• 14 เทคโนโลยีสุดล้ำที่มนุษย์ส่งขึ้นสู่อวกาศ: จากยานสำรวจถึงวัตถุทางวัฒนธรรม

    การเดินทางของมนุษยชาติกับอวกาศเป็นเรื่องราวที่ยาวนานกว่าพันปี ตั้งแต่ยุคที่มนุษย์มองดวงดาวด้วยความสงสัย จนถึงวันที่เราส่งมนุษย์ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ และสร้างสถานีอวกาศที่โคจรรอบโลกอย่าง ISS สิ่งที่น่าสนใจคือ เทคโนโลยีที่เราส่งขึ้นไปนอกโลกไม่ได้มีแค่ยานสำรวจหรือดาวเทียมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัตถุทางวัฒนธรรม สิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ และแม้แต่ของเล่นที่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ด้วย

    ในบรรดาเทคโนโลยีที่โดดเด่นที่สุด ได้แก่ ยานอวกาศที่พาเราข้ามขีดจำกัดของแรงโน้มถ่วง ดาวเทียมที่กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของโลกยุคดิจิทัล กล้องโทรทรรศน์อวกาศอย่าง Hubble และ James Webb ที่เปิดหน้าต่างใหม่สู่จักรวาล รวมถึงภารกิจสำรวจดาวอังคารที่ต้องฝ่าความล้มเหลวมากมายก่อนจะประสบความสำเร็จในยุคของ Curiosity และ Perseverance

    นอกจากเทคโนโลยีหลักแล้ว ยังมีวัตถุที่สะท้อนวัฒนธรรมมนุษย์ เช่น Tesla Roadster ที่ SpaceX ส่งขึ้นไปพร้อม Starman, ฟิกเกอร์ LEGO ที่ร่วมเดินทางไปกับยาน Juno, ชิ้นส่วนเครื่องบินลำแรกของ Wright Brothers ที่ไปถึงดวงจันทร์ และ Golden Record ที่บรรจุเสียงและภาพของมนุษยชาติไว้เพื่อทักทายสิ่งมีชีวิตนอกโลกหากมีวันได้พบกัน

    สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าอวกาศไม่ใช่เพียงสนามทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นพื้นที่ที่มนุษย์ใช้บอกเล่าเรื่องราว ความฝัน ความกลัว และความหวังของเราในฐานะเผ่าพันธุ์หนึ่งในจักรวาล การส่งเทคโนโลยีและวัตถุเหล่านี้ขึ้นไปจึงเป็นทั้งการสำรวจภายนอก และการสะท้อนตัวตนภายในของมนุษย์เองด้วย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เทคโนโลยีสำคัญที่ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศ
    ยานอวกาศและจรวดที่พาเราข้ามขีดจำกัดของแรงโน้มถ่วง
    ดาวเทียมกว่า 13,700 ดวงที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของโลกยุคดิจิทัล
    กล้องโทรทรรศน์ Hubble และ James Webb ที่เปิดมุมมองใหม่ของจักรวาล
    Mars Rovers ที่ฝ่าความล้มเหลวหลายครั้งก่อนประสบความสำเร็จ

    วัตถุทางวัฒนธรรมที่ร่วมเดินทางไปกับมนุษย์
    Tesla Roadster พร้อม Starman และผลงานของ Asimov
    ฟิกเกอร์ LEGO บนภารกิจ Juno
    ชิ้นส่วนเครื่องบินของ Wright Brothers ที่ไปถึงดวงจันทร์
    Golden Record ที่บันทึกเสียง ภาพ และดนตรีของมนุษยชาติ

    ความหมายเชิงสัญลักษณ์ของการส่งสิ่งเหล่านี้ขึ้นสู่อวกาศ
    แสดงให้เห็นความอยากรู้อยากเห็นและความกล้าของมนุษย์
    เป็นการบันทึกวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของมนุษย์ในระดับจักรวาล
    สะท้อนความร่วมมือระดับโลก เช่น ISS ที่สร้างโดยหลายประเทศ

    ประเด็นที่ต้องระวังหรือพิจารณา
    ปริมาณขยะอวกาศที่เพิ่มขึ้นจากวัตถุที่ถูกส่งขึ้นไป
    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของภารกิจที่ต้องเผชิญสภาพแวดล้อมรุนแรง
    ความท้าทายด้านต้นทุนและทรัพยากรในการสำรวจอวกาศ

    https://www.slashgear.com/2053418/coolest-tech-sent-to-space/
    🚀 14 เทคโนโลยีสุดล้ำที่มนุษย์ส่งขึ้นสู่อวกาศ: จากยานสำรวจถึงวัตถุทางวัฒนธรรม การเดินทางของมนุษยชาติกับอวกาศเป็นเรื่องราวที่ยาวนานกว่าพันปี ตั้งแต่ยุคที่มนุษย์มองดวงดาวด้วยความสงสัย จนถึงวันที่เราส่งมนุษย์ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ และสร้างสถานีอวกาศที่โคจรรอบโลกอย่าง ISS สิ่งที่น่าสนใจคือ เทคโนโลยีที่เราส่งขึ้นไปนอกโลกไม่ได้มีแค่ยานสำรวจหรือดาวเทียมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัตถุทางวัฒนธรรม สิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ และแม้แต่ของเล่นที่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ด้วย ในบรรดาเทคโนโลยีที่โดดเด่นที่สุด ได้แก่ ยานอวกาศที่พาเราข้ามขีดจำกัดของแรงโน้มถ่วง ดาวเทียมที่กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของโลกยุคดิจิทัล กล้องโทรทรรศน์อวกาศอย่าง Hubble และ James Webb ที่เปิดหน้าต่างใหม่สู่จักรวาล รวมถึงภารกิจสำรวจดาวอังคารที่ต้องฝ่าความล้มเหลวมากมายก่อนจะประสบความสำเร็จในยุคของ Curiosity และ Perseverance นอกจากเทคโนโลยีหลักแล้ว ยังมีวัตถุที่สะท้อนวัฒนธรรมมนุษย์ เช่น Tesla Roadster ที่ SpaceX ส่งขึ้นไปพร้อม Starman, ฟิกเกอร์ LEGO ที่ร่วมเดินทางไปกับยาน Juno, ชิ้นส่วนเครื่องบินลำแรกของ Wright Brothers ที่ไปถึงดวงจันทร์ และ Golden Record ที่บรรจุเสียงและภาพของมนุษยชาติไว้เพื่อทักทายสิ่งมีชีวิตนอกโลกหากมีวันได้พบกัน สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าอวกาศไม่ใช่เพียงสนามทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นพื้นที่ที่มนุษย์ใช้บอกเล่าเรื่องราว ความฝัน ความกลัว และความหวังของเราในฐานะเผ่าพันธุ์หนึ่งในจักรวาล การส่งเทคโนโลยีและวัตถุเหล่านี้ขึ้นไปจึงเป็นทั้งการสำรวจภายนอก และการสะท้อนตัวตนภายในของมนุษย์เองด้วย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เทคโนโลยีสำคัญที่ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศ ➡️ ยานอวกาศและจรวดที่พาเราข้ามขีดจำกัดของแรงโน้มถ่วง ➡️ ดาวเทียมกว่า 13,700 ดวงที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของโลกยุคดิจิทัล ➡️ กล้องโทรทรรศน์ Hubble และ James Webb ที่เปิดมุมมองใหม่ของจักรวาล ➡️ Mars Rovers ที่ฝ่าความล้มเหลวหลายครั้งก่อนประสบความสำเร็จ ✅ วัตถุทางวัฒนธรรมที่ร่วมเดินทางไปกับมนุษย์ ➡️ Tesla Roadster พร้อม Starman และผลงานของ Asimov ➡️ ฟิกเกอร์ LEGO บนภารกิจ Juno ➡️ ชิ้นส่วนเครื่องบินของ Wright Brothers ที่ไปถึงดวงจันทร์ ➡️ Golden Record ที่บันทึกเสียง ภาพ และดนตรีของมนุษยชาติ ✅ ความหมายเชิงสัญลักษณ์ของการส่งสิ่งเหล่านี้ขึ้นสู่อวกาศ ➡️ แสดงให้เห็นความอยากรู้อยากเห็นและความกล้าของมนุษย์ ➡️ เป็นการบันทึกวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของมนุษย์ในระดับจักรวาล ➡️ สะท้อนความร่วมมือระดับโลก เช่น ISS ที่สร้างโดยหลายประเทศ ‼️ ประเด็นที่ต้องระวังหรือพิจารณา ⛔ ปริมาณขยะอวกาศที่เพิ่มขึ้นจากวัตถุที่ถูกส่งขึ้นไป ⛔ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของภารกิจที่ต้องเผชิญสภาพแวดล้อมรุนแรง ⛔ ความท้าทายด้านต้นทุนและทรัพยากรในการสำรวจอวกาศ https://www.slashgear.com/2053418/coolest-tech-sent-to-space/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    14 Of The Coolest Pieces Of Tech We've Sent To Space - SlashGear
    Humanity has sent into space everything from lightsabers and Tesla Roadsters to golden records and entire digital genetic records of famous scientists.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดาวเทียมยุคใหม่ทำได้มากกว่าที่คิด

    จำนวนดาวเทียมในวงโคจรโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่า 11,000 ดวง ณ พฤษภาคม 2025 และไม่ได้มีแค่จำนวนที่มากขึ้น แต่ยังมีความสามารถที่หลากหลายและซับซ้อนกว่าเดิม ดาวเทียมไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสื่อสารหรือ GPS อีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถผลิตสินค้า, ตรวจสอบภัยพิบัติ และแม้แต่ตัดสินใจเองได้โดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์

    การผลิตในอวกาศและการมองทะลุเมฆ
    บริษัทเอกชนเริ่มส่งดาวเทียมขึ้นไปเพื่อทดลอง การผลิตในสภาวะไร้น้ำหนัก เช่น การสร้างผลึกโมเลกุลสำหรับอุตสาหกรรมยา และการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ยากต่อการทำบนโลก นอกจากนี้ เทคโนโลยี Synthetic Aperture Radar (SAR) ทำให้ดาวเทียมสามารถมองทะลุเมฆและกลางคืนได้ ซึ่งถูกใช้จริงในการตรวจสอบการเคลื่อนทัพของรัสเซียในสงครามยูเครน และช่วยประเมินผลกระทบจากภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็ว

    ดาวเทียมฝูงและระบบหลบหลีกอัตโนมัติ
    จากเดิมที่ดาวเทียมถูกส่งขึ้นไปแบบเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มเรียงแถว ปัจจุบัน NASA กำลังทดสอบการเคลื่อนที่แบบ swarm ที่ดาวเทียมสามารถสื่อสารและประสานงานกันเองเพื่อหลบหลีกเศษซากอวกาศและดาวเทียมอื่น ๆ โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากโลก ระบบนี้ช่วยลดความเสี่ยงการชนและเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการวงโคจร

    ดาวเทียมกับ “X-ray vision”
    นอกจากการสังเกตจักรวาลด้วยกล้อง X-ray แล้ว ปัจจุบันมีการพัฒนาดาวเทียมที่สามารถใช้ X-ray ตรวจสอบภายในดาวเทียมอื่น เพื่อดูว่ามีการเสียหายหรือถูกเศษซากอวกาศชนหรือไม่ ความสามารถนี้ยังถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในยุคการแข่งขันด้านอวกาศที่มีความตึงเครียดทางการเมืองเพิ่มขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    จำนวนดาวเทียมเพิ่มขึ้นกว่า 11,000 ดวงในปี 2025
    สะท้อนการเติบโตของอุตสาหกรรมอวกาศ

    การผลิตในอวกาศ
    ผลึกโมเลกุลสำหรับยา
    เซมิคอนดักเตอร์ในสภาวะไร้น้ำหนัก

    เทคโนโลยี SAR
    มองทะลุเมฆและกลางคืน
    ใช้ตรวจสอบสงครามและภัยพิบัติ

    ดาวเทียมฝูงและระบบหลบหลีกอัตโนมัติ
    ประสานงานกันเองโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากโลก

    X-ray vision ของดาวเทียม
    ตรวจสอบภายในดาวเทียมอื่น
    ใช้ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และความมั่นคง

    คำเตือน
    การเพิ่มจำนวนดาวเทียมทำให้ความเสี่ยงการชนสูงขึ้น
    ความสามารถ X-ray อาจถูกใช้ในเชิงการทหารและการสอดแนม

    https://www.slashgear.com/2049270/satellite-facts-didnt-teach-in-school/
    🛰️ ดาวเทียมยุคใหม่ทำได้มากกว่าที่คิด จำนวนดาวเทียมในวงโคจรโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่า 11,000 ดวง ณ พฤษภาคม 2025 และไม่ได้มีแค่จำนวนที่มากขึ้น แต่ยังมีความสามารถที่หลากหลายและซับซ้อนกว่าเดิม ดาวเทียมไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสื่อสารหรือ GPS อีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถผลิตสินค้า, ตรวจสอบภัยพิบัติ และแม้แต่ตัดสินใจเองได้โดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์ ⚡ การผลิตในอวกาศและการมองทะลุเมฆ บริษัทเอกชนเริ่มส่งดาวเทียมขึ้นไปเพื่อทดลอง การผลิตในสภาวะไร้น้ำหนัก เช่น การสร้างผลึกโมเลกุลสำหรับอุตสาหกรรมยา และการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ยากต่อการทำบนโลก นอกจากนี้ เทคโนโลยี Synthetic Aperture Radar (SAR) ทำให้ดาวเทียมสามารถมองทะลุเมฆและกลางคืนได้ ซึ่งถูกใช้จริงในการตรวจสอบการเคลื่อนทัพของรัสเซียในสงครามยูเครน และช่วยประเมินผลกระทบจากภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็ว 🌐 ดาวเทียมฝูงและระบบหลบหลีกอัตโนมัติ จากเดิมที่ดาวเทียมถูกส่งขึ้นไปแบบเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มเรียงแถว ปัจจุบัน NASA กำลังทดสอบการเคลื่อนที่แบบ swarm ที่ดาวเทียมสามารถสื่อสารและประสานงานกันเองเพื่อหลบหลีกเศษซากอวกาศและดาวเทียมอื่น ๆ โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากโลก ระบบนี้ช่วยลดความเสี่ยงการชนและเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการวงโคจร 🔎 ดาวเทียมกับ “X-ray vision” นอกจากการสังเกตจักรวาลด้วยกล้อง X-ray แล้ว ปัจจุบันมีการพัฒนาดาวเทียมที่สามารถใช้ X-ray ตรวจสอบภายในดาวเทียมอื่น เพื่อดูว่ามีการเสียหายหรือถูกเศษซากอวกาศชนหรือไม่ ความสามารถนี้ยังถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในยุคการแข่งขันด้านอวกาศที่มีความตึงเครียดทางการเมืองเพิ่มขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ จำนวนดาวเทียมเพิ่มขึ้นกว่า 11,000 ดวงในปี 2025 ➡️ สะท้อนการเติบโตของอุตสาหกรรมอวกาศ ✅ การผลิตในอวกาศ ➡️ ผลึกโมเลกุลสำหรับยา ➡️ เซมิคอนดักเตอร์ในสภาวะไร้น้ำหนัก ✅ เทคโนโลยี SAR ➡️ มองทะลุเมฆและกลางคืน ➡️ ใช้ตรวจสอบสงครามและภัยพิบัติ ✅ ดาวเทียมฝูงและระบบหลบหลีกอัตโนมัติ ➡️ ประสานงานกันเองโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากโลก ✅ X-ray vision ของดาวเทียม ➡️ ตรวจสอบภายในดาวเทียมอื่น ➡️ ใช้ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และความมั่นคง ‼️ คำเตือน ⛔ การเพิ่มจำนวนดาวเทียมทำให้ความเสี่ยงการชนสูงขึ้น ⛔ ความสามารถ X-ray อาจถูกใช้ในเชิงการทหารและการสอดแนม https://www.slashgear.com/2049270/satellite-facts-didnt-teach-in-school/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Things About Satellites They Didn't Teach You In School - SlashGear
    Satellites have come a long way in the last couple years, and what you learned about them in school is likely far different from their current uses.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดาวเทียมจีนเฉียดใกล้ Starlink อย่างอันตราย

    เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ดาวเทียมจากการปล่อยจรวด Long March 2D ของจีนถูกสังเกตว่าผ่านใกล้ดาวเทียม Starlink-6079 ที่ระดับความสูง 560 กม. ระยะห่างเพียง 200 เมตรถือว่าเป็น near-miss ที่อาจนำไปสู่หายนะหากเกิดการชนกัน เนื่องจากความเร็วสูงมากในวงโคจรต่ำ (LEO).

    ความเสี่ยงจากการขาดการประสานงาน
    Michael Nicolls รองประธานฝ่ายวิศวกรรมของ Starlink ระบุว่า ความเสี่ยงหลักมาจากการไม่แชร์ข้อมูลวงโคจร (ephemeris) ระหว่างผู้ให้บริการดาวเทียม การไม่ประสานงานเช่นนี้ทำให้เกิดเหตุการณ์เฉียดใกล้บ่อยครั้ง และอาจนำไปสู่ Kessler Syndrome ซึ่งเป็นการชนต่อเนื่องจนเกิดเศษซากจำนวนมหาศาลที่ทำให้ LEO ใช้งานไม่ได้.

    ความท้าทายด้านนโยบายและความปลอดภัย
    จีนไม่ได้แชร์ข้อมูลวงโคจรไปยังแพลตฟอร์มสากล เช่น U.S. Space-Track.org หรือ ITU ของสหประชาชาติ ทำให้การติดตามและป้องกันเหตุการณ์เสี่ยงทำได้ยากขึ้น นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้มี ความร่วมมือระดับโลก เพื่อหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมในอนาคต.

    อนาคตที่เต็มไปด้วยดาวเทียม
    ปัจจุบันมีดาวเทียมกว่า 12,000 ดวงใน LEO โดยประมาณ 8,000 ดวงเป็นของ Starlink และยังมีแผนขยายเพิ่มถึง 42,000 ดวง ขณะที่จีนและยุโรปก็มีโครงการสร้างกลุ่มดาวเทียมขนาดใหญ่เช่นกัน การเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วนี้ยิ่งทำให้ความเสี่ยงการชนกันสูงขึ้นหากไม่มีระบบประสานงานที่เข้มแข็ง.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เหตุการณ์เฉียดใกล้
    ดาวเทียมจีนเข้าใกล้ Starlink-6079 ระยะ 200 เมตร
    ความเร็วกว่า 17,400 mph ที่ระดับความสูง 560 กม.

    สาเหตุความเสี่ยง
    การไม่แชร์ข้อมูลวงโคจรระหว่างผู้ให้บริการ
    เพิ่มโอกาสเกิด near-miss และการชนกัน

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    ความเสี่ยงต่อ Kessler Syndrome
    เศษซากอวกาศจำนวนมหาศาลทำให้ LEO ใช้งานไม่ได้

    สถานการณ์ปัจจุบัน
    มีดาวเทียมกว่า 12,000 ดวงใน LEO
    Starlink มีแผนขยายถึง 42,000 ดวง
    จีนและยุโรปก็มีโครงการดาวเทียมขนาดใหญ่เช่นกัน

    ข้อควรระวัง
    การไม่ประสานงานระหว่างประเทศเพิ่มความเสี่ยงต่อการชน
    การขยายจำนวนดาวเทียมอย่างรวดเร็วอาจทำให้ LEO แออัดเกินไป
    หากเกิดการชน เศษซากอาจทำให้วงโคจรต่ำไม่สามารถใช้งานได้หลายชั่วอายุคน

    https://www.tomshardware.com/service-providers/network-providers/starlink-vp-confirms-dangerously-close-chinese-launch-incident-close-call-saw-satellite-pass-within-200-meters-of-starlink-travelling-at-over-17-400mph
    🚀 ดาวเทียมจีนเฉียดใกล้ Starlink อย่างอันตราย เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ดาวเทียมจากการปล่อยจรวด Long March 2D ของจีนถูกสังเกตว่าผ่านใกล้ดาวเทียม Starlink-6079 ที่ระดับความสูง 560 กม. ระยะห่างเพียง 200 เมตรถือว่าเป็น near-miss ที่อาจนำไปสู่หายนะหากเกิดการชนกัน เนื่องจากความเร็วสูงมากในวงโคจรต่ำ (LEO). ⚡ ความเสี่ยงจากการขาดการประสานงาน Michael Nicolls รองประธานฝ่ายวิศวกรรมของ Starlink ระบุว่า ความเสี่ยงหลักมาจากการไม่แชร์ข้อมูลวงโคจร (ephemeris) ระหว่างผู้ให้บริการดาวเทียม การไม่ประสานงานเช่นนี้ทำให้เกิดเหตุการณ์เฉียดใกล้บ่อยครั้ง และอาจนำไปสู่ Kessler Syndrome ซึ่งเป็นการชนต่อเนื่องจนเกิดเศษซากจำนวนมหาศาลที่ทำให้ LEO ใช้งานไม่ได้. 🔒 ความท้าทายด้านนโยบายและความปลอดภัย จีนไม่ได้แชร์ข้อมูลวงโคจรไปยังแพลตฟอร์มสากล เช่น U.S. Space-Track.org หรือ ITU ของสหประชาชาติ ทำให้การติดตามและป้องกันเหตุการณ์เสี่ยงทำได้ยากขึ้น นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้มี ความร่วมมือระดับโลก เพื่อหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมในอนาคต. 🌐 อนาคตที่เต็มไปด้วยดาวเทียม ปัจจุบันมีดาวเทียมกว่า 12,000 ดวงใน LEO โดยประมาณ 8,000 ดวงเป็นของ Starlink และยังมีแผนขยายเพิ่มถึง 42,000 ดวง ขณะที่จีนและยุโรปก็มีโครงการสร้างกลุ่มดาวเทียมขนาดใหญ่เช่นกัน การเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วนี้ยิ่งทำให้ความเสี่ยงการชนกันสูงขึ้นหากไม่มีระบบประสานงานที่เข้มแข็ง. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เหตุการณ์เฉียดใกล้ ➡️ ดาวเทียมจีนเข้าใกล้ Starlink-6079 ระยะ 200 เมตร ➡️ ความเร็วกว่า 17,400 mph ที่ระดับความสูง 560 กม. ✅ สาเหตุความเสี่ยง ➡️ การไม่แชร์ข้อมูลวงโคจรระหว่างผู้ให้บริการ ➡️ เพิ่มโอกาสเกิด near-miss และการชนกัน ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ ความเสี่ยงต่อ Kessler Syndrome ➡️ เศษซากอวกาศจำนวนมหาศาลทำให้ LEO ใช้งานไม่ได้ ✅ สถานการณ์ปัจจุบัน ➡️ มีดาวเทียมกว่า 12,000 ดวงใน LEO ➡️ Starlink มีแผนขยายถึง 42,000 ดวง ➡️ จีนและยุโรปก็มีโครงการดาวเทียมขนาดใหญ่เช่นกัน ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การไม่ประสานงานระหว่างประเทศเพิ่มความเสี่ยงต่อการชน ⛔ การขยายจำนวนดาวเทียมอย่างรวดเร็วอาจทำให้ LEO แออัดเกินไป ⛔ หากเกิดการชน เศษซากอาจทำให้วงโคจรต่ำไม่สามารถใช้งานได้หลายชั่วอายุคน https://www.tomshardware.com/service-providers/network-providers/starlink-vp-confirms-dangerously-close-chinese-launch-incident-close-call-saw-satellite-pass-within-200-meters-of-starlink-travelling-at-over-17-400mph
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดาวเคราะห์นอกระบบ WASP-121b กับหางก๊าซยักษ์สองเส้น

    ทีมนักดาราศาสตร์ใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เวบบ์ (JWST) ตรวจพบปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนบนดาวเคราะห์นอกระบบ WASP-121b หรือที่เรียกว่า Tylos ซึ่งอยู่ห่างจากโลกประมาณ 880 ปีแสง ดาวเคราะห์แก๊สยักษ์นี้กำลังสูญเสียบรรยากาศอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็น หางก๊าซฮีเลียมสองเส้นขนาดมหึมา ที่ทอดยาวครอบคลุมเกือบ 60% ของวงโคจรรอบดาวแม่

    การค้นพบที่ไม่ธรรมดา
    ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์เคยพบดาวเคราะห์ที่มีบรรยากาศรั่วไหล แต่ส่วนใหญ่จะเห็นเพียงชั่วคราวเมื่อดาวเคราะห์เคลื่อนผ่านหน้าดาวแม่ ครั้งนี้ JWST สามารถติดตามการรั่วไหลตลอดวงโคจรเต็มรอบกว่า 30 ชั่วโมง ทำให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดที่สุดเกี่ยวกับการสูญเสียบรรยากาศของดาวเคราะห์นอกระบบ

    ปริศนาของหางคู่
    สิ่งที่ทำให้นักวิจัยประหลาดใจคือการเกิดหางสองเส้นที่พุ่งไปคนละทิศทาง หางหนึ่งทอดตามหลังดาวเคราะห์ ขณะที่อีกหางหนึ่งกลับพุ่งนำหน้า ซึ่งแบบจำลองเดิมไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน นักวิทยาศาสตร์คาดว่าแรงโน้มถ่วงของดาวแม่และลมดาวฤกษ์อาจมีบทบาทในการกำหนดทิศทางของหางเหล่านี้

    ความหมายต่อวิวัฒนาการดาวเคราะห์
    การค้นพบนี้เป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจว่าดาวเคราะห์แก๊สยักษ์อาจสูญเสียบรรยากาศจนกลายเป็นดาวเคราะห์หินในอนาคต การศึกษาลักษณะการรั่วไหลของก๊าซจะช่วยให้นักดาราศาสตร์สร้างแบบจำลองใหม่ ๆ เกี่ยวกับวิวัฒนาการของดาวเคราะห์และความเป็นไปได้ในการเกิดระบบที่คล้ายโลก

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบจาก JWST
    พบดาว WASP-121b มีหางก๊าซฮีเลียมสองเส้น
    ครอบคลุมเกือบ 60% ของวงโคจร

    ความพิเศษ
    เป็นครั้งแรกที่ติดตามการรั่วไหลตลอดวงโคจรเต็มรอบ
    หางหนึ่งตามหลัง อีกหางหนึ่งนำหน้า

    ความหมายทางวิทยาศาสตร์
    ช่วยเข้าใจการสูญเสียบรรยากาศของดาวเคราะห์
    อาจอธิบายการเปลี่ยนจากดาวแก๊สยักษ์เป็นดาวหิน

    ข้อจำกัดและปริศนา
    แบบจำลองปัจจุบันยังไม่สามารถอธิบายหางคู่ได้ครบถ้วน
    ต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อสร้างแบบจำลอง 3D ที่แม่นยำ

    https://www.sciencealert.com/jwst-catches-record-breaking-planet-sprouting-two-enormous-tails
    🌌 ดาวเคราะห์นอกระบบ WASP-121b กับหางก๊าซยักษ์สองเส้น ทีมนักดาราศาสตร์ใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เวบบ์ (JWST) ตรวจพบปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนบนดาวเคราะห์นอกระบบ WASP-121b หรือที่เรียกว่า Tylos ซึ่งอยู่ห่างจากโลกประมาณ 880 ปีแสง ดาวเคราะห์แก๊สยักษ์นี้กำลังสูญเสียบรรยากาศอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็น หางก๊าซฮีเลียมสองเส้นขนาดมหึมา ที่ทอดยาวครอบคลุมเกือบ 60% ของวงโคจรรอบดาวแม่ 🔬 การค้นพบที่ไม่ธรรมดา ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์เคยพบดาวเคราะห์ที่มีบรรยากาศรั่วไหล แต่ส่วนใหญ่จะเห็นเพียงชั่วคราวเมื่อดาวเคราะห์เคลื่อนผ่านหน้าดาวแม่ ครั้งนี้ JWST สามารถติดตามการรั่วไหลตลอดวงโคจรเต็มรอบกว่า 30 ชั่วโมง ทำให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดที่สุดเกี่ยวกับการสูญเสียบรรยากาศของดาวเคราะห์นอกระบบ 🌪️ ปริศนาของหางคู่ สิ่งที่ทำให้นักวิจัยประหลาดใจคือการเกิดหางสองเส้นที่พุ่งไปคนละทิศทาง หางหนึ่งทอดตามหลังดาวเคราะห์ ขณะที่อีกหางหนึ่งกลับพุ่งนำหน้า ซึ่งแบบจำลองเดิมไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน นักวิทยาศาสตร์คาดว่าแรงโน้มถ่วงของดาวแม่และลมดาวฤกษ์อาจมีบทบาทในการกำหนดทิศทางของหางเหล่านี้ 🚀 ความหมายต่อวิวัฒนาการดาวเคราะห์ การค้นพบนี้เป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจว่าดาวเคราะห์แก๊สยักษ์อาจสูญเสียบรรยากาศจนกลายเป็นดาวเคราะห์หินในอนาคต การศึกษาลักษณะการรั่วไหลของก๊าซจะช่วยให้นักดาราศาสตร์สร้างแบบจำลองใหม่ ๆ เกี่ยวกับวิวัฒนาการของดาวเคราะห์และความเป็นไปได้ในการเกิดระบบที่คล้ายโลก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบจาก JWST ➡️ พบดาว WASP-121b มีหางก๊าซฮีเลียมสองเส้น ➡️ ครอบคลุมเกือบ 60% ของวงโคจร ✅ ความพิเศษ ➡️ เป็นครั้งแรกที่ติดตามการรั่วไหลตลอดวงโคจรเต็มรอบ ➡️ หางหนึ่งตามหลัง อีกหางหนึ่งนำหน้า ✅ ความหมายทางวิทยาศาสตร์ ➡️ ช่วยเข้าใจการสูญเสียบรรยากาศของดาวเคราะห์ ➡️ อาจอธิบายการเปลี่ยนจากดาวแก๊สยักษ์เป็นดาวหิน ‼️ ข้อจำกัดและปริศนา ⛔ แบบจำลองปัจจุบันยังไม่สามารถอธิบายหางคู่ได้ครบถ้วน ⛔ ต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อสร้างแบบจำลอง 3D ที่แม่นยำ https://www.sciencealert.com/jwst-catches-record-breaking-planet-sprouting-two-enormous-tails
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    JWST Catches Record-Breaking Planet Sprouting Two Enormous Tails
    About 880 light-years from Earth, a hot mess of an exoplanet is slowly spilling its atmosphere into space, creating two enormous tails of helium that stretch more than halfway around its star.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวด่วน NASA สูญเสียการติดต่อกับยาน MAVEN ที่โคจรรอบดาวอังคาร

    องค์การ NASA ได้ยืนยันว่าไม่สามารถติดต่อกับยานอวกาศ MAVEN (Mars Atmosphere and Volatile Evolution) ได้ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2025 หลังจากที่มันโคจรผ่านด้านหลังดาวอังคารตามปกติ แต่เมื่อกลับออกมา ทีมควบคุมภาคพื้นดินไม่สามารถเชื่อมต่อสัญญาณได้อีก การสูญเสียการติดต่อครั้งนี้สร้างความกังวล เนื่องจาก MAVEN มีบทบาทสำคัญทั้งในงานวิจัยและการสื่อสารกับยานสำรวจบนพื้นผิวดาวอังคาร

    ภารกิจและความสำคัญของ MAVEN
    MAVEN ถูกส่งขึ้นจากโลกในปี 2013 และเข้าสู่วงโคจรดาวอังคารในปี 2014 ภารกิจหลักคือการศึกษาบรรยากาศชั้นบนและไอโอโนสเฟียร์ รวมถึงการโต้ตอบกับลมสุริยะ ข้อมูลที่ได้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจว่าทำไมดาวอังคารจากที่เคยมีน้ำมาก กลับกลายเป็นดาวที่แห้งแล้งและเย็นในปัจจุบัน

    ผลงานการค้นพบ
    ตลอดหลายปี MAVEN ได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญ เช่น การสูญเสียบรรยากาศที่พัดพาเอาน้ำออกสู่อวกาศ การค้นพบหางแม่เหล็กที่มองไม่เห็นของดาวอังคาร กลไก “sputtering” ที่เร่งการสูญเสียธาตุระเหย และแม้กระทั่งการค้นพบออโรราแบบใหม่ที่เกิดจากโปรตอน สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เข้าใจวิวัฒนาการของดาวเคราะห์ และเป็นข้อมูลสำคัญต่อการวางแผนภารกิจในอนาคต

    บทบาทด้านการสื่อสาร
    นอกจากงานวิจัย MAVEN ยังมีวิทยุ UHF ที่ทำหน้าที่เป็นเครือข่ายส่งข้อมูลระหว่างยานสำรวจบนพื้นผิว เช่น Curiosity และ Perseverance กลับมายังโลก การสูญเสียการติดต่อจึงไม่เพียงกระทบต่อการวิจัย แต่ยังอาจส่งผลต่อการสื่อสารของภารกิจอื่น ๆ ที่กำลังดำเนินอยู่

    สรุปสาระสำคัญ
    การสูญเสียการติดต่อกับ MAVEN
    เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2025 หลังจากโคจรผ่านด้านหลังดาวอังคาร
    ทีม NASA กำลังสืบหาสาเหตุและพยายามกู้คืนสัญญาณ

    ภารกิจหลักของ MAVEN
    ศึกษาบรรยากาศชั้นบนและไอโอโนสเฟียร์ของดาวอังคาร
    เปิดเผยกลไกการสูญเสียบรรยากาศและน้ำของดาวอังคาร

    ผลงานสำคัญที่ผ่านมา
    การค้นพบหางแม่เหล็กที่มองไม่เห็น
    การค้นพบออโรราโปรตอนชนิดใหม่

    บทบาทด้านการสื่อสาร
    ทำหน้าที่เป็นสถานีส่งข้อมูลระหว่างยานสำรวจบนพื้นผิวกับโลก

    คำเตือนและความเสี่ยง
    การสูญเสียการติดต่ออาจกระทบต่อการสื่อสารของยานสำรวจอื่น ๆ
    หากไม่สามารถกู้คืนได้ อาจสูญเสียข้อมูลสำคัญต่อการวิจัยและภารกิจในอนาคต

    https://www.sciencealert.com/nasa-confirms-it-has-lost-contact-with-mars-orbiter-maven
    ข่าวด่วน 🚀 NASA สูญเสียการติดต่อกับยาน MAVEN ที่โคจรรอบดาวอังคาร องค์การ NASA ได้ยืนยันว่าไม่สามารถติดต่อกับยานอวกาศ MAVEN (Mars Atmosphere and Volatile Evolution) ได้ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2025 หลังจากที่มันโคจรผ่านด้านหลังดาวอังคารตามปกติ แต่เมื่อกลับออกมา ทีมควบคุมภาคพื้นดินไม่สามารถเชื่อมต่อสัญญาณได้อีก การสูญเสียการติดต่อครั้งนี้สร้างความกังวล เนื่องจาก MAVEN มีบทบาทสำคัญทั้งในงานวิจัยและการสื่อสารกับยานสำรวจบนพื้นผิวดาวอังคาร 🌌 ภารกิจและความสำคัญของ MAVEN MAVEN ถูกส่งขึ้นจากโลกในปี 2013 และเข้าสู่วงโคจรดาวอังคารในปี 2014 ภารกิจหลักคือการศึกษาบรรยากาศชั้นบนและไอโอโนสเฟียร์ รวมถึงการโต้ตอบกับลมสุริยะ ข้อมูลที่ได้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจว่าทำไมดาวอังคารจากที่เคยมีน้ำมาก กลับกลายเป็นดาวที่แห้งแล้งและเย็นในปัจจุบัน 🔬 ผลงานการค้นพบ ตลอดหลายปี MAVEN ได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญ เช่น การสูญเสียบรรยากาศที่พัดพาเอาน้ำออกสู่อวกาศ การค้นพบหางแม่เหล็กที่มองไม่เห็นของดาวอังคาร กลไก “sputtering” ที่เร่งการสูญเสียธาตุระเหย และแม้กระทั่งการค้นพบออโรราแบบใหม่ที่เกิดจากโปรตอน สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เข้าใจวิวัฒนาการของดาวเคราะห์ และเป็นข้อมูลสำคัญต่อการวางแผนภารกิจในอนาคต 📡 บทบาทด้านการสื่อสาร นอกจากงานวิจัย MAVEN ยังมีวิทยุ UHF ที่ทำหน้าที่เป็นเครือข่ายส่งข้อมูลระหว่างยานสำรวจบนพื้นผิว เช่น Curiosity และ Perseverance กลับมายังโลก การสูญเสียการติดต่อจึงไม่เพียงกระทบต่อการวิจัย แต่ยังอาจส่งผลต่อการสื่อสารของภารกิจอื่น ๆ ที่กำลังดำเนินอยู่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การสูญเสียการติดต่อกับ MAVEN ➡️ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2025 หลังจากโคจรผ่านด้านหลังดาวอังคาร ➡️ ทีม NASA กำลังสืบหาสาเหตุและพยายามกู้คืนสัญญาณ ✅ ภารกิจหลักของ MAVEN ➡️ ศึกษาบรรยากาศชั้นบนและไอโอโนสเฟียร์ของดาวอังคาร ➡️ เปิดเผยกลไกการสูญเสียบรรยากาศและน้ำของดาวอังคาร ✅ ผลงานสำคัญที่ผ่านมา ➡️ การค้นพบหางแม่เหล็กที่มองไม่เห็น ➡️ การค้นพบออโรราโปรตอนชนิดใหม่ ✅ บทบาทด้านการสื่อสาร ➡️ ทำหน้าที่เป็นสถานีส่งข้อมูลระหว่างยานสำรวจบนพื้นผิวกับโลก ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ การสูญเสียการติดต่ออาจกระทบต่อการสื่อสารของยานสำรวจอื่น ๆ ⛔ หากไม่สามารถกู้คืนได้ อาจสูญเสียข้อมูลสำคัญต่อการวิจัยและภารกิจในอนาคต https://www.sciencealert.com/nasa-confirms-it-has-lost-contact-with-mars-orbiter-maven
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    NASA Confirms It Has Lost Contact With Mars Orbiter MAVEN
    NASA has officially lost contact with a spacecraft that has been orbiting Mars since 2014.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • Claude ล้มเหลวในการสร้างเว็บ Space Jam 1996

    บทความ “I failed to recreate the 1996 Space Jam Website with Claude” เล่าประสบการณ์ของผู้เขียนที่พยายามใช้ AI Claude เพื่อสร้างเว็บ Space Jam รุ่นปี 1996 ขึ้นมาใหม่จากภาพสกรีนช็อตและไฟล์ asset แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจาก Claude ไม่สามารถจัดการกับรายละเอียดเชิงพิกเซลและโครงสร้างเชิงเรขาคณิตได้แม่นยำ

    เว็บไซต์ Space Jam ปี 1996 ของ Warner Bros. ถือเป็นตัวอย่างคลาสสิกของยุคแรกเริ่มของการออกแบบเว็บ ด้วยพื้นหลัง GIF แบบดาวระยิบระยับและการจัดวางองค์ประกอบแบบ absolute positioning ผู้เขียนบทความพยายามใช้ AI Claude เพื่อสร้างเว็บนี้ขึ้นมาใหม่จากสกรีนช็อตและไฟล์ asset ที่มีอยู่ แต่ผลลัพธ์กลับไม่ตรงตามต้นฉบับ

    แม้ Claude จะสามารถเข้าใจโครงสร้างเชิงความหมาย เช่น “นี่คือดาวเคราะห์” หรือ “องค์ประกอบเหล่านี้จัดเรียงเป็นวงโคจร” แต่เมื่อถึงขั้นตอนการสร้าง HTML และ CSS กลับไม่สามารถจัดตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ การวิเคราะห์เชิงพิกเซล เช่น ระยะห่างหรือพิกัดที่แท้จริง กลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ผลลัพธ์ผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับ

    ผู้เขียนได้ทดลองหลายวิธี เช่น การใช้ grid overlays, การเปรียบเทียบภาพแบบ color-diff, และการแบ่งภาพออกเป็นส่วนย่อยเพื่อให้ Claude วิเคราะห์ แต่ทุกครั้ง Claude ยังคง “มั่นใจเกินจริง” ว่าผลงานของตนถูกต้อง ทั้งที่จริงแล้วตำแหน่งดาวเคราะห์และองค์ประกอบต่าง ๆ ยังผิดพลาดอยู่มาก

    บทความสรุปว่า Claude มีความสามารถในการเข้าใจเชิงความหมายของภาพ แต่ขาดความแม่นยำเชิงเรขาคณิตและพิกเซล ทำให้การสร้างเว็บที่ต้องการความเที่ยงตรงสูง เช่น Space Jam 1996 เป็นงานที่เกินขีดความสามารถของโมเดลในปัจจุบัน และสะท้อนข้อจำกัดของ AI ด้านการประมวลผลภาพเชิงโครงสร้าง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ความพยายามในการสร้างเว็บ Space Jam 1996
    ใช้ Claude พร้อมสกรีนช็อตและ asset ของเว็บต้นฉบับ
    ผลลัพธ์ใกล้เคียงแต่ไม่ตรงตามต้นฉบับ

    ข้อจำกัดของ Claude
    เข้าใจเชิงความหมายของภาพ เช่น การจัดเรียงเป็นวงโคจร
    ไม่สามารถวัดพิกเซลหรือจัดตำแหน่งได้แม่นยำ

    วิธีการที่ผู้เขียนลองใช้
    grid overlays และการเปรียบเทียบภาพแบบ color-diff
    การแบ่งภาพออกเป็นส่วนย่อยเพื่อวิเคราะห์

    คำเตือนจากบทความ
    Claude มักมั่นใจเกินจริงกับผลลัพธ์ที่ผิดพลาด
    AI ยังไม่พร้อมสำหรับงานที่ต้องการความเที่ยงตรงเชิงเรขาคณิตสูง

    https://j0nah.com/i-failed-to-recreate-the-1996-space-jam-website-with-claude
    🌐 Claude ล้มเหลวในการสร้างเว็บ Space Jam 1996 บทความ “I failed to recreate the 1996 Space Jam Website with Claude” เล่าประสบการณ์ของผู้เขียนที่พยายามใช้ AI Claude เพื่อสร้างเว็บ Space Jam รุ่นปี 1996 ขึ้นมาใหม่จากภาพสกรีนช็อตและไฟล์ asset แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจาก Claude ไม่สามารถจัดการกับรายละเอียดเชิงพิกเซลและโครงสร้างเชิงเรขาคณิตได้แม่นยำ เว็บไซต์ Space Jam ปี 1996 ของ Warner Bros. ถือเป็นตัวอย่างคลาสสิกของยุคแรกเริ่มของการออกแบบเว็บ ด้วยพื้นหลัง GIF แบบดาวระยิบระยับและการจัดวางองค์ประกอบแบบ absolute positioning ผู้เขียนบทความพยายามใช้ AI Claude เพื่อสร้างเว็บนี้ขึ้นมาใหม่จากสกรีนช็อตและไฟล์ asset ที่มีอยู่ แต่ผลลัพธ์กลับไม่ตรงตามต้นฉบับ แม้ Claude จะสามารถเข้าใจโครงสร้างเชิงความหมาย เช่น “นี่คือดาวเคราะห์” หรือ “องค์ประกอบเหล่านี้จัดเรียงเป็นวงโคจร” แต่เมื่อถึงขั้นตอนการสร้าง HTML และ CSS กลับไม่สามารถจัดตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ การวิเคราะห์เชิงพิกเซล เช่น ระยะห่างหรือพิกัดที่แท้จริง กลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ผลลัพธ์ผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับ ผู้เขียนได้ทดลองหลายวิธี เช่น การใช้ grid overlays, การเปรียบเทียบภาพแบบ color-diff, และการแบ่งภาพออกเป็นส่วนย่อยเพื่อให้ Claude วิเคราะห์ แต่ทุกครั้ง Claude ยังคง “มั่นใจเกินจริง” ว่าผลงานของตนถูกต้อง ทั้งที่จริงแล้วตำแหน่งดาวเคราะห์และองค์ประกอบต่าง ๆ ยังผิดพลาดอยู่มาก บทความสรุปว่า Claude มีความสามารถในการเข้าใจเชิงความหมายของภาพ แต่ขาดความแม่นยำเชิงเรขาคณิตและพิกเซล ทำให้การสร้างเว็บที่ต้องการความเที่ยงตรงสูง เช่น Space Jam 1996 เป็นงานที่เกินขีดความสามารถของโมเดลในปัจจุบัน และสะท้อนข้อจำกัดของ AI ด้านการประมวลผลภาพเชิงโครงสร้าง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ความพยายามในการสร้างเว็บ Space Jam 1996 ➡️ ใช้ Claude พร้อมสกรีนช็อตและ asset ของเว็บต้นฉบับ ➡️ ผลลัพธ์ใกล้เคียงแต่ไม่ตรงตามต้นฉบับ ✅ ข้อจำกัดของ Claude ➡️ เข้าใจเชิงความหมายของภาพ เช่น การจัดเรียงเป็นวงโคจร ➡️ ไม่สามารถวัดพิกเซลหรือจัดตำแหน่งได้แม่นยำ ✅ วิธีการที่ผู้เขียนลองใช้ ➡️ grid overlays และการเปรียบเทียบภาพแบบ color-diff ➡️ การแบ่งภาพออกเป็นส่วนย่อยเพื่อวิเคราะห์ ‼️ คำเตือนจากบทความ ⛔ Claude มักมั่นใจเกินจริงกับผลลัพธ์ที่ผิดพลาด ⛔ AI ยังไม่พร้อมสำหรับงานที่ต้องการความเที่ยงตรงเชิงเรขาคณิตสูง https://j0nah.com/i-failed-to-recreate-the-1996-space-jam-website-with-claude
    J0NAH.COM
    I failed to recreate the 1996 Space Jam Website with Claude | j0nah.com
    Can Claude Recreate the 1996 Space Jam Website? No. Or at least not with my prompting skills.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดาวเทียม SWOT จับภาพสึนามิครั้งแรก เปลี่ยนความเข้าใจเรื่องคลื่นยักษ์

    เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2025 เกิดแผ่นดินไหวใต้น้ำขนาด 8.8 บริเวณคาบสมุทรคัมชัตกา ประเทศรัสเซีย ส่งผลให้เกิดสึนามิรุนแรงในมหาสมุทรแปซิฟิก โชคดีที่ดาวเทียม SWOT (Surface Water and Ocean Topography) ของ NASA และ CNES กำลังโคจรผ่านพอดี จึงสามารถบันทึกภาพความเคลื่อนไหวของคลื่นได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

    ภาพถ่ายที่ท้าทายทฤษฎีเดิม
    ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสึนามิเป็นคลื่นที่เคลื่อนที่แบบ non-dispersive คือเป็นแรงเดียวต่อเนื่อง แต่ข้อมูลจาก SWOT กลับแสดงให้เห็นว่า คลื่นหลักตามมาด้วย wavetrain หรือชุดคลื่นเล็ก ๆ ต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับโมเดล dispersive wave มากกว่า การค้นพบนี้อาจเปลี่ยนวิธีการจำลองและพยากรณ์สึนามิในอนาคต

    ความหวังใหม่ในการเตือนภัย
    การที่ SWOT สามารถจับภาพสึนามิได้อย่างละเอียด ทำให้นักวิทยาศาสตร์มั่นใจว่าจะสามารถพัฒนาโมเดลการคาดการณ์ที่แม่นยำขึ้น ส่งผลให้ระบบเตือนภัยล่วงหน้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน Nadya Vinogradova Shiffer นักวิทยาศาสตร์ของ NASA กล่าวว่านี่คือ “การปลดล็อกฟิสิกส์ใหม่ และก้าวสู่การเตือนภัยที่แม่นยำและปลอดภัยกว่าเดิม”

    ความท้าทายของ NASA
    แม้จะมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ แต่ NASA กำลังเผชิญกับการลดงบประมาณครั้งใหญ่ถึง 47% ซึ่งอาจทำให้หลายภารกิจสำคัญถูกยกเลิก เช่น การสำรวจดาวอังคาร, กล้องโทรทรรศน์ใหม่สำหรับศึกษาหลุมดำและดาวเคราะห์นอกระบบ, รวมถึงโครงการศึกษาดาวศุกร์และดาวเคราะห์น้อยที่อาจชนโลกในปี 2029

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การค้นพบครั้งสำคัญ
    SWOT จับภาพสึนามิครั้งแรกในโลก
    พบว่าคลื่นสึนามิเป็นแบบ dispersive มี wavetrain ต่อเนื่อง

    ผลต่อการวิจัยและเตือนภัย
    โมเดลใหม่ช่วยคาดการณ์แม่นยำขึ้น
    เพิ่มโอกาสเตือนภัยล่วงหน้า ลดความสูญเสีย

    ความท้าทายของ NASA
    เผชิญการลดงบประมาณ 47% จากรัฐบาล
    เสี่ยงต่อการถูกยกเลิกภารกิจสำคัญหลายโครงการ

    https://www.slashgear.com/2044447/nasa-swat-satellite-first-tsunami-images/
    🌊 ดาวเทียม SWOT จับภาพสึนามิครั้งแรก เปลี่ยนความเข้าใจเรื่องคลื่นยักษ์ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2025 เกิดแผ่นดินไหวใต้น้ำขนาด 8.8 บริเวณคาบสมุทรคัมชัตกา ประเทศรัสเซีย ส่งผลให้เกิดสึนามิรุนแรงในมหาสมุทรแปซิฟิก โชคดีที่ดาวเทียม SWOT (Surface Water and Ocean Topography) ของ NASA และ CNES กำลังโคจรผ่านพอดี จึงสามารถบันทึกภาพความเคลื่อนไหวของคลื่นได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 📡 ภาพถ่ายที่ท้าทายทฤษฎีเดิม ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสึนามิเป็นคลื่นที่เคลื่อนที่แบบ non-dispersive คือเป็นแรงเดียวต่อเนื่อง แต่ข้อมูลจาก SWOT กลับแสดงให้เห็นว่า คลื่นหลักตามมาด้วย wavetrain หรือชุดคลื่นเล็ก ๆ ต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับโมเดล dispersive wave มากกว่า การค้นพบนี้อาจเปลี่ยนวิธีการจำลองและพยากรณ์สึนามิในอนาคต 🛡️ ความหวังใหม่ในการเตือนภัย การที่ SWOT สามารถจับภาพสึนามิได้อย่างละเอียด ทำให้นักวิทยาศาสตร์มั่นใจว่าจะสามารถพัฒนาโมเดลการคาดการณ์ที่แม่นยำขึ้น ส่งผลให้ระบบเตือนภัยล่วงหน้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน Nadya Vinogradova Shiffer นักวิทยาศาสตร์ของ NASA กล่าวว่านี่คือ “การปลดล็อกฟิสิกส์ใหม่ และก้าวสู่การเตือนภัยที่แม่นยำและปลอดภัยกว่าเดิม” 🚀 ความท้าทายของ NASA แม้จะมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ แต่ NASA กำลังเผชิญกับการลดงบประมาณครั้งใหญ่ถึง 47% ซึ่งอาจทำให้หลายภารกิจสำคัญถูกยกเลิก เช่น การสำรวจดาวอังคาร, กล้องโทรทรรศน์ใหม่สำหรับศึกษาหลุมดำและดาวเคราะห์นอกระบบ, รวมถึงโครงการศึกษาดาวศุกร์และดาวเคราะห์น้อยที่อาจชนโลกในปี 2029 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การค้นพบครั้งสำคัญ ➡️ SWOT จับภาพสึนามิครั้งแรกในโลก ➡️ พบว่าคลื่นสึนามิเป็นแบบ dispersive มี wavetrain ต่อเนื่อง ✅ ผลต่อการวิจัยและเตือนภัย ➡️ โมเดลใหม่ช่วยคาดการณ์แม่นยำขึ้น ➡️ เพิ่มโอกาสเตือนภัยล่วงหน้า ลดความสูญเสีย ‼️ ความท้าทายของ NASA ⛔ เผชิญการลดงบประมาณ 47% จากรัฐบาล ⛔ เสี่ยงต่อการถูกยกเลิกภารกิจสำคัญหลายโครงการ https://www.slashgear.com/2044447/nasa-swat-satellite-first-tsunami-images/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    New NASA Satellite Photos Could Change The Way We Understand Tsunamis - SlashGear
    The satellite that took the photos belongs to Surface Water and Ocean Topography (SWOT), a joint venture between NASA and the French space agency CNES.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ปัญหาทางเทคนิคส่วนใหญ่ จริง ๆ แล้วคือปัญหาคน"

    บทความนี้เล่าประสบการณ์จากผู้เขียนที่เคยทำงานในบริษัทที่มี technical debt มหาศาล — โค้ดหลายล้านบรรทัด ไม่มี unit tests และใช้ framework ที่ล้าสมัย ปัญหาที่ดูเหมือนเป็นเรื่องเทคนิคจริง ๆ แล้วกลับมีรากเหง้ามาจาก การจัดการคนและวัฒนธรรมองค์กร มากกว่าตัวเทคโนโลยีเอง

    ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่า การแก้ปัญหาทางเทคนิคมักไม่สำเร็จ หากไม่มีการแก้ปัญหาความร่วมมือในทีม เช่น การสื่อสารที่ไม่ชัดเจน การขาดความรับผิดชอบร่วมกัน หรือการตัดสินใจที่ไม่โปร่งใส สิ่งเหล่านี้ทำให้โค้ดและระบบสะสมปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็น technical debt ที่ยากจะแก้ไข

    นอกจากนี้ยังกล่าวถึง ความสำคัญของการสร้างวัฒนธรรมทีมที่ดี เช่น การเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา การยอมรับความผิดพลาด และการสนับสนุนให้ทีมเรียนรู้จากกันและกัน เพราะสุดท้ายแล้ว เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ แต่คนคือผู้ที่ทำให้ระบบเดินไปข้างหน้าได้จริง

    บทเรียนสำคัญคือ หากองค์กรอยากแก้ปัญหาทางเทคนิคอย่างยั่งยืน ต้องเริ่มจากการแก้ปัญหาคน — การสร้างทีมที่มีความไว้วางใจ การสื่อสารที่ดี และการจัดการที่โปร่งใส จะช่วยลด technical debt และทำให้การพัฒนาระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สาเหตุของปัญหาทางเทคนิค
    Technical debt มหาศาลจากโค้ดที่ไม่มีการทดสอบและ framework ล้าสมัย
    ปัญหาคน เช่น การสื่อสารไม่ชัดเจน และการตัดสินใจที่ไม่โปร่งใส

    วิธีแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
    สร้างวัฒนธรรมทีมที่ดี เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วม
    ยอมรับและเรียนรู้จากความผิดพลาด
    ส่งเสริมความรับผิดชอบร่วมกัน

    ข้อควรระวัง
    การแก้ปัญหาทางเทคนิคโดยไม่แก้ปัญหาคน จะทำให้ technical debt สะสมต่อไป
    การขาดความไว้วางใจในทีม อาจทำให้โครงการล้มเหลวแม้มีเทคโนโลยีที่ดี

    https://blog.joeschrag.com/2023/11/most-technical-problems-are-really.html
    👥 "ปัญหาทางเทคนิคส่วนใหญ่ จริง ๆ แล้วคือปัญหาคน" บทความนี้เล่าประสบการณ์จากผู้เขียนที่เคยทำงานในบริษัทที่มี technical debt มหาศาล — โค้ดหลายล้านบรรทัด ไม่มี unit tests และใช้ framework ที่ล้าสมัย ปัญหาที่ดูเหมือนเป็นเรื่องเทคนิคจริง ๆ แล้วกลับมีรากเหง้ามาจาก การจัดการคนและวัฒนธรรมองค์กร มากกว่าตัวเทคโนโลยีเอง ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่า การแก้ปัญหาทางเทคนิคมักไม่สำเร็จ หากไม่มีการแก้ปัญหาความร่วมมือในทีม เช่น การสื่อสารที่ไม่ชัดเจน การขาดความรับผิดชอบร่วมกัน หรือการตัดสินใจที่ไม่โปร่งใส สิ่งเหล่านี้ทำให้โค้ดและระบบสะสมปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็น technical debt ที่ยากจะแก้ไข นอกจากนี้ยังกล่าวถึง ความสำคัญของการสร้างวัฒนธรรมทีมที่ดี เช่น การเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา การยอมรับความผิดพลาด และการสนับสนุนให้ทีมเรียนรู้จากกันและกัน เพราะสุดท้ายแล้ว เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ แต่คนคือผู้ที่ทำให้ระบบเดินไปข้างหน้าได้จริง บทเรียนสำคัญคือ หากองค์กรอยากแก้ปัญหาทางเทคนิคอย่างยั่งยืน ต้องเริ่มจากการแก้ปัญหาคน — การสร้างทีมที่มีความไว้วางใจ การสื่อสารที่ดี และการจัดการที่โปร่งใส จะช่วยลด technical debt และทำให้การพัฒนาระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สาเหตุของปัญหาทางเทคนิค ➡️ Technical debt มหาศาลจากโค้ดที่ไม่มีการทดสอบและ framework ล้าสมัย ➡️ ปัญหาคน เช่น การสื่อสารไม่ชัดเจน และการตัดสินใจที่ไม่โปร่งใส ✅ วิธีแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ➡️ สร้างวัฒนธรรมทีมที่ดี เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วม ➡️ ยอมรับและเรียนรู้จากความผิดพลาด ➡️ ส่งเสริมความรับผิดชอบร่วมกัน ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การแก้ปัญหาทางเทคนิคโดยไม่แก้ปัญหาคน จะทำให้ technical debt สะสมต่อไป ⛔ การขาดความไว้วางใจในทีม อาจทำให้โครงการล้มเหลวแม้มีเทคโนโลยีที่ดี https://blog.joeschrag.com/2023/11/most-technical-problems-are-really.html
    BLOG.JOESCHRAG.COM
    Most Technical Problems Are Really People Problems
    I once worked at a company which had an enormous amount of technical debt - millions of lines of code, no unit tests, based on frameworks ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดราม่าเดือดแยกเกษตร! ม.เกษตรฯ ออกตัวไม่เห็นด้วยมติ คจร. ที่จะเปลี่ยนอุโมงค์แยกเกษตรเป็น “ทางด่วนเก็บเงิน 30 บาท” ยันไม่เคยถูกหน่วยงานรัฐหารือก่อน ชี้หากจะทำทางด่วนต้อง “มุดดิน” เท่านั้น พร้อมหนุนรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลแทน บอกอย่าเสียเวลาเดินหน้าโครงการที่ประชาชนงงกันทั้งบาง
    .
    อ่านต่อ >>> https://news1live.com/detail/9680000116828
    .
    #News1live #News1 #แยกเกษตร #มเกษตร #ทางด่วน30บาท #คจร #คมนาคม
    ดราม่าเดือดแยกเกษตร! ม.เกษตรฯ ออกตัวไม่เห็นด้วยมติ คจร. ที่จะเปลี่ยนอุโมงค์แยกเกษตรเป็น “ทางด่วนเก็บเงิน 30 บาท” ยันไม่เคยถูกหน่วยงานรัฐหารือก่อน ชี้หากจะทำทางด่วนต้อง “มุดดิน” เท่านั้น พร้อมหนุนรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลแทน บอกอย่าเสียเวลาเดินหน้าโครงการที่ประชาชนงงกันทั้งบาง . อ่านต่อ >>> https://news1live.com/detail/9680000116828 . #News1live #News1 #แยกเกษตร #มเกษตร #ทางด่วน30บาท #คจร #คมนาคม
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 468 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซูเปอร์คอมชี้! 2 ทีมเต็งแชมป์ UCL มี 1 ทีมหลุดวงโคจร? 28/11/68 #ซูเปอร์คอม #ทำนายเต็งแชมป์ UCL #แชมเปียนส์ลีก
    ซูเปอร์คอมชี้! 2 ทีมเต็งแชมป์ UCL มี 1 ทีมหลุดวงโคจร? 28/11/68 #ซูเปอร์คอม #ทำนายเต็งแชมป์ UCL #แชมเปียนส์ลีก
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 425 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Pichai มองอนาคต Quantum Computing

    Sundar Pichai กล่าวในพอดแคสต์ Google AI: Release Notes ว่าโลกจะรู้สึกถึง “ความตื่นเต้นหายใจไม่ทั่วท้อง” (breathless excitement) เกี่ยวกับ Quantum Computing ภายใน 5 ปีข้างหน้า เขาเปรียบเทียบกับกระแส AI ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยมองว่า Quantum Computing จะเป็น Next Paradigm Shift ที่ต่อยอดจากความสำเร็จของ AI

    เขาย้อนเล่าถึงการวางกลยุทธ์ AI-first ตั้งแต่ปี 2016 ที่เริ่มจากงานวิจัย Google Brain และการเข้าซื้อกิจการ DeepMind ซึ่งนำไปสู่ชัยชนะของ AlphaGo และการเปิดตัว Tensor Processing Unit (TPU) รุ่นแรกในปีเดียวกัน

    Gemini 3 และ Nano Banana Pro
    Pichai กล่าวถึงการเปิดตัว Gemini 3 และ Nano Banana Pro ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์งานได้ตามจินตนาการ โดยเฉพาะ Nano Banana Pro ที่โดดเด่นในการสร้าง Infographics และงานภาพเชิงข้อมูล เขายังคาดหวังว่า Gemini 3.0 Flash จะเป็นโมเดลที่ดีที่สุดของ Google และช่วยให้บริการ AI เข้าถึงผู้ใช้ในวงกว้างมากขึ้น

    Project Suncatcher และ Data Center ในอวกาศ
    อีกหนึ่งไฮไลต์คือการพูดถึง Project Suncatcher ซึ่งเป็นแผนการสร้าง Data Center ในอวกาศภายในปี 2027 เพื่อรองรับความต้องการพลังประมวลผลมหาศาลในอนาคต Pichai มองว่าแนวคิดนี้แม้ดูเหนือจริง แต่ก็สมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาถึงความต้องการด้านคอมพิวเตอร์ในอนาคต เขายังหยอกล้อว่า TPU ในอวกาศอาจเจอกับ Tesla Roadster ที่ลอยอยู่ในวงโคจร

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Pichai คาดการณ์ Quantum Computing จะสร้างความตื่นเต้นภายใน 5 ปี
    เปรียบเทียบกับกระแส AI ในปัจจุบัน
    มองว่าเป็น Paradigm Shift ถัดไป

    Google AI-first Strategy ตั้งแต่ปี 2016
    เริ่มจาก Google Brain และ DeepMind
    เปิดตัว TPU รุ่นแรกในปีเดียวกัน

    Gemini 3 และ Nano Banana Pro เปิดตัวแล้ว
    Nano Banana Pro เด่นด้าน Infographics
    Gemini 3.0 Flash อาจเป็นโมเดลที่ดีที่สุด

    Project Suncatcher: Data Center ในอวกาศปี 2027
    รองรับความต้องการพลังประมวลผลอนาคต
    แนวคิดแม้ดูเหนือจริงแต่มีเหตุผล

    คำเตือนสำหรับผู้ติดตามเทคโนโลยี
    Quantum Computing ยังอยู่ในระยะวิจัย ไม่พร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์ทันที
    Project Suncatcher ยังเป็นแผนการทดลอง อาจมีความเสี่ยงด้านต้นทุนและเทคโนโลยี

    https://securityonline.info/pichai-forecast-quantum-computing-will-reach-breathless-excitement-in-five-years/
    🔮 Pichai มองอนาคต Quantum Computing Sundar Pichai กล่าวในพอดแคสต์ Google AI: Release Notes ว่าโลกจะรู้สึกถึง “ความตื่นเต้นหายใจไม่ทั่วท้อง” (breathless excitement) เกี่ยวกับ Quantum Computing ภายใน 5 ปีข้างหน้า เขาเปรียบเทียบกับกระแส AI ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยมองว่า Quantum Computing จะเป็น Next Paradigm Shift ที่ต่อยอดจากความสำเร็จของ AI เขาย้อนเล่าถึงการวางกลยุทธ์ AI-first ตั้งแต่ปี 2016 ที่เริ่มจากงานวิจัย Google Brain และการเข้าซื้อกิจการ DeepMind ซึ่งนำไปสู่ชัยชนะของ AlphaGo และการเปิดตัว Tensor Processing Unit (TPU) รุ่นแรกในปีเดียวกัน 🚀 Gemini 3 และ Nano Banana Pro Pichai กล่าวถึงการเปิดตัว Gemini 3 และ Nano Banana Pro ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์งานได้ตามจินตนาการ โดยเฉพาะ Nano Banana Pro ที่โดดเด่นในการสร้าง Infographics และงานภาพเชิงข้อมูล เขายังคาดหวังว่า Gemini 3.0 Flash จะเป็นโมเดลที่ดีที่สุดของ Google และช่วยให้บริการ AI เข้าถึงผู้ใช้ในวงกว้างมากขึ้น 🌌 Project Suncatcher และ Data Center ในอวกาศ อีกหนึ่งไฮไลต์คือการพูดถึง Project Suncatcher ซึ่งเป็นแผนการสร้าง Data Center ในอวกาศภายในปี 2027 เพื่อรองรับความต้องการพลังประมวลผลมหาศาลในอนาคต Pichai มองว่าแนวคิดนี้แม้ดูเหนือจริง แต่ก็สมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาถึงความต้องการด้านคอมพิวเตอร์ในอนาคต เขายังหยอกล้อว่า TPU ในอวกาศอาจเจอกับ Tesla Roadster ที่ลอยอยู่ในวงโคจร 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Pichai คาดการณ์ Quantum Computing จะสร้างความตื่นเต้นภายใน 5 ปี ➡️ เปรียบเทียบกับกระแส AI ในปัจจุบัน ➡️ มองว่าเป็น Paradigm Shift ถัดไป ✅ Google AI-first Strategy ตั้งแต่ปี 2016 ➡️ เริ่มจาก Google Brain และ DeepMind ➡️ เปิดตัว TPU รุ่นแรกในปีเดียวกัน ✅ Gemini 3 และ Nano Banana Pro เปิดตัวแล้ว ➡️ Nano Banana Pro เด่นด้าน Infographics ➡️ Gemini 3.0 Flash อาจเป็นโมเดลที่ดีที่สุด ✅ Project Suncatcher: Data Center ในอวกาศปี 2027 ➡️ รองรับความต้องการพลังประมวลผลอนาคต ➡️ แนวคิดแม้ดูเหนือจริงแต่มีเหตุผล ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ติดตามเทคโนโลยี ⛔ Quantum Computing ยังอยู่ในระยะวิจัย ไม่พร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์ทันที ⛔ Project Suncatcher ยังเป็นแผนการทดลอง อาจมีความเสี่ยงด้านต้นทุนและเทคโนโลยี https://securityonline.info/pichai-forecast-quantum-computing-will-reach-breathless-excitement-in-five-years/
    SECURITYONLINE.INFO
    Pichai Forecast: Quantum Computing Will Reach 'Breathless Excitement' in Five Years
    Google CEO Sundar Pichai forecasts quantum computing will match today's AI excitement in 5 years. He also touched on Gemini 3's success and Project Suncatcher (space data centers).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Amazon เผชิญศึกกฎหมายในฝรั่งเศส: ใบอนุญาตดาวเทียมอินเทอร์เน็ตถูกท้าทาย”

    Amazon ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลโทรคมนาคมของฝรั่งเศส (Arcep) ให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับโครงการดาวเทียมอินเทอร์เน็ตเป็นเวลา 10 ปี เพื่อสร้างเครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) แข่งกับผู้เล่นรายใหญ่อย่าง SpaceX และ OneWeb อย่างไรก็ตาม สหภาพแรงงาน CFE-CGC Telecoms ได้ยื่นฟ้องต่อศาลสูงสุดของฝรั่งเศสเพื่อขอให้ยกเลิกการอนุญาตดังกล่าว

    แรงงานมองว่าการให้สิทธิ์ Amazon อาจสร้างความเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ เนื่องจากข้อมูลการสื่อสารอาจถูกควบคุมโดยบริษัทต่างชาติ อีกทั้งยังตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการอนุมัติและผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมฝรั่งเศส

    กรณีนี้ถือเป็นการทดสอบครั้งใหญ่สำหรับความทะเยอทะยานของ Amazon ในการเข้าสู่ธุรกิจอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือภูมิภาคที่โครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตยังไม่ครอบคลุม

    แม้จะมีความท้าทายทางกฎหมาย แต่ Amazon ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการดาวเทียม Kuiper ที่ตั้งเป้าจะให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลก และมองว่าการแข่งขันกับ SpaceX จะเป็นแรงผลักดันให้เทคโนโลยีนี้เข้าถึงผู้ใช้ได้เร็วขึ้น

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การอนุญาตจาก Arcep
    Amazon ได้สิทธิ์ใช้คลื่นความถี่ดาวเทียม 10 ปี
    โครงการ Kuiper ตั้งเป้าให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลก

    การฟ้องร้องโดยสหภาพแรงงานฝรั่งเศส
    ยื่นต่อศาลสูงสุดเพื่อยกเลิกใบอนุญาต
    ตั้งข้อสงสัยเรื่องความโปร่งใสและผลกระทบต่อการแข่งขัน

    เป้าหมายของ Amazon
    แข่งขันกับ SpaceX และ OneWeb ในตลาดดาวเทียมอินเทอร์เน็ต
    เน้นพื้นที่ชนบทและภูมิภาคที่ขาดโครงสร้างพื้นฐาน

    ข้อกังวลด้านความมั่นคงและข้อมูล
    การควบคุมข้อมูลโดยบริษัทต่างชาติอาจเสี่ยงต่อความมั่นคง
    อาจกระทบต่อผู้ให้บริการโทรคมนาคมท้องถิ่น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/25/amazon039s-satellite-internet-licence-faces-legal-challenge-in-france
    🚀 “Amazon เผชิญศึกกฎหมายในฝรั่งเศส: ใบอนุญาตดาวเทียมอินเทอร์เน็ตถูกท้าทาย” Amazon ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลโทรคมนาคมของฝรั่งเศส (Arcep) ให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับโครงการดาวเทียมอินเทอร์เน็ตเป็นเวลา 10 ปี เพื่อสร้างเครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) แข่งกับผู้เล่นรายใหญ่อย่าง SpaceX และ OneWeb อย่างไรก็ตาม สหภาพแรงงาน CFE-CGC Telecoms ได้ยื่นฟ้องต่อศาลสูงสุดของฝรั่งเศสเพื่อขอให้ยกเลิกการอนุญาตดังกล่าว แรงงานมองว่าการให้สิทธิ์ Amazon อาจสร้างความเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ เนื่องจากข้อมูลการสื่อสารอาจถูกควบคุมโดยบริษัทต่างชาติ อีกทั้งยังตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการอนุมัติและผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมฝรั่งเศส กรณีนี้ถือเป็นการทดสอบครั้งใหญ่สำหรับความทะเยอทะยานของ Amazon ในการเข้าสู่ธุรกิจอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือภูมิภาคที่โครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตยังไม่ครอบคลุม แม้จะมีความท้าทายทางกฎหมาย แต่ Amazon ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการดาวเทียม Kuiper ที่ตั้งเป้าจะให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลก และมองว่าการแข่งขันกับ SpaceX จะเป็นแรงผลักดันให้เทคโนโลยีนี้เข้าถึงผู้ใช้ได้เร็วขึ้น 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การอนุญาตจาก Arcep ➡️ Amazon ได้สิทธิ์ใช้คลื่นความถี่ดาวเทียม 10 ปี ➡️ โครงการ Kuiper ตั้งเป้าให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลก ✅ การฟ้องร้องโดยสหภาพแรงงานฝรั่งเศส ➡️ ยื่นต่อศาลสูงสุดเพื่อยกเลิกใบอนุญาต ➡️ ตั้งข้อสงสัยเรื่องความโปร่งใสและผลกระทบต่อการแข่งขัน ✅ เป้าหมายของ Amazon ➡️ แข่งขันกับ SpaceX และ OneWeb ในตลาดดาวเทียมอินเทอร์เน็ต ➡️ เน้นพื้นที่ชนบทและภูมิภาคที่ขาดโครงสร้างพื้นฐาน ‼️ ข้อกังวลด้านความมั่นคงและข้อมูล ⛔ การควบคุมข้อมูลโดยบริษัทต่างชาติอาจเสี่ยงต่อความมั่นคง ⛔ อาจกระทบต่อผู้ให้บริการโทรคมนาคมท้องถิ่น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/25/amazon039s-satellite-internet-licence-faces-legal-challenge-in-france
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Amazon's satellite internet licence faces legal challenge in France
    (Reuters) -A French union filed a legal challenge on Monday against a decision by the country's telecoms regulator to grant radio spectrum to Amazon's satellite internet service, the biggest test yet of the U.S. tech giant's broadband ambitions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • Dark Matter อาจจะเกี่ยวข้องกับมิติที่ห้า

    บทความจาก SlashGear อธิบายแนวคิดใหม่ว่า Dark Matter อาจไม่ได้เป็นอนุภาคลึกลับ แต่เป็นผลจากฟิสิกส์ที่เกิดขึ้นใน มิติที่ห้า ซึ่งซ่อนอยู่ในจักรวาล และอาจเป็นกุญแจสำคัญในการอธิบายแรงโน้มถ่วงและโครงสร้างของกาแล็กซี

    นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบของปริศนา Dark Matter มานาน โดยล่าสุดมีการเสนอทฤษฎี “Dark Dimension Scenario” ที่อธิบายว่า นอกจาก 4 มิติที่เรารู้จัก (3 มิติของพื้นที่ + เวลา) อาจมีมิติที่ห้าแบบกะทัดรัดซ่อนอยู่ ซึ่งสามารถสร้างอนุภาคหนัก เช่น Graviton ที่ทำหน้าที่เหมือน Dark Matter และช่วยเติมเต็ม “มวลที่หายไป” ของจักรวาล

    การอธิบายด้วยภาพเปรียบเทียบ
    บทความเปรียบเทียบว่า Dark Matter ทำหน้าที่เหมือน “น้ำหนักที่มองไม่เห็น” คอยดึงดาวฤกษ์ในกาแล็กซีให้อยู่ในวงโคจร ไม่ให้หลุดออกไปเหมือนรถแข่ง NASCAR ที่ต้องมีแรงกดถ่วงไว้บนสนาม นอกจากนี้ยังเปรียบกับ Tesseract ใน Avengers ที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกและมิติอื่น ซึ่ง Dark Matter อาจอยู่ใน “อีกด้านหนึ่ง” ของมิติที่ห้า ทำให้เราเห็นผลกระทบแต่ไม่สามารถมองเห็นโดยตรง

    ผลกระทบต่อการวิจัยฟิสิกส์
    หากทฤษฎีนี้ถูกพิสูจน์ได้ จะเป็นการเปิดประตูสู่ฟิสิกส์ใหม่ที่อยู่นอกเหนือโลก 4 มิติที่เรารู้จัก นักวิทยาศาสตร์กำลังสร้างเครื่องมือและหอสังเกตการณ์ใหม่เพื่อค้นหาสัญญาณ เช่น Gravitational Lensing ที่แสงถูกบิดเบี้ยวด้วยแรงโน้มถ่วงของ Dark Matter หากพบอนุภาคใหม่ที่เชื่อมโยงสสารปกติและ Dark Matter จะเป็นหลักฐานตรงครั้งแรกของฟิสิกส์ในมิติที่ห้า

    ความหมายต่อจักรวาล
    การค้นพบมิติที่ห้าอาจทำให้เราเข้าใจแรงโน้มถ่วงที่อ่อนกว่าพลังอื่น ๆ และอธิบายการก่อตัวของกาแล็กซีได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังขยายขอบเขตการทดลองทางฟิสิกส์ในอนาคต และอาจเปลี่ยนวิธีที่มนุษย์มองจักรวาลไปตลอดกาล

    สรุปสาระสำคัญ
    แนวคิด Dark Dimension Scenario
    เสนอว่ามีมิติที่ห้าซ่อนอยู่ในจักรวาล
    อาจสร้างอนุภาคหนักที่ทำหน้าที่เหมือน Dark Matter

    การเปรียบเทียบเพื่อความเข้าใจ
    Dark Matter เหมือนน้ำหนักที่มองไม่เห็นคอยดึงดาวให้อยู่ในวงโคจร
    เปรียบกับ Tesseract ใน Avengers ที่เชื่อมโลกกับมิติอื่น

    ผลกระทบต่อการวิจัย
    อาจค้นพบอนุภาคใหม่ที่เชื่อมสสารปกติและ Dark Matter
    ใช้การสังเกต Gravitational Lensing เป็นหลักฐานสำคัญ

    ความหมายต่อจักรวาล
    อธิบายแรงโน้มถ่วงและการก่อตัวของกาแล็กซีได้ดียิ่งขึ้น
    ขยายขอบเขตฟิสิกส์และการทดลองในอนาคต

    คำเตือนด้านข้อมูล
    ทฤษฎียังอยู่ในขั้นสมมติ ต้องการหลักฐานเชิงทดลองเพิ่มเติม
    การตีความผิดอาจทำให้เข้าใจ Dark Matter และแรงโน้มถ่วงคลาดเคลื่อน

    https://www.slashgear.com/2030177/dark-matter-fifth-dimension-wed-theory/
    🌌 Dark Matter อาจจะเกี่ยวข้องกับมิติที่ห้า บทความจาก SlashGear อธิบายแนวคิดใหม่ว่า Dark Matter อาจไม่ได้เป็นอนุภาคลึกลับ แต่เป็นผลจากฟิสิกส์ที่เกิดขึ้นใน มิติที่ห้า ซึ่งซ่อนอยู่ในจักรวาล และอาจเป็นกุญแจสำคัญในการอธิบายแรงโน้มถ่วงและโครงสร้างของกาแล็กซี นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบของปริศนา Dark Matter มานาน โดยล่าสุดมีการเสนอทฤษฎี “Dark Dimension Scenario” ที่อธิบายว่า นอกจาก 4 มิติที่เรารู้จัก (3 มิติของพื้นที่ + เวลา) อาจมีมิติที่ห้าแบบกะทัดรัดซ่อนอยู่ ซึ่งสามารถสร้างอนุภาคหนัก เช่น Graviton ที่ทำหน้าที่เหมือน Dark Matter และช่วยเติมเต็ม “มวลที่หายไป” ของจักรวาล 🌀 การอธิบายด้วยภาพเปรียบเทียบ บทความเปรียบเทียบว่า Dark Matter ทำหน้าที่เหมือน “น้ำหนักที่มองไม่เห็น” คอยดึงดาวฤกษ์ในกาแล็กซีให้อยู่ในวงโคจร ไม่ให้หลุดออกไปเหมือนรถแข่ง NASCAR ที่ต้องมีแรงกดถ่วงไว้บนสนาม นอกจากนี้ยังเปรียบกับ Tesseract ใน Avengers ที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกและมิติอื่น ซึ่ง Dark Matter อาจอยู่ใน “อีกด้านหนึ่ง” ของมิติที่ห้า ทำให้เราเห็นผลกระทบแต่ไม่สามารถมองเห็นโดยตรง 🔭 ผลกระทบต่อการวิจัยฟิสิกส์ หากทฤษฎีนี้ถูกพิสูจน์ได้ จะเป็นการเปิดประตูสู่ฟิสิกส์ใหม่ที่อยู่นอกเหนือโลก 4 มิติที่เรารู้จัก นักวิทยาศาสตร์กำลังสร้างเครื่องมือและหอสังเกตการณ์ใหม่เพื่อค้นหาสัญญาณ เช่น Gravitational Lensing ที่แสงถูกบิดเบี้ยวด้วยแรงโน้มถ่วงของ Dark Matter หากพบอนุภาคใหม่ที่เชื่อมโยงสสารปกติและ Dark Matter จะเป็นหลักฐานตรงครั้งแรกของฟิสิกส์ในมิติที่ห้า 🌍 ความหมายต่อจักรวาล การค้นพบมิติที่ห้าอาจทำให้เราเข้าใจแรงโน้มถ่วงที่อ่อนกว่าพลังอื่น ๆ และอธิบายการก่อตัวของกาแล็กซีได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังขยายขอบเขตการทดลองทางฟิสิกส์ในอนาคต และอาจเปลี่ยนวิธีที่มนุษย์มองจักรวาลไปตลอดกาล 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ แนวคิด Dark Dimension Scenario ➡️ เสนอว่ามีมิติที่ห้าซ่อนอยู่ในจักรวาล ➡️ อาจสร้างอนุภาคหนักที่ทำหน้าที่เหมือน Dark Matter ✅ การเปรียบเทียบเพื่อความเข้าใจ ➡️ Dark Matter เหมือนน้ำหนักที่มองไม่เห็นคอยดึงดาวให้อยู่ในวงโคจร ➡️ เปรียบกับ Tesseract ใน Avengers ที่เชื่อมโลกกับมิติอื่น ✅ ผลกระทบต่อการวิจัย ➡️ อาจค้นพบอนุภาคใหม่ที่เชื่อมสสารปกติและ Dark Matter ➡️ ใช้การสังเกต Gravitational Lensing เป็นหลักฐานสำคัญ ✅ ความหมายต่อจักรวาล ➡️ อธิบายแรงโน้มถ่วงและการก่อตัวของกาแล็กซีได้ดียิ่งขึ้น ➡️ ขยายขอบเขตฟิสิกส์และการทดลองในอนาคต ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ ทฤษฎียังอยู่ในขั้นสมมติ ต้องการหลักฐานเชิงทดลองเพิ่มเติม ⛔ การตีความผิดอาจทำให้เข้าใจ Dark Matter และแรงโน้มถ่วงคลาดเคลื่อน https://www.slashgear.com/2030177/dark-matter-fifth-dimension-wed-theory/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Answer To Physics' Dark Matter Problem Could Lie In The Fifth Dimension - SlashGear
    Physicists have determined that most of the universe is dark matter -- invisible to us but affecting the universe anyway. Could it exist in another dimension?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 331 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ศูนย์ข้อมูล AI นอกโลก: ทางเลือกต้นทุนต่ำหรือแค่ภาพฝัน?”

    Elon Musk เชื่อว่าในอีก 4–5 ปีข้างหน้า การประมวลผล AI ในอวกาศจะมีต้นทุนต่ำที่สุด ขณะที่ Jensen Huang ซีอีโอ Nvidia มองว่านี่เป็นเพียง “ความฝัน” เพราะยังมีอุปสรรคด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานมากมาย

    มุมมองของ Elon Musk
    Elon Musk กล่าวในงานประชุมการลงทุนว่า AI Compute ในอวกาศจะมีต้นทุนต่ำกว่าโลก เนื่องจากสามารถใช้พลังงานแสงอาทิตย์ฟรีและการระบายความร้อนด้วยการแผ่รังสีในสุญญากาศโดยตรง เขาเชื่อว่าในอีกไม่เกิน 5 ปี การสร้างศูนย์ข้อมูล AI บนอวกาศจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุด โดยชี้ว่าบนโลก การสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่เพื่อรองรับความต้องการระดับเทรา-วัตต์นั้นแทบเป็นไปไม่ได้

    ความท้าทายด้านเทคนิค
    แม้แนวคิดจะน่าสนใจ แต่การสร้างศูนย์ข้อมูล AI ในอวกาศยังมีอุปสรรคมากมาย เช่น
    การควบคุมอุณหภูมิ: แม้ในอวกาศจะเย็น แต่การอยู่ในวงโคจรทำให้เกิดการแกว่งอุณหภูมิสูงถึง -65°C ถึง +125°C
    การระบายความร้อน: ต้องใช้โครงสร้างขนาดมหึมาเพื่อแผ่รังสีความร้อนออกไป ซึ่งยังไม่เคยมีการสร้างในระดับนี้มาก่อน
    การทนต่อรังสี: GPU และฮาร์ดแวร์ขั้นสูงยังไม่สามารถทนต่อรังสีในวงโคจร GEO ได้โดยไม่ใช้การป้องกันขั้นสูง ซึ่งจะลดประสิทธิภาพลง
    การขนส่งและบำรุงรักษา: ต้องใช้การปล่อยจรวดหลายพันเที่ยวเพื่อส่งอุปกรณ์ขึ้นไป และยังไม่มีระบบซ่อมบำรุงอัตโนมัติที่รองรับ

    มุมมองของ Jensen Huang
    Jensen Huang ซีอีโอ Nvidia ยอมรับว่าปัญหาพลังงานและความเย็นเป็นความท้าทายใหญ่ แต่เขามองว่า ศูนย์ข้อมูล AI ในอวกาศยังเป็นเพียง “ความฝัน” เพราะเทคโนโลยีที่จำเป็น เช่น การเชื่อมต่อความเร็วสูงกับโลก การบำรุงรักษาด้วยหุ่นยนต์ และการสร้างโครงสร้างขนาดใหญ่ในอวกาศ ยังไม่พร้อมในช่วงเวลา 5 ปีตามที่ Musk คาดการณ์

    ผลกระทบต่ออนาคต AI
    แนวคิดนี้สะท้อนถึงความกังวลว่า โลกอาจไม่สามารถรองรับความต้องการพลังงานมหาศาลของ AI ได้ หากต้องการศูนย์ข้อมูลระดับเทรา-วัตต์ การหาทางเลือกใหม่ เช่น อวกาศ อาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในอนาคต แต่ในปัจจุบันยังคงต้องพึ่งพาโครงสร้างบนโลกและการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีอยู่

    สรุปประเด็นสำคัญ
    มุมมองของ Elon Musk
    AI Compute ในอวกาศจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ฟรีและระบายความร้อนง่าย
    คาดว่าจะเป็นต้นทุนต่ำที่สุดใน 4–5 ปี

    ความท้าทายด้านเทคนิค
    อุณหภูมิแกว่งแรงในวงโคจร
    ต้องใช้โครงสร้างขนาดใหญ่เพื่อระบายความร้อน
    GPU ยังไม่ทนรังสี
    ต้องใช้การขนส่งและบำรุงรักษามหาศาล

    มุมมองของ Jensen Huang
    มองว่าเป็น “ความฝัน” เพราะเทคโนโลยียังไม่พร้อม
    ปัญหาการเชื่อมต่อและบำรุงรักษายังไม่แก้ไข

    คำเตือนสำหรับอนาคต
    ความต้องการพลังงาน AI อาจเกินขีดความสามารถของโลก
    การสร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศยังไม่เป็นไปได้จริงในระยะสั้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/spacex-ceo-elon-musk-says-ai-compute-in-space-will-be-the-lowest-cost-option-in-5-years-but-nvidias-jensen-huang-says-its-a-dream
    🛰️ “ศูนย์ข้อมูล AI นอกโลก: ทางเลือกต้นทุนต่ำหรือแค่ภาพฝัน?” Elon Musk เชื่อว่าในอีก 4–5 ปีข้างหน้า การประมวลผล AI ในอวกาศจะมีต้นทุนต่ำที่สุด ขณะที่ Jensen Huang ซีอีโอ Nvidia มองว่านี่เป็นเพียง “ความฝัน” เพราะยังมีอุปสรรคด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานมากมาย 🚀 มุมมองของ Elon Musk Elon Musk กล่าวในงานประชุมการลงทุนว่า AI Compute ในอวกาศจะมีต้นทุนต่ำกว่าโลก เนื่องจากสามารถใช้พลังงานแสงอาทิตย์ฟรีและการระบายความร้อนด้วยการแผ่รังสีในสุญญากาศโดยตรง เขาเชื่อว่าในอีกไม่เกิน 5 ปี การสร้างศูนย์ข้อมูล AI บนอวกาศจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุด โดยชี้ว่าบนโลก การสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่เพื่อรองรับความต้องการระดับเทรา-วัตต์นั้นแทบเป็นไปไม่ได้ 🌌 ความท้าทายด้านเทคนิค แม้แนวคิดจะน่าสนใจ แต่การสร้างศูนย์ข้อมูล AI ในอวกาศยังมีอุปสรรคมากมาย เช่น 🎗️ การควบคุมอุณหภูมิ: แม้ในอวกาศจะเย็น แต่การอยู่ในวงโคจรทำให้เกิดการแกว่งอุณหภูมิสูงถึง -65°C ถึง +125°C 🎗️ การระบายความร้อน: ต้องใช้โครงสร้างขนาดมหึมาเพื่อแผ่รังสีความร้อนออกไป ซึ่งยังไม่เคยมีการสร้างในระดับนี้มาก่อน 🎗️ การทนต่อรังสี: GPU และฮาร์ดแวร์ขั้นสูงยังไม่สามารถทนต่อรังสีในวงโคจร GEO ได้โดยไม่ใช้การป้องกันขั้นสูง ซึ่งจะลดประสิทธิภาพลง 🎗️ การขนส่งและบำรุงรักษา: ต้องใช้การปล่อยจรวดหลายพันเที่ยวเพื่อส่งอุปกรณ์ขึ้นไป และยังไม่มีระบบซ่อมบำรุงอัตโนมัติที่รองรับ 💡 มุมมองของ Jensen Huang Jensen Huang ซีอีโอ Nvidia ยอมรับว่าปัญหาพลังงานและความเย็นเป็นความท้าทายใหญ่ แต่เขามองว่า ศูนย์ข้อมูล AI ในอวกาศยังเป็นเพียง “ความฝัน” เพราะเทคโนโลยีที่จำเป็น เช่น การเชื่อมต่อความเร็วสูงกับโลก การบำรุงรักษาด้วยหุ่นยนต์ และการสร้างโครงสร้างขนาดใหญ่ในอวกาศ ยังไม่พร้อมในช่วงเวลา 5 ปีตามที่ Musk คาดการณ์ 🌐 ผลกระทบต่ออนาคต AI แนวคิดนี้สะท้อนถึงความกังวลว่า โลกอาจไม่สามารถรองรับความต้องการพลังงานมหาศาลของ AI ได้ หากต้องการศูนย์ข้อมูลระดับเทรา-วัตต์ การหาทางเลือกใหม่ เช่น อวกาศ อาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในอนาคต แต่ในปัจจุบันยังคงต้องพึ่งพาโครงสร้างบนโลกและการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีอยู่ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ มุมมองของ Elon Musk ➡️ AI Compute ในอวกาศจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ฟรีและระบายความร้อนง่าย ➡️ คาดว่าจะเป็นต้นทุนต่ำที่สุดใน 4–5 ปี ✅ ความท้าทายด้านเทคนิค ➡️ อุณหภูมิแกว่งแรงในวงโคจร ➡️ ต้องใช้โครงสร้างขนาดใหญ่เพื่อระบายความร้อน ➡️ GPU ยังไม่ทนรังสี ➡️ ต้องใช้การขนส่งและบำรุงรักษามหาศาล ✅ มุมมองของ Jensen Huang ➡️ มองว่าเป็น “ความฝัน” เพราะเทคโนโลยียังไม่พร้อม ➡️ ปัญหาการเชื่อมต่อและบำรุงรักษายังไม่แก้ไข ‼️ คำเตือนสำหรับอนาคต ⛔ ความต้องการพลังงาน AI อาจเกินขีดความสามารถของโลก ⛔ การสร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศยังไม่เป็นไปได้จริงในระยะสั้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/spacex-ceo-elon-musk-says-ai-compute-in-space-will-be-the-lowest-cost-option-in-5-years-but-nvidias-jensen-huang-says-its-a-dream
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 342 มุมมอง 0 รีวิว
  • HughesNet สูญเสียลูกค้าให้ Starlink จนเสี่ยงล้มละลาย

    Starlink กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ใช้งานในสหรัฐฯ กว่า 2 ล้านรายในปี 2025 และทั่วโลกมากกว่า 6 ล้านราย ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจาก 4.6 ล้านรายในปี 2024 ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมของเครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำที่ให้ความเร็วสูงและความหน่วงต่ำ เหมาะกับผู้ใช้งานในพื้นที่ชนบทที่เคยพึ่งพา HughesNet

    HughesNet ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่แข่งหลัก ไม่สามารถตามทันความต้องการของตลาดได้ ทั้งในด้านความเร็ว ความเสถียร และข้อจำกัดของดาวเทียมที่มีอยู่ เช่น ปัญหาสัญญาณขาดหายเมื่อฝนตกหนัก และ การจำกัดปริมาณข้อมูลรายเดือน ที่ทำให้ผู้ใช้ไม่พอใจ แม้จะมีการลงทุนในดาวเทียมใหม่อย่าง Jupiter 3 เพื่อเพิ่มความเร็ว แต่ก็ยังไม่สามารถแข่งขันกับเครือข่ายที่หนาแน่นและทันสมัยของ Starlink ได้

    แทนที่จะสู้ตรง ๆ HughesNet และบริษัทแม่ EchoStar เลือกทำข้อตกลงกับ SpaceX โดยเปิด โปรแกรมแนะนำลูกค้าไปใช้ Starlink เพื่อรักษารายได้บางส่วน แม้จะเป็นการยอมรับการสูญเสียลูกค้า แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้รายได้หายไปทั้งหมด อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่ากลยุทธ์นี้อาจไม่เพียงพอ และ HughesNet อาจต้องถอนตัวจากตลาดผู้บริโภคในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเติบโตของ Starlink
    ผู้ใช้ในสหรัฐฯ กว่า 2 ล้านรายในปี 2025
    ผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 6 ล้านราย

    ปัญหาของ HughesNet
    ความเร็วและความเสถียรต่ำกว่า Starlink
    สัญญาณขาดหายเมื่อฝนตกหนัก
    การจำกัดปริมาณข้อมูลรายเดือน

    การลงทุนและกลยุทธ์ใหม่
    เปิดตัวดาวเทียม Jupiter 3 เพื่อเพิ่มความเร็ว
    ทำข้อตกลงกับ SpaceX เปิดโปรแกรมแนะนำลูกค้าไปใช้ Starlink

    คำเตือนและความเสี่ยง
    HughesNet อาจต้องยื่นล้มละลายหากสูญเสียลูกค้าเพิ่มขึ้น
    การพึ่งพาโปรแกรมแนะนำลูกค้าอาจไม่ยั่งยืน
    ตลาดผู้บริโภคอาจถูกครอบครองโดย Starlink อย่างสมบูรณ์

    https://www.slashgear.com/2030563/hughesnet-satellite-internet-provider-struggling-after-starlink-steals-customers/
    🚀 HughesNet สูญเสียลูกค้าให้ Starlink จนเสี่ยงล้มละลาย Starlink กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ใช้งานในสหรัฐฯ กว่า 2 ล้านรายในปี 2025 และทั่วโลกมากกว่า 6 ล้านราย ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจาก 4.6 ล้านรายในปี 2024 ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมของเครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำที่ให้ความเร็วสูงและความหน่วงต่ำ เหมาะกับผู้ใช้งานในพื้นที่ชนบทที่เคยพึ่งพา HughesNet HughesNet ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่แข่งหลัก ไม่สามารถตามทันความต้องการของตลาดได้ ทั้งในด้านความเร็ว ความเสถียร และข้อจำกัดของดาวเทียมที่มีอยู่ เช่น ปัญหาสัญญาณขาดหายเมื่อฝนตกหนัก และ การจำกัดปริมาณข้อมูลรายเดือน ที่ทำให้ผู้ใช้ไม่พอใจ แม้จะมีการลงทุนในดาวเทียมใหม่อย่าง Jupiter 3 เพื่อเพิ่มความเร็ว แต่ก็ยังไม่สามารถแข่งขันกับเครือข่ายที่หนาแน่นและทันสมัยของ Starlink ได้ แทนที่จะสู้ตรง ๆ HughesNet และบริษัทแม่ EchoStar เลือกทำข้อตกลงกับ SpaceX โดยเปิด โปรแกรมแนะนำลูกค้าไปใช้ Starlink เพื่อรักษารายได้บางส่วน แม้จะเป็นการยอมรับการสูญเสียลูกค้า แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้รายได้หายไปทั้งหมด อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่ากลยุทธ์นี้อาจไม่เพียงพอ และ HughesNet อาจต้องถอนตัวจากตลาดผู้บริโภคในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเติบโตของ Starlink ➡️ ผู้ใช้ในสหรัฐฯ กว่า 2 ล้านรายในปี 2025 ➡️ ผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 6 ล้านราย ✅ ปัญหาของ HughesNet ➡️ ความเร็วและความเสถียรต่ำกว่า Starlink ➡️ สัญญาณขาดหายเมื่อฝนตกหนัก ➡️ การจำกัดปริมาณข้อมูลรายเดือน ✅ การลงทุนและกลยุทธ์ใหม่ ➡️ เปิดตัวดาวเทียม Jupiter 3 เพื่อเพิ่มความเร็ว ➡️ ทำข้อตกลงกับ SpaceX เปิดโปรแกรมแนะนำลูกค้าไปใช้ Starlink ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ HughesNet อาจต้องยื่นล้มละลายหากสูญเสียลูกค้าเพิ่มขึ้น ⛔ การพึ่งพาโปรแกรมแนะนำลูกค้าอาจไม่ยั่งยืน ⛔ ตลาดผู้บริโภคอาจถูกครอบครองโดย Starlink อย่างสมบูรณ์ https://www.slashgear.com/2030563/hughesnet-satellite-internet-provider-struggling-after-starlink-steals-customers/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Major Internet Provider Is Struggling Because Starlink Stole Its Customers - SlashGear
    Starlink's rise to stardom (no pun intended) has had a major impact on HughesNet, which has been one of the best and only Starlink alternatives out there.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 275 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon Leo: ก้าวใหม่ของการสื่อสารผ่านดาวเทียม

    Amazon เปิดตัวชื่อใหม่ Amazon Leo แทนที่ชื่อเดิม Project Kuiper ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2019 โดยมีเป้าหมายสร้างเครือข่ายดาวเทียมกว่า 3,000 ดวง เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตครอบคลุมประชากรโลกถึง 95% การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้สะท้อนว่าโครงการได้พ้นจากสถานะ “ทดลอง” และพร้อมเข้าสู่การเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ

    ความคืบหน้าและการแข่งขันกับ Starlink
    แม้ Amazon จะเพิ่งส่งดาวเทียมปฏิบัติการชุดแรกจำนวน 27 ดวงขึ้นสู่วงโคจรในปีนี้ แต่คู่แข่งอย่าง SpaceX Starlink ได้เปิดบริการตั้งแต่ปี 2020 และขยายอย่างรวดเร็ว ทั้งการเชื่อมต่อกับสายการบินและผู้ให้บริการมือถือ ทำให้ Amazon Leo ยังต้องเร่งพัฒนาเพื่อไล่ตามการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาดอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม

    เทคโนโลยีและการใช้งาน
    Amazon ได้ทดสอบเทคโนโลยีสำคัญ เช่น เครือข่ายเลเซอร์เชื่อมโยงดาวเทียม (laser mesh network) และเสาอากาศผู้ใช้ที่ออกแบบมาให้ติดตั้งง่าย การรีแบรนด์ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เปลี่ยนชื่อ แต่เป็นการประกาศความพร้อมที่จะให้บริการจริง ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนในเว็บไซต์ Amazon Leo เพื่อรับข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับการเปิดให้บริการในอนาคต

    มุมมองเชิงกลยุทธ์
    การเข้าสู่ตลาดดาวเทียมวงโคจรต่ำของ Amazon ไม่เพียงแต่เป็นการขยายธุรกิจด้านคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังเป็นการสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกับบริการอื่น ๆ ของบริษัท เช่น AWS และอีคอมเมิร์ซ การแข่งขันกับ Starlink จึงไม่ใช่แค่เรื่องความเร็วอินเทอร์เน็ต แต่ยังเป็นการวางรากฐานโครงสร้างการสื่อสารระดับโลก

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Amazon รีแบรนด์ Project Kuiper เป็น Amazon Leo
    สะท้อนการใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) และความพร้อมเชิงพาณิชย์

    เป้าหมายครอบคลุมประชากรโลก 95%
    ใช้ดาวเทียมกว่า 3,000 ดวงเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ต

    เปิดตัวดาวเทียมปฏิบัติการชุดแรก 27 ดวงในปีนี้
    เป็นก้าวสำคัญหลังจากการทดสอบหลายปี

    เทคโนโลยี laser mesh network และเสาอากาศผู้ใช้
    ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความง่ายในการเข้าถึง

    ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนในเว็บไซต์ Amazon Leo
    เพื่อรับข้อมูลการเปิดให้บริการในอนาคต

    การแข่งขันกับ Starlink เข้มข้นมาก
    Starlink เปิดบริการตั้งแต่ปี 2020 และขยายอย่างรวดเร็ว

    ยังไม่มีการประกาศวันเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ชัดเจน
    ผู้ใช้ต้องรอติดตามข้อมูลเพิ่มเติมจาก Amazon

    ความเสี่ยงด้านการลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน
    การสร้างเครือข่ายดาวเทียมจำนวนมหาศาลต้องใช้เวลาและต้นทุนสูง

    https://securityonline.info/project-kuiper-is-now-amazon-leo-amazon-rebrands-satellite-initiative-for-commercial-launch/
    🚀 Amazon Leo: ก้าวใหม่ของการสื่อสารผ่านดาวเทียม Amazon เปิดตัวชื่อใหม่ Amazon Leo แทนที่ชื่อเดิม Project Kuiper ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2019 โดยมีเป้าหมายสร้างเครือข่ายดาวเทียมกว่า 3,000 ดวง เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตครอบคลุมประชากรโลกถึง 95% การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้สะท้อนว่าโครงการได้พ้นจากสถานะ “ทดลอง” และพร้อมเข้าสู่การเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ 🌐 ความคืบหน้าและการแข่งขันกับ Starlink แม้ Amazon จะเพิ่งส่งดาวเทียมปฏิบัติการชุดแรกจำนวน 27 ดวงขึ้นสู่วงโคจรในปีนี้ แต่คู่แข่งอย่าง SpaceX Starlink ได้เปิดบริการตั้งแต่ปี 2020 และขยายอย่างรวดเร็ว ทั้งการเชื่อมต่อกับสายการบินและผู้ให้บริการมือถือ ทำให้ Amazon Leo ยังต้องเร่งพัฒนาเพื่อไล่ตามการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาดอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม 📡 เทคโนโลยีและการใช้งาน Amazon ได้ทดสอบเทคโนโลยีสำคัญ เช่น เครือข่ายเลเซอร์เชื่อมโยงดาวเทียม (laser mesh network) และเสาอากาศผู้ใช้ที่ออกแบบมาให้ติดตั้งง่าย การรีแบรนด์ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เปลี่ยนชื่อ แต่เป็นการประกาศความพร้อมที่จะให้บริการจริง ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนในเว็บไซต์ Amazon Leo เพื่อรับข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับการเปิดให้บริการในอนาคต ⚖️ มุมมองเชิงกลยุทธ์ การเข้าสู่ตลาดดาวเทียมวงโคจรต่ำของ Amazon ไม่เพียงแต่เป็นการขยายธุรกิจด้านคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังเป็นการสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกับบริการอื่น ๆ ของบริษัท เช่น AWS และอีคอมเมิร์ซ การแข่งขันกับ Starlink จึงไม่ใช่แค่เรื่องความเร็วอินเทอร์เน็ต แต่ยังเป็นการวางรากฐานโครงสร้างการสื่อสารระดับโลก 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Amazon รีแบรนด์ Project Kuiper เป็น Amazon Leo ➡️ สะท้อนการใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) และความพร้อมเชิงพาณิชย์ ✅ เป้าหมายครอบคลุมประชากรโลก 95% ➡️ ใช้ดาวเทียมกว่า 3,000 ดวงเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ต ✅ เปิดตัวดาวเทียมปฏิบัติการชุดแรก 27 ดวงในปีนี้ ➡️ เป็นก้าวสำคัญหลังจากการทดสอบหลายปี ✅ เทคโนโลยี laser mesh network และเสาอากาศผู้ใช้ ➡️ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความง่ายในการเข้าถึง ✅ ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนในเว็บไซต์ Amazon Leo ➡️ เพื่อรับข้อมูลการเปิดให้บริการในอนาคต ‼️ การแข่งขันกับ Starlink เข้มข้นมาก ⛔ Starlink เปิดบริการตั้งแต่ปี 2020 และขยายอย่างรวดเร็ว ‼️ ยังไม่มีการประกาศวันเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ชัดเจน ⛔ ผู้ใช้ต้องรอติดตามข้อมูลเพิ่มเติมจาก Amazon ‼️ ความเสี่ยงด้านการลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน ⛔ การสร้างเครือข่ายดาวเทียมจำนวนมหาศาลต้องใช้เวลาและต้นทุนสูง https://securityonline.info/project-kuiper-is-now-amazon-leo-amazon-rebrands-satellite-initiative-for-commercial-launch/
    SECURITYONLINE.INFO
    Project Kuiper is Now Amazon Leo: Amazon Rebrands Satellite Initiative for Commercial Launch
    Amazon officially rebranded its LEO satellite initiative, formerly Project Kuiper, as Amazon Leo, signaling its readiness to transition the network into a commercial product.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 458 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทีมนักบินอวกาศจีนกลับถึงโลกแล้ว หลังติดอยู่ในวงโคจรหลายวัน เพราะยานแคปซูลที่เตรียมใช้เดินทางกลับ “ถูกเศษซากในอวกาศชนจนเกิดรอยแตก” ทำให้ต้องเปลี่ยนแผนและเลื่อนกำหนดกลับบ้านออกไปกว่า 1 สัปดาห์

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000109306

    #News1live #News1 #จีน #ภารกิจอวกาศ #สถานีอวกาศเทียนกง #เสินโจว #SpaceDebris #ข่าวต่างประเทศ #newsupdate
    ทีมนักบินอวกาศจีนกลับถึงโลกแล้ว หลังติดอยู่ในวงโคจรหลายวัน เพราะยานแคปซูลที่เตรียมใช้เดินทางกลับ “ถูกเศษซากในอวกาศชนจนเกิดรอยแตก” ทำให้ต้องเปลี่ยนแผนและเลื่อนกำหนดกลับบ้านออกไปกว่า 1 สัปดาห์ • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000109306 • #News1live #News1 #จีน #ภารกิจอวกาศ #สถานีอวกาศเทียนกง #เสินโจว #SpaceDebris #ข่าวต่างประเทศ #newsupdate
    Like
    Wow
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 426 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขาว่าดาวเทียมวงโคจรต่ำเลยนะ starlinkก็ว่า


    https://vm.tiktok.com/ZSH3e1ByjsHNt-FjW2Z/
    เขาว่าดาวเทียมวงโคจรต่ำเลยนะ starlinkก็ว่า https://vm.tiktok.com/ZSH3e1ByjsHNt-FjW2Z/
    @maygjgerol

    starLink sateLLites #balloons #starlink #fyp #viral الحقيقة The Truth 😁 @m3ct0n.3 @ganred7keller @كابتن @الله أكبر @সমতলে বিছানো স্হির পৃথিবী ২ @Ahmed Sanjar @ابراهيم @المستشار/ احمد كامل 𓂀⚖️ @خالدوك @Luna🍄🍀 @zeaid shelmane @Amir Shawky @COBRAHERO28 @WhiteMoon

    ♬ original sound - ⚜️Foorout⚜️
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • จริงเท็จไม่รู้,ดาวเทียมวงโคจรต่ำก็ว่า, บางคลิปก็ของรุ่นstarlinkก็มี.

    บอลลูนดาวเทียมวงโคจรต่ำ ,ฝ่ายมืดมากมายมันชอบขายฝัน ขายความคาดหวังให้ผู้คน,หลอกลวงว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ตรึม,เพื่อควบคุมนุดๆแบบเราๆให้เป็นทาสมันนี้ล่ะ

    https://vm.tiktok.com/ZSH3JcqjDLb1q-9m6Qm/
    จริงเท็จไม่รู้,ดาวเทียมวงโคจรต่ำก็ว่า, บางคลิปก็ของรุ่นstarlinkก็มี. บอลลูนดาวเทียมวงโคจรต่ำ ,ฝ่ายมืดมากมายมันชอบขายฝัน ขายความคาดหวังให้ผู้คน,หลอกลวงว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ตรึม,เพื่อควบคุมนุดๆแบบเราๆให้เป็นทาสมันนี้ล่ะ https://vm.tiktok.com/ZSH3JcqjDLb1q-9m6Qm/
    @maygjgerol

    مسلسل سقوط الأقمار الاصطناعية the series of satellites crashes continues #مسلسل #الأقمار_الاصطناعية #satellites #flpシ #foryou satellites🛰️🎈 مسلسل سقوط الوهم

    ♬ Mission Impossible - Adam Clayton
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    เจาะลึกมหาสงครามเทพระดับอะตอม: ศึกชิงอำนาจในโลกควอนตัม

    จักรวาลคู่ขนานระดับอนุภาค

    การค้นพบอาณาจักรควอนตัม

    หนูดีค้นพบโดยบังเอิญขณะฝึกควบคุมพลังงาน:
    "มันเหมือนกับมีเมืองเล็กๆ นับไม่ถ้วนอยู่ในทุกอะตอม...
    แต่ละเมืองมีกฎเกณฑ์และผู้ปกครองของตัวเอง"

    ```mermaid
    graph TB
    A[โลกควอนตัม] --> B[อาณาจักรโปรตอน<br>เมืองแห่งความมั่นคง]
    A --> C[อาณาจักรอิเล็กตรอน<br>เมืองแห่งพลังงาน]
    A --> D[อาณาจักรนิวตรอน<br>เมืองแห่งสมดุล]
    A --> E[อาณาจักรควาร์ก<br>เมืองแห่งพื้นฐาน]
    ```

    โครงสร้างสังคมเทพระดับอะตอม

    ```python
    class QuantumSociety:
    def __init__(self):
    self.hierarchy = {
    "elementary_level": {
    "quark_deities": "เทพพื้นฐาน 6 ประเภท",
    "lepton_sages": "ปราชญ์เลปตอน",
    "force_carriers": "ผู้ส่งผ่านแรงพื้นฐาน"
    },
    "composite_level": {
    "proton_monarchs": "กษัตริย์โปรตอน",
    "electron_nomads": "อิเล็กตรอนเร่ร่อน",
    "neutron_guardians": "ผู้พิทักษ์นิวตรอน"
    },
    "atomic_level": {
    "nucleus_kingdom": "อาณาจักรนิวเคลียส",
    "electron_cloud_cities": "เมืองเมฆอิเล็กตรอน",
    "bonding_alliances": "พันธมิตรทางการพันธะ"
    }
    }
    ```

    ราชวงศ์แห่งนิวเคลียส

    ราชอาณาจักรโปรตอน

    ผู้ปกครอง: พระเจ้าประจุบวก (Positive Majesty)

    · ลักษณะ: ทรงกายสีแดงเรืองรอง มีมงกุฎทำจากเกลียวควาร์ก
    · พระราชวัง: ป้อมปราการนิวเคลียสที่แข็งแกร่ง
    · พระราชอำนาจ: ควบคุมแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม

    สหพันธ์อิเล็กตรอน

    ผู้นำ: เทพีวงโคจร (Orbital Goddess)

    · ลักษณะ: ร่างกายกึ่งโปร่งแสง เคลื่อนไหวรวดเร็ว
    · ที่พำนัก: เมฆอิเล็กตรอนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
    · อำนาจ: ควบคุมการแลกเปลี่ยนพลังงาน

    สภาคนกลางนิวตรอน

    ประธาน: จอมฤๅษีสมดุล (Balance Sage)

    · ลักษณะ: ทรงเครื่องหมายอินฟินิตี้ สีเทาเงิน
    · สถานที่ปฏิบัติธรรม: ศูนย์กลางนิวเคลียส
    · อำนาจ: รักษาเสถียรภาพและป้องกันการสลายตัว

    ต้นตอแห่งความขัดแย้ง

    การค้นพบ "อนุภาคศักดิ์สิทธิ์"

    นักวิทยาศาสตร์มนุษย์ทำการทดลอง LHC ทำให้ค้นพบ:

    ```mermaid
    graph LR
    A[การทดลอง LHC] --> B[ค้นพบอนุภาค<br>"พระเจ้าองค์เล็ก"]
    B --> C[พลังงานรั่วไหล<br>สู่โลกควอนตัม]
    C --> D[ทั้งสามอาณาจักร<br>ต้องการครอบครอง]
    ```

    ความต้องการที่ขัดแย้ง

    แต่ละอาณาจักรต้องการอนุภาคศักดิ์สิทธิ์เพื่อ:

    โปรตอน: "เพื่อสร้างอาณาจักรที่แข็งแกร่งถาวร!"
    อิเล็กตรอน:"เพื่อปลดปล่อยพลังงานอันไร้ขีดจำกัด!"
    นิวตรอน:"เพื่อสร้างสมดุลแห่งจักรวาล!"

    การเริ่มต้นสงคราม

    สงครามเริ่มต้นด้วย "ยุทธการแรงแม่เหล็ก":

    · อิเล็กตรอนโจมตีด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
    · โปรตอนตอบโต้ด้วยแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม
    · นิวตรอนพยายามไกล่เกลี่ยแต่ล้มเหลว

    ผลกระทบต่อโลกมนุษย์

    ความผิดปกติทางวิทยาศาสตร์

    การทดลองทางวิทยาศาสตร์เริ่มให้ผลผิดปกติ:

    ```python
    class Anomalies:
    def __init__(self):
    self.chemistry = [
    "พันธะเคมีแข็งแกร่งผิดปกติ",
    "อัตราการเกิดปฏิกิริยาผิดพลาด",
    "สารประกอบใหม่ที่ไม่มีในตารางธาตุ"
    ]

    self.physics = [
    "ค่าคงที่ทางฟิสิกส์เปลี่ยนแปลง",
    "กาลอวกาศบิดเบี้ยวในระดับจุลภาค",
    "หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์กล้มเหลว"
    ]

    self.technology = [
    "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ล้มเหลว",
    "ระบบนำทางผิดพลาด",
    "พลังงานไฟฟ้าขัดข้อง"
    ]
    ```

    ผลกระทบต่อสุขภาพ

    มนุษย์เริ่มมีอาการแปลกๆ:

    · ความรู้สึกเสียวซ่า: จากอิเล็กตรอนเกินกำลัง
    · อาการแข็งเกร็ง: จากโปรตอนครอบงำ
    · ความไม่สมดุล: จากนิวตรอนไร้เสถียรภาพ

    บทบาทของหนูดีในสงคราม

    การเป็นสื่อสานระหว่างโลก

    หนูดีค้นพบว่าสามารถสื่อสารกับเทพระดับอะตอมได้:
    "พวกท่านทั้งหลาย...โลกมนุษย์กำลังได้รับผลกระทบจากการสู้รบของท่าน"

    การไกล่เกลี่ยครั้งประวัติศาสตร์

    หนูดีจัด สภาสันติภาพระหว่างมิติ:

    ```mermaid
    graph TB
    A[หนูดี<br>เป็นผู้ไกล่เกลี่ย] --> B[เชิญตัวแทน<br>ทั้งสามอาณาจักร]
    B --> C[จัดสภาใน<br>มิติกลาง]
    C --> D[หาข้อตกลง<br>ร่วมกัน]
    ```

    ข้อเสนอการแบ่งปัน

    หนูดีเสนอระบบการแบ่งปันอนุภาคศักดิ์สิทธิ์:

    · ระบบหมุนเวียน: แต่ละอาณาจักรได้ใช้ตามฤดูกาล
    · คณะกรรมการร่วม: ดูแลการใช้อย่างยุติธรรม
    · กองทุนพลังงาน: สำหรับโครงการเพื่อส่วนรวม

    สนธิสัญญาสันติภาพควอนตัม

    ข้อตกลงสำคัญ

    มีการลงนาม "สนธิสัญญาแรงพื้นฐานสามเส้า":

    ```python
    class QuantumTreaty:
    def __init__(self):
    self.agreements = {
    "power_sharing": {
    "protons": "ควบคุม 40% ของอนุภาคศักดิ์สิทธิ์",
    "electrons": "ควบคุม 40% ของอนุภาคศักดิ์สิทธิ์",
    "neutrons": "ควบคุม 20% สำหรับการรักษาสมดุล"
    },
    "territorial_rights": {
    "nuclear_zone": "ภายใต้การดูแลของโปรตอนและนิวตรอน",
    "electron_clouds": "เขตอิทธิพลของอิเล็กตรอน",
    "bonding_regions": "พื้นที่ร่วมกันสำหรับการสร้างพันธะ"
    },
    "collaboration_projects": [
    "การพัฒนาพลังงานสะอาด",
    "การรักษาโรคระดับโมเลกุล",
    "การสำรวจมิติควอนตัม"
    ]
    }
    ```

    พิธีลงนาม

    การลงนามเกิดขึ้นใน "ฮอลล์แรงนิวเคลียร์":

    · ผู้ลงนาม: ตัวแทนทั้งสามอาณาจักร
    · พยาน: หนูดีและร.ต.อ.สิงห์
    · สถานที่: มิติระหว่างโลก ที่สร้างขึ้นพิเศษ

    โลกใหม่หลังสันติภาพ

    ความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์

    เกิดโครงการวิจัยร่วมระหว่างมนุษย์และเทพระดับอะตอม:

    · การแพทย์ควอนตัม: รักษาโรคในระดับเซลล์
    · วัสดุศาสตร์: พัฒนาวัสดุใหม่จากความรู้ควอนตัม
    · พลังงาน: แหล่งพลังงานไร้ขีดจำกัด

    วัฒนธรรมแลกเปลี่ยน

    ```python
    class CulturalExchange:
    def __init__(self):
    self.knowledge_transfer = {
    "human_to_quantum": [
    "ศิลปะและอารมณ์มนุษย์",
    "ความคิดสร้างสรรค์",
    "หลักจริยธรรม"
    ],
    "quantum_to_human": [
    "ความลับของแรงพื้นฐาน",
    "เทคนิคการควบคุมพลังงาน",
    "ภูมิปัญญาการอยู่ร่วมกัน"
    ]
    }

    self.joint_projects = [
    "มหาวิทยาลัยระหว่างมิติ",
    "พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ควอนตัม",
    "เทศกาลศิลปะระดับอะตอม"
    ]
    ```

    บทเรียนจากสงคราม

    🪷 สำหรับเทพระดับอะตอม

    "เราตระหนักว่า...
    อำนาจที่แท้จริงไม่ใช่การครอบครอง
    แต่คือการแบ่งปันและความร่วมมือ"

    สำหรับมนุษยชาติ

    "เราเรียนรู้ว่า...
    จักรวาลนี้มีชีวิตในทุกระดับ
    และความรับผิดชอบของเรา
    คือการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล"

    สำหรับหนูดี

    "การเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลก...
    สอนฉันว่าความเข้าใจคือกุญแจสู่สันติภาพ
    ไม่ว่าจะเป็นโลกใหญ่หรือโลกเล็ก"

    อนาคตแห่งความร่วมมือ

    โครงการระยะยาว

    สถาบันวิวัฒนาการจิตตั้ง "แผนกควอนตัมสัมพันธ์":

    · หน้าที่: ประสานงานกับเทพระดับอะตอม
    · โครงการ: วิจัยและพัฒนาร่วมกัน
    · การศึกษา: สอนเรื่องโลกควอนตัมแก่คนรุ่นใหม่

    มรดกแห่งสันติภาพ

    สงครามครั้งนี้ทิ้งมรดกสำคัญ:
    "ไม่ว่าความขัดแย้งจะอยู่ระดับไหน
    การพูดคุยและความเข้าใจ
    คือทางออกเดียวที่ยั่งยืน"

    ---

    คำสอนจากเทพนิวตรอน:
    "ในความเป็นกลาง...
    มีพลังแห่งสันติภาพ
    และในความสมดุล...
    มีอนาคตแห่งความเจริญ

    จักรวาลนี้ใหญ่พอสำหรับทุกชีวิต
    ตั้งแต่ควาร์กจนถึงดวงดาว
    ขอเพียงเราเรียนรู้ที่จะแบ่งปัน"

    คำคมสุดท้าย:
    "มหาสงครามที่เล็กที่สุด...
    สอนบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
    ว่าสันติภาพเริ่มต้นได้จากใจ
    ที่พร้อมจะเข้าใจในความแตกต่าง"
    O.P.K. ⚛️ เจาะลึกมหาสงครามเทพระดับอะตอม: ศึกชิงอำนาจในโลกควอนตัม 🌌 จักรวาลคู่ขนานระดับอนุภาค 🔬 การค้นพบอาณาจักรควอนตัม หนูดีค้นพบโดยบังเอิญขณะฝึกควบคุมพลังงาน: "มันเหมือนกับมีเมืองเล็กๆ นับไม่ถ้วนอยู่ในทุกอะตอม... แต่ละเมืองมีกฎเกณฑ์และผู้ปกครองของตัวเอง" ```mermaid graph TB A[โลกควอนตัม] --> B[อาณาจักรโปรตอน<br>เมืองแห่งความมั่นคง] A --> C[อาณาจักรอิเล็กตรอน<br>เมืองแห่งพลังงาน] A --> D[อาณาจักรนิวตรอน<br>เมืองแห่งสมดุล] A --> E[อาณาจักรควาร์ก<br>เมืองแห่งพื้นฐาน] ``` 🏛️ โครงสร้างสังคมเทพระดับอะตอม ```python class QuantumSociety: def __init__(self): self.hierarchy = { "elementary_level": { "quark_deities": "เทพพื้นฐาน 6 ประเภท", "lepton_sages": "ปราชญ์เลปตอน", "force_carriers": "ผู้ส่งผ่านแรงพื้นฐาน" }, "composite_level": { "proton_monarchs": "กษัตริย์โปรตอน", "electron_nomads": "อิเล็กตรอนเร่ร่อน", "neutron_guardians": "ผู้พิทักษ์นิวตรอน" }, "atomic_level": { "nucleus_kingdom": "อาณาจักรนิวเคลียส", "electron_cloud_cities": "เมืองเมฆอิเล็กตรอน", "bonding_alliances": "พันธมิตรทางการพันธะ" } } ``` 👑 ราชวงศ์แห่งนิวเคลียส 💎 ราชอาณาจักรโปรตอน ผู้ปกครอง: พระเจ้าประจุบวก (Positive Majesty) · ลักษณะ: ทรงกายสีแดงเรืองรอง มีมงกุฎทำจากเกลียวควาร์ก · พระราชวัง: ป้อมปราการนิวเคลียสที่แข็งแกร่ง · พระราชอำนาจ: ควบคุมแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม 🌪️ สหพันธ์อิเล็กตรอน ผู้นำ: เทพีวงโคจร (Orbital Goddess) · ลักษณะ: ร่างกายกึ่งโปร่งแสง เคลื่อนไหวรวดเร็ว · ที่พำนัก: เมฆอิเล็กตรอนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา · อำนาจ: ควบคุมการแลกเปลี่ยนพลังงาน 🛡️ สภาคนกลางนิวตรอน ประธาน: จอมฤๅษีสมดุล (Balance Sage) · ลักษณะ: ทรงเครื่องหมายอินฟินิตี้ สีเทาเงิน · สถานที่ปฏิบัติธรรม: ศูนย์กลางนิวเคลียส · อำนาจ: รักษาเสถียรภาพและป้องกันการสลายตัว 💥 ต้นตอแห่งความขัดแย้ง 🔥 การค้นพบ "อนุภาคศักดิ์สิทธิ์" นักวิทยาศาสตร์มนุษย์ทำการทดลอง LHC ทำให้ค้นพบ: ```mermaid graph LR A[การทดลอง LHC] --> B[ค้นพบอนุภาค<br>"พระเจ้าองค์เล็ก"] B --> C[พลังงานรั่วไหล<br>สู่โลกควอนตัม] C --> D[ทั้งสามอาณาจักร<br>ต้องการครอบครอง] ``` 🎯 ความต้องการที่ขัดแย้ง แต่ละอาณาจักรต้องการอนุภาคศักดิ์สิทธิ์เพื่อ: โปรตอน: "เพื่อสร้างอาณาจักรที่แข็งแกร่งถาวร!" อิเล็กตรอน:"เพื่อปลดปล่อยพลังงานอันไร้ขีดจำกัด!" นิวตรอน:"เพื่อสร้างสมดุลแห่งจักรวาล!" ⚡ การเริ่มต้นสงคราม สงครามเริ่มต้นด้วย "ยุทธการแรงแม่เหล็ก": · อิเล็กตรอนโจมตีด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า · โปรตอนตอบโต้ด้วยแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม · นิวตรอนพยายามไกล่เกลี่ยแต่ล้มเหลว 🌪️ ผลกระทบต่อโลกมนุษย์ 🔬 ความผิดปกติทางวิทยาศาสตร์ การทดลองทางวิทยาศาสตร์เริ่มให้ผลผิดปกติ: ```python class Anomalies: def __init__(self): self.chemistry = [ "พันธะเคมีแข็งแกร่งผิดปกติ", "อัตราการเกิดปฏิกิริยาผิดพลาด", "สารประกอบใหม่ที่ไม่มีในตารางธาตุ" ] self.physics = [ "ค่าคงที่ทางฟิสิกส์เปลี่ยนแปลง", "กาลอวกาศบิดเบี้ยวในระดับจุลภาค", "หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์กล้มเหลว" ] self.technology = [ "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ล้มเหลว", "ระบบนำทางผิดพลาด", "พลังงานไฟฟ้าขัดข้อง" ] ``` 🏥 ผลกระทบต่อสุขภาพ มนุษย์เริ่มมีอาการแปลกๆ: · ความรู้สึกเสียวซ่า: จากอิเล็กตรอนเกินกำลัง · อาการแข็งเกร็ง: จากโปรตอนครอบงำ · ความไม่สมดุล: จากนิวตรอนไร้เสถียรภาพ 💫 บทบาทของหนูดีในสงคราม 🔍 การเป็นสื่อสานระหว่างโลก หนูดีค้นพบว่าสามารถสื่อสารกับเทพระดับอะตอมได้: "พวกท่านทั้งหลาย...โลกมนุษย์กำลังได้รับผลกระทบจากการสู้รบของท่าน" 🕊️ การไกล่เกลี่ยครั้งประวัติศาสตร์ หนูดีจัด สภาสันติภาพระหว่างมิติ: ```mermaid graph TB A[หนูดี<br>เป็นผู้ไกล่เกลี่ย] --> B[เชิญตัวแทน<br>ทั้งสามอาณาจักร] B --> C[จัดสภาใน<br>มิติกลาง] C --> D[หาข้อตกลง<br>ร่วมกัน] ``` 🌟 ข้อเสนอการแบ่งปัน หนูดีเสนอระบบการแบ่งปันอนุภาคศักดิ์สิทธิ์: · ระบบหมุนเวียน: แต่ละอาณาจักรได้ใช้ตามฤดูกาล · คณะกรรมการร่วม: ดูแลการใช้อย่างยุติธรรม · กองทุนพลังงาน: สำหรับโครงการเพื่อส่วนรวม 🏛️ สนธิสัญญาสันติภาพควอนตัม 📜 ข้อตกลงสำคัญ มีการลงนาม "สนธิสัญญาแรงพื้นฐานสามเส้า": ```python class QuantumTreaty: def __init__(self): self.agreements = { "power_sharing": { "protons": "ควบคุม 40% ของอนุภาคศักดิ์สิทธิ์", "electrons": "ควบคุม 40% ของอนุภาคศักดิ์สิทธิ์", "neutrons": "ควบคุม 20% สำหรับการรักษาสมดุล" }, "territorial_rights": { "nuclear_zone": "ภายใต้การดูแลของโปรตอนและนิวตรอน", "electron_clouds": "เขตอิทธิพลของอิเล็กตรอน", "bonding_regions": "พื้นที่ร่วมกันสำหรับการสร้างพันธะ" }, "collaboration_projects": [ "การพัฒนาพลังงานสะอาด", "การรักษาโรคระดับโมเลกุล", "การสำรวจมิติควอนตัม" ] } ``` 🎉 พิธีลงนาม การลงนามเกิดขึ้นใน "ฮอลล์แรงนิวเคลียร์": · ผู้ลงนาม: ตัวแทนทั้งสามอาณาจักร · พยาน: หนูดีและร.ต.อ.สิงห์ · สถานที่: มิติระหว่างโลก ที่สร้างขึ้นพิเศษ 🌈 โลกใหม่หลังสันติภาพ 🔬 ความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ เกิดโครงการวิจัยร่วมระหว่างมนุษย์และเทพระดับอะตอม: · การแพทย์ควอนตัม: รักษาโรคในระดับเซลล์ · วัสดุศาสตร์: พัฒนาวัสดุใหม่จากความรู้ควอนตัม · พลังงาน: แหล่งพลังงานไร้ขีดจำกัด 💞 วัฒนธรรมแลกเปลี่ยน ```python class CulturalExchange: def __init__(self): self.knowledge_transfer = { "human_to_quantum": [ "ศิลปะและอารมณ์มนุษย์", "ความคิดสร้างสรรค์", "หลักจริยธรรม" ], "quantum_to_human": [ "ความลับของแรงพื้นฐาน", "เทคนิคการควบคุมพลังงาน", "ภูมิปัญญาการอยู่ร่วมกัน" ] } self.joint_projects = [ "มหาวิทยาลัยระหว่างมิติ", "พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ควอนตัม", "เทศกาลศิลปะระดับอะตอม" ] ``` 🏆 บทเรียนจากสงคราม 🪷 สำหรับเทพระดับอะตอม "เราตระหนักว่า... อำนาจที่แท้จริงไม่ใช่การครอบครอง แต่คือการแบ่งปันและความร่วมมือ" 💫 สำหรับมนุษยชาติ "เราเรียนรู้ว่า... จักรวาลนี้มีชีวิตในทุกระดับ และความรับผิดชอบของเรา คือการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล" 🌟 สำหรับหนูดี "การเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลก... สอนฉันว่าความเข้าใจคือกุญแจสู่สันติภาพ ไม่ว่าจะเป็นโลกใหญ่หรือโลกเล็ก" 🔮 อนาคตแห่งความร่วมมือ 🚀 โครงการระยะยาว สถาบันวิวัฒนาการจิตตั้ง "แผนกควอนตัมสัมพันธ์": · หน้าที่: ประสานงานกับเทพระดับอะตอม · โครงการ: วิจัยและพัฒนาร่วมกัน · การศึกษา: สอนเรื่องโลกควอนตัมแก่คนรุ่นใหม่ 💝 มรดกแห่งสันติภาพ สงครามครั้งนี้ทิ้งมรดกสำคัญ: "ไม่ว่าความขัดแย้งจะอยู่ระดับไหน การพูดคุยและความเข้าใจ คือทางออกเดียวที่ยั่งยืน" --- คำสอนจากเทพนิวตรอน: "ในความเป็นกลาง... มีพลังแห่งสันติภาพ และในความสมดุล... มีอนาคตแห่งความเจริญ จักรวาลนี้ใหญ่พอสำหรับทุกชีวิต ตั้งแต่ควาร์กจนถึงดวงดาว ขอเพียงเราเรียนรู้ที่จะแบ่งปัน"⚛️✨ คำคมสุดท้าย: "มหาสงครามที่เล็กที่สุด... สอนบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ว่าสันติภาพเริ่มต้นได้จากใจ ที่พร้อมจะเข้าใจในความแตกต่าง"🌌
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 923 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    คดีจิ๋ว:



    เหตุการณ์ประหลาดในห้องทดลอง

    ร.ต.อ. สิงห์ และหนูดี ถูกเรียกตัวไปยัง สถาบันวิจัยนิวเคลียร์ หลังเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ
    เครื่องเร่งอนุภาคแสดงผลการทดลองที่ไม่อาจอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์

    ```mermaid
    graph TB
    A[การทดลอง<br>LHC ขนาดเล็ก] --> B[พบพลังงาน<br>รูปแบบใหม่]
    B --> C[เกิดรอยแตก<br>ระหว่างมิติระดับควอนตัม]
    C --> D[เทพระดับอะตอม<br>หลุดเข้ามาโลกมนุษย์]
    D --> E[เกิดสงคราม<br>ระหว่างเทพจิ๋ว]
    ```

    การปรากฏตัวของเทพระดับอะตอม

    หนูดีสามารถมองเห็นสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น:
    "พ่อคะ...มีเมืองเล็กๆ เป็นประกายอยู่ในอากาศ!
    มีสิ่งมีชีวิตเล็กจิ๋วกำลังต่อสู้กัน!"

    เบื้องหลังเทพระดับอะตอม

    อาณาจักรแห่งควอนตัม

    เทพระดับอะตอมมาจาก อาณาจักรควอนตัม ที่มีอยู่ควบคู่กับโลกเราในระดับอนุภาค

    ```python
    class QuantumDeities:
    def __init__(self):
    self.factions = {
    "proton_kingdom": {
    "ruler": "พระเจ้าประจุบวก",
    "appearance": "ทรงประกายสีแดง มีรัศมีเป็นวงโคจรอิเล็กตรอน",
    "powers": ["สร้างพันธะ", "รักษาเสถียรภาพ", "ควบคุมแรงนิวเคลียร์"]
    },
    "electron_tribe": {
    "ruler": "เทพีอิเล็กตรอน",
    "appearance": "เรืองแสงสีฟ้า เคลื่อนที่รวดเร็ว",
    "powers": ["สร้างพลังงาน", "ควบคุมแม่เหล็ก", "สร้างแสง"]
    },
    "neutron_clan": {
    "ruler": "จอมฤๅษีนิวตรอน",
    "appearance": "สีเทาเงียบขรึม",
    "powers": ["สร้างเสถียรภาพ", "ควบคุมการ fission", "รักษาสมดุล"]
    }
    }

    self.conflict_cause = "การแย่งชิง 'อนุภาคศักดิ์สิทธิ์' ที่สามารถควบคุมทั้งสามอาณาจักร"
    ```

    พลังแห่งเทพระดับอะตอม

    เทพเหล่านี้มีพลังที่ส่งผลต่อโลกมนุษย์:

    · ควบคุมพันธะเคมี: ทำให้วัตถุแข็งหรืออ่อนตัว
    · เปลี่ยนแปลงสถานะ: ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ
    · สร้างพลังงาน: จากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน

    มหาสงครามระดับอนุภาค

    สนามรบในโลกมนุษย์

    สงครามของเทพจิ๋วส่งผลกระทบต่อโลก:

    ```mermaid
    graph LR
    A[เทพโปรตอน<br>เพิ่มความแข็งให้วัตถุ] --> D[วัตถุแข็งเกินไป<br>จนแตกหักง่าย]
    B[เทพอิเล็กตรอน<br>เร่งการเคลื่อนที่] --> E[อุณหภูมิรอบตัว<br>เปลี่ยนแปลงฉับพลัน]
    C[เทพนิวตรอน<br>ควบคุมการสลายตัว] --> F[วัตถุเสื่อมสภาพ<br>อย่างรวดเร็ว]
    ```

    เหตุการณ์วุ่นวาย

    ชาวบ้านรายงานเหตุการณ์ประหลาด:

    · เหล็กกล้า เปราะเหมือนขนมปังกรอบ
    · น้ำ ในแก้วเดือดโดยไม่มีไฟ
    · อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำงานผิดปกติ

    กระบวนการแก้ไขปัญหา

    การเข้าถึงของหนูดี

    หนูดีใช้ความสามารถสื่อสารกับเทพระดับจิ๋ว:
    "พวกท่าน..การสู้รบทำลายสมดุลของทุกโลก
    ทั้งโลกมนุษย์และอาณาจักรควอนตัม"

    การเจรจาสันติภาพ

    หนูดีจัด สภาสันติภาพระดับควอนตัม:

    · สถานที่: ในฟองสบู่พลังงานพิเศษ
    · ผู้เข้าร่วม: ตัวแทนทั้งสามอาณาจักร
    · ประเด็น: การแบ่งปันอนุภาคศักดิ์สิทธิ์

    ข้อเสนอแก้ไข

    หนูดีเสนอระบบใหม่:

    ```python
    class QuantumPeacePlan:
    def __init__(self):
    self.power_sharing = {
    "protons": "ควบคุมพันธะและโครงสร้าง",
    "electrons": "ควบคุมพลังงานและการเคลื่อนไหว",
    "neutrons": "ควบคุมเสถียรภาพและอายุขัย"
    }

    self.cooperation_system = [
    "การหมุนเวียนอนุภาคศักดิ์สิทธิ์ตามฤดูกาล",
    "สภาผู้นำสามอาณาจักร",
    "กองกำลังรักษาสันติภาพร่วม",
    "ระบบแลกเปลี่ยนพลังงานยุติธรรม"
    ]
    ```

    การจัดระเบียบใหม่

    สนธิสัญญาควอนตัม

    มีการลงนามสนธิสัญญาระหว่างสามอาณาจักร:

    · สิทธิ์ในการใช้พลังงาน: แบ่งตามสัดส่วนที่ยุติธรรม
    · เขตอิทธิพล: แต่ละอาณาจักรมีพื้นที่ควบคุมชัดเจน
    · การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน: ในยามวิกฤต

    บทบาทใหม่ของเทพจิ๋ว

    เทพระดับอะตอมเริ่มใช้พลังอย่างสร้างสรรค์:

    · ช่วยงานวิทยาศาสตร์: กับการทดลองที่ซับซ้อน
    · รักษาสิ่งแวดล้อม: ควบคุมปฏิกิริยาเคมี
    · พัฒนาเทคโนโลยี: กับการประดิษฐ์ใหม่ๆ

    ผลกระทบต่อวิทยาศาสตร์

    ความรู้ใหม่ที่ได้รับ

    การเผชิญหน้านี้ให้ความรู้ใหม่:

    ```mermaid
    graph TB
    A[การสื่อสารกับเทพจิ๋ว] --> B[เข้าใจกลไก<br>ควอนตัมลึกซึ้งขึ้น]
    B --> C[พัฒนาทฤษฎีใหม่<br>ทางฟิสิกส์]
    C --> D[นวัตกรรม<br>ล้ำสมัย]
    ```

    การประยุกต์ใช้

    หนูดีและสิงห์เรียนรู้ว่า:

    · พลังงานศักดิ์สิทธิ์ คือพลังงานจุดศูนย์กลางของอะตอม
    · การควบคุมพันธะ สามารถรักษาโรคได้
    · สมดุลแห่งอนุภาค คือพื้นฐานของสุขภาพ

    การแพทย์รูปแบบใหม่

    เทคนิคการรักษาระดับอะตอม

    พัฒนาจากความรู้ที่ได้จากเทพจิ๋ว:

    · การซ่อมแซมDNA: โดยเทพอิเล็กตรอน
    · การสร้างเซลล์ใหม่: โดยเทพโปรตอน
    · การรักษาสมดุลร่างกาย: โดยเทพนิวตรอน

    โครงการบำบัดใหม่

    ```python
    class AtomicTherapy:
    def __init__(self):
    self.therapies = {
    "cellular_renewal": "การฟื้นฟูเซลล์ระดับโมเลกุล",
    "dna_repair": "การซ่อมแซมความเสียหายของDNA",
    "energy_balance": "การปรับสมดุลพลังงานในร่างกาย",
    "quantum_healing": "การรักษาด้วยหลักการควอนตัม"
    }

    self.collaborators = [
    "เทพโปรตอน: โครงสร้างและความแข็งแรง",
    "เทพอิเล็กตรอน: พลังงานและการสื่อสาร",
    "เทพนิวตรอน: เสถียรภาพและความสมดุล"
    ]
    ```

    บทเรียนจากคดี

    🪷 สำหรับเทพระดับอะตอม

    "เราตระหนักว่า...
    อำนาจที่แท้การควบคุม
    แต่คือการทำงานร่วมกัน

    และอนุภาคศักดิ์สิทธิ์...
    ควรเป็นสมบัติของทุกอาณาจักร"

    สำหรับหนูดี

    "หนูเรียนรู้ว่า...
    ความขัดแย้งมีทุกระดับ
    ตั้งแต่สงครามระหว่างประเทศ
    จนถึงสงครามระหว่างอะตอม

    และการแก้ไขที่แท้จริง...
    ต้องเริ่มจากความเข้าใจซึ่งกันและกัน"

    สำหรับ ร.ต.อ. สิงห์

    "คดีนี้สอนฉันว่า...
    บางครั้งอาชญากรรมที่เล็กที่สุด
    อาจส่งผลกระทบที่ใหญ่ที่สุด

    และการเป็นตำรวจ...
    หมายถึงการรักษาความสงบในทุกระดับ"

    ระบบใหม่แห่งควอนตัม

    ความร่วมมือถาวร

    สถาบันวิวัฒนาการจิตตั้ง แผนกความร่วมมือระดับควอนตัม:

    · ที่ปรึกษา: ตัวแทนจากสามอาณาจักร
    · โครงการวิจัย: ร่วมกันระหว่างมนุษย์และเทพจิ๋ว
    · การแลกเปลี่ยนความรู้: วิทยาศาสตร์และภูมิปัญญาโบราณ

    ความสำเร็จ

    หลังการแก้ไขปัญหา:

    · โลกมนุษย์: ได้เทคโนโลยีใหม่ๆ
    · อาณาจักรควอนตัม: มีสันติภาพและความเจริญ
    · ทั้งสองโลก: เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน

    ---

    คำคมสุดท้ายจากคดี:
    "เราเรียนรู้ว่า...
    ความใหญ่และความเล็กเป็นเพียงมุมมอง
    และสงครามกับสันติภาพมีอยู่ในทุกระดับ

    เมื่ออนุภาคเล็กๆ เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน...
    ทั้งจักรวาลก็สงบสุขตาม"

    การเดินทางครั้งนี้สอนเราว่า...
    "From the smallest quark to the largest galaxy,
    the principles of harmony remain the same
    And in understanding the quantum world,
    we understand the very fabric of existence"
    O.P.K. ⚛️ คดีจิ๋ว: 🔬 เหตุการณ์ประหลาดในห้องทดลอง ร.ต.อ. สิงห์ และหนูดี ถูกเรียกตัวไปยัง สถาบันวิจัยนิวเคลียร์ หลังเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ เครื่องเร่งอนุภาคแสดงผลการทดลองที่ไม่อาจอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์ ```mermaid graph TB A[การทดลอง<br>LHC ขนาดเล็ก] --> B[พบพลังงาน<br>รูปแบบใหม่] B --> C[เกิดรอยแตก<br>ระหว่างมิติระดับควอนตัม] C --> D[เทพระดับอะตอม<br>หลุดเข้ามาโลกมนุษย์] D --> E[เกิดสงคราม<br>ระหว่างเทพจิ๋ว] ``` 🎭 การปรากฏตัวของเทพระดับอะตอม หนูดีสามารถมองเห็นสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น: "พ่อคะ...มีเมืองเล็กๆ เป็นประกายอยู่ในอากาศ! มีสิ่งมีชีวิตเล็กจิ๋วกำลังต่อสู้กัน!" 👑 เบื้องหลังเทพระดับอะตอม 💫 อาณาจักรแห่งควอนตัม เทพระดับอะตอมมาจาก อาณาจักรควอนตัม ที่มีอยู่ควบคู่กับโลกเราในระดับอนุภาค ```python class QuantumDeities: def __init__(self): self.factions = { "proton_kingdom": { "ruler": "พระเจ้าประจุบวก", "appearance": "ทรงประกายสีแดง มีรัศมีเป็นวงโคจรอิเล็กตรอน", "powers": ["สร้างพันธะ", "รักษาเสถียรภาพ", "ควบคุมแรงนิวเคลียร์"] }, "electron_tribe": { "ruler": "เทพีอิเล็กตรอน", "appearance": "เรืองแสงสีฟ้า เคลื่อนที่รวดเร็ว", "powers": ["สร้างพลังงาน", "ควบคุมแม่เหล็ก", "สร้างแสง"] }, "neutron_clan": { "ruler": "จอมฤๅษีนิวตรอน", "appearance": "สีเทาเงียบขรึม", "powers": ["สร้างเสถียรภาพ", "ควบคุมการ fission", "รักษาสมดุล"] } } self.conflict_cause = "การแย่งชิง 'อนุภาคศักดิ์สิทธิ์' ที่สามารถควบคุมทั้งสามอาณาจักร" ``` ⚡ พลังแห่งเทพระดับอะตอม เทพเหล่านี้มีพลังที่ส่งผลต่อโลกมนุษย์: · ควบคุมพันธะเคมี: ทำให้วัตถุแข็งหรืออ่อนตัว · เปลี่ยนแปลงสถานะ: ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ · สร้างพลังงาน: จากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน 🌪️ มหาสงครามระดับอนุภาค 🎯 สนามรบในโลกมนุษย์ สงครามของเทพจิ๋วส่งผลกระทบต่อโลก: ```mermaid graph LR A[เทพโปรตอน<br>เพิ่มความแข็งให้วัตถุ] --> D[วัตถุแข็งเกินไป<br>จนแตกหักง่าย] B[เทพอิเล็กตรอน<br>เร่งการเคลื่อนที่] --> E[อุณหภูมิรอบตัว<br>เปลี่ยนแปลงฉับพลัน] C[เทพนิวตรอน<br>ควบคุมการสลายตัว] --> F[วัตถุเสื่อมสภาพ<br>อย่างรวดเร็ว] ``` 🔥 เหตุการณ์วุ่นวาย ชาวบ้านรายงานเหตุการณ์ประหลาด: · เหล็กกล้า เปราะเหมือนขนมปังกรอบ · น้ำ ในแก้วเดือดโดยไม่มีไฟ · อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำงานผิดปกติ 💞 กระบวนการแก้ไขปัญหา 🕊️ การเข้าถึงของหนูดี หนูดีใช้ความสามารถสื่อสารกับเทพระดับจิ๋ว: "พวกท่าน..การสู้รบทำลายสมดุลของทุกโลก ทั้งโลกมนุษย์และอาณาจักรควอนตัม" 🌈 การเจรจาสันติภาพ หนูดีจัด สภาสันติภาพระดับควอนตัม: · สถานที่: ในฟองสบู่พลังงานพิเศษ · ผู้เข้าร่วม: ตัวแทนทั้งสามอาณาจักร · ประเด็น: การแบ่งปันอนุภาคศักดิ์สิทธิ์ 🎯 ข้อเสนอแก้ไข หนูดีเสนอระบบใหม่: ```python class QuantumPeacePlan: def __init__(self): self.power_sharing = { "protons": "ควบคุมพันธะและโครงสร้าง", "electrons": "ควบคุมพลังงานและการเคลื่อนไหว", "neutrons": "ควบคุมเสถียรภาพและอายุขัย" } self.cooperation_system = [ "การหมุนเวียนอนุภาคศักดิ์สิทธิ์ตามฤดูกาล", "สภาผู้นำสามอาณาจักร", "กองกำลังรักษาสันติภาพร่วม", "ระบบแลกเปลี่ยนพลังงานยุติธรรม" ] ``` 🏛️ การจัดระเบียบใหม่ 💫 สนธิสัญญาควอนตัม มีการลงนามสนธิสัญญาระหว่างสามอาณาจักร: · สิทธิ์ในการใช้พลังงาน: แบ่งตามสัดส่วนที่ยุติธรรม · เขตอิทธิพล: แต่ละอาณาจักรมีพื้นที่ควบคุมชัดเจน · การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน: ในยามวิกฤต 🌟 บทบาทใหม่ของเทพจิ๋ว เทพระดับอะตอมเริ่มใช้พลังอย่างสร้างสรรค์: · ช่วยงานวิทยาศาสตร์: กับการทดลองที่ซับซ้อน · รักษาสิ่งแวดล้อม: ควบคุมปฏิกิริยาเคมี · พัฒนาเทคโนโลยี: กับการประดิษฐ์ใหม่ๆ 🔬 ผลกระทบต่อวิทยาศาสตร์ 🎓 ความรู้ใหม่ที่ได้รับ การเผชิญหน้านี้ให้ความรู้ใหม่: ```mermaid graph TB A[การสื่อสารกับเทพจิ๋ว] --> B[เข้าใจกลไก<br>ควอนตัมลึกซึ้งขึ้น] B --> C[พัฒนาทฤษฎีใหม่<br>ทางฟิสิกส์] C --> D[นวัตกรรม<br>ล้ำสมัย] ``` 💡 การประยุกต์ใช้ หนูดีและสิงห์เรียนรู้ว่า: · พลังงานศักดิ์สิทธิ์ คือพลังงานจุดศูนย์กลางของอะตอม · การควบคุมพันธะ สามารถรักษาโรคได้ · สมดุลแห่งอนุภาค คือพื้นฐานของสุขภาพ 🏥 การแพทย์รูปแบบใหม่ 🌈 เทคนิคการรักษาระดับอะตอม พัฒนาจากความรู้ที่ได้จากเทพจิ๋ว: · การซ่อมแซมDNA: โดยเทพอิเล็กตรอน · การสร้างเซลล์ใหม่: โดยเทพโปรตอน · การรักษาสมดุลร่างกาย: โดยเทพนิวตรอน 💊 โครงการบำบัดใหม่ ```python class AtomicTherapy: def __init__(self): self.therapies = { "cellular_renewal": "การฟื้นฟูเซลล์ระดับโมเลกุล", "dna_repair": "การซ่อมแซมความเสียหายของDNA", "energy_balance": "การปรับสมดุลพลังงานในร่างกาย", "quantum_healing": "การรักษาด้วยหลักการควอนตัม" } self.collaborators = [ "เทพโปรตอน: โครงสร้างและความแข็งแรง", "เทพอิเล็กตรอน: พลังงานและการสื่อสาร", "เทพนิวตรอน: เสถียรภาพและความสมดุล" ] ``` 📚 บทเรียนจากคดี 🪷 สำหรับเทพระดับอะตอม "เราตระหนักว่า... อำนาจที่แท้การควบคุม แต่คือการทำงานร่วมกัน และอนุภาคศักดิ์สิทธิ์... ควรเป็นสมบัติของทุกอาณาจักร" 💫 สำหรับหนูดี "หนูเรียนรู้ว่า... ความขัดแย้งมีทุกระดับ ตั้งแต่สงครามระหว่างประเทศ จนถึงสงครามระหว่างอะตอม และการแก้ไขที่แท้จริง... ต้องเริ่มจากความเข้าใจซึ่งกันและกัน" 👮 สำหรับ ร.ต.อ. สิงห์ "คดีนี้สอนฉันว่า... บางครั้งอาชญากรรมที่เล็กที่สุด อาจส่งผลกระทบที่ใหญ่ที่สุด และการเป็นตำรวจ... หมายถึงการรักษาความสงบในทุกระดับ" 🌟 ระบบใหม่แห่งควอนตัม 💞 ความร่วมมือถาวร สถาบันวิวัฒนาการจิตตั้ง แผนกความร่วมมือระดับควอนตัม: · ที่ปรึกษา: ตัวแทนจากสามอาณาจักร · โครงการวิจัย: ร่วมกันระหว่างมนุษย์และเทพจิ๋ว · การแลกเปลี่ยนความรู้: วิทยาศาสตร์และภูมิปัญญาโบราณ 🏆 ความสำเร็จ หลังการแก้ไขปัญหา: · โลกมนุษย์: ได้เทคโนโลยีใหม่ๆ · อาณาจักรควอนตัม: มีสันติภาพและความเจริญ · ทั้งสองโลก: เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน --- คำคมสุดท้ายจากคดี: "เราเรียนรู้ว่า... ความใหญ่และความเล็กเป็นเพียงมุมมอง และสงครามกับสันติภาพมีอยู่ในทุกระดับ เมื่ออนุภาคเล็กๆ เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน... ทั้งจักรวาลก็สงบสุขตาม"⚛️✨ การเดินทางครั้งนี้สอนเราว่า... "From the smallest quark to the largest galaxy, the principles of harmony remain the same And in understanding the quantum world, we understand the very fabric of existence"🌌🌈
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 783 มุมมอง 0 รีวิว
  • NASA เตรียมปลดระวางสถานีอวกาศนานาชาติ ส่งไม้ต่อให้เอกชนสร้างสถานีใหม่ในอวกาศ

    เรื่องราวของสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) กำลังเดินทางเข้าสู่บทสรุป หลังจากรับใช้มนุษยชาติในการวิจัยอวกาศมานานกว่า 25 ปี ล่าสุด NASA ประกาศแผนปลดระวาง ISS ภายในปี 2030 พร้อมเปิดทางให้บริษัทเอกชนเข้ามาสานต่อภารกิจในวงโคจรต่ำของโลก

    จุดเริ่มต้นของตำนาน ISS
    ISS ถูกสร้างขึ้นจากความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ แคนาดา ญี่ปุ่น ยุโรป และรัสเซีย โดยเริ่มต้นในยุคประธานาธิบดี Ronald Reagan และถูกประกอบขึ้นในอวกาศแบบ “Lego set” จนกลายเป็นวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ใหญ่ที่สุดในวงโคจรโลก.

    ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา ISS เป็นบ้านของนักบินอวกาศกว่า 7 คนในแต่ละช่วงเวลา และเป็นแหล่งทดลองทางวิทยาศาสตร์กว่า 4,000 โครงการ ตั้งแต่ DNA ไปจนถึงพายุฟ้าคะนอง เพื่อเข้าใจชีวิตบนโลกให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น.

    แผนการปลดระวางและส่งต่อ
    NASA เลือกวิธี “นำกลับสู่โลกแบบควบคุม” โดยให้ SpaceX พัฒนายานพิเศษเพื่อกำหนดเส้นทางตกของ ISS ลงสู่มหาสมุทรห่างไกล โดยคาดว่าส่วนใหญ่จะเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะน้อยมาก.

    หลังจากนั้น NASA จะหันไปโฟกัสที่การสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคาร ขณะที่ภารกิจในวงโคจรต่ำจะถูกส่งต่อให้เอกชน เช่น Blue Origin, Northrop Grumman และ Nanoracks ที่กำลังพัฒนาสถานีอวกาศเชิงพาณิชย์รุ่นใหม่.

    ประวัติและบทบาทของ ISS
    สร้างจากความร่วมมือระหว่างหลายประเทศ
    เป็นสถานีทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในวงโคจร
    มีนักบินอวกาศประจำการและทดลองกว่า 4,000 โครงการ

    แผนการปลดระวาง ISS
    NASA จะปลดระวางภายในปี 2030
    ใช้วิธีนำกลับสู่โลกแบบควบคุมโดย SpaceX
    ตกลงในมหาสมุทรห่างไกล ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำ

    การส่งไม้ต่อให้เอกชน
    NASA ลงนามกับ Blue Origin, Northrop Grumman และ Nanoracks
    พัฒนา “commercial destinations” เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างหลัง ISS หยุดทำงาน
    NASA จะเน้นสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคารในอนาคต

    ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน
    หากสถานีเอกชนไม่พร้อมทันเวลา อาจเกิดช่องว่างในการวิจัย
    การพึ่งพาเอกชนอาจทำให้การเข้าถึงอวกาศมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและสิทธิ์การใช้งาน

    https://www.slashgear.com/2018241/international-space-station-privatization-nasa/
    🚀 NASA เตรียมปลดระวางสถานีอวกาศนานาชาติ ส่งไม้ต่อให้เอกชนสร้างสถานีใหม่ในอวกาศ เรื่องราวของสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) กำลังเดินทางเข้าสู่บทสรุป หลังจากรับใช้มนุษยชาติในการวิจัยอวกาศมานานกว่า 25 ปี ล่าสุด NASA ประกาศแผนปลดระวาง ISS ภายในปี 2030 พร้อมเปิดทางให้บริษัทเอกชนเข้ามาสานต่อภารกิจในวงโคจรต่ำของโลก 🌌 จุดเริ่มต้นของตำนาน ISS ISS ถูกสร้างขึ้นจากความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ แคนาดา ญี่ปุ่น ยุโรป และรัสเซีย โดยเริ่มต้นในยุคประธานาธิบดี Ronald Reagan และถูกประกอบขึ้นในอวกาศแบบ “Lego set” จนกลายเป็นวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ใหญ่ที่สุดในวงโคจรโลก. ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา ISS เป็นบ้านของนักบินอวกาศกว่า 7 คนในแต่ละช่วงเวลา และเป็นแหล่งทดลองทางวิทยาศาสตร์กว่า 4,000 โครงการ ตั้งแต่ DNA ไปจนถึงพายุฟ้าคะนอง เพื่อเข้าใจชีวิตบนโลกให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น. 🛠️ แผนการปลดระวางและส่งต่อ NASA เลือกวิธี “นำกลับสู่โลกแบบควบคุม” โดยให้ SpaceX พัฒนายานพิเศษเพื่อกำหนดเส้นทางตกของ ISS ลงสู่มหาสมุทรห่างไกล โดยคาดว่าส่วนใหญ่จะเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะน้อยมาก. หลังจากนั้น NASA จะหันไปโฟกัสที่การสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคาร ขณะที่ภารกิจในวงโคจรต่ำจะถูกส่งต่อให้เอกชน เช่น Blue Origin, Northrop Grumman และ Nanoracks ที่กำลังพัฒนาสถานีอวกาศเชิงพาณิชย์รุ่นใหม่. ✅ ประวัติและบทบาทของ ISS ➡️ สร้างจากความร่วมมือระหว่างหลายประเทศ ➡️ เป็นสถานีทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในวงโคจร ➡️ มีนักบินอวกาศประจำการและทดลองกว่า 4,000 โครงการ ✅ แผนการปลดระวาง ISS ➡️ NASA จะปลดระวางภายในปี 2030 ➡️ ใช้วิธีนำกลับสู่โลกแบบควบคุมโดย SpaceX ➡️ ตกลงในมหาสมุทรห่างไกล ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำ ✅ การส่งไม้ต่อให้เอกชน ➡️ NASA ลงนามกับ Blue Origin, Northrop Grumman และ Nanoracks ➡️ พัฒนา “commercial destinations” เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างหลัง ISS หยุดทำงาน ➡️ NASA จะเน้นสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคารในอนาคต ‼️ ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน ⛔ หากสถานีเอกชนไม่พร้อมทันเวลา อาจเกิดช่องว่างในการวิจัย ⛔ การพึ่งพาเอกชนอาจทำให้การเข้าถึงอวกาศมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและสิทธิ์การใช้งาน https://www.slashgear.com/2018241/international-space-station-privatization-nasa/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    NASA Says Goodbye To The ISS - Say Hello To Privately Owned Space Stations - SlashGear
    NASA plans to decommission the ISS by 2030. The private sector is already gearing up to create low-Earth orbit space stations that take its place.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 325 มุมมอง 0 รีวิว
  • Starlink ผนึกกำลัง Veon เปิดศักราชใหม่ “มือถือเชื่อมดาวเทียม” ทะลุ 150 ล้านผู้ใช้

    ในยุคที่การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตยังไม่ทั่วถึงทุกพื้นที่ Elon Musk และทีม Starlink กำลังพลิกโฉมโลกการสื่อสาร ด้วยเทคโนโลยี “Direct-to-Cell” ที่ทำให้มือถือธรรมดาเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง ล่าสุด Starlink เซ็นสัญญาครั้งใหญ่กับ Veon กลุ่มโทรคมนาคมระดับโลก เปิดทางให้ผู้ใช้กว่า 150 ล้านคนเข้าถึงบริการนี้

    Starlink ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SpaceX ได้ประกาศดีลครั้งใหญ่กับ Veon ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในหลายประเทศ เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ และยูเครน โดยดีลนี้จะเปิดทางให้ผู้ใช้ในพื้นที่ห่างไกลสามารถใช้มือถือเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งเสาสัญญาณหรือเครือข่ายพื้นฐาน

    เทคโนโลยี “Direct-to-Cell” นี้ทำให้มือถือสามารถรับสัญญาณจากดาวเทียมที่โคจรอยู่เหนือโลก แล้วส่งกลับมายังพื้นดินได้ทันที ซึ่งต่างจากระบบเดิมที่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษหรืออยู่ในพื้นที่ที่มีเสาสัญญาณ

    ดีลนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในสงครามเทคโนโลยีระหว่างผู้ให้บริการดาวเทียม เช่น AST SpaceMobile, Lynk Global และ Starlink ที่กำลังแข่งขันกันเพื่อครองตลาด “มือถือเชื่อมดาวเทียม” ซึ่งคาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

    ข้อตกลงระหว่าง Starlink และ Veon
    Starlink เซ็นดีลกับ Veon เพื่อให้บริการ Direct-to-Cell แก่ผู้ใช้กว่า 150 ล้านคน
    ครอบคลุมประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ และยูเครน
    เป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดของ Starlink ในด้านการเชื่อมต่อมือถือผ่านดาวเทียม

    เทคโนโลยี Direct-to-Cell คืออะไร
    เป็นการเชื่อมต่อมือถือกับดาวเทียมโดยตรง โดยไม่ต้องใช้เสาสัญญาณ
    ใช้ดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) ส่งสัญญาณกลับมายังพื้นโลก
    ช่วยให้พื้นที่ห่างไกลหรือภัยพิบัติสามารถสื่อสารได้ทันที

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคม
    ผู้ให้บริการเครือข่ายพื้นฐานอาจต้องปรับตัวหรือร่วมมือกับผู้ให้บริการดาวเทียม
    เปิดโอกาสให้เกิดบริการใหม่ เช่น การสื่อสารในพื้นที่ห่างไกล, การช่วยเหลือฉุกเฉิน
    เพิ่มการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    การใช้ดาวเทียมอาจมีข้อจำกัดด้านความเร็วและความหน่วงของสัญญาณ
    ต้องมีการปรับปรุงมือถือให้รองรับเทคโนโลยีนี้อย่างเต็มรูปแบบ
    ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลต้องได้รับการดูแลอย่างเข้มงวด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/starlink-signs-landmark-global-direct-to-cell-deal-with-veon-as-satellite-to-phone-race-heats-up
    🚀 Starlink ผนึกกำลัง Veon เปิดศักราชใหม่ “มือถือเชื่อมดาวเทียม” ทะลุ 150 ล้านผู้ใช้ ในยุคที่การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตยังไม่ทั่วถึงทุกพื้นที่ Elon Musk และทีม Starlink กำลังพลิกโฉมโลกการสื่อสาร ด้วยเทคโนโลยี “Direct-to-Cell” ที่ทำให้มือถือธรรมดาเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง ล่าสุด Starlink เซ็นสัญญาครั้งใหญ่กับ Veon กลุ่มโทรคมนาคมระดับโลก เปิดทางให้ผู้ใช้กว่า 150 ล้านคนเข้าถึงบริการนี้ Starlink ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SpaceX ได้ประกาศดีลครั้งใหญ่กับ Veon ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในหลายประเทศ เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ และยูเครน โดยดีลนี้จะเปิดทางให้ผู้ใช้ในพื้นที่ห่างไกลสามารถใช้มือถือเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งเสาสัญญาณหรือเครือข่ายพื้นฐาน เทคโนโลยี “Direct-to-Cell” นี้ทำให้มือถือสามารถรับสัญญาณจากดาวเทียมที่โคจรอยู่เหนือโลก แล้วส่งกลับมายังพื้นดินได้ทันที ซึ่งต่างจากระบบเดิมที่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษหรืออยู่ในพื้นที่ที่มีเสาสัญญาณ ดีลนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในสงครามเทคโนโลยีระหว่างผู้ให้บริการดาวเทียม เช่น AST SpaceMobile, Lynk Global และ Starlink ที่กำลังแข่งขันกันเพื่อครองตลาด “มือถือเชื่อมดาวเทียม” ซึ่งคาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ✅ ข้อตกลงระหว่าง Starlink และ Veon ➡️ Starlink เซ็นดีลกับ Veon เพื่อให้บริการ Direct-to-Cell แก่ผู้ใช้กว่า 150 ล้านคน ➡️ ครอบคลุมประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ และยูเครน ➡️ เป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดของ Starlink ในด้านการเชื่อมต่อมือถือผ่านดาวเทียม ✅ เทคโนโลยี Direct-to-Cell คืออะไร ➡️ เป็นการเชื่อมต่อมือถือกับดาวเทียมโดยตรง โดยไม่ต้องใช้เสาสัญญาณ ➡️ ใช้ดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) ส่งสัญญาณกลับมายังพื้นโลก ➡️ ช่วยให้พื้นที่ห่างไกลหรือภัยพิบัติสามารถสื่อสารได้ทันที ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคม ➡️ ผู้ให้บริการเครือข่ายพื้นฐานอาจต้องปรับตัวหรือร่วมมือกับผู้ให้บริการดาวเทียม ➡️ เปิดโอกาสให้เกิดบริการใหม่ เช่น การสื่อสารในพื้นที่ห่างไกล, การช่วยเหลือฉุกเฉิน ➡️ เพิ่มการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ การใช้ดาวเทียมอาจมีข้อจำกัดด้านความเร็วและความหน่วงของสัญญาณ ⛔ ต้องมีการปรับปรุงมือถือให้รองรับเทคโนโลยีนี้อย่างเต็มรูปแบบ ⛔ ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลต้องได้รับการดูแลอย่างเข้มงวด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/starlink-signs-landmark-global-direct-to-cell-deal-with-veon-as-satellite-to-phone-race-heats-up
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Starlink signs landmark global direct-to-cell deal with Veon as satellite-to-phone race heats up
    (Reuters) -Elon Musk's Starlink, a subsidiary of SpaceX, secured its largest direct-to-cell deal yet with telecoms group Veon, granting access to over 150 million potential customers, both companies said on Thursday, as competition in satellite-to-smartphone connectivity intensifies.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 392 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google เปิดตัว Project Suncatcher: ส่งศูนย์ข้อมูล AI ขึ้นสู่อวกาศ!

    Google ประกาศโครงการสุดล้ำ “Project Suncatcher” ที่จะนำศูนย์ข้อมูล AI ขึ้นสู่วงโคจรโลก โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์และเทคโนโลยี TPU เพื่อประมวลผลแบบไร้ขีดจำกัดในอวกาศ พร้อมจับมือ Planet Labs เตรียมปล่อยดาวเทียมต้นแบบภายในปี 2027.

    Google กำลังพลิกโฉมการประมวลผล AI ด้วยแนวคิดใหม่: แทนที่จะสร้างศูนย์ข้อมูลบนโลกที่ใช้พลังงานมหาศาลและต้องการระบบระบายความร้อนซับซ้อน พวกเขาจะส่งศูนย์ข้อมูลขึ้นสู่อวกาศ!

    โดยใช้ดาวเทียมที่ติดตั้ง TPU (Tensor Processing Units) ซึ่งเป็นชิปประมวลผล AI ของ Google พร้อมแผงโซลาร์เซลล์ประสิทธิภาพสูงที่สามารถผลิตพลังงานได้มากกว่าแผงบนโลกถึง 8 เท่า

    ข้อดีคือ:
    ได้พลังงานสะอาดตลอด 24 ชั่วโมง
    ไม่ต้องใช้ระบบระบายความร้อนแบบเดิม
    ลดต้นทุนระยะยาวในการดำเนินงาน

    แต่ก็มีความท้าทาย:
    ต้องสร้างระบบสื่อสารที่ส่งข้อมูลได้หลายเทราไบต์ต่อวินาที
    ต้องป้องกัน TPU จากรังสีในอวกาศ ซึ่ง Google ได้ทดสอบแล้วว่า Trillium TPU ทนได้ถึง 5 ปีโดยไม่เสียหาย
    ต้องจัดการความเสี่ยงจากการชนกันของดาวเทียมในวงโคจร

    Google คาดว่าในปี 2035 ต้นทุนการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลในอวกาศจะใกล้เคียงกับบนโลก และจะเป็นทางเลือกใหม่ที่ยั่งยืนสำหรับการพัฒนา AI ในอนาคต

    แนวคิดของ Project Suncatcher
    ส่ง TPU ขึ้นสู่วงโคจรเพื่อประมวลผล AI
    ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่มีประสิทธิภาพสูง
    ลดต้นทุนและปัญหาระบบระบายความร้อน

    ความร่วมมือและแผนการดำเนินงาน
    ร่วมมือกับ Planet Labs
    เตรียมปล่อยดาวเทียมต้นแบบภายในปี 2027
    คาดว่าความคุ้มทุนจะเกิดในช่วงปี 2035

    ความท้าทายทางเทคนิค
    ต้องสร้างระบบสื่อสารความเร็วสูงระหว่างดาวเทียม
    ต้องป้องกัน TPU จากรังสีอวกาศ
    ต้องจัดการความเสี่ยงจากการชนกันของดาวเทียม

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    การสื่อสารข้อมูลจากอวกาศยังมีข้อจำกัดด้านความเร็วและความเสถียร
    การจัดการดาวเทียมจำนวนมากอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในวงโคจร
    ต้องมีการตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในระยะยาว

    Project Suncatcher ไม่ใช่แค่การส่งชิปขึ้นฟ้า แต่มันคือการเปิดประตูสู่ยุคใหม่ของการประมวลผล AI ที่ไร้ขีดจำกัด… และอาจเปลี่ยนวิธีที่โลกใช้พลังงานและเทคโนโลยีไปตลอดกาล

    https://securityonline.info/orbital-ai-google-unveils-project-suncatcher-to-launch-tpu-data-centers-into-space/
    🚀 Google เปิดตัว Project Suncatcher: ส่งศูนย์ข้อมูล AI ขึ้นสู่อวกาศ! Google ประกาศโครงการสุดล้ำ “Project Suncatcher” ที่จะนำศูนย์ข้อมูล AI ขึ้นสู่วงโคจรโลก โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์และเทคโนโลยี TPU เพื่อประมวลผลแบบไร้ขีดจำกัดในอวกาศ พร้อมจับมือ Planet Labs เตรียมปล่อยดาวเทียมต้นแบบภายในปี 2027. Google กำลังพลิกโฉมการประมวลผล AI ด้วยแนวคิดใหม่: แทนที่จะสร้างศูนย์ข้อมูลบนโลกที่ใช้พลังงานมหาศาลและต้องการระบบระบายความร้อนซับซ้อน พวกเขาจะส่งศูนย์ข้อมูลขึ้นสู่อวกาศ! โดยใช้ดาวเทียมที่ติดตั้ง TPU (Tensor Processing Units) ซึ่งเป็นชิปประมวลผล AI ของ Google พร้อมแผงโซลาร์เซลล์ประสิทธิภาพสูงที่สามารถผลิตพลังงานได้มากกว่าแผงบนโลกถึง 8 เท่า ข้อดีคือ: 💠 ได้พลังงานสะอาดตลอด 24 ชั่วโมง 💠 ไม่ต้องใช้ระบบระบายความร้อนแบบเดิม 💠 ลดต้นทุนระยะยาวในการดำเนินงาน แต่ก็มีความท้าทาย: 🎗️ ต้องสร้างระบบสื่อสารที่ส่งข้อมูลได้หลายเทราไบต์ต่อวินาที 🎗️ ต้องป้องกัน TPU จากรังสีในอวกาศ ซึ่ง Google ได้ทดสอบแล้วว่า Trillium TPU ทนได้ถึง 5 ปีโดยไม่เสียหาย 🎗️ ต้องจัดการความเสี่ยงจากการชนกันของดาวเทียมในวงโคจร Google คาดว่าในปี 2035 ต้นทุนการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลในอวกาศจะใกล้เคียงกับบนโลก และจะเป็นทางเลือกใหม่ที่ยั่งยืนสำหรับการพัฒนา AI ในอนาคต ✅ แนวคิดของ Project Suncatcher ➡️ ส่ง TPU ขึ้นสู่วงโคจรเพื่อประมวลผล AI ➡️ ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่มีประสิทธิภาพสูง ➡️ ลดต้นทุนและปัญหาระบบระบายความร้อน ✅ ความร่วมมือและแผนการดำเนินงาน ➡️ ร่วมมือกับ Planet Labs ➡️ เตรียมปล่อยดาวเทียมต้นแบบภายในปี 2027 ➡️ คาดว่าความคุ้มทุนจะเกิดในช่วงปี 2035 ✅ ความท้าทายทางเทคนิค ➡️ ต้องสร้างระบบสื่อสารความเร็วสูงระหว่างดาวเทียม ➡️ ต้องป้องกัน TPU จากรังสีอวกาศ ➡️ ต้องจัดการความเสี่ยงจากการชนกันของดาวเทียม ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ การสื่อสารข้อมูลจากอวกาศยังมีข้อจำกัดด้านความเร็วและความเสถียร ⛔ การจัดการดาวเทียมจำนวนมากอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในวงโคจร ⛔ ต้องมีการตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในระยะยาว Project Suncatcher ไม่ใช่แค่การส่งชิปขึ้นฟ้า แต่มันคือการเปิดประตูสู่ยุคใหม่ของการประมวลผล AI ที่ไร้ขีดจำกัด… และอาจเปลี่ยนวิธีที่โลกใช้พลังงานและเทคโนโลยีไปตลอดกาล https://securityonline.info/orbital-ai-google-unveils-project-suncatcher-to-launch-tpu-data-centers-into-space/
    SECURITYONLINE.INFO
    Orbital AI: Google Unveils Project Suncatcher to Launch TPU Data Centers into Space
    Google announced Project Suncatcher: an ambitious plan to launch TPU-equipped satellites to perform AI computing in space, harnessing limitless solar power and low temperatures.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 354 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SpaceX ผนึก Besxar สร้างโรงงานผลิตชิปกลางอวกาศ — ภารกิจสุดล้ำที่อาจเปลี่ยนโลกเทคโนโลยี!”

    ลองจินตนาการว่าอนาคตของการผลิตชิปไม่ได้อยู่ในห้องคลีนรูมบนโลกอีกต่อไป… แต่ลอยอยู่ในอวกาศ! นั่นคือแนวคิดสุดล้ำของ Besxar สตาร์ทอัพจากวอชิงตัน ดี.ซี. ที่จับมือกับ SpaceX เพื่อทดลองผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสุญญากาศของอวกาศ โดยใช้ “Fabships” — แคปซูลขนาดไมโครเวฟที่ติดไปกับจรวด Falcon 9

    ภารกิจนี้จะมีทั้งหมด 12 ครั้ง เริ่มปลายปีนี้ โดย Fabships จะถูกส่งขึ้นไปพร้อมจรวด ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีในการสัมผัสสุญญากาศระดับสูง ก่อนกลับลงมาพร้อมข้อมูลสำคัญเพื่อพัฒนาโรงงานผลิตชิปในวงโคจร

    CEO ของ Besxar, Ashley Pilipiszyn อธิบายว่า “โรงงานผลิตชิปบนโลกไม่สามารถสร้างสุญญากาศที่บริสุทธิ์ได้เท่ากับอวกาศ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพและผลผลิตของชิปยุคใหม่” แนวคิดนี้จึงเปรียบเสมือนการใช้ธรรมชาติของอวกาศเป็นห้องคลีนรูมขนาดยักษ์

    แม้จะยังห่างไกลจากการผลิตเชิงพาณิชย์ แต่ Besxar ได้รับการสนับสนุนจาก NVIDIA และกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ พร้อมเป้าหมายในการสร้างชิปที่ทนรังสีและเหมาะกับการใช้งานในอวกาศและกองทัพ

    Besxar จับมือ SpaceX ทดลองผลิตชิปในอวกาศ
    ใช้แคปซูล “Fabships” ติดไปกับจรวด Falcon 9
    สัมผัสสุญญากาศระดับสูงก่อนกลับสู่โลกภายใน 10 นาที

    เป้าหมายคือสร้างโรงงานผลิตชิปในวงโคจร
    ใช้สุญญากาศของอวกาศแทนห้องคลีนรูม
    หวังเพิ่มคุณภาพและผลผลิตของเซมิคอนดักเตอร์

    ภารกิจเริ่มปลายปีนี้ รวม 12 ครั้ง
    เป็นโครงการทดลองเพื่อเก็บข้อมูล
    ยังไม่ใช่การผลิตเชิงพาณิชย์

    ได้รับการสนับสนุนจาก NVIDIA และกระทรวงกลาโหม
    มีเป้าหมายในการผลิตชิปที่ทนรังสีสำหรับการใช้งานด้านกลาโหม
    อาจเปลี่ยนโฉมหน้าการผลิตชิปในอนาคต

    คำเตือนด้านความเป็นไปได้
    ยังอยู่ในขั้นทดลอง ไม่สามารถผลิตชิปเชิงพาณิชย์ได้ก่อนปี 2030
    ต้องพิสูจน์ว่าชิปสามารถทนต่อแรงกระแทกจากการปล่อยและกลับสู่โลกได้

    คำเตือนด้านต้นทุนและความเสี่ยง
    การสร้างระบบผลิตในอวกาศมีต้นทุนสูงมาก
    หากไม่สำเร็จ อาจเป็นเพียง “โน้ตเชิงทดลองราคาแพง” ในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/elon-musks-spacex-to-launch-reusable-fabships-for-orbital-chip-manufacturing-experiments-besxars-orbital-chipmaking-experiments-to-occur-over-12-launches
    🚀🔬 “SpaceX ผนึก Besxar สร้างโรงงานผลิตชิปกลางอวกาศ — ภารกิจสุดล้ำที่อาจเปลี่ยนโลกเทคโนโลยี!” ลองจินตนาการว่าอนาคตของการผลิตชิปไม่ได้อยู่ในห้องคลีนรูมบนโลกอีกต่อไป… แต่ลอยอยู่ในอวกาศ! นั่นคือแนวคิดสุดล้ำของ Besxar สตาร์ทอัพจากวอชิงตัน ดี.ซี. ที่จับมือกับ SpaceX เพื่อทดลองผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสุญญากาศของอวกาศ โดยใช้ “Fabships” — แคปซูลขนาดไมโครเวฟที่ติดไปกับจรวด Falcon 9 ภารกิจนี้จะมีทั้งหมด 12 ครั้ง เริ่มปลายปีนี้ โดย Fabships จะถูกส่งขึ้นไปพร้อมจรวด ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีในการสัมผัสสุญญากาศระดับสูง ก่อนกลับลงมาพร้อมข้อมูลสำคัญเพื่อพัฒนาโรงงานผลิตชิปในวงโคจร CEO ของ Besxar, Ashley Pilipiszyn อธิบายว่า “โรงงานผลิตชิปบนโลกไม่สามารถสร้างสุญญากาศที่บริสุทธิ์ได้เท่ากับอวกาศ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพและผลผลิตของชิปยุคใหม่” แนวคิดนี้จึงเปรียบเสมือนการใช้ธรรมชาติของอวกาศเป็นห้องคลีนรูมขนาดยักษ์ แม้จะยังห่างไกลจากการผลิตเชิงพาณิชย์ แต่ Besxar ได้รับการสนับสนุนจาก NVIDIA และกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ พร้อมเป้าหมายในการสร้างชิปที่ทนรังสีและเหมาะกับการใช้งานในอวกาศและกองทัพ ✅ Besxar จับมือ SpaceX ทดลองผลิตชิปในอวกาศ ➡️ ใช้แคปซูล “Fabships” ติดไปกับจรวด Falcon 9 ➡️ สัมผัสสุญญากาศระดับสูงก่อนกลับสู่โลกภายใน 10 นาที ✅ เป้าหมายคือสร้างโรงงานผลิตชิปในวงโคจร ➡️ ใช้สุญญากาศของอวกาศแทนห้องคลีนรูม ➡️ หวังเพิ่มคุณภาพและผลผลิตของเซมิคอนดักเตอร์ ✅ ภารกิจเริ่มปลายปีนี้ รวม 12 ครั้ง ➡️ เป็นโครงการทดลองเพื่อเก็บข้อมูล ➡️ ยังไม่ใช่การผลิตเชิงพาณิชย์ ✅ ได้รับการสนับสนุนจาก NVIDIA และกระทรวงกลาโหม ➡️ มีเป้าหมายในการผลิตชิปที่ทนรังสีสำหรับการใช้งานด้านกลาโหม ➡️ อาจเปลี่ยนโฉมหน้าการผลิตชิปในอนาคต ‼️ คำเตือนด้านความเป็นไปได้ ⛔ ยังอยู่ในขั้นทดลอง ไม่สามารถผลิตชิปเชิงพาณิชย์ได้ก่อนปี 2030 ⛔ ต้องพิสูจน์ว่าชิปสามารถทนต่อแรงกระแทกจากการปล่อยและกลับสู่โลกได้ ‼️ คำเตือนด้านต้นทุนและความเสี่ยง ⛔ การสร้างระบบผลิตในอวกาศมีต้นทุนสูงมาก ⛔ หากไม่สำเร็จ อาจเป็นเพียง “โน้ตเชิงทดลองราคาแพง” ในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/elon-musks-spacex-to-launch-reusable-fabships-for-orbital-chip-manufacturing-experiments-besxars-orbital-chipmaking-experiments-to-occur-over-12-launches
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 415 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts