• ปรับ 2.5 แสนริงกิตคลื่น ERA ปมคลิปดีเจล้อเลียนฮินดู

    ความคืบหน้ากรณีที่ ปาก อาซาด (Pak Azad) หรือ อาซาด จัสมิน จอห์น หลุยส์ เจฟฟรี่ (Azad Jazmin John Louis Jeffri) ดีเจสถานีวิทยุอีรา (ERA) คลื่นเพลงชื่อดังในมาเลเซีย ไปล้อเลียนการเต้นรำกาวาดี (Kavadi) ของศาสนาฮินดู แล้วมีคลิปในบัญชีโซเชียลมีเดียทางการของสถานี ทำให้ชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย และผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูไม่พอใจ กระทั่งบริษัทแอสโตรสั่งให้พักงานดีเจสามคนที่จัดรายการร่วมกัน และพนักงานสถานีอีก 2 คนอย่างไม่มีกำหนด ขณะที่ดีเจทั้งสามคนขอโทษทั้งผ่านคลิปวีดีโอ รวมทั้งไปขอโทษต่อชุมชนชาวอินเดียที่วัดถ้ำบาตู (Batu Caves) ก่อนหน้านี้

    ปรากฎว่าเมื่อวันที่ 11 มี.ค. คณะกรรมการสื่อสารและมัลติมีเดียแห่งมาเลเซีย (MCMC) สั่งปรับ 250,000 ริงกิต (1,925,000 บาท) แก่บริษัทเมสตร้า บอร์ดคาสต์ (Maestra Broadcast) บริษัทย่อยของ แอสโตร มาเลเซีย โฮลดิ้งส์ (Astro Malaysia Holdings) ผู้ผลิตสื่อบันเทิงในมาเลเซีย โดยพิจารณาจากวีดีโอคลิปอัปโหลดลงในติ๊กต็อกที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของ แต่ไม่ระงับใบอนุญาตสถานีวิทยุ เนื่องจากบริษัทฯ ได้แก้ไขปัญหาพร้อมกับขอโทษ อีกทั้งเกรงถึงผลกระทบกับคลื่นเพลงภาษาจีน Melody และคลื่นเพลงสากล Mix FM ภายใต้ใบอนุญาตเดียวกันด้วย

    อย่างไรก็ตาม มีการเปรียบเทียบและโจมตี MCMC โดยเทียบกับกรณีละเมิดกฎ "3R" ได้แก่ เชื้อชาติ ศาสนา และราชวงศ์ (Race, Religion and Royalty) ทำนองว่าลำเอียงเมื่อเทียบกับคดีอื่นๆ ทำให้นายฟาห์มี ฟาดซิล รมว.การสื่อสาร และโฆษกรัฐบาลอันวาร์ อิบราฮิม อธิบายว่าแตกต่างกัน เพราะกรณีถุงเท้าในร้าน KK Mart เป็นคดีอาญา ศาลกำหนดค่าปรับ 60,000 ริงกิต (462,000 บาท) ส่วนกรณีนักแสดง ฮาริธ อิสกันเดอร์ (Harith Iskander) และผู้ใช้โซเชียลมีเดีย Cecelia Yap ที่อัปโหลดเนื้อหาพาดพิงศาสนาอิสลาม ถูกดำเนินคดีในนามบุคคล ไม่ใช่บริษัท และอัยการให้ปรับ 10,000 ริงกิต (77,000 บาท) โดยไม่ได้นำคดีขึ้นสู่ศาลแต่อย่างใด

    ตุนกู นาซรุล อาไบดาห์ โฆษกอาวุโสของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ ระบุว่า นายกฯ เรียกร้องให้ชาวมาเลเซียทุกคนร่วมมือกันเพื่อเป็นตัวแทนแห่งความสามัคคี และช่วยเหลือรัฐบาลรวมพลังชาวมาเลเซียทุกคนที่มีศาสนา เชื้อชาติ และชาติพันธุ์ที่แตกต่างเข้าด้วยกัน โดยนายกฯ ได้พบกับดีเจที่เป็นข่าว ในงานเลี้ยงอาหารค่ำอิฟตาร์กับผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 11 มี.ค.โดยแนะว่าให้นำสารแห่งความสามัคคีไปใช้ในชีวิตประจำวัน และหวังว่าชาวมาเลเซียจะก้าวข้ามเรื่องนี้ไปข้างหน้าเพื่อสร้างสันติภาพและความสามัคคีในประเทศ โดยเคารพซึ่งกันและกัน

    #Newskit
    ปรับ 2.5 แสนริงกิตคลื่น ERA ปมคลิปดีเจล้อเลียนฮินดู ความคืบหน้ากรณีที่ ปาก อาซาด (Pak Azad) หรือ อาซาด จัสมิน จอห์น หลุยส์ เจฟฟรี่ (Azad Jazmin John Louis Jeffri) ดีเจสถานีวิทยุอีรา (ERA) คลื่นเพลงชื่อดังในมาเลเซีย ไปล้อเลียนการเต้นรำกาวาดี (Kavadi) ของศาสนาฮินดู แล้วมีคลิปในบัญชีโซเชียลมีเดียทางการของสถานี ทำให้ชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย และผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูไม่พอใจ กระทั่งบริษัทแอสโตรสั่งให้พักงานดีเจสามคนที่จัดรายการร่วมกัน และพนักงานสถานีอีก 2 คนอย่างไม่มีกำหนด ขณะที่ดีเจทั้งสามคนขอโทษทั้งผ่านคลิปวีดีโอ รวมทั้งไปขอโทษต่อชุมชนชาวอินเดียที่วัดถ้ำบาตู (Batu Caves) ก่อนหน้านี้ ปรากฎว่าเมื่อวันที่ 11 มี.ค. คณะกรรมการสื่อสารและมัลติมีเดียแห่งมาเลเซีย (MCMC) สั่งปรับ 250,000 ริงกิต (1,925,000 บาท) แก่บริษัทเมสตร้า บอร์ดคาสต์ (Maestra Broadcast) บริษัทย่อยของ แอสโตร มาเลเซีย โฮลดิ้งส์ (Astro Malaysia Holdings) ผู้ผลิตสื่อบันเทิงในมาเลเซีย โดยพิจารณาจากวีดีโอคลิปอัปโหลดลงในติ๊กต็อกที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของ แต่ไม่ระงับใบอนุญาตสถานีวิทยุ เนื่องจากบริษัทฯ ได้แก้ไขปัญหาพร้อมกับขอโทษ อีกทั้งเกรงถึงผลกระทบกับคลื่นเพลงภาษาจีน Melody และคลื่นเพลงสากล Mix FM ภายใต้ใบอนุญาตเดียวกันด้วย อย่างไรก็ตาม มีการเปรียบเทียบและโจมตี MCMC โดยเทียบกับกรณีละเมิดกฎ "3R" ได้แก่ เชื้อชาติ ศาสนา และราชวงศ์ (Race, Religion and Royalty) ทำนองว่าลำเอียงเมื่อเทียบกับคดีอื่นๆ ทำให้นายฟาห์มี ฟาดซิล รมว.การสื่อสาร และโฆษกรัฐบาลอันวาร์ อิบราฮิม อธิบายว่าแตกต่างกัน เพราะกรณีถุงเท้าในร้าน KK Mart เป็นคดีอาญา ศาลกำหนดค่าปรับ 60,000 ริงกิต (462,000 บาท) ส่วนกรณีนักแสดง ฮาริธ อิสกันเดอร์ (Harith Iskander) และผู้ใช้โซเชียลมีเดีย Cecelia Yap ที่อัปโหลดเนื้อหาพาดพิงศาสนาอิสลาม ถูกดำเนินคดีในนามบุคคล ไม่ใช่บริษัท และอัยการให้ปรับ 10,000 ริงกิต (77,000 บาท) โดยไม่ได้นำคดีขึ้นสู่ศาลแต่อย่างใด ตุนกู นาซรุล อาไบดาห์ โฆษกอาวุโสของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ ระบุว่า นายกฯ เรียกร้องให้ชาวมาเลเซียทุกคนร่วมมือกันเพื่อเป็นตัวแทนแห่งความสามัคคี และช่วยเหลือรัฐบาลรวมพลังชาวมาเลเซียทุกคนที่มีศาสนา เชื้อชาติ และชาติพันธุ์ที่แตกต่างเข้าด้วยกัน โดยนายกฯ ได้พบกับดีเจที่เป็นข่าว ในงานเลี้ยงอาหารค่ำอิฟตาร์กับผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 11 มี.ค.โดยแนะว่าให้นำสารแห่งความสามัคคีไปใช้ในชีวิตประจำวัน และหวังว่าชาวมาเลเซียจะก้าวข้ามเรื่องนี้ไปข้างหน้าเพื่อสร้างสันติภาพและความสามัคคีในประเทศ โดยเคารพซึ่งกันและกัน #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลสำรวจใหม่จาก PwC เผยให้เห็นว่าทั้งนักลงทุนและผู้บริหารทั่วโลกมีความหวังต่ออนาคตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและการเติบโตทางธุรกิจ

    จากการสำรวจ พบว่า 74% ของนักลงทุนมองว่า AI โดยเฉพาะ Generative AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในองค์กร และ 61% ของ CEO ทั่วโลกยังเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตจากการนำ AI มาใช้งาน พวกเขายังมองว่า AI มีศักยภาพในด้านการขยายธุรกิจ การวัด ROI การสร้างมุมมองที่ดีต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการเพิ่มผลกระทบเชิงบวกต่อพนักงาน

    สิ่งที่น่าสนใจคือ นักลงทุนนั้นต้องการเห็นการพัฒนาทักษะของพนักงานควบคู่ไปกับการนำ AI มาใช้ โดย 77% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าการพัฒนาทักษะของบุคลากรสำคัญมากกว่าการติดตั้ง AI ในวงกว้าง เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างเทคโนโลยีและมนุษย์ในยุคที่ AI ขยายตัวอย่างรวดเร็ว

    อย่างไรก็ตาม ความกังวลยังคงมีอยู่ เช่น ความผันผวนทางเศรษฐกิจ (39%) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (35%) และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์ (34%) แต่นักลงทุนส่วนใหญ่เห็นว่าการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนและการร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่นก็เป็นประเด็นสำคัญ

    ทิศทางนี้ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เพียงเน้นด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคนและกลยุทธ์ทางธุรกิจในระยะยาว

    https://www.techradar.com/pro/business-investors-are-positive-about-ais-impact-on-the-economy
    ผลสำรวจใหม่จาก PwC เผยให้เห็นว่าทั้งนักลงทุนและผู้บริหารทั่วโลกมีความหวังต่ออนาคตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและการเติบโตทางธุรกิจ จากการสำรวจ พบว่า 74% ของนักลงทุนมองว่า AI โดยเฉพาะ Generative AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในองค์กร และ 61% ของ CEO ทั่วโลกยังเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตจากการนำ AI มาใช้งาน พวกเขายังมองว่า AI มีศักยภาพในด้านการขยายธุรกิจ การวัด ROI การสร้างมุมมองที่ดีต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการเพิ่มผลกระทบเชิงบวกต่อพนักงาน สิ่งที่น่าสนใจคือ นักลงทุนนั้นต้องการเห็นการพัฒนาทักษะของพนักงานควบคู่ไปกับการนำ AI มาใช้ โดย 77% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าการพัฒนาทักษะของบุคลากรสำคัญมากกว่าการติดตั้ง AI ในวงกว้าง เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างเทคโนโลยีและมนุษย์ในยุคที่ AI ขยายตัวอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ความกังวลยังคงมีอยู่ เช่น ความผันผวนทางเศรษฐกิจ (39%) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (35%) และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์ (34%) แต่นักลงทุนส่วนใหญ่เห็นว่าการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนและการร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่นก็เป็นประเด็นสำคัญ ทิศทางนี้ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เพียงเน้นด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคนและกลยุทธ์ทางธุรกิจในระยะยาว https://www.techradar.com/pro/business-investors-are-positive-about-ais-impact-on-the-economy
    WWW.TECHRADAR.COM
    Business investors are positive about AI’s impact on the economy
    Investors and CEOs anticipate economic growth, fuelled by AI
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • สลามเมืองไทย EP14 | รอมฎอน เดือนอันประเสริฐ (กุมภาพันธ์ - มีนาคม 2025)

    รอมฎอน (Ramadan) เป็นเดือนที่ 9 ตามปฏิทินอิสลาม (ฮิจเราะห์) ซึ่งเป็นปฏิทินจันทรคติ แต่เนื่องจากปฏิทินอิสลามสั้นกว่าปฏิทินสากลประมาณ 10-12 วันต่อปี วันเริ่มต้นของรอมฎอนในปฏิทินสากลจึงเปลี่ยนไปทุกปี

    สำหรับปี 2025 (ฮ.ศ. 1446) คาดว่า รอมฎอนจะเริ่มในช่วงค่ำของวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2025 และสิ้นสุดในช่วงค่ำของวันที่ 30 มีนาคม 2025 (ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการดูดวงจันทร์ในแต่ละประเทศ)

    "รอมฎอน: เดือนแห่งการฝึกฝนจิตใจและการเชื่อมสัมพันธ์"
    ✅ ถือศีลอด ตั้งแต่รุ่งอรุณถึงพลบค่ำ เพื่อฝึกความอดทนและละเว้นจากสิ่งที่ไม่ดี
    ✅ ละหมาด ตื่นตัวทางจิตใจ และอ่านอัลกุรอาน เพื่อเสริมสร้างศรัทธา
    ✅ บริจาค ซะกาต และช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อส่งต่อความเมตตา
    ✅ สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับครอบครัวและชุมชน

    "มากกว่าการถือศีลอด แต่คือการพัฒนาตนเอง"
    เดือนรอมฎอนไม่ใช่แค่ช่วงเวลาของการงดอาหารและน้ำ แต่เป็น เดือนแห่งการให้อภัย การเสียสละ และการเชื่อมความสัมพันธ์กับพระเจ้าและพี่น้องมุสลิมทั่วโลก

    📌 รับชมเทปย้อนหลังรอมฎอน และเรียนรู้ความสำคัญของเดือนอันประเสริฐนี้ ที่เป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาและการปฏิบัติตนเพื่อความดีงาม

    #สลามเมืองไทย #EP14 #เทปย้อนหลัง #รอมฎอนเดือนอันประเสริฐ #Ramadan2025 #ถือศีลอด #IslamicFaith #เดือนแห่งศรัทธา #MuslimCommunity #เรียนรู้ศรัทธา #ThaiTimes
    สลามเมืองไทย EP14 | รอมฎอน เดือนอันประเสริฐ (กุมภาพันธ์ - มีนาคม 2025) รอมฎอน (Ramadan) เป็นเดือนที่ 9 ตามปฏิทินอิสลาม (ฮิจเราะห์) ซึ่งเป็นปฏิทินจันทรคติ แต่เนื่องจากปฏิทินอิสลามสั้นกว่าปฏิทินสากลประมาณ 10-12 วันต่อปี วันเริ่มต้นของรอมฎอนในปฏิทินสากลจึงเปลี่ยนไปทุกปี สำหรับปี 2025 (ฮ.ศ. 1446) คาดว่า รอมฎอนจะเริ่มในช่วงค่ำของวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2025 และสิ้นสุดในช่วงค่ำของวันที่ 30 มีนาคม 2025 (ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการดูดวงจันทร์ในแต่ละประเทศ) "รอมฎอน: เดือนแห่งการฝึกฝนจิตใจและการเชื่อมสัมพันธ์" ✅ ถือศีลอด ตั้งแต่รุ่งอรุณถึงพลบค่ำ เพื่อฝึกความอดทนและละเว้นจากสิ่งที่ไม่ดี ✅ ละหมาด ตื่นตัวทางจิตใจ และอ่านอัลกุรอาน เพื่อเสริมสร้างศรัทธา ✅ บริจาค ซะกาต และช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อส่งต่อความเมตตา ✅ สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับครอบครัวและชุมชน "มากกว่าการถือศีลอด แต่คือการพัฒนาตนเอง" เดือนรอมฎอนไม่ใช่แค่ช่วงเวลาของการงดอาหารและน้ำ แต่เป็น เดือนแห่งการให้อภัย การเสียสละ และการเชื่อมความสัมพันธ์กับพระเจ้าและพี่น้องมุสลิมทั่วโลก 📌 รับชมเทปย้อนหลังรอมฎอน และเรียนรู้ความสำคัญของเดือนอันประเสริฐนี้ ที่เป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาและการปฏิบัติตนเพื่อความดีงาม #สลามเมืองไทย #EP14 #เทปย้อนหลัง #รอมฎอนเดือนอันประเสริฐ #Ramadan2025 #ถือศีลอด #IslamicFaith #เดือนแห่งศรัทธา #MuslimCommunity #เรียนรู้ศรัทธา #ThaiTimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 234 มุมมอง 11 0 รีวิว
  • บทนี้พูดถึงการเปรียบเทียบสองระบบปฏิบัติการ Linux ยอดนิยมอย่าง Ubuntu และ Debian ที่ถึงแม้จะมีความเกี่ยวข้องกัน โดย Ubuntu พัฒนาต่อมาจาก Debian แต่ทั้งสองก็มีความแตกต่างในหลายด้านที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถช่วยผู้ใช้งานตัดสินใจเลือกใช้งานระบบปฏิบัติการที่เหมาะสมกับความต้องการได้

    จุดเด่นและข้อแตกต่างสำคัญ
    1) ปรัชญาการพัฒนา Debian เน้นความมั่นคงและหลักการของซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ในความเสถียร ขณะที่ Ubuntu มุ่งเน้นการใช้งานที่ง่ายและรองรับซอฟต์แวร์ที่หลากหลาย รวมถึงซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์

    2) รอบการออกเวอร์ชัน Debian ใช้เวลาประมาณ 2 ปีต่อการอัพเดตแต่ละครั้งเพื่อความมั่นคง ส่วน Ubuntu มีการอัพเดตทุก 6 เดือน และมี Long-Term Support (LTS) ทุก 2 ปี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความทันสมัย

    3) การใช้งานที่ง่าย Ubuntu ได้รับการยกย่องว่าใช้งานง่ายที่สุดในบรรดาระบบปฏิบัติการ Linux เหมาะสำหรับมือใหม่ ในขณะที่ Debian อาจต้องการความเข้าใจพื้นฐานเล็กน้อยก่อนใช้งาน

    4) การจัดการแพ็คเกจซอฟต์แวร์ Debian ให้ความสำคัญกับความเสถียรของซอฟต์แวร์ แต่ Ubuntu มีซอฟต์แวร์ให้เลือกใช้งานมากกว่า เนื่องจากสนับสนุน Snap ทำให้ติดตั้งซอฟต์แวร์ได้สะดวก

    5) การสนับสนุน Debian อาศัยการสนับสนุนจากชุมชน ส่วน Ubuntu มีทั้งการสนับสนุนแบบมืออาชีพจาก Canonical และชุมชน

    6) ซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งมากับระบบ Debian มีซอฟต์แวร์น้อยและเป็นระบบเบา ในขณะที่ Ubuntu มีซอฟต์แวร์หลากหลาย พร้อมด้วยไดรเวอร์และโค้ดสำหรับใช้งานทันที

    7) การจัดการสิทธิ์ Root Debian ต้องเพิ่มผู้ใช้งานในกลุ่ม sudo เอง แต่ Ubuntu ตั้งค่าผู้ใช้ในกลุ่มนี้อัตโนมัติ เพื่อความสะดวกในการใช้งาน

    Debian ถูกเรียกว่า "ต้นน้ำของ Linux" เพราะมีระบบปฏิบัติการอื่น ๆ พัฒนาต่อจากมันจำนวนมาก รวมถึง Ubuntu และสายพันธุ์ย่อยของ Ubuntu เช่น Ubuntu Budgie

    สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาเลือกใช้งาน หากคุณเป็นมือใหม่ Ubuntu อาจเหมาะสมกว่า แต่ถ้าคุณต้องการความมั่นคงและมีความรู้ด้านเทคนิคเล็กน้อย Debian ก็น่าสนใจมาก

    https://www.zdnet.com/article/ubuntu-vs-debian-7-key-differences-help-determine-which-distro-is-right-for-you/
    บทนี้พูดถึงการเปรียบเทียบสองระบบปฏิบัติการ Linux ยอดนิยมอย่าง Ubuntu และ Debian ที่ถึงแม้จะมีความเกี่ยวข้องกัน โดย Ubuntu พัฒนาต่อมาจาก Debian แต่ทั้งสองก็มีความแตกต่างในหลายด้านที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถช่วยผู้ใช้งานตัดสินใจเลือกใช้งานระบบปฏิบัติการที่เหมาะสมกับความต้องการได้ จุดเด่นและข้อแตกต่างสำคัญ 1) ปรัชญาการพัฒนา Debian เน้นความมั่นคงและหลักการของซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ในความเสถียร ขณะที่ Ubuntu มุ่งเน้นการใช้งานที่ง่ายและรองรับซอฟต์แวร์ที่หลากหลาย รวมถึงซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ 2) รอบการออกเวอร์ชัน Debian ใช้เวลาประมาณ 2 ปีต่อการอัพเดตแต่ละครั้งเพื่อความมั่นคง ส่วน Ubuntu มีการอัพเดตทุก 6 เดือน และมี Long-Term Support (LTS) ทุก 2 ปี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความทันสมัย 3) การใช้งานที่ง่าย Ubuntu ได้รับการยกย่องว่าใช้งานง่ายที่สุดในบรรดาระบบปฏิบัติการ Linux เหมาะสำหรับมือใหม่ ในขณะที่ Debian อาจต้องการความเข้าใจพื้นฐานเล็กน้อยก่อนใช้งาน 4) การจัดการแพ็คเกจซอฟต์แวร์ Debian ให้ความสำคัญกับความเสถียรของซอฟต์แวร์ แต่ Ubuntu มีซอฟต์แวร์ให้เลือกใช้งานมากกว่า เนื่องจากสนับสนุน Snap ทำให้ติดตั้งซอฟต์แวร์ได้สะดวก 5) การสนับสนุน Debian อาศัยการสนับสนุนจากชุมชน ส่วน Ubuntu มีทั้งการสนับสนุนแบบมืออาชีพจาก Canonical และชุมชน 6) ซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งมากับระบบ Debian มีซอฟต์แวร์น้อยและเป็นระบบเบา ในขณะที่ Ubuntu มีซอฟต์แวร์หลากหลาย พร้อมด้วยไดรเวอร์และโค้ดสำหรับใช้งานทันที 7) การจัดการสิทธิ์ Root Debian ต้องเพิ่มผู้ใช้งานในกลุ่ม sudo เอง แต่ Ubuntu ตั้งค่าผู้ใช้ในกลุ่มนี้อัตโนมัติ เพื่อความสะดวกในการใช้งาน Debian ถูกเรียกว่า "ต้นน้ำของ Linux" เพราะมีระบบปฏิบัติการอื่น ๆ พัฒนาต่อจากมันจำนวนมาก รวมถึง Ubuntu และสายพันธุ์ย่อยของ Ubuntu เช่น Ubuntu Budgie สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาเลือกใช้งาน หากคุณเป็นมือใหม่ Ubuntu อาจเหมาะสมกว่า แต่ถ้าคุณต้องการความมั่นคงและมีความรู้ด้านเทคนิคเล็กน้อย Debian ก็น่าสนใจมาก https://www.zdnet.com/article/ubuntu-vs-debian-7-key-differences-help-determine-which-distro-is-right-for-you/
    WWW.ZDNET.COM
    Ubuntu vs. Debian: 7 key differences help determine which distro is right for you
    Ubuntu is based on Debian, but they're not the same. To help you choose which to install, we compare support, pre-installed software, release cycle, user-friendliness, and more.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มสังเกตการซีเรียเพื่อมนุษยธรรม SOHR แถลงยอดเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 1,130 คน ตั้งแต่วันพฤหัสบดี(6 มี.ค)หลังปะทะระหว่างกองกำลังกบฏซีเรียของดามัสกัสและกองกำลังจงรักภักดีอดีตประธานาธิบดีซีเรีย บาชาร์ อัล-อัสสาด ตั้งคำถามถึงรัฐบาลใหม่ดามัสกัสว่าจะปกครองประเทศได้หรือไม่ ด้านอิหร่านรีบออกตัวไม่ได้อยู่เบื้องหลังความปั่นป่วน
    .
    เอพีรายงานวันนี้(10 มี.ค)ว่า กลุ่มสังเกตการซีเรียเพื่อมนุษยธรรม SOHR ที่มีฐานในอังกฤษรายงานยอดเสียชีวิตในการปะทะอยู่ที่ 1,130 คนรวมพลเรือน 830 คน เอพีไม่สามารถยืนตัวเลขนี้ได้ เกิดขึ้นในขณะที่บีบีซีของอังกฤษให้ตัวเลขที่กว่า 1,400 คน และพลเรือน 973 คน ส่วนเอเอฟพีให้ตัวเลขกว่า 1,300 คน
    .
    รัฐบาลรักษาการซีเรียของประธานาธิบดี อาเหม็ด อัล-ชาอะรา( Ahmed al-Sharaa) กล่าวผ่านแถลงการณ์วันจันทร์(10)ว่า ปฎิบัติการทหารที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่วันพฤหัสบดี(6)ต่อกองกำลังจงรักภักดีอดีตประธานาธิบดีซีเรีย บาชาห์ อัล-อัสสาดและครอบครัวของเขาในการต่อสู้ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามกลางเมืองซีเรีย 13 ปีสิ้นสุดลงในธันวาคมปีที่แล้ว
    .
    ซึ่งประธานาธิบดีซีเรียคนปัจจุบันนั้นเป็นผู้นำกบฎซีเรียที่มีนามแฝงคือ อาบู โมฮัมหมัด อัล-โจลานี (Abu Mohammed al-Jolani) โค่นล้มอดีตประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสสาดสำเร็จเมื่อวันที่ 8 ธ.คปีที่แล้ว เขาประกาศที่จะตั้งคณะกรรมการอิสระสอบสวนการสังหารครั้งนี้พร้อมยืนยันว่าผู้อยู่เบื้องหลังต้องรับผิดชอบ
    .
    แถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมซีเรียออกมาหลังการโจมตีไม่คาดฝันจากกลุ่มมือปืนจากชุมชน Alawite ต่อการตรวจการของตำรวจซีเรียใกล้เมืองลัตตาเกีย (Lattakia) ซึ่งเป็นเมืองท่าในวันพฤหัสบดี(6)ก่อนที่จะขยายไปสู่ความรุนแรงมีการปะทะเป็นวงกว้างทั่วเขตภูมิภาคชายฝั่งของซีเรียที่กลุ่มสังเกตการณ์ไม่ต่ำกว่า 1 กลุ่มยืนยันตัวเลขพลเรือนหลายร้อยโดนสังหาร
    .
    ฮัสซาน อับเดล-กานี (Hassan Abdel Ghani)โฆษกกระทรวงกลาโหมซีเรียแถลงว่า กองกำลังความมั่นคงซีเรียจะยังคงค้นหาเซลล์นอนหลับฝังตัวและที่ยังคงหลงเหลือของกลุ่มจงรักภักดีต่อรัฐบาลซีเรียชุดเดิม
    .
    เอเอฟพีรายงานเพิ่มเติมว่า อิหร่านในวันจันทร์(10)ออกมาปฎิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังความปั่นป่วนในซีเรีย
    .
    การต่อสู้ทำให้กองกำลังความมั่นคงซีเรียและกลุ่มติดอาวุธสนับสนุนอัสสาดเสียชีวิตหลายร้อยคน อ้างอิงจากกลุ่มสังเกตการณ์ที่รายงานว่ายอดเสียชีวิตทั้งหมดมีไม่ต่ำกว่า 1,300 คน เอเอฟพีรายงาน
    .
    โฆษกกระทรวงต่างประเทศอิหร่าน อิสมาอิล บาคาอี (Esmaeil Baqaei) ปฎิเสธโดยสิ้นเชิงต่อข้อกล่าวหาในการแถลงวันจันทร์(10)
    .
    ข้อกล่าวหาเป็นสิ่งที่น่าขบขันโดยสิ้นเชิงและเป็นการปฎิเสธ พร้อมกล่าวว่า การชี้นิ้วขอมาที่อิหร่านและพันธมิตรของอิหร่านเป็นการตอบที่ผิดพลาด และเป็นเทรนด์ที่เบี่ยงเบนรวมไปถึงเป็นการทำให้สำคัญผิด 100%
    .
    เอเอฟพีชี้ว่า การปะทะที่นำไปสู่การเสียชีวิตกว่า 1,000 คนส่งผลทำให้เกิดความสงสัยต่อความสามารถในการปกครองซีเรียของรัฐบาลกลุ่มกบฎรักษาการในสายตาต่างประเทศ
    .
    ไฮโก วิมเมน (Heiko Wimmen ) จากองค์กรธิงแทงก์ International Crisis Group แสดงความเห็นว่า ความรุนแรงล่าสุดแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลซีเรียชุดใหม่ไม่มีความสามารถในการจัดการกับความท้าทายมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023234
    ..............
    Sondhi X
    กลุ่มสังเกตการซีเรียเพื่อมนุษยธรรม SOHR แถลงยอดเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 1,130 คน ตั้งแต่วันพฤหัสบดี(6 มี.ค)หลังปะทะระหว่างกองกำลังกบฏซีเรียของดามัสกัสและกองกำลังจงรักภักดีอดีตประธานาธิบดีซีเรีย บาชาร์ อัล-อัสสาด ตั้งคำถามถึงรัฐบาลใหม่ดามัสกัสว่าจะปกครองประเทศได้หรือไม่ ด้านอิหร่านรีบออกตัวไม่ได้อยู่เบื้องหลังความปั่นป่วน . เอพีรายงานวันนี้(10 มี.ค)ว่า กลุ่มสังเกตการซีเรียเพื่อมนุษยธรรม SOHR ที่มีฐานในอังกฤษรายงานยอดเสียชีวิตในการปะทะอยู่ที่ 1,130 คนรวมพลเรือน 830 คน เอพีไม่สามารถยืนตัวเลขนี้ได้ เกิดขึ้นในขณะที่บีบีซีของอังกฤษให้ตัวเลขที่กว่า 1,400 คน และพลเรือน 973 คน ส่วนเอเอฟพีให้ตัวเลขกว่า 1,300 คน . รัฐบาลรักษาการซีเรียของประธานาธิบดี อาเหม็ด อัล-ชาอะรา( Ahmed al-Sharaa) กล่าวผ่านแถลงการณ์วันจันทร์(10)ว่า ปฎิบัติการทหารที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่วันพฤหัสบดี(6)ต่อกองกำลังจงรักภักดีอดีตประธานาธิบดีซีเรีย บาชาห์ อัล-อัสสาดและครอบครัวของเขาในการต่อสู้ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามกลางเมืองซีเรีย 13 ปีสิ้นสุดลงในธันวาคมปีที่แล้ว . ซึ่งประธานาธิบดีซีเรียคนปัจจุบันนั้นเป็นผู้นำกบฎซีเรียที่มีนามแฝงคือ อาบู โมฮัมหมัด อัล-โจลานี (Abu Mohammed al-Jolani) โค่นล้มอดีตประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสสาดสำเร็จเมื่อวันที่ 8 ธ.คปีที่แล้ว เขาประกาศที่จะตั้งคณะกรรมการอิสระสอบสวนการสังหารครั้งนี้พร้อมยืนยันว่าผู้อยู่เบื้องหลังต้องรับผิดชอบ . แถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมซีเรียออกมาหลังการโจมตีไม่คาดฝันจากกลุ่มมือปืนจากชุมชน Alawite ต่อการตรวจการของตำรวจซีเรียใกล้เมืองลัตตาเกีย (Lattakia) ซึ่งเป็นเมืองท่าในวันพฤหัสบดี(6)ก่อนที่จะขยายไปสู่ความรุนแรงมีการปะทะเป็นวงกว้างทั่วเขตภูมิภาคชายฝั่งของซีเรียที่กลุ่มสังเกตการณ์ไม่ต่ำกว่า 1 กลุ่มยืนยันตัวเลขพลเรือนหลายร้อยโดนสังหาร . ฮัสซาน อับเดล-กานี (Hassan Abdel Ghani)โฆษกกระทรวงกลาโหมซีเรียแถลงว่า กองกำลังความมั่นคงซีเรียจะยังคงค้นหาเซลล์นอนหลับฝังตัวและที่ยังคงหลงเหลือของกลุ่มจงรักภักดีต่อรัฐบาลซีเรียชุดเดิม . เอเอฟพีรายงานเพิ่มเติมว่า อิหร่านในวันจันทร์(10)ออกมาปฎิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังความปั่นป่วนในซีเรีย . การต่อสู้ทำให้กองกำลังความมั่นคงซีเรียและกลุ่มติดอาวุธสนับสนุนอัสสาดเสียชีวิตหลายร้อยคน อ้างอิงจากกลุ่มสังเกตการณ์ที่รายงานว่ายอดเสียชีวิตทั้งหมดมีไม่ต่ำกว่า 1,300 คน เอเอฟพีรายงาน . โฆษกกระทรวงต่างประเทศอิหร่าน อิสมาอิล บาคาอี (Esmaeil Baqaei) ปฎิเสธโดยสิ้นเชิงต่อข้อกล่าวหาในการแถลงวันจันทร์(10) . ข้อกล่าวหาเป็นสิ่งที่น่าขบขันโดยสิ้นเชิงและเป็นการปฎิเสธ พร้อมกล่าวว่า การชี้นิ้วขอมาที่อิหร่านและพันธมิตรของอิหร่านเป็นการตอบที่ผิดพลาด และเป็นเทรนด์ที่เบี่ยงเบนรวมไปถึงเป็นการทำให้สำคัญผิด 100% . เอเอฟพีชี้ว่า การปะทะที่นำไปสู่การเสียชีวิตกว่า 1,000 คนส่งผลทำให้เกิดความสงสัยต่อความสามารถในการปกครองซีเรียของรัฐบาลกลุ่มกบฎรักษาการในสายตาต่างประเทศ . ไฮโก วิมเมน (Heiko Wimmen ) จากองค์กรธิงแทงก์ International Crisis Group แสดงความเห็นว่า ความรุนแรงล่าสุดแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลซีเรียชุดใหม่ไม่มีความสามารถในการจัดการกับความท้าทายมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023234 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 842 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขยายบริการ DRT เกาะปีนัง ไปยังเกอร์นีย์และบัตเตอร์เวิร์ธ

    บริการขนส่งสาธารณะเพื่อตอบสนองความต้องการเดินทาง หรือ DRT (Demand Responsive Transport) ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งใช้รถตู้เป็นยานพาหนะ เชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้าหลักไปยังชุมชนในรัศมีประมาณ 2 กิโลเมตร โดยเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน เลือกจุดขึ้นรถ จุดลงรถ และชำระค่าโดยสารผ่านบัตรโดยสาร ไม่ได้จำกัดเพียงแค่พื้นที่หุบเขาแคลง (Klang Valley) ในเมืองหลวงเท่านั้น แต่มหานครอันดับสองอย่างรัฐปีนัง เริ่มให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา

    บริษัทแรพิดบัส (Rapid Bus) ผู้ให้บริการรถโดยสาร แรพิด ปีนัง (Rapid Penang) ประกาศว่าจะขยายบริการ แรพิด ปีนัง ออน ดีมานด์ (Rapid Penang On-Demand) จากเดิมมีสาย T210B ฟาร์ลิม-ไอร์อิตัม (Farlim-Air Itam) เพิ่มอีก 3 เส้นทาง ตั้งแต่ 15 มี.ค.2568 เป็นต้นไป ได้แก่

    สาย T110B เกอร์นีย์-ตันจงบุงกะห์ (Gurney-Tanjung Bungah) ใช้รถตู้ 6 คัน

    สาย T710B ซันเวย์-บัตเตอร์เวิร์ธ (Sunway-Butterworth) ใช้รถตู้ 6 คัน

    และสาย T211B ปายา เตอรูบง (Paya Terubong) ใช้รถตู้ 1 คัน

    นอกจากนี้ สาย T210B จะเพิ่มรถตู้จาก 2 คัน เป็น 4 คัน เพื่อรองรับความต้องการที่สูงขึ้น และลดเวลารอคอยของผู้โดยสารจาก 17 นาทีเหลือ 10 นาที ที่ผ่านมามีผู้โดยสารเฉลี่ย 137 คนต่อวัน ซึ่งเกินเป้าหมายเริ่มต้นที่ 100 คนต่อวัน รวมแล้วจำนวนผู้โดยสารทั้งหมดเกิน 26,000 คนในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา

    แถลงการณ์ของบริษัทฯ ระบุว่า เส้นทางใหม่เหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อตอบสนองความต้องการขนส่งสาธารณะ ในพื้นที่ซึ่งมีประชากรหนาแน่นและย่านที่อยู่อาศัยที่เพิ่งพัฒนา แต่ยังขาดการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ โดยจะทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่อไปยังเครือข่ายรถเมล์ Rapid Penang เพิ่มการเชื่อมต่อระบบขนส่งสาธารณะในรัฐ โดยวางแผนทยอยนำรถตู้ 50 คันมาให้บริการตลอดทั้งปี ซึ่งการเปิดบริการครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเปลี่ยนไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะที่มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    Rapid Penang On-Demand เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 06.00-23.00 น. สามารถจองรถได้ทางแอปพลิเคชัน กัมมูเต (Kummute) คิดค่าโดยสารราคาพิเศษ 1 ริงกิต (ประมาณ 7.70 บาท) ต่อเที่ยวการเดินทาง และจะใช้วิธีการชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสด ได้แก่ บัตร My50 และบัตร OKU Smile สำหรับคนในพื้นที่ บัตรเดบิต บัตรเครดิต DuitNow QR และกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ โดยจะเริ่มจากเส้นทาง T210B ฟาร์ลิม-ไอร์อิตัม ตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค.2568 ก่อนจะนำมาใช้ทั้ง 3 เส้นทางที่เปิดให้บริการขึ้นมาใหม่

    #Newskit
    ขยายบริการ DRT เกาะปีนัง ไปยังเกอร์นีย์และบัตเตอร์เวิร์ธ บริการขนส่งสาธารณะเพื่อตอบสนองความต้องการเดินทาง หรือ DRT (Demand Responsive Transport) ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งใช้รถตู้เป็นยานพาหนะ เชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้าหลักไปยังชุมชนในรัศมีประมาณ 2 กิโลเมตร โดยเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน เลือกจุดขึ้นรถ จุดลงรถ และชำระค่าโดยสารผ่านบัตรโดยสาร ไม่ได้จำกัดเพียงแค่พื้นที่หุบเขาแคลง (Klang Valley) ในเมืองหลวงเท่านั้น แต่มหานครอันดับสองอย่างรัฐปีนัง เริ่มให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา บริษัทแรพิดบัส (Rapid Bus) ผู้ให้บริการรถโดยสาร แรพิด ปีนัง (Rapid Penang) ประกาศว่าจะขยายบริการ แรพิด ปีนัง ออน ดีมานด์ (Rapid Penang On-Demand) จากเดิมมีสาย T210B ฟาร์ลิม-ไอร์อิตัม (Farlim-Air Itam) เพิ่มอีก 3 เส้นทาง ตั้งแต่ 15 มี.ค.2568 เป็นต้นไป ได้แก่ สาย T110B เกอร์นีย์-ตันจงบุงกะห์ (Gurney-Tanjung Bungah) ใช้รถตู้ 6 คัน สาย T710B ซันเวย์-บัตเตอร์เวิร์ธ (Sunway-Butterworth) ใช้รถตู้ 6 คัน และสาย T211B ปายา เตอรูบง (Paya Terubong) ใช้รถตู้ 1 คัน นอกจากนี้ สาย T210B จะเพิ่มรถตู้จาก 2 คัน เป็น 4 คัน เพื่อรองรับความต้องการที่สูงขึ้น และลดเวลารอคอยของผู้โดยสารจาก 17 นาทีเหลือ 10 นาที ที่ผ่านมามีผู้โดยสารเฉลี่ย 137 คนต่อวัน ซึ่งเกินเป้าหมายเริ่มต้นที่ 100 คนต่อวัน รวมแล้วจำนวนผู้โดยสารทั้งหมดเกิน 26,000 คนในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา แถลงการณ์ของบริษัทฯ ระบุว่า เส้นทางใหม่เหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อตอบสนองความต้องการขนส่งสาธารณะ ในพื้นที่ซึ่งมีประชากรหนาแน่นและย่านที่อยู่อาศัยที่เพิ่งพัฒนา แต่ยังขาดการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ โดยจะทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่อไปยังเครือข่ายรถเมล์ Rapid Penang เพิ่มการเชื่อมต่อระบบขนส่งสาธารณะในรัฐ โดยวางแผนทยอยนำรถตู้ 50 คันมาให้บริการตลอดทั้งปี ซึ่งการเปิดบริการครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเปลี่ยนไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะที่มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น Rapid Penang On-Demand เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 06.00-23.00 น. สามารถจองรถได้ทางแอปพลิเคชัน กัมมูเต (Kummute) คิดค่าโดยสารราคาพิเศษ 1 ริงกิต (ประมาณ 7.70 บาท) ต่อเที่ยวการเดินทาง และจะใช้วิธีการชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสด ได้แก่ บัตร My50 และบัตร OKU Smile สำหรับคนในพื้นที่ บัตรเดบิต บัตรเครดิต DuitNow QR และกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ โดยจะเริ่มจากเส้นทาง T210B ฟาร์ลิม-ไอร์อิตัม ตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค.2568 ก่อนจะนำมาใช้ทั้ง 3 เส้นทางที่เปิดให้บริการขึ้นมาใหม่ #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพกลุ่มก่อการร้าย HTS ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลซีเรีย กำลังทิ้งระเบิดถัง (barrel bombs) ซึ่งเป็นอาวุธของกองทัพ SAA (รับบาลซีเรียเดิม ก่อนถูกโค่นล้ม) เป้าหมายในละแวกใกล้เคียงฐานทัพอากาศของรัสเซียทางตะวันออกของลาตาเกีย

    การทิ้งระเบิดลักษณะนี้ คือการสุ่มโจมตี ระเบิดที่ตกลงไปอาจเป็นเป้าหมายที่พักพลเรือนได้

    ที่ผ่านมารัฐบาลของอดีตปธน.อัสซาด แห่งซีเรีย เคยใช้ระเบิดถัง (barrel bombs) ในการโจมตีกลุ่มต่อต้านรัฐบาล แต่ถูกนานาชาติประณามอย่างรุนแรง เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ระเบิดจะตกลงไปในเขตชุมชนของพลเรือน
    ภาพกลุ่มก่อการร้าย HTS ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลซีเรีย กำลังทิ้งระเบิดถัง (barrel bombs) ซึ่งเป็นอาวุธของกองทัพ SAA (รับบาลซีเรียเดิม ก่อนถูกโค่นล้ม) เป้าหมายในละแวกใกล้เคียงฐานทัพอากาศของรัสเซียทางตะวันออกของลาตาเกีย การทิ้งระเบิดลักษณะนี้ คือการสุ่มโจมตี ระเบิดที่ตกลงไปอาจเป็นเป้าหมายที่พักพลเรือนได้ ที่ผ่านมารัฐบาลของอดีตปธน.อัสซาด แห่งซีเรีย เคยใช้ระเบิดถัง (barrel bombs) ในการโจมตีกลุ่มต่อต้านรัฐบาล แต่ถูกนานาชาติประณามอย่างรุนแรง เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ระเบิดจะตกลงไปในเขตชุมชนของพลเรือน
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 351 มุมมอง 29 0 รีวิว
  • Meta ได้ประกาศโครงการความร่วมมือครั้งสำคัญกับองค์กรไม่แสวงหากำไร Internet Society เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางอินเทอร์เน็ตที่ยั่งยืนในชุมชนที่ยังเข้าไม่ถึงบริการอินเทอร์เน็ต โครงการนี้จะมุ่งเป้าไปที่การลดช่องว่างการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตทั่วโลก โดยเน้นชุมชนในพื้นที่ด้อยพัฒนา

    Meta ได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใต้ทะเลที่ครอบคลุมถึงสามมหาสมุทร โดยเรียกชื่อว่า "Mother of All Submarine Cables" เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการเชื่อมต่อเครือข่ายทั่วโลก

    ในโครงการนี้ Meta และ Internet Society จะทุ่มงบประมาณ 30 ล้านดอลลาร์จนถึงปี 2030 เพื่อสร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ยั่งยืนในพื้นที่ที่ยังขาดการเชื่อมต่อ นอกจากนี้ ยังวางแผนสร้าง "Internet Exchange Points" กว่า 56 แห่ง ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วใน 45 ประเทศ

    โครงสร้างที่ถูกพัฒนาในโครงการนี้จะเน้นการเป็นเจ้าของในท้องถิ่น และส่งเสริมให้ชุมชนพึ่งพาตนเองในด้านการจัดการและบำรุงรักษาระบบ

    ปัจจุบัน ประมาณ 2.6 พันล้านคนทั่วโลกยังขาดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการศึกษาและการดูแลสุขภาพ แต่ยังเป็นการกีดกันโอกาสทางเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคม โครงการนี้จึงมีศักยภาพในการช่วยให้ชุมชนเหล่านี้ได้รับประโยชน์จากโลกดิจิทัลอย่างแท้จริง

    โครงการนี้แสดงให้เห็นถึงแนวทางที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Meta ใช้เพื่อขยายฐานผู้ใช้งาน ขณะเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมความยั่งยืนด้านอินเทอร์เน็ตทั่วโลก นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงแนวโน้มที่ภาคเอกชนกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมทางดิจิทัล ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโลกยุคใหม่

    https://www.techspot.com/news/107046-meta-partnership-promises-bring-affordable-internet-billions-worldwide.html
    Meta ได้ประกาศโครงการความร่วมมือครั้งสำคัญกับองค์กรไม่แสวงหากำไร Internet Society เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางอินเทอร์เน็ตที่ยั่งยืนในชุมชนที่ยังเข้าไม่ถึงบริการอินเทอร์เน็ต โครงการนี้จะมุ่งเป้าไปที่การลดช่องว่างการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตทั่วโลก โดยเน้นชุมชนในพื้นที่ด้อยพัฒนา Meta ได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใต้ทะเลที่ครอบคลุมถึงสามมหาสมุทร โดยเรียกชื่อว่า "Mother of All Submarine Cables" เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการเชื่อมต่อเครือข่ายทั่วโลก ในโครงการนี้ Meta และ Internet Society จะทุ่มงบประมาณ 30 ล้านดอลลาร์จนถึงปี 2030 เพื่อสร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ยั่งยืนในพื้นที่ที่ยังขาดการเชื่อมต่อ นอกจากนี้ ยังวางแผนสร้าง "Internet Exchange Points" กว่า 56 แห่ง ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วใน 45 ประเทศ โครงสร้างที่ถูกพัฒนาในโครงการนี้จะเน้นการเป็นเจ้าของในท้องถิ่น และส่งเสริมให้ชุมชนพึ่งพาตนเองในด้านการจัดการและบำรุงรักษาระบบ ปัจจุบัน ประมาณ 2.6 พันล้านคนทั่วโลกยังขาดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการศึกษาและการดูแลสุขภาพ แต่ยังเป็นการกีดกันโอกาสทางเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคม โครงการนี้จึงมีศักยภาพในการช่วยให้ชุมชนเหล่านี้ได้รับประโยชน์จากโลกดิจิทัลอย่างแท้จริง โครงการนี้แสดงให้เห็นถึงแนวทางที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Meta ใช้เพื่อขยายฐานผู้ใช้งาน ขณะเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมความยั่งยืนด้านอินเทอร์เน็ตทั่วโลก นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงแนวโน้มที่ภาคเอกชนกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมทางดิจิทัล ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโลกยุคใหม่ https://www.techspot.com/news/107046-meta-partnership-promises-bring-affordable-internet-billions-worldwide.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Meta partnership promises to bring affordable internet to billions worldwide
    Meta is working on different levels to enhance internet connectivity and networking reliability around the planet. The company has invested billions in new subsea infrastructures, laying the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดีเจมาเลเซีย ล้อเลียนพิธีกรรมฮินดู

    เกิดเรื่องไม่เหมาะสมในวงการวิทยุมาเลเซีย เมื่อ อาซาด จัสมิน จอห์น หลุยส์ เจฟฟรี่ (Azad Jazmin John Louis Jeffri) หนึ่งในผู้ดำเนินรายการตีกะ ปากี อีรา (3 Pagi Era) ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกวันจันทร์-ศุกร์ 6 โมงเช้า ทางสถานีวิทยุอีรา (ERA) คลื่นเพลงชื่อดังในมาเลเซีย แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ล้อเลียนการเต้นรำกาวาดี (Kavadi) ของศาสนาฮินดู ซึ่งเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ในช่วงเทศกาลไทปูซัม (Thaipusam) ตะโกนคำว่า “เวล เวล!” และหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ปรากฎผ่านวีดีโอคลิปในบัญชีโซเชียลมีเดียทางการของสถานี กลายเป็นที่วิจารณ์และไม่พอใจอย่างมากสำหรับชาวฮินดูในมาเลเซีย

    พฤติกรรมดังกล่าวมีความผิดตามกฎหมายมาเลเซีย ข้อหาจงใจทำร้ายความรู้สึกทางศาสนาของบุคคลใดๆ (กฎหมายอาญามาตรา 298) กับข้อหาใช้ระบบหรือบริการเครือข่ายสื่อสารและมัลติมีเดียไม่เหมาะสม (มาตรา 233 พ.ร.บ.การสื่อสารและมัลติมีเดีย) ซึ่งมีผู้แจ้งความกับตำรวจแล้วและอยู่ในระหว่างสอบสวน ส่วนคณะกรรมการการสื่อสารและมัลติมีเดียแห่งมาเลเซีย (MCMC) ได้เรียกแอสโตร (Astro) บริษัทด้านสื่อและบันเทิงในมาเลเซีย กับผู้บริหารสถานีมาชี้แจง ขณะที่ โกบินด์ ซิงห์ ดิโอ รมว.ดิจิทัลมาเลเซีย ตำหนิพฤติกรรมดีเจคนดังกล่าวว่า น่ารังเกียจและกังวลใจอย่างยิ่ง การล้อเลียนหรือไม่เคารพต่อศาสนาใดๆ ถือเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

    ขณะที่แอสโตรได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจ และจะดําเนินการสอบสวนภายในอย่างละเอียด โดยซีอีโอและผู้บริหารระดับสูงได้เข้าพบคณะกรรมการ MCMC และตัดสินใจระงับการจัดรายการของดีเจทั้ง 3 คน พร้อมพนักงานอีก 2 คน

    ด้านดีเจทั้งสามคน นำโดย นาบิล อาห์หมัด (Nabil Ahmad), อาซาด และ ราดิน อาเมียร์ อัฟเฟนดี (Radin Amir Affendy) ออกมาขอโทษต่อวีดีโอคลิปดังกล่าว ที่ทำให้หลายฝ่ายไม่สบายใจ และกระทบความรู้สึกบางคน รวมทั้งชาวมาเลย์เชื้อสายอินเดีย ขณะที่ราดินได้ขอให้ผู้ฟังมั่นใจว่า เรื่องดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต ส่วนคนต้นเรื่องอย่างอาซาด กล่าวว่า ยินดีรับคำติชมและคำวิจารณ์อยู่เสมอเพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนาตัวเอง โดยเฉพาะจากผู้ฟัง พร้อมขออภัยอย่างสุดซึ้งสำหรับความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจและเสียใจอย่างยิ่ง

    อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เตือนทุกฝ่ายให้หลีกเลี่ยงคำพูดหรือการกระทำที่เกี่ยวข้องกับ 3R ได้แก่ เชื้อชาติ ศาสนา และราชวงศ์ (Race, Religion and Royalty) เพราะจะทำลายความสามัคคีในชาติ และจะต้องไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก พร้อมกับให้ชาวมาเลเซียทุกคนให้ความสำคัญกับความเคารพในชุมชนต่างๆ ตามหลักการแห่งชาติ (Rukun Negara)

    #Newskit
    ดีเจมาเลเซีย ล้อเลียนพิธีกรรมฮินดู เกิดเรื่องไม่เหมาะสมในวงการวิทยุมาเลเซีย เมื่อ อาซาด จัสมิน จอห์น หลุยส์ เจฟฟรี่ (Azad Jazmin John Louis Jeffri) หนึ่งในผู้ดำเนินรายการตีกะ ปากี อีรา (3 Pagi Era) ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกวันจันทร์-ศุกร์ 6 โมงเช้า ทางสถานีวิทยุอีรา (ERA) คลื่นเพลงชื่อดังในมาเลเซีย แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ล้อเลียนการเต้นรำกาวาดี (Kavadi) ของศาสนาฮินดู ซึ่งเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ในช่วงเทศกาลไทปูซัม (Thaipusam) ตะโกนคำว่า “เวล เวล!” และหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ปรากฎผ่านวีดีโอคลิปในบัญชีโซเชียลมีเดียทางการของสถานี กลายเป็นที่วิจารณ์และไม่พอใจอย่างมากสำหรับชาวฮินดูในมาเลเซีย พฤติกรรมดังกล่าวมีความผิดตามกฎหมายมาเลเซีย ข้อหาจงใจทำร้ายความรู้สึกทางศาสนาของบุคคลใดๆ (กฎหมายอาญามาตรา 298) กับข้อหาใช้ระบบหรือบริการเครือข่ายสื่อสารและมัลติมีเดียไม่เหมาะสม (มาตรา 233 พ.ร.บ.การสื่อสารและมัลติมีเดีย) ซึ่งมีผู้แจ้งความกับตำรวจแล้วและอยู่ในระหว่างสอบสวน ส่วนคณะกรรมการการสื่อสารและมัลติมีเดียแห่งมาเลเซีย (MCMC) ได้เรียกแอสโตร (Astro) บริษัทด้านสื่อและบันเทิงในมาเลเซีย กับผู้บริหารสถานีมาชี้แจง ขณะที่ โกบินด์ ซิงห์ ดิโอ รมว.ดิจิทัลมาเลเซีย ตำหนิพฤติกรรมดีเจคนดังกล่าวว่า น่ารังเกียจและกังวลใจอย่างยิ่ง การล้อเลียนหรือไม่เคารพต่อศาสนาใดๆ ถือเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ขณะที่แอสโตรได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจ และจะดําเนินการสอบสวนภายในอย่างละเอียด โดยซีอีโอและผู้บริหารระดับสูงได้เข้าพบคณะกรรมการ MCMC และตัดสินใจระงับการจัดรายการของดีเจทั้ง 3 คน พร้อมพนักงานอีก 2 คน ด้านดีเจทั้งสามคน นำโดย นาบิล อาห์หมัด (Nabil Ahmad), อาซาด และ ราดิน อาเมียร์ อัฟเฟนดี (Radin Amir Affendy) ออกมาขอโทษต่อวีดีโอคลิปดังกล่าว ที่ทำให้หลายฝ่ายไม่สบายใจ และกระทบความรู้สึกบางคน รวมทั้งชาวมาเลย์เชื้อสายอินเดีย ขณะที่ราดินได้ขอให้ผู้ฟังมั่นใจว่า เรื่องดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต ส่วนคนต้นเรื่องอย่างอาซาด กล่าวว่า ยินดีรับคำติชมและคำวิจารณ์อยู่เสมอเพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนาตัวเอง โดยเฉพาะจากผู้ฟัง พร้อมขออภัยอย่างสุดซึ้งสำหรับความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจและเสียใจอย่างยิ่ง อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เตือนทุกฝ่ายให้หลีกเลี่ยงคำพูดหรือการกระทำที่เกี่ยวข้องกับ 3R ได้แก่ เชื้อชาติ ศาสนา และราชวงศ์ (Race, Religion and Royalty) เพราะจะทำลายความสามัคคีในชาติ และจะต้องไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก พร้อมกับให้ชาวมาเลเซียทุกคนให้ความสำคัญกับความเคารพในชุมชนต่างๆ ตามหลักการแห่งชาติ (Rukun Negara) #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 278 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาหากใครได้ขับรถไปทางเส้นสุขุมวิท บริเวณจุดเชื่อมต่อระยอง – จันทบุรี เราอาจได้เห็นล้งทุเรียนมากมายริมถนนสุขุมวิท และยิ่งใครได้เดินทางมาช่วงมีนาคม – เมษายน ก็จะได้สัมผัสประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยรถขนทุเรียนรายล้อม ล้งทุเรียนที่คึกคักตลอดวันตลอดคืน หรือแม้แต่การชิงตัดราคากันบนถนนระหว่างรถจอดติดไฟแดงเอง ก็เป็นเหตุการณ์ที่คนในพื้นที่คุ้นเคยกันดี หรือหลายคนอาจจะเคยได้ยินอย่างอาชีพคนวิ่งทุเรียนย้อนกลับไปก่อนการเฟื่องฟูของล้งทุเรียนที่หมายถึงพ่อค้าคนกลางที่เป็นเหมือนโรงคัดแยกและบรรจุทุเรียนเพื่อส่งไปขายต่อ จริงๆ แล้ว ‘ล้ง’ นั้นถูกใช้งานกับการเป็นพ่อค้าคนกลางสำหรับผลไม้ประเภทอื่นๆ ด้วยจากข้อมูลในรายงานศึกษา ได้ชี้ให้เห็นตัวเลขว่า ก่อนปี พ.ศ. 2550 ทุเรียนส่วนใหญ่ยังเน้นบริโภคในประเทศ โดยส่งออกน้อยกว่า 30% ของผลผลิตทั้งหมด แต่หลังปี พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา เมื่อเริ่มมีความต้องการจากตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ทำให้ล้งเพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยแรกเริ่มมีล้งของคนไทย ล้งของคนจีน และล้งของคนเวียดนาม จนกระทั่งตัวเลขการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 70% ของผลผลิตทั้งหมด นำไปสู่การเปลี่ยนวิถีการขายทุเรียนที่เน้นเหมาสวนส่งให้ล้ง มีนายหน้าตกลงราคาก่อนผลผลิตจะออกผลและส่งขายโดยข้อมูลในวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 กองพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าพืช กรมวิชาการเกษตร ได้แสดงสถิติไว้ว่า ล้งที่ส่งออกไปขายที่จีนทั่วประเทศมีจำนวนทั้งสิ้น 2,122 ราย หากสโคปลงมาที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออกแบ่งเป็น จันทบุรี 909 ราย ระยอง 50 ราย และตราด 29 ราย รวมเป็น 988 ราย หรือคิดเป็น 42.84% ของจำนวนล้งทั้งประเทศแต่นี่เป็นเพียงตัวเลขที่มีการขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานรัฐเท่านั้น เพราะตามรายงานศึกษาของ Land Watch และ EEC Watch พบว่า ในการรายงานข่าวจากสำนักข่าว ThaiPBS ได้ลงพื้นที่สอบถามเจ้าของสวนทุเรียน และพบว่าจำนวนล้งใน 3 จังหวัด จันทบุรี ระยอง ตราด นั้นมีมากกว่า 1,200 ล้งในรายงานศึกษายังได้อธิบายรูปแบบการทำธุรกิจของล้ง โดยแบ่งเป็น 3 รูปแบบ คือ ล้งจีน ล้งไทย และล้งไทยที่มีการร่วมทุนกับต่างชาติ (ซึ่งก็คือจีน) โดยในรูปแบบที่เป็นการร่วมทุน จะมาในลักษณะของ ทุนต่างชาติเป็นผู้ลงเงิน ส่วนคนไทยจะเป็นคนจัดหาลูกทุเรียน และจัดการเรื่องส่งออกโดยข้อมูลจากแหล่งข้อมูลในพื้นที่กรณีศึกษา พบว่า ล้งที่เป็นการร่วมทุนจะตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอเขาคิชกูฏ จ.จันทบุรี ในขณะที่ล้งจีน 100% จะพบได้ที่อำเภอท่าใหม่ และอำเภอนายายอาม จังหวัดจันทบุรี โดยใช้ทุนหมุนเวียนวันละไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท โดยใน 3 จังหวัดภาคตะวันออกมีการคาดการณ์ว่ามีล้งจีนกว่า 600 ล้ง ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร แต่ก็ยังมีที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอีกมากเช่นกันในขณะที่ล้งไทยส่วนใหญ่ จะเป็นคนมีตำแหน่งอย่างผู้ใหญ่บ้าน หรือกำนัน โดยจะเป็นพ่อค้าคนกลางส่งต่อให้กับบริษัทส่งออกของจีนอีกทอดหนึ่ง และมักใช้วิธีการซื้อผ่านการ ‘เกี๊ยว’ หรือมัดจำเอาไว้กับสวนทุเรียนตั้งแต่ช่วงออกดอกหรือที่เรียกว่าช่วง หางแย้ โดยอาศัยความเป็นคนในพื้นที่ในการมีข้อมูลว่าบ้านไหนทำสวน และล้งไทยจะต้องหาให้ได้ตามดีลที่มักนับหน่วยเป็นเต็ม 1 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือประมาณ 18 ตันปัจจุบันจากรายงานข่าวของ ThaiPBS ในเดือนมีนาคม 2567 พบว่าในจังหวัดจันทบุรีมีล้งไทยเหลือไม่ถึง 10% ของจำนวนล้งในจันทบุรี ส่วนใหญ่ได้ผันตัวเป็นล้งที่ร่วมทุนระหว่างไทย-จีน ไปแล้วแต่ดูเหมือนว่าแม้ล้งจะเป็นผู้กำหนดราคาคนสำคัญ แต่ทุนจีนมองการณ์ไกลกว่านั้น โดยเริ่มทำล้งที่มีสวนทุเรียนไปด้วยนั่นเอง‘เขา’ มาซื้อสวนทุเรียนจากปลายน้ำอย่างการรับซื้อผลทุเรียน สู่กลางน้ำที่เป็นพ่อค้าคนกลางเองในการเป็นล้ง การทำธุรกิจทุเรียนของจีนได้รุกคืบเข้ามาในอุตสาหกรรมทุเรียนของไทยสู่ต้นน้ำ หรือคือการเป็นผู้ผลิตเสียเอง โดยเริ่มมีการครอบครองสวนทุเรียนโดยทุนจีน ซึ่งจากรายงานศึกษานี้พบว่ากลุ่มทุนจีนที่มาทำธุรกิจล้งทุเรียนมักเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่มาซื้อสวนทุเรียนและทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป็นการรับประกันว่าจะมีผลผลิตสำหรับการส่งออกที่เพียงพอ แต่อีกเหตุผลที่สำคัญกว่าก็คือการทำกำไรมหาศาล เนื่องจากสามารถกำหนดราคาได้เอง และควบคุมตลาดได้เบ็ดเสร็จโดยในรายงานศึกษาได้นำเสนอวิธีการครอบครองที่ดินของทุนจีน โดยพื้นที่ที่ทุนจีนเล็งไว้มักมีลักษณะที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำเนื่องจากทุเรียนต้องใช้น้ำจำนวนมากในการดูแล นอกจากนี้ทุนจีนมักไม่สนใจที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์เนื่องจากมีราคาสูง แต่มักเลือกที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ เช่นในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติซึ่งการเริ่มต้นเข้าไปครอบครองทำสวนทุเรียนจะเริ่มจากมีนายหน้าคนไทยที่คอยเป็นนอมินีให้ทุนจีนโพสต์ตามหาที่ดินตามกบุ่มซื้อ-ขายที่ดินในโซเชียลมีเดีย และมีนายหน้าคนไทยเข้ามาคอมเมนต์เสนอขายที่ดิน ซึ่งนายหน้าที่มาขายที่ดินส่วนใหญ่ก็มักเป็นผู้นำชุมชน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนันที่รู้จักพื้นที่เป็นอย่างดีหลังจากได้ข้อมูลที่ดินก็จะมีการนัดแนะ และคนจีนจะเข้าไปดูพื้นที่และตัดสินใจด้วยตัวเองทันทีไม่ผ่านนายหน้า โดยมีข้อสังเกตว่าบางครั้งในการซื้อขายบนโซเชียลมีเดียเอง ก็อาจเป็นคนจีนที่ใช้แอคเคาต์อวตารเป็นคนไทยเพื่อลดค่าใช้จ่ายผ่านนายหน้า ซึ่งที่ดินที่ทุนจีนสนใจมักเป็นสวนที่ต้นทุเรียนให้ผลผลิตแล้ว หลังจากถูกใจในที่ดินก็มีการตกลงซื้อขาย ทำสัญญาเป็นภาษาจีนและภาษาอังกฤษ มีทนายมาร่วมในกระบวนการ โดยจะดำเนินการทำสัญญาที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน และมีผู้ใหญ่บ้านเป็นพยาน เพื่อเป็นหลักประกันว่าที่ดินนี้เชื่อถือได้ โดยผู้ใหญ่บ้านก็จะได้รับเงินในการทำสัญญาครั้งละ 3,000 – 5,000 บาทhttps://epigramnews.co/environment/cross-border-land-acquisition-by-chinese-capital/
    ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาหากใครได้ขับรถไปทางเส้นสุขุมวิท บริเวณจุดเชื่อมต่อระยอง – จันทบุรี เราอาจได้เห็นล้งทุเรียนมากมายริมถนนสุขุมวิท และยิ่งใครได้เดินทางมาช่วงมีนาคม – เมษายน ก็จะได้สัมผัสประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยรถขนทุเรียนรายล้อม ล้งทุเรียนที่คึกคักตลอดวันตลอดคืน หรือแม้แต่การชิงตัดราคากันบนถนนระหว่างรถจอดติดไฟแดงเอง ก็เป็นเหตุการณ์ที่คนในพื้นที่คุ้นเคยกันดี หรือหลายคนอาจจะเคยได้ยินอย่างอาชีพคนวิ่งทุเรียนย้อนกลับไปก่อนการเฟื่องฟูของล้งทุเรียนที่หมายถึงพ่อค้าคนกลางที่เป็นเหมือนโรงคัดแยกและบรรจุทุเรียนเพื่อส่งไปขายต่อ จริงๆ แล้ว ‘ล้ง’ นั้นถูกใช้งานกับการเป็นพ่อค้าคนกลางสำหรับผลไม้ประเภทอื่นๆ ด้วยจากข้อมูลในรายงานศึกษา ได้ชี้ให้เห็นตัวเลขว่า ก่อนปี พ.ศ. 2550 ทุเรียนส่วนใหญ่ยังเน้นบริโภคในประเทศ โดยส่งออกน้อยกว่า 30% ของผลผลิตทั้งหมด แต่หลังปี พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา เมื่อเริ่มมีความต้องการจากตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ทำให้ล้งเพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยแรกเริ่มมีล้งของคนไทย ล้งของคนจีน และล้งของคนเวียดนาม จนกระทั่งตัวเลขการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 70% ของผลผลิตทั้งหมด นำไปสู่การเปลี่ยนวิถีการขายทุเรียนที่เน้นเหมาสวนส่งให้ล้ง มีนายหน้าตกลงราคาก่อนผลผลิตจะออกผลและส่งขายโดยข้อมูลในวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 กองพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าพืช กรมวิชาการเกษตร ได้แสดงสถิติไว้ว่า ล้งที่ส่งออกไปขายที่จีนทั่วประเทศมีจำนวนทั้งสิ้น 2,122 ราย หากสโคปลงมาที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออกแบ่งเป็น จันทบุรี 909 ราย ระยอง 50 ราย และตราด 29 ราย รวมเป็น 988 ราย หรือคิดเป็น 42.84% ของจำนวนล้งทั้งประเทศแต่นี่เป็นเพียงตัวเลขที่มีการขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานรัฐเท่านั้น เพราะตามรายงานศึกษาของ Land Watch และ EEC Watch พบว่า ในการรายงานข่าวจากสำนักข่าว ThaiPBS ได้ลงพื้นที่สอบถามเจ้าของสวนทุเรียน และพบว่าจำนวนล้งใน 3 จังหวัด จันทบุรี ระยอง ตราด นั้นมีมากกว่า 1,200 ล้งในรายงานศึกษายังได้อธิบายรูปแบบการทำธุรกิจของล้ง โดยแบ่งเป็น 3 รูปแบบ คือ ล้งจีน ล้งไทย และล้งไทยที่มีการร่วมทุนกับต่างชาติ (ซึ่งก็คือจีน) โดยในรูปแบบที่เป็นการร่วมทุน จะมาในลักษณะของ ทุนต่างชาติเป็นผู้ลงเงิน ส่วนคนไทยจะเป็นคนจัดหาลูกทุเรียน และจัดการเรื่องส่งออกโดยข้อมูลจากแหล่งข้อมูลในพื้นที่กรณีศึกษา พบว่า ล้งที่เป็นการร่วมทุนจะตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอเขาคิชกูฏ จ.จันทบุรี ในขณะที่ล้งจีน 100% จะพบได้ที่อำเภอท่าใหม่ และอำเภอนายายอาม จังหวัดจันทบุรี โดยใช้ทุนหมุนเวียนวันละไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท โดยใน 3 จังหวัดภาคตะวันออกมีการคาดการณ์ว่ามีล้งจีนกว่า 600 ล้ง ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร แต่ก็ยังมีที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอีกมากเช่นกันในขณะที่ล้งไทยส่วนใหญ่ จะเป็นคนมีตำแหน่งอย่างผู้ใหญ่บ้าน หรือกำนัน โดยจะเป็นพ่อค้าคนกลางส่งต่อให้กับบริษัทส่งออกของจีนอีกทอดหนึ่ง และมักใช้วิธีการซื้อผ่านการ ‘เกี๊ยว’ หรือมัดจำเอาไว้กับสวนทุเรียนตั้งแต่ช่วงออกดอกหรือที่เรียกว่าช่วง หางแย้ โดยอาศัยความเป็นคนในพื้นที่ในการมีข้อมูลว่าบ้านไหนทำสวน และล้งไทยจะต้องหาให้ได้ตามดีลที่มักนับหน่วยเป็นเต็ม 1 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือประมาณ 18 ตันปัจจุบันจากรายงานข่าวของ ThaiPBS ในเดือนมีนาคม 2567 พบว่าในจังหวัดจันทบุรีมีล้งไทยเหลือไม่ถึง 10% ของจำนวนล้งในจันทบุรี ส่วนใหญ่ได้ผันตัวเป็นล้งที่ร่วมทุนระหว่างไทย-จีน ไปแล้วแต่ดูเหมือนว่าแม้ล้งจะเป็นผู้กำหนดราคาคนสำคัญ แต่ทุนจีนมองการณ์ไกลกว่านั้น โดยเริ่มทำล้งที่มีสวนทุเรียนไปด้วยนั่นเอง‘เขา’ มาซื้อสวนทุเรียนจากปลายน้ำอย่างการรับซื้อผลทุเรียน สู่กลางน้ำที่เป็นพ่อค้าคนกลางเองในการเป็นล้ง การทำธุรกิจทุเรียนของจีนได้รุกคืบเข้ามาในอุตสาหกรรมทุเรียนของไทยสู่ต้นน้ำ หรือคือการเป็นผู้ผลิตเสียเอง โดยเริ่มมีการครอบครองสวนทุเรียนโดยทุนจีน ซึ่งจากรายงานศึกษานี้พบว่ากลุ่มทุนจีนที่มาทำธุรกิจล้งทุเรียนมักเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่มาซื้อสวนทุเรียนและทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป็นการรับประกันว่าจะมีผลผลิตสำหรับการส่งออกที่เพียงพอ แต่อีกเหตุผลที่สำคัญกว่าก็คือการทำกำไรมหาศาล เนื่องจากสามารถกำหนดราคาได้เอง และควบคุมตลาดได้เบ็ดเสร็จโดยในรายงานศึกษาได้นำเสนอวิธีการครอบครองที่ดินของทุนจีน โดยพื้นที่ที่ทุนจีนเล็งไว้มักมีลักษณะที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำเนื่องจากทุเรียนต้องใช้น้ำจำนวนมากในการดูแล นอกจากนี้ทุนจีนมักไม่สนใจที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์เนื่องจากมีราคาสูง แต่มักเลือกที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ เช่นในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติซึ่งการเริ่มต้นเข้าไปครอบครองทำสวนทุเรียนจะเริ่มจากมีนายหน้าคนไทยที่คอยเป็นนอมินีให้ทุนจีนโพสต์ตามหาที่ดินตามกบุ่มซื้อ-ขายที่ดินในโซเชียลมีเดีย และมีนายหน้าคนไทยเข้ามาคอมเมนต์เสนอขายที่ดิน ซึ่งนายหน้าที่มาขายที่ดินส่วนใหญ่ก็มักเป็นผู้นำชุมชน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนันที่รู้จักพื้นที่เป็นอย่างดีหลังจากได้ข้อมูลที่ดินก็จะมีการนัดแนะ และคนจีนจะเข้าไปดูพื้นที่และตัดสินใจด้วยตัวเองทันทีไม่ผ่านนายหน้า โดยมีข้อสังเกตว่าบางครั้งในการซื้อขายบนโซเชียลมีเดียเอง ก็อาจเป็นคนจีนที่ใช้แอคเคาต์อวตารเป็นคนไทยเพื่อลดค่าใช้จ่ายผ่านนายหน้า ซึ่งที่ดินที่ทุนจีนสนใจมักเป็นสวนที่ต้นทุเรียนให้ผลผลิตแล้ว หลังจากถูกใจในที่ดินก็มีการตกลงซื้อขาย ทำสัญญาเป็นภาษาจีนและภาษาอังกฤษ มีทนายมาร่วมในกระบวนการ โดยจะดำเนินการทำสัญญาที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน และมีผู้ใหญ่บ้านเป็นพยาน เพื่อเป็นหลักประกันว่าที่ดินนี้เชื่อถือได้ โดยผู้ใหญ่บ้านก็จะได้รับเงินในการทำสัญญาครั้งละ 3,000 – 5,000 บาทhttps://epigramnews.co/environment/cross-border-land-acquisition-by-chinese-capital/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 รีวิว
  • Matt Mullenweg ผู้ร่วมก่อตั้ง WordPress และ CEO ของ Automattic ได้ประกาศว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์และเรียกร้องให้ลาออกผ่านคำร้องออนไลน์และการฟ้องร้องหมู่ ซึ่งเขากล่าวในการสัมภาษณ์กับ Lenny's Podcast ว่า การที่เขาจะเกษียณนั้น เขาจะหาคนมาสืบทอดตำแหน่งที่มีค่านิยมเช่นเดียวกับเขา และจะนำบริษัทไปในทางเดียวกับที่เขาดูแลอยู่

    ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นจากการที่ Mullenweg กล่าวถึง WP Engine ว่าได้รับประโยชน์จากโมเดลโอเพนซอร์สของ WordPress โดยไม่ได้มีส่วนร่วมมากพอในโครงการ WP Engine แย้งว่าพวกเขาปฏิบัติตาม GPL ซึ่งอนุญาตให้ใช้เชิงพาณิชย์ได้โดยไม่ต้องมีการบริจาคเงิน ทั้งนี้ Mullenweg ย้ำว่าโครงการโอเพนซอร์สจะเติบโตเมื่อผู้ที่ได้ผลประโยชน์จากมันกลับมาลงทุนในการพัฒนา

    เขายังกล่าวถึงอนาคตของ WordPress และ Automattic โดยเน้นว่าเขาต้องการความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและเป็นศูนย์กลาง แทนที่จะให้การตัดสินใจเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ “หากผมจะหายไป ผมไม่ต้องการส่งมอบงานให้คณะกรรมการ แต่จะให้ใครสักคนที่มีบทบาทเช่นเดียวกับผมและเป็นผู้นำที่มีค่านิยมเช่นเดียวกับผม” เขากล่าว

    คำพูดของเขาเกิดขึ้นท่ามกลางการวิจารณ์เรื่องการจัดการข้อพิพาทกับ WP Engine บางคนกล่าวหาว่า Mullenweg ใช้อำนาจบีบบังคับ WP Engine ให้จ่ายเงินในการใช้ WordPress ซึ่งขัดแย้งกับจิตวิญญาณของซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส (FOSS) ในขณะที่ WP Engine ยืนยันว่าสนับสนุนโครงการโอเพนซอร์สควรเป็นสิ่งสมัครใจ ไม่ใช่การบีบบังคับ ความขัดแย้งนี้ได้นำไปสู่การฟ้องร้องหมู่ที่กล่าวหาว่าธุรกิจไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการกำกับดูแล WordPress และยังมีคำร้องออนไลน์เรียกร้องให้ Mullenweg ลาออก ถึงแม้ว่าจะมีแรงกดดันมากมาย Mullenweg ยืนยันว่าเขาจะไม่ลาออก

    มีผู้เชี่ยวชาญบางคนที่เห็นว่า WP Engine ได้ประโยชน์จาก WordPress โดยไม่คืนผลประโยชน์กลับ ซึ่งอาจทำให้แพลตฟอร์มนี้เสี่ยงต่ออนาคต ขณะที่บางคนคิดว่า Mullenweg กดดันเพื่อให้มีการจ่ายเงินเกินความจำเป็นตามกฎหมาย GPL การถกเถียงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องทางกฎหมาย แต่ยังเกี่ยวกับความรับผิดชอบที่บริษัทที่ได้ผลประโยชน์จากซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สควรมีต่อชุมชน

    Mullenweg เปรียบบทบาทของเขาเสมือนนายกเทศมนตรีที่ดูแลเมือง โดยเน้นความสำคัญของการมีผู้นำที่มีความเข้าใจและผูกพันกับองค์กรในระดับลึก

    https://www.techspot.com/news/107017-mullenweg-refuses-step-down-amid-wp-engine-dispute.html
    Matt Mullenweg ผู้ร่วมก่อตั้ง WordPress และ CEO ของ Automattic ได้ประกาศว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์และเรียกร้องให้ลาออกผ่านคำร้องออนไลน์และการฟ้องร้องหมู่ ซึ่งเขากล่าวในการสัมภาษณ์กับ Lenny's Podcast ว่า การที่เขาจะเกษียณนั้น เขาจะหาคนมาสืบทอดตำแหน่งที่มีค่านิยมเช่นเดียวกับเขา และจะนำบริษัทไปในทางเดียวกับที่เขาดูแลอยู่ ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นจากการที่ Mullenweg กล่าวถึง WP Engine ว่าได้รับประโยชน์จากโมเดลโอเพนซอร์สของ WordPress โดยไม่ได้มีส่วนร่วมมากพอในโครงการ WP Engine แย้งว่าพวกเขาปฏิบัติตาม GPL ซึ่งอนุญาตให้ใช้เชิงพาณิชย์ได้โดยไม่ต้องมีการบริจาคเงิน ทั้งนี้ Mullenweg ย้ำว่าโครงการโอเพนซอร์สจะเติบโตเมื่อผู้ที่ได้ผลประโยชน์จากมันกลับมาลงทุนในการพัฒนา เขายังกล่าวถึงอนาคตของ WordPress และ Automattic โดยเน้นว่าเขาต้องการความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและเป็นศูนย์กลาง แทนที่จะให้การตัดสินใจเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ “หากผมจะหายไป ผมไม่ต้องการส่งมอบงานให้คณะกรรมการ แต่จะให้ใครสักคนที่มีบทบาทเช่นเดียวกับผมและเป็นผู้นำที่มีค่านิยมเช่นเดียวกับผม” เขากล่าว คำพูดของเขาเกิดขึ้นท่ามกลางการวิจารณ์เรื่องการจัดการข้อพิพาทกับ WP Engine บางคนกล่าวหาว่า Mullenweg ใช้อำนาจบีบบังคับ WP Engine ให้จ่ายเงินในการใช้ WordPress ซึ่งขัดแย้งกับจิตวิญญาณของซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส (FOSS) ในขณะที่ WP Engine ยืนยันว่าสนับสนุนโครงการโอเพนซอร์สควรเป็นสิ่งสมัครใจ ไม่ใช่การบีบบังคับ ความขัดแย้งนี้ได้นำไปสู่การฟ้องร้องหมู่ที่กล่าวหาว่าธุรกิจไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการกำกับดูแล WordPress และยังมีคำร้องออนไลน์เรียกร้องให้ Mullenweg ลาออก ถึงแม้ว่าจะมีแรงกดดันมากมาย Mullenweg ยืนยันว่าเขาจะไม่ลาออก มีผู้เชี่ยวชาญบางคนที่เห็นว่า WP Engine ได้ประโยชน์จาก WordPress โดยไม่คืนผลประโยชน์กลับ ซึ่งอาจทำให้แพลตฟอร์มนี้เสี่ยงต่ออนาคต ขณะที่บางคนคิดว่า Mullenweg กดดันเพื่อให้มีการจ่ายเงินเกินความจำเป็นตามกฎหมาย GPL การถกเถียงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องทางกฎหมาย แต่ยังเกี่ยวกับความรับผิดชอบที่บริษัทที่ได้ผลประโยชน์จากซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สควรมีต่อชุมชน Mullenweg เปรียบบทบาทของเขาเสมือนนายกเทศมนตรีที่ดูแลเมือง โดยเน้นความสำคัญของการมีผู้นำที่มีความเข้าใจและผูกพันกับองค์กรในระดับลึก https://www.techspot.com/news/107017-mullenweg-refuses-step-down-amid-wp-engine-dispute.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Matt Mullenweg doubles down on leadership amid WordPress controversy
    Matt Mullenweg, co-founder of WordPress and CEO of Automattic, has called out WP Engine for benefiting from WordPress's open-source model without contributing enough to the project. WP...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีข่าวที่น่าสนใจจาก Tom's Hardware เกี่ยวกับการปิดตัวของบริษัท Efabless ที่ส่งผลกระทบต่อโครงการผลิตชิป Tiny Tapeout อย่างไม่แน่นอน

    Efabless เป็นบริษัทที่ทำให้กระบวนการสร้างชิปคอมพิวเตอร์เปิดกว้างสำหรับผู้ที่สนใจและนักพัฒนาขนาดเล็ก บริษัทนี้มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือในการพัฒนาและผลิตชิปที่เป็นที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ Efabless กำลังเผชิญกับปัญหาการเงินและไม่แน่ชัดว่าจะกลับมาได้หรือไม่ สิ่งนี้ส่งผลให้โครงการ Tiny Tapeout ที่พึ่งพาเทคโนโลยีของ Efabless ต้องอยู่ในสภาพไม่แน่นอน

    Tiny Tapeout เป็นโครงการที่มุ่งเน้นการทำให้การออกแบบและผลิตชิปคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องง่ายและราคาถูกสำหรับผู้ที่สนใจและนักพัฒนาขนาดเล็ก โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างชิปของตัวเองได้โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรมากมาย

    Tiny Tapeout มีการจัดทำชิปที่สามารถออกแบบได้ในขนาดเล็กและสามารถผลิตได้ในราคาที่ไม่แพง โดยมีการใช้เทคโนโลยีการออกแบบดิจิทัลและการผลิตชิปที่ทันสมัย ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นการออกแบบชิปของตัวเองได้โดยใช้เครื่องมือที่มีให้ในเว็บไซต์ของ Tiny Tapeout และสามารถส่งการออกแบบเพื่อผลิตชิปจริงได้

    โครงการนี้ยังมีการสนับสนุนจาก Efabless ซึ่งเป็นบริษัทที่ช่วยในการพัฒนาและผลิตชิป โดยมีการจัดทำชิปที่มีขนาดเล็กและราคาถูกเพื่อให้ผู้ใช้สามารถทดลองและพัฒนาชิปของตัวเองได้อย่างง่ายดาย

    Tiny Tapeout ได้ออกมาพูดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการ TT08 และ TT09 ที่อยู่ในระหว่างดำเนินการ ขณะที่โครงการ TT08 ยังรอการบรรจุซิลิคอน โครงการ TT09 กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิตที่ SkyWater Technology และอาจไม่สามารถเสร็จสิ้นได้ Tiny Tapeout กำลังพยายามหาทางแก้ไขปัญหาเพื่อที่จะสามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ และยังมีแผนที่จะคืนเงินให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบหากไม่สามารถจัดส่งชิปได้

    การที่ Efabless ปิดตัวเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับชุมชนผู้พัฒนาที่ใช้บริการของบริษัทนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีชิปต้องใช้เวลาและพลังงานมากมายจากผู้ที่ร่วมโครงการ ดังนั้นการที่โครงการเหล่านี้ต้องอยู่ในสภาพไม่แน่นอนเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างมาก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/efabless-shuts-down-fate-of-tiny-tapeout-chip-production-projects-unclear
    มีข่าวที่น่าสนใจจาก Tom's Hardware เกี่ยวกับการปิดตัวของบริษัท Efabless ที่ส่งผลกระทบต่อโครงการผลิตชิป Tiny Tapeout อย่างไม่แน่นอน Efabless เป็นบริษัทที่ทำให้กระบวนการสร้างชิปคอมพิวเตอร์เปิดกว้างสำหรับผู้ที่สนใจและนักพัฒนาขนาดเล็ก บริษัทนี้มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือในการพัฒนาและผลิตชิปที่เป็นที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ Efabless กำลังเผชิญกับปัญหาการเงินและไม่แน่ชัดว่าจะกลับมาได้หรือไม่ สิ่งนี้ส่งผลให้โครงการ Tiny Tapeout ที่พึ่งพาเทคโนโลยีของ Efabless ต้องอยู่ในสภาพไม่แน่นอน Tiny Tapeout เป็นโครงการที่มุ่งเน้นการทำให้การออกแบบและผลิตชิปคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องง่ายและราคาถูกสำหรับผู้ที่สนใจและนักพัฒนาขนาดเล็ก โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างชิปของตัวเองได้โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรมากมาย Tiny Tapeout มีการจัดทำชิปที่สามารถออกแบบได้ในขนาดเล็กและสามารถผลิตได้ในราคาที่ไม่แพง โดยมีการใช้เทคโนโลยีการออกแบบดิจิทัลและการผลิตชิปที่ทันสมัย ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นการออกแบบชิปของตัวเองได้โดยใช้เครื่องมือที่มีให้ในเว็บไซต์ของ Tiny Tapeout และสามารถส่งการออกแบบเพื่อผลิตชิปจริงได้ โครงการนี้ยังมีการสนับสนุนจาก Efabless ซึ่งเป็นบริษัทที่ช่วยในการพัฒนาและผลิตชิป โดยมีการจัดทำชิปที่มีขนาดเล็กและราคาถูกเพื่อให้ผู้ใช้สามารถทดลองและพัฒนาชิปของตัวเองได้อย่างง่ายดาย Tiny Tapeout ได้ออกมาพูดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการ TT08 และ TT09 ที่อยู่ในระหว่างดำเนินการ ขณะที่โครงการ TT08 ยังรอการบรรจุซิลิคอน โครงการ TT09 กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิตที่ SkyWater Technology และอาจไม่สามารถเสร็จสิ้นได้ Tiny Tapeout กำลังพยายามหาทางแก้ไขปัญหาเพื่อที่จะสามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ และยังมีแผนที่จะคืนเงินให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบหากไม่สามารถจัดส่งชิปได้ การที่ Efabless ปิดตัวเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับชุมชนผู้พัฒนาที่ใช้บริการของบริษัทนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีชิปต้องใช้เวลาและพลังงานมากมายจากผู้ที่ร่วมโครงการ ดังนั้นการที่โครงการเหล่านี้ต้องอยู่ในสภาพไม่แน่นอนเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างมาก https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/efabless-shuts-down-fate-of-tiny-tapeout-chip-production-projects-unclear
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Efabless shuts down, fate of Tiny Tapeout chip production projects unclear
    Tiny Tapeout is exploring other avenues for project manufacturing.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • นี่ละยิวจอมทรยศและเนรคุณ..#เมื่อยิวถามจีนว่า
    ทำไมไม่ช่วยอิสรา.เอล​รบกับ ฮามา.ส
    ลองฟังคับตอบ ประชาชนจีนที่รู้ประวัติศาสตร์​อ่านแล้วถึงกับอึง ยาวหน่อย แต่เป็นความรู้ระดับ #พันปี

    “เมื่อ Ross อเมริกันเชื้อสายยิวกล่าวโจมตี ทำไม จีน ไม่สนับสนุนอิสราเอลโจมตี ฮามาส“

    นี่คือคำตอบ
    ประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของชนชาติยิว...

    สองวันที่ผ่านมา
    Ross อดีตประธานภาคพื้นเอเซียแปซิฟิคของ พรรครีพับริกัน
    ได้สร้างข่าวพาดหัวด้วยการ กล่าวหา ชาวจีน ที่เล่นอินเตอร์เนต ว่า ไม่มีความเห็นอกเห็นใจชาวยิว อันเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่กาซ่า..

    ต่อมา มีชาวเนตจีนรายหนึ่ง เข้ามาเห็น จึงเขียนบทความอย่างยืดยาว เพื่อสอนบทเรียนทาง ประวัติศาสตร์ แก่ชาวอเมริกันยิวคนนี้..
    สรุปว่า ต่อมา Ross ได้แอบลบบทวิจารณ์นี้ทิ้งไป...

    ไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนบทความโต้แย้งชายจีนผู้นี้เป็นใคร
    แต่ อย่างไรก็ตาม ข้อเขียนของเขาได้หลุดรอดออกมา และ ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง!

    เป็นข้อเขียนที่ทุกคนต้องอ่าน!

    เพราะเป็นการตอบโต้ที่แข็งกร้าวของชาวเนตจีน..( 11 กค. 2024 )

    สวัสดีครับคุณ Enge...
    ผมรู้สึกช๊อคไปกับคำพูดของคุณที่ว่า
    "หากโลกจะสนใจช่วยชาวยิวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW II)ืชาวยิวหกล้านคนก็คงไม่ถูกสังหาร"...

    แต่นี่ คงมิใช่ เหตุผล หรือ ทำให้กองทัพยิว มีสิทธิที่จะก่อสงครามล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าแต่อย่างใด...

    ยิ่งไปกว่า มันไม่เป็นความจริงด้วย..

    ในระหว่าง WW II นั้น ชาวจีนในเซี่ยงไฮ้ และ นานจิง กำลังถูกรุกราน และ ถูกสังหารหมู่ โดยกองทัพญี่ปุ่น
    ในขณะที่ชาวยิวถูกฆ่าโดยนาซี..

    แต่กระนั้นก็ดี แม้ชาวจีนจะประสบเคราะห์กรรมขนาดนั้น ก็ยังยินดีรับเอาชาวยิวกว่า 50,000 คน ที่อพยพไปยังประเทศจีนเพื่อหนีภัยจากนาซี...

    แต่วิธีตอบแทนแบบยิวก็คือ การร่วมมือกับญี่ปุ่น เพื่อสร้างทรัฐชาวยิว ขึ้นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน!
    แผนงานนี้เป็นที่เลื่องลือในนามของ Pufferfish Plan..
    แต่ก็โชคร้าย ซึ่งในที่สุดแผนการณ์นี้ล้มเหลว..
    ทำให้นิทานเรื่องชาวนาและงูเห่า ไม่อาจเกิดเป็นจริงได้ในแผ่นดินจีน...

    แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
    เจ้าหน้าที่คนของสถานทูตอิสราเอล ได้กล่าวอ้างอย่างเปิดเผยผ่านทางรูปถ่ายว่า ที่ตั้งของสถานทูตที่อยู่บนถนนในเซี่ยงไฮ้ เกิดจากการยินยอมให้ใช้ของฝรั่งเศส!(ทั้งที่เรื่องกฏหมายสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ถูกยกเลิกไปนานแล้ว)

    แต่แน่นอน
    หากพูดถึงสัมพันธภาพระหว่างจีน กับ ชาวยิว ย่อมมีอะไรที่มากไปกว่านั้นมากมาย

    ชาวยิวได้ร่อนเร่มายังประเทศจีนตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ซ่ง
    หรือ ราวพันปีที่ผ่านมา และ ได้ตั้งถิ่นฐานในจีนตั้งแต่นั้นมา

    ราชวงศ์ซ่ง ปกครองอาณาจักรจีนโบราณ ที่ถือกันว่าสมบูรณ์พูนสุขิและ ร่ำรวยที่สุดราชวงศ์หนึ่ง

    อย่างไรก็ดี
    ในกาลต่อมา เมื่อราชวงศ์ซ่งล่มสลาย ผู้คนอพยพหนีภัยไปทางทิศใต้
    นักธุรกิจชาวยิว ที่มีชื่อสกุล Pu ได้ใช้กำลังทหารส่วนตัว เข่นฆ่าชาวเมืองจำนวนมากที่เคยเป็นราษฎรภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซ่ง แล้วนำศพไปให้กองทัพของราชวงศ์ หยวน
    เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของการยอมรับในอำนาจของผู้ปกครองชาว มงโกล รายใหม่

    ในหลายสิบปีหลังจากนั้น ราชวงศ์ จูหยวนจาง ได้โค่นราชวงศ์หยวนลง และ จัดตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น
    คนจีนที่สืบเชื้อสายจากชาวฮั่น จึงกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง
    แต่ก็มิได้ขับไล่ชุมชนชาวยิวกลุ่มทรยศเหล่านี้ออกไป (ทั้งที่ได้เข่นฆ่าชาวจีนไปมากก่อนหน้านั้น)

    ต่อมา ในสมัยประวัติศาสตร์ช่วงการเกิดสงครามฝิ่น
    มีนักธุรกิจชาวยิว ตระกูล Sassoon ได้นำฝิ่นจำนวนมากมาจำหน่ายเพื่อหวังผลกำไร
    ทำให้ชาวจีนติดฝิ่นกันงอมแงม ประชากรชาวจีน อ่อนแอ และ ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก.. คุณ (Mr Ross)เคยใช้ชีวิตอยู่ในเอเซียมาหลายปี น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี

    เหตุการณ์ สงครามฉนวนกาซ่าในครั้งนี้
    ชาวจีน มิได้รู้สึกเห็นใจ ชาวยิว เพราะชาวจีน มีการศึกษาเรื่องคุณธรรม ร่วมสามพันปีมาแล้ว

    "Shangshu" วรรณกรรมคลาสิกที่ยังเหลืออยู่ของจีน ที่เขียนขึ้นมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาลหรือราว 3,000 ปีพอดี ซึ่งคงเป็นระยะเวลาเดียวกับที่ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised Land) และเป็นชนชาติเร่ร่อนตั้งแต่นั้นมา

    ถ้าคุณ( Mr. Ross )คุ้นเคย กับอดีต และ ประวัติศาสตร์ ชาวยิว ของคุณ คุณก็ควรรับรู้และตระหนักถึงมันด้วย

    ชาวอียิปต์ ยอมรับ ชาวยิว เข้าไปในดินแดนของตน
    แต่ ชาวยิว กลับทรยศ ต่อชาวอียิปต์ หลายต่อหลายครั้ง
    จนในที่สุด ชาวยิว ก็ถูกเข่นฆ่าและ ขับไล่ออกไปจากดินแดนอียิปต์โดย กษัตริย์ฟาโรห์

    อาณาจักรโรมัน ยอมรับ ชาวยิว เป็นส่วนหนึ่งของโรมัน ถึงขนาดจัดตั้งชุมชนให้เป็น กลุ่มก้อน โดยเฉพาะ
    แต่ ชาวยิว กลับถือโอกาสก่อการกบฎ ในช่วงเวลาที่กษัตริย์ Trajan มุ่งขยายดินแดนไปทางตะวันออก และ กองกำลังความมั่นคงในโรมันอ่อนแอลง

    หลังจาก ชาวยิว สังหารกองกำลังโรมัน ที่มีอยู่น้อยนิด
    ชาวยิว ก็บุกสังหาร พลเรือนชาวโรมัน อย่างบ้าคลั่ง
    ถึงขนาด เฉือนเอาผิวหนังมาทำเสื้อผ้า กินเนื้อเป็นอาหาร และ โยนซากศพไปเป็นอาหารของสัตว์ดุร้าย..

    ในเมือง Cyprus Salamis และ Libya พลเรือนชาวโรมันราว 220,000 คน ถูกสังหารโดย ชาวยิว

    แม้ต่อหน้าพลเรือนชาวโรมัน
    ชาวยิวดูจะทารุณโหดร้ายมาก
    แต่ในที่สุดกษัตริย์ Trajan ใช้กำลังทหารเพียงสองชุด ก็สามารถทวงคืนอำนาจจากชาวยิวได้อย่างสมบูรณ์

    กองทัพโรมันที่โกรธแค้นได้เคลื่อนทัพจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ไปตามฝั่ง ตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน..จนทำให้ชาวยิวที่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้ถูกเข่นฆ่าจนเกือบหมด
    ต่อมา ชาวยิว ก็ก่อกบฎอีกครั้ง ครววนี้ มุ่งสังหารผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะ

    แต่ครั้งนี้ โชคไม่เข้าข้างชาวยิว เมื่อต้องพบกับกษัตริย์ Hadrian ผู้ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่เฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งของกรุงโรม ผู้ที่ได้ระดมกำลังทหาร 120,000 นาย เข้าจัดการสังหาร ชาวยิว ที่ก่อการกบฎได้อย่างเบ็ดเสร็จ

    กษัตริย์ Hadrian ได้ศึกษาบทเรียนจากยุคสมัยของกษัตริย์ Trajan
    จึงได้ยกเลิก ชุมชนชาวยิว เสียทั้งหมด
    ทำให้ชาวยิวต้องอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และ แตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลก

    นอกจากนั้น ยังมีจักรพรรดิ Titus ผู้บุกทำลาย และ สังหาร ชาวยิวในกรุงเยลูซาเล็ม
    ที่เคยเป็น Second Temple จนปัจจุบันเหลือเพียง Western Wall (หรือที่เรียกว่า กำแพงร้องไห้)ที่ชาวยิวใช้เป็นที่สวดมนต์ไปติดต่อพระเจ้าฯ

    เป็นเวลานับพันปี ที่ชาวยิว ต้องถูก เข่นฆ่า และ ขับออกนอกประเทศต่างๆนับครั้งไม่ถ้วน
    แต่ พวกคุณ ชาวยิว ก็ได้ทรยศต่อ ชาติต่างๆ จำนวนไม่น้อย ที่เห็นอกเห็นใจต่อความยากลำบากของพวกคุณ

    กระนั้นก็ดี
    พวกคุณ ก็ยังคงโอหัง เชื่อว่า ชนชาติตน เป็นชนชาติอภิสิทธิ์ ที่เหนือกว่าคนชาติอื่นๆ และ เชื่อว่า เป็น ชนชาติ ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ให้เป็นใหญ่กว่าชนชาติอื่นใด

    ทำให้ ชาวไซออนนิสยิว ไม่เคยตระหนักถึงอดีตของตน..
    จนเป็นที่สรุปกันแล้วว่า วัฒนธรรมของชนชาติยิว มีลักษณะที่เข้ากับใครยาก และ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมอื่น

    ความเชื่อของชาวยิวเหล่านี้ จะใช้กับคนจีนไม่ได้
    เพราะ คนจีนมีหลักการด้านคุณธรรมของตนเอง และ ไม่เคยคิดว่าชนชาติตนเหนือกว่าคนชนะชาติอื่น
    แต่จะปฏิบัติต่อคนชาติอื่น อย่างเท่าเทียมกัน และ ไม่เกรงกลัวต่อชนชาติอื่น ที่คิดว่าเหนือกว่าชาวจีน

    คนจีน จะมีความ อดทน อดกลั้น มีความละอายใจ มีความกตัญญูรู้คุณ และ รู้จักตอบแทนบุญคุณคน

    John Rabe อดีตนาซี ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยช่วยชีวิตชาวจีนที่นานจิง คนจีนที่รู้เรื่องนี้ จะนึกถึงบุญคุณของเขาเสมอ

    จากเหตุการณ์ เมื่อสองปีที่แล้ว ที่โรงพยาบาล สถานที่ที่หลานของ John Rabe ทำงานอยู่ เกิดการขาดแคลนยารักษาโรค
    จึงร้องขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตจีนในเยอรมัน
    ปรากฏว่า ชาวจีนต่างช่วยกันบริจาคเงินและสิ่งของให้กันอย่างแข็งขัน ด้วยความสำนึกในพระคุณในอดีต ของ John Rabe

    ในช่วง WW II ประธานของสภากาชาดแห่งสวีเดน เคยช่วยเหลือเชลยถึง 35,000 คน จากค่ายกักกันของนาซี
    โดยในจำนวนนี้เป็นชาวยิวถึง 6,000 คน..

    ต่อมา เมื่อเขาถูกยูเอ็น ส่งไปเป็นผู้แทน เพื่อยืนยันประเด็นที่เกี่ยวกับขอบเขตดินแดนในกรุงเยรูซาเล็ม ที่กำหนดขึ้นใหม่ระหว่างอิสราเอล กับ ปาเลสไตน์

    ปรากฏว่าเขาถูกยิงถึงหกนัดและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จากมือสังหารชาวยิว..
    เพียงเพราะ เขาพูดถึง "ความยุติธรรม" เพียงไม่กี่คำ

    ในระหว่าง WW II เช่นเดียวกัน
    ประเทศยูโกสลาเวีย เคยช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงชาวยิวไว้คนหนึ่ง..
    แต่ 50 ปีต่อมา เธอกลับเป็นคนสั่งให้ทิ้งระเบิดยูโกสลาเวียอย่างไม่เลือกหน้า...

    หลายปีต่อมา
    เมื่อเธอ ถูกผู้สื่อข่าวถามในระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า เธอรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ กับการสั่งทิ้งระเบิดยูโกสลาเวีย..
    เธอตอบว่า.."ไม่เลย"..

    เธอผู้นั้น คือ อดีตสตรีที่เป็น รัฐมนตรีต่างประเทศ คนแรกของสหรัฐ..Madeleine Albright!

    ในการให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ในปี1996..
    M. Albright กล่าวว่า
    การที่สหรัฐแซงชั่นอิรัค(สมัยซัดดัม) ซึ่งได้สังหารเด็กชาวอิรัคไปกว่าครึ่งล้าน (เพราะขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค)นั้น
    เป็นสิ่งที่คุ้มค่า!
    ทั้งๆที่ การบุกเข้ายึดครองอิรัคเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ
    เพราะสหรัฐอ้างว่า อิรัคกำลังผลิตอาวุธทำลายล้าง
    ด้วยการนำเสนอเพียงภาพ “ผงซักฟอก” ในสื่อ ว่าคือ “สารเคมี” ที่ใช้สร้างอาวุธชีวภาพ

    นาง M. Albright กล่าวอย่างโจ่งแจ้งท้าทายว่า..
    การเข่นฆ่าเด็กนับล้าน เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว!

    ในปี 1947 เมื่อชาวยิว อพยพทางเรือมายังดินแดนปาเลสไตน์
    มีการเขียนข้างลำเรือไว้ว่า..
    "คนเยอรมันได้ทำลายบ้านเรือนของเรา โปรดอย่าทำลายความหวังของเราอีก"...

    ด้วยความเมตตา ชาวปาเลสไตน์ยอมรับชาวยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนของตน..
    ในที่สุด ชาวยิว อ้างในภายหลังว่า ดินแดน ปาเลสไตน์ นี้ เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา- Promised Land ของพวกเราชนชาติยิว!

    ตลอดเวลากว่า 70 ปี ที่ชาวไซออนนิสต์ยิว ได้สังหารชาวปาเลสไตน์ ผู้ที่เมตตา และ ยินยอมให้ชาวยิวเข้ามาตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องยาวนาน

    แต่ ชาวยิว กลับมาเนรคุณ สร้างอาณาจักรแห่งการเหยียดผิว ที่เปรียบเสมือนเรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก..
    และ ยังปฏิบัติ ต่อชาวปาเลสไตน์เยี่ยงสัตว์ (subhumans)

    พวกคุณชาวยิว
    ยังจะต้องการความเห็นอกเห็นใจอีกมากแค่ไหน คุณจึงจะพอใจ

    สำหรับการไม่รู้จักบุญคุณคน และ จากข้อมูลใน ประวัติศาสตร์ที่พวกคุณตอบแทนความเมตตา และ ตอบแทนการยอมรับของคนชาติอื่นด้วยการทรยศ ด้วยการพร้อมที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาติอื่นที่เคยช่วยเหลือพวกคุณ ชาวยิว อีกหรือ!

    ประโยคหนึ่ง ที่เขียนในวรรณกรรมคลาสสิก ของจีน ที่ชื่อว่า..“การเดินหน้าเข้าสู่ตวามตาย” (The Death March)...กล่าวว่า

    "ประเทศเล็ก ที่ไม่ตระหนักในตนเอง ไม่เคารพต่อประเทศอื่นๆ แสดงความหยาบช้า ดูถูกดูแคลน ประเทศเพื่อนบ้านอันมั่นคงที่ตั้งอยู่ก่อน
    พลันแต่มี ความโลภ ไม่อินังขังขอบต่อ มิตรภาพ และ ความเป็นเพื่อน..
    ก็ย่อมจะนำพาตนเอง เดินทางไปสู่ความพินาศย่อยยับอย่างไม่ต้องสงสัย“

    บทความนี้น่าสนใจมาก
    เป็นประวัติศาสตร์ ที่ชาวโลกอีกหลายล้านอาจจะยังไม่เคยได้รับรู้

    ซึ่ง อาจจะมีคนตั้งกระทู้ ตั้งข้อโต้แย้ง ขึ้นมาได้

    อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบความเป็นจริง
    อยู่ที่ คนตั้งกระทู้ จะหาหลักฐานมาโต้แย้งทางประวัติศาสตร์ ได้ หรือ ไม่ได้

    ซึ่งหากมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาโต้แย้งได้
    ก็จะยิ่งน่าศึกษา น่าติดตาม
    เพื่อให้ความจริงกระจ่างยิ่งขึ้น
    และ นับเป็นเรื่องดี ที่จะได้ทราบกันจริงๆว่า
    “ ยิว เป็นชนชาติประเภทใด?“
    ดีจริงแท้ หรือ ซาตานลวงโลก กันแน่ ?
    ......
    (แปลโดย : SB-22/07/24)
    ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ
    นี่ละยิวจอมทรยศและเนรคุณ..#เมื่อยิวถามจีนว่า ทำไมไม่ช่วยอิสรา.เอล​รบกับ ฮามา.ส ลองฟังคับตอบ ประชาชนจีนที่รู้ประวัติศาสตร์​อ่านแล้วถึงกับอึง ยาวหน่อย แต่เป็นความรู้ระดับ #พันปี “เมื่อ Ross อเมริกันเชื้อสายยิวกล่าวโจมตี ทำไม จีน ไม่สนับสนุนอิสราเอลโจมตี ฮามาส“ นี่คือคำตอบ ประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของชนชาติยิว... สองวันที่ผ่านมา Ross อดีตประธานภาคพื้นเอเซียแปซิฟิคของ พรรครีพับริกัน ได้สร้างข่าวพาดหัวด้วยการ กล่าวหา ชาวจีน ที่เล่นอินเตอร์เนต ว่า ไม่มีความเห็นอกเห็นใจชาวยิว อันเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่กาซ่า.. ต่อมา มีชาวเนตจีนรายหนึ่ง เข้ามาเห็น จึงเขียนบทความอย่างยืดยาว เพื่อสอนบทเรียนทาง ประวัติศาสตร์ แก่ชาวอเมริกันยิวคนนี้.. สรุปว่า ต่อมา Ross ได้แอบลบบทวิจารณ์นี้ทิ้งไป... ไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนบทความโต้แย้งชายจีนผู้นี้เป็นใคร แต่ อย่างไรก็ตาม ข้อเขียนของเขาได้หลุดรอดออกมา และ ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง! เป็นข้อเขียนที่ทุกคนต้องอ่าน! เพราะเป็นการตอบโต้ที่แข็งกร้าวของชาวเนตจีน..( 11 กค. 2024 ) สวัสดีครับคุณ Enge... ผมรู้สึกช๊อคไปกับคำพูดของคุณที่ว่า "หากโลกจะสนใจช่วยชาวยิวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW II)ืชาวยิวหกล้านคนก็คงไม่ถูกสังหาร"... แต่นี่ คงมิใช่ เหตุผล หรือ ทำให้กองทัพยิว มีสิทธิที่จะก่อสงครามล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าแต่อย่างใด... ยิ่งไปกว่า มันไม่เป็นความจริงด้วย.. ในระหว่าง WW II นั้น ชาวจีนในเซี่ยงไฮ้ และ นานจิง กำลังถูกรุกราน และ ถูกสังหารหมู่ โดยกองทัพญี่ปุ่น ในขณะที่ชาวยิวถูกฆ่าโดยนาซี.. แต่กระนั้นก็ดี แม้ชาวจีนจะประสบเคราะห์กรรมขนาดนั้น ก็ยังยินดีรับเอาชาวยิวกว่า 50,000 คน ที่อพยพไปยังประเทศจีนเพื่อหนีภัยจากนาซี... แต่วิธีตอบแทนแบบยิวก็คือ การร่วมมือกับญี่ปุ่น เพื่อสร้างทรัฐชาวยิว ขึ้นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน! แผนงานนี้เป็นที่เลื่องลือในนามของ Pufferfish Plan.. แต่ก็โชคร้าย ซึ่งในที่สุดแผนการณ์นี้ล้มเหลว.. ทำให้นิทานเรื่องชาวนาและงูเห่า ไม่อาจเกิดเป็นจริงได้ในแผ่นดินจีน... แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่คนของสถานทูตอิสราเอล ได้กล่าวอ้างอย่างเปิดเผยผ่านทางรูปถ่ายว่า ที่ตั้งของสถานทูตที่อยู่บนถนนในเซี่ยงไฮ้ เกิดจากการยินยอมให้ใช้ของฝรั่งเศส!(ทั้งที่เรื่องกฏหมายสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ถูกยกเลิกไปนานแล้ว) แต่แน่นอน หากพูดถึงสัมพันธภาพระหว่างจีน กับ ชาวยิว ย่อมมีอะไรที่มากไปกว่านั้นมากมาย ชาวยิวได้ร่อนเร่มายังประเทศจีนตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ซ่ง หรือ ราวพันปีที่ผ่านมา และ ได้ตั้งถิ่นฐานในจีนตั้งแต่นั้นมา ราชวงศ์ซ่ง ปกครองอาณาจักรจีนโบราณ ที่ถือกันว่าสมบูรณ์พูนสุขิและ ร่ำรวยที่สุดราชวงศ์หนึ่ง อย่างไรก็ดี ในกาลต่อมา เมื่อราชวงศ์ซ่งล่มสลาย ผู้คนอพยพหนีภัยไปทางทิศใต้ นักธุรกิจชาวยิว ที่มีชื่อสกุล Pu ได้ใช้กำลังทหารส่วนตัว เข่นฆ่าชาวเมืองจำนวนมากที่เคยเป็นราษฎรภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซ่ง แล้วนำศพไปให้กองทัพของราชวงศ์ หยวน เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของการยอมรับในอำนาจของผู้ปกครองชาว มงโกล รายใหม่ ในหลายสิบปีหลังจากนั้น ราชวงศ์ จูหยวนจาง ได้โค่นราชวงศ์หยวนลง และ จัดตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น คนจีนที่สืบเชื้อสายจากชาวฮั่น จึงกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง แต่ก็มิได้ขับไล่ชุมชนชาวยิวกลุ่มทรยศเหล่านี้ออกไป (ทั้งที่ได้เข่นฆ่าชาวจีนไปมากก่อนหน้านั้น) ต่อมา ในสมัยประวัติศาสตร์ช่วงการเกิดสงครามฝิ่น มีนักธุรกิจชาวยิว ตระกูล Sassoon ได้นำฝิ่นจำนวนมากมาจำหน่ายเพื่อหวังผลกำไร ทำให้ชาวจีนติดฝิ่นกันงอมแงม ประชากรชาวจีน อ่อนแอ และ ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก.. คุณ (Mr Ross)เคยใช้ชีวิตอยู่ในเอเซียมาหลายปี น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี เหตุการณ์ สงครามฉนวนกาซ่าในครั้งนี้ ชาวจีน มิได้รู้สึกเห็นใจ ชาวยิว เพราะชาวจีน มีการศึกษาเรื่องคุณธรรม ร่วมสามพันปีมาแล้ว "Shangshu" วรรณกรรมคลาสิกที่ยังเหลืออยู่ของจีน ที่เขียนขึ้นมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาลหรือราว 3,000 ปีพอดี ซึ่งคงเป็นระยะเวลาเดียวกับที่ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised Land) และเป็นชนชาติเร่ร่อนตั้งแต่นั้นมา ถ้าคุณ( Mr. Ross )คุ้นเคย กับอดีต และ ประวัติศาสตร์ ชาวยิว ของคุณ คุณก็ควรรับรู้และตระหนักถึงมันด้วย ชาวอียิปต์ ยอมรับ ชาวยิว เข้าไปในดินแดนของตน แต่ ชาวยิว กลับทรยศ ต่อชาวอียิปต์ หลายต่อหลายครั้ง จนในที่สุด ชาวยิว ก็ถูกเข่นฆ่าและ ขับไล่ออกไปจากดินแดนอียิปต์โดย กษัตริย์ฟาโรห์ อาณาจักรโรมัน ยอมรับ ชาวยิว เป็นส่วนหนึ่งของโรมัน ถึงขนาดจัดตั้งชุมชนให้เป็น กลุ่มก้อน โดยเฉพาะ แต่ ชาวยิว กลับถือโอกาสก่อการกบฎ ในช่วงเวลาที่กษัตริย์ Trajan มุ่งขยายดินแดนไปทางตะวันออก และ กองกำลังความมั่นคงในโรมันอ่อนแอลง หลังจาก ชาวยิว สังหารกองกำลังโรมัน ที่มีอยู่น้อยนิด ชาวยิว ก็บุกสังหาร พลเรือนชาวโรมัน อย่างบ้าคลั่ง ถึงขนาด เฉือนเอาผิวหนังมาทำเสื้อผ้า กินเนื้อเป็นอาหาร และ โยนซากศพไปเป็นอาหารของสัตว์ดุร้าย.. ในเมือง Cyprus Salamis และ Libya พลเรือนชาวโรมันราว 220,000 คน ถูกสังหารโดย ชาวยิว แม้ต่อหน้าพลเรือนชาวโรมัน ชาวยิวดูจะทารุณโหดร้ายมาก แต่ในที่สุดกษัตริย์ Trajan ใช้กำลังทหารเพียงสองชุด ก็สามารถทวงคืนอำนาจจากชาวยิวได้อย่างสมบูรณ์ กองทัพโรมันที่โกรธแค้นได้เคลื่อนทัพจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ไปตามฝั่ง ตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน..จนทำให้ชาวยิวที่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้ถูกเข่นฆ่าจนเกือบหมด ต่อมา ชาวยิว ก็ก่อกบฎอีกครั้ง ครววนี้ มุ่งสังหารผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะ แต่ครั้งนี้ โชคไม่เข้าข้างชาวยิว เมื่อต้องพบกับกษัตริย์ Hadrian ผู้ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่เฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งของกรุงโรม ผู้ที่ได้ระดมกำลังทหาร 120,000 นาย เข้าจัดการสังหาร ชาวยิว ที่ก่อการกบฎได้อย่างเบ็ดเสร็จ กษัตริย์ Hadrian ได้ศึกษาบทเรียนจากยุคสมัยของกษัตริย์ Trajan จึงได้ยกเลิก ชุมชนชาวยิว เสียทั้งหมด ทำให้ชาวยิวต้องอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และ แตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลก นอกจากนั้น ยังมีจักรพรรดิ Titus ผู้บุกทำลาย และ สังหาร ชาวยิวในกรุงเยลูซาเล็ม ที่เคยเป็น Second Temple จนปัจจุบันเหลือเพียง Western Wall (หรือที่เรียกว่า กำแพงร้องไห้)ที่ชาวยิวใช้เป็นที่สวดมนต์ไปติดต่อพระเจ้าฯ เป็นเวลานับพันปี ที่ชาวยิว ต้องถูก เข่นฆ่า และ ขับออกนอกประเทศต่างๆนับครั้งไม่ถ้วน แต่ พวกคุณ ชาวยิว ก็ได้ทรยศต่อ ชาติต่างๆ จำนวนไม่น้อย ที่เห็นอกเห็นใจต่อความยากลำบากของพวกคุณ กระนั้นก็ดี พวกคุณ ก็ยังคงโอหัง เชื่อว่า ชนชาติตน เป็นชนชาติอภิสิทธิ์ ที่เหนือกว่าคนชาติอื่นๆ และ เชื่อว่า เป็น ชนชาติ ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ให้เป็นใหญ่กว่าชนชาติอื่นใด ทำให้ ชาวไซออนนิสยิว ไม่เคยตระหนักถึงอดีตของตน.. จนเป็นที่สรุปกันแล้วว่า วัฒนธรรมของชนชาติยิว มีลักษณะที่เข้ากับใครยาก และ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมอื่น ความเชื่อของชาวยิวเหล่านี้ จะใช้กับคนจีนไม่ได้ เพราะ คนจีนมีหลักการด้านคุณธรรมของตนเอง และ ไม่เคยคิดว่าชนชาติตนเหนือกว่าคนชนะชาติอื่น แต่จะปฏิบัติต่อคนชาติอื่น อย่างเท่าเทียมกัน และ ไม่เกรงกลัวต่อชนชาติอื่น ที่คิดว่าเหนือกว่าชาวจีน คนจีน จะมีความ อดทน อดกลั้น มีความละอายใจ มีความกตัญญูรู้คุณ และ รู้จักตอบแทนบุญคุณคน John Rabe อดีตนาซี ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยช่วยชีวิตชาวจีนที่นานจิง คนจีนที่รู้เรื่องนี้ จะนึกถึงบุญคุณของเขาเสมอ จากเหตุการณ์ เมื่อสองปีที่แล้ว ที่โรงพยาบาล สถานที่ที่หลานของ John Rabe ทำงานอยู่ เกิดการขาดแคลนยารักษาโรค จึงร้องขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตจีนในเยอรมัน ปรากฏว่า ชาวจีนต่างช่วยกันบริจาคเงินและสิ่งของให้กันอย่างแข็งขัน ด้วยความสำนึกในพระคุณในอดีต ของ John Rabe ในช่วง WW II ประธานของสภากาชาดแห่งสวีเดน เคยช่วยเหลือเชลยถึง 35,000 คน จากค่ายกักกันของนาซี โดยในจำนวนนี้เป็นชาวยิวถึง 6,000 คน.. ต่อมา เมื่อเขาถูกยูเอ็น ส่งไปเป็นผู้แทน เพื่อยืนยันประเด็นที่เกี่ยวกับขอบเขตดินแดนในกรุงเยรูซาเล็ม ที่กำหนดขึ้นใหม่ระหว่างอิสราเอล กับ ปาเลสไตน์ ปรากฏว่าเขาถูกยิงถึงหกนัดและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จากมือสังหารชาวยิว.. เพียงเพราะ เขาพูดถึง "ความยุติธรรม" เพียงไม่กี่คำ ในระหว่าง WW II เช่นเดียวกัน ประเทศยูโกสลาเวีย เคยช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงชาวยิวไว้คนหนึ่ง.. แต่ 50 ปีต่อมา เธอกลับเป็นคนสั่งให้ทิ้งระเบิดยูโกสลาเวียอย่างไม่เลือกหน้า... หลายปีต่อมา เมื่อเธอ ถูกผู้สื่อข่าวถามในระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า เธอรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ กับการสั่งทิ้งระเบิดยูโกสลาเวีย.. เธอตอบว่า.."ไม่เลย".. เธอผู้นั้น คือ อดีตสตรีที่เป็น รัฐมนตรีต่างประเทศ คนแรกของสหรัฐ..Madeleine Albright! ในการให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ในปี1996.. M. Albright กล่าวว่า การที่สหรัฐแซงชั่นอิรัค(สมัยซัดดัม) ซึ่งได้สังหารเด็กชาวอิรัคไปกว่าครึ่งล้าน (เพราะขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค)นั้น เป็นสิ่งที่คุ้มค่า! ทั้งๆที่ การบุกเข้ายึดครองอิรัคเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะสหรัฐอ้างว่า อิรัคกำลังผลิตอาวุธทำลายล้าง ด้วยการนำเสนอเพียงภาพ “ผงซักฟอก” ในสื่อ ว่าคือ “สารเคมี” ที่ใช้สร้างอาวุธชีวภาพ นาง M. Albright กล่าวอย่างโจ่งแจ้งท้าทายว่า.. การเข่นฆ่าเด็กนับล้าน เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว! ในปี 1947 เมื่อชาวยิว อพยพทางเรือมายังดินแดนปาเลสไตน์ มีการเขียนข้างลำเรือไว้ว่า.. "คนเยอรมันได้ทำลายบ้านเรือนของเรา โปรดอย่าทำลายความหวังของเราอีก"... ด้วยความเมตตา ชาวปาเลสไตน์ยอมรับชาวยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนของตน.. ในที่สุด ชาวยิว อ้างในภายหลังว่า ดินแดน ปาเลสไตน์ นี้ เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา- Promised Land ของพวกเราชนชาติยิว! ตลอดเวลากว่า 70 ปี ที่ชาวไซออนนิสต์ยิว ได้สังหารชาวปาเลสไตน์ ผู้ที่เมตตา และ ยินยอมให้ชาวยิวเข้ามาตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องยาวนาน แต่ ชาวยิว กลับมาเนรคุณ สร้างอาณาจักรแห่งการเหยียดผิว ที่เปรียบเสมือนเรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก.. และ ยังปฏิบัติ ต่อชาวปาเลสไตน์เยี่ยงสัตว์ (subhumans) พวกคุณชาวยิว ยังจะต้องการความเห็นอกเห็นใจอีกมากแค่ไหน คุณจึงจะพอใจ สำหรับการไม่รู้จักบุญคุณคน และ จากข้อมูลใน ประวัติศาสตร์ที่พวกคุณตอบแทนความเมตตา และ ตอบแทนการยอมรับของคนชาติอื่นด้วยการทรยศ ด้วยการพร้อมที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาติอื่นที่เคยช่วยเหลือพวกคุณ ชาวยิว อีกหรือ! ประโยคหนึ่ง ที่เขียนในวรรณกรรมคลาสสิก ของจีน ที่ชื่อว่า..“การเดินหน้าเข้าสู่ตวามตาย” (The Death March)...กล่าวว่า "ประเทศเล็ก ที่ไม่ตระหนักในตนเอง ไม่เคารพต่อประเทศอื่นๆ แสดงความหยาบช้า ดูถูกดูแคลน ประเทศเพื่อนบ้านอันมั่นคงที่ตั้งอยู่ก่อน พลันแต่มี ความโลภ ไม่อินังขังขอบต่อ มิตรภาพ และ ความเป็นเพื่อน.. ก็ย่อมจะนำพาตนเอง เดินทางไปสู่ความพินาศย่อยยับอย่างไม่ต้องสงสัย“ บทความนี้น่าสนใจมาก เป็นประวัติศาสตร์ ที่ชาวโลกอีกหลายล้านอาจจะยังไม่เคยได้รับรู้ ซึ่ง อาจจะมีคนตั้งกระทู้ ตั้งข้อโต้แย้ง ขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบความเป็นจริง อยู่ที่ คนตั้งกระทู้ จะหาหลักฐานมาโต้แย้งทางประวัติศาสตร์ ได้ หรือ ไม่ได้ ซึ่งหากมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาโต้แย้งได้ ก็จะยิ่งน่าศึกษา น่าติดตาม เพื่อให้ความจริงกระจ่างยิ่งขึ้น และ นับเป็นเรื่องดี ที่จะได้ทราบกันจริงๆว่า “ ยิว เป็นชนชาติประเภทใด?“ ดีจริงแท้ หรือ ซาตานลวงโลก กันแน่ ? ...... (แปลโดย : SB-22/07/24) ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 371 มุมมอง 0 รีวิว
  • สลามเมืองไทย EP13 | ศูนย์รวมศรัทธาชนพี่น้องมุสลิม

    "จุดศูนย์กลางแห่งศรัทธา ความสามัคคี และสายสัมพันธ์ของพี่น้องมุสลิมไทย"

    "สลามเมืองไทย" EP นี้ พาคุณไปรู้จักกับ ศูนย์รวมศรัทธาของพี่น้องมุสลิม ที่ไม่เพียงเป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจ แต่ยังเป็น แหล่งเรียนรู้และศูนย์กลางของชุมชน ที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันผ่านศรัทธาและวัฒนธรรม

    "มากกว่าสถานที่ แต่คือจิตวิญญาณของชุมชน"
    ที่นี่เป็น จุดนัดพบของศรัทธาชน ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้าใจ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และการส่งต่อคุณค่าของศาสนาอิสลามไปยังคนรุ่นใหม่

    #สลามเมืองไทย #EP13 #ศูนย์รวมศรัทธา #IslamicCommunity #MuslimUnity #มุสลิมไทย #IslamicHeritage #FaithAndBrotherhood #เรียนรู้ศรัทธา #ThaiMuslim #ThaiTimes
    สลามเมืองไทย EP13 | ศูนย์รวมศรัทธาชนพี่น้องมุสลิม "จุดศูนย์กลางแห่งศรัทธา ความสามัคคี และสายสัมพันธ์ของพี่น้องมุสลิมไทย" "สลามเมืองไทย" EP นี้ พาคุณไปรู้จักกับ ศูนย์รวมศรัทธาของพี่น้องมุสลิม ที่ไม่เพียงเป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจ แต่ยังเป็น แหล่งเรียนรู้และศูนย์กลางของชุมชน ที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันผ่านศรัทธาและวัฒนธรรม "มากกว่าสถานที่ แต่คือจิตวิญญาณของชุมชน" ที่นี่เป็น จุดนัดพบของศรัทธาชน ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้าใจ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และการส่งต่อคุณค่าของศาสนาอิสลามไปยังคนรุ่นใหม่ #สลามเมืองไทย #EP13 #ศูนย์รวมศรัทธา #IslamicCommunity #MuslimUnity #มุสลิมไทย #IslamicHeritage #FaithAndBrotherhood #เรียนรู้ศรัทธา #ThaiMuslim #ThaiTimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 380 มุมมอง 12 0 รีวิว
  • “สุรพงษ์” มอบสัญญาเช่าที่ดิน ร.ฟ.ท. อีก 241 ครัวเรือน เร่งทำเพิ่ม 26 ชุมชนทั่วประเทศ ภายในมี.ค.นี้
    https://www.thai-tai.tv/news/17468/
    “สุรพงษ์” มอบสัญญาเช่าที่ดิน ร.ฟ.ท. อีก 241 ครัวเรือน เร่งทำเพิ่ม 26 ชุมชนทั่วประเทศ ภายในมี.ค.นี้ https://www.thai-tai.tv/news/17468/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • อเมริกาต้องมาก่อน ภาษาอังกฤษเท่านั้น? ทรัมป์เพิ่งลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐฯ มีผู้พูดภาษาสเปนประมาณ 42 ล้านคน และในเปอร์โตริโก ซึ่งเป็นดินแดนของสหรัฐฯ มีผู้พูดภาษาสเปนถึง 94%นักวิจารณ์กล่าวว่าการดำเนินการครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อชุมชนผู้อพยพและทำลายความหลากหลายทางภาษาของประเทศ
    อเมริกาต้องมาก่อน ภาษาอังกฤษเท่านั้น? ทรัมป์เพิ่งลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐฯ มีผู้พูดภาษาสเปนประมาณ 42 ล้านคน และในเปอร์โตริโก ซึ่งเป็นดินแดนของสหรัฐฯ มีผู้พูดภาษาสเปนถึง 94%นักวิจารณ์กล่าวว่าการดำเนินการครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อชุมชนผู้อพยพและทำลายความหลากหลายทางภาษาของประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองกำลัง HTS ของรัฐบาลซีเรีย กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองจารามานา ทางใต้ของกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย เพื่อปราบปรามชุมชนขาวดรูซ ขณะที่อิสราเอลประกาศจะเคลื่อนพลเข้าปกป้องชุมชนแห่งเช่นกัน แม้จะอยู่ในดินแดนซีเรียก็ตาม
    กองกำลัง HTS ของรัฐบาลซีเรีย กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองจารามานา ทางใต้ของกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย เพื่อปราบปรามชุมชนขาวดรูซ ขณะที่อิสราเอลประกาศจะเคลื่อนพลเข้าปกป้องชุมชนแห่งเช่นกัน แม้จะอยู่ในดินแดนซีเรียก็ตาม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิสราเอลเตรียมขยายเขตแดนเพิ่มเติมทางซีเรียตอนใต้

    นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู และ อิสราเอล แคทซ์ รัฐมนตรีกลาโหม มีคำสั่งให้กองทัพอิสราเอลเตรียมเคลื่อนกำลังเข้าหมู่บ้านจารามานา (Jaramana) บริเวณชานเมืองดามัสกัส (Damascus) ซึ่งเป็นของชุมชนชาวดรูซ (Druze) และขณะนี้กำลังถูกกองกำลัง HTS ของซีเรียโจมตี เนื่องจากชุมชนแห่งนี้ต้องการประกาศแยกตัวจากซีเรีย เพื่อผนวกเข้ากับอิสราเอล:

    “เราจะไม่อนุญาตให้ระบอบอิสลามหัวรุนแรงในซีเรียทำร้ายชาวดรูซ หากระบอบการปกครองทำร้ายชาวดรูซ พวกเราจะใช้กำลังทหารบุกเข้าไปเพื่อปกป้องพวกเขา” เจ้าหน้าที่อิสราเอลกล่าว

    ชาวดรูซเป็นชนกลุ่มน้อยทางศาสนาที่เคยถูกกลุ่ม HTS ข่มเหงมาก่อน และอิสราเอลให้คำมั่นว่าจะปกป้องพวกเขา การกระทำของอิสราเอล แม้ว่าจะดูเหมือนปกป้องชาวดรูซ แต่ในขณะเดียวกัน จะทำให้กองกำลังของอิสราเอลเข้ามาในดินแดนของซีเรียตอนใต้ และขยับเข้าใกล้ดามัสกัส เมืองหลวงซีเรียเข้าไปทุกที
    อิสราเอลเตรียมขยายเขตแดนเพิ่มเติมทางซีเรียตอนใต้ นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู และ อิสราเอล แคทซ์ รัฐมนตรีกลาโหม มีคำสั่งให้กองทัพอิสราเอลเตรียมเคลื่อนกำลังเข้าหมู่บ้านจารามานา (Jaramana) บริเวณชานเมืองดามัสกัส (Damascus) ซึ่งเป็นของชุมชนชาวดรูซ (Druze) และขณะนี้กำลังถูกกองกำลัง HTS ของซีเรียโจมตี เนื่องจากชุมชนแห่งนี้ต้องการประกาศแยกตัวจากซีเรีย เพื่อผนวกเข้ากับอิสราเอล: “เราจะไม่อนุญาตให้ระบอบอิสลามหัวรุนแรงในซีเรียทำร้ายชาวดรูซ หากระบอบการปกครองทำร้ายชาวดรูซ พวกเราจะใช้กำลังทหารบุกเข้าไปเพื่อปกป้องพวกเขา” เจ้าหน้าที่อิสราเอลกล่าว ชาวดรูซเป็นชนกลุ่มน้อยทางศาสนาที่เคยถูกกลุ่ม HTS ข่มเหงมาก่อน และอิสราเอลให้คำมั่นว่าจะปกป้องพวกเขา การกระทำของอิสราเอล แม้ว่าจะดูเหมือนปกป้องชาวดรูซ แต่ในขณะเดียวกัน จะทำให้กองกำลังของอิสราเอลเข้ามาในดินแดนของซีเรียตอนใต้ และขยับเข้าใกล้ดามัสกัส เมืองหลวงซีเรียเข้าไปทุกที
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • 34 ปี โศกนาฏกรรม คลังสารเคมีคลองเตยระเบิด! “คาร์บอนแบล็ค” ฟุ้งกระจาย สูญเสียครั้งใหญ่ที่ถูกลืม ตายทันที 4 ศพ เจ็บ 1,700 คน การท่าเรือได้พื้นที่คืนสมใจ 200 ไร่

    📌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมท่าเรือคลองเตย 2534 ผ่านมา 34 ปีเต็ม กับเหตุการณ์โกดังเก็บสารเคมีระเบิด ครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2534 ที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร นำไปสู่การสูญเสียชีวิต และสุขภาพของผู้คนหลายพันราย แต่กลับไม่มีใครได้รับผิดชอบ อย่างแท้จริง! ⏳

    📆 บ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม 2534 เวลา 13.30 น. เสียงระเบิดดังสนั่น จากโกดังเก็บสารเคมีหมายเลข 3 ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ก่อนที่ไฟจะลุกลามอย่างรวดเร็วไปยังโกดังหมายเลข 4 และ 5 สารเคมีหลายชนิดถูกเผาไหม้ และปล่อยควันพิษมหาศาล รถดับเพลิงกว่า 100 คัน และเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 500 นาย ถูกระดมเข้าไปดับไฟ แต่กลับทำให้เกิดการระเบิด เพิ่มขึ้นอีก! 🔥

    🚨 แรงระเบิดทำให้เกิดไฟไหม้ ลามไปถึงบ้านเรือนประชาชนในรัศมี 1 กิโลเมตร ชุมชนคลองเตยถูกเผาผลาญไปกว่า 642 หลังคาเรือน กลายเป็นทะเลเพลิงในพริบตา

    ☠️ ผลกระทบจากการระเบิด สูญเสียมหาศาล!
    🔴 ยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ
    ✅ เสียชีวิตทันที 4 ศพ
    ✅ บาดเจ็บสาหัส 30 ราย รวมเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 16 นาย
    ✅ ได้รับสารพิษต้องรักษาในโรงพยาบาล 1,700 คน รวมหญิงมีครรภ์ 499 คน
    ✅ เสียชีวิตจากผลกระทบระยะยาว 43 ราย
    ✅ ผู้ไร้ที่อยู่อาศัย กว่า 5,000 คน

    💀 “คาร์บอนแบล็ค” และสารพิษที่แทรกซึมร่างกายผู้คน หนึ่งในสารเคมีอันตราย ที่กระจายออกมาจากเหตุการณ์นี้คือ "คาร์บอนแบล็ค" (Carbon Black) ซึ่งเป็นเขม่าสีดำ ที่เกิดจากการเผาไหม้สารเคมีในอุณหภูมิสูง มันไม่เพียงแต่กระจายไปไกล กว่า 13 กิโลเมตร แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายผู้คนโดยตรง

    🔬 นักวิจัยตรวจพบว่า
    ✔️ ฝุ่นคาร์บอนแบล็คกระจายไปตามบ้านเรือน โรงเรียน และพื้นที่สาธารณะ
    ✔️ มีการปนเปื้อนของสารพิษในแหล่งน้ำ ส่งผลให้สัตว์ทดลองตายใน 24-96 ชั่วโมง
    ✔️ ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ เกิดโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง ผิวหนังอักเสบ และมะเร็ง

    ⛔ ไม่มีแพทย์รายใดกล้ารับรองว่า โรคเหล่านี้เกิดจากพิษสารเคมีโดยตรง! ส่งผลให้ผู้ได้รับผลกระทบ
    ไม่ได้รับการเยียวยา อย่างเป็นธรรม

    🚒 การรับมือที่ผิดพลาด ทำไมความเสียหายถึงรุนแรง?
    ❌ การดับเพลิงที่ไม่ถูกต้อง สารเคมีหลายชนิด ห้ามใช้น้ำดับเพลิง แต่เจ้าหน้าที่กลับฉีดน้ำเข้าไป โดยไม่ทราบข้อมูล ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมี ที่ทำให้ไฟลุกลามและระเบิดซ้ำ 🔥

    ❌ ไม่มีมาตรการอพยพฉุกเฉิน ประชาชนในพื้นที่ ไม่ถูกสั่งให้อพยพอย่างเป็นระบบ หลายคนยังคงอยู่ในพื้นที่ ที่เต็มไปด้วยสารพิษ ส่งผลให้มีผู้ป่วย จากการสูดดมควันพิษจำนวนมาก 🏃‍♂️

    ❌ ขาดการเปิดเผยข้อมูล เจ้าหน้าที่และภาครัฐ ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมี ที่เก็บอยู่ในโกดัง ทำให้แพทย์ไม่สามารถให้การรักษาผู้ป่วย ได้อย่างถูกต้อง 📢

    💰 ใครต้องรับผิดชอบ? แต่กลับไม่มีใครต้องรับโทษ! การสอบสวนพบว่า โกดังที่ระเบิด เป็นที่เก็บสารเคมีอันตรายหลายชนิด แต่กลับสรุปว่า เหตุการณ์นี้เป็น "อุบัติเหตุ" 🚔

    🔍 การท่าเรือแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าของสถานที่
    ✔️ ให้เงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตเพียง 1,000 - 12,000 บาท
    ✔️ ใช้งบประมาณ 1,500 ล้านบาท สร้างแฟลตใหม่ แต่ไม่ใช่ค่าชดเชยให้กับผู้ประสบภัย
    ✔️ ไม่เคยมีการฟ้องร้องผู้บริหารระดับสูง ของการท่าเรือฯ หรือบริษัทที่เกี่ยวข้อง

    📜 มีการฟ้องร้องจากผู้ป่วยเพียง 2 ราย ในปี 2539 และ 2542 ซึ่งการดำเนินคดี เต็มไปด้วยอุปสรรคและไม่เป็นที่สนใจของรัฐ

    ⚖️ บทเรียนราคาแพงที่ไม่มีการแก้ไข
    📌 เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาสำคัญ หลายประการ
    ✅ การจัดเก็บสารเคมีที่อันตราย ในพื้นที่ชุมชน
    ✅ การไม่เปิดเผยข้อมูลอันตราย ต่อประชาชน
    ✅ ระบบกฎหมายไทย ที่ไม่สามารถคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบ
    ✅ ขาดมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในระยะยาว

    📢 34 ปีผ่านไป แต่เหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมที่ถูกลืม!

    🔴 34 ปีผ่านไป ท่าเรือคลองเตยได้พื้นที่คืน แต่ความเป็นธรรมยังมาไม่ถึง! วันนี้ที่ดินกว่า 200 ไร่ ที่เคยเป็นโกดังเก็บสารเคมี ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่ใช้สอย ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ตามแผนเดิมที่วางไว้ ⏳

    💬 คำถามคือ
    ✔️ ใครได้ประโยชน์ จากโศกนาฏกรรมครั้งนี้?
    ✔️ ใครคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ต่อชีวิตที่สูญเสียไป?
    ✔️ ระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับสารเคมีในประเทศไทย พัฒนาไปมากน้อยแค่ไหน?

    ⛔ อย่าปล่อยให้โศกนาฏกรรมครั้งนี้ถูกลืม! 💔

    📌 #คลองเตยระเบิด #โศกนาฏกรรมที่ถูกลืม #คาร์บอนแบล็ค #ภัยสารเคมี #กฎหมายสิ่งแวดล้อม #ความยุติธรรมที่หายไป #34ปีคลองเตย #อุบัติภัยครั้งใหญ่ #ระเบิดสารเคมี #สิ่งแวดล้อมไทย
    34 ปี โศกนาฏกรรม คลังสารเคมีคลองเตยระเบิด! “คาร์บอนแบล็ค” ฟุ้งกระจาย สูญเสียครั้งใหญ่ที่ถูกลืม ตายทันที 4 ศพ เจ็บ 1,700 คน การท่าเรือได้พื้นที่คืนสมใจ 200 ไร่ 📌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมท่าเรือคลองเตย 2534 ผ่านมา 34 ปีเต็ม กับเหตุการณ์โกดังเก็บสารเคมีระเบิด ครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2534 ที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร นำไปสู่การสูญเสียชีวิต และสุขภาพของผู้คนหลายพันราย แต่กลับไม่มีใครได้รับผิดชอบ อย่างแท้จริง! ⏳ 📆 บ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม 2534 เวลา 13.30 น. เสียงระเบิดดังสนั่น จากโกดังเก็บสารเคมีหมายเลข 3 ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ก่อนที่ไฟจะลุกลามอย่างรวดเร็วไปยังโกดังหมายเลข 4 และ 5 สารเคมีหลายชนิดถูกเผาไหม้ และปล่อยควันพิษมหาศาล รถดับเพลิงกว่า 100 คัน และเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 500 นาย ถูกระดมเข้าไปดับไฟ แต่กลับทำให้เกิดการระเบิด เพิ่มขึ้นอีก! 🔥 🚨 แรงระเบิดทำให้เกิดไฟไหม้ ลามไปถึงบ้านเรือนประชาชนในรัศมี 1 กิโลเมตร ชุมชนคลองเตยถูกเผาผลาญไปกว่า 642 หลังคาเรือน กลายเป็นทะเลเพลิงในพริบตา ☠️ ผลกระทบจากการระเบิด สูญเสียมหาศาล! 🔴 ยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ✅ เสียชีวิตทันที 4 ศพ ✅ บาดเจ็บสาหัส 30 ราย รวมเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 16 นาย ✅ ได้รับสารพิษต้องรักษาในโรงพยาบาล 1,700 คน รวมหญิงมีครรภ์ 499 คน ✅ เสียชีวิตจากผลกระทบระยะยาว 43 ราย ✅ ผู้ไร้ที่อยู่อาศัย กว่า 5,000 คน 💀 “คาร์บอนแบล็ค” และสารพิษที่แทรกซึมร่างกายผู้คน หนึ่งในสารเคมีอันตราย ที่กระจายออกมาจากเหตุการณ์นี้คือ "คาร์บอนแบล็ค" (Carbon Black) ซึ่งเป็นเขม่าสีดำ ที่เกิดจากการเผาไหม้สารเคมีในอุณหภูมิสูง มันไม่เพียงแต่กระจายไปไกล กว่า 13 กิโลเมตร แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายผู้คนโดยตรง 🔬 นักวิจัยตรวจพบว่า ✔️ ฝุ่นคาร์บอนแบล็คกระจายไปตามบ้านเรือน โรงเรียน และพื้นที่สาธารณะ ✔️ มีการปนเปื้อนของสารพิษในแหล่งน้ำ ส่งผลให้สัตว์ทดลองตายใน 24-96 ชั่วโมง ✔️ ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ เกิดโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง ผิวหนังอักเสบ และมะเร็ง ⛔ ไม่มีแพทย์รายใดกล้ารับรองว่า โรคเหล่านี้เกิดจากพิษสารเคมีโดยตรง! ส่งผลให้ผู้ได้รับผลกระทบ ไม่ได้รับการเยียวยา อย่างเป็นธรรม 🚒 การรับมือที่ผิดพลาด ทำไมความเสียหายถึงรุนแรง? ❌ การดับเพลิงที่ไม่ถูกต้อง สารเคมีหลายชนิด ห้ามใช้น้ำดับเพลิง แต่เจ้าหน้าที่กลับฉีดน้ำเข้าไป โดยไม่ทราบข้อมูล ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมี ที่ทำให้ไฟลุกลามและระเบิดซ้ำ 🔥 ❌ ไม่มีมาตรการอพยพฉุกเฉิน ประชาชนในพื้นที่ ไม่ถูกสั่งให้อพยพอย่างเป็นระบบ หลายคนยังคงอยู่ในพื้นที่ ที่เต็มไปด้วยสารพิษ ส่งผลให้มีผู้ป่วย จากการสูดดมควันพิษจำนวนมาก 🏃‍♂️ ❌ ขาดการเปิดเผยข้อมูล เจ้าหน้าที่และภาครัฐ ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมี ที่เก็บอยู่ในโกดัง ทำให้แพทย์ไม่สามารถให้การรักษาผู้ป่วย ได้อย่างถูกต้อง 📢 💰 ใครต้องรับผิดชอบ? แต่กลับไม่มีใครต้องรับโทษ! การสอบสวนพบว่า โกดังที่ระเบิด เป็นที่เก็บสารเคมีอันตรายหลายชนิด แต่กลับสรุปว่า เหตุการณ์นี้เป็น "อุบัติเหตุ" 🚔 🔍 การท่าเรือแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าของสถานที่ ✔️ ให้เงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตเพียง 1,000 - 12,000 บาท ✔️ ใช้งบประมาณ 1,500 ล้านบาท สร้างแฟลตใหม่ แต่ไม่ใช่ค่าชดเชยให้กับผู้ประสบภัย ✔️ ไม่เคยมีการฟ้องร้องผู้บริหารระดับสูง ของการท่าเรือฯ หรือบริษัทที่เกี่ยวข้อง 📜 มีการฟ้องร้องจากผู้ป่วยเพียง 2 ราย ในปี 2539 และ 2542 ซึ่งการดำเนินคดี เต็มไปด้วยอุปสรรคและไม่เป็นที่สนใจของรัฐ ⚖️ บทเรียนราคาแพงที่ไม่มีการแก้ไข 📌 เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาสำคัญ หลายประการ ✅ การจัดเก็บสารเคมีที่อันตราย ในพื้นที่ชุมชน ✅ การไม่เปิดเผยข้อมูลอันตราย ต่อประชาชน ✅ ระบบกฎหมายไทย ที่ไม่สามารถคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบ ✅ ขาดมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในระยะยาว 📢 34 ปีผ่านไป แต่เหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมที่ถูกลืม! 🔴 34 ปีผ่านไป ท่าเรือคลองเตยได้พื้นที่คืน แต่ความเป็นธรรมยังมาไม่ถึง! วันนี้ที่ดินกว่า 200 ไร่ ที่เคยเป็นโกดังเก็บสารเคมี ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่ใช้สอย ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ตามแผนเดิมที่วางไว้ ⏳ 💬 คำถามคือ ✔️ ใครได้ประโยชน์ จากโศกนาฏกรรมครั้งนี้? ✔️ ใครคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ต่อชีวิตที่สูญเสียไป? ✔️ ระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับสารเคมีในประเทศไทย พัฒนาไปมากน้อยแค่ไหน? ⛔ อย่าปล่อยให้โศกนาฏกรรมครั้งนี้ถูกลืม! 💔 📌 #คลองเตยระเบิด #โศกนาฏกรรมที่ถูกลืม #คาร์บอนแบล็ค #ภัยสารเคมี #กฎหมายสิ่งแวดล้อม #ความยุติธรรมที่หายไป #34ปีคลองเตย #อุบัติภัยครั้งใหญ่ #ระเบิดสารเคมี #สิ่งแวดล้อมไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 367 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เมื่อยิวถามจีนว่า
    ทำไมไม่ช่วยอิสรา.เอล​รบกับ ฮามา.ส
    ลองฟังคับตอบ ประชาชนจีนที่รู้ประวัติศาสตร์​อ่านแล้วถึงกับอึง ยาวหน่อย แต่เป็นความรู้ระดับ #พันปี

    “เมื่อ Ross อเมริกันเชื้อสายยิวกล่าวโจมตี ทำไม จีน ไม่สนับสนุนอิสราเอลโจมตี ฮามาส“

    นี่คือคำตอบ

    (แปลโดย SB-22/07/24)
    ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ

    ประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของชนชาติยิว...

    สองวันที่ผ่านมา
    Ross อดีตประธานภาคพื้นเอเซียแปซิฟิคของ พรรครีพับริกัน
    ได้สร้างข่าวพาดหัวด้วยการ กล่าวหา ชาวจีน ที่เล่นอินเตอร์เนต ว่า ไม่มีความเห็นอกเห็นใจชาวยิว อันเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่กาซ่า..

    ต่อมา มีชาวเนตจีนรายหนึ่ง เข้ามาเห็น จึงเขียนบทความอย่างยืดยาว เพื่อสอนบทเรียนทาง ประวัติศาสตร์ แก่ชาวอเมริกันยิวคนนี้..
    สรุปว่า ต่อมา Ross ได้แอบลบบทวิจารณ์นี้ทิ้งไป...

    ไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนบทความโต้แย้งชายจีนผู้นี้เป็นใคร
    แต่ อย่างไรก็ตาม ข้อเขียนของเขาได้หลุดรอดออกมา และ ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง!

    เป็นข้อเขียนที่ทุกคนต้องอ่าน!

    เพราะเป็นการตอบโต้ที่แข็งกร้าวของชาวเนตจีน..( 11 กค. 2024 )

    สวัสดีครับคุณ Enge...
    ผมรู้สึกช๊อคไปกับคำพูดของคุณที่ว่า
    "หากโลกจะสนใจช่วยชาวยิวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW II)ืชาวยิวหกล้านคนก็คงไม่ถูกสังหาร"...

    แต่นี่ คงมิใช่ เหตุผล หรือ ทำให้กองทัพยิว มีสิทธิที่จะก่อสงครามล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าแต่อย่างใด...

    ยิ่งไปกว่า มันไม่เป็นความจริงด้วย..

    ในระหว่าง WW II นั้น ชาวจีนในเซี่ยงไฮ้ และ นานจิง กำลังถูกรุกราน และ ถูกสังหารหมู่ โดยกองทัพญี่ปุ่น
    ในขณะที่ชาวยิวถูกฆ่าโดยนาซี..

    แต่กระนั้นก็ดี แม้ชาวจีนจะประสบเคราะห์กรรมขนาดนั้น ก็ยังยินดีรับเอาชาวยิวกว่า 50,000 คน ที่อพยพไปยังประเทศจีนเพื่อหนีภัยจากนาซี...

    แต่วิธีตอบแทนแบบยิวก็คือ การร่วมมือกับญี่ปุ่น เพื่อสร้างทรัฐชาวยิว ขึ้นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน!
    แผนงานนี้เป็นที่เลื่องลือในนามของ Pufferfish Plan..
    แต่ก็โชคร้าย ซึ่งในที่สุดแผนการณ์นี้ล้มเหลว..
    ทำให้นิทานเรื่องชาวนาและงูเห่า ไม่อาจเกิดเป็นจริงได้ในแผ่นดินจีน...

    แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
    เจ้าหน้าที่คนของสถานทูตอิสราเอล ได้กล่าวอ้างอย่างเปิดเผยผ่านทางรูปถ่ายว่า ที่ตั้งของสถานทูตที่อยู่บนถนนในเซี่ยงไฮ้ เกิดจากการยินยอมให้ใช้ของฝรั่งเศส!(ทั้งที่เรื่องกฏหมายสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ถูกยกเลิกไปนานแล้ว)

    แต่แน่นอน
    หากพูดถึงสัมพันธภาพระหว่างจีน กับ ชาวยิว ย่อมมีอะไรที่มากไปกว่านั้นมากมาย

    ชาวยิวได้ร่อนเร่มายังประเทศจีนตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ซ่ง
    หรือ ราวพันปีที่ผ่านมา และ ได้ตั้งถิ่นฐานในจีนตั้งแต่นั้นมา

    ราชวงศ์ซ่ง ปกครองอาณาจักรจีนโบราณ ที่ถือกันว่าสมบูรณ์พูนสุขิและ ร่ำรวยที่สุดราชวงศ์หนึ่ง

    อย่างไรก็ดี
    ในกาลต่อมา เมื่อราชวงศ์ซ่งล่มสลาย ผู้คนอพยพหนีภัยไปทางทิศใต้
    นักธุรกิจชาวยิว ที่มีชื่อสกุล Pu ได้ใช้กำลังทหารส่วนตัว เข่นฆ่าชาวเมืองจำนวนมากที่เคยเป็นราษฎรภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซ่ง แล้วนำศพไปให้กองทัพของราชวงศ์ หยวน
    เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของการยอมรับในอำนาจของผู้ปกครองชาว มงโกล รายใหม่

    ในหลายสิบปีหลังจากนั้น ราชวงศ์ จูหยวนจาง ได้โค่นราชวงศ์หยวนลง และ จัดตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น
    คนจีนที่สืบเชื้อสายจากชาวฮั่น จึงกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง
    แต่ก็มิได้ขับไล่ชุมชนชาวยิวกลุ่มทรยศเหล่านี้ออกไป (ทั้งที่ได้เข่นฆ่าชาวจีนไปมากก่อนหน้านั้น)

    ต่อมา ในสมัยประวัติศาสตร์ช่วงการเกิดสงครามฝิ่น
    มีนักธุรกิจชาวยิว ตระกูล Sassoon ได้นำฝิ่นจำนวนมากมาจำหน่ายเพื่อหวังผลกำไร
    ทำให้ชาวจีนติดฝิ่นกันงอมแงม ประชากรชาวจีน อ่อนแอ และ ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก.. คุณ (Mr Ross)เคยใช้ชีวิตอยู่ในเอเซียมาหลายปี น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี

    เหตุการณ์ สงครามฉนวนกาซ่าในครั้งนี้
    ชาวจีน มิได้รู้สึกเห็นใจ ชาวยิว เพราะชาวจีน มีการศึกษาเรื่องคุณธรรม ร่วมสามพันปีมาแล้ว

    "Shangshu" วรรณกรรมคลาสิกที่ยังเหลืออยู่ของจีน ที่เขียนขึ้นมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาลหรือราว 3,000 ปีพอดี ซึ่งคงเป็นระยะเวลาเดียวกับที่ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised Land) และเป็นชนชาติเร่ร่อนตั้งแต่นั้นมา

    ถ้าคุณ( Mr. Ross )คุ้นเคย กับอดีต และ ประวัติศาสตร์ ชาวยิว ของคุณ คุณก็ควรรับรู้และตระหนักถึงมันด้วย

    ชาวอียิปต์ ยอมรับ ชาวยิว เข้าไปในดินแดนของตน
    แต่ ชาวยิว กลับทรยศ ต่อชาวอียิปต์ หลายต่อหลายครั้ง
    จนในที่สุด ชาวยิว ก็ถูกเข่นฆ่าและ ขับไล่ออกไปจากดินแดนอียิปต์โดย กษัตริย์ฟาโรห์

    อาณาจักรโรมัน ยอมรับ ชาวยิว เป็นส่วนหนึ่งของโรมัน ถึงขนาดจัดตั้งชุมชนให้เป็น กลุ่มก้อน โดยเฉพาะ
    แต่ ชาวยิว กลับถือโอกาสก่อการกบฎ ในช่วงเวลาที่กษัตริย์ Trajan มุ่งขยายดินแดนไปทางตะวันออก และ กองกำลังความมั่นคงในโรมันอ่อนแอลง

    หลังจาก ชาวยิว สังหารกองกำลังโรมัน ที่มีอยู่น้อยนิด
    ชาวยิว ก็บุกสังหาร พลเรือนชาวโรมัน อย่างบ้าคลั่ง
    ถึงขนาด เฉือนเอาผิวหนังมาทำเสื้อผ้า กินเนื้อเป็นอาหาร และ โยนซากศพไปเป็นอาหารของสัตว์ดุร้าย..

    ในเมือง Cyprus Salamis และ Libya พลเรือนชาวโรมันราว 220,000 คน ถูกสังหารโดย ชาวยิว

    แม้ต่อหน้าพลเรือนชาวโรมัน
    ชาวยิวดูจะทารุณโหดร้ายมาก
    แต่ในที่สุดกษัตริย์ Trajan ใช้กำลังทหารเพียงสองชุด ก็สามารถทวงคืนอำนาจจากชาวยิวได้อย่างสมบูรณ์

    กองทัพโรมันที่โกรธแค้นได้เคลื่อนทัพจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ไปตามฝั่ง ตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน..จนทำให้ชาวยิวที่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้ถูกเข่นฆ่าจนเกือบหมด
    ต่อมา ชาวยิว ก็ก่อกบฎอีกครั้ง ครววนี้ มุ่งสังหารผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะ

    แต่ครั้งนี้ โชคไม่เข้าข้างชาวยิว เมื่อต้องพบกับกษัตริย์ Hadrian ผู้ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่เฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งของกรุงโรม ผู้ที่ได้ระดมกำลังทหาร 120,000 นาย เข้าจัดการสังหาร ชาวยิว ที่ก่อการกบฎได้อย่างเบ็ดเสร็จ

    กษัตริย์ Hadrian ได้ศึกษาบทเรียนจากยุคสมัยของกษัตริย์ Trajan
    จึงได้ยกเลิก ชุมชนชาวยิว เสียทั้งหมด
    ทำให้ชาวยิวต้องอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และ แตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลก

    นอกจากนั้น ยังมีจักรพรรดิ Titus ผู้บุกทำลาย และ สังหาร ชาวยิวในกรุงเยลูซาเล็ม
    ที่เคยเป็น Second Temple จนปัจจุบันเหลือเพียง Western Wall (หรือที่เรียกว่า กำแพงร้องไห้)ที่ชาวยิวใช้เป็นที่สวดมนต์ไปติดต่อพระเจ้าฯ

    เป็นเวลานับพันปี ที่ชาวยิว ต้องถูก เข่นฆ่า และ ขับออกนอกประเทศต่างๆนับครั้งไม่ถ้วน
    แต่ พวกคุณ ชาวยิว ก็ได้ทรยศต่อ ชาติต่างๆ จำนวนไม่น้อย ที่เห็นอกเห็นใจต่อความยากลำบากของพวกคุณ

    กระนั้นก็ดี
    พวกคุณ ก็ยังคงโอหัง เชื่อว่า ชนชาติตน เป็นชนชาติอภิสิทธิ์ ที่เหนือกว่าคนชาติอื่นๆ และ เชื่อว่า เป็น ชนชาติ ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ให้เป็นใหญ่กว่าชนชาติอื่นใด

    ทำให้ ชาวไซออนนิสยิว ไม่เคยตระหนักถึงอดีตของตน..
    จนเป็นที่สรุปกันแล้วว่า วัฒนธรรมของชนชาติยิว มีลักษณะที่เข้ากับใครยาก และ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมอื่น

    ความเชื่อของชาวยิวเหล่านี้ จะใช้กับคนจีนไม่ได้
    เพราะ คนจีนมีหลักการด้านคุณธรรมของตนเอง และ ไม่เคยคิดว่าชนชาติตนเหนือกว่าคนชนะชาติอื่น
    แต่จะปฏิบัติต่อคนชาติอื่น อย่างเท่าเทียมกัน และ ไม่เกรงกลัวต่อชนชาติอื่น ที่คิดว่าเหนือกว่าชาวจีน

    คนจีน จะมีความ อดทน อดกลั้น มีความละอายใจ มีความกตัญญูรู้คุณ และ รู้จักตอบแทนบุญคุณคน

    John Rabe อดีตนาซี ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยช่วยชีวิตชาวจีนที่นานจิง คนจีนที่รู้เรื่องนี้ จะนึกถึงบุญคุณของเขาเสมอ

    จากเหตุการณ์ เมื่อสองปีที่แล้ว ที่โรงพยาบาล สถานที่ที่หลานของ John Rabe ทำงานอยู่ เกิดการขาดแคลนยารักษาโรค
    จึงร้องขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตจีนในเยอรมัน
    ปรากฏว่า ชาวจีนต่างช่วยกันบริจาคเงินและสิ่งของให้กันอย่างแข็งขัน ด้วยความสำนึกในพระคุณในอดีต ของ John Rabe

    ในช่วง WW II ประธานของสภากาชาดแห่งสวีเดน เคยช่วยเหลือเชลยถึง 35,000 คน จากค่ายกักกันของนาซี
    โดยในจำนวนนี้เป็นชาวยิวถึง 6,000 คน..

    ต่อมา เมื่อเขาถูกยูเอ็น ส่งไปเป็นผู้แทน เพื่อยืนยันประเด็นที่เกี่ยวกับขอบเขตดินแดนในกรุงเยรูซาเล็ม ที่กำหนดขึ้นใหม่ระหว่างอิสราเอล กับ ปาเลสไตน์

    ปรากฏว่าเขาถูกยิงถึงหกนัดและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จากมือสังหารชาวยิว..
    เพียงเพราะ เขาพูดถึง "ความยุติธรรม" เพียงไม่กี่คำ

    ในระหว่าง WW II เช่นเดียวกัน
    ประเทศยูโกสลาเวีย เคยช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงชาวยิวไว้คนหนึ่ง..
    แต่ 50 ปีต่อมา เธอกลับเป็นคนสั่งให้ทิ้งระเบิดยูโกสลาเวียอย่างไม่เลือกหน้า...

    หลายปีต่อมา
    เมื่อเธอ ถูกผู้สื่อข่าวถามในระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า เธอรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ กับการสั่งทิ้งระเบิดยูโกสลาเวีย..
    เธอตอบว่า.."ไม่เลย"..

    เธอผู้นั้น คือ อดีตสตรีที่เป็น รัฐมนตรีต่างประเทศ คนแรกของสหรัฐ..Madeleine Albright!

    ในการให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ในปี1996..
    M. Albright กล่าวว่า
    การที่สหรัฐแซงชั่นอิรัค(สมัยซัดดัม) ซึ่งได้สังหารเด็กชาวอิรัคไปกว่าครึ่งล้าน (เพราะขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค)นั้น
    เป็นสิ่งที่คุ้มค่า!
    ทั้งๆที่ การบุกเข้ายึดครองอิรัคเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ
    เพราะสหรัฐอ้างว่า อิรัคกำลังผลิตอาวุธทำลายล้าง
    ด้วยการนำเสนอเพียงภาพ “ผงซักฟอก” ในสื่อ ว่าคือ “สารเคมี” ที่ใช้สร้างอาวุธชีวภาพ

    นาง M. Albright กล่าวอย่างโจ่งแจ้งท้าทายว่า..
    การเข่นฆ่าเด็กนับล้าน เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว!

    ในปี 1947 เมื่อชาวยิว อพยพทางเรือมายังดินแดนปาเลสไตน์
    มีการเขียนข้างลำเรือไว้ว่า..
    "คนเยอรมันได้ทำลายบ้านเรือนของเรา โปรดอย่าทำลายความหวังของเราอีก"...

    ด้วยความเมตตา ชาวปาเลสไตน์ยอมรับชาวยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนของตน..
    ในที่สุด ชาวยิว อ้างในภายหลังว่า ดินแดน ปาเลสไตน์ นี้ เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา- Promised Land ของพวกเราชนชาติยิว!

    ตลอดเวลากว่า 70 ปี ที่ชาวไซออนนิสต์ยิว ได้สังหารชาวปาเลสไตน์ ผู้ที่เมตตา และ ยินยอมให้ชาวยิวเข้ามาตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องยาวนาน

    แต่ ชาวยิว กลับมาเนรคุณ สร้างอาณาจักรแห่งการเหยียดผิว ที่เปรียบเสมือนเรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก..
    และ ยังปฏิบัติ ต่อชาวปาเลสไตน์เยี่ยงสัตว์ (subhumans)

    พวกคุณชาวยิว
    ยังจะต้องการความเห็นอกเห็นใจอีกมากแค่ไหน คุณจึงจะพอใจ

    สำหรับการไม่รู้จักบุญคุณคน และ จากข้อมูลใน ประวัติศาสตร์ที่พวกคุณตอบแทนความเมตตา และ ตอบแทนการยอมรับของคนชาติอื่นด้วยการทรยศ ด้วยการพร้อมที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาติอื่นที่เคยช่วยเหลือพวกคุณ ชาวยิว อีกหรือ!

    ประโยคหนึ่ง ที่เขียนในวรรณกรรมคลาสสิก ของจีน ที่ชื่อว่า..“การเดินหน้าเข้าสู่ตวามตาย” (The Death March)...กล่าวว่า

    "ประเทศเล็ก ที่ไม่ตระหนักในตนเอง ไม่เคารพต่อประเทศอื่นๆ แสดงความหยาบช้า ดูถูกดูแคลน ประเทศเพื่อนบ้านอันมั่นคงที่ตั้งอยู่ก่อน
    พลันแต่มี ความโลภ ไม่อินังขังขอบต่อ มิตรภาพ และ ความเป็นเพื่อน..
    ก็ย่อมจะนำพาตนเอง เดินทางไปสู่ความพินาศย่อยยับอย่างไม่ต้องสงสัย“

    บทความนี้น่าสนใจมาก
    เป็นประวัติศาสตร์ ที่ชาวโลกอีกหลายล้านอาจจะยังไม่เคยได้รับรู้

    ซึ่ง อาจจะมีคนตั้งกระทู้ ตั้งข้อโต้แย้ง ขึ้นมาได้

    อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบความเป็นจริง
    อยู่ที่ คนตั้งกระทู้ จะหาหลักฐานมาโต้แย้งทางประวัติศาสตร์ ได้ หรือ ไม่ได้

    ซึ่งหากมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาโต้แย้งได้
    ก็จะยิ่งน่าศึกษา น่าติดตาม
    เพื่อให้ความจริงกระจ่างยิ่งขึ้น
    และ นับเป็นเรื่องดี ที่จะได้ทราบกันจริงๆว่า
    “ ยิว เป็นชนชาติประเภทใด?“
    ดีจริงแท้ หรือ ซาตานลวงโลก กันแน่ ?
    ......
    (แปลโดย : SB-22/07/24)
    ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ
    #เมื่อยิวถามจีนว่า ทำไมไม่ช่วยอิสรา.เอล​รบกับ ฮามา.ส ลองฟังคับตอบ ประชาชนจีนที่รู้ประวัติศาสตร์​อ่านแล้วถึงกับอึง ยาวหน่อย แต่เป็นความรู้ระดับ #พันปี “เมื่อ Ross อเมริกันเชื้อสายยิวกล่าวโจมตี ทำไม จีน ไม่สนับสนุนอิสราเอลโจมตี ฮามาส“ นี่คือคำตอบ (แปลโดย SB-22/07/24) ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ ประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของชนชาติยิว... สองวันที่ผ่านมา Ross อดีตประธานภาคพื้นเอเซียแปซิฟิคของ พรรครีพับริกัน ได้สร้างข่าวพาดหัวด้วยการ กล่าวหา ชาวจีน ที่เล่นอินเตอร์เนต ว่า ไม่มีความเห็นอกเห็นใจชาวยิว อันเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่กาซ่า.. ต่อมา มีชาวเนตจีนรายหนึ่ง เข้ามาเห็น จึงเขียนบทความอย่างยืดยาว เพื่อสอนบทเรียนทาง ประวัติศาสตร์ แก่ชาวอเมริกันยิวคนนี้.. สรุปว่า ต่อมา Ross ได้แอบลบบทวิจารณ์นี้ทิ้งไป... ไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนบทความโต้แย้งชายจีนผู้นี้เป็นใคร แต่ อย่างไรก็ตาม ข้อเขียนของเขาได้หลุดรอดออกมา และ ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง! เป็นข้อเขียนที่ทุกคนต้องอ่าน! เพราะเป็นการตอบโต้ที่แข็งกร้าวของชาวเนตจีน..( 11 กค. 2024 ) สวัสดีครับคุณ Enge... ผมรู้สึกช๊อคไปกับคำพูดของคุณที่ว่า "หากโลกจะสนใจช่วยชาวยิวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW II)ืชาวยิวหกล้านคนก็คงไม่ถูกสังหาร"... แต่นี่ คงมิใช่ เหตุผล หรือ ทำให้กองทัพยิว มีสิทธิที่จะก่อสงครามล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าแต่อย่างใด... ยิ่งไปกว่า มันไม่เป็นความจริงด้วย.. ในระหว่าง WW II นั้น ชาวจีนในเซี่ยงไฮ้ และ นานจิง กำลังถูกรุกราน และ ถูกสังหารหมู่ โดยกองทัพญี่ปุ่น ในขณะที่ชาวยิวถูกฆ่าโดยนาซี.. แต่กระนั้นก็ดี แม้ชาวจีนจะประสบเคราะห์กรรมขนาดนั้น ก็ยังยินดีรับเอาชาวยิวกว่า 50,000 คน ที่อพยพไปยังประเทศจีนเพื่อหนีภัยจากนาซี... แต่วิธีตอบแทนแบบยิวก็คือ การร่วมมือกับญี่ปุ่น เพื่อสร้างทรัฐชาวยิว ขึ้นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน! แผนงานนี้เป็นที่เลื่องลือในนามของ Pufferfish Plan.. แต่ก็โชคร้าย ซึ่งในที่สุดแผนการณ์นี้ล้มเหลว.. ทำให้นิทานเรื่องชาวนาและงูเห่า ไม่อาจเกิดเป็นจริงได้ในแผ่นดินจีน... แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่คนของสถานทูตอิสราเอล ได้กล่าวอ้างอย่างเปิดเผยผ่านทางรูปถ่ายว่า ที่ตั้งของสถานทูตที่อยู่บนถนนในเซี่ยงไฮ้ เกิดจากการยินยอมให้ใช้ของฝรั่งเศส!(ทั้งที่เรื่องกฏหมายสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ถูกยกเลิกไปนานแล้ว) แต่แน่นอน หากพูดถึงสัมพันธภาพระหว่างจีน กับ ชาวยิว ย่อมมีอะไรที่มากไปกว่านั้นมากมาย ชาวยิวได้ร่อนเร่มายังประเทศจีนตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ซ่ง หรือ ราวพันปีที่ผ่านมา และ ได้ตั้งถิ่นฐานในจีนตั้งแต่นั้นมา ราชวงศ์ซ่ง ปกครองอาณาจักรจีนโบราณ ที่ถือกันว่าสมบูรณ์พูนสุขิและ ร่ำรวยที่สุดราชวงศ์หนึ่ง อย่างไรก็ดี ในกาลต่อมา เมื่อราชวงศ์ซ่งล่มสลาย ผู้คนอพยพหนีภัยไปทางทิศใต้ นักธุรกิจชาวยิว ที่มีชื่อสกุล Pu ได้ใช้กำลังทหารส่วนตัว เข่นฆ่าชาวเมืองจำนวนมากที่เคยเป็นราษฎรภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซ่ง แล้วนำศพไปให้กองทัพของราชวงศ์ หยวน เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของการยอมรับในอำนาจของผู้ปกครองชาว มงโกล รายใหม่ ในหลายสิบปีหลังจากนั้น ราชวงศ์ จูหยวนจาง ได้โค่นราชวงศ์หยวนลง และ จัดตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น คนจีนที่สืบเชื้อสายจากชาวฮั่น จึงกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง แต่ก็มิได้ขับไล่ชุมชนชาวยิวกลุ่มทรยศเหล่านี้ออกไป (ทั้งที่ได้เข่นฆ่าชาวจีนไปมากก่อนหน้านั้น) ต่อมา ในสมัยประวัติศาสตร์ช่วงการเกิดสงครามฝิ่น มีนักธุรกิจชาวยิว ตระกูล Sassoon ได้นำฝิ่นจำนวนมากมาจำหน่ายเพื่อหวังผลกำไร ทำให้ชาวจีนติดฝิ่นกันงอมแงม ประชากรชาวจีน อ่อนแอ และ ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก.. คุณ (Mr Ross)เคยใช้ชีวิตอยู่ในเอเซียมาหลายปี น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี เหตุการณ์ สงครามฉนวนกาซ่าในครั้งนี้ ชาวจีน มิได้รู้สึกเห็นใจ ชาวยิว เพราะชาวจีน มีการศึกษาเรื่องคุณธรรม ร่วมสามพันปีมาแล้ว "Shangshu" วรรณกรรมคลาสิกที่ยังเหลืออยู่ของจีน ที่เขียนขึ้นมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาลหรือราว 3,000 ปีพอดี ซึ่งคงเป็นระยะเวลาเดียวกับที่ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised Land) และเป็นชนชาติเร่ร่อนตั้งแต่นั้นมา ถ้าคุณ( Mr. Ross )คุ้นเคย กับอดีต และ ประวัติศาสตร์ ชาวยิว ของคุณ คุณก็ควรรับรู้และตระหนักถึงมันด้วย ชาวอียิปต์ ยอมรับ ชาวยิว เข้าไปในดินแดนของตน แต่ ชาวยิว กลับทรยศ ต่อชาวอียิปต์ หลายต่อหลายครั้ง จนในที่สุด ชาวยิว ก็ถูกเข่นฆ่าและ ขับไล่ออกไปจากดินแดนอียิปต์โดย กษัตริย์ฟาโรห์ อาณาจักรโรมัน ยอมรับ ชาวยิว เป็นส่วนหนึ่งของโรมัน ถึงขนาดจัดตั้งชุมชนให้เป็น กลุ่มก้อน โดยเฉพาะ แต่ ชาวยิว กลับถือโอกาสก่อการกบฎ ในช่วงเวลาที่กษัตริย์ Trajan มุ่งขยายดินแดนไปทางตะวันออก และ กองกำลังความมั่นคงในโรมันอ่อนแอลง หลังจาก ชาวยิว สังหารกองกำลังโรมัน ที่มีอยู่น้อยนิด ชาวยิว ก็บุกสังหาร พลเรือนชาวโรมัน อย่างบ้าคลั่ง ถึงขนาด เฉือนเอาผิวหนังมาทำเสื้อผ้า กินเนื้อเป็นอาหาร และ โยนซากศพไปเป็นอาหารของสัตว์ดุร้าย.. ในเมือง Cyprus Salamis และ Libya พลเรือนชาวโรมันราว 220,000 คน ถูกสังหารโดย ชาวยิว แม้ต่อหน้าพลเรือนชาวโรมัน ชาวยิวดูจะทารุณโหดร้ายมาก แต่ในที่สุดกษัตริย์ Trajan ใช้กำลังทหารเพียงสองชุด ก็สามารถทวงคืนอำนาจจากชาวยิวได้อย่างสมบูรณ์ กองทัพโรมันที่โกรธแค้นได้เคลื่อนทัพจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ไปตามฝั่ง ตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน..จนทำให้ชาวยิวที่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้ถูกเข่นฆ่าจนเกือบหมด ต่อมา ชาวยิว ก็ก่อกบฎอีกครั้ง ครววนี้ มุ่งสังหารผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะ แต่ครั้งนี้ โชคไม่เข้าข้างชาวยิว เมื่อต้องพบกับกษัตริย์ Hadrian ผู้ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่เฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งของกรุงโรม ผู้ที่ได้ระดมกำลังทหาร 120,000 นาย เข้าจัดการสังหาร ชาวยิว ที่ก่อการกบฎได้อย่างเบ็ดเสร็จ กษัตริย์ Hadrian ได้ศึกษาบทเรียนจากยุคสมัยของกษัตริย์ Trajan จึงได้ยกเลิก ชุมชนชาวยิว เสียทั้งหมด ทำให้ชาวยิวต้องอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และ แตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลก นอกจากนั้น ยังมีจักรพรรดิ Titus ผู้บุกทำลาย และ สังหาร ชาวยิวในกรุงเยลูซาเล็ม ที่เคยเป็น Second Temple จนปัจจุบันเหลือเพียง Western Wall (หรือที่เรียกว่า กำแพงร้องไห้)ที่ชาวยิวใช้เป็นที่สวดมนต์ไปติดต่อพระเจ้าฯ เป็นเวลานับพันปี ที่ชาวยิว ต้องถูก เข่นฆ่า และ ขับออกนอกประเทศต่างๆนับครั้งไม่ถ้วน แต่ พวกคุณ ชาวยิว ก็ได้ทรยศต่อ ชาติต่างๆ จำนวนไม่น้อย ที่เห็นอกเห็นใจต่อความยากลำบากของพวกคุณ กระนั้นก็ดี พวกคุณ ก็ยังคงโอหัง เชื่อว่า ชนชาติตน เป็นชนชาติอภิสิทธิ์ ที่เหนือกว่าคนชาติอื่นๆ และ เชื่อว่า เป็น ชนชาติ ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ให้เป็นใหญ่กว่าชนชาติอื่นใด ทำให้ ชาวไซออนนิสยิว ไม่เคยตระหนักถึงอดีตของตน.. จนเป็นที่สรุปกันแล้วว่า วัฒนธรรมของชนชาติยิว มีลักษณะที่เข้ากับใครยาก และ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมอื่น ความเชื่อของชาวยิวเหล่านี้ จะใช้กับคนจีนไม่ได้ เพราะ คนจีนมีหลักการด้านคุณธรรมของตนเอง และ ไม่เคยคิดว่าชนชาติตนเหนือกว่าคนชนะชาติอื่น แต่จะปฏิบัติต่อคนชาติอื่น อย่างเท่าเทียมกัน และ ไม่เกรงกลัวต่อชนชาติอื่น ที่คิดว่าเหนือกว่าชาวจีน คนจีน จะมีความ อดทน อดกลั้น มีความละอายใจ มีความกตัญญูรู้คุณ และ รู้จักตอบแทนบุญคุณคน John Rabe อดีตนาซี ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยช่วยชีวิตชาวจีนที่นานจิง คนจีนที่รู้เรื่องนี้ จะนึกถึงบุญคุณของเขาเสมอ จากเหตุการณ์ เมื่อสองปีที่แล้ว ที่โรงพยาบาล สถานที่ที่หลานของ John Rabe ทำงานอยู่ เกิดการขาดแคลนยารักษาโรค จึงร้องขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตจีนในเยอรมัน ปรากฏว่า ชาวจีนต่างช่วยกันบริจาคเงินและสิ่งของให้กันอย่างแข็งขัน ด้วยความสำนึกในพระคุณในอดีต ของ John Rabe ในช่วง WW II ประธานของสภากาชาดแห่งสวีเดน เคยช่วยเหลือเชลยถึง 35,000 คน จากค่ายกักกันของนาซี โดยในจำนวนนี้เป็นชาวยิวถึง 6,000 คน.. ต่อมา เมื่อเขาถูกยูเอ็น ส่งไปเป็นผู้แทน เพื่อยืนยันประเด็นที่เกี่ยวกับขอบเขตดินแดนในกรุงเยรูซาเล็ม ที่กำหนดขึ้นใหม่ระหว่างอิสราเอล กับ ปาเลสไตน์ ปรากฏว่าเขาถูกยิงถึงหกนัดและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จากมือสังหารชาวยิว.. เพียงเพราะ เขาพูดถึง "ความยุติธรรม" เพียงไม่กี่คำ ในระหว่าง WW II เช่นเดียวกัน ประเทศยูโกสลาเวีย เคยช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงชาวยิวไว้คนหนึ่ง.. แต่ 50 ปีต่อมา เธอกลับเป็นคนสั่งให้ทิ้งระเบิดยูโกสลาเวียอย่างไม่เลือกหน้า... หลายปีต่อมา เมื่อเธอ ถูกผู้สื่อข่าวถามในระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า เธอรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ กับการสั่งทิ้งระเบิดยูโกสลาเวีย.. เธอตอบว่า.."ไม่เลย".. เธอผู้นั้น คือ อดีตสตรีที่เป็น รัฐมนตรีต่างประเทศ คนแรกของสหรัฐ..Madeleine Albright! ในการให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ในปี1996.. M. Albright กล่าวว่า การที่สหรัฐแซงชั่นอิรัค(สมัยซัดดัม) ซึ่งได้สังหารเด็กชาวอิรัคไปกว่าครึ่งล้าน (เพราะขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค)นั้น เป็นสิ่งที่คุ้มค่า! ทั้งๆที่ การบุกเข้ายึดครองอิรัคเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะสหรัฐอ้างว่า อิรัคกำลังผลิตอาวุธทำลายล้าง ด้วยการนำเสนอเพียงภาพ “ผงซักฟอก” ในสื่อ ว่าคือ “สารเคมี” ที่ใช้สร้างอาวุธชีวภาพ นาง M. Albright กล่าวอย่างโจ่งแจ้งท้าทายว่า.. การเข่นฆ่าเด็กนับล้าน เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว! ในปี 1947 เมื่อชาวยิว อพยพทางเรือมายังดินแดนปาเลสไตน์ มีการเขียนข้างลำเรือไว้ว่า.. "คนเยอรมันได้ทำลายบ้านเรือนของเรา โปรดอย่าทำลายความหวังของเราอีก"... ด้วยความเมตตา ชาวปาเลสไตน์ยอมรับชาวยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนของตน.. ในที่สุด ชาวยิว อ้างในภายหลังว่า ดินแดน ปาเลสไตน์ นี้ เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา- Promised Land ของพวกเราชนชาติยิว! ตลอดเวลากว่า 70 ปี ที่ชาวไซออนนิสต์ยิว ได้สังหารชาวปาเลสไตน์ ผู้ที่เมตตา และ ยินยอมให้ชาวยิวเข้ามาตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องยาวนาน แต่ ชาวยิว กลับมาเนรคุณ สร้างอาณาจักรแห่งการเหยียดผิว ที่เปรียบเสมือนเรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก.. และ ยังปฏิบัติ ต่อชาวปาเลสไตน์เยี่ยงสัตว์ (subhumans) พวกคุณชาวยิว ยังจะต้องการความเห็นอกเห็นใจอีกมากแค่ไหน คุณจึงจะพอใจ สำหรับการไม่รู้จักบุญคุณคน และ จากข้อมูลใน ประวัติศาสตร์ที่พวกคุณตอบแทนความเมตตา และ ตอบแทนการยอมรับของคนชาติอื่นด้วยการทรยศ ด้วยการพร้อมที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาติอื่นที่เคยช่วยเหลือพวกคุณ ชาวยิว อีกหรือ! ประโยคหนึ่ง ที่เขียนในวรรณกรรมคลาสสิก ของจีน ที่ชื่อว่า..“การเดินหน้าเข้าสู่ตวามตาย” (The Death March)...กล่าวว่า "ประเทศเล็ก ที่ไม่ตระหนักในตนเอง ไม่เคารพต่อประเทศอื่นๆ แสดงความหยาบช้า ดูถูกดูแคลน ประเทศเพื่อนบ้านอันมั่นคงที่ตั้งอยู่ก่อน พลันแต่มี ความโลภ ไม่อินังขังขอบต่อ มิตรภาพ และ ความเป็นเพื่อน.. ก็ย่อมจะนำพาตนเอง เดินทางไปสู่ความพินาศย่อยยับอย่างไม่ต้องสงสัย“ บทความนี้น่าสนใจมาก เป็นประวัติศาสตร์ ที่ชาวโลกอีกหลายล้านอาจจะยังไม่เคยได้รับรู้ ซึ่ง อาจจะมีคนตั้งกระทู้ ตั้งข้อโต้แย้ง ขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบความเป็นจริง อยู่ที่ คนตั้งกระทู้ จะหาหลักฐานมาโต้แย้งทางประวัติศาสตร์ ได้ หรือ ไม่ได้ ซึ่งหากมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาโต้แย้งได้ ก็จะยิ่งน่าศึกษา น่าติดตาม เพื่อให้ความจริงกระจ่างยิ่งขึ้น และ นับเป็นเรื่องดี ที่จะได้ทราบกันจริงๆว่า “ ยิว เป็นชนชาติประเภทใด?“ ดีจริงแท้ หรือ ซาตานลวงโลก กันแน่ ? ...... (แปลโดย : SB-22/07/24) ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 418 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อสรุปที่สำคัญบางส่วนจากคำกล่าวของประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ในระหว่างการประชุมคณะกรรมการของหน่วยงานความมั่นคงกลาง (FSB) วันนี้ (27 กุมภาพันธ์) :

    - การพบกันครั้งแรกกับฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ทำให้รู้ว่าสหรัฐมีความปรารถนาที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

    - การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ เกิดขึ้นหลังจากที่ฝ่ายบริหารชุดใหม่เข้ามามีอำนาจ

    - ผลของการต่อสู้อย่างแข็งแกร่งของรัสเซียในสนามรบ ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงบนเวทีโลกมากมาย

    - รัสเซียพยายามใช้ทุกวิถีทางของการทูตรวมทั้งหน่วยงานพิเศษ เพื่อขัดขวางความพยายามของ "ชนชั้นนำตะวันตกบางกลุ่ม" ที่มุ่งมั่นขัดขวางการเจรจาระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ

    - นโยบายของตะวันตกเริ่มบ่อนทำลายชุมชนตะวันตกของพวกเขาจากภายใน

    - รัสเซียจะใช้มาตรการอย่างจริงจังเพื่อปกป้องพรมแดนของรัฐ และจะเพิ่มความเข้มงวดของพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากต่อภัยความมั่นคง

    - ประเด็นการสร้างระบบความมั่นคงระดับโลกได้พัฒนามากขึ้น โดยแต่ละประเทศจะต้องเป็นผู้รักษาเสถียรภาพ ไม่ใช่คอยเอาเปรียบรัสเซีย

    - FSB เป็นหน่วยงานที่เชื่อถือได้และมีประสิทธิภาพด้านความมั่นคงแห่งชาติ FSB จำเป็นต้องต่อสู้กับลัทธิหัวรุนแรงและการก่อการร้ายอย่างเด็ดขาดต่อไป

    - ในภูมิภาคใหม่ จำเป็นต้องได้รับการเสริมสร้างทักษะของเจ้าหน้าที่ด้านต่อต้านการก่อการร้าย

    - จำนวนการโจมตีทางไซเบอร์ต่อรัสเซียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบนเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐบาลและบริษัทขนาดใหญ่ต่างๆ

    - รัสเซียไม่เคยปฏิเสธการแก้ไขความขัดแย้งในยูเครนด้วยสันติวิธี

    - ทหารผู้กล้าที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการพิเศษทางทหาร ได้สร้างเงื่อนไขสำหรับการเริ่มต้นการเจรจาเกี่ยวกับความขัดแย้งในยูเครนและวิกฤตอื่นๆ ด้วยความกล้าหาญและชัยชนะของพวกเขา

    - การวิจัยที่ดำเนินการโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียจะต้องเริ่มดำเนินการอย่างรวดเร็ว และประกาศให้รับรู้กันทั่วไป แทนที่จะถูกเก็บไว้และติดป้ายว่าเป็นความลับ



    ข้อสรุปที่สำคัญบางส่วนจากคำกล่าวของประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ในระหว่างการประชุมคณะกรรมการของหน่วยงานความมั่นคงกลาง (FSB) วันนี้ (27 กุมภาพันธ์) : - การพบกันครั้งแรกกับฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ทำให้รู้ว่าสหรัฐมีความปรารถนาที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ - การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ เกิดขึ้นหลังจากที่ฝ่ายบริหารชุดใหม่เข้ามามีอำนาจ - ผลของการต่อสู้อย่างแข็งแกร่งของรัสเซียในสนามรบ ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงบนเวทีโลกมากมาย - รัสเซียพยายามใช้ทุกวิถีทางของการทูตรวมทั้งหน่วยงานพิเศษ เพื่อขัดขวางความพยายามของ "ชนชั้นนำตะวันตกบางกลุ่ม" ที่มุ่งมั่นขัดขวางการเจรจาระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ - นโยบายของตะวันตกเริ่มบ่อนทำลายชุมชนตะวันตกของพวกเขาจากภายใน - รัสเซียจะใช้มาตรการอย่างจริงจังเพื่อปกป้องพรมแดนของรัฐ และจะเพิ่มความเข้มงวดของพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากต่อภัยความมั่นคง - ประเด็นการสร้างระบบความมั่นคงระดับโลกได้พัฒนามากขึ้น โดยแต่ละประเทศจะต้องเป็นผู้รักษาเสถียรภาพ ไม่ใช่คอยเอาเปรียบรัสเซีย - FSB เป็นหน่วยงานที่เชื่อถือได้และมีประสิทธิภาพด้านความมั่นคงแห่งชาติ FSB จำเป็นต้องต่อสู้กับลัทธิหัวรุนแรงและการก่อการร้ายอย่างเด็ดขาดต่อไป - ในภูมิภาคใหม่ จำเป็นต้องได้รับการเสริมสร้างทักษะของเจ้าหน้าที่ด้านต่อต้านการก่อการร้าย - จำนวนการโจมตีทางไซเบอร์ต่อรัสเซียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบนเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐบาลและบริษัทขนาดใหญ่ต่างๆ - รัสเซียไม่เคยปฏิเสธการแก้ไขความขัดแย้งในยูเครนด้วยสันติวิธี - ทหารผู้กล้าที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการพิเศษทางทหาร ได้สร้างเงื่อนไขสำหรับการเริ่มต้นการเจรจาเกี่ยวกับความขัดแย้งในยูเครนและวิกฤตอื่นๆ ด้วยความกล้าหาญและชัยชนะของพวกเขา - การวิจัยที่ดำเนินการโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียจะต้องเริ่มดำเนินการอย่างรวดเร็ว และประกาศให้รับรู้กันทั่วไป แทนที่จะถูกเก็บไว้และติดป้ายว่าเป็นความลับ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 524 มุมมอง 12 0 รีวิว
  • สามสำนักข่าวชื่อดังของโลกส่งสารถึงทรัมป์ หยุดคุกคามสื่อ ทุกสื่อมีความเป็นอิสระเสรีในการนำเสนอข่าวสารตามระบอบประชาธิปไตย อย่าเลือกปฏิบัติต่อสื่อ

    บรรณาธิการของสำนักข่าว Reuters, AP และ Bloomberg ส่งสารถึงรัฐบาลทรัมป์:

    “3 สำนักข่าวประจำทำเนียบขาว ได้แก่ Associated Press, Bloomberg News และ Reuters ได้ทำงานกันมาอย่างยาวนานเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งประธานาธิบดีจะถูกสื่อสารไปยังกลุ่มผู้ฟังที่หลากหลายทางการเมืองทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก

    ในการรายงานข่าวสารเกี่ยวกับทำเนียบขาว ที่ผู้คนจากทั่วโลกได้เห็น จากสำนักข่าวท้องถิ่นของพวกเขา ล้วนมาจากสำนักข่าวเหล่านี้

    ในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนจำเป็นต้องเข้าถึงข่าวสารเกี่ยวกับรัฐบาลของตนจากสื่ออิสระและเสรี

    เราเชื่อว่าการดำเนินการใดๆ ของรัฐบาลในการจำกัดจำนวนบริการข่าวที่สามารถเข้าถึงประธานาธิบดีได้นั้น ถือเป็นการคุกคามหลักการดังกล่าว

    นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อการเผยแพร่ข้อมูลที่เชื่อถือได้ไปยังประชาชน ชุมชน ธุรกิจ และตลาดการเงินทั่วโลก ซึ่งต้องพึ่งพาการรายงานของเราเป็นอย่างมาก”

    ➡️ก่อนหน้านี้ ทรัมป์มีคำสั่งกีดสำนักข่าวดังกล่าวในการรายงานข่าวในทำเนียบขาว เนื่องจากที่ผ่านมาสำนักข่าวเหล่านี้มักเสนอข่าวบิดเบือนจากข้อเท็จจริง และฝักใฝ่กลุ่มการเมืองบางกลุ่ม
    สามสำนักข่าวชื่อดังของโลกส่งสารถึงทรัมป์ หยุดคุกคามสื่อ ทุกสื่อมีความเป็นอิสระเสรีในการนำเสนอข่าวสารตามระบอบประชาธิปไตย อย่าเลือกปฏิบัติต่อสื่อ บรรณาธิการของสำนักข่าว Reuters, AP และ Bloomberg ส่งสารถึงรัฐบาลทรัมป์: “3 สำนักข่าวประจำทำเนียบขาว ได้แก่ Associated Press, Bloomberg News และ Reuters ได้ทำงานกันมาอย่างยาวนานเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งประธานาธิบดีจะถูกสื่อสารไปยังกลุ่มผู้ฟังที่หลากหลายทางการเมืองทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก ในการรายงานข่าวสารเกี่ยวกับทำเนียบขาว ที่ผู้คนจากทั่วโลกได้เห็น จากสำนักข่าวท้องถิ่นของพวกเขา ล้วนมาจากสำนักข่าวเหล่านี้ ในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนจำเป็นต้องเข้าถึงข่าวสารเกี่ยวกับรัฐบาลของตนจากสื่ออิสระและเสรี เราเชื่อว่าการดำเนินการใดๆ ของรัฐบาลในการจำกัดจำนวนบริการข่าวที่สามารถเข้าถึงประธานาธิบดีได้นั้น ถือเป็นการคุกคามหลักการดังกล่าว นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อการเผยแพร่ข้อมูลที่เชื่อถือได้ไปยังประชาชน ชุมชน ธุรกิจ และตลาดการเงินทั่วโลก ซึ่งต้องพึ่งพาการรายงานของเราเป็นอย่างมาก” ➡️ก่อนหน้านี้ ทรัมป์มีคำสั่งกีดสำนักข่าวดังกล่าวในการรายงานข่าวในทำเนียบขาว เนื่องจากที่ผ่านมาสำนักข่าวเหล่านี้มักเสนอข่าวบิดเบือนจากข้อเท็จจริง และฝักใฝ่กลุ่มการเมืองบางกลุ่ม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท ASRock ได้ออกอัปเดต BIOS ใหม่เพื่อลดปัญหาการล้มเหลวของซีพียู AMD Ryzen 7 9800X3D ปัญหานี้เกิดจากการตั้งค่าหน่วยความจำ โดย ASRock แจ้งว่าการอัปเดต BIOS เวอร์ชัน 3.20 Beta ช่วยปรับปรุงปัญหาการบูตและโค้ดข้อผิดพลาดที่พบในเมนบอร์ด AM5 ของพวกเขา

    สำหรับผู้ใช้ที่พบปัญหาซีพียูล้มเหลว ASRock แนะนำให้ติดตั้ง BIOS เวอร์ชันล่าสุดเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับการบูตเครื่องและโค้ดข้อผิดพลาด โดยบริษัทได้เร่งตอบสนองความต้องการของชุมชนผู้ใช้ด้วยการปล่อยอัปเดตนี้ออกมา

    นอกจากนี้ ASRock ยังระบุว่า ปัญหาซีพียูล้มเหลวนี้เกิดจากการตั้งค่าหน่วยความจำ และไม่ได้เป็นปัญหาจากสถาปัตยกรรมของซีพียูเอง โดยข้อมูลนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันจาก AMD อย่างเป็นทางการ ทำให้ยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา

    https://wccftech.com/asrock-releases-new-bios-version-to-mitigate-amds-ryzen-7-9800x3d-cpu-failure/
    บริษัท ASRock ได้ออกอัปเดต BIOS ใหม่เพื่อลดปัญหาการล้มเหลวของซีพียู AMD Ryzen 7 9800X3D ปัญหานี้เกิดจากการตั้งค่าหน่วยความจำ โดย ASRock แจ้งว่าการอัปเดต BIOS เวอร์ชัน 3.20 Beta ช่วยปรับปรุงปัญหาการบูตและโค้ดข้อผิดพลาดที่พบในเมนบอร์ด AM5 ของพวกเขา สำหรับผู้ใช้ที่พบปัญหาซีพียูล้มเหลว ASRock แนะนำให้ติดตั้ง BIOS เวอร์ชันล่าสุดเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับการบูตเครื่องและโค้ดข้อผิดพลาด โดยบริษัทได้เร่งตอบสนองความต้องการของชุมชนผู้ใช้ด้วยการปล่อยอัปเดตนี้ออกมา นอกจากนี้ ASRock ยังระบุว่า ปัญหาซีพียูล้มเหลวนี้เกิดจากการตั้งค่าหน่วยความจำ และไม่ได้เป็นปัญหาจากสถาปัตยกรรมของซีพียูเอง โดยข้อมูลนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันจาก AMD อย่างเป็นทางการ ทำให้ยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา https://wccftech.com/asrock-releases-new-bios-version-to-mitigate-amds-ryzen-7-9800x3d-cpu-failure/
    WCCFTECH.COM
    ASRock Releases New BIOS Version To Mitigate AMD's Ryzen 7 9800X3D CPU Failure Issues; Root Cause Rumored To Be With Memory Optimization
    ASRock has released a new BIOS update to address the growing AMD Ryzen 7 9800X3D CPU failure issues, potentially solving the problem.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่...ของคนไทยหรือไม่

    หลังจากตลาดรถยนต์🚘ชะลอตัวมาตั้งเเต่ ปี 2567 เเละคาดว่าจะซึมยาวไปจนอย่างน้อยถึงกลางปี 2568 ✅กำลังซื้อระดับกลาง-ล่างอ่อนแอหนัก ขณะที่ด้านปัจจัยลบราคาน้ำมัน⛽ที่สูงขึ้นเป็นตัวฉุดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์ออกไป จริงหรือไม่ บทความนี้จะพาไปค้นหาคำตอบภายใน 5 นาที!!🎯
    สถานการณ์ตอนนี้ ✨ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอยู่ในช่วงซึม ยอดขายรถยนต์หดตัวอย่างหนัก👉เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีแนวโน้มที่ยอดขายรถยนต์ทั้งปี 2568 จะหดตัวรุนแรงสุดในรอบ 15 ปี

    ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) มองว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศไทย อยู่ในช่วงชะลอตัวลงในระยะยาว จาก 5 สถานการณ์หลักตอนนี้ คือ...

    1. ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอิ่มตัว ⚠️

    ตอนนี้ถ้าดูจำนวนรถยนต์ที่วิ่งบนถนนสะสมทั่วประเทศ สูงถึงเกือบ 20 ล้านคัน หรือคิดเป็น 277 คันต่อประชากรไทย 1,000 คน เทียบแล้วของไทยค่อนข้างสูงเมื่อมองไปที่เวียดนาม 50 คัน ฟิลิปปินส์ 38 คัน และอินโดนีเซีย 78 คันต่อประชากร 1,000 คน และนิสัยการใช้รถของคนไทยที่ค่อนข้างนานเฉลี่ยถึง 12 ปี เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยประเทศหลัก ๆ ที่ใช้งานรถยนต์ประมาณ 6-8 ปี โอกาสที่ซื้อรถยนต์ใหม่แทนรถคันเก่าเลยค่อนข้างต่ำ

    2. พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ➡️

    หลังการบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ผู้ผลิตจีน ทำให้มาตรฐานการตั้งราคารถใหม่🧾ในท้องตลาด มีแนวโน้มลดลงจากเดิม ผู้บริโภคเลยมีตัวเลือกมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ขณะที่บางส่วนชะลอการซื้อรถยนต์ออกไปจนกว่าจะเจอราคาที่เหมาะสมกับกำลังซื้อ รวมไปถึงทัศนคติต่อการซื้อรถยนต์ของคนยุคใหม่ ที่หันมาใช้การเช่าแทนการซื้อครอบครอง เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต และลดภาระค่าใช้จ่ายที่จะตามมา ทำให้การซื้อรถยนต์ในยุคสมัยนี้อาจน้อยกว่าในอดีต

    3. โครงสร้างประชากรกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ 👴🏻

    เห็นชัดจากยอดขายที่อยู่อาศัย และรถยนต์ในประเทศ ระยะหลังชะลอการเติบโตลง 👵🏼ส่วนหนึ่งมาจากโครงสร้างประชากรไทยที่อยู่ในภาวะ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” และกำลังจะขยับเป็น “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ในอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า สวนทางกับสัดส่วนประชากรที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่มีกำลังซื้อรถยนต์อย่างกลุ่มอายุ 25-49 ปี กลับมีสัดส่วนลดลงอย่างต่อเนื่อง

    4. เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตช้าลง 📉

    การลงทุนโดยรวมอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน ภาคการผลิตและส่งออกก็กำลังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างรุนแรงขึ้น รวมไปถึงการบุกตลาดของสินค้าราคาถูกจากจีน ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทบความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตช้าลงในระยะยาว บั่นทอนการเติบโตของรายได้ และกำลังซื้อ💵💰💳ของภาคครัวเรือน

    5. หนี้ครัวเรือนสูงกำลังเพิ่มข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อ 📈

    หนี้ครัวเรือนไทยในปัจจุบันสูงถึง 91.3% ของจีดีพี ซึ่งสูงเกินกว่าระดับที่เหมาะสมที่เอื้อต่อการบริโภคที่ 80% ของจีดีพี และสูงกว่าประเทศที่มีรายได้ต่อหัวใกล้เคียงกัน ทำให้สถาบันการเงิน มีข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อแก่รายย่อยมากขึ้น

    ขณะที่ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า⚡ที่จำหน่ายได้ภายใต้มาตรการของรัฐบาล ที่ลงนามเข้าโครงการ ดึงดูดความสนใจ ที่ลดลงไปแล้วอย่างน้อย 70,000 - 1.5 แสนบาท ก็สามารถที่จะกระตุ้นให้คนสนใจ😘 เเละยอดจองได้ไม่น้อยทีเดียว เพราะอย่างน้อยๆ ราคาที่ดึงดูดนี้ ก็ยังทำให้คนที่ถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนรถคันใหม่ หรือหาซื้อรถเพิ่มเข้ามาอีกคัน ก็พิจารณาตัดสินใจได้ไม่ยาก

    ข้อมูลจากคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ กระทรวงพลังงาน ระบุว่า ในกรณีที่เป็นรถยนต์ที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน☝️ ราคา🗺️ไม่เกิน 2 ล้านบาท จะได้รับการลดภาษีนำเข้า 40% ตั้งเเต่ ปี 2565-2566 แล้วยังได้ลดภาษีสรรพสามิต เหลือ 2% ในปี 2565-2568

    ไม่เพียงเท่านี้!! ยังแถมด้วยเงินอุดหนุนจากรัฐบาล 70,000 บาท และ 1.5 แสนบาท ตามขนาดของแบตเตอรี่...
    แต่หากมีราคา 2-7 ล้านบาท ได้ลดภาษีนำเข้า 20% และได้ลดภาษีสรรพสามิตเหลือ🤑 2% (ในช่วงปี 2565-2566 ที่ผ่านมา) แต่จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนใดๆ จากรัฐบาล

    ส่วนกรณีรถกระบะที่ผลิตในประเทศ ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท จะไม่มีภาษีสรรพสามิต ในช่วง 3 ปี คือตั้งแต่ปี 2565 - 2568 ได้รับเงินอุหนุน 1.5 แสนบาท โดยขนาดแบตเตอรี่ 30 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง เป็นเวลา 3 ปี จนถึงปี 2568

    ขณะที่รถมอเตอร์ไซค์ ราคาไม่เกิน 1.5 แสนบาท จะได้รับเงินอุดหนุน💵 18,000 บาท เป็นเวลา 3 ปี (ตั้งเเต่ปี 2566-68) มาตรการของรัฐบาลครั้งนี้!! สามารถดึงดูดความสนใจ…แรงซื้อ…จากคนที่ยังมีกำลังซื้อได้ไม่ไม่น้อย

    📌ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่ของคนไทย ทั้งชะลอเวลาการซื้อรถคันใหม่ที่เป็นรถใหม่ออกไป เเละ เปลี่ยนใจจากรถน้ำมันหันไปหารถใหม่ที่เป็น EV⚡ สำหรับคนที่มีรถใช้น้ำมันอยู่เเล้ว หรือ เเม้กระทั่ง Plug-in Hybrid 🔌ที่เป็นตัวเลือกสำหรับคนที่จะมีรถคันเเรก เเละยอมใจกับราคาน้ำมัน🛢️เเละกลุ่มที่กำลังมาเเรง คือกลุ่มที่หันไปซบรถใช้น้ำมันมือสอง ที่มาจากเตนท์ หรือจากลานประมูลรถมือสอง ที่เริ่มมีลูกค้าประเภทประมูลซื้อใช้เอง จำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    ปัญหาน้ำมัน⛽แพง เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนสนใจจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV บวกกับการที่รัฐบาลให้เงินอุดหนุน💰70,000 บาท - 150,000 บาทต่อคัน ยิ่งเป็นแรงจูงใจให้คนสนใจรถอีวีมากขึ้นนั่นเอง
    เมื่อเรายังต้องอยู่ในยุคที่สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น💹อย่างต่อเนื่อง เพราะความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว☣จากโควิด-19 🤧ในขณะที่กลุ่มโอเปกยังคงยืนยันที่จะส่งออกน้ำมันดิบ⛽เพียง 400,000 บาร์เรล🛢️ต่อวัน ทำให้ราคาน้ำมันในไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น

    เเละเมื่อเรายังจำเป้นต้องใช้รถเติมน้ำมัน บทความนี้มีเทคนิคการประหยัดน้ำมันแบบง่าย ๆ เพื่อฝ่าวิกฤตน้ำมันราคาแพงครั้งนี้ไปด้วยกัน มาเเชร์ให้ค่ะ

    1. ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว เปลี่ยนไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะในการเดินทาง โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะช่วยประหยัดค่าน้ำมันแล้ว ยังลดความเครียด 🤝😊จากปัญหาจราจรอีกด้วย
    2. หากจำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว การขับรถที่ความเร็วที่ 60 – 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง คืออัตราความเร็วที่เหมาะสมที่สุด🙌ในการประหยัดน้ำมันรถได้มากที่สุด ที่สำคัญช่วยทำให้ปลอดภัยลดอุบัติเหตุได้ด้วย
    3. ตรวจเช็คสภาพรถและลมยางเป็นประจำเพื่อให้พร้อมใช้งาน🥰การตรวจสอบลมยางทั้ง 4 เส้นเป็นประจำ ให้มีปริมาตรลมตามมาตรฐานที่กำหนด เพราะยางที่อ่อนเกินไปจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมาก
    4. เลือกใช้การเดินเท้า🚶‍♀️‍➡️ในระยะที่น้อยกว่า 1 กิโลเมตร เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันแล้ว ยังได้ออกกำลังกาย 🏃🏻‍♂️‍➡️ ทำให้สุขภาพของเราแข็งแรงขึ้น💪🏼
    5. เลือกซื้อ🛒🛍️สินค้าในชุมชนที่อยู่อาศัย เมื่อต้องการออกไปจับจ่ายใช้สอยซื้อหาอาหาร หรือสินค้าจำเป็นต่างๆ เพื่อลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากการเดินทาง

    จบไปเเล้วสำหรับ "ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่...ของคนไทยหรือไม่" เเละหากว่าพี่ๆ ท่านใด สนใจอยากจะมีรถไว้ใช้งานที่ประหยัดงบประมาณ สามารถเหลือเงินไว้เก็บงานต่างๆ ของรถมือสอง หรืออาจจะไม่ต้องเก็บอะไรใดใดเลยก็เป็นได้ โดยทั้งนี้📌คุณภาพขึ้นอยู่กับอายุการใช้งาน สภาพตัวถัง และระบบเกียร์ รถที่เข้าลานประมูลจะเป็นไปตามสภาพจริง ถ้าสนใจขอเชิญ @ลานประมูลของ สยามอินเตอร์การประมูล หรือ SIA กันได้นะคะ ยินดีให้คำเเนะนำเเละบริก่ารค่ะ

    อ่านต่อเลย: จะเข้าใจว่าทำไมต้องรถมือ2 !?! https://citly.me/esgxY

    ✅ดูรายการรถทุกประเภทที่เว็บไซต์ home.sia.co.th ในเมนูการประมูล เเละกดเข้าไปที่รายการรถยนต์ เเละติดตามอัปเดตได้ทุกสัปดาห์
    ✅ลงทะเบียนได้ที่: home.sia.co.th
    ✅ติดต่อสอบถาม: ☎️02-119-7111 หรือ LINE:@sia.co.th
    🎉นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสนุกๆ พร้อมคูปองอาหาร 🌮 และเครื่องดื่ม 🥤แจกฟรี!
    📌อย่าลืมติดตามรายการใหม่ทุกสัปดาห์ แล้วพบกันที่ SIA! 🚛✨

    ขอขอบคุณแหล่งที่มาของภาพเเละข้อมูล (บางส่วน)

    https://www.ttbbank.com/th/newsroom/detail/ttba-5megatrend-july-2024
    https://www.ttbbank.com/th/analytics
    https://www.thairath.co.th/news/auto/evcar/2755876
    www.dailynews.co.th/articles/899255
    https://th.jobsdb.com/th/careeradvice/article/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99
    ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่...ของคนไทยหรือไม่ หลังจากตลาดรถยนต์🚘ชะลอตัวมาตั้งเเต่ ปี 2567 เเละคาดว่าจะซึมยาวไปจนอย่างน้อยถึงกลางปี 2568 ✅กำลังซื้อระดับกลาง-ล่างอ่อนแอหนัก ขณะที่ด้านปัจจัยลบราคาน้ำมัน⛽ที่สูงขึ้นเป็นตัวฉุดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์ออกไป จริงหรือไม่ บทความนี้จะพาไปค้นหาคำตอบภายใน 5 นาที!!🎯 สถานการณ์ตอนนี้ ✨ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอยู่ในช่วงซึม ยอดขายรถยนต์หดตัวอย่างหนัก👉เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีแนวโน้มที่ยอดขายรถยนต์ทั้งปี 2568 จะหดตัวรุนแรงสุดในรอบ 15 ปี ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) มองว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศไทย อยู่ในช่วงชะลอตัวลงในระยะยาว จาก 5 สถานการณ์หลักตอนนี้ คือ... 1. ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอิ่มตัว ⚠️ ตอนนี้ถ้าดูจำนวนรถยนต์ที่วิ่งบนถนนสะสมทั่วประเทศ สูงถึงเกือบ 20 ล้านคัน หรือคิดเป็น 277 คันต่อประชากรไทย 1,000 คน เทียบแล้วของไทยค่อนข้างสูงเมื่อมองไปที่เวียดนาม 50 คัน ฟิลิปปินส์ 38 คัน และอินโดนีเซีย 78 คันต่อประชากร 1,000 คน และนิสัยการใช้รถของคนไทยที่ค่อนข้างนานเฉลี่ยถึง 12 ปี เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยประเทศหลัก ๆ ที่ใช้งานรถยนต์ประมาณ 6-8 ปี โอกาสที่ซื้อรถยนต์ใหม่แทนรถคันเก่าเลยค่อนข้างต่ำ 2. พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ➡️ หลังการบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ผู้ผลิตจีน ทำให้มาตรฐานการตั้งราคารถใหม่🧾ในท้องตลาด มีแนวโน้มลดลงจากเดิม ผู้บริโภคเลยมีตัวเลือกมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ขณะที่บางส่วนชะลอการซื้อรถยนต์ออกไปจนกว่าจะเจอราคาที่เหมาะสมกับกำลังซื้อ รวมไปถึงทัศนคติต่อการซื้อรถยนต์ของคนยุคใหม่ ที่หันมาใช้การเช่าแทนการซื้อครอบครอง เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต และลดภาระค่าใช้จ่ายที่จะตามมา ทำให้การซื้อรถยนต์ในยุคสมัยนี้อาจน้อยกว่าในอดีต 3. โครงสร้างประชากรกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ 👴🏻 เห็นชัดจากยอดขายที่อยู่อาศัย และรถยนต์ในประเทศ ระยะหลังชะลอการเติบโตลง 👵🏼ส่วนหนึ่งมาจากโครงสร้างประชากรไทยที่อยู่ในภาวะ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” และกำลังจะขยับเป็น “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ในอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า สวนทางกับสัดส่วนประชากรที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่มีกำลังซื้อรถยนต์อย่างกลุ่มอายุ 25-49 ปี กลับมีสัดส่วนลดลงอย่างต่อเนื่อง 4. เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตช้าลง 📉 การลงทุนโดยรวมอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน ภาคการผลิตและส่งออกก็กำลังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างรุนแรงขึ้น รวมไปถึงการบุกตลาดของสินค้าราคาถูกจากจีน ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทบความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตช้าลงในระยะยาว บั่นทอนการเติบโตของรายได้ และกำลังซื้อ💵💰💳ของภาคครัวเรือน 5. หนี้ครัวเรือนสูงกำลังเพิ่มข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อ 📈 หนี้ครัวเรือนไทยในปัจจุบันสูงถึง 91.3% ของจีดีพี ซึ่งสูงเกินกว่าระดับที่เหมาะสมที่เอื้อต่อการบริโภคที่ 80% ของจีดีพี และสูงกว่าประเทศที่มีรายได้ต่อหัวใกล้เคียงกัน ทำให้สถาบันการเงิน มีข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อแก่รายย่อยมากขึ้น ขณะที่ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า⚡ที่จำหน่ายได้ภายใต้มาตรการของรัฐบาล ที่ลงนามเข้าโครงการ ดึงดูดความสนใจ ที่ลดลงไปแล้วอย่างน้อย 70,000 - 1.5 แสนบาท ก็สามารถที่จะกระตุ้นให้คนสนใจ😘 เเละยอดจองได้ไม่น้อยทีเดียว เพราะอย่างน้อยๆ ราคาที่ดึงดูดนี้ ก็ยังทำให้คนที่ถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนรถคันใหม่ หรือหาซื้อรถเพิ่มเข้ามาอีกคัน ก็พิจารณาตัดสินใจได้ไม่ยาก ข้อมูลจากคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ กระทรวงพลังงาน ระบุว่า ในกรณีที่เป็นรถยนต์ที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน☝️ ราคา🗺️ไม่เกิน 2 ล้านบาท จะได้รับการลดภาษีนำเข้า 40% ตั้งเเต่ ปี 2565-2566 แล้วยังได้ลดภาษีสรรพสามิต เหลือ 2% ในปี 2565-2568 ไม่เพียงเท่านี้!! ยังแถมด้วยเงินอุดหนุนจากรัฐบาล 70,000 บาท และ 1.5 แสนบาท ตามขนาดของแบตเตอรี่... แต่หากมีราคา 2-7 ล้านบาท ได้ลดภาษีนำเข้า 20% และได้ลดภาษีสรรพสามิตเหลือ🤑 2% (ในช่วงปี 2565-2566 ที่ผ่านมา) แต่จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนใดๆ จากรัฐบาล ส่วนกรณีรถกระบะที่ผลิตในประเทศ ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท จะไม่มีภาษีสรรพสามิต ในช่วง 3 ปี คือตั้งแต่ปี 2565 - 2568 ได้รับเงินอุหนุน 1.5 แสนบาท โดยขนาดแบตเตอรี่ 30 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง เป็นเวลา 3 ปี จนถึงปี 2568 ขณะที่รถมอเตอร์ไซค์ ราคาไม่เกิน 1.5 แสนบาท จะได้รับเงินอุดหนุน💵 18,000 บาท เป็นเวลา 3 ปี (ตั้งเเต่ปี 2566-68) มาตรการของรัฐบาลครั้งนี้!! สามารถดึงดูดความสนใจ…แรงซื้อ…จากคนที่ยังมีกำลังซื้อได้ไม่ไม่น้อย 📌ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่ของคนไทย ทั้งชะลอเวลาการซื้อรถคันใหม่ที่เป็นรถใหม่ออกไป เเละ เปลี่ยนใจจากรถน้ำมันหันไปหารถใหม่ที่เป็น EV⚡ สำหรับคนที่มีรถใช้น้ำมันอยู่เเล้ว หรือ เเม้กระทั่ง Plug-in Hybrid 🔌ที่เป็นตัวเลือกสำหรับคนที่จะมีรถคันเเรก เเละยอมใจกับราคาน้ำมัน🛢️เเละกลุ่มที่กำลังมาเเรง คือกลุ่มที่หันไปซบรถใช้น้ำมันมือสอง ที่มาจากเตนท์ หรือจากลานประมูลรถมือสอง ที่เริ่มมีลูกค้าประเภทประมูลซื้อใช้เอง จำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาน้ำมัน⛽แพง เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนสนใจจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV บวกกับการที่รัฐบาลให้เงินอุดหนุน💰70,000 บาท - 150,000 บาทต่อคัน ยิ่งเป็นแรงจูงใจให้คนสนใจรถอีวีมากขึ้นนั่นเอง เมื่อเรายังต้องอยู่ในยุคที่สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น💹อย่างต่อเนื่อง เพราะความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว☣จากโควิด-19 🤧ในขณะที่กลุ่มโอเปกยังคงยืนยันที่จะส่งออกน้ำมันดิบ⛽เพียง 400,000 บาร์เรล🛢️ต่อวัน ทำให้ราคาน้ำมันในไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น เเละเมื่อเรายังจำเป้นต้องใช้รถเติมน้ำมัน บทความนี้มีเทคนิคการประหยัดน้ำมันแบบง่าย ๆ เพื่อฝ่าวิกฤตน้ำมันราคาแพงครั้งนี้ไปด้วยกัน มาเเชร์ให้ค่ะ 1. ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว เปลี่ยนไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะในการเดินทาง โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะช่วยประหยัดค่าน้ำมันแล้ว ยังลดความเครียด 🤝😊จากปัญหาจราจรอีกด้วย 2. หากจำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว การขับรถที่ความเร็วที่ 60 – 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง คืออัตราความเร็วที่เหมาะสมที่สุด🙌ในการประหยัดน้ำมันรถได้มากที่สุด ที่สำคัญช่วยทำให้ปลอดภัยลดอุบัติเหตุได้ด้วย 3. ตรวจเช็คสภาพรถและลมยางเป็นประจำเพื่อให้พร้อมใช้งาน🥰การตรวจสอบลมยางทั้ง 4 เส้นเป็นประจำ ให้มีปริมาตรลมตามมาตรฐานที่กำหนด เพราะยางที่อ่อนเกินไปจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมาก 4. เลือกใช้การเดินเท้า🚶‍♀️‍➡️ในระยะที่น้อยกว่า 1 กิโลเมตร เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันแล้ว ยังได้ออกกำลังกาย 🏃🏻‍♂️‍➡️ ทำให้สุขภาพของเราแข็งแรงขึ้น💪🏼 5. เลือกซื้อ🛒🛍️สินค้าในชุมชนที่อยู่อาศัย เมื่อต้องการออกไปจับจ่ายใช้สอยซื้อหาอาหาร หรือสินค้าจำเป็นต่างๆ เพื่อลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากการเดินทาง จบไปเเล้วสำหรับ "ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่...ของคนไทยหรือไม่" เเละหากว่าพี่ๆ ท่านใด สนใจอยากจะมีรถไว้ใช้งานที่ประหยัดงบประมาณ สามารถเหลือเงินไว้เก็บงานต่างๆ ของรถมือสอง หรืออาจจะไม่ต้องเก็บอะไรใดใดเลยก็เป็นได้ โดยทั้งนี้📌คุณภาพขึ้นอยู่กับอายุการใช้งาน สภาพตัวถัง และระบบเกียร์ รถที่เข้าลานประมูลจะเป็นไปตามสภาพจริง ถ้าสนใจขอเชิญ @ลานประมูลของ สยามอินเตอร์การประมูล หรือ SIA กันได้นะคะ ยินดีให้คำเเนะนำเเละบริก่ารค่ะ อ่านต่อเลย: จะเข้าใจว่าทำไมต้องรถมือ2 !?! https://citly.me/esgxY ✅ดูรายการรถทุกประเภทที่เว็บไซต์ home.sia.co.th ในเมนูการประมูล เเละกดเข้าไปที่รายการรถยนต์ เเละติดตามอัปเดตได้ทุกสัปดาห์ ✅ลงทะเบียนได้ที่: home.sia.co.th ✅ติดต่อสอบถาม: ☎️02-119-7111 หรือ LINE:@sia.co.th 🎉นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสนุกๆ พร้อมคูปองอาหาร 🌮 และเครื่องดื่ม 🥤แจกฟรี! 📌อย่าลืมติดตามรายการใหม่ทุกสัปดาห์ แล้วพบกันที่ SIA! 🚛✨ ขอขอบคุณแหล่งที่มาของภาพเเละข้อมูล (บางส่วน) https://www.ttbbank.com/th/newsroom/detail/ttba-5megatrend-july-2024 https://www.ttbbank.com/th/analytics https://www.thairath.co.th/news/auto/evcar/2755876 www.dailynews.co.th/articles/899255 https://th.jobsdb.com/th/careeradvice/article/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 386 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทางการออสเตรเลียได้สั่งปรับ Telegram เป็นเงิน 958,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 613,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.69 ล้านบาท) เนื่องจาก Telegram ล้มเหลวในการเปิดเผยข้อมูลว่าใช้วิธีใดในการจัดการกับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายและการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่หน่วยงานเฝ้าระวังออนไลน์ของออสเตรเลียขอให้ Telegram และแพลตฟอร์มอื่นๆ เปิดเผยวิธีการในการตรวจจับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายและการล่วงละเมิดทางเพศเด็กในเดือนมีนาคมปีที่แล้ว แต่ Telegram ตอบกลับหลังจากนั้นถึงกว่า 5 เดือนในวันที่ 13 ตุลาคม 2024 ซึ่งเกินกำหนดเส้นตายที่กำหนดไว้ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2024 ทำให้การทำงานของคณะกรรมการถูกขัดขวาง

    ในแถลงการณ์ของ Julie Inman Grant ซึ่งเป็น eSafety Commissioner ของออสเตรเลีย กล่าวว่า การเปิดเผยวิธีการและที่มาของแพลตฟอร์มในการจัดการเนื้อหาดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อปกป้องชุมชนและยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในอุตสาหกรรมนี้

    Telegram มีเวลา 28 วันในการจ่ายค่าปรับ หรืออาจขอเวลาเพิ่มเติมหรือพยายามยกเลิกค่าปรับนี้ หากไม่จ่าย คณะกรรมการสามารถขอให้ศาลรัฐบาลกลางสั่งปรับได้

    นอกจากนี้ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Telegram Pavel Durov ซึ่งเป็นชาวรัสเซีย ยังถูกจับกุมที่สนามบินในปารีสเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้วและถูกตั้งข้อหาหลายคดีเกี่ยวกับการไม่สามารถควบคุมเนื้อหาที่เป็นอันตรายและก่อการร้ายบนแอป Telegram นอกจากนี้ อัยการฝรั่งเศสยังกล่าวหาว่า Telegram ซึ่งตั้งฐานอยู่ที่ดูไบ ล้มเหลวในการดำเนินการกับภาพล่วงละเมิดทางเพศเด็ก

    Durov ถูกปล่อยตัวด้วยเงินประกันจำนวน 5 ล้านยูโร (ประมาณ 23.13 ล้านบาท) และประกาศที่จะดำเนินการป้องกันเนื้อหาที่ผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/24/australia-fines-telegram-over-response-to-terror-abuse-content
    ทางการออสเตรเลียได้สั่งปรับ Telegram เป็นเงิน 958,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 613,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.69 ล้านบาท) เนื่องจาก Telegram ล้มเหลวในการเปิดเผยข้อมูลว่าใช้วิธีใดในการจัดการกับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายและการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่หน่วยงานเฝ้าระวังออนไลน์ของออสเตรเลียขอให้ Telegram และแพลตฟอร์มอื่นๆ เปิดเผยวิธีการในการตรวจจับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายและการล่วงละเมิดทางเพศเด็กในเดือนมีนาคมปีที่แล้ว แต่ Telegram ตอบกลับหลังจากนั้นถึงกว่า 5 เดือนในวันที่ 13 ตุลาคม 2024 ซึ่งเกินกำหนดเส้นตายที่กำหนดไว้ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2024 ทำให้การทำงานของคณะกรรมการถูกขัดขวาง ในแถลงการณ์ของ Julie Inman Grant ซึ่งเป็น eSafety Commissioner ของออสเตรเลีย กล่าวว่า การเปิดเผยวิธีการและที่มาของแพลตฟอร์มในการจัดการเนื้อหาดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อปกป้องชุมชนและยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในอุตสาหกรรมนี้ Telegram มีเวลา 28 วันในการจ่ายค่าปรับ หรืออาจขอเวลาเพิ่มเติมหรือพยายามยกเลิกค่าปรับนี้ หากไม่จ่าย คณะกรรมการสามารถขอให้ศาลรัฐบาลกลางสั่งปรับได้ นอกจากนี้ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Telegram Pavel Durov ซึ่งเป็นชาวรัสเซีย ยังถูกจับกุมที่สนามบินในปารีสเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้วและถูกตั้งข้อหาหลายคดีเกี่ยวกับการไม่สามารถควบคุมเนื้อหาที่เป็นอันตรายและก่อการร้ายบนแอป Telegram นอกจากนี้ อัยการฝรั่งเศสยังกล่าวหาว่า Telegram ซึ่งตั้งฐานอยู่ที่ดูไบ ล้มเหลวในการดำเนินการกับภาพล่วงละเมิดทางเพศเด็ก Durov ถูกปล่อยตัวด้วยเงินประกันจำนวน 5 ล้านยูโร (ประมาณ 23.13 ล้านบาท) และประกาศที่จะดำเนินการป้องกันเนื้อหาที่ผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/24/australia-fines-telegram-over-response-to-terror-abuse-content
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Australia fines Telegram over response to terror, abuse content
    Australia's online watchdog said on Feb 24 it has fined Telegram more than US$600,000 (RM2.65mil) for missing a deadline to reveal how it tackles "terrorist" and child sexual abuse content.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts