• วันครู 2568

    ในโอกาสวันครูแห่งชาติ ปี 2568
    ขอกราบขอบพระคุณคุณครู ผู้เป็นแสงสว่างนำทางชีวิต
    ด้วยความรักและความเมตตา คุณครูคือผู้สร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับเรา
    ช่วยปลูกฝังความรู้ คู่คุณธรรม และมอบแรงบันดาลใจ ให้ก้าวเดินไปสู่อนาคตที่สดใส

    ขอให้คุณครูทุกท่าน มีสุขภาพแข็งแรง
    เปี่ยมด้วยกำลังใจ ในหน้าที่การสอน
    และพบแต่ความสำเร็จ ความสุขในชีวิต
    พวกเราขอน้อมจิตระลึกถึง พระคุณอันยิ่งใหญ่
    และสัญญาว่าจะนำคำสอนของคุณค ไปใช้ในการสร้างอนาคตที่ดี

    ด้วยความเคารพรักอย่างสูง
    ✨ สุขสันต์วันครู 2568 ✨
    วันครู 2568 ในโอกาสวันครูแห่งชาติ ปี 2568 ขอกราบขอบพระคุณคุณครู ผู้เป็นแสงสว่างนำทางชีวิต ด้วยความรักและความเมตตา คุณครูคือผู้สร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับเรา ช่วยปลูกฝังความรู้ คู่คุณธรรม และมอบแรงบันดาลใจ ให้ก้าวเดินไปสู่อนาคตที่สดใส ขอให้คุณครูทุกท่าน มีสุขภาพแข็งแรง เปี่ยมด้วยกำลังใจ ในหน้าที่การสอน และพบแต่ความสำเร็จ ความสุขในชีวิต พวกเราขอน้อมจิตระลึกถึง พระคุณอันยิ่งใหญ่ และสัญญาว่าจะนำคำสอนของคุณค ไปใช้ในการสร้างอนาคตที่ดี ด้วยความเคารพรักอย่างสูง ✨ สุขสันต์วันครู 2568 ✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเจริญอสุภกรรมฐาน

    นอกจากวิธีงดสระผมหรืออาบน้ำเพื่อให้รู้สึกถึงอสุภ (ความไม่น่ารัก น่าใคร่) แล้ว ยังมีเทคนิคอื่นๆ ที่สามารถนำมาใช้เพื่อเสริมการปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้:

    1. พิจารณากายส่วนต่างๆ (ปฏิกูลมนสิการ)

    แยกร่างกายเป็นส่วนๆ: พิจารณาเส้นผม เล็บ ฟัน ผิวหนัง เลือด น้ำหนอง กระดูก ฯลฯ

    จินตนาการร่างกายสลายตัว: ลองนึกถึงสภาพร่างกายเมื่อถึงเวลาเน่าเปื่อย ผุพัง

    ทำความคุ้นชินกับความจริง: ทบทวนว่าอวัยวะเหล่านี้เป็นเพียงธาตุ ไม่ใช่สิ่งที่เราควรยึดมั่น

    2. ฝึกมองคนรอบตัวอย่างเป็นกลาง

    มองผู้อื่นไม่ใช่ด้วยความหลงใหลในรูปลักษณ์ แต่ให้จินตนาการว่าอีก 50 ปีข้างหน้า ร่างกายทุกคนก็ต้องเสื่อมสลาย

    มองเห็นธรรมดาของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

    แทนที่จะเห็นความสวยงาม ให้มองว่าเป็นเพียงร่างกายที่ต้องพึ่งพิงอาหาร อากาศ และยังต้องขับของเสียออก

    3. ใช้สื่อช่วยฝึกสมาธิ

    ศึกษารูปภาพหรือวิดีโอของร่างกายมนุษย์ในสภาพผุพัง เช่น ซากศพ ภาพการผ่าตัด หรือสภาพเน่าเปื่อย

    ใช้เป็นเครื่องช่วยเตือนใจว่า ร่างกายเป็นเพียงธาตุที่ประกอบกันชั่วคราว

    4. ฝึกสมาธิให้จิตสงบก่อนเจริญอสุภ

    เริ่มต้นด้วยอานาปานสติ: การพิจารณาลมหายใจช่วยให้จิตใจสงบและพร้อมรับการพิจารณาที่ลึกซึ้งขึ้น

    ใช้สมาธิเป็นฐาน: เมื่อจิตสงบ จะสามารถพิจารณาอสุภได้อย่างชัดเจนโดยไม่ถูกความคิดดิบหรืออารมณ์กามรบกวน

    5. เจริญเมตตาควบคู่กับอสุภ

    หากรู้สึกว่าความรู้สึกดิบๆ ที่เกิดขึ้นเป็นแรงผลักดันที่ยากจะควบคุม ให้เสริมด้วยการแผ่เมตตา

    แผ่เมตตาให้ตัวเองและผู้อื่น: ความเมตตาจะช่วยปรับสมดุลจิตใจ ทำให้จิตไม่ติดอยู่กับความดิบที่เกิดจากกามคุณ

    6. การใช้สติรู้ทัน

    เมื่อเกิดความรู้สึกดิบในระหว่างปฏิบัติ ให้ใช้สติรู้ทันว่า "นี่คือความไม่เที่ยงของจิต"

    อย่าต่อต้านความรู้สึกเหล่านั้น แต่ให้มองเห็นว่าเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

    7. ระมัดระวังไม่บังคับตัวเองเกินไป

    หากกดดันตัวเองมากเกินไป อาจทำให้เกิดความเครียดและความต่อต้าน

    ให้ปฏิบัติด้วยใจที่ผ่อนคลาย เห็นการเจริญอสุภเป็นโอกาสฝึกปัญญา ไม่ใช่การบีบบังคับ

    ข้อควรระวัง

    การเจริญอสุภกรรมฐานอาจทำให้จิตเกิดความรู้สึกต่อต้าน หรือเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิต ถ้าไม่พร้อมทางจิตใจควรทำในระดับที่พอดี

    ควรมีครูหรือผู้รู้ช่วยชี้แนะเป็นระยะ

    สรุป:
    อสุภกรรมฐานต้องใช้ความต่อเนื่องและสมาธิเป็นเครื่องนำทาง การฝึกในเบื้องต้นอาจเริ่มด้วยการพิจารณาอวัยวะหรือธรรมชาติของร่างกาย และใช้สติคอยดูแลจิตให้รู้สึกถึงความไม่เที่ยงของกายนี้ การเจริญอสุภไม่ใช่เพื่อความรังเกียจร่างกาย แต่เพื่อปล่อยวางและเห็นธรรมชาติของมันตามความเป็นจริง!
    การเจริญอสุภกรรมฐาน นอกจากวิธีงดสระผมหรืออาบน้ำเพื่อให้รู้สึกถึงอสุภ (ความไม่น่ารัก น่าใคร่) แล้ว ยังมีเทคนิคอื่นๆ ที่สามารถนำมาใช้เพื่อเสริมการปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้: 1. พิจารณากายส่วนต่างๆ (ปฏิกูลมนสิการ) แยกร่างกายเป็นส่วนๆ: พิจารณาเส้นผม เล็บ ฟัน ผิวหนัง เลือด น้ำหนอง กระดูก ฯลฯ จินตนาการร่างกายสลายตัว: ลองนึกถึงสภาพร่างกายเมื่อถึงเวลาเน่าเปื่อย ผุพัง ทำความคุ้นชินกับความจริง: ทบทวนว่าอวัยวะเหล่านี้เป็นเพียงธาตุ ไม่ใช่สิ่งที่เราควรยึดมั่น 2. ฝึกมองคนรอบตัวอย่างเป็นกลาง มองผู้อื่นไม่ใช่ด้วยความหลงใหลในรูปลักษณ์ แต่ให้จินตนาการว่าอีก 50 ปีข้างหน้า ร่างกายทุกคนก็ต้องเสื่อมสลาย มองเห็นธรรมดาของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แทนที่จะเห็นความสวยงาม ให้มองว่าเป็นเพียงร่างกายที่ต้องพึ่งพิงอาหาร อากาศ และยังต้องขับของเสียออก 3. ใช้สื่อช่วยฝึกสมาธิ ศึกษารูปภาพหรือวิดีโอของร่างกายมนุษย์ในสภาพผุพัง เช่น ซากศพ ภาพการผ่าตัด หรือสภาพเน่าเปื่อย ใช้เป็นเครื่องช่วยเตือนใจว่า ร่างกายเป็นเพียงธาตุที่ประกอบกันชั่วคราว 4. ฝึกสมาธิให้จิตสงบก่อนเจริญอสุภ เริ่มต้นด้วยอานาปานสติ: การพิจารณาลมหายใจช่วยให้จิตใจสงบและพร้อมรับการพิจารณาที่ลึกซึ้งขึ้น ใช้สมาธิเป็นฐาน: เมื่อจิตสงบ จะสามารถพิจารณาอสุภได้อย่างชัดเจนโดยไม่ถูกความคิดดิบหรืออารมณ์กามรบกวน 5. เจริญเมตตาควบคู่กับอสุภ หากรู้สึกว่าความรู้สึกดิบๆ ที่เกิดขึ้นเป็นแรงผลักดันที่ยากจะควบคุม ให้เสริมด้วยการแผ่เมตตา แผ่เมตตาให้ตัวเองและผู้อื่น: ความเมตตาจะช่วยปรับสมดุลจิตใจ ทำให้จิตไม่ติดอยู่กับความดิบที่เกิดจากกามคุณ 6. การใช้สติรู้ทัน เมื่อเกิดความรู้สึกดิบในระหว่างปฏิบัติ ให้ใช้สติรู้ทันว่า "นี่คือความไม่เที่ยงของจิต" อย่าต่อต้านความรู้สึกเหล่านั้น แต่ให้มองเห็นว่าเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป 7. ระมัดระวังไม่บังคับตัวเองเกินไป หากกดดันตัวเองมากเกินไป อาจทำให้เกิดความเครียดและความต่อต้าน ให้ปฏิบัติด้วยใจที่ผ่อนคลาย เห็นการเจริญอสุภเป็นโอกาสฝึกปัญญา ไม่ใช่การบีบบังคับ ข้อควรระวัง การเจริญอสุภกรรมฐานอาจทำให้จิตเกิดความรู้สึกต่อต้าน หรือเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิต ถ้าไม่พร้อมทางจิตใจควรทำในระดับที่พอดี ควรมีครูหรือผู้รู้ช่วยชี้แนะเป็นระยะ สรุป: อสุภกรรมฐานต้องใช้ความต่อเนื่องและสมาธิเป็นเครื่องนำทาง การฝึกในเบื้องต้นอาจเริ่มด้วยการพิจารณาอวัยวะหรือธรรมชาติของร่างกาย และใช้สติคอยดูแลจิตให้รู้สึกถึงความไม่เที่ยงของกายนี้ การเจริญอสุภไม่ใช่เพื่อความรังเกียจร่างกาย แต่เพื่อปล่อยวางและเห็นธรรมชาติของมันตามความเป็นจริง!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • เราจะเห็นผลร้ายจาก
    สิ่งที่ทิ่มแทงแขนของเรา ในปี 2025
    เป็นต้นไป
    อย่าวางใจ
    อย่าหลับใหล
    ช่วยตัวเองได้ต้องรีบช่วย
    สร้างพลังกายให้แข็งแรง

    โลกแห่งละคร มาถึงฉาก
    ใกล้จบของมารร้าย
    แต่ก่อนจบ มันจะอาละวาดหนัก
    ความตายของมนุษย์โลกคือชัยชนะของมัน

    เราถูกบังคับให้ร่วมเล่นกับละครฉากนี้
    และเราจะต้องเป็นผู้กำกับการแสดงของเราเอง ให้รอดพ้นจากความตายที่หมู่มารโลกมอบให้

    เมื่อเรามีชีวิตอยู่รอด
    ก้าวพ้นยุคแห่งความชั่วร้ายได้
    กายและจิตวิญญาณของเราจะสะอาดบริสุทธิ์
    พร้อมที่จะรับพลังจากจักรวาล มาเสริมสร้างธาตุรู้
    แห่งจิตวิญญาณให้กล้าแข็ง

    เมื่อธาตุรู้แห่งจิตบังเกิด
    อภิญญา ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

    ดังนั้นการตั้งสติให้มั่นคง
    ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่ความตาย
    จึงเป็นสิ่งสำคัญ

    เราคงไม่เคยคิดมาก่อนว่า
    จะมีเหตุการณ์ร้ายแรงที่ทำลายล้างมนุษย์ได้มากมายขนาดนี้
    มนุษย์จะเหลือเพียง10%
    ของมนุษย์ทั้งโลก ตามคำทำนาย
    แล้วละหรือ

    ถ้าพิจารณาเหตุและผลที่เกิดขึ้น
    ในช่วงเวลานี้ ยิ่งให้น่าเป็นห่วง

    ขอคุรุโพธิสัตว์ โปรดเมตตา
    ให้มนุษย์ได้ตื่นรู้ ยอมรับความจริงที่กำลังเกิดขึ้นดังกล่าว

    แม้ไม่ทันได้รู้ ต้องเสียทีเหล่ามาร
    ร่างกายมิอาจดำรงให้จิตวิญญาณอยู่เป็นปกติได้
    ก็ขอให้พระองค์ได้โปรดอุ้มชู
    รับดวงจิตที่ต้องออกจากร่างขันธ์ กลับคืนสู่สุขาวดี
    ไม่ต้องถูกมารฉุดลากให้ลงอบายภูมิ เป็นทาสรับใช้ แบบไม่ได้ผุดได้เกิดเลย

    ร่วมกันส่งพลังความรักความเมตตา
    ออกสู่โลกและจักรวาล ทุกวัน
    ให้พลังความรักความเมตตาท่วมท้น
    จนหมู่มารทนกระแสพลัง
    อันบริสุทธิ์นี้ไม่ได้
    ต้องแตกดับลับไป

    HOS.HOLY SHIFT
    8 มกราคม 2568

    #อัศวินอัตแพทย์
    #Silver
    #ล้างพิษ
    เราจะเห็นผลร้ายจาก สิ่งที่ทิ่มแทงแขนของเรา ในปี 2025 เป็นต้นไป อย่าวางใจ อย่าหลับใหล ช่วยตัวเองได้ต้องรีบช่วย สร้างพลังกายให้แข็งแรง โลกแห่งละคร มาถึงฉาก ใกล้จบของมารร้าย แต่ก่อนจบ มันจะอาละวาดหนัก ความตายของมนุษย์โลกคือชัยชนะของมัน เราถูกบังคับให้ร่วมเล่นกับละครฉากนี้ และเราจะต้องเป็นผู้กำกับการแสดงของเราเอง ให้รอดพ้นจากความตายที่หมู่มารโลกมอบให้ เมื่อเรามีชีวิตอยู่รอด ก้าวพ้นยุคแห่งความชั่วร้ายได้ กายและจิตวิญญาณของเราจะสะอาดบริสุทธิ์ พร้อมที่จะรับพลังจากจักรวาล มาเสริมสร้างธาตุรู้ แห่งจิตวิญญาณให้กล้าแข็ง เมื่อธาตุรู้แห่งจิตบังเกิด อภิญญา ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ดังนั้นการตั้งสติให้มั่นคง ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่ความตาย จึงเป็นสิ่งสำคัญ เราคงไม่เคยคิดมาก่อนว่า จะมีเหตุการณ์ร้ายแรงที่ทำลายล้างมนุษย์ได้มากมายขนาดนี้ มนุษย์จะเหลือเพียง10% ของมนุษย์ทั้งโลก ตามคำทำนาย แล้วละหรือ ถ้าพิจารณาเหตุและผลที่เกิดขึ้น ในช่วงเวลานี้ ยิ่งให้น่าเป็นห่วง ขอคุรุโพธิสัตว์ โปรดเมตตา ให้มนุษย์ได้ตื่นรู้ ยอมรับความจริงที่กำลังเกิดขึ้นดังกล่าว แม้ไม่ทันได้รู้ ต้องเสียทีเหล่ามาร ร่างกายมิอาจดำรงให้จิตวิญญาณอยู่เป็นปกติได้ ก็ขอให้พระองค์ได้โปรดอุ้มชู รับดวงจิตที่ต้องออกจากร่างขันธ์ กลับคืนสู่สุขาวดี ไม่ต้องถูกมารฉุดลากให้ลงอบายภูมิ เป็นทาสรับใช้ แบบไม่ได้ผุดได้เกิดเลย ร่วมกันส่งพลังความรักความเมตตา ออกสู่โลกและจักรวาล ทุกวัน ให้พลังความรักความเมตตาท่วมท้น จนหมู่มารทนกระแสพลัง อันบริสุทธิ์นี้ไม่ได้ ต้องแตกดับลับไป HOS.HOLY SHIFT 8 มกราคม 2568 #อัศวินอัตแพทย์ #Silver #ล้างพิษ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำบุญหวังผล จัดเป็นทานบารมีไหม?

    การทำบุญหวังผลนั้นสามารถจัดเป็น ทานบารมี ได้ แต่มีความแตกต่างใน ระดับของบารมี และ ความละเอียดของจิต ที่แฝงอยู่ในขณะทำทาน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดังนี้:


    ---

    1. ทำบุญหวังผลในเชิงสัมมาทิฏฐิ

    ใจเลื่อมใสว่าทานมีผล: เชื่อว่าการทำความดี การให้ทานจะนำมาซึ่งผลดีในอนาคต เช่น ความสุข ความเจริญ หรือการเกิดในภพภูมิที่ดี

    จิตประกอบด้วยศรัทธาและเจตนาในทางกุศล: แม้มีความหวังผล แต่ยังคงเป็นความหวังในลักษณะสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ)

    นับเป็นทานบารมีระดับต้นถึงกลาง: บุญที่เกิดขึ้นจะช่วยสร้างบารมีในระดับที่นำพาไปสู่ความดี ความสุข และความเจริญทางจิตใจและชีวิต แต่ยังไม่ถึงความละเอียดสูงสุด



    ---

    2. ทำบุญหวังผลแบบเจาะจง (จิตคับแคบ)

    ทำบุญโดยมุ่งเน้นผลตอบแทนเฉพาะเจาะจง เช่น "ฉันทำบุญนี้เพื่อให้ได้ลาภสักการะ หรือเพื่อได้สวรรค์ชั้นนั้น ชั้นนี้"

    จิตประกอบด้วยความละโมบแบบนักลงทุน: ขาดความประณีตและความเปิดกว้างในการให้ อานิสงส์ที่ได้รับจึงถูกจำกัดอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า เช่น สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งยังคงอยู่ในขอบเขตของความเป็นปุถุชน



    ---

    3. ทำบุญโดยไม่หวังผลตอบแทน

    จิตบริสุทธิ์ เบิกบาน ไม่เลือกหน้า: ให้ด้วยความเมตตา ปรารถนาเพียงความสุขของผู้รับ โดยไม่หวังผลตอบแทน

    เกิดปีติสุขจากการทำทันที: ไม่ต้องรอผลในอนาคต เพราะจิตได้สัมผัสถึงความสุขจากการให้ตั้งแต่ขณะนั้น

    นับเป็นทานบารมีระดับสูง: อานิสงส์ของทานเช่นนี้จะส่งผลให้เกิดความสุข ความผ่องใส ทั้งในชาตินี้และชาติต่อไป และอาจนำไปสู่การเข้าถึงความละเอียดของจิตที่สูงขึ้น เช่น สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรือสูงกว่านั้น



    ---

    สรุป: ทำบุญหวังผลเป็นทานบารมีหรือไม่?

    หากหวังผลในเชิงสัมมาทิฏฐิและไม่ละโมบจนเกินไป การทำบุญหวังผลยังคงเป็น ทานบารมี แต่ผลที่ได้รับจะคับแคบตามความคาดหวังนั้น

    หากไม่หวังผลตอบแทน จิตใจเปิดกว้าง เบิกบาน การทำบุญนั้นจะเป็น ทานบารมีระดับสูงสุด ที่ก่อให้เกิดอานิสงส์ยิ่งใหญ่ทั้งในปัจจุบันและอนาคต.


    ทำบุญหวังผล จัดเป็นทานบารมีไหม? การทำบุญหวังผลนั้นสามารถจัดเป็น ทานบารมี ได้ แต่มีความแตกต่างใน ระดับของบารมี และ ความละเอียดของจิต ที่แฝงอยู่ในขณะทำทาน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดังนี้: --- 1. ทำบุญหวังผลในเชิงสัมมาทิฏฐิ ใจเลื่อมใสว่าทานมีผล: เชื่อว่าการทำความดี การให้ทานจะนำมาซึ่งผลดีในอนาคต เช่น ความสุข ความเจริญ หรือการเกิดในภพภูมิที่ดี จิตประกอบด้วยศรัทธาและเจตนาในทางกุศล: แม้มีความหวังผล แต่ยังคงเป็นความหวังในลักษณะสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) นับเป็นทานบารมีระดับต้นถึงกลาง: บุญที่เกิดขึ้นจะช่วยสร้างบารมีในระดับที่นำพาไปสู่ความดี ความสุข และความเจริญทางจิตใจและชีวิต แต่ยังไม่ถึงความละเอียดสูงสุด --- 2. ทำบุญหวังผลแบบเจาะจง (จิตคับแคบ) ทำบุญโดยมุ่งเน้นผลตอบแทนเฉพาะเจาะจง เช่น "ฉันทำบุญนี้เพื่อให้ได้ลาภสักการะ หรือเพื่อได้สวรรค์ชั้นนั้น ชั้นนี้" จิตประกอบด้วยความละโมบแบบนักลงทุน: ขาดความประณีตและความเปิดกว้างในการให้ อานิสงส์ที่ได้รับจึงถูกจำกัดอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า เช่น สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งยังคงอยู่ในขอบเขตของความเป็นปุถุชน --- 3. ทำบุญโดยไม่หวังผลตอบแทน จิตบริสุทธิ์ เบิกบาน ไม่เลือกหน้า: ให้ด้วยความเมตตา ปรารถนาเพียงความสุขของผู้รับ โดยไม่หวังผลตอบแทน เกิดปีติสุขจากการทำทันที: ไม่ต้องรอผลในอนาคต เพราะจิตได้สัมผัสถึงความสุขจากการให้ตั้งแต่ขณะนั้น นับเป็นทานบารมีระดับสูง: อานิสงส์ของทานเช่นนี้จะส่งผลให้เกิดความสุข ความผ่องใส ทั้งในชาตินี้และชาติต่อไป และอาจนำไปสู่การเข้าถึงความละเอียดของจิตที่สูงขึ้น เช่น สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรือสูงกว่านั้น --- สรุป: ทำบุญหวังผลเป็นทานบารมีหรือไม่? หากหวังผลในเชิงสัมมาทิฏฐิและไม่ละโมบจนเกินไป การทำบุญหวังผลยังคงเป็น ทานบารมี แต่ผลที่ได้รับจะคับแคบตามความคาดหวังนั้น หากไม่หวังผลตอบแทน จิตใจเปิดกว้าง เบิกบาน การทำบุญนั้นจะเป็น ทานบารมีระดับสูงสุด ที่ก่อให้เกิดอานิสงส์ยิ่งใหญ่ทั้งในปัจจุบันและอนาคต.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • "กว่าจะเลิกอยากให้คนอื่นเข้าใจคุณ
    คุณจำเป็นต้องเข้าใจตัวเองให้ขาด
    และเห็นใจคนอื่นมากๆได้เสียก่อน!"

    นี่เป็นประโยคที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่าง การรู้จักตัวเอง และ การเข้าใจผู้อื่น อย่างลึกซึ้ง:

    1. เข้าใจตัวเองให้ขาด

    หมายถึงการยอมรับในตัวเองทั้งข้อดีและข้อด้อย โดยไม่ต้องการการยืนยันหรือการยอมรับจากคนอื่น

    เมื่อคุณรู้จักตัวเองดีพอ จะไม่มีความจำเป็นต้องให้คนอื่นมาเติมเต็ม หรือเข้าใจในสิ่งที่คุณเป็น



    2. เห็นใจคนอื่นมากๆ

    การมองโลกจากมุมของคนอื่นช่วยลดความคาดหวังที่เรามีต่อพวกเขา

    แทนที่จะอยากให้คนอื่นเข้าใจเรา การเห็นอกเห็นใจคนอื่นกลับทำให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และลดความรู้สึกผิดหวังเมื่อไม่ได้รับการเข้าใจตามที่คาดหวัง



    3. ปล่อยวางความคาดหวัง

    เมื่อคุณเลิกอยากให้คนอื่นเข้าใจ คุณจะพบความสงบสุข เพราะไม่ต้องผูกความสุขไว้กับการกระทำหรือคำพูดของใคร

    ความสุขที่แท้จริงมาจากการเข้าใจตัวเองและมอบพื้นที่ให้คนอื่นเป็นตัวของตัวเอง




    บทเรียน:
    เมื่อเราเข้าใจตัวเองดีพอและมีความเมตตาต่อผู้อื่น ความต้องการให้คนอื่นเข้าใจเราจะจางหายไปเอง เพราะเราจะรู้ว่า ความเข้าใจในตัวเองนั้นเพียงพอที่จะทำให้ชีวิตสมดุลและสงบสุขได้.

    "กว่าจะเลิกอยากให้คนอื่นเข้าใจคุณ คุณจำเป็นต้องเข้าใจตัวเองให้ขาด และเห็นใจคนอื่นมากๆได้เสียก่อน!" นี่เป็นประโยคที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่าง การรู้จักตัวเอง และ การเข้าใจผู้อื่น อย่างลึกซึ้ง: 1. เข้าใจตัวเองให้ขาด หมายถึงการยอมรับในตัวเองทั้งข้อดีและข้อด้อย โดยไม่ต้องการการยืนยันหรือการยอมรับจากคนอื่น เมื่อคุณรู้จักตัวเองดีพอ จะไม่มีความจำเป็นต้องให้คนอื่นมาเติมเต็ม หรือเข้าใจในสิ่งที่คุณเป็น 2. เห็นใจคนอื่นมากๆ การมองโลกจากมุมของคนอื่นช่วยลดความคาดหวังที่เรามีต่อพวกเขา แทนที่จะอยากให้คนอื่นเข้าใจเรา การเห็นอกเห็นใจคนอื่นกลับทำให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และลดความรู้สึกผิดหวังเมื่อไม่ได้รับการเข้าใจตามที่คาดหวัง 3. ปล่อยวางความคาดหวัง เมื่อคุณเลิกอยากให้คนอื่นเข้าใจ คุณจะพบความสงบสุข เพราะไม่ต้องผูกความสุขไว้กับการกระทำหรือคำพูดของใคร ความสุขที่แท้จริงมาจากการเข้าใจตัวเองและมอบพื้นที่ให้คนอื่นเป็นตัวของตัวเอง บทเรียน: เมื่อเราเข้าใจตัวเองดีพอและมีความเมตตาต่อผู้อื่น ความต้องการให้คนอื่นเข้าใจเราจะจางหายไปเอง เพราะเราจะรู้ว่า ความเข้าใจในตัวเองนั้นเพียงพอที่จะทำให้ชีวิตสมดุลและสงบสุขได้.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2/1/68

    ความเบิกบาย

    หมอสันต์พูดกับสมาชิกที่มาเข้าแค้มป์ Spiritual Retreat

    สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)หรือพูดอีกอย่างได้ว่าชีวิตนี้ถ้ามีสิ่งเดียวแล้วสิ่งอื่นไม่ต้องมีก็ได้ สิ่งนั้นก็คือความเบิกบาน (Joy) เพราะชีวิตเราทุกวันนี้เรามุ่งหน้าดั้นด้นค้นหาความสุข ซึ่งมันก็ตัวเดียวกับความเบิกบาน การได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้พบความมหัศจรรย์ (wonder) กับชีวิตนั่นแหละ

    เราจะเบิกบานได้มันมีองค์ประกอบสามสี่อย่าง

    หนึ่ง ก็คือเราต้องยอมรับ (acceptance) ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของเราให้ได้อย่างไม่มีเงื่อนไขก่อน หากเราไม่ยอมรับ เราก็จะเกร็ง จะสู้ หรือจะหนี นั่นก็คือภาวะเครียด ไม่ใช่เบิกบาน

    สอง ก็คือใจเราต้องสงบเย็น (peace) ให้ได้ก่อน ใจเราไม่สงบเพราะมันมีความคิด ดังนั้นเราต้องฝึกวางความคิดก่อน

    สาม ก็คือเราต้องผ่อนคลาย (relax) กล้ามเนื้อของเราก่อน เอาง่ายๆ ดูที่ใบหน้าของเราก็ได้ กล้ามเนื้ออื่นๆบนใบหน้า 42 มัดต้องผ่อนคลายก่อน กล้ามเนื้อ zygomaticus จึงจะหดตัวให้เรายิ้มที่มุมปากได้

    สี่ ก็คือความเบิกบานมันมีธรรมชาติเป็นความปลาบปลื้มตามหลังการได้แสดงความรักความเมตตา (love) มันตามกันมาโดยเราไม่รู้ตัว แค่เราโปรยข้าวให้ปลากิน หรือแค่เราปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ให้คนอื่นได้ชื่นชม เราก็ปลื้มแล้ว ความปลื้มนั้นแหละคือ Joy

    สี่อย่างนี้ คือ การยอมรับ ความสงบเย็น ความผ่อนคลาย ความเมตตา หรือถ้าพูดเป็นภาษาอังกฤษก็คือ acceptance, peace, relax, love มันนำมาสู่ความเบิกบาน หรือ joy ซึ่งได้ขาดหายไปจากชีวิตของเรามานานพอควร

    เราจะต้องปะติดปะต่อจิ๊กซอว์สี่ตัวนี้เข้าด้วยกันให้ได้ โดยในแค้มปื Spiritual Retreat นี้เราจะโฟกัสที่การฝึกวางความคิดให้เป็น ซึ่งจะเป็นเหตุนำให้เราสงบเย็น เราจะฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วย แค่ทำสองอย่างนี้ให้เก่ง อีกสองอย่าง คือการยอมรับและเมตตาธรรม มันจะค่อยๆเกิดขึ้นในใจของเราเองอย่างง่ายๆ เพราะแท้จริงเมตตาธรรมมันเป็นแก่นแท้หรือส่วนลึกที่สุดของใจเราอยู่แล้ว ขอเพียงแต่อย่าให้ความคิดมาเบรคหรือบดบังมันแต่นั้นแหละ

    นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

    ที่มา: บทความสุขภาพ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ | 7 พ.ย. 67
    2/1/68 ความเบิกบาย หมอสันต์พูดกับสมาชิกที่มาเข้าแค้มป์ Spiritual Retreat สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)หรือพูดอีกอย่างได้ว่าชีวิตนี้ถ้ามีสิ่งเดียวแล้วสิ่งอื่นไม่ต้องมีก็ได้ สิ่งนั้นก็คือความเบิกบาน (Joy) เพราะชีวิตเราทุกวันนี้เรามุ่งหน้าดั้นด้นค้นหาความสุข ซึ่งมันก็ตัวเดียวกับความเบิกบาน การได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้พบความมหัศจรรย์ (wonder) กับชีวิตนั่นแหละ เราจะเบิกบานได้มันมีองค์ประกอบสามสี่อย่าง หนึ่ง ก็คือเราต้องยอมรับ (acceptance) ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของเราให้ได้อย่างไม่มีเงื่อนไขก่อน หากเราไม่ยอมรับ เราก็จะเกร็ง จะสู้ หรือจะหนี นั่นก็คือภาวะเครียด ไม่ใช่เบิกบาน สอง ก็คือใจเราต้องสงบเย็น (peace) ให้ได้ก่อน ใจเราไม่สงบเพราะมันมีความคิด ดังนั้นเราต้องฝึกวางความคิดก่อน สาม ก็คือเราต้องผ่อนคลาย (relax) กล้ามเนื้อของเราก่อน เอาง่ายๆ ดูที่ใบหน้าของเราก็ได้ กล้ามเนื้ออื่นๆบนใบหน้า 42 มัดต้องผ่อนคลายก่อน กล้ามเนื้อ zygomaticus จึงจะหดตัวให้เรายิ้มที่มุมปากได้ สี่ ก็คือความเบิกบานมันมีธรรมชาติเป็นความปลาบปลื้มตามหลังการได้แสดงความรักความเมตตา (love) มันตามกันมาโดยเราไม่รู้ตัว แค่เราโปรยข้าวให้ปลากิน หรือแค่เราปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ให้คนอื่นได้ชื่นชม เราก็ปลื้มแล้ว ความปลื้มนั้นแหละคือ Joy สี่อย่างนี้ คือ การยอมรับ ความสงบเย็น ความผ่อนคลาย ความเมตตา หรือถ้าพูดเป็นภาษาอังกฤษก็คือ acceptance, peace, relax, love มันนำมาสู่ความเบิกบาน หรือ joy ซึ่งได้ขาดหายไปจากชีวิตของเรามานานพอควร เราจะต้องปะติดปะต่อจิ๊กซอว์สี่ตัวนี้เข้าด้วยกันให้ได้ โดยในแค้มปื Spiritual Retreat นี้เราจะโฟกัสที่การฝึกวางความคิดให้เป็น ซึ่งจะเป็นเหตุนำให้เราสงบเย็น เราจะฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วย แค่ทำสองอย่างนี้ให้เก่ง อีกสองอย่าง คือการยอมรับและเมตตาธรรม มันจะค่อยๆเกิดขึ้นในใจของเราเองอย่างง่ายๆ เพราะแท้จริงเมตตาธรรมมันเป็นแก่นแท้หรือส่วนลึกที่สุดของใจเราอยู่แล้ว ขอเพียงแต่อย่าให้ความคิดมาเบรคหรือบดบังมันแต่นั้นแหละ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ที่มา: บทความสุขภาพ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ | 7 พ.ย. 67
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • อภัยและปล่อยวาง: วิธีสร้างใจเย็นและโปร่งเบา

    เริ่มต้นให้อภัย: ทำไมจึงยาก?
    การให้อภัยไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่รู้สึกเจ็บลึกจากการกระทำของผู้อื่น ความรู้สึกเจ็บปวดและผูกใจเจ็บมักทำให้เราเห็นการให้อภัยเป็นการ "ปล่อยให้คนผิดลอยนวล" หรือ "ยอมเสียเปรียบ" แต่ในมุมมองทางพุทธศาสนา การให้อภัยคือการรักษาจิตใจของเราให้หายจาก "โรคทางใจ" ที่ชื่อว่าพยาบาท

    ---

    มองความพยาบาทในฐานะ 'โรคทางใจ'
    พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบความโกรธเกลียดว่าเป็นโรคที่รุมเร้าจิตใจ ทำให้เกิดความหดหู่ เศร้าหมอง และไร้กำลังวังชา การยอมปล่อยวางความพยาบาทจึงเปรียบเสมือนการรักษาใจให้กลับมาสดชื่นและมีพลังอีกครั้ง

    ---

    อุบายฝึกใจให้อภัย

    1. สังเกตใจที่ป่วย:
    เมื่อเราโกรธหรือผูกใจเจ็บ ให้สังเกตว่าใจของเรานั้นฟุ้งซ่าน ร้อนรน และไม่มีความสุข

    2. เปรียบเทียบสุขและทุกข์:
    เมื่อยังยึดติดกับความพยาบาท ความร้อนเหมือนไข้จะครอบงำใจ แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นอภัย ความเย็นและความสุขจะเข้ามาแทนที่

    3. เจริญเมตตา:
    ฝึกมองคู่กรณีในฐานะเพื่อนร่วมทุกข์ ปรารถนาให้เขาไม่ต้องเป็นต้นเหตุแห่งความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น

    4. ไม่จำเป็นต้องแกล้งดี:
    หากความสัมพันธ์ไม่สามารถฟื้นฟูได้ ให้ยุติความสัมพันธ์โดยไม่สร้างความเกลียดชังเพิ่มเติม การให้อภัยไม่ได้หมายถึงการกลับไปคบหากันเสมอไป

    ---

    อภัยไม่ได้แปลว่าไม่รักษาสิทธิ์
    การให้อภัยในมุมพุทธศาสนาไม่ใช่การยอมละทิ้งความยุติธรรม เราสามารถเรียกร้องสิทธิ์หรือปกป้องความถูกต้องได้ โดยไม่ต้องยึดติดหรือเก็บความโกรธไว้ในใจ

    ---

    ผลลัพธ์ของการให้อภัย
    เมื่อจิตใจเย็นลงจากการให้อภัยจริง เราจะรู้สึกโปร่งโล่ง มีพลัง และเปี่ยมด้วยความสุขแบบที่อยากแบ่งปันให้ผู้อื่น ความสุขนี้จะสะท้อนผ่านสายตา น้ำเสียง และท่าที ทำให้ผู้คนที่พบเจอรู้สึกประทับใจในความสงบและความเมตตาของเรา

    ข้อคิดส่งท้าย:
    การให้อภัยไม่ใช่เพียงการปล่อยคนอื่นไป แต่คือการปล่อยตัวเองจากความทุกข์ และสร้างโลกในใจให้เย็นและเบาสบาย!
    อภัยและปล่อยวาง: วิธีสร้างใจเย็นและโปร่งเบา เริ่มต้นให้อภัย: ทำไมจึงยาก? การให้อภัยไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่รู้สึกเจ็บลึกจากการกระทำของผู้อื่น ความรู้สึกเจ็บปวดและผูกใจเจ็บมักทำให้เราเห็นการให้อภัยเป็นการ "ปล่อยให้คนผิดลอยนวล" หรือ "ยอมเสียเปรียบ" แต่ในมุมมองทางพุทธศาสนา การให้อภัยคือการรักษาจิตใจของเราให้หายจาก "โรคทางใจ" ที่ชื่อว่าพยาบาท --- มองความพยาบาทในฐานะ 'โรคทางใจ' พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบความโกรธเกลียดว่าเป็นโรคที่รุมเร้าจิตใจ ทำให้เกิดความหดหู่ เศร้าหมอง และไร้กำลังวังชา การยอมปล่อยวางความพยาบาทจึงเปรียบเสมือนการรักษาใจให้กลับมาสดชื่นและมีพลังอีกครั้ง --- อุบายฝึกใจให้อภัย 1. สังเกตใจที่ป่วย: เมื่อเราโกรธหรือผูกใจเจ็บ ให้สังเกตว่าใจของเรานั้นฟุ้งซ่าน ร้อนรน และไม่มีความสุข 2. เปรียบเทียบสุขและทุกข์: เมื่อยังยึดติดกับความพยาบาท ความร้อนเหมือนไข้จะครอบงำใจ แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นอภัย ความเย็นและความสุขจะเข้ามาแทนที่ 3. เจริญเมตตา: ฝึกมองคู่กรณีในฐานะเพื่อนร่วมทุกข์ ปรารถนาให้เขาไม่ต้องเป็นต้นเหตุแห่งความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น 4. ไม่จำเป็นต้องแกล้งดี: หากความสัมพันธ์ไม่สามารถฟื้นฟูได้ ให้ยุติความสัมพันธ์โดยไม่สร้างความเกลียดชังเพิ่มเติม การให้อภัยไม่ได้หมายถึงการกลับไปคบหากันเสมอไป --- อภัยไม่ได้แปลว่าไม่รักษาสิทธิ์ การให้อภัยในมุมพุทธศาสนาไม่ใช่การยอมละทิ้งความยุติธรรม เราสามารถเรียกร้องสิทธิ์หรือปกป้องความถูกต้องได้ โดยไม่ต้องยึดติดหรือเก็บความโกรธไว้ในใจ --- ผลลัพธ์ของการให้อภัย เมื่อจิตใจเย็นลงจากการให้อภัยจริง เราจะรู้สึกโปร่งโล่ง มีพลัง และเปี่ยมด้วยความสุขแบบที่อยากแบ่งปันให้ผู้อื่น ความสุขนี้จะสะท้อนผ่านสายตา น้ำเสียง และท่าที ทำให้ผู้คนที่พบเจอรู้สึกประทับใจในความสงบและความเมตตาของเรา ข้อคิดส่งท้าย: การให้อภัยไม่ใช่เพียงการปล่อยคนอื่นไป แต่คือการปล่อยตัวเองจากความทุกข์ และสร้างโลกในใจให้เย็นและเบาสบาย!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 279 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=6ZsoYrzGq58
    บทสนทนาวันคริสต์มาส
    (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้)
    แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาวันคริสต์มาส
    มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ

    #บทสนทนาภาษาอังกฤษ #ฝึกฟังภาษาอังกฤษ #คริสต์มาส

    The conversations from the clip :

    Alice: Hi, Ben! Christmas is coming soon. Do you know much about the history of Santa Claus?
    Ben: Hey, Alice! A little bit. Santa Claus is based on Saint Nicholas, right?
    Alice: That’s right! He was a kind man who gave gifts to the poor, especially children.
    Ben: I heard he was a bishop from what is now Turkey. Is that true?
    Alice: Yes, exactly. Over time, his story spread to other countries, and he became a symbol of generosity.
    Ben: But how did Saint Nicholas turn into Santa Claus?
    Alice: The modern version of Santa came from Dutch settlers in America. They called him "Sinterklaas."
    Ben: Oh, so that’s where the name Santa Claus came from! What about his red suit?
    Alice: The red suit became popular in the 19th century, thanks to illustrations by Thomas Nast and later Coca-Cola ads.
    Ben: I see. And the reindeer and sleigh?
    Alice: Those came from a poem called A Visit from St. Nicholas, also known as 'Twas the Night Before Christmas.
    Ben: That’s fascinating! What about Christmas traditions?
    Alice: People exchange gifts, decorate Christmas trees, and sing carols. Each culture has unique traditions too.
    Ben: I love the idea of spreading joy and spending time with family during Christmas.
    Alice: Me too! It’s also a time to reflect on kindness and generosity, just like Saint Nicholas.
    Ben: Absolutely. By the way, have you decorated your house yet?
    Alice: Not yet, but I’m planning to this weekend.

    อลิซ: สวัสดี เบ็น! คริสต์มาสใกล้จะมาถึงแล้ว คุณรู้เรื่องประวัติของซานตาคลอสบ้างไหม?
    เบ็น: เฮ้ อลิซ! นิดหน่อยนะ ซานตาคลอสมีต้นแบบมาจากนักบุญนิโคลัส ใช่ไหม?
    อลิซ: ใช่เลย! เขาเป็นคนใจดีที่มอบของขวัญให้คนยากจน โดยเฉพาะเด็กๆ
    เบ็น: ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นบิชอปจากพื้นที่ที่ปัจจุบันคือประเทศตุรกี จริงหรือเปล่า?
    อลิซ: ใช่เลย ถูกต้อง! เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวของเขาก็แพร่กระจายไปยังประเทศอื่นๆ และเขาก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเอื้ออาทร
    เบ็น: แล้วนักบุญนิโคลัสกลายมาเป็นซานตาคลอสได้ยังไง?
    อลิซ: เวอร์ชันสมัยใหม่ของซานตามาจากผู้ตั้งถิ่นฐานชาวดัตช์ในอเมริกา พวกเขาเรียกเขาว่า "ซินเตอร์คลาส"
    เบ็น: โอ้ งั้นชื่อ "ซานตาคลอส" ก็มาจากตรงนี้นี่เอง! แล้วชุดสีแดงล่ะ?
    อลิซ: ชุดสีแดงกลายเป็นที่นิยมในศตวรรษที่ 19 จากภาพวาดของโธมัส แนสต์ และโฆษณาของโคคา-โคลาในภายหลัง
    เบ็น: เข้าใจแล้ว แล้วพวกกวางเรนเดียร์กับรถเลื่อนล่ะ?
    อลิซ: นั่นมาจากบทกวีชื่อ A Visit from St. Nicholas หรือที่รู้จักกันว่า 'Twas the Night Before Christmas
    เบ็น: น่าสนใจมาก! แล้วเกี่ยวกับประเพณีคริสต์มาสล่ะ?
    อลิซ: ผู้คนแลกเปลี่ยนของขวัญ ตกแต่งต้นคริสต์มาส และร้องเพลงคริสต์มาส แต่ละวัฒนธรรมก็มีประเพณีเฉพาะตัวด้วยนะ
    เบ็น: ฉันชอบความคิดในการแพร่กระจายความสุขและการใช้เวลาร่วมกับครอบครัวในช่วงคริสต์มาสมาก
    อลิซ: ฉันก็เหมือนกัน! นี่ก็เป็นเวลาที่จะคิดถึงความใจดีและความเอื้ออาทร เหมือนอย่างนักบุญนิโคลัส
    เบ็น: เห็นด้วยเลย แล้วบ้านคุณตกแต่งหรือยัง?
    อลิซ: ยังเลย แต่ฉันวางแผนจะทำสุดสัปดาห์นี้

    Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้)

    History (ฮิส-โท-รี) n. แปลว่า ประวัติศาสตร์
    Generosity (เจน-เนอ-รอส-ซิ-ที) n. แปลว่า ความเอื้อเฟื้อ
    Symbol (ซิม-เบิล) n. แปลว่า สัญลักษณ์
    Settlers (เซท-เลอร์ส) n. แปลว่า ผู้ตั้งถิ่นฐาน
    Illustrations (อิล-ลัส-เทร-ชั่นส์) n. แปลว่า ภาพประกอบ
    Advertisement (แอด-เวอร์-ไทซ์-เมินท์) n. แปลว่า โฆษณา
    Poem (โพ-เอม) n. แปลว่า บทกวี
    Traditions (ทรา-ดิ-ชั่นส์) n. แปลว่า ขนบธรรมเนียม
    Decorate (เดค-คะ-เรท) v. แปลว่า ตกแต่ง
    Reflect (รี-เฟล็คท์) v. แปลว่า สะท้อน
    Kindness (ไคน์-เนส) n. แปลว่า ความเมตตา
    Unique (ยู-นีค) adj. แปลว่า เป็นเอกลักษณ์
    Spread (สเปรด) v. แปลว่า แพร่กระจาย
    Joy (จอย) n. แปลว่า ความสุข
    Fascinating (แฟส-ซิ-เน-ทิง) adj. แปลว่า น่าหลงใหล
    https://www.youtube.com/watch?v=6ZsoYrzGq58 บทสนทนาวันคริสต์มาส (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้) แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาวันคริสต์มาส มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ #บทสนทนาภาษาอังกฤษ #ฝึกฟังภาษาอังกฤษ #คริสต์มาส The conversations from the clip : Alice: Hi, Ben! Christmas is coming soon. Do you know much about the history of Santa Claus? Ben: Hey, Alice! A little bit. Santa Claus is based on Saint Nicholas, right? Alice: That’s right! He was a kind man who gave gifts to the poor, especially children. Ben: I heard he was a bishop from what is now Turkey. Is that true? Alice: Yes, exactly. Over time, his story spread to other countries, and he became a symbol of generosity. Ben: But how did Saint Nicholas turn into Santa Claus? Alice: The modern version of Santa came from Dutch settlers in America. They called him "Sinterklaas." Ben: Oh, so that’s where the name Santa Claus came from! What about his red suit? Alice: The red suit became popular in the 19th century, thanks to illustrations by Thomas Nast and later Coca-Cola ads. Ben: I see. And the reindeer and sleigh? Alice: Those came from a poem called A Visit from St. Nicholas, also known as 'Twas the Night Before Christmas. Ben: That’s fascinating! What about Christmas traditions? Alice: People exchange gifts, decorate Christmas trees, and sing carols. Each culture has unique traditions too. Ben: I love the idea of spreading joy and spending time with family during Christmas. Alice: Me too! It’s also a time to reflect on kindness and generosity, just like Saint Nicholas. Ben: Absolutely. By the way, have you decorated your house yet? Alice: Not yet, but I’m planning to this weekend. อลิซ: สวัสดี เบ็น! คริสต์มาสใกล้จะมาถึงแล้ว คุณรู้เรื่องประวัติของซานตาคลอสบ้างไหม? เบ็น: เฮ้ อลิซ! นิดหน่อยนะ ซานตาคลอสมีต้นแบบมาจากนักบุญนิโคลัส ใช่ไหม? อลิซ: ใช่เลย! เขาเป็นคนใจดีที่มอบของขวัญให้คนยากจน โดยเฉพาะเด็กๆ เบ็น: ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นบิชอปจากพื้นที่ที่ปัจจุบันคือประเทศตุรกี จริงหรือเปล่า? อลิซ: ใช่เลย ถูกต้อง! เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวของเขาก็แพร่กระจายไปยังประเทศอื่นๆ และเขาก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเอื้ออาทร เบ็น: แล้วนักบุญนิโคลัสกลายมาเป็นซานตาคลอสได้ยังไง? อลิซ: เวอร์ชันสมัยใหม่ของซานตามาจากผู้ตั้งถิ่นฐานชาวดัตช์ในอเมริกา พวกเขาเรียกเขาว่า "ซินเตอร์คลาส" เบ็น: โอ้ งั้นชื่อ "ซานตาคลอส" ก็มาจากตรงนี้นี่เอง! แล้วชุดสีแดงล่ะ? อลิซ: ชุดสีแดงกลายเป็นที่นิยมในศตวรรษที่ 19 จากภาพวาดของโธมัส แนสต์ และโฆษณาของโคคา-โคลาในภายหลัง เบ็น: เข้าใจแล้ว แล้วพวกกวางเรนเดียร์กับรถเลื่อนล่ะ? อลิซ: นั่นมาจากบทกวีชื่อ A Visit from St. Nicholas หรือที่รู้จักกันว่า 'Twas the Night Before Christmas เบ็น: น่าสนใจมาก! แล้วเกี่ยวกับประเพณีคริสต์มาสล่ะ? อลิซ: ผู้คนแลกเปลี่ยนของขวัญ ตกแต่งต้นคริสต์มาส และร้องเพลงคริสต์มาส แต่ละวัฒนธรรมก็มีประเพณีเฉพาะตัวด้วยนะ เบ็น: ฉันชอบความคิดในการแพร่กระจายความสุขและการใช้เวลาร่วมกับครอบครัวในช่วงคริสต์มาสมาก อลิซ: ฉันก็เหมือนกัน! นี่ก็เป็นเวลาที่จะคิดถึงความใจดีและความเอื้ออาทร เหมือนอย่างนักบุญนิโคลัส เบ็น: เห็นด้วยเลย แล้วบ้านคุณตกแต่งหรือยัง? อลิซ: ยังเลย แต่ฉันวางแผนจะทำสุดสัปดาห์นี้ Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้) History (ฮิส-โท-รี) n. แปลว่า ประวัติศาสตร์ Generosity (เจน-เนอ-รอส-ซิ-ที) n. แปลว่า ความเอื้อเฟื้อ Symbol (ซิม-เบิล) n. แปลว่า สัญลักษณ์ Settlers (เซท-เลอร์ส) n. แปลว่า ผู้ตั้งถิ่นฐาน Illustrations (อิล-ลัส-เทร-ชั่นส์) n. แปลว่า ภาพประกอบ Advertisement (แอด-เวอร์-ไทซ์-เมินท์) n. แปลว่า โฆษณา Poem (โพ-เอม) n. แปลว่า บทกวี Traditions (ทรา-ดิ-ชั่นส์) n. แปลว่า ขนบธรรมเนียม Decorate (เดค-คะ-เรท) v. แปลว่า ตกแต่ง Reflect (รี-เฟล็คท์) v. แปลว่า สะท้อน Kindness (ไคน์-เนส) n. แปลว่า ความเมตตา Unique (ยู-นีค) adj. แปลว่า เป็นเอกลักษณ์ Spread (สเปรด) v. แปลว่า แพร่กระจาย Joy (จอย) n. แปลว่า ความสุข Fascinating (แฟส-ซิ-เน-ทิง) adj. แปลว่า น่าหลงใหล
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 451 มุมมอง 0 รีวิว
  • หน้ากล้องระรื่นไลฟ์ท้าทายเก่งกล้า ไลฟ์จบทักกรรูมา ขอเคลีย ขอความเมตตา ทุ๊ย พี่คิงส์ไม่คุยกับคนซั่ว สุดซอย!
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    หน้ากล้องระรื่นไลฟ์ท้าทายเก่งกล้า ไลฟ์จบทักกรรูมา ขอเคลีย ขอความเมตตา ทุ๊ย พี่คิงส์ไม่คุยกับคนซั่ว สุดซอย! #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 308 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซีเรียแตกแล้ว และนี่คือแถลงการณ์จาก "รัฐบาลเปลี่ยนผ่านซีเรีย" (ผู้ปกครองใหม่ของซีเรีย):

    ลูกหลานซีเรียที่เป็นอิสระ

    หลังจากหลายปีของความอยุติธรรม การกดขี่ และหลังจากการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของลูกหลานในบ้านเกิดอันเป็นที่รักแห่งนี้ เราขอประกาศในวันนี้ต่อประชาชนซีเรียที่ยิ่งใหญ่และคนทั้งโลกว่าระบอบการปกครองของบาชาร์ อัลอัสซาดได้ล่มสลายลงแล้ว และเขาได้หลบหนีออกจากประเทศ โดยทิ้งมรดกแห่งความพินาศและความทุกข์ทรมานไว้เบื้องหลัง

    ในวันประวัติศาสตร์นี้ เราขอประกาศว่ากองกำลังของการปฏิวัติและฝ่ายต่อต้านได้เข้าควบคุมสถานการณ์ในซีเรียอันเป็นที่รักของเราแล้ว เราขอประกาศอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นของเราในการสร้างรัฐที่เสรี ยุติธรรม และเป็นประชาธิปไตย ซึ่งพลเมืองทุกคนเท่าเทียมกันและปราศจากการเลือกปฏิบัติใดๆ

    เราให้คำมั่นต่อพระเจ้าและต่อประชาชนว่า จะรักษาความสามัคคีและอำนาจอธิปไตยของดินแดนซีเรีย ปกป้องพลเมืองทุกคนและทรัพย์สินของพวกเขา ไม่ว่าจะสังกัดพรรคใดก็ตาม

    จะทำงานเพื่อสร้างรัฐและสถาบันต่างๆ ขึ้นมาใหม่ตามหลักการของเสรีภาพและความยุติธรรม

    จะมุ่งมั่นเพื่อการปรองดองระดับชาติอย่างครอบคลุมและให้แน่ใจว่าผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นจะกลับบ้านอย่างปลอดภัยและมีศักดิ์ศรี

    จะดำเนินคดีกับผู้ที่ก่ออาชญากรรมต่อชาวซีเรียทั้งหมดตามกฎหมายและความยุติธรรม

    เราเรียกร้องให้ชาวซีเรียสามัคคีและยืนหยัดร่วมกันในช่วงเวลาประวัติศาสตร์นี้ เราขอยืนยันว่าซีเรียใหม่จะไม่เป็นของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะเป็นบ้านเกิดของทุกคน

    ซีเรียที่เสรีและภาคภูมิใจจงเจริญ!
    และขอให้สันติภาพ ความเมตตา และพรจากอัลลอฮ์จงมีแด่ท่าน

    สภาการเปลี่ยนผ่านแห่งชาติ
    ดามัสกัส 8 ธันวาคม 2024
    ซีเรียแตกแล้ว และนี่คือแถลงการณ์จาก "รัฐบาลเปลี่ยนผ่านซีเรีย" (ผู้ปกครองใหม่ของซีเรีย): ลูกหลานซีเรียที่เป็นอิสระ หลังจากหลายปีของความอยุติธรรม การกดขี่ และหลังจากการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของลูกหลานในบ้านเกิดอันเป็นที่รักแห่งนี้ เราขอประกาศในวันนี้ต่อประชาชนซีเรียที่ยิ่งใหญ่และคนทั้งโลกว่าระบอบการปกครองของบาชาร์ อัลอัสซาดได้ล่มสลายลงแล้ว และเขาได้หลบหนีออกจากประเทศ โดยทิ้งมรดกแห่งความพินาศและความทุกข์ทรมานไว้เบื้องหลัง ในวันประวัติศาสตร์นี้ เราขอประกาศว่ากองกำลังของการปฏิวัติและฝ่ายต่อต้านได้เข้าควบคุมสถานการณ์ในซีเรียอันเป็นที่รักของเราแล้ว เราขอประกาศอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นของเราในการสร้างรัฐที่เสรี ยุติธรรม และเป็นประชาธิปไตย ซึ่งพลเมืองทุกคนเท่าเทียมกันและปราศจากการเลือกปฏิบัติใดๆ เราให้คำมั่นต่อพระเจ้าและต่อประชาชนว่า จะรักษาความสามัคคีและอำนาจอธิปไตยของดินแดนซีเรีย ปกป้องพลเมืองทุกคนและทรัพย์สินของพวกเขา ไม่ว่าจะสังกัดพรรคใดก็ตาม จะทำงานเพื่อสร้างรัฐและสถาบันต่างๆ ขึ้นมาใหม่ตามหลักการของเสรีภาพและความยุติธรรม จะมุ่งมั่นเพื่อการปรองดองระดับชาติอย่างครอบคลุมและให้แน่ใจว่าผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นจะกลับบ้านอย่างปลอดภัยและมีศักดิ์ศรี จะดำเนินคดีกับผู้ที่ก่ออาชญากรรมต่อชาวซีเรียทั้งหมดตามกฎหมายและความยุติธรรม เราเรียกร้องให้ชาวซีเรียสามัคคีและยืนหยัดร่วมกันในช่วงเวลาประวัติศาสตร์นี้ เราขอยืนยันว่าซีเรียใหม่จะไม่เป็นของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะเป็นบ้านเกิดของทุกคน ซีเรียที่เสรีและภาคภูมิใจจงเจริญ! และขอให้สันติภาพ ความเมตตา และพรจากอัลลอฮ์จงมีแด่ท่าน สภาการเปลี่ยนผ่านแห่งชาติ ดามัสกัส 8 ธันวาคม 2024
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมืองฮามาของซีเรียแตกแล้ว ตกอยู่ในการควบคุมของกลุ่มกบฏซีเรียเรียบร้อย! กองทัพซีเรียถอนทหารออกจากเมืองแล้ว

    ทางด้าน จูลานี ผู้นำกลุ่มกบฏซีเรีย HTS ประกาศข่าวถึงชาวเมืองฮามาว่า:
    "ข้าพเจ้าขอแจ้งแก่ท่านว่าพี่น้องของท่านได้เริ่มเข้าไปในเมืองฮามาเพื่อชำระล้างบาดแผลที่กินเวลานานถึง 40 ปี ข้าพเจ้าขอรับรองว่าการเข้าสู่เมืองครั้งนี้จะปราศจากการแก้แค้นและเต็มไปด้วยความเมตตา"
    เมืองฮามาของซีเรียแตกแล้ว ตกอยู่ในการควบคุมของกลุ่มกบฏซีเรียเรียบร้อย! กองทัพซีเรียถอนทหารออกจากเมืองแล้ว ทางด้าน จูลานี ผู้นำกลุ่มกบฏซีเรีย HTS ประกาศข่าวถึงชาวเมืองฮามาว่า: "ข้าพเจ้าขอแจ้งแก่ท่านว่าพี่น้องของท่านได้เริ่มเข้าไปในเมืองฮามาเพื่อชำระล้างบาดแผลที่กินเวลานานถึง 40 ปี ข้าพเจ้าขอรับรองว่าการเข้าสู่เมืองครั้งนี้จะปราศจากการแก้แค้นและเต็มไปด้วยความเมตตา"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีไบเดนอภัยโทษลูกชาย ฮันเตอร์ ไบเดน“การอภัยโทษอย่างสมบูรณ์และไม่มีเงื่อนไข” เกิดขึ้นไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ประธานาธิบดีไบเดนจะออกจากตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ทั้งๆที่ โฆษกของประธานาธิบดีปฏิเสธมานานหลายเดือนว่าไบเดนไม่มีเจตนาที่จะอภัยโทษให้ลูกชายของเขาประธานาธิบดีไบเดนออกคำสั่งอภัยโทษอย่างสมบูรณ์และไม่มีเงื่อนไขแก่ฮันเตอร์ บุตรชายของเขาเมื่อคืนวันอาทิตย์ หลังจากที่เขายืนกรานซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาจะไม่ทำเช่นนั้น โดยใช้พลังอำนาจของตำแหน่งของตนปัดเป่าปัญหาทางกฎหมายที่สะสมมาหลายปี รวมทั้งการถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญาในข้อหาซื้อปืนผิดกฎหมายและการหลีกเลี่ยงภาษีในแถลงการณ์ที่ออกโดยทำเนียบขาว นายไบเดนกล่าวว่าเขาได้ตัดสินใจที่จะออกพระราชกฤษฎีกาผ่อนผันโทษแก่บุตรชายของเขา "สำหรับความผิดต่อสหรัฐอเมริกาที่เขาได้ก่อขึ้นหรืออาจก่อขึ้นหรือมีส่วนร่วมในช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2014 ถึง 1 ธันวาคม 2024"เขากล่าวว่าเขาตัดสินใจเช่นนี้เพราะข้อกล่าวหาต่อฮันเตอร์มีแรงจูงใจทางการเมืองและออกแบบมาเพื่อทำร้ายเขาทางการเมือง“ข้อกล่าวหาในคดีของเขาเกิดขึ้นหลังจากที่คู่แข่งทางการเมืองหลายคนในสภาคองเกรสยุยงให้พวกเขาโจมตีฉันและต่อต้านการเลือกตั้งของฉัน” นายไบเดนกล่าวในแถลงการณ์ “ไม่มีบุคคลที่มีเหตุผลคนใดที่มองข้อเท็จจริงในคดีของฮันเตอร์แล้วสามารถสรุปอะไรได้อีกนอกจากว่าฮันเตอร์ถูกเลือกเพียงเพราะเขาเป็นลูกชายของฉันเท่านั้น ซึ่งนั่นไม่ถูกต้อง”เขากล่าวเสริมว่า “มีการพยายามทำลายฮันเตอร์ ซึ่งเลิกเหล้ามาได้ห้าปีครึ่งแล้ว แม้จะต้องเผชิญกับการโจมตีอย่างต่อเนื่องและการดำเนินคดีที่เลือกปฏิบัติ ในความพยายามที่จะทำลายฮันเตอร์ พวกเขาพยายามทำลายฉัน และไม่มีเหตุผลใดที่จะเชื่อว่ามันจะหยุดอยู่แค่ตรงนี้ พอแล้ว”นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและทำงานมาเป็นเวลากว่า 5 ทศวรรษ โดยยึดมั่นในแนวคิดที่ว่าเขาจะไม่ก้าวก่ายการบริหารงานยุติธรรม ในปี 2020 เขาเสนอให้ปลดอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ออกจากตำแหน่งเพื่อฟื้นฟูความเป็นอิสระดังกล่าวในระบอบประชาธิปไตยของอเมริกา และเขาได้โต้แย้งในประเด็นเดียวกันนี้ในปี 2024อย่างไรก็ตาม ในแถลงการณ์ นายไบเดนพยายามหาเหตุผลสนับสนุนการแทรกแซง โดยกล่าวหาว่าศัตรูทางการเมืองของเขาพยายามดำเนินคดีกับลูกชายของเขาด้วยวิธีที่คนอื่นจะไม่ทำ นายไบเดนกล่าวว่าเขายังคงเชื่อมั่นในระบบยุติธรรม แต่กล่าวเสริมว่า “ผมเชื่อว่าการเมืองที่โหดร้ายได้ส่งผลต่อกระบวนการนี้ และนำไปสู่กระบวนการยุติธรรมที่ผิดพลาด และเมื่อผมตัดสินใจเรื่องนี้ในสุดสัปดาห์นี้ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเลื่อนการตัดสินใจนี้ต่อไปอีก”อันที่จริง การประกาศของประธานาธิบดีมีขึ้นในเวลาเดียวกับที่นายทรัมป์ทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิมว่าการดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของเขาจะมุ่งเน้นไปที่การแก้แค้นนายไบเดน โดยมีฮันเตอร์ ไบเดนเป็นเป้าหมายหลัก ประธานาธิบดีคนใหม่กล่าวเมื่อวันเสาร์ว่าเขาจะแต่งตั้งคาช ปาเทล ผู้ภักดีที่ประกาศจะไล่ล่าศัตรูของนายทรัมป์เป็นผู้อำนวยการเอฟบีไอในแถลงการณ์ของเขา นายไบเดนกล่าวว่า “ผมหวังว่าคนอเมริกันจะเข้าใจว่าทำไมพ่อและประธานาธิบดีจึงตัดสินใจเช่นนี้”หลังจากที่นายไบเดนประกาศการอภัยโทษ ฮันเตอร์ ไบเดน ก็ได้ออกแถลงการณ์ของตัวเอง“ผมยอมรับและรับผิดชอบต่อความผิดพลาดของตัวเองในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของการติดยา ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่นำมาใช้เพื่อทำให้ผมและครอบครัวต้องอับอายต่อหน้าธารกำนัลเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง” เขากล่าว “ผมจะไม่มองข้ามความเมตตาที่ได้มาในวันนี้ และจะอุทิศชีวิตที่ผมสร้างขึ้นใหม่เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ยังคงเจ็บป่วยและทุกข์ทรมาน”
    ประธานาธิบดีไบเดนอภัยโทษลูกชาย ฮันเตอร์ ไบเดน“การอภัยโทษอย่างสมบูรณ์และไม่มีเงื่อนไข” เกิดขึ้นไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ประธานาธิบดีไบเดนจะออกจากตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ทั้งๆที่ โฆษกของประธานาธิบดีปฏิเสธมานานหลายเดือนว่าไบเดนไม่มีเจตนาที่จะอภัยโทษให้ลูกชายของเขาประธานาธิบดีไบเดนออกคำสั่งอภัยโทษอย่างสมบูรณ์และไม่มีเงื่อนไขแก่ฮันเตอร์ บุตรชายของเขาเมื่อคืนวันอาทิตย์ หลังจากที่เขายืนกรานซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาจะไม่ทำเช่นนั้น โดยใช้พลังอำนาจของตำแหน่งของตนปัดเป่าปัญหาทางกฎหมายที่สะสมมาหลายปี รวมทั้งการถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญาในข้อหาซื้อปืนผิดกฎหมายและการหลีกเลี่ยงภาษีในแถลงการณ์ที่ออกโดยทำเนียบขาว นายไบเดนกล่าวว่าเขาได้ตัดสินใจที่จะออกพระราชกฤษฎีกาผ่อนผันโทษแก่บุตรชายของเขา "สำหรับความผิดต่อสหรัฐอเมริกาที่เขาได้ก่อขึ้นหรืออาจก่อขึ้นหรือมีส่วนร่วมในช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2014 ถึง 1 ธันวาคม 2024"เขากล่าวว่าเขาตัดสินใจเช่นนี้เพราะข้อกล่าวหาต่อฮันเตอร์มีแรงจูงใจทางการเมืองและออกแบบมาเพื่อทำร้ายเขาทางการเมือง“ข้อกล่าวหาในคดีของเขาเกิดขึ้นหลังจากที่คู่แข่งทางการเมืองหลายคนในสภาคองเกรสยุยงให้พวกเขาโจมตีฉันและต่อต้านการเลือกตั้งของฉัน” นายไบเดนกล่าวในแถลงการณ์ “ไม่มีบุคคลที่มีเหตุผลคนใดที่มองข้อเท็จจริงในคดีของฮันเตอร์แล้วสามารถสรุปอะไรได้อีกนอกจากว่าฮันเตอร์ถูกเลือกเพียงเพราะเขาเป็นลูกชายของฉันเท่านั้น ซึ่งนั่นไม่ถูกต้อง”เขากล่าวเสริมว่า “มีการพยายามทำลายฮันเตอร์ ซึ่งเลิกเหล้ามาได้ห้าปีครึ่งแล้ว แม้จะต้องเผชิญกับการโจมตีอย่างต่อเนื่องและการดำเนินคดีที่เลือกปฏิบัติ ในความพยายามที่จะทำลายฮันเตอร์ พวกเขาพยายามทำลายฉัน และไม่มีเหตุผลใดที่จะเชื่อว่ามันจะหยุดอยู่แค่ตรงนี้ พอแล้ว”นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและทำงานมาเป็นเวลากว่า 5 ทศวรรษ โดยยึดมั่นในแนวคิดที่ว่าเขาจะไม่ก้าวก่ายการบริหารงานยุติธรรม ในปี 2020 เขาเสนอให้ปลดอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ออกจากตำแหน่งเพื่อฟื้นฟูความเป็นอิสระดังกล่าวในระบอบประชาธิปไตยของอเมริกา และเขาได้โต้แย้งในประเด็นเดียวกันนี้ในปี 2024อย่างไรก็ตาม ในแถลงการณ์ นายไบเดนพยายามหาเหตุผลสนับสนุนการแทรกแซง โดยกล่าวหาว่าศัตรูทางการเมืองของเขาพยายามดำเนินคดีกับลูกชายของเขาด้วยวิธีที่คนอื่นจะไม่ทำ นายไบเดนกล่าวว่าเขายังคงเชื่อมั่นในระบบยุติธรรม แต่กล่าวเสริมว่า “ผมเชื่อว่าการเมืองที่โหดร้ายได้ส่งผลต่อกระบวนการนี้ และนำไปสู่กระบวนการยุติธรรมที่ผิดพลาด และเมื่อผมตัดสินใจเรื่องนี้ในสุดสัปดาห์นี้ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเลื่อนการตัดสินใจนี้ต่อไปอีก”อันที่จริง การประกาศของประธานาธิบดีมีขึ้นในเวลาเดียวกับที่นายทรัมป์ทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิมว่าการดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของเขาจะมุ่งเน้นไปที่การแก้แค้นนายไบเดน โดยมีฮันเตอร์ ไบเดนเป็นเป้าหมายหลัก ประธานาธิบดีคนใหม่กล่าวเมื่อวันเสาร์ว่าเขาจะแต่งตั้งคาช ปาเทล ผู้ภักดีที่ประกาศจะไล่ล่าศัตรูของนายทรัมป์เป็นผู้อำนวยการเอฟบีไอในแถลงการณ์ของเขา นายไบเดนกล่าวว่า “ผมหวังว่าคนอเมริกันจะเข้าใจว่าทำไมพ่อและประธานาธิบดีจึงตัดสินใจเช่นนี้”หลังจากที่นายไบเดนประกาศการอภัยโทษ ฮันเตอร์ ไบเดน ก็ได้ออกแถลงการณ์ของตัวเอง“ผมยอมรับและรับผิดชอบต่อความผิดพลาดของตัวเองในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของการติดยา ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่นำมาใช้เพื่อทำให้ผมและครอบครัวต้องอับอายต่อหน้าธารกำนัลเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง” เขากล่าว “ผมจะไม่มองข้ามความเมตตาที่ได้มาในวันนี้ และจะอุทิศชีวิตที่ผมสร้างขึ้นใหม่เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ยังคงเจ็บป่วยและทุกข์ทรมาน”
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 362 มุมมอง 0 รีวิว
  • #นิทานคิงส์ยามเช้า
    อรุณสแวส เอ้ย อรุณสวัสยามเช้า มิตรรักแฟนเพจคิงส์
    วันนี้ พี่คิงส์มีนิทานสอนใจ ที่อยากมาเล่าให้คติ และสติสอนใจ
    เป็นเรื่องของคนผู้เป็นท็อกสิค ที่ปะปนและปกปิดอย่างแนบเนียน
    เป็นคนประเภทต้องห้ามที่ไม่ควรเอาไว้ใกล้ตัว
    มิเช่นนั้น ความบันเทิงจะเกิด
    - กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้
    มีแม่มดตนหนึ่ง หน้าเหมือนปู ซึ่งพี่คิงส์จิเรียกตัวละครนี้ว่า อิปู นะคับนะ
    ไม่มีความเกี่ยวข้องกับใครในโลกแห่งความจริง เป็นเพียงตัวละคนในนิทาน
    - อิปู เดิมทีก็กักเก็บความซั่วได้อย่างดี เรียกว่าตบตาคนได้ทั้งแคว้น เดิมทีปูเป็นคนโนเนม แต่เป็นคนที่ทะเยอทะยานสูง อยากเป็นคนดัง อยากเป็นคนมีชื่อเสียง จึงใช้วิธีในการรับเป็นผู้ดูแลจอมยุทธ และแม่นางทั่วยุทธภพ
    - เดิมที อาชีพดูแลจอมยุทธและแม่นาง ไม่ได้ผิด ผิดที่อิปู หรือแม่มดหน้าปู แอบซ่อนเร้นความอิจฉาไว้ในใจ จึงรอเพียงโอกาสที่จะได้เฉิดฉาย
    - และในที่สุด ก็ได้เข้ามาแทรกในครอบครัวจอมยุทธท่านหนึ่ง ชื่อชีลา ที่เป็นที่หมายปองของบรรดาแม่นางมากมายในแว่นแคว้นนี้ อิปู ก็ดูเหมือนทำหน้าที่ได้อย่างดีมาหลายปี ได้รับความรักความเมตตาจากทั้งมารดาจอมยุช ชีลา เป็นอย่างดี รวมถึงพี่ๆน้องจอมยุทธ์ทั้ง 4 ด้วยเช่นเดียวกัน
    - แต่ในขณะที่ทุกอย่างดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร จอมยุทธชีลา ไปพบรักกับแม่นาง นางหนึ่ง ที่อยู่ต่างแคว้าน และแม่นางดังกล่าว ขอเรียกชื่อแทนว่า แม่นางเหม็น ซึ่งเราไม่อธิบายถึงรายละเอียดของที่มาของชื่อนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลานักท่องนิทาน
    - อิปู ได้เห็นกิจกรรมหนึ่งที่จอมยุทธ์ชีลา และแม่นางเหม็น ทำด้วยกันนั่นคือ กิจกรรม เพคีย์ ซึ่งสามารถกวาดทรัพย์กวาดตำลึงทองจากชาวบ้านได้มากโข แต่ยอมยุทธ์ชีลา เล็งเห็นว่า การทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการใช้ความรักความไว้วางใจความนิยมของชาวแคว้น มาสร้างประโยชน์ให้ตนเองมากเกินไป จึงออกเตือนชาวแคว้นว่า อย่าเปย์ขนาดนั้น และเตือนแม่นางเหม็นว่า อย่าเยอะเกินไป สงสารชาวแคว้น ก็ถือว่าเป็นแนวคิดที่แตกต่างกัน
    - และนี่แหละ คือปมที่แม่มดหน้าปู เล็งเห็นแล้วว่า ได้เวลาที่จะเริ่มแผนการ โดยการทำตัวเป็นสายให้กับป้านางหนึ่ง ที่ชอบอ้างตัวว่าเป็นพี่สาวของแม่นางเหม็น การพบกันของแม่มดหน้าปูกับนังป้าถือเป็นนรกลิขิตให้มาเจอจริงๆ
    - ซึ่งแม่มดหน้าปู มักจะใช้วิชาด้านมารในการปล่อยของมูลที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกไม่ดีกับจอมยุทธิ์ชีลามาตลอดโดยที่จอมยุทธ์และครอบครัวเองก็ไม่รู้ตัว
    - ซึ่งขณะที่นังแม่มดดูแลจอมยุทธ์ ก็ยังรับดูแลแม่นางอีกหลายคน ซึ่งแม่นางเหล่านั้น ล้วนได้รับสารที่เป็นเชิงลบ ที่แต่งแต้มจากนังแม่มดหน้าปูทั้งสิ้น ชนิดที่ว่า แม้กระทั่งแม่นางที่เคยร่วมยุทธภพกันมาตั้งแต่เด็ก ก็ยังรู้สึกตีตัวออกห่างจอมยุทธชีลา ซึ่งจอมยุทธ์เองก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ว่ามีมารยาวิชาด้านมาร ได้กระทำการเหมือนกับเป็นปลวกที่กัดเซาะชื่อเสียงของตนอยู่ตลอดระยะเวลาหลายปี
    - และเมื่อถึงวันที่จอมยุทธิ์ กับแม่นางเหม็น ได้เลิกรากันไป นังแม่มดคือสารตั้งต้นชั้นดี ที่มีการสร้างข่าวไม่ดีเกี่ยวกับจอมยุทธิ์ขึ้นในแคว้น แต่นังแม่มดหน้าปู กลับไม่เคยออกตัวในการปกป้องชื่อเสียงตามหน้าที่ ทั้งๆที่ได้รับการดูแลจากจอมยุทธ์และครอบครัวมาอย่างดี ช่างเนรคุณ แต่เมื่อใดที่มีข่าวเชิงลบของแม่นางเหม็น นังแม่มดหน้าปูจะรีบออกตัวหาข้อมูลเหมือนสุนัขขี้ประจบนาย ออกมาแถลงทันที
    - ในช่วงเวลาชุลมุนนั้น สังเกตุได้ว่า มักจะมีข่าวหลุดแปลกๆในบ้านของจอมยุทธ ออกมาเรื่อยๆ ซึ่งข่าวที่ออกมา คือการปั้นแต่งเรื่องราวให้เกิดความเสียหายที่มาจากนังแม่มดหน้าปูนี่แหละ เมื่อป้าจิตเปื่อยรับรู้ ด้วยความอคติจากที่ชีวิตตนเองถูกผัว ผัว เทมา ก็เหมือนจะชัง ผช ทั้งโลก และอยากให้แม่นางเหม็นที่ตนรักมีชีวิตรันทดเหมือนตน จึงนำข้อมูลที่เป็นกากจากแม่มดหน้าปู เอาไปปั่นให้คนเกิดความแตกแยกกันเป็นสองฝั่งทันที ทั้งๆที่ ต่างคน ต่างไป ไม่ควรมีปัญหาใดๆเลย
    - โดยในกลุ่มที่คอยเซาะกร่อนลดทอนชื่อเสียงของจอมยุทธ์ จะมีหลายตัว เริ่มสารตั้งต้นคือ แม่มดหน้าปู นังพึ่ง(ชื่อเต็มพึ่งพา) และนังไพ่ สองพี่น้องที่เป็นผู้ร้ายถ้าในปัจจุบันเราจะเรียกว่ามิจ และป้าเปื่อยจิต แต่จริงๆแล้ว แต่ละตัวก็แอบฟาดฟันกันไม่ได้มีความจริงใจต่อกันหรอก แสวงหาผลประโยชน์ในรูปแบบที่ตัวเองต้องการ โดยแม้กระทั่้งแม่นางเหม็นเองก็ไม่รู้หรอกว่า ไม่ใช่แค่จอมยุทธชีลา ที่เป็นเหยี่อ ตัวนางเหม็นเองก็เช่นกัน
    - แต่ที่น่าเสียใจ แต่ห้ามอะไรไม่ได้ก็คือ พี่สาวทั้ง 4 ของจอมยุทธ์เอง ก็ใกล้ชิดกับนังแม่มดปูมากเกินไป จนเกิดความหลงเชื่อนังแม่มดโดยลืมไปว่าที่ผ่านมา น้องชายคือจอมยุทธชีลาต้องเจออะไรบ้างที่ผ่านมา และยังคงหลับตาไม่เชื่อว่า แม่มดปู คือตัวละครตัวร้ายตัวสำคัญ กลับไปร่วมงานร่วมกิจกรรมกันสนุกสนาน สร้างความงุนงงกับชาวเมืองชาวแคว้นอย่างมาก
    - ท่านที่ติดตามนิทานมาถึงตอนนี้ พี่คิงส์ก็อยากจะบอกคนในยุทธภพว่า อย่าไปต่อว่าพี่ๆของจอมยุทธ์เลย เพราะหลายๆคนในแคว้น ก็โดนต้มมาหลายปี เพิ่งจะรู้กันแล้วไฉน พี่ทั้งสี่ของจอมยุทธ์ จะหลงบ้างไม่ได้ ก็ต้องให้เวลาได้พิสูจน์ ว่าคนไหน คือตัวละครตัวร้ายที่ใกล้ตัวที่แท้จริง และแม่มดหน้าปู คือตัวกา ลา กี นี ของแทร่ ใกล้ใคร อิ๊บหายทุกตัว
    - ก็อย่างที่เล่าตั้งแต่ต้นว่า นังแม่มดหน้าปูนี้ ฝันอยากเด่นอยากดัง จริงๆแล้วนางอยากเป็นแม่นางที่ได้รับความนิยมเหมือนแม่นางเหม็นนี่แหละ และเคยไปขอเป็นผู้ดูแลแม่นางเหม็นตอนเลิกกับจอมยุทธิ์ชีลาใหม่ๆ แต่เค้าไม่เอา ตอนนี้ ด้วยความที่อยากมีแสงแต่ตัวเองเป็นแค่ดาวเคราะแคระ จึงต้องดึงพี่ทั้งสี่จอมยุทธ์มาเป็นเครื่องมือ หวังว่าสะสมคนนิยมได้เพียงพอ ค่อยถีบหัวส่งทีหลัง
    - และคนที่ยืนเคียงข้างจอมยุทธ์ชีลาเสมอ คือคุณแม่ของจอมยุทธ์นั่นเอง
    เป็นอย่างไรบ้าง นิทานพี่คิงส์เช้านี้สนุกมั๊ย
    ย้ำอีกทีว่าเป็นแค่นิทาน อย่านำไปโยง ตัวละครไม่มีความเกี่ยวข้องกับคนจริงๆคนใด สร้างมาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    #นิทานคิงส์ยามเช้า อรุณสแวส เอ้ย อรุณสวัสยามเช้า มิตรรักแฟนเพจคิงส์ วันนี้ พี่คิงส์มีนิทานสอนใจ ที่อยากมาเล่าให้คติ และสติสอนใจ เป็นเรื่องของคนผู้เป็นท็อกสิค ที่ปะปนและปกปิดอย่างแนบเนียน เป็นคนประเภทต้องห้ามที่ไม่ควรเอาไว้ใกล้ตัว มิเช่นนั้น ความบันเทิงจะเกิด - กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ มีแม่มดตนหนึ่ง หน้าเหมือนปู ซึ่งพี่คิงส์จิเรียกตัวละครนี้ว่า อิปู นะคับนะ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับใครในโลกแห่งความจริง เป็นเพียงตัวละคนในนิทาน - อิปู เดิมทีก็กักเก็บความซั่วได้อย่างดี เรียกว่าตบตาคนได้ทั้งแคว้น เดิมทีปูเป็นคนโนเนม แต่เป็นคนที่ทะเยอทะยานสูง อยากเป็นคนดัง อยากเป็นคนมีชื่อเสียง จึงใช้วิธีในการรับเป็นผู้ดูแลจอมยุทธ และแม่นางทั่วยุทธภพ - เดิมที อาชีพดูแลจอมยุทธและแม่นาง ไม่ได้ผิด ผิดที่อิปู หรือแม่มดหน้าปู แอบซ่อนเร้นความอิจฉาไว้ในใจ จึงรอเพียงโอกาสที่จะได้เฉิดฉาย - และในที่สุด ก็ได้เข้ามาแทรกในครอบครัวจอมยุทธท่านหนึ่ง ชื่อชีลา ที่เป็นที่หมายปองของบรรดาแม่นางมากมายในแว่นแคว้นนี้ อิปู ก็ดูเหมือนทำหน้าที่ได้อย่างดีมาหลายปี ได้รับความรักความเมตตาจากทั้งมารดาจอมยุช ชีลา เป็นอย่างดี รวมถึงพี่ๆน้องจอมยุทธ์ทั้ง 4 ด้วยเช่นเดียวกัน - แต่ในขณะที่ทุกอย่างดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร จอมยุทธชีลา ไปพบรักกับแม่นาง นางหนึ่ง ที่อยู่ต่างแคว้าน และแม่นางดังกล่าว ขอเรียกชื่อแทนว่า แม่นางเหม็น ซึ่งเราไม่อธิบายถึงรายละเอียดของที่มาของชื่อนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลานักท่องนิทาน - อิปู ได้เห็นกิจกรรมหนึ่งที่จอมยุทธ์ชีลา และแม่นางเหม็น ทำด้วยกันนั่นคือ กิจกรรม เพคีย์ ซึ่งสามารถกวาดทรัพย์กวาดตำลึงทองจากชาวบ้านได้มากโข แต่ยอมยุทธ์ชีลา เล็งเห็นว่า การทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการใช้ความรักความไว้วางใจความนิยมของชาวแคว้น มาสร้างประโยชน์ให้ตนเองมากเกินไป จึงออกเตือนชาวแคว้นว่า อย่าเปย์ขนาดนั้น และเตือนแม่นางเหม็นว่า อย่าเยอะเกินไป สงสารชาวแคว้น ก็ถือว่าเป็นแนวคิดที่แตกต่างกัน - และนี่แหละ คือปมที่แม่มดหน้าปู เล็งเห็นแล้วว่า ได้เวลาที่จะเริ่มแผนการ โดยการทำตัวเป็นสายให้กับป้านางหนึ่ง ที่ชอบอ้างตัวว่าเป็นพี่สาวของแม่นางเหม็น การพบกันของแม่มดหน้าปูกับนังป้าถือเป็นนรกลิขิตให้มาเจอจริงๆ - ซึ่งแม่มดหน้าปู มักจะใช้วิชาด้านมารในการปล่อยของมูลที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกไม่ดีกับจอมยุทธิ์ชีลามาตลอดโดยที่จอมยุทธ์และครอบครัวเองก็ไม่รู้ตัว - ซึ่งขณะที่นังแม่มดดูแลจอมยุทธ์ ก็ยังรับดูแลแม่นางอีกหลายคน ซึ่งแม่นางเหล่านั้น ล้วนได้รับสารที่เป็นเชิงลบ ที่แต่งแต้มจากนังแม่มดหน้าปูทั้งสิ้น ชนิดที่ว่า แม้กระทั่งแม่นางที่เคยร่วมยุทธภพกันมาตั้งแต่เด็ก ก็ยังรู้สึกตีตัวออกห่างจอมยุทธชีลา ซึ่งจอมยุทธ์เองก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ว่ามีมารยาวิชาด้านมาร ได้กระทำการเหมือนกับเป็นปลวกที่กัดเซาะชื่อเสียงของตนอยู่ตลอดระยะเวลาหลายปี - และเมื่อถึงวันที่จอมยุทธิ์ กับแม่นางเหม็น ได้เลิกรากันไป นังแม่มดคือสารตั้งต้นชั้นดี ที่มีการสร้างข่าวไม่ดีเกี่ยวกับจอมยุทธิ์ขึ้นในแคว้น แต่นังแม่มดหน้าปู กลับไม่เคยออกตัวในการปกป้องชื่อเสียงตามหน้าที่ ทั้งๆที่ได้รับการดูแลจากจอมยุทธ์และครอบครัวมาอย่างดี ช่างเนรคุณ แต่เมื่อใดที่มีข่าวเชิงลบของแม่นางเหม็น นังแม่มดหน้าปูจะรีบออกตัวหาข้อมูลเหมือนสุนัขขี้ประจบนาย ออกมาแถลงทันที - ในช่วงเวลาชุลมุนนั้น สังเกตุได้ว่า มักจะมีข่าวหลุดแปลกๆในบ้านของจอมยุทธ ออกมาเรื่อยๆ ซึ่งข่าวที่ออกมา คือการปั้นแต่งเรื่องราวให้เกิดความเสียหายที่มาจากนังแม่มดหน้าปูนี่แหละ เมื่อป้าจิตเปื่อยรับรู้ ด้วยความอคติจากที่ชีวิตตนเองถูกผัว ผัว เทมา ก็เหมือนจะชัง ผช ทั้งโลก และอยากให้แม่นางเหม็นที่ตนรักมีชีวิตรันทดเหมือนตน จึงนำข้อมูลที่เป็นกากจากแม่มดหน้าปู เอาไปปั่นให้คนเกิดความแตกแยกกันเป็นสองฝั่งทันที ทั้งๆที่ ต่างคน ต่างไป ไม่ควรมีปัญหาใดๆเลย - โดยในกลุ่มที่คอยเซาะกร่อนลดทอนชื่อเสียงของจอมยุทธ์ จะมีหลายตัว เริ่มสารตั้งต้นคือ แม่มดหน้าปู นังพึ่ง(ชื่อเต็มพึ่งพา) และนังไพ่ สองพี่น้องที่เป็นผู้ร้ายถ้าในปัจจุบันเราจะเรียกว่ามิจ และป้าเปื่อยจิต แต่จริงๆแล้ว แต่ละตัวก็แอบฟาดฟันกันไม่ได้มีความจริงใจต่อกันหรอก แสวงหาผลประโยชน์ในรูปแบบที่ตัวเองต้องการ โดยแม้กระทั่้งแม่นางเหม็นเองก็ไม่รู้หรอกว่า ไม่ใช่แค่จอมยุทธชีลา ที่เป็นเหยี่อ ตัวนางเหม็นเองก็เช่นกัน - แต่ที่น่าเสียใจ แต่ห้ามอะไรไม่ได้ก็คือ พี่สาวทั้ง 4 ของจอมยุทธ์เอง ก็ใกล้ชิดกับนังแม่มดปูมากเกินไป จนเกิดความหลงเชื่อนังแม่มดโดยลืมไปว่าที่ผ่านมา น้องชายคือจอมยุทธชีลาต้องเจออะไรบ้างที่ผ่านมา และยังคงหลับตาไม่เชื่อว่า แม่มดปู คือตัวละครตัวร้ายตัวสำคัญ กลับไปร่วมงานร่วมกิจกรรมกันสนุกสนาน สร้างความงุนงงกับชาวเมืองชาวแคว้นอย่างมาก - ท่านที่ติดตามนิทานมาถึงตอนนี้ พี่คิงส์ก็อยากจะบอกคนในยุทธภพว่า อย่าไปต่อว่าพี่ๆของจอมยุทธ์เลย เพราะหลายๆคนในแคว้น ก็โดนต้มมาหลายปี เพิ่งจะรู้กันแล้วไฉน พี่ทั้งสี่ของจอมยุทธ์ จะหลงบ้างไม่ได้ ก็ต้องให้เวลาได้พิสูจน์ ว่าคนไหน คือตัวละครตัวร้ายที่ใกล้ตัวที่แท้จริง และแม่มดหน้าปู คือตัวกา ลา กี นี ของแทร่ ใกล้ใคร อิ๊บหายทุกตัว - ก็อย่างที่เล่าตั้งแต่ต้นว่า นังแม่มดหน้าปูนี้ ฝันอยากเด่นอยากดัง จริงๆแล้วนางอยากเป็นแม่นางที่ได้รับความนิยมเหมือนแม่นางเหม็นนี่แหละ และเคยไปขอเป็นผู้ดูแลแม่นางเหม็นตอนเลิกกับจอมยุทธิ์ชีลาใหม่ๆ แต่เค้าไม่เอา ตอนนี้ ด้วยความที่อยากมีแสงแต่ตัวเองเป็นแค่ดาวเคราะแคระ จึงต้องดึงพี่ทั้งสี่จอมยุทธ์มาเป็นเครื่องมือ หวังว่าสะสมคนนิยมได้เพียงพอ ค่อยถีบหัวส่งทีหลัง - และคนที่ยืนเคียงข้างจอมยุทธ์ชีลาเสมอ คือคุณแม่ของจอมยุทธ์นั่นเอง เป็นอย่างไรบ้าง นิทานพี่คิงส์เช้านี้สนุกมั๊ย ย้ำอีกทีว่าเป็นแค่นิทาน อย่านำไปโยง ตัวละครไม่มีความเกี่ยวข้องกับคนจริงๆคนใด สร้างมาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 720 มุมมอง 0 รีวิว
  • โอมมณีปัทเมฮุม 16ชั้นฟ้า 15ชั้นดิน เทพ อินทร์ พรหม ยักษ์ กราบขอความเมตตาบอกกล่าวถึงศาล (หลักเมือง) ช่วยจับปิศาจ ของบ้านเมือง ลงหม้อ ถ่วงลงอบายภูมิ ด้วยเทอญ
    โอมมณีปัทเมฮุม 16ชั้นฟ้า 15ชั้นดิน เทพ อินทร์ พรหม ยักษ์ กราบขอความเมตตาบอกกล่าวถึงศาล (หลักเมือง) ช่วยจับปิศาจ ของบ้านเมือง ลงหม้อ ถ่วงลงอบายภูมิ ด้วยเทอญ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องราวนี้สะท้อนถึง ความแตกต่างในทัศนคติทางสังคมและการรับรู้ค่าของเงิน ที่เกิดขึ้นระหว่างคนที่มีฐานะกับคนที่มีความลำบากทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเรื่องการซื้อขายและการต่อรองราคา ที่ผู้คนมักจะรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้ต่อรองราคาจากพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของในราคาต่ำ แต่กลับไม่รู้สึกต้องการทำเช่นเดียวกันเมื่อซื้อสินค้าที่มีราคาสูงจากร้านค้าหรือร้านอาหารใหญ่ๆ ที่กำหนดราคามาแล้วสิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือ: 1. การต่อรองราคากับคนจน: พฤติกรรมที่มักจะเกิดขึ้นคือการที่ผู้ซื้อรู้สึกว่าได้ “ชัยชนะ” เมื่อสามารถต่อรองราคาของสินค้าจากผู้ที่มีรายได้น้อยลงไปได้ แม้ว่าราคาที่ตนจ่ายนั้นอาจจะไม่ได้ทำให้ผู้ขายได้กำไรจริงๆ หรือไม่ได้ทำให้พวกเขามีรายได้มากขึ้นก็ตาม 2. การไม่ต่อรองในร้านค้าราคาแพง: ในทางกลับกัน ผู้คนมักจะยอมจ่ายราคาที่ตั้งไว้โดยร้านค้าหรือภัตตาคารใหญ่ โดยไม่ต่อรองหรือถามหาความเป็นไปได้ในการลดราคา ทั้งที่บางครั้งการ “ทิ้งทอน” หรือการไม่ขอส่วนลดที่ถูกต้องอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป 3. การให้ราคาสูงกว่าเพื่อช่วยเหลือ: การที่ผู้เขียนเลือกที่จะให้ราคาสูงกว่าที่ต้องการเพื่อช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าที่มีความยากจน ถือเป็นการทำบุญที่มีความหมาย ทั้งในแง่ของการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ และการให้เกียรติในความพยายามของคนที่ทำงานหนักในแต่ละวันข้อคิดสิ่งที่เรื่องนี้ต้องการสะท้อนคือการใช้ “ความเมตตา” และ “การช่วยเหลือ” ในการให้เงินหรือให้สิ่งต่างๆ แก่คนที่มีฐานะยากจน หรือผู้ที่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพ การไม่ทำให้พวกเขารู้สึกถูกเอาเปรียบ และการพยายามทำให้พวกเขามีศักดิ์ศรีมากขึ้นผ่านการให้ความเคารพในราคาและการซื้อขาย.
    เรื่องราวนี้สะท้อนถึง ความแตกต่างในทัศนคติทางสังคมและการรับรู้ค่าของเงิน ที่เกิดขึ้นระหว่างคนที่มีฐานะกับคนที่มีความลำบากทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเรื่องการซื้อขายและการต่อรองราคา ที่ผู้คนมักจะรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้ต่อรองราคาจากพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของในราคาต่ำ แต่กลับไม่รู้สึกต้องการทำเช่นเดียวกันเมื่อซื้อสินค้าที่มีราคาสูงจากร้านค้าหรือร้านอาหารใหญ่ๆ ที่กำหนดราคามาแล้วสิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือ: 1. การต่อรองราคากับคนจน: พฤติกรรมที่มักจะเกิดขึ้นคือการที่ผู้ซื้อรู้สึกว่าได้ “ชัยชนะ” เมื่อสามารถต่อรองราคาของสินค้าจากผู้ที่มีรายได้น้อยลงไปได้ แม้ว่าราคาที่ตนจ่ายนั้นอาจจะไม่ได้ทำให้ผู้ขายได้กำไรจริงๆ หรือไม่ได้ทำให้พวกเขามีรายได้มากขึ้นก็ตาม 2. การไม่ต่อรองในร้านค้าราคาแพง: ในทางกลับกัน ผู้คนมักจะยอมจ่ายราคาที่ตั้งไว้โดยร้านค้าหรือภัตตาคารใหญ่ โดยไม่ต่อรองหรือถามหาความเป็นไปได้ในการลดราคา ทั้งที่บางครั้งการ “ทิ้งทอน” หรือการไม่ขอส่วนลดที่ถูกต้องอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป 3. การให้ราคาสูงกว่าเพื่อช่วยเหลือ: การที่ผู้เขียนเลือกที่จะให้ราคาสูงกว่าที่ต้องการเพื่อช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าที่มีความยากจน ถือเป็นการทำบุญที่มีความหมาย ทั้งในแง่ของการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ และการให้เกียรติในความพยายามของคนที่ทำงานหนักในแต่ละวันข้อคิดสิ่งที่เรื่องนี้ต้องการสะท้อนคือการใช้ “ความเมตตา” และ “การช่วยเหลือ” ในการให้เงินหรือให้สิ่งต่างๆ แก่คนที่มีฐานะยากจน หรือผู้ที่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพ การไม่ทำให้พวกเขารู้สึกถูกเอาเปรียบ และการพยายามทำให้พวกเขามีศักดิ์ศรีมากขึ้นผ่านการให้ความเคารพในราคาและการซื้อขาย.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 541 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใจที่ไม่หวงแหน ไม่ยึดติด ย่อมเป็นใจที่บริสุทธิ์ เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความสุขและความสงบ ความศรัทธาที่สว่างไสวในจิตใจนั้นเอง ทำให้เกิดความปรารถนาดีที่อยากแบ่งปันความสุขนี้ให้กับทุกคน ไม่เลือกหน้า ไม่แบ่งแยก ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามความรู้สึกที่อยากจะเผื่อแผ่ความสุขนั้นเป็นความเมตตาที่แท้จริง เป็นความปรารถนาดีที่ไม่ได้เกิดจากความคาดหวัง แต่เกิดจากใจที่สะอาดพร้อมให้ ด้วยการแผ่เมตตานี้ เราจะพบกับความสุขอันเป็นสุขแท้ เป็นความเบิกบานที่แผ่กระจายจากใจของเราไปสู่ทุกคน
    ใจที่ไม่หวงแหน ไม่ยึดติด ย่อมเป็นใจที่บริสุทธิ์ เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความสุขและความสงบ ความศรัทธาที่สว่างไสวในจิตใจนั้นเอง ทำให้เกิดความปรารถนาดีที่อยากแบ่งปันความสุขนี้ให้กับทุกคน ไม่เลือกหน้า ไม่แบ่งแยก ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามความรู้สึกที่อยากจะเผื่อแผ่ความสุขนั้นเป็นความเมตตาที่แท้จริง เป็นความปรารถนาดีที่ไม่ได้เกิดจากความคาดหวัง แต่เกิดจากใจที่สะอาดพร้อมให้ ด้วยการแผ่เมตตานี้ เราจะพบกับความสุขอันเป็นสุขแท้ เป็นความเบิกบานที่แผ่กระจายจากใจของเราไปสู่ทุกคน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 349 มุมมอง 0 รีวิว
  • มิตรแท้ หรือ มิจแท้ ตั้มจะเชื่อใคร
    ขณะที่ทนายตั้ม เปลี่ยนแนวทางสู้คดีของตัวเอง จะกลับลําเต็มตัว ว่าเงินเจ็ดสิบเอ็ดล้านได้มาโดย พี่อ้อยจตุพรมอบให้ไปลงทุนทํากินคนเดียว โดยไม่มีกําหนดชดใช้คืน คนหัวหมอก็จะอวยว่า แนวทางนี้ไม่ใช่การกลับลํา แต่คนมีจิตสํานึก แต่ถ้าเป็นคนที่มีวิจารณญานจริง มองจากดาวอังคารยังรู้ว่ามัน ตอแหล
    ตั้มเคยพูดออกสื่ออย่างหนักแน่นว่าถึงเวลาโดนจับกลับสู้คดี ซึ่งไม่รู้จะเหลือน้ําหนักความน่าเชื่อถือให้ศาลรับฟังได้หรือไม่
    เรื่องนี้ก็ไม่ใช่การสับขาหลอกอย่างที่ทนายเดชา รับงานมาแถแต่เพราะทนายตั้มประเมินแล้ว ขืนยืนยันต่อว่าได้มาโดยเสน่หาจบเห่คาคุกแน่ อย่างไรก็ตามทางออกที่ดีกว่าการแถดีกว่าสู้ไปอย่างกระเสือกกระสน ซึ่งมีคนรู้กฎหมายจริงใช้กฎหมายอย่างมีจรรยาบรรณมาแนะนําให้ทนายตั้มแล้ว คนๆนั้นคือ ทนายเล็กวรพันธ์ เบญจวรกุล ทนายเล็กระบุว่าในฐานะพี่สาวร่วมวิชาชีพและด้วยความห่วงใยบุตรทั้งสามของทนายตั้ม ทนายกล่าวว่า ไม้ขีดก้านแรกจุดขึ้นที่ไหนก็ให้ทนายตั้มไปดับที่ไม้ขีดก้านนั้นด้วยความจริงใจด้วยความสํานึกที่ดีและทําใจให้ได้ว่าเงินทั้งหมดนั้นในที่สุดแล้วก็เป็นของพี่อ้อย
    ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พี่อ้อยมีความชอบธรรมที่จะขอคืน ปล่อยยาวไปก็จะยิ่งยากแก่การดับเพลิงที่โหมแรงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง ดิฉันเชื่อมั่นว่าไม่ว่าพี่อ้อยก็ดีคุณสนธิก็ดีถ้าจับจุดให้ถูกทั้งสองท่านนี้มีแต่ความเมตตาและพร้อมจะให้อภัยให้โอกาสคนที่สํานึกได้และจริงใจที่จะแก้ไขตัวเอง ดิฉันก็ไม่ได้ว่านายตั้มกระทําความผิดตามฟ้องนะคะแต่ถามว่านายตั้มมั่นใจแค่ไหนว่าจะสู้ได้ ซึ่งถ้าเปรียบกับการยอมรับฟังความคิดของเจ้าของเงินและประชาชนผู้ติดตามข่าว ซึ่งตัดสินทนายตั้มแล้ว หนทางไหนจะคุ้มค่ากว่ากันและจะเป็นประโยชน์กับครอบครัวของทนายตั้มมากที่สุดจากประสบการณ์การทํางานทนายความของทนายตั้มก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่ามีแนวโน้มว่าศาลจะเห็นว่าอย่างไรก็ตาม เงินนี้ก็เป็นเงินของพี่อ้อย ถ้าแปลกันง่ายๆ ก็คือสารภาพมาซะดีๆคืนเงินให้พี่อ้อยไปซะ เพื่อจะได้ติดคุกไม่นานเป็นคําแนะนําในแบบกัลยาณมิตรโดยแท้ ไม่ใช่แนวมิตรแท้ ทนายโจร ดันเพื่อนให้สู้ไปสุดทางทนายตั้มจะติดคุกติดตารางไม่เห็นเดือนเห็นตะวันก็ช่างหัวมันเพียงแต่คําถามก็คือคนอีโก้จัดอย่างทนายตั้มมีหรือจะยอมฟังทนายเล็ก ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    มิตรแท้ หรือ มิจแท้ ตั้มจะเชื่อใคร ขณะที่ทนายตั้ม เปลี่ยนแนวทางสู้คดีของตัวเอง จะกลับลําเต็มตัว ว่าเงินเจ็ดสิบเอ็ดล้านได้มาโดย พี่อ้อยจตุพรมอบให้ไปลงทุนทํากินคนเดียว โดยไม่มีกําหนดชดใช้คืน คนหัวหมอก็จะอวยว่า แนวทางนี้ไม่ใช่การกลับลํา แต่คนมีจิตสํานึก แต่ถ้าเป็นคนที่มีวิจารณญานจริง มองจากดาวอังคารยังรู้ว่ามัน ตอแหล ตั้มเคยพูดออกสื่ออย่างหนักแน่นว่าถึงเวลาโดนจับกลับสู้คดี ซึ่งไม่รู้จะเหลือน้ําหนักความน่าเชื่อถือให้ศาลรับฟังได้หรือไม่ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่การสับขาหลอกอย่างที่ทนายเดชา รับงานมาแถแต่เพราะทนายตั้มประเมินแล้ว ขืนยืนยันต่อว่าได้มาโดยเสน่หาจบเห่คาคุกแน่ อย่างไรก็ตามทางออกที่ดีกว่าการแถดีกว่าสู้ไปอย่างกระเสือกกระสน ซึ่งมีคนรู้กฎหมายจริงใช้กฎหมายอย่างมีจรรยาบรรณมาแนะนําให้ทนายตั้มแล้ว คนๆนั้นคือ ทนายเล็กวรพันธ์ เบญจวรกุล ทนายเล็กระบุว่าในฐานะพี่สาวร่วมวิชาชีพและด้วยความห่วงใยบุตรทั้งสามของทนายตั้ม ทนายกล่าวว่า ไม้ขีดก้านแรกจุดขึ้นที่ไหนก็ให้ทนายตั้มไปดับที่ไม้ขีดก้านนั้นด้วยความจริงใจด้วยความสํานึกที่ดีและทําใจให้ได้ว่าเงินทั้งหมดนั้นในที่สุดแล้วก็เป็นของพี่อ้อย ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พี่อ้อยมีความชอบธรรมที่จะขอคืน ปล่อยยาวไปก็จะยิ่งยากแก่การดับเพลิงที่โหมแรงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง ดิฉันเชื่อมั่นว่าไม่ว่าพี่อ้อยก็ดีคุณสนธิก็ดีถ้าจับจุดให้ถูกทั้งสองท่านนี้มีแต่ความเมตตาและพร้อมจะให้อภัยให้โอกาสคนที่สํานึกได้และจริงใจที่จะแก้ไขตัวเอง ดิฉันก็ไม่ได้ว่านายตั้มกระทําความผิดตามฟ้องนะคะแต่ถามว่านายตั้มมั่นใจแค่ไหนว่าจะสู้ได้ ซึ่งถ้าเปรียบกับการยอมรับฟังความคิดของเจ้าของเงินและประชาชนผู้ติดตามข่าว ซึ่งตัดสินทนายตั้มแล้ว หนทางไหนจะคุ้มค่ากว่ากันและจะเป็นประโยชน์กับครอบครัวของทนายตั้มมากที่สุดจากประสบการณ์การทํางานทนายความของทนายตั้มก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่ามีแนวโน้มว่าศาลจะเห็นว่าอย่างไรก็ตาม เงินนี้ก็เป็นเงินของพี่อ้อย ถ้าแปลกันง่ายๆ ก็คือสารภาพมาซะดีๆคืนเงินให้พี่อ้อยไปซะ เพื่อจะได้ติดคุกไม่นานเป็นคําแนะนําในแบบกัลยาณมิตรโดยแท้ ไม่ใช่แนวมิตรแท้ ทนายโจร ดันเพื่อนให้สู้ไปสุดทางทนายตั้มจะติดคุกติดตารางไม่เห็นเดือนเห็นตะวันก็ช่างหัวมันเพียงแต่คําถามก็คือคนอีโก้จัดอย่างทนายตั้มมีหรือจะยอมฟังทนายเล็ก ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 486 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขาพูดไม่ดีกับฉันเลย

    เขาพูดไม่ดี เป็นปัญหาเขา
    มันกลายเป็นปัญหาเราเมื่อเรารู้สึกเจ็บปวด ไม่ใช่ทุกคนที่ฟังคนพูดไม่ดีใส่แล้วเจ็บ เราเจ็บเพราะเรามีเรื่องค้างใจกับสิ่งนี้

    เพ่งนอก เป็นสมุทัย
    เพ่งใน เป็นมรรค

    ทำความเข้าใจตัวเอง การที่เขาพูดไม่ดี ทำให้เรารู้สึกโกรธ เบื้องต้นคือโกรธเค้า เมื่อเราจริงกับตัวเองมากๆ จะเห็นว่าเบื้องลึกคือโกรธตัวเองที่ฉันทำไม่ดีพอสักที

    วันที่รักตัวเอง
    ไม่mindว่าใครจะรักเราหรือไม่
    ไม่มีใครรักไม่เป็นไร
    เพราะฉันรักฉันอยู่ดี

    วันที่ได้ยิน
    วันที่มองเห็น
    ใครสักคนกำลังโวยวายตรงหน้า
    แต่ใจไม่เจ็บปวดอีกแล้ว
    มีแต่ความเมตตา สงสารคนตรงหน้า ถ้าเขาไม่ทุกข์ เขาคงไม่ทำแบบนั้น

    ❤️
    เขาพูดไม่ดีกับฉันเลย เขาพูดไม่ดี เป็นปัญหาเขา มันกลายเป็นปัญหาเราเมื่อเรารู้สึกเจ็บปวด ไม่ใช่ทุกคนที่ฟังคนพูดไม่ดีใส่แล้วเจ็บ เราเจ็บเพราะเรามีเรื่องค้างใจกับสิ่งนี้ เพ่งนอก เป็นสมุทัย เพ่งใน เป็นมรรค ทำความเข้าใจตัวเอง การที่เขาพูดไม่ดี ทำให้เรารู้สึกโกรธ เบื้องต้นคือโกรธเค้า เมื่อเราจริงกับตัวเองมากๆ จะเห็นว่าเบื้องลึกคือโกรธตัวเองที่ฉันทำไม่ดีพอสักที วันที่รักตัวเอง ไม่mindว่าใครจะรักเราหรือไม่ ไม่มีใครรักไม่เป็นไร เพราะฉันรักฉันอยู่ดี วันที่ได้ยิน วันที่มองเห็น ใครสักคนกำลังโวยวายตรงหน้า แต่ใจไม่เจ็บปวดอีกแล้ว มีแต่ความเมตตา สงสารคนตรงหน้า ถ้าเขาไม่ทุกข์ เขาคงไม่ทำแบบนั้น ❤️
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • การมองเข้ามาที่จิต ทำให้ชีวิตดูเรียบง่ายขึ้นเพราะจิตเป็นตัวกำหนดความรู้สึกทั้งหมดในชีวิต เมื่อจิตว้าวุ่น ชีวิตจะรู้สึกวุ่นวาย แต่เมื่อจิตสงบ ความรู้สึกก็จะปลอดโปร่งและสบายขึ้น ความอาฆาตในใจทำให้โลกดูมืดมน แต่ความเมตตาและใจที่ไม่เบียดเบียนทำให้โลกเยือกเย็นสว่างไสว

    หากเราเอาแต่ค้นหาคำตอบจากภายนอก ชีวิตจะดูซับซ้อนและวนเวียนไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งล่อใจต่าง ๆ จากภายนอกจะทำให้เราไล่ตามไม่รู้จบ จึงไม่รู้สึกถึงความก้าวหน้าหรือความสงบที่แท้จริง การค้นหาคำตอบที่แท้ต้องเริ่มจากการสังเกตจิตของเราเอง ในขณะหายใจเข้าออก ดูว่าเราหายใจด้วยความสบายหรือกระวนกระวายหรือไม่

    เมื่อเราเริ่มเห็นความไม่เที่ยงของทุกข์และสุขที่มากับลมหายใจ ความไม่ยึดติดก็จะค่อย ๆ เกิดขึ้นในจิตใจ จิตจะเริ่มทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์ มองเห็นการเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งรอบตัวด้วยความเป็นกลาง ชีวิตก็จะเปลี่ยนจากการไล่ตามมาเป็นการทำสิ่งที่ควรทำโดยไม่หลงไปกับความต้องการที่ไร้จุดหมาย

    ที่สุดของการปฏิบัติคือการเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ไม่ยึดติดในสิ่งใด ไม่ว่าจะในชีวิตนี้หรือเมื่อถึงวาระสุดท้าย สิ่งที่เราจะนำติดตัวไปคือจิตที่ปลอดโปร่ง อิสระจากพันธนาการของโลก
    การมองเข้ามาที่จิต ทำให้ชีวิตดูเรียบง่ายขึ้นเพราะจิตเป็นตัวกำหนดความรู้สึกทั้งหมดในชีวิต เมื่อจิตว้าวุ่น ชีวิตจะรู้สึกวุ่นวาย แต่เมื่อจิตสงบ ความรู้สึกก็จะปลอดโปร่งและสบายขึ้น ความอาฆาตในใจทำให้โลกดูมืดมน แต่ความเมตตาและใจที่ไม่เบียดเบียนทำให้โลกเยือกเย็นสว่างไสว หากเราเอาแต่ค้นหาคำตอบจากภายนอก ชีวิตจะดูซับซ้อนและวนเวียนไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งล่อใจต่าง ๆ จากภายนอกจะทำให้เราไล่ตามไม่รู้จบ จึงไม่รู้สึกถึงความก้าวหน้าหรือความสงบที่แท้จริง การค้นหาคำตอบที่แท้ต้องเริ่มจากการสังเกตจิตของเราเอง ในขณะหายใจเข้าออก ดูว่าเราหายใจด้วยความสบายหรือกระวนกระวายหรือไม่ เมื่อเราเริ่มเห็นความไม่เที่ยงของทุกข์และสุขที่มากับลมหายใจ ความไม่ยึดติดก็จะค่อย ๆ เกิดขึ้นในจิตใจ จิตจะเริ่มทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์ มองเห็นการเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งรอบตัวด้วยความเป็นกลาง ชีวิตก็จะเปลี่ยนจากการไล่ตามมาเป็นการทำสิ่งที่ควรทำโดยไม่หลงไปกับความต้องการที่ไร้จุดหมาย ที่สุดของการปฏิบัติคือการเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ไม่ยึดติดในสิ่งใด ไม่ว่าจะในชีวิตนี้หรือเมื่อถึงวาระสุดท้าย สิ่งที่เราจะนำติดตัวไปคือจิตที่ปลอดโปร่ง อิสระจากพันธนาการของโลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • Higher Self คืออะไร
    Higher Self หรือ "ตัวตนสูงสุด" เป็นแนวคิดที่อยู่ในศาสนาและปรัชญาหลายแขนง มักหมายถึงสภาวะที่สูงกว่าของจิตวิญญาณหรือจิตใจ ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกับความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นของตัวเราเอง เป็นสภาวะที่เราสามารถเข้าถึงสติปัญญา ความรัก และความสงบภายในได้มากขึ้น

    การทำงานของ Higher Self
    การเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณ: Higher Self มีบทบาทสำคัญในการช่วยเราค้นพบและเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของเราเอง ซึ่งอาจจะเป็นการรับรู้ถึงเป้าหมายชีวิตที่แท้จริง หรือความหมายของการดำรงอยู่

    การแนะนำและนำทาง: Higher Self สามารถทำหน้าที่เป็นผู้นำทางหรือที่ปรึกษาที่มีความรู้และปัญญา ซึ่งช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น โดยไม่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์หรือความกลัว

    การพัฒนาและเติบโตส่วนบุคคล: การทำงานกับ Higher Self ช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ เช่น การควบคุมอารมณ์ การเพิ่มความมั่นใจในตนเอง และการฝึกฝนความเมตตาและการให้อภัย

    การสร้างความสมดุลและความสงบภายใน: Higher Self ช่วยสร้างความสมดุลในชีวิตประจำวัน โดยทำให้เรามีความสงบสุขมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญกับความเครียดหรือสถานการณ์ที่ท้าทาย

    การเชื่อมต่อกับผู้อื่น: เมื่อเราเชื่อมต่อกับ Higher Self เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมายกับผู้อื่นได้ดีขึ้น โดยสามารถเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้มากขึ้น

    วิธีการเชื่อมต่อกับ Higher Self
    การทำสมาธิ: การทำสมาธิช่วยให้จิตใจสงบและเปิดรับการเชื่อมต่อกับ Higher Self ได้ง่ายขึ้น

    การฝึกจิตวิญญาณ: การฝึกฝนจิตวิญญาณ เช่น การสวดมนต์ การฝึกโยคะ หรือการปฏิบัติธรรม สามารถช่วยเสริมสร้างการเชื่อมต่อ

    การเขียนบันทึก: การเขียนบันทึกเป็นวิธีการสะท้อนความคิดและอารมณ์ ซึ่งช่วยให้เราค้นพบและเข้าใจตัวเองในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

    การทำงานกับ Higher Self เป็นการเดินทางที่ไม่สิ้นสุดของการค้นพบและพัฒนาตนเอง ซึ่งสามารถนำไปสู่ชีวิตที่มีความหมายและสมดุลมากขึ้น
    #ใช้ใจนำทาง #higherself #พัฒนาจิต
    #การเดินทางภายใน
    Higher Self คืออะไร Higher Self หรือ "ตัวตนสูงสุด" เป็นแนวคิดที่อยู่ในศาสนาและปรัชญาหลายแขนง มักหมายถึงสภาวะที่สูงกว่าของจิตวิญญาณหรือจิตใจ ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกับความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นของตัวเราเอง เป็นสภาวะที่เราสามารถเข้าถึงสติปัญญา ความรัก และความสงบภายในได้มากขึ้น การทำงานของ Higher Self การเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณ: Higher Self มีบทบาทสำคัญในการช่วยเราค้นพบและเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของเราเอง ซึ่งอาจจะเป็นการรับรู้ถึงเป้าหมายชีวิตที่แท้จริง หรือความหมายของการดำรงอยู่ การแนะนำและนำทาง: Higher Self สามารถทำหน้าที่เป็นผู้นำทางหรือที่ปรึกษาที่มีความรู้และปัญญา ซึ่งช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น โดยไม่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์หรือความกลัว การพัฒนาและเติบโตส่วนบุคคล: การทำงานกับ Higher Self ช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ เช่น การควบคุมอารมณ์ การเพิ่มความมั่นใจในตนเอง และการฝึกฝนความเมตตาและการให้อภัย การสร้างความสมดุลและความสงบภายใน: Higher Self ช่วยสร้างความสมดุลในชีวิตประจำวัน โดยทำให้เรามีความสงบสุขมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญกับความเครียดหรือสถานการณ์ที่ท้าทาย การเชื่อมต่อกับผู้อื่น: เมื่อเราเชื่อมต่อกับ Higher Self เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมายกับผู้อื่นได้ดีขึ้น โดยสามารถเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้มากขึ้น วิธีการเชื่อมต่อกับ Higher Self การทำสมาธิ: การทำสมาธิช่วยให้จิตใจสงบและเปิดรับการเชื่อมต่อกับ Higher Self ได้ง่ายขึ้น การฝึกจิตวิญญาณ: การฝึกฝนจิตวิญญาณ เช่น การสวดมนต์ การฝึกโยคะ หรือการปฏิบัติธรรม สามารถช่วยเสริมสร้างการเชื่อมต่อ การเขียนบันทึก: การเขียนบันทึกเป็นวิธีการสะท้อนความคิดและอารมณ์ ซึ่งช่วยให้เราค้นพบและเข้าใจตัวเองในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การทำงานกับ Higher Self เป็นการเดินทางที่ไม่สิ้นสุดของการค้นพบและพัฒนาตนเอง ซึ่งสามารถนำไปสู่ชีวิตที่มีความหมายและสมดุลมากขึ้น #ใช้ใจนำทาง #higherself #พัฒนาจิต #การเดินทางภายใน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 410 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชายชราหัวหน้าเผ่าชนพื้นเมืองอเมริกันคนหนึ่งบอก
    หลานชายของเขาว่า "ฉลานรัก ในใจของมนุษย์นั้นมีหมาป่า
    สองตัวกำลังต่อสู้กัน ตัวหนึ่งมีความโกรธ ความกังวล ดวาม
    เจ็บปวด ความริษยา ความละโมบ ความละอาย และความต่ำต้อย

    ส่วนอีกตัวหนึ่งมีความสุข ความสงบ ความรัก ความอดทน
    อดกลั้น ความถ่อมตัว และความเมตตา"

    ทันใดนั้นหลานชายก็ถามว่า "ถ้าอย่างนั้นหมาป่าตัวไหนจะชนะล่ะ"

    ชายชรายิ้มแล้วตอบว่า "ตัวที่เจ้าให้อาหาร"

    จากหนังสือ |อย่านึกถึงอนาคตจนลืมความสุขในปัจจุบัน

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก
    #อย่านึกถึงอนาคตจนลืมความสุขในปัจจุบัน
    ชายชราหัวหน้าเผ่าชนพื้นเมืองอเมริกันคนหนึ่งบอก หลานชายของเขาว่า "ฉลานรัก ในใจของมนุษย์นั้นมีหมาป่า สองตัวกำลังต่อสู้กัน ตัวหนึ่งมีความโกรธ ความกังวล ดวาม เจ็บปวด ความริษยา ความละโมบ ความละอาย และความต่ำต้อย ส่วนอีกตัวหนึ่งมีความสุข ความสงบ ความรัก ความอดทน อดกลั้น ความถ่อมตัว และความเมตตา" ทันใดนั้นหลานชายก็ถามว่า "ถ้าอย่างนั้นหมาป่าตัวไหนจะชนะล่ะ" ชายชรายิ้มแล้วตอบว่า "ตัวที่เจ้าให้อาหาร" จากหนังสือ |อย่านึกถึงอนาคตจนลืมความสุขในปัจจุบัน #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #อย่านึกถึงอนาคตจนลืมความสุขในปัจจุบัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 453 มุมมอง 0 รีวิว
  • การแบ่งแยกระหว่าง "รักแท้" และ "การหลงยึด" อาจดูเหมือนเส้นบาง ๆ แต่สามารถสำรวจได้ด้วยการสังเกตตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อเราพบกับความคาดหวังและความเมตตาที่แท้จริงในใจ

    รักแท้ในลักษณะของเมตตา คือ การมีความสุขจากภายในและอยากแบ่งปันความสุขนั้นให้คนที่เรารัก โดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน การมีเมตตาแบบนี้ไม่สร้างแรงกดดันหรือความคาดหวังในใจ ทำให้เรามีความสุขอยู่ในความรักนั้นได้แม้ไม่ได้รับการตอบรับในทางเดียวกัน

    การหลงยึดที่เกิดจากความคาดหวัง มักมาพร้อมกับการเรียกร้องจากคนอื่นให้มาทำให้เรามีความสุข เมื่อเกิดการคาดหวังมาก ๆ ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเราก็อาจลดน้อยลง เพราะความสัมพันธ์จะเต็มไปด้วยแรงกดดันแทนที่จะเป็นการให้ที่บริสุทธิ์

    การฝึกให้รักอย่างไม่คาดหวังผลตอบแทน คือการฝึกให้จิตใจเปิดกว้างและแผ่เมตตาออกไปด้วยความสุข การให้โดยไม่มุ่งหวังผลกลับมาจะทำให้ใจเป็นอิสระและมีสุข แม้เพียงการให้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถทำให้ใจรู้สึกสบายอย่างแท้จริง

    สุดท้าย การตั้งคำถามกับตัวเองหลังจากเรียกร้องจากคนอื่น จะช่วยให้เราเข้าใจว่าพฤติกรรมแบบใดทำให้ความรักแข็งแกร่งขึ้น หรือกลับกันเป็นการทำลายความรัก การหมั่นถามตัวเองจะทำให้เราเห็นว่าการรักษาความรักไม่จำเป็นต้องคาดคั้นแต่เป็นการให้ด้วยความเมตตาที่แท้

    การแบ่งแยกระหว่าง "รักแท้" และ "การหลงยึด" อาจดูเหมือนเส้นบาง ๆ แต่สามารถสำรวจได้ด้วยการสังเกตตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อเราพบกับความคาดหวังและความเมตตาที่แท้จริงในใจ รักแท้ในลักษณะของเมตตา คือ การมีความสุขจากภายในและอยากแบ่งปันความสุขนั้นให้คนที่เรารัก โดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน การมีเมตตาแบบนี้ไม่สร้างแรงกดดันหรือความคาดหวังในใจ ทำให้เรามีความสุขอยู่ในความรักนั้นได้แม้ไม่ได้รับการตอบรับในทางเดียวกัน การหลงยึดที่เกิดจากความคาดหวัง มักมาพร้อมกับการเรียกร้องจากคนอื่นให้มาทำให้เรามีความสุข เมื่อเกิดการคาดหวังมาก ๆ ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเราก็อาจลดน้อยลง เพราะความสัมพันธ์จะเต็มไปด้วยแรงกดดันแทนที่จะเป็นการให้ที่บริสุทธิ์ การฝึกให้รักอย่างไม่คาดหวังผลตอบแทน คือการฝึกให้จิตใจเปิดกว้างและแผ่เมตตาออกไปด้วยความสุข การให้โดยไม่มุ่งหวังผลกลับมาจะทำให้ใจเป็นอิสระและมีสุข แม้เพียงการให้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถทำให้ใจรู้สึกสบายอย่างแท้จริง สุดท้าย การตั้งคำถามกับตัวเองหลังจากเรียกร้องจากคนอื่น จะช่วยให้เราเข้าใจว่าพฤติกรรมแบบใดทำให้ความรักแข็งแกร่งขึ้น หรือกลับกันเป็นการทำลายความรัก การหมั่นถามตัวเองจะทำให้เราเห็นว่าการรักษาความรักไม่จำเป็นต้องคาดคั้นแต่เป็นการให้ด้วยความเมตตาที่แท้
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อมูลที่สนธิลิ้มทองกุลเปิดโปงพฤติกรรมของทนายตั้ม นายสิทธา เบี้ยบังเกิด ตอกย้ําว่าอ้อยจตุพร ที่โอนเงินสองล้านยูโรหรือเจ็ดสิบเอ็ดล้านบาทเข้าบัญชีชื่อสิทธ์ธาเบี้ยบังเกิด ไม่ใช่การให้โดยเสน่ห์หายอย่างที่ทนายตั้มอ้าง และในเมื่อทนายตั้ม อมเงินก้อนนี้ไปโดยไม่ยอมคืนให้เจ้าของก็เท่ากับมีภาระต้องเสียภาษีอีกมหาศาล
    ถึงขั้นนายสนธิ ท้า ถ้าทนายตั้มมีหลักฐานการจ่ายภาษีจะยอมกราบตีนและไหนๆทนายตั้มอยากแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง สนธิ ลิ้มทองกุลก็จะยื่นหนังสือถึงกรมสรรพากรให้ตรวจสอบการเสียภาษี จากรายได้ก้อนนี้ด้วย จัดหนักให้สุดซอยแบบเดียวกับที่เคยจัดให้ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ตอนที่เปิดศึกกันครั้งที่ผ่านมา หลังรายการจบลงสื่อต่างๆก็นําไปรายงานข่าวกันอย่างคึกคัก แหกพฤติกรรมฉ้อโกงเงิน ไปจากเศรษฐีนีใจบุญที่เคยให้ความรักความเมตตากับทนายตั้มอย่างจริงใจ
    ชาวเน็ตมีความเห็นตรงกันมากว่า เป็นไปไม่ได้หรือไม่เชื่อที่ใครจะให้เงิน71 ล้านด้วยความเสน่หากับคนที่ไม่ใช่ญาติรวมถึงตรรกะว่า ถ้าอ้อย จตุพรให้ด้วยความเสน่หาจริงแล้วจะมาแจ้งจับทนายตั้มทําไม งานนี้ สนธิ ลิ้มทองกุลชนะขาด เครดิตความน่าเชื่อถือต่างกันลิบลับในด้านคดีความ ต้องบอกว่าทนายตั้มงานนี้เหนื่อยแน่เพราะสํานักงานตํารวจแห่งชาติมีคําสั่งให้โอนคดีจาก สภ ปากช่อง มายังกองปราบปรามเรียบร้อยแล้ว และเนื่องจากทนายตั้มใช้วิธีดักคอว่าพลตํารวจตรีจรูญ เกียรติปานแก้ว เหมือนเป็นคู่กรณีกลายๆจะมาคุมสํานวน
    สํานักงานตํารวจแห่งชาติจึงไม่เปิดช่องทางให้ทนายตั้มใช้ประเด็นนี้มาต่อสู้คดี จึงมอบหมายให้บิ๊กหมูพลตํารวจตรีสุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตํารวจสอบสวนกลางรับผิดชอบซึ่งตามประวัติบิ๊กหมูเป็นถึงผู้การกองปราบมาก่อน ลีลาก็ถึงลูกถึงคน ไม่กลัวใครหน้าไหนเหมือนกัน ในสถานการณ์ที่เห็นว่าตัวเองเพลี่ยงพล้ํา ทนายตั้มเลยยกเลิกเกมที่จะไปแจ้งจับใครต่อใครเปลี่ยนวิธีจะไปขอเจรจากับเจ้าของเงินแทน แต่โชคร้ายที่ออกแนวหลอกลวงมันรุนแรงเกินกว่าที่คู่กรณีจะยอมให้อภัยจึงจัดการปิดช่องทางการติดต่อสื่อสารทั้งหมด ทนายตั้มไม่สามารถติดต่อคุณอ้อยได้แล้ว
    การเปิดศึกกับสนธิ ลิ้มทองกุลและการไปบี้เอาเงินจากบอสพอล ทนายตั้มใช้วิธีการอ้างถึงรายการโหนกระแสเหมือนๆกัน เล่นเอาหนุ่มกรรชัยสุดทนพูดตําหนิทนายตั้มตรงๆ ว่าอย่าลากชื่อรายการไปเกี่ยวข้องและหนุ่มกรรชัยต้องรีบโทรเคลียร์กับสนธิลิ้มทองกุลว่ารายการโหนกระแสไม่ได้ตั้งใจจะฟอกขาวให้ทนายตั้ม ซึ่งต่างเข้าใจกันด้วยดี ดูเหลี่ยมไหนทนายตั้มก็รอดยากผู้คนกําลังรุมประณามลามปามไปถึงสังคมทนาย คิงส์ดำบอกเลยว่า ตั้มเอ้ย ซ้อมกินฉี่ไว้ล่วงหน้าได้เลย
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    #สนธิลิ้มทองกุล
    #ทนายตั้ม
    ข้อมูลที่สนธิลิ้มทองกุลเปิดโปงพฤติกรรมของทนายตั้ม นายสิทธา เบี้ยบังเกิด ตอกย้ําว่าอ้อยจตุพร ที่โอนเงินสองล้านยูโรหรือเจ็ดสิบเอ็ดล้านบาทเข้าบัญชีชื่อสิทธ์ธาเบี้ยบังเกิด ไม่ใช่การให้โดยเสน่ห์หายอย่างที่ทนายตั้มอ้าง และในเมื่อทนายตั้ม อมเงินก้อนนี้ไปโดยไม่ยอมคืนให้เจ้าของก็เท่ากับมีภาระต้องเสียภาษีอีกมหาศาล ถึงขั้นนายสนธิ ท้า ถ้าทนายตั้มมีหลักฐานการจ่ายภาษีจะยอมกราบตีนและไหนๆทนายตั้มอยากแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง สนธิ ลิ้มทองกุลก็จะยื่นหนังสือถึงกรมสรรพากรให้ตรวจสอบการเสียภาษี จากรายได้ก้อนนี้ด้วย จัดหนักให้สุดซอยแบบเดียวกับที่เคยจัดให้ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ตอนที่เปิดศึกกันครั้งที่ผ่านมา หลังรายการจบลงสื่อต่างๆก็นําไปรายงานข่าวกันอย่างคึกคัก แหกพฤติกรรมฉ้อโกงเงิน ไปจากเศรษฐีนีใจบุญที่เคยให้ความรักความเมตตากับทนายตั้มอย่างจริงใจ ชาวเน็ตมีความเห็นตรงกันมากว่า เป็นไปไม่ได้หรือไม่เชื่อที่ใครจะให้เงิน71 ล้านด้วยความเสน่หากับคนที่ไม่ใช่ญาติรวมถึงตรรกะว่า ถ้าอ้อย จตุพรให้ด้วยความเสน่หาจริงแล้วจะมาแจ้งจับทนายตั้มทําไม งานนี้ สนธิ ลิ้มทองกุลชนะขาด เครดิตความน่าเชื่อถือต่างกันลิบลับในด้านคดีความ ต้องบอกว่าทนายตั้มงานนี้เหนื่อยแน่เพราะสํานักงานตํารวจแห่งชาติมีคําสั่งให้โอนคดีจาก สภ ปากช่อง มายังกองปราบปรามเรียบร้อยแล้ว และเนื่องจากทนายตั้มใช้วิธีดักคอว่าพลตํารวจตรีจรูญ เกียรติปานแก้ว เหมือนเป็นคู่กรณีกลายๆจะมาคุมสํานวน สํานักงานตํารวจแห่งชาติจึงไม่เปิดช่องทางให้ทนายตั้มใช้ประเด็นนี้มาต่อสู้คดี จึงมอบหมายให้บิ๊กหมูพลตํารวจตรีสุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตํารวจสอบสวนกลางรับผิดชอบซึ่งตามประวัติบิ๊กหมูเป็นถึงผู้การกองปราบมาก่อน ลีลาก็ถึงลูกถึงคน ไม่กลัวใครหน้าไหนเหมือนกัน ในสถานการณ์ที่เห็นว่าตัวเองเพลี่ยงพล้ํา ทนายตั้มเลยยกเลิกเกมที่จะไปแจ้งจับใครต่อใครเปลี่ยนวิธีจะไปขอเจรจากับเจ้าของเงินแทน แต่โชคร้ายที่ออกแนวหลอกลวงมันรุนแรงเกินกว่าที่คู่กรณีจะยอมให้อภัยจึงจัดการปิดช่องทางการติดต่อสื่อสารทั้งหมด ทนายตั้มไม่สามารถติดต่อคุณอ้อยได้แล้ว การเปิดศึกกับสนธิ ลิ้มทองกุลและการไปบี้เอาเงินจากบอสพอล ทนายตั้มใช้วิธีการอ้างถึงรายการโหนกระแสเหมือนๆกัน เล่นเอาหนุ่มกรรชัยสุดทนพูดตําหนิทนายตั้มตรงๆ ว่าอย่าลากชื่อรายการไปเกี่ยวข้องและหนุ่มกรรชัยต้องรีบโทรเคลียร์กับสนธิลิ้มทองกุลว่ารายการโหนกระแสไม่ได้ตั้งใจจะฟอกขาวให้ทนายตั้ม ซึ่งต่างเข้าใจกันด้วยดี ดูเหลี่ยมไหนทนายตั้มก็รอดยากผู้คนกําลังรุมประณามลามปามไปถึงสังคมทนาย คิงส์ดำบอกเลยว่า ตั้มเอ้ย ซ้อมกินฉี่ไว้ล่วงหน้าได้เลย #คิงส์โพธิ์ดำ #สนธิลิ้มทองกุล #ทนายตั้ม
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 752 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลงานชิ้นเอก ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

    เป็นหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนา ที่ดีที่สุดในยุคแผ่นดินรัชกาลที่ ๙

    เป็นหนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจ ให้พระไพศาล วิสาโล บวชไม่คิดสึก

    ‘พุทธธรรม’ ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์. (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)) คือ หนังสือที่พระไพศาลยกย่อง ถึงขั้นที่ว่าถ้ามีหนังสือเพียงเล่มเดียวที่สามารถติดตัวไปได้ในชีวิต ‘พุทธธรรม’ คือ เล่มที่ท่านเลือก...

    “หนังสือเล่มนี้อาตมาอ่านจบช่วงเข้าพรรษาสมัยที่เป็นฆราวาส เมื่อ พ.ศ. 2525 ตั้งใจว่าอ่านให้ได้วันละ 10 หน้า ก็อ่านได้ทุกวัน พรรษาหนึ่งประมาณ 90 กว่าวัน หนังสือมีความหนาประมาณพันกว่าหน้า อ่านตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายก็พอดี เป็นการฝึกความเพียรและวินัยด้วย บางทีเราเดินทางไปต่างจังหวัดก่อนหน้านั้นวันหนึ่งจะต้องอ่านเพิ่มอีก 10 หน้าเพื่อชดเชยกับวันที่ต้องเดินทาง”

    นอกจากความเพียรในการอ่านแล้ว ช่วงนั้นพระไพศาลซึ่งเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยยังได้รับความเมตตาจากพระราชวรมุนี (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์) อนุญาตให้เข้าพบเป็นประจำทุกเดือน เพื่อสนทนาธรรมสอบถามข้อสงสัยจากหนังสืออีกด้วย

    “อ่านหนังสือแล้วไปถามท่านเราก็ได้ความกระจ่างเยอะ ถือเป็นความโชคดีในฐานะนักอ่าน ยิ่งได้คุยกับท่านยิ่งรู้ว่า ท่านเป็นผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศ ถ้าจัดเรตให้ต้องถือว่าเฟิร์สตเรต อัศจรรย์มาก”

    พุทธธรรมเป็นวรรณกรรมพุทธศาสนา ที่ได้รับการยอมรับว่าแสดงหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทอย่างซื่อตรงต่อพระ ไตรปิฎกเป็นอย่างยิ่ง นำเสนอหลักการและสาระสำคัญของพระพุทธศาสนาอย่างครบถ้วน และเป็นระบบอย่างชัดเจน พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2514 ต่อมาในปี พ.ศ. 2525 ผู้เขียนได้ปรับปรุงและขยายความเพิ่มขึ้น จนกลายเป็นหนังสือเล่มใหญ่หนาเป็นพันหน้า

    “อ่านไปก็อดทึ่งคนเขียนไม่ได้ว่าทั้งฉลาดทั้งมีความเพียรสูง ค้นข้อมูลมามากทีเดียวกว่าจะเขียนได้อย่างนี้ คือไม่ใช่แค่สรุปความย่อความเหมือนหนังสือบางเล่ม แต่เป็นการเขียนขึ้นมาใหม่ โดยมีพระไตรปิฎก เป็นพื้นฐาน นำเสนอด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ด้วยวิธีคิดของคนสมัยใหม่ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เราจะไม่เจอแบบนี้ในงานเขียนพระพุทธศาสนา บางทีเคยไปเจอหนังสือเกี่ยวกับสาระพระไตรปิฎก เขียนโดยฆราวาสที่เคยบวชพระมาจะเห็นว่าลีลาสไตล์การเขียนแตกต่างกัน บางทีก็แค่ย่อความมาให้เราดู การย่อความก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ท่านเจ้าประคุณทำได้มากกว่านั้น จึงนำมาเสนอใหม่ ด้วยชนิดที่เรียกว่าสามารถจะสื่อสารกับเราด้วยภาษาของเราได้ และพยายามโยงให้เข้าถึงปัญหาสังคมสมัยใหม่โดยใช้มุมมองแบบพุทธ ซึ่งสมควรแล้วที่คนจะพูดว่าเป็นเล่มที่ดีที่สุดในยุครัชกาลที่ 9 และถือว่าเป็นเล่มที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งของรัตนโกสินทร์”

    อาตมายกให้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือดีของชีวิต ประการที่หนึ่งเพราะนำเสนอพุทธธรรมอย่างเป็นระบบและรอบด้านที่สุดภายในเล่มเดียว คือมีหลายท่านพูดถึงพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งแต่พูดเป็นบางแง่ อย่างท่านพุทธทาสก็พูดเป็นบางแง่ เช่น ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา แต่เล่มนี้พูดครบทุกแง่อย่างเป็นระบบ ทุกแง่ทุกมุมอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว ขอให้ค้นให้เป็น อาตมาเคยพูดนะว่าหนังสือเล่มนี้มี 3 มิติ ทั้งลึก กว้าง ไกล ลึกคือทำให้เราเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งของตัวเอง และทำให้เราเห็นกว้าง เห็นโลกและสังคมได้อย่างกว้าง เล่มนี้จะพูดถึงสังคมสมัยใหม่ไว้พอสมควร ทำให้เราได้เห็นมิติด้านไกล นั่นคือได้เห็นว่าการสอนพุทธศาสนานี้ผ่านการตีความมายังไงบ้าง ประการต่อมาคือใช้ภาษาที่งดงามสละสลวย ภาษาท่านงดงามมาก และสามารถสื่อได้ตรงใจผู้เขียน แม้ว่าเนื้อหาจะลึกซึ้ง คือทุกวันนี้แม้ตัวเองจะอ่านงานท่านเจ้าประคุณมาเยอะ เวลาจะสื่ออะไรบางอย่าง เรารู้สึกว่าเราจนต่อถ้อยคำ ไม่สามารถจะเขียนให้สุดความคิดได้ แต่หนังสือเล่มนี้ท่านเจ้าประคุณสามารถบรรยายให้สุดความคิดได้ อาตมาคิดว่าเป็นแบบอย่างของงานเขียนในทางศาสนาและงานวิชาการได้ คือมีทั้งอรรถและรส อรรถคือเนื้อหา รสคือรสของภาษา”

    ซึ่งพระไพศาลยอมรับว่าได้รับอิทธิพลจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) และท่านพุทธทาส ในการใช้ชีวิตและเขียนหนังสือพอสมควร โดยเฉพาะจากหนังสือพุทธธรรมนั้นมีอิทธิพลต่องานเขียน และการค้นคว้าทางพุทธศาสนาอย่างมาก

    “ถ้ามีเล่มเดียวที่สามารถติดไปได้ในชีวิตก็เล่มนี้แหละ ถึงแม้จะหนักหน่อยก็ตาม อาตมายังรู้สึกเลยนะว่าหนังสือเล่มนี้ทำให้เราภูมิใจที่เป็นคนไทย การที่คุณเป็นคนไทยแล้วได้อ่านหนังสือเล่มนี้ถือว่าโชคดีและคุ้มค่าในการที่ได้เป็นคนไทยแล้ว บางทีเราก็รู้สึกว่าเป็นฝรั่งโชคดีนะ ได้อ่านหนังสือที่ลึกซึ้ง หนังสือเยอะแยะหลากหลาย แต่พุทธธรรมนี่แหละที่ทำให้เราสามารถเป็นที่อิจฉาของฝรั่งได้ เพราะฝรั่งอ่านเล่มนี้ไม่ได้ แต่คนไทยอ่านได้ ฉะนั้นถ้าในแง่ชาวพุทธและในแง่ความเป็นคนไทย หนังสือเล่มนี้จะทำให้เราภูมิใจและรู้สึกโชคดีที่ได้เป็นคนไทย ที่อ่านภาษาไทยออก”

    และถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีหนังสือพุทธธรรมในครอบครอง แต่ยังไม่เคยเปิดอ่าน พระไพศาลบอกว่าเป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะรสชาติของหนังสือเล่มนี้แตกต่างจากหนังสือทั่ว ๆ ไป

    “อ่านแล้วจะทำให้เกิดความพิศวงและความปีติเมื่อได้พบความจริง”
    นั่นคือพุทธธรรม...

    Save เก็บได้เลย... 1360 หน้า อัพเดทล่าสุด เป็นฉบับปรับขยายครับ อ่านวันละ 10 หน้าแป๊บเดี๋ยวก็จบแล้ว
    https://www.watnyanaves.net/uploads/File/books/pdf/buddhadhamma_extended_edition.pdf?fbclid=IwAR1WFAHlZSqoUQa01X13IvZno7o9FgFuHC450ktPmxfQAxLyUtGOl9ndrSY

    ท่านสามารถดาวโหลดเสียงอ่านหนังสือ
    "พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย"
    ของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต))

    เสียงอ่านโดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

    ได้ที่ Link เสียงอ่าน พุทธธรรม
    http://bit.ly/1nZnfef

    Link สำหรับพุทธธรรม ๒๓ บท ตามนี้ครับ

    ๐๑. ขันธ์5
    http://bit.ly/1qih1Xj

    ๐๒. อายตนะ ๖
    http://bit.ly/1Xq7tVe

    ๐๓.ไตรลักษณ์
    http://bit.ly/1VhCuNd

    ๐๔. ปฏิจสุปบาท
    http://bit.ly/1SYJnj1

    ๐๕. กรรม
    http://bit.ly/20u0M6t

    ๐๖. นิพพาน
    http://bit.ly/1Q2AZKF

    ๐๗. ประเภทนิพพาน
    http://bit.ly/1qIMFOI

    ๐๘. สมถะ-วิปัสสนา
    http://bit.ly/1UUvg1A

    ๐๙. หลักการสำคัญของการบรรลุนิพพาน
    http://bit.ly/1VLTVUU

    ๑๐. บทสรุปเรื่องนิพพาน
    http://bit.ly/23wfOdI

    ๑๑. บทนำมัชฌิมาปฏิปทา
    http://bit.ly/1S4wT9r

    ๑๒. ปรโตโฆสะที่ดี_กัลยาณมิตร
    http://bit.ly/1S0ftIV

    ๑๓. โยนิโสมนสิการ
    http://bit.ly/1RNTVlX

    ๑๔. ปัญญา
    http://bit.ly/1RNU211

    ๑๕. ศีล
    http://bit.ly/23nRiid

    ๑๖. สมาธิ
    http://bit.ly/1MoRbve

    ๑๗. บทสรุปอริยสัจ
    http://bit.ly/1qihTv3

    ๑๘. โสดาบัน
    http://bit.ly/1MoRfeq

    ๑๙. วินัย
    http://bit.ly/1SYK63G

    ๒๐. ปาฏิหาริย์
    http://bit.ly/1VLUY7z

    ๒๑. ปัญหาแรงจูงใจ
    http://bit.ly/1N3oUKE

    ๒๒. ความสุข ๑ ฉบับแบบแผน
    http://bit.ly/1VLV3rJ

    ๒๓. ความสุข ๒ ฉบับประมวลความ
    http://bit.ly/1SYK9g0

    เครดิต Kanlayanatam
    ผลงานชิ้นเอก ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เป็นหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนา ที่ดีที่สุดในยุคแผ่นดินรัชกาลที่ ๙ เป็นหนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจ ให้พระไพศาล วิสาโล บวชไม่คิดสึก ‘พุทธธรรม’ ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์. (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)) คือ หนังสือที่พระไพศาลยกย่อง ถึงขั้นที่ว่าถ้ามีหนังสือเพียงเล่มเดียวที่สามารถติดตัวไปได้ในชีวิต ‘พุทธธรรม’ คือ เล่มที่ท่านเลือก... “หนังสือเล่มนี้อาตมาอ่านจบช่วงเข้าพรรษาสมัยที่เป็นฆราวาส เมื่อ พ.ศ. 2525 ตั้งใจว่าอ่านให้ได้วันละ 10 หน้า ก็อ่านได้ทุกวัน พรรษาหนึ่งประมาณ 90 กว่าวัน หนังสือมีความหนาประมาณพันกว่าหน้า อ่านตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายก็พอดี เป็นการฝึกความเพียรและวินัยด้วย บางทีเราเดินทางไปต่างจังหวัดก่อนหน้านั้นวันหนึ่งจะต้องอ่านเพิ่มอีก 10 หน้าเพื่อชดเชยกับวันที่ต้องเดินทาง” นอกจากความเพียรในการอ่านแล้ว ช่วงนั้นพระไพศาลซึ่งเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยยังได้รับความเมตตาจากพระราชวรมุนี (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์) อนุญาตให้เข้าพบเป็นประจำทุกเดือน เพื่อสนทนาธรรมสอบถามข้อสงสัยจากหนังสืออีกด้วย “อ่านหนังสือแล้วไปถามท่านเราก็ได้ความกระจ่างเยอะ ถือเป็นความโชคดีในฐานะนักอ่าน ยิ่งได้คุยกับท่านยิ่งรู้ว่า ท่านเป็นผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศ ถ้าจัดเรตให้ต้องถือว่าเฟิร์สตเรต อัศจรรย์มาก” พุทธธรรมเป็นวรรณกรรมพุทธศาสนา ที่ได้รับการยอมรับว่าแสดงหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทอย่างซื่อตรงต่อพระ ไตรปิฎกเป็นอย่างยิ่ง นำเสนอหลักการและสาระสำคัญของพระพุทธศาสนาอย่างครบถ้วน และเป็นระบบอย่างชัดเจน พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2514 ต่อมาในปี พ.ศ. 2525 ผู้เขียนได้ปรับปรุงและขยายความเพิ่มขึ้น จนกลายเป็นหนังสือเล่มใหญ่หนาเป็นพันหน้า “อ่านไปก็อดทึ่งคนเขียนไม่ได้ว่าทั้งฉลาดทั้งมีความเพียรสูง ค้นข้อมูลมามากทีเดียวกว่าจะเขียนได้อย่างนี้ คือไม่ใช่แค่สรุปความย่อความเหมือนหนังสือบางเล่ม แต่เป็นการเขียนขึ้นมาใหม่ โดยมีพระไตรปิฎก เป็นพื้นฐาน นำเสนอด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ด้วยวิธีคิดของคนสมัยใหม่ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เราจะไม่เจอแบบนี้ในงานเขียนพระพุทธศาสนา บางทีเคยไปเจอหนังสือเกี่ยวกับสาระพระไตรปิฎก เขียนโดยฆราวาสที่เคยบวชพระมาจะเห็นว่าลีลาสไตล์การเขียนแตกต่างกัน บางทีก็แค่ย่อความมาให้เราดู การย่อความก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ท่านเจ้าประคุณทำได้มากกว่านั้น จึงนำมาเสนอใหม่ ด้วยชนิดที่เรียกว่าสามารถจะสื่อสารกับเราด้วยภาษาของเราได้ และพยายามโยงให้เข้าถึงปัญหาสังคมสมัยใหม่โดยใช้มุมมองแบบพุทธ ซึ่งสมควรแล้วที่คนจะพูดว่าเป็นเล่มที่ดีที่สุดในยุครัชกาลที่ 9 และถือว่าเป็นเล่มที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งของรัตนโกสินทร์” อาตมายกให้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือดีของชีวิต ประการที่หนึ่งเพราะนำเสนอพุทธธรรมอย่างเป็นระบบและรอบด้านที่สุดภายในเล่มเดียว คือมีหลายท่านพูดถึงพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งแต่พูดเป็นบางแง่ อย่างท่านพุทธทาสก็พูดเป็นบางแง่ เช่น ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา แต่เล่มนี้พูดครบทุกแง่อย่างเป็นระบบ ทุกแง่ทุกมุมอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว ขอให้ค้นให้เป็น อาตมาเคยพูดนะว่าหนังสือเล่มนี้มี 3 มิติ ทั้งลึก กว้าง ไกล ลึกคือทำให้เราเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งของตัวเอง และทำให้เราเห็นกว้าง เห็นโลกและสังคมได้อย่างกว้าง เล่มนี้จะพูดถึงสังคมสมัยใหม่ไว้พอสมควร ทำให้เราได้เห็นมิติด้านไกล นั่นคือได้เห็นว่าการสอนพุทธศาสนานี้ผ่านการตีความมายังไงบ้าง ประการต่อมาคือใช้ภาษาที่งดงามสละสลวย ภาษาท่านงดงามมาก และสามารถสื่อได้ตรงใจผู้เขียน แม้ว่าเนื้อหาจะลึกซึ้ง คือทุกวันนี้แม้ตัวเองจะอ่านงานท่านเจ้าประคุณมาเยอะ เวลาจะสื่ออะไรบางอย่าง เรารู้สึกว่าเราจนต่อถ้อยคำ ไม่สามารถจะเขียนให้สุดความคิดได้ แต่หนังสือเล่มนี้ท่านเจ้าประคุณสามารถบรรยายให้สุดความคิดได้ อาตมาคิดว่าเป็นแบบอย่างของงานเขียนในทางศาสนาและงานวิชาการได้ คือมีทั้งอรรถและรส อรรถคือเนื้อหา รสคือรสของภาษา” ซึ่งพระไพศาลยอมรับว่าได้รับอิทธิพลจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) และท่านพุทธทาส ในการใช้ชีวิตและเขียนหนังสือพอสมควร โดยเฉพาะจากหนังสือพุทธธรรมนั้นมีอิทธิพลต่องานเขียน และการค้นคว้าทางพุทธศาสนาอย่างมาก “ถ้ามีเล่มเดียวที่สามารถติดไปได้ในชีวิตก็เล่มนี้แหละ ถึงแม้จะหนักหน่อยก็ตาม อาตมายังรู้สึกเลยนะว่าหนังสือเล่มนี้ทำให้เราภูมิใจที่เป็นคนไทย การที่คุณเป็นคนไทยแล้วได้อ่านหนังสือเล่มนี้ถือว่าโชคดีและคุ้มค่าในการที่ได้เป็นคนไทยแล้ว บางทีเราก็รู้สึกว่าเป็นฝรั่งโชคดีนะ ได้อ่านหนังสือที่ลึกซึ้ง หนังสือเยอะแยะหลากหลาย แต่พุทธธรรมนี่แหละที่ทำให้เราสามารถเป็นที่อิจฉาของฝรั่งได้ เพราะฝรั่งอ่านเล่มนี้ไม่ได้ แต่คนไทยอ่านได้ ฉะนั้นถ้าในแง่ชาวพุทธและในแง่ความเป็นคนไทย หนังสือเล่มนี้จะทำให้เราภูมิใจและรู้สึกโชคดีที่ได้เป็นคนไทย ที่อ่านภาษาไทยออก” และถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีหนังสือพุทธธรรมในครอบครอง แต่ยังไม่เคยเปิดอ่าน พระไพศาลบอกว่าเป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะรสชาติของหนังสือเล่มนี้แตกต่างจากหนังสือทั่ว ๆ ไป “อ่านแล้วจะทำให้เกิดความพิศวงและความปีติเมื่อได้พบความจริง” นั่นคือพุทธธรรม... Save เก็บได้เลย... 1360 หน้า อัพเดทล่าสุด เป็นฉบับปรับขยายครับ อ่านวันละ 10 หน้าแป๊บเดี๋ยวก็จบแล้ว https://www.watnyanaves.net/uploads/File/books/pdf/buddhadhamma_extended_edition.pdf?fbclid=IwAR1WFAHlZSqoUQa01X13IvZno7o9FgFuHC450ktPmxfQAxLyUtGOl9ndrSY ท่านสามารถดาวโหลดเสียงอ่านหนังสือ "พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย" ของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)) เสียงอ่านโดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ได้ที่ Link เสียงอ่าน พุทธธรรม http://bit.ly/1nZnfef Link สำหรับพุทธธรรม ๒๓ บท ตามนี้ครับ ๐๑. ขันธ์5 http://bit.ly/1qih1Xj ๐๒. อายตนะ ๖ http://bit.ly/1Xq7tVe ๐๓.ไตรลักษณ์ http://bit.ly/1VhCuNd ๐๔. ปฏิจสุปบาท http://bit.ly/1SYJnj1 ๐๕. กรรม http://bit.ly/20u0M6t ๐๖. นิพพาน http://bit.ly/1Q2AZKF ๐๗. ประเภทนิพพาน http://bit.ly/1qIMFOI ๐๘. สมถะ-วิปัสสนา http://bit.ly/1UUvg1A ๐๙. หลักการสำคัญของการบรรลุนิพพาน http://bit.ly/1VLTVUU ๑๐. บทสรุปเรื่องนิพพาน http://bit.ly/23wfOdI ๑๑. บทนำมัชฌิมาปฏิปทา http://bit.ly/1S4wT9r ๑๒. ปรโตโฆสะที่ดี_กัลยาณมิตร http://bit.ly/1S0ftIV ๑๓. โยนิโสมนสิการ http://bit.ly/1RNTVlX ๑๔. ปัญญา http://bit.ly/1RNU211 ๑๕. ศีล http://bit.ly/23nRiid ๑๖. สมาธิ http://bit.ly/1MoRbve ๑๗. บทสรุปอริยสัจ http://bit.ly/1qihTv3 ๑๘. โสดาบัน http://bit.ly/1MoRfeq ๑๙. วินัย http://bit.ly/1SYK63G ๒๐. ปาฏิหาริย์ http://bit.ly/1VLUY7z ๒๑. ปัญหาแรงจูงใจ http://bit.ly/1N3oUKE ๒๒. ความสุข ๑ ฉบับแบบแผน http://bit.ly/1VLV3rJ ๒๓. ความสุข ๒ ฉบับประมวลความ http://bit.ly/1SYK9g0 เครดิต Kanlayanatam
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 643 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชีวิตที่อยู่เพื่อเงิน..
    คุณจะต้องทุกข์มาก
    ชีวิตที่อยู่เพื่อลูก
    คุณจะต้องเหนื่อยมาก
    ชีวิตที่อยู่เพื่อความรัก
    คุณจะต้องเจ็บปวดมาก
    ชีวิตที่ต้องเปรียบเทียบแข่งขัน
    คุณจะรู้สึกยิ่งต้อยต่ำ
    ชีวิตที่อยู่ด้วยความดี...
    คุณจะอยู่อย่างไม่เห็นแก่ตัว
    ชีวิตที่อยู่กับปัจจุบันขณะ
    คุณจะอยู่อย่างโปร่งเบาสบาย
    ชีวิตที่อยู่อย่างใจกว้างให้อภัย
    คุณจะอยู่อย่างมีความสุข
    ชีวิตที่อยู่ด้วยความเมตตา
    คุณจะอยู่อย่างเบิกบานแจ่มใส
    ชีวิตที่อยู่อย่างพอเพียง
    คุณจะอยู่อย่างคนมั่งมีร่ำรวย..🌼
    Cr : PAG Design
    ชีวิตที่อยู่เพื่อเงิน.. คุณจะต้องทุกข์มาก ชีวิตที่อยู่เพื่อลูก คุณจะต้องเหนื่อยมาก ชีวิตที่อยู่เพื่อความรัก คุณจะต้องเจ็บปวดมาก ชีวิตที่ต้องเปรียบเทียบแข่งขัน คุณจะรู้สึกยิ่งต้อยต่ำ ชีวิตที่อยู่ด้วยความดี... คุณจะอยู่อย่างไม่เห็นแก่ตัว ชีวิตที่อยู่กับปัจจุบันขณะ คุณจะอยู่อย่างโปร่งเบาสบาย ชีวิตที่อยู่อย่างใจกว้างให้อภัย คุณจะอยู่อย่างมีความสุข ชีวิตที่อยู่ด้วยความเมตตา คุณจะอยู่อย่างเบิกบานแจ่มใส ชีวิตที่อยู่อย่างพอเพียง คุณจะอยู่อย่างคนมั่งมีร่ำรวย..🌼 Cr : PAG Design
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts