• พลังแห่งเต๋า

    เหลาจื่อกล่าวว่า เต๋าไร้รูปลักษณ์ ดูอ่อนด้อย เสมือนว่าไร้พลัง หากแต่โคจรสรรพสิ่ง
    เต๋าทำได้อย่างไร นั่นเพราะเต๋ามีพลังอย่างหนึ่งที่เรียกว่า "คุณธรรม"

    ในบทที่ ๕๑ ได้เขียนไว้อย่างนี้

    เต๋าให้กำเนิด คุณธรรมให้การหล่อเลี้ยง (道生之 德畜之)
    หมายความไฉน

    สรรพสิ่งในใต้หล้าจะต้องประกอบด้วยสองคุณลักษณะ คุณลักษณะหนึ่งคือแก่น อีกคุณลักษณะหนึ่งคืออานุภาพ แก่นคือประธาน อานุภาพคือพลังที่แสดงออกแห่งประธานนั้น แก่นคือส่วนใน อานุภาพคือส่วนนอก แก่นคือหลักของอานุภาพ อานุภาพคือการแสดงออกของแก่น ไร้แก่นมิอาจมีอานุภาพ ไร้อานุภาพก็มิอาจเห็นซึ่งประโยชน์ของแก่น
    แก่นและอานุภาพเป็นสองสิ่งในสิ่งเดียว แยกจากกันไม่ได้ อยู่อย่างเป็นเอกเทศก็ไม่ได้ สองสิ่งจะเอื้อซึ่งกันและกัน และกระทบซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่างเช่น แก้วน้ำคือแก่น การใส่น้ำคืออานุภาพของแก้ว ดินคือแก่น การให้ผลผลิต การเก็บกักน้ำ การสร้างอาคารบ้านอาศัยคืออานุภาพของดิน ไฟคือแก่น แสงที่เกิดจากไฟคืออานุภาพ เป็นต้น

    สรรพสิ่งในโลกย่อมเป็นไปเช่นนี้ ทุกสิ่งเกิดมาจะต้องมีอานุภาพ มีประโยชน์ ต่อให้เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ในสายตาของชาวโลก สุดท้ายก็ย่อมจะต้องมีประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งในวงจรแห่งธรรมชาติอยู่ดี นี่ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างแก่นและอานุภาพ

    สรรพสิ่งที่มีความสัมพันธ์ของแก่นและอานุภาพเป็นฉันใด เต๋าที่เป็นเอกแห่งสากล เป็นต้นกำเนิดแห่งสรรพสิ่ง ก็ย่อมเป็นฉันนั้นดุจเดียวกัน

    กล่าวคือ เต๋าเป็นแก่น คุณธรรมเป็นอานุภาพแห่งเต๋า เต๋าให้กำเนิดสรรพสิ่ง เป็นหลักของสรรพสิ่ง ส่วนคุณธรรมก็ทำหน้าที่ในการหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งให้เติบใหญ่ บำรุงสรรพสิ่งให้มีชีวิตชีวา

    คุณธรรมคืออานุภาพแห่งเต๋า เต๋าเป็นแก่นแห่งคุณธรรม คุณธรรมนั้นไร้รูปลักษณ์ คือพลานุภาพที่แสดงออกแห่งเต๋า เป็นพลังที่บำรุงสรรพสิ่ง ผลักดันสิ่งเลวร้ายให้มลาย เป็นพลังที่จับต้องได้ยาก แต่จะแสดงออกให้เราเห็นในรูปของความกตัญญู ความจงรักภักดี ความมีสัจจะ ความสุจริตยุติธรรม และอื่นๆ อีกมากมายสุดที่จะพรรณนาสิ้น ดังนั้นผู้ที่เข้าถึงเต๋า จึงพึงบำเพ็ญคุณธรรมทั้งปวงให้ถึงพร้อม ปฏิบัติคุณธรรมทั้งปวงให้สมบูรณ์ เช่นนี้จึงจะเข้าถึงเต๋าได้

    คุณธรรมที่เป็นอานุภาพแห่งเต๋ามีอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ ผู้คนไม่รู้จักพลังที่คอยหนุนนำสรรพสิ่งในโลกหล้านี้ เหลาจื่อจึงเรียกพลังที่เป็นอานุภาพแห่งเต๋านี้ว่า “คุณธรรม”

    คุณธรรมทำหน้าที่ในการทำนุบำรุงสรรพสิ่ง หล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง เป็นพลังที่มิอาจจับต้องมองเห็น หากแต่สามารถสัมผัสได้ด้วยใจ

    ในสมัยราชวงศ์ซ้อง มีขุนนางผู้มีใจอาจหาญท่านหนึ่งนามว่า “เหวินเทียนเสียง (文天祥)” ก็เป็นผู้หนึ่งที่สามารถสัมผัสถึงการคงอยู่ของพลังแห่งคุณธรรมนี้

    ในสมัยนั้น เหวินเทียนเสียงเป็นขุนนางตงฉินที่ถูกขังในคุกใต้ดินเป็นเวลานานถึงห้าปี หลายคนมิอาจทนอยู่กับสภาพอันโหดร้ายภายในคุกจนเจ็บป่วยล้มตายไปเป็นจำนวนมาก สาเหตุเพราะต้องทนทุกข์ทรมานกับพลังร้ายในคุกใต้ดินถึงเจ็ดอย่าง เหวินเทียนเสียงเรียกพลังทั้งเจ็ดนี้ว่าเจ็ดพิษร้าย ประกอบด้วยพิษน้ำ (水氣) พิษดิน (土氣) พิษแดด (日氣) พิษไฟ (火氣) พิษข้าว (米氣) พิษไคล (人氣) พิษโสโครก (穢氣) ทุกคนต่างมิอาจทนอยู่กับสภาพของพิษร้ายทั้งเจ็ดนี้ได้ หากจะมีเหวินเทียนเสียงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังสามารถหยัดยืนมั่นคงในท่ามกลางพิษทั้งเจ็ดนี้อย่างไม่สะทกสะท้าน

    เหวินเทียนเสียงสันนิษฐานว่าต้องมีพลังอยู่อย่างหนึ่งที่คอยทานพิษทั้งเจ็ดนี้ไว้ ท่านไม่รู้ว่าพลังในท่ามกลางฟ้าดินนี้คือสิ่งใด จึงเรียกพลังนี้ว่าเจิ้งชี่ (正氣) หรือก็คือพลังเที่ยงธรรม เรียกสั้นๆ ว่าพลังธรรม

    พลังธรรมที่เหวินเทียนเสียงพบคือรูปแบบหนึ่งของพลังคุณธรรมแห่งเต๋านี้ คุณธรรมนี้เป็นพลังที่คอยหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ไร้รูปไร้ลักษณ์ มีอยู่ทุกแห่งหน เป็นพลังที่ต่อต้านสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย ยามที่จิตใจของผู้คนมีความเมตตาอันสูงส่ง มีความกตัญญูอันยิ่งใหญ่ มีสัจจะวาจาที่เข้มแข็ง มีความจงรักภักดีอย่างไม่ห่วงกายา มีจิตกรุณาอารียิ่งเทียมฟ้า ยามนั้น คนผู้นี้ก็จะเป็นผู้ที่เข้าถึงเต๋า ด้วยเพราะคุณธรรมต่างๆ ที่เขาได้บำเพ็ญเพียรมา แท้ก็คือพลังคุณธรรมที่เป็นอานุภาพแห่งเต๋านี้นั่นแล
    พลังแห่งเต๋า เหลาจื่อกล่าวว่า เต๋าไร้รูปลักษณ์ ดูอ่อนด้อย เสมือนว่าไร้พลัง หากแต่โคจรสรรพสิ่ง เต๋าทำได้อย่างไร นั่นเพราะเต๋ามีพลังอย่างหนึ่งที่เรียกว่า "คุณธรรม" ในบทที่ ๕๑ ได้เขียนไว้อย่างนี้ เต๋าให้กำเนิด คุณธรรมให้การหล่อเลี้ยง (道生之 德畜之) หมายความไฉน สรรพสิ่งในใต้หล้าจะต้องประกอบด้วยสองคุณลักษณะ คุณลักษณะหนึ่งคือแก่น อีกคุณลักษณะหนึ่งคืออานุภาพ แก่นคือประธาน อานุภาพคือพลังที่แสดงออกแห่งประธานนั้น แก่นคือส่วนใน อานุภาพคือส่วนนอก แก่นคือหลักของอานุภาพ อานุภาพคือการแสดงออกของแก่น ไร้แก่นมิอาจมีอานุภาพ ไร้อานุภาพก็มิอาจเห็นซึ่งประโยชน์ของแก่น แก่นและอานุภาพเป็นสองสิ่งในสิ่งเดียว แยกจากกันไม่ได้ อยู่อย่างเป็นเอกเทศก็ไม่ได้ สองสิ่งจะเอื้อซึ่งกันและกัน และกระทบซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่างเช่น แก้วน้ำคือแก่น การใส่น้ำคืออานุภาพของแก้ว ดินคือแก่น การให้ผลผลิต การเก็บกักน้ำ การสร้างอาคารบ้านอาศัยคืออานุภาพของดิน ไฟคือแก่น แสงที่เกิดจากไฟคืออานุภาพ เป็นต้น สรรพสิ่งในโลกย่อมเป็นไปเช่นนี้ ทุกสิ่งเกิดมาจะต้องมีอานุภาพ มีประโยชน์ ต่อให้เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ในสายตาของชาวโลก สุดท้ายก็ย่อมจะต้องมีประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งในวงจรแห่งธรรมชาติอยู่ดี นี่ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างแก่นและอานุภาพ สรรพสิ่งที่มีความสัมพันธ์ของแก่นและอานุภาพเป็นฉันใด เต๋าที่เป็นเอกแห่งสากล เป็นต้นกำเนิดแห่งสรรพสิ่ง ก็ย่อมเป็นฉันนั้นดุจเดียวกัน กล่าวคือ เต๋าเป็นแก่น คุณธรรมเป็นอานุภาพแห่งเต๋า เต๋าให้กำเนิดสรรพสิ่ง เป็นหลักของสรรพสิ่ง ส่วนคุณธรรมก็ทำหน้าที่ในการหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งให้เติบใหญ่ บำรุงสรรพสิ่งให้มีชีวิตชีวา คุณธรรมคืออานุภาพแห่งเต๋า เต๋าเป็นแก่นแห่งคุณธรรม คุณธรรมนั้นไร้รูปลักษณ์ คือพลานุภาพที่แสดงออกแห่งเต๋า เป็นพลังที่บำรุงสรรพสิ่ง ผลักดันสิ่งเลวร้ายให้มลาย เป็นพลังที่จับต้องได้ยาก แต่จะแสดงออกให้เราเห็นในรูปของความกตัญญู ความจงรักภักดี ความมีสัจจะ ความสุจริตยุติธรรม และอื่นๆ อีกมากมายสุดที่จะพรรณนาสิ้น ดังนั้นผู้ที่เข้าถึงเต๋า จึงพึงบำเพ็ญคุณธรรมทั้งปวงให้ถึงพร้อม ปฏิบัติคุณธรรมทั้งปวงให้สมบูรณ์ เช่นนี้จึงจะเข้าถึงเต๋าได้ คุณธรรมที่เป็นอานุภาพแห่งเต๋ามีอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ ผู้คนไม่รู้จักพลังที่คอยหนุนนำสรรพสิ่งในโลกหล้านี้ เหลาจื่อจึงเรียกพลังที่เป็นอานุภาพแห่งเต๋านี้ว่า “คุณธรรม” คุณธรรมทำหน้าที่ในการทำนุบำรุงสรรพสิ่ง หล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง เป็นพลังที่มิอาจจับต้องมองเห็น หากแต่สามารถสัมผัสได้ด้วยใจ ในสมัยราชวงศ์ซ้อง มีขุนนางผู้มีใจอาจหาญท่านหนึ่งนามว่า “เหวินเทียนเสียง (文天祥)” ก็เป็นผู้หนึ่งที่สามารถสัมผัสถึงการคงอยู่ของพลังแห่งคุณธรรมนี้ ในสมัยนั้น เหวินเทียนเสียงเป็นขุนนางตงฉินที่ถูกขังในคุกใต้ดินเป็นเวลานานถึงห้าปี หลายคนมิอาจทนอยู่กับสภาพอันโหดร้ายภายในคุกจนเจ็บป่วยล้มตายไปเป็นจำนวนมาก สาเหตุเพราะต้องทนทุกข์ทรมานกับพลังร้ายในคุกใต้ดินถึงเจ็ดอย่าง เหวินเทียนเสียงเรียกพลังทั้งเจ็ดนี้ว่าเจ็ดพิษร้าย ประกอบด้วยพิษน้ำ (水氣) พิษดิน (土氣) พิษแดด (日氣) พิษไฟ (火氣) พิษข้าว (米氣) พิษไคล (人氣) พิษโสโครก (穢氣) ทุกคนต่างมิอาจทนอยู่กับสภาพของพิษร้ายทั้งเจ็ดนี้ได้ หากจะมีเหวินเทียนเสียงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังสามารถหยัดยืนมั่นคงในท่ามกลางพิษทั้งเจ็ดนี้อย่างไม่สะทกสะท้าน เหวินเทียนเสียงสันนิษฐานว่าต้องมีพลังอยู่อย่างหนึ่งที่คอยทานพิษทั้งเจ็ดนี้ไว้ ท่านไม่รู้ว่าพลังในท่ามกลางฟ้าดินนี้คือสิ่งใด จึงเรียกพลังนี้ว่าเจิ้งชี่ (正氣) หรือก็คือพลังเที่ยงธรรม เรียกสั้นๆ ว่าพลังธรรม พลังธรรมที่เหวินเทียนเสียงพบคือรูปแบบหนึ่งของพลังคุณธรรมแห่งเต๋านี้ คุณธรรมนี้เป็นพลังที่คอยหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ไร้รูปไร้ลักษณ์ มีอยู่ทุกแห่งหน เป็นพลังที่ต่อต้านสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย ยามที่จิตใจของผู้คนมีความเมตตาอันสูงส่ง มีความกตัญญูอันยิ่งใหญ่ มีสัจจะวาจาที่เข้มแข็ง มีความจงรักภักดีอย่างไม่ห่วงกายา มีจิตกรุณาอารียิ่งเทียมฟ้า ยามนั้น คนผู้นี้ก็จะเป็นผู้ที่เข้าถึงเต๋า ด้วยเพราะคุณธรรมต่างๆ ที่เขาได้บำเพ็ญเพียรมา แท้ก็คือพลังคุณธรรมที่เป็นอานุภาพแห่งเต๋านี้นั่นแล
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • 🌸 วันแห่งความรักตามวิถีไทย วาเลนไทน์ 2568 🌸 ธรรมเนียมวัฒนธรรมตะวันตก ที่ไทยปรับใช้อย่างกลมกลืน วันที่เราต่างมีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน

    🏹 เมื่อ "วาเลนไทน์" ไม่ใช่แค่ของฝรั่งอีกต่อไป 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันที่หลายคนทั่วโลก ต่างเฝ้ารอ เพราะเป็น "วันวาเลนไทน์" หรือ วันแห่งความรัก 💕 วันสำคัญที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบ การ์ดบอกรัก ของขวัญแทนใจ และการแสดงความรักต่อคนพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นคู่รัก เพื่อน หรือครอบครัว

    แม้ว่าวันวาเลนไทน์ จะมีต้นกำเนิดจากโลกตะวันตก แต่เมื่อเดินทางมาถึงไทย วัฒนธรรมแห่งความรักนี้ ได้ถูกปรับเปลี่ยน และหลอมรวมเข้ากับวิถีไทย อย่างกลมกลืน คนไทยให้ความสำคัญ กับความรักในทุกมิติ ไม่ใช่แค่รักโรแมนติก แต่ยังรวมถึง ความรักของครอบครัว มิตรภาพ และความเมตตาต่อกัน

    วาเลนไทน์ 2568 นี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของความโรแมนติก ระหว่างหนุ่มสาว แต่เป็นโอกาสดี ที่จะได้มอบความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กันในทุก ๆ ความสัมพันธ์ ❤️

    🌹 จากตำนานยุคโรมัน สู่วันที่โลกจดจำ 📜
    วันวาเลนไทน์ มีที่มาจากตำนานของนักบุญ "เซนต์วาเลนไทน์" (Saint Valentine) ซึ่งเชื่อกันว่า ในช่วงศตวรรษที่ 3 จักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 แห่งโรมัน สั่งห้ามไม่ให้ทหารแต่งงาน เพราะเชื่อว่าทหารที่มีครอบครัว จะไม่มีสมาธิในการรบ

    แต่เซนต์วาเลนไทน์ ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ และยังคงทำพิธีแต่งงาน ให้คู่รักแบบลับ ๆ 💒 เมื่อความลับถูกเปิดเผย จึงถูกจับกุม และประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 269 ตั้งแต่นั้นมา วันแห่งความรักจึงถูกกำหนดขึ้น เพื่อรำลึกถึงการเสียสละ

    💌 จากจดหมายรัก สู่วันแห่งการบอกรัก
    ก่อนที่เซนต์วาเลนไทน์จะเสียชีวิต ได้เขียนจดหมายถึงหญิงสาวที่เขารัก และลงท้ายว่า "From your Valentine" กลายเป็นต้นแบบของ "การ์ดวาเลนไทน์" ที่ได้รับความนิยม มาจนถึงปัจจุบัน

    แม้ว่าเรื่องราวของวันวาเลนไทน์ จะเต็มไปด้วยความเศร้า แต่ได้กลายเป็น สัญลักษณ์ของความรัก และการเสียสละ ที่ถูกเฉลิมฉลองทั่วโลก 🌏

    💖 วันวาเลนไทน์ในสไตล์ไทย การปรับตัวของวัฒนธรรมแห่งความรัก
    แม้ว่าจะเป็น ธรรมเนียมจากตะวันตก แต่คนไทยได้ปรับวันวาเลนไทน์ ให้เข้ากับวิถีชีวิต และวัฒนธรรมไทย ได้อย่างลงตัว นอกจากการให้ดอกไม้ หรือของขวัญแล้ว คนไทยยังให้ความสำคัญ กับความรักที่อบอุ่น และความกตัญญูต่อผู้ใหญ่

    🌷 สัญลักษณ์วาเลนไทน์แบบไทย ๆ
    ในประเทศไทย ดอกกุหลาบสีแดง 🌹 ยังคงเป็นของขวัญยอดนิยม เพราะสื่อถึงความรักอันร้อนแรง แต่ยังมีดอกไม้อื่น ๆ ที่ใช้แทนความรู้สึกพิเศษ เช่น

    - ดอกมะลิ 🤍 สื่อถึงความรักบริสุทธิ์ และความกตัญญู นิยมมอบให้พ่อแม่
    - ดอกทานตะวัน 🌻 เป็นสัญลักษณ์ของรักแท้ที่มั่นคง ไม่ว่าสถานการณ์ใด
    - ดอกคัตเตอร์ 💜 แทนความหมายของความรัก ที่มั่นคงและซื่อสัตย์

    🍜 ฉลองวาเลนไทน์แบบไทย ๆ
    ในขณะที่บางประเทศ นิยมไปดินเนอร์หรู 🥂 คนไทยจำนวนมาก กลับเลือกใช้วันวาเลนไทน์ ในรูปแบบที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง เช่น

    - พาคนรักไปไหว้พระขอพร 🙏✨ ตามวัดดัง เช่น วัดพระแก้ว วัดอรุณ หรือวัดเล่งเน่ยยี่
    - ทำบุญร่วมกัน เพื่อเป็นสิริมงคลต่อความรัก
    - ทานข้าวกับครอบครัว 🍲 เพราะความรักในแบบไทย ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่รวมถึงครอบครัวด้วย

    💑 วาเลนไทน์ 2568: เทรนด์ความรักยุคใหม่ ในสังคมไทย
    📱 วาเลนไทน์ในโลกดิจิทัล
    ในยุคที่เทคโนโลยีครองโลก โซเชียลมีเดีย กลายเป็นช่องทางสำคัญ ในการแสดงความรัก ไม่ว่าจะเป็นการ
    💌 ส่งข้อความหวาน ๆ ผ่านแชท
    📸 แชร์รูปคู่ลง Instagram พร้อมแคปชันสุดโรแมนติก
    🎁 สั่งดอกไม้ หรือของขวัญออนไลน์ให้คนพิเศษ

    💍 เทรนด์แต่งงานในวันวาเลนไทน์
    ทุก ๆ ปี วาเลนไทน์เป็นวันที่คู่รักหลายคู่ เลือกจดทะเบียนสมรส 💍 โดยที่ว่าการเขตบางรัก เป็นสถานที่ยอดนิยมที่สุดในไทย เพราะชื่อเขตมีความหมายดี และมักมีของที่ระลึกพิเศษ สำหรับคู่บ่าวสาว

    ❓ คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์
    💘 คนไม่มีคู่ จะฉลองวาเลนไทน์ได้ไหม?
    ได้แน่นอน! เพราะวันวาเลนไทน์ ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่เป็นวันแห่งความรัก ในทุกความสัมพันธ์ สามารถใช้เวลานี้ เพื่อดูแลตัวเอง หรือบอกรักครอบครัว และเพื่อนได้

    🌹 ดอกไม้สีอะไร เหมาะกับการให้ในวันวาเลนไทน์?
    - สีแดง ❤️ แสดงถึงความรักโรแมนติก
    - สีขาว 🤍 สื่อถึงรักที่บริสุทธิ์
    - สีชมพู 💖 หมายถึงความอ่อนหวาน และน่ารัก

    🎁 ถ้าไม่อยากให้ของขวัญแบบเดิม ๆ ควรให้อะไรดี?
    ลองเลือกของขวัญที่มีความหมาย เช่น
    จดหมายรักเขียนด้วยมือ 💌 เซอร์ไพรส์ทริปเล็ก ๆ 🚗 ทำอาหารให้คนที่คุณรัก 🍰

    🎀 ความรักไม่มีพรมแดน และไม่มีวันหมดอายุ
    ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหน หรือมีสถานะอะไร วาเลนไทน์คือโอกาสที่ดี ในการแสดงความรักต่อกัน ความรักไม่จำเป็นต้องแสดงออก แค่ปีละครั้ง แต่ควรเป็นสิ่งที่มอบให้กันทุกวัน 💖

    🌸 วาเลนไทน์ 2568 นี้ อย่าลืมบอกรักคนที่ห่วงใย ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ หรือของขวัญแทนใจ เพราะความรักคือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 🎁💖

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 140905 ก.พ. 2568

    🔖 #วันวาเลนไทน์ #วาเลนไทน์2568 #ความรักไม่จำกัดรูปแบบ #ValentineThailand #LoveInThaiStyle #กุหลาบแดง #ไหว้พระขอพร #รักแท้ #รักไม่มีเงื่อนไข #บอกรักทุกวัน
    🌸 วันแห่งความรักตามวิถีไทย วาเลนไทน์ 2568 🌸 ธรรมเนียมวัฒนธรรมตะวันตก ที่ไทยปรับใช้อย่างกลมกลืน วันที่เราต่างมีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน 🏹 เมื่อ "วาเลนไทน์" ไม่ใช่แค่ของฝรั่งอีกต่อไป 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันที่หลายคนทั่วโลก ต่างเฝ้ารอ เพราะเป็น "วันวาเลนไทน์" หรือ วันแห่งความรัก 💕 วันสำคัญที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบ การ์ดบอกรัก ของขวัญแทนใจ และการแสดงความรักต่อคนพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นคู่รัก เพื่อน หรือครอบครัว แม้ว่าวันวาเลนไทน์ จะมีต้นกำเนิดจากโลกตะวันตก แต่เมื่อเดินทางมาถึงไทย วัฒนธรรมแห่งความรักนี้ ได้ถูกปรับเปลี่ยน และหลอมรวมเข้ากับวิถีไทย อย่างกลมกลืน คนไทยให้ความสำคัญ กับความรักในทุกมิติ ไม่ใช่แค่รักโรแมนติก แต่ยังรวมถึง ความรักของครอบครัว มิตรภาพ และความเมตตาต่อกัน วาเลนไทน์ 2568 นี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของความโรแมนติก ระหว่างหนุ่มสาว แต่เป็นโอกาสดี ที่จะได้มอบความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กันในทุก ๆ ความสัมพันธ์ ❤️ 🌹 จากตำนานยุคโรมัน สู่วันที่โลกจดจำ 📜 วันวาเลนไทน์ มีที่มาจากตำนานของนักบุญ "เซนต์วาเลนไทน์" (Saint Valentine) ซึ่งเชื่อกันว่า ในช่วงศตวรรษที่ 3 จักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 แห่งโรมัน สั่งห้ามไม่ให้ทหารแต่งงาน เพราะเชื่อว่าทหารที่มีครอบครัว จะไม่มีสมาธิในการรบ แต่เซนต์วาเลนไทน์ ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ และยังคงทำพิธีแต่งงาน ให้คู่รักแบบลับ ๆ 💒 เมื่อความลับถูกเปิดเผย จึงถูกจับกุม และประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 269 ตั้งแต่นั้นมา วันแห่งความรักจึงถูกกำหนดขึ้น เพื่อรำลึกถึงการเสียสละ 💌 จากจดหมายรัก สู่วันแห่งการบอกรัก ก่อนที่เซนต์วาเลนไทน์จะเสียชีวิต ได้เขียนจดหมายถึงหญิงสาวที่เขารัก และลงท้ายว่า "From your Valentine" กลายเป็นต้นแบบของ "การ์ดวาเลนไทน์" ที่ได้รับความนิยม มาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเรื่องราวของวันวาเลนไทน์ จะเต็มไปด้วยความเศร้า แต่ได้กลายเป็น สัญลักษณ์ของความรัก และการเสียสละ ที่ถูกเฉลิมฉลองทั่วโลก 🌏 💖 วันวาเลนไทน์ในสไตล์ไทย การปรับตัวของวัฒนธรรมแห่งความรัก แม้ว่าจะเป็น ธรรมเนียมจากตะวันตก แต่คนไทยได้ปรับวันวาเลนไทน์ ให้เข้ากับวิถีชีวิต และวัฒนธรรมไทย ได้อย่างลงตัว นอกจากการให้ดอกไม้ หรือของขวัญแล้ว คนไทยยังให้ความสำคัญ กับความรักที่อบอุ่น และความกตัญญูต่อผู้ใหญ่ 🌷 สัญลักษณ์วาเลนไทน์แบบไทย ๆ ในประเทศไทย ดอกกุหลาบสีแดง 🌹 ยังคงเป็นของขวัญยอดนิยม เพราะสื่อถึงความรักอันร้อนแรง แต่ยังมีดอกไม้อื่น ๆ ที่ใช้แทนความรู้สึกพิเศษ เช่น - ดอกมะลิ 🤍 สื่อถึงความรักบริสุทธิ์ และความกตัญญู นิยมมอบให้พ่อแม่ - ดอกทานตะวัน 🌻 เป็นสัญลักษณ์ของรักแท้ที่มั่นคง ไม่ว่าสถานการณ์ใด - ดอกคัตเตอร์ 💜 แทนความหมายของความรัก ที่มั่นคงและซื่อสัตย์ 🍜 ฉลองวาเลนไทน์แบบไทย ๆ ในขณะที่บางประเทศ นิยมไปดินเนอร์หรู 🥂 คนไทยจำนวนมาก กลับเลือกใช้วันวาเลนไทน์ ในรูปแบบที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง เช่น - พาคนรักไปไหว้พระขอพร 🙏✨ ตามวัดดัง เช่น วัดพระแก้ว วัดอรุณ หรือวัดเล่งเน่ยยี่ - ทำบุญร่วมกัน เพื่อเป็นสิริมงคลต่อความรัก - ทานข้าวกับครอบครัว 🍲 เพราะความรักในแบบไทย ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่รวมถึงครอบครัวด้วย 💑 วาเลนไทน์ 2568: เทรนด์ความรักยุคใหม่ ในสังคมไทย 📱 วาเลนไทน์ในโลกดิจิทัล ในยุคที่เทคโนโลยีครองโลก โซเชียลมีเดีย กลายเป็นช่องทางสำคัญ ในการแสดงความรัก ไม่ว่าจะเป็นการ 💌 ส่งข้อความหวาน ๆ ผ่านแชท 📸 แชร์รูปคู่ลง Instagram พร้อมแคปชันสุดโรแมนติก 🎁 สั่งดอกไม้ หรือของขวัญออนไลน์ให้คนพิเศษ 💍 เทรนด์แต่งงานในวันวาเลนไทน์ ทุก ๆ ปี วาเลนไทน์เป็นวันที่คู่รักหลายคู่ เลือกจดทะเบียนสมรส 💍 โดยที่ว่าการเขตบางรัก เป็นสถานที่ยอดนิยมที่สุดในไทย เพราะชื่อเขตมีความหมายดี และมักมีของที่ระลึกพิเศษ สำหรับคู่บ่าวสาว ❓ คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์ 💘 คนไม่มีคู่ จะฉลองวาเลนไทน์ได้ไหม? ได้แน่นอน! เพราะวันวาเลนไทน์ ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่เป็นวันแห่งความรัก ในทุกความสัมพันธ์ สามารถใช้เวลานี้ เพื่อดูแลตัวเอง หรือบอกรักครอบครัว และเพื่อนได้ 🌹 ดอกไม้สีอะไร เหมาะกับการให้ในวันวาเลนไทน์? - สีแดง ❤️ แสดงถึงความรักโรแมนติก - สีขาว 🤍 สื่อถึงรักที่บริสุทธิ์ - สีชมพู 💖 หมายถึงความอ่อนหวาน และน่ารัก 🎁 ถ้าไม่อยากให้ของขวัญแบบเดิม ๆ ควรให้อะไรดี? ลองเลือกของขวัญที่มีความหมาย เช่น จดหมายรักเขียนด้วยมือ 💌 เซอร์ไพรส์ทริปเล็ก ๆ 🚗 ทำอาหารให้คนที่คุณรัก 🍰 🎀 ความรักไม่มีพรมแดน และไม่มีวันหมดอายุ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหน หรือมีสถานะอะไร วาเลนไทน์คือโอกาสที่ดี ในการแสดงความรักต่อกัน ความรักไม่จำเป็นต้องแสดงออก แค่ปีละครั้ง แต่ควรเป็นสิ่งที่มอบให้กันทุกวัน 💖 🌸 วาเลนไทน์ 2568 นี้ อย่าลืมบอกรักคนที่ห่วงใย ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ หรือของขวัญแทนใจ เพราะความรักคือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 🎁💖 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 140905 ก.พ. 2568 🔖 #วันวาเลนไทน์ #วาเลนไทน์2568 #ความรักไม่จำกัดรูปแบบ #ValentineThailand #LoveInThaiStyle #กุหลาบแดง #ไหว้พระขอพร #รักแท้ #รักไม่มีเงื่อนไข #บอกรักทุกวัน
    0 Comments 0 Shares 200 Views 0 Reviews
  • 33 ปี สิ้น “หมอบุญส่ง เลขะกุล” นักนิยมไพรไทย ผู้บุกเบิกอนุรักษ์ป่าและสัตว์ จุดกำเนิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

    📅 ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ถือเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งสำคัญ ของวงการอนุรักษ์ธรรมชาติไทย เพราะเป็นวันที่ น.พ.บุญส่ง เลขะกุล หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอบุญส่ง” จากโลกนี้ไปด้วย โรคหัวใจล้มเหลว ในวัย 85 ปี ณ โรงพยาบาลมเหสักข์ กรุงเทพมหานคร แต่ถึงแม้ร่างกายจะล่วงลับไปแล้ว ผลงานและอุดมการณ์ของท่านยังคงอยู่ และกลายเป็นรากฐานสำคัญ ของการอนุรักษ์ป่าไม้ และสัตว์ป่าของไทย

    หมอบุญส่งไม่ได้เป็นเพียง แพทย์ผู้รักษาผู้คน แต่ยังเป็นนักอนุรักษ์ นักเขียน นักถ่ายภาพ และจิตรกร ผู้เปี่ยมไปด้วย ความหลงใหลในธรรมชาติ ความมุ่งมั่นเป็นแรงผลักดันให้เกิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน 🌳🌿

    🔎 น.พ.บุญส่ง เลขะกุล เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2467 ที่บ้านถนนนคร ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของพระบริรักษ์เวชกรรม (พิน เลขะกุล) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำจังหวัดสงขลา ทำให้หมอบุญส่ง เติบโตมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์

    📚 เส้นทางการศึกษา
    ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช
    ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 8 โรงเรียนเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) กรุงเทพฯ
    ✅ ปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2476)

    หลังจากเรียนจบแพทย์ หมอบุญส่งได้เข้าสู่วงการแพทย์ แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็เริ่มหลงใหลในธรรมชาติ เดินป่า สังเกตสัตว์ป่า และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมสัตว์ต่างๆ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ของการเป็นนักอนุรักษ์ อย่างเต็มตัว

    🌿 จุดเริ่มต้นของการเป็นนักอนุรักษ์
    ช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484 - 2488) การล่าสัตว์เพื่อกีฬา ได้รับความนิยมมากขึ้น การใช้ ไฟส่องสัตว์ และ อาวุธปืนทันสมัย ส่งผลให้ประชากรสัตว์ป่า ลดลงอย่างรวดเร็ว หมอบุญส่งเห็นว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ สัตว์ป่าของไทยจะสูญพันธุ์ จึงรวมตัวกับผู้ที่มีแนวคิดเดียวกัน ก่อตั้ง "นิยมไพรสมาคม" ขึ้นในปี พ.ศ. 2496

    🏡 ศูนย์กลางของนิยมไพรสมาคม ตั้งอยู่ที่บ้านของหมอบุญส่งเอง (บ้านเลขที่ 4 ตรอกโรงภาษีเก่า ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ) ซึ่งกลายเป็นแหล่งรวม ของผู้สนใจธรรมชาติ นักอนุรักษ์ และนักวิจัยทางด้านสัตว์ป่า

    📖 เป้าหมายของนิยมไพรสมาคม ได้แก่
    ✅ การให้ความรู้ และกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์
    ✅ การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ป่า
    ✅ การผลักดันกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า
    ✅ การจัดทำ นิตยสารนิยมไพร เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ เกี่ยวกับสัตว์ป่า

    หมอบุญส่งยังได้เดินป่า และเขียนหนังสือสารคดี เกี่ยวกับสัตว์ป่าหลายเล่ม เช่น
    📗 สัตว์ป่าเมืองไทย
    📘 วัวแดง
    📕 แรดไทย
    📗 ช้างไทย

    รวมถึงนวนิยายเกี่ยวกับสัตว์ป่า ที่สร้างชื่อเสียงที่สุด คือ "ชีวิตฉันลูกกระทิง" ซึ่งเคยถูกคัดเลือก เป็น หนังสืออ่านนอกเวลา สำหรับนักเรียน และได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 หนังสือดี ที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน

    ⚖️ ผลักดันกฎหมายอนุรักษ์สัตว์ป่า
    หมอบุญส่งไม่ได้เพียงแค่เขียนหนังสือ หรือเผยแพร่ความรู้ แต่ยังลงมือผลักดันให้เกิด กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

    📜 ในปี พ.ศ. 2502 หมอบุญส่ง และคณะนิยมไพรสมาคม ได้เข้าพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เพื่อยื่นข้อเสนอให้มี มาตรการคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่า

    🎯 ผลที่ได้คือการออก พระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 และ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญ ที่นำไปสู่การประกาศ อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เช่น
    🌳 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (พ.ศ. 2505) อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย
    🌲 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ (พ.ศ. 2508) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของไทย

    👑 พระมหากรุณาธิคุณ และการยกย่องเชิดชูเกียรติ
    ในปี พ.ศ. 2526 หมอบุญส่งได้ร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์ ก่อตั้ง "มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

    ต่อมา ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการจัดงาน "100 ปี หมอบุญส่ง เลขะกุล" ณ สยามสมาคม เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี และผลงานที่ได้ทำไว้ให้กับประเทศ

    🎗️ แม้วันนี้ "หมอบุญส่ง เลขะกุล" จะจากโลกนี้ไปครบ 33 ปี แล้วก็ตาม แต่มรดกแห่งการอนุรักษ์ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น
    ✅ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ
    ✅ อุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามากมาย
    ✅ หนังสือและบทความที่ช่วยปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์
    ✅ แรงบันดาลใจให้กับนักอนุรักษ์รุ่นใหม่

    💚 "ธรรมชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของลูกหลานทุกคนในอนาคต" หมอบุญส่ง เลขะกุล 🌏

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091504 ก.พ. 2568

    📌 #หมอบุญส่งเลขะกุล #อนุรักษ์สัตว์ป่า #ป่าไม้ไทย #นักนิยมไพร #อนุรักษ์ธรรมชาติ #สัตว์ป่า #ป่าต้องรอด #มรดกทางธรรมชาติ #33ปีหมอบุญส่ง #ธรรมชาติเพื่ออนาคต
    33 ปี สิ้น “หมอบุญส่ง เลขะกุล” นักนิยมไพรไทย ผู้บุกเบิกอนุรักษ์ป่าและสัตว์ จุดกำเนิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 📅 ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ถือเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งสำคัญ ของวงการอนุรักษ์ธรรมชาติไทย เพราะเป็นวันที่ น.พ.บุญส่ง เลขะกุล หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอบุญส่ง” จากโลกนี้ไปด้วย โรคหัวใจล้มเหลว ในวัย 85 ปี ณ โรงพยาบาลมเหสักข์ กรุงเทพมหานคร แต่ถึงแม้ร่างกายจะล่วงลับไปแล้ว ผลงานและอุดมการณ์ของท่านยังคงอยู่ และกลายเป็นรากฐานสำคัญ ของการอนุรักษ์ป่าไม้ และสัตว์ป่าของไทย หมอบุญส่งไม่ได้เป็นเพียง แพทย์ผู้รักษาผู้คน แต่ยังเป็นนักอนุรักษ์ นักเขียน นักถ่ายภาพ และจิตรกร ผู้เปี่ยมไปด้วย ความหลงใหลในธรรมชาติ ความมุ่งมั่นเป็นแรงผลักดันให้เกิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน 🌳🌿 🔎 น.พ.บุญส่ง เลขะกุล เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2467 ที่บ้านถนนนคร ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของพระบริรักษ์เวชกรรม (พิน เลขะกุล) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำจังหวัดสงขลา ทำให้หมอบุญส่ง เติบโตมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ 📚 เส้นทางการศึกษา ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 8 โรงเรียนเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) กรุงเทพฯ ✅ ปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2476) หลังจากเรียนจบแพทย์ หมอบุญส่งได้เข้าสู่วงการแพทย์ แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็เริ่มหลงใหลในธรรมชาติ เดินป่า สังเกตสัตว์ป่า และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมสัตว์ต่างๆ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ของการเป็นนักอนุรักษ์ อย่างเต็มตัว 🌿 จุดเริ่มต้นของการเป็นนักอนุรักษ์ ช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484 - 2488) การล่าสัตว์เพื่อกีฬา ได้รับความนิยมมากขึ้น การใช้ ไฟส่องสัตว์ และ อาวุธปืนทันสมัย ส่งผลให้ประชากรสัตว์ป่า ลดลงอย่างรวดเร็ว หมอบุญส่งเห็นว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ สัตว์ป่าของไทยจะสูญพันธุ์ จึงรวมตัวกับผู้ที่มีแนวคิดเดียวกัน ก่อตั้ง "นิยมไพรสมาคม" ขึ้นในปี พ.ศ. 2496 🏡 ศูนย์กลางของนิยมไพรสมาคม ตั้งอยู่ที่บ้านของหมอบุญส่งเอง (บ้านเลขที่ 4 ตรอกโรงภาษีเก่า ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ) ซึ่งกลายเป็นแหล่งรวม ของผู้สนใจธรรมชาติ นักอนุรักษ์ และนักวิจัยทางด้านสัตว์ป่า 📖 เป้าหมายของนิยมไพรสมาคม ได้แก่ ✅ การให้ความรู้ และกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์ ✅ การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ป่า ✅ การผลักดันกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ✅ การจัดทำ นิตยสารนิยมไพร เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ เกี่ยวกับสัตว์ป่า หมอบุญส่งยังได้เดินป่า และเขียนหนังสือสารคดี เกี่ยวกับสัตว์ป่าหลายเล่ม เช่น 📗 สัตว์ป่าเมืองไทย 📘 วัวแดง 📕 แรดไทย 📗 ช้างไทย รวมถึงนวนิยายเกี่ยวกับสัตว์ป่า ที่สร้างชื่อเสียงที่สุด คือ "ชีวิตฉันลูกกระทิง" ซึ่งเคยถูกคัดเลือก เป็น หนังสืออ่านนอกเวลา สำหรับนักเรียน และได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 หนังสือดี ที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน ⚖️ ผลักดันกฎหมายอนุรักษ์สัตว์ป่า หมอบุญส่งไม่ได้เพียงแค่เขียนหนังสือ หรือเผยแพร่ความรู้ แต่ยังลงมือผลักดันให้เกิด กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย 📜 ในปี พ.ศ. 2502 หมอบุญส่ง และคณะนิยมไพรสมาคม ได้เข้าพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เพื่อยื่นข้อเสนอให้มี มาตรการคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่า 🎯 ผลที่ได้คือการออก พระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 และ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญ ที่นำไปสู่การประกาศ อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เช่น 🌳 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (พ.ศ. 2505) อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย 🌲 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ (พ.ศ. 2508) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของไทย 👑 พระมหากรุณาธิคุณ และการยกย่องเชิดชูเกียรติ ในปี พ.ศ. 2526 หมอบุญส่งได้ร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์ ก่อตั้ง "มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ต่อมา ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการจัดงาน "100 ปี หมอบุญส่ง เลขะกุล" ณ สยามสมาคม เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี และผลงานที่ได้ทำไว้ให้กับประเทศ 🎗️ แม้วันนี้ "หมอบุญส่ง เลขะกุล" จะจากโลกนี้ไปครบ 33 ปี แล้วก็ตาม แต่มรดกแห่งการอนุรักษ์ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ✅ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ ✅ อุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามากมาย ✅ หนังสือและบทความที่ช่วยปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์ ✅ แรงบันดาลใจให้กับนักอนุรักษ์รุ่นใหม่ 💚 "ธรรมชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของลูกหลานทุกคนในอนาคต" หมอบุญส่ง เลขะกุล 🌏 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091504 ก.พ. 2568 📌 #หมอบุญส่งเลขะกุล #อนุรักษ์สัตว์ป่า #ป่าไม้ไทย #นักนิยมไพร #อนุรักษ์ธรรมชาติ #สัตว์ป่า #ป่าต้องรอด #มรดกทางธรรมชาติ #33ปีหมอบุญส่ง #ธรรมชาติเพื่ออนาคต
    0 Comments 0 Shares 391 Views 0 Reviews
  • ถู่ที้กง 土地公 "เจ้าแห่งผืนดิน"
    หรือ เรียกสั้น ๆ ว่า ถู่ตี้ 土地 "ผืนดิน"
    หรือ ชาวจีนแต้จิ๋ว เรียกว่า ตี่จู๋เอี๊ยะ 地主爷 "เทพเจ้าแห่งผืนดิน"

    เทพถู่ที้กงมีตัวตนจริง ตามประวัติศาสตร์จีนในสมัยราชวงศ์จิว ชื่อเดิมว่าเตียเม่งเต็ก เป็นข้ารับใช้ขุนนางผู้มั่งคั่งนายหนึ่ง ครั้งหนึ่งขุนนางท่านนั้นได้ถูกเรียกให้เข้ารับราชการที่วังหลวงอย่างกะทันหัน จึงได้รีบออกเดินทางไปพร้อมกับภรรยาของเขา และให้เตียเม่งเต็กนำธิดาของเขาตามไปในวังหลวงทีหลัง เตียเม่งเต็กได้ออกเดินทางโดยแบกธิดาของขุนนางไว้บนหลัง และในมือทั้งสองได้ถือข้าวของสัมพาระต่าง ๆ ระหว่างการเดินทางนั้นได้เกิดพายุหิมะถล่มขึ้น เตียเม่งเต็กจึงจำถอดเสื้อคลุมของเขาสวมให้กับธิดาของขุนนางที่แบกไว้บนหลังจนกระทั่งตนเองเสียชีวิตจากความหนาวเหน็บ หลังเตียเม่งเต็กได้เสียชีวิตลงด้วยความเสียสละและจงรักภักดีต่อเจ้านาย บนท้องฟ้าได้ปรากฏดวงดาวขึ้นมาเป็นอักษรใจความว่า "ประตูสวรรค์ทางใต้ของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ฮกเต็ก" ภายหลังได้มีผู้มาพบกับนางและได้ช่วยเหลือ นำไปส่งถึงครอบครัวโดยปลอดภัย หลังนางเติบโตขึ้นได้มีจิตใจกตัญญูต่อเตียเม่งเต็กและได้สร้างศาลเจ้าขึ้นเพื่อยกขึ้นเป็นเทพเจ้า ชื่อศาลเจ้าว่า "ศาลเจ้าฮกเต็ก" ศาลเจ้าดังกล่าวได้รับการนับถือมากจากฮ่องเต้พระองค์หนึ่งซึ่งได้ตั้งชื่อใหม่ให้กับเทพฮกเต็กว่า "ถู่ที้กง" อันแปลว่าเทพเจ้าแห่งผืนดินทั้งหลาย ชาวจีนจึงยึดถือว่าท่านเป็นเทพเจ้าที่มานับแต่นั้น.

    ภาพ : ถู่ที้กง 土地公 ที่เปี่ยมด้วยความสุข มีความเมตตา สร้างได้สวยที่สุดในโลก สั่งจากจากจีน ผลิตโดย บริษัท Putian Dazhuangyan Buddha Statue Craft Co., Ltd. (Miaozhuangyan Art (Fujian) Co., Ltd.
    ถู่ที้กง 土地公 "เจ้าแห่งผืนดิน" หรือ เรียกสั้น ๆ ว่า ถู่ตี้ 土地 "ผืนดิน" หรือ ชาวจีนแต้จิ๋ว เรียกว่า ตี่จู๋เอี๊ยะ 地主爷 "เทพเจ้าแห่งผืนดิน" เทพถู่ที้กงมีตัวตนจริง ตามประวัติศาสตร์จีนในสมัยราชวงศ์จิว ชื่อเดิมว่าเตียเม่งเต็ก เป็นข้ารับใช้ขุนนางผู้มั่งคั่งนายหนึ่ง ครั้งหนึ่งขุนนางท่านนั้นได้ถูกเรียกให้เข้ารับราชการที่วังหลวงอย่างกะทันหัน จึงได้รีบออกเดินทางไปพร้อมกับภรรยาของเขา และให้เตียเม่งเต็กนำธิดาของเขาตามไปในวังหลวงทีหลัง เตียเม่งเต็กได้ออกเดินทางโดยแบกธิดาของขุนนางไว้บนหลัง และในมือทั้งสองได้ถือข้าวของสัมพาระต่าง ๆ ระหว่างการเดินทางนั้นได้เกิดพายุหิมะถล่มขึ้น เตียเม่งเต็กจึงจำถอดเสื้อคลุมของเขาสวมให้กับธิดาของขุนนางที่แบกไว้บนหลังจนกระทั่งตนเองเสียชีวิตจากความหนาวเหน็บ หลังเตียเม่งเต็กได้เสียชีวิตลงด้วยความเสียสละและจงรักภักดีต่อเจ้านาย บนท้องฟ้าได้ปรากฏดวงดาวขึ้นมาเป็นอักษรใจความว่า "ประตูสวรรค์ทางใต้ของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ฮกเต็ก" ภายหลังได้มีผู้มาพบกับนางและได้ช่วยเหลือ นำไปส่งถึงครอบครัวโดยปลอดภัย หลังนางเติบโตขึ้นได้มีจิตใจกตัญญูต่อเตียเม่งเต็กและได้สร้างศาลเจ้าขึ้นเพื่อยกขึ้นเป็นเทพเจ้า ชื่อศาลเจ้าว่า "ศาลเจ้าฮกเต็ก" ศาลเจ้าดังกล่าวได้รับการนับถือมากจากฮ่องเต้พระองค์หนึ่งซึ่งได้ตั้งชื่อใหม่ให้กับเทพฮกเต็กว่า "ถู่ที้กง" อันแปลว่าเทพเจ้าแห่งผืนดินทั้งหลาย ชาวจีนจึงยึดถือว่าท่านเป็นเทพเจ้าที่มานับแต่นั้น. ภาพ : ถู่ที้กง 土地公 ที่เปี่ยมด้วยความสุข มีความเมตตา สร้างได้สวยที่สุดในโลก สั่งจากจากจีน ผลิตโดย บริษัท Putian Dazhuangyan Buddha Statue Craft Co., Ltd. (Miaozhuangyan Art (Fujian) Co., Ltd.
    0 Comments 0 Shares 160 Views 0 Reviews
  • ออร่าของคน มาจากอะไร?

    คำว่า "ออร่า" ที่เราพูดถึงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่เรื่องของแสงสีที่ออกมาจากตัวบุคคล แต่หมายถึง "รัศมีแห่งความรู้สึก" ที่แผ่ออกมาโดยที่คนรอบข้างสามารถรับรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์ ความอบอุ่น หรือพลังงานเชิงบวกที่ทำให้ดูน่าดึงดูดขึ้น

    ออร่าเป็นสิ่งที่สามารถ "เปลี่ยนแปลง" ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมหรือโครงสร้างร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก "พฤติกรรม อารมณ์ และพลังภายใน" ของแต่ละคน


    ---

    ปัจจัยที่ทำให้คนดูมีออร่ามากขึ้น

    1. ทำกิจกรรมเพื่อคนอื่น

    คนที่มี น้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จะมีออร่าที่สดใส

    จิตใจที่ขยายออกไปเพื่อคนอื่น ทำให้พลังชีวิตเปล่งประกาย

    ออร่าของความเมตตา สร้างเสน่ห์ดึงดูดที่ทำให้ดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ



    2. มีความขวนขวาย กระตือรือร้น

    คนที่ มีเป้าหมาย มีพลังชีวิต มีไฟในการทำงาน จะดูสดใส

    รัศมีของความกระตือรือร้นทำให้ใบหน้าและแววตาดูมีพลัง

    คนเหล่านี้ดูน่าสนใจ เพราะพลังของพวกเขาส่งผลให้คนรอบข้างรู้สึกมีแรงบันดาลใจ



    3. รักษาจิตให้สะอาด ด้วยศีล

    คนที่ มีศีล มีความสุจริตใจ จะมีออร่าแห่งความสงบและน่าเชื่อถือ

    ใบหน้าจะดูอ่อนโยนขึ้น เพราะจิตใจไม่เร่าร้อนด้วยกิเลส

    คนที่โกหก หรือทำผิดศีลบ่อยๆ จะมีออร่าขุ่นมัว ดูไม่น่าไว้ใจ



    4. มีจิตโปร่งใส ด้วยการเจริญสติ

    คนที่ ฝึกเจริญสติอยู่เสมอ จะมีแววตาที่สงบและแจ่มใส

    ออร่าของความสงบ จะทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจเมื่อต้องอยู่ใกล้

    ความสว่างจากภายใน ทำให้คนเหล่านี้ดูมีเสน่ห์แบบลึกซึ้ง





    ---

    ออร่า ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เป็นผลของกรรมในปัจจุบัน

    ออร่า ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เกิดจากวิถีชีวิตของเราเอง

    คนที่ คิดดี พูดดี ทำดี ย่อมมีออร่าที่ดี

    คนที่ คิดลบ อิจฉา โกรธง่าย จะมีออร่าที่ขุ่นมัว

    ออร่า เปลี่ยนได้ตลอดเวลา ตามสภาวะจิตของแต่ละคน


    ดังนั้น ถ้าอยากดูดีขึ้น ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า หรือศัลยกรรม
    แต่ต้อง ปรับจิตใจให้สะอาด ปรับพฤติกรรมให้เป็นกุศล
    ออร่าที่แท้จริงจะค่อยๆ เปล่งออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ!

    ออร่าของคน มาจากอะไร? คำว่า "ออร่า" ที่เราพูดถึงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่เรื่องของแสงสีที่ออกมาจากตัวบุคคล แต่หมายถึง "รัศมีแห่งความรู้สึก" ที่แผ่ออกมาโดยที่คนรอบข้างสามารถรับรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์ ความอบอุ่น หรือพลังงานเชิงบวกที่ทำให้ดูน่าดึงดูดขึ้น ออร่าเป็นสิ่งที่สามารถ "เปลี่ยนแปลง" ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมหรือโครงสร้างร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก "พฤติกรรม อารมณ์ และพลังภายใน" ของแต่ละคน --- ปัจจัยที่ทำให้คนดูมีออร่ามากขึ้น 1. ทำกิจกรรมเพื่อคนอื่น คนที่มี น้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จะมีออร่าที่สดใส จิตใจที่ขยายออกไปเพื่อคนอื่น ทำให้พลังชีวิตเปล่งประกาย ออร่าของความเมตตา สร้างเสน่ห์ดึงดูดที่ทำให้ดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 2. มีความขวนขวาย กระตือรือร้น คนที่ มีเป้าหมาย มีพลังชีวิต มีไฟในการทำงาน จะดูสดใส รัศมีของความกระตือรือร้นทำให้ใบหน้าและแววตาดูมีพลัง คนเหล่านี้ดูน่าสนใจ เพราะพลังของพวกเขาส่งผลให้คนรอบข้างรู้สึกมีแรงบันดาลใจ 3. รักษาจิตให้สะอาด ด้วยศีล คนที่ มีศีล มีความสุจริตใจ จะมีออร่าแห่งความสงบและน่าเชื่อถือ ใบหน้าจะดูอ่อนโยนขึ้น เพราะจิตใจไม่เร่าร้อนด้วยกิเลส คนที่โกหก หรือทำผิดศีลบ่อยๆ จะมีออร่าขุ่นมัว ดูไม่น่าไว้ใจ 4. มีจิตโปร่งใส ด้วยการเจริญสติ คนที่ ฝึกเจริญสติอยู่เสมอ จะมีแววตาที่สงบและแจ่มใส ออร่าของความสงบ จะทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจเมื่อต้องอยู่ใกล้ ความสว่างจากภายใน ทำให้คนเหล่านี้ดูมีเสน่ห์แบบลึกซึ้ง --- ออร่า ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เป็นผลของกรรมในปัจจุบัน ออร่า ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เกิดจากวิถีชีวิตของเราเอง คนที่ คิดดี พูดดี ทำดี ย่อมมีออร่าที่ดี คนที่ คิดลบ อิจฉา โกรธง่าย จะมีออร่าที่ขุ่นมัว ออร่า เปลี่ยนได้ตลอดเวลา ตามสภาวะจิตของแต่ละคน ดังนั้น ถ้าอยากดูดีขึ้น ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า หรือศัลยกรรม แต่ต้อง ปรับจิตใจให้สะอาด ปรับพฤติกรรมให้เป็นกุศล ออร่าที่แท้จริงจะค่อยๆ เปล่งออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ!
    0 Comments 0 Shares 182 Views 0 Reviews
  • มูดาวรุ่ง...พยุงดาวร่วง
    สำหรับท่านที่เกิดปีเถาะ

    เพื่อเป็นการสะกดพลังร้ายของดาวอัปมงคล จึงควรน้อมสักการะต่อองค์มหาเทพ “大老爺(ตั่วเหล่าเอี๊ย)” หรือ องค์ “玄天上帝(เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่)” เทพเจ้าอันทรงฤทธานุภาพแห่งสรวงสวรรค์ คอยสอดส่องปราบปรามกำราบเภทภัย ทั้งเหล่าภูตผีปีศาจร้ายตลอดจนความเศร้าหมองดำมืดใดที่แอบแฝงเกาะกินจากบาปกรรมชั่วช้าต่างๆ ด้วยพลังที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมอย่างองอาจแสนยานุภาพในกาย หลังวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 22:10 น.นี้ เป็นต้นไป ณ ศาลเจ้า ศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์เทพท่านสถิตอยู่ โดยการนอบน้อมกราบบูชาอธิษฐานฝากดวงชะตาขอพรบารมีแห่งองค์เทพท่านได้สดับรับฟังและโปรดเมตตาคุ้มครองปกป้องให้แคล้วคลาดรอดพ้นจากความมืดมนชั่วร้ายที่จะมาเกาะกินจิตใจให้เกิดความทุกข์ยากใดๆ พร้อมน้อมรับพรให้มีสุขภาพที่แข็งแรง พบกับความก้าวหน้าในทุกด้านของชีวิตด้วยพลังใจที่เต็มร้อย ตลอดทั้งปี 2568 นี้

    อีกทั้งควรน้อมอัญเชิญองค์“พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม” หรือ “觀世音菩薩 (กวนซืออิมผู่สัก)” พระโพธิสัตว์แห่งความเมตตามาสักการะเทิดทูนบูชาด้วยการพกพาหรือโหลดภาพเก็บไว้หน้าแรกของโทรศัพท์ติดตัวตลอดเวลา เพื่อปกปักรักษาและประทานบารมีที่จะขับไล่ความหม่นมัวทุกข์โศกร่ำไห้ให้จางหาย ทั้งความอัปมงคลให้ไม่กล้ำกลายและเสริมสิริมงคลให้ได้ชุ่มฉ่ำสดชื่นเต็มไปด้วย พลังกายใจที่จะก้าวไปอย่างมั่นคงในทุกช่วงห้วงเวลาจนสมปรารถนา ด้วยน้ำพระเมตตาบุญฤทธิ์อันสุดประมาณแห่งองค์ “พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม” หรือ “觀世音菩薩 (กวนซืออิมผู่สัก)” จะแผ่รัศมีคุ้มครองตลอดทั้งปี 2568 นี้
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    มูดาวรุ่ง...พยุงดาวร่วง สำหรับท่านที่เกิดปีเถาะ เพื่อเป็นการสะกดพลังร้ายของดาวอัปมงคล จึงควรน้อมสักการะต่อองค์มหาเทพ “大老爺(ตั่วเหล่าเอี๊ย)” หรือ องค์ “玄天上帝(เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่)” เทพเจ้าอันทรงฤทธานุภาพแห่งสรวงสวรรค์ คอยสอดส่องปราบปรามกำราบเภทภัย ทั้งเหล่าภูตผีปีศาจร้ายตลอดจนความเศร้าหมองดำมืดใดที่แอบแฝงเกาะกินจากบาปกรรมชั่วช้าต่างๆ ด้วยพลังที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมอย่างองอาจแสนยานุภาพในกาย หลังวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 22:10 น.นี้ เป็นต้นไป ณ ศาลเจ้า ศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์เทพท่านสถิตอยู่ โดยการนอบน้อมกราบบูชาอธิษฐานฝากดวงชะตาขอพรบารมีแห่งองค์เทพท่านได้สดับรับฟังและโปรดเมตตาคุ้มครองปกป้องให้แคล้วคลาดรอดพ้นจากความมืดมนชั่วร้ายที่จะมาเกาะกินจิตใจให้เกิดความทุกข์ยากใดๆ พร้อมน้อมรับพรให้มีสุขภาพที่แข็งแรง พบกับความก้าวหน้าในทุกด้านของชีวิตด้วยพลังใจที่เต็มร้อย ตลอดทั้งปี 2568 นี้ อีกทั้งควรน้อมอัญเชิญองค์“พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม” หรือ “觀世音菩薩 (กวนซืออิมผู่สัก)” พระโพธิสัตว์แห่งความเมตตามาสักการะเทิดทูนบูชาด้วยการพกพาหรือโหลดภาพเก็บไว้หน้าแรกของโทรศัพท์ติดตัวตลอดเวลา เพื่อปกปักรักษาและประทานบารมีที่จะขับไล่ความหม่นมัวทุกข์โศกร่ำไห้ให้จางหาย ทั้งความอัปมงคลให้ไม่กล้ำกลายและเสริมสิริมงคลให้ได้ชุ่มฉ่ำสดชื่นเต็มไปด้วย พลังกายใจที่จะก้าวไปอย่างมั่นคงในทุกช่วงห้วงเวลาจนสมปรารถนา ด้วยน้ำพระเมตตาบุญฤทธิ์อันสุดประมาณแห่งองค์ “พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม” หรือ “觀世音菩薩 (กวนซืออิมผู่สัก)” จะแผ่รัศมีคุ้มครองตลอดทั้งปี 2568 นี้ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 Comments 0 Shares 407 Views 0 Reviews
  • ไมตรีจากใจจริง: หนทางสู่จิตอันอบอุ่น

    การทักทายหรือแสดงความมีไมตรีต่อเพื่อนมนุษย์ แม้เพียงเรื่องเล็กน้อย เช่น รอยยิ้ม คำทักถาม หรือการแสดงความสนใจต่ออีกฝ่าย อาจดูเหมือนเรื่องธรรมดา แต่แท้จริงแล้ว มันเป็น การฝึกจิตใจให้เปลี่ยนแปลง

    หากทักทายด้วยใจแห้งแล้ง ในช่วงแรกอาจดูฝืน แต่ ความตั้งใจดีและการทำอย่างสม่ำเสมอ จะหล่อหลอมให้ไมตรีนั้นออกมาจากใจจริงในที่สุด

    เมื่อเราเริ่มใส่ ความแคร์ ต่อเพื่อนมนุษย์ในทุกการกระทำ จิตใจของเราจะเริ่มอบอุ่นขึ้น และความรู้สึกสุขสงบจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ



    ---

    ไมตรีในชีวิตการงาน

    แม้การทำงานอาจต้องพบเจอคนที่ทำให้ไม่สบายใจ เช่น คนที่พูดจาไม่ดีหรือปฏิบัติร้ายต่อเรา แต่การเลือกแสดงไมตรีตอบแทน ไม่ใช่เพื่อเอาชนะ แต่เพื่อสร้าง กุศลในจิตใจของเราเอง เป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาจิตใจให้เข้มแข็งและอบอุ่น


    ---

    ไมตรี: กุศลในกองอกุศล

    1. ฝึกทักทายด้วยไมตรี
    การฝึกกล่าวคำทักทาย หรือแสดงความสนใจอย่างจริงใจ จะช่วยหล่อหลอมจิตใจให้มีความเมตตาเพิ่มขึ้น


    2. เริ่มต้นด้วยใจของเราเอง
    หากใจยังไม่รู้สึกอบอุ่น ให้เริ่มจาก แสดงไมตรี ต่อผู้อื่นก่อน แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น การพูดจาสุภาพหรือการยิ้ม


    3. มองเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเอง
    แม้ต้องเผชิญกับสถานการณ์หรือผู้คนที่ไม่เป็นมิตร อย่ามองเป็นอุปสรรค แต่ให้ถือว่าเป็น โอกาสทอง ในการฝึกจิตของเราให้เข้มแข็ง




    ---

    ไมตรี: สะพานสู่ความสุขภายใน

    ไมตรีจากใจจริงไม่เพียงช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเรากับผู้อื่น แต่ยังเป็นการสร้างความสุขและความอบอุ่นในใจเราเอง

    ในท่ามกลางโลกที่มีอกุศลมากมาย ไมตรีจากใจจริง คือหนึ่งในแสงสว่างที่เราสามารถสร้างขึ้นเองได้ เป็นแสงที่ช่วยให้เราและผู้คนรอบข้างอบอุ่นขึ้นในทุกๆ วัน

    ไมตรีจากใจจริง: หนทางสู่จิตอันอบอุ่น การทักทายหรือแสดงความมีไมตรีต่อเพื่อนมนุษย์ แม้เพียงเรื่องเล็กน้อย เช่น รอยยิ้ม คำทักถาม หรือการแสดงความสนใจต่ออีกฝ่าย อาจดูเหมือนเรื่องธรรมดา แต่แท้จริงแล้ว มันเป็น การฝึกจิตใจให้เปลี่ยนแปลง หากทักทายด้วยใจแห้งแล้ง ในช่วงแรกอาจดูฝืน แต่ ความตั้งใจดีและการทำอย่างสม่ำเสมอ จะหล่อหลอมให้ไมตรีนั้นออกมาจากใจจริงในที่สุด เมื่อเราเริ่มใส่ ความแคร์ ต่อเพื่อนมนุษย์ในทุกการกระทำ จิตใจของเราจะเริ่มอบอุ่นขึ้น และความรู้สึกสุขสงบจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ --- ไมตรีในชีวิตการงาน แม้การทำงานอาจต้องพบเจอคนที่ทำให้ไม่สบายใจ เช่น คนที่พูดจาไม่ดีหรือปฏิบัติร้ายต่อเรา แต่การเลือกแสดงไมตรีตอบแทน ไม่ใช่เพื่อเอาชนะ แต่เพื่อสร้าง กุศลในจิตใจของเราเอง เป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาจิตใจให้เข้มแข็งและอบอุ่น --- ไมตรี: กุศลในกองอกุศล 1. ฝึกทักทายด้วยไมตรี การฝึกกล่าวคำทักทาย หรือแสดงความสนใจอย่างจริงใจ จะช่วยหล่อหลอมจิตใจให้มีความเมตตาเพิ่มขึ้น 2. เริ่มต้นด้วยใจของเราเอง หากใจยังไม่รู้สึกอบอุ่น ให้เริ่มจาก แสดงไมตรี ต่อผู้อื่นก่อน แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น การพูดจาสุภาพหรือการยิ้ม 3. มองเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเอง แม้ต้องเผชิญกับสถานการณ์หรือผู้คนที่ไม่เป็นมิตร อย่ามองเป็นอุปสรรค แต่ให้ถือว่าเป็น โอกาสทอง ในการฝึกจิตของเราให้เข้มแข็ง --- ไมตรี: สะพานสู่ความสุขภายใน ไมตรีจากใจจริงไม่เพียงช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเรากับผู้อื่น แต่ยังเป็นการสร้างความสุขและความอบอุ่นในใจเราเอง ในท่ามกลางโลกที่มีอกุศลมากมาย ไมตรีจากใจจริง คือหนึ่งในแสงสว่างที่เราสามารถสร้างขึ้นเองได้ เป็นแสงที่ช่วยให้เราและผู้คนรอบข้างอบอุ่นขึ้นในทุกๆ วัน
    0 Comments 0 Shares 255 Views 0 Reviews
  • วันครู 2568

    ในโอกาสวันครูแห่งชาติ ปี 2568
    ขอกราบขอบพระคุณคุณครู ผู้เป็นแสงสว่างนำทางชีวิต
    ด้วยความรักและความเมตตา คุณครูคือผู้สร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับเรา
    ช่วยปลูกฝังความรู้ คู่คุณธรรม และมอบแรงบันดาลใจ ให้ก้าวเดินไปสู่อนาคตที่สดใส

    ขอให้คุณครูทุกท่าน มีสุขภาพแข็งแรง
    เปี่ยมด้วยกำลังใจ ในหน้าที่การสอน
    และพบแต่ความสำเร็จ ความสุขในชีวิต
    พวกเราขอน้อมจิตระลึกถึง พระคุณอันยิ่งใหญ่
    และสัญญาว่าจะนำคำสอนของคุณค ไปใช้ในการสร้างอนาคตที่ดี

    ด้วยความเคารพรักอย่างสูง
    ✨ สุขสันต์วันครู 2568 ✨
    วันครู 2568 ในโอกาสวันครูแห่งชาติ ปี 2568 ขอกราบขอบพระคุณคุณครู ผู้เป็นแสงสว่างนำทางชีวิต ด้วยความรักและความเมตตา คุณครูคือผู้สร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับเรา ช่วยปลูกฝังความรู้ คู่คุณธรรม และมอบแรงบันดาลใจ ให้ก้าวเดินไปสู่อนาคตที่สดใส ขอให้คุณครูทุกท่าน มีสุขภาพแข็งแรง เปี่ยมด้วยกำลังใจ ในหน้าที่การสอน และพบแต่ความสำเร็จ ความสุขในชีวิต พวกเราขอน้อมจิตระลึกถึง พระคุณอันยิ่งใหญ่ และสัญญาว่าจะนำคำสอนของคุณค ไปใช้ในการสร้างอนาคตที่ดี ด้วยความเคารพรักอย่างสูง ✨ สุขสันต์วันครู 2568 ✨
    0 Comments 0 Shares 194 Views 0 Reviews
  • การเจริญอสุภกรรมฐาน

    นอกจากวิธีงดสระผมหรืออาบน้ำเพื่อให้รู้สึกถึงอสุภ (ความไม่น่ารัก น่าใคร่) แล้ว ยังมีเทคนิคอื่นๆ ที่สามารถนำมาใช้เพื่อเสริมการปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้:

    1. พิจารณากายส่วนต่างๆ (ปฏิกูลมนสิการ)

    แยกร่างกายเป็นส่วนๆ: พิจารณาเส้นผม เล็บ ฟัน ผิวหนัง เลือด น้ำหนอง กระดูก ฯลฯ

    จินตนาการร่างกายสลายตัว: ลองนึกถึงสภาพร่างกายเมื่อถึงเวลาเน่าเปื่อย ผุพัง

    ทำความคุ้นชินกับความจริง: ทบทวนว่าอวัยวะเหล่านี้เป็นเพียงธาตุ ไม่ใช่สิ่งที่เราควรยึดมั่น

    2. ฝึกมองคนรอบตัวอย่างเป็นกลาง

    มองผู้อื่นไม่ใช่ด้วยความหลงใหลในรูปลักษณ์ แต่ให้จินตนาการว่าอีก 50 ปีข้างหน้า ร่างกายทุกคนก็ต้องเสื่อมสลาย

    มองเห็นธรรมดาของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

    แทนที่จะเห็นความสวยงาม ให้มองว่าเป็นเพียงร่างกายที่ต้องพึ่งพิงอาหาร อากาศ และยังต้องขับของเสียออก

    3. ใช้สื่อช่วยฝึกสมาธิ

    ศึกษารูปภาพหรือวิดีโอของร่างกายมนุษย์ในสภาพผุพัง เช่น ซากศพ ภาพการผ่าตัด หรือสภาพเน่าเปื่อย

    ใช้เป็นเครื่องช่วยเตือนใจว่า ร่างกายเป็นเพียงธาตุที่ประกอบกันชั่วคราว

    4. ฝึกสมาธิให้จิตสงบก่อนเจริญอสุภ

    เริ่มต้นด้วยอานาปานสติ: การพิจารณาลมหายใจช่วยให้จิตใจสงบและพร้อมรับการพิจารณาที่ลึกซึ้งขึ้น

    ใช้สมาธิเป็นฐาน: เมื่อจิตสงบ จะสามารถพิจารณาอสุภได้อย่างชัดเจนโดยไม่ถูกความคิดดิบหรืออารมณ์กามรบกวน

    5. เจริญเมตตาควบคู่กับอสุภ

    หากรู้สึกว่าความรู้สึกดิบๆ ที่เกิดขึ้นเป็นแรงผลักดันที่ยากจะควบคุม ให้เสริมด้วยการแผ่เมตตา

    แผ่เมตตาให้ตัวเองและผู้อื่น: ความเมตตาจะช่วยปรับสมดุลจิตใจ ทำให้จิตไม่ติดอยู่กับความดิบที่เกิดจากกามคุณ

    6. การใช้สติรู้ทัน

    เมื่อเกิดความรู้สึกดิบในระหว่างปฏิบัติ ให้ใช้สติรู้ทันว่า "นี่คือความไม่เที่ยงของจิต"

    อย่าต่อต้านความรู้สึกเหล่านั้น แต่ให้มองเห็นว่าเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

    7. ระมัดระวังไม่บังคับตัวเองเกินไป

    หากกดดันตัวเองมากเกินไป อาจทำให้เกิดความเครียดและความต่อต้าน

    ให้ปฏิบัติด้วยใจที่ผ่อนคลาย เห็นการเจริญอสุภเป็นโอกาสฝึกปัญญา ไม่ใช่การบีบบังคับ

    ข้อควรระวัง

    การเจริญอสุภกรรมฐานอาจทำให้จิตเกิดความรู้สึกต่อต้าน หรือเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิต ถ้าไม่พร้อมทางจิตใจควรทำในระดับที่พอดี

    ควรมีครูหรือผู้รู้ช่วยชี้แนะเป็นระยะ

    สรุป:
    อสุภกรรมฐานต้องใช้ความต่อเนื่องและสมาธิเป็นเครื่องนำทาง การฝึกในเบื้องต้นอาจเริ่มด้วยการพิจารณาอวัยวะหรือธรรมชาติของร่างกาย และใช้สติคอยดูแลจิตให้รู้สึกถึงความไม่เที่ยงของกายนี้ การเจริญอสุภไม่ใช่เพื่อความรังเกียจร่างกาย แต่เพื่อปล่อยวางและเห็นธรรมชาติของมันตามความเป็นจริง!
    การเจริญอสุภกรรมฐาน นอกจากวิธีงดสระผมหรืออาบน้ำเพื่อให้รู้สึกถึงอสุภ (ความไม่น่ารัก น่าใคร่) แล้ว ยังมีเทคนิคอื่นๆ ที่สามารถนำมาใช้เพื่อเสริมการปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้: 1. พิจารณากายส่วนต่างๆ (ปฏิกูลมนสิการ) แยกร่างกายเป็นส่วนๆ: พิจารณาเส้นผม เล็บ ฟัน ผิวหนัง เลือด น้ำหนอง กระดูก ฯลฯ จินตนาการร่างกายสลายตัว: ลองนึกถึงสภาพร่างกายเมื่อถึงเวลาเน่าเปื่อย ผุพัง ทำความคุ้นชินกับความจริง: ทบทวนว่าอวัยวะเหล่านี้เป็นเพียงธาตุ ไม่ใช่สิ่งที่เราควรยึดมั่น 2. ฝึกมองคนรอบตัวอย่างเป็นกลาง มองผู้อื่นไม่ใช่ด้วยความหลงใหลในรูปลักษณ์ แต่ให้จินตนาการว่าอีก 50 ปีข้างหน้า ร่างกายทุกคนก็ต้องเสื่อมสลาย มองเห็นธรรมดาของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แทนที่จะเห็นความสวยงาม ให้มองว่าเป็นเพียงร่างกายที่ต้องพึ่งพิงอาหาร อากาศ และยังต้องขับของเสียออก 3. ใช้สื่อช่วยฝึกสมาธิ ศึกษารูปภาพหรือวิดีโอของร่างกายมนุษย์ในสภาพผุพัง เช่น ซากศพ ภาพการผ่าตัด หรือสภาพเน่าเปื่อย ใช้เป็นเครื่องช่วยเตือนใจว่า ร่างกายเป็นเพียงธาตุที่ประกอบกันชั่วคราว 4. ฝึกสมาธิให้จิตสงบก่อนเจริญอสุภ เริ่มต้นด้วยอานาปานสติ: การพิจารณาลมหายใจช่วยให้จิตใจสงบและพร้อมรับการพิจารณาที่ลึกซึ้งขึ้น ใช้สมาธิเป็นฐาน: เมื่อจิตสงบ จะสามารถพิจารณาอสุภได้อย่างชัดเจนโดยไม่ถูกความคิดดิบหรืออารมณ์กามรบกวน 5. เจริญเมตตาควบคู่กับอสุภ หากรู้สึกว่าความรู้สึกดิบๆ ที่เกิดขึ้นเป็นแรงผลักดันที่ยากจะควบคุม ให้เสริมด้วยการแผ่เมตตา แผ่เมตตาให้ตัวเองและผู้อื่น: ความเมตตาจะช่วยปรับสมดุลจิตใจ ทำให้จิตไม่ติดอยู่กับความดิบที่เกิดจากกามคุณ 6. การใช้สติรู้ทัน เมื่อเกิดความรู้สึกดิบในระหว่างปฏิบัติ ให้ใช้สติรู้ทันว่า "นี่คือความไม่เที่ยงของจิต" อย่าต่อต้านความรู้สึกเหล่านั้น แต่ให้มองเห็นว่าเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป 7. ระมัดระวังไม่บังคับตัวเองเกินไป หากกดดันตัวเองมากเกินไป อาจทำให้เกิดความเครียดและความต่อต้าน ให้ปฏิบัติด้วยใจที่ผ่อนคลาย เห็นการเจริญอสุภเป็นโอกาสฝึกปัญญา ไม่ใช่การบีบบังคับ ข้อควรระวัง การเจริญอสุภกรรมฐานอาจทำให้จิตเกิดความรู้สึกต่อต้าน หรือเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิต ถ้าไม่พร้อมทางจิตใจควรทำในระดับที่พอดี ควรมีครูหรือผู้รู้ช่วยชี้แนะเป็นระยะ สรุป: อสุภกรรมฐานต้องใช้ความต่อเนื่องและสมาธิเป็นเครื่องนำทาง การฝึกในเบื้องต้นอาจเริ่มด้วยการพิจารณาอวัยวะหรือธรรมชาติของร่างกาย และใช้สติคอยดูแลจิตให้รู้สึกถึงความไม่เที่ยงของกายนี้ การเจริญอสุภไม่ใช่เพื่อความรังเกียจร่างกาย แต่เพื่อปล่อยวางและเห็นธรรมชาติของมันตามความเป็นจริง!
    0 Comments 0 Shares 382 Views 0 Reviews
  • เราจะเห็นผลร้ายจาก
    สิ่งที่ทิ่มแทงแขนของเรา ในปี 2025
    เป็นต้นไป
    อย่าวางใจ
    อย่าหลับใหล
    ช่วยตัวเองได้ต้องรีบช่วย
    สร้างพลังกายให้แข็งแรง

    โลกแห่งละคร มาถึงฉาก
    ใกล้จบของมารร้าย
    แต่ก่อนจบ มันจะอาละวาดหนัก
    ความตายของมนุษย์โลกคือชัยชนะของมัน

    เราถูกบังคับให้ร่วมเล่นกับละครฉากนี้
    และเราจะต้องเป็นผู้กำกับการแสดงของเราเอง ให้รอดพ้นจากความตายที่หมู่มารโลกมอบให้

    เมื่อเรามีชีวิตอยู่รอด
    ก้าวพ้นยุคแห่งความชั่วร้ายได้
    กายและจิตวิญญาณของเราจะสะอาดบริสุทธิ์
    พร้อมที่จะรับพลังจากจักรวาล มาเสริมสร้างธาตุรู้
    แห่งจิตวิญญาณให้กล้าแข็ง

    เมื่อธาตุรู้แห่งจิตบังเกิด
    อภิญญา ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

    ดังนั้นการตั้งสติให้มั่นคง
    ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่ความตาย
    จึงเป็นสิ่งสำคัญ

    เราคงไม่เคยคิดมาก่อนว่า
    จะมีเหตุการณ์ร้ายแรงที่ทำลายล้างมนุษย์ได้มากมายขนาดนี้
    มนุษย์จะเหลือเพียง10%
    ของมนุษย์ทั้งโลก ตามคำทำนาย
    แล้วละหรือ

    ถ้าพิจารณาเหตุและผลที่เกิดขึ้น
    ในช่วงเวลานี้ ยิ่งให้น่าเป็นห่วง

    ขอคุรุโพธิสัตว์ โปรดเมตตา
    ให้มนุษย์ได้ตื่นรู้ ยอมรับความจริงที่กำลังเกิดขึ้นดังกล่าว

    แม้ไม่ทันได้รู้ ต้องเสียทีเหล่ามาร
    ร่างกายมิอาจดำรงให้จิตวิญญาณอยู่เป็นปกติได้
    ก็ขอให้พระองค์ได้โปรดอุ้มชู
    รับดวงจิตที่ต้องออกจากร่างขันธ์ กลับคืนสู่สุขาวดี
    ไม่ต้องถูกมารฉุดลากให้ลงอบายภูมิ เป็นทาสรับใช้ แบบไม่ได้ผุดได้เกิดเลย

    ร่วมกันส่งพลังความรักความเมตตา
    ออกสู่โลกและจักรวาล ทุกวัน
    ให้พลังความรักความเมตตาท่วมท้น
    จนหมู่มารทนกระแสพลัง
    อันบริสุทธิ์นี้ไม่ได้
    ต้องแตกดับลับไป

    HOS.HOLY SHIFT
    8 มกราคม 2568

    #อัศวินอัตแพทย์
    #Silver
    #ล้างพิษ
    เราจะเห็นผลร้ายจาก สิ่งที่ทิ่มแทงแขนของเรา ในปี 2025 เป็นต้นไป อย่าวางใจ อย่าหลับใหล ช่วยตัวเองได้ต้องรีบช่วย สร้างพลังกายให้แข็งแรง โลกแห่งละคร มาถึงฉาก ใกล้จบของมารร้าย แต่ก่อนจบ มันจะอาละวาดหนัก ความตายของมนุษย์โลกคือชัยชนะของมัน เราถูกบังคับให้ร่วมเล่นกับละครฉากนี้ และเราจะต้องเป็นผู้กำกับการแสดงของเราเอง ให้รอดพ้นจากความตายที่หมู่มารโลกมอบให้ เมื่อเรามีชีวิตอยู่รอด ก้าวพ้นยุคแห่งความชั่วร้ายได้ กายและจิตวิญญาณของเราจะสะอาดบริสุทธิ์ พร้อมที่จะรับพลังจากจักรวาล มาเสริมสร้างธาตุรู้ แห่งจิตวิญญาณให้กล้าแข็ง เมื่อธาตุรู้แห่งจิตบังเกิด อภิญญา ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ดังนั้นการตั้งสติให้มั่นคง ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่ความตาย จึงเป็นสิ่งสำคัญ เราคงไม่เคยคิดมาก่อนว่า จะมีเหตุการณ์ร้ายแรงที่ทำลายล้างมนุษย์ได้มากมายขนาดนี้ มนุษย์จะเหลือเพียง10% ของมนุษย์ทั้งโลก ตามคำทำนาย แล้วละหรือ ถ้าพิจารณาเหตุและผลที่เกิดขึ้น ในช่วงเวลานี้ ยิ่งให้น่าเป็นห่วง ขอคุรุโพธิสัตว์ โปรดเมตตา ให้มนุษย์ได้ตื่นรู้ ยอมรับความจริงที่กำลังเกิดขึ้นดังกล่าว แม้ไม่ทันได้รู้ ต้องเสียทีเหล่ามาร ร่างกายมิอาจดำรงให้จิตวิญญาณอยู่เป็นปกติได้ ก็ขอให้พระองค์ได้โปรดอุ้มชู รับดวงจิตที่ต้องออกจากร่างขันธ์ กลับคืนสู่สุขาวดี ไม่ต้องถูกมารฉุดลากให้ลงอบายภูมิ เป็นทาสรับใช้ แบบไม่ได้ผุดได้เกิดเลย ร่วมกันส่งพลังความรักความเมตตา ออกสู่โลกและจักรวาล ทุกวัน ให้พลังความรักความเมตตาท่วมท้น จนหมู่มารทนกระแสพลัง อันบริสุทธิ์นี้ไม่ได้ ต้องแตกดับลับไป HOS.HOLY SHIFT 8 มกราคม 2568 #อัศวินอัตแพทย์ #Silver #ล้างพิษ
    0 Comments 0 Shares 310 Views 0 Reviews
  • ทำบุญหวังผล จัดเป็นทานบารมีไหม?

    การทำบุญหวังผลนั้นสามารถจัดเป็น ทานบารมี ได้ แต่มีความแตกต่างใน ระดับของบารมี และ ความละเอียดของจิต ที่แฝงอยู่ในขณะทำทาน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดังนี้:


    ---

    1. ทำบุญหวังผลในเชิงสัมมาทิฏฐิ

    ใจเลื่อมใสว่าทานมีผล: เชื่อว่าการทำความดี การให้ทานจะนำมาซึ่งผลดีในอนาคต เช่น ความสุข ความเจริญ หรือการเกิดในภพภูมิที่ดี

    จิตประกอบด้วยศรัทธาและเจตนาในทางกุศล: แม้มีความหวังผล แต่ยังคงเป็นความหวังในลักษณะสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ)

    นับเป็นทานบารมีระดับต้นถึงกลาง: บุญที่เกิดขึ้นจะช่วยสร้างบารมีในระดับที่นำพาไปสู่ความดี ความสุข และความเจริญทางจิตใจและชีวิต แต่ยังไม่ถึงความละเอียดสูงสุด



    ---

    2. ทำบุญหวังผลแบบเจาะจง (จิตคับแคบ)

    ทำบุญโดยมุ่งเน้นผลตอบแทนเฉพาะเจาะจง เช่น "ฉันทำบุญนี้เพื่อให้ได้ลาภสักการะ หรือเพื่อได้สวรรค์ชั้นนั้น ชั้นนี้"

    จิตประกอบด้วยความละโมบแบบนักลงทุน: ขาดความประณีตและความเปิดกว้างในการให้ อานิสงส์ที่ได้รับจึงถูกจำกัดอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า เช่น สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งยังคงอยู่ในขอบเขตของความเป็นปุถุชน



    ---

    3. ทำบุญโดยไม่หวังผลตอบแทน

    จิตบริสุทธิ์ เบิกบาน ไม่เลือกหน้า: ให้ด้วยความเมตตา ปรารถนาเพียงความสุขของผู้รับ โดยไม่หวังผลตอบแทน

    เกิดปีติสุขจากการทำทันที: ไม่ต้องรอผลในอนาคต เพราะจิตได้สัมผัสถึงความสุขจากการให้ตั้งแต่ขณะนั้น

    นับเป็นทานบารมีระดับสูง: อานิสงส์ของทานเช่นนี้จะส่งผลให้เกิดความสุข ความผ่องใส ทั้งในชาตินี้และชาติต่อไป และอาจนำไปสู่การเข้าถึงความละเอียดของจิตที่สูงขึ้น เช่น สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรือสูงกว่านั้น



    ---

    สรุป: ทำบุญหวังผลเป็นทานบารมีหรือไม่?

    หากหวังผลในเชิงสัมมาทิฏฐิและไม่ละโมบจนเกินไป การทำบุญหวังผลยังคงเป็น ทานบารมี แต่ผลที่ได้รับจะคับแคบตามความคาดหวังนั้น

    หากไม่หวังผลตอบแทน จิตใจเปิดกว้าง เบิกบาน การทำบุญนั้นจะเป็น ทานบารมีระดับสูงสุด ที่ก่อให้เกิดอานิสงส์ยิ่งใหญ่ทั้งในปัจจุบันและอนาคต.


    ทำบุญหวังผล จัดเป็นทานบารมีไหม? การทำบุญหวังผลนั้นสามารถจัดเป็น ทานบารมี ได้ แต่มีความแตกต่างใน ระดับของบารมี และ ความละเอียดของจิต ที่แฝงอยู่ในขณะทำทาน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดังนี้: --- 1. ทำบุญหวังผลในเชิงสัมมาทิฏฐิ ใจเลื่อมใสว่าทานมีผล: เชื่อว่าการทำความดี การให้ทานจะนำมาซึ่งผลดีในอนาคต เช่น ความสุข ความเจริญ หรือการเกิดในภพภูมิที่ดี จิตประกอบด้วยศรัทธาและเจตนาในทางกุศล: แม้มีความหวังผล แต่ยังคงเป็นความหวังในลักษณะสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) นับเป็นทานบารมีระดับต้นถึงกลาง: บุญที่เกิดขึ้นจะช่วยสร้างบารมีในระดับที่นำพาไปสู่ความดี ความสุข และความเจริญทางจิตใจและชีวิต แต่ยังไม่ถึงความละเอียดสูงสุด --- 2. ทำบุญหวังผลแบบเจาะจง (จิตคับแคบ) ทำบุญโดยมุ่งเน้นผลตอบแทนเฉพาะเจาะจง เช่น "ฉันทำบุญนี้เพื่อให้ได้ลาภสักการะ หรือเพื่อได้สวรรค์ชั้นนั้น ชั้นนี้" จิตประกอบด้วยความละโมบแบบนักลงทุน: ขาดความประณีตและความเปิดกว้างในการให้ อานิสงส์ที่ได้รับจึงถูกจำกัดอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า เช่น สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งยังคงอยู่ในขอบเขตของความเป็นปุถุชน --- 3. ทำบุญโดยไม่หวังผลตอบแทน จิตบริสุทธิ์ เบิกบาน ไม่เลือกหน้า: ให้ด้วยความเมตตา ปรารถนาเพียงความสุขของผู้รับ โดยไม่หวังผลตอบแทน เกิดปีติสุขจากการทำทันที: ไม่ต้องรอผลในอนาคต เพราะจิตได้สัมผัสถึงความสุขจากการให้ตั้งแต่ขณะนั้น นับเป็นทานบารมีระดับสูง: อานิสงส์ของทานเช่นนี้จะส่งผลให้เกิดความสุข ความผ่องใส ทั้งในชาตินี้และชาติต่อไป และอาจนำไปสู่การเข้าถึงความละเอียดของจิตที่สูงขึ้น เช่น สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรือสูงกว่านั้น --- สรุป: ทำบุญหวังผลเป็นทานบารมีหรือไม่? หากหวังผลในเชิงสัมมาทิฏฐิและไม่ละโมบจนเกินไป การทำบุญหวังผลยังคงเป็น ทานบารมี แต่ผลที่ได้รับจะคับแคบตามความคาดหวังนั้น หากไม่หวังผลตอบแทน จิตใจเปิดกว้าง เบิกบาน การทำบุญนั้นจะเป็น ทานบารมีระดับสูงสุด ที่ก่อให้เกิดอานิสงส์ยิ่งใหญ่ทั้งในปัจจุบันและอนาคต.
    0 Comments 0 Shares 361 Views 0 Reviews
  • "กว่าจะเลิกอยากให้คนอื่นเข้าใจคุณ
    คุณจำเป็นต้องเข้าใจตัวเองให้ขาด
    และเห็นใจคนอื่นมากๆได้เสียก่อน!"

    นี่เป็นประโยคที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่าง การรู้จักตัวเอง และ การเข้าใจผู้อื่น อย่างลึกซึ้ง:

    1. เข้าใจตัวเองให้ขาด

    หมายถึงการยอมรับในตัวเองทั้งข้อดีและข้อด้อย โดยไม่ต้องการการยืนยันหรือการยอมรับจากคนอื่น

    เมื่อคุณรู้จักตัวเองดีพอ จะไม่มีความจำเป็นต้องให้คนอื่นมาเติมเต็ม หรือเข้าใจในสิ่งที่คุณเป็น



    2. เห็นใจคนอื่นมากๆ

    การมองโลกจากมุมของคนอื่นช่วยลดความคาดหวังที่เรามีต่อพวกเขา

    แทนที่จะอยากให้คนอื่นเข้าใจเรา การเห็นอกเห็นใจคนอื่นกลับทำให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และลดความรู้สึกผิดหวังเมื่อไม่ได้รับการเข้าใจตามที่คาดหวัง



    3. ปล่อยวางความคาดหวัง

    เมื่อคุณเลิกอยากให้คนอื่นเข้าใจ คุณจะพบความสงบสุข เพราะไม่ต้องผูกความสุขไว้กับการกระทำหรือคำพูดของใคร

    ความสุขที่แท้จริงมาจากการเข้าใจตัวเองและมอบพื้นที่ให้คนอื่นเป็นตัวของตัวเอง




    บทเรียน:
    เมื่อเราเข้าใจตัวเองดีพอและมีความเมตตาต่อผู้อื่น ความต้องการให้คนอื่นเข้าใจเราจะจางหายไปเอง เพราะเราจะรู้ว่า ความเข้าใจในตัวเองนั้นเพียงพอที่จะทำให้ชีวิตสมดุลและสงบสุขได้.

    "กว่าจะเลิกอยากให้คนอื่นเข้าใจคุณ คุณจำเป็นต้องเข้าใจตัวเองให้ขาด และเห็นใจคนอื่นมากๆได้เสียก่อน!" นี่เป็นประโยคที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่าง การรู้จักตัวเอง และ การเข้าใจผู้อื่น อย่างลึกซึ้ง: 1. เข้าใจตัวเองให้ขาด หมายถึงการยอมรับในตัวเองทั้งข้อดีและข้อด้อย โดยไม่ต้องการการยืนยันหรือการยอมรับจากคนอื่น เมื่อคุณรู้จักตัวเองดีพอ จะไม่มีความจำเป็นต้องให้คนอื่นมาเติมเต็ม หรือเข้าใจในสิ่งที่คุณเป็น 2. เห็นใจคนอื่นมากๆ การมองโลกจากมุมของคนอื่นช่วยลดความคาดหวังที่เรามีต่อพวกเขา แทนที่จะอยากให้คนอื่นเข้าใจเรา การเห็นอกเห็นใจคนอื่นกลับทำให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และลดความรู้สึกผิดหวังเมื่อไม่ได้รับการเข้าใจตามที่คาดหวัง 3. ปล่อยวางความคาดหวัง เมื่อคุณเลิกอยากให้คนอื่นเข้าใจ คุณจะพบความสงบสุข เพราะไม่ต้องผูกความสุขไว้กับการกระทำหรือคำพูดของใคร ความสุขที่แท้จริงมาจากการเข้าใจตัวเองและมอบพื้นที่ให้คนอื่นเป็นตัวของตัวเอง บทเรียน: เมื่อเราเข้าใจตัวเองดีพอและมีความเมตตาต่อผู้อื่น ความต้องการให้คนอื่นเข้าใจเราจะจางหายไปเอง เพราะเราจะรู้ว่า ความเข้าใจในตัวเองนั้นเพียงพอที่จะทำให้ชีวิตสมดุลและสงบสุขได้.
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 352 Views 0 Reviews
  • 2/1/68

    ความเบิกบาย

    หมอสันต์พูดกับสมาชิกที่มาเข้าแค้มป์ Spiritual Retreat

    สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)หรือพูดอีกอย่างได้ว่าชีวิตนี้ถ้ามีสิ่งเดียวแล้วสิ่งอื่นไม่ต้องมีก็ได้ สิ่งนั้นก็คือความเบิกบาน (Joy) เพราะชีวิตเราทุกวันนี้เรามุ่งหน้าดั้นด้นค้นหาความสุข ซึ่งมันก็ตัวเดียวกับความเบิกบาน การได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้พบความมหัศจรรย์ (wonder) กับชีวิตนั่นแหละ

    เราจะเบิกบานได้มันมีองค์ประกอบสามสี่อย่าง

    หนึ่ง ก็คือเราต้องยอมรับ (acceptance) ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของเราให้ได้อย่างไม่มีเงื่อนไขก่อน หากเราไม่ยอมรับ เราก็จะเกร็ง จะสู้ หรือจะหนี นั่นก็คือภาวะเครียด ไม่ใช่เบิกบาน

    สอง ก็คือใจเราต้องสงบเย็น (peace) ให้ได้ก่อน ใจเราไม่สงบเพราะมันมีความคิด ดังนั้นเราต้องฝึกวางความคิดก่อน

    สาม ก็คือเราต้องผ่อนคลาย (relax) กล้ามเนื้อของเราก่อน เอาง่ายๆ ดูที่ใบหน้าของเราก็ได้ กล้ามเนื้ออื่นๆบนใบหน้า 42 มัดต้องผ่อนคลายก่อน กล้ามเนื้อ zygomaticus จึงจะหดตัวให้เรายิ้มที่มุมปากได้

    สี่ ก็คือความเบิกบานมันมีธรรมชาติเป็นความปลาบปลื้มตามหลังการได้แสดงความรักความเมตตา (love) มันตามกันมาโดยเราไม่รู้ตัว แค่เราโปรยข้าวให้ปลากิน หรือแค่เราปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ให้คนอื่นได้ชื่นชม เราก็ปลื้มแล้ว ความปลื้มนั้นแหละคือ Joy

    สี่อย่างนี้ คือ การยอมรับ ความสงบเย็น ความผ่อนคลาย ความเมตตา หรือถ้าพูดเป็นภาษาอังกฤษก็คือ acceptance, peace, relax, love มันนำมาสู่ความเบิกบาน หรือ joy ซึ่งได้ขาดหายไปจากชีวิตของเรามานานพอควร

    เราจะต้องปะติดปะต่อจิ๊กซอว์สี่ตัวนี้เข้าด้วยกันให้ได้ โดยในแค้มปื Spiritual Retreat นี้เราจะโฟกัสที่การฝึกวางความคิดให้เป็น ซึ่งจะเป็นเหตุนำให้เราสงบเย็น เราจะฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วย แค่ทำสองอย่างนี้ให้เก่ง อีกสองอย่าง คือการยอมรับและเมตตาธรรม มันจะค่อยๆเกิดขึ้นในใจของเราเองอย่างง่ายๆ เพราะแท้จริงเมตตาธรรมมันเป็นแก่นแท้หรือส่วนลึกที่สุดของใจเราอยู่แล้ว ขอเพียงแต่อย่าให้ความคิดมาเบรคหรือบดบังมันแต่นั้นแหละ

    นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

    ที่มา: บทความสุขภาพ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ | 7 พ.ย. 67
    2/1/68 ความเบิกบาย หมอสันต์พูดกับสมาชิกที่มาเข้าแค้มป์ Spiritual Retreat สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)หรือพูดอีกอย่างได้ว่าชีวิตนี้ถ้ามีสิ่งเดียวแล้วสิ่งอื่นไม่ต้องมีก็ได้ สิ่งนั้นก็คือความเบิกบาน (Joy) เพราะชีวิตเราทุกวันนี้เรามุ่งหน้าดั้นด้นค้นหาความสุข ซึ่งมันก็ตัวเดียวกับความเบิกบาน การได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้พบความมหัศจรรย์ (wonder) กับชีวิตนั่นแหละ เราจะเบิกบานได้มันมีองค์ประกอบสามสี่อย่าง หนึ่ง ก็คือเราต้องยอมรับ (acceptance) ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของเราให้ได้อย่างไม่มีเงื่อนไขก่อน หากเราไม่ยอมรับ เราก็จะเกร็ง จะสู้ หรือจะหนี นั่นก็คือภาวะเครียด ไม่ใช่เบิกบาน สอง ก็คือใจเราต้องสงบเย็น (peace) ให้ได้ก่อน ใจเราไม่สงบเพราะมันมีความคิด ดังนั้นเราต้องฝึกวางความคิดก่อน สาม ก็คือเราต้องผ่อนคลาย (relax) กล้ามเนื้อของเราก่อน เอาง่ายๆ ดูที่ใบหน้าของเราก็ได้ กล้ามเนื้ออื่นๆบนใบหน้า 42 มัดต้องผ่อนคลายก่อน กล้ามเนื้อ zygomaticus จึงจะหดตัวให้เรายิ้มที่มุมปากได้ สี่ ก็คือความเบิกบานมันมีธรรมชาติเป็นความปลาบปลื้มตามหลังการได้แสดงความรักความเมตตา (love) มันตามกันมาโดยเราไม่รู้ตัว แค่เราโปรยข้าวให้ปลากิน หรือแค่เราปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ให้คนอื่นได้ชื่นชม เราก็ปลื้มแล้ว ความปลื้มนั้นแหละคือ Joy สี่อย่างนี้ คือ การยอมรับ ความสงบเย็น ความผ่อนคลาย ความเมตตา หรือถ้าพูดเป็นภาษาอังกฤษก็คือ acceptance, peace, relax, love มันนำมาสู่ความเบิกบาน หรือ joy ซึ่งได้ขาดหายไปจากชีวิตของเรามานานพอควร เราจะต้องปะติดปะต่อจิ๊กซอว์สี่ตัวนี้เข้าด้วยกันให้ได้ โดยในแค้มปื Spiritual Retreat นี้เราจะโฟกัสที่การฝึกวางความคิดให้เป็น ซึ่งจะเป็นเหตุนำให้เราสงบเย็น เราจะฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วย แค่ทำสองอย่างนี้ให้เก่ง อีกสองอย่าง คือการยอมรับและเมตตาธรรม มันจะค่อยๆเกิดขึ้นในใจของเราเองอย่างง่ายๆ เพราะแท้จริงเมตตาธรรมมันเป็นแก่นแท้หรือส่วนลึกที่สุดของใจเราอยู่แล้ว ขอเพียงแต่อย่าให้ความคิดมาเบรคหรือบดบังมันแต่นั้นแหละ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ที่มา: บทความสุขภาพ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ | 7 พ.ย. 67
    0 Comments 0 Shares 232 Views 0 Reviews
  • อภัยและปล่อยวาง: วิธีสร้างใจเย็นและโปร่งเบา

    เริ่มต้นให้อภัย: ทำไมจึงยาก?
    การให้อภัยไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่รู้สึกเจ็บลึกจากการกระทำของผู้อื่น ความรู้สึกเจ็บปวดและผูกใจเจ็บมักทำให้เราเห็นการให้อภัยเป็นการ "ปล่อยให้คนผิดลอยนวล" หรือ "ยอมเสียเปรียบ" แต่ในมุมมองทางพุทธศาสนา การให้อภัยคือการรักษาจิตใจของเราให้หายจาก "โรคทางใจ" ที่ชื่อว่าพยาบาท

    ---

    มองความพยาบาทในฐานะ 'โรคทางใจ'
    พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบความโกรธเกลียดว่าเป็นโรคที่รุมเร้าจิตใจ ทำให้เกิดความหดหู่ เศร้าหมอง และไร้กำลังวังชา การยอมปล่อยวางความพยาบาทจึงเปรียบเสมือนการรักษาใจให้กลับมาสดชื่นและมีพลังอีกครั้ง

    ---

    อุบายฝึกใจให้อภัย

    1. สังเกตใจที่ป่วย:
    เมื่อเราโกรธหรือผูกใจเจ็บ ให้สังเกตว่าใจของเรานั้นฟุ้งซ่าน ร้อนรน และไม่มีความสุข

    2. เปรียบเทียบสุขและทุกข์:
    เมื่อยังยึดติดกับความพยาบาท ความร้อนเหมือนไข้จะครอบงำใจ แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นอภัย ความเย็นและความสุขจะเข้ามาแทนที่

    3. เจริญเมตตา:
    ฝึกมองคู่กรณีในฐานะเพื่อนร่วมทุกข์ ปรารถนาให้เขาไม่ต้องเป็นต้นเหตุแห่งความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น

    4. ไม่จำเป็นต้องแกล้งดี:
    หากความสัมพันธ์ไม่สามารถฟื้นฟูได้ ให้ยุติความสัมพันธ์โดยไม่สร้างความเกลียดชังเพิ่มเติม การให้อภัยไม่ได้หมายถึงการกลับไปคบหากันเสมอไป

    ---

    อภัยไม่ได้แปลว่าไม่รักษาสิทธิ์
    การให้อภัยในมุมพุทธศาสนาไม่ใช่การยอมละทิ้งความยุติธรรม เราสามารถเรียกร้องสิทธิ์หรือปกป้องความถูกต้องได้ โดยไม่ต้องยึดติดหรือเก็บความโกรธไว้ในใจ

    ---

    ผลลัพธ์ของการให้อภัย
    เมื่อจิตใจเย็นลงจากการให้อภัยจริง เราจะรู้สึกโปร่งโล่ง มีพลัง และเปี่ยมด้วยความสุขแบบที่อยากแบ่งปันให้ผู้อื่น ความสุขนี้จะสะท้อนผ่านสายตา น้ำเสียง และท่าที ทำให้ผู้คนที่พบเจอรู้สึกประทับใจในความสงบและความเมตตาของเรา

    ข้อคิดส่งท้าย:
    การให้อภัยไม่ใช่เพียงการปล่อยคนอื่นไป แต่คือการปล่อยตัวเองจากความทุกข์ และสร้างโลกในใจให้เย็นและเบาสบาย!
    อภัยและปล่อยวาง: วิธีสร้างใจเย็นและโปร่งเบา เริ่มต้นให้อภัย: ทำไมจึงยาก? การให้อภัยไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่รู้สึกเจ็บลึกจากการกระทำของผู้อื่น ความรู้สึกเจ็บปวดและผูกใจเจ็บมักทำให้เราเห็นการให้อภัยเป็นการ "ปล่อยให้คนผิดลอยนวล" หรือ "ยอมเสียเปรียบ" แต่ในมุมมองทางพุทธศาสนา การให้อภัยคือการรักษาจิตใจของเราให้หายจาก "โรคทางใจ" ที่ชื่อว่าพยาบาท --- มองความพยาบาทในฐานะ 'โรคทางใจ' พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบความโกรธเกลียดว่าเป็นโรคที่รุมเร้าจิตใจ ทำให้เกิดความหดหู่ เศร้าหมอง และไร้กำลังวังชา การยอมปล่อยวางความพยาบาทจึงเปรียบเสมือนการรักษาใจให้กลับมาสดชื่นและมีพลังอีกครั้ง --- อุบายฝึกใจให้อภัย 1. สังเกตใจที่ป่วย: เมื่อเราโกรธหรือผูกใจเจ็บ ให้สังเกตว่าใจของเรานั้นฟุ้งซ่าน ร้อนรน และไม่มีความสุข 2. เปรียบเทียบสุขและทุกข์: เมื่อยังยึดติดกับความพยาบาท ความร้อนเหมือนไข้จะครอบงำใจ แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นอภัย ความเย็นและความสุขจะเข้ามาแทนที่ 3. เจริญเมตตา: ฝึกมองคู่กรณีในฐานะเพื่อนร่วมทุกข์ ปรารถนาให้เขาไม่ต้องเป็นต้นเหตุแห่งความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น 4. ไม่จำเป็นต้องแกล้งดี: หากความสัมพันธ์ไม่สามารถฟื้นฟูได้ ให้ยุติความสัมพันธ์โดยไม่สร้างความเกลียดชังเพิ่มเติม การให้อภัยไม่ได้หมายถึงการกลับไปคบหากันเสมอไป --- อภัยไม่ได้แปลว่าไม่รักษาสิทธิ์ การให้อภัยในมุมพุทธศาสนาไม่ใช่การยอมละทิ้งความยุติธรรม เราสามารถเรียกร้องสิทธิ์หรือปกป้องความถูกต้องได้ โดยไม่ต้องยึดติดหรือเก็บความโกรธไว้ในใจ --- ผลลัพธ์ของการให้อภัย เมื่อจิตใจเย็นลงจากการให้อภัยจริง เราจะรู้สึกโปร่งโล่ง มีพลัง และเปี่ยมด้วยความสุขแบบที่อยากแบ่งปันให้ผู้อื่น ความสุขนี้จะสะท้อนผ่านสายตา น้ำเสียง และท่าที ทำให้ผู้คนที่พบเจอรู้สึกประทับใจในความสงบและความเมตตาของเรา ข้อคิดส่งท้าย: การให้อภัยไม่ใช่เพียงการปล่อยคนอื่นไป แต่คือการปล่อยตัวเองจากความทุกข์ และสร้างโลกในใจให้เย็นและเบาสบาย!
    0 Comments 0 Shares 370 Views 0 Reviews
  • https://www.youtube.com/watch?v=6ZsoYrzGq58
    บทสนทนาวันคริสต์มาส
    (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้)
    แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาวันคริสต์มาส
    มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ

    #บทสนทนาภาษาอังกฤษ #ฝึกฟังภาษาอังกฤษ #คริสต์มาส

    The conversations from the clip :

    Alice: Hi, Ben! Christmas is coming soon. Do you know much about the history of Santa Claus?
    Ben: Hey, Alice! A little bit. Santa Claus is based on Saint Nicholas, right?
    Alice: That’s right! He was a kind man who gave gifts to the poor, especially children.
    Ben: I heard he was a bishop from what is now Turkey. Is that true?
    Alice: Yes, exactly. Over time, his story spread to other countries, and he became a symbol of generosity.
    Ben: But how did Saint Nicholas turn into Santa Claus?
    Alice: The modern version of Santa came from Dutch settlers in America. They called him "Sinterklaas."
    Ben: Oh, so that’s where the name Santa Claus came from! What about his red suit?
    Alice: The red suit became popular in the 19th century, thanks to illustrations by Thomas Nast and later Coca-Cola ads.
    Ben: I see. And the reindeer and sleigh?
    Alice: Those came from a poem called A Visit from St. Nicholas, also known as 'Twas the Night Before Christmas.
    Ben: That’s fascinating! What about Christmas traditions?
    Alice: People exchange gifts, decorate Christmas trees, and sing carols. Each culture has unique traditions too.
    Ben: I love the idea of spreading joy and spending time with family during Christmas.
    Alice: Me too! It’s also a time to reflect on kindness and generosity, just like Saint Nicholas.
    Ben: Absolutely. By the way, have you decorated your house yet?
    Alice: Not yet, but I’m planning to this weekend.

    อลิซ: สวัสดี เบ็น! คริสต์มาสใกล้จะมาถึงแล้ว คุณรู้เรื่องประวัติของซานตาคลอสบ้างไหม?
    เบ็น: เฮ้ อลิซ! นิดหน่อยนะ ซานตาคลอสมีต้นแบบมาจากนักบุญนิโคลัส ใช่ไหม?
    อลิซ: ใช่เลย! เขาเป็นคนใจดีที่มอบของขวัญให้คนยากจน โดยเฉพาะเด็กๆ
    เบ็น: ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นบิชอปจากพื้นที่ที่ปัจจุบันคือประเทศตุรกี จริงหรือเปล่า?
    อลิซ: ใช่เลย ถูกต้อง! เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวของเขาก็แพร่กระจายไปยังประเทศอื่นๆ และเขาก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเอื้ออาทร
    เบ็น: แล้วนักบุญนิโคลัสกลายมาเป็นซานตาคลอสได้ยังไง?
    อลิซ: เวอร์ชันสมัยใหม่ของซานตามาจากผู้ตั้งถิ่นฐานชาวดัตช์ในอเมริกา พวกเขาเรียกเขาว่า "ซินเตอร์คลาส"
    เบ็น: โอ้ งั้นชื่อ "ซานตาคลอส" ก็มาจากตรงนี้นี่เอง! แล้วชุดสีแดงล่ะ?
    อลิซ: ชุดสีแดงกลายเป็นที่นิยมในศตวรรษที่ 19 จากภาพวาดของโธมัส แนสต์ และโฆษณาของโคคา-โคลาในภายหลัง
    เบ็น: เข้าใจแล้ว แล้วพวกกวางเรนเดียร์กับรถเลื่อนล่ะ?
    อลิซ: นั่นมาจากบทกวีชื่อ A Visit from St. Nicholas หรือที่รู้จักกันว่า 'Twas the Night Before Christmas
    เบ็น: น่าสนใจมาก! แล้วเกี่ยวกับประเพณีคริสต์มาสล่ะ?
    อลิซ: ผู้คนแลกเปลี่ยนของขวัญ ตกแต่งต้นคริสต์มาส และร้องเพลงคริสต์มาส แต่ละวัฒนธรรมก็มีประเพณีเฉพาะตัวด้วยนะ
    เบ็น: ฉันชอบความคิดในการแพร่กระจายความสุขและการใช้เวลาร่วมกับครอบครัวในช่วงคริสต์มาสมาก
    อลิซ: ฉันก็เหมือนกัน! นี่ก็เป็นเวลาที่จะคิดถึงความใจดีและความเอื้ออาทร เหมือนอย่างนักบุญนิโคลัส
    เบ็น: เห็นด้วยเลย แล้วบ้านคุณตกแต่งหรือยัง?
    อลิซ: ยังเลย แต่ฉันวางแผนจะทำสุดสัปดาห์นี้

    Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้)

    History (ฮิส-โท-รี) n. แปลว่า ประวัติศาสตร์
    Generosity (เจน-เนอ-รอส-ซิ-ที) n. แปลว่า ความเอื้อเฟื้อ
    Symbol (ซิม-เบิล) n. แปลว่า สัญลักษณ์
    Settlers (เซท-เลอร์ส) n. แปลว่า ผู้ตั้งถิ่นฐาน
    Illustrations (อิล-ลัส-เทร-ชั่นส์) n. แปลว่า ภาพประกอบ
    Advertisement (แอด-เวอร์-ไทซ์-เมินท์) n. แปลว่า โฆษณา
    Poem (โพ-เอม) n. แปลว่า บทกวี
    Traditions (ทรา-ดิ-ชั่นส์) n. แปลว่า ขนบธรรมเนียม
    Decorate (เดค-คะ-เรท) v. แปลว่า ตกแต่ง
    Reflect (รี-เฟล็คท์) v. แปลว่า สะท้อน
    Kindness (ไคน์-เนส) n. แปลว่า ความเมตตา
    Unique (ยู-นีค) adj. แปลว่า เป็นเอกลักษณ์
    Spread (สเปรด) v. แปลว่า แพร่กระจาย
    Joy (จอย) n. แปลว่า ความสุข
    Fascinating (แฟส-ซิ-เน-ทิง) adj. แปลว่า น่าหลงใหล
    https://www.youtube.com/watch?v=6ZsoYrzGq58 บทสนทนาวันคริสต์มาส (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้) แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาวันคริสต์มาส มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ #บทสนทนาภาษาอังกฤษ #ฝึกฟังภาษาอังกฤษ #คริสต์มาส The conversations from the clip : Alice: Hi, Ben! Christmas is coming soon. Do you know much about the history of Santa Claus? Ben: Hey, Alice! A little bit. Santa Claus is based on Saint Nicholas, right? Alice: That’s right! He was a kind man who gave gifts to the poor, especially children. Ben: I heard he was a bishop from what is now Turkey. Is that true? Alice: Yes, exactly. Over time, his story spread to other countries, and he became a symbol of generosity. Ben: But how did Saint Nicholas turn into Santa Claus? Alice: The modern version of Santa came from Dutch settlers in America. They called him "Sinterklaas." Ben: Oh, so that’s where the name Santa Claus came from! What about his red suit? Alice: The red suit became popular in the 19th century, thanks to illustrations by Thomas Nast and later Coca-Cola ads. Ben: I see. And the reindeer and sleigh? Alice: Those came from a poem called A Visit from St. Nicholas, also known as 'Twas the Night Before Christmas. Ben: That’s fascinating! What about Christmas traditions? Alice: People exchange gifts, decorate Christmas trees, and sing carols. Each culture has unique traditions too. Ben: I love the idea of spreading joy and spending time with family during Christmas. Alice: Me too! It’s also a time to reflect on kindness and generosity, just like Saint Nicholas. Ben: Absolutely. By the way, have you decorated your house yet? Alice: Not yet, but I’m planning to this weekend. อลิซ: สวัสดี เบ็น! คริสต์มาสใกล้จะมาถึงแล้ว คุณรู้เรื่องประวัติของซานตาคลอสบ้างไหม? เบ็น: เฮ้ อลิซ! นิดหน่อยนะ ซานตาคลอสมีต้นแบบมาจากนักบุญนิโคลัส ใช่ไหม? อลิซ: ใช่เลย! เขาเป็นคนใจดีที่มอบของขวัญให้คนยากจน โดยเฉพาะเด็กๆ เบ็น: ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นบิชอปจากพื้นที่ที่ปัจจุบันคือประเทศตุรกี จริงหรือเปล่า? อลิซ: ใช่เลย ถูกต้อง! เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวของเขาก็แพร่กระจายไปยังประเทศอื่นๆ และเขาก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเอื้ออาทร เบ็น: แล้วนักบุญนิโคลัสกลายมาเป็นซานตาคลอสได้ยังไง? อลิซ: เวอร์ชันสมัยใหม่ของซานตามาจากผู้ตั้งถิ่นฐานชาวดัตช์ในอเมริกา พวกเขาเรียกเขาว่า "ซินเตอร์คลาส" เบ็น: โอ้ งั้นชื่อ "ซานตาคลอส" ก็มาจากตรงนี้นี่เอง! แล้วชุดสีแดงล่ะ? อลิซ: ชุดสีแดงกลายเป็นที่นิยมในศตวรรษที่ 19 จากภาพวาดของโธมัส แนสต์ และโฆษณาของโคคา-โคลาในภายหลัง เบ็น: เข้าใจแล้ว แล้วพวกกวางเรนเดียร์กับรถเลื่อนล่ะ? อลิซ: นั่นมาจากบทกวีชื่อ A Visit from St. Nicholas หรือที่รู้จักกันว่า 'Twas the Night Before Christmas เบ็น: น่าสนใจมาก! แล้วเกี่ยวกับประเพณีคริสต์มาสล่ะ? อลิซ: ผู้คนแลกเปลี่ยนของขวัญ ตกแต่งต้นคริสต์มาส และร้องเพลงคริสต์มาส แต่ละวัฒนธรรมก็มีประเพณีเฉพาะตัวด้วยนะ เบ็น: ฉันชอบความคิดในการแพร่กระจายความสุขและการใช้เวลาร่วมกับครอบครัวในช่วงคริสต์มาสมาก อลิซ: ฉันก็เหมือนกัน! นี่ก็เป็นเวลาที่จะคิดถึงความใจดีและความเอื้ออาทร เหมือนอย่างนักบุญนิโคลัส เบ็น: เห็นด้วยเลย แล้วบ้านคุณตกแต่งหรือยัง? อลิซ: ยังเลย แต่ฉันวางแผนจะทำสุดสัปดาห์นี้ Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้) History (ฮิส-โท-รี) n. แปลว่า ประวัติศาสตร์ Generosity (เจน-เนอ-รอส-ซิ-ที) n. แปลว่า ความเอื้อเฟื้อ Symbol (ซิม-เบิล) n. แปลว่า สัญลักษณ์ Settlers (เซท-เลอร์ส) n. แปลว่า ผู้ตั้งถิ่นฐาน Illustrations (อิล-ลัส-เทร-ชั่นส์) n. แปลว่า ภาพประกอบ Advertisement (แอด-เวอร์-ไทซ์-เมินท์) n. แปลว่า โฆษณา Poem (โพ-เอม) n. แปลว่า บทกวี Traditions (ทรา-ดิ-ชั่นส์) n. แปลว่า ขนบธรรมเนียม Decorate (เดค-คะ-เรท) v. แปลว่า ตกแต่ง Reflect (รี-เฟล็คท์) v. แปลว่า สะท้อน Kindness (ไคน์-เนส) n. แปลว่า ความเมตตา Unique (ยู-นีค) adj. แปลว่า เป็นเอกลักษณ์ Spread (สเปรด) v. แปลว่า แพร่กระจาย Joy (จอย) n. แปลว่า ความสุข Fascinating (แฟส-ซิ-เน-ทิง) adj. แปลว่า น่าหลงใหล
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 677 Views 0 Reviews
  • หน้ากล้องระรื่นไลฟ์ท้าทายเก่งกล้า ไลฟ์จบทักกรรูมา ขอเคลีย ขอความเมตตา ทุ๊ย พี่คิงส์ไม่คุยกับคนซั่ว สุดซอย!
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    หน้ากล้องระรื่นไลฟ์ท้าทายเก่งกล้า ไลฟ์จบทักกรรูมา ขอเคลีย ขอความเมตตา ทุ๊ย พี่คิงส์ไม่คุยกับคนซั่ว สุดซอย! #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 340 Views 0 Reviews
  • ซีเรียแตกแล้ว และนี่คือแถลงการณ์จาก "รัฐบาลเปลี่ยนผ่านซีเรีย" (ผู้ปกครองใหม่ของซีเรีย):

    ลูกหลานซีเรียที่เป็นอิสระ

    หลังจากหลายปีของความอยุติธรรม การกดขี่ และหลังจากการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของลูกหลานในบ้านเกิดอันเป็นที่รักแห่งนี้ เราขอประกาศในวันนี้ต่อประชาชนซีเรียที่ยิ่งใหญ่และคนทั้งโลกว่าระบอบการปกครองของบาชาร์ อัลอัสซาดได้ล่มสลายลงแล้ว และเขาได้หลบหนีออกจากประเทศ โดยทิ้งมรดกแห่งความพินาศและความทุกข์ทรมานไว้เบื้องหลัง

    ในวันประวัติศาสตร์นี้ เราขอประกาศว่ากองกำลังของการปฏิวัติและฝ่ายต่อต้านได้เข้าควบคุมสถานการณ์ในซีเรียอันเป็นที่รักของเราแล้ว เราขอประกาศอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นของเราในการสร้างรัฐที่เสรี ยุติธรรม และเป็นประชาธิปไตย ซึ่งพลเมืองทุกคนเท่าเทียมกันและปราศจากการเลือกปฏิบัติใดๆ

    เราให้คำมั่นต่อพระเจ้าและต่อประชาชนว่า จะรักษาความสามัคคีและอำนาจอธิปไตยของดินแดนซีเรีย ปกป้องพลเมืองทุกคนและทรัพย์สินของพวกเขา ไม่ว่าจะสังกัดพรรคใดก็ตาม

    จะทำงานเพื่อสร้างรัฐและสถาบันต่างๆ ขึ้นมาใหม่ตามหลักการของเสรีภาพและความยุติธรรม

    จะมุ่งมั่นเพื่อการปรองดองระดับชาติอย่างครอบคลุมและให้แน่ใจว่าผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นจะกลับบ้านอย่างปลอดภัยและมีศักดิ์ศรี

    จะดำเนินคดีกับผู้ที่ก่ออาชญากรรมต่อชาวซีเรียทั้งหมดตามกฎหมายและความยุติธรรม

    เราเรียกร้องให้ชาวซีเรียสามัคคีและยืนหยัดร่วมกันในช่วงเวลาประวัติศาสตร์นี้ เราขอยืนยันว่าซีเรียใหม่จะไม่เป็นของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะเป็นบ้านเกิดของทุกคน

    ซีเรียที่เสรีและภาคภูมิใจจงเจริญ!
    และขอให้สันติภาพ ความเมตตา และพรจากอัลลอฮ์จงมีแด่ท่าน

    สภาการเปลี่ยนผ่านแห่งชาติ
    ดามัสกัส 8 ธันวาคม 2024
    ซีเรียแตกแล้ว และนี่คือแถลงการณ์จาก "รัฐบาลเปลี่ยนผ่านซีเรีย" (ผู้ปกครองใหม่ของซีเรีย): ลูกหลานซีเรียที่เป็นอิสระ หลังจากหลายปีของความอยุติธรรม การกดขี่ และหลังจากการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของลูกหลานในบ้านเกิดอันเป็นที่รักแห่งนี้ เราขอประกาศในวันนี้ต่อประชาชนซีเรียที่ยิ่งใหญ่และคนทั้งโลกว่าระบอบการปกครองของบาชาร์ อัลอัสซาดได้ล่มสลายลงแล้ว และเขาได้หลบหนีออกจากประเทศ โดยทิ้งมรดกแห่งความพินาศและความทุกข์ทรมานไว้เบื้องหลัง ในวันประวัติศาสตร์นี้ เราขอประกาศว่ากองกำลังของการปฏิวัติและฝ่ายต่อต้านได้เข้าควบคุมสถานการณ์ในซีเรียอันเป็นที่รักของเราแล้ว เราขอประกาศอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นของเราในการสร้างรัฐที่เสรี ยุติธรรม และเป็นประชาธิปไตย ซึ่งพลเมืองทุกคนเท่าเทียมกันและปราศจากการเลือกปฏิบัติใดๆ เราให้คำมั่นต่อพระเจ้าและต่อประชาชนว่า จะรักษาความสามัคคีและอำนาจอธิปไตยของดินแดนซีเรีย ปกป้องพลเมืองทุกคนและทรัพย์สินของพวกเขา ไม่ว่าจะสังกัดพรรคใดก็ตาม จะทำงานเพื่อสร้างรัฐและสถาบันต่างๆ ขึ้นมาใหม่ตามหลักการของเสรีภาพและความยุติธรรม จะมุ่งมั่นเพื่อการปรองดองระดับชาติอย่างครอบคลุมและให้แน่ใจว่าผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นจะกลับบ้านอย่างปลอดภัยและมีศักดิ์ศรี จะดำเนินคดีกับผู้ที่ก่ออาชญากรรมต่อชาวซีเรียทั้งหมดตามกฎหมายและความยุติธรรม เราเรียกร้องให้ชาวซีเรียสามัคคีและยืนหยัดร่วมกันในช่วงเวลาประวัติศาสตร์นี้ เราขอยืนยันว่าซีเรียใหม่จะไม่เป็นของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะเป็นบ้านเกิดของทุกคน ซีเรียที่เสรีและภาคภูมิใจจงเจริญ! และขอให้สันติภาพ ความเมตตา และพรจากอัลลอฮ์จงมีแด่ท่าน สภาการเปลี่ยนผ่านแห่งชาติ ดามัสกัส 8 ธันวาคม 2024
    0 Comments 0 Shares 336 Views 0 Reviews
  • เมืองฮามาของซีเรียแตกแล้ว ตกอยู่ในการควบคุมของกลุ่มกบฏซีเรียเรียบร้อย! กองทัพซีเรียถอนทหารออกจากเมืองแล้ว

    ทางด้าน จูลานี ผู้นำกลุ่มกบฏซีเรีย HTS ประกาศข่าวถึงชาวเมืองฮามาว่า:
    "ข้าพเจ้าขอแจ้งแก่ท่านว่าพี่น้องของท่านได้เริ่มเข้าไปในเมืองฮามาเพื่อชำระล้างบาดแผลที่กินเวลานานถึง 40 ปี ข้าพเจ้าขอรับรองว่าการเข้าสู่เมืองครั้งนี้จะปราศจากการแก้แค้นและเต็มไปด้วยความเมตตา"
    เมืองฮามาของซีเรียแตกแล้ว ตกอยู่ในการควบคุมของกลุ่มกบฏซีเรียเรียบร้อย! กองทัพซีเรียถอนทหารออกจากเมืองแล้ว ทางด้าน จูลานี ผู้นำกลุ่มกบฏซีเรีย HTS ประกาศข่าวถึงชาวเมืองฮามาว่า: "ข้าพเจ้าขอแจ้งแก่ท่านว่าพี่น้องของท่านได้เริ่มเข้าไปในเมืองฮามาเพื่อชำระล้างบาดแผลที่กินเวลานานถึง 40 ปี ข้าพเจ้าขอรับรองว่าการเข้าสู่เมืองครั้งนี้จะปราศจากการแก้แค้นและเต็มไปด้วยความเมตตา"
    0 Comments 0 Shares 206 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีไบเดนอภัยโทษลูกชาย ฮันเตอร์ ไบเดน“การอภัยโทษอย่างสมบูรณ์และไม่มีเงื่อนไข” เกิดขึ้นไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ประธานาธิบดีไบเดนจะออกจากตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ทั้งๆที่ โฆษกของประธานาธิบดีปฏิเสธมานานหลายเดือนว่าไบเดนไม่มีเจตนาที่จะอภัยโทษให้ลูกชายของเขาประธานาธิบดีไบเดนออกคำสั่งอภัยโทษอย่างสมบูรณ์และไม่มีเงื่อนไขแก่ฮันเตอร์ บุตรชายของเขาเมื่อคืนวันอาทิตย์ หลังจากที่เขายืนกรานซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาจะไม่ทำเช่นนั้น โดยใช้พลังอำนาจของตำแหน่งของตนปัดเป่าปัญหาทางกฎหมายที่สะสมมาหลายปี รวมทั้งการถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญาในข้อหาซื้อปืนผิดกฎหมายและการหลีกเลี่ยงภาษีในแถลงการณ์ที่ออกโดยทำเนียบขาว นายไบเดนกล่าวว่าเขาได้ตัดสินใจที่จะออกพระราชกฤษฎีกาผ่อนผันโทษแก่บุตรชายของเขา "สำหรับความผิดต่อสหรัฐอเมริกาที่เขาได้ก่อขึ้นหรืออาจก่อขึ้นหรือมีส่วนร่วมในช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2014 ถึง 1 ธันวาคม 2024"เขากล่าวว่าเขาตัดสินใจเช่นนี้เพราะข้อกล่าวหาต่อฮันเตอร์มีแรงจูงใจทางการเมืองและออกแบบมาเพื่อทำร้ายเขาทางการเมือง“ข้อกล่าวหาในคดีของเขาเกิดขึ้นหลังจากที่คู่แข่งทางการเมืองหลายคนในสภาคองเกรสยุยงให้พวกเขาโจมตีฉันและต่อต้านการเลือกตั้งของฉัน” นายไบเดนกล่าวในแถลงการณ์ “ไม่มีบุคคลที่มีเหตุผลคนใดที่มองข้อเท็จจริงในคดีของฮันเตอร์แล้วสามารถสรุปอะไรได้อีกนอกจากว่าฮันเตอร์ถูกเลือกเพียงเพราะเขาเป็นลูกชายของฉันเท่านั้น ซึ่งนั่นไม่ถูกต้อง”เขากล่าวเสริมว่า “มีการพยายามทำลายฮันเตอร์ ซึ่งเลิกเหล้ามาได้ห้าปีครึ่งแล้ว แม้จะต้องเผชิญกับการโจมตีอย่างต่อเนื่องและการดำเนินคดีที่เลือกปฏิบัติ ในความพยายามที่จะทำลายฮันเตอร์ พวกเขาพยายามทำลายฉัน และไม่มีเหตุผลใดที่จะเชื่อว่ามันจะหยุดอยู่แค่ตรงนี้ พอแล้ว”นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและทำงานมาเป็นเวลากว่า 5 ทศวรรษ โดยยึดมั่นในแนวคิดที่ว่าเขาจะไม่ก้าวก่ายการบริหารงานยุติธรรม ในปี 2020 เขาเสนอให้ปลดอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ออกจากตำแหน่งเพื่อฟื้นฟูความเป็นอิสระดังกล่าวในระบอบประชาธิปไตยของอเมริกา และเขาได้โต้แย้งในประเด็นเดียวกันนี้ในปี 2024อย่างไรก็ตาม ในแถลงการณ์ นายไบเดนพยายามหาเหตุผลสนับสนุนการแทรกแซง โดยกล่าวหาว่าศัตรูทางการเมืองของเขาพยายามดำเนินคดีกับลูกชายของเขาด้วยวิธีที่คนอื่นจะไม่ทำ นายไบเดนกล่าวว่าเขายังคงเชื่อมั่นในระบบยุติธรรม แต่กล่าวเสริมว่า “ผมเชื่อว่าการเมืองที่โหดร้ายได้ส่งผลต่อกระบวนการนี้ และนำไปสู่กระบวนการยุติธรรมที่ผิดพลาด และเมื่อผมตัดสินใจเรื่องนี้ในสุดสัปดาห์นี้ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเลื่อนการตัดสินใจนี้ต่อไปอีก”อันที่จริง การประกาศของประธานาธิบดีมีขึ้นในเวลาเดียวกับที่นายทรัมป์ทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิมว่าการดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของเขาจะมุ่งเน้นไปที่การแก้แค้นนายไบเดน โดยมีฮันเตอร์ ไบเดนเป็นเป้าหมายหลัก ประธานาธิบดีคนใหม่กล่าวเมื่อวันเสาร์ว่าเขาจะแต่งตั้งคาช ปาเทล ผู้ภักดีที่ประกาศจะไล่ล่าศัตรูของนายทรัมป์เป็นผู้อำนวยการเอฟบีไอในแถลงการณ์ของเขา นายไบเดนกล่าวว่า “ผมหวังว่าคนอเมริกันจะเข้าใจว่าทำไมพ่อและประธานาธิบดีจึงตัดสินใจเช่นนี้”หลังจากที่นายไบเดนประกาศการอภัยโทษ ฮันเตอร์ ไบเดน ก็ได้ออกแถลงการณ์ของตัวเอง“ผมยอมรับและรับผิดชอบต่อความผิดพลาดของตัวเองในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของการติดยา ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่นำมาใช้เพื่อทำให้ผมและครอบครัวต้องอับอายต่อหน้าธารกำนัลเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง” เขากล่าว “ผมจะไม่มองข้ามความเมตตาที่ได้มาในวันนี้ และจะอุทิศชีวิตที่ผมสร้างขึ้นใหม่เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ยังคงเจ็บป่วยและทุกข์ทรมาน”
    ประธานาธิบดีไบเดนอภัยโทษลูกชาย ฮันเตอร์ ไบเดน“การอภัยโทษอย่างสมบูรณ์และไม่มีเงื่อนไข” เกิดขึ้นไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ประธานาธิบดีไบเดนจะออกจากตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ทั้งๆที่ โฆษกของประธานาธิบดีปฏิเสธมานานหลายเดือนว่าไบเดนไม่มีเจตนาที่จะอภัยโทษให้ลูกชายของเขาประธานาธิบดีไบเดนออกคำสั่งอภัยโทษอย่างสมบูรณ์และไม่มีเงื่อนไขแก่ฮันเตอร์ บุตรชายของเขาเมื่อคืนวันอาทิตย์ หลังจากที่เขายืนกรานซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาจะไม่ทำเช่นนั้น โดยใช้พลังอำนาจของตำแหน่งของตนปัดเป่าปัญหาทางกฎหมายที่สะสมมาหลายปี รวมทั้งการถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญาในข้อหาซื้อปืนผิดกฎหมายและการหลีกเลี่ยงภาษีในแถลงการณ์ที่ออกโดยทำเนียบขาว นายไบเดนกล่าวว่าเขาได้ตัดสินใจที่จะออกพระราชกฤษฎีกาผ่อนผันโทษแก่บุตรชายของเขา "สำหรับความผิดต่อสหรัฐอเมริกาที่เขาได้ก่อขึ้นหรืออาจก่อขึ้นหรือมีส่วนร่วมในช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2014 ถึง 1 ธันวาคม 2024"เขากล่าวว่าเขาตัดสินใจเช่นนี้เพราะข้อกล่าวหาต่อฮันเตอร์มีแรงจูงใจทางการเมืองและออกแบบมาเพื่อทำร้ายเขาทางการเมือง“ข้อกล่าวหาในคดีของเขาเกิดขึ้นหลังจากที่คู่แข่งทางการเมืองหลายคนในสภาคองเกรสยุยงให้พวกเขาโจมตีฉันและต่อต้านการเลือกตั้งของฉัน” นายไบเดนกล่าวในแถลงการณ์ “ไม่มีบุคคลที่มีเหตุผลคนใดที่มองข้อเท็จจริงในคดีของฮันเตอร์แล้วสามารถสรุปอะไรได้อีกนอกจากว่าฮันเตอร์ถูกเลือกเพียงเพราะเขาเป็นลูกชายของฉันเท่านั้น ซึ่งนั่นไม่ถูกต้อง”เขากล่าวเสริมว่า “มีการพยายามทำลายฮันเตอร์ ซึ่งเลิกเหล้ามาได้ห้าปีครึ่งแล้ว แม้จะต้องเผชิญกับการโจมตีอย่างต่อเนื่องและการดำเนินคดีที่เลือกปฏิบัติ ในความพยายามที่จะทำลายฮันเตอร์ พวกเขาพยายามทำลายฉัน และไม่มีเหตุผลใดที่จะเชื่อว่ามันจะหยุดอยู่แค่ตรงนี้ พอแล้ว”นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและทำงานมาเป็นเวลากว่า 5 ทศวรรษ โดยยึดมั่นในแนวคิดที่ว่าเขาจะไม่ก้าวก่ายการบริหารงานยุติธรรม ในปี 2020 เขาเสนอให้ปลดอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ออกจากตำแหน่งเพื่อฟื้นฟูความเป็นอิสระดังกล่าวในระบอบประชาธิปไตยของอเมริกา และเขาได้โต้แย้งในประเด็นเดียวกันนี้ในปี 2024อย่างไรก็ตาม ในแถลงการณ์ นายไบเดนพยายามหาเหตุผลสนับสนุนการแทรกแซง โดยกล่าวหาว่าศัตรูทางการเมืองของเขาพยายามดำเนินคดีกับลูกชายของเขาด้วยวิธีที่คนอื่นจะไม่ทำ นายไบเดนกล่าวว่าเขายังคงเชื่อมั่นในระบบยุติธรรม แต่กล่าวเสริมว่า “ผมเชื่อว่าการเมืองที่โหดร้ายได้ส่งผลต่อกระบวนการนี้ และนำไปสู่กระบวนการยุติธรรมที่ผิดพลาด และเมื่อผมตัดสินใจเรื่องนี้ในสุดสัปดาห์นี้ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเลื่อนการตัดสินใจนี้ต่อไปอีก”อันที่จริง การประกาศของประธานาธิบดีมีขึ้นในเวลาเดียวกับที่นายทรัมป์ทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิมว่าการดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของเขาจะมุ่งเน้นไปที่การแก้แค้นนายไบเดน โดยมีฮันเตอร์ ไบเดนเป็นเป้าหมายหลัก ประธานาธิบดีคนใหม่กล่าวเมื่อวันเสาร์ว่าเขาจะแต่งตั้งคาช ปาเทล ผู้ภักดีที่ประกาศจะไล่ล่าศัตรูของนายทรัมป์เป็นผู้อำนวยการเอฟบีไอในแถลงการณ์ของเขา นายไบเดนกล่าวว่า “ผมหวังว่าคนอเมริกันจะเข้าใจว่าทำไมพ่อและประธานาธิบดีจึงตัดสินใจเช่นนี้”หลังจากที่นายไบเดนประกาศการอภัยโทษ ฮันเตอร์ ไบเดน ก็ได้ออกแถลงการณ์ของตัวเอง“ผมยอมรับและรับผิดชอบต่อความผิดพลาดของตัวเองในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของการติดยา ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่นำมาใช้เพื่อทำให้ผมและครอบครัวต้องอับอายต่อหน้าธารกำนัลเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง” เขากล่าว “ผมจะไม่มองข้ามความเมตตาที่ได้มาในวันนี้ และจะอุทิศชีวิตที่ผมสร้างขึ้นใหม่เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ยังคงเจ็บป่วยและทุกข์ทรมาน”
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 389 Views 0 Reviews
  • #นิทานคิงส์ยามเช้า
    อรุณสแวส เอ้ย อรุณสวัสยามเช้า มิตรรักแฟนเพจคิงส์
    วันนี้ พี่คิงส์มีนิทานสอนใจ ที่อยากมาเล่าให้คติ และสติสอนใจ
    เป็นเรื่องของคนผู้เป็นท็อกสิค ที่ปะปนและปกปิดอย่างแนบเนียน
    เป็นคนประเภทต้องห้ามที่ไม่ควรเอาไว้ใกล้ตัว
    มิเช่นนั้น ความบันเทิงจะเกิด
    - กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้
    มีแม่มดตนหนึ่ง หน้าเหมือนปู ซึ่งพี่คิงส์จิเรียกตัวละครนี้ว่า อิปู นะคับนะ
    ไม่มีความเกี่ยวข้องกับใครในโลกแห่งความจริง เป็นเพียงตัวละคนในนิทาน
    - อิปู เดิมทีก็กักเก็บความซั่วได้อย่างดี เรียกว่าตบตาคนได้ทั้งแคว้น เดิมทีปูเป็นคนโนเนม แต่เป็นคนที่ทะเยอทะยานสูง อยากเป็นคนดัง อยากเป็นคนมีชื่อเสียง จึงใช้วิธีในการรับเป็นผู้ดูแลจอมยุทธ และแม่นางทั่วยุทธภพ
    - เดิมที อาชีพดูแลจอมยุทธและแม่นาง ไม่ได้ผิด ผิดที่อิปู หรือแม่มดหน้าปู แอบซ่อนเร้นความอิจฉาไว้ในใจ จึงรอเพียงโอกาสที่จะได้เฉิดฉาย
    - และในที่สุด ก็ได้เข้ามาแทรกในครอบครัวจอมยุทธท่านหนึ่ง ชื่อชีลา ที่เป็นที่หมายปองของบรรดาแม่นางมากมายในแว่นแคว้นนี้ อิปู ก็ดูเหมือนทำหน้าที่ได้อย่างดีมาหลายปี ได้รับความรักความเมตตาจากทั้งมารดาจอมยุช ชีลา เป็นอย่างดี รวมถึงพี่ๆน้องจอมยุทธ์ทั้ง 4 ด้วยเช่นเดียวกัน
    - แต่ในขณะที่ทุกอย่างดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร จอมยุทธชีลา ไปพบรักกับแม่นาง นางหนึ่ง ที่อยู่ต่างแคว้าน และแม่นางดังกล่าว ขอเรียกชื่อแทนว่า แม่นางเหม็น ซึ่งเราไม่อธิบายถึงรายละเอียดของที่มาของชื่อนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลานักท่องนิทาน
    - อิปู ได้เห็นกิจกรรมหนึ่งที่จอมยุทธ์ชีลา และแม่นางเหม็น ทำด้วยกันนั่นคือ กิจกรรม เพคีย์ ซึ่งสามารถกวาดทรัพย์กวาดตำลึงทองจากชาวบ้านได้มากโข แต่ยอมยุทธ์ชีลา เล็งเห็นว่า การทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการใช้ความรักความไว้วางใจความนิยมของชาวแคว้น มาสร้างประโยชน์ให้ตนเองมากเกินไป จึงออกเตือนชาวแคว้นว่า อย่าเปย์ขนาดนั้น และเตือนแม่นางเหม็นว่า อย่าเยอะเกินไป สงสารชาวแคว้น ก็ถือว่าเป็นแนวคิดที่แตกต่างกัน
    - และนี่แหละ คือปมที่แม่มดหน้าปู เล็งเห็นแล้วว่า ได้เวลาที่จะเริ่มแผนการ โดยการทำตัวเป็นสายให้กับป้านางหนึ่ง ที่ชอบอ้างตัวว่าเป็นพี่สาวของแม่นางเหม็น การพบกันของแม่มดหน้าปูกับนังป้าถือเป็นนรกลิขิตให้มาเจอจริงๆ
    - ซึ่งแม่มดหน้าปู มักจะใช้วิชาด้านมารในการปล่อยของมูลที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกไม่ดีกับจอมยุทธิ์ชีลามาตลอดโดยที่จอมยุทธ์และครอบครัวเองก็ไม่รู้ตัว
    - ซึ่งขณะที่นังแม่มดดูแลจอมยุทธ์ ก็ยังรับดูแลแม่นางอีกหลายคน ซึ่งแม่นางเหล่านั้น ล้วนได้รับสารที่เป็นเชิงลบ ที่แต่งแต้มจากนังแม่มดหน้าปูทั้งสิ้น ชนิดที่ว่า แม้กระทั่งแม่นางที่เคยร่วมยุทธภพกันมาตั้งแต่เด็ก ก็ยังรู้สึกตีตัวออกห่างจอมยุทธชีลา ซึ่งจอมยุทธ์เองก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ว่ามีมารยาวิชาด้านมาร ได้กระทำการเหมือนกับเป็นปลวกที่กัดเซาะชื่อเสียงของตนอยู่ตลอดระยะเวลาหลายปี
    - และเมื่อถึงวันที่จอมยุทธิ์ กับแม่นางเหม็น ได้เลิกรากันไป นังแม่มดคือสารตั้งต้นชั้นดี ที่มีการสร้างข่าวไม่ดีเกี่ยวกับจอมยุทธิ์ขึ้นในแคว้น แต่นังแม่มดหน้าปู กลับไม่เคยออกตัวในการปกป้องชื่อเสียงตามหน้าที่ ทั้งๆที่ได้รับการดูแลจากจอมยุทธ์และครอบครัวมาอย่างดี ช่างเนรคุณ แต่เมื่อใดที่มีข่าวเชิงลบของแม่นางเหม็น นังแม่มดหน้าปูจะรีบออกตัวหาข้อมูลเหมือนสุนัขขี้ประจบนาย ออกมาแถลงทันที
    - ในช่วงเวลาชุลมุนนั้น สังเกตุได้ว่า มักจะมีข่าวหลุดแปลกๆในบ้านของจอมยุทธ ออกมาเรื่อยๆ ซึ่งข่าวที่ออกมา คือการปั้นแต่งเรื่องราวให้เกิดความเสียหายที่มาจากนังแม่มดหน้าปูนี่แหละ เมื่อป้าจิตเปื่อยรับรู้ ด้วยความอคติจากที่ชีวิตตนเองถูกผัว ผัว เทมา ก็เหมือนจะชัง ผช ทั้งโลก และอยากให้แม่นางเหม็นที่ตนรักมีชีวิตรันทดเหมือนตน จึงนำข้อมูลที่เป็นกากจากแม่มดหน้าปู เอาไปปั่นให้คนเกิดความแตกแยกกันเป็นสองฝั่งทันที ทั้งๆที่ ต่างคน ต่างไป ไม่ควรมีปัญหาใดๆเลย
    - โดยในกลุ่มที่คอยเซาะกร่อนลดทอนชื่อเสียงของจอมยุทธ์ จะมีหลายตัว เริ่มสารตั้งต้นคือ แม่มดหน้าปู นังพึ่ง(ชื่อเต็มพึ่งพา) และนังไพ่ สองพี่น้องที่เป็นผู้ร้ายถ้าในปัจจุบันเราจะเรียกว่ามิจ และป้าเปื่อยจิต แต่จริงๆแล้ว แต่ละตัวก็แอบฟาดฟันกันไม่ได้มีความจริงใจต่อกันหรอก แสวงหาผลประโยชน์ในรูปแบบที่ตัวเองต้องการ โดยแม้กระทั่้งแม่นางเหม็นเองก็ไม่รู้หรอกว่า ไม่ใช่แค่จอมยุทธชีลา ที่เป็นเหยี่อ ตัวนางเหม็นเองก็เช่นกัน
    - แต่ที่น่าเสียใจ แต่ห้ามอะไรไม่ได้ก็คือ พี่สาวทั้ง 4 ของจอมยุทธ์เอง ก็ใกล้ชิดกับนังแม่มดปูมากเกินไป จนเกิดความหลงเชื่อนังแม่มดโดยลืมไปว่าที่ผ่านมา น้องชายคือจอมยุทธชีลาต้องเจออะไรบ้างที่ผ่านมา และยังคงหลับตาไม่เชื่อว่า แม่มดปู คือตัวละครตัวร้ายตัวสำคัญ กลับไปร่วมงานร่วมกิจกรรมกันสนุกสนาน สร้างความงุนงงกับชาวเมืองชาวแคว้นอย่างมาก
    - ท่านที่ติดตามนิทานมาถึงตอนนี้ พี่คิงส์ก็อยากจะบอกคนในยุทธภพว่า อย่าไปต่อว่าพี่ๆของจอมยุทธ์เลย เพราะหลายๆคนในแคว้น ก็โดนต้มมาหลายปี เพิ่งจะรู้กันแล้วไฉน พี่ทั้งสี่ของจอมยุทธ์ จะหลงบ้างไม่ได้ ก็ต้องให้เวลาได้พิสูจน์ ว่าคนไหน คือตัวละครตัวร้ายที่ใกล้ตัวที่แท้จริง และแม่มดหน้าปู คือตัวกา ลา กี นี ของแทร่ ใกล้ใคร อิ๊บหายทุกตัว
    - ก็อย่างที่เล่าตั้งแต่ต้นว่า นังแม่มดหน้าปูนี้ ฝันอยากเด่นอยากดัง จริงๆแล้วนางอยากเป็นแม่นางที่ได้รับความนิยมเหมือนแม่นางเหม็นนี่แหละ และเคยไปขอเป็นผู้ดูแลแม่นางเหม็นตอนเลิกกับจอมยุทธิ์ชีลาใหม่ๆ แต่เค้าไม่เอา ตอนนี้ ด้วยความที่อยากมีแสงแต่ตัวเองเป็นแค่ดาวเคราะแคระ จึงต้องดึงพี่ทั้งสี่จอมยุทธ์มาเป็นเครื่องมือ หวังว่าสะสมคนนิยมได้เพียงพอ ค่อยถีบหัวส่งทีหลัง
    - และคนที่ยืนเคียงข้างจอมยุทธ์ชีลาเสมอ คือคุณแม่ของจอมยุทธ์นั่นเอง
    เป็นอย่างไรบ้าง นิทานพี่คิงส์เช้านี้สนุกมั๊ย
    ย้ำอีกทีว่าเป็นแค่นิทาน อย่านำไปโยง ตัวละครไม่มีความเกี่ยวข้องกับคนจริงๆคนใด สร้างมาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    #นิทานคิงส์ยามเช้า อรุณสแวส เอ้ย อรุณสวัสยามเช้า มิตรรักแฟนเพจคิงส์ วันนี้ พี่คิงส์มีนิทานสอนใจ ที่อยากมาเล่าให้คติ และสติสอนใจ เป็นเรื่องของคนผู้เป็นท็อกสิค ที่ปะปนและปกปิดอย่างแนบเนียน เป็นคนประเภทต้องห้ามที่ไม่ควรเอาไว้ใกล้ตัว มิเช่นนั้น ความบันเทิงจะเกิด - กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ มีแม่มดตนหนึ่ง หน้าเหมือนปู ซึ่งพี่คิงส์จิเรียกตัวละครนี้ว่า อิปู นะคับนะ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับใครในโลกแห่งความจริง เป็นเพียงตัวละคนในนิทาน - อิปู เดิมทีก็กักเก็บความซั่วได้อย่างดี เรียกว่าตบตาคนได้ทั้งแคว้น เดิมทีปูเป็นคนโนเนม แต่เป็นคนที่ทะเยอทะยานสูง อยากเป็นคนดัง อยากเป็นคนมีชื่อเสียง จึงใช้วิธีในการรับเป็นผู้ดูแลจอมยุทธ และแม่นางทั่วยุทธภพ - เดิมที อาชีพดูแลจอมยุทธและแม่นาง ไม่ได้ผิด ผิดที่อิปู หรือแม่มดหน้าปู แอบซ่อนเร้นความอิจฉาไว้ในใจ จึงรอเพียงโอกาสที่จะได้เฉิดฉาย - และในที่สุด ก็ได้เข้ามาแทรกในครอบครัวจอมยุทธท่านหนึ่ง ชื่อชีลา ที่เป็นที่หมายปองของบรรดาแม่นางมากมายในแว่นแคว้นนี้ อิปู ก็ดูเหมือนทำหน้าที่ได้อย่างดีมาหลายปี ได้รับความรักความเมตตาจากทั้งมารดาจอมยุช ชีลา เป็นอย่างดี รวมถึงพี่ๆน้องจอมยุทธ์ทั้ง 4 ด้วยเช่นเดียวกัน - แต่ในขณะที่ทุกอย่างดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร จอมยุทธชีลา ไปพบรักกับแม่นาง นางหนึ่ง ที่อยู่ต่างแคว้าน และแม่นางดังกล่าว ขอเรียกชื่อแทนว่า แม่นางเหม็น ซึ่งเราไม่อธิบายถึงรายละเอียดของที่มาของชื่อนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลานักท่องนิทาน - อิปู ได้เห็นกิจกรรมหนึ่งที่จอมยุทธ์ชีลา และแม่นางเหม็น ทำด้วยกันนั่นคือ กิจกรรม เพคีย์ ซึ่งสามารถกวาดทรัพย์กวาดตำลึงทองจากชาวบ้านได้มากโข แต่ยอมยุทธ์ชีลา เล็งเห็นว่า การทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการใช้ความรักความไว้วางใจความนิยมของชาวแคว้น มาสร้างประโยชน์ให้ตนเองมากเกินไป จึงออกเตือนชาวแคว้นว่า อย่าเปย์ขนาดนั้น และเตือนแม่นางเหม็นว่า อย่าเยอะเกินไป สงสารชาวแคว้น ก็ถือว่าเป็นแนวคิดที่แตกต่างกัน - และนี่แหละ คือปมที่แม่มดหน้าปู เล็งเห็นแล้วว่า ได้เวลาที่จะเริ่มแผนการ โดยการทำตัวเป็นสายให้กับป้านางหนึ่ง ที่ชอบอ้างตัวว่าเป็นพี่สาวของแม่นางเหม็น การพบกันของแม่มดหน้าปูกับนังป้าถือเป็นนรกลิขิตให้มาเจอจริงๆ - ซึ่งแม่มดหน้าปู มักจะใช้วิชาด้านมารในการปล่อยของมูลที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกไม่ดีกับจอมยุทธิ์ชีลามาตลอดโดยที่จอมยุทธ์และครอบครัวเองก็ไม่รู้ตัว - ซึ่งขณะที่นังแม่มดดูแลจอมยุทธ์ ก็ยังรับดูแลแม่นางอีกหลายคน ซึ่งแม่นางเหล่านั้น ล้วนได้รับสารที่เป็นเชิงลบ ที่แต่งแต้มจากนังแม่มดหน้าปูทั้งสิ้น ชนิดที่ว่า แม้กระทั่งแม่นางที่เคยร่วมยุทธภพกันมาตั้งแต่เด็ก ก็ยังรู้สึกตีตัวออกห่างจอมยุทธชีลา ซึ่งจอมยุทธ์เองก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ว่ามีมารยาวิชาด้านมาร ได้กระทำการเหมือนกับเป็นปลวกที่กัดเซาะชื่อเสียงของตนอยู่ตลอดระยะเวลาหลายปี - และเมื่อถึงวันที่จอมยุทธิ์ กับแม่นางเหม็น ได้เลิกรากันไป นังแม่มดคือสารตั้งต้นชั้นดี ที่มีการสร้างข่าวไม่ดีเกี่ยวกับจอมยุทธิ์ขึ้นในแคว้น แต่นังแม่มดหน้าปู กลับไม่เคยออกตัวในการปกป้องชื่อเสียงตามหน้าที่ ทั้งๆที่ได้รับการดูแลจากจอมยุทธ์และครอบครัวมาอย่างดี ช่างเนรคุณ แต่เมื่อใดที่มีข่าวเชิงลบของแม่นางเหม็น นังแม่มดหน้าปูจะรีบออกตัวหาข้อมูลเหมือนสุนัขขี้ประจบนาย ออกมาแถลงทันที - ในช่วงเวลาชุลมุนนั้น สังเกตุได้ว่า มักจะมีข่าวหลุดแปลกๆในบ้านของจอมยุทธ ออกมาเรื่อยๆ ซึ่งข่าวที่ออกมา คือการปั้นแต่งเรื่องราวให้เกิดความเสียหายที่มาจากนังแม่มดหน้าปูนี่แหละ เมื่อป้าจิตเปื่อยรับรู้ ด้วยความอคติจากที่ชีวิตตนเองถูกผัว ผัว เทมา ก็เหมือนจะชัง ผช ทั้งโลก และอยากให้แม่นางเหม็นที่ตนรักมีชีวิตรันทดเหมือนตน จึงนำข้อมูลที่เป็นกากจากแม่มดหน้าปู เอาไปปั่นให้คนเกิดความแตกแยกกันเป็นสองฝั่งทันที ทั้งๆที่ ต่างคน ต่างไป ไม่ควรมีปัญหาใดๆเลย - โดยในกลุ่มที่คอยเซาะกร่อนลดทอนชื่อเสียงของจอมยุทธ์ จะมีหลายตัว เริ่มสารตั้งต้นคือ แม่มดหน้าปู นังพึ่ง(ชื่อเต็มพึ่งพา) และนังไพ่ สองพี่น้องที่เป็นผู้ร้ายถ้าในปัจจุบันเราจะเรียกว่ามิจ และป้าเปื่อยจิต แต่จริงๆแล้ว แต่ละตัวก็แอบฟาดฟันกันไม่ได้มีความจริงใจต่อกันหรอก แสวงหาผลประโยชน์ในรูปแบบที่ตัวเองต้องการ โดยแม้กระทั่้งแม่นางเหม็นเองก็ไม่รู้หรอกว่า ไม่ใช่แค่จอมยุทธชีลา ที่เป็นเหยี่อ ตัวนางเหม็นเองก็เช่นกัน - แต่ที่น่าเสียใจ แต่ห้ามอะไรไม่ได้ก็คือ พี่สาวทั้ง 4 ของจอมยุทธ์เอง ก็ใกล้ชิดกับนังแม่มดปูมากเกินไป จนเกิดความหลงเชื่อนังแม่มดโดยลืมไปว่าที่ผ่านมา น้องชายคือจอมยุทธชีลาต้องเจออะไรบ้างที่ผ่านมา และยังคงหลับตาไม่เชื่อว่า แม่มดปู คือตัวละครตัวร้ายตัวสำคัญ กลับไปร่วมงานร่วมกิจกรรมกันสนุกสนาน สร้างความงุนงงกับชาวเมืองชาวแคว้นอย่างมาก - ท่านที่ติดตามนิทานมาถึงตอนนี้ พี่คิงส์ก็อยากจะบอกคนในยุทธภพว่า อย่าไปต่อว่าพี่ๆของจอมยุทธ์เลย เพราะหลายๆคนในแคว้น ก็โดนต้มมาหลายปี เพิ่งจะรู้กันแล้วไฉน พี่ทั้งสี่ของจอมยุทธ์ จะหลงบ้างไม่ได้ ก็ต้องให้เวลาได้พิสูจน์ ว่าคนไหน คือตัวละครตัวร้ายที่ใกล้ตัวที่แท้จริง และแม่มดหน้าปู คือตัวกา ลา กี นี ของแทร่ ใกล้ใคร อิ๊บหายทุกตัว - ก็อย่างที่เล่าตั้งแต่ต้นว่า นังแม่มดหน้าปูนี้ ฝันอยากเด่นอยากดัง จริงๆแล้วนางอยากเป็นแม่นางที่ได้รับความนิยมเหมือนแม่นางเหม็นนี่แหละ และเคยไปขอเป็นผู้ดูแลแม่นางเหม็นตอนเลิกกับจอมยุทธิ์ชีลาใหม่ๆ แต่เค้าไม่เอา ตอนนี้ ด้วยความที่อยากมีแสงแต่ตัวเองเป็นแค่ดาวเคราะแคระ จึงต้องดึงพี่ทั้งสี่จอมยุทธ์มาเป็นเครื่องมือ หวังว่าสะสมคนนิยมได้เพียงพอ ค่อยถีบหัวส่งทีหลัง - และคนที่ยืนเคียงข้างจอมยุทธ์ชีลาเสมอ คือคุณแม่ของจอมยุทธ์นั่นเอง เป็นอย่างไรบ้าง นิทานพี่คิงส์เช้านี้สนุกมั๊ย ย้ำอีกทีว่าเป็นแค่นิทาน อย่านำไปโยง ตัวละครไม่มีความเกี่ยวข้องกับคนจริงๆคนใด สร้างมาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    1 Comments 0 Shares 804 Views 0 Reviews
  • โอมมณีปัทเมฮุม 16ชั้นฟ้า 15ชั้นดิน เทพ อินทร์ พรหม ยักษ์ กราบขอความเมตตาบอกกล่าวถึงศาล (หลักเมือง) ช่วยจับปิศาจ ของบ้านเมือง ลงหม้อ ถ่วงลงอบายภูมิ ด้วยเทอญ
    โอมมณีปัทเมฮุม 16ชั้นฟ้า 15ชั้นดิน เทพ อินทร์ พรหม ยักษ์ กราบขอความเมตตาบอกกล่าวถึงศาล (หลักเมือง) ช่วยจับปิศาจ ของบ้านเมือง ลงหม้อ ถ่วงลงอบายภูมิ ด้วยเทอญ
    0 Comments 0 Shares 252 Views 0 Reviews
  • เรื่องราวนี้สะท้อนถึง ความแตกต่างในทัศนคติทางสังคมและการรับรู้ค่าของเงิน ที่เกิดขึ้นระหว่างคนที่มีฐานะกับคนที่มีความลำบากทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเรื่องการซื้อขายและการต่อรองราคา ที่ผู้คนมักจะรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้ต่อรองราคาจากพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของในราคาต่ำ แต่กลับไม่รู้สึกต้องการทำเช่นเดียวกันเมื่อซื้อสินค้าที่มีราคาสูงจากร้านค้าหรือร้านอาหารใหญ่ๆ ที่กำหนดราคามาแล้วสิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือ: 1. การต่อรองราคากับคนจน: พฤติกรรมที่มักจะเกิดขึ้นคือการที่ผู้ซื้อรู้สึกว่าได้ “ชัยชนะ” เมื่อสามารถต่อรองราคาของสินค้าจากผู้ที่มีรายได้น้อยลงไปได้ แม้ว่าราคาที่ตนจ่ายนั้นอาจจะไม่ได้ทำให้ผู้ขายได้กำไรจริงๆ หรือไม่ได้ทำให้พวกเขามีรายได้มากขึ้นก็ตาม 2. การไม่ต่อรองในร้านค้าราคาแพง: ในทางกลับกัน ผู้คนมักจะยอมจ่ายราคาที่ตั้งไว้โดยร้านค้าหรือภัตตาคารใหญ่ โดยไม่ต่อรองหรือถามหาความเป็นไปได้ในการลดราคา ทั้งที่บางครั้งการ “ทิ้งทอน” หรือการไม่ขอส่วนลดที่ถูกต้องอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป 3. การให้ราคาสูงกว่าเพื่อช่วยเหลือ: การที่ผู้เขียนเลือกที่จะให้ราคาสูงกว่าที่ต้องการเพื่อช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าที่มีความยากจน ถือเป็นการทำบุญที่มีความหมาย ทั้งในแง่ของการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ และการให้เกียรติในความพยายามของคนที่ทำงานหนักในแต่ละวันข้อคิดสิ่งที่เรื่องนี้ต้องการสะท้อนคือการใช้ “ความเมตตา” และ “การช่วยเหลือ” ในการให้เงินหรือให้สิ่งต่างๆ แก่คนที่มีฐานะยากจน หรือผู้ที่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพ การไม่ทำให้พวกเขารู้สึกถูกเอาเปรียบ และการพยายามทำให้พวกเขามีศักดิ์ศรีมากขึ้นผ่านการให้ความเคารพในราคาและการซื้อขาย.
    เรื่องราวนี้สะท้อนถึง ความแตกต่างในทัศนคติทางสังคมและการรับรู้ค่าของเงิน ที่เกิดขึ้นระหว่างคนที่มีฐานะกับคนที่มีความลำบากทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเรื่องการซื้อขายและการต่อรองราคา ที่ผู้คนมักจะรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้ต่อรองราคาจากพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของในราคาต่ำ แต่กลับไม่รู้สึกต้องการทำเช่นเดียวกันเมื่อซื้อสินค้าที่มีราคาสูงจากร้านค้าหรือร้านอาหารใหญ่ๆ ที่กำหนดราคามาแล้วสิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือ: 1. การต่อรองราคากับคนจน: พฤติกรรมที่มักจะเกิดขึ้นคือการที่ผู้ซื้อรู้สึกว่าได้ “ชัยชนะ” เมื่อสามารถต่อรองราคาของสินค้าจากผู้ที่มีรายได้น้อยลงไปได้ แม้ว่าราคาที่ตนจ่ายนั้นอาจจะไม่ได้ทำให้ผู้ขายได้กำไรจริงๆ หรือไม่ได้ทำให้พวกเขามีรายได้มากขึ้นก็ตาม 2. การไม่ต่อรองในร้านค้าราคาแพง: ในทางกลับกัน ผู้คนมักจะยอมจ่ายราคาที่ตั้งไว้โดยร้านค้าหรือภัตตาคารใหญ่ โดยไม่ต่อรองหรือถามหาความเป็นไปได้ในการลดราคา ทั้งที่บางครั้งการ “ทิ้งทอน” หรือการไม่ขอส่วนลดที่ถูกต้องอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป 3. การให้ราคาสูงกว่าเพื่อช่วยเหลือ: การที่ผู้เขียนเลือกที่จะให้ราคาสูงกว่าที่ต้องการเพื่อช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าที่มีความยากจน ถือเป็นการทำบุญที่มีความหมาย ทั้งในแง่ของการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ และการให้เกียรติในความพยายามของคนที่ทำงานหนักในแต่ละวันข้อคิดสิ่งที่เรื่องนี้ต้องการสะท้อนคือการใช้ “ความเมตตา” และ “การช่วยเหลือ” ในการให้เงินหรือให้สิ่งต่างๆ แก่คนที่มีฐานะยากจน หรือผู้ที่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพ การไม่ทำให้พวกเขารู้สึกถูกเอาเปรียบ และการพยายามทำให้พวกเขามีศักดิ์ศรีมากขึ้นผ่านการให้ความเคารพในราคาและการซื้อขาย.
    0 Comments 0 Shares 592 Views 0 Reviews
  • ใจที่ไม่หวงแหน ไม่ยึดติด ย่อมเป็นใจที่บริสุทธิ์ เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความสุขและความสงบ ความศรัทธาที่สว่างไสวในจิตใจนั้นเอง ทำให้เกิดความปรารถนาดีที่อยากแบ่งปันความสุขนี้ให้กับทุกคน ไม่เลือกหน้า ไม่แบ่งแยก ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามความรู้สึกที่อยากจะเผื่อแผ่ความสุขนั้นเป็นความเมตตาที่แท้จริง เป็นความปรารถนาดีที่ไม่ได้เกิดจากความคาดหวัง แต่เกิดจากใจที่สะอาดพร้อมให้ ด้วยการแผ่เมตตานี้ เราจะพบกับความสุขอันเป็นสุขแท้ เป็นความเบิกบานที่แผ่กระจายจากใจของเราไปสู่ทุกคน
    ใจที่ไม่หวงแหน ไม่ยึดติด ย่อมเป็นใจที่บริสุทธิ์ เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความสุขและความสงบ ความศรัทธาที่สว่างไสวในจิตใจนั้นเอง ทำให้เกิดความปรารถนาดีที่อยากแบ่งปันความสุขนี้ให้กับทุกคน ไม่เลือกหน้า ไม่แบ่งแยก ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามความรู้สึกที่อยากจะเผื่อแผ่ความสุขนั้นเป็นความเมตตาที่แท้จริง เป็นความปรารถนาดีที่ไม่ได้เกิดจากความคาดหวัง แต่เกิดจากใจที่สะอาดพร้อมให้ ด้วยการแผ่เมตตานี้ เราจะพบกับความสุขอันเป็นสุขแท้ เป็นความเบิกบานที่แผ่กระจายจากใจของเราไปสู่ทุกคน
    0 Comments 0 Shares 419 Views 0 Reviews
  • มิตรแท้ หรือ มิจแท้ ตั้มจะเชื่อใคร
    ขณะที่ทนายตั้ม เปลี่ยนแนวทางสู้คดีของตัวเอง จะกลับลําเต็มตัว ว่าเงินเจ็ดสิบเอ็ดล้านได้มาโดย พี่อ้อยจตุพรมอบให้ไปลงทุนทํากินคนเดียว โดยไม่มีกําหนดชดใช้คืน คนหัวหมอก็จะอวยว่า แนวทางนี้ไม่ใช่การกลับลํา แต่คนมีจิตสํานึก แต่ถ้าเป็นคนที่มีวิจารณญานจริง มองจากดาวอังคารยังรู้ว่ามัน ตอแหล
    ตั้มเคยพูดออกสื่ออย่างหนักแน่นว่าถึงเวลาโดนจับกลับสู้คดี ซึ่งไม่รู้จะเหลือน้ําหนักความน่าเชื่อถือให้ศาลรับฟังได้หรือไม่
    เรื่องนี้ก็ไม่ใช่การสับขาหลอกอย่างที่ทนายเดชา รับงานมาแถแต่เพราะทนายตั้มประเมินแล้ว ขืนยืนยันต่อว่าได้มาโดยเสน่หาจบเห่คาคุกแน่ อย่างไรก็ตามทางออกที่ดีกว่าการแถดีกว่าสู้ไปอย่างกระเสือกกระสน ซึ่งมีคนรู้กฎหมายจริงใช้กฎหมายอย่างมีจรรยาบรรณมาแนะนําให้ทนายตั้มแล้ว คนๆนั้นคือ ทนายเล็กวรพันธ์ เบญจวรกุล ทนายเล็กระบุว่าในฐานะพี่สาวร่วมวิชาชีพและด้วยความห่วงใยบุตรทั้งสามของทนายตั้ม ทนายกล่าวว่า ไม้ขีดก้านแรกจุดขึ้นที่ไหนก็ให้ทนายตั้มไปดับที่ไม้ขีดก้านนั้นด้วยความจริงใจด้วยความสํานึกที่ดีและทําใจให้ได้ว่าเงินทั้งหมดนั้นในที่สุดแล้วก็เป็นของพี่อ้อย
    ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พี่อ้อยมีความชอบธรรมที่จะขอคืน ปล่อยยาวไปก็จะยิ่งยากแก่การดับเพลิงที่โหมแรงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง ดิฉันเชื่อมั่นว่าไม่ว่าพี่อ้อยก็ดีคุณสนธิก็ดีถ้าจับจุดให้ถูกทั้งสองท่านนี้มีแต่ความเมตตาและพร้อมจะให้อภัยให้โอกาสคนที่สํานึกได้และจริงใจที่จะแก้ไขตัวเอง ดิฉันก็ไม่ได้ว่านายตั้มกระทําความผิดตามฟ้องนะคะแต่ถามว่านายตั้มมั่นใจแค่ไหนว่าจะสู้ได้ ซึ่งถ้าเปรียบกับการยอมรับฟังความคิดของเจ้าของเงินและประชาชนผู้ติดตามข่าว ซึ่งตัดสินทนายตั้มแล้ว หนทางไหนจะคุ้มค่ากว่ากันและจะเป็นประโยชน์กับครอบครัวของทนายตั้มมากที่สุดจากประสบการณ์การทํางานทนายความของทนายตั้มก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่ามีแนวโน้มว่าศาลจะเห็นว่าอย่างไรก็ตาม เงินนี้ก็เป็นเงินของพี่อ้อย ถ้าแปลกันง่ายๆ ก็คือสารภาพมาซะดีๆคืนเงินให้พี่อ้อยไปซะ เพื่อจะได้ติดคุกไม่นานเป็นคําแนะนําในแบบกัลยาณมิตรโดยแท้ ไม่ใช่แนวมิตรแท้ ทนายโจร ดันเพื่อนให้สู้ไปสุดทางทนายตั้มจะติดคุกติดตารางไม่เห็นเดือนเห็นตะวันก็ช่างหัวมันเพียงแต่คําถามก็คือคนอีโก้จัดอย่างทนายตั้มมีหรือจะยอมฟังทนายเล็ก ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    มิตรแท้ หรือ มิจแท้ ตั้มจะเชื่อใคร ขณะที่ทนายตั้ม เปลี่ยนแนวทางสู้คดีของตัวเอง จะกลับลําเต็มตัว ว่าเงินเจ็ดสิบเอ็ดล้านได้มาโดย พี่อ้อยจตุพรมอบให้ไปลงทุนทํากินคนเดียว โดยไม่มีกําหนดชดใช้คืน คนหัวหมอก็จะอวยว่า แนวทางนี้ไม่ใช่การกลับลํา แต่คนมีจิตสํานึก แต่ถ้าเป็นคนที่มีวิจารณญานจริง มองจากดาวอังคารยังรู้ว่ามัน ตอแหล ตั้มเคยพูดออกสื่ออย่างหนักแน่นว่าถึงเวลาโดนจับกลับสู้คดี ซึ่งไม่รู้จะเหลือน้ําหนักความน่าเชื่อถือให้ศาลรับฟังได้หรือไม่ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่การสับขาหลอกอย่างที่ทนายเดชา รับงานมาแถแต่เพราะทนายตั้มประเมินแล้ว ขืนยืนยันต่อว่าได้มาโดยเสน่หาจบเห่คาคุกแน่ อย่างไรก็ตามทางออกที่ดีกว่าการแถดีกว่าสู้ไปอย่างกระเสือกกระสน ซึ่งมีคนรู้กฎหมายจริงใช้กฎหมายอย่างมีจรรยาบรรณมาแนะนําให้ทนายตั้มแล้ว คนๆนั้นคือ ทนายเล็กวรพันธ์ เบญจวรกุล ทนายเล็กระบุว่าในฐานะพี่สาวร่วมวิชาชีพและด้วยความห่วงใยบุตรทั้งสามของทนายตั้ม ทนายกล่าวว่า ไม้ขีดก้านแรกจุดขึ้นที่ไหนก็ให้ทนายตั้มไปดับที่ไม้ขีดก้านนั้นด้วยความจริงใจด้วยความสํานึกที่ดีและทําใจให้ได้ว่าเงินทั้งหมดนั้นในที่สุดแล้วก็เป็นของพี่อ้อย ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พี่อ้อยมีความชอบธรรมที่จะขอคืน ปล่อยยาวไปก็จะยิ่งยากแก่การดับเพลิงที่โหมแรงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง ดิฉันเชื่อมั่นว่าไม่ว่าพี่อ้อยก็ดีคุณสนธิก็ดีถ้าจับจุดให้ถูกทั้งสองท่านนี้มีแต่ความเมตตาและพร้อมจะให้อภัยให้โอกาสคนที่สํานึกได้และจริงใจที่จะแก้ไขตัวเอง ดิฉันก็ไม่ได้ว่านายตั้มกระทําความผิดตามฟ้องนะคะแต่ถามว่านายตั้มมั่นใจแค่ไหนว่าจะสู้ได้ ซึ่งถ้าเปรียบกับการยอมรับฟังความคิดของเจ้าของเงินและประชาชนผู้ติดตามข่าว ซึ่งตัดสินทนายตั้มแล้ว หนทางไหนจะคุ้มค่ากว่ากันและจะเป็นประโยชน์กับครอบครัวของทนายตั้มมากที่สุดจากประสบการณ์การทํางานทนายความของทนายตั้มก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่ามีแนวโน้มว่าศาลจะเห็นว่าอย่างไรก็ตาม เงินนี้ก็เป็นเงินของพี่อ้อย ถ้าแปลกันง่ายๆ ก็คือสารภาพมาซะดีๆคืนเงินให้พี่อ้อยไปซะ เพื่อจะได้ติดคุกไม่นานเป็นคําแนะนําในแบบกัลยาณมิตรโดยแท้ ไม่ใช่แนวมิตรแท้ ทนายโจร ดันเพื่อนให้สู้ไปสุดทางทนายตั้มจะติดคุกติดตารางไม่เห็นเดือนเห็นตะวันก็ช่างหัวมันเพียงแต่คําถามก็คือคนอีโก้จัดอย่างทนายตั้มมีหรือจะยอมฟังทนายเล็ก ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 Comments 0 Shares 524 Views 0 Reviews
  • เขาพูดไม่ดีกับฉันเลย

    เขาพูดไม่ดี เป็นปัญหาเขา
    มันกลายเป็นปัญหาเราเมื่อเรารู้สึกเจ็บปวด ไม่ใช่ทุกคนที่ฟังคนพูดไม่ดีใส่แล้วเจ็บ เราเจ็บเพราะเรามีเรื่องค้างใจกับสิ่งนี้

    เพ่งนอก เป็นสมุทัย
    เพ่งใน เป็นมรรค

    ทำความเข้าใจตัวเอง การที่เขาพูดไม่ดี ทำให้เรารู้สึกโกรธ เบื้องต้นคือโกรธเค้า เมื่อเราจริงกับตัวเองมากๆ จะเห็นว่าเบื้องลึกคือโกรธตัวเองที่ฉันทำไม่ดีพอสักที

    วันที่รักตัวเอง
    ไม่mindว่าใครจะรักเราหรือไม่
    ไม่มีใครรักไม่เป็นไร
    เพราะฉันรักฉันอยู่ดี

    วันที่ได้ยิน
    วันที่มองเห็น
    ใครสักคนกำลังโวยวายตรงหน้า
    แต่ใจไม่เจ็บปวดอีกแล้ว
    มีแต่ความเมตตา สงสารคนตรงหน้า ถ้าเขาไม่ทุกข์ เขาคงไม่ทำแบบนั้น

    ❤️
    เขาพูดไม่ดีกับฉันเลย เขาพูดไม่ดี เป็นปัญหาเขา มันกลายเป็นปัญหาเราเมื่อเรารู้สึกเจ็บปวด ไม่ใช่ทุกคนที่ฟังคนพูดไม่ดีใส่แล้วเจ็บ เราเจ็บเพราะเรามีเรื่องค้างใจกับสิ่งนี้ เพ่งนอก เป็นสมุทัย เพ่งใน เป็นมรรค ทำความเข้าใจตัวเอง การที่เขาพูดไม่ดี ทำให้เรารู้สึกโกรธ เบื้องต้นคือโกรธเค้า เมื่อเราจริงกับตัวเองมากๆ จะเห็นว่าเบื้องลึกคือโกรธตัวเองที่ฉันทำไม่ดีพอสักที วันที่รักตัวเอง ไม่mindว่าใครจะรักเราหรือไม่ ไม่มีใครรักไม่เป็นไร เพราะฉันรักฉันอยู่ดี วันที่ได้ยิน วันที่มองเห็น ใครสักคนกำลังโวยวายตรงหน้า แต่ใจไม่เจ็บปวดอีกแล้ว มีแต่ความเมตตา สงสารคนตรงหน้า ถ้าเขาไม่ทุกข์ เขาคงไม่ทำแบบนั้น ❤️
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
More Results