• บทความกฎหมาย EP.38

    กฎหมายแรงงานฉบับลูกจ้าง: เกราะป้องกันที่คุณต้องมีในโลกการทำงาน
    ในโลกของการจ้างงานที่ขับเคลื่อนด้วยการแข่งขันและภาระหน้าที่ เราในฐานะ "ลูกจ้าง" หรือ "คนทำงาน" มักได้ยินคำว่า "กฎหมายแรงงาน" อยู่บ่อยครั้ง จนบางครั้งเกิดความสับสนหรือไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้วสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายของเราครอบคลุมถึงขอบเขตใดบ้าง การตระหนักถึงข้อกฎหมายเหล่านี้จึงไม่ใช่เพียงแค่ความรู้ทั่วไป แต่เป็นเสมือน "เกราะป้องกัน" ที่สำคัญที่สุด ที่จะช่วยให้เราสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมั่นใจ ไม่ถูกเอาเปรียบ และเรียกร้องความเป็นธรรมได้เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามครรลองที่กฎหมายกำหนดไว้ เราจึงขอสรุปสาระสำคัญของกฎหมายแรงงานที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนจำเป็นต้องทราบ ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานของเวลาทำงาน วันหยุด วันลา ไปจนถึงสิทธิค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้าง เพื่อให้ทุกคน "รู้ทันสิทธิ" ของตนเองอย่างแท้จริง

    กฎหมายแรงงานได้กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำเกี่ยวกับ "เวลาทำงาน" เพื่อให้ลูกจ้างมีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอ โดยกำหนดให้งานทั่วไปต้องทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน และรวมแล้วต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนงานที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพหรืออันตรายจะถูกจำกัดเข้มงวดกว่า คือต้องไม่เกิน 5 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่นายจ้างต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด หากมีความจำเป็นต้องทำงานล่วงเวลา หรือที่เรียกกันว่า "OT" (Overtime) กฎหมายก็กำหนดอัตราค่าตอบแทนที่เป็นธรรม โดยในวันธรรมดาจะต้องได้รับค่าล่วงเวลาไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง และเพิ่มเป็น 3 เท่าสำหรับวันหยุด และแม้จะเป็นการทำงานเพิ่มในเวลาทำงานปกติก็ตาม ก็ยังคงต้องได้รับค่าตอบแทนในอัตรา 1 เท่า หากแต่การทำงานล่วงเวลาทั้งหมดนี้ก็มีเพดานกำกับไว้ คือต้องไม่เกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพื่อป้องกันการใช้แรงงานเกินควร นอกจากเวลาทำงานแล้ว "วันหยุด" ก็เป็นอีกหนึ่งสิทธิพื้นฐานที่ถูกคุ้มครอง ลูกจ้างมีสิทธิได้รับวันหยุดประจำสัปดาห์อย่างน้อย 1 วัน และที่สำคัญคือสิทธิในวันหยุดตามประเพณี ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่าต้องไม่น้อยกว่า 13 วันต่อปี โดยรวมวันสำคัญทางศาสนาและวันหยุดราชการอื่น ๆ เพื่อให้ลูกจ้างมีโอกาสได้พักผ่อนและทำกิจกรรมทางสังคมได้อย่างเต็มที่ สิทธิในการ "ลา" เป็นอีกหนึ่งบทบัญญัติที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในคุณภาพชีวิตของลูกจ้าง เริ่มตั้งแต่ "ลาป่วย" ซึ่งลูกจ้างสามารถลาได้ตามที่ป่วยจริง และหากลาติดต่อกันเกินกว่า 3 วัน นายจ้างมีสิทธิขอ "ใบรับรองแพทย์" เพื่อประกอบการพิจารณา การ "ลาพักร้อน" หรือวันหยุดพักผ่อนประจำปี ก็ถูกกำหนดให้มีขั้นต่ำที่ 6 วันต่อปี หลังจากทำงานครบหนึ่งปี ส่วน "ลากิจธุระอันจำเป็น" นั้น แม้จะถูกกำหนดโดยกฎหมายให้นายจ้างอนุญาต แต่รายละเอียดและจำนวนวันลาที่เกินกว่า 3 วันขึ้นไป อาจขึ้นอยู่กับข้อตกลงหรือระเบียบขององค์กรนั้น ๆ สำหรับสิทธิของลูกจ้างหญิง กฎหมายให้สิทธิ "ลาคลอดบุตร" ได้สูงสุดถึง 120 วัน โดยได้รับค่าจ้างในระหว่างลานั้นไม่เกิน 60 วัน และล่าสุด ยังรวมถึงสิทธิ "ลาตรวจครรภ์" 15 วัน และ "ลาเพื่อช่วยคู่สมรสคลอดบุตร" 15 วัน ซึ่งต้องใช้สิทธิภายใน 90 วันหลังคลอด ซึ่งทั้งหมดนี้คือการยกระดับคุณภาพชีวิตและครอบครัวของแรงงาน

    แต่ประเด็นที่มักจะสร้างความกังวลใจและเป็นข้อพิพาทมากที่สุด คือเรื่องของการ "เลิกจ้าง" และ "ค่าชดเชย" กฎหมายแรงงานได้กำหนดอัตราค่าชดเชยที่ชัดเจนและเป็นไปตามระยะเวลาการทำงานของลูกจ้าง เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อต้องออกจากงาน ลูกจ้างจะได้รับเงินชดเชยที่เหมาะสมตามความทุ่มเทและเวลาที่ได้อุทิศให้แก่องค์กร โดยเริ่มตั้งแต่การทำงานครบ 120 วันแต่ไม่ถึง 1 ปี จะได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 30 วัน ไปจนถึงกรณีที่ทำงานมาอย่างยาวนานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จะได้รับค่าชดเชยสูงสุดถึง 300 วัน ซึ่งการกำหนดอัตราค่าชดเชยนี้เป็นไปเพื่อคุ้มครองสถานะทางการเงินของลูกจ้างในช่วงเปลี่ยนผ่านการทำงาน การทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องเวลาทำงาน ค่าล่วงเวลา วันหยุด วันลา และค่าชดเชยการเลิกจ้าง ตามที่กระทรวงแรงงานได้ประกาศไว้นั้น จึงไม่ใช่เพียงแค่การท่องจำตัวเลข แต่เป็นการติดอาวุธทางปัญญาให้กับตนเองในฐานะลูกจ้าง เพื่อใช้กฎหมายเป็นกลไกในการรักษาสิทธิของตนเองให้ได้รับความเสมอภาคและความเป็นธรรมตามหลักนิติธรรมที่ใช้กำกับดูแลความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง

    ดังนั้น การศึกษากฎหมายแรงงานจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด ไม่ว่าคุณจะอยู่ในตำแหน่งใดหรือทำงานในอุตสาหกรรมใดก็ตาม การ "รู้ทันสิทธิ" เหล่านี้จะทำให้คุณไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าในโครงสร้างการจ้างงาน และทำให้คุณสามารถก้าวเดินในโลกของการทำงานได้อย่างมั่นคงและมั่นใจ การใช้กฎหมายเป็นหลักในการเจรจาและการปฏิบัติงานคือการแสดงออกถึงความเป็นมืออาชีพและการเคารพในตัวเอง เพราะสิทธิที่เราได้รับตามกฎหมายแรงงานนั้น แท้จริงแล้วคือสิ่งที่สังคมยอมรับว่าเป็นความยุติธรรมขั้นพื้นฐานที่เราพึงได้รับจากการใช้แรงงานและเวลาอันมีค่าของเราในการสร้างสรรค์ผลผลิตให้กับสังคมนั่นเอง
    บทความกฎหมาย EP.38 กฎหมายแรงงานฉบับลูกจ้าง: เกราะป้องกันที่คุณต้องมีในโลกการทำงาน ในโลกของการจ้างงานที่ขับเคลื่อนด้วยการแข่งขันและภาระหน้าที่ เราในฐานะ "ลูกจ้าง" หรือ "คนทำงาน" มักได้ยินคำว่า "กฎหมายแรงงาน" อยู่บ่อยครั้ง จนบางครั้งเกิดความสับสนหรือไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้วสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายของเราครอบคลุมถึงขอบเขตใดบ้าง การตระหนักถึงข้อกฎหมายเหล่านี้จึงไม่ใช่เพียงแค่ความรู้ทั่วไป แต่เป็นเสมือน "เกราะป้องกัน" ที่สำคัญที่สุด ที่จะช่วยให้เราสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมั่นใจ ไม่ถูกเอาเปรียบ และเรียกร้องความเป็นธรรมได้เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามครรลองที่กฎหมายกำหนดไว้ เราจึงขอสรุปสาระสำคัญของกฎหมายแรงงานที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนจำเป็นต้องทราบ ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานของเวลาทำงาน วันหยุด วันลา ไปจนถึงสิทธิค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้าง เพื่อให้ทุกคน "รู้ทันสิทธิ" ของตนเองอย่างแท้จริง กฎหมายแรงงานได้กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำเกี่ยวกับ "เวลาทำงาน" เพื่อให้ลูกจ้างมีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอ โดยกำหนดให้งานทั่วไปต้องทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน และรวมแล้วต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนงานที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพหรืออันตรายจะถูกจำกัดเข้มงวดกว่า คือต้องไม่เกิน 5 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่นายจ้างต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด หากมีความจำเป็นต้องทำงานล่วงเวลา หรือที่เรียกกันว่า "OT" (Overtime) กฎหมายก็กำหนดอัตราค่าตอบแทนที่เป็นธรรม โดยในวันธรรมดาจะต้องได้รับค่าล่วงเวลาไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง และเพิ่มเป็น 3 เท่าสำหรับวันหยุด และแม้จะเป็นการทำงานเพิ่มในเวลาทำงานปกติก็ตาม ก็ยังคงต้องได้รับค่าตอบแทนในอัตรา 1 เท่า หากแต่การทำงานล่วงเวลาทั้งหมดนี้ก็มีเพดานกำกับไว้ คือต้องไม่เกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพื่อป้องกันการใช้แรงงานเกินควร นอกจากเวลาทำงานแล้ว "วันหยุด" ก็เป็นอีกหนึ่งสิทธิพื้นฐานที่ถูกคุ้มครอง ลูกจ้างมีสิทธิได้รับวันหยุดประจำสัปดาห์อย่างน้อย 1 วัน และที่สำคัญคือสิทธิในวันหยุดตามประเพณี ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่าต้องไม่น้อยกว่า 13 วันต่อปี โดยรวมวันสำคัญทางศาสนาและวันหยุดราชการอื่น ๆ เพื่อให้ลูกจ้างมีโอกาสได้พักผ่อนและทำกิจกรรมทางสังคมได้อย่างเต็มที่ สิทธิในการ "ลา" เป็นอีกหนึ่งบทบัญญัติที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในคุณภาพชีวิตของลูกจ้าง เริ่มตั้งแต่ "ลาป่วย" ซึ่งลูกจ้างสามารถลาได้ตามที่ป่วยจริง และหากลาติดต่อกันเกินกว่า 3 วัน นายจ้างมีสิทธิขอ "ใบรับรองแพทย์" เพื่อประกอบการพิจารณา การ "ลาพักร้อน" หรือวันหยุดพักผ่อนประจำปี ก็ถูกกำหนดให้มีขั้นต่ำที่ 6 วันต่อปี หลังจากทำงานครบหนึ่งปี ส่วน "ลากิจธุระอันจำเป็น" นั้น แม้จะถูกกำหนดโดยกฎหมายให้นายจ้างอนุญาต แต่รายละเอียดและจำนวนวันลาที่เกินกว่า 3 วันขึ้นไป อาจขึ้นอยู่กับข้อตกลงหรือระเบียบขององค์กรนั้น ๆ สำหรับสิทธิของลูกจ้างหญิง กฎหมายให้สิทธิ "ลาคลอดบุตร" ได้สูงสุดถึง 120 วัน โดยได้รับค่าจ้างในระหว่างลานั้นไม่เกิน 60 วัน และล่าสุด ยังรวมถึงสิทธิ "ลาตรวจครรภ์" 15 วัน และ "ลาเพื่อช่วยคู่สมรสคลอดบุตร" 15 วัน ซึ่งต้องใช้สิทธิภายใน 90 วันหลังคลอด ซึ่งทั้งหมดนี้คือการยกระดับคุณภาพชีวิตและครอบครัวของแรงงาน แต่ประเด็นที่มักจะสร้างความกังวลใจและเป็นข้อพิพาทมากที่สุด คือเรื่องของการ "เลิกจ้าง" และ "ค่าชดเชย" กฎหมายแรงงานได้กำหนดอัตราค่าชดเชยที่ชัดเจนและเป็นไปตามระยะเวลาการทำงานของลูกจ้าง เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อต้องออกจากงาน ลูกจ้างจะได้รับเงินชดเชยที่เหมาะสมตามความทุ่มเทและเวลาที่ได้อุทิศให้แก่องค์กร โดยเริ่มตั้งแต่การทำงานครบ 120 วันแต่ไม่ถึง 1 ปี จะได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 30 วัน ไปจนถึงกรณีที่ทำงานมาอย่างยาวนานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จะได้รับค่าชดเชยสูงสุดถึง 300 วัน ซึ่งการกำหนดอัตราค่าชดเชยนี้เป็นไปเพื่อคุ้มครองสถานะทางการเงินของลูกจ้างในช่วงเปลี่ยนผ่านการทำงาน การทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องเวลาทำงาน ค่าล่วงเวลา วันหยุด วันลา และค่าชดเชยการเลิกจ้าง ตามที่กระทรวงแรงงานได้ประกาศไว้นั้น จึงไม่ใช่เพียงแค่การท่องจำตัวเลข แต่เป็นการติดอาวุธทางปัญญาให้กับตนเองในฐานะลูกจ้าง เพื่อใช้กฎหมายเป็นกลไกในการรักษาสิทธิของตนเองให้ได้รับความเสมอภาคและความเป็นธรรมตามหลักนิติธรรมที่ใช้กำกับดูแลความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ดังนั้น การศึกษากฎหมายแรงงานจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด ไม่ว่าคุณจะอยู่ในตำแหน่งใดหรือทำงานในอุตสาหกรรมใดก็ตาม การ "รู้ทันสิทธิ" เหล่านี้จะทำให้คุณไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าในโครงสร้างการจ้างงาน และทำให้คุณสามารถก้าวเดินในโลกของการทำงานได้อย่างมั่นคงและมั่นใจ การใช้กฎหมายเป็นหลักในการเจรจาและการปฏิบัติงานคือการแสดงออกถึงความเป็นมืออาชีพและการเคารพในตัวเอง เพราะสิทธิที่เราได้รับตามกฎหมายแรงงานนั้น แท้จริงแล้วคือสิ่งที่สังคมยอมรับว่าเป็นความยุติธรรมขั้นพื้นฐานที่เราพึงได้รับจากการใช้แรงงานและเวลาอันมีค่าของเราในการสร้างสรรค์ผลผลิตให้กับสังคมนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ปี 2026 – มรดกวรรณกรรมและศิลปะเข้าสู่สาธารณสมบัติ”

    ทุกวันที่ 1 มกราคมของปีใหม่ จะมีผลงานจำนวนหนึ่งหมดอายุลิขสิทธิ์และเข้าสู่สาธารณสมบัติ ทำให้ทุกคนสามารถนำไปใช้ แบ่งปัน หรือดัดแปลงได้โดยไม่ต้องขออนุญาต ปี 2026 ถือเป็นปีที่น่าสนใจ เพราะมีทั้งงานเขียนระดับโลก ภาพยนตร์ และงานดนตรีที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมสมัยใหม่

    ในสหรัฐอเมริกา ผลงานที่ตีพิมพ์ในปี 1930 จะเข้าสู่สาธารณสมบัติ เช่น ภาพยนตร์ All Quiet on the Western Front ที่สะท้อนความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และหนังสือ As I Lay Dying ของ William Faulkner ที่เป็นหนึ่งในงานเขียนสำคัญของวรรณกรรมอเมริกันสมัยใหม่ นอกจากนี้ยังมี The Maltese Falcon ของ Dashiell Hammett ที่กลายเป็นต้นแบบของนิยายสืบสวนแนว hard-boiled.

    ในยุโรปและประเทศที่ใช้กฎ “ชีวิตบวก 70 ปี” ผลงานของผู้ที่เสียชีวิตในปี 1955 จะเข้าสู่สาธารณสมบัติ เช่น งานของนักเขียนชื่อดังอย่าง Hannah Arendt และนักดนตรีแจ๊ส Charlie Parker ส่วนในประเทศที่ใช้กฎ “ชีวิตบวก 50 ปี” เช่น นิวซีแลนด์และหลายประเทศในเอเชีย ผลงานของผู้ที่เสียชีวิตในปี 1975 จะหมดอายุลิขสิทธิ์เช่นกัน.

    การเข้าสู่สาธารณสมบัติไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าถึงวรรณกรรมและศิลปะคลาสสิกได้ฟรี แต่ยังช่วยกระตุ้นการสร้างสรรค์ใหม่ ๆ เช่น การตีพิมพ์ฉบับใหม่ การดัดแปลงเป็นภาพยนตร์หรือซีรีส์ และการนำไปใช้ในงานวิชาการหรือการศึกษา ถือเป็นการคืนมรดกทางวัฒนธรรมให้กับสังคมโดยรวม.

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ผลงานในสหรัฐอเมริกา (ตีพิมพ์ปี 1930)
    All Quiet on the Western Front (ภาพยนตร์)
    As I Lay Dying – William Faulkner
    The Maltese Falcon – Dashiell Hammett

    ผลงานในยุโรป (ชีวิตบวก 70 ปี)
    Hannah Arendt
    Charlie Parker
    T. S. Eliot – Ash Wednesday

    ผลงานในเอเชียและแอฟริกา (ชีวิตบวก 50 ปี)
    Saadat Hasan Manto
    Roger Mais
    Pierre Teilhard de Chardin

    ข้อควรระวัง
    กฎหมายลิขสิทธิ์แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
    บางผลงานอาจยังไม่เข้าสู่สาธารณสมบัติในบางภูมิภาค
    การนำไปใช้เชิงพาณิชย์ควรตรวจสอบข้อกฎหมายท้องถิ่นก่อน

    https://publicdomainreview.org/features/entering-the-public-domain/2026/
    📚 “ปี 2026 – มรดกวรรณกรรมและศิลปะเข้าสู่สาธารณสมบัติ” ทุกวันที่ 1 มกราคมของปีใหม่ จะมีผลงานจำนวนหนึ่งหมดอายุลิขสิทธิ์และเข้าสู่สาธารณสมบัติ ทำให้ทุกคนสามารถนำไปใช้ แบ่งปัน หรือดัดแปลงได้โดยไม่ต้องขออนุญาต ปี 2026 ถือเป็นปีที่น่าสนใจ เพราะมีทั้งงานเขียนระดับโลก ภาพยนตร์ และงานดนตรีที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมสมัยใหม่ ในสหรัฐอเมริกา ผลงานที่ตีพิมพ์ในปี 1930 จะเข้าสู่สาธารณสมบัติ เช่น ภาพยนตร์ All Quiet on the Western Front ที่สะท้อนความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และหนังสือ As I Lay Dying ของ William Faulkner ที่เป็นหนึ่งในงานเขียนสำคัญของวรรณกรรมอเมริกันสมัยใหม่ นอกจากนี้ยังมี The Maltese Falcon ของ Dashiell Hammett ที่กลายเป็นต้นแบบของนิยายสืบสวนแนว hard-boiled. ในยุโรปและประเทศที่ใช้กฎ “ชีวิตบวก 70 ปี” ผลงานของผู้ที่เสียชีวิตในปี 1955 จะเข้าสู่สาธารณสมบัติ เช่น งานของนักเขียนชื่อดังอย่าง Hannah Arendt และนักดนตรีแจ๊ส Charlie Parker ส่วนในประเทศที่ใช้กฎ “ชีวิตบวก 50 ปี” เช่น นิวซีแลนด์และหลายประเทศในเอเชีย ผลงานของผู้ที่เสียชีวิตในปี 1975 จะหมดอายุลิขสิทธิ์เช่นกัน. การเข้าสู่สาธารณสมบัติไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าถึงวรรณกรรมและศิลปะคลาสสิกได้ฟรี แต่ยังช่วยกระตุ้นการสร้างสรรค์ใหม่ ๆ เช่น การตีพิมพ์ฉบับใหม่ การดัดแปลงเป็นภาพยนตร์หรือซีรีส์ และการนำไปใช้ในงานวิชาการหรือการศึกษา ถือเป็นการคืนมรดกทางวัฒนธรรมให้กับสังคมโดยรวม. 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ผลงานในสหรัฐอเมริกา (ตีพิมพ์ปี 1930) ➡️ All Quiet on the Western Front (ภาพยนตร์) ➡️ As I Lay Dying – William Faulkner ➡️ The Maltese Falcon – Dashiell Hammett ✅ ผลงานในยุโรป (ชีวิตบวก 70 ปี) ➡️ Hannah Arendt ➡️ Charlie Parker ➡️ T. S. Eliot – Ash Wednesday ✅ ผลงานในเอเชียและแอฟริกา (ชีวิตบวก 50 ปี) ➡️ Saadat Hasan Manto ➡️ Roger Mais ➡️ Pierre Teilhard de Chardin ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ กฎหมายลิขสิทธิ์แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ⛔ บางผลงานอาจยังไม่เข้าสู่สาธารณสมบัติในบางภูมิภาค ⛔ การนำไปใช้เชิงพาณิชย์ควรตรวจสอบข้อกฎหมายท้องถิ่นก่อน https://publicdomainreview.org/features/entering-the-public-domain/2026/
    PUBLICDOMAINREVIEW.ORG
    What Will Enter the Public Domain in 2026?
    At the start of each year, on January 1st, a new crop of works enter the public domain. Find our highlights of what lies in store for 2026 here.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.31

    ทนายความมิใช่เพียงผู้ประกอบวิชาชีพ แต่คือกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมและเป็นผู้พิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามหลักนิติรัฐ ในฐานะที่กฎหมายเป็นเครื่องมือที่รัฐใช้ในการจัดระเบียบสังคม การเข้าถึงความรู้และความเข้าใจในข้อกฎหมายจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งยวดสำหรับทุกคน ทว่าด้วยความสลับซับซ้อนและรายละเอียดปลีกย่อยของตัวบทกฎหมายและระเบียบปฏิบัติทางศาล ทำให้ประชาชนทั่วไปยากที่จะสามารถดำเนินคดีหรือปกป้องผลประโยชน์ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีอยู่ของทนายความจึงเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ โดยทำหน้าที่เป็นผู้แทนทางกฎหมาย เป็นปากเสียง และเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางวิชาการที่ถูกต้อง การเริ่มต้นตั้งแต่การให้คำปรึกษาเบื้องต้น การจัดเตรียมเอกสาร การสืบพยานหลักฐาน ไปจนถึงการว่าความในศาล ล้วนต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางจากทนายความผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในข้อกฎหมายแพ่ง อาญา ปกครอง และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทนายความที่ดีจึงต้องมีคุณสมบัติที่ประกอบไปด้วยความรู้ทางวิชาการที่มั่นคง จริยธรรมและมรรยาททนายความที่เคร่งครัด ความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบด้าน และทักษะการสื่อสารที่คมคายและน่าเชื่อถือ การทำหน้าที่ว่าความในศาลนั้น ทนายความต้องแสดงความสามารถในการนำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อสนับสนุนลูกความของตนอย่างเต็มที่ ภายใต้กรอบของกฎหมายและจริยธรรม โดยต้องรักษาความลับของลูกความและหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของวิชาชีพ ในหลายกรณี บทบาทของทนายความมิได้จำกัดอยู่แค่การสู้คดีในศาลเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท การเจรจาต่อรอง การร่างสัญญา และการวางแผนทางกฎหมายเชิงป้องกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดข้อพิพาทในอนาคต ซึ่งถือเป็นการให้บริการที่ทรงคุณค่าในการช่วยลดภาระของศาลและช่วยให้คู่ความสามารถหาข้อยุติที่เป็นธรรมและเป็นที่ยอมรับร่วมกันได้ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม ซึ่งรวมถึงการจัดหาทนายความขอแรงหรือทนายความอาสาสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อให้มั่นใจว่าสิทธิในการต่อสู้คดีและการได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายจะไม่ถูกจำกัดด้วยสถานะทางเศรษฐกิจ ทนายความจึงเป็นด่านหน้าในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเป็นผู้ที่คอยตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐให้เป็นไปตามหลักการแห่งกฎหมาย ความท้าทายในปัจจุบันที่ทนายความต้องเผชิญคือการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนาความรู้และทักษะใหม่อยู่เสมอเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกความได้อย่างทันท่วงที ท้ายที่สุดแล้ว ความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อทนายความเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้วิชาชีพนี้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างสง่างามและเป็นที่พึ่งของสังคม

    ด้วยเหตุนี้ ทนายความจึงเป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างประชาชนกับระบบกฎหมาย เป็นผู้ที่คอยนำทางและปกป้องผลประโยชน์ของลูกความอย่างซื่อสัตย์และมีจรรยาบรรณ การเลือกใช้บริการทนายความที่เปี่ยมด้วยความรู้ ความสามารถ และความรับผิดชอบ จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการแสวงหาความยุติธรรมและสร้างความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน การทำงานอย่างหนักและความมุ่งมั่นของทนายความแต่ละคนไม่เพียงแต่ส่งผลต่อคดีความของลูกความเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อความศักดิ์สิทธิ์และประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด การให้ความเคารพและตระหนักถึงบทบาทอันทรงเกียรตินี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมในสังคมไทยตลอดไป
    บทความกฎหมาย EP.31 ทนายความมิใช่เพียงผู้ประกอบวิชาชีพ แต่คือกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมและเป็นผู้พิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามหลักนิติรัฐ ในฐานะที่กฎหมายเป็นเครื่องมือที่รัฐใช้ในการจัดระเบียบสังคม การเข้าถึงความรู้และความเข้าใจในข้อกฎหมายจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งยวดสำหรับทุกคน ทว่าด้วยความสลับซับซ้อนและรายละเอียดปลีกย่อยของตัวบทกฎหมายและระเบียบปฏิบัติทางศาล ทำให้ประชาชนทั่วไปยากที่จะสามารถดำเนินคดีหรือปกป้องผลประโยชน์ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีอยู่ของทนายความจึงเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ โดยทำหน้าที่เป็นผู้แทนทางกฎหมาย เป็นปากเสียง และเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางวิชาการที่ถูกต้อง การเริ่มต้นตั้งแต่การให้คำปรึกษาเบื้องต้น การจัดเตรียมเอกสาร การสืบพยานหลักฐาน ไปจนถึงการว่าความในศาล ล้วนต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางจากทนายความผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในข้อกฎหมายแพ่ง อาญา ปกครอง และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทนายความที่ดีจึงต้องมีคุณสมบัติที่ประกอบไปด้วยความรู้ทางวิชาการที่มั่นคง จริยธรรมและมรรยาททนายความที่เคร่งครัด ความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบด้าน และทักษะการสื่อสารที่คมคายและน่าเชื่อถือ การทำหน้าที่ว่าความในศาลนั้น ทนายความต้องแสดงความสามารถในการนำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อสนับสนุนลูกความของตนอย่างเต็มที่ ภายใต้กรอบของกฎหมายและจริยธรรม โดยต้องรักษาความลับของลูกความและหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของวิชาชีพ ในหลายกรณี บทบาทของทนายความมิได้จำกัดอยู่แค่การสู้คดีในศาลเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท การเจรจาต่อรอง การร่างสัญญา และการวางแผนทางกฎหมายเชิงป้องกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดข้อพิพาทในอนาคต ซึ่งถือเป็นการให้บริการที่ทรงคุณค่าในการช่วยลดภาระของศาลและช่วยให้คู่ความสามารถหาข้อยุติที่เป็นธรรมและเป็นที่ยอมรับร่วมกันได้ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม ซึ่งรวมถึงการจัดหาทนายความขอแรงหรือทนายความอาสาสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อให้มั่นใจว่าสิทธิในการต่อสู้คดีและการได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายจะไม่ถูกจำกัดด้วยสถานะทางเศรษฐกิจ ทนายความจึงเป็นด่านหน้าในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเป็นผู้ที่คอยตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐให้เป็นไปตามหลักการแห่งกฎหมาย ความท้าทายในปัจจุบันที่ทนายความต้องเผชิญคือการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนาความรู้และทักษะใหม่อยู่เสมอเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกความได้อย่างทันท่วงที ท้ายที่สุดแล้ว ความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อทนายความเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้วิชาชีพนี้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างสง่างามและเป็นที่พึ่งของสังคม ด้วยเหตุนี้ ทนายความจึงเป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างประชาชนกับระบบกฎหมาย เป็นผู้ที่คอยนำทางและปกป้องผลประโยชน์ของลูกความอย่างซื่อสัตย์และมีจรรยาบรรณ การเลือกใช้บริการทนายความที่เปี่ยมด้วยความรู้ ความสามารถ และความรับผิดชอบ จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการแสวงหาความยุติธรรมและสร้างความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน การทำงานอย่างหนักและความมุ่งมั่นของทนายความแต่ละคนไม่เพียงแต่ส่งผลต่อคดีความของลูกความเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อความศักดิ์สิทธิ์และประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด การให้ความเคารพและตระหนักถึงบทบาทอันทรงเกียรตินี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมในสังคมไทยตลอดไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 475 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.29

    การแสวงหาความยุติธรรมในชั้นสูงสุดของศาลไทย คือหัวใจสำคัญของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด การฎีกาไม่ใช่เพียงแค่ขั้นตอนทางธุรการ แต่คือกลไกสุดท้ายที่เปิดโอกาสให้คู่ความได้นำข้อพิพาทขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกา ซึ่งเป็นศาลสูงสุดและเป็นที่พึ่งสุดท้ายในการอำนวยความยุติธรรมตามกฎหมายอย่างแท้จริง การอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ต่อศาลฎีกานี้ จึงเป็นด่านสุดท้ายที่กำหนดชะตาชีวิตและสิทธิของประชาชนภายใต้ระบบกฎหมายที่มุ่งเน้นความถูกต้องและเป็นธรรมอย่างถึงที่สุด ก่อนที่คำวินิจฉัยใดๆ จะกลายเป็นข้อยุติที่มีผลผูกพันตลอดไป

    โดยหลักการแล้ว การฎีกาถูกออกแบบมาให้เป็นกระบวนการที่มีความเข้มงวดและมีเงื่อนไขเฉพาะเจาะจงตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความได้กำหนดไว้ ศาลฎีกาในฐานะผู้ควบคุมความชอบด้วยกฎหมายและความถูกต้องของคำพิพากษา จะมุ่งเน้นการพิจารณาในประเด็นข้อกฎหมายเป็นหลัก ไม่ใช่การพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมดซ้ำอีกครั้งเหมือนศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ขัดแย้งกับหลักกฎหมายที่สำคัญ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือเป็นข้อสงสัยที่สมควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลสูงสุดเพื่อสร้างบรรทัดฐานให้เกิดความมั่นคงในระบบยุติธรรม ความสำคัญของการฎีกาจึงอยู่ที่การสร้างความสม่ำเสมอในการใช้กฎหมาย การธำรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย และการให้โอกาสคู่ความที่เชื่อว่าคำวินิจฉัยในชั้นศาลล่างอาจมีความคลาดเคลื่อนในทางกฎหมายได้เข้าสู่การตรวจสอบขั้นสุดท้าย ภารกิจอันทรงเกียรตินี้จึงเรียกร้องความรอบคอบและวิจารณญาณสูงสุดในการตีความและประยุกต์ใช้กฎหมายเพื่ออำนวยความยุติธรรมที่เป็นเลิศ

    ดังนั้น ฎีกาจึงเป็นมากกว่าแค่การยื่นคำร้อง แต่มันคือการยืนยันถึงหลักการตรวจสอบและถ่วงดุลในกระบวนการยุติธรรมของชาติอย่างแท้จริง มันสะท้อนให้เห็นว่าแม้คำพิพากษาในชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์จะมีน้ำหนักและผลผูกพันเพียงใด แต่ประตูสู่การแสวงหาความยุติธรรมสูงสุดก็ยังเปิดอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและเงื่อนไขที่รัดกุม การตัดสินใจของศาลฎีกาจึงถือเป็นที่สุด เป็นข้อยุติที่กำหนดทิศทางของกฎหมายในอนาคตและเป็นหลักประกันสุดท้ายแห่งสิทธิและเสรีภาพของประชาชนทุกคนภายใต้ร่มเงาแห่งความยุติธรรมของราชอาณาจักรไทย
    บทความกฎหมาย EP.29 การแสวงหาความยุติธรรมในชั้นสูงสุดของศาลไทย คือหัวใจสำคัญของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด การฎีกาไม่ใช่เพียงแค่ขั้นตอนทางธุรการ แต่คือกลไกสุดท้ายที่เปิดโอกาสให้คู่ความได้นำข้อพิพาทขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกา ซึ่งเป็นศาลสูงสุดและเป็นที่พึ่งสุดท้ายในการอำนวยความยุติธรรมตามกฎหมายอย่างแท้จริง การอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ต่อศาลฎีกานี้ จึงเป็นด่านสุดท้ายที่กำหนดชะตาชีวิตและสิทธิของประชาชนภายใต้ระบบกฎหมายที่มุ่งเน้นความถูกต้องและเป็นธรรมอย่างถึงที่สุด ก่อนที่คำวินิจฉัยใดๆ จะกลายเป็นข้อยุติที่มีผลผูกพันตลอดไป โดยหลักการแล้ว การฎีกาถูกออกแบบมาให้เป็นกระบวนการที่มีความเข้มงวดและมีเงื่อนไขเฉพาะเจาะจงตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความได้กำหนดไว้ ศาลฎีกาในฐานะผู้ควบคุมความชอบด้วยกฎหมายและความถูกต้องของคำพิพากษา จะมุ่งเน้นการพิจารณาในประเด็นข้อกฎหมายเป็นหลัก ไม่ใช่การพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมดซ้ำอีกครั้งเหมือนศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ขัดแย้งกับหลักกฎหมายที่สำคัญ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือเป็นข้อสงสัยที่สมควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลสูงสุดเพื่อสร้างบรรทัดฐานให้เกิดความมั่นคงในระบบยุติธรรม ความสำคัญของการฎีกาจึงอยู่ที่การสร้างความสม่ำเสมอในการใช้กฎหมาย การธำรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย และการให้โอกาสคู่ความที่เชื่อว่าคำวินิจฉัยในชั้นศาลล่างอาจมีความคลาดเคลื่อนในทางกฎหมายได้เข้าสู่การตรวจสอบขั้นสุดท้าย ภารกิจอันทรงเกียรตินี้จึงเรียกร้องความรอบคอบและวิจารณญาณสูงสุดในการตีความและประยุกต์ใช้กฎหมายเพื่ออำนวยความยุติธรรมที่เป็นเลิศ ดังนั้น ฎีกาจึงเป็นมากกว่าแค่การยื่นคำร้อง แต่มันคือการยืนยันถึงหลักการตรวจสอบและถ่วงดุลในกระบวนการยุติธรรมของชาติอย่างแท้จริง มันสะท้อนให้เห็นว่าแม้คำพิพากษาในชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์จะมีน้ำหนักและผลผูกพันเพียงใด แต่ประตูสู่การแสวงหาความยุติธรรมสูงสุดก็ยังเปิดอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและเงื่อนไขที่รัดกุม การตัดสินใจของศาลฎีกาจึงถือเป็นที่สุด เป็นข้อยุติที่กำหนดทิศทางของกฎหมายในอนาคตและเป็นหลักประกันสุดท้ายแห่งสิทธิและเสรีภาพของประชาชนทุกคนภายใต้ร่มเงาแห่งความยุติธรรมของราชอาณาจักรไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.26

    ในทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมทางอาญา "จุดเกิดเหตุ" หรือ Scene of Crime นั้นมิได้เป็นเพียงสถานที่ทางกายภาพที่เหตุอาชญากรรมได้อุบัติขึ้น หากแต่เป็นขุมทรัพย์แห่งพยานหลักฐาน เป็นต้นทางของการคลี่คลายคดี และเป็นรากฐานสำคัญในการพิสูจน์ความจริงและแสวงหาความยุติธรรมตามกฎหมาย จุดเกิดเหตุคือพื้นที่ซึ่งความประพฤติอันมิชอบด้วยกฎหมายได้ทิ้งร่องรอยไว้ ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยทางกายภาพ เช่น ลายนิ้วมือ ดีเอ็นเอ เส้นใย เศษแก้ว อาวุธ หรือร่องรอยทางสภาพแวดล้อม เช่น ตำแหน่งวัตถุ ทิศทางของรอยเลือด หรือลักษณะของความเสียหาย กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามอบอำนาจและหน้าที่อันสำคัญยิ่งให้แก่เจ้าพนักงานผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานสอบสวน ในการเข้าควบคุมและจัดการกับจุดเกิดเหตุอย่างเป็นระบบและรัดกุมที่สุด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าพยานหลักฐานทุกชิ้นจะได้รับการเก็บรักษาและบันทึกไว้อย่างครบถ้วน ถูกต้อง และปราศจากการปนเปื้อน การดำเนินการที่จุดเกิดเหตุจึงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่เคร่งครัดของกฎหมายและหลักนิติวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้เพื่อรักษาความชอบด้วยกฎหมาย (Admissibility) และน้ำหนัก (Weight) ของพยานหลักฐานเหล่านั้น เมื่อนำเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณาคดี ความล้มเหลวในการจัดการจุดเกิดเหตุอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการละเลย การทำลาย หรือการทำให้พยานหลักฐานสำคัญปนเปื้อน ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถของพนักงานอัยการในการนำสืบให้ศาลเห็นถึงการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหรือจำเลย และอาจนำไปสู่ความผิดพลาดทางกระบวนการยุติธรรมได้ จุดเกิดเหตุจึงเป็นด่านแรกของการใช้กฎหมายอาญาอย่างแท้จริง เป็นพรมแดนที่ความจริงทางวัตถุต้องได้รับการแปลความหมายตามหลักการทางกฎหมายเพื่อนำไปสู่การตัดสินที่ยุติธรรม

    การเข้าตรวจค้นและเก็บพยานหลักฐานที่จุดเกิดเหตุโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น มีหลักการที่ต้องยึดถืออย่างเคร่งครัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อาญา) ซึ่งวางกรอบอำนาจในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ไว้ชัดเจน อาทิ การเข้าทำการตรวจสถานที่เกิดเหตุ การค้น การยึด หรือการอายัดพยานหลักฐาน ต้องกระทำภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด โดยอาจต้องมีหมายค้นจากศาลเป็นหลัก เว้นแต่ในสถานการณ์เร่งด่วนที่กฎหมายอนุญาตให้ดำเนินการได้โดยไม่มีหมายค้น เช่น การเข้าจับกุมผู้กระทำความผิดซึ่งหน้า หรือการเข้าช่วยเหลือบุคคลในภยันตราย โดยมีเหตุผลอันสมควรและความจำเป็นเป็นข้อจำกัดในการใช้ดุลยพินิจของเจ้าพนักงาน การปฏิบัติหน้าที่ ณ จุดเกิดเหตุจึงเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงระหว่างข้อเท็จจริงทางวัตถุกับข้อกฎหมายอย่างแนบแน่น พยานหลักฐานที่ได้จากจุดเกิดเหตุจะถูกนำไปใช้ในการสร้างสายใยแห่งหลักฐาน หรือที่เรียกว่า Chain of Custody ซึ่งเป็นการบันทึกรายละเอียดตั้งแต่ขั้นตอนการค้นพบ การจัดเก็บ การรักษา การส่งมอบ ไปจนถึงการวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญ และการนำเสนอต่อศาล การรักษา Chain of Custody อย่างสมบูรณ์และโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการยืนยันความแท้จริงและความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานเหล่านั้น เพื่อให้ศาลสามารถใช้ดุลยพินิจพิจารณาพิพากษาคดีได้อย่างถูกต้องและเที่ยงธรรมตามหลักกฎหมาย การตีความหลักฐานที่จุดเกิดเหตุยังต้องอาศัยหลักการทางนิติวิทยาศาสตร์เข้าช่วยสนับสนุนข้อสรุปทางกฎหมาย ซึ่งเป็นการผสานองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้ากับกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้การวินิจฉัยความผิดนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์มากกว่าเพียงแค่คำให้การหรือข้อสันนิษฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีอาญาร้ายแรง หลักฐานที่จุดเกิดเหตุมักเป็นกุญแจสำคัญที่ใช้ในการผูกมัดผู้กระทำความผิด หรือในทางกลับกัน อาจนำไปสู่การยกฟ้องหรือพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหาได้

    สรุปได้ว่า จุดเกิดเหตุไม่ใช่เพียงฉากของอาชญากรรม แต่เป็นแหล่งกำเนิดของข้อเท็จจริงทางกฎหมายที่ต้องได้รับการคุ้มครองและจัดการด้วยความระมัดระวังสูงสุดภายใต้กรอบของกฎหมายและหลักนิติธรรม ความสมบูรณ์ของพยานหลักฐานที่ได้จากจุดเกิดเหตุเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จหรือล้มเหลวในการนำคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้องและชอบธรรม การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่จุดเกิดเหตุจึงเป็นภารกิจที่ต้องดำเนินการด้วยความเชี่ยวชาญ ความโปร่งใส และความรับผิดชอบตามกฎหมายอย่างสูงสุด เพราะทุกร่องรอยและทุกวัตถุ ณ จุดนั้น ล้วนเป็นพยานเงียบที่จะนำพาไปสู่การค้นหาความจริงและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาคและเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายในสังคม การให้ความสำคัญกับจุดเกิดเหตุคือการให้ความสำคัญกับหลักฐานทางวัตถุ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพิสูจน์ในศาลตามแนวทางแห่งนิติรัฐ
    บทความกฎหมาย EP.26 ในทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมทางอาญา "จุดเกิดเหตุ" หรือ Scene of Crime นั้นมิได้เป็นเพียงสถานที่ทางกายภาพที่เหตุอาชญากรรมได้อุบัติขึ้น หากแต่เป็นขุมทรัพย์แห่งพยานหลักฐาน เป็นต้นทางของการคลี่คลายคดี และเป็นรากฐานสำคัญในการพิสูจน์ความจริงและแสวงหาความยุติธรรมตามกฎหมาย จุดเกิดเหตุคือพื้นที่ซึ่งความประพฤติอันมิชอบด้วยกฎหมายได้ทิ้งร่องรอยไว้ ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยทางกายภาพ เช่น ลายนิ้วมือ ดีเอ็นเอ เส้นใย เศษแก้ว อาวุธ หรือร่องรอยทางสภาพแวดล้อม เช่น ตำแหน่งวัตถุ ทิศทางของรอยเลือด หรือลักษณะของความเสียหาย กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามอบอำนาจและหน้าที่อันสำคัญยิ่งให้แก่เจ้าพนักงานผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานสอบสวน ในการเข้าควบคุมและจัดการกับจุดเกิดเหตุอย่างเป็นระบบและรัดกุมที่สุด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าพยานหลักฐานทุกชิ้นจะได้รับการเก็บรักษาและบันทึกไว้อย่างครบถ้วน ถูกต้อง และปราศจากการปนเปื้อน การดำเนินการที่จุดเกิดเหตุจึงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่เคร่งครัดของกฎหมายและหลักนิติวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้เพื่อรักษาความชอบด้วยกฎหมาย (Admissibility) และน้ำหนัก (Weight) ของพยานหลักฐานเหล่านั้น เมื่อนำเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณาคดี ความล้มเหลวในการจัดการจุดเกิดเหตุอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการละเลย การทำลาย หรือการทำให้พยานหลักฐานสำคัญปนเปื้อน ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถของพนักงานอัยการในการนำสืบให้ศาลเห็นถึงการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหรือจำเลย และอาจนำไปสู่ความผิดพลาดทางกระบวนการยุติธรรมได้ จุดเกิดเหตุจึงเป็นด่านแรกของการใช้กฎหมายอาญาอย่างแท้จริง เป็นพรมแดนที่ความจริงทางวัตถุต้องได้รับการแปลความหมายตามหลักการทางกฎหมายเพื่อนำไปสู่การตัดสินที่ยุติธรรม การเข้าตรวจค้นและเก็บพยานหลักฐานที่จุดเกิดเหตุโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น มีหลักการที่ต้องยึดถืออย่างเคร่งครัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อาญา) ซึ่งวางกรอบอำนาจในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ไว้ชัดเจน อาทิ การเข้าทำการตรวจสถานที่เกิดเหตุ การค้น การยึด หรือการอายัดพยานหลักฐาน ต้องกระทำภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด โดยอาจต้องมีหมายค้นจากศาลเป็นหลัก เว้นแต่ในสถานการณ์เร่งด่วนที่กฎหมายอนุญาตให้ดำเนินการได้โดยไม่มีหมายค้น เช่น การเข้าจับกุมผู้กระทำความผิดซึ่งหน้า หรือการเข้าช่วยเหลือบุคคลในภยันตราย โดยมีเหตุผลอันสมควรและความจำเป็นเป็นข้อจำกัดในการใช้ดุลยพินิจของเจ้าพนักงาน การปฏิบัติหน้าที่ ณ จุดเกิดเหตุจึงเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงระหว่างข้อเท็จจริงทางวัตถุกับข้อกฎหมายอย่างแนบแน่น พยานหลักฐานที่ได้จากจุดเกิดเหตุจะถูกนำไปใช้ในการสร้างสายใยแห่งหลักฐาน หรือที่เรียกว่า Chain of Custody ซึ่งเป็นการบันทึกรายละเอียดตั้งแต่ขั้นตอนการค้นพบ การจัดเก็บ การรักษา การส่งมอบ ไปจนถึงการวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญ และการนำเสนอต่อศาล การรักษา Chain of Custody อย่างสมบูรณ์และโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการยืนยันความแท้จริงและความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานเหล่านั้น เพื่อให้ศาลสามารถใช้ดุลยพินิจพิจารณาพิพากษาคดีได้อย่างถูกต้องและเที่ยงธรรมตามหลักกฎหมาย การตีความหลักฐานที่จุดเกิดเหตุยังต้องอาศัยหลักการทางนิติวิทยาศาสตร์เข้าช่วยสนับสนุนข้อสรุปทางกฎหมาย ซึ่งเป็นการผสานองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้ากับกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้การวินิจฉัยความผิดนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์มากกว่าเพียงแค่คำให้การหรือข้อสันนิษฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีอาญาร้ายแรง หลักฐานที่จุดเกิดเหตุมักเป็นกุญแจสำคัญที่ใช้ในการผูกมัดผู้กระทำความผิด หรือในทางกลับกัน อาจนำไปสู่การยกฟ้องหรือพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหาได้ สรุปได้ว่า จุดเกิดเหตุไม่ใช่เพียงฉากของอาชญากรรม แต่เป็นแหล่งกำเนิดของข้อเท็จจริงทางกฎหมายที่ต้องได้รับการคุ้มครองและจัดการด้วยความระมัดระวังสูงสุดภายใต้กรอบของกฎหมายและหลักนิติธรรม ความสมบูรณ์ของพยานหลักฐานที่ได้จากจุดเกิดเหตุเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จหรือล้มเหลวในการนำคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้องและชอบธรรม การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่จุดเกิดเหตุจึงเป็นภารกิจที่ต้องดำเนินการด้วยความเชี่ยวชาญ ความโปร่งใส และความรับผิดชอบตามกฎหมายอย่างสูงสุด เพราะทุกร่องรอยและทุกวัตถุ ณ จุดนั้น ล้วนเป็นพยานเงียบที่จะนำพาไปสู่การค้นหาความจริงและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาคและเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายในสังคม การให้ความสำคัญกับจุดเกิดเหตุคือการให้ความสำคัญกับหลักฐานทางวัตถุ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพิสูจน์ในศาลตามแนวทางแห่งนิติรัฐ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 490 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.23

    ในทางกฎหมาย สถานะของ "จำเลย" ถือเป็นหัวใจสำคัญในกระบวนการยุติธรรม เพราะจำเลยคือบุคคลผู้ซึ่งถูกยื่นฟ้องหรือถูกกล่าวหาอย่างเป็นทางการในศาล ไม่ว่าจะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดกฎหมายอาญา หรือคดีที่เกี่ยวข้องกับการโต้แย้งสิทธิและหน้าที่ระหว่างบุคคลตามกฎหมายแพ่ง การเป็นจำเลยจึงมิใช่คำตัดสินว่าบุคคลนั้นกระทำความผิดแล้ว แต่เป็นเพียงการเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการที่เปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างละเอียดรอบด้านตามหลักการที่ว่าบุคคลนั้นยังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีการพิสูจน์เป็นอย่างอื่น บทบาทของจำเลยภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญและกฎหมายวิธีพิจารณาความ คือการใช้สิทธิในการแก้ต่างและนำเสนอพยานหลักฐานเพื่อหักล้างข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานที่รับประกันความยุติธรรมและเสมอภาคในชั้นศาล การทำความเข้าใจสถานะนี้อย่างลึกซึ้งจึงเป็นการทำความเข้าใจรากฐานของความเที่ยงธรรมในสังคมไทย

    ความแตกต่างระหว่างจำเลยในคดีอาญาและคดีแพ่งนั้นมีความสำคัญยิ่งในทางปฏิบัติ ในคดีอาญา จำเลยต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาที่รัฐเป็นผู้ฟ้องร้องแทนประชาชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและลงโทษผู้กระทำความผิด ผลลัพธ์ของการพิจารณาคดีอาญาอาจนำไปสู่โทษทางร่างกายหรือการจำกัดอิสรภาพ เช่น การจำคุกหรือโทษปรับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตจำเลยโดยตรง ดังนั้น กฎหมายจึงให้ความคุ้มครองสิทธิจำเลยในคดีอาญาอย่างเข้มงวด เช่น สิทธิในการมีทนายความ สิทธิที่จะไม่ให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง และภาระการพิสูจน์ที่ตกอยู่แก่โจทก์อย่างหนักแน่น ขณะที่จำเลยในคดีแพ่งนั้นต้องเผชิญกับข้อเรียกร้องหรือคำขอให้ปฏิบัติการตามกฎหมายจากบุคคลอื่นหรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน ความรับผิดตามสัญญา หรือการชดใช้ค่าเสียหาย ผลลัพธ์ของคดีแพ่งจึงเป็นเรื่องของการจัดการความสัมพันธ์ทางกฎหมายและภาระทางการเงินเป็นหลัก แม้ว่าทั้งสองกรณีจะเป็นสถานะ "จำเลย" เหมือนกัน แต่ลักษณะของข้อกล่าวหาและผลทางกฎหมายที่ตามมานั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งกำหนดวิธีการต่อสู้คดีและระดับความคุ้มครองทางกฎหมายที่จำเลยจะได้รับ

    ในท้ายที่สุด สถานะของ "จำเลย" ไม่ว่าในคดีใดก็ตาม เป็นเพียงเครื่องบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นได้เข้าสู่สนามของการพิสูจน์ความจริงภายใต้ระบบกฎหมายแล้ว การที่กฎหมายกำหนดให้ทุกคนมีสิทธิในการต่อสู้คดีและมีสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด เป็นหลักประกันที่สำคัญที่สุดของหลักนิติธรรม การรับรู้และเคารพต่อสถานะของจำเลย รวมถึงการให้เกียรติในสิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรม จึงเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของสังคม เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปอย่างโปร่งใส เที่ยงตรง และธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือของระบบกฎหมายโดยรวม
    บทความกฎหมาย EP.23 ในทางกฎหมาย สถานะของ "จำเลย" ถือเป็นหัวใจสำคัญในกระบวนการยุติธรรม เพราะจำเลยคือบุคคลผู้ซึ่งถูกยื่นฟ้องหรือถูกกล่าวหาอย่างเป็นทางการในศาล ไม่ว่าจะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดกฎหมายอาญา หรือคดีที่เกี่ยวข้องกับการโต้แย้งสิทธิและหน้าที่ระหว่างบุคคลตามกฎหมายแพ่ง การเป็นจำเลยจึงมิใช่คำตัดสินว่าบุคคลนั้นกระทำความผิดแล้ว แต่เป็นเพียงการเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการที่เปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างละเอียดรอบด้านตามหลักการที่ว่าบุคคลนั้นยังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีการพิสูจน์เป็นอย่างอื่น บทบาทของจำเลยภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญและกฎหมายวิธีพิจารณาความ คือการใช้สิทธิในการแก้ต่างและนำเสนอพยานหลักฐานเพื่อหักล้างข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานที่รับประกันความยุติธรรมและเสมอภาคในชั้นศาล การทำความเข้าใจสถานะนี้อย่างลึกซึ้งจึงเป็นการทำความเข้าใจรากฐานของความเที่ยงธรรมในสังคมไทย ความแตกต่างระหว่างจำเลยในคดีอาญาและคดีแพ่งนั้นมีความสำคัญยิ่งในทางปฏิบัติ ในคดีอาญา จำเลยต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาที่รัฐเป็นผู้ฟ้องร้องแทนประชาชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและลงโทษผู้กระทำความผิด ผลลัพธ์ของการพิจารณาคดีอาญาอาจนำไปสู่โทษทางร่างกายหรือการจำกัดอิสรภาพ เช่น การจำคุกหรือโทษปรับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตจำเลยโดยตรง ดังนั้น กฎหมายจึงให้ความคุ้มครองสิทธิจำเลยในคดีอาญาอย่างเข้มงวด เช่น สิทธิในการมีทนายความ สิทธิที่จะไม่ให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง และภาระการพิสูจน์ที่ตกอยู่แก่โจทก์อย่างหนักแน่น ขณะที่จำเลยในคดีแพ่งนั้นต้องเผชิญกับข้อเรียกร้องหรือคำขอให้ปฏิบัติการตามกฎหมายจากบุคคลอื่นหรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน ความรับผิดตามสัญญา หรือการชดใช้ค่าเสียหาย ผลลัพธ์ของคดีแพ่งจึงเป็นเรื่องของการจัดการความสัมพันธ์ทางกฎหมายและภาระทางการเงินเป็นหลัก แม้ว่าทั้งสองกรณีจะเป็นสถานะ "จำเลย" เหมือนกัน แต่ลักษณะของข้อกล่าวหาและผลทางกฎหมายที่ตามมานั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งกำหนดวิธีการต่อสู้คดีและระดับความคุ้มครองทางกฎหมายที่จำเลยจะได้รับ ในท้ายที่สุด สถานะของ "จำเลย" ไม่ว่าในคดีใดก็ตาม เป็นเพียงเครื่องบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นได้เข้าสู่สนามของการพิสูจน์ความจริงภายใต้ระบบกฎหมายแล้ว การที่กฎหมายกำหนดให้ทุกคนมีสิทธิในการต่อสู้คดีและมีสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด เป็นหลักประกันที่สำคัญที่สุดของหลักนิติธรรม การรับรู้และเคารพต่อสถานะของจำเลย รวมถึงการให้เกียรติในสิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรม จึงเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของสังคม เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปอย่างโปร่งใส เที่ยงตรง และธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือของระบบกฎหมายโดยรวม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 493 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.21

    คำให้การ ไม่ได้เป็นเพียงข้อความ แต่คือองค์ประกอบสำคัญที่ทำหน้าที่เป็นหัวใจของการแสวงหาความจริงในกระบวนการยุติธรรม คำให้การที่จำเลยหรือพยานนำเสนอต่อศาลนั้นมีความหมายลึกซึ้งกว่าการให้ข้อมูลทั่วไป เพราะมันเป็นเครื่องมือหลักที่ศาลใช้ในการพิจารณาไต่สวนและประกอบการวินิจฉัยชี้ขาดคดีความต่างๆ การกล่าวถ้อยคำอย่างถี่ถ้วนตามความเป็นจริง จึงถือเป็นความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง เนื่องจากคำพูดทุกคำมีน้ำหนัก มีผลกระทบโดยตรงต่อรูปคดี ชะตากรรมของคู่ความ และความถูกต้องเที่ยงธรรมที่จะเกิดขึ้นในสังคม การที่จำเลยได้มีโอกาสชี้แจงข้อเท็จจริงในมุมของตน ขณะที่พยานได้ให้ข้อมูลที่รับรู้มาตามหน้าที่ ย่อมเป็นการสร้างภาพที่สมบูรณ์ขึ้นเพื่อให้ศาลเห็นข้อเท็จจริงทั้งหมดรอบด้าน คำให้การจึงเป็นตัวแทนของเสียงของผู้เกี่ยวข้อง เป็นภาพสะท้อนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเป็นหลักฐานทางวาจาที่ทรงพลังที่สุดในการพิสูจน์หรือหักล้างข้อกล่าวหา บทบาทนี้ทำให้คำให้การเป็นมากกว่าแค่ถ้อยคำ แต่คือรากฐานของการตัดสินใจที่ยุติธรรม

    ด้วยเหตุนี้ การเตรียมคำให้การจึงต้องทำด้วยความรอบคอบและเข้าใจในสาระสำคัญของคดีอย่างถ่องแท้ นักกฎหมายและคู่ความต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อกลั่นกรองข้อเท็จจริงและลำดับเรื่องราวให้มีความชัดเจน สอดคล้องกับพยานหลักฐานอื่นที่ปรากฏในสำนวนคดี ความน่าเชื่อถือของคำให้การขึ้นอยู่กับความจริงใจ ความสม่ำเสมอ และความสอดคล้องกันของข้อมูลที่นำเสนอในทุกขั้นตอนของการพิจารณา การใช้ถ้อยคำที่ชัดเจน ตรงประเด็น และปราศจากความคลุมเครือจะช่วยให้ศาลสามารถทำความเข้าใจในเจตนาและเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการกระทำหรือข้อกล่าวหาต่างๆ ได้โดยง่าย แม้ว่าในทางปฏิบัติอาจมีความกดดันหรือความซับซ้อนทางอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่หลักการสำคัญที่สุดของคำให้การคือการเป็นสะพานเชื่อมระหว่างข้อเท็จจริงกับข้อกฎหมาย เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีเหตุผลและเที่ยงธรรม การเคารพในความศักดิ์สิทธิ์ของคำให้การจึงเป็นการเคารพต่อความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมในองค์รวม

    ดังนั้น คำให้การที่จำเลยหรือพยานมอบต่อศาลจึงเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการพิจารณาคดี เป็นเครื่องมือในการค้นหาความจริงที่สำคัญยิ่ง เป็นพันธะสัญญาที่จะต้องกล่าวแต่สิ่งที่ถูกต้องเพื่อให้บรรลุผลแห่งความยุติธรรมสูงสุด บทบาทนี้ทำให้คำให้การเป็นเสาหลักที่ค้ำจุนความน่าเชื่อถือของระบบกฎหมาย และเป็นสิ่งยืนยันว่าทุกฝ่ายมีสิทธิและโอกาสในการนำเสนอข้อเท็จจริงเพื่อปกป้องสิทธิของตนอย่างเต็มที่ภายใต้ร่มเงาของกฎหมาย

    #กฎหมาย #ทนายความ
    #จันทศิษฐ์ทนายความ
    บทความกฎหมาย EP.21 คำให้การ ไม่ได้เป็นเพียงข้อความ แต่คือองค์ประกอบสำคัญที่ทำหน้าที่เป็นหัวใจของการแสวงหาความจริงในกระบวนการยุติธรรม คำให้การที่จำเลยหรือพยานนำเสนอต่อศาลนั้นมีความหมายลึกซึ้งกว่าการให้ข้อมูลทั่วไป เพราะมันเป็นเครื่องมือหลักที่ศาลใช้ในการพิจารณาไต่สวนและประกอบการวินิจฉัยชี้ขาดคดีความต่างๆ การกล่าวถ้อยคำอย่างถี่ถ้วนตามความเป็นจริง จึงถือเป็นความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง เนื่องจากคำพูดทุกคำมีน้ำหนัก มีผลกระทบโดยตรงต่อรูปคดี ชะตากรรมของคู่ความ และความถูกต้องเที่ยงธรรมที่จะเกิดขึ้นในสังคม การที่จำเลยได้มีโอกาสชี้แจงข้อเท็จจริงในมุมของตน ขณะที่พยานได้ให้ข้อมูลที่รับรู้มาตามหน้าที่ ย่อมเป็นการสร้างภาพที่สมบูรณ์ขึ้นเพื่อให้ศาลเห็นข้อเท็จจริงทั้งหมดรอบด้าน คำให้การจึงเป็นตัวแทนของเสียงของผู้เกี่ยวข้อง เป็นภาพสะท้อนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเป็นหลักฐานทางวาจาที่ทรงพลังที่สุดในการพิสูจน์หรือหักล้างข้อกล่าวหา บทบาทนี้ทำให้คำให้การเป็นมากกว่าแค่ถ้อยคำ แต่คือรากฐานของการตัดสินใจที่ยุติธรรม ด้วยเหตุนี้ การเตรียมคำให้การจึงต้องทำด้วยความรอบคอบและเข้าใจในสาระสำคัญของคดีอย่างถ่องแท้ นักกฎหมายและคู่ความต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อกลั่นกรองข้อเท็จจริงและลำดับเรื่องราวให้มีความชัดเจน สอดคล้องกับพยานหลักฐานอื่นที่ปรากฏในสำนวนคดี ความน่าเชื่อถือของคำให้การขึ้นอยู่กับความจริงใจ ความสม่ำเสมอ และความสอดคล้องกันของข้อมูลที่นำเสนอในทุกขั้นตอนของการพิจารณา การใช้ถ้อยคำที่ชัดเจน ตรงประเด็น และปราศจากความคลุมเครือจะช่วยให้ศาลสามารถทำความเข้าใจในเจตนาและเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการกระทำหรือข้อกล่าวหาต่างๆ ได้โดยง่าย แม้ว่าในทางปฏิบัติอาจมีความกดดันหรือความซับซ้อนทางอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่หลักการสำคัญที่สุดของคำให้การคือการเป็นสะพานเชื่อมระหว่างข้อเท็จจริงกับข้อกฎหมาย เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีเหตุผลและเที่ยงธรรม การเคารพในความศักดิ์สิทธิ์ของคำให้การจึงเป็นการเคารพต่อความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมในองค์รวม ดังนั้น คำให้การที่จำเลยหรือพยานมอบต่อศาลจึงเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการพิจารณาคดี เป็นเครื่องมือในการค้นหาความจริงที่สำคัญยิ่ง เป็นพันธะสัญญาที่จะต้องกล่าวแต่สิ่งที่ถูกต้องเพื่อให้บรรลุผลแห่งความยุติธรรมสูงสุด บทบาทนี้ทำให้คำให้การเป็นเสาหลักที่ค้ำจุนความน่าเชื่อถือของระบบกฎหมาย และเป็นสิ่งยืนยันว่าทุกฝ่ายมีสิทธิและโอกาสในการนำเสนอข้อเท็จจริงเพื่อปกป้องสิทธิของตนอย่างเต็มที่ภายใต้ร่มเงาของกฎหมาย #กฎหมาย #ทนายความ #จันทศิษฐ์ทนายความ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 413 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Bank of America ถูกฟ้องฐานไม่จ่ายค่าชั่วโมงทำงานช่วงบูตเครื่อง – พนักงานอ้างเสียเวลาวันละ 30 นาทีโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน”

    อดีตพนักงานของ Bank of America ยื่นฟ้องบริษัทในคดีแบบกลุ่มและรวมหมู่ โดยกล่าวหาว่าบริษัทไม่จ่ายค่าจ้างสำหรับเวลาที่ใช้ในการบูตเครื่องและเข้าสู่ระบบก่อนเริ่มงาน ซึ่งอาจกินเวลาถึง 30 นาทีต่อวัน

    Tava Martin อดีตพนักงานของ Bank of America ได้ยื่นฟ้องบริษัทในศาลกลางเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม โดยระบุว่าพนักงานจำนวนมากต้องใช้เวลานานในการบูตเครื่องคอมพิวเตอร์, ปลดล็อกไดรฟ์ที่เข้ารหัส, ลงชื่อเข้าใช้งานด้วยระบบ multi-factor authentication, เชื่อมต่อ VPN และเปิดโปรแกรมสำคัญก่อนจะสามารถ “clock in” หรือเริ่มนับเวลาทำงานได้

    ขั้นตอนเหล่านี้อาจใช้เวลาถึง 30 นาทีต่อวัน และในช่วงพักกลางวันซึ่งไม่ได้รับค่าจ้าง ระบบมักจะตัดการเชื่อมต่อโดยอัตโนมัติ ทำให้ต้องทำขั้นตอนเดิมซ้ำอีกครั้ง เพิ่มเวลาโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนอีก 3–5 นาทีต่อวัน

    แม้แต่ช่วงสิ้นสุดการทำงาน พนักงานยังต้องล็อกเอาท์จากโปรแกรมทั้งหมดและปิดเครื่องอย่างปลอดภัย ซึ่งใช้เวลาอีก 2–3 นาที โดยรวมแล้วเป็นเวลาที่ไม่ได้รับค่าจ้างแต่จำเป็นต้องทำเพื่อให้สามารถทำงานได้จริง

    คดีนี้อ้างอิงแนวทางของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ที่ในปี 2008 ระบุว่าการเตรียมเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนเริ่มงานอาจถือเป็น “กิจกรรมหลักแรก” ที่ควรได้รับค่าจ้าง หากเป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงาน

    Martin และทีมกฎหมายกำลังขอให้ศาลอนุมัติสถานะคดีแบบกลุ่มและรวมหมู่ เพื่อให้สามารถแทนกลุ่มพนักงานที่ได้รับผลกระทบในหลายรัฐได้ โดยคาดว่ามี “หลายร้อยคน” ที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน

    Bank of America ยังไม่ได้ออกแถลงการณ์ใด ๆ ต่อคดีนี้ และคดียังอยู่ในขั้นตอนเบื้องต้น

    ลักษณะของการฟ้องร้อง
    ยื่นฟ้องในศาลกลางเมื่อ 23 ตุลาคม
    อ้างว่าพนักงานไม่ได้รับค่าจ้างสำหรับเวลาบูตเครื่อง
    เวลาที่เสียไปอาจรวมถึงก่อนเริ่มงาน, หลังพักกลางวัน, และก่อนเลิกงาน

    ขั้นตอนที่ใช้เวลานาน
    ปลดล็อกไดรฟ์ที่เข้ารหัส
    ลงชื่อเข้าใช้งานแบบ multi-factor
    เชื่อมต่อ VPN และเปิดโปรแกรมสำคัญ
    ต้องทำก่อนเข้าระบบบันทึกเวลาทำงาน

    ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
    อ้างอิงแนวทางของกระทรวงแรงงานปี 2008
    กิจกรรมที่จำเป็นต่อการทำงานควรได้รับค่าจ้าง
    การเตรียมเครื่องถือเป็น “กิจกรรมหลักแรก”

    เป้าหมายของคดี
    ขอค่าจ้างย้อนหลังและค่าเสียหาย
    ขอสถานะคดีแบบกลุ่มและรวมหมู่
    ครอบคลุมพนักงานหลายร้อยคนในหลายรัฐ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/bank-of-america-sued-over-unpaid-boot-up-time
    ⚖️ “Bank of America ถูกฟ้องฐานไม่จ่ายค่าชั่วโมงทำงานช่วงบูตเครื่อง – พนักงานอ้างเสียเวลาวันละ 30 นาทีโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน” อดีตพนักงานของ Bank of America ยื่นฟ้องบริษัทในคดีแบบกลุ่มและรวมหมู่ โดยกล่าวหาว่าบริษัทไม่จ่ายค่าจ้างสำหรับเวลาที่ใช้ในการบูตเครื่องและเข้าสู่ระบบก่อนเริ่มงาน ซึ่งอาจกินเวลาถึง 30 นาทีต่อวัน Tava Martin อดีตพนักงานของ Bank of America ได้ยื่นฟ้องบริษัทในศาลกลางเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม โดยระบุว่าพนักงานจำนวนมากต้องใช้เวลานานในการบูตเครื่องคอมพิวเตอร์, ปลดล็อกไดรฟ์ที่เข้ารหัส, ลงชื่อเข้าใช้งานด้วยระบบ multi-factor authentication, เชื่อมต่อ VPN และเปิดโปรแกรมสำคัญก่อนจะสามารถ “clock in” หรือเริ่มนับเวลาทำงานได้ ขั้นตอนเหล่านี้อาจใช้เวลาถึง 30 นาทีต่อวัน และในช่วงพักกลางวันซึ่งไม่ได้รับค่าจ้าง ระบบมักจะตัดการเชื่อมต่อโดยอัตโนมัติ ทำให้ต้องทำขั้นตอนเดิมซ้ำอีกครั้ง เพิ่มเวลาโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนอีก 3–5 นาทีต่อวัน แม้แต่ช่วงสิ้นสุดการทำงาน พนักงานยังต้องล็อกเอาท์จากโปรแกรมทั้งหมดและปิดเครื่องอย่างปลอดภัย ซึ่งใช้เวลาอีก 2–3 นาที โดยรวมแล้วเป็นเวลาที่ไม่ได้รับค่าจ้างแต่จำเป็นต้องทำเพื่อให้สามารถทำงานได้จริง คดีนี้อ้างอิงแนวทางของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ที่ในปี 2008 ระบุว่าการเตรียมเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนเริ่มงานอาจถือเป็น “กิจกรรมหลักแรก” ที่ควรได้รับค่าจ้าง หากเป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงาน Martin และทีมกฎหมายกำลังขอให้ศาลอนุมัติสถานะคดีแบบกลุ่มและรวมหมู่ เพื่อให้สามารถแทนกลุ่มพนักงานที่ได้รับผลกระทบในหลายรัฐได้ โดยคาดว่ามี “หลายร้อยคน” ที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน Bank of America ยังไม่ได้ออกแถลงการณ์ใด ๆ ต่อคดีนี้ และคดียังอยู่ในขั้นตอนเบื้องต้น ✅ ลักษณะของการฟ้องร้อง ➡️ ยื่นฟ้องในศาลกลางเมื่อ 23 ตุลาคม ➡️ อ้างว่าพนักงานไม่ได้รับค่าจ้างสำหรับเวลาบูตเครื่อง ➡️ เวลาที่เสียไปอาจรวมถึงก่อนเริ่มงาน, หลังพักกลางวัน, และก่อนเลิกงาน ✅ ขั้นตอนที่ใช้เวลานาน ➡️ ปลดล็อกไดรฟ์ที่เข้ารหัส ➡️ ลงชื่อเข้าใช้งานแบบ multi-factor ➡️ เชื่อมต่อ VPN และเปิดโปรแกรมสำคัญ ➡️ ต้องทำก่อนเข้าระบบบันทึกเวลาทำงาน ✅ ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ➡️ อ้างอิงแนวทางของกระทรวงแรงงานปี 2008 ➡️ กิจกรรมที่จำเป็นต่อการทำงานควรได้รับค่าจ้าง ➡️ การเตรียมเครื่องถือเป็น “กิจกรรมหลักแรก” ✅ เป้าหมายของคดี ➡️ ขอค่าจ้างย้อนหลังและค่าเสียหาย ➡️ ขอสถานะคดีแบบกลุ่มและรวมหมู่ ➡️ ครอบคลุมพนักงานหลายร้อยคนในหลายรัฐ https://www.tomshardware.com/tech-industry/bank-of-america-sued-over-unpaid-boot-up-time
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Bank of America sued over not paying workers for PC boot up time in proposed class action lawsuit
    Lawsuit alleges hourly workers weren’t paid for computer start-up tasks required before clocking in.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Compaq Portable จุดเริ่มต้นของยุค PC Clone ที่เปลี่ยนโลกคอมพิวเตอร์”

    ลองจินตนาการย้อนกลับไปในปี 1982… โลกคอมพิวเตอร์ยังถูกครอบครองโดย IBM อย่างเบ็ดเสร็จ แต่แล้วบริษัทหน้าใหม่ชื่อ Compaq ก็เปิดตัว “Compaq Portable” คอมพิวเตอร์พกพาเครื่องแรกที่สามารถใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ของ IBM ได้แบบ 100% โดยไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น!

    เครื่องนี้หนักถึง 28 ปอนด์ (ประมาณ 12.7 กิโลกรัม) แต่ถือว่า “พกพาได้” ในยุคนั้น เพราะมันรวมทุกอย่างไว้ในกล่องเดียว—จอภาพ, คีย์บอร์ด, ดิสก์ไดรฟ์ และพอร์ตเชื่อมต่อ พร้อมระบบปฏิบัติการ Compaq DOS ที่เป็นเวอร์ชันพิเศษของ MS-DOS

    สิ่งที่ทำให้ Compaq โดดเด่นคือการ “reverse-engineer” BIOS ของ IBM โดยไม่ใช้โค้ดต้นฉบับเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งถือเป็นการหลบหลีกข้อกฎหมายอย่างชาญฉลาด และกลายเป็นต้นแบบให้บริษัทอื่น ๆ ทำตาม จนเกิดยุค “PC Clone” ที่ทำให้คอมพิวเตอร์ราคาถูกและหลากหลายแพร่หลายไปทั่วโลก

    ในปีแรก Compaq ขายได้ถึง 53,000 เครื่อง สร้างรายได้กว่า 111 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของธุรกิจอเมริกันในขณะนั้น และ IBM เองก็ต้องออกเครื่องพกพาของตัวเองในปีถัดมาเพื่อแข่งขัน

    นอกจากนั้น Compaq ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดวัฒนธรรม DIY คอมพิวเตอร์ที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ ก่อนที่ HP จะเข้าซื้อกิจการในปี 2002 และยุติแบรนด์ Compaq ในปี 2013

    จุดเริ่มต้นของ Compaq Portable
    เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 1982
    เป็น IBM PC Clone เครื่องแรกที่ถูกกฎหมาย
    ใช้ Intel 8088 ความเร็ว 4.77 MHz
    RAM เริ่มต้น 128KB ขยายได้ถึง 640KB
    จอภาพขนาด 9 นิ้วแบบเขียวขาว
    รองรับกราฟิก CGA และแสดงผล 80x25 ตัวอักษร
    ใช้ Compaq DOS ซึ่งเป็น MS-DOS เวอร์ชันพิเศษ
    ราคาเปิดตัว $2,995 (~$9,500 ปัจจุบัน)

    กลยุทธ์ reverse-engineering BIOS
    ไม่ใช้โค้ด IBM เลย
    หลีกเลี่ยงการละเมิดลิขสิทธิ์
    ทำให้สามารถโฆษณาว่า “100% compatible” ได้

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    ขายได้ 53,000 เครื่องในปีแรก
    สร้างรายได้ $111 ล้าน
    จุดประกายยุค PC Clone
    IBM ต้องออกเครื่องพกพาแข่งในปี 1984

    ความเปลี่ยนแปลงในระยะยาว
    Compaq ถูก HP ซื้อกิจการในปี 2002
    แบรนด์ Compaq ถูกยุติในปี 2013
    เป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรม DIY คอมพิวเตอร์

    คำเตือนด้านเทคโนโลยีในยุคนั้น
    น้ำหนักเครื่องถึง 28 ปอนด์—ไม่เหมาะกับการพกพาจริง
    หน่วยความจำและกราฟิกจำกัดมากเมื่อเทียบกับปัจจุบัน
    การ reverse-engineering BIOS แม้ถูกกฎหมาย แต่ต้องใช้ความระมัดระวังสูง
    การแข่งขันกับ IBM ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนในช่วงแรก

    https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/this-week-in-1982-compaq-announced-the-first-true-ibm-pc-clone-it-was-a-portable-too-as-long-as-you-were-comfortable-lugging-28-pounds
    🖥️ “Compaq Portable จุดเริ่มต้นของยุค PC Clone ที่เปลี่ยนโลกคอมพิวเตอร์” ลองจินตนาการย้อนกลับไปในปี 1982… โลกคอมพิวเตอร์ยังถูกครอบครองโดย IBM อย่างเบ็ดเสร็จ แต่แล้วบริษัทหน้าใหม่ชื่อ Compaq ก็เปิดตัว “Compaq Portable” คอมพิวเตอร์พกพาเครื่องแรกที่สามารถใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ของ IBM ได้แบบ 100% โดยไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น! เครื่องนี้หนักถึง 28 ปอนด์ (ประมาณ 12.7 กิโลกรัม) แต่ถือว่า “พกพาได้” ในยุคนั้น เพราะมันรวมทุกอย่างไว้ในกล่องเดียว—จอภาพ, คีย์บอร์ด, ดิสก์ไดรฟ์ และพอร์ตเชื่อมต่อ พร้อมระบบปฏิบัติการ Compaq DOS ที่เป็นเวอร์ชันพิเศษของ MS-DOS สิ่งที่ทำให้ Compaq โดดเด่นคือการ “reverse-engineer” BIOS ของ IBM โดยไม่ใช้โค้ดต้นฉบับเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งถือเป็นการหลบหลีกข้อกฎหมายอย่างชาญฉลาด และกลายเป็นต้นแบบให้บริษัทอื่น ๆ ทำตาม จนเกิดยุค “PC Clone” ที่ทำให้คอมพิวเตอร์ราคาถูกและหลากหลายแพร่หลายไปทั่วโลก 📈 ในปีแรก Compaq ขายได้ถึง 53,000 เครื่อง สร้างรายได้กว่า 111 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของธุรกิจอเมริกันในขณะนั้น และ IBM เองก็ต้องออกเครื่องพกพาของตัวเองในปีถัดมาเพื่อแข่งขัน นอกจากนั้น Compaq ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดวัฒนธรรม DIY คอมพิวเตอร์ที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ ก่อนที่ HP จะเข้าซื้อกิจการในปี 2002 และยุติแบรนด์ Compaq ในปี 2013 ✅ จุดเริ่มต้นของ Compaq Portable ➡️ เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 1982 ➡️ เป็น IBM PC Clone เครื่องแรกที่ถูกกฎหมาย ➡️ ใช้ Intel 8088 ความเร็ว 4.77 MHz ➡️ RAM เริ่มต้น 128KB ขยายได้ถึง 640KB ➡️ จอภาพขนาด 9 นิ้วแบบเขียวขาว ➡️ รองรับกราฟิก CGA และแสดงผล 80x25 ตัวอักษร ➡️ ใช้ Compaq DOS ซึ่งเป็น MS-DOS เวอร์ชันพิเศษ ➡️ ราคาเปิดตัว $2,995 (~$9,500 ปัจจุบัน) ✅ กลยุทธ์ reverse-engineering BIOS ➡️ ไม่ใช้โค้ด IBM เลย ➡️ หลีกเลี่ยงการละเมิดลิขสิทธิ์ ➡️ ทำให้สามารถโฆษณาว่า “100% compatible” ได้ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ ขายได้ 53,000 เครื่องในปีแรก ➡️ สร้างรายได้ $111 ล้าน ➡️ จุดประกายยุค PC Clone ➡️ IBM ต้องออกเครื่องพกพาแข่งในปี 1984 ✅ ความเปลี่ยนแปลงในระยะยาว ➡️ Compaq ถูก HP ซื้อกิจการในปี 2002 ➡️ แบรนด์ Compaq ถูกยุติในปี 2013 ➡️ เป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรม DIY คอมพิวเตอร์ ‼️ คำเตือนด้านเทคโนโลยีในยุคนั้น ⛔ น้ำหนักเครื่องถึง 28 ปอนด์—ไม่เหมาะกับการพกพาจริง ⛔ หน่วยความจำและกราฟิกจำกัดมากเมื่อเทียบกับปัจจุบัน ⛔ การ reverse-engineering BIOS แม้ถูกกฎหมาย แต่ต้องใช้ความระมัดระวังสูง ⛔ การแข่งขันกับ IBM ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนในช่วงแรก https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/this-week-in-1982-compaq-announced-the-first-true-ibm-pc-clone-it-was-a-portable-too-as-long-as-you-were-comfortable-lugging-28-pounds
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 365 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.18

    การยื่นคำร้องต่อศาลหรือหน่วยงานรัฐเป็นมากกว่าการส่งเอกสาร แต่คือการใช้สิทธิอันชอบธรรมของพลเมืองในการขอให้ภาครัฐใช้อำนาจตามกฎหมายเพื่อแก้ไข เยียวยา หรือดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความเป็นอยู่ของพวกเขา คำร้องเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เสียงของประชาชนไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่ระดับชาติถูกนำไปพิจารณาในระบบยุติธรรมและระบบบริหารราชการแผ่นดิน มันสะท้อนถึงหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่อำนาจสูงสุดเป็นของปวงชนและสามารถแสดงออกผ่านช่องทางที่เป็นทางการเพื่อแสวงหาความยุติธรรมหรือการบริการจากรัฐ การเตรียมคำร้องจึงต้องอาศัยความเข้าใจในข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง และการเขียนที่ชัดเจนและหนักแน่น เพื่อให้ข้อเรียกร้องนั้นมีน้ำหนักและนำไปสู่การพิจารณาอย่างจริงจังตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ การกระทำนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของการมีส่วนร่วมและการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจของรัฐด้วยวิถีทางที่สงบและเป็นระบบ

    ในทางปฏิบัติ คำร้องที่ถูกยื่นจะถูกกลั่นกรองและประเมินโดยเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหรือคณะผู้พิพากษาตามแต่กรณี การตอบสนองต่อคำร้องนั้นอาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบาย การยกเลิกคำสั่งที่ไม่ชอบ หรือการพิพากษาคดีเพื่อคืนความยุติธรรมให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ทุกครั้งที่มีการยื่นคำร้อง ถือเป็นการเปิดโอกาสให้หน่วยงานรัฐได้ทบทวนการทำงานของตนเองและปรับปรุงการให้บริการหรือการบังคับใช้กฎหมายให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและหลักนิติธรรมมากยิ่งขึ้น ความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการนี้อยู่ที่การให้โอกาสแก่ทุกฝ่ายได้นำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างเต็มที่ภายใต้กรอบของกฎหมาย เป็นการยืนยันว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย และทุกคนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ การลงนามในคำร้องแต่ละฉบับจึงเปรียบเสมือนการส่งมอบความหวังและความเชื่อมั่นในระบบ ในขณะเดียวกันก็เป็นการท้าทายให้ระบบนั้นต้องทำงานอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพสูงสุด

    ท้ายที่สุดแล้ว คำร้องคือเครื่องมือทรงพลังที่เปลี่ยนข้อความบนกระดาษให้กลายเป็น การเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรมและการเรียกร้องให้เกิดการกระทำ ที่เป็นรูปธรรม มันคือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเสียงเล็กๆ ของประชาชนมีความหมายและมีช่องทางที่เปิดกว้างในการสร้างผลกระทบต่อการตัดสินใจของรัฐ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นไปตามที่ร้องขอหรือไม่ กระบวนการยื่นคำร้องเองก็เป็นเครื่องยืนยันถึงสิทธิเสรีภาพและเป็นรากฐานสำคัญที่ค้ำจุนสังคมที่ยึดมั่นในหลักนิติธรรมไว้ได้อย่างมั่นคง คำร้องจึงมิใช่เพียงแค่การขอ แต่คือ การประกาศสิทธิ์ ที่รอคอยการตอบรับจากผู้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะและความเป็นธรรมของสังคมโดยรวม
    บทความกฎหมาย EP.18 การยื่นคำร้องต่อศาลหรือหน่วยงานรัฐเป็นมากกว่าการส่งเอกสาร แต่คือการใช้สิทธิอันชอบธรรมของพลเมืองในการขอให้ภาครัฐใช้อำนาจตามกฎหมายเพื่อแก้ไข เยียวยา หรือดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความเป็นอยู่ของพวกเขา คำร้องเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เสียงของประชาชนไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่ระดับชาติถูกนำไปพิจารณาในระบบยุติธรรมและระบบบริหารราชการแผ่นดิน มันสะท้อนถึงหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่อำนาจสูงสุดเป็นของปวงชนและสามารถแสดงออกผ่านช่องทางที่เป็นทางการเพื่อแสวงหาความยุติธรรมหรือการบริการจากรัฐ การเตรียมคำร้องจึงต้องอาศัยความเข้าใจในข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง และการเขียนที่ชัดเจนและหนักแน่น เพื่อให้ข้อเรียกร้องนั้นมีน้ำหนักและนำไปสู่การพิจารณาอย่างจริงจังตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ การกระทำนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของการมีส่วนร่วมและการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจของรัฐด้วยวิถีทางที่สงบและเป็นระบบ ในทางปฏิบัติ คำร้องที่ถูกยื่นจะถูกกลั่นกรองและประเมินโดยเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหรือคณะผู้พิพากษาตามแต่กรณี การตอบสนองต่อคำร้องนั้นอาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบาย การยกเลิกคำสั่งที่ไม่ชอบ หรือการพิพากษาคดีเพื่อคืนความยุติธรรมให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ทุกครั้งที่มีการยื่นคำร้อง ถือเป็นการเปิดโอกาสให้หน่วยงานรัฐได้ทบทวนการทำงานของตนเองและปรับปรุงการให้บริการหรือการบังคับใช้กฎหมายให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและหลักนิติธรรมมากยิ่งขึ้น ความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการนี้อยู่ที่การให้โอกาสแก่ทุกฝ่ายได้นำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างเต็มที่ภายใต้กรอบของกฎหมาย เป็นการยืนยันว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย และทุกคนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ การลงนามในคำร้องแต่ละฉบับจึงเปรียบเสมือนการส่งมอบความหวังและความเชื่อมั่นในระบบ ในขณะเดียวกันก็เป็นการท้าทายให้ระบบนั้นต้องทำงานอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพสูงสุด ท้ายที่สุดแล้ว คำร้องคือเครื่องมือทรงพลังที่เปลี่ยนข้อความบนกระดาษให้กลายเป็น การเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรมและการเรียกร้องให้เกิดการกระทำ ที่เป็นรูปธรรม มันคือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเสียงเล็กๆ ของประชาชนมีความหมายและมีช่องทางที่เปิดกว้างในการสร้างผลกระทบต่อการตัดสินใจของรัฐ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นไปตามที่ร้องขอหรือไม่ กระบวนการยื่นคำร้องเองก็เป็นเครื่องยืนยันถึงสิทธิเสรีภาพและเป็นรากฐานสำคัญที่ค้ำจุนสังคมที่ยึดมั่นในหลักนิติธรรมไว้ได้อย่างมั่นคง คำร้องจึงมิใช่เพียงแค่การขอ แต่คือ การประกาศสิทธิ์ ที่รอคอยการตอบรับจากผู้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะและความเป็นธรรมของสังคมโดยรวม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 563 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.17

    คำพิพากษาเป็นมากกว่าเพียงการตัดสินของศาล แต่คือจุดสิ้นสุดของกระบวนการยุติธรรมที่ยาวนาน เป็นคำวินิจฉัยสุดท้ายที่ศาลใช้ดุลยพินิจจากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อยุติข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างคู่ความทั้งหมด โดยมีอำนาจผูกพันคู่ความเหล่านั้นให้ต้องปฏิบัติตามสิ่งที่ศาลได้ตัดสินไป คำตัดสินนี้จึงเป็นหลักประกันความสงบเรียบร้อยในสังคม และเป็นเครื่องมือในการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดผลในทางปฏิบัติ เพื่อให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในคดีนั้นๆ การเข้าใจถึงความหมายและอำนาจของคำพิพากษาจึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการตระหนักถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด

    แก่นแท้ของคำพิพากษานั้นอยู่ที่การสร้างความแน่นอนทางกฎหมาย และการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น คำตัดสินของศาลไม่ใช่แค่การประกาศว่าใครถูกใครผิด แต่คือการกำหนดสิทธิและหน้าที่ใหม่ของคู่ความภายหลังจากการต่อสู้คดีเสร็จสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้ชดใช้ค่าเสียหาย การยกฟ้อง หรือการกำหนดโทษทางอาญา ทุกถ้อยคำในคำพิพากษามีความหมายทางกฎหมายอย่างลึกซึ้ง และถูกเขียนขึ้นด้วยความรอบคอบภายใต้หลักการที่ว่า "ทุกคนเสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย" ซึ่งหมายความว่าแม้การตัดสินจะยุติข้อพิพาทในคดีนั้นๆ แต่ก็เป็นการวางบรรทัดฐานสำหรับคดีที่คล้ายคลึงกันในอนาคตด้วย จึงถือได้ว่าเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้สังคมสามารถเดินหน้าต่อไปได้โดยมีขื่อมีแปและมีการเคารพสิทธิซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง

    ดังนั้น คำพิพากษาจึงเป็นเสมือนหัวใจของระบบกฎหมาย เป็นการแสดงออกถึงอำนาจตุลาการในการตีความและประยุกต์ใช้กฎหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรม คำตัดสินที่มีผลผูกพันคู่ความนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย และเป็นสิ่งสุดท้ายที่นำความสงบกลับคืนมาสู่ผู้ที่มีข้อพิพาทกัน การเคารพและปฏิบัติตามคำพิพากษาจึงไม่ใช่แค่การทำตามคำสั่งศาล แต่คือการธำรงไว้ซึ่งหลักนิติรัฐและนิติธรรมของประเทศชาติ เพื่อให้สังคมดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขและเป็นระเบียบเรียบร้อยตลอดไป
    บทความกฎหมาย EP.17 คำพิพากษาเป็นมากกว่าเพียงการตัดสินของศาล แต่คือจุดสิ้นสุดของกระบวนการยุติธรรมที่ยาวนาน เป็นคำวินิจฉัยสุดท้ายที่ศาลใช้ดุลยพินิจจากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อยุติข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างคู่ความทั้งหมด โดยมีอำนาจผูกพันคู่ความเหล่านั้นให้ต้องปฏิบัติตามสิ่งที่ศาลได้ตัดสินไป คำตัดสินนี้จึงเป็นหลักประกันความสงบเรียบร้อยในสังคม และเป็นเครื่องมือในการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดผลในทางปฏิบัติ เพื่อให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในคดีนั้นๆ การเข้าใจถึงความหมายและอำนาจของคำพิพากษาจึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการตระหนักถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด แก่นแท้ของคำพิพากษานั้นอยู่ที่การสร้างความแน่นอนทางกฎหมาย และการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น คำตัดสินของศาลไม่ใช่แค่การประกาศว่าใครถูกใครผิด แต่คือการกำหนดสิทธิและหน้าที่ใหม่ของคู่ความภายหลังจากการต่อสู้คดีเสร็จสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้ชดใช้ค่าเสียหาย การยกฟ้อง หรือการกำหนดโทษทางอาญา ทุกถ้อยคำในคำพิพากษามีความหมายทางกฎหมายอย่างลึกซึ้ง และถูกเขียนขึ้นด้วยความรอบคอบภายใต้หลักการที่ว่า "ทุกคนเสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย" ซึ่งหมายความว่าแม้การตัดสินจะยุติข้อพิพาทในคดีนั้นๆ แต่ก็เป็นการวางบรรทัดฐานสำหรับคดีที่คล้ายคลึงกันในอนาคตด้วย จึงถือได้ว่าเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้สังคมสามารถเดินหน้าต่อไปได้โดยมีขื่อมีแปและมีการเคารพสิทธิซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง ดังนั้น คำพิพากษาจึงเป็นเสมือนหัวใจของระบบกฎหมาย เป็นการแสดงออกถึงอำนาจตุลาการในการตีความและประยุกต์ใช้กฎหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรม คำตัดสินที่มีผลผูกพันคู่ความนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย และเป็นสิ่งสุดท้ายที่นำความสงบกลับคืนมาสู่ผู้ที่มีข้อพิพาทกัน การเคารพและปฏิบัติตามคำพิพากษาจึงไม่ใช่แค่การทำตามคำสั่งศาล แต่คือการธำรงไว้ซึ่งหลักนิติรัฐและนิติธรรมของประเทศชาติ เพื่อให้สังคมดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขและเป็นระเบียบเรียบร้อยตลอดไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 382 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.16

    คดีคือเรื่องราวหรือข้อพิพาทที่ถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ภายใต้การพิจารณาของศาล ในชีวิตประจำวันเรามักจะได้ยินคำนี้บ่อยครั้ง แต่แก่นแท้ของมันคือการแสวงหาความจริงและการยุติความขัดแย้งอย่างเป็นระบบและมีกฎหมายรองรับ ไม่ว่าจะเป็นข้อพิพาททางแพ่งที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน สัญญา หรือครอบครัว หรือเป็นข้อกล่าวหาทางอาญาที่เกี่ยวกับความผิดต่อรัฐและสังคม เมื่อเรื่องใดก็ตามถูกยกระดับเป็นคดี นั่นหมายความว่าหลักฐาน ข้อกฎหมาย และความชอบธรรมจะเข้ามามีบทบาทในการตัดสินชะตากรรม เป็นการเปลี่ยนจากความขัดแย้งส่วนตัวหรือสาธารณะไปสู่การตัดสินโดยผู้ทรงอำนาจตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและสันติสุขในสังคม กระบวนการนี้จึงเป็นกลไกสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งระเบียบและสิทธิเสรีภาพของทุกคน

    บทบาทของคดีในสังคมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการตีความและบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นรูปธรรม คดีแต่ละคดีไม่เพียงแต่จะยุติข้อพิพาทเฉพาะหน้าระหว่างคู่กรณีเท่านั้น แต่ยังสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของคนในสังคมในวงกว้างอีกด้วย ทุกขั้นตอนตั้งแต่การยื่นฟ้อง การสืบพยาน การพิจารณาข้อเท็จจริง ไปจนถึงการตัดสิน ล้วนแล้วแต่ต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใสและเป็นไปตามหลักการแห่งกฎหมาย ความรู้ความเข้าใจในกระบวนการยุติธรรมและที่มาที่ไปของคดีต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชนทุกคน เพื่อรักษาสิทธิของตนเองและตรวจสอบการทำงานของกระบวนการยุติธรรมให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

    ดังนั้น คดีจึงมิใช่เพียงแค่ชื่อเรียกของเรื่องราวความขัดแย้ง แต่คือหัวใจสำคัญของการสร้างความยุติธรรมในรัฐสมัยใหม่ เป็นจุดที่กฎหมายได้ลงมาสัมผัสกับชีวิตจริงของประชาชน เปลี่ยนแปลงความเป็นไปของสังคม และยืนยันหลักการที่ว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ทุกข้อพิพาท ทุกความขัดแย้ง มีที่มา มีการพิจารณา และมีบทสรุปที่ถูกกำหนดโดยหลักนิติธรรม นำไปสู่การจัดระเบียบและดำรงไว้ซึ่งความสงบสุขอย่างยั่งยืนในที่สุด
    บทความกฎหมาย EP.16 คดีคือเรื่องราวหรือข้อพิพาทที่ถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ภายใต้การพิจารณาของศาล ในชีวิตประจำวันเรามักจะได้ยินคำนี้บ่อยครั้ง แต่แก่นแท้ของมันคือการแสวงหาความจริงและการยุติความขัดแย้งอย่างเป็นระบบและมีกฎหมายรองรับ ไม่ว่าจะเป็นข้อพิพาททางแพ่งที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน สัญญา หรือครอบครัว หรือเป็นข้อกล่าวหาทางอาญาที่เกี่ยวกับความผิดต่อรัฐและสังคม เมื่อเรื่องใดก็ตามถูกยกระดับเป็นคดี นั่นหมายความว่าหลักฐาน ข้อกฎหมาย และความชอบธรรมจะเข้ามามีบทบาทในการตัดสินชะตากรรม เป็นการเปลี่ยนจากความขัดแย้งส่วนตัวหรือสาธารณะไปสู่การตัดสินโดยผู้ทรงอำนาจตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและสันติสุขในสังคม กระบวนการนี้จึงเป็นกลไกสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งระเบียบและสิทธิเสรีภาพของทุกคน บทบาทของคดีในสังคมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการตีความและบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นรูปธรรม คดีแต่ละคดีไม่เพียงแต่จะยุติข้อพิพาทเฉพาะหน้าระหว่างคู่กรณีเท่านั้น แต่ยังสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของคนในสังคมในวงกว้างอีกด้วย ทุกขั้นตอนตั้งแต่การยื่นฟ้อง การสืบพยาน การพิจารณาข้อเท็จจริง ไปจนถึงการตัดสิน ล้วนแล้วแต่ต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใสและเป็นไปตามหลักการแห่งกฎหมาย ความรู้ความเข้าใจในกระบวนการยุติธรรมและที่มาที่ไปของคดีต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชนทุกคน เพื่อรักษาสิทธิของตนเองและตรวจสอบการทำงานของกระบวนการยุติธรรมให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น คดีจึงมิใช่เพียงแค่ชื่อเรียกของเรื่องราวความขัดแย้ง แต่คือหัวใจสำคัญของการสร้างความยุติธรรมในรัฐสมัยใหม่ เป็นจุดที่กฎหมายได้ลงมาสัมผัสกับชีวิตจริงของประชาชน เปลี่ยนแปลงความเป็นไปของสังคม และยืนยันหลักการที่ว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ทุกข้อพิพาท ทุกความขัดแย้ง มีที่มา มีการพิจารณา และมีบทสรุปที่ถูกกำหนดโดยหลักนิติธรรม นำไปสู่การจัดระเบียบและดำรงไว้ซึ่งความสงบสุขอย่างยั่งยืนในที่สุด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 443 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.8

    เอกสารราชการคือหลักฐานที่มีความสำคัญยิ่งในทางการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเอง หรือการประสานงานกับภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป เอกสารเหล่านี้ทำหน้าที่เสมือนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงระบบราชการ ทำให้การดำเนินงานต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น ถูกต้อง และตรวจสอบได้ตามกฎหมาย ตั้งแต่หนังสือสั่งการ ข้อบังคับ ประกาศ ไปจนถึงรายงานการประชุมทุกฉบับล้วนเป็นกลไกสำคัญที่สะท้อนถึงความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และประสิทธิภาพในการทำงานของภาครัฐ การทำความเข้าใจในความหมายและประเภทของเอกสารราชการจึงเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการภาครัฐ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกขั้นตอนของงานราชการดำเนินการอย่างเป็นระบบ มีมาตรฐาน และสามารถอ้างอิงได้อย่างเป็นทางการ

    ความน่าเชื่อถือและความศักดิ์สิทธิ์ของเอกสารราชการมิได้อยู่ที่กระดาษหรือหมึกที่ใช้ หากแต่อยู่ที่เนื้อหา ข้อกฎหมายที่รองรับ และเจตนาในการนำไปปฏิบัติ ซึ่งต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะเป็นที่ตั้ง เอกสารเหล่านี้จึงเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างความเข้าใจร่วมกัน บันทึกข้อตกลง สิทธิ และหน้าที่ รวมถึงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาของประเทศ ทุกการลงนาม ทุกตราประทับ ล้วนมีความหมายและมีผลผูกพันทางกฎหมาย การจัดทำ การเก็บรักษา และการทำลายเอกสารราชการจึงต้องเป็นไปตามระเบียบที่กำหนดไว้โดยเคร่งครัด เพื่อป้องกันความผิดพลาด การทุจริต และการสูญหายของข้อมูลสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจและการให้บริการประชาชนในวงกว้าง ดังนั้น เจ้าหน้าที่ทุกคนจึงมีหน้าที่ในการดูแลและจัดการเอกสารเหล่านี้ด้วยความรอบคอบและสำนึกในความรับผิดชอบสูงสุด

    โดยสรุปแล้ว เอกสารราชการเป็นมากกว่ากระดาษหรือไฟล์ข้อมูล แต่คือสัญลักษณ์ของอำนาจรัฐ ความน่าเชื่อถือ และเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะให้บรรลุผลสำเร็จ การให้ความสำคัญกับการจัดทำและการบริหารจัดการเอกสารราชการอย่างมีมาตรฐานและเป็นระบบระเบียบ จึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยยกระดับธรรมาภิบาล สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และเป็นรากฐานที่มั่นคงในการพัฒนาประเทศชาติให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป
    บทความกฎหมาย EP.8 เอกสารราชการคือหลักฐานที่มีความสำคัญยิ่งในทางการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเอง หรือการประสานงานกับภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป เอกสารเหล่านี้ทำหน้าที่เสมือนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงระบบราชการ ทำให้การดำเนินงานต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น ถูกต้อง และตรวจสอบได้ตามกฎหมาย ตั้งแต่หนังสือสั่งการ ข้อบังคับ ประกาศ ไปจนถึงรายงานการประชุมทุกฉบับล้วนเป็นกลไกสำคัญที่สะท้อนถึงความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และประสิทธิภาพในการทำงานของภาครัฐ การทำความเข้าใจในความหมายและประเภทของเอกสารราชการจึงเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการภาครัฐ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกขั้นตอนของงานราชการดำเนินการอย่างเป็นระบบ มีมาตรฐาน และสามารถอ้างอิงได้อย่างเป็นทางการ ความน่าเชื่อถือและความศักดิ์สิทธิ์ของเอกสารราชการมิได้อยู่ที่กระดาษหรือหมึกที่ใช้ หากแต่อยู่ที่เนื้อหา ข้อกฎหมายที่รองรับ และเจตนาในการนำไปปฏิบัติ ซึ่งต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะเป็นที่ตั้ง เอกสารเหล่านี้จึงเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างความเข้าใจร่วมกัน บันทึกข้อตกลง สิทธิ และหน้าที่ รวมถึงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาของประเทศ ทุกการลงนาม ทุกตราประทับ ล้วนมีความหมายและมีผลผูกพันทางกฎหมาย การจัดทำ การเก็บรักษา และการทำลายเอกสารราชการจึงต้องเป็นไปตามระเบียบที่กำหนดไว้โดยเคร่งครัด เพื่อป้องกันความผิดพลาด การทุจริต และการสูญหายของข้อมูลสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจและการให้บริการประชาชนในวงกว้าง ดังนั้น เจ้าหน้าที่ทุกคนจึงมีหน้าที่ในการดูแลและจัดการเอกสารเหล่านี้ด้วยความรอบคอบและสำนึกในความรับผิดชอบสูงสุด โดยสรุปแล้ว เอกสารราชการเป็นมากกว่ากระดาษหรือไฟล์ข้อมูล แต่คือสัญลักษณ์ของอำนาจรัฐ ความน่าเชื่อถือ และเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะให้บรรลุผลสำเร็จ การให้ความสำคัญกับการจัดทำและการบริหารจัดการเอกสารราชการอย่างมีมาตรฐานและเป็นระบบระเบียบ จึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยยกระดับธรรมาภิบาล สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และเป็นรากฐานที่มั่นคงในการพัฒนาประเทศชาติให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 487 มุมมอง 0 รีวิว
  • วุฒิสภายืดเวลาอีก 90 วัน ศึกษาเอ็มโอยู ไทย–กัมพูชา ปี 2543–2544 ชี้ข้อกฎหมายซับซ้อน เสี่ยงกระทบความมั่นคงชายแดนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000102729

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    วุฒิสภายืดเวลาอีก 90 วัน ศึกษาเอ็มโอยู ไทย–กัมพูชา ปี 2543–2544 ชี้ข้อกฎหมายซับซ้อน เสี่ยงกระทบความมั่นคงชายแดนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000102729 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 308 มุมมอง 0 รีวิว
  • วุฒิสภายืดเวลาอีก 90 วัน ศึกษาเอ็มโอยู ไทย–กัมพูชา ปี 2543–2544 ชี้ข้อกฎหมายซับซ้อน เสี่ยงกระทบความมั่นคงชายแดนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000102731

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    วุฒิสภายืดเวลาอีก 90 วัน ศึกษาเอ็มโอยู ไทย–กัมพูชา ปี 2543–2544 ชี้ข้อกฎหมายซับซ้อน เสี่ยงกระทบความมั่นคงชายแดนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000102731 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 406 มุมมอง 0 รีวิว


  • ..จริงๆย่อมาไทย สงครามที่คนไทยเจอจริงๆคือสงครามกฎหมาย ,จะผ่านด่านใดๆต้องอาศัยข้อกฎหมายในการปล้นชิง แย่งชิงได้อย่างใสซื่อ ชอบธรรมที่สุดเพราะทุกๆอย่างจะจบที่ข้อกฎหมายนำมาอ้าง มาหยิบยก การแย่งชิงใดๆจะบันทึกเป็นกฎกันให้ต่างบังคับกันให้ปฏิบัติ ใครเขียนกฎหมายได้ก็ยึดประเทศนั้นได้ ใครสร้างกฎหมาย ใครสร้างกฎ ใครทำลายกฎหมายก็สามารถทำตามสิ่งที่ตนต้องการได้หมด ทั้งสร้างทั้งทำ ,เรา..อยู่ในสงครามกฎหมาย ต่างชาติใช้กฎหมายภายในที่เปิดช่องเพื่อต้องให้มันเข้ามาอย่างถูกกฎหมาย อย่างถูกต้องชอบธรรม จึงต้องยึดคนสร้างกฎหมายในไทยให้ได้ บีบบังคับ กดดันคนมีอำนาจสร้างกฎหมายให้มันปล้นชิงอย่างชอบธรรมให้ไม่น่าเกียจในยุคปัจจุบันนี้ให้ได้ mou43,44ก็ข้อกฎหมายทั้งนั้น,ผ่านอำนาจกฎหมายจากนายกฯหรือคณะครม. ก็มีกฎหมายมาค้ำคอหมด ต่างชาติจะทำอะไรได้ในไทยต้องผ่านกฎหมายไทย เขียนกฎหมายให้ต่างชาติทำได้ก่อน เช่นนั้นจะทำไม่ได้อย่างชอบธรรมอะไรใดๆเลย,การทำลายกฎหมายของการเอื้ออำนวยต่างชาติคือการปลดปล่อยประเทศไทยที่ถูกทาง ชอบธรรมโดยหลักสากลปกติ ไม่ต้องคิดมากอะไรและง่ายดายมาก เขียนกฎหมายใดๆได้หมดหากจะปกป้องอธิปไตยจากคนต่างประเทศ.
    ..สงครามที่เกิดกับไทยแท้จริงคือสงครามกฎหมายภายในเราเองโดยต่างชาติพยายามสร้างพยายามลงมือยิงเราผ่านช่องทางนี้ พยายามโจมตี พยายามยึดเมือง ยึดพื้นที่ที่ดิน ยึดครองที่ดินผ่านช่องทางกฎหมายให้ตนเองดูมีความชอบธรรมก่อน,เมื่อยึดใดๆได้แล้วหรือยึดพื้นที่ ยึดที่อยู่ที่อาศัย ยึดทรัพยากร ก็จะยึดทั้งประเทศไทยได้เบ็ดเสร็จต่อไป จึงกลับมาเขียนกฎหมายฉบับตนเองใหม่ทั้งหมดต่อไปในส่วนของมันที่ยึดครองประเทศไทยได้หมดแล้ว,
    ..ข่าวคราวยิวทำไมเกิดข่าวเด่นชัดในยุครัฐบาลอนุทิน มีสองกรณีคือต่อต้านยิว กับเป็นฝ่ายยิว ยอมรับยิว,แต่อย่าลืมว่า้พรรคภูมิใจไทยมุสลิมไม่น้อยเต็มพรรค ไม่พอใจยิวที่ทำกับปาเลสไตน์แน่นอน,คนอาหรับคนมุสลิมรู้ไส้รู้พุงรู้สันดานกันและกันอีก เขาคือศัตรูกันจึงไม่ชอบยิวอิสราเอลในภาพรวม,การต่อต้านยิวสายใต้ดินจึงเต็มที่,อย่าลืมว่าอิสลามไม่ดีในไทยรวมมือกับต่างชาติอิสลามนอกไทยจะยึดประเทศไทยก็มีเช่นกัน,ยิวเข้ามาขัดคอขัดจังหวะของกินตนย่อมไม่พอใจด้วย,กระบวนการสร้างความเกลียดยิวให้คนไทยมาเกลียดยิวจึงเริ่มขึ้น,ยิวก็ไซออนิสต์ก็ถูกสั่งสอนมาจากอนูคานีศาสนาดาเดียวกันกับอิสลาม ใครต่างศาสนาลัทธิความเชื่อมันคือศัตรูต่อพระเจ้ามันหมด ต้องไล่ล่ากำจัดทิ้งฆ่าสังหารคนต่างศาสนาตนที่ไม่ได้นับถือลัทธีรีตศาสนาแบบตนนั้นเอง มันอนูนาคีสั่งสอนแบบนี้ทั้งยิวซาตานไซออนิสต์ยุโรปทั้งอิสลามทั่วโลกเอาเด็กทำเมียไม่ผิดหลักศาสนา,ยิวที่ฆ่าคนปาเลสไตน์เด็ก คนแก่คนชรา หญิงชาย ล้วนมันมองแบบเดียวกันคือคนต่างศาสนาฆ่าได้ทันทีไม่ผิดต่อพระเจ้า ได้ขึ้นสวรรค์ด้วย อิสลามก็ฆ่าคนละทิ้งศาสนาละทิ้งพระเจ้า คนนอกศาสนาอิสลามไม่ผิดต่อพระเจ้า ช่วยกำจัดแทนพระเจ้า ได้ขึ้นสวรรค์โน้นเหมือนกัน ต่างดาวชั่วเลวแบบอนูนาคีชั่วเลวสั่งสอนทั้งอิสลามและยิวคริสต์ไซออนิสต์อิลูมินาติจึงอนาถโคตรๆแก่ผู้บริสุทธิ์ทั่วโลกชาวโลกในปัจจุบันให้หลงผิดทั้งโลก,ไทยจึงจะเป็นสนามบอลอีกแห่งให้คนยิวอิสราเอลตีกับอิสลามในไทยคงไม่นาน บัดสบที่สุดคืออิสลามยุแหย่ให้มาร่วมตียิวในสนามด้วย,ซึ่งจริงๆต้องไล่ถีบทั้งคู่ที่ไม่ดีออกจากประเทศไทยออกจากสนามไปตีกันเองในพื้นที่อื่น,เพราะประเทศไทยสงวนไว้ให้ยิวนิสัยดีคนดี อิสลามดีคนดี มาร่วมอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขได้ มาสร้างชาติไทยร่วมสร้างชาติไทย คนไทยและผู้มาร่วมอาศัยต่างประเทศมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เมตตารักดีต่อกัน ช่วยเหลือกันและกัน ไม่ยึดครองยึดเอาเป็นของตนที่มาอาศัยแผ่นดินไทยอยู่ ไม่ก้าวล่วงทำร้ายทำลายกัน อิสระเสรีไปมาอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นสงบสุขสามัคคีกันแม้ต่างชาติต่างศาสนากัน มิใช่แดกกันแดกมนุษย์ ทำลายฆ่ากันบนแผ่นดินไทย เลอะเทอะต่อบ้านต่อเมืองต่อประเทศไทยต่อคนไทย จนลุแก่ปัจจัยทรัพย์สินเงินทองตนอำนาจเครือข่ายตนจนอยากยึดประเทศไทยถือว่าผิดสันดานผู้หลบภัยหลบหนีร้อนมาพึ่งเย็นบนแผ่นดินไทยมาก อาจสมควรตายและถูกกำจัดทิ้งออกจากประเทศไทยเช่นกันเป็นภัยอันตรายต่อเจ้าของประเทศไทยคือคนไทยเรา,เราจะไปอาศัยแล้วจะยึดบ้านเมืองเขาเหมือนกัน เขาหรือใครเขาจะยอมเช่นกัน,ประเทศไทยก็ยอมไม่ได้,ไม่มีชาติไหนที่อิสลามเต็มประเทศไทยสวัสดิการดีมากมาย,ไม่มีชาติไหนแบบไทย ยิวจะเต็มอ.ปาย เต็ม เกาะพะงัน เต็มภาคใต้เสรีอิสระขนาดนั้น,ไทยให้โอกาสคนทุกๆคนทั่วโลกมาเป็นคนดีเพื่อตนเองและเพื่อโลก มาร่วมสร้างสันติสุขร่วมกันย่อลงมาคือราชอาณาจักรไทยเขตประเทศไทยคืออย่างน้อย,การกวาดล้างปราบการคตโกงล้างทำความสะอาดเมืองไทยให้น่าอยู่โดยเฉพาะคนข้าราชการไทยเทา นักการเมืองไทยเทา เจ้าของกิจการไทยเทาเจ้าสัวชั่วเลวไทยเทาผูกขาดไร้กระจายความมั่งคั่งทางวัตถุให้สมดุลเจริญต่อจิตใจถือว่าคนเหล่านี้ขัดขวางการยกจิตยกใจทางดีงามคนไทยและคนดีๆที่หมายดีมาร่วมพักพิงมาเยือนอาศัยชั่วคราวในไทยให้จิตใจตกต่ำชั่วเลวไปด้วยถือว่าต้องถูกกวาดล้างและกำจัดทั้งหมด,สมมุติทางโลกเสียสมดุล รวยจนต่างกันมากเกินไปผ่านวิถีกฎหมายการปกครองของคนเทาๆในไทยเราแบบนี้,ค่าจริงจึงไม่สดใส จิตใจที่ดีงามของคนไทยและผู้มาเยือนท่องเที่ยวจะถือทำลายไปด้วย,วัตถุธาตุเจริญทางทรัพย์สินเงินทองต้องร่วมหล่อเลี้ยงจิตใจให้ดีงามไปด้วย อาหารทางวัตถุหล่อเลี้ยงอาหารทางจิตใจจิตวิญญาณคนไทยและคนมาเยือนเยี่ยมย่อมสมดุลควบคู่กันไปด้วย,เสมือนคนมีหนี้สินล้นเต็มตัว ย่อมฝันไปเลยจะมีจิตใจความคิดอ่านที่เป็นปกติได้ ทุกข์ทั้งทางวัตถุและจิตใจจึงตกต่ำก็อันเดียวกัน,การกวาดล้างทำลายจึงต้องจัดการคนเหล่านี้จริงจังภายในประเทศไทยเรานี้ล่ะ,กองทัพไทย ทหารไทยคือทางเดียวด้วยกฎอัยการศึกพิเศษแบบนี้เท่านั้นจริงเมื่อดูรูปกาลเวลาทั้งหมดภาพรวมมันเน่าเละหมดโดยอำนาจทางการเมืองของนักการเมืองในปัจจุบัน มันส่อไปทางชั่วเลวให้ชาติบ้านเมืองพินาศพิบัติพังพินาศสิ้นชาติชัดเจนแบบสืบทอดต่อยอดรับงานกันเป็นทอดๆมิให้ใครจับได้ด้วย ทำชั่วให้แบบแนบเนียนนั้นเอง,เดอะแก๊งทำลายชาติไทยชัดเจนนั้นเอง ทหารไทยทหารประชาชนทหารพระราชาจึงต้องเด็ดขาดจัดการมันเสีย.

    .............................

    สงครามไฮบริด คือ อะไร ทำไม คนไทย ต้องรู้จัก

    สงครามที่เรา รู้จักกัน ไม่ว่า จะเป็นสงครามในอดีต หรือในปัจจุบัน ล้วนเกี่ยวข้องกับการ แย่งชิง หรือ ยึดครอง ทรัพยากร ของคู่ต่อสู้ ตัวอย่างชัดๆ คือ วิกฤต รศ.112 ที่ฝรั่งเศสเอาเรือปืน เอากองทัพมา “ปล้น” แผ่นดินสยาม แถมเรียกค่าปฏิกรณ์สงครามเป็น “ เงินถุงแดง”
    ในปัจจุบันก็ไม่ต่างกัน ตัวอย่างชัดๆ คือ สงครามในอิสราเอล ที่แย่งชิงพื้นที่ทำกิน พื้นที่อาศัย ระหว่าง เจ้าของพื้นที่ ชาวปาเลสไตน์ กับ ชาวคาซาร์เรียน ยิว (Khazarian ) ที่ อ้างว่าเป็นชาวอิสราเอล ที่เอากองทัพมาเข่นฆ่า เด็ก สตรี และคนชรา ทำแม้แต่ทิ้งระเบิดถล่ม โรงพยาบาล เพื่อขับไล่คนปาเลสไตน์ออกจากพื้นที่ ที่ต้องการยึดครอง

    แต่นอกจากสงคราม “ในรูปแบบ ” ตามที่ยกตัวอย่างแล้ว ยังมี สงคราม “นอกรูปแบบ” ที่ใช้กลยุทธ์ ผสมผสาน (hybrid) ที่มีวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ “ยึดครองทรัพยากร”
    เทียบให้เห็นภาพชัดๆ คือ สมัยก่อน โจรจะปล้น ก็เอาปืนจี้ แต่ปัจจุบันนี้ ใช้วิธี ฉ้อโกง หลอกลวง คอลเซนเตอร์ ไซเบอร์แอทแทก ฯลฯ เพื่อปล้นทรัพย์ ในระดับ ประเทศก็ไม่ต่างกัน
    สงครามดังกล่าวมีตั้งแต่
    1.สงครามการเงิน ตัวอย่างเช่น วิกฤติต้มยำกุ้ง
    2. สงครามข้อมูลข่าวสาร ให้ข้อมูลที่บิดเบือน หรือ ดึงความสนใจให้ไปสนใจเรื่องอื่นที่ไม่สำคัญ เพื่อทำเรื่องที่ต้องการ
    3. สงครามไซเบอร์ ตย เช่น กรณีระบบ คอมพิวเตอร์ที่พึ่งล่ม ทำคนติดค้างในสนามบิน🖥

    แต่สงครามที่พึ่ง สร้างความเสียหายให้กับหลายประเทศทั่วโลก เร็วๆ นี้ คือ “สงครามชีวภาพ” สงครามที่ใช้ “เชื้อโรค” ใช้ “ยา” เป็นอาวุธ
    สงครามที่เรารู้จัก กันว่า “การระบาดของโควิด”
    ซึ่ง มีข้อมูลชัดเจนว่า กระทรวงกลาโหม สหรัฐ เป็นผู้ให้ทุนวิจัย
    และ บริษัทยายักษ์ใหญ่ เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ บริษัทที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็น กลุ่มเดียวกันกับ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ อุตสากรรมอาวุธ ของอเมริกา

    อาจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ ได้นำหลักฐานที่ยืนยันว่า การระบาดครั้งนี้มีการเตรียม การล่วงหน้า มีการให้ทุนสนับสนุน มีการ ถอนทุนคืน มาตีแผ่ เป็นบทความสาม ตอน ที่ คนไทยทุกคน และฝ่ายความมั่นคงควร “ต้องอ่าน”

    ลับ ลวง พราง ชั่วร้าย ยาและวัคซีน โดย หมอดื้อ
    (ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต )


    (ตอนที่ 1)
    https://mgronline.com/daily/detail/9670000053749

    (ตอนที่ 2)
    https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2797034

    (ตอนที่ 3)
    https://mgronline.com/daily/detail/9670000057723
    ..จริงๆย่อมาไทย สงครามที่คนไทยเจอจริงๆคือสงครามกฎหมาย ,จะผ่านด่านใดๆต้องอาศัยข้อกฎหมายในการปล้นชิง แย่งชิงได้อย่างใสซื่อ ชอบธรรมที่สุดเพราะทุกๆอย่างจะจบที่ข้อกฎหมายนำมาอ้าง มาหยิบยก การแย่งชิงใดๆจะบันทึกเป็นกฎกันให้ต่างบังคับกันให้ปฏิบัติ ใครเขียนกฎหมายได้ก็ยึดประเทศนั้นได้ ใครสร้างกฎหมาย ใครสร้างกฎ ใครทำลายกฎหมายก็สามารถทำตามสิ่งที่ตนต้องการได้หมด ทั้งสร้างทั้งทำ ,เรา..อยู่ในสงครามกฎหมาย ต่างชาติใช้กฎหมายภายในที่เปิดช่องเพื่อต้องให้มันเข้ามาอย่างถูกกฎหมาย อย่างถูกต้องชอบธรรม จึงต้องยึดคนสร้างกฎหมายในไทยให้ได้ บีบบังคับ กดดันคนมีอำนาจสร้างกฎหมายให้มันปล้นชิงอย่างชอบธรรมให้ไม่น่าเกียจในยุคปัจจุบันนี้ให้ได้ mou43,44ก็ข้อกฎหมายทั้งนั้น,ผ่านอำนาจกฎหมายจากนายกฯหรือคณะครม. ก็มีกฎหมายมาค้ำคอหมด ต่างชาติจะทำอะไรได้ในไทยต้องผ่านกฎหมายไทย เขียนกฎหมายให้ต่างชาติทำได้ก่อน เช่นนั้นจะทำไม่ได้อย่างชอบธรรมอะไรใดๆเลย,การทำลายกฎหมายของการเอื้ออำนวยต่างชาติคือการปลดปล่อยประเทศไทยที่ถูกทาง ชอบธรรมโดยหลักสากลปกติ ไม่ต้องคิดมากอะไรและง่ายดายมาก เขียนกฎหมายใดๆได้หมดหากจะปกป้องอธิปไตยจากคนต่างประเทศ. ..สงครามที่เกิดกับไทยแท้จริงคือสงครามกฎหมายภายในเราเองโดยต่างชาติพยายามสร้างพยายามลงมือยิงเราผ่านช่องทางนี้ พยายามโจมตี พยายามยึดเมือง ยึดพื้นที่ที่ดิน ยึดครองที่ดินผ่านช่องทางกฎหมายให้ตนเองดูมีความชอบธรรมก่อน,เมื่อยึดใดๆได้แล้วหรือยึดพื้นที่ ยึดที่อยู่ที่อาศัย ยึดทรัพยากร ก็จะยึดทั้งประเทศไทยได้เบ็ดเสร็จต่อไป จึงกลับมาเขียนกฎหมายฉบับตนเองใหม่ทั้งหมดต่อไปในส่วนของมันที่ยึดครองประเทศไทยได้หมดแล้ว, ..ข่าวคราวยิวทำไมเกิดข่าวเด่นชัดในยุครัฐบาลอนุทิน มีสองกรณีคือต่อต้านยิว กับเป็นฝ่ายยิว ยอมรับยิว,แต่อย่าลืมว่า้พรรคภูมิใจไทยมุสลิมไม่น้อยเต็มพรรค ไม่พอใจยิวที่ทำกับปาเลสไตน์แน่นอน,คนอาหรับคนมุสลิมรู้ไส้รู้พุงรู้สันดานกันและกันอีก เขาคือศัตรูกันจึงไม่ชอบยิวอิสราเอลในภาพรวม,การต่อต้านยิวสายใต้ดินจึงเต็มที่,อย่าลืมว่าอิสลามไม่ดีในไทยรวมมือกับต่างชาติอิสลามนอกไทยจะยึดประเทศไทยก็มีเช่นกัน,ยิวเข้ามาขัดคอขัดจังหวะของกินตนย่อมไม่พอใจด้วย,กระบวนการสร้างความเกลียดยิวให้คนไทยมาเกลียดยิวจึงเริ่มขึ้น,ยิวก็ไซออนิสต์ก็ถูกสั่งสอนมาจากอนูคานีศาสนาดาเดียวกันกับอิสลาม ใครต่างศาสนาลัทธิความเชื่อมันคือศัตรูต่อพระเจ้ามันหมด ต้องไล่ล่ากำจัดทิ้งฆ่าสังหารคนต่างศาสนาตนที่ไม่ได้นับถือลัทธีรีตศาสนาแบบตนนั้นเอง มันอนูนาคีสั่งสอนแบบนี้ทั้งยิวซาตานไซออนิสต์ยุโรปทั้งอิสลามทั่วโลกเอาเด็กทำเมียไม่ผิดหลักศาสนา,ยิวที่ฆ่าคนปาเลสไตน์เด็ก คนแก่คนชรา หญิงชาย ล้วนมันมองแบบเดียวกันคือคนต่างศาสนาฆ่าได้ทันทีไม่ผิดต่อพระเจ้า ได้ขึ้นสวรรค์ด้วย อิสลามก็ฆ่าคนละทิ้งศาสนาละทิ้งพระเจ้า คนนอกศาสนาอิสลามไม่ผิดต่อพระเจ้า ช่วยกำจัดแทนพระเจ้า ได้ขึ้นสวรรค์โน้นเหมือนกัน ต่างดาวชั่วเลวแบบอนูนาคีชั่วเลวสั่งสอนทั้งอิสลามและยิวคริสต์ไซออนิสต์อิลูมินาติจึงอนาถโคตรๆแก่ผู้บริสุทธิ์ทั่วโลกชาวโลกในปัจจุบันให้หลงผิดทั้งโลก,ไทยจึงจะเป็นสนามบอลอีกแห่งให้คนยิวอิสราเอลตีกับอิสลามในไทยคงไม่นาน บัดสบที่สุดคืออิสลามยุแหย่ให้มาร่วมตียิวในสนามด้วย,ซึ่งจริงๆต้องไล่ถีบทั้งคู่ที่ไม่ดีออกจากประเทศไทยออกจากสนามไปตีกันเองในพื้นที่อื่น,เพราะประเทศไทยสงวนไว้ให้ยิวนิสัยดีคนดี อิสลามดีคนดี มาร่วมอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขได้ มาสร้างชาติไทยร่วมสร้างชาติไทย คนไทยและผู้มาร่วมอาศัยต่างประเทศมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เมตตารักดีต่อกัน ช่วยเหลือกันและกัน ไม่ยึดครองยึดเอาเป็นของตนที่มาอาศัยแผ่นดินไทยอยู่ ไม่ก้าวล่วงทำร้ายทำลายกัน อิสระเสรีไปมาอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นสงบสุขสามัคคีกันแม้ต่างชาติต่างศาสนากัน มิใช่แดกกันแดกมนุษย์ ทำลายฆ่ากันบนแผ่นดินไทย เลอะเทอะต่อบ้านต่อเมืองต่อประเทศไทยต่อคนไทย จนลุแก่ปัจจัยทรัพย์สินเงินทองตนอำนาจเครือข่ายตนจนอยากยึดประเทศไทยถือว่าผิดสันดานผู้หลบภัยหลบหนีร้อนมาพึ่งเย็นบนแผ่นดินไทยมาก อาจสมควรตายและถูกกำจัดทิ้งออกจากประเทศไทยเช่นกันเป็นภัยอันตรายต่อเจ้าของประเทศไทยคือคนไทยเรา,เราจะไปอาศัยแล้วจะยึดบ้านเมืองเขาเหมือนกัน เขาหรือใครเขาจะยอมเช่นกัน,ประเทศไทยก็ยอมไม่ได้,ไม่มีชาติไหนที่อิสลามเต็มประเทศไทยสวัสดิการดีมากมาย,ไม่มีชาติไหนแบบไทย ยิวจะเต็มอ.ปาย เต็ม เกาะพะงัน เต็มภาคใต้เสรีอิสระขนาดนั้น,ไทยให้โอกาสคนทุกๆคนทั่วโลกมาเป็นคนดีเพื่อตนเองและเพื่อโลก มาร่วมสร้างสันติสุขร่วมกันย่อลงมาคือราชอาณาจักรไทยเขตประเทศไทยคืออย่างน้อย,การกวาดล้างปราบการคตโกงล้างทำความสะอาดเมืองไทยให้น่าอยู่โดยเฉพาะคนข้าราชการไทยเทา นักการเมืองไทยเทา เจ้าของกิจการไทยเทาเจ้าสัวชั่วเลวไทยเทาผูกขาดไร้กระจายความมั่งคั่งทางวัตถุให้สมดุลเจริญต่อจิตใจถือว่าคนเหล่านี้ขัดขวางการยกจิตยกใจทางดีงามคนไทยและคนดีๆที่หมายดีมาร่วมพักพิงมาเยือนอาศัยชั่วคราวในไทยให้จิตใจตกต่ำชั่วเลวไปด้วยถือว่าต้องถูกกวาดล้างและกำจัดทั้งหมด,สมมุติทางโลกเสียสมดุล รวยจนต่างกันมากเกินไปผ่านวิถีกฎหมายการปกครองของคนเทาๆในไทยเราแบบนี้,ค่าจริงจึงไม่สดใส จิตใจที่ดีงามของคนไทยและผู้มาเยือนท่องเที่ยวจะถือทำลายไปด้วย,วัตถุธาตุเจริญทางทรัพย์สินเงินทองต้องร่วมหล่อเลี้ยงจิตใจให้ดีงามไปด้วย อาหารทางวัตถุหล่อเลี้ยงอาหารทางจิตใจจิตวิญญาณคนไทยและคนมาเยือนเยี่ยมย่อมสมดุลควบคู่กันไปด้วย,เสมือนคนมีหนี้สินล้นเต็มตัว ย่อมฝันไปเลยจะมีจิตใจความคิดอ่านที่เป็นปกติได้ ทุกข์ทั้งทางวัตถุและจิตใจจึงตกต่ำก็อันเดียวกัน,การกวาดล้างทำลายจึงต้องจัดการคนเหล่านี้จริงจังภายในประเทศไทยเรานี้ล่ะ,กองทัพไทย ทหารไทยคือทางเดียวด้วยกฎอัยการศึกพิเศษแบบนี้เท่านั้นจริงเมื่อดูรูปกาลเวลาทั้งหมดภาพรวมมันเน่าเละหมดโดยอำนาจทางการเมืองของนักการเมืองในปัจจุบัน มันส่อไปทางชั่วเลวให้ชาติบ้านเมืองพินาศพิบัติพังพินาศสิ้นชาติชัดเจนแบบสืบทอดต่อยอดรับงานกันเป็นทอดๆมิให้ใครจับได้ด้วย ทำชั่วให้แบบแนบเนียนนั้นเอง,เดอะแก๊งทำลายชาติไทยชัดเจนนั้นเอง ทหารไทยทหารประชาชนทหารพระราชาจึงต้องเด็ดขาดจัดการมันเสีย. ............................. 📣สงครามไฮบริด💥 คือ อะไร ⁉️ ทำไม คนไทย ต้องรู้จัก🔥💣 💣สงครามที่เรา รู้จักกัน ไม่ว่า จะเป็นสงครามในอดีต หรือในปัจจุบัน ล้วนเกี่ยวข้องกับการ แย่งชิง หรือ ยึดครอง ทรัพยากร ของคู่ต่อสู้ ตัวอย่างชัดๆ คือ วิกฤต รศ.112 ที่ฝรั่งเศสเอาเรือปืน เอากองทัพมา “ปล้น” แผ่นดินสยาม แถมเรียกค่าปฏิกรณ์สงครามเป็น “ เงินถุงแดง” 🔺 🔥ในปัจจุบันก็ไม่ต่างกัน ตัวอย่างชัดๆ คือ สงครามในอิสราเอล ที่แย่งชิงพื้นที่ทำกิน พื้นที่อาศัย ระหว่าง เจ้าของพื้นที่ ชาวปาเลสไตน์ กับ ชาวคาซาร์เรียน ยิว (Khazarian ) ที่ อ้างว่าเป็นชาวอิสราเอล ที่เอากองทัพมาเข่นฆ่า เด็ก สตรี และคนชรา ทำแม้แต่ทิ้งระเบิดถล่ม โรงพยาบาล เพื่อขับไล่คนปาเลสไตน์ออกจากพื้นที่ ที่ต้องการยึดครอง 💥แต่นอกจากสงคราม “ในรูปแบบ ” ตามที่ยกตัวอย่างแล้ว ยังมี สงคราม “นอกรูปแบบ” ที่ใช้กลยุทธ์ ผสมผสาน (hybrid) ที่มีวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ “ยึดครองทรัพยากร” เทียบให้เห็นภาพชัดๆ คือ สมัยก่อน โจรจะปล้น ก็เอาปืนจี้ แต่ปัจจุบันนี้ ใช้วิธี ฉ้อโกง หลอกลวง คอลเซนเตอร์ ไซเบอร์แอทแทก ฯลฯ เพื่อปล้นทรัพย์ ในระดับ ประเทศก็ไม่ต่างกัน สงครามดังกล่าวมีตั้งแต่ 1.สงครามการเงิน ตัวอย่างเช่น วิกฤติต้มยำกุ้ง 💵 2. สงครามข้อมูลข่าวสาร ให้ข้อมูลที่บิดเบือน หรือ ดึงความสนใจให้ไปสนใจเรื่องอื่นที่ไม่สำคัญ เพื่อทำเรื่องที่ต้องการ 📰 3. สงครามไซเบอร์ ตย เช่น กรณีระบบ คอมพิวเตอร์ที่พึ่งล่ม ทำคนติดค้างในสนามบิน🖥 แต่สงครามที่พึ่ง สร้างความเสียหายให้กับหลายประเทศทั่วโลก เร็วๆ นี้ คือ “สงครามชีวภาพ” สงครามที่ใช้ “เชื้อโรค” ใช้ “ยา” เป็นอาวุธ 💉😷 สงครามที่เรารู้จัก กันว่า “การระบาดของโควิด”🦠 ซึ่ง มีข้อมูลชัดเจนว่า กระทรวงกลาโหม สหรัฐ เป็นผู้ให้ทุนวิจัย และ บริษัทยายักษ์ใหญ่ เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ บริษัทที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็น กลุ่มเดียวกันกับ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ อุตสากรรมอาวุธ ของอเมริกา อาจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ ได้นำหลักฐานที่ยืนยันว่า การระบาดครั้งนี้มีการเตรียม การล่วงหน้า มีการให้ทุนสนับสนุน มีการ ถอนทุนคืน มาตีแผ่ เป็นบทความสาม ตอน ที่ คนไทยทุกคน และฝ่ายความมั่นคงควร “ต้องอ่าน” ✍️ ลับ ลวง พราง ชั่วร้าย ยาและวัคซีน โดย หมอดื้อ (ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ) (ตอนที่ 1) https://mgronline.com/daily/detail/9670000053749 (ตอนที่ 2) https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2797034 (ตอนที่ 3) https://mgronline.com/daily/detail/9670000057723
    MGRONLINE.COM
    ลับ ลวง พราง ชั่วร้าย ยาและวัคซีน (ตอนที่ 1)
    ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาอดีตหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นที่รับทราบกันแล้วในปัจจุบัน การกำเนิดของไวรัสโควิดมาจากการสร้างในห้องแล็บ จากความร่วมมือของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และสถาบันว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1067 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Surveillance Secrets” — เปิดโปงอาณาจักรลับของบริษัทติดตามโทรศัพท์ที่แทรกซึมทั่วโลก

    Lighthouse Reports เปิดเผยการสืบสวนครั้งใหญ่เกี่ยวกับบริษัท First Wap ผู้พัฒนาเครื่องมือสอดแนมชื่อ Altamides ที่สามารถติดตามตำแหน่งโทรศัพท์มือถือได้ทั่วโลก โดยการสืบสวนเริ่มต้นจากฐานข้อมูลลับบน deep web ที่มีข้อมูลการติดตามกว่า 1.5 ล้านรายการ ครอบคลุมผู้คนในกว่า 160 ประเทศ

    นักข่าวกว่า 70 คนจาก 14 สื่อร่วมกันตรวจสอบข้อมูลนี้ และพบว่า Altamides ถูกใช้โดยทั้งรัฐบาลเผด็จการและบริษัทเอกชนในการติดตามนักเคลื่อนไหว นักข่าว นักธุรกิจ และบุคคลทั่วไป โดยไม่มีการควบคุมหรือขอบเขตทางกฎหมายที่ชัดเจน

    การสืบสวนยังเผยว่า First Wap ใช้ช่องโหว่ในโปรโตคอล SS7 ของระบบโทรคมนาคมเพื่อดึงข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ และมีความสามารถในการดักฟังข้อความ SMS, โทรศัพท์ และแม้แต่แฮก WhatsApp

    ในปฏิบัติการลับ นักข่าวของ Lighthouse ปลอมตัวเป็นนักธุรกิจจากแอฟริกาใต้และเข้าไปเจรจากับผู้บริหารของ First Wap ที่งาน ISS World ในกรุงปราก ซึ่งผู้บริหารยอมรับว่าสามารถจัดการขายให้ลูกค้าที่ถูกคว่ำบาตรได้ผ่านบริษัทในจาการ์ตา โดยใช้บริษัทเปลือกเพื่อหลบเลี่ยงข้อกฎหมาย

    ข้อมูลในคลังยังเผยชื่อบุคคลสำคัญที่ถูกติดตาม เช่น อดีตนายกรัฐมนตรีกาตาร์, ภรรยาของอดีตผู้นำซีเรีย, ผู้ก่อตั้ง 23andMe, ผู้ผลิต Netflix, นักข่าวอิตาลี, นักการเมืองรวันดา และนักกฎหมายอิสราเอล รวมถึงบุคคลทั่วไปอย่างครู นักบำบัด และศิลปิน

    ข้อมูลในข่าว
    การสืบสวนเริ่มจากฐานข้อมูลลับที่มีข้อมูลการติดตามกว่า 1.5 ล้านรายการ
    บริษัท First Wap พัฒนาเครื่องมือชื่อ Altamides ที่สามารถติดตามตำแหน่งโทรศัพท์ทั่วโลก
    ใช้ช่องโหว่ในโปรโตคอล SS7 เพื่อดึงข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์
    Altamides สามารถดักฟัง SMS, โทรศัพท์ และแฮก WhatsApp ได้
    นักข่าวกว่า 70 คนจาก 14 สื่อร่วมกันตรวจสอบข้อมูล
    พบการใช้งานโดยรัฐบาลเผด็จการและบริษัทเอกชนในการติดตามบุคคล
    มีการขายให้ลูกค้าที่ถูกคว่ำบาตรผ่านบริษัทในจาการ์ตาโดยใช้บริษัทเปลือก
    บุคคลสำคัญที่ถูกติดตามรวมถึงนักการเมือง นักธุรกิจ และนักข่าวจากหลายประเทศ
    พบการติดตามบุคคลทั่วไป เช่น ครู นักบำบัด และศิลปิน โดยไม่มีเหตุผลด้านความมั่นคง
    การสืบสวนได้รับทุนสนับสนุนจาก IJ4EU และเผยแพร่ร่วมกับสื่อระดับโลกหลายแห่ง

    https://www.lighthousereports.com/investigation/surveillance-secrets/
    📡 “Surveillance Secrets” — เปิดโปงอาณาจักรลับของบริษัทติดตามโทรศัพท์ที่แทรกซึมทั่วโลก Lighthouse Reports เปิดเผยการสืบสวนครั้งใหญ่เกี่ยวกับบริษัท First Wap ผู้พัฒนาเครื่องมือสอดแนมชื่อ Altamides ที่สามารถติดตามตำแหน่งโทรศัพท์มือถือได้ทั่วโลก โดยการสืบสวนเริ่มต้นจากฐานข้อมูลลับบน deep web ที่มีข้อมูลการติดตามกว่า 1.5 ล้านรายการ ครอบคลุมผู้คนในกว่า 160 ประเทศ นักข่าวกว่า 70 คนจาก 14 สื่อร่วมกันตรวจสอบข้อมูลนี้ และพบว่า Altamides ถูกใช้โดยทั้งรัฐบาลเผด็จการและบริษัทเอกชนในการติดตามนักเคลื่อนไหว นักข่าว นักธุรกิจ และบุคคลทั่วไป โดยไม่มีการควบคุมหรือขอบเขตทางกฎหมายที่ชัดเจน การสืบสวนยังเผยว่า First Wap ใช้ช่องโหว่ในโปรโตคอล SS7 ของระบบโทรคมนาคมเพื่อดึงข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ และมีความสามารถในการดักฟังข้อความ SMS, โทรศัพท์ และแม้แต่แฮก WhatsApp ในปฏิบัติการลับ นักข่าวของ Lighthouse ปลอมตัวเป็นนักธุรกิจจากแอฟริกาใต้และเข้าไปเจรจากับผู้บริหารของ First Wap ที่งาน ISS World ในกรุงปราก ซึ่งผู้บริหารยอมรับว่าสามารถจัดการขายให้ลูกค้าที่ถูกคว่ำบาตรได้ผ่านบริษัทในจาการ์ตา โดยใช้บริษัทเปลือกเพื่อหลบเลี่ยงข้อกฎหมาย ข้อมูลในคลังยังเผยชื่อบุคคลสำคัญที่ถูกติดตาม เช่น อดีตนายกรัฐมนตรีกาตาร์, ภรรยาของอดีตผู้นำซีเรีย, ผู้ก่อตั้ง 23andMe, ผู้ผลิต Netflix, นักข่าวอิตาลี, นักการเมืองรวันดา และนักกฎหมายอิสราเอล รวมถึงบุคคลทั่วไปอย่างครู นักบำบัด และศิลปิน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ การสืบสวนเริ่มจากฐานข้อมูลลับที่มีข้อมูลการติดตามกว่า 1.5 ล้านรายการ ➡️ บริษัท First Wap พัฒนาเครื่องมือชื่อ Altamides ที่สามารถติดตามตำแหน่งโทรศัพท์ทั่วโลก ➡️ ใช้ช่องโหว่ในโปรโตคอล SS7 เพื่อดึงข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ ➡️ Altamides สามารถดักฟัง SMS, โทรศัพท์ และแฮก WhatsApp ได้ ➡️ นักข่าวกว่า 70 คนจาก 14 สื่อร่วมกันตรวจสอบข้อมูล ➡️ พบการใช้งานโดยรัฐบาลเผด็จการและบริษัทเอกชนในการติดตามบุคคล ➡️ มีการขายให้ลูกค้าที่ถูกคว่ำบาตรผ่านบริษัทในจาการ์ตาโดยใช้บริษัทเปลือก ➡️ บุคคลสำคัญที่ถูกติดตามรวมถึงนักการเมือง นักธุรกิจ และนักข่าวจากหลายประเทศ ➡️ พบการติดตามบุคคลทั่วไป เช่น ครู นักบำบัด และศิลปิน โดยไม่มีเหตุผลด้านความมั่นคง ➡️ การสืบสวนได้รับทุนสนับสนุนจาก IJ4EU และเผยแพร่ร่วมกับสื่อระดับโลกหลายแห่ง https://www.lighthousereports.com/investigation/surveillance-secrets/
    WWW.LIGHTHOUSEREPORTS.COM
    Surveillance Secrets
    Trove of surveillance data challenges what we thought we knew about location tracking tools, who they target and how far they have spread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 479 มุมมอง 0 รีวิว
  • รมว.ยุติธรรม ลุยตั้งกก.สอบข้อกม. "ทักษิณ" ยื่นซ้ำ ขออภัยโทษรอบ 2 คาดทราบผลพิจารณาข้อกฎหมายภายใน 3 วัน
    https://www.thai-tai.tv/news/21722/
    .
    #ทักษิณชินวัตร #ขอพระราชทานอภัยโทษ #กระทรวงยุติธรรม #รุทธพลเนาวรัตน์ #การเมือง #ข้อกฎหมาย #ไทยไท
    รมว.ยุติธรรม ลุยตั้งกก.สอบข้อกม. "ทักษิณ" ยื่นซ้ำ ขออภัยโทษรอบ 2 คาดทราบผลพิจารณาข้อกฎหมายภายใน 3 วัน https://www.thai-tai.tv/news/21722/ . #ทักษิณชินวัตร #ขอพระราชทานอภัยโทษ #กระทรวงยุติธรรม #รุทธพลเนาวรัตน์ #การเมือง #ข้อกฎหมาย #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 381 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.2
    เรื่อง ทางสาธารณะ

    ทางสาธารณะคืออะไรหลายคนอาจจะยังสับสน เพราะคิดว่าทางสาธารณะเป็นได้แค่ถนน แต่แท้จริงแล้วคำนี้มีความหมายกว้างกว่าที่คิดมาก ตามประมวลกฎหมายอาญา ทางสาธารณะไม่ใช่แค่ถนนหรือซอยเท่านั้น แต่ยังหมายถึงทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นทางเดิน ทางรถไฟ สะพาน หรือแม้แต่แม่น้ำลำคลอง สวนสาธารณะ หรือแม้กระทั่งทางเดินเท้าหน้าบ้านเรา ถ้ามันเปิดให้คนทั่วไปเดินผ่านไปมาได้ตามปกติ โดยไม่มีการกั้นหรือหวงห้าม ก็ถือว่าเป็นทางสาธารณะด้วยเช่นกัน การเข้าใจนิยามที่แท้จริงของคำนี้จึงสำคัญ เพราะเป็นรากฐานของการตีความข้อกฎหมายหลายมาตรา

    การกระทำบางอย่างที่เกิดขึ้นบนทางสาธารณะจึงมีบทลงโทษทางกฎหมายที่ชัดเจน เช่น การกีดขวางทางสาธารณะจนทำให้ผู้อื่นไม่สามารถสัญจรไปมาได้ตามปกติ หรือการกระทำการใดๆ ที่เป็นอันตรายต่อการจราจร เช่น วางสิ่งของเกะกะ ขับรถประมาทหวาดเสียว หรือการแสดงความรุนแรงต่างๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญา เพื่อคุ้มครองสิทธิและความปลอดภัยของประชาชนทุกคนที่ใช้พื้นที่ร่วมกัน การละเลยหรือกระทำความผิดในพื้นที่เหล่านี้จึงมีบทลงโทษที่แตกต่างกันไปตามความรุนแรงของแต่ละกรณี

    ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้พื้นที่ส่วนตัวหรือพื้นที่ส่วนรวม การเคารพกฎหมายและคำนึงถึงสิทธิของผู้อื่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ การกระทำทุกอย่างที่เราทำบนทางสาธารณะล้วนส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม การรู้เท่าทันและเข้าใจกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่เหล่านี้จะช่วยให้เราใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างปลอดภัยและสงบสุขมากขึ้น หากเกิดปัญหาขึ้นบนทางสาธารณะ การใช้ความเข้าใจและกฎหมายที่ถูกต้องคือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนในสังคม
    บทความกฎหมาย EP.2 เรื่อง ทางสาธารณะ ทางสาธารณะคืออะไรหลายคนอาจจะยังสับสน เพราะคิดว่าทางสาธารณะเป็นได้แค่ถนน แต่แท้จริงแล้วคำนี้มีความหมายกว้างกว่าที่คิดมาก ตามประมวลกฎหมายอาญา ทางสาธารณะไม่ใช่แค่ถนนหรือซอยเท่านั้น แต่ยังหมายถึงทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นทางเดิน ทางรถไฟ สะพาน หรือแม้แต่แม่น้ำลำคลอง สวนสาธารณะ หรือแม้กระทั่งทางเดินเท้าหน้าบ้านเรา ถ้ามันเปิดให้คนทั่วไปเดินผ่านไปมาได้ตามปกติ โดยไม่มีการกั้นหรือหวงห้าม ก็ถือว่าเป็นทางสาธารณะด้วยเช่นกัน การเข้าใจนิยามที่แท้จริงของคำนี้จึงสำคัญ เพราะเป็นรากฐานของการตีความข้อกฎหมายหลายมาตรา การกระทำบางอย่างที่เกิดขึ้นบนทางสาธารณะจึงมีบทลงโทษทางกฎหมายที่ชัดเจน เช่น การกีดขวางทางสาธารณะจนทำให้ผู้อื่นไม่สามารถสัญจรไปมาได้ตามปกติ หรือการกระทำการใดๆ ที่เป็นอันตรายต่อการจราจร เช่น วางสิ่งของเกะกะ ขับรถประมาทหวาดเสียว หรือการแสดงความรุนแรงต่างๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญา เพื่อคุ้มครองสิทธิและความปลอดภัยของประชาชนทุกคนที่ใช้พื้นที่ร่วมกัน การละเลยหรือกระทำความผิดในพื้นที่เหล่านี้จึงมีบทลงโทษที่แตกต่างกันไปตามความรุนแรงของแต่ละกรณี ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้พื้นที่ส่วนตัวหรือพื้นที่ส่วนรวม การเคารพกฎหมายและคำนึงถึงสิทธิของผู้อื่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ การกระทำทุกอย่างที่เราทำบนทางสาธารณะล้วนส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม การรู้เท่าทันและเข้าใจกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่เหล่านี้จะช่วยให้เราใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างปลอดภัยและสงบสุขมากขึ้น หากเกิดปัญหาขึ้นบนทางสาธารณะ การใช้ความเข้าใจและกฎหมายที่ถูกต้องคือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนในสังคม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 518 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังการปิดข่าว: เมื่อการไม่เปิดเผยเหตุการณ์ไซเบอร์กลายเป็นกลยุทธ์องค์กร

    จากรายงานล่าสุดของ Bitdefender และการสัมภาษณ์โดย CSO Online พบว่า 69% ของ CISO ถูกขอให้ปิดข่าวการถูกโจมตีทางไซเบอร์โดยผู้บริหารขององค์กร ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 42% เมื่อสองปีก่อน สาเหตุหลักคือความกลัวผลกระทบต่อชื่อเสียงและราคาหุ้น มากกว่าการปฏิบัติตามกฎหมายหรือมาตรฐานความปลอดภัย

    รูปแบบการโจมตีที่เปลี่ยนไปก็มีส่วน—จาก ransomware ที่เคยบังคับให้เปิดเผยข้อมูล สู่การขโมยข้อมูลแบบเงียบ ๆ โดยไม่กระทบผู้ใช้ปลายทาง เช่น กลุ่ม RedCurl ที่เจาะ hypervisor โดยไม่แตะระบบที่ผู้ใช้เห็น ทำให้การเจรจาเป็นไปแบบลับ ๆ และลดแรงกดดันในการเปิดเผย

    CISO หลายคนเล่าว่าถูกกดดันให้ “ไม่แจ้งคณะกรรมการตรวจสอบ” หรือ “แต่งเรื่องให้ดูดีในเอกสาร SEC” แม้จะมีเหตุการณ์อย่างการขโมยข้อมูล 500GB, การใช้สิทธิ์ผู้ดูแลระบบในทางที่ผิด, หรือการโอนเงินผิดกว่า €50 ล้านผ่านช่องโหว่ใน SAP

    แม้จะมีข้อบังคับจาก GDPR, DORA, NIS2 และกฎหมายตลาดทุนที่กำหนดให้ต้องเปิดเผยเหตุการณ์ไซเบอร์อย่างทันท่วงที แต่ CISO กลับถูกบีบให้หลีกเลี่ยงการรายงาน—ทั้งจากแรงกดดันภายในและความกลัวผลกระทบต่ออาชีพของตนเอง

    Caroline Morgan จาก CM Law เตือนว่า “การปิดข่าวไม่ใช่การหลีกเลี่ยงปัญหา แต่เป็นการเพิ่มความเสียหาย” เพราะหากถูกตรวจพบ องค์กรอาจถูกปรับหนัก เสียความเชื่อมั่น และผู้บริหารอาจถูกฟ้องหรือดำเนินคดีได้

    สถิติและแนวโน้มการปิดข่าวไซเบอร์
    69% ของ CISO ถูกขอให้ปิดข่าวการโจมตี เพิ่มจาก 42% ในสองปี
    การโจมตีแบบขโมยข้อมูลเงียบ ๆ ทำให้เหตุการณ์ดูไม่รุนแรง
    การเจรจาแบบลับ ๆ ลดแรงกดดันในการเปิดเผย

    ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ถูกปิดข่าว
    ขโมยข้อมูลวิศวกรรม 500GB โดย insider ขายบน dark web
    ผู้ดูแลระบบใช้สิทธิ์ข่มขู่และเข้าถึงบัญชีผู้บริหาร
    โอนเงินผิดกว่า €50 ล้าน ผ่านช่องโหว่ใน SAP
    บัญชี super admin ถูก CrowdStrike แจ้งเตือน แต่ไม่มีการแก้ไข
    CISO ถูกติดสินบนด้วยทริปหรูเพื่อแลกกับสัญญา

    แรงกดดันจากผู้บริหารและโครงสร้างองค์กร
    CIO และ CFO เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเปิดเผยหรือไม่ โดยไม่ปรึกษา CISO
    เหตุการณ์มักถูกเลื่อนการแจ้งก่อนประชุมผู้ถือหุ้นหรือรายงานผลประกอบการ
    CISO ที่ไม่ยอมปิดข่าวมักถูกลดบทบาทหรือให้ออกจากงาน

    ข้อกฎหมายและคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ
    GDPR, DORA, NIS2 และกฎหมายตลาดทุนกำหนดให้ต้องเปิดเผยทันที
    การปิดข่าวอาจนำไปสู่การปรับ, สูญเสียความเชื่อมั่น, และฟ้องร้อง
    อดีต CISO ของ Uber ถูกตัดสินว่ามีความผิดจากการปิดข่าวการโจมตีในปี 2016

    https://www.csoonline.com/article/4050232/pressure-on-cisos-to-stay-silent-about-security-incidents-growing.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบื้องหลังการปิดข่าว: เมื่อการไม่เปิดเผยเหตุการณ์ไซเบอร์กลายเป็นกลยุทธ์องค์กร จากรายงานล่าสุดของ Bitdefender และการสัมภาษณ์โดย CSO Online พบว่า 69% ของ CISO ถูกขอให้ปิดข่าวการถูกโจมตีทางไซเบอร์โดยผู้บริหารขององค์กร ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 42% เมื่อสองปีก่อน สาเหตุหลักคือความกลัวผลกระทบต่อชื่อเสียงและราคาหุ้น มากกว่าการปฏิบัติตามกฎหมายหรือมาตรฐานความปลอดภัย รูปแบบการโจมตีที่เปลี่ยนไปก็มีส่วน—จาก ransomware ที่เคยบังคับให้เปิดเผยข้อมูล สู่การขโมยข้อมูลแบบเงียบ ๆ โดยไม่กระทบผู้ใช้ปลายทาง เช่น กลุ่ม RedCurl ที่เจาะ hypervisor โดยไม่แตะระบบที่ผู้ใช้เห็น ทำให้การเจรจาเป็นไปแบบลับ ๆ และลดแรงกดดันในการเปิดเผย CISO หลายคนเล่าว่าถูกกดดันให้ “ไม่แจ้งคณะกรรมการตรวจสอบ” หรือ “แต่งเรื่องให้ดูดีในเอกสาร SEC” แม้จะมีเหตุการณ์อย่างการขโมยข้อมูล 500GB, การใช้สิทธิ์ผู้ดูแลระบบในทางที่ผิด, หรือการโอนเงินผิดกว่า €50 ล้านผ่านช่องโหว่ใน SAP แม้จะมีข้อบังคับจาก GDPR, DORA, NIS2 และกฎหมายตลาดทุนที่กำหนดให้ต้องเปิดเผยเหตุการณ์ไซเบอร์อย่างทันท่วงที แต่ CISO กลับถูกบีบให้หลีกเลี่ยงการรายงาน—ทั้งจากแรงกดดันภายในและความกลัวผลกระทบต่ออาชีพของตนเอง Caroline Morgan จาก CM Law เตือนว่า “การปิดข่าวไม่ใช่การหลีกเลี่ยงปัญหา แต่เป็นการเพิ่มความเสียหาย” เพราะหากถูกตรวจพบ องค์กรอาจถูกปรับหนัก เสียความเชื่อมั่น และผู้บริหารอาจถูกฟ้องหรือดำเนินคดีได้ ✅ สถิติและแนวโน้มการปิดข่าวไซเบอร์ ➡️ 69% ของ CISO ถูกขอให้ปิดข่าวการโจมตี เพิ่มจาก 42% ในสองปี ➡️ การโจมตีแบบขโมยข้อมูลเงียบ ๆ ทำให้เหตุการณ์ดูไม่รุนแรง ➡️ การเจรจาแบบลับ ๆ ลดแรงกดดันในการเปิดเผย ✅ ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ถูกปิดข่าว ➡️ ขโมยข้อมูลวิศวกรรม 500GB โดย insider ขายบน dark web ➡️ ผู้ดูแลระบบใช้สิทธิ์ข่มขู่และเข้าถึงบัญชีผู้บริหาร ➡️ โอนเงินผิดกว่า €50 ล้าน ผ่านช่องโหว่ใน SAP ➡️ บัญชี super admin ถูก CrowdStrike แจ้งเตือน แต่ไม่มีการแก้ไข ➡️ CISO ถูกติดสินบนด้วยทริปหรูเพื่อแลกกับสัญญา ✅ แรงกดดันจากผู้บริหารและโครงสร้างองค์กร ➡️ CIO และ CFO เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเปิดเผยหรือไม่ โดยไม่ปรึกษา CISO ➡️ เหตุการณ์มักถูกเลื่อนการแจ้งก่อนประชุมผู้ถือหุ้นหรือรายงานผลประกอบการ ➡️ CISO ที่ไม่ยอมปิดข่าวมักถูกลดบทบาทหรือให้ออกจากงาน ✅ ข้อกฎหมายและคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ GDPR, DORA, NIS2 และกฎหมายตลาดทุนกำหนดให้ต้องเปิดเผยทันที ➡️ การปิดข่าวอาจนำไปสู่การปรับ, สูญเสียความเชื่อมั่น, และฟ้องร้อง ➡️ อดีต CISO ของ Uber ถูกตัดสินว่ามีความผิดจากการปิดข่าวการโจมตีในปี 2016 https://www.csoonline.com/article/4050232/pressure-on-cisos-to-stay-silent-about-security-incidents-growing.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Pressure on CISOs to stay silent about security incidents growing
    A recent survey found that 69% of CISOs have been told to keep quiet about breaches by their employers, up from 42% just two years ago.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 451 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภูมิธรรม เวชยชัย ยอมรับยื่นร่าง พ.ร.ฎ.ยุบสภาฯ ถึงสำนักงานองคมนตรี ตั้งแต่เย็นวันที่ 2 ก.ย. แต่ถูกตีกลับเพราะติดขัดข้อกฎหมาย โดยเฉพาะอำนาจรองนายกรัฐมนตรี อีกฉบับพร้อมเสนอชื่อชัยเกษม ถ้าโหวตเลือกนายกฯ ชนะ ประกาศยุบสภาทันทีไม่รอ 4 เดือน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000084655

    #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ภูมิธรรม เวชยชัย ยอมรับยื่นร่าง พ.ร.ฎ.ยุบสภาฯ ถึงสำนักงานองคมนตรี ตั้งแต่เย็นวันที่ 2 ก.ย. แต่ถูกตีกลับเพราะติดขัดข้อกฎหมาย โดยเฉพาะอำนาจรองนายกรัฐมนตรี อีกฉบับพร้อมเสนอชื่อชัยเกษม ถ้าโหวตเลือกนายกฯ ชนะ ประกาศยุบสภาทันทีไม่รอ 4 เดือน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000084655 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 877 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร มีหนังสือด่วนที่สุดถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แจ้งเรื่องระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มเติม โดยบรรจุเรื่องด่วนที่ 8 พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพิ่มเติมในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 ปีที่ 3 ครั้งที่ 20 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 เป็นพิเศษ ในวันศุกร์ที่ 5 กันยายน 2568 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ที่ประชุมวิป 2 ฝ่าย ไม่สามารถตกลงกันได้

    -ไร้ปัญหาข้อกฎหมาย
    -ไม่มีคำตอบจาก"ภูมิธรรม"
    -ภาค 1 ซีลชายแดน 16 กม.
    -การเมืองเซกระทบเบิกงบ
    นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร มีหนังสือด่วนที่สุดถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แจ้งเรื่องระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มเติม โดยบรรจุเรื่องด่วนที่ 8 พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพิ่มเติมในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 ปีที่ 3 ครั้งที่ 20 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 เป็นพิเศษ ในวันศุกร์ที่ 5 กันยายน 2568 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ที่ประชุมวิป 2 ฝ่าย ไม่สามารถตกลงกันได้ -ไร้ปัญหาข้อกฎหมาย -ไม่มีคำตอบจาก"ภูมิธรรม" -ภาค 1 ซีลชายแดน 16 กม. -การเมืองเซกระทบเบิกงบ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 606 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก USDT: เมื่อเงินเดือนไม่ต้องผ่านธนาคาร และไม่ต้องกลัวค่าเงินตก

    ในหลายประเทศที่เงินเฟ้อพุ่งสูง ธนาคารล่าช้า หรือระบบการโอนเงินข้ามประเทศเต็มไปด้วยค่าธรรมเนียม—คนทำงานเริ่มหันมาใช้ USDT (Tether) ซึ่งเป็น stablecoin ที่ผูกกับมูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1 เพื่อรับเงินเดือนโดยตรงผ่าน blockchain

    USDT ไม่ใช่เหรียญเก็งกำไรแบบ Bitcoin แต่เป็น “เงินดิจิทัลที่นิ่ง” ซึ่งช่วยให้ผู้รับเงินไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเงินท้องถิ่นที่อ่อนตัว หรือการรอเงินโอนข้ามประเทศหลายวัน โดยเฉพาะในประเทศอย่างอาร์เจนตินา ตุรกี และไนจีเรีย ที่ผู้คนยอมจ่ายพรีเมียม 20–30% เพื่อถือ stablecoin แทนเงินสด

    สำหรับบริษัทที่มีทีมงานกระจายทั่วโลก USDT ช่วยลดภาระด้าน conversion, ค่าธรรมเนียม, และเวลาการโอนเงิน โดยสามารถส่งเงินผ่านเครือข่าย TRC-20 (Tron) ได้ในไม่กี่วินาที ด้วยค่าธรรมเนียมเพียงไม่กี่เซ็นต์

    แต่การใช้ USDT ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป—ต้องมี wallet ที่ปลอดภัย, เข้าใจภาษีในแต่ละประเทศ, และมีแผนการแปลงกลับเป็นเงินสดเมื่อจำเป็น เพราะในหลายประเทศยังไม่มีข้อกฎหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจ่ายเงินเดือนด้วย stablecoin

    ข้อดีของการรับเงินเดือนเป็น USDT
    มูลค่าเสถียร ผูกกับดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1
    โอนเงินข้ามประเทศได้เร็วและถูกกว่าธนาคาร
    ไม่ต้องพึ่งระบบธนาคารในประเทศที่ล่าช้า หรือมีข้อจำกัด

    การใช้งานจริงในประเทศที่มีปัญหาเศรษฐกิจ
    อาร์เจนตินาและตุรกีใช้ USDT เพื่อหลีกเลี่ยงเงินเฟ้อ
    ไนจีเรียใช้ stablecoin สำหรับการโอนเงินและจ่ายเงินเดือน
    ผู้ใช้ยอมจ่ายพรีเมียมเพื่อถือ “ดอลลาร์ดิจิทัล” แทนเงินสด

    เครือข่ายที่นิยมใช้สำหรับการโอน USDT
    TRC-20 (Tron): เร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ
    ERC-20 (Ethereum): ปลอดภัยแต่ค่าธรรมเนียมสูง
    BEP-20 (BNB), Solana, Polygon: ทางเลือกที่สมดุลระหว่างความเร็วและต้นทุน

    การใช้งานในฝั่งบริษัท
    ลดต้นทุนการโอนเงินข้ามประเทศ
    จ่ายเงินให้ทีมงานระยะไกลได้ง่ายขึ้น
    ใช้ USDT เป็นโบนัสหรือส่วนเสริมจากเงินเดือนหลักเพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย

    https://hackread.com/why-users-businesses-choosing-usdt-local-currency/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก USDT: เมื่อเงินเดือนไม่ต้องผ่านธนาคาร และไม่ต้องกลัวค่าเงินตก ในหลายประเทศที่เงินเฟ้อพุ่งสูง ธนาคารล่าช้า หรือระบบการโอนเงินข้ามประเทศเต็มไปด้วยค่าธรรมเนียม—คนทำงานเริ่มหันมาใช้ USDT (Tether) ซึ่งเป็น stablecoin ที่ผูกกับมูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1 เพื่อรับเงินเดือนโดยตรงผ่าน blockchain USDT ไม่ใช่เหรียญเก็งกำไรแบบ Bitcoin แต่เป็น “เงินดิจิทัลที่นิ่ง” ซึ่งช่วยให้ผู้รับเงินไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเงินท้องถิ่นที่อ่อนตัว หรือการรอเงินโอนข้ามประเทศหลายวัน โดยเฉพาะในประเทศอย่างอาร์เจนตินา ตุรกี และไนจีเรีย ที่ผู้คนยอมจ่ายพรีเมียม 20–30% เพื่อถือ stablecoin แทนเงินสด สำหรับบริษัทที่มีทีมงานกระจายทั่วโลก USDT ช่วยลดภาระด้าน conversion, ค่าธรรมเนียม, และเวลาการโอนเงิน โดยสามารถส่งเงินผ่านเครือข่าย TRC-20 (Tron) ได้ในไม่กี่วินาที ด้วยค่าธรรมเนียมเพียงไม่กี่เซ็นต์ แต่การใช้ USDT ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป—ต้องมี wallet ที่ปลอดภัย, เข้าใจภาษีในแต่ละประเทศ, และมีแผนการแปลงกลับเป็นเงินสดเมื่อจำเป็น เพราะในหลายประเทศยังไม่มีข้อกฎหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจ่ายเงินเดือนด้วย stablecoin ✅ ข้อดีของการรับเงินเดือนเป็น USDT ➡️ มูลค่าเสถียร ผูกกับดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1 ➡️ โอนเงินข้ามประเทศได้เร็วและถูกกว่าธนาคาร ➡️ ไม่ต้องพึ่งระบบธนาคารในประเทศที่ล่าช้า หรือมีข้อจำกัด ✅ การใช้งานจริงในประเทศที่มีปัญหาเศรษฐกิจ ➡️ อาร์เจนตินาและตุรกีใช้ USDT เพื่อหลีกเลี่ยงเงินเฟ้อ ➡️ ไนจีเรียใช้ stablecoin สำหรับการโอนเงินและจ่ายเงินเดือน ➡️ ผู้ใช้ยอมจ่ายพรีเมียมเพื่อถือ “ดอลลาร์ดิจิทัล” แทนเงินสด ✅ เครือข่ายที่นิยมใช้สำหรับการโอน USDT ➡️ TRC-20 (Tron): เร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ ➡️ ERC-20 (Ethereum): ปลอดภัยแต่ค่าธรรมเนียมสูง ➡️ BEP-20 (BNB), Solana, Polygon: ทางเลือกที่สมดุลระหว่างความเร็วและต้นทุน ✅ การใช้งานในฝั่งบริษัท ➡️ ลดต้นทุนการโอนเงินข้ามประเทศ ➡️ จ่ายเงินให้ทีมงานระยะไกลได้ง่ายขึ้น ➡️ ใช้ USDT เป็นโบนัสหรือส่วนเสริมจากเงินเดือนหลักเพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย https://hackread.com/why-users-businesses-choosing-usdt-local-currency/
    HACKREAD.COM
    Why Users and Businesses Are Choosing to Get Paid in USDT Instead of Local Currency
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 450 มุมมอง 0 รีวิว
  • นี้คือกฎหมายหนึ่งที่สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนจริง,ประชาชนไม่สามารถใช้ระบบประชาธิปไตยร่วมลงมติเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ใดๆได้เลย บังคับใช้เองตามอำเภอใจ สภาพความเป็นจริงก็ประชาชนไม่สามารถจ่ายได้อีก,ตลอดระยะเวลาที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรจริง ถอยหลังไปสัก40-50ปี หรือ30-40ปี,ประชาชนยังใช้ชีวิตปกติสุขธรรมดา,ปัจจุบันหนักข้อมากขึ้น ประชาชนคือเหยื่อและแหล่งรายได้ทางข้อกฎหมายเสียแล้ว,เสมือนกฎหมายในปัจจุบันที่อ้างประชาชนบังหน้า ล่วงมุ่งแสวงหารายได้จากประชาชนผ่านกฎหมายข้อบังคับค่าปรับค่าธรรมเนียมสาระพัดนั้นเอง,จริงๆตำรวจจราจรมีหน้าที่สกัดจับโจรผู้ร้ายที่ปล้นจี้ชิงทรัพย์ก่ออาชญากรรมด้านร่างกายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่ใช้ถนนเป็นที่หลบหนีจากการไล่ล่าทุกๆกรณี,ส่วนกฎหมายจราจรมากมายที่ออกมา,ไร้สาระทั้งสิ้นจากกรมขนส่งเอง,เพื่อให้การใช้ถนนในจราจรเป็นไปด้วยความเรียบร้อย,ขนส่งควบคุมตั้งแต่ต้นทางได้คือบุคคลจะซื้อรถยนต์รถมอไซค์ได้ต้องอายุเท่านี้เท่านั้น มีใบขับขี่ที่เพียงสแกนเลขบัตรก็รับรู้สถานะได้ ไม่จำเป็นต้องพกบัตรอะไรก็ได้ ส่วนสวมหมวกกันน็อคคือสิทธิอธิปไตยส่วนบุคคลใครจะใส่ไม่ใส่ก็ได้บังคับไม่ได้ รับความเสี่ยงภัยเอง.ใส่ก็ดีแก่ตัวเอง,รถไม่ได้มาตราฐานห้ามซื้อขาย,คือจบทั้งหมดที่ต้นทางหมด,แต่ปัจจุบันต้องยอมรับว่ามีเป้ามียอดจริง,
    ..การจะกำจัดตังทุจริตสิ้นซากได้คือระบบ และกำจัดคนจริงด้วย,ที่สร้างความเดือดร้อนรังแกประชาชนผ่านกฎหมาย, จริงๆต้องแจ้งล่วงหน้าแก่ประชาชนในการตั้งจุดตรวจ เพื่ออะไรด้วย,สกัดจับโจรก็ลงแพลตฟอร์มพื้นที่ตนชัดเจน ประชาชนก็ร่วมมือสังเกตุคนร้ายได้ด้วย ระบุชื่อรูปลักษณ์คดี รายละเอียดไป ปกปิดทำซากอะไร รัศมีตาประชาชนสามารถร่วมจับได้อีก.

    ..รัฐล้มเหลวจึงเขียนกฎหมายรังแกบีบบังคับประชาชนได้หรือรัฐเผด็จการภายในระบบประชาธิปไตยที่ฝ่ายคนข้าราชการรัฐเขียนตีตรากันเอง ออกมาบังคับใช้ จริงๆประชาชนสามารถลงมติร่วมกันผ่านแพลตฟอร์มสาธารณะยกเลิกกฎหมายเช่นค่าปรับ2,000นี้ได้ เช่นมีแพลตฟอร์มออนไลน์เชื่อมระบบรัฐจริง พอประชาชนลงมติคัดค้านกฎหมายนี้ร่วมกันถึง10ล้านคนออนไลน์สะสม,ภายใน1ปีหรือภายใน1ปีจริงแต่ประชาชนเรียกร้องยกเลิกทันทีโดยลงชื่อกดปุ่มจนครบคนที่10ล้านคน รุ่งขึ้นกฎหมายค่าปรับนี้สามารถยกเลิกได้ทันทีแม้ฝ่ายรัฐจะตีตรามาบังคับใช้แล้วจริงทั้งฉบับต้องเป็นตกไป,หรือประชาชนต้องการให้ข้าราชการเลวชั่วนี้พ้นอำนาจไป ร่วมกันลงชื่อครบ20ล้านคน ข้าราชการปลัดหรืออธิบดีนั้นหรือรัฐมนตรีนั้นๆต้องพ้นอำนาจพ้นตำแหน่งทันที,คือพลังมวลชนต้องสามารถแสดงพลังได้จริงในทางที่ถูกทางด้วย,ผู้ว่าในจังหวัดนั้นเลวชั่ว ประชาชนในจังหวัดนั้นๆสามารถลงมติร่วมลงชื่อเรียลไทม์ในแพลตฟอร์มแห่งชาตินั้น ครบ300,000คน ครบ5แสนคนเพราะจังหวัดนั้นๆมีประชากรแค่700,000คนหรือ1,500,000คนเอง,นายอำเภอก็ด้วยครบ2-3หมื่นคน จาก100,000กว่าคนเป็นต้นสามารถถีบผู้ว่าถีบนายอำเภอพ้นตำแหน่งข้าราชการได้เป็นต้น,แต่กฎหมายมากมายเก่ายุค รังแกกดขี่ประชาชนก็มาก ประชาชนไม่สามารถแสดงพลังตนในการจัดการปัญหาพื้นที่ตนที่กฎหมายผีบ้าใครเขียนบ้านั้นไมาสามารถฉีกทิ้งได้เลย,และกฎค่าปรับ2,000บาทนี้ก็ผีบ้าด้วย นี้คือการปล้นทรีพย์สินเงินทองจากกระเป๋าประชาชนคนไทยชัดเจนในค่าแรงแค่300-400บาทขั้นต่ำเอง.,กฎหมายนี้คือกฎหมายเผด็จการรังแกประชาชนชัดเจน ไม่ต่างจากmou43,44ที่เขียนออกมารอวันขายดินแดนและเจตนาทำให้สูญเสียดินแดนอธิปไตยชาติไทยเรา.

    ..รัฐล้มเหลว
    ..วิถีปกครองล้มเหลว

    https://youtube.com/shorts/u6yWW47NGt4?si=qsQ8EWmgYHR1e2NX
    นี้คือกฎหมายหนึ่งที่สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนจริง,ประชาชนไม่สามารถใช้ระบบประชาธิปไตยร่วมลงมติเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ใดๆได้เลย บังคับใช้เองตามอำเภอใจ สภาพความเป็นจริงก็ประชาชนไม่สามารถจ่ายได้อีก,ตลอดระยะเวลาที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรจริง ถอยหลังไปสัก40-50ปี หรือ30-40ปี,ประชาชนยังใช้ชีวิตปกติสุขธรรมดา,ปัจจุบันหนักข้อมากขึ้น ประชาชนคือเหยื่อและแหล่งรายได้ทางข้อกฎหมายเสียแล้ว,เสมือนกฎหมายในปัจจุบันที่อ้างประชาชนบังหน้า ล่วงมุ่งแสวงหารายได้จากประชาชนผ่านกฎหมายข้อบังคับค่าปรับค่าธรรมเนียมสาระพัดนั้นเอง,จริงๆตำรวจจราจรมีหน้าที่สกัดจับโจรผู้ร้ายที่ปล้นจี้ชิงทรัพย์ก่ออาชญากรรมด้านร่างกายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่ใช้ถนนเป็นที่หลบหนีจากการไล่ล่าทุกๆกรณี,ส่วนกฎหมายจราจรมากมายที่ออกมา,ไร้สาระทั้งสิ้นจากกรมขนส่งเอง,เพื่อให้การใช้ถนนในจราจรเป็นไปด้วยความเรียบร้อย,ขนส่งควบคุมตั้งแต่ต้นทางได้คือบุคคลจะซื้อรถยนต์รถมอไซค์ได้ต้องอายุเท่านี้เท่านั้น มีใบขับขี่ที่เพียงสแกนเลขบัตรก็รับรู้สถานะได้ ไม่จำเป็นต้องพกบัตรอะไรก็ได้ ส่วนสวมหมวกกันน็อคคือสิทธิอธิปไตยส่วนบุคคลใครจะใส่ไม่ใส่ก็ได้บังคับไม่ได้ รับความเสี่ยงภัยเอง.ใส่ก็ดีแก่ตัวเอง,รถไม่ได้มาตราฐานห้ามซื้อขาย,คือจบทั้งหมดที่ต้นทางหมด,แต่ปัจจุบันต้องยอมรับว่ามีเป้ามียอดจริง, ..การจะกำจัดตังทุจริตสิ้นซากได้คือระบบ และกำจัดคนจริงด้วย,ที่สร้างความเดือดร้อนรังแกประชาชนผ่านกฎหมาย, จริงๆต้องแจ้งล่วงหน้าแก่ประชาชนในการตั้งจุดตรวจ เพื่ออะไรด้วย,สกัดจับโจรก็ลงแพลตฟอร์มพื้นที่ตนชัดเจน ประชาชนก็ร่วมมือสังเกตุคนร้ายได้ด้วย ระบุชื่อรูปลักษณ์คดี รายละเอียดไป ปกปิดทำซากอะไร รัศมีตาประชาชนสามารถร่วมจับได้อีก. ..รัฐล้มเหลวจึงเขียนกฎหมายรังแกบีบบังคับประชาชนได้หรือรัฐเผด็จการภายในระบบประชาธิปไตยที่ฝ่ายคนข้าราชการรัฐเขียนตีตรากันเอง ออกมาบังคับใช้ จริงๆประชาชนสามารถลงมติร่วมกันผ่านแพลตฟอร์มสาธารณะยกเลิกกฎหมายเช่นค่าปรับ2,000นี้ได้ เช่นมีแพลตฟอร์มออนไลน์เชื่อมระบบรัฐจริง พอประชาชนลงมติคัดค้านกฎหมายนี้ร่วมกันถึง10ล้านคนออนไลน์สะสม,ภายใน1ปีหรือภายใน1ปีจริงแต่ประชาชนเรียกร้องยกเลิกทันทีโดยลงชื่อกดปุ่มจนครบคนที่10ล้านคน รุ่งขึ้นกฎหมายค่าปรับนี้สามารถยกเลิกได้ทันทีแม้ฝ่ายรัฐจะตีตรามาบังคับใช้แล้วจริงทั้งฉบับต้องเป็นตกไป,หรือประชาชนต้องการให้ข้าราชการเลวชั่วนี้พ้นอำนาจไป ร่วมกันลงชื่อครบ20ล้านคน ข้าราชการปลัดหรืออธิบดีนั้นหรือรัฐมนตรีนั้นๆต้องพ้นอำนาจพ้นตำแหน่งทันที,คือพลังมวลชนต้องสามารถแสดงพลังได้จริงในทางที่ถูกทางด้วย,ผู้ว่าในจังหวัดนั้นเลวชั่ว ประชาชนในจังหวัดนั้นๆสามารถลงมติร่วมลงชื่อเรียลไทม์ในแพลตฟอร์มแห่งชาตินั้น ครบ300,000คน ครบ5แสนคนเพราะจังหวัดนั้นๆมีประชากรแค่700,000คนหรือ1,500,000คนเอง,นายอำเภอก็ด้วยครบ2-3หมื่นคน จาก100,000กว่าคนเป็นต้นสามารถถีบผู้ว่าถีบนายอำเภอพ้นตำแหน่งข้าราชการได้เป็นต้น,แต่กฎหมายมากมายเก่ายุค รังแกกดขี่ประชาชนก็มาก ประชาชนไม่สามารถแสดงพลังตนในการจัดการปัญหาพื้นที่ตนที่กฎหมายผีบ้าใครเขียนบ้านั้นไมาสามารถฉีกทิ้งได้เลย,และกฎค่าปรับ2,000บาทนี้ก็ผีบ้าด้วย นี้คือการปล้นทรีพย์สินเงินทองจากกระเป๋าประชาชนคนไทยชัดเจนในค่าแรงแค่300-400บาทขั้นต่ำเอง.,กฎหมายนี้คือกฎหมายเผด็จการรังแกประชาชนชัดเจน ไม่ต่างจากmou43,44ที่เขียนออกมารอวันขายดินแดนและเจตนาทำให้สูญเสียดินแดนอธิปไตยชาติไทยเรา. ..รัฐล้มเหลว ..วิถีปกครองล้มเหลว https://youtube.com/shorts/u6yWW47NGt4?si=qsQ8EWmgYHR1e2NX
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 575 มุมมอง 0 รีวิว
  • มันคงรักของมันมาก.,แบบไม่ลืมหูลืมตาลืมปาก.
    คนลักษณะอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงอย่างมาก แบบเขมรนั้นล่ะ ,กล้าหาญออกคลิปบอกทหารไทยตายเป็นพัน รีบมาเก็บศพทหารไทยที่ฝั่งเขมรสะมันว่า,ไม่กล้าเข้ามาคงกลัวทหารเขมรยิงล่ะสิ โน้นล่ะมันว่า,คือปิดหูปิดตาความจริงโคตรๆ ไม่พยายามสืบหาความจริงอะไรเลย.พวกแบบนี้รกโลก รกประเทศไทยด้วย สามารถสร้างความแตกแยกโกลาหลและก่ออาชญากรรมได้ง่ายเพราะบ้าคลั่งในสิ่งนั้น ใครไม่ชอบไม่รักว่ากล่าวให้ มันอาจทำร้ายก่อเหตุฆาตกรรมอีกคนได้หรือสาระพัดสร้างเหตุสร้างผลให้บ้านเมืองวุ่นวายในบทบาทหน้าที่มันอีก มีมุกสาระพัดก็ว่า แบบนักวิชาการ ถ้าชอบมากก็เชียร์แก้ต่างทางวิชาการให้ ถ้าเป็นทนายชอบคือชอบคลั่งทั้งตัวทั้งได้ตังด้วย ก็มีวาทะทางวลีบาลีคำอวยทางข้อกฎหมายได้อีก.,คนพวกนี้จึงอันตรายและเป็นภัยได้.




    https://youtube.com/shorts/PZ5uwL2Jc60?si=2gOvl5O9WRYRDPXP
    มันคงรักของมันมาก.,แบบไม่ลืมหูลืมตาลืมปาก. คนลักษณะอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงอย่างมาก แบบเขมรนั้นล่ะ ,กล้าหาญออกคลิปบอกทหารไทยตายเป็นพัน รีบมาเก็บศพทหารไทยที่ฝั่งเขมรสะมันว่า,ไม่กล้าเข้ามาคงกลัวทหารเขมรยิงล่ะสิ โน้นล่ะมันว่า,คือปิดหูปิดตาความจริงโคตรๆ ไม่พยายามสืบหาความจริงอะไรเลย.พวกแบบนี้รกโลก รกประเทศไทยด้วย สามารถสร้างความแตกแยกโกลาหลและก่ออาชญากรรมได้ง่ายเพราะบ้าคลั่งในสิ่งนั้น ใครไม่ชอบไม่รักว่ากล่าวให้ มันอาจทำร้ายก่อเหตุฆาตกรรมอีกคนได้หรือสาระพัดสร้างเหตุสร้างผลให้บ้านเมืองวุ่นวายในบทบาทหน้าที่มันอีก มีมุกสาระพัดก็ว่า แบบนักวิชาการ ถ้าชอบมากก็เชียร์แก้ต่างทางวิชาการให้ ถ้าเป็นทนายชอบคือชอบคลั่งทั้งตัวทั้งได้ตังด้วย ก็มีวาทะทางวลีบาลีคำอวยทางข้อกฎหมายได้อีก.,คนพวกนี้จึงอันตรายและเป็นภัยได้. https://youtube.com/shorts/PZ5uwL2Jc60?si=2gOvl5O9WRYRDPXP
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 293 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts