห้ง แต่ ชาวเกาะใหญ่ฯ ถือไพ่เหนือมือคุณยุ่นเขา เหมือนนักล่าฯ หรือเปล่าล่ะ อาจจะถือไพ่ใต้มือเขาเสียด้วยซ้ำ ถ้าเขารู้ว่า บ้อท่า ถังแตก งบหดสั้นกว่านิ้วก้อยอย่างนั้น

    คิดไปคิดมา Chatham House แนะนำให้ชาวเกาะใหญ่กัดฟัน เสนอให้ร่วมมือด้านข่าวกรองกับญี่ปุ่นไปเลย และจริงๆ ถ้าจะปกป้องผลประโยชน์ของเราได้ดี เราก็น่าจะให้เขารู้ข้อมูลข่าวกรอง ของฝ่ายตรงกันข้ามมากกว่านี้ ….แสดงว่าชาวเกาะฝีมือไม่เบา จารกรรมจนได้ข้อมูลดีๆมาแยะ แต่อมแอบไว้ก่อน
    อืม… นี่มันเรื่องใหญ่มากนะครับ อังกฤษ มีระบบการจารกรรมข้อมูลข่าวสารและสัญญานทั่วโลก เช่นระบบ Echelon ที่โด่งดังมาก และมีระบบอื่นๆอีกมาก เขาว่ามันมีถึง 10 ระบบแล้ว จากหลายหน่วยงานข่าวกรองของอังกฤษ และข้อมูลทั้งหมดที่ไปล้วงได้มา จะถูกส่งไปที่ศูนย์รวม ที่เรียกว่า Government Communications Headquarters (GCHQ) ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับระบบจารก รรมข่าวกรองของ National Security Council (NSC) ของอเมริกา เช่น ระบบ Prism ที่นายEdward Snowden เอามาแฉ เมื่อ 2,3 ปีก่อน จนเป็นเรื่องครึกโครม ด่าทอ ต่อว่า พวกกันเอง แอบดักฟังกันเอง

    ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ มีข้อตกลงให้ความร่วมมือกัน ว่าข้อมูลที่ล้วงมาได้จากการจาร กรรมของ ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ ตกลงที่จะแชร์กัน กับ เฉพาะไม่กี่ประเทศ ที่เรียกว่า 5 ตา 7 ตา (5ตา five eyes มีเฉพาะพวกแองโกลแซกซอน คือ อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ส่วน 7 ตา เพิ่ม สวีเดน กับ เดนมาร์ก เข้าไปด้วย รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง ผลัดกันล้วง)

    ถ้าอังกฤษ และญี่ปุ่นตกลงให้ความร่วมมือกันด้านข่าวกรอง ญี่ปุ่นจะเป็นพันธมิตรข่าวกรองของกลุ่มแองโกลแซกซอน จากเอเซียชาติแรก และมันน่าจะทำให้เห็นชัดเจนว่า ญี่ปุ่นเลือกยืนอยู่ที่ใด และการแบ่งข้างในภูมิภาคเอเซี ยคงยิ่งกว่าชัดเจน และ ผู้ที่จะเป็นเป้าใหญ่ ของการเล่นเป็นทีม ของแฝดพี่น้องตัวแสบของโลก Chatham House และ CFR คงไม่พ้นอาเฮียแห่งแดนมังกร และน่าเป็นห่วงว่า เอเซียคงร้อนระอุไม่แพ้ตะวันออกกลาง สมใจอเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศในเอเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนน่วม ก่อนที่อเมริกา จะยาตราเข้ามาเก็บกวาด
    และถ้าคิดถึงความต่อเนื่อง ของเรื่องราว ระยะเวลาของการปล่อยรายงาน สู่สาธารณะ และสันดานของผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเป็นไปได้ว่า อาจเป็นการสมคบกัน ระหว่างฝาแฝดสุดแสบ ที่ CFR จะวางแผนร่วมกับ Chatham House คิดหาวิธีการที่จะสู้กับระบบป้องกัน A2/AD ของจีน ซึ่งอเมริกากำลังหนักใจอยู่ โดยการเอาระบบการเจาะข่าวกรอง ด้านสัญญาณ ทุกรูปแบบ รวมทั้งด้านไซเบอร์ ของอังกฤษ ร่วมกับของอเมริกา และออกข่าวกดดันจีน และไม่แน่ว่า อังกฤษ จะแอบมาติดต้ังระบบให้ญี่ปุ่น ที่เกาะ Yonaguni เรียบร้อยไปแล้วก็ได้ ป่านนี้คุณพี่อาเบะ อาจจะนับขนจมูกอาเฮียไปหลายรอบ แล้ว เหมือนกับฐานทัพของญี่ปุ่น ที่ Djibuti ที่อังกฤษออกมาปูดว่า ญี่ปุ่นมีแล้ว โดยที่เรื่อง การขยายกองทัพ SDF ของญี่ปุ่นยังไม่ผ่านสภาสูงเลย แต่ญี่ปุ่นก็เดินหน้าทำไปจนเสร็จแล้ว

    ถ้าพวกเขา จับมือเล่นละครกันแบบนี้จริง เรื่อง Grand Strategy แผนสอยมังกร ของอเมริกา ก็ยิ่งน่าจับตามากขึ้น และเราก็คงต้องติดตามดูความเคลื่อนไหว ในภูมิภาคเอเซียของเรา กันอย่างใกล้ชิด เพราะเรื่องมันใกล้บ้านเรามากนะครับ

    (เรื่องระบบ A2/AD นี้ รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง แผนสอยมังกร ครับ)

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    26 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 4 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 4 อังกฤษ ซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่นมานานกว่าร้อยปี Anglo-Japanese Alliance มีมาตั้งแต่ ค.ศ.1902 ถ้าจำกันได้ การที่ญี่ปุ่นลุกขึ้นทำสงครามกับรัสเซีย ในปี ค.ศ.1904 ส่วนหนึ่งก็มาจากแรงยุของอังกฤษ ทำให้อังกฤษยังชื่นชมญี่ปุ่นอยู่จนทุกวันนี้ สัมพันธ์อังกฤษ-ญี่ปุ่นสะดุดชั่วคราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ไม่ได้ทำให้อังกฤษตัดจนขาดกับญี่ปุ่นอย่างจริงจัง ล่าสุด เมื่ออังกฤษจะมีการเลือกตั้งทั่ว ไป ในต้นเดือนพฤษาคม และผลของการเลือกต้ัง ทำให้ได้นายเดวิด แคมารอน คนชอบจีบปากเวลาพูด กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อีกรอบหนึ่ง Chatham House ถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่ง ของอังกฤษ แฝดตัวพี่ของไอ้สุดกร่าง CFR เจ้าของแผนสอยมังกร ซึ่งก็มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอังกฤษ ไม่ต่างกับที่ CFR มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอเมริกา ก็ได้เขียนบทความ ออกมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2015 เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ ไอ้สุดกร่าง เขียนแผนสอยมังกร ออกมาตบหน้าอาเฮีย ยังกับนัดกัน… รายงานของ Chatham House เป็นข้อเสนอต่อรัฐบาลอังกฤษ ชุดใหม่ ที่จะได้มาจากการเลือกตั้ง สรุปว่า …ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงของประเทศ โดยพยายามจัดทำนโยบายในแนวทางรุกมากขึ้น โดยมีเป้าหมายทั้งระดับภูมิภาค และระดับโลก นโยบายนี้น่าจะสอดคล้องกับความต้องการของอังกฤษ … …ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ยอมรับว่า ตนเองมี (หรือ หวัง?!) ผลประโยชน์มากมายในเอเซีย เช่นที่อินโดนีเซีย เกี่ยวกับธุรกิจการเงิน และการประกันภัย หรือเกี่ยวกับเรื่องน้ำมัน และแก๊ส ในส่วนอื่นของภูมิภาค ที่อยู่ทั้งในระยะสำรวจและขุดเจาะ และธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย ความมั่นคงของภูมิภาคเอเซีย จึงเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นเรื่องหนึ่ง ที่อังกฤษให้ความสำคัญ โดยเฉพาะ จะต้องพยายามรักษาเส้นทางเดินเรือ จากอังกฤษไปถึงเอเซีย ในบริเวณต่างๆเอาไว้ แต่นโยบายของจีน เกี่ยวกับข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ และตะวันออก การไม่สามัคคีกันในเอเซียอาคเณย์ และการถูกข่มขู่จากผู้ก่อการร้าย และสลัดทะเล ทำให้ผลประโยชน์ของอังกฤษมีความ เสี่ยงเพิ่มขึ้น … พูดภาษาชาวบ้าน ก็หมายความว่า อังกฤษ ทำท่าจะไม่รวยขึ้น หรือจะจนลงด้วยซ้ำ จากการที่ควบคุม ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเด็กแถวเอเซีย ไม่อยู่หมัด เหมือนสมัยเป็นนายท่านของพวกอาณานิคม แต่มันติดปัญหา … ชาวเกาะใหญ่ฯ สารภาพอย่างหมดท่า แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็คงจะส่งกองกำลังของตนเอง ไปดูแลอย่างเดิมไม่ได้ เพราะงบด้านความมั่นคง ถูกตัดเสียเหลือสั้นกว่านิ้วก้อย และถ้าพรรคอนุรักษ์นิยม เจ้าของนโยบายการตัดงบด้านความมั่นคง กลับมาเป็นรัฐบาล (ซึ่งก็กลับมาจริงๆ) งบนี้ก็คงถูกตัดเหมือนเดิม ทางออกที่ดีที่สุดของรัฐบาลใหม่ คือไปจับมือกับญี่ปุ่นเสียให้แน่น เพราะญี่ปุ่นเองก็ต้องจับตาจ้อง คอยกันท่าไม่ให้จีนแหยมหน้า เข้ามาใกล้ตัวเองอยู่แล้ว... ….ข่าวเรื่องญี่ปุ่นต้ังงบด้าน ความมั่นคงสำหรับปี 2015 เสียสูงลิ่วถึง 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ ทำให้ชาวเกาะใหญ่ฯ ตาโตเท่าไข่ห่าน งบขนาดนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ บอก เราไปเอี่ยวกับเขาน่ะ ดีที่สุดแล้ว ….. นอกจากนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ ได้ยินมาว่า อเมริกากับญี่ปุ่น กำลังร่างยุทธศาสตร์ที่จะใช้ฐานทัพของญี่ปุ่นที่ Djibouti (ที่โซมาเลีย) ซึ่งเป็นฐานทัพนอกบ้านฐานแรกของญี่ปุ่น เพื่อใช้การปราบสลัดแถบนั้น ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์มาก กับเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ของอังกฤษ และดูแลผลประโยชน์ของอังกฤษ ได้ทั้งแถบตะวันออกกลาง และเอเซีย …. ซึ่งนายอาเบะ ก็แบะท่าไว้แล้ว ตั้งแต่มาคารวะอังกฤษในปี 2014 ว่า อยากจะเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงกับอังกฤษมากขึ้น เป็นท่าทีใหม่ของญี่ปุ่นที่มีกับชาวเกาะใหญ่ฯ ในรอบหลายปีเลยทีเดียว… Chatham House ฝาแฝดตัวพี่ ของสุดกร่าง CFR บอกว่า เราน่าจะชวน ญี่ปุ่น ชาวเกาะด้วยกัน มาทำสัญญาความร่วมมือสาระพัด แต่ดูๆไปแล้ว มันเป็นการกลบเกลื่อนความต้องการ จริงของชาวเกาะใหญ่ ที่ต้องการให้ญี่ปุ่น เป็นตัวแทน เป็นยาม เป็นหน่วยลาดตะเวน เป็นหน่วยปะทะ ถือถาดบริการชาวเกาะใหญ่ ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ยาวไปถึงโซมาเลียได้ยิ่งดี เหมือนกับที่ญี่ปุ่น กำลังเตรียมตัวทำให้นักล่าใบตองแห้ง แต่ ชาวเกาะใหญ่ฯ ถือไพ่เหนือมือคุณยุ่นเขา เหมือนนักล่าฯ หรือเปล่าล่ะ อาจจะถือไพ่ใต้มือเขาเสียด้วยซ้ำ ถ้าเขารู้ว่า บ้อท่า ถังแตก งบหดสั้นกว่านิ้วก้อยอย่างนั้น คิดไปคิดมา Chatham House แนะนำให้ชาวเกาะใหญ่กัดฟัน เสนอให้ร่วมมือด้านข่าวกรองกับญี่ปุ่นไปเลย และจริงๆ ถ้าจะปกป้องผลประโยชน์ของเราได้ดี เราก็น่าจะให้เขารู้ข้อมูลข่าวกรอง ของฝ่ายตรงกันข้ามมากกว่านี้ ….แสดงว่าชาวเกาะฝีมือไม่เบา จารกรรมจนได้ข้อมูลดีๆมาแยะ แต่อมแอบไว้ก่อน อืม… นี่มันเรื่องใหญ่มากนะครับ อังกฤษ มีระบบการจารกรรมข้อมูลข่าวสารและสัญญานทั่วโลก เช่นระบบ Echelon ที่โด่งดังมาก และมีระบบอื่นๆอีกมาก เขาว่ามันมีถึง 10 ระบบแล้ว จากหลายหน่วยงานข่าวกรองของอังกฤษ และข้อมูลทั้งหมดที่ไปล้วงได้มา จะถูกส่งไปที่ศูนย์รวม ที่เรียกว่า Government Communications Headquarters (GCHQ) ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับระบบจารก รรมข่าวกรองของ National Security Council (NSC) ของอเมริกา เช่น ระบบ Prism ที่นายEdward Snowden เอามาแฉ เมื่อ 2,3 ปีก่อน จนเป็นเรื่องครึกโครม ด่าทอ ต่อว่า พวกกันเอง แอบดักฟังกันเอง ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ มีข้อตกลงให้ความร่วมมือกัน ว่าข้อมูลที่ล้วงมาได้จากการจาร กรรมของ ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ ตกลงที่จะแชร์กัน กับ เฉพาะไม่กี่ประเทศ ที่เรียกว่า 5 ตา 7 ตา (5ตา five eyes มีเฉพาะพวกแองโกลแซกซอน คือ อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ส่วน 7 ตา เพิ่ม สวีเดน กับ เดนมาร์ก เข้าไปด้วย รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง ผลัดกันล้วง) ถ้าอังกฤษ และญี่ปุ่นตกลงให้ความร่วมมือกันด้านข่าวกรอง ญี่ปุ่นจะเป็นพันธมิตรข่าวกรองของกลุ่มแองโกลแซกซอน จากเอเซียชาติแรก และมันน่าจะทำให้เห็นชัดเจนว่า ญี่ปุ่นเลือกยืนอยู่ที่ใด และการแบ่งข้างในภูมิภาคเอเซี ยคงยิ่งกว่าชัดเจน และ ผู้ที่จะเป็นเป้าใหญ่ ของการเล่นเป็นทีม ของแฝดพี่น้องตัวแสบของโลก Chatham House และ CFR คงไม่พ้นอาเฮียแห่งแดนมังกร และน่าเป็นห่วงว่า เอเซียคงร้อนระอุไม่แพ้ตะวันออกกลาง สมใจอเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศในเอเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนน่วม ก่อนที่อเมริกา จะยาตราเข้ามาเก็บกวาด และถ้าคิดถึงความต่อเนื่อง ของเรื่องราว ระยะเวลาของการปล่อยรายงาน สู่สาธารณะ และสันดานของผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเป็นไปได้ว่า อาจเป็นการสมคบกัน ระหว่างฝาแฝดสุดแสบ ที่ CFR จะวางแผนร่วมกับ Chatham House คิดหาวิธีการที่จะสู้กับระบบป้องกัน A2/AD ของจีน ซึ่งอเมริกากำลังหนักใจอยู่ โดยการเอาระบบการเจาะข่าวกรอง ด้านสัญญาณ ทุกรูปแบบ รวมทั้งด้านไซเบอร์ ของอังกฤษ ร่วมกับของอเมริกา และออกข่าวกดดันจีน และไม่แน่ว่า อังกฤษ จะแอบมาติดต้ังระบบให้ญี่ปุ่น ที่เกาะ Yonaguni เรียบร้อยไปแล้วก็ได้ ป่านนี้คุณพี่อาเบะ อาจจะนับขนจมูกอาเฮียไปหลายรอบ แล้ว เหมือนกับฐานทัพของญี่ปุ่น ที่ Djibuti ที่อังกฤษออกมาปูดว่า ญี่ปุ่นมีแล้ว โดยที่เรื่อง การขยายกองทัพ SDF ของญี่ปุ่นยังไม่ผ่านสภาสูงเลย แต่ญี่ปุ่นก็เดินหน้าทำไปจนเสร็จแล้ว ถ้าพวกเขา จับมือเล่นละครกันแบบนี้จริง เรื่อง Grand Strategy แผนสอยมังกร ของอเมริกา ก็ยิ่งน่าจับตามากขึ้น และเราก็คงต้องติดตามดูความเคลื่อนไหว ในภูมิภาคเอเซียของเรา กันอย่างใกล้ชิด เพราะเรื่องมันใกล้บ้านเรามากนะครับ (เรื่องระบบ A2/AD นี้ รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง แผนสอยมังกร ครับ) สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 26 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD เตือนภัย! การจับมือระหว่าง Intel และ Nvidia อาจเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมชิป

    AMD เผยในรายงานไตรมาสล่าสุดว่าความร่วมมือระหว่าง Intel และ Nvidia อาจสร้างแรงกดดันรุนแรงต่อธุรกิจของตน ทั้งในด้านการแข่งขันและราคาที่อาจทำให้เสียเปรียบในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว.

    ในรายงานไตรมาสเดือนพฤศจิกายน 2025 AMD ได้เปิดเผยความกังวลต่อการร่วมมือระหว่างสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี — Intel และ Nvidia ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของ AMD อย่างมีนัยสำคัญ

    Nvidia ได้ลงทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ ใน Intel เพื่อพัฒนาชิปแบบ SoC ที่รวมจุดแข็งของทั้งสองบริษัท โดยเฉพาะในตลาด APU สำหรับเครื่องเล่นเกมพกพา ซึ่งเป็นจุดแข็งของ AMD มานาน หาก Intel และ Nvidia สามารถสร้างชิปที่รวม GPU และ CPU ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจทำให้ AMD สูญเสียความได้เปรียบทางเทคนิค

    นอกจากนี้ AMD ยังกล่าวหาว่า Intel และ Nvidia ใช้ตำแหน่งทางการตลาดเพื่อเสนอราคาที่ก้าวร้าวและสิ่งจูงใจพิเศษแก่ลูกค้าและพันธมิตรช่องทางขาย ซึ่งส่งผลให้ยอดขายและราคาขายเฉลี่ยของ AMD ลดลง

    แม้ AMD จะเป็นบริษัทที่มั่นคง แต่ก็ต้องเผชิญกับคู่แข่งที่มีทรัพยากรมหาศาล เช่น Nvidia ที่มีมูลค่าตลาดสูงถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ และ Intel ที่แม้จะมีปัญหาทางการเงิน แต่ยังครองส่วนแบ่งตลาด CPU อย่างแข็งแกร่ง

    AMD เตือนว่าความร่วมมือระหว่าง Intel และ Nvidia เป็นความเสี่ยงต่อธุรกิจ
    อาจส่งผลต่อยอดขายและกำไรของ AMD
    การแข่งขันด้านราคาจะรุนแรงขึ้น
    Nvidia ลงทุน $5 พันล้านใน Intel เพื่อพัฒนาชิป SoC
    อาจกระทบตลาด APU ที่ AMD เคยครอง

    พฤติกรรมทางธุรกิจของคู่แข่งที่ AMD มองว่าไม่เป็นธรรม
    Intel ใช้ส่วนแบ่งตลาด CPU เพื่อเสนอราคาก้าวร้าว
    Nvidia ใช้ทรัพยากรและระบบซอฟต์แวร์ปิดเพื่อดึงลูกค้า

    สถานะของคู่แข่งในตลาด
    Nvidia มีมูลค่าตลาดสูงสุดในโลก ณ ปัจจุบัน
    Intel ยังครองตลาด CPU แม้จะมีปัญหาทางการเงิน

    คำเตือนจาก AMD ต่อผู้ถือหุ้น
    ความร่วมมือของคู่แข่งอาจทำให้ AMD ต้องลดราคา
    อาจส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว

    ความเสี่ยงต่อการสูญเสียความได้เปรียบทางเทคนิค
    หาก Intel/Nvidia พัฒนาชิปที่รวม GPU/CPU ได้สำเร็จ
    AMD อาจเสียตำแหน่งในตลาดเกมพกพาและ APU

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/amd-warns-intel-nvidia-partnership-is-a-business-risk-quarterly-report-outlines-risk-from-increased-competition-and-pricing-pressure
    ⚠️ AMD เตือนภัย! การจับมือระหว่าง Intel และ Nvidia อาจเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมชิป AMD เผยในรายงานไตรมาสล่าสุดว่าความร่วมมือระหว่าง Intel และ Nvidia อาจสร้างแรงกดดันรุนแรงต่อธุรกิจของตน ทั้งในด้านการแข่งขันและราคาที่อาจทำให้เสียเปรียบในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว. ในรายงานไตรมาสเดือนพฤศจิกายน 2025 AMD ได้เปิดเผยความกังวลต่อการร่วมมือระหว่างสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี — Intel และ Nvidia ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของ AMD อย่างมีนัยสำคัญ Nvidia ได้ลงทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ ใน Intel เพื่อพัฒนาชิปแบบ SoC ที่รวมจุดแข็งของทั้งสองบริษัท โดยเฉพาะในตลาด APU สำหรับเครื่องเล่นเกมพกพา ซึ่งเป็นจุดแข็งของ AMD มานาน หาก Intel และ Nvidia สามารถสร้างชิปที่รวม GPU และ CPU ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจทำให้ AMD สูญเสียความได้เปรียบทางเทคนิค นอกจากนี้ AMD ยังกล่าวหาว่า Intel และ Nvidia ใช้ตำแหน่งทางการตลาดเพื่อเสนอราคาที่ก้าวร้าวและสิ่งจูงใจพิเศษแก่ลูกค้าและพันธมิตรช่องทางขาย ซึ่งส่งผลให้ยอดขายและราคาขายเฉลี่ยของ AMD ลดลง แม้ AMD จะเป็นบริษัทที่มั่นคง แต่ก็ต้องเผชิญกับคู่แข่งที่มีทรัพยากรมหาศาล เช่น Nvidia ที่มีมูลค่าตลาดสูงถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ และ Intel ที่แม้จะมีปัญหาทางการเงิน แต่ยังครองส่วนแบ่งตลาด CPU อย่างแข็งแกร่ง ✅ AMD เตือนว่าความร่วมมือระหว่าง Intel และ Nvidia เป็นความเสี่ยงต่อธุรกิจ ➡️ อาจส่งผลต่อยอดขายและกำไรของ AMD ➡️ การแข่งขันด้านราคาจะรุนแรงขึ้น ➡️ Nvidia ลงทุน $5 พันล้านใน Intel เพื่อพัฒนาชิป SoC ➡️ อาจกระทบตลาด APU ที่ AMD เคยครอง ✅ พฤติกรรมทางธุรกิจของคู่แข่งที่ AMD มองว่าไม่เป็นธรรม ➡️ Intel ใช้ส่วนแบ่งตลาด CPU เพื่อเสนอราคาก้าวร้าว ➡️ Nvidia ใช้ทรัพยากรและระบบซอฟต์แวร์ปิดเพื่อดึงลูกค้า ✅ สถานะของคู่แข่งในตลาด ➡️ Nvidia มีมูลค่าตลาดสูงสุดในโลก ณ ปัจจุบัน ➡️ Intel ยังครองตลาด CPU แม้จะมีปัญหาทางการเงิน ‼️ คำเตือนจาก AMD ต่อผู้ถือหุ้น ⛔ ความร่วมมือของคู่แข่งอาจทำให้ AMD ต้องลดราคา ⛔ อาจส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว ‼️ ความเสี่ยงต่อการสูญเสียความได้เปรียบทางเทคนิค ⛔ หาก Intel/Nvidia พัฒนาชิปที่รวม GPU/CPU ได้สำเร็จ ⛔ AMD อาจเสียตำแหน่งในตลาดเกมพกพาและ APU https://www.tomshardware.com/tech-industry/amd-warns-intel-nvidia-partnership-is-a-business-risk-quarterly-report-outlines-risk-from-increased-competition-and-pricing-pressure
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    คดีล่าสุดของ ร.ต.อ. สิงห์: จอมมารแห่งการฆ่า

    เหตุการณ์สยองขวัญในกรุงเทพ

    คืนแห่งความตายครั้งแรก

    ในคืนเดือนมืด เกิดเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญในย่านธุรกิจ
    ผู้เสียชีวิตคือดร. กฤษณ์ นักวิจัยเจนีซิส แล็บ

    ลักษณะคดี:

    · ถูกฆ่าอย่างป่าเถื่อน แต่ไม่มีร่องรอยการต่อสู้
    · ร่างกายถูกวางในท่าประหลาด เหมือนกำลังนั่งสมาธิ
    · มีสัญลักษณ์ประหลาดเขียนด้วยเลือดอยู่ข้างกาย

    ```mermaid
    graph TB
    A[ดร.กฤษณ์<br>นักวิจัยเก่า] --> B[ถูกฆ่า<br>แบบพิธีกรรม]
    B --> C[พบสัญลักษณ์<br>ลึกลับ]
    C --> D[ร.ต.อ.สิงห์<br>รับคดีสำคัญ]
    ```

    หลักฐานลึกลับ

    ร.ต.อ. สิงห์ ตรวจสอบที่เกิดเหตุ:

    · กล้องวงจรปิด: ไม่บันทึกภาพผู้ต้องสงสัย
    · ลายนิ้วมือ: ไม่พบรอยใดๆ
    · สัญลักษณ์เลือด: เป็นรูป "วงกลมสามชั้น" ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

    การสอบสวนและคลี่คลาย

    การเชื่อมโยียงกับอดีต

    สิงห์พบว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดล้วนเชื่อมโยง

    · อดีตพนักงานเจนีซิส แล็บ
    · นักวิจัยโครงการโอปปาติกะ
    · ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดลอง

    ลายแทงจากหนูดี

    หนูดี รู้สึกถึงพลังงานประหลาด:
    "พ่อคะ...หนูรู้สึกถึงพลังงานแห่งความโกรธแค้น
    มันพลังงานธรรมดา...แต่คือพลังงานที่เคยเป็นมนุษย์"

    การวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์

    สิงห์ใช้ความรู้เดิมด้านวิทยาศาสตร์ช่วยวิเคราะห์:

    ```python
    class MurderAnalysis:
    def __init__(self):
    self.evidence = {
    "energy_residue": "พลังงานจิตระดับสูง",
    "symbolism": "สัญลักษณ์แทนการเกิด-ตาย",
    "victim_pattern": "เกี่ยวข้องกับโอปปาติกะ",
    "motive": "อาจเป็นการแก้แค้น"
    }

    def hypothesis(self):
    return "ฆาตกรอาจเป็นโอปปาติกะที่กลายพันธุ์"
    ```

    การเผชิญหน้าจอมมารแห่งการฆ่า

    ตัวตนที่แท้จริงของฆาตกร

    หลังการสอบสวนอย่างละเอียด พบว่า...
    จอมมารแห่งการฆ่าคือ OPPATIKA-0
    โอปปาติกะรุ่นแรกที่หลบหนีจากการทดลอง

    เบื้องหลังความโกรธแค้น

    OPPATIKA-0 เปิดเผยความจริง:
    "พวกมนุษย์ใช้เราเป็นเครื่องทดลอง...
    ทรมานเรา แล้วทิ้งเราเหมือนขยะ
    นี่คือการตอบแทน!"

    ลักษณะของจอมมาร

    · รูปลักษณ์: ร่างกายพิการจากผลข้างเคียงการทดลอง
    · ความสามารถ: ควบคุมพลังงานมืดและลอบล่องหนได้
    · จุดอ่อน: ยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่

    การแก้ไขปัญหาด้วยปัญญา

    แนวทางของ ร.ต.อ. สิงห์

    แทนที่จะใช้ความรุนแรง สิงห์เลือกพูดคุย:
    "เราเข้าใจความเจ็บปวดของเธอ...
    แต่การฆาตกรรมไม่ใช่ทางออก"

    การช่วยเหลือของหนูดี

    หนูดีใช้ความสามารถในการสื่อสารกับโอปปาติกะ:
    "พี่ครับ...เราเข้าใจว่าพี่เจ็บปวด
    แต่ตอนนี้มีทางเลือกอื่นแล้ว"

    การเสนอทางออก

    สิงห์เสนอทางเลือกให้ OPPATIKA-0:

    · การบำบัดฟื้นฟู ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต
    · การได้รับสถานะ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
    · โอกาสได้ช่วยเหลือ โอปปาติกะรุ่นหลัง

    กระบวนการฟื้นฟู

    การรักษาทางจิตใจ

    OPPATIKA-0 ผ่านกระบวนการ:

    ```mermaid
    graph LR
    A[ยอมรับความเจ็บปวด] --> B[เรียนรู้การให้อภัย]
    B --> C[ค้นหาความหมายใหม่]
    C --> D[ใช้ประสบการณ์ช่วยเหลือ他人]
    ```

    การรักษาทางกายภาพ

    ทีมแพทย์และโอปปาติกะร่วมกัน:

    · ซ่อมแซมร่างกายที่พิการ
    · ปรับสมดุลพลังงาน
    · สอนการควบคุมพลังอย่างถูกต้อง

    ผลการดำเนินคดี

    การตัดสินโดยความเข้าใจ

    แทนการดำเนินคดีอาญา OPPATIKA-0 ได้รับ:

    · การกักกัน ชั่วคราวที่สถาบัน
    · การบำบัด แทnการลงโทษ
    · โอกาส ใช้ความสามารถในทางสร้างสรรค์

    การเปลี่ยนแปลงของ OPPATIKA-0

    จากจอมมารแห่งการฆ่า สู่...
    "ผู้พิทักษ์โอปปาติกะ"
    ทำหน้าที่ช่วยเหลือโอปปาติกะที่ประสบปัญหา

    พัฒนาการของตัวละคร

    ร.ต.อ. สิงห์

    เรียนรู้ว่า...
    "การเป็นตำรวจไม่ใช่แค่การจับกุม...
    แต่คือการเข้าใจและแก้ไขที่ต้นเหตุ"

    หนูดี

    เข้าใจว่า...
    "บางครั้งศัตรูที่ดูน่ากลัวที่สุด...
    คือเพื่อนที่เจ็บปวดและต้องการความเข้าใจ"

    ระบบยุติธรรม

    เกิดการเปลี่ยนแปลง...

    · หน่วยพิเศษ สำหรับคดีที่เกี่ยวข้องกับโอปปาติกะ
    · กฎหมายใหม่ ที่คำนึงถึงสถานะพิเศษของโอปปาติกะ
    · กระบวนการ บำบัดแทนการลงโทษ

    บทเรียนจากคดี

    สำหรับสังคม

    · การเข้าใจและยอมรับสิ่งใหม่ๆ
    · การให้โอกาสผู้ที่เคยทำผิด
    · ความสำคัญของการฟื้นฟูมากกว่าการลงโทษ

    🪷 สำหรับ

    ```python
    def life_lessons():
    return {
    "forgiveness": "การให้อภัยรักษาทั้งผู้ให้และผู้รับ",
    "understanding": "การเข้าใจนำไปสู่ทางออกที่ยั่งยืน",
    "second_chance": "ทุกคนสมควรได้รับโอกาสเริ่มใหม่"
    }
    ```

    บทสรุปแห่งความเมตตา

    คำคมจาก ร.ต.อ. สิงห์

    "ในฐานะตำรวจ ฉันเคยคิดว่าความยุติธรรมคือการลงโทษ
    แต่คดีนี้สอนฉันว่า...
    ความยุติธรรมที่แท้คือการรักษา"

    อนาคตใหม่

    OPPATIKA-0 ในบทบาทใหม่:

    · เป็นที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยให้สถาบัน
    · ช่วยป้องกันไม่ให้โอปปาติกะตกอยู่ในทางผิด
    · เป็นแบบอย่างของการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปได้

    ---

    คำคมสุดท้ายจาก OPPATIKA-0:
    "ฉันเคยคิดว่าความเจ็บปวดมีทางออกเดียว...
    แต่พวกเขาสอนฉันว่ามีอีกหลายทาง
    และทางที่สวยงามที่สุด...
    คือทางแห่งความเข้าใจและการให้อภัย"

    คดีนี้ไม่ใช่แค่การคลี่คลายฆาตกรรม...
    แต่คือการเยียวยาบาดแผลแห่งอดีต
    และสร้างอนาคตใหม่ให้ทุกฝ่าย
    O.P.K. 🚨 คดีล่าสุดของ ร.ต.อ. สิงห์: จอมมารแห่งการฆ่า 🩸 เหตุการณ์สยองขวัญในกรุงเทพ 🌃 คืนแห่งความตายครั้งแรก ในคืนเดือนมืด เกิดเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญในย่านธุรกิจ ผู้เสียชีวิตคือดร. กฤษณ์ นักวิจัยเจนีซิส แล็บ ลักษณะคดี: · ถูกฆ่าอย่างป่าเถื่อน แต่ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ · ร่างกายถูกวางในท่าประหลาด เหมือนกำลังนั่งสมาธิ · มีสัญลักษณ์ประหลาดเขียนด้วยเลือดอยู่ข้างกาย ```mermaid graph TB A[ดร.กฤษณ์<br>นักวิจัยเก่า] --> B[ถูกฆ่า<br>แบบพิธีกรรม] B --> C[พบสัญลักษณ์<br>ลึกลับ] C --> D[ร.ต.อ.สิงห์<br>รับคดีสำคัญ] ``` 🔍 หลักฐานลึกลับ ร.ต.อ. สิงห์ ตรวจสอบที่เกิดเหตุ: · กล้องวงจรปิด: ไม่บันทึกภาพผู้ต้องสงสัย · ลายนิ้วมือ: ไม่พบรอยใดๆ · สัญลักษณ์เลือด: เป็นรูป "วงกลมสามชั้น" ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน 🕵️ การสอบสวนและคลี่คลาย 🧩 การเชื่อมโยียงกับอดีต สิงห์พบว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดล้วนเชื่อมโยง · อดีตพนักงานเจนีซิส แล็บ · นักวิจัยโครงการโอปปาติกะ · ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดลอง 🔮 ลายแทงจากหนูดี หนูดี รู้สึกถึงพลังงานประหลาด: "พ่อคะ...หนูรู้สึกถึงพลังงานแห่งความโกรธแค้น มันพลังงานธรรมดา...แต่คือพลังงานที่เคยเป็นมนุษย์" 🧪 การวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ สิงห์ใช้ความรู้เดิมด้านวิทยาศาสตร์ช่วยวิเคราะห์: ```python class MurderAnalysis: def __init__(self): self.evidence = { "energy_residue": "พลังงานจิตระดับสูง", "symbolism": "สัญลักษณ์แทนการเกิด-ตาย", "victim_pattern": "เกี่ยวข้องกับโอปปาติกะ", "motive": "อาจเป็นการแก้แค้น" } def hypothesis(self): return "ฆาตกรอาจเป็นโอปปาติกะที่กลายพันธุ์" ``` 👹 การเผชิญหน้าจอมมารแห่งการฆ่า 🌑 ตัวตนที่แท้จริงของฆาตกร หลังการสอบสวนอย่างละเอียด พบว่า... จอมมารแห่งการฆ่าคือ OPPATIKA-0 โอปปาติกะรุ่นแรกที่หลบหนีจากการทดลอง 💔 เบื้องหลังความโกรธแค้น OPPATIKA-0 เปิดเผยความจริง: "พวกมนุษย์ใช้เราเป็นเครื่องทดลอง... ทรมานเรา แล้วทิ้งเราเหมือนขยะ นี่คือการตอบแทน!" 🎭 ลักษณะของจอมมาร · รูปลักษณ์: ร่างกายพิการจากผลข้างเคียงการทดลอง · ความสามารถ: ควบคุมพลังงานมืดและลอบล่องหนได้ · จุดอ่อน: ยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ ⚔️ การแก้ไขปัญหาด้วยปัญญา 🕊️ แนวทางของ ร.ต.อ. สิงห์ แทนที่จะใช้ความรุนแรง สิงห์เลือกพูดคุย: "เราเข้าใจความเจ็บปวดของเธอ... แต่การฆาตกรรมไม่ใช่ทางออก" 💫 การช่วยเหลือของหนูดี หนูดีใช้ความสามารถในการสื่อสารกับโอปปาติกะ: "พี่ครับ...เราเข้าใจว่าพี่เจ็บปวด แต่ตอนนี้มีทางเลือกอื่นแล้ว" 🌈 การเสนอทางออก สิงห์เสนอทางเลือกให้ OPPATIKA-0: · การบำบัดฟื้นฟู ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต · การได้รับสถานะ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย · โอกาสได้ช่วยเหลือ โอปปาติกะรุ่นหลัง 🏥 กระบวนการฟื้นฟู 🧠 การรักษาทางจิตใจ OPPATIKA-0 ผ่านกระบวนการ: ```mermaid graph LR A[ยอมรับความเจ็บปวด] --> B[เรียนรู้การให้อภัย] B --> C[ค้นหาความหมายใหม่] C --> D[ใช้ประสบการณ์ช่วยเหลือ他人] ``` 🔬 การรักษาทางกายภาพ ทีมแพทย์และโอปปาติกะร่วมกัน: · ซ่อมแซมร่างกายที่พิการ · ปรับสมดุลพลังงาน · สอนการควบคุมพลังอย่างถูกต้อง 📊 ผลการดำเนินคดี ⚖️ การตัดสินโดยความเข้าใจ แทนการดำเนินคดีอาญา OPPATIKA-0 ได้รับ: · การกักกัน ชั่วคราวที่สถาบัน · การบำบัด แทnการลงโทษ · โอกาส ใช้ความสามารถในทางสร้างสรรค์ 🌟 การเปลี่ยนแปลงของ OPPATIKA-0 จากจอมมารแห่งการฆ่า สู่... "ผู้พิทักษ์โอปปาติกะ" ทำหน้าที่ช่วยเหลือโอปปาติกะที่ประสบปัญหา 💞 พัฒนาการของตัวละคร 👮 ร.ต.อ. สิงห์ เรียนรู้ว่า... "การเป็นตำรวจไม่ใช่แค่การจับกุม... แต่คือการเข้าใจและแก้ไขที่ต้นเหตุ" 👧 หนูดี เข้าใจว่า... "บางครั้งศัตรูที่ดูน่ากลัวที่สุด... คือเพื่อนที่เจ็บปวดและต้องการความเข้าใจ" 🏛️ ระบบยุติธรรม เกิดการเปลี่ยนแปลง... · หน่วยพิเศษ สำหรับคดีที่เกี่ยวข้องกับโอปปาติกะ · กฎหมายใหม่ ที่คำนึงถึงสถานะพิเศษของโอปปาติกะ · กระบวนการ บำบัดแทนการลงโทษ 🎯 บทเรียนจากคดี 🌍 สำหรับสังคม · การเข้าใจและยอมรับสิ่งใหม่ๆ · การให้โอกาสผู้ที่เคยทำผิด · ความสำคัญของการฟื้นฟูมากกว่าการลงโทษ 🪷 สำหรับ ```python def life_lessons(): return { "forgiveness": "การให้อภัยรักษาทั้งผู้ให้และผู้รับ", "understanding": "การเข้าใจนำไปสู่ทางออกที่ยั่งยืน", "second_chance": "ทุกคนสมควรได้รับโอกาสเริ่มใหม่" } ``` 🏁 บทสรุปแห่งความเมตตา 💫 คำคมจาก ร.ต.อ. สิงห์ "ในฐานะตำรวจ ฉันเคยคิดว่าความยุติธรรมคือการลงโทษ แต่คดีนี้สอนฉันว่า... ความยุติธรรมที่แท้คือการรักษา" 🌈 อนาคตใหม่ OPPATIKA-0 ในบทบาทใหม่: · เป็นที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยให้สถาบัน · ช่วยป้องกันไม่ให้โอปปาติกะตกอยู่ในทางผิด · เป็นแบบอย่างของการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปได้ --- คำคมสุดท้ายจาก OPPATIKA-0: "ฉันเคยคิดว่าความเจ็บปวดมีทางออกเดียว... แต่พวกเขาสอนฉันว่ามีอีกหลายทาง และทางที่สวยงามที่สุด... คือทางแห่งความเข้าใจและการให้อภัย"🕊️✨ คดีนี้ไม่ใช่แค่การคลี่คลายฆาตกรรม... แต่คือการเยียวยาบาดแผลแห่งอดีต และสร้างอนาคตใหม่ให้ทุกฝ่าย🌟
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.146 : ชมงานฮ่องกง อิเล็กทรอนิกส์ เมื่อ AI อยู่ในทุกสิ่ง
    .
    เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คุณศุภชัยได้ไปชมงานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ที่ฮ่องกง และได้เปิดหูเปิดตาว่า เทคโนโลยี AI ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งของเครื่องใช้แทบจะทุกอย่าง และได้สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ แบรนด์ระดับโลก ไปจนถึง บรรดาสตาร์ทอัพ และแบรนด์ท้องถิ่น ด้วยครับ
    .
    พอดแคส บูรพาไม่แพ้ ในวันนี้ เราจะเล่าเรื่องที่คุณศุภชัย ได้มาจากงานฮ่องกง อิเล็กทรอนิกส์ ว่ามีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจอะไรบ้าง เทคโนโลยี AI ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้อุตสาหกรรม และชีวิตประจำวันของเราอย่างไร ซึ่งอาจจะเป็นตัวอย่างสำหรับภาคธุรกิจของไทย ที่จะสร้างโอกาสให้กลับมายืนบนเวทีโลกได้
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=3P6F10NLE7Y
    .
    #บูรพาไม่แพ้ #ฮ่องกงอิเล็กทรอนิกส์ #HongKongElectronicsFair2025
    บูรพาไม่แพ้ Ep.146 : ชมงานฮ่องกง อิเล็กทรอนิกส์ เมื่อ AI อยู่ในทุกสิ่ง . เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คุณศุภชัยได้ไปชมงานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ที่ฮ่องกง และได้เปิดหูเปิดตาว่า เทคโนโลยี AI ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งของเครื่องใช้แทบจะทุกอย่าง และได้สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ แบรนด์ระดับโลก ไปจนถึง บรรดาสตาร์ทอัพ และแบรนด์ท้องถิ่น ด้วยครับ . พอดแคส บูรพาไม่แพ้ ในวันนี้ เราจะเล่าเรื่องที่คุณศุภชัย ได้มาจากงานฮ่องกง อิเล็กทรอนิกส์ ว่ามีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจอะไรบ้าง เทคโนโลยี AI ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้อุตสาหกรรม และชีวิตประจำวันของเราอย่างไร ซึ่งอาจจะเป็นตัวอย่างสำหรับภาคธุรกิจของไทย ที่จะสร้างโอกาสให้กลับมายืนบนเวทีโลกได้ . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=3P6F10NLE7Y . #บูรพาไม่แพ้ #ฮ่องกงอิเล็กทรอนิกส์ #HongKongElectronicsFair2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Nvidia ยังไม่ส่ง Blackwell GPU ไปจีน – ขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากปักกิ่ง”

    Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ได้ออกมายืนยันว่า ไม่มีแผนจะส่งชิป Blackwell GPU ไปยังประเทศจีนในตอนนี้ โดยระบุว่า “ไม่มีการพูดคุยใดๆ เกิดขึ้น” และการตัดสินใจทั้งหมดขึ้นอยู่กับทางการจีนว่าจะอนุญาตให้ Nvidia กลับมาทำตลาดได้หรือไม่

    คำพูดนี้สอดคล้องกับท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการสงวนเทคโนโลยี AI ขั้นสูงไว้ใช้ภายในประเทศก่อน โดยอดีตประธานาธิบดี Trump และรัฐมนตรีการคลัง Scott Bessent ได้กล่าวว่า จีนจะสามารถเข้าถึงชิป Blackwell ได้ก็ต่อเมื่อมันล้าสมัยแล้ว 1–2 ปี

    ความซับซ้อนของเกมการค้า AI
    แม้จะไม่มีการส่งออกอย่างเป็นทางการ แต่มีรายงานว่า ชิป Blackwell ยังคงหลุดเข้าไปในจีนผ่านช่องทางลับ ขณะเดียวกัน Nvidia ก็พยายามพัฒนาเวอร์ชันเฉพาะสำหรับจีน เช่น รุ่น B30A ที่มีประสิทธิภาพลดลงจากรุ่นมาตรฐาน และต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ หากได้รับอนุญาตให้ขาย

    จีนเดินหน้าพึ่งพาตนเองด้าน AI
    Beijing ได้สั่งห้ามบริษัทในประเทศทำธุรกิจกับ Nvidia เพื่อผลักดันการใช้ชิปภายในประเทศ และสนับสนุนการพัฒนาโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สของจีน ซึ่ง Huang ยอมรับว่า จีนมีนักวิจัย AI มากถึง 50% ของโลก และกำลังไล่ตามสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด

    Nvidia ยังไม่ส่ง Blackwell GPU ไปจีน
    Jensen Huang ยืนยันว่า “ไม่มีการพูดคุย” กับจีน
    การตัดสินใจขึ้นอยู่กับทางการจีนว่าจะอนุญาตหรือไม่
    สหรัฐฯ ต้องการสงวนเทคโนโลยีไว้ใช้ภายในก่อน

    ความพยายามของ Nvidia
    พัฒนา Blackwell รุ่นลดสเปกสำหรับจีน เช่น B30A
    หากขายได้ ต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ
    ต้องขอใบอนุญาตส่งออกก่อนทุกครั้ง

    ท่าทีของจีน
    สั่งห้ามบริษัทในประเทศทำธุรกิจกับ Nvidia
    ผลักดันการใช้ชิปและโมเดล AI ภายในประเทศ
    มีนักวิจัย AI มากถึง 50% ของโลก

    คำเตือนด้านความมั่นคงของเทคโนโลยี
    การควบคุมการส่งออกอาจกระทบห่วงโซ่ AI ทั่วโลก
    การพึ่งพาชิปจากต่างประเทศทำให้จีนเสี่ยงต่อการถูกจำกัด
    ช่องทางลับในการนำเข้าอาจละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jensen-huang-confirms-there-are-no-plans-to-ship-blackwell-gpus-to-china-right-now-chipmaker-at-beijings-mercy-nvidia-ceo-says-shipments-havent-been-approved-by-chinese-authorities
    🧠🚫 “Nvidia ยังไม่ส่ง Blackwell GPU ไปจีน – ขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากปักกิ่ง” Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ได้ออกมายืนยันว่า ไม่มีแผนจะส่งชิป Blackwell GPU ไปยังประเทศจีนในตอนนี้ โดยระบุว่า “ไม่มีการพูดคุยใดๆ เกิดขึ้น” และการตัดสินใจทั้งหมดขึ้นอยู่กับทางการจีนว่าจะอนุญาตให้ Nvidia กลับมาทำตลาดได้หรือไม่ คำพูดนี้สอดคล้องกับท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการสงวนเทคโนโลยี AI ขั้นสูงไว้ใช้ภายในประเทศก่อน โดยอดีตประธานาธิบดี Trump และรัฐมนตรีการคลัง Scott Bessent ได้กล่าวว่า จีนจะสามารถเข้าถึงชิป Blackwell ได้ก็ต่อเมื่อมันล้าสมัยแล้ว 1–2 ปี 🧩 ความซับซ้อนของเกมการค้า AI แม้จะไม่มีการส่งออกอย่างเป็นทางการ แต่มีรายงานว่า ชิป Blackwell ยังคงหลุดเข้าไปในจีนผ่านช่องทางลับ ขณะเดียวกัน Nvidia ก็พยายามพัฒนาเวอร์ชันเฉพาะสำหรับจีน เช่น รุ่น B30A ที่มีประสิทธิภาพลดลงจากรุ่นมาตรฐาน และต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ หากได้รับอนุญาตให้ขาย 🌏 จีนเดินหน้าพึ่งพาตนเองด้าน AI Beijing ได้สั่งห้ามบริษัทในประเทศทำธุรกิจกับ Nvidia เพื่อผลักดันการใช้ชิปภายในประเทศ และสนับสนุนการพัฒนาโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สของจีน ซึ่ง Huang ยอมรับว่า จีนมีนักวิจัย AI มากถึง 50% ของโลก และกำลังไล่ตามสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ✅ Nvidia ยังไม่ส่ง Blackwell GPU ไปจีน ➡️ Jensen Huang ยืนยันว่า “ไม่มีการพูดคุย” กับจีน ➡️ การตัดสินใจขึ้นอยู่กับทางการจีนว่าจะอนุญาตหรือไม่ ➡️ สหรัฐฯ ต้องการสงวนเทคโนโลยีไว้ใช้ภายในก่อน ✅ ความพยายามของ Nvidia ➡️ พัฒนา Blackwell รุ่นลดสเปกสำหรับจีน เช่น B30A ➡️ หากขายได้ ต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ ต้องขอใบอนุญาตส่งออกก่อนทุกครั้ง ✅ ท่าทีของจีน ➡️ สั่งห้ามบริษัทในประเทศทำธุรกิจกับ Nvidia ➡️ ผลักดันการใช้ชิปและโมเดล AI ภายในประเทศ ➡️ มีนักวิจัย AI มากถึง 50% ของโลก ‼️ คำเตือนด้านความมั่นคงของเทคโนโลยี ⛔ การควบคุมการส่งออกอาจกระทบห่วงโซ่ AI ทั่วโลก ⛔ การพึ่งพาชิปจากต่างประเทศทำให้จีนเสี่ยงต่อการถูกจำกัด ⛔ ช่องทางลับในการนำเข้าอาจละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jensen-huang-confirms-there-are-no-plans-to-ship-blackwell-gpus-to-china-right-now-chipmaker-at-beijings-mercy-nvidia-ceo-says-shipments-havent-been-approved-by-chinese-authorities
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมื่อไมโครซอฟท์เคยขายฮาร์ดแวร์ชิ้นแรกเพื่อให้ Apple II ใช้ซอฟต์แวร์ CP/M ได้!”

    ย้อนกลับไปเมื่อ 45 ปีก่อน ไมโครซอฟท์ไม่ได้เป็นแค่บริษัทซอฟต์แวร์อย่างที่เรารู้จักกันในวันนี้ แต่เคยเปิดตัวฮาร์ดแวร์ชิ้นแรกที่ชื่อว่า Z-80 SoftCard สำหรับเครื่อง Apple II ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ยอดนิยมในยุคนั้น โดยเป้าหมายคือให้ผู้ใช้ Apple II สามารถใช้งานซอฟต์แวร์บนระบบปฏิบัติการ CP/M ได้ ซึ่งเป็นระบบที่มีซอฟต์แวร์ธุรกิจมากมายในยุคนั้น เช่น WordStar และ dBase

    Raymond Chen นักพัฒนาระดับตำนานของ Windows ได้เล่าเบื้องหลังการพัฒนา SoftCard ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะต้องทำให้ สองหน่วยประมวลผล คือ 6502 ของ Apple II และ Zilog Z80 ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น โดยไม่เกิดปัญหาด้านการสื่อสารและการจัดการหน่วยความจำ

    ที่น่าทึ่งคือ SoftCard กลายเป็น สินค้าทำเงินสูงสุดของไมโครซอฟท์ในปี 1980 แม้จะมีราคาสูงถึง $350 ซึ่งถ้าคิดเป็นเงินปัจจุบันก็ประมาณ $1,350 เลยทีเดียว!

    สาระเพิ่มเติม
    ระบบ CP/M (Control Program for Microcomputers) เคยเป็นระบบปฏิบัติการยอดนิยมก่อนที่ MS-DOS จะครองตลาด
    Zilog Z80 เป็นซีพียูที่ได้รับความนิยมสูงในยุค 70s–80s และถูกใช้ในหลายเครื่อง เช่น ZX Spectrum และ Game Boy
    Apple II เป็นหนึ่งในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ประสบความสำเร็จที่สุดในยุคแรกของวงการ

    จุดเริ่มต้นของฮาร์ดแวร์จากไมโครซอฟท์
    Z-80 SoftCard เป็นฮาร์ดแวร์ตัวแรกของบริษัท
    เปิดตัวในปี 1980 เพื่อให้ Apple II ใช้งานซอฟต์แวร์ CP/M ได้
    ใช้ซีพียู Zilog Z80 บนการ์ดเสริม

    ความสำเร็จทางธุรกิจ
    SoftCard กลายเป็นสินค้าทำเงินสูงสุดของไมโครซอฟท์ในปีเปิดตัว
    ราคาขาย $350 ในปี 1980 คิดเป็นเงินปัจจุบันประมาณ $1,350
    ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ Apple II ที่ต้องการใช้งานซอฟต์แวร์ธุรกิจ

    ความท้าทายทางเทคนิค
    ต้องทำให้ 6502 และ Z80 ทำงานร่วมกันโดยไม่ชนกัน
    ใช้เทคนิคจำลอง DMA เพื่อควบคุมการทำงานของ 6502
    มีการออกแบบวงจรแปลที่อยู่เพื่อป้องกันการชนกันของหน่วยความจำ

    วิวัฒนาการของไมโครซอฟท์ด้านฮาร์ดแวร์
    1983: Microsoft Mouse
    2001: Xbox
    2012: Surface
    2016: HoloLens
    2013: เริ่มนิยามตัวเองว่าเป็นบริษัท “ซอฟต์แวร์และอุปกรณ์”

    คำเตือนด้านเทคโนโลยีร่วมสมัย
    การทำงานร่วมกันของซีพียูต่างสถาปัตยกรรมยังคงเป็นเรื่องท้าทาย
    การจัดการหน่วยความจำระหว่างโปรเซสเซอร์ต้องระวังการชนกัน
    การจำลอง DMA อาจทำให้เกิดปัญหาด้านประสิทธิภาพหากไม่ออกแบบดี

    https://www.tomshardware.com/software/storied-windows-dev-reminisces-about-microsofts-first-hardware-product-45-years-ago-the-z-80-softcard-was-an-apple-ii-add-in-card
    🧠💾 “เมื่อไมโครซอฟท์เคยขายฮาร์ดแวร์ชิ้นแรกเพื่อให้ Apple II ใช้ซอฟต์แวร์ CP/M ได้!” ย้อนกลับไปเมื่อ 45 ปีก่อน ไมโครซอฟท์ไม่ได้เป็นแค่บริษัทซอฟต์แวร์อย่างที่เรารู้จักกันในวันนี้ แต่เคยเปิดตัวฮาร์ดแวร์ชิ้นแรกที่ชื่อว่า Z-80 SoftCard สำหรับเครื่อง Apple II ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ยอดนิยมในยุคนั้น โดยเป้าหมายคือให้ผู้ใช้ Apple II สามารถใช้งานซอฟต์แวร์บนระบบปฏิบัติการ CP/M ได้ ซึ่งเป็นระบบที่มีซอฟต์แวร์ธุรกิจมากมายในยุคนั้น เช่น WordStar และ dBase Raymond Chen นักพัฒนาระดับตำนานของ Windows ได้เล่าเบื้องหลังการพัฒนา SoftCard ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะต้องทำให้ สองหน่วยประมวลผล คือ 6502 ของ Apple II และ Zilog Z80 ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น โดยไม่เกิดปัญหาด้านการสื่อสารและการจัดการหน่วยความจำ ที่น่าทึ่งคือ SoftCard กลายเป็น สินค้าทำเงินสูงสุดของไมโครซอฟท์ในปี 1980 แม้จะมีราคาสูงถึง $350 ซึ่งถ้าคิดเป็นเงินปัจจุบันก็ประมาณ $1,350 เลยทีเดียว! 🔍 สาระเพิ่มเติม 🎗️ ระบบ CP/M (Control Program for Microcomputers) เคยเป็นระบบปฏิบัติการยอดนิยมก่อนที่ MS-DOS จะครองตลาด 🎗️ Zilog Z80 เป็นซีพียูที่ได้รับความนิยมสูงในยุค 70s–80s และถูกใช้ในหลายเครื่อง เช่น ZX Spectrum และ Game Boy 🎗️ Apple II เป็นหนึ่งในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ประสบความสำเร็จที่สุดในยุคแรกของวงการ ✅ จุดเริ่มต้นของฮาร์ดแวร์จากไมโครซอฟท์ ➡️ Z-80 SoftCard เป็นฮาร์ดแวร์ตัวแรกของบริษัท ➡️ เปิดตัวในปี 1980 เพื่อให้ Apple II ใช้งานซอฟต์แวร์ CP/M ได้ ➡️ ใช้ซีพียู Zilog Z80 บนการ์ดเสริม ✅ ความสำเร็จทางธุรกิจ ➡️ SoftCard กลายเป็นสินค้าทำเงินสูงสุดของไมโครซอฟท์ในปีเปิดตัว ➡️ ราคาขาย $350 ในปี 1980 คิดเป็นเงินปัจจุบันประมาณ $1,350 ➡️ ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ Apple II ที่ต้องการใช้งานซอฟต์แวร์ธุรกิจ ✅ ความท้าทายทางเทคนิค ➡️ ต้องทำให้ 6502 และ Z80 ทำงานร่วมกันโดยไม่ชนกัน ➡️ ใช้เทคนิคจำลอง DMA เพื่อควบคุมการทำงานของ 6502 ➡️ มีการออกแบบวงจรแปลที่อยู่เพื่อป้องกันการชนกันของหน่วยความจำ ✅ วิวัฒนาการของไมโครซอฟท์ด้านฮาร์ดแวร์ ➡️ 1983: Microsoft Mouse ➡️ 2001: Xbox ➡️ 2012: Surface ➡️ 2016: HoloLens ➡️ 2013: เริ่มนิยามตัวเองว่าเป็นบริษัท “ซอฟต์แวร์และอุปกรณ์” ‼️ คำเตือนด้านเทคโนโลยีร่วมสมัย ⛔ การทำงานร่วมกันของซีพียูต่างสถาปัตยกรรมยังคงเป็นเรื่องท้าทาย ⛔ การจัดการหน่วยความจำระหว่างโปรเซสเซอร์ต้องระวังการชนกัน ⛔ การจำลอง DMA อาจทำให้เกิดปัญหาด้านประสิทธิภาพหากไม่ออกแบบดี https://www.tomshardware.com/software/storied-windows-dev-reminisces-about-microsofts-first-hardware-product-45-years-ago-the-z-80-softcard-was-an-apple-ii-add-in-card
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Storied Windows dev reminisces about Microsoft's first hardware product 45 years ago — the Z-80 SoftCard was an Apple II add-in card
    This Apple II add-in card which enabled CP/M software compatibility would cost $1,350 today, but was Microsoft's biggest moneymaker in 1980.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amadeus มอง AI เป็นโอกาส ไม่ใช่ภัยคุกคาม พร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีหลักของแพลตฟอร์ม AI

    Luis Maroto ซีอีโอของ Amadeus กล่าวกับนักวิเคราะห์ว่า บริษัทไม่ได้มองว่าแพลตฟอร์ม AI จะเข้ามาแทนที่ผู้ให้บริการด้านการจองหรือกลายเป็นผู้ขายโดยตรง แต่จะเป็นตัวกลางที่ต้องพึ่งพาข้อมูลและระบบที่ซับซ้อน ซึ่ง Amadeusมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว

    เขายังเน้นว่า “การจัดการเรื่องราคาและบริการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่ใช่เรื่องง่าย” และ Amadeus มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้สนับสนุนเทคโนโลยีให้กับ AI แพลตฟอร์มเหล่านี้ เหมือนที่เคยทำมาในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีอื่นๆ

    นอกจากนี้ Amadeus ยังรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ดีกว่าคาดการณ์ โดยมีการเติบโตในทุกแผนก และยอดการจองที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทในตลาดโลก

    มุมมองของ Amadeus ต่อ AI
    AI ไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่เป็นโอกาสในการขยายธุรกิจ
    Amadeus ตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีแก่แพลตฟอร์ม AI
    การจัดการข้อมูลราคาและบริการต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
    AI ยังไม่สามารถเป็นผู้ขายหรือรวบรวมเนื้อหาได้โดยตรง

    ผลประกอบการและความแข็งแกร่งของบริษัท
    รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ดีกว่าคาด
    ยอดการจองเพิ่มขึ้นในทุกแผนก
    สะท้อนความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ AI ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
    การพึ่งพา AI โดยไม่มีระบบสนับสนุนที่แข็งแกร่งอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด
    แพลตฟอร์ม AI ต้องการข้อมูลที่แม่นยำและเรียลไทม์ ซึ่งไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้
    การเข้าใจผิดว่า AI จะมาแทนที่ระบบจองทั้งหมดอาจนำไปสู่การลงทุนที่ผิดทิศทาง

    Amadeus กำลังพิสูจน์ว่าในโลกที่ AI กำลังเปลี่ยนทุกอย่าง ผู้เล่นที่เข้าใจระบบและมีข้อมูลเชิงลึกจะกลายเป็นผู้สนับสนุนที่ขาดไม่ได้ในระบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นนี้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/ai-platforms-not-danger-but-opportunity-for-amadeus-ceo-says
    🏤 Amadeus มอง AI เป็นโอกาส ไม่ใช่ภัยคุกคาม พร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีหลักของแพลตฟอร์ม AI Luis Maroto ซีอีโอของ Amadeus กล่าวกับนักวิเคราะห์ว่า บริษัทไม่ได้มองว่าแพลตฟอร์ม AI จะเข้ามาแทนที่ผู้ให้บริการด้านการจองหรือกลายเป็นผู้ขายโดยตรง แต่จะเป็นตัวกลางที่ต้องพึ่งพาข้อมูลและระบบที่ซับซ้อน ซึ่ง Amadeusมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว เขายังเน้นว่า “การจัดการเรื่องราคาและบริการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่ใช่เรื่องง่าย” และ Amadeus มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้สนับสนุนเทคโนโลยีให้กับ AI แพลตฟอร์มเหล่านี้ เหมือนที่เคยทำมาในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีอื่นๆ นอกจากนี้ Amadeus ยังรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ดีกว่าคาดการณ์ โดยมีการเติบโตในทุกแผนก และยอดการจองที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทในตลาดโลก ✅ มุมมองของ Amadeus ต่อ AI ➡️ AI ไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่เป็นโอกาสในการขยายธุรกิจ ➡️ Amadeus ตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีแก่แพลตฟอร์ม AI ➡️ การจัดการข้อมูลราคาและบริการต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ➡️ AI ยังไม่สามารถเป็นผู้ขายหรือรวบรวมเนื้อหาได้โดยตรง ✅ ผลประกอบการและความแข็งแกร่งของบริษัท ➡️ รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ดีกว่าคาด ➡️ ยอดการจองเพิ่มขึ้นในทุกแผนก ➡️ สะท้อนความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ AI ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ⛔ การพึ่งพา AI โดยไม่มีระบบสนับสนุนที่แข็งแกร่งอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด ⛔ แพลตฟอร์ม AI ต้องการข้อมูลที่แม่นยำและเรียลไทม์ ซึ่งไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ⛔ การเข้าใจผิดว่า AI จะมาแทนที่ระบบจองทั้งหมดอาจนำไปสู่การลงทุนที่ผิดทิศทาง Amadeus กำลังพิสูจน์ว่าในโลกที่ AI กำลังเปลี่ยนทุกอย่าง ผู้เล่นที่เข้าใจระบบและมีข้อมูลเชิงลึกจะกลายเป็นผู้สนับสนุนที่ขาดไม่ได้ในระบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/ai-platforms-not-danger-but-opportunity-for-amadeus-ceo-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI platforms not danger but opportunity for Amadeus, CEO says
    (Reuters) -Spanish travel technology company Amadeus is "extremely well positioned" to deal with possible expansion into its industry by large-language-models and AI platforms like ChatGPT, the company's chief executive said on Friday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • มันหลอกคนทั้งโลก!! สแกมเมอร์ หลอกฉิบหายวายวอด!! 07/11/68 #สแกมเมอร์ #หลอกคนทั้งโลก #ธุรกิจสีเทา #หมี ยุทธิยง
    มันหลอกคนทั้งโลก!! สแกมเมอร์ หลอกฉิบหายวายวอด!! 07/11/68 #สแกมเมอร์ #หลอกคนทั้งโลก #ธุรกิจสีเทา #หมี ยุทธิยง
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • หยุดใช้เครื่องทำลายเอกสารกากๆ!
    อัปเกรดงานรีไซเคิล/ทำลายเอกสารของคุณให้เป็นระบบอุตสาหกรรม ด้วย #เครื่องหั่นรุ่นหัวนิ่ง จาก ย.ย่งฮะเฮง!

    ไม่ว่าจะเป็นกองกระดาษลังหนาๆ หรือเอกสารเก่า เครื่องเดียวจบทุกปัญหา!

    สเปคที่ต้องรู้!
    ใบมีด 10 มม. เป๊ะ! ตัดเป็นเส้นสวย ตามมาตรฐาน
    มอเตอร์ 2 แรงม้า (2 HP) อึด ถึก ทน ไม่สะดุดงานหนัก
    กำลังผลิต 100 กก./ชม. เร็วกว่า แรงกว่า ประหยัดเวลากว่าเครื่องทั่วไปเยอะ!
    ใบมีด SUS420 Food Grade คมทนระดับมืออาชีพ เปลี่ยนเฉพาะใบที่เสียได้
    ทนทานยาวๆ: หั่นได้ทั้งกระดาษ, เนื้อสัตว์, ใบมะกรูด (อเนกประสงค์ตัวจริง!)

    เปลี่ยนต้นทุนให้เป็นกำไร เริ่มวันนี้!

    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
    เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.)
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7
    แชท: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com
    ดูสินค้าจริงได้ที่: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (จันทร์-เสาร์)

    #ย่อยกระดาษ #เครื่องย่อยกระดาษ #เครื่องทำลายเอกสาร #เครื่องหั่นกระดาษ10มม #เครื่องรีไซเคิล #ยย่งฮะเฮง #เครื่องจักรคุณภาพ #2แรงม้า #PaperShredder #SUS420 #อุตสาหกรรม #เครื่องจักรทนทาน #บรรทัดทอง #ศูนย์รวมเครื่องจักร #เครื่องหั่น #เครื่องสับ #เครื่องบด #เครื่องหั่นเนื้อ #เครื่องหั่นผัก #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #ธุรกิจรีไซเคิล #ลดต้นทุน #BONNY
    🚨 หยุดใช้เครื่องทำลายเอกสารกากๆ! 🚨 อัปเกรดงานรีไซเคิล/ทำลายเอกสารของคุณให้เป็นระบบอุตสาหกรรม ด้วย #เครื่องหั่นรุ่นหัวนิ่ง จาก ย.ย่งฮะเฮง! ไม่ว่าจะเป็นกองกระดาษลังหนาๆ หรือเอกสารเก่า เครื่องเดียวจบทุกปัญหา! 💥 สเปคที่ต้องรู้! 💥 ✅ ใบมีด 10 มม. เป๊ะ! ตัดเป็นเส้นสวย ตามมาตรฐาน ✅ มอเตอร์ 2 แรงม้า (2 HP) อึด ถึก ทน ไม่สะดุดงานหนัก ✅ กำลังผลิต 100 กก./ชม. เร็วกว่า แรงกว่า ประหยัดเวลากว่าเครื่องทั่วไปเยอะ! ✅ ใบมีด SUS420 Food Grade คมทนระดับมืออาชีพ เปลี่ยนเฉพาะใบที่เสียได้ ✅ ทนทานยาวๆ: หั่นได้ทั้งกระดาษ, เนื้อสัตว์, ใบมะกรูด (อเนกประสงค์ตัวจริง!) 🔥🔥 เปลี่ยนต้นทุนให้เป็นกำไร เริ่มวันนี้! 🔥🔥 ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.) แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 แชท: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com 📍 ดูสินค้าจริงได้ที่: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (จันทร์-เสาร์) #ย่อยกระดาษ #เครื่องย่อยกระดาษ #เครื่องทำลายเอกสาร #เครื่องหั่นกระดาษ10มม #เครื่องรีไซเคิล #ยย่งฮะเฮง #เครื่องจักรคุณภาพ #2แรงม้า #PaperShredder #SUS420 #อุตสาหกรรม #เครื่องจักรทนทาน #บรรทัดทอง #ศูนย์รวมเครื่องจักร #เครื่องหั่น #เครื่องสับ #เครื่องบด #เครื่องหั่นเนื้อ #เครื่องหั่นผัก #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #ธุรกิจรีไซเคิล #ลดต้นทุน #BONNY
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ OpenAI เลือก “โตเอง” แม้ต้องลงทุนมหาศาล

    ในช่วงที่ความต้องการใช้ AI พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก OpenAI ประกาศแผนลงทุนกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ภายใน 8 ปี เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยเน้นศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิป

    แม้ CFO ของบริษัทจะเคยกล่าวว่าอยากให้รัฐบาลช่วยค้ำประกันการลงทุนในชิป แต่ Altman ออกมายืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้ผู้เสียภาษีต้องรับความเสี่ยงจากการลงทุนของบริษัท หากบริษัทล้มเหลว ก็ต้องรับผิดชอบเอง

    OpenAI กำลังหาทางสร้างรายได้จากการขาย “AI cloud” หรือบริการให้เช่าโครงสร้างพื้นฐาน AI โดยตรงแก่บริษัทและบุคคลทั่วไป ซึ่งจะทำให้บริษัทกลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft และ Google ที่เคยเป็นพันธมิตรด้านคลาวด์มาก่อน

    จุดยืนของ OpenAI ต่อการสนับสนุนจากรัฐบาล
    Altman ยืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้รัฐบาลค้ำประกันการลงทุนในศูนย์ข้อมูล
    บริษัทเห็นว่าผู้เสียภาษีไม่ควรรับความเสี่ยงจากการตัดสินใจทางธุรกิจ
    หากล้มเหลว บริษัทต้องรับผิดชอบเอง ไม่ใช่ให้รัฐ “ช่วยเหลือเพื่อความล้มเหลว”

    แผนลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน
    OpenAI วางแผนลงทุน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ใน 8 ปี
    ลงทุนในศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิปเพื่อรองรับการเติบโตของ AI
    มีดีลร่วมกับ Nvidia และ AMD รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์

    โมเดลธุรกิจใหม่: AI Cloud
    OpenAI เตรียมเปิดบริการขายกำลังประมวลผล AI โดยตรงให้ลูกค้า
    กลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft Azure และ Google Cloud
    อาจต้องระดมทุนเพิ่มผ่านหุ้นหรือหนี้ เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน

    สถานะทางการเงินและการเติบโต
    บริษัทขาดทุนกว่า 12 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสล่าสุด
    คาดว่าจะมีรายได้ต่อปีเกิน 20 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้
    ตั้งเป้ารายได้ระดับหลายแสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2030

    คำเตือนจากนักวิเคราะห์และภาครัฐ
    นักลงทุนบางส่วนกังวลว่าอาจเกิด “ฟองสบู่ AI” จากการลงทุนมหาศาล
    รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันจะไม่ช่วยเหลือหากบริษัทล้มเหลว
    หาก OpenAI แข่งขันกับพันธมิตรเดิม อาจเกิดความขัดแย้งในอุตสาหกรรมคลาวด์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/openai-does-not-039want-government-guarantees039-for-massive-ai-data-center-buildout-ceo-altman-says
    🧠 เมื่อ OpenAI เลือก “โตเอง” แม้ต้องลงทุนมหาศาล ในช่วงที่ความต้องการใช้ AI พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก OpenAI ประกาศแผนลงทุนกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ภายใน 8 ปี เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยเน้นศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิป แม้ CFO ของบริษัทจะเคยกล่าวว่าอยากให้รัฐบาลช่วยค้ำประกันการลงทุนในชิป แต่ Altman ออกมายืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้ผู้เสียภาษีต้องรับความเสี่ยงจากการลงทุนของบริษัท หากบริษัทล้มเหลว ก็ต้องรับผิดชอบเอง OpenAI กำลังหาทางสร้างรายได้จากการขาย “AI cloud” หรือบริการให้เช่าโครงสร้างพื้นฐาน AI โดยตรงแก่บริษัทและบุคคลทั่วไป ซึ่งจะทำให้บริษัทกลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft และ Google ที่เคยเป็นพันธมิตรด้านคลาวด์มาก่อน ✅ จุดยืนของ OpenAI ต่อการสนับสนุนจากรัฐบาล ➡️ Altman ยืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้รัฐบาลค้ำประกันการลงทุนในศูนย์ข้อมูล ➡️ บริษัทเห็นว่าผู้เสียภาษีไม่ควรรับความเสี่ยงจากการตัดสินใจทางธุรกิจ ➡️ หากล้มเหลว บริษัทต้องรับผิดชอบเอง ไม่ใช่ให้รัฐ “ช่วยเหลือเพื่อความล้มเหลว” ✅ แผนลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ OpenAI วางแผนลงทุน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ใน 8 ปี ➡️ ลงทุนในศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิปเพื่อรองรับการเติบโตของ AI ➡️ มีดีลร่วมกับ Nvidia และ AMD รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ✅ โมเดลธุรกิจใหม่: AI Cloud ➡️ OpenAI เตรียมเปิดบริการขายกำลังประมวลผล AI โดยตรงให้ลูกค้า ➡️ กลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft Azure และ Google Cloud ➡️ อาจต้องระดมทุนเพิ่มผ่านหุ้นหรือหนี้ เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน ✅ สถานะทางการเงินและการเติบโต ➡️ บริษัทขาดทุนกว่า 12 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสล่าสุด ➡️ คาดว่าจะมีรายได้ต่อปีเกิน 20 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ ➡️ ตั้งเป้ารายได้ระดับหลายแสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ‼️ คำเตือนจากนักวิเคราะห์และภาครัฐ ⛔ นักลงทุนบางส่วนกังวลว่าอาจเกิด “ฟองสบู่ AI” จากการลงทุนมหาศาล ⛔ รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันจะไม่ช่วยเหลือหากบริษัทล้มเหลว ⛔ หาก OpenAI แข่งขันกับพันธมิตรเดิม อาจเกิดความขัดแย้งในอุตสาหกรรมคลาวด์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/openai-does-not-039want-government-guarantees039-for-massive-ai-data-center-buildout-ceo-altman-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    OpenAI discussed government loan guarantees for chip plants, not data centers, Altman says
    (Reuters) -OpenAI has spoken with the U.S. government about the possibility of federal loan guarantees to spur construction of chip factories in the U.S., but has not sought U.S. government guarantees for building its data centers, CEO Sam Altman said on Thursday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • จาก ERP สู่ Security Platformization – บทเรียนที่ CISOs ต้องรู้ก่อนเปลี่ยนผ่าน
    ลองนึกภาพองค์กรที่มีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยกว่า 80 ตัว แต่กลับไม่มีภาพรวมที่ชัดเจนของระบบเลย… นี่คือปัญหาที่หลายองค์กรกำลังเผชิญ และเป็นเหตุผลที่แนวคิด “Security Platformization” กำลังมาแรงในหมู่ผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISOs)

    บทความนี้เปรียบเทียบการเปลี่ยนผ่านจากเครื่องมือแยกส่วนไปสู่แพลตฟอร์มรวมในโลกไซเบอร์ กับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ ERP ในยุค 90 ซึ่งเต็มไปด้วยบทเรียนราคาแพงที่ CISOs ควรศึกษาให้ดี

    ในยุคก่อน Y2K องค์กรต่างๆ เร่งเปลี่ยนระบบแยกส่วนในแต่ละแผนกไปสู่ระบบ ERP ที่รวมข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลเดียว เพื่อให้เห็นภาพรวมของธุรกิจแบบเรียลไทม์ แต่การเปลี่ยนผ่านนั้นกลับเต็มไปด้วยความท้าทาย เช่น การแปลงข้อมูล, การปรับกระบวนการ, และการต่อต้านจากพนักงาน

    วันนี้ CISOs กำลังเผชิญสถานการณ์คล้ายกัน เมื่อองค์กรมีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยมากมายแต่ไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเกิดแนวคิด “Security Platformization” ที่รวมเครื่องมือไว้ในแพลตฟอร์มเดียว เช่น Cisco, Microsoft, Palo Alto Networks ต่างพัฒนาแพลตฟอร์มที่รวม cloud, endpoint, network, SIEM และ threat intelligence เข้าด้วยกัน

    แต่การเปลี่ยนผ่านนี้ก็ไม่ง่าย หากไม่เรียนรู้จากอดีต CISOs อาจเจอปัญหาเดิมซ้ำอีก เช่น การต่อต้านจากทีมงาน, การวางแผนที่ไม่รอบคอบ, หรือการละเลยการปรับกระบวนการ

    แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่ Security Platformization
    องค์กรมีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยเฉลี่ย 40–80 ตัว ทำให้เกิดข้อมูลกระจัดกระจาย
    ผู้ขายเทคโนโลยีเริ่มรวมเครื่องมือเป็นแพลตฟอร์มเดียว เช่น cloud, endpoint, network security
    CFOs สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเพื่อประหยัดงบและเพิ่มประสิทธิภาพ

    บทเรียนจาก ERP ที่ CISOs ควรนำมาใช้
    ERP เคยล้มเหลวเพราะแปลงข้อมูลลำบาก, ปรับกระบวนการไม่ครบ, และขาดการสนับสนุนจากทีม
    การเปลี่ยนผ่านต้องมีการวางแผนเป็นเฟส ไม่ใช่แบบ “Big Bang”
    ต้องมีการปรับกระบวนการและใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาอาชีพของทีมงาน

    แนวทางที่แนะนำสำหรับ CISOs
    สร้างความเข้าใจร่วมกับผู้บริหารระดับสูง และสื่อสารด้วยภาษาธุรกิจ
    เริ่มจากทีมรักษาความปลอดภัยก่อน ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเทคโนโลยี
    วางแผนการเปลี่ยนผ่านแบบมีเฟส พร้อมแผนทดสอบและย้อนกลับ
    สร้าง data pipeline ที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นฐานข้อมูลกลางที่เชื่อถือได้
    ใช้โอกาสนี้ปรับปรุงกระบวนการด้วย SOAR และ AI

    คำเตือนจากบทเรียน ERP
    การเปลี่ยนผ่านแบบเร่งรีบอาจทำให้ระบบล่ม เช่นกรณี Hershey ที่ส่งสินค้าไม่ได้ช่วงฮาโลวีน
    การไม่ปรับกระบวนการและไม่ฝึกอบรมทีมงาน อาจนำไปสู่ความล้มเหลวและความขัดแย้ง
    การละเลยการสื่อสารกับผู้บริหาร อาจทำให้โครงการขาดแรงสนับสนุน

    ถ้าคุณเป็น CISO หรือผู้บริหารด้าน IT นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่จะเปลี่ยนบทบาทจากผู้ดูแลเทคโนโลยี สู่ผู้นำด้านกลยุทธ์ความปลอดภัยขององค์กรอย่างแท้จริง

    https://www.csoonline.com/article/4080709/what-past-erp-mishaps-can-teach-cisos-about-security-platformization.html
    🛡️ จาก ERP สู่ Security Platformization – บทเรียนที่ CISOs ต้องรู้ก่อนเปลี่ยนผ่าน ลองนึกภาพองค์กรที่มีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยกว่า 80 ตัว แต่กลับไม่มีภาพรวมที่ชัดเจนของระบบเลย… นี่คือปัญหาที่หลายองค์กรกำลังเผชิญ และเป็นเหตุผลที่แนวคิด “Security Platformization” กำลังมาแรงในหมู่ผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISOs) บทความนี้เปรียบเทียบการเปลี่ยนผ่านจากเครื่องมือแยกส่วนไปสู่แพลตฟอร์มรวมในโลกไซเบอร์ กับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ ERP ในยุค 90 ซึ่งเต็มไปด้วยบทเรียนราคาแพงที่ CISOs ควรศึกษาให้ดี ในยุคก่อน Y2K องค์กรต่างๆ เร่งเปลี่ยนระบบแยกส่วนในแต่ละแผนกไปสู่ระบบ ERP ที่รวมข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลเดียว เพื่อให้เห็นภาพรวมของธุรกิจแบบเรียลไทม์ แต่การเปลี่ยนผ่านนั้นกลับเต็มไปด้วยความท้าทาย เช่น การแปลงข้อมูล, การปรับกระบวนการ, และการต่อต้านจากพนักงาน วันนี้ CISOs กำลังเผชิญสถานการณ์คล้ายกัน เมื่อองค์กรมีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยมากมายแต่ไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเกิดแนวคิด “Security Platformization” ที่รวมเครื่องมือไว้ในแพลตฟอร์มเดียว เช่น Cisco, Microsoft, Palo Alto Networks ต่างพัฒนาแพลตฟอร์มที่รวม cloud, endpoint, network, SIEM และ threat intelligence เข้าด้วยกัน แต่การเปลี่ยนผ่านนี้ก็ไม่ง่าย หากไม่เรียนรู้จากอดีต CISOs อาจเจอปัญหาเดิมซ้ำอีก เช่น การต่อต้านจากทีมงาน, การวางแผนที่ไม่รอบคอบ, หรือการละเลยการปรับกระบวนการ ✅ แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่ Security Platformization ➡️ องค์กรมีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยเฉลี่ย 40–80 ตัว ทำให้เกิดข้อมูลกระจัดกระจาย ➡️ ผู้ขายเทคโนโลยีเริ่มรวมเครื่องมือเป็นแพลตฟอร์มเดียว เช่น cloud, endpoint, network security ➡️ CFOs สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเพื่อประหยัดงบและเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ บทเรียนจาก ERP ที่ CISOs ควรนำมาใช้ ➡️ ERP เคยล้มเหลวเพราะแปลงข้อมูลลำบาก, ปรับกระบวนการไม่ครบ, และขาดการสนับสนุนจากทีม ➡️ การเปลี่ยนผ่านต้องมีการวางแผนเป็นเฟส ไม่ใช่แบบ “Big Bang” ➡️ ต้องมีการปรับกระบวนการและใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาอาชีพของทีมงาน ✅ แนวทางที่แนะนำสำหรับ CISOs ➡️ สร้างความเข้าใจร่วมกับผู้บริหารระดับสูง และสื่อสารด้วยภาษาธุรกิจ ➡️ เริ่มจากทีมรักษาความปลอดภัยก่อน ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเทคโนโลยี ➡️ วางแผนการเปลี่ยนผ่านแบบมีเฟส พร้อมแผนทดสอบและย้อนกลับ ➡️ สร้าง data pipeline ที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นฐานข้อมูลกลางที่เชื่อถือได้ ➡️ ใช้โอกาสนี้ปรับปรุงกระบวนการด้วย SOAR และ AI ‼️ คำเตือนจากบทเรียน ERP ⛔ การเปลี่ยนผ่านแบบเร่งรีบอาจทำให้ระบบล่ม เช่นกรณี Hershey ที่ส่งสินค้าไม่ได้ช่วงฮาโลวีน ⛔ การไม่ปรับกระบวนการและไม่ฝึกอบรมทีมงาน อาจนำไปสู่ความล้มเหลวและความขัดแย้ง ⛔ การละเลยการสื่อสารกับผู้บริหาร อาจทำให้โครงการขาดแรงสนับสนุน ถ้าคุณเป็น CISO หรือผู้บริหารด้าน IT นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่จะเปลี่ยนบทบาทจากผู้ดูแลเทคโนโลยี สู่ผู้นำด้านกลยุทธ์ความปลอดภัยขององค์กรอย่างแท้จริง 💼✨ https://www.csoonline.com/article/4080709/what-past-erp-mishaps-can-teach-cisos-about-security-platformization.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What past ERP mishaps can teach CISOs about security platformization
    CISOs should study ERP challenges and best practices to pursue a successful transition from security point tools to integrated platforms.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ความเป็นเจ้าของเนื้อหาดิจิทัลเป็นภาพลวงตา — ถ้าไม่โฮสต์เอง คุณแค่เช่าใช้”

    ลองนึกภาพว่าคุณซื้อหนัง เพลง หรือเกมดิจิทัลมาเก็บไว้ แต่วันหนึ่งมันหายไปจากคลังโดยไม่มีคำอธิบาย…นั่นคือความจริงของโลกดิจิทัลในปัจจุบันที่บทความนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน

    Theena Kumaragurunathan เล่าประสบการณ์ส่วนตัวจากยุค Napster สู่ยุคสตรีมมิ่ง และตั้งคำถามว่า “เรายังเป็นเจ้าของอะไรอยู่จริง ๆ หรือ?” เขาเคยสะสมเพลงกว่า 500GB จากการดาวน์โหลดและซื้อโดยตรงจากศิลปินแบบไม่มี DRM ก่อนจะตั้งเซิร์ฟเวอร์ Plex และ Jellyfin เพื่อโฮสต์เองในช่วงโควิด ซึ่งนำเขาเข้าสู่โลกของ Linux และ FOSS (Free and Open Source Software)

    บทความชี้ให้เห็นว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งในปัจจุบันไม่ได้ขาย “เนื้อหา” แต่ขาย “สิทธิ์ในการเข้าถึง” ที่สามารถถูกเพิกถอน เปลี่ยนแปลง หรือหายไปได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงลิขสิทธิ์หรือการปรับโครงสร้างธุรกิจ

    ทางออกคือ “การโฮสต์เอง” ซึ่งหมายถึงการเก็บไฟล์ไว้ในรูปแบบเปิด ควบคุมกุญแจเข้ารหัส และจัดการเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง เพื่อให้คุณยังสามารถเข้าถึงเนื้อหานั้นได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต

    ความเป็นเจ้าของเนื้อหาดิจิทัลในปัจจุบันเป็นภาพลวงตา
    ผู้ใช้ไม่ได้เป็นเจ้าของไฟล์ แต่เป็นผู้เช่าสิทธิ์ในการเข้าถึง
    เนื้อหาสามารถหายไปจากคลังได้โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า

    แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งใช้โมเดล “การให้สิทธิ์” ไม่ใช่ “การขาย”
    มีข้อจำกัดจาก DRM, region lock, และนโยบายการเพิกถอน
    การเปลี่ยนแปลงลิขสิทธิ์ทำให้เนื้อหาถูกลบหรือเปลี่ยนแปลง

    การโฮสต์เองคือทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นเจ้าของจริง
    เก็บไฟล์ในรูปแบบเปิด เช่น FLAC, EPUB, MP4
    ควบคุมกุญแจเข้ารหัสและเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง
    ใช้เครื่องมือเช่น Plex, Jellyfin, Git, Emacs เพื่อจัดการคลังส่วนตัว

    โมเดลการจัดการเนื้อหาที่แนะนำ
    Local-first: ไฟล์สำคัญที่เก็บไว้แบบออฟไลน์พร้อมสำรอง
    Sync-first: เอกสารที่ใช้งานร่วมกันแต่มีสำเนาในเครื่อง
    Self-hosted: บริการที่ควบคุมเอง เช่น note system หรือ photo gallery
    Cloud rentals: เนื้อหาที่ดูแล้วปล่อยผ่าน เช่น หนังใหม่หรือแอปเฉพาะกิจ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การโฮสต์เองช่วยลดการพึ่งพาบริษัทใหญ่และเพิ่มความเป็นอิสระ
    แนวคิดนี้สอดคล้องกับปรัชญา FOSS ที่เน้นการควบคุมและความโปร่งใส
    การใช้ open format และ backup routine เป็นหัวใจของการรักษาความเป็นเจ้าของ

    https://news.itsfoss.com/digital-content-ownership-illusion/
    🧠 “ความเป็นเจ้าของเนื้อหาดิจิทัลเป็นภาพลวงตา — ถ้าไม่โฮสต์เอง คุณแค่เช่าใช้” ลองนึกภาพว่าคุณซื้อหนัง เพลง หรือเกมดิจิทัลมาเก็บไว้ แต่วันหนึ่งมันหายไปจากคลังโดยไม่มีคำอธิบาย…นั่นคือความจริงของโลกดิจิทัลในปัจจุบันที่บทความนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน Theena Kumaragurunathan เล่าประสบการณ์ส่วนตัวจากยุค Napster สู่ยุคสตรีมมิ่ง และตั้งคำถามว่า “เรายังเป็นเจ้าของอะไรอยู่จริง ๆ หรือ?” เขาเคยสะสมเพลงกว่า 500GB จากการดาวน์โหลดและซื้อโดยตรงจากศิลปินแบบไม่มี DRM ก่อนจะตั้งเซิร์ฟเวอร์ Plex และ Jellyfin เพื่อโฮสต์เองในช่วงโควิด ซึ่งนำเขาเข้าสู่โลกของ Linux และ FOSS (Free and Open Source Software) บทความชี้ให้เห็นว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งในปัจจุบันไม่ได้ขาย “เนื้อหา” แต่ขาย “สิทธิ์ในการเข้าถึง” ที่สามารถถูกเพิกถอน เปลี่ยนแปลง หรือหายไปได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงลิขสิทธิ์หรือการปรับโครงสร้างธุรกิจ ทางออกคือ “การโฮสต์เอง” ซึ่งหมายถึงการเก็บไฟล์ไว้ในรูปแบบเปิด ควบคุมกุญแจเข้ารหัส และจัดการเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง เพื่อให้คุณยังสามารถเข้าถึงเนื้อหานั้นได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต ✅ ความเป็นเจ้าของเนื้อหาดิจิทัลในปัจจุบันเป็นภาพลวงตา ➡️ ผู้ใช้ไม่ได้เป็นเจ้าของไฟล์ แต่เป็นผู้เช่าสิทธิ์ในการเข้าถึง ➡️ เนื้อหาสามารถหายไปจากคลังได้โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ✅ แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งใช้โมเดล “การให้สิทธิ์” ไม่ใช่ “การขาย” ➡️ มีข้อจำกัดจาก DRM, region lock, และนโยบายการเพิกถอน ➡️ การเปลี่ยนแปลงลิขสิทธิ์ทำให้เนื้อหาถูกลบหรือเปลี่ยนแปลง ✅ การโฮสต์เองคือทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นเจ้าของจริง ➡️ เก็บไฟล์ในรูปแบบเปิด เช่น FLAC, EPUB, MP4 ➡️ ควบคุมกุญแจเข้ารหัสและเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง ➡️ ใช้เครื่องมือเช่น Plex, Jellyfin, Git, Emacs เพื่อจัดการคลังส่วนตัว ✅ โมเดลการจัดการเนื้อหาที่แนะนำ ➡️ Local-first: ไฟล์สำคัญที่เก็บไว้แบบออฟไลน์พร้อมสำรอง ➡️ Sync-first: เอกสารที่ใช้งานร่วมกันแต่มีสำเนาในเครื่อง ➡️ Self-hosted: บริการที่ควบคุมเอง เช่น note system หรือ photo gallery ➡️ Cloud rentals: เนื้อหาที่ดูแล้วปล่อยผ่าน เช่น หนังใหม่หรือแอปเฉพาะกิจ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การโฮสต์เองช่วยลดการพึ่งพาบริษัทใหญ่และเพิ่มความเป็นอิสระ ➡️ แนวคิดนี้สอดคล้องกับปรัชญา FOSS ที่เน้นการควบคุมและความโปร่งใส ➡️ การใช้ open format และ backup routine เป็นหัวใจของการรักษาความเป็นเจ้าของ https://news.itsfoss.com/digital-content-ownership-illusion/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Ownership of Digital Content Is an Illusion—Unless You Self‑Host
    Prices are rising across Netflix, Spotify, and their peers, and more people are quietly returning to the oldest playbook of the internet: piracy. Is the golden age of streaming over?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • “DragonForce Ransomware โจมตีโรงงาน – ขโมยข้อมูลผ่าน SSH ก่อนเข้ารหัสเรียกค่าไถ่”

    ลองจินตนาการว่าเครือข่ายของโรงงานคุณถูกแฮกโดยไม่รู้ตัว…ข้อมูลสำคัญถูกส่งออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ในรัสเซีย แล้วไฟล์ทั้งหมดถูกเข้ารหัสพร้อมทิ้งโน้ตเรียกค่าไถ่ไว้! นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงจากการโจมตีของกลุ่ม DragonForce ซึ่งถูกเปิดโปงโดยบริษัท Darktrace

    DragonForce เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ Ransomware-as-a-Service (RaaS) ที่เปิดให้แฮกเกอร์รายอื่นเช่าใช้แพลตฟอร์มโจมตี โดยมีส่วนแบ่งรายได้เพียง 20% เพื่อเน้นปริมาณการโจมตีมากกว่าความพิเศษเฉพาะกลุ่ม

    ในกรณีล่าสุด กลุ่มนี้ใช้เทคนิคหลายขั้นตอน เริ่มจากการสแกนเครือข่ายภายในและ brute-force รหัสผ่านผู้ดูแลระบบ จากนั้นแฝงตัวเงียบ ๆ ก่อนกลับมาอีกครั้งเพื่อขโมยข้อมูลผ่าน SSH ไปยังเซิร์ฟเวอร์ในรัสเซีย และสุดท้ายเข้ารหัสไฟล์ทั้งหมด พร้อมทิ้งโน้ตเรียกค่าไถ่ชื่อ “readme.txt” ที่อ้างว่าเป็น DragonForce

    Darktrace พบว่าเครื่องที่ถูกโจมตีมีการเปลี่ยนค่า Registry เพื่อควบคุม WMI และ Task Scheduler เพื่อให้มัลแวร์ทำงานต่อเนื่องโดยไม่ถูกตรวจจับ และยังพบการใช้เครื่องมือสแกนช่องโหว่อย่าง OpenVAS และ NetScan ในกระบวนการโจมตี

    DragonForce เป็นกลุ่ม Ransomware-as-a-Service ที่เปิดให้เช่าโจมตี
    เริ่มต้นในปลายปี 2023 และเติบโตอย่างรวดเร็ว
    มีส่วนแบ่งรายได้ต่ำเพียง 20% เพื่อดึงดูดผู้ใช้จำนวนมาก

    การโจมตีโรงงานล่าสุดมีหลายขั้นตอน
    เริ่มจากการสแกนเครือข่ายและ brute-force รหัสผ่าน
    ขโมยข้อมูลผ่าน SSH ไปยังเซิร์ฟเวอร์ Proton66 ในรัสเซีย
    เข้ารหัสไฟล์และทิ้งโน้ตเรียกค่าไถ่ “readme.txt”

    Darktrace ตรวจพบพฤติกรรมผิดปกติในระบบ
    พบการเปลี่ยนค่า Registry ที่เกี่ยวข้องกับ WMI และ Task Scheduler
    พบการใช้ OpenVAS และ NetScan เพื่อสแกนช่องโหว่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RaaS เป็นโมเดลธุรกิจที่ทำให้แรนซัมแวร์แพร่หลายง่ายขึ้น
    การใช้ SSH ในการขโมยข้อมูลช่วยหลบเลี่ยงการตรวจจับได้ดี
    การเปลี่ยนค่า Registry เป็นเทคนิคที่ใช้เพื่อสร้าง persistence ในระบบ

    https://securityonline.info/dragonforce-ransomware-strikes-manufacturing-sector-with-brute-force-exfiltrating-data-over-ssh-to-russian-host/
    🐉 “DragonForce Ransomware โจมตีโรงงาน – ขโมยข้อมูลผ่าน SSH ก่อนเข้ารหัสเรียกค่าไถ่” ลองจินตนาการว่าเครือข่ายของโรงงานคุณถูกแฮกโดยไม่รู้ตัว…ข้อมูลสำคัญถูกส่งออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ในรัสเซีย แล้วไฟล์ทั้งหมดถูกเข้ารหัสพร้อมทิ้งโน้ตเรียกค่าไถ่ไว้! นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงจากการโจมตีของกลุ่ม DragonForce ซึ่งถูกเปิดโปงโดยบริษัท Darktrace DragonForce เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ Ransomware-as-a-Service (RaaS) ที่เปิดให้แฮกเกอร์รายอื่นเช่าใช้แพลตฟอร์มโจมตี โดยมีส่วนแบ่งรายได้เพียง 20% เพื่อเน้นปริมาณการโจมตีมากกว่าความพิเศษเฉพาะกลุ่ม ในกรณีล่าสุด กลุ่มนี้ใช้เทคนิคหลายขั้นตอน เริ่มจากการสแกนเครือข่ายภายในและ brute-force รหัสผ่านผู้ดูแลระบบ จากนั้นแฝงตัวเงียบ ๆ ก่อนกลับมาอีกครั้งเพื่อขโมยข้อมูลผ่าน SSH ไปยังเซิร์ฟเวอร์ในรัสเซีย และสุดท้ายเข้ารหัสไฟล์ทั้งหมด พร้อมทิ้งโน้ตเรียกค่าไถ่ชื่อ “readme.txt” ที่อ้างว่าเป็น DragonForce Darktrace พบว่าเครื่องที่ถูกโจมตีมีการเปลี่ยนค่า Registry เพื่อควบคุม WMI และ Task Scheduler เพื่อให้มัลแวร์ทำงานต่อเนื่องโดยไม่ถูกตรวจจับ และยังพบการใช้เครื่องมือสแกนช่องโหว่อย่าง OpenVAS และ NetScan ในกระบวนการโจมตี ✅ DragonForce เป็นกลุ่ม Ransomware-as-a-Service ที่เปิดให้เช่าโจมตี ➡️ เริ่มต้นในปลายปี 2023 และเติบโตอย่างรวดเร็ว ➡️ มีส่วนแบ่งรายได้ต่ำเพียง 20% เพื่อดึงดูดผู้ใช้จำนวนมาก ✅ การโจมตีโรงงานล่าสุดมีหลายขั้นตอน ➡️ เริ่มจากการสแกนเครือข่ายและ brute-force รหัสผ่าน ➡️ ขโมยข้อมูลผ่าน SSH ไปยังเซิร์ฟเวอร์ Proton66 ในรัสเซีย ➡️ เข้ารหัสไฟล์และทิ้งโน้ตเรียกค่าไถ่ “readme.txt” ✅ Darktrace ตรวจพบพฤติกรรมผิดปกติในระบบ ➡️ พบการเปลี่ยนค่า Registry ที่เกี่ยวข้องกับ WMI และ Task Scheduler ➡️ พบการใช้ OpenVAS และ NetScan เพื่อสแกนช่องโหว่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RaaS เป็นโมเดลธุรกิจที่ทำให้แรนซัมแวร์แพร่หลายง่ายขึ้น ➡️ การใช้ SSH ในการขโมยข้อมูลช่วยหลบเลี่ยงการตรวจจับได้ดี ➡️ การเปลี่ยนค่า Registry เป็นเทคนิคที่ใช้เพื่อสร้าง persistence ในระบบ https://securityonline.info/dragonforce-ransomware-strikes-manufacturing-sector-with-brute-force-exfiltrating-data-over-ssh-to-russian-host/
    SECURITYONLINE.INFO
    DragonForce Ransomware Strikes Manufacturing Sector with Brute-Force, Exfiltrating Data Over SSH to Russian Host
    Darktrace exposed a DragonForce RaaS attack on a manufacturer. The multi-phase intrusion used brute force and OpenVAS for recon, then exfiltrated data over SSH to a Russian-based malicious host.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ทหารไทยต้องยึดอำนาจ จึงกำหนดทางรอดคนประชาชนคนไทยได้จริง,ถ้านักการเมืองยังปกครองผ่านการเลือกตั้งของระบบอีลิทที่เป็นเจ้าของกลไกการปกครองระบอบที่มันสร้างขึ้นมาควบคุมมนุษย์ ไทยเราเองจะไม่รอดสู่ยุคอนาคตแน่นอน,สถานะทาสAIจะชัดเจนขึ้นแบบทวีคูณ คุณค่าความเป็นมนุษย์จะถูกปกครองให้ด้อยค่าลงจากฝีมือเผด็จการอีลิทเหล่านี้,เรา..คนไทยจะถูกกำจัดทิ้งลงเรื่อยๆแน่นอน พร้อมถูกควบคุมอย่างเป็นระบบภายใต้การปกครองของมันที่ส่งออกมาให้เราใช้แบบปัจจุบัน,ง่าบๆเข้าใจง่ายชัดเจนคือเราถูกปล้นบ่อน้ำมันและทรัพยากรมีค่ามากมายจากแผ่นดินไทยอย่างหน้าด้านๆเหมือนแร่เอิร์ธนั้นล่ะ,ทหารไทย กองทัพไทยต้องปลดแอกชาติไทยเราอย่างจริงจัง.,การปฏิวัติการปกครอง ปฏิวัติยึดอำนาจคืนมาสู่ประเทศไทยจึงสำคัญ.


    การวิเคราะห์: นี่เป็นแนวโน้มสำคัญอย่างยิ่งที่คุณจำเป็นต้องตระหนักถึง:
    - ต้นทุนการรับรู้ของ AI (โทเค็น) กำลังลดลงอย่างมาก
    - ในขณะที่คุณภาพของโทเค็น AI กำลังเพิ่มขึ้น
    - ในขณะเดียวกัน ต้นทุนการรับรู้ของมนุษย์กำลังเพิ่มขึ้น
    - ในขณะที่ผลผลิตจากการรับรู้ของมนุษย์กำลังลดลงอย่างมาก

    นั่นเป็นเพราะ:
    - วัคซีนทำลายสมองมนุษย์และทำให้เกิดการผ่าตัดสมอง (lobotomy) อย่างกว้างขวางในประชากรมนุษย์ (โดยตั้งใจ)
    - อาหารขยะแปรรูปและยาจำนวนมากทำลายประสิทธิภาพการรับรู้ เนื่องจากสมองได้รับพลังงานจากเลือด และเลือดถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่คุณกินและดื่ม
    - ด้วยปัจจัยเหล่านี้ มนุษย์จำนวนมากกำลังประสบกับภาวะเสื่อมถอยของความสามารถในการรับรู้เพื่อทักษะการทำงาน บางคนลืมทักษะการทำงาน
    - ค่าครองชีพ (สำหรับมนุษย์) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้นในสิ่งต่างๆ เช่น อาหารและประกันสุขภาพ
    - เนื่องจากสารเคมีในเทรล โลหะหนัก การปนเปื้อนของยาฆ่าแมลง มลพิษทางอุตสาหกรรม การหลั่งโปรตีนหนาม ฯลฯ สุขภาพของมนุษย์จึงลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดต้นทุนใหม่ ๆ ที่สูงในการรักษามนุษย์ให้อยู่ในระบบเงินเดือน

    ผลที่ตามมา:
    - AI กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่ดีกว่าระบบการรับรู้ของมนุษย์ในหลายๆ งานเท่านั้น แต่ยังมีราคาถูกลงมากอีกด้วย โดยจะมีราคาถูกลง 10 เท่า (ประมาณการ) ทุกๆ 9 เดือน
    - AI ไม่จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพเทียบเท่ามนุษย์อย่างสมบูรณ์เพื่อที่จะมาแทนที่มนุษย์ได้ หากมันราคาถูกกว่า 10 เท่า (ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น) ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี AI จะมีราคาถูกกว่าระบบการรับรู้ของมนุษย์ถึง 100 เท่า (ประมาณการ)
    - การแทนที่มนุษย์ด้วย AI ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ลดความเสี่ยงจากการฟ้องร้อง อุบัติเหตุ ความเสี่ยงจากการจารกรรมขององค์กร และอื่น ๆ ในขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงการลาพักร้อน วันหยุด วันลาป่วย ฯลฯ ของมนุษย์
    - สำหรับบริษัทต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ สมการนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าควรแทนที่มนุษย์ด้วยเอเจนต์ AI ให้ได้มากที่สุด โดยเร็วที่สุด โดยไม่ลังเล

    หลายภาคส่วนงานจะถูก AI เข้ามาแทนที่ 60% - 80% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งน่าจะรวมถึง:
    - ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า
    - ฝ่ายสนับสนุนก่อนการขาย
    - นักเขียน นักตรวจทาน และบรรณาธิการ
    - นักแปลและล่าม
    - ฝ่ายบริหารธุรกิจ (ระดับผู้จัดการระดับกลาง เช่น การประกาศปลดพนักงาน 30,000 คนโดย Amazon)
    - นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล นักฟิสิกส์ นักเคมี
    - ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะสร้างสรรค์ รวมถึงศิลปะกราฟิก ภาพยนตร์ ดนตรี วิศวกรรมเสียง และอื่นๆ

    ผมจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมในพอดแคสต์ใหม่ของผม:
    ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงราคาตกต่ำ ขณะที่ต้นทุนของมนุษย์ยังคงสูงขึ้น
    https://www.brighteon.com/e8b099f0-f018-4640-8764-af08692f6897

    ..ทหารไทยต้องยึดอำนาจ จึงกำหนดทางรอดคนประชาชนคนไทยได้จริง,ถ้านักการเมืองยังปกครองผ่านการเลือกตั้งของระบบอีลิทที่เป็นเจ้าของกลไกการปกครองระบอบที่มันสร้างขึ้นมาควบคุมมนุษย์ ไทยเราเองจะไม่รอดสู่ยุคอนาคตแน่นอน,สถานะทาสAIจะชัดเจนขึ้นแบบทวีคูณ คุณค่าความเป็นมนุษย์จะถูกปกครองให้ด้อยค่าลงจากฝีมือเผด็จการอีลิทเหล่านี้,เรา..คนไทยจะถูกกำจัดทิ้งลงเรื่อยๆแน่นอน พร้อมถูกควบคุมอย่างเป็นระบบภายใต้การปกครองของมันที่ส่งออกมาให้เราใช้แบบปัจจุบัน,ง่าบๆเข้าใจง่ายชัดเจนคือเราถูกปล้นบ่อน้ำมันและทรัพยากรมีค่ามากมายจากแผ่นดินไทยอย่างหน้าด้านๆเหมือนแร่เอิร์ธนั้นล่ะ,ทหารไทย กองทัพไทยต้องปลดแอกชาติไทยเราอย่างจริงจัง.,การปฏิวัติการปกครอง ปฏิวัติยึดอำนาจคืนมาสู่ประเทศไทยจึงสำคัญ. การวิเคราะห์: นี่เป็นแนวโน้มสำคัญอย่างยิ่งที่คุณจำเป็นต้องตระหนักถึง: - ต้นทุนการรับรู้ของ AI (โทเค็น) กำลังลดลงอย่างมาก - ในขณะที่คุณภาพของโทเค็น AI กำลังเพิ่มขึ้น - ในขณะเดียวกัน ต้นทุนการรับรู้ของมนุษย์กำลังเพิ่มขึ้น - ในขณะที่ผลผลิตจากการรับรู้ของมนุษย์กำลังลดลงอย่างมาก นั่นเป็นเพราะ: - วัคซีนทำลายสมองมนุษย์และทำให้เกิดการผ่าตัดสมอง (lobotomy) อย่างกว้างขวางในประชากรมนุษย์ (โดยตั้งใจ) - อาหารขยะแปรรูปและยาจำนวนมากทำลายประสิทธิภาพการรับรู้ เนื่องจากสมองได้รับพลังงานจากเลือด และเลือดถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่คุณกินและดื่ม - ด้วยปัจจัยเหล่านี้ มนุษย์จำนวนมากกำลังประสบกับภาวะเสื่อมถอยของความสามารถในการรับรู้เพื่อทักษะการทำงาน บางคนลืมทักษะการทำงาน - ค่าครองชีพ (สำหรับมนุษย์) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้นในสิ่งต่างๆ เช่น อาหารและประกันสุขภาพ - เนื่องจากสารเคมีในเทรล โลหะหนัก การปนเปื้อนของยาฆ่าแมลง มลพิษทางอุตสาหกรรม การหลั่งโปรตีนหนาม ฯลฯ สุขภาพของมนุษย์จึงลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดต้นทุนใหม่ ๆ ที่สูงในการรักษามนุษย์ให้อยู่ในระบบเงินเดือน ผลที่ตามมา: - AI กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่ดีกว่าระบบการรับรู้ของมนุษย์ในหลายๆ งานเท่านั้น แต่ยังมีราคาถูกลงมากอีกด้วย โดยจะมีราคาถูกลง 10 เท่า (ประมาณการ) ทุกๆ 9 เดือน - AI ไม่จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพเทียบเท่ามนุษย์อย่างสมบูรณ์เพื่อที่จะมาแทนที่มนุษย์ได้ หากมันราคาถูกกว่า 10 เท่า (ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น) ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี AI จะมีราคาถูกกว่าระบบการรับรู้ของมนุษย์ถึง 100 เท่า (ประมาณการ) - การแทนที่มนุษย์ด้วย AI ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ลดความเสี่ยงจากการฟ้องร้อง อุบัติเหตุ ความเสี่ยงจากการจารกรรมขององค์กร และอื่น ๆ ในขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงการลาพักร้อน วันหยุด วันลาป่วย ฯลฯ ของมนุษย์ - สำหรับบริษัทต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ สมการนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าควรแทนที่มนุษย์ด้วยเอเจนต์ AI ให้ได้มากที่สุด โดยเร็วที่สุด โดยไม่ลังเล หลายภาคส่วนงานจะถูก AI เข้ามาแทนที่ 60% - 80% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งน่าจะรวมถึง: - ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า - ฝ่ายสนับสนุนก่อนการขาย - นักเขียน นักตรวจทาน และบรรณาธิการ - นักแปลและล่าม - ฝ่ายบริหารธุรกิจ (ระดับผู้จัดการระดับกลาง เช่น การประกาศปลดพนักงาน 30,000 คนโดย Amazon) - นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล นักฟิสิกส์ นักเคมี - ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะสร้างสรรค์ รวมถึงศิลปะกราฟิก ภาพยนตร์ ดนตรี วิศวกรรมเสียง และอื่นๆ ผมจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมในพอดแคสต์ใหม่ของผม: ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงราคาตกต่ำ ขณะที่ต้นทุนของมนุษย์ยังคงสูงขึ้น https://www.brighteon.com/e8b099f0-f018-4640-8764-af08692f6897
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Fastnet” สายเคเบิลใต้น้ำสุดแกร่งจาก Amazon เชื่อมอเมริกาสู่อินเตอร์เน็ตความเร็วแสง

    ลองจินตนาการถึงการสตรีมภาพยนตร์ความละเอียดสูง (HD) พร้อมกันถึง 12.5 ล้านเรื่องในเวลาเดียวกัน — นั่นคือพลังของ “Fastnet” สายเคเบิลใต้น้ำใหม่ล่าสุดจาก Amazon ที่กำลังจะเชื่อมต่อสหรัฐอเมริกากับไอร์แลนด์ผ่านมหาสมุทรแอตแลนติก ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 320 เทราบิตต่อวินาที (Tbps)!

    Amazon ไม่ได้แค่ขายของออนไลน์หรือให้บริการคลาวด์เท่านั้น แต่ยังลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกเพื่อรองรับการเติบโตของบริการ AWS และความต้องการข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจาก AI และเทคโนโลยีใหม่ๆ

    เคเบิลใต้น้ำที่ “หุ้มเกราะ” ป้องกันการโจมตี
    Fastnet ไม่ใช่แค่เร็ว แต่ยัง “แกร่ง” ด้วยการหุ้มเกราะเหล็กสองชั้นบริเวณชายฝั่ง เพื่อป้องกันการถูกตัดหรือทำลาย ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจริงในหลายพื้นที่ เช่น เหตุการณ์สายเคเบิลในทะเลแดงถูกตัดเมื่อไม่นานมานี้

    Amazon ยังออกแบบให้สายเคเบิลนี้มีจุดขึ้นฝั่งที่ “หลีกเลี่ยงเส้นทางเดิมๆ” อย่างสหราชอาณาจักรหรือฝรั่งเศส เพื่อเพิ่มความหลากหลายของเส้นทางข้อมูล ลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์

    ขยายอาณาจักร AWS พร้อมแผนพัฒนาอนาคต
    นอกจาก Fastnet แล้ว Amazon ยังมีแผนเพิ่ม Availability Zones อีก 10 แห่ง และเปิด AWS Region ใหม่อีก 3 แห่งทั่วโลก เพื่อรองรับความต้องการใช้งานคลาวด์ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะจากภาคธุรกิจและ AI

    เกร็ดน่ารู้: ทำไมสายเคเบิลใต้น้ำถึงสำคัญ?
    แม้เราจะใช้ Wi-Fi หรือ 5G กันทุกวัน แต่ความจริงแล้วกว่า 95% ของข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศยังคงเดินทางผ่านสายเคเบิลใต้น้ำ! สายเคเบิลเหล่านี้จึงเป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของโลกดิจิทัล และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานนี้คือการวางรากฐานให้กับอนาคต

    Fastnet: สายเคเบิลใต้น้ำใหม่จาก Amazon
    เชื่อมต่อ Maryland, สหรัฐฯ กับ County Cork, ไอร์แลนด์
    ความเร็วสูงสุด 320 Tbps – เทียบเท่าการสตรีมหนัง HD 12.5 ล้านเรื่องพร้อมกัน
    พร้อมใช้งานในปี 2028

    โครงสร้างที่แข็งแกร่งและปลอดภัย
    หุ้มเกราะเหล็กสองชั้นบริเวณชายฝั่ง
    ออกแบบให้หลีกเลี่ยงเส้นทางสายเคเบิลเดิม เพื่อความหลากหลายและปลอดภัย

    รองรับการเติบโตของ AWS
    เพิ่ม Availability Zones อีก 10 แห่ง
    เปิด AWS Region ใหม่อีก 3 แห่งทั่วโลก

    การมีส่วนร่วมกับชุมชน
    จัดตั้ง Community Benefit Funds ใน Maryland และ County Cork
    สนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อม การศึกษา และความเป็นอยู่ของชุมชน

    ความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางภูมิรัฐศาสตร์
    สายเคเบิลใต้น้ำเคยถูกตัดในทะเลแดง ส่งผลกระทบต่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
    ความขัดแย้งระหว่างประเทศอาจส่งผลต่อเส้นทางการวางสายเคเบิล

    ความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
    แม้จะมีการป้องกัน แต่สายเคเบิลใต้น้ำยังคงเป็นเป้าหมายที่อ่อนไหว
    การโจมตีหรือความเสียหายอาจส่งผลกระทบต่อบริการทั่วโลก

    https://www.tomshardware.com/networking/amazons-new-armored-undersea-cable-is-fast-enough-to-stream-12-5-million-hd-films-simultaneously-between-the-us-and-ireland-fastnet-to-deliver-320-terabits-per-second-across-the-atlantic
    🌊🔌 “Fastnet” สายเคเบิลใต้น้ำสุดแกร่งจาก Amazon เชื่อมอเมริกาสู่อินเตอร์เน็ตความเร็วแสง ลองจินตนาการถึงการสตรีมภาพยนตร์ความละเอียดสูง (HD) พร้อมกันถึง 12.5 ล้านเรื่องในเวลาเดียวกัน — นั่นคือพลังของ “Fastnet” สายเคเบิลใต้น้ำใหม่ล่าสุดจาก Amazon ที่กำลังจะเชื่อมต่อสหรัฐอเมริกากับไอร์แลนด์ผ่านมหาสมุทรแอตแลนติก ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 320 เทราบิตต่อวินาที (Tbps)! Amazon ไม่ได้แค่ขายของออนไลน์หรือให้บริการคลาวด์เท่านั้น แต่ยังลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกเพื่อรองรับการเติบโตของบริการ AWS และความต้องการข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจาก AI และเทคโนโลยีใหม่ๆ 🛡️ เคเบิลใต้น้ำที่ “หุ้มเกราะ” ป้องกันการโจมตี Fastnet ไม่ใช่แค่เร็ว แต่ยัง “แกร่ง” ด้วยการหุ้มเกราะเหล็กสองชั้นบริเวณชายฝั่ง เพื่อป้องกันการถูกตัดหรือทำลาย ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจริงในหลายพื้นที่ เช่น เหตุการณ์สายเคเบิลในทะเลแดงถูกตัดเมื่อไม่นานมานี้ Amazon ยังออกแบบให้สายเคเบิลนี้มีจุดขึ้นฝั่งที่ “หลีกเลี่ยงเส้นทางเดิมๆ” อย่างสหราชอาณาจักรหรือฝรั่งเศส เพื่อเพิ่มความหลากหลายของเส้นทางข้อมูล ลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ 🌍 ขยายอาณาจักร AWS พร้อมแผนพัฒนาอนาคต นอกจาก Fastnet แล้ว Amazon ยังมีแผนเพิ่ม Availability Zones อีก 10 แห่ง และเปิด AWS Region ใหม่อีก 3 แห่งทั่วโลก เพื่อรองรับความต้องการใช้งานคลาวด์ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะจากภาคธุรกิจและ AI 💡 เกร็ดน่ารู้: ทำไมสายเคเบิลใต้น้ำถึงสำคัญ? แม้เราจะใช้ Wi-Fi หรือ 5G กันทุกวัน แต่ความจริงแล้วกว่า 95% ของข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศยังคงเดินทางผ่านสายเคเบิลใต้น้ำ! สายเคเบิลเหล่านี้จึงเป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของโลกดิจิทัล และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานนี้คือการวางรากฐานให้กับอนาคต ✅ Fastnet: สายเคเบิลใต้น้ำใหม่จาก Amazon ➡️ เชื่อมต่อ Maryland, สหรัฐฯ กับ County Cork, ไอร์แลนด์ ➡️ ความเร็วสูงสุด 320 Tbps – เทียบเท่าการสตรีมหนัง HD 12.5 ล้านเรื่องพร้อมกัน ➡️ พร้อมใช้งานในปี 2028 ✅ โครงสร้างที่แข็งแกร่งและปลอดภัย ➡️ หุ้มเกราะเหล็กสองชั้นบริเวณชายฝั่ง ➡️ ออกแบบให้หลีกเลี่ยงเส้นทางสายเคเบิลเดิม เพื่อความหลากหลายและปลอดภัย ✅ รองรับการเติบโตของ AWS ➡️ เพิ่ม Availability Zones อีก 10 แห่ง ➡️ เปิด AWS Region ใหม่อีก 3 แห่งทั่วโลก ✅ การมีส่วนร่วมกับชุมชน ➡️ จัดตั้ง Community Benefit Funds ใน Maryland และ County Cork ➡️ สนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อม การศึกษา และความเป็นอยู่ของชุมชน ‼️ ความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางภูมิรัฐศาสตร์ ⛔ สายเคเบิลใต้น้ำเคยถูกตัดในทะเลแดง ส่งผลกระทบต่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ⛔ ความขัดแย้งระหว่างประเทศอาจส่งผลต่อเส้นทางการวางสายเคเบิล ‼️ ความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ⛔ แม้จะมีการป้องกัน แต่สายเคเบิลใต้น้ำยังคงเป็นเป้าหมายที่อ่อนไหว ⛔ การโจมตีหรือความเสียหายอาจส่งผลกระทบต่อบริการทั่วโลก https://www.tomshardware.com/networking/amazons-new-armored-undersea-cable-is-fast-enough-to-stream-12-5-million-hd-films-simultaneously-between-the-us-and-ireland-fastnet-to-deliver-320-terabits-per-second-across-the-atlantic
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แฮกเกอร์เจาะระบบ Nikkei – ขโมยข้อมูลส่วนตัวและ Slack กว่า 17,000 รายการ”

    ในเดือนกันยายน 2025 บริษัทสื่อยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น “Nikkei Inc.” เจ้าของหนังสือพิมพ์ The Nikkei และดัชนีหุ้น Nikkei 225 พบว่ามีการเข้าถึงบัญชี Slack ของพนักงานอย่างผิดปกติ หลังจากตรวจสอบพบว่าเกิดจากมัลแวร์ที่ติดในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของพนักงานคนหนึ่ง ซึ่งนำไปสู่การขโมยข้อมูลส่วนตัวของกว่า 17,000 คน รวมถึงประวัติการแชตใน Slack

    แฮกเกอร์ใช้ข้อมูลล็อกอินที่ขโมยไปจากเครื่องพนักงานเพื่อเข้าถึง Slack Workspace ภายในของบริษัท ซึ่งมีข้อมูลของพนักงานและคู่ค้าทางธุรกิจจำนวนมาก แม้ Nikkei จะยืนยันว่าไม่มีข้อมูลแหล่งข่าวหรือเนื้อหาการรายงานหลุดออกไป แต่ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ อีเมล และประวัติการสนทนา ก็ถือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงในโลกไซเบอร์

    สิ่งที่น่ากังวลคือรูปแบบการโจมตีนี้คล้ายกับกรณีของ Change Healthcare ในปี 2024 ที่มีการขโมยข้อมูลของกว่า 190 ล้านคนเพื่อเรียกค่าไถ่ โดยไม่ใช้วิธีล็อกระบบแบบ ransomware แต่ขู่จะเปิดเผยข้อมูลแทน

    Nikkei ถูกแฮกผ่านมัลแวร์ในเครื่องพนักงาน
    มัลแวร์ขโมยข้อมูลล็อกอิน Slack
    แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลของ 17,368 คน
    รวมถึงชื่อ อีเมล และประวัติการแชต

    การตอบสนองของบริษัท
    รีเซ็ตรหัสผ่านและจำกัดการเข้าถึง
    แจ้งคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของญี่ปุ่น
    ยืนยันว่าไม่มีข้อมูลแหล่งข่าวหรือเนื้อหาการรายงานหลุด

    ความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ก่อนหน้า
    Nikkei เคยสูญเงิน $29 ล้านจากการถูกหลอกให้โอนเงินในปี 2019
    Tech in Asia ก็เคยถูกแฮกในปี 2024 และข้อมูลผู้ใช้กว่า 221,000 รายถูกเปิดเผย

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    Mayank Kumar จาก DeepTempo ระบุว่าเป้าหมายของมัลแวร์คือการขโมยล็อกอินที่ถูกต้อง
    การโจมตีแบบนี้ยากต่อการตรวจจับ เพราะดูเหมือนการใช้งานปกติ
    ระบบ SIEM ไม่สามารถแจ้งเตือนได้หากการล็อกอินถูกต้อง
    ระบบ NDR ก็ไม่สามารถตรวจสอบ payload ได้หากข้อมูลถูกเข้ารหัส

    ความเสี่ยงจากการใช้เครื่องส่วนตัวในการทำงาน
    มัลแวร์สามารถเจาะระบบผ่านเครื่องที่ไม่มีการป้องกัน
    ข้อมูลล็อกอินที่ถูกขโมยสามารถใช้เข้าถึงระบบภายในได้
    การแยกงานกับชีวิตส่วนตัวไม่ชัดเจน ทำให้เกิดช่องโหว่

    ความท้าทายในการตรวจจับการโจมตีแบบ “แฝงตัว”
    การใช้งานที่ดูเหมือนปกติทำให้ระบบความปลอดภัยไม่แจ้งเตือน
    การเข้ารหัสข้อมูลทำให้ตรวจสอบ payload ได้ยาก
    การขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลแทนการล็อกระบบเป็นแนวโน้มใหม่ของแฮกเกอร์

    เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า “ข้อมูลล็อกอิน” กลายเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง และการป้องกันภัยไซเบอร์ต้องก้าวข้ามการตรวจจับแบบเดิมๆ ไปสู่การวิเคราะห์พฤติกรรมที่ลึกซึ้งมากขึ้น

    https://hackread.com/nikkei-data-breach-hackers-steal-data-slack-messages/
    🕵️‍♂️ “แฮกเกอร์เจาะระบบ Nikkei – ขโมยข้อมูลส่วนตัวและ Slack กว่า 17,000 รายการ” ในเดือนกันยายน 2025 บริษัทสื่อยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น “Nikkei Inc.” เจ้าของหนังสือพิมพ์ The Nikkei และดัชนีหุ้น Nikkei 225 พบว่ามีการเข้าถึงบัญชี Slack ของพนักงานอย่างผิดปกติ หลังจากตรวจสอบพบว่าเกิดจากมัลแวร์ที่ติดในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของพนักงานคนหนึ่ง ซึ่งนำไปสู่การขโมยข้อมูลส่วนตัวของกว่า 17,000 คน รวมถึงประวัติการแชตใน Slack แฮกเกอร์ใช้ข้อมูลล็อกอินที่ขโมยไปจากเครื่องพนักงานเพื่อเข้าถึง Slack Workspace ภายในของบริษัท ซึ่งมีข้อมูลของพนักงานและคู่ค้าทางธุรกิจจำนวนมาก แม้ Nikkei จะยืนยันว่าไม่มีข้อมูลแหล่งข่าวหรือเนื้อหาการรายงานหลุดออกไป แต่ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ อีเมล และประวัติการสนทนา ก็ถือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงในโลกไซเบอร์ สิ่งที่น่ากังวลคือรูปแบบการโจมตีนี้คล้ายกับกรณีของ Change Healthcare ในปี 2024 ที่มีการขโมยข้อมูลของกว่า 190 ล้านคนเพื่อเรียกค่าไถ่ โดยไม่ใช้วิธีล็อกระบบแบบ ransomware แต่ขู่จะเปิดเผยข้อมูลแทน ✅ Nikkei ถูกแฮกผ่านมัลแวร์ในเครื่องพนักงาน ➡️ มัลแวร์ขโมยข้อมูลล็อกอิน Slack ➡️ แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลของ 17,368 คน ➡️ รวมถึงชื่อ อีเมล และประวัติการแชต ✅ การตอบสนองของบริษัท ➡️ รีเซ็ตรหัสผ่านและจำกัดการเข้าถึง ➡️ แจ้งคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของญี่ปุ่น ➡️ ยืนยันว่าไม่มีข้อมูลแหล่งข่าวหรือเนื้อหาการรายงานหลุด ✅ ความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ก่อนหน้า ➡️ Nikkei เคยสูญเงิน $29 ล้านจากการถูกหลอกให้โอนเงินในปี 2019 ➡️ Tech in Asia ก็เคยถูกแฮกในปี 2024 และข้อมูลผู้ใช้กว่า 221,000 รายถูกเปิดเผย ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ Mayank Kumar จาก DeepTempo ระบุว่าเป้าหมายของมัลแวร์คือการขโมยล็อกอินที่ถูกต้อง ➡️ การโจมตีแบบนี้ยากต่อการตรวจจับ เพราะดูเหมือนการใช้งานปกติ ➡️ ระบบ SIEM ไม่สามารถแจ้งเตือนได้หากการล็อกอินถูกต้อง ➡️ ระบบ NDR ก็ไม่สามารถตรวจสอบ payload ได้หากข้อมูลถูกเข้ารหัส ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้เครื่องส่วนตัวในการทำงาน ⛔ มัลแวร์สามารถเจาะระบบผ่านเครื่องที่ไม่มีการป้องกัน ⛔ ข้อมูลล็อกอินที่ถูกขโมยสามารถใช้เข้าถึงระบบภายในได้ ⛔ การแยกงานกับชีวิตส่วนตัวไม่ชัดเจน ทำให้เกิดช่องโหว่ ‼️ ความท้าทายในการตรวจจับการโจมตีแบบ “แฝงตัว” ⛔ การใช้งานที่ดูเหมือนปกติทำให้ระบบความปลอดภัยไม่แจ้งเตือน ⛔ การเข้ารหัสข้อมูลทำให้ตรวจสอบ payload ได้ยาก ⛔ การขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลแทนการล็อกระบบเป็นแนวโน้มใหม่ของแฮกเกอร์ เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า “ข้อมูลล็อกอิน” กลายเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง และการป้องกันภัยไซเบอร์ต้องก้าวข้ามการตรวจจับแบบเดิมๆ ไปสู่การวิเคราะห์พฤติกรรมที่ลึกซึ้งมากขึ้น https://hackread.com/nikkei-data-breach-hackers-steal-data-slack-messages/
    HACKREAD.COM
    Hackers Steal Personal Data and 17K Slack Messages in Nikkei Data Breach
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • บรรยากาศคึกคักที่หน้าร้าน ย.ย่งฮะเฮง ถนนบรรทัดทอง!
    ลูกค้าแวะเวียนมาเลือกชมเครื่องจักรและอุปกรณ์คุณภาพดีกันอย่างไม่ขาดสาย ทีมงานพร้อมให้คำแนะนำและบริการอย่างเต็มที่

    ใครกำลังมองหาเครื่องจักรสำหรับธุรกิจ ห้ามพลาดเลยนะครับ! แวะมาชมสินค้าจริงได้ที่ร้าน หรือสอบถามเพิ่มเติมโทร 02-2153515-9 ยินดีให้บริการครับ!

    #ย่งฮะเฮง #YongHahHeng #ถนนบรรทัดทอง #เครื่องจักร #อุปกรณ์อุตสาหกรรม #ขายดิบขายดี #คุณภาพดี
    บรรยากาศคึกคักที่หน้าร้าน ย.ย่งฮะเฮง ถนนบรรทัดทอง! 🤩 ลูกค้าแวะเวียนมาเลือกชมเครื่องจักรและอุปกรณ์คุณภาพดีกันอย่างไม่ขาดสาย ทีมงานพร้อมให้คำแนะนำและบริการอย่างเต็มที่ 🙏✨ ใครกำลังมองหาเครื่องจักรสำหรับธุรกิจ ห้ามพลาดเลยนะครับ! แวะมาชมสินค้าจริงได้ที่ร้าน หรือสอบถามเพิ่มเติมโทร 02-2153515-9 ยินดีให้บริการครับ! #ย่งฮะเฮง #YongHahHeng #ถนนบรรทัดทอง #เครื่องจักร #อุปกรณ์อุตสาหกรรม #ขายดิบขายดี #คุณภาพดี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ออกจาก Cloud แล้วรวยขึ้น – เส้นทางของนักพัฒนาที่กล้าท้าทายระบบ”
    Rameerez นักพัฒนาอิสระผู้สร้าง PromptHero และ RailsFast ได้เขียนบทความที่กลายเป็นไวรัล หลังจากเขาตัดสินใจย้ายโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดออกจาก AWS และหันไปใช้เซิร์ฟเวอร์เช่าราคาถูกแทน ผลลัพธ์คือ ลดค่าใช้จ่ายลง 10 เท่า และ เพิ่มประสิทธิภาพระบบขึ้น 2 เท่า โดยไม่ต้องพึ่งพาบริการ Cloud ที่มีราคาแพงและผูกขาด

    เขาเลือกใช้บริการจาก Hetzner ซึ่งให้เซิร์ฟเวอร์ 80-core ในราคาเพียง $190 ต่อเดือน เทียบกับ AWS ที่คิดราคาสูงถึง $2,500–$3,500 ต่อเดือนสำหรับสเปกใกล้เคียงกัน แม้จะมีตัวเลือก Reserved Instances ที่ถูกลง แต่ก็ต้องจ่ายล่วงหน้าถึง $46,000 และติดสัญญา 3 ปี

    Rameerez วิจารณ์ว่า Cloud กลายเป็น “กับดัก” สำหรับบริษัทและนักพัฒนา เพราะมันสร้างความซับซ้อนโดยไม่จำเป็น และทำให้เกิดการพึ่งพาแบบผูกขาด เขาเชื่อว่าหลายคนไม่กล้าออกจาก Cloud เพราะกลัวความยุ่งยาก ทั้งที่ความจริงแล้วการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์เองไม่ยากอย่างที่คิด โดยเฉพาะในยุคที่มี AI อย่าง ChatGPT และ Claude คอยช่วยเหลือ

    เขายังชี้ให้เห็นว่า DevOps และ Cloud Engineers จำนวนมากไม่มี “skin in the game” เพราะพวกเขาไม่ได้จ่ายค่า Cloud ด้วยเงินตัวเอง จึงไม่มีแรงจูงใจในการลดต้นทุนให้บริษัท

    การออกจาก Cloud ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
    ค่าใช้จ่ายลดลง 10 เท่า
    ประสิทธิภาพระบบเพิ่มขึ้น 2 เท่า
    ไม่มี vendor lock-in หรือข้อผูกมัดระยะยาว

    ทางเลือกใหม่: เซิร์ฟเวอร์เช่าและ VPS
    Hetzner ให้เซิร์ฟเวอร์ 80-core ในราคา $190/เดือน
    VPS 8-core + RAM 32GB ราคาเพียง $50/เดือน
    ซื้อเซิร์ฟเวอร์เองได้ในราคาไม่ถึง $1,000

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Cloud
    DevOps หลายคนไม่เคยจ่ายค่า Cloud ด้วยตัวเอง
    Cloud ถูกใช้เพราะ “ดูเท่” และ “ซับซ้อน”
    ความกลัวเรื่องความปลอดภัยและความเสถียรถูกใช้เป็นข้ออ้าง

    การกลับมาของการจัดการเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง
    AI ช่วยให้การตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ง่ายขึ้น
    Cloudflare ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยง
    การเรียนรู้ Linux กลายเป็นทักษะสำคัญในยุคใหม่

    ความเสี่ยงจากการใช้ Cloud โดยไม่เข้าใจ
    ค่าใช้จ่ายสูงเกินจริงโดยไม่จำเป็น
    Vendor lock-in ทำให้ย้ายออกยาก
    ความซับซ้อนที่ไม่จำเป็นต่อธุรกิจขนาดเล็ก
    การใช้เทคโนโลยีเกินความจำเป็น เช่น Kubernetes สำหรับแอปเล็ก

    https://rameerez.com/send-this-article-to-your-friend-who-still-thinks-the-cloud-is-a-good-idea/
    ☁️ “ออกจาก Cloud แล้วรวยขึ้น – เส้นทางของนักพัฒนาที่กล้าท้าทายระบบ” Rameerez นักพัฒนาอิสระผู้สร้าง PromptHero และ RailsFast ได้เขียนบทความที่กลายเป็นไวรัล หลังจากเขาตัดสินใจย้ายโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดออกจาก AWS และหันไปใช้เซิร์ฟเวอร์เช่าราคาถูกแทน ผลลัพธ์คือ ลดค่าใช้จ่ายลง 10 เท่า และ เพิ่มประสิทธิภาพระบบขึ้น 2 เท่า โดยไม่ต้องพึ่งพาบริการ Cloud ที่มีราคาแพงและผูกขาด เขาเลือกใช้บริการจาก Hetzner ซึ่งให้เซิร์ฟเวอร์ 80-core ในราคาเพียง $190 ต่อเดือน เทียบกับ AWS ที่คิดราคาสูงถึง $2,500–$3,500 ต่อเดือนสำหรับสเปกใกล้เคียงกัน แม้จะมีตัวเลือก Reserved Instances ที่ถูกลง แต่ก็ต้องจ่ายล่วงหน้าถึง $46,000 และติดสัญญา 3 ปี Rameerez วิจารณ์ว่า Cloud กลายเป็น “กับดัก” สำหรับบริษัทและนักพัฒนา เพราะมันสร้างความซับซ้อนโดยไม่จำเป็น และทำให้เกิดการพึ่งพาแบบผูกขาด เขาเชื่อว่าหลายคนไม่กล้าออกจาก Cloud เพราะกลัวความยุ่งยาก ทั้งที่ความจริงแล้วการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์เองไม่ยากอย่างที่คิด โดยเฉพาะในยุคที่มี AI อย่าง ChatGPT และ Claude คอยช่วยเหลือ เขายังชี้ให้เห็นว่า DevOps และ Cloud Engineers จำนวนมากไม่มี “skin in the game” เพราะพวกเขาไม่ได้จ่ายค่า Cloud ด้วยเงินตัวเอง จึงไม่มีแรงจูงใจในการลดต้นทุนให้บริษัท ✅ การออกจาก Cloud ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ค่าใช้จ่ายลดลง 10 เท่า ➡️ ประสิทธิภาพระบบเพิ่มขึ้น 2 เท่า ➡️ ไม่มี vendor lock-in หรือข้อผูกมัดระยะยาว ✅ ทางเลือกใหม่: เซิร์ฟเวอร์เช่าและ VPS ➡️ Hetzner ให้เซิร์ฟเวอร์ 80-core ในราคา $190/เดือน ➡️ VPS 8-core + RAM 32GB ราคาเพียง $50/เดือน ➡️ ซื้อเซิร์ฟเวอร์เองได้ในราคาไม่ถึง $1,000 ✅ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Cloud ➡️ DevOps หลายคนไม่เคยจ่ายค่า Cloud ด้วยตัวเอง ➡️ Cloud ถูกใช้เพราะ “ดูเท่” และ “ซับซ้อน” ➡️ ความกลัวเรื่องความปลอดภัยและความเสถียรถูกใช้เป็นข้ออ้าง ✅ การกลับมาของการจัดการเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง ➡️ AI ช่วยให้การตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ง่ายขึ้น ➡️ Cloudflare ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยง ➡️ การเรียนรู้ Linux กลายเป็นทักษะสำคัญในยุคใหม่ ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้ Cloud โดยไม่เข้าใจ ⛔ ค่าใช้จ่ายสูงเกินจริงโดยไม่จำเป็น ⛔ Vendor lock-in ทำให้ย้ายออกยาก ⛔ ความซับซ้อนที่ไม่จำเป็นต่อธุรกิจขนาดเล็ก ⛔ การใช้เทคโนโลยีเกินความจำเป็น เช่น Kubernetes สำหรับแอปเล็ก https://rameerez.com/send-this-article-to-your-friend-who-still-thinks-the-cloud-is-a-good-idea/
    RAMEEREZ.COM
    Send this article to your friend who still thinks the cloud is a good idea
    You've been lied to. You don't need the cloud – you can just run servers and save 10x your AWS costs. It's not that difficult.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Solarpunk แอฟริกา – เมื่ออนาคตไม่รอใคร”

    ลองจินตนาการว่าไฟฟ้าไม่เคยมาเยือนบ้านคุณเลยตลอดชีวิต แล้ววันหนึ่งคุณได้แสงสว่างจากแผงโซลาร์ที่ผ่อนได้ผ่านมือถือ… นี่คือเรื่องจริงของผู้คนกว่า 600 ล้านคนในแอฟริกา ที่ไม่ได้รอให้รัฐบาลหรือธนาคารโลกมาสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ แต่ลุกขึ้นมาสร้างมันเองผ่านโมเดล Solarpunk ที่กำลังเปลี่ยนโลก

    ในขณะที่โลกพัฒนาแล้วกำลังถกเถียงเรื่องพลังงานสะอาด แอฟริกากำลังลงมือทำจริง ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีราคาถูก การเงินดิจิทัล และโมเดลธุรกิจแบบจ่ายรายวัน (PAYG) ที่ทำให้พลังงานแสงอาทิตย์เข้าถึงได้แม้กับคนที่มีรายได้เพียง $2 ต่อวัน

    ในอดีต การขยายสายไฟฟ้าไปยังพื้นที่ชนบทต้องใช้เงินมหาศาลและเวลานานหลายสิบปี แต่วันนี้ บริษัทสตาร์ทอัพในแอฟริกาอย่าง Sun King และ SunCulture กลับสามารถติดตั้งระบบโซลาร์ให้เกษตรกรได้ภายในไม่กี่วัน ด้วยเงินดาวน์เพียง $100 และจ่ายรายวันผ่านมือถือ

    ระบบเหล่านี้มาพร้อม IoT ที่สามารถตัดไฟหากไม่จ่าย และเปิดไฟเมื่อชำระเงิน ทำให้เกิดวินัยทางการเงิน และอัตราการชำระหนี้สูงถึง 90% ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศที่มีระบบธนาคารเต็มรูปแบบเสียอีก

    ที่น่าทึ่งคือ โมเดลนี้ไม่เพียงให้แสงสว่าง แต่ยังเปลี่ยนชีวิต:
    เกษตรกรสามารถใช้ปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเพิ่มผลผลิต 3-5 เท่า
    เด็กๆ อ่านหนังสือตอนกลางคืนได้
    ผู้หญิงไม่ต้องสูดควันจากเตาเผาดีเซลหรือถ่านอีกต่อไป

    และทั้งหมดนี้ยังสามารถขายคาร์บอนเครดิตได้อีกด้วย ทำให้ต้นทุนลดลง และขยายตลาดได้มากขึ้น

    สรุปเนื้อหาสำคัญ
    แอฟริกากำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานพลังงานใหม่ด้วยตัวเอง
    ใช้โมเดล Pay-As-You-Go (PAYG) ผ่านมือถือ
    ระบบโซลาร์ติดตั้งง่าย จ่ายรายวันผ่าน M-PESA
    มี IoT ควบคุมการเปิด-ปิดไฟตามการชำระเงิน
    อัตราการชำระหนี้สูงกว่า 90%
    บริษัท Sun King และ SunCulture มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 50%
    ปั๊มน้ำโซลาร์ช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกรจาก $600 เป็น $14,000 ต่อเอเคอร์
    คาร์บอนเครดิตช่วยลดต้นทุนลง 25-40%
    มีการลงทุนล่วงหน้าโดยองค์กรต่างประเทศ เช่น British International Investment

    การขยายโมเดลนี้ยังมีความเสี่ยง
    ความผันผวนของค่าเงินในประเทศต่างๆ
    ความเสี่ยงด้านนโยบายจากรัฐบาล
    ความผันผวนของราคาคาร์บอนเครดิต
    ความซับซ้อนในการบำรุงรักษาอุปกรณ์
    ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติหรือความไม่มั่นคงทางการเมือง

    ถ้าโมเดลนี้ขยายไปยังเอเชียใต้ ลาตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกที่ไม่ต้องรอ “สายไฟ” อีกต่อไป แต่ใช้แสงแดดเป็นตัวนำทางสู่อนาคต

    https://climatedrift.substack.com/p/why-solarpunk-is-already-happening
    ☀️ “Solarpunk แอฟริกา – เมื่ออนาคตไม่รอใคร” ลองจินตนาการว่าไฟฟ้าไม่เคยมาเยือนบ้านคุณเลยตลอดชีวิต แล้ววันหนึ่งคุณได้แสงสว่างจากแผงโซลาร์ที่ผ่อนได้ผ่านมือถือ… นี่คือเรื่องจริงของผู้คนกว่า 600 ล้านคนในแอฟริกา ที่ไม่ได้รอให้รัฐบาลหรือธนาคารโลกมาสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ แต่ลุกขึ้นมาสร้างมันเองผ่านโมเดล Solarpunk ที่กำลังเปลี่ยนโลก ในขณะที่โลกพัฒนาแล้วกำลังถกเถียงเรื่องพลังงานสะอาด แอฟริกากำลังลงมือทำจริง ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีราคาถูก การเงินดิจิทัล และโมเดลธุรกิจแบบจ่ายรายวัน (PAYG) ที่ทำให้พลังงานแสงอาทิตย์เข้าถึงได้แม้กับคนที่มีรายได้เพียง $2 ต่อวัน ในอดีต การขยายสายไฟฟ้าไปยังพื้นที่ชนบทต้องใช้เงินมหาศาลและเวลานานหลายสิบปี แต่วันนี้ บริษัทสตาร์ทอัพในแอฟริกาอย่าง Sun King และ SunCulture กลับสามารถติดตั้งระบบโซลาร์ให้เกษตรกรได้ภายในไม่กี่วัน ด้วยเงินดาวน์เพียง $100 และจ่ายรายวันผ่านมือถือ ระบบเหล่านี้มาพร้อม IoT ที่สามารถตัดไฟหากไม่จ่าย และเปิดไฟเมื่อชำระเงิน ทำให้เกิดวินัยทางการเงิน และอัตราการชำระหนี้สูงถึง 90% ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศที่มีระบบธนาคารเต็มรูปแบบเสียอีก ที่น่าทึ่งคือ โมเดลนี้ไม่เพียงให้แสงสว่าง แต่ยังเปลี่ยนชีวิต: 📍 เกษตรกรสามารถใช้ปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเพิ่มผลผลิต 3-5 เท่า 📍 เด็กๆ อ่านหนังสือตอนกลางคืนได้ 📍 ผู้หญิงไม่ต้องสูดควันจากเตาเผาดีเซลหรือถ่านอีกต่อไป และทั้งหมดนี้ยังสามารถขายคาร์บอนเครดิตได้อีกด้วย ทำให้ต้นทุนลดลง และขยายตลาดได้มากขึ้น 📌 สรุปเนื้อหาสำคัญ ✅ แอฟริกากำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานพลังงานใหม่ด้วยตัวเอง ➡️ ใช้โมเดล Pay-As-You-Go (PAYG) ผ่านมือถือ ➡️ ระบบโซลาร์ติดตั้งง่าย จ่ายรายวันผ่าน M-PESA ➡️ มี IoT ควบคุมการเปิด-ปิดไฟตามการชำระเงิน ➡️ อัตราการชำระหนี้สูงกว่า 90% ➡️ บริษัท Sun King และ SunCulture มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 50% ➡️ ปั๊มน้ำโซลาร์ช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกรจาก $600 เป็น $14,000 ต่อเอเคอร์ ➡️ คาร์บอนเครดิตช่วยลดต้นทุนลง 25-40% ➡️ มีการลงทุนล่วงหน้าโดยองค์กรต่างประเทศ เช่น British International Investment ‼️ การขยายโมเดลนี้ยังมีความเสี่ยง ⛔ ความผันผวนของค่าเงินในประเทศต่างๆ ⛔ ความเสี่ยงด้านนโยบายจากรัฐบาล ⛔ ความผันผวนของราคาคาร์บอนเครดิต ⛔ ความซับซ้อนในการบำรุงรักษาอุปกรณ์ ⛔ ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติหรือความไม่มั่นคงทางการเมือง ถ้าโมเดลนี้ขยายไปยังเอเชียใต้ ลาตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกที่ไม่ต้องรอ “สายไฟ” อีกต่อไป แต่ใช้แสงแดดเป็นตัวนำทางสู่อนาคต https://climatedrift.substack.com/p/why-solarpunk-is-already-happening
    CLIMATEDRIFT.SUBSTACK.COM
    Why Solarpunk is already happening in Africa
    Or: How Africa is building the future by skipping the past
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • หุ้น MRDIYT ประกันสังคมอาจเจ็บตัว

    ทำเอานักลงทุนใจหายใจคว่ำ เมื่อหุ้น MRDIYT ของบริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร้านค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน และสินค้าไลฟ์สไตล์ สัญชาติมาเลเซีย เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 พ.ย. เป็นวันแรก ปรากฎว่าเปิดการซื้อขายที่ 7.05 บาท ต่ำกว่าราคาจองซื้อแบบ IPO ซึ่งกำหนดไว้ที่ 8.60 บาท หรือประมาณ 18% ก่อนที่ราคาจะขยับในระดับ 8 บาท สูงที่สุด 8.70 บาท ก่อนปิดการซื้อขายที่ราคา 8.60 บาท เท่ากับราคาจองซื้อ มูลค่าการซื้อขาย 4,698.30 ล้านบาท

    MRDIYT ประกอบธุรกิจร้านมิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ในไทย ก่อตั้งเมื่อปี 2559 ปัจจุบันมีสาขา 1,027 แห่ง ใน 77 จังหวัด ระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นครั้งแรก 5,600 ล้านบาท เพื่อนำไปชำระหนี้สินและเงินกู้ยืมที่มีอยู่ของบริษัทฯ รวมถึงเงินกู้ยืมจากธนาคารซีไอเอ็มบีไทย 2,058.40 ล้านบาท ใช้ในการขยายสาขา ลงทุนบริษัทย่อย ซื้อที่ดินสำหรับคลังสินค้าเพิ่มเติม 500 ล้านบาท และใช้เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียน 721.30 ถึง 845.40 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่ที่ระดมทุนสูงที่สุดในรอบ 3 ปี

    บทความของ สุนันท์ ศรีจันทรา ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน 360 ตั้งข้อสังเกตว่า หุ้น MRDIYT ได้รับความสนใจสูง เพราะเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่ขนาดใหญ่ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท แต่การนำหุ้นจำนวน 655 ล้านหุ้น เสนอขายในราคา 8.60 บาท โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ประมาณ 23 เท่า "ถือว่าเป็นราคาขายที่ไม่ถูกนัก"

    อีกด้านหนึ่ง ยังมีประเด็นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่บางรายนำหุ้น 553 ล้านหุ้น จาก 1,230 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 21% ของทุนจดทะเบียน ไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน สำหรับข้อตกลงทางการเงินส่วนบุคคล หรือ "นำหุ้นไปจำนำ" และเตรียมขายหุ้นในวันแรกที่หุ้นเข้าซื้อขายอีก 4.07% ในราคาเดียวกับราคาที่เสนอขายนักลงทุน นอกจากนั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ยังเป็นต่างชาติ ซึ่งนักลงทุนหุ้นมูลค่าเพิ่มรายใหญ่บางคนจะหลีกเลี่ยง เพราะกลัวความเสี่ยงจากต่างชาติขายหุ้นทิ้ง หรือถ่ายเทเงินกลับบ้าน ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในหุ้นหลายตัว

    สิ่งที่น่าเป็นห่วงนอกเหนือจากหุ้น MRDIYT ต่ำกว่าราคาจองแล้ว พบว่าหนึ่งในผู้ถิอหุ้น คือ สำนักงานประกันสังคม จองซื้อผ่านทาง บลจ.ทาลิส 8,678,100 หุ้น และ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) อีก 1,225,400 หุ้น รวมแล้ว 9,903,500 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 85,170,100 บาท คนที่เจ็บตัวมากที่สุดคือผู้ประกันตนกว่า 24.8 ล้านราย เพราะกลายเป็นการนำเงินของผู้ประกันตนไปซื้อหุ้นที่ไม่รู้อนาคตว่าจะรุ่งหรือร่วง

    #Newskit
    หุ้น MRDIYT ประกันสังคมอาจเจ็บตัว ทำเอานักลงทุนใจหายใจคว่ำ เมื่อหุ้น MRDIYT ของบริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร้านค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน และสินค้าไลฟ์สไตล์ สัญชาติมาเลเซีย เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 พ.ย. เป็นวันแรก ปรากฎว่าเปิดการซื้อขายที่ 7.05 บาท ต่ำกว่าราคาจองซื้อแบบ IPO ซึ่งกำหนดไว้ที่ 8.60 บาท หรือประมาณ 18% ก่อนที่ราคาจะขยับในระดับ 8 บาท สูงที่สุด 8.70 บาท ก่อนปิดการซื้อขายที่ราคา 8.60 บาท เท่ากับราคาจองซื้อ มูลค่าการซื้อขาย 4,698.30 ล้านบาท MRDIYT ประกอบธุรกิจร้านมิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ในไทย ก่อตั้งเมื่อปี 2559 ปัจจุบันมีสาขา 1,027 แห่ง ใน 77 จังหวัด ระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นครั้งแรก 5,600 ล้านบาท เพื่อนำไปชำระหนี้สินและเงินกู้ยืมที่มีอยู่ของบริษัทฯ รวมถึงเงินกู้ยืมจากธนาคารซีไอเอ็มบีไทย 2,058.40 ล้านบาท ใช้ในการขยายสาขา ลงทุนบริษัทย่อย ซื้อที่ดินสำหรับคลังสินค้าเพิ่มเติม 500 ล้านบาท และใช้เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียน 721.30 ถึง 845.40 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่ที่ระดมทุนสูงที่สุดในรอบ 3 ปี บทความของ สุนันท์ ศรีจันทรา ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน 360 ตั้งข้อสังเกตว่า หุ้น MRDIYT ได้รับความสนใจสูง เพราะเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่ขนาดใหญ่ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท แต่การนำหุ้นจำนวน 655 ล้านหุ้น เสนอขายในราคา 8.60 บาท โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ประมาณ 23 เท่า "ถือว่าเป็นราคาขายที่ไม่ถูกนัก" อีกด้านหนึ่ง ยังมีประเด็นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่บางรายนำหุ้น 553 ล้านหุ้น จาก 1,230 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 21% ของทุนจดทะเบียน ไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน สำหรับข้อตกลงทางการเงินส่วนบุคคล หรือ "นำหุ้นไปจำนำ" และเตรียมขายหุ้นในวันแรกที่หุ้นเข้าซื้อขายอีก 4.07% ในราคาเดียวกับราคาที่เสนอขายนักลงทุน นอกจากนั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ยังเป็นต่างชาติ ซึ่งนักลงทุนหุ้นมูลค่าเพิ่มรายใหญ่บางคนจะหลีกเลี่ยง เพราะกลัวความเสี่ยงจากต่างชาติขายหุ้นทิ้ง หรือถ่ายเทเงินกลับบ้าน ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในหุ้นหลายตัว สิ่งที่น่าเป็นห่วงนอกเหนือจากหุ้น MRDIYT ต่ำกว่าราคาจองแล้ว พบว่าหนึ่งในผู้ถิอหุ้น คือ สำนักงานประกันสังคม จองซื้อผ่านทาง บลจ.ทาลิส 8,678,100 หุ้น และ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) อีก 1,225,400 หุ้น รวมแล้ว 9,903,500 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 85,170,100 บาท คนที่เจ็บตัวมากที่สุดคือผู้ประกันตนกว่า 24.8 ล้านราย เพราะกลายเป็นการนำเงินของผู้ประกันตนไปซื้อหุ้นที่ไม่รู้อนาคตว่าจะรุ่งหรือร่วง #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 7 – 8
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 7

    Sir Halford Mackinder หรือครู Mac ครูใหญ่ชาวอังกฤษ ด้านภูมิศาสตร์การเมือง (Geopolitics) พูดไว้เมื่อ ปี คศ 1904 ในการสัมมนาของ Royal Geographic Society ที่ลอนดอนว่า ใครก็ตาม ที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นแหละ จะเป็นผู้ตัดสิน หรือควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และหมายความว่า จะเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์ ทฤษฏีครู Mac ได้รับการเชื่อถือ และยกย่อง จากทั้งอังกฤษ และอเมริกา และตั้งแต่ครู Mac ประกาศทฤษฏีของตัวออกมา ก็เหมือนครู Mac ออกใบสั่งประหารรัสเซีย

    อังกฤษลงทุน “สร้าง” สงครามโลก เป้าหมายแรกเพื่อต้องการเขี่ย หรือกันท่าเยอรมันให้พ้นจากแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลาง จากนั้นก็จะบี้เยอรมันให้ตายคาที่ เป้าหมายต่อมาคือ หากตนเป็นผู้ชนะสงคราม ในฐานะผู้ชนะสงคราม อังกฤษจะเขียนแผนที่ตะวันออกกลางเสียใหม่ แบ่งตะวันออกกลางกันกับพรรคพวก เพื่อให้ตัวเองได้ครอบครองประเทศในตะวันออกกลาง ที่มีแหล่งน้ำมัน ตามที่ตัวเองเลือก มันเป็นการต้ังเป้าหมาย จากความเชื่อถือในทฤษฏีครูMac ข้างต้น อังกฤษ จึงวางยุทธศาสตร์ในการทำสงคราม เพื่อครองโลกของอังกฤษ ครั้งนี้ เป็น 2 ขั้นตอน

    ขั้นตอนแรกกวาดเยอรมัน และออตโตมานให้ราบคาบเสียก่อนในช่วงทำสงครามโลก ส่วนรัสเซียนั้น อังกฤษ เตรียมจัดการ ในขั้นตอนต่อไป เนื่องจากรัสเซียอยู่ในภูมิประเทศ ที่ทำลายยากตามทฤษฏีของครู Mac ดังนั้นการทำศึก 2 ด้าน โดยสู้กับเยอรมันด้านหนึ่ง และสู้กับรัสเซียอีกด้านหนึ่ง พร้อมกันไป ย่อมเอาชนะทั้ง 2 ประเทศได้ยาก อังกฤษจึงใช้วิธีหลอกเอารัสเซียมาอยู่ฝ่ายตนเสียก่อน หลังจากนั้น ก็รอเวลา ให้เกิดการปฏิวัติในรัสเซีย หน้าฉากเหมือนอังกฤษไม่เกี่ยวด้วยกับการปฏิวัติรัสเซีย แต่อังกฤษน่าจะรู้ว่าแล้วว่า มีคนจ้องจะปฏิวัติรัสเซีย อังกฤษแค่ปล่อยให้เชื้อโรคปฏิวัติ เป็นผู้จัดการรัสเซียเอง ได้ผลกว่าแยะ และนอกจากนั้น การตกปากของรัสเซีย ที่จะร่วมมือกันทำลายเยอรมัน ยังดูก้ำกึ่งว่า จะเชื่อถือรัสเซียได้แค่ไหน เอาเข้าจริง รัสเซียอาจจะเอนไปทางเยอรมันก็เป็นได้ เมื่อเทียบกับ หลอกให้อเมริกามาร่วมรบเยอรมัน อังกฤษย่อมพอใจเลือก พวกAnglo Saxon ด้วยกัน น่าจะเชื่อใจได้มากกว่า
    ดังนั้น อังกฤษจึงเล่นบทเรื่องปฏิวัติรัสเซียไปตามน้ำ ให้อเมริกาเชื่อว่า อังกฤษไม่มีแผนเกี่ยวกับการตะครุบรัสเซีย ปล่อยให้เป็นเรื่องของอเมริกา กับบรรดาเด็กในคาถาของ Rothschild ออกโรงกันเอง ยังไงก็คนกันเองทั้งนั้น แค่กันเยอรมันออกไปก่อน แต่ระหว่างนั้น อังกฤษ ก็แอบเข้าไปจองที่ในรัสเซียเช่น กัน ดูได้จากพฤติกรรมของ Lord Milner แห่ง Round Table ผู้ซึ่งมีรัศมีอำนาจทำการ กว้างใหญ่ไม่น้อยกว่า นายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ที่ส่งหมาป่าพันธุ์อังกฤษ Bruce Rockhart มาประกบ Raymond Robins หมาป่าพันธ์ุอเมริกัน เอาไว้

    ส่วนอเมริกานั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านรัฐบาล และด้านนักธุรกิจ ต่างมีจุดประสงค์เดียวกัน เกี่ยวกับเรื่องรัสเซีย คือไล่ซาร์ให้พ้นไปจากรัสเซีย ซึ่งเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรน้ำมัน และแร่ธาตุสาระพัด เพื่อพวกเขาจะได้เข้าไปควบคุม และครอบครองทรัพยากรทั้งหมดแทน มันก็น่าจะเป็นความคิด ที่มาจากทฤษฏีของครู Mac ด้วยเช่นกัน แต่จะเข้าไปทำสงครามกับรัสเซียเพื่อไล่ซาร์ ไม่ใช่เรื่องฉลาด สำหรับอเมริกา ไม่มีอะไรดีกว่า ยุให้คนรัสเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนบ้านเมืองฉิบหาย โดยอเมริกาสนับสนุนทุกฝ่าย ฝ่ายไหนชนะ อเมริกาก็ชนะด้วย และเข้าไปครอบงำผู้ชนะอีกต่อหนึ่ง ขณะเดียวกัน ก็ตั้งบริษัทสำหรับปฏิบัติการขูดเนื้อ เถือกระดูกรัสเซียไว้ล่วงหน้า ก่อนที่อังกฤษหรือเยอรมันจะเข้ามาในรัสเซีย เพื่อให้แน่ใจว่ารัสเซียต้องไม่หลุดมือ ไม่ให้ใครมาฉกไปได้ ด้วยยุทธศาสตร์นี้ อุตสาหกรรม และ ธุรกิจใหญ่ของอเมริกา นำโดย Rockefeller/Morgan, Guggenheim ฯลฯ จึงเข้าไปครอบงำรัสเซียอยู่เกือบ 50 ปี ตั้งแต่ ค.ศ.1917

    น่าคิดว่า การปล้น ที่ให้โจรใส่เสื้อคลุมปฏิวัติ หรือเสื้อคลุมสงคราม เมื่อร้อยปีก่อน กับการปล้น ที่ให้โจรใส่เสื้อคลุม กำจัดผู้นำเผด็จการ ตรวจสอบนิวเคลียร์ อย่างที่เกิดขึ้นในอิรัค ลิเบีย ฯลฯ เกือบร้อยปีต่อมา เพื่อปล้นเอาน้ำมันของเขาไป ดูเหมือนไม่แตกต่างกัน และการปล้นแบบนี้ ก็อาจเกิดขึ้นต่อไปอีกเรื่อยๆ ในที่ต่างๆ โดยการใช้เสื้อคลุมตัวเดิมๆ หรือเปลี่ยนเสื้อคลุมตัวใหม่ ถ้าผู้คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศที่เป็นเหยื่อ ไม่รู้เท่าทัน

    สูตรนี้เล่นมาแล้ว 100 ปี เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้อยู่ และก็ยังได้ผลอยู่
    และตอนไหนจะเหมาะที่จะคาบรัสเซียไปกิน ก็ไม่พ้นตอนที่รัสเซีย (ถูกทำให้) อ่อนแอ เป็นยุทธศาสตร์เดียวกับที่อังกฤษคิด และ ใช้กับออตโตมาน แต่ ขณะที่ อังกฤษใช้ยุทธศาสตร์ 2 จังหวะ แต่อเมริกาเลือกใช้ยุทธศาสตร์จังหวะเดียว แต่เล่น 2 ฉากพร้อมกัน อเมริกาเล่นบทปฏิวัติรัสเซีย แล้วก็นั่งคอยเวลาที่จะคาบรัสเซียไปกิน ขณะเดียวกัน อเมริกาก็เล่นบท สนับสนุนทุกอย่างให้อังกฤษ ที่กระสันอยากทำสงครามโลกทั้งที่ถังแตก ให้ไปรบก่อน แล้วอเมริกาก็นั่งคอยเวลาเล่นบทพระเอก ออกไปช่วยอังกฤษรบ เมื่ออังกฤษใกล้เละเต็มที ด้วยการวางยุทธศาสตร์เช่นนี้ อเมริกาจึงได้กินรวบหมดกระดาน อิ่มสมใจ และอิ่มนาน มาตั้งแต่บัดนั้น ถึงบัดนี้

    ต่างกับอังกฤษ ที่แม้จะชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 อิ่มสมใจเหมือนกัน แต่ความอิ่มของอังกฤษ อยู่ไม่นานอย่างที่ฝัน

    ดูเหมือนการลงทุนทำสงครามโลกครั้งที่ 1 ของอังกฤษ จะไม่ได้กำไรอย่างที่คิด และน่าคิดว่า ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลก ทำให้อังกฤษ นอกจากไม่ได้กำไรแล้ว อาจจะกลายเป็นขาดทุนเอาด้วยซ้ำ

    แม้ข้อเสนอของ Col House ต่ออังกฤษ ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี การแสดงละครของวอลสตรีทและกลุ่มนักธุรกิจ ตามมาด้วยการตัดสินใจเข้าสงคราม โลกของอเมริกา การเข้ามากำกับของ Round Table จะทำให้เข้าใจว่า อังกฤษกับอเมริกา น่าจะรู้เห็น และร่วมเขียนบทละครด้วยกัน และแสดงร่วมกันตลอดเกือบทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นบทสงคราม หรือปฏิวัติปล้นรัสเซีย แต่ดูเหมือนอังกฤษและอเมริกา ต่างก็แอบไปสร้างฉากเสริมส่วนตัวเกี่ยวกับรัสเซีย ที่ต่างก็อยากได้ไว้เองโดยไม่แบ่งกับพวก หักหลังหักเหลี่ยมกันเองตามสันดานโจร

    ส่วนเยอรมัน ไม่ได้อยากรบ ไม่ได้อยากเข้าสงครามโลกตั้งแต่ แรก ความต้องการของเยอรมัน คือ ต้องการได้แหล่งน้ำมัน แทนการการใช้ Standard Oil และตกอยู่ในมือบีบของ Rockefeller เจ้าพ่อ Standard Oil เมื่อโอกาสจะเข้าไปเอาน้ำมันของตะวันออกกลางตามเส้นทางรถไฟ Berlin Bagdad ที่เยอรมันวางแผนไว้หลายปี ถูกอังกฤษขวางและถีบเสียจนตกรางอย่างนี้ เยอรมันก็ต้องหาแผนสำรอง
    รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ Baku ที่ทั้ง เจ้าพ่อ Rothschlid และเจ้าพ่อ Rockefeller อยากได้อยู่ทั้งคู่ บวก เยอรมันเข้าไปอีกราย คงแย่งกันฝุ่นตลบ แค่เสียทองไม่กี่ตันสนับสนุน Lenin ทำปฏิวัติ ไล่ซาร์ออกไป โดยมีข้อตกลงแลกเปลี่ยน ปฏิวัติสำเร็จแล้วก็รีบไปถอนตัว เลิกร่วมท้ายจมหัวกับอังกฤษ ไม่ต้องมารบเยอรมัน พวกปฏิวัติบอกไม่มีปัญหา เพราะไม่ได้อยากเล่นบททำสงครามอยู่แล้ว มันเจ็บจริงตายจริงนะโว้ย แค่อยากปฏิวัติเป็นพระเอกเท่านั้น เยอรมันรบกับอังกฤษด้านเดียว โอกาสชนะของเยอรมันมีสูงกว่า หลังจากนั้น การเจรจาเข้าไปใน Baku ไม่น่าจะยากเกินไป เพราะถ้าเยอรมันชนะ อังกฤษคงไม่มีโอกาสมาเสนอหน้าแถว Baku คงวุ่นอยู่กับการเลียแผลมากกว่า

    เยอรมันคิดสูตรนี้เองหรือ หรือมีใครช่วย อย่าลืมรัฐบาลเยอรมันใช้ใครเกือบทั้งตระกูล

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 8 (ตอนจบ)

    ละครเรื่องนี้ คงเล่นสำเร็จถึงขนาดนี้ได้ยาก ถ้าไม่มีนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง ที่วางกลยุทธ์ อย่างลึกซึ้ง เลือดเย็น ยาวนาน และคอยชักใยทุกฝ่ายอย่างแนบเนียน

    น่าจะมีคนที่เขียนและกำกับบท ทั้งทางตรง และทางอ้อม เป็นเวลานาน เพื่อให้เกิดสงคราม เกิดการปฏิวัติ และเป็นผลให้ 3 อาณาจักร หรือจักรวรรดิ์ใหญ่ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี ล่มสลายในเวลาใกล้เคียงกัน ออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย

    ดูเหมือนตระกูล Rothschild จะมีคุณสมบัติพร้อมกว่าเพื่อน ที่จะได้รับเกียรติ เป็นผู้ต้องสงสัย ว่าเป็นนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง โดยพิจารณาจากเรื่องราว ความสามารถ ความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องกับตัวละครสำคัญทุกตัวในละครลวงโลกเรื่องนี้

    ใช่พวก Rothschild หรือไม่ และพวกเขาทำไปเพื่ออะไร เราคงต้องใช้ทฤษฏีเหตุจูงใจ (motive) ทำนองเดียวกับการพิสูจน์ความผิดของจำเลย มาช่วยวิเคราะห์ ในการพิจารณาข้อหาผู้ต้องสงสัยรายนี้
    เหตุจูงใจ ประการแรก คือ ความโกรธแค้นซาร์แห่งรัสเซียและต้องการแก้แค้น
    จากเรื่องราวที่เล่ามา เหตุจูงใจประการนี้ ยากที่ผู้ต้องสงสัย จะปฏิเสธว่าไม่มี

    เหตุจูงใจ ประการที่สอง คือผลประโยชน์ทางธุรกิจ ตามสันดานที่ต้องการสร้างโอกาสทำกำไร จากการทำสงครามของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะโดยวิธีใดและจะทำให้ใครหายนะอย่างไร อันเป็นแนวการทำธุรกิจของตระกูล จากเรื่องราวที่เล่ามา Rothschild น่าจะแค่ยุซ้าย สั่งขวา พยักหน้าไม่กี่ที ก็มีแต่กำไรกับกำไร ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นคนดำเนินการ เพราะเขาจับมือ หรือควบคุมไว้ทุกฝ่าย เล่นไพ่ทุกใบ เหตุจูงใจประการนี้ ก็เช่นเดียวกับประการแรก นอกจากปฏิเสธยากแล้ว น้ำหนักจูงใจในประการนี้ ยังสูงมากด้วย

    แต่เหตุจูงใจที่น่าคิด น่าสนใจ คือเหตุจูงใจ ของความรู้สึกเบื้องลึกของ Rothschild ที่แอบซ่อนไว้ ด้วย อัตตา และตัณหา ของมนุษย์พันธุ์อย่างพวกเขา ที่ต้องการแสดงอิทธิพล และอำนาจ ให้โลกรู้ว่า แม้เขาจะเป็นเพียงพ่อค้าชาวยิว ไม่ได้เป็นเจ้านาย ไม่ได้มีเชื้อสายกษัตริย์ ไม่มีบัลลังค์ให้นั่ง ไม่มีประเทศให้ครอง เขาเป็นเพียงกา ไม่ใช่หงส์ แต่ด้วยความรวยล้นของทุน จึงสร้างอำนาจไว้ได้ทั่วทุกแห่ง ทุกระดับ ที่จะสามารถทำลายอาณาจักร หรือจักรวรรดิ ทั้งโลกได้ และอาณาจักรใหญ่ หรือจักรวรรดิ ที่เหลืออยู่ในโลกขณะนั้น 4 จักรวรรดิ จึงถูกกระทำให้จบสิ้นไปในเวลาใกล้เคียงกัน 3 จักรวรรดิ คือ ออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย

    คงมีคนสงสัยว่า Rothschild ก็เป็นพวกเดียวกับเยอรมันมิใช่หรือ พวกเขาไม่น่าจะใช่คนคิดทำลายเยอรมัน คำตอบคือ ตระกูล Rothschild อาศัยเกิดในเยอรมันก็จริง แต่พวกเขาอาจไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นชาวเยอรมัน ดูจากประวัติการทำธุรกิจของพวกเขา Rothschild น่าจะไม่เคยนึกถึงสัญชาติ และประเทศชาติ เขาคงไม่รู้จักเรื่องพวกนี้ เขาน่าจะรู้จักแต่การทำเงิน ทำกำไร กับการทำลายเท่านั้น เขาคงไม่ได้ผูกพันกับเยอรมัน เขาน่าจะแค่ “ใช้” เยอรมัน
    และก็คงมีคนสงสัยอีกว่า แล้วทำไม จักรวรรดิ หรือจักรภพของอังกฤษยังเหลืออยู่ล่ะ เพราะ Rothschild คิดว่า พวกเขาเป็นคนอังกฤษหรือไง ก็คงไม่ใช่อีก พวกเขาอยู่อังกฤษก็จริง แต่เขาก็คงไม่นับว่าตัวเองเป็นคนอังกฤษ เขาเป็น พวก Rothschild “ที่อยู่” ในอังกฤษเท่านั้น และที่เขาเก็บอังกฤษไว้ ก็ไม่น่าใช่เพราะนึกถึงบุญคุณ ที่อาศัยแผ่นดินชาวเกาะอยู่ ที่ยังเหลือจักรภพอังกฤษอยู่ (ในตอนนั้น) เขาคงแค่เก็บไว้ดูเล่น ให้หงส์เล่นบทตามที่กาเขียน กาน่าจะดูอย่างเพลินใจ แต่หงส์จะคิดอย่างไรคงเกินกว่าที่เราจะรู้ และถ้าดูกันเลยไปอีกนิด จักรภพอังกฤษ ก็ใช่ว่าไม่ย่อยยับ มีวันที่ดวงอาทิตย์ตกในจักรภพอังกฤษได้เหมือนกัน และก็เป็นผลจากสงครามโลก ที่อังกฤษสร้างขึ้นมาเองนั่นแหละ

    “กรรม” ยุติธรรมเสมอ ไม่มีใครหนีผลกรรมของตนเองพ้น

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    11 พ.ค. 2558

    ( หมายเหตุ: มีใครอีกไหม ที่อยากได้ประโยชน์ หรือ อยากแสดงอานุภาพ หรือ อยากได้ความสะใจ และแอบมาร่วมเขียนบท และร่วมแสดงในละครลวงโลกแสนบัดซบนี้ น่าจะมี รออ่านตอนบทแถมแล้วกันครับ)
    ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 7 – 8 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 7 Sir Halford Mackinder หรือครู Mac ครูใหญ่ชาวอังกฤษ ด้านภูมิศาสตร์การเมือง (Geopolitics) พูดไว้เมื่อ ปี คศ 1904 ในการสัมมนาของ Royal Geographic Society ที่ลอนดอนว่า ใครก็ตาม ที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นแหละ จะเป็นผู้ตัดสิน หรือควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และหมายความว่า จะเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์ ทฤษฏีครู Mac ได้รับการเชื่อถือ และยกย่อง จากทั้งอังกฤษ และอเมริกา และตั้งแต่ครู Mac ประกาศทฤษฏีของตัวออกมา ก็เหมือนครู Mac ออกใบสั่งประหารรัสเซีย อังกฤษลงทุน “สร้าง” สงครามโลก เป้าหมายแรกเพื่อต้องการเขี่ย หรือกันท่าเยอรมันให้พ้นจากแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลาง จากนั้นก็จะบี้เยอรมันให้ตายคาที่ เป้าหมายต่อมาคือ หากตนเป็นผู้ชนะสงคราม ในฐานะผู้ชนะสงคราม อังกฤษจะเขียนแผนที่ตะวันออกกลางเสียใหม่ แบ่งตะวันออกกลางกันกับพรรคพวก เพื่อให้ตัวเองได้ครอบครองประเทศในตะวันออกกลาง ที่มีแหล่งน้ำมัน ตามที่ตัวเองเลือก มันเป็นการต้ังเป้าหมาย จากความเชื่อถือในทฤษฏีครูMac ข้างต้น อังกฤษ จึงวางยุทธศาสตร์ในการทำสงคราม เพื่อครองโลกของอังกฤษ ครั้งนี้ เป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนแรกกวาดเยอรมัน และออตโตมานให้ราบคาบเสียก่อนในช่วงทำสงครามโลก ส่วนรัสเซียนั้น อังกฤษ เตรียมจัดการ ในขั้นตอนต่อไป เนื่องจากรัสเซียอยู่ในภูมิประเทศ ที่ทำลายยากตามทฤษฏีของครู Mac ดังนั้นการทำศึก 2 ด้าน โดยสู้กับเยอรมันด้านหนึ่ง และสู้กับรัสเซียอีกด้านหนึ่ง พร้อมกันไป ย่อมเอาชนะทั้ง 2 ประเทศได้ยาก อังกฤษจึงใช้วิธีหลอกเอารัสเซียมาอยู่ฝ่ายตนเสียก่อน หลังจากนั้น ก็รอเวลา ให้เกิดการปฏิวัติในรัสเซีย หน้าฉากเหมือนอังกฤษไม่เกี่ยวด้วยกับการปฏิวัติรัสเซีย แต่อังกฤษน่าจะรู้ว่าแล้วว่า มีคนจ้องจะปฏิวัติรัสเซีย อังกฤษแค่ปล่อยให้เชื้อโรคปฏิวัติ เป็นผู้จัดการรัสเซียเอง ได้ผลกว่าแยะ และนอกจากนั้น การตกปากของรัสเซีย ที่จะร่วมมือกันทำลายเยอรมัน ยังดูก้ำกึ่งว่า จะเชื่อถือรัสเซียได้แค่ไหน เอาเข้าจริง รัสเซียอาจจะเอนไปทางเยอรมันก็เป็นได้ เมื่อเทียบกับ หลอกให้อเมริกามาร่วมรบเยอรมัน อังกฤษย่อมพอใจเลือก พวกAnglo Saxon ด้วยกัน น่าจะเชื่อใจได้มากกว่า ดังนั้น อังกฤษจึงเล่นบทเรื่องปฏิวัติรัสเซียไปตามน้ำ ให้อเมริกาเชื่อว่า อังกฤษไม่มีแผนเกี่ยวกับการตะครุบรัสเซีย ปล่อยให้เป็นเรื่องของอเมริกา กับบรรดาเด็กในคาถาของ Rothschild ออกโรงกันเอง ยังไงก็คนกันเองทั้งนั้น แค่กันเยอรมันออกไปก่อน แต่ระหว่างนั้น อังกฤษ ก็แอบเข้าไปจองที่ในรัสเซียเช่น กัน ดูได้จากพฤติกรรมของ Lord Milner แห่ง Round Table ผู้ซึ่งมีรัศมีอำนาจทำการ กว้างใหญ่ไม่น้อยกว่า นายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ที่ส่งหมาป่าพันธุ์อังกฤษ Bruce Rockhart มาประกบ Raymond Robins หมาป่าพันธ์ุอเมริกัน เอาไว้ ส่วนอเมริกานั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านรัฐบาล และด้านนักธุรกิจ ต่างมีจุดประสงค์เดียวกัน เกี่ยวกับเรื่องรัสเซีย คือไล่ซาร์ให้พ้นไปจากรัสเซีย ซึ่งเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรน้ำมัน และแร่ธาตุสาระพัด เพื่อพวกเขาจะได้เข้าไปควบคุม และครอบครองทรัพยากรทั้งหมดแทน มันก็น่าจะเป็นความคิด ที่มาจากทฤษฏีของครู Mac ด้วยเช่นกัน แต่จะเข้าไปทำสงครามกับรัสเซียเพื่อไล่ซาร์ ไม่ใช่เรื่องฉลาด สำหรับอเมริกา ไม่มีอะไรดีกว่า ยุให้คนรัสเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนบ้านเมืองฉิบหาย โดยอเมริกาสนับสนุนทุกฝ่าย ฝ่ายไหนชนะ อเมริกาก็ชนะด้วย และเข้าไปครอบงำผู้ชนะอีกต่อหนึ่ง ขณะเดียวกัน ก็ตั้งบริษัทสำหรับปฏิบัติการขูดเนื้อ เถือกระดูกรัสเซียไว้ล่วงหน้า ก่อนที่อังกฤษหรือเยอรมันจะเข้ามาในรัสเซีย เพื่อให้แน่ใจว่ารัสเซียต้องไม่หลุดมือ ไม่ให้ใครมาฉกไปได้ ด้วยยุทธศาสตร์นี้ อุตสาหกรรม และ ธุรกิจใหญ่ของอเมริกา นำโดย Rockefeller/Morgan, Guggenheim ฯลฯ จึงเข้าไปครอบงำรัสเซียอยู่เกือบ 50 ปี ตั้งแต่ ค.ศ.1917 น่าคิดว่า การปล้น ที่ให้โจรใส่เสื้อคลุมปฏิวัติ หรือเสื้อคลุมสงคราม เมื่อร้อยปีก่อน กับการปล้น ที่ให้โจรใส่เสื้อคลุม กำจัดผู้นำเผด็จการ ตรวจสอบนิวเคลียร์ อย่างที่เกิดขึ้นในอิรัค ลิเบีย ฯลฯ เกือบร้อยปีต่อมา เพื่อปล้นเอาน้ำมันของเขาไป ดูเหมือนไม่แตกต่างกัน และการปล้นแบบนี้ ก็อาจเกิดขึ้นต่อไปอีกเรื่อยๆ ในที่ต่างๆ โดยการใช้เสื้อคลุมตัวเดิมๆ หรือเปลี่ยนเสื้อคลุมตัวใหม่ ถ้าผู้คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศที่เป็นเหยื่อ ไม่รู้เท่าทัน สูตรนี้เล่นมาแล้ว 100 ปี เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้อยู่ และก็ยังได้ผลอยู่ และตอนไหนจะเหมาะที่จะคาบรัสเซียไปกิน ก็ไม่พ้นตอนที่รัสเซีย (ถูกทำให้) อ่อนแอ เป็นยุทธศาสตร์เดียวกับที่อังกฤษคิด และ ใช้กับออตโตมาน แต่ ขณะที่ อังกฤษใช้ยุทธศาสตร์ 2 จังหวะ แต่อเมริกาเลือกใช้ยุทธศาสตร์จังหวะเดียว แต่เล่น 2 ฉากพร้อมกัน อเมริกาเล่นบทปฏิวัติรัสเซีย แล้วก็นั่งคอยเวลาที่จะคาบรัสเซียไปกิน ขณะเดียวกัน อเมริกาก็เล่นบท สนับสนุนทุกอย่างให้อังกฤษ ที่กระสันอยากทำสงครามโลกทั้งที่ถังแตก ให้ไปรบก่อน แล้วอเมริกาก็นั่งคอยเวลาเล่นบทพระเอก ออกไปช่วยอังกฤษรบ เมื่ออังกฤษใกล้เละเต็มที ด้วยการวางยุทธศาสตร์เช่นนี้ อเมริกาจึงได้กินรวบหมดกระดาน อิ่มสมใจ และอิ่มนาน มาตั้งแต่บัดนั้น ถึงบัดนี้ ต่างกับอังกฤษ ที่แม้จะชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 อิ่มสมใจเหมือนกัน แต่ความอิ่มของอังกฤษ อยู่ไม่นานอย่างที่ฝัน ดูเหมือนการลงทุนทำสงครามโลกครั้งที่ 1 ของอังกฤษ จะไม่ได้กำไรอย่างที่คิด และน่าคิดว่า ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลก ทำให้อังกฤษ นอกจากไม่ได้กำไรแล้ว อาจจะกลายเป็นขาดทุนเอาด้วยซ้ำ แม้ข้อเสนอของ Col House ต่ออังกฤษ ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี การแสดงละครของวอลสตรีทและกลุ่มนักธุรกิจ ตามมาด้วยการตัดสินใจเข้าสงคราม โลกของอเมริกา การเข้ามากำกับของ Round Table จะทำให้เข้าใจว่า อังกฤษกับอเมริกา น่าจะรู้เห็น และร่วมเขียนบทละครด้วยกัน และแสดงร่วมกันตลอดเกือบทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นบทสงคราม หรือปฏิวัติปล้นรัสเซีย แต่ดูเหมือนอังกฤษและอเมริกา ต่างก็แอบไปสร้างฉากเสริมส่วนตัวเกี่ยวกับรัสเซีย ที่ต่างก็อยากได้ไว้เองโดยไม่แบ่งกับพวก หักหลังหักเหลี่ยมกันเองตามสันดานโจร ส่วนเยอรมัน ไม่ได้อยากรบ ไม่ได้อยากเข้าสงครามโลกตั้งแต่ แรก ความต้องการของเยอรมัน คือ ต้องการได้แหล่งน้ำมัน แทนการการใช้ Standard Oil และตกอยู่ในมือบีบของ Rockefeller เจ้าพ่อ Standard Oil เมื่อโอกาสจะเข้าไปเอาน้ำมันของตะวันออกกลางตามเส้นทางรถไฟ Berlin Bagdad ที่เยอรมันวางแผนไว้หลายปี ถูกอังกฤษขวางและถีบเสียจนตกรางอย่างนี้ เยอรมันก็ต้องหาแผนสำรอง รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ Baku ที่ทั้ง เจ้าพ่อ Rothschlid และเจ้าพ่อ Rockefeller อยากได้อยู่ทั้งคู่ บวก เยอรมันเข้าไปอีกราย คงแย่งกันฝุ่นตลบ แค่เสียทองไม่กี่ตันสนับสนุน Lenin ทำปฏิวัติ ไล่ซาร์ออกไป โดยมีข้อตกลงแลกเปลี่ยน ปฏิวัติสำเร็จแล้วก็รีบไปถอนตัว เลิกร่วมท้ายจมหัวกับอังกฤษ ไม่ต้องมารบเยอรมัน พวกปฏิวัติบอกไม่มีปัญหา เพราะไม่ได้อยากเล่นบททำสงครามอยู่แล้ว มันเจ็บจริงตายจริงนะโว้ย แค่อยากปฏิวัติเป็นพระเอกเท่านั้น เยอรมันรบกับอังกฤษด้านเดียว โอกาสชนะของเยอรมันมีสูงกว่า หลังจากนั้น การเจรจาเข้าไปใน Baku ไม่น่าจะยากเกินไป เพราะถ้าเยอรมันชนะ อังกฤษคงไม่มีโอกาสมาเสนอหน้าแถว Baku คงวุ่นอยู่กับการเลียแผลมากกว่า เยอรมันคิดสูตรนี้เองหรือ หรือมีใครช่วย อย่าลืมรัฐบาลเยอรมันใช้ใครเกือบทั้งตระกูล นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 8 (ตอนจบ) ละครเรื่องนี้ คงเล่นสำเร็จถึงขนาดนี้ได้ยาก ถ้าไม่มีนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง ที่วางกลยุทธ์ อย่างลึกซึ้ง เลือดเย็น ยาวนาน และคอยชักใยทุกฝ่ายอย่างแนบเนียน น่าจะมีคนที่เขียนและกำกับบท ทั้งทางตรง และทางอ้อม เป็นเวลานาน เพื่อให้เกิดสงคราม เกิดการปฏิวัติ และเป็นผลให้ 3 อาณาจักร หรือจักรวรรดิ์ใหญ่ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี ล่มสลายในเวลาใกล้เคียงกัน ออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย ดูเหมือนตระกูล Rothschild จะมีคุณสมบัติพร้อมกว่าเพื่อน ที่จะได้รับเกียรติ เป็นผู้ต้องสงสัย ว่าเป็นนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง โดยพิจารณาจากเรื่องราว ความสามารถ ความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องกับตัวละครสำคัญทุกตัวในละครลวงโลกเรื่องนี้ ใช่พวก Rothschild หรือไม่ และพวกเขาทำไปเพื่ออะไร เราคงต้องใช้ทฤษฏีเหตุจูงใจ (motive) ทำนองเดียวกับการพิสูจน์ความผิดของจำเลย มาช่วยวิเคราะห์ ในการพิจารณาข้อหาผู้ต้องสงสัยรายนี้ เหตุจูงใจ ประการแรก คือ ความโกรธแค้นซาร์แห่งรัสเซียและต้องการแก้แค้น จากเรื่องราวที่เล่ามา เหตุจูงใจประการนี้ ยากที่ผู้ต้องสงสัย จะปฏิเสธว่าไม่มี เหตุจูงใจ ประการที่สอง คือผลประโยชน์ทางธุรกิจ ตามสันดานที่ต้องการสร้างโอกาสทำกำไร จากการทำสงครามของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะโดยวิธีใดและจะทำให้ใครหายนะอย่างไร อันเป็นแนวการทำธุรกิจของตระกูล จากเรื่องราวที่เล่ามา Rothschild น่าจะแค่ยุซ้าย สั่งขวา พยักหน้าไม่กี่ที ก็มีแต่กำไรกับกำไร ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นคนดำเนินการ เพราะเขาจับมือ หรือควบคุมไว้ทุกฝ่าย เล่นไพ่ทุกใบ เหตุจูงใจประการนี้ ก็เช่นเดียวกับประการแรก นอกจากปฏิเสธยากแล้ว น้ำหนักจูงใจในประการนี้ ยังสูงมากด้วย แต่เหตุจูงใจที่น่าคิด น่าสนใจ คือเหตุจูงใจ ของความรู้สึกเบื้องลึกของ Rothschild ที่แอบซ่อนไว้ ด้วย อัตตา และตัณหา ของมนุษย์พันธุ์อย่างพวกเขา ที่ต้องการแสดงอิทธิพล และอำนาจ ให้โลกรู้ว่า แม้เขาจะเป็นเพียงพ่อค้าชาวยิว ไม่ได้เป็นเจ้านาย ไม่ได้มีเชื้อสายกษัตริย์ ไม่มีบัลลังค์ให้นั่ง ไม่มีประเทศให้ครอง เขาเป็นเพียงกา ไม่ใช่หงส์ แต่ด้วยความรวยล้นของทุน จึงสร้างอำนาจไว้ได้ทั่วทุกแห่ง ทุกระดับ ที่จะสามารถทำลายอาณาจักร หรือจักรวรรดิ ทั้งโลกได้ และอาณาจักรใหญ่ หรือจักรวรรดิ ที่เหลืออยู่ในโลกขณะนั้น 4 จักรวรรดิ จึงถูกกระทำให้จบสิ้นไปในเวลาใกล้เคียงกัน 3 จักรวรรดิ คือ ออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย คงมีคนสงสัยว่า Rothschild ก็เป็นพวกเดียวกับเยอรมันมิใช่หรือ พวกเขาไม่น่าจะใช่คนคิดทำลายเยอรมัน คำตอบคือ ตระกูล Rothschild อาศัยเกิดในเยอรมันก็จริง แต่พวกเขาอาจไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นชาวเยอรมัน ดูจากประวัติการทำธุรกิจของพวกเขา Rothschild น่าจะไม่เคยนึกถึงสัญชาติ และประเทศชาติ เขาคงไม่รู้จักเรื่องพวกนี้ เขาน่าจะรู้จักแต่การทำเงิน ทำกำไร กับการทำลายเท่านั้น เขาคงไม่ได้ผูกพันกับเยอรมัน เขาน่าจะแค่ “ใช้” เยอรมัน และก็คงมีคนสงสัยอีกว่า แล้วทำไม จักรวรรดิ หรือจักรภพของอังกฤษยังเหลืออยู่ล่ะ เพราะ Rothschild คิดว่า พวกเขาเป็นคนอังกฤษหรือไง ก็คงไม่ใช่อีก พวกเขาอยู่อังกฤษก็จริง แต่เขาก็คงไม่นับว่าตัวเองเป็นคนอังกฤษ เขาเป็น พวก Rothschild “ที่อยู่” ในอังกฤษเท่านั้น และที่เขาเก็บอังกฤษไว้ ก็ไม่น่าใช่เพราะนึกถึงบุญคุณ ที่อาศัยแผ่นดินชาวเกาะอยู่ ที่ยังเหลือจักรภพอังกฤษอยู่ (ในตอนนั้น) เขาคงแค่เก็บไว้ดูเล่น ให้หงส์เล่นบทตามที่กาเขียน กาน่าจะดูอย่างเพลินใจ แต่หงส์จะคิดอย่างไรคงเกินกว่าที่เราจะรู้ และถ้าดูกันเลยไปอีกนิด จักรภพอังกฤษ ก็ใช่ว่าไม่ย่อยยับ มีวันที่ดวงอาทิตย์ตกในจักรภพอังกฤษได้เหมือนกัน และก็เป็นผลจากสงครามโลก ที่อังกฤษสร้างขึ้นมาเองนั่นแหละ “กรรม” ยุติธรรมเสมอ ไม่มีใครหนีผลกรรมของตนเองพ้น สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 11 พ.ค. 2558 ( หมายเหตุ: มีใครอีกไหม ที่อยากได้ประโยชน์ หรือ อยากแสดงอานุภาพ หรือ อยากได้ความสะใจ และแอบมาร่วมเขียนบท และร่วมแสดงในละครลวงโลกแสนบัดซบนี้ น่าจะมี รออ่านตอนบทแถมแล้วกันครับ)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 0 รีวิว



  • ..มามุกเดือดร้อนใหม่อีกแล้วคงไม่ต่างจากคริปโตฯตังดิจิดัล500,000ล้านหรอก,เตรียมคริปโต เตรียมบริษัทไว้รอพร้อมหมดแล้ว,สูบบุหรี่นอนรอนานแล้วนั้นเอง,ค่านั้นค่านี้สาระพัดตกลงกันลงตัวไว้แล้ว.
    ..เงินหลวงแม้โกงหรือทุจริตไป 1 บาท ก็คือคตโกง คือทุจริต คือไม่ซื่อสัตย์ โทษต้องสมควรหนักกว่าโจรปล้นร้านทองคำ นี้คือนักการเมืองด้วย 1บาทก็ต้องโทษหนัก เมื่ออาสามารับใช้ชาติรับใช้ประเทศ รับใช้คนไทย ,จริงๆแค่แฉเรื่องทุจริตต่างๆจะสแกมเมอร์จะฟอกเงินจะตำรวจยุ่งเกี่ยวจะรมต.คนนักการเมืองฝ่ายรัฐยุ่งเกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์เขมรค้ามนุษย์ฟอกทองคำฟอกเงินฟอกตลาดหุ้น ไม่ซื่อสัตย์แค่1บาทก็สมควรลาออกให้เป็นแบบอย่างที่ดีเถอะ ทั้งรัฐบาลนั้นล่ะ ยุบสภาหนีไปเถอะ,ข่าวการแฉขนาดนี้,
    ..เรื่องหนี้นี้ จริงๆสมควรล้างหนี้นักศึกษาก่อน จากนั้นเกษตรกรทั่วประเทศที่เป็นชาวนาธกส.ก่อนเลย,จากนั้นล้างหนี้ทุกๆคนเป็นถือบัตรคนจนก่อนว่าเขามีหนี้กับรัฐอะไรบ้าง กลุ่มเปราะบางของแท้ จากนั้นให้ทุนเงินสัมมาอาชีพเขาสักก้อน บวกทุนเพิ่มเติมแหล่งเงินทุนรัฐจริงๆมิใช่ให้เขาแสวงหาหนี้นอกระบบอีกหรือแบงค์เอกชนที่เข้าไม่ถึงได้เลยในประชาชนธรรมดา,พร้อมสร้างกลุ่มภาคประชาชนที่เข้มแข็งรองรับยุคสมัยสัมมาอาชีพอนาคต เตรียมพร้อมการเปลี่ยนแปลงของโลก.,รัฐไร้ฝีมือไร้น้ำยา คงไม่นำพาหรอกเพราะผู้ปกครองเรากาก กระจอก ทอดทิ้งประชาชน การฉีดตายกว่า60ล้านเข็มที่อำมหิตจึงถือกำเนิดขึ้นใส่ตัวประชาชนครไทยกันถ้วนหน้า.

    ..ล้างหนี้คือล้างหนี้ ยังจะมาหากำไรจากประชาชนตนคนไทยอีก,ถ้าการสมมุตินี้จริง ที่ว่า ประชาชนมี100 เอกชนมาซื้อหนี้ไป5บาท มาทวงคืนจากประชาชน10บาท,กำไร 5บาทถวายพานให้เอกชนเลย,ทำไมไม่แสดงเจตนาดีแจ้งชัดเจนก่อนให้เอกชนฟันกำไรส่วนต่าง5บาทนั้น,โดยให้ประชาชนมาซื้อหนี้เน่าตนเองเลย,หามาซื้อปิดหนี้เน่าตนทางตรงที่5บาทหรือ5%นี้ล่ะ,มีระยะเวลากำหนดว่าภายใน5ปีก็ว่าไป,ต้องนำมาปิดก่อนในส่วน5บาทหรือ5%นี้,เมื่อพ้นกำหนดนี้จึงจะขายหนี้ให้เอกชนแล้วทำตามเงื่อนไขขั้นต้นที่ว่านั้นก็ไม่เห็นว่าทางรัฐจะเสียหายใดๆแค่แบกก้อนหนี้นี้ของคนไทยปกติเพิ่ม5ปีเท่านั้น ไหนๆจะช่วยคนไทยจริง อย่างบริสุทธิ์ใจช่วยประชาชนคนไทย จากจะทิ้งหนี้เน่าไปเสียจึงไปตกลงเอกชนมารับซื้อหนี้นี้ไป,ทั้งในนามรัฐบาล ถามประชาชนแล้วหรือยังในนามครม.รัฐที่เป็นนโยบายระดับชาติบังคับใช้ระดับประเทศทั่วไทยขนาดนี้ว่าเขายินยอมให้ขายหนี้ของธนาคารรัฐไปให้เอกชนมั้ย ธนาคารรัฐละเมิดสิทธิ์ประชาชนถือว่าเป็นโมฆะได้,กฎหมายก็เขียนจากคนนี้ล่ะ,ใครมีอำนาจก็เขียนได้หมด,อีกทั้งรัฐบาลจากกรณีแร่เอิร์ธไม่อาจมีความไว้วางใจในการบริหารชาติได้อีกต่อไป และประเด็นปัญหากับเขมรสาระพัดเรื่องด้วย โดยเรื่องอาชญากรรมระดับชาติของเขมรที่โยงมาถึงคนในรัฐบาลชุดนี้อีกมากมาย,ไร้ความซื่อสัตย์สุจิตด้วย นโยบายมากมายจึงจะไว้ใจได้อย่างไรว่าไปเตะกำไรเงินทองผลประโยชน์ให้เอกชนเต็มๆหรือโอนสถานะทาสหนี้ ขายทาสกันว่าเล่นในสมมุตินี้ได้สบายนั้นเอง,รัฐไม่มีสิทธิย้ายสถานะหนี้ทาสแก้คนนอกเอกชนใดๆ,ลูกหนี้จะไร้ความปลอดภัยในการคุ้มครองจากอำนาจทางการทันทีนั้นเองเมื่อย้ายออกไป,นายหนี้ใหม่ยอมมีสิทธิขาดในการทำลายลูกหนี้ได้หมด กดขี่ข่มเหงได้หมด,อำนาจรัฐสามารถเขียนกฎหมายใหม่ให้ดีได้หมดแต่ไม่เคยทำ,ต่างพร้อมช่วยเจ้าสัวเจ้าของบริษัททำธุรกิจเงินทองเอาเปรียบประชาชนมาตลอดในอดีตทุกๆรัฐบาลที่ผ่านๆไร้ความจริงใจนั้นเอง.,
    ..เป็นต้นว่า เขียนกฎหมายใหม่ทันทีว่า ลูกหนีัเป็นหนี้บ้านหนี้ที่ดิน สร้างบ้าน ซื้อคอนโด เมื่อถูกยึดบ้านยึดคอนโดยึดบ้านยึดที่ดินยึดรถ สถานะหนี้บ้านหนี้รถหนี้ที่ดินหนี้จำนองทองคำหนี้จำนองโฉนดเป็นอันสิ้นสุดทันที,ต้องห้ามเจ้าหนี้เด็ดขาดในไทยธนาคารใดๆในไทยไปตามยึดทรัพย์สินอื่นๆใดๆอีกเพื่อมาบังคับใช้หนี้ให้เต็มส่วนตนในมูลค่าหนี้ที่ตนคิดเองในเงื่อนไขความเสี่ยงตนที่ตกลงว่าลูกหนี้ต้องจ่ายจนครบนั้นเป็นอันสิ้นสุด ยุติหนี้จบเสร็จสิ้นไป ห้ามทุกๆกรณี เจ้าหนี้ยึดบ้านจากหนี้บ้านก็จบ เจ้าหนี้ยึดที่ดินจากหนี้เงินกู้ใช้ที่ดินจำนองก็จบ,ยึดรถที่ลูกหนี้ซื้อก็จบ ให้สิ้นพันธะกันทันทีห้ามบีบบังคับใดๆอีก,หนี้ใดๆที่ลูกหนี้ผูกไว้ ประเมินไว้ ธนาคารรับความเสี่ยงแล้วจึงปล่อยกู้,ลูกหนี้ใช้ที่ดินโรงงานและกิจการตนโรงงานตนกู้เงิน ธนาคารยึดทรัพย์สินที่ดินและกิจการนั้นๆคือจบสถานะหนี้นั้นทันที,ไม่มีสิทธิไปยึดที่ดินแปลงอื่นอีกหรือโรงงานอื่นๆที่เขาทำกิจการต่างๆนั้น.,นี้กฎหมายไทยต้องเขียนชัดเจนลักษณะนีัเป็นพื้นฐานมาตรฐานก่อนเพื่อปกป้องประชาชนคนไทย ดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมใดๆก็ไม่สมควรเอาเปรียบมากมายสาระพัดในอดีตที่ผ่านๆมาถึงปัจจุบัน.จึงถือว่าแบงค์ชาติไทยล้มเหลวทั้งหมดที่ผ่านๆมา,ไม่ก่อประโยชน์สูงสุดเป็นอรรถประโยชน์ที่แท้จริงแก่คนไทย,คนไทยเป็นอันมากต่างถูกเอารัดเอาเปรียบจากธนาคารเอกชนหรือกิจการปล่อยเงินกู้ทั้งหมดทั่วไทยชัดเจนมาก,ยามวิกฤติแบงค์ชาติไม่สมควรอำนวยธนาคารเอกชนแสวงหากำไรจากดอกเบี้ยจนแจ้งผลประกอบการผ่านตลาดทุนกำไรเป็นแสนล้านบาทอย่างบ้าคลั่งขนาดนั้น ทั้งที่ตลาดทั้งตลาดเกือบขาดทุนหมดบนวิกฤติเศรษฐกิจทั้งประเทศขนาดนั้น แต่แบงค์ชาติกลับไม่สนใจควบคุมธนาคารเอกชนในการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ จึงฟันกำไรจนบ้าคลั่งเอาเปรียบประชาชนคนไทยชัดเจน.นี้คือตย.ที่เป็นข่าวจริง,เรามีการปกครองที่ล้มเหลวจริงๆ,การอ้างประชาชนในการแสวงหาประโยชน์ใดๆบนแผ่นดินไทยนี้มันง่ายจริงๆ,มีอำนาจอ้างใดๆได้หมดอีกด้วย,ตอนไม่มีอำนาจก็อ้างความทุกข์ยากประชาชนสาระพัดอีก สาระพัดการอ้างเอาประชาชนบังหน้าในการแสวงหาประโยชน์ใดๆจึงง่ายแก่คนชั่วเลวมากจริงๆบนประเทศไทยนี้และไม่เคยมีพวกมันใดๆถูกจับมาลงโทษทั้งหมดให้สิ้นซากกันจริงๆจังๆอีกด้วย,และการหากินบนมวลชนแบบผูกขาดเช่นให้บริการการใช้ไฟฟ้า การใช้น้ำมัน ขายไฟฟ้า ขายน้ำมัน ขายเช่าสัญญาณคลื่นมือถือคลื่นเน็ต มวลรวมคนใช้ทั้งประเทศ การโกงกินลักษณะนี้มันอร่อยคำโตและหอมหวานเป็นอันมาก,อำนาจจึงพากันอยากได้อยากมานั่งมาอยู่มาแสวงหามันนักตลอดตำแหน่งใดๆในราชการก็ด้วย เงินทองและอำนาจรวมเข้าในคนชั่วเลวมันชื่นชอบมาก,การกำจัดคนพวกนี้ ความตายจึงสมควรหยิบยื่นให้พวกมันทุกๆตัวบนแผ่นดินไทยในยุคสมัยนี้เวลานี้จริงๆ,การยึดอำนาจของทหารหาญผู้กอบกู้ชาติไทยเราจึงสำคัญมากและคือหนทางเดียวเท่านั้นบนกฎพิเศษ บนกติกาพิเศษ บนเงื่อนไขที่เงื่อนไขปกติมิอาจใช้ได้เหมาะสมกับปีศาจอสูรมารซาตานพวกนี้ได้.,นี้คือแผ่นดินไทย ถึงเวลาไล่ล่า กำจัดและกวาดล้างกันจริงๆจังๆได้แล้ว.

    https://youtube.com/watch?v=DZmbgMLkupo&si=0C_DGti4qhnEtDwE
    ..มามุกเดือดร้อนใหม่อีกแล้วคงไม่ต่างจากคริปโตฯตังดิจิดัล500,000ล้านหรอก,เตรียมคริปโต เตรียมบริษัทไว้รอพร้อมหมดแล้ว,สูบบุหรี่นอนรอนานแล้วนั้นเอง,ค่านั้นค่านี้สาระพัดตกลงกันลงตัวไว้แล้ว. ..เงินหลวงแม้โกงหรือทุจริตไป 1 บาท ก็คือคตโกง คือทุจริต คือไม่ซื่อสัตย์ โทษต้องสมควรหนักกว่าโจรปล้นร้านทองคำ นี้คือนักการเมืองด้วย 1บาทก็ต้องโทษหนัก เมื่ออาสามารับใช้ชาติรับใช้ประเทศ รับใช้คนไทย ,จริงๆแค่แฉเรื่องทุจริตต่างๆจะสแกมเมอร์จะฟอกเงินจะตำรวจยุ่งเกี่ยวจะรมต.คนนักการเมืองฝ่ายรัฐยุ่งเกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์เขมรค้ามนุษย์ฟอกทองคำฟอกเงินฟอกตลาดหุ้น ไม่ซื่อสัตย์แค่1บาทก็สมควรลาออกให้เป็นแบบอย่างที่ดีเถอะ ทั้งรัฐบาลนั้นล่ะ ยุบสภาหนีไปเถอะ,ข่าวการแฉขนาดนี้, ..เรื่องหนี้นี้ จริงๆสมควรล้างหนี้นักศึกษาก่อน จากนั้นเกษตรกรทั่วประเทศที่เป็นชาวนาธกส.ก่อนเลย,จากนั้นล้างหนี้ทุกๆคนเป็นถือบัตรคนจนก่อนว่าเขามีหนี้กับรัฐอะไรบ้าง กลุ่มเปราะบางของแท้ จากนั้นให้ทุนเงินสัมมาอาชีพเขาสักก้อน บวกทุนเพิ่มเติมแหล่งเงินทุนรัฐจริงๆมิใช่ให้เขาแสวงหาหนี้นอกระบบอีกหรือแบงค์เอกชนที่เข้าไม่ถึงได้เลยในประชาชนธรรมดา,พร้อมสร้างกลุ่มภาคประชาชนที่เข้มแข็งรองรับยุคสมัยสัมมาอาชีพอนาคต เตรียมพร้อมการเปลี่ยนแปลงของโลก.,รัฐไร้ฝีมือไร้น้ำยา คงไม่นำพาหรอกเพราะผู้ปกครองเรากาก กระจอก ทอดทิ้งประชาชน การฉีดตายกว่า60ล้านเข็มที่อำมหิตจึงถือกำเนิดขึ้นใส่ตัวประชาชนครไทยกันถ้วนหน้า. ..ล้างหนี้คือล้างหนี้ ยังจะมาหากำไรจากประชาชนตนคนไทยอีก,ถ้าการสมมุตินี้จริง ที่ว่า ประชาชนมี100 เอกชนมาซื้อหนี้ไป5บาท มาทวงคืนจากประชาชน10บาท,กำไร 5บาทถวายพานให้เอกชนเลย,ทำไมไม่แสดงเจตนาดีแจ้งชัดเจนก่อนให้เอกชนฟันกำไรส่วนต่าง5บาทนั้น,โดยให้ประชาชนมาซื้อหนี้เน่าตนเองเลย,หามาซื้อปิดหนี้เน่าตนทางตรงที่5บาทหรือ5%นี้ล่ะ,มีระยะเวลากำหนดว่าภายใน5ปีก็ว่าไป,ต้องนำมาปิดก่อนในส่วน5บาทหรือ5%นี้,เมื่อพ้นกำหนดนี้จึงจะขายหนี้ให้เอกชนแล้วทำตามเงื่อนไขขั้นต้นที่ว่านั้นก็ไม่เห็นว่าทางรัฐจะเสียหายใดๆแค่แบกก้อนหนี้นี้ของคนไทยปกติเพิ่ม5ปีเท่านั้น ไหนๆจะช่วยคนไทยจริง อย่างบริสุทธิ์ใจช่วยประชาชนคนไทย จากจะทิ้งหนี้เน่าไปเสียจึงไปตกลงเอกชนมารับซื้อหนี้นี้ไป,ทั้งในนามรัฐบาล ถามประชาชนแล้วหรือยังในนามครม.รัฐที่เป็นนโยบายระดับชาติบังคับใช้ระดับประเทศทั่วไทยขนาดนี้ว่าเขายินยอมให้ขายหนี้ของธนาคารรัฐไปให้เอกชนมั้ย ธนาคารรัฐละเมิดสิทธิ์ประชาชนถือว่าเป็นโมฆะได้,กฎหมายก็เขียนจากคนนี้ล่ะ,ใครมีอำนาจก็เขียนได้หมด,อีกทั้งรัฐบาลจากกรณีแร่เอิร์ธไม่อาจมีความไว้วางใจในการบริหารชาติได้อีกต่อไป และประเด็นปัญหากับเขมรสาระพัดเรื่องด้วย โดยเรื่องอาชญากรรมระดับชาติของเขมรที่โยงมาถึงคนในรัฐบาลชุดนี้อีกมากมาย,ไร้ความซื่อสัตย์สุจิตด้วย นโยบายมากมายจึงจะไว้ใจได้อย่างไรว่าไปเตะกำไรเงินทองผลประโยชน์ให้เอกชนเต็มๆหรือโอนสถานะทาสหนี้ ขายทาสกันว่าเล่นในสมมุตินี้ได้สบายนั้นเอง,รัฐไม่มีสิทธิย้ายสถานะหนี้ทาสแก้คนนอกเอกชนใดๆ,ลูกหนี้จะไร้ความปลอดภัยในการคุ้มครองจากอำนาจทางการทันทีนั้นเองเมื่อย้ายออกไป,นายหนี้ใหม่ยอมมีสิทธิขาดในการทำลายลูกหนี้ได้หมด กดขี่ข่มเหงได้หมด,อำนาจรัฐสามารถเขียนกฎหมายใหม่ให้ดีได้หมดแต่ไม่เคยทำ,ต่างพร้อมช่วยเจ้าสัวเจ้าของบริษัททำธุรกิจเงินทองเอาเปรียบประชาชนมาตลอดในอดีตทุกๆรัฐบาลที่ผ่านๆไร้ความจริงใจนั้นเอง., ..เป็นต้นว่า เขียนกฎหมายใหม่ทันทีว่า ลูกหนีัเป็นหนี้บ้านหนี้ที่ดิน สร้างบ้าน ซื้อคอนโด เมื่อถูกยึดบ้านยึดคอนโดยึดบ้านยึดที่ดินยึดรถ สถานะหนี้บ้านหนี้รถหนี้ที่ดินหนี้จำนองทองคำหนี้จำนองโฉนดเป็นอันสิ้นสุดทันที,ต้องห้ามเจ้าหนี้เด็ดขาดในไทยธนาคารใดๆในไทยไปตามยึดทรัพย์สินอื่นๆใดๆอีกเพื่อมาบังคับใช้หนี้ให้เต็มส่วนตนในมูลค่าหนี้ที่ตนคิดเองในเงื่อนไขความเสี่ยงตนที่ตกลงว่าลูกหนี้ต้องจ่ายจนครบนั้นเป็นอันสิ้นสุด ยุติหนี้จบเสร็จสิ้นไป ห้ามทุกๆกรณี เจ้าหนี้ยึดบ้านจากหนี้บ้านก็จบ เจ้าหนี้ยึดที่ดินจากหนี้เงินกู้ใช้ที่ดินจำนองก็จบ,ยึดรถที่ลูกหนี้ซื้อก็จบ ให้สิ้นพันธะกันทันทีห้ามบีบบังคับใดๆอีก,หนี้ใดๆที่ลูกหนี้ผูกไว้ ประเมินไว้ ธนาคารรับความเสี่ยงแล้วจึงปล่อยกู้,ลูกหนี้ใช้ที่ดินโรงงานและกิจการตนโรงงานตนกู้เงิน ธนาคารยึดทรัพย์สินที่ดินและกิจการนั้นๆคือจบสถานะหนี้นั้นทันที,ไม่มีสิทธิไปยึดที่ดินแปลงอื่นอีกหรือโรงงานอื่นๆที่เขาทำกิจการต่างๆนั้น.,นี้กฎหมายไทยต้องเขียนชัดเจนลักษณะนีัเป็นพื้นฐานมาตรฐานก่อนเพื่อปกป้องประชาชนคนไทย ดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมใดๆก็ไม่สมควรเอาเปรียบมากมายสาระพัดในอดีตที่ผ่านๆมาถึงปัจจุบัน.จึงถือว่าแบงค์ชาติไทยล้มเหลวทั้งหมดที่ผ่านๆมา,ไม่ก่อประโยชน์สูงสุดเป็นอรรถประโยชน์ที่แท้จริงแก่คนไทย,คนไทยเป็นอันมากต่างถูกเอารัดเอาเปรียบจากธนาคารเอกชนหรือกิจการปล่อยเงินกู้ทั้งหมดทั่วไทยชัดเจนมาก,ยามวิกฤติแบงค์ชาติไม่สมควรอำนวยธนาคารเอกชนแสวงหากำไรจากดอกเบี้ยจนแจ้งผลประกอบการผ่านตลาดทุนกำไรเป็นแสนล้านบาทอย่างบ้าคลั่งขนาดนั้น ทั้งที่ตลาดทั้งตลาดเกือบขาดทุนหมดบนวิกฤติเศรษฐกิจทั้งประเทศขนาดนั้น แต่แบงค์ชาติกลับไม่สนใจควบคุมธนาคารเอกชนในการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ จึงฟันกำไรจนบ้าคลั่งเอาเปรียบประชาชนคนไทยชัดเจน.นี้คือตย.ที่เป็นข่าวจริง,เรามีการปกครองที่ล้มเหลวจริงๆ,การอ้างประชาชนในการแสวงหาประโยชน์ใดๆบนแผ่นดินไทยนี้มันง่ายจริงๆ,มีอำนาจอ้างใดๆได้หมดอีกด้วย,ตอนไม่มีอำนาจก็อ้างความทุกข์ยากประชาชนสาระพัดอีก สาระพัดการอ้างเอาประชาชนบังหน้าในการแสวงหาประโยชน์ใดๆจึงง่ายแก่คนชั่วเลวมากจริงๆบนประเทศไทยนี้และไม่เคยมีพวกมันใดๆถูกจับมาลงโทษทั้งหมดให้สิ้นซากกันจริงๆจังๆอีกด้วย,และการหากินบนมวลชนแบบผูกขาดเช่นให้บริการการใช้ไฟฟ้า การใช้น้ำมัน ขายไฟฟ้า ขายน้ำมัน ขายเช่าสัญญาณคลื่นมือถือคลื่นเน็ต มวลรวมคนใช้ทั้งประเทศ การโกงกินลักษณะนี้มันอร่อยคำโตและหอมหวานเป็นอันมาก,อำนาจจึงพากันอยากได้อยากมานั่งมาอยู่มาแสวงหามันนักตลอดตำแหน่งใดๆในราชการก็ด้วย เงินทองและอำนาจรวมเข้าในคนชั่วเลวมันชื่นชอบมาก,การกำจัดคนพวกนี้ ความตายจึงสมควรหยิบยื่นให้พวกมันทุกๆตัวบนแผ่นดินไทยในยุคสมัยนี้เวลานี้จริงๆ,การยึดอำนาจของทหารหาญผู้กอบกู้ชาติไทยเราจึงสำคัญมากและคือหนทางเดียวเท่านั้นบนกฎพิเศษ บนกติกาพิเศษ บนเงื่อนไขที่เงื่อนไขปกติมิอาจใช้ได้เหมาะสมกับปีศาจอสูรมารซาตานพวกนี้ได้.,นี้คือแผ่นดินไทย ถึงเวลาไล่ล่า กำจัดและกวาดล้างกันจริงๆจังๆได้แล้ว. https://youtube.com/watch?v=DZmbgMLkupo&si=0C_DGti4qhnEtDwE
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts