• เส้นทางใหม่ในโลกการทำงานยุค AI : คู่มือเชิงกลยุทธ์สำหรับคนไทยวัย 45 ปี

    ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานอย่างรวดเร็ว การถูกให้ออกจากงานหรือถูกบังคับเกษียณก่อนกำหนดในวัย 45 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนยังต้องแบกรับภาระครอบครัวและความรับผิดชอบสูงสุดในชีวิต กลายเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและสร้างความช็อกให้กับคนทำงานจำนวนมาก ความรู้สึกสิ้นหวัง การตั้งคำถามกับคุณค่าในตัวเอง และความรู้สึกด้อยค่าที่ว่า "ทำมา 10 ปีแต่ไม่รอด" ล้วนเป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เข้าใจได้และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ไม่ใช่ความล้มเหลวส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานระดับโลก รายงานนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นมากกว่าแค่ข้อมูล แต่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะช่วยให้ผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤตนี้สามารถตั้งหลักและก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยเปลี่ยนมุมมองจากจุดจบไปสู่จุดเปลี่ยนที่เต็มเปี่ยมด้วยโอกาส

    เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้ คำถามที่ว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน" มักผุดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อ AI กลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดเกมในตลาดแรงงานไทย ซึ่งกำลังเผชิญกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจาก AI เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ เช่น สังคมสูงวัย ในประเทศรายได้สูงและการเพิ่มขึ้นของแรงงานในประเทศรายได้ต่ำ ตลอดจนความผันผวนทางเศรษฐกิจ ตามรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ ILO คาดการณ์ว่าในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ตำแหน่งงานในไทยมากกว่า 44% หรือราว 17 ล้านตำแหน่ง มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นพลังที่กำลังปรับโครงสร้างการจ้างงานอย่างถอนรากถอนโคน โดยเฉพาะงานที่ต้องทำซ้ำๆ และงานประจำ ซึ่งแรงงานวัยกลางคนจำนวนมากรับผิดชอบอยู่ ส่งผลให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลของทักษะในตลาดแรงงาน แม้จะมีคนว่างงานมาก แต่พวกเขาก็ขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับงานใหม่ที่เทคโนโลยีสร้างขึ้น การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้คนทำงานมองเห็นปัญหาในมุมกว้างและวางแผนพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในอนาคต

    เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น การจำแนกอาชีพตามระดับความเสี่ยงจาก AI ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงมักเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมประจำหรือการจัดการข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งสามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ง่าย เช่น พนักงานแคชเชียร์หรือพนักงานขายหน้าร้านที่ถูกแทนที่ด้วยระบบ self-checkout และการซื้อขายออนไลน์ เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าหรือพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ chatbot และระบบตอบรับอัตโนมัติสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง พนักงานป้อนและประมวลผลข้อมูลที่ระบบ OCR และ AI สามารถจัดการข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พนักงานขนส่งและโลจิสติกส์รวมถึงคนขับรถที่รถยนต์ไร้คนขับ และโดรนส่งของกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และพนักงานบัญชีที่โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปและ AI สามารถบันทึกและประมวลผลข้อมูลทางการเงินได้อย่างแม่นยำ ในทางตรงกันข้าม อาชีพที่ทนทานต่อ AI และกำลังเติบโตมักต้องใช้ทักษะเชิงมนุษย์ชั้นสูงที่ซับซ้อนและเลียนแบบได้ยาก เช่น แพทย์ นักจิตวิทยา และพยาบาลที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง ประสบการณ์ การตัดสินใจที่ซับซ้อน และความเข้าใจมนุษย์ ครู-อาจารย์ที่ต้องใช้ทักษะการสอนที่ละเอียดอ่อน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการสร้างแรงบันดาลใจ นักกฎหมายที่ต้องคิดเชิงวิเคราะห์ซับซ้อน 🛜 การสื่อสาร และการตัดสินใจในบริบทละเอียดอ่อน นักพัฒนา AI Data Scientist และ AI Ethicist ที่เป็นผู้สร้างและควบคุมเทคโนโลยีเอง โดยต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะเฉพาะทางระดับสูง และผู้เชี่ยวชาญด้าน soft skills ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสาร ภาวะผู้นำ และการจัดการอารมณ์ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่แค่รายการอาชีพ แต่เป็นแผนที่กลยุทธ์ที่ชี้ทิศทางของตลาดแรงงาน คุณค่าของมนุษย์ในยุค AI อยู่ที่ทักษะที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ซึ่งจะช่วยให้คนทำงานวางแผนอัปสกิลหรือรีสกิลไปสู่อาชีพที่ยั่งยืนกว่า

    เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก การตั้งหลักอย่างมีสติและกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเริ่มจากจัดการคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา การถูกให้ออกจากงานอย่างกะทันหันอาจนำมาซึ่งความสับสน โกรธ สูญเสีย และด้อยค่า ผู้ที่เคยผ่านสถานการณ์นี้แนะนำให้ยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นและให้เวลาตัวเองจัดการ โดยวิธีต่างๆ เช่น พูดคุยกับคนรอบข้างเพื่อรับกำลังใจและมุมมองใหม่ เขียนระบายความรู้สึกเพื่อจัดระเบียบความคิดและลดภาระจิตใจ หรือฝึกสมาธิและโยคะเพื่อทำให้จิตใจสงบ ลดความวิตกกังวล และตัดสินใจได้ดีขึ้น การปล่อยวางความคิดที่ว่าต้องชนะทุกเกมหรือชีวิตต้องเป็นไปตามแผนจะช่วยลดความกดดันและเปิดโอกาสให้คิดหาทางออกใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์ การให้กำลังใจตัวเองและไม่ยอมแพ้จะเป็นพลังที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิม

    ต่อจากนั้นคือการจัดการเรื่องสำคัญเร่งด่วนอย่างสิทธิประโยชน์และแผนการเงิน เพื่อให้มีสภาพคล่องในช่วงเปลี่ยนผ่าน การใช้สิทธิจากกองทุนประกันสังคมเป็นขั้นตอนสำคัญ โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน หากจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายใน 15 เดือนก่อนว่างงาน และต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกจากงาน มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง การขึ้นทะเบียนสามารถทำออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมการจัดหางาน เช่น e-service.doe.go.th หรือ empui.doe.go.th โดยลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่ กรอกข้อมูลส่วนตัว วันที่ออกจากงาน สาเหตุ และยืนยันตัวตนด้วยรหัสหลังบัตรประชาชน จากนั้นเลือกเมนูขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานและกรอกข้อมูลการทำงานล่าสุด หลังจากนั้นยื่นเอกสารที่สำนักงานประกันสังคม เช่น แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนว่างงาน (สปส. 2-01/7) สำเนาบัตรประชาชน หนังสือรับรองการออกจากงาน (ถ้ามี) และสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารที่ร่วมรายการ สุดท้ายต้องรายงานตัวทุกเดือนผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อควรระวังคือผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปีจะไม่ได้รับเงินทดแทนว่างงาน แต่ต้องใช้สิทธิเบี้ยชราภาพแทน

    ถัดมาคือการประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อค้นหาคุณค่าจากประสบการณ์ที่สั่งสม การถูกเลิกจ้างในวัย 45 ปีไม่ได้หมายถึงคุณค่าหมดสิ้น แต่กลับกัน อายุและประสบการณ์คือทุนมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ปัญหาที่แท้จริงคือทัศนคติที่ต้องปรับเปลี่ยน องค์กรยุคใหม่ให้ความสำคัญกับคนที่เปิดใจเรียนรู้และทำงานร่วมกับคนต่างวัย การเปลี่ยนจากการพูดถึงลักษณะงานไปสู่การบอกเล่าความสำเร็จที่จับต้องได้จะสร้างความน่าเชื่อถือ ทักษะที่นำไปปรับใช้ได้หรือ transferable skills คือขุมทรัพย์ของคนวัยนี้ เช่น ทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจากประสบการณ์ยาวนานที่ทำให้มองปัญหาได้อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอด้วยตัวอย่างปัญหาที่เคยแก้ไขพร้อมขั้นตอนวิเคราะห์และผลลัพธ์จริง ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีมจากประสบการณ์นำทีมโครงการใหญ่ โดยระบุรายละเอียดเช่นนำทีม 10 คนลดต้นทุนได้ 15% ทักษะการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์จากการประสานงาน เจรจา และจัดการความขัดแย้ง โดยเล่าเรื่องที่แสดงถึงความเข้าใจผู้อื่น และการสร้างเครือข่ายจากความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม โดยใช้เพื่อขอคำแนะนำหรือหาโอกาสงาน การประยุกต์ทักษะเหล่านี้จะเปลี่ยนจุดอ่อนเรื่องอายุให้เป็นจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร

    ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การยกระดับทักษะเพื่อการแข่งขันในยุคใหม่จึงจำเป็น โดยการเรียนรู้ตลอดชีวิตคือกุญแจสู่ความอยู่รอด มีแหล่งฝึกอบรมมากมายในไทยทั้งภาครัฐและเอกชน เริ่มจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือ DSD ที่ให้บริการฝึกอบรมหลากหลายทั้งหลักสูตรระยะสั้นสำหรับรีสกิลและอัปสกิล เช่น หลักสูตร AI สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คอมพิวเตอร์อย่าง Excel และ Power BI งานช่างอย่างช่างเดินสายไฟฟ้า และอาชีพอิสระอย่างทำอาหารไทย สามารถตรวจสอบและสมัครผ่านเว็บไซต์ dsd.go.th หรือ onlinetraining.dsd.go.th ต่อมาคือศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภายใต้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวที่เปิดหลักสูตรฟรีเช่นการดูแลผู้สูงอายุและเสริมสวย และกรมการจัดหางานที่มีกิจกรรมแนะแนวอาชีพสำหรับผู้ว่างงาน สำหรับสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยหลายแห่งอย่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดหลักสูตรสะสมหน่วยกิตสำหรับรีสกิลและอัปสกิล ส่วนแพลตฟอร์มเอกชนอย่าง FutureSkill และ SkillLane นำเสนอคอร์สทักษะแห่งอนาคตทั้ง hard skills ด้านเทคโนโลยี ข้อมูล ธุรกิจ และ soft skills สำหรับทำงานร่วมกับ AI

    เมื่อพร้อมทั้งอารมณ์และทักษะ การกำหนดแผนปฏิบัติการ 3 เส้นทางสู่ความสำเร็จจะเป็นขั้นตอนต่อไป

    1️⃣ เส้นทางแรกคือการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้ประสบการณ์เป็นแต้มต่อ เทคนิคเขียนเรซูเม่สำหรับวัยเก๋าคือหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ทำให้ถูกเหมารวมอย่างปีจบการศึกษา ใช้คำสร้างความน่าเชื่อถือเช่นมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และเน้นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม การสร้างโปรไฟล์ LinkedIn เพื่อนำเสนอประสบการณ์อย่างมืออาชีพ และใช้เครือข่ายอย่างเพื่อนร่วมงานเก่าหรือ head hunter เพื่อเปิดโอกาสงานที่ไม่ได้ประกาศทั่วไป

    2️⃣ เส้นทางที่สองคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระอย่างฟรีแลนซ์หรือคอนซัลแทนต์ ซึ่งเหมาะกับผู้มีประสบการณ์สูงและต้องการกำหนดเวลาทำงานเอง อาชีพที่น่าสนใจเช่นที่ปรึกษาธุรกิจสำหรับองค์กรขนาดเล็ก นักเขียนหรือนักแปลอิสระที่ยังต้องอาศัยมนุษย์ตรวจสอบเนื้อหาละเอียดอ่อน และนักบัญชีหรือนักการเงินอิสระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การเตรียมพร้อมคือสร้างพอร์ตโฟลิโอที่น่าเชื่อถือเพราะผลงานสำคัญกว่าวุฒิการศึกษา

    3️⃣ เส้นทางที่สามคือการเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวขนาดเล็กจากงานอดิเรก โดยใช้เทคโนโลยีลดต้นทุน เช่นขายของออนไลน์ผ่าน Facebook หรือ LINE เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศ หรือเป็น influencer หรือ YouTuber โดยใช้ประสบการณ์สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า ไอเดียธุรกิจที่ลงทุนน้อยและเหมาะสม เช่นธุรกิจอาหารและบริการอย่างทำอาหารหรือขนมขายจากบ้าน ขายของตลาดนัด หรือบริการดูแลผู้สูงอายุและสัตว์เลี้ยง ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อย่างขายเสื้อผ้าหรือเป็นตัวแทนขายประกัน ธุรกิจที่ปรึกษาหรือฟรีแลนซ์อย่างที่ปรึกษาองค์กร นักเขียนอิสระ หรือที่ปรึกษาการเงิน และธุรกิจสร้างสรรค์อย่างปลูกผักปลอดสารพิษ งานฝีมือศิลปะ หรือเป็น influencer

    เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ การดูเรื่องราวความสำเร็จจากผู้ที่ก้าวข้ามมาแล้วจะช่วยให้เห็นว่าการเริ่มต้นใหม่ในวัย 45 ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เช่น Henry Ford ที่ประสบความสำเร็จกับรถยนต์ Model T ในวัย 45 ปี Colonel Sanders ที่เริ่มแฟรนไชส์ KFC ในวัย 62 ปี หรือในไทยอย่างอดีตผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดที่ถูกเลิกจ้างแต่ผันตัวเป็นผู้ค้าอิสระและประสบความสำเร็จ เรื่องราวเหล่านี้แสดงว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข และความมุ่งมั่นคือกุญแจ

    สุดท้าย การเผชิญกับการถูกบังคับเกษียณในวัย 45 ปีไม่ใช่จุดจบแต่เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่ที่ทรงคุณค่า ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติคือตั้งสติจัดการอารมณ์ ใช้สิทธิประโยชน์ให้เต็มที่ ประเมินคุณค่าจากประสบการณ์ ยกระดับทักษะอย่างต่อเนื่อง และสำรวจทางเลือกใหม่ๆ ท้ายที่สุด วัย 45 ปีคือช่วงเวลาที่ทรงพลังที่สุดในการนำประสบการณ์กว่าสองทศวรรษไปสร้างคุณค่าใหม่ให้ชีวิตและสังคมอย่างยั่งยืน

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    เส้นทางใหม่ในโลกการทำงานยุค AI 🤖: 📚 คู่มือเชิงกลยุทธ์สำหรับคนไทยวัย 45 ปี 🙎‍♂️ ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานอย่างรวดเร็ว การถูกให้ออกจากงานหรือถูกบังคับเกษียณก่อนกำหนดในวัย 45 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนยังต้องแบกรับภาระครอบครัวและความรับผิดชอบสูงสุดในชีวิต กลายเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและสร้างความช็อกให้กับคนทำงานจำนวนมาก ความรู้สึกสิ้นหวัง🤞 การตั้งคำถามกับคุณค่าในตัวเอง และความรู้สึกด้อยค่าที่ว่า "ทำมา 10 ปีแต่ไม่รอด" ล้วนเป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เข้าใจได้และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ไม่ใช่ความล้มเหลวส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานระดับโลก🌏 รายงานนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นมากกว่าแค่ข้อมูล แต่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะช่วยให้ผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤตนี้สามารถตั้งหลักและก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยเปลี่ยนมุมมองจากจุดจบไปสู่จุดเปลี่ยนที่เต็มเปี่ยมด้วยโอกาส 🌞 เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้ คำถามที่ว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน" ⁉️ มักผุดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อ AI กลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดเกมในตลาดแรงงานไทย 🙏 ซึ่งกำลังเผชิญกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจาก AI เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ เช่น สังคมสูงวัย 👴 ในประเทศรายได้สูงและการเพิ่มขึ้นของแรงงานในประเทศรายได้ต่ำ ตลอดจนความผันผวนทางเศรษฐกิจ📉 ตามรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ ILO คาดการณ์ว่าในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ตำแหน่งงานในไทยมากกว่า 44% หรือราว 17 ล้านตำแหน่ง มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นพลังที่กำลังปรับโครงสร้างการจ้างงานอย่างถอนรากถอนโคน โดยเฉพาะงานที่ต้องทำซ้ำๆ และงานประจำ ซึ่งแรงงานวัยกลางคนจำนวนมากรับผิดชอบอยู่ ส่งผลให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลของทักษะในตลาดแรงงาน แม้จะมีคนว่างงานมาก แต่พวกเขาก็ขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับงานใหม่ที่เทคโนโลยีสร้างขึ้น การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้คนทำงานมองเห็นปัญหาในมุมกว้างและวางแผนพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในอนาคต 🔮 เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น การจำแนกอาชีพตามระดับความเสี่ยงจาก AI ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงมักเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมประจำหรือการจัดการข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งสามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ง่าย เช่น พนักงานแคชเชียร์หรือพนักงานขายหน้าร้านที่ถูกแทนที่ด้วยระบบ self-checkout 🏧 และการซื้อขายออนไลน์ 🌐 เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าหรือพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ chatbot 🤖 และระบบตอบรับอัตโนมัติสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง พนักงานป้อนและประมวลผลข้อมูลที่ระบบ OCR และ AI สามารถจัดการข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พนักงานขนส่งและโลจิสติกส์รวมถึงคนขับรถที่รถยนต์ไร้คนขับ 🚗 และโดรนส่งของกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และพนักงานบัญชีที่โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปและ AI สามารถบันทึกและประมวลผลข้อมูลทางการเงินได้อย่างแม่นยำ ในทางตรงกันข้าม อาชีพที่ทนทานต่อ AI และกำลังเติบโตมักต้องใช้ทักษะเชิงมนุษย์ชั้นสูงที่ซับซ้อนและเลียนแบบได้ยาก เช่น 🧑‍⚕️ แพทย์ 👩‍🔬นักจิตวิทยา และพยาบาลที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง ประสบการณ์ การตัดสินใจที่ซับซ้อน และความเข้าใจมนุษย์ 👩‍🏫 ครู-อาจารย์ที่ต้องใช้ทักษะการสอนที่ละเอียดอ่อน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการสร้างแรงบันดาลใจ นักกฎหมายที่ต้องคิดเชิงวิเคราะห์ซับซ้อน 🛜 การสื่อสาร และการตัดสินใจในบริบทละเอียดอ่อน นักพัฒนา AI Data Scientist และ AI Ethicist ที่เป็นผู้สร้างและควบคุมเทคโนโลยีเอง โดยต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะเฉพาะทางระดับสูง และผู้เชี่ยวชาญด้าน soft skills ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสาร ภาวะผู้นำ และการจัดการอารมณ์ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่แค่รายการอาชีพ แต่เป็นแผนที่กลยุทธ์ที่ชี้ทิศทางของตลาดแรงงาน คุณค่าของมนุษย์ในยุค AI อยู่ที่ทักษะที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ซึ่งจะช่วยให้คนทำงานวางแผนอัปสกิลหรือรีสกิลไปสู่อาชีพที่ยั่งยืนกว่า เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก การตั้งหลักอย่างมีสติและกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเริ่มจากจัดการคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา 🧘 การถูกให้ออกจากงานอย่างกะทันหันอาจนำมาซึ่งความสับสน โกรธ สูญเสีย และด้อยค่า ผู้ที่เคยผ่านสถานการณ์นี้แนะนำให้ยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นและให้เวลาตัวเองจัดการ โดยวิธีต่างๆ เช่น พูดคุยกับคนรอบข้างเพื่อรับกำลังใจและมุมมองใหม่ เขียนระบายความรู้สึกเพื่อจัดระเบียบความคิดและลดภาระจิตใจ หรือฝึกสมาธิและโยคะเพื่อทำให้จิตใจสงบ ลดความวิตกกังวล และตัดสินใจได้ดีขึ้น การปล่อยวางความคิดที่ว่าต้องชนะทุกเกมหรือชีวิตต้องเป็นไปตามแผนจะช่วยลดความกดดันและเปิดโอกาสให้คิดหาทางออกใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์ การให้กำลังใจตัวเองและไม่ยอมแพ้จะเป็นพลังที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิม 💪 ต่อจากนั้นคือการจัดการเรื่องสำคัญเร่งด่วนอย่างสิทธิประโยชน์และแผนการเงิน เพื่อให้มีสภาพคล่องในช่วงเปลี่ยนผ่าน การใช้สิทธิจากกองทุนประกันสังคมเป็นขั้นตอนสำคัญ โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน หากจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายใน 15 เดือนก่อนว่างงาน และต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกจากงาน มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง การขึ้นทะเบียนสามารถทำออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมการจัดหางาน เช่น e-service.doe.go.th หรือ empui.doe.go.th โดยลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่ กรอกข้อมูลส่วนตัว วันที่ออกจากงาน สาเหตุ และยืนยันตัวตนด้วยรหัสหลังบัตรประชาชน จากนั้นเลือกเมนูขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานและกรอกข้อมูลการทำงานล่าสุด หลังจากนั้นยื่นเอกสารที่สำนักงานประกันสังคม เช่น แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนว่างงาน (สปส. 2-01/7) สำเนาบัตรประชาชน หนังสือรับรองการออกจากงาน (ถ้ามี) และสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารที่ร่วมรายการ สุดท้ายต้องรายงานตัวทุกเดือนผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อควรระวังคือผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปีจะไม่ได้รับเงินทดแทนว่างงาน แต่ต้องใช้สิทธิเบี้ยชราภาพแทน 💷💶💵 ถัดมาคือการประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อค้นหาคุณค่าจากประสบการณ์ที่สั่งสม การถูกเลิกจ้างในวัย 45 ปีไม่ได้หมายถึงคุณค่าหมดสิ้น แต่กลับกัน อายุและประสบการณ์คือทุนมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ปัญหาที่แท้จริงคือทัศนคติที่ต้องปรับเปลี่ยน องค์กรยุคใหม่ให้ความสำคัญกับคนที่เปิดใจเรียนรู้และทำงานร่วมกับคนต่างวัย การเปลี่ยนจากการพูดถึงลักษณะงานไปสู่การบอกเล่าความสำเร็จที่จับต้องได้จะสร้างความน่าเชื่อถือ ทักษะที่นำไปปรับใช้ได้หรือ transferable skills คือขุมทรัพย์ของคนวัยนี้ เช่น ทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจากประสบการณ์ยาวนานที่ทำให้มองปัญหาได้อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอด้วยตัวอย่างปัญหาที่เคยแก้ไขพร้อมขั้นตอนวิเคราะห์และผลลัพธ์จริง 📊 ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีมจากประสบการณ์นำทีมโครงการใหญ่ โดยระบุรายละเอียดเช่นนำทีม 10 คนลดต้นทุนได้ 15% ทักษะการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์จากการประสานงาน เจรจา และจัดการความขัดแย้ง โดยเล่าเรื่องที่แสดงถึงความเข้าใจผู้อื่น และการสร้างเครือข่ายจากความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม โดยใช้เพื่อขอคำแนะนำหรือหาโอกาสงาน การประยุกต์ทักษะเหล่านี้จะเปลี่ยนจุดอ่อนเรื่องอายุให้เป็นจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร 🧍‍♂️ ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การยกระดับทักษะเพื่อการแข่งขันในยุคใหม่จึงจำเป็น โดยการเรียนรู้ตลอดชีวิตคือกุญแจสู่ความอยู่รอด 🏫 มีแหล่งฝึกอบรมมากมายในไทยทั้งภาครัฐและเอกชน เริ่มจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือ DSD ที่ให้บริการฝึกอบรมหลากหลายทั้งหลักสูตรระยะสั้นสำหรับรีสกิลและอัปสกิล เช่น หลักสูตร AI สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คอมพิวเตอร์อย่าง Excel และ Power BI งานช่างอย่างช่างเดินสายไฟฟ้า และอาชีพอิสระอย่างทำอาหารไทย สามารถตรวจสอบและสมัครผ่านเว็บไซต์ dsd.go.th หรือ onlinetraining.dsd.go.th 🌐 ต่อมาคือศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภายใต้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวที่เปิดหลักสูตรฟรีเช่นการดูแลผู้สูงอายุและเสริมสวย และกรมการจัดหางานที่มีกิจกรรมแนะแนวอาชีพสำหรับผู้ว่างงาน สำหรับสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยหลายแห่งอย่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดหลักสูตรสะสมหน่วยกิตสำหรับรีสกิลและอัปสกิล ส่วนแพลตฟอร์มเอกชนอย่าง FutureSkill และ SkillLane 🕸️ นำเสนอคอร์สทักษะแห่งอนาคตทั้ง hard skills ด้านเทคโนโลยี ข้อมูล ธุรกิจ และ soft skills สำหรับทำงานร่วมกับ AI เมื่อพร้อมทั้งอารมณ์และทักษะ การกำหนดแผนปฏิบัติการ 3 เส้นทางสู่ความสำเร็จจะเป็นขั้นตอนต่อไป 1️⃣ เส้นทางแรกคือการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้ประสบการณ์เป็นแต้มต่อ 👩‍💻 เทคนิคเขียนเรซูเม่สำหรับวัยเก๋าคือหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ทำให้ถูกเหมารวมอย่างปีจบการศึกษา ใช้คำสร้างความน่าเชื่อถือเช่นมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และเน้นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม การสร้างโปรไฟล์ LinkedIn เพื่อนำเสนอประสบการณ์อย่างมืออาชีพ และใช้เครือข่ายอย่างเพื่อนร่วมงานเก่าหรือ head hunter เพื่อเปิดโอกาสงานที่ไม่ได้ประกาศทั่วไป 2️⃣ เส้นทางที่สองคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระอย่างฟรีแลนซ์หรือคอนซัลแทนต์ 👨‍🏭 ซึ่งเหมาะกับผู้มีประสบการณ์สูงและต้องการกำหนดเวลาทำงานเอง อาชีพที่น่าสนใจเช่นที่ปรึกษาธุรกิจสำหรับองค์กรขนาดเล็ก นักเขียนหรือนักแปลอิสระที่ยังต้องอาศัยมนุษย์ตรวจสอบเนื้อหาละเอียดอ่อน และนักบัญชีหรือนักการเงินอิสระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การเตรียมพร้อมคือสร้างพอร์ตโฟลิโอที่น่าเชื่อถือเพราะผลงานสำคัญกว่าวุฒิการศึกษา 3️⃣ เส้นทางที่สามคือการเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวขนาดเล็กจากงานอดิเรก 🏓 โดยใช้เทคโนโลยีลดต้นทุน เช่นขายของออนไลน์ผ่าน Facebook หรือ LINE เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศ หรือเป็น influencer หรือ YouTuber โดยใช้ประสบการณ์สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า ไอเดียธุรกิจที่ลงทุนน้อยและเหมาะสม เช่นธุรกิจอาหารและบริการอย่างทำอาหารหรือขนมขายจากบ้าน ขายของตลาดนัด หรือบริการดูแลผู้สูงอายุและสัตว์เลี้ยง ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อย่างขายเสื้อผ้าหรือเป็นตัวแทนขายประกัน ธุรกิจที่ปรึกษาหรือฟรีแลนซ์อย่างที่ปรึกษาองค์กร นักเขียนอิสระ หรือที่ปรึกษาการเงิน และธุรกิจสร้างสรรค์อย่างปลูกผักปลอดสารพิษ งานฝีมือศิลปะ หรือเป็น influencer เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ การดูเรื่องราวความสำเร็จจากผู้ที่ก้าวข้ามมาแล้วจะช่วยให้เห็นว่าการเริ่มต้นใหม่ในวัย 45 ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เช่น Henry Ford ที่ประสบความสำเร็จกับรถยนต์ Model T ในวัย 45 ปี Colonel Sanders ที่เริ่มแฟรนไชส์ KFC ในวัย 62 ปี หรือในไทยอย่างอดีตผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดที่ถูกเลิกจ้างแต่ผันตัวเป็นผู้ค้าอิสระและประสบความสำเร็จ เรื่องราวเหล่านี้แสดงว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข และความมุ่งมั่นคือกุญแจ 🗝️ สุดท้าย การเผชิญกับการถูกบังคับเกษียณในวัย 45 ปีไม่ใช่จุดจบแต่เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่ที่ทรงคุณค่า ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติคือตั้งสติจัดการอารมณ์ ใช้สิทธิประโยชน์ให้เต็มที่ ประเมินคุณค่าจากประสบการณ์ ยกระดับทักษะอย่างต่อเนื่อง และสำรวจทางเลือกใหม่ๆ ท้ายที่สุด วัย 45 ปีคือช่วงเวลาที่ทรงพลังที่สุดในการนำประสบการณ์กว่าสองทศวรรษไปสร้างคุณค่าใหม่ให้ชีวิตและสังคมอย่างยั่งยืน #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • เมื่อ Tesla ต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอดในตลาดจีน ด้วย AI ที่พูดภาษาท้องถิ่น

    Tesla กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจีน ซึ่งเต็มไปด้วยแบรนด์ท้องถิ่นที่ใส่เทคโนโลยีล้ำหน้าเข้าไปในรถอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ Tesla จึงตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านซอฟต์แวร์ โดยนำโมเดล AI สัญชาติจีนอย่าง DeepSeek และ Doubao มาใช้ในระบบผู้ช่วยเสียงภายในรถยนต์

    Doubao ซึ่งพัฒนาโดย ByteDance จะรับหน้าที่ประมวลผลคำสั่งเสียง เช่น การนำทาง การควบคุมอุณหภูมิ และการเล่นเพลง ส่วน DeepSeek จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสนทนาอัจฉริยะที่สามารถตอบคำถามหลายขั้นตอนและเข้าใจบริบทได้ลึกขึ้น ทั้งสองโมเดลจะทำงานผ่านคลาวด์ของ Volcano Engine ซึ่งเป็นบริการของ ByteDance เช่นกัน

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเพราะข้อจำกัดด้านกฎหมายของจีนที่ไม่อนุญาตให้ส่งข้อมูลผู้ใช้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ ทำให้ Tesla ไม่สามารถใช้ Grok ซึ่งเป็นโมเดลของ xAI ที่ใช้ในสหรัฐฯ ได้

    นอกจากนี้ Tesla ยังเปิดตัว Model Y L รุ่นใหม่แบบ 6 ที่นั่งในจีน ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่รองรับผู้ช่วยเสียงแบบ “Hey, Tesla” โดยไม่ต้องกดปุ่มบนพวงมาลัยเหมือนรุ่นก่อน ๆ

    การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ Tesla ต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมเทคโนโลยีของจีน ซึ่งผู้ใช้คุ้นเคยกับระบบผู้ช่วยเสียงที่ตอบสนองได้รวดเร็วและเชื่อมโยงกับบริการท้องถิ่น เช่น แผนที่จีน แอปส่งอาหาร และระบบชำระเงิน

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Tesla เตรียมใช้ AI สัญชาติจีน DeepSeek และ Doubao ในรถยนต์ที่จำหน่ายในจีน
    Doubao รับหน้าที่ประมวลผลคำสั่งเสียง เช่น นำทาง เพลง อุณหภูมิ
    DeepSeek ทำหน้าที่สนทนาอัจฉริยะ ตอบคำถามหลายขั้นตอน
    ทั้งสองโมเดลทำงานผ่านคลาวด์ Volcano Engine ของ ByteDance
    Tesla ไม่สามารถใช้ Grok ในจีนเพราะข้อจำกัดด้านกฎหมายและการจัดการข้อมูล
    ผู้ใช้สามารถเรียกผู้ช่วยเสียงด้วยคำว่า “Hey, Tesla” หรือกำหนดเองได้
    Tesla เปิดตัว Model Y L รุ่นใหม่แบบ 6 ที่นั่งในจีน รองรับระบบ AI เต็มรูปแบบ
    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการแข่งขันกับแบรนด์จีน เช่น BYD และ Geely
    BMW ก็ใช้โมเดล Qwen จาก Alibaba ในรถรุ่นใหม่ที่จำหน่ายในจีน
    ยังไม่มีการยืนยันว่า AI ทั้งสองถูกติดตั้งในรถทุกคันแล้ว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DeepSeek ได้รับความนิยมในจีนหลังเปิดตัวรุ่น R1 และ V3.1 ที่มีความสามารถด้าน reasoning สูง
    ระบบผู้ช่วยเสียงในรถยนต์จีนสามารถเชื่อมต่อกับบริการท้องถิ่น เช่น Alipay, Meituan, Gaode Maps
    LLMs เช่น ChatGPT, Qwen, และ DeepSeek ถูกนำมาใช้ในรถยนต์มากขึ้นทั่วโลก
    การใช้ AI ในรถยนต์ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกในการขับขี่
    การใช้โมเดลท้องถิ่นช่วยให้ตอบสนองต่อภาษาถิ่นและพฤติกรรมผู้ใช้ได้แม่นยำกว่าโมเดลสากล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/tesla-to-integrate-deepseek-doubao-ai-voice-controls-in-china
    🎙️ เมื่อ Tesla ต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอดในตลาดจีน ด้วย AI ที่พูดภาษาท้องถิ่น Tesla กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจีน ซึ่งเต็มไปด้วยแบรนด์ท้องถิ่นที่ใส่เทคโนโลยีล้ำหน้าเข้าไปในรถอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ Tesla จึงตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านซอฟต์แวร์ โดยนำโมเดล AI สัญชาติจีนอย่าง DeepSeek และ Doubao มาใช้ในระบบผู้ช่วยเสียงภายในรถยนต์ Doubao ซึ่งพัฒนาโดย ByteDance จะรับหน้าที่ประมวลผลคำสั่งเสียง เช่น การนำทาง การควบคุมอุณหภูมิ และการเล่นเพลง ส่วน DeepSeek จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสนทนาอัจฉริยะที่สามารถตอบคำถามหลายขั้นตอนและเข้าใจบริบทได้ลึกขึ้น ทั้งสองโมเดลจะทำงานผ่านคลาวด์ของ Volcano Engine ซึ่งเป็นบริการของ ByteDance เช่นกัน การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเพราะข้อจำกัดด้านกฎหมายของจีนที่ไม่อนุญาตให้ส่งข้อมูลผู้ใช้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ ทำให้ Tesla ไม่สามารถใช้ Grok ซึ่งเป็นโมเดลของ xAI ที่ใช้ในสหรัฐฯ ได้ นอกจากนี้ Tesla ยังเปิดตัว Model Y L รุ่นใหม่แบบ 6 ที่นั่งในจีน ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่รองรับผู้ช่วยเสียงแบบ “Hey, Tesla” โดยไม่ต้องกดปุ่มบนพวงมาลัยเหมือนรุ่นก่อน ๆ การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ Tesla ต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมเทคโนโลยีของจีน ซึ่งผู้ใช้คุ้นเคยกับระบบผู้ช่วยเสียงที่ตอบสนองได้รวดเร็วและเชื่อมโยงกับบริการท้องถิ่น เช่น แผนที่จีน แอปส่งอาหาร และระบบชำระเงิน 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Tesla เตรียมใช้ AI สัญชาติจีน DeepSeek และ Doubao ในรถยนต์ที่จำหน่ายในจีน ➡️ Doubao รับหน้าที่ประมวลผลคำสั่งเสียง เช่น นำทาง เพลง อุณหภูมิ ➡️ DeepSeek ทำหน้าที่สนทนาอัจฉริยะ ตอบคำถามหลายขั้นตอน ➡️ ทั้งสองโมเดลทำงานผ่านคลาวด์ Volcano Engine ของ ByteDance ➡️ Tesla ไม่สามารถใช้ Grok ในจีนเพราะข้อจำกัดด้านกฎหมายและการจัดการข้อมูล ➡️ ผู้ใช้สามารถเรียกผู้ช่วยเสียงด้วยคำว่า “Hey, Tesla” หรือกำหนดเองได้ ➡️ Tesla เปิดตัว Model Y L รุ่นใหม่แบบ 6 ที่นั่งในจีน รองรับระบบ AI เต็มรูปแบบ ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการแข่งขันกับแบรนด์จีน เช่น BYD และ Geely ➡️ BMW ก็ใช้โมเดล Qwen จาก Alibaba ในรถรุ่นใหม่ที่จำหน่ายในจีน ➡️ ยังไม่มีการยืนยันว่า AI ทั้งสองถูกติดตั้งในรถทุกคันแล้ว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DeepSeek ได้รับความนิยมในจีนหลังเปิดตัวรุ่น R1 และ V3.1 ที่มีความสามารถด้าน reasoning สูง ➡️ ระบบผู้ช่วยเสียงในรถยนต์จีนสามารถเชื่อมต่อกับบริการท้องถิ่น เช่น Alipay, Meituan, Gaode Maps ➡️ LLMs เช่น ChatGPT, Qwen, และ DeepSeek ถูกนำมาใช้ในรถยนต์มากขึ้นทั่วโลก ➡️ การใช้ AI ในรถยนต์ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกในการขับขี่ ➡️ การใช้โมเดลท้องถิ่นช่วยให้ตอบสนองต่อภาษาถิ่นและพฤติกรรมผู้ใช้ได้แม่นยำกว่าโมเดลสากล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/tesla-to-integrate-deepseek-doubao-ai-voice-controls-in-china
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Tesla to integrate Deepseek, Doubao AI voice controls in China
    Tesla Inc plans to introduce in-car voice assistant functions powered by Deepseek and Bytedance Ltd's Doubao artificial intelligence as it aims to catch local rivals who offer similar features.
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • เมื่อเงินช่วยเหลือกลายเป็นหุ้น – สหรัฐฯ กับแนวคิดถือหุ้นใน Samsung และ Intel

    ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2025 โลกเทคโนโลยีต้องสะเทือน เมื่อมีข่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเจรจากับ Intel เพื่อแลกเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นหุ้น 10% ในบริษัท ซึ่งถือเป็นแนวทางใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในนโยบายอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ

    ข่าวลือเริ่มลุกลามไปถึง Samsung ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับเงินสนับสนุนกว่า 4.75 พันล้านดอลลาร์จาก CHIPS Act เพื่อสร้างโรงงานในเท็กซัส แม้รัฐบาลเกาหลีใต้จะออกมาปฏิเสธทันทีว่าไม่มีแผนให้สหรัฐฯ เข้าถือหุ้นใน Samsung แต่ความกังวลในแวดวงธุรกิจและการเมืองก็ยังคงอยู่

    แนวคิดนี้มาจากรัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick ซึ่งเสนอว่าหากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้เงินสนับสนุนบริษัทเอกชน ก็ควรได้รับผลตอบแทนในรูปแบบหุ้น โดยไม่จำเป็นต้องมีสิทธิบริหาร แต่สามารถรับเงินปันผลหรือมีสิทธิ์ยับยั้งการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ เช่น การปิดโรงงานหรือการย้ายฐานผลิต

    แม้จะดูเหมือนเป็นการลงทุนเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติ แต่ก็มีคำถามตามมามากมาย เช่น หากรัฐบาลเปลี่ยนชุดบริหาร จะมีผลต่อการถือหุ้นหรือไม่? และจะกระทบต่อความเป็นอิสระของบริษัทหรือเปล่า?

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเจรจากับ Intel เพื่อแลกเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นหุ้น 10%
    Samsung ได้รับเงินสนับสนุนกว่า $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act เพื่อสร้างโรงงานในเท็กซัส
    รัฐบาลเกาหลีใต้ปฏิเสธข่าวลือเรื่องการถือหุ้นของสหรัฐฯ ใน Samsung
    แนวคิดถือหุ้นมาจากรัฐมนตรี Lutnick เพื่อให้เงินสนับสนุนมีผลตอบแทน
    การถือหุ้นอาจไม่มีสิทธิบริหาร แต่สามารถรับเงินปันผลหรือมีสิทธิ์ยับยั้งบางการตัดสินใจ
    CHIPS Act มีงบประมาณรวม $52.7 พันล้านเพื่อสนับสนุนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐฯ
    Intel เป็นผู้รับเงินสนับสนุนรายใหญ่ที่สุด และอาจกลายเป็นบริษัทที่รัฐบาลถือหุ้นมากที่สุด
    การถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีเป็นแนวทางใหม่ของสหรัฐฯ ที่ไม่เคยใช้มาก่อน
    รัฐบาลเคยถือหุ้นในบริษัทช่วงวิกฤตปี 2008 เช่น General Motors เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ
    การถือหุ้นอาจช่วยให้บริษัทเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ได้ง่ายขึ้น และลดภาษีนำเข้า

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SoftBank ลงทุน $2 พันล้านใน Intel โดยไม่ขอสิทธิบริหาร
    รัฐบาลสหรัฐฯ เคยเจรจา “golden share” กับ Nippon Steel เพื่อควบคุมการปิดโรงงาน
    CHIPS Act ถูกผลักดันหลัง COVID-19 และสงครามเทคโนโลยีสหรัฐ–จีน
    Intel ประสบปัญหาการแข่งขันจาก TSMC และ Samsung ในด้านเทคโนโลยี
    การถือหุ้นอาจเป็นกลยุทธ์เพื่อเสริมความมั่นคงด้าน AI และการทหาร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/south-korea-says-there-are-no-plans-for-the-u-s-to-acquire-samsung-shares-denial-comes-amid-talks-about-washington-acquiring-a-10-percent-equity-stake-in-intel-for-chips-act-funds
    🎙️ เมื่อเงินช่วยเหลือกลายเป็นหุ้น – สหรัฐฯ กับแนวคิดถือหุ้นใน Samsung และ Intel ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2025 โลกเทคโนโลยีต้องสะเทือน เมื่อมีข่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเจรจากับ Intel เพื่อแลกเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นหุ้น 10% ในบริษัท ซึ่งถือเป็นแนวทางใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในนโยบายอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ข่าวลือเริ่มลุกลามไปถึง Samsung ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับเงินสนับสนุนกว่า 4.75 พันล้านดอลลาร์จาก CHIPS Act เพื่อสร้างโรงงานในเท็กซัส แม้รัฐบาลเกาหลีใต้จะออกมาปฏิเสธทันทีว่าไม่มีแผนให้สหรัฐฯ เข้าถือหุ้นใน Samsung แต่ความกังวลในแวดวงธุรกิจและการเมืองก็ยังคงอยู่ แนวคิดนี้มาจากรัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick ซึ่งเสนอว่าหากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้เงินสนับสนุนบริษัทเอกชน ก็ควรได้รับผลตอบแทนในรูปแบบหุ้น โดยไม่จำเป็นต้องมีสิทธิบริหาร แต่สามารถรับเงินปันผลหรือมีสิทธิ์ยับยั้งการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ เช่น การปิดโรงงานหรือการย้ายฐานผลิต แม้จะดูเหมือนเป็นการลงทุนเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติ แต่ก็มีคำถามตามมามากมาย เช่น หากรัฐบาลเปลี่ยนชุดบริหาร จะมีผลต่อการถือหุ้นหรือไม่? และจะกระทบต่อความเป็นอิสระของบริษัทหรือเปล่า? 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเจรจากับ Intel เพื่อแลกเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นหุ้น 10% ➡️ Samsung ได้รับเงินสนับสนุนกว่า $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act เพื่อสร้างโรงงานในเท็กซัส ➡️ รัฐบาลเกาหลีใต้ปฏิเสธข่าวลือเรื่องการถือหุ้นของสหรัฐฯ ใน Samsung ➡️ แนวคิดถือหุ้นมาจากรัฐมนตรี Lutnick เพื่อให้เงินสนับสนุนมีผลตอบแทน ➡️ การถือหุ้นอาจไม่มีสิทธิบริหาร แต่สามารถรับเงินปันผลหรือมีสิทธิ์ยับยั้งบางการตัดสินใจ ➡️ CHIPS Act มีงบประมาณรวม $52.7 พันล้านเพื่อสนับสนุนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐฯ ➡️ Intel เป็นผู้รับเงินสนับสนุนรายใหญ่ที่สุด และอาจกลายเป็นบริษัทที่รัฐบาลถือหุ้นมากที่สุด ➡️ การถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีเป็นแนวทางใหม่ของสหรัฐฯ ที่ไม่เคยใช้มาก่อน ➡️ รัฐบาลเคยถือหุ้นในบริษัทช่วงวิกฤตปี 2008 เช่น General Motors เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ➡️ การถือหุ้นอาจช่วยให้บริษัทเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ได้ง่ายขึ้น และลดภาษีนำเข้า ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SoftBank ลงทุน $2 พันล้านใน Intel โดยไม่ขอสิทธิบริหาร ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เคยเจรจา “golden share” กับ Nippon Steel เพื่อควบคุมการปิดโรงงาน ➡️ CHIPS Act ถูกผลักดันหลัง COVID-19 และสงครามเทคโนโลยีสหรัฐ–จีน ➡️ Intel ประสบปัญหาการแข่งขันจาก TSMC และ Samsung ในด้านเทคโนโลยี ➡️ การถือหุ้นอาจเป็นกลยุทธ์เพื่อเสริมความมั่นคงด้าน AI และการทหาร https://www.tomshardware.com/tech-industry/south-korea-says-there-are-no-plans-for-the-u-s-to-acquire-samsung-shares-denial-comes-amid-talks-about-washington-acquiring-a-10-percent-equity-stake-in-intel-for-chips-act-funds
    0 Comments 0 Shares 142 Views 0 Reviews
  • Kirin 9020 – ชิปที่ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่คือสัญลักษณ์ของการยืนหยัด

    Huawei กลับมาอย่างสง่างามในเวทีสมาร์ตโฟนระดับไฮเอนด์ ด้วยการเปิดตัว Kirin 9020 ซึ่งเป็นชิป SoC ที่รวมโมเด็ม 5G และโมดูล RF front-end ที่ผลิตในประเทศจีนทั้งหมด ถือเป็นครั้งแรกที่ Huawei สามารถรวมเทคโนโลยี 5G แบบครบวงจรไว้ในชิปเดียวได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก

    Kirin 9020 ถูกใช้ในสมาร์ตโฟนรุ่น Mate 70 และ Pura 80 โดยมีการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Huawei หลังจากเก็บงำข้อมูลชิปมานานกว่า 5 ปี การเปิดเผยครั้งนี้ไม่ใช่แค่การโชว์เทคโนโลยี แต่เป็นการประกาศความมั่นใจในความสามารถด้านการออกแบบและผลิตชิปของจีน

    ชิปนี้ผลิตโดย SMIC ด้วยเทคโนโลยีระดับ 7 นาโนเมตร แม้จะไม่มีเครื่องมือลิทโธกราฟีขั้นสูงจากตะวันตก แต่ก็สามารถผลิตชิปที่มีความซับซ้อนสูงได้สำเร็จ โดยเฉพาะการรวมโมเด็ม 5G ซึ่งต้องรองรับคลื่นความถี่หลากหลาย, การจัดการสัญญาณแบบ beamforming และการเข้ารหัสขั้นสูง

    นอกจากโมเด็มแล้ว Huawei ยังสามารถผลิต RF front-end module ได้เอง ซึ่งรวมถึง power amplifier, low-noise amplifier, antenna switch และ filter ที่เคยถูกครอบครองโดยบริษัทอเมริกันอย่าง Broadcom และ Qorvo

    ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความพยายามของจีนในการสร้างระบบนิเวศเซมิคอนดักเตอร์ที่พึ่งพาตนเอง และ Kirin 9020 ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของการยืนหยัดท่ามกลางการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Huawei เปิดตัว Kirin 9020 ซึ่งรวมโมเด็ม 5G และ RF front-end module ที่ผลิตในจีน
    ใช้ในสมาร์ตโฟน Mate 70 และ Pura 80 พร้อมการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Huawei
    ผลิตโดย SMIC ด้วยเทคโนโลยี 7nm-class แม้ไม่มีเครื่องมือลิทโธกราฟีขั้นสูง
    โมเด็ม 5G รองรับคลื่น sub-6 GHz และ mmWave พร้อมเทคนิค OFDM, MU-MIMO, beamforming
    RF front-end module รวม power amplifier, low-noise amplifier, antenna switch และ filter
    Huawei เคยปิดบังข้อมูลชิปมานานกว่า 5 ปี ก่อนจะเปิดเผยอย่างมั่นใจในปี 2025
    Kirin 9020 เป็นการพัฒนาแบบ incremental จาก Kirin 9010 ไม่ใช่การออกแบบใหม่ทั้งหมด
    การรวมโมเด็ม 5G เข้ากับ SoC เป็นสิ่งที่แม้แต่ Apple ยังไม่สามารถทำได้
    ชิปนี้แสดงถึงความสามารถของจีนในการผลิตชิป RF-intensive โดยไม่พึ่งพาตะวันตก
    Kirin 9020 กลายเป็นสัญลักษณ์ของการยืนหยัดต่อการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Huawei ยืนยันชื่อชิปผ่านภาพหน้าจอหลังอัปเดตระบบของผู้ใช้ Pura 80
    SMIC เคยผลิตชิป 7nm ให้ Huawei ตั้งแต่ Kirin 980 โดยใช้เทคโนโลยีของ TSMC
    การเปิดเผยข้อมูลชิปครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนกลยุทธ์จาก “ความลับ” สู่ “ความมั่นใจ”
    จีนมีแผนสร้างระบบนิเวศเซมิคอนดักเตอร์ที่พึ่งพาตนเองเต็มรูปแบบ
    การผลิต RF front-end module เป็นสิ่งที่ยากที่สุดในอุปกรณ์ 5G เพราะต้องใช้วัสดุเฉพาะและเทคนิคขั้นสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/huaweis-kirin-9020-integrates-5g-modem-china-made-5g-fem-chip-symbolizes-resilience-to-u-s-sanctions
    🎙️ Kirin 9020 – ชิปที่ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่คือสัญลักษณ์ของการยืนหยัด Huawei กลับมาอย่างสง่างามในเวทีสมาร์ตโฟนระดับไฮเอนด์ ด้วยการเปิดตัว Kirin 9020 ซึ่งเป็นชิป SoC ที่รวมโมเด็ม 5G และโมดูล RF front-end ที่ผลิตในประเทศจีนทั้งหมด ถือเป็นครั้งแรกที่ Huawei สามารถรวมเทคโนโลยี 5G แบบครบวงจรไว้ในชิปเดียวได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก Kirin 9020 ถูกใช้ในสมาร์ตโฟนรุ่น Mate 70 และ Pura 80 โดยมีการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Huawei หลังจากเก็บงำข้อมูลชิปมานานกว่า 5 ปี การเปิดเผยครั้งนี้ไม่ใช่แค่การโชว์เทคโนโลยี แต่เป็นการประกาศความมั่นใจในความสามารถด้านการออกแบบและผลิตชิปของจีน ชิปนี้ผลิตโดย SMIC ด้วยเทคโนโลยีระดับ 7 นาโนเมตร แม้จะไม่มีเครื่องมือลิทโธกราฟีขั้นสูงจากตะวันตก แต่ก็สามารถผลิตชิปที่มีความซับซ้อนสูงได้สำเร็จ โดยเฉพาะการรวมโมเด็ม 5G ซึ่งต้องรองรับคลื่นความถี่หลากหลาย, การจัดการสัญญาณแบบ beamforming และการเข้ารหัสขั้นสูง นอกจากโมเด็มแล้ว Huawei ยังสามารถผลิต RF front-end module ได้เอง ซึ่งรวมถึง power amplifier, low-noise amplifier, antenna switch และ filter ที่เคยถูกครอบครองโดยบริษัทอเมริกันอย่าง Broadcom และ Qorvo ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความพยายามของจีนในการสร้างระบบนิเวศเซมิคอนดักเตอร์ที่พึ่งพาตนเอง และ Kirin 9020 ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของการยืนหยัดท่ามกลางการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Huawei เปิดตัว Kirin 9020 ซึ่งรวมโมเด็ม 5G และ RF front-end module ที่ผลิตในจีน ➡️ ใช้ในสมาร์ตโฟน Mate 70 และ Pura 80 พร้อมการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Huawei ➡️ ผลิตโดย SMIC ด้วยเทคโนโลยี 7nm-class แม้ไม่มีเครื่องมือลิทโธกราฟีขั้นสูง ➡️ โมเด็ม 5G รองรับคลื่น sub-6 GHz และ mmWave พร้อมเทคนิค OFDM, MU-MIMO, beamforming ➡️ RF front-end module รวม power amplifier, low-noise amplifier, antenna switch และ filter ➡️ Huawei เคยปิดบังข้อมูลชิปมานานกว่า 5 ปี ก่อนจะเปิดเผยอย่างมั่นใจในปี 2025 ➡️ Kirin 9020 เป็นการพัฒนาแบบ incremental จาก Kirin 9010 ไม่ใช่การออกแบบใหม่ทั้งหมด ➡️ การรวมโมเด็ม 5G เข้ากับ SoC เป็นสิ่งที่แม้แต่ Apple ยังไม่สามารถทำได้ ➡️ ชิปนี้แสดงถึงความสามารถของจีนในการผลิตชิป RF-intensive โดยไม่พึ่งพาตะวันตก ➡️ Kirin 9020 กลายเป็นสัญลักษณ์ของการยืนหยัดต่อการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Huawei ยืนยันชื่อชิปผ่านภาพหน้าจอหลังอัปเดตระบบของผู้ใช้ Pura 80 ➡️ SMIC เคยผลิตชิป 7nm ให้ Huawei ตั้งแต่ Kirin 980 โดยใช้เทคโนโลยีของ TSMC ➡️ การเปิดเผยข้อมูลชิปครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนกลยุทธ์จาก “ความลับ” สู่ “ความมั่นใจ” ➡️ จีนมีแผนสร้างระบบนิเวศเซมิคอนดักเตอร์ที่พึ่งพาตนเองเต็มรูปแบบ ➡️ การผลิต RF front-end module เป็นสิ่งที่ยากที่สุดในอุปกรณ์ 5G เพราะต้องใช้วัสดุเฉพาะและเทคนิคขั้นสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/huaweis-kirin-9020-integrates-5g-modem-china-made-5g-fem-chip-symbolizes-resilience-to-u-s-sanctions
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • Nvidia B30A – ชิป AI สำหรับจีนที่แรงกว่าเดิม แต่ยังอยู่ในกรอบควบคุมของสหรัฐฯ

    ในโลกที่เทคโนโลยี AI กลายเป็นสนามแข่งขันระดับโลก Nvidia กำลังเดินเกมใหม่เพื่อรักษาตลาดจีน ซึ่งคิดเป็น 13% ของรายได้บริษัท ด้วยการพัฒนาชิป AI รุ่นใหม่ชื่อว่า “B30A” ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน โดยยังคงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกของรัฐบาลสหรัฐฯ

    B30A ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell รุ่นล่าสุด และเป็นชิปแบบ “single-die” ซึ่งมีประสิทธิภาพประมาณครึ่งหนึ่งของรุ่นเรือธง B300 ที่ใช้แบบ “dual-die” แต่ยังแรงกว่า H20 ซึ่งเป็นรุ่นที่ Nvidia ได้รับอนุญาตให้ขายในจีนก่อนหน้านี้

    ชิป B30A มาพร้อมหน่วยความจำ HBM3E ขนาด 144GB และแบนด์วิดท์สูงถึง 4TB/s พร้อมเทคโนโลยี NVLink สำหรับเชื่อมต่อระหว่างโปรเซสเซอร์ ซึ่งช่วยให้สามารถสร้างระบบ AI ขนาดใหญ่ได้ แม้จะมีข้อจำกัดบางอย่างในจำนวน NVLink ที่อนุญาต

    นอกจากนี้ Nvidia ยังเตรียมเปิดตัว RTX 6000D สำหรับงาน inference ซึ่งเป็นรุ่นลดสเปกจาก RTX 6000 เพื่อให้ผ่านเกณฑ์ควบคุมการส่งออก โดยทั้งสองรุ่นคาดว่าจะเริ่มส่งมอบตัวอย่างให้ลูกค้าในจีนได้ภายในเดือนกันยายน 2025 หากได้รับอนุมัติจากรัฐบาลสหรัฐฯ

    แนวทางนี้เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เสนอให้ Nvidia และ AMD จ่าย 15% ของรายได้จากการขายชิปในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการอนุญาตให้ขายชิปรุ่นใหม่ที่ “ลดประสิทธิภาพลง” ประมาณ 30–50%

    ข้อมูลในข่าว
    Nvidia พัฒนา B30A ชิป AI สำหรับตลาดจีน โดยใช้สถาปัตยกรรม Blackwell
    B30A เป็นชิปแบบ single-die ที่มีประสิทธิภาพประมาณครึ่งหนึ่งของ B300
    ประสิทธิภาพของ B30A สูงกว่า H20 และใกล้เคียงกับ H100
    มาพร้อมหน่วยความจำ HBM3E ขนาด 144GB และแบนด์วิดท์ 4TB/s
    ใช้เทคโนโลยี NVLink สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างโปรเซสเซอร์
    ออกแบบให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ
    Nvidia เตรียมส่งมอบตัวอย่าง B30A และ RTX 6000D ให้ลูกค้าในจีนภายในกันยายน 2025
    RTX 6000D เป็นรุ่นลดสเปกสำหรับ inference และกราฟิกระดับมืออาชีพ
    รัฐบาลสหรัฐฯ อาจอนุญาตให้ขายชิปรุ่นใหม่ในจีน หากมีการแบ่งรายได้ 15%

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    H20 ถูกพัฒนาเพื่อให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกในปี 2023 แต่ถูกระงับการขายในเมษายน 2025
    B30A ใช้เทคโนโลยี CoWoS-S ซึ่งถูกกว่ารุ่น CoWoS-L ที่ใช้ใน B300
    การออกแบบ single-die ช่วยลดกำลังไฟและเหมาะกับอุปกรณ์ PCIe
    Nvidia ต้องรักษาฐานลูกค้าในจีนเพื่อคง ecosystem ของ CUDA
    Huawei กำลังพัฒนา GPU แข่งกับ Nvidia แม้ยังด้อยในด้านซอฟต์แวร์และแบนด์วิดท์
    การออกแบบชิปเฉพาะตลาดเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในหลายประเทศ เช่น อินเดียและรัสเซีย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-could-be-readying-b30a-accelerator-for-chinese-market-new-blackwell-chip-reportedly-beats-h20-and-even-h100-while-complying-with-u-s-export-controls
    🧠 Nvidia B30A – ชิป AI สำหรับจีนที่แรงกว่าเดิม แต่ยังอยู่ในกรอบควบคุมของสหรัฐฯ ในโลกที่เทคโนโลยี AI กลายเป็นสนามแข่งขันระดับโลก Nvidia กำลังเดินเกมใหม่เพื่อรักษาตลาดจีน ซึ่งคิดเป็น 13% ของรายได้บริษัท ด้วยการพัฒนาชิป AI รุ่นใหม่ชื่อว่า “B30A” ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน โดยยังคงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกของรัฐบาลสหรัฐฯ B30A ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell รุ่นล่าสุด และเป็นชิปแบบ “single-die” ซึ่งมีประสิทธิภาพประมาณครึ่งหนึ่งของรุ่นเรือธง B300 ที่ใช้แบบ “dual-die” แต่ยังแรงกว่า H20 ซึ่งเป็นรุ่นที่ Nvidia ได้รับอนุญาตให้ขายในจีนก่อนหน้านี้ ชิป B30A มาพร้อมหน่วยความจำ HBM3E ขนาด 144GB และแบนด์วิดท์สูงถึง 4TB/s พร้อมเทคโนโลยี NVLink สำหรับเชื่อมต่อระหว่างโปรเซสเซอร์ ซึ่งช่วยให้สามารถสร้างระบบ AI ขนาดใหญ่ได้ แม้จะมีข้อจำกัดบางอย่างในจำนวน NVLink ที่อนุญาต นอกจากนี้ Nvidia ยังเตรียมเปิดตัว RTX 6000D สำหรับงาน inference ซึ่งเป็นรุ่นลดสเปกจาก RTX 6000 เพื่อให้ผ่านเกณฑ์ควบคุมการส่งออก โดยทั้งสองรุ่นคาดว่าจะเริ่มส่งมอบตัวอย่างให้ลูกค้าในจีนได้ภายในเดือนกันยายน 2025 หากได้รับอนุมัติจากรัฐบาลสหรัฐฯ แนวทางนี้เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เสนอให้ Nvidia และ AMD จ่าย 15% ของรายได้จากการขายชิปในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการอนุญาตให้ขายชิปรุ่นใหม่ที่ “ลดประสิทธิภาพลง” ประมาณ 30–50% ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Nvidia พัฒนา B30A ชิป AI สำหรับตลาดจีน โดยใช้สถาปัตยกรรม Blackwell ➡️ B30A เป็นชิปแบบ single-die ที่มีประสิทธิภาพประมาณครึ่งหนึ่งของ B300 ➡️ ประสิทธิภาพของ B30A สูงกว่า H20 และใกล้เคียงกับ H100 ➡️ มาพร้อมหน่วยความจำ HBM3E ขนาด 144GB และแบนด์วิดท์ 4TB/s ➡️ ใช้เทคโนโลยี NVLink สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างโปรเซสเซอร์ ➡️ ออกแบบให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ ➡️ Nvidia เตรียมส่งมอบตัวอย่าง B30A และ RTX 6000D ให้ลูกค้าในจีนภายในกันยายน 2025 ➡️ RTX 6000D เป็นรุ่นลดสเปกสำหรับ inference และกราฟิกระดับมืออาชีพ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ อาจอนุญาตให้ขายชิปรุ่นใหม่ในจีน หากมีการแบ่งรายได้ 15% ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ H20 ถูกพัฒนาเพื่อให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกในปี 2023 แต่ถูกระงับการขายในเมษายน 2025 ➡️ B30A ใช้เทคโนโลยี CoWoS-S ซึ่งถูกกว่ารุ่น CoWoS-L ที่ใช้ใน B300 ➡️ การออกแบบ single-die ช่วยลดกำลังไฟและเหมาะกับอุปกรณ์ PCIe ➡️ Nvidia ต้องรักษาฐานลูกค้าในจีนเพื่อคง ecosystem ของ CUDA ➡️ Huawei กำลังพัฒนา GPU แข่งกับ Nvidia แม้ยังด้อยในด้านซอฟต์แวร์และแบนด์วิดท์ ➡️ การออกแบบชิปเฉพาะตลาดเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในหลายประเทศ เช่น อินเดียและรัสเซีย https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-could-be-readying-b30a-accelerator-for-chinese-market-new-blackwell-chip-reportedly-beats-h20-and-even-h100-while-complying-with-u-s-export-controls
    0 Comments 0 Shares 125 Views 0 Reviews
  • กลยุทธ์การตลาด หาเงินขายคนป่วย วัดหัวใสแบ่ง70-30 : ถอนหมุดข่าว 19-08-68
    กลยุทธ์การตลาด หาเงินขายคนป่วย วัดหัวใสแบ่ง70-30 : ถอนหมุดข่าว 19-08-68
    0 Comments 0 Shares 73 Views 0 0 Reviews
  • TSMC ขึ้นราคาชิป 2nm เป็น $30,000 ต่อเวเฟอร์ – โรงงานในสหรัฐฯ เริ่มทำกำไรต่อเนื่อง

    TSMC ผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก เตรียมขึ้นราคาชิปขนาด 2 นาโนเมตรเป็น $30,000 ต่อเวเฟอร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 66% จากราคาชิป 3nm ที่เคยอยู่ที่ประมาณ $18,000 โดยราคานี้สะท้อนต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และเป็นกลยุทธ์ของ TSMC ที่ต้องการคัดกรองลูกค้าให้เหลือเฉพาะบริษัทที่สามารถจ่ายเพื่อเทคโนโลยีระดับสูง เช่น Apple, NVIDIA, AMD และ Intel

    แม้ราคาจะสูง แต่ TSMC รายงานว่า yield หรืออัตราการผลิตสำเร็จของชิป 2nm เริ่มแตะระดับ 90% สำหรับชิป SRAM ขนาดเล็ก ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณดีสำหรับการเข้าสู่การผลิตจำนวนมากภายในปีนี้ โดย Apple คาดว่าจะใช้ชิป 2nm ใน iPhone 18 Pro และ AMD จะใช้ใน Zen 6 “Venice” CPUs

    ด้านโรงงานในรัฐแอริโซนา ซึ่งเคยถูกวิจารณ์เรื่องต้นทุนสูง ตอนนี้กลับทำกำไรได้ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สอง โดยมีรายได้กว่า NT$4.2 พันล้านในไตรมาสล่าสุด และมีลูกค้าหลักคือ Apple, NVIDIA และ AMD ซึ่งช่วยให้มีคำสั่งซื้อที่มั่นคง

    อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่าค่าเสื่อมราคาของโรงงานในสหรัฐฯ อาจกระทบต่อกำไรในระยะยาว และโรงงานในญี่ปุ่นของ TSMC ยังขาดทุนอยู่ในครึ่งปีแรก

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    TSMC ขึ้นราคาชิป 2nm เป็น $30,000 ต่อเวเฟอร์ เพิ่มขึ้น 66% จาก 3nm
    Yield ของชิป 2nm แตะระดับ 90% สำหรับชิป SRAM ขนาดเล็ก
    Apple, AMD, NVIDIA และ Intel เตรียมใช้เทคโนโลยี 2nm ในผลิตภัณฑ์ใหม่
    โรงงาน TSMC ในรัฐแอริโซนาเริ่มทำกำไรต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สอง
    รายได้ล่าสุดของโรงงานแอริโซนาอยู่ที่ NT$4.2 พันล้าน
    โรงงานนี้เริ่มผลิตชิป 4nm ตั้งแต่ Q4 ปี 2024
    ลูกค้าหลักของโรงงานคือ Apple, NVIDIA และ AMD
    TSMC เตรียมขยายโรงงานในสหรัฐฯ เพิ่มอีกสองแห่ง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ชิป 2nm ใช้สถาปัตยกรรม Gate-All-Around (GAA) เพื่อควบคุมกระแสไฟฟ้าได้แม่นยำขึ้น
    N2P และ N2X จะเป็นรุ่นต่อยอดจาก 2nm โดยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน
    ราคาชิปอาจแตะ $45,000 ต่อเวเฟอร์เมื่อเข้าสู่ยุค 1.4nm (Angstrom era)
    การขึ้นราคาชิปสะท้อนว่าต้นทุนต่อทรานซิสเตอร์ไม่ได้ลดลงอีกแล้ว
    Samsung ยังมี yield ต่ำกว่า TSMC ที่ประมาณ 40% และใช้กลยุทธ์ราคาถูกเพื่อดึงลูกค้า
    โรงงานในญี่ปุ่นของ TSMC ยังขาดทุน และไม่ผลิตชิปรุ่นล่าสุด

    https://wccftech.com/tsmc-latest-chips-to-get-super-expensive-with-30k-wafer-tag-us-arizona-plant-becomes-profitable-for-second-consecutive-quarter/
    🏭 TSMC ขึ้นราคาชิป 2nm เป็น $30,000 ต่อเวเฟอร์ – โรงงานในสหรัฐฯ เริ่มทำกำไรต่อเนื่อง TSMC ผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก เตรียมขึ้นราคาชิปขนาด 2 นาโนเมตรเป็น $30,000 ต่อเวเฟอร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 66% จากราคาชิป 3nm ที่เคยอยู่ที่ประมาณ $18,000 โดยราคานี้สะท้อนต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และเป็นกลยุทธ์ของ TSMC ที่ต้องการคัดกรองลูกค้าให้เหลือเฉพาะบริษัทที่สามารถจ่ายเพื่อเทคโนโลยีระดับสูง เช่น Apple, NVIDIA, AMD และ Intel แม้ราคาจะสูง แต่ TSMC รายงานว่า yield หรืออัตราการผลิตสำเร็จของชิป 2nm เริ่มแตะระดับ 90% สำหรับชิป SRAM ขนาดเล็ก ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณดีสำหรับการเข้าสู่การผลิตจำนวนมากภายในปีนี้ โดย Apple คาดว่าจะใช้ชิป 2nm ใน iPhone 18 Pro และ AMD จะใช้ใน Zen 6 “Venice” CPUs ด้านโรงงานในรัฐแอริโซนา ซึ่งเคยถูกวิจารณ์เรื่องต้นทุนสูง ตอนนี้กลับทำกำไรได้ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สอง โดยมีรายได้กว่า NT$4.2 พันล้านในไตรมาสล่าสุด และมีลูกค้าหลักคือ Apple, NVIDIA และ AMD ซึ่งช่วยให้มีคำสั่งซื้อที่มั่นคง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่าค่าเสื่อมราคาของโรงงานในสหรัฐฯ อาจกระทบต่อกำไรในระยะยาว และโรงงานในญี่ปุ่นของ TSMC ยังขาดทุนอยู่ในครึ่งปีแรก ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ TSMC ขึ้นราคาชิป 2nm เป็น $30,000 ต่อเวเฟอร์ เพิ่มขึ้น 66% จาก 3nm ➡️ Yield ของชิป 2nm แตะระดับ 90% สำหรับชิป SRAM ขนาดเล็ก ➡️ Apple, AMD, NVIDIA และ Intel เตรียมใช้เทคโนโลยี 2nm ในผลิตภัณฑ์ใหม่ ➡️ โรงงาน TSMC ในรัฐแอริโซนาเริ่มทำกำไรต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สอง ➡️ รายได้ล่าสุดของโรงงานแอริโซนาอยู่ที่ NT$4.2 พันล้าน ➡️ โรงงานนี้เริ่มผลิตชิป 4nm ตั้งแต่ Q4 ปี 2024 ➡️ ลูกค้าหลักของโรงงานคือ Apple, NVIDIA และ AMD ➡️ TSMC เตรียมขยายโรงงานในสหรัฐฯ เพิ่มอีกสองแห่ง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ชิป 2nm ใช้สถาปัตยกรรม Gate-All-Around (GAA) เพื่อควบคุมกระแสไฟฟ้าได้แม่นยำขึ้น ➡️ N2P และ N2X จะเป็นรุ่นต่อยอดจาก 2nm โดยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน ➡️ ราคาชิปอาจแตะ $45,000 ต่อเวเฟอร์เมื่อเข้าสู่ยุค 1.4nm (Angstrom era) ➡️ การขึ้นราคาชิปสะท้อนว่าต้นทุนต่อทรานซิสเตอร์ไม่ได้ลดลงอีกแล้ว ➡️ Samsung ยังมี yield ต่ำกว่า TSMC ที่ประมาณ 40% และใช้กลยุทธ์ราคาถูกเพื่อดึงลูกค้า ➡️ โรงงานในญี่ปุ่นของ TSMC ยังขาดทุน และไม่ผลิตชิปรุ่นล่าสุด https://wccftech.com/tsmc-latest-chips-to-get-super-expensive-with-30k-wafer-tag-us-arizona-plant-becomes-profitable-for-second-consecutive-quarter/
    WCCFTECH.COM
    TSMC Latest Chips To Get Super Expensive With $30k/Wafer Tag - US Arizona Plant Becomes Profitable For Second Consecutive Quarter
    TSMC charges $30,000 per 2nm wafer as it enters mass production, achieving profitability at its Arizona fab with NT$4.2 billion in Q2 profit.
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews
  • นักพัฒนามั่นใจว่า AI จะทำงานการตลาดแทนมนุษย์ได้เกือบทั้งหมด

    ผลสำรวจจาก Storyblok ที่สอบถามนักพัฒนาระดับอาวุโสกว่า 200 คน พบว่า 90% ใช้ AI เป็นเครื่องมือหลักในการเขียนโค้ด และกว่า 74% เชื่อว่า AI สามารถจัดการงานการตลาดของบริษัทได้ “เกือบทั้งหมด” หรือ “ทั้งหมด” โดย 28.5% มั่นใจว่า AI สามารถทำงานการตลาดได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์เลย

    นักพัฒนามองว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือช่วยเขียนโค้ด แต่เป็นระบบที่สามารถแก้ปัญหา ค้นหาข้อผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้พวกเขาเชื่อว่า AI ก็สามารถจัดการงานการตลาดที่เป็นกระบวนการซ้ำๆ ได้เช่นกัน

    ในทางกลับกัน เมื่อนักการตลาดถูกถามว่าพวกเขาสามารถทำงานของนักพัฒนาได้หรือไม่ มีเพียง 18.5% ที่คิดว่าทำได้ทั้งหมด และ 32% ที่คิดว่าทำได้ “ส่วนใหญ่” ซึ่งสะท้อนความมั่นใจที่ต่างกันระหว่างสองสายงาน

    การใช้ AI ในการตลาดเริ่มแพร่หลายมากขึ้น โดยบริษัทอย่าง Cobalt Keys และ Orior Media ได้พัฒนาเครื่องมือ AI ที่สามารถวางแผนกลยุทธ์ สร้างคอนเทนต์ และวิเคราะห์ผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนโฆษณาและเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงลูกค้าได้อย่างชัดเจน

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    90% ของนักพัฒนาใช้ AI เป็นเครื่องมือหลักในการเขียนโค้ด
    74% เชื่อว่า AI สามารถทำงานการตลาดได้ “เกือบทั้งหมด” หรือ “ทั้งหมด”
    28.5% มั่นใจว่า AI สามารถทำงานการตลาดได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์
    นักพัฒนาใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ, แก้ปัญหา, และเรียนรู้ทักษะใหม่
    34% ของนักพัฒนาเลือกใช้ AI เป็นตัวช่วยแรกเมื่อเจอปัญหา มากกว่าการถามเพื่อนร่วมงาน
    นักการตลาดมีความมั่นใจน้อยกว่าในการทำงานของนักพัฒนา โดยมีเพียง 18.5% ที่คิดว่าทำได้ทั้งหมด
    ความคุ้นเคยกับ AI ทำให้นักพัฒนาเชื่อว่า AI สามารถแทนที่งานอื่นได้ง่ายขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    บริษัท Cobalt Keys ใช้ AI เพื่อวางกลยุทธ์การตลาดแบบลดต้นทุนโฆษณา
    Orior Media พัฒนา AI Strategy Builder ที่สร้างแผนการตลาดภายในไม่กี่วินาที
    AI Chatbot และระบบวิเคราะห์ผลแบบเรียลไทม์ช่วยให้การตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    88% ของนักการตลาดใช้ AI ในงานประจำวัน และ 83% รายงานว่าประสิทธิภาพดีขึ้น
    ตลาด AI ด้านการตลาดคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า $47.32 พันล้านในปี 2025
    AI ช่วยให้การสร้างคอนเทนต์, การวิเคราะห์ข้อมูล, และการสื่อสารกับลูกค้าเร็วขึ้นหลายเท่า

    https://www.techradar.com/pro/devs-believe-that-ai-is-going-to-kill-most-or-all-of-their-companys-marketing-department
    🧠 นักพัฒนามั่นใจว่า AI จะทำงานการตลาดแทนมนุษย์ได้เกือบทั้งหมด ผลสำรวจจาก Storyblok ที่สอบถามนักพัฒนาระดับอาวุโสกว่า 200 คน พบว่า 90% ใช้ AI เป็นเครื่องมือหลักในการเขียนโค้ด และกว่า 74% เชื่อว่า AI สามารถจัดการงานการตลาดของบริษัทได้ “เกือบทั้งหมด” หรือ “ทั้งหมด” โดย 28.5% มั่นใจว่า AI สามารถทำงานการตลาดได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์เลย นักพัฒนามองว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือช่วยเขียนโค้ด แต่เป็นระบบที่สามารถแก้ปัญหา ค้นหาข้อผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้พวกเขาเชื่อว่า AI ก็สามารถจัดการงานการตลาดที่เป็นกระบวนการซ้ำๆ ได้เช่นกัน ในทางกลับกัน เมื่อนักการตลาดถูกถามว่าพวกเขาสามารถทำงานของนักพัฒนาได้หรือไม่ มีเพียง 18.5% ที่คิดว่าทำได้ทั้งหมด และ 32% ที่คิดว่าทำได้ “ส่วนใหญ่” ซึ่งสะท้อนความมั่นใจที่ต่างกันระหว่างสองสายงาน การใช้ AI ในการตลาดเริ่มแพร่หลายมากขึ้น โดยบริษัทอย่าง Cobalt Keys และ Orior Media ได้พัฒนาเครื่องมือ AI ที่สามารถวางแผนกลยุทธ์ สร้างคอนเทนต์ และวิเคราะห์ผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนโฆษณาและเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงลูกค้าได้อย่างชัดเจน ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ 90% ของนักพัฒนาใช้ AI เป็นเครื่องมือหลักในการเขียนโค้ด ➡️ 74% เชื่อว่า AI สามารถทำงานการตลาดได้ “เกือบทั้งหมด” หรือ “ทั้งหมด” ➡️ 28.5% มั่นใจว่า AI สามารถทำงานการตลาดได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์ ➡️ นักพัฒนาใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ, แก้ปัญหา, และเรียนรู้ทักษะใหม่ ➡️ 34% ของนักพัฒนาเลือกใช้ AI เป็นตัวช่วยแรกเมื่อเจอปัญหา มากกว่าการถามเพื่อนร่วมงาน ➡️ นักการตลาดมีความมั่นใจน้อยกว่าในการทำงานของนักพัฒนา โดยมีเพียง 18.5% ที่คิดว่าทำได้ทั้งหมด ➡️ ความคุ้นเคยกับ AI ทำให้นักพัฒนาเชื่อว่า AI สามารถแทนที่งานอื่นได้ง่ายขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ บริษัท Cobalt Keys ใช้ AI เพื่อวางกลยุทธ์การตลาดแบบลดต้นทุนโฆษณา ➡️ Orior Media พัฒนา AI Strategy Builder ที่สร้างแผนการตลาดภายในไม่กี่วินาที ➡️ AI Chatbot และระบบวิเคราะห์ผลแบบเรียลไทม์ช่วยให้การตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ 88% ของนักการตลาดใช้ AI ในงานประจำวัน และ 83% รายงานว่าประสิทธิภาพดีขึ้น ➡️ ตลาด AI ด้านการตลาดคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า $47.32 พันล้านในปี 2025 ➡️ AI ช่วยให้การสร้างคอนเทนต์, การวิเคราะห์ข้อมูล, และการสื่อสารกับลูกค้าเร็วขึ้นหลายเท่า https://www.techradar.com/pro/devs-believe-that-ai-is-going-to-kill-most-or-all-of-their-companys-marketing-department
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • AMD เตรียมเปิดแผนอนาคต Zen 6, RDNA 5, CDNA และ UDNA ในงานใหญ่เดือนพฤศจิกายน

    AMD ประกาศจัดงาน Financial Analyst Day ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 ที่นิวยอร์ก ซึ่งจะเป็นเวทีสำคัญในการเปิดเผยแผนพัฒนาเทคโนโลยีในระยะยาว โดยเฉพาะ CPU ตระกูล Zen รุ่นใหม่, GPU สาย RDNA และ CDNA สำหรับงาน HPC และ AI รวมถึงสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อ UDNA ที่จะเป็นหัวใจของ AI accelerators รุ่นถัดไป

    ในฝั่ง CPU AMD จะพูดถึง EPYC “Venice” ที่ใช้ Zen 6 และจะเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ EPYC “Verano” ที่คาดว่าจะใช้ Zen 6 หรือ Zen 7 ในปี 2027 และอาจมีการพูดถึง Zen 8 ด้วย

    ด้าน GPU จะมีการเปิดตัว RDNA 5 สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ UDNA 6 สำหรับงาน AI โดย AMD ตั้งเป้ารวมสาย RDNA และ CDNA เข้าด้วยกันในอนาคต เพื่อสร้าง GPU ที่รองรับทั้งเกมและงานประมวลผลระดับสูง

    ในฝั่ง AI และ HPC AMD จะพูดถึง Instinct MI500 accelerators ที่ใช้ UDNA 6 และเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบใหม่ชื่อ UALink ซึ่งจะช่วยให้ระบบ AI ขนาดใหญ่สามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    นอกจากนี้ AMD ยังจะเปิดเผยแผนการเงินระยะยาว และกลยุทธ์ในการแข่งขันกับ Nvidia และผู้ผลิตชิปแบบ custom จาก hyperscale cloud providers

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    AMD จะจัดงาน Financial Analyst Day วันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 ที่นิวยอร์ก
    งานนี้จะเปิดเผยแผนระยะยาวของ CPU, GPU, AI accelerators และเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ
    CPU EPYC “Venice” ใช้ Zen 6 และจะเปิดเผยข้อมูล EPYC “Verano” ที่อาจใช้ Zen 6 หรือ Zen 7
    อาจมีการพูดถึง Zen 8 สำหรับอนาคตระยะไกล
    GPU RDNA 5 สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ UDNA 6 สำหรับงาน AI จะถูกเปิดเผย
    Instinct MI500 accelerators จะใช้สถาปัตยกรรม UDNA 6
    เทคโนโลยี UALink จะช่วยให้ระบบ AI ขนาดใหญ่เชื่อมต่อกันได้ดีขึ้น
    AMD จะเปิดเผยแผนการเงินระยะยาวและกลยุทธ์แข่งขันกับ Nvidia และผู้ผลิต custom silicon

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Zen 6 อาจมีความเร็วทะลุ 7.0GHz และใช้ dual IMC design สำหรับการจัดการหน่วยความจำ
    RDNA 5 คาดว่าจะมี IPC สูงกว่า RDNA 4 ประมาณ 5–10% ที่ความเร็วเท่าเดิม
    ROCm ecosystem จะถูกขยายเพื่อรองรับ AI และ HPC มากขึ้น
    AMD อาจเปิดตัว Radeon RX 10900 XT ที่ใช้ RDNA 5 แข่งกับ RTX 6090
    UDNA จะเป็นจุดรวมของ GPU สายเกมและ HPC ในอนาคต
    AMD มีแผนใช้ advanced packaging technologies เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-to-disclose-roadmaps-in-mid-november-the-future-of-zen-6-rdna-cdna-and-udna-expected
    🔮 AMD เตรียมเปิดแผนอนาคต Zen 6, RDNA 5, CDNA และ UDNA ในงานใหญ่เดือนพฤศจิกายน AMD ประกาศจัดงาน Financial Analyst Day ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 ที่นิวยอร์ก ซึ่งจะเป็นเวทีสำคัญในการเปิดเผยแผนพัฒนาเทคโนโลยีในระยะยาว โดยเฉพาะ CPU ตระกูล Zen รุ่นใหม่, GPU สาย RDNA และ CDNA สำหรับงาน HPC และ AI รวมถึงสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อ UDNA ที่จะเป็นหัวใจของ AI accelerators รุ่นถัดไป ในฝั่ง CPU AMD จะพูดถึง EPYC “Venice” ที่ใช้ Zen 6 และจะเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ EPYC “Verano” ที่คาดว่าจะใช้ Zen 6 หรือ Zen 7 ในปี 2027 และอาจมีการพูดถึง Zen 8 ด้วย ด้าน GPU จะมีการเปิดตัว RDNA 5 สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ UDNA 6 สำหรับงาน AI โดย AMD ตั้งเป้ารวมสาย RDNA และ CDNA เข้าด้วยกันในอนาคต เพื่อสร้าง GPU ที่รองรับทั้งเกมและงานประมวลผลระดับสูง ในฝั่ง AI และ HPC AMD จะพูดถึง Instinct MI500 accelerators ที่ใช้ UDNA 6 และเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบใหม่ชื่อ UALink ซึ่งจะช่วยให้ระบบ AI ขนาดใหญ่สามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ AMD ยังจะเปิดเผยแผนการเงินระยะยาว และกลยุทธ์ในการแข่งขันกับ Nvidia และผู้ผลิตชิปแบบ custom จาก hyperscale cloud providers ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ AMD จะจัดงาน Financial Analyst Day วันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 ที่นิวยอร์ก ➡️ งานนี้จะเปิดเผยแผนระยะยาวของ CPU, GPU, AI accelerators และเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ ➡️ CPU EPYC “Venice” ใช้ Zen 6 และจะเปิดเผยข้อมูล EPYC “Verano” ที่อาจใช้ Zen 6 หรือ Zen 7 ➡️ อาจมีการพูดถึง Zen 8 สำหรับอนาคตระยะไกล ➡️ GPU RDNA 5 สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ UDNA 6 สำหรับงาน AI จะถูกเปิดเผย ➡️ Instinct MI500 accelerators จะใช้สถาปัตยกรรม UDNA 6 ➡️ เทคโนโลยี UALink จะช่วยให้ระบบ AI ขนาดใหญ่เชื่อมต่อกันได้ดีขึ้น ➡️ AMD จะเปิดเผยแผนการเงินระยะยาวและกลยุทธ์แข่งขันกับ Nvidia และผู้ผลิต custom silicon ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Zen 6 อาจมีความเร็วทะลุ 7.0GHz และใช้ dual IMC design สำหรับการจัดการหน่วยความจำ ➡️ RDNA 5 คาดว่าจะมี IPC สูงกว่า RDNA 4 ประมาณ 5–10% ที่ความเร็วเท่าเดิม ➡️ ROCm ecosystem จะถูกขยายเพื่อรองรับ AI และ HPC มากขึ้น ➡️ AMD อาจเปิดตัว Radeon RX 10900 XT ที่ใช้ RDNA 5 แข่งกับ RTX 6090 ➡️ UDNA จะเป็นจุดรวมของ GPU สายเกมและ HPC ในอนาคต ➡️ AMD มีแผนใช้ advanced packaging technologies เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-to-disclose-roadmaps-in-mid-november-the-future-of-zen-6-rdna-cdna-and-udna-expected
    0 Comments 0 Shares 144 Views 0 Reviews
  • เมื่อ CISO กลายเป็นแพะรับบาปหลังเหตุการณ์ ransomware

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO ที่ทำงานอย่างหนักเพื่อป้องกันภัยไซเบอร์ แต่วันหนึ่งบริษัทของคุณโดนโจมตีด้วย ransomware และแม้คุณจะทำตามแผนรับมือทุกขั้นตอน คุณก็ยังถูกปลดออกจากตำแหน่ง

    นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในองค์กรจำนวนมาก จากรายงานของ Sophos พบว่า 25% ของ CISO ถูกเปลี่ยนตัวหลังเกิดเหตุการณ์ ransomware โดยไม่จำเป็นต้องเป็นความผิดของพวกเขาโดยตรง

    ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การปลด CISO มักเกิดจากแรงกดดันของบอร์ดบริหารที่ต้องการ “รีเซ็ตภาพลักษณ์” มากกว่าการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บางครั้ง CISO ถูกปลดแม้ระบบตรวจจับทำงานดี แผนรับมือถูกดำเนินการครบ และการกู้คืนข้อมูลอยู่ใน SLA

    ยิ่งไปกว่านั้น บางองค์กรยังไม่ให้ CISO เข้าร่วมประชุมสำคัญ เพราะกลัวว่าจะ “ขัดขวางธุรกิจ” ซึ่งทำให้การตัดสินใจด้านความปลอดภัยถูกละเลย และนำไปสู่ช่องโหว่ที่ถูกโจมตีในภายหลัง

    ข้อมูลจากรายงานข่าวและการวิเคราะห์
    25% ของ CISO ถูกเปลี่ยนตัวหลังเกิดเหตุการณ์ ransomware
    การปลด CISO มักเกิดจากแรงกดดันของบอร์ด ไม่ใช่ความผิดโดยตรง
    หากแผนรับมือทำงานดี การปลดอาจส่งสัญญาณผิดภายในองค์กร
    ช่องโหว่ที่ถูกโจมตีมักเป็นช่องที่ “รู้ว่ามี” แต่ไม่ได้รับการแก้ไข
    40% ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าโจมตีมาจากช่องโหว่ที่รู้แต่ไม่ได้จัดการ
    สาเหตุหลักของ ransomware คือช่องโหว่ (32%) และ credential ที่ถูกขโมย (23%)
    อีเมลและ phishing ยังเป็นช่องทางโจมตีหลัก (รวมกัน 37%)
    บาง CISO ลาออกเองเพราะความเครียดและความขัดแย้งหลังเหตุการณ์
    การเปรียบเทียบ CISO กับ “นักดับเพลิง” ชี้ว่าพวกเขาคือผู้รับมือ ไม่ใช่ต้นเหตุ
    การไม่ให้ CISO เข้าร่วมประชุมสำคัญทำให้ความปลอดภัยถูกละเลย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รายงาน Sophos ปี 2025 สำรวจจาก 3,400 ผู้บริหาร IT ใน 17 ประเทศ
    41% ของทีมที่ถูกโจมตีมีความเครียดสูง และ 31% มีการลาหยุดจากปัญหาสุขภาพจิต
    ค่าใช้จ่ายในการกู้คืนข้อมูลเฉลี่ยอยู่ที่ $1.53M (ไม่รวมค่าไถ่)
    53% ขององค์กรสามารถกู้คืนได้ภายใน 1 สัปดาห์
    การเจรจาค่าไถ่ลดลง โดยค่าเฉลี่ยการจ่ายจริงอยู่ที่ $1M
    การขาด segmentation และการไม่ทำ tabletop exercise เป็นสาเหตุที่ทำให้ CISO ถูกปลด

    https://www.csoonline.com/article/4040156/25-of-security-leaders-replaced-after-ransomware-attack.html
    🧯 เมื่อ CISO กลายเป็นแพะรับบาปหลังเหตุการณ์ ransomware ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO ที่ทำงานอย่างหนักเพื่อป้องกันภัยไซเบอร์ แต่วันหนึ่งบริษัทของคุณโดนโจมตีด้วย ransomware และแม้คุณจะทำตามแผนรับมือทุกขั้นตอน คุณก็ยังถูกปลดออกจากตำแหน่ง นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในองค์กรจำนวนมาก จากรายงานของ Sophos พบว่า 25% ของ CISO ถูกเปลี่ยนตัวหลังเกิดเหตุการณ์ ransomware โดยไม่จำเป็นต้องเป็นความผิดของพวกเขาโดยตรง ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การปลด CISO มักเกิดจากแรงกดดันของบอร์ดบริหารที่ต้องการ “รีเซ็ตภาพลักษณ์” มากกว่าการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บางครั้ง CISO ถูกปลดแม้ระบบตรวจจับทำงานดี แผนรับมือถูกดำเนินการครบ และการกู้คืนข้อมูลอยู่ใน SLA ยิ่งไปกว่านั้น บางองค์กรยังไม่ให้ CISO เข้าร่วมประชุมสำคัญ เพราะกลัวว่าจะ “ขัดขวางธุรกิจ” ซึ่งทำให้การตัดสินใจด้านความปลอดภัยถูกละเลย และนำไปสู่ช่องโหว่ที่ถูกโจมตีในภายหลัง ✅ ข้อมูลจากรายงานข่าวและการวิเคราะห์ ➡️ 25% ของ CISO ถูกเปลี่ยนตัวหลังเกิดเหตุการณ์ ransomware ➡️ การปลด CISO มักเกิดจากแรงกดดันของบอร์ด ไม่ใช่ความผิดโดยตรง ➡️ หากแผนรับมือทำงานดี การปลดอาจส่งสัญญาณผิดภายในองค์กร ➡️ ช่องโหว่ที่ถูกโจมตีมักเป็นช่องที่ “รู้ว่ามี” แต่ไม่ได้รับการแก้ไข ➡️ 40% ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าโจมตีมาจากช่องโหว่ที่รู้แต่ไม่ได้จัดการ ➡️ สาเหตุหลักของ ransomware คือช่องโหว่ (32%) และ credential ที่ถูกขโมย (23%) ➡️ อีเมลและ phishing ยังเป็นช่องทางโจมตีหลัก (รวมกัน 37%) ➡️ บาง CISO ลาออกเองเพราะความเครียดและความขัดแย้งหลังเหตุการณ์ ➡️ การเปรียบเทียบ CISO กับ “นักดับเพลิง” ชี้ว่าพวกเขาคือผู้รับมือ ไม่ใช่ต้นเหตุ ➡️ การไม่ให้ CISO เข้าร่วมประชุมสำคัญทำให้ความปลอดภัยถูกละเลย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รายงาน Sophos ปี 2025 สำรวจจาก 3,400 ผู้บริหาร IT ใน 17 ประเทศ ➡️ 41% ของทีมที่ถูกโจมตีมีความเครียดสูง และ 31% มีการลาหยุดจากปัญหาสุขภาพจิต ➡️ ค่าใช้จ่ายในการกู้คืนข้อมูลเฉลี่ยอยู่ที่ $1.53M (ไม่รวมค่าไถ่) ➡️ 53% ขององค์กรสามารถกู้คืนได้ภายใน 1 สัปดาห์ ➡️ การเจรจาค่าไถ่ลดลง โดยค่าเฉลี่ยการจ่ายจริงอยู่ที่ $1M ➡️ การขาด segmentation และการไม่ทำ tabletop exercise เป็นสาเหตุที่ทำให้ CISO ถูกปลด https://www.csoonline.com/article/4040156/25-of-security-leaders-replaced-after-ransomware-attack.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    25% of security leaders replaced after ransomware attack
    In a perfect world, such things would happen only when the CISO made explicit errors. In the corporate world, though, scapegoating is tradition.
    0 Comments 0 Shares 124 Views 0 Reviews
  • มัลแวร์ที่สร้างโดย AI: ภัยเงียบที่ปรับตัวได้และไม่มีวันหยุด
    ในปี 2025 โลกไซเบอร์กำลังเผชิญกับศัตรูรูปแบบใหม่—มัลแวร์ที่สร้างโดย Generative AI (GenAI) ซึ่งสามารถเรียนรู้ ปรับเปลี่ยน และหลบหลีกระบบป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    CrowdStrike รายงานว่าแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือ รัสเซีย และอิหร่านใช้ AI สร้างมัลแวร์ที่สามารถเจาะระบบองค์กร สร้างเรซูเม่ปลอม และแม้แต่สัมภาษณ์งานด้วย deepfake เพื่อแฝงตัวเข้าไปในบริษัท

    มัลแวร์เหล่านี้ไม่เพียงแต่หลบหลีกการตรวจจับแบบเดิมได้ แต่ยังสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองแบบ “polymorphic” คือเปลี่ยนโค้ดตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ถูกจับได้

    AI ยังช่วยสร้างอีเมล phishing ที่เหมือนจริงมากจนผู้ใช้ทั่วไปแยกไม่ออก และสามารถวิเคราะห์ระบบเป้าหมายเพื่อหาช่องโหว่แบบเรียลไทม์

    สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ “ไม่มีแพตช์” แบบเดิมที่จะแก้ไขได้ เพราะมัลแวร์เหล่านี้ไม่หยุดนิ่ง และสามารถปรับตัวตามการป้องกันที่องค์กรใช้

    ลักษณะของมัลแวร์ที่สร้างโดย AI
    ใช้ GenAI สร้างมัลแวร์ที่เรียนรู้และปรับเปลี่ยนตัวเองได้
    สามารถสร้าง deepfake เพื่อแฝงตัวในองค์กร
    ใช้ AI สร้าง phishing email ที่เหมือนจริงมาก
    ปรับโค้ดแบบ polymorphic เพื่อหลบหลีกการตรวจจับ
    วิเคราะห์ระบบเป้าหมายและปรับกลยุทธ์โจมตีแบบเรียลไทม์
    ไม่มีแพตช์แบบเดิมที่สามารถแก้ไขได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    มัลแวร์ AI สามารถหลบเลี่ยงระบบ EDR โดยแฝงตัวใน process ของระบบ
    ใช้ adversarial ML เพื่อหลอกระบบตรวจจับพฤติกรรม
    แฮกเกอร์ระดับล่างสามารถใช้ AI สร้างมัลแวร์ได้โดยไม่ต้องมีความรู้ลึก
    การป้องกันต้องใช้ AI ฝั่งดีที่สามารถวิเคราะห์และตอบโต้แบบอัตโนมัติ
    Zero Trust Architecture และ Multi-Factor Authentication เป็นแนวทางป้องกันที่จำเป็น
    ระบบ NGAV และ AI-powered EDR เป็นเครื่องมือใหม่ที่องค์กรควรใช้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/17/no-patch-available-ai-made-malware-could-overwhelm-cyber-defences
    🕷️ มัลแวร์ที่สร้างโดย AI: ภัยเงียบที่ปรับตัวได้และไม่มีวันหยุด ในปี 2025 โลกไซเบอร์กำลังเผชิญกับศัตรูรูปแบบใหม่—มัลแวร์ที่สร้างโดย Generative AI (GenAI) ซึ่งสามารถเรียนรู้ ปรับเปลี่ยน และหลบหลีกระบบป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ CrowdStrike รายงานว่าแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือ รัสเซีย และอิหร่านใช้ AI สร้างมัลแวร์ที่สามารถเจาะระบบองค์กร สร้างเรซูเม่ปลอม และแม้แต่สัมภาษณ์งานด้วย deepfake เพื่อแฝงตัวเข้าไปในบริษัท มัลแวร์เหล่านี้ไม่เพียงแต่หลบหลีกการตรวจจับแบบเดิมได้ แต่ยังสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองแบบ “polymorphic” คือเปลี่ยนโค้ดตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ AI ยังช่วยสร้างอีเมล phishing ที่เหมือนจริงมากจนผู้ใช้ทั่วไปแยกไม่ออก และสามารถวิเคราะห์ระบบเป้าหมายเพื่อหาช่องโหว่แบบเรียลไทม์ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ “ไม่มีแพตช์” แบบเดิมที่จะแก้ไขได้ เพราะมัลแวร์เหล่านี้ไม่หยุดนิ่ง และสามารถปรับตัวตามการป้องกันที่องค์กรใช้ ✅ ลักษณะของมัลแวร์ที่สร้างโดย AI ➡️ ใช้ GenAI สร้างมัลแวร์ที่เรียนรู้และปรับเปลี่ยนตัวเองได้ ➡️ สามารถสร้าง deepfake เพื่อแฝงตัวในองค์กร ➡️ ใช้ AI สร้าง phishing email ที่เหมือนจริงมาก ➡️ ปรับโค้ดแบบ polymorphic เพื่อหลบหลีกการตรวจจับ ➡️ วิเคราะห์ระบบเป้าหมายและปรับกลยุทธ์โจมตีแบบเรียลไทม์ ➡️ ไม่มีแพตช์แบบเดิมที่สามารถแก้ไขได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ มัลแวร์ AI สามารถหลบเลี่ยงระบบ EDR โดยแฝงตัวใน process ของระบบ ➡️ ใช้ adversarial ML เพื่อหลอกระบบตรวจจับพฤติกรรม ➡️ แฮกเกอร์ระดับล่างสามารถใช้ AI สร้างมัลแวร์ได้โดยไม่ต้องมีความรู้ลึก ➡️ การป้องกันต้องใช้ AI ฝั่งดีที่สามารถวิเคราะห์และตอบโต้แบบอัตโนมัติ ➡️ Zero Trust Architecture และ Multi-Factor Authentication เป็นแนวทางป้องกันที่จำเป็น ➡️ ระบบ NGAV และ AI-powered EDR เป็นเครื่องมือใหม่ที่องค์กรควรใช้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/17/no-patch-available-ai-made-malware-could-overwhelm-cyber-defences
    WWW.THESTAR.COM.MY
    No patch available: AI-made malware could overwhelm cyber-defences
    The "growing weaponisation" of generative artificial intelligence (GenAI) could make older forms of cybersecurity and virus scanning obsolete.
    0 Comments 0 Shares 124 Views 0 Reviews
  • จากชิปสู่ไวน์: เมื่ออดีตวิศวกร Intel ต้องเริ่มต้นใหม่ในไร่องุ่นฝรั่งเศส

    Varun Gupta เคยเป็นวิศวกรการตลาดผลิตภัณฑ์ของ Intel มานานกว่า 10 ปี ก่อนจะย้ายไปทำงานกับ Microsoft ในปี 2020 แต่การย้ายงานครั้งนั้นกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคดีใหญ่ เมื่อ Intel พบว่าเขานำเอกสารลับกว่า 4,000 ไฟล์ติดตัวไปด้วย

    เอกสารเหล่านั้นมีข้อมูลสำคัญ เช่น กลยุทธ์การตั้งราคาของ Intel และการวิเคราะห์คู่แข่ง ซึ่ง Gupta ใช้ในการเจรจาสัญญาซื้อชิปกับ Intel ในนามของ Microsoft

    หลังจากถูกจับได้ในปี 2021 เขายอมจ่ายเงินชดเชยให้ Intel เป็นจำนวน 40,000 ดอลลาร์ และในปี 2024 ถูกตั้งข้อหาทางอาญาในข้อหาครอบครองข้อมูลลับโดยมิชอบ

    แม้อัยการจะขอให้ศาลลงโทษจำคุก 8 เดือน แต่ผู้พิพากษา Amy Baggio เห็นว่าการสูญเสียชื่อเสียงและอาชีพในวงการเทคโนโลยีเป็นบทเรียนที่รุนแรงพอแล้ว จึงตัดสินให้ Gupta รับโทษคุมประพฤติ 8 เดือน และปรับเงิน 34,472 ดอลลาร์

    Gupta ตัดสินใจย้ายครอบครัวไปฝรั่งเศส และเริ่มเรียนด้านการจัดการไร่องุ่น เพื่อเข้าสู่วงการไวน์อย่างเต็มตัว—จากโลกของชิปสู่โลกขององุ่น

    https://wccftech.com/former-intel-engineer-sentenced-for-trade-secret-theft-will-now-work-in-french-winemaking-industry/
    🧠 จากชิปสู่ไวน์: เมื่ออดีตวิศวกร Intel ต้องเริ่มต้นใหม่ในไร่องุ่นฝรั่งเศส Varun Gupta เคยเป็นวิศวกรการตลาดผลิตภัณฑ์ของ Intel มานานกว่า 10 ปี ก่อนจะย้ายไปทำงานกับ Microsoft ในปี 2020 แต่การย้ายงานครั้งนั้นกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคดีใหญ่ เมื่อ Intel พบว่าเขานำเอกสารลับกว่า 4,000 ไฟล์ติดตัวไปด้วย เอกสารเหล่านั้นมีข้อมูลสำคัญ เช่น กลยุทธ์การตั้งราคาของ Intel และการวิเคราะห์คู่แข่ง ซึ่ง Gupta ใช้ในการเจรจาสัญญาซื้อชิปกับ Intel ในนามของ Microsoft หลังจากถูกจับได้ในปี 2021 เขายอมจ่ายเงินชดเชยให้ Intel เป็นจำนวน 40,000 ดอลลาร์ และในปี 2024 ถูกตั้งข้อหาทางอาญาในข้อหาครอบครองข้อมูลลับโดยมิชอบ แม้อัยการจะขอให้ศาลลงโทษจำคุก 8 เดือน แต่ผู้พิพากษา Amy Baggio เห็นว่าการสูญเสียชื่อเสียงและอาชีพในวงการเทคโนโลยีเป็นบทเรียนที่รุนแรงพอแล้ว จึงตัดสินให้ Gupta รับโทษคุมประพฤติ 8 เดือน และปรับเงิน 34,472 ดอลลาร์ Gupta ตัดสินใจย้ายครอบครัวไปฝรั่งเศส และเริ่มเรียนด้านการจัดการไร่องุ่น เพื่อเข้าสู่วงการไวน์อย่างเต็มตัว—จากโลกของชิปสู่โลกขององุ่น https://wccftech.com/former-intel-engineer-sentenced-for-trade-secret-theft-will-now-work-in-french-winemaking-industry/
    WCCFTECH.COM
    Former Intel Engineer Sentenced For Trade Secret Theft Will Now Work In French Winemaking Industry
    Varun Gupta, a former Intel employee, received two years' probation and a $34,472 fine for stealing trade secrets.
    0 Comments 0 Shares 188 Views 0 Reviews
  • เมื่อสตาร์ทอัพ AI อายุ 3 ปี เสนอซื้อ Chrome: เกมพลิกวงการเบราว์เซอร์

    ในโลกที่ Google Chrome ครองตลาดเบราว์เซอร์ด้วยผู้ใช้กว่า 3 พันล้านคน และเป็นหัวใจของระบบ AI และโฆษณาของ Google การที่ Perplexity AI เสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด 34.5 พันล้านดอลลาร์ กลายเป็นข่าวใหญ่ที่สะเทือนวงการ

    Perplexity ก่อตั้งโดย Aravind Srinivas และทีมงานจาก UC Berkeley, OpenAI และ DeepMind โดยมีเป้าหมายสร้างระบบค้นหาที่ใช้ AI ตอบคำถามแบบเรียลไทม์ ล่าสุดเปิดตัวเบราว์เซอร์ Comet ที่ใช้ AI ช่วยค้นหาและทำงานแทนผู้ใช้

    ข้อเสนอซื้อ Chrome ถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์เรียกความสนใจมากกว่าความเป็นไปได้จริง เพราะ Chrome ไม่ได้ประกาศขาย และ Google กำลังต่อสู้คดีผูกขาดจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ที่อาจบังคับให้ขาย Chrome เพื่อเปิดตลาดให้แข่งขันมากขึ้น

    Perplexity ระบุว่าจะคงรหัส Chromium แบบโอเพ่นซอร์ส ลงทุนเพิ่มอีก 3 พันล้านดอลลาร์ภายใน 2 ปี และไม่เปลี่ยนเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น เพื่อคลายความกังวลด้านกฎระเบียบ

    แม้ข้อเสนอจะต่ำกว่าที่ DuckDuckGo ประเมินว่า Chrome อาจมีมูลค่าสูงถึง 50 พันล้านดอลลาร์ แต่ก็ทำให้ Perplexity กลายเป็นผู้เล่นที่ถูกจับตามองในสงครามเบราว์เซอร์ยุค AI

    ข้อมูลในข่าว
    Perplexity AI เสนอซื้อ Google Chrome ด้วยเงินสด 34.5 พันล้านดอลลาร์
    บริษัทมีอายุเพียง 3 ปี และมีมูลค่าประเมินล่าสุดที่ 18 พันล้านดอลลาร์
    ข้อเสนอเกิดขึ้นท่ามกลางคดีผูกขาดที่ Google ถูกตัดสินว่าครองตลาดค้นหาอย่างไม่เป็นธรรม
    Perplexity ระบุว่าจะคงรหัส Chromium แบบโอเพ่นซอร์ส และไม่เปลี่ยนเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น
    DuckDuckGo ประเมินว่า Chrome อาจมีมูลค่าสูงถึง 50 พันล้านดอลลาร์
    Google ยังไม่ตอบรับข้อเสนอ และกำลังอุทธรณ์คำตัดสินของศาล
    Perplexity เปิดตัวเบราว์เซอร์ Comet ที่ใช้ AI ช่วยค้นหาและทำงานแทนผู้ใช้
    หากได้ Chrome จะเข้าถึงผู้ใช้กว่า 3 พันล้านคนทันที

    Google ยังไม่แสดงท่าทีว่าจะขาย Chrome และมีแนวโน้มต่อต้านการบังคับขาย
    การซื้อ Chrome อาจเผชิญแรงต้านจากศาลสูงและหน่วยงานกำกับดูแล
    Perplexity ยังไม่เปิดเผยแหล่งเงินทุนอย่างชัดเจน แม้จะอ้างว่ามีผู้สนับสนุนเต็มจำนวน
    หาก Chrome ถูกขายจริง อาจส่งผลกระทบต่อระบบโฆษณาและ AI ของ Google ทั่วโลก

    https://www.techradar.com/pro/openai-rival-gets-free-publicity-by-offering-to-buy-google-chrome-for-just-under-usd35-billion-so-does-that-mean-it-will-kill-comet
    🧠 เมื่อสตาร์ทอัพ AI อายุ 3 ปี เสนอซื้อ Chrome: เกมพลิกวงการเบราว์เซอร์ ในโลกที่ Google Chrome ครองตลาดเบราว์เซอร์ด้วยผู้ใช้กว่า 3 พันล้านคน และเป็นหัวใจของระบบ AI และโฆษณาของ Google การที่ Perplexity AI เสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด 34.5 พันล้านดอลลาร์ กลายเป็นข่าวใหญ่ที่สะเทือนวงการ Perplexity ก่อตั้งโดย Aravind Srinivas และทีมงานจาก UC Berkeley, OpenAI และ DeepMind โดยมีเป้าหมายสร้างระบบค้นหาที่ใช้ AI ตอบคำถามแบบเรียลไทม์ ล่าสุดเปิดตัวเบราว์เซอร์ Comet ที่ใช้ AI ช่วยค้นหาและทำงานแทนผู้ใช้ ข้อเสนอซื้อ Chrome ถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์เรียกความสนใจมากกว่าความเป็นไปได้จริง เพราะ Chrome ไม่ได้ประกาศขาย และ Google กำลังต่อสู้คดีผูกขาดจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ที่อาจบังคับให้ขาย Chrome เพื่อเปิดตลาดให้แข่งขันมากขึ้น Perplexity ระบุว่าจะคงรหัส Chromium แบบโอเพ่นซอร์ส ลงทุนเพิ่มอีก 3 พันล้านดอลลาร์ภายใน 2 ปี และไม่เปลี่ยนเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น เพื่อคลายความกังวลด้านกฎระเบียบ แม้ข้อเสนอจะต่ำกว่าที่ DuckDuckGo ประเมินว่า Chrome อาจมีมูลค่าสูงถึง 50 พันล้านดอลลาร์ แต่ก็ทำให้ Perplexity กลายเป็นผู้เล่นที่ถูกจับตามองในสงครามเบราว์เซอร์ยุค AI ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Perplexity AI เสนอซื้อ Google Chrome ด้วยเงินสด 34.5 พันล้านดอลลาร์ ➡️ บริษัทมีอายุเพียง 3 ปี และมีมูลค่าประเมินล่าสุดที่ 18 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ข้อเสนอเกิดขึ้นท่ามกลางคดีผูกขาดที่ Google ถูกตัดสินว่าครองตลาดค้นหาอย่างไม่เป็นธรรม ➡️ Perplexity ระบุว่าจะคงรหัส Chromium แบบโอเพ่นซอร์ส และไม่เปลี่ยนเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น ➡️ DuckDuckGo ประเมินว่า Chrome อาจมีมูลค่าสูงถึง 50 พันล้านดอลลาร์ ➡️ Google ยังไม่ตอบรับข้อเสนอ และกำลังอุทธรณ์คำตัดสินของศาล ➡️ Perplexity เปิดตัวเบราว์เซอร์ Comet ที่ใช้ AI ช่วยค้นหาและทำงานแทนผู้ใช้ ➡️ หากได้ Chrome จะเข้าถึงผู้ใช้กว่า 3 พันล้านคนทันที ⛔ Google ยังไม่แสดงท่าทีว่าจะขาย Chrome และมีแนวโน้มต่อต้านการบังคับขาย ⛔ การซื้อ Chrome อาจเผชิญแรงต้านจากศาลสูงและหน่วยงานกำกับดูแล ⛔ Perplexity ยังไม่เปิดเผยแหล่งเงินทุนอย่างชัดเจน แม้จะอ้างว่ามีผู้สนับสนุนเต็มจำนวน ⛔ หาก Chrome ถูกขายจริง อาจส่งผลกระทบต่อระบบโฆษณาและ AI ของ Google ทั่วโลก https://www.techradar.com/pro/openai-rival-gets-free-publicity-by-offering-to-buy-google-chrome-for-just-under-usd35-billion-so-does-that-mean-it-will-kill-comet
    0 Comments 0 Shares 183 Views 0 Reviews
  • เมื่อ TikTok กลายเป็นห้างสรรพสินค้า: พลังของวิดีโอสั้นที่เปลี่ยนใจผู้ซื้อ

    ลองนึกภาพว่าเราเลื่อนดู TikTok แล้วเจอคนธรรมดารีวิวสบู่ล้างหน้าแบบบ้าน ๆ ไม่ใช่ดารา ไม่ใช่แบรนด์ดัง แต่พูดจริง ใช้จริง และดูน่าเชื่อถือ—คุณอาจจะซื้อทันทีโดยไม่รู้ตัว

    จากผลสำรวจของ Omnisend พบว่า 66% ของผู้บริโภคเชื่อถือคำแนะนำจากผู้ใช้ทั่วไปบนโซเชียลมีเดีย มากกว่าคำแนะนำจากดาราหรืออินฟลูเอนเซอร์ เพราะคนดังมักได้รับค่าจ้างจากแบรนด์

    วิดีโอที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือคลิปสั้น 10–15 วินาที ที่ถ่ายแบบไม่เป็นทางการ พูดจากมุมมองส่วนตัว เหมือนเพื่อนแนะนำเพื่อน ไม่ใช่โฆษณา

    นอกจากนี้ 70% ของผู้ตอบแบบสอบถามใช้โซเชียลมีเดียในการ “หาข้อมูลก่อนซื้อ” โดยให้ความสำคัญกับรีวิวที่ได้รับการยืนยัน และคอมเมนต์จากผู้ใช้จริง

    แม้ TikTok จะไม่ได้รับเครดิตตรง ๆ ว่าเป็นตัวกระตุ้นยอดขาย แต่การเห็นสินค้าซ้ำ ๆ บนแพลตฟอร์มนี้ทำให้ผู้บริโภค “จำ” และ “เชื่อ” เมื่อเห็นสินค้านั้นในช่องทางอื่น

    พฤติกรรมผู้บริโภคยุคโซเชียล
    66% เชื่อคำแนะนำจากผู้ใช้ทั่วไปมากกว่าคนดัง
    70% ใช้โซเชียลมีเดียในการหาข้อมูลก่อนซื้อ
    45% มีแนวโน้มซื้อสินค้าที่กำลังเป็นกระแสบนแพลตฟอร์ม

    ประสิทธิภาพของวิดีโอสั้น
    วิดีโอ 10–15 วินาทีแบบไม่เป็นทางการให้ผลดีที่สุด
    การพูดจากมุมมองส่วนตัวสร้างความน่าเชื่อถือ
    การเห็นสินค้าซ้ำ ๆ บนแพลตฟอร์มช่วยกระตุ้นการจดจำ

    ความเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์การตลาด
    TikTok กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจซื้อ
    แบรนด์ต้องปรับตัวจากการใช้คนดัง มาใช้ผู้ใช้จริง
    การสร้างคอนเทนต์ที่ “ดูจริง” สำคัญกว่าความสวยงาม

    ข้อมูลเสริมจากวงการ e-commerce
    Shoppable Videos ช่วยลดขั้นตอนจากการดูไปสู่การซื้อ
    82% ของผู้ชมตัดสินใจซื้อหลังดูวิดีโอสินค้า
    Instagram มีผู้ใช้ที่ช้อปผ่านแพลตฟอร์มเกือบครึ่งหนึ่งทุกสัปดาห์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/these-kinds-of-social-media-videos-are-most-likely-to-convert-shoppers
    🧠 เมื่อ TikTok กลายเป็นห้างสรรพสินค้า: พลังของวิดีโอสั้นที่เปลี่ยนใจผู้ซื้อ ลองนึกภาพว่าเราเลื่อนดู TikTok แล้วเจอคนธรรมดารีวิวสบู่ล้างหน้าแบบบ้าน ๆ ไม่ใช่ดารา ไม่ใช่แบรนด์ดัง แต่พูดจริง ใช้จริง และดูน่าเชื่อถือ—คุณอาจจะซื้อทันทีโดยไม่รู้ตัว จากผลสำรวจของ Omnisend พบว่า 66% ของผู้บริโภคเชื่อถือคำแนะนำจากผู้ใช้ทั่วไปบนโซเชียลมีเดีย มากกว่าคำแนะนำจากดาราหรืออินฟลูเอนเซอร์ เพราะคนดังมักได้รับค่าจ้างจากแบรนด์ วิดีโอที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือคลิปสั้น 10–15 วินาที ที่ถ่ายแบบไม่เป็นทางการ พูดจากมุมมองส่วนตัว เหมือนเพื่อนแนะนำเพื่อน ไม่ใช่โฆษณา นอกจากนี้ 70% ของผู้ตอบแบบสอบถามใช้โซเชียลมีเดียในการ “หาข้อมูลก่อนซื้อ” โดยให้ความสำคัญกับรีวิวที่ได้รับการยืนยัน และคอมเมนต์จากผู้ใช้จริง แม้ TikTok จะไม่ได้รับเครดิตตรง ๆ ว่าเป็นตัวกระตุ้นยอดขาย แต่การเห็นสินค้าซ้ำ ๆ บนแพลตฟอร์มนี้ทำให้ผู้บริโภค “จำ” และ “เชื่อ” เมื่อเห็นสินค้านั้นในช่องทางอื่น ✅ พฤติกรรมผู้บริโภคยุคโซเชียล ➡️ 66% เชื่อคำแนะนำจากผู้ใช้ทั่วไปมากกว่าคนดัง ➡️ 70% ใช้โซเชียลมีเดียในการหาข้อมูลก่อนซื้อ ➡️ 45% มีแนวโน้มซื้อสินค้าที่กำลังเป็นกระแสบนแพลตฟอร์ม ✅ ประสิทธิภาพของวิดีโอสั้น ➡️ วิดีโอ 10–15 วินาทีแบบไม่เป็นทางการให้ผลดีที่สุด ➡️ การพูดจากมุมมองส่วนตัวสร้างความน่าเชื่อถือ ➡️ การเห็นสินค้าซ้ำ ๆ บนแพลตฟอร์มช่วยกระตุ้นการจดจำ ✅ ความเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์การตลาด ➡️ TikTok กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจซื้อ ➡️ แบรนด์ต้องปรับตัวจากการใช้คนดัง มาใช้ผู้ใช้จริง ➡️ การสร้างคอนเทนต์ที่ “ดูจริง” สำคัญกว่าความสวยงาม ✅ ข้อมูลเสริมจากวงการ e-commerce ➡️ Shoppable Videos ช่วยลดขั้นตอนจากการดูไปสู่การซื้อ ➡️ 82% ของผู้ชมตัดสินใจซื้อหลังดูวิดีโอสินค้า ➡️ Instagram มีผู้ใช้ที่ช้อปผ่านแพลตฟอร์มเกือบครึ่งหนึ่งทุกสัปดาห์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/these-kinds-of-social-media-videos-are-most-likely-to-convert-shoppers
    WWW.THESTAR.COM.MY
    These kinds of social media videos are most likely to convert shoppers
    Many people don't trust influencer and celebrity product recommendations, a survey says.
    0 Comments 0 Shares 175 Views 0 Reviews
  • Dimensity 9500 vs Snapdragon 8 Elite Gen 2: เปิดตัวก่อนแต่แรงไม่สุด

    MediaTek เตรียมเปิดตัวชิป Dimensity 9500 ก่อน Snapdragon 8 Elite Gen 2 หนึ่งวัน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นกลยุทธ์เพื่อแย่งความสนใจจากตลาด แต่ผลการทดสอบ Geekbench 6 บน Vivo X300 กลับเผยว่า Dimensity 9500 ทำคะแนนได้ต่ำกว่าที่คาดไว้ โดยได้เพียง 2,352 คะแนนในแบบ single-core และ 7,129 คะแนนในแบบ multi-core

    Dimensity 9500 ใช้โครงสร้าง CPU แบบ “1 + 3 + 4” โดยมีคอร์หลักที่เร็วที่สุดอยู่ที่ 4.20GHz ซึ่งสูงกว่าความเร็วที่ใช้ในการทดสอบจริง แต่ยังต่ำกว่าคู่แข่งอย่าง Snapdragon 8 Elite Gen 2 ที่แม้จะลดความเร็วลงเหลือ 4.00GHz ก็ยังทำคะแนนได้ถึง 3,393 และ 11,515 คะแนน—เร็วกว่า Dimensity ถึง 61%

    สาเหตุหนึ่งที่ Snapdragon 8 Elite Gen 2 ทำได้ดีกว่า คือการใช้คอร์แบบ in-house ที่ไม่พึ่งพา ARM โดยตรง ซึ่งให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์ที่สูงกว่า และยังมีความยืดหยุ่นในการออกแบบมากขึ้น

    อย่างไรก็ตาม Dimensity 9500 ยังมีจุดเด่นในด้านการประมวลผลแบบ floating-point และคะแนน AnTuTu ที่สูงกว่า Snapdragon 8 Elite Gen 2 ถึง 11% ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าชิปนี้เหมาะกับงานกราฟิกหรือ AI มากกว่าการประมวลผลทั่วไป

    สเปกและโครงสร้างของ Dimensity 9500
    ใช้โครงสร้าง CPU แบบ “1 + 3 + 4”
    คอร์หลักเร็วสุดที่ 4.20GHz แต่ทำงานต่ำกว่าความเร็วจริง
    ใช้ Cortex-X930 และ Cortex-A730 บนสถาปัตยกรรม ARMv9.2-A
    ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm โดย TSMC

    ผลการทดสอบเบื้องต้น
    Geekbench 6: single-core 2,352 / multi-core 7,129
    Snapdragon 8 Elite Gen 2 ได้คะแนนสูงกว่า 61%
    Dimensity 9500 ทำคะแนน AnTuTu สูงกว่า 11% (3449366 vs 3115282)
    มีประสิทธิภาพด้าน floating-point computation สูงกว่า 41%

    จุดเด่นของ Snapdragon 8 Elite Gen 2
    ใช้คอร์แบบ in-house “Oryon Gen 2” ไม่พึ่ง ARM
    ความเร็วสูงสุด 4.74GHz ในรุ่น Galaxy Edition
    ผลิตด้วยเทคโนโลยี N3P 3nm โดย TSMC
    มี GPU Adreno 840 และ NPU Hexagon รุ่นใหม่

    ความคาดหวังและการใช้งาน
    Dimensity 9500 อาจเหมาะกับงาน AI และกราฟิกมากกว่าการประมวลผลทั่วไป
    Snapdragon 8 Elite Gen 2 เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูงแบบต่อเนื่อง
    ทั้งสองชิปรองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6.0, และ 5G ทุกย่านความถี่

    https://wccftech.com/dimensity-9500-latest-single-core-and-multi-core-scores-fail-to-impress/
    🧠 Dimensity 9500 vs Snapdragon 8 Elite Gen 2: เปิดตัวก่อนแต่แรงไม่สุด MediaTek เตรียมเปิดตัวชิป Dimensity 9500 ก่อน Snapdragon 8 Elite Gen 2 หนึ่งวัน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นกลยุทธ์เพื่อแย่งความสนใจจากตลาด แต่ผลการทดสอบ Geekbench 6 บน Vivo X300 กลับเผยว่า Dimensity 9500 ทำคะแนนได้ต่ำกว่าที่คาดไว้ โดยได้เพียง 2,352 คะแนนในแบบ single-core และ 7,129 คะแนนในแบบ multi-core Dimensity 9500 ใช้โครงสร้าง CPU แบบ “1 + 3 + 4” โดยมีคอร์หลักที่เร็วที่สุดอยู่ที่ 4.20GHz ซึ่งสูงกว่าความเร็วที่ใช้ในการทดสอบจริง แต่ยังต่ำกว่าคู่แข่งอย่าง Snapdragon 8 Elite Gen 2 ที่แม้จะลดความเร็วลงเหลือ 4.00GHz ก็ยังทำคะแนนได้ถึง 3,393 และ 11,515 คะแนน—เร็วกว่า Dimensity ถึง 61% สาเหตุหนึ่งที่ Snapdragon 8 Elite Gen 2 ทำได้ดีกว่า คือการใช้คอร์แบบ in-house ที่ไม่พึ่งพา ARM โดยตรง ซึ่งให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์ที่สูงกว่า และยังมีความยืดหยุ่นในการออกแบบมากขึ้น อย่างไรก็ตาม Dimensity 9500 ยังมีจุดเด่นในด้านการประมวลผลแบบ floating-point และคะแนน AnTuTu ที่สูงกว่า Snapdragon 8 Elite Gen 2 ถึง 11% ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าชิปนี้เหมาะกับงานกราฟิกหรือ AI มากกว่าการประมวลผลทั่วไป ✅ สเปกและโครงสร้างของ Dimensity 9500 ➡️ ใช้โครงสร้าง CPU แบบ “1 + 3 + 4” ➡️ คอร์หลักเร็วสุดที่ 4.20GHz แต่ทำงานต่ำกว่าความเร็วจริง ➡️ ใช้ Cortex-X930 และ Cortex-A730 บนสถาปัตยกรรม ARMv9.2-A ➡️ ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm โดย TSMC ✅ ผลการทดสอบเบื้องต้น ➡️ Geekbench 6: single-core 2,352 / multi-core 7,129 ➡️ Snapdragon 8 Elite Gen 2 ได้คะแนนสูงกว่า 61% ➡️ Dimensity 9500 ทำคะแนน AnTuTu สูงกว่า 11% (3449366 vs 3115282) ➡️ มีประสิทธิภาพด้าน floating-point computation สูงกว่า 41% ✅ จุดเด่นของ Snapdragon 8 Elite Gen 2 ➡️ ใช้คอร์แบบ in-house “Oryon Gen 2” ไม่พึ่ง ARM ➡️ ความเร็วสูงสุด 4.74GHz ในรุ่น Galaxy Edition ➡️ ผลิตด้วยเทคโนโลยี N3P 3nm โดย TSMC ➡️ มี GPU Adreno 840 และ NPU Hexagon รุ่นใหม่ ✅ ความคาดหวังและการใช้งาน ➡️ Dimensity 9500 อาจเหมาะกับงาน AI และกราฟิกมากกว่าการประมวลผลทั่วไป ➡️ Snapdragon 8 Elite Gen 2 เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูงแบบต่อเนื่อง ➡️ ทั้งสองชิปรองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6.0, และ 5G ทุกย่านความถี่ https://wccftech.com/dimensity-9500-latest-single-core-and-multi-core-scores-fail-to-impress/
    WCCFTECH.COM
    Dimensity 9500 With A ‘1 + 3 + 4’ CPU Cluster And Maximum Clock Speed Of 4.20GHz Fails To Impress In The Latest Benchmark Leak; Snapdragon 8 Elite Gen 2 Up To 61 Percent Faster In The Latest Comparison
    The Snapdragon 8 Elite Gen 2 appears to be significantly faster than the Dimensity 9500, as the latter’s single-core and multi-core results are jaw-dropping
    0 Comments 0 Shares 172 Views 0 Reviews
  • เมื่ออัจฉริยะรวมตัวกัน: Meta กับภารกิจสร้าง AI เหนือมนุษย์ และความท้าทายในการบริหารทีมระดับเทพ

    ในปี 2025 Meta ได้เปิดตัว “Superintelligence Lab” โดยรวบรวมสุดยอดนักวิจัย AI จาก OpenAI, DeepMind, Anthropic และ Scale AI เพื่อเร่งพัฒนา AI ที่มีความสามารถใกล้เคียงหรือเหนือกว่ามนุษย์ หรือที่เรียกว่า Artificial General Intelligence (AGI)

    Mark Zuckerberg ทุ่มงบมหาศาล พร้อมเสนอค่าตอบแทนระดับ $100–300 ล้านต่อคน เพื่อดึงตัวนักวิจัยระดับโลกมาร่วมทีม โดยมี Alexandr Wang อดีต CEO ของ Scale AI และ Nat Friedman อดีต CEO ของ GitHub เป็นผู้นำทีม

    แต่การรวมตัวของอัจฉริยะจำนวนมากไม่ได้หมายถึงความสำเร็จเสมอไป งานวิจัยจาก Harvard และ MIT ชี้ว่า ทีมที่มีแต่คนเก่งอาจเกิดความขัดแย้ง อีโก้ชนกัน และประสิทธิภาพลดลง หากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี

    นักวิชาการแนะนำว่า การบริหารทีมระดับสูงต้องมี “การแบ่งหน้าที่ชัดเจน” และ “โครงสร้างอำนาจที่โปร่งใส” เพื่อป้องกันการแย่งอำนาจและความขัดแย้งภายใน นอกจากนี้ยังต้องสร้าง “เคมีของทีม” ผ่านความไว้วางใจและเป้าหมายร่วมกัน

    Meta ยังต้องรับมือกับความท้าทายด้านวัฒนธรรมองค์กร การรวมคนจากหลากหลายประเทศและภูมิหลัง เช่น ทีมที่มีสมาชิกเชื้อสายจีนกว่า 50% และถือ PhD ถึง 75% อาจเกิดความขัดแย้งเชิงวัฒนธรรมและการสื่อสาร

    การสร้างทีม Superintelligence ของ Meta
    รวมตัวนักวิจัยจาก OpenAI, DeepMind, Anthropic และ Scale AI
    นำโดย Alexandr Wang และ Nat Friedman
    เป้าหมายคือสร้าง AGI ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์

    กลยุทธ์การดึงตัวบุคลากร
    เสนอค่าตอบแทนสูงถึง $300 ล้านต่อคน
    Zuckerberg เข้าร่วมกระบวนการสรรหาด้วยตัวเอง
    ลงทุน $14.3 พันล้านใน Scale AI เพื่อดึง Wang มาร่วมทีม

    ความท้าทายด้านการบริหารทีมอัจฉริยะ
    ทีมที่มีแต่คนเก่งอาจเกิดความขัดแย้งและประสิทธิภาพลดลง
    ต้องมีการแบ่งหน้าที่ชัดเจนและโครงสร้างอำนาจที่โปร่งใส
    การสร้างเคมีของทีมต้องใช้เวลาและความอดทนจากผู้นำ

    ข้อเสนอจากนักวิชาการด้านการบริหารทีม
    กำหนด “เลน” ของแต่ละคนให้ชัดเจน
    สร้างโครงสร้างอำนาจที่ยืดหยุ่นแต่ชัดเจน
    สร้างความไว้วางใจและเป้าหมายร่วมกันในทีม

    ความหลากหลายของทีมและผลกระทบ
    ทีมมีสมาชิกเชื้อสายจีนกว่า 50% และถือ PhD ถึง 75%
    ความหลากหลายช่วยเพิ่มมุมมอง แต่ต้องจัดการความขัดแย้งทางวัฒนธรรม
    การสื่อสารและความเข้าใจระหว่างสมาชิกเป็นหัวใจสำคัญ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/metas-superintelligence-dream-team-will-be-management-challenge-of-the-century
    🧠 เมื่ออัจฉริยะรวมตัวกัน: Meta กับภารกิจสร้าง AI เหนือมนุษย์ และความท้าทายในการบริหารทีมระดับเทพ ในปี 2025 Meta ได้เปิดตัว “Superintelligence Lab” โดยรวบรวมสุดยอดนักวิจัย AI จาก OpenAI, DeepMind, Anthropic และ Scale AI เพื่อเร่งพัฒนา AI ที่มีความสามารถใกล้เคียงหรือเหนือกว่ามนุษย์ หรือที่เรียกว่า Artificial General Intelligence (AGI) Mark Zuckerberg ทุ่มงบมหาศาล พร้อมเสนอค่าตอบแทนระดับ $100–300 ล้านต่อคน เพื่อดึงตัวนักวิจัยระดับโลกมาร่วมทีม โดยมี Alexandr Wang อดีต CEO ของ Scale AI และ Nat Friedman อดีต CEO ของ GitHub เป็นผู้นำทีม แต่การรวมตัวของอัจฉริยะจำนวนมากไม่ได้หมายถึงความสำเร็จเสมอไป งานวิจัยจาก Harvard และ MIT ชี้ว่า ทีมที่มีแต่คนเก่งอาจเกิดความขัดแย้ง อีโก้ชนกัน และประสิทธิภาพลดลง หากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี นักวิชาการแนะนำว่า การบริหารทีมระดับสูงต้องมี “การแบ่งหน้าที่ชัดเจน” และ “โครงสร้างอำนาจที่โปร่งใส” เพื่อป้องกันการแย่งอำนาจและความขัดแย้งภายใน นอกจากนี้ยังต้องสร้าง “เคมีของทีม” ผ่านความไว้วางใจและเป้าหมายร่วมกัน Meta ยังต้องรับมือกับความท้าทายด้านวัฒนธรรมองค์กร การรวมคนจากหลากหลายประเทศและภูมิหลัง เช่น ทีมที่มีสมาชิกเชื้อสายจีนกว่า 50% และถือ PhD ถึง 75% อาจเกิดความขัดแย้งเชิงวัฒนธรรมและการสื่อสาร ✅ การสร้างทีม Superintelligence ของ Meta ➡️ รวมตัวนักวิจัยจาก OpenAI, DeepMind, Anthropic และ Scale AI ➡️ นำโดย Alexandr Wang และ Nat Friedman ➡️ เป้าหมายคือสร้าง AGI ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ ✅ กลยุทธ์การดึงตัวบุคลากร ➡️ เสนอค่าตอบแทนสูงถึง $300 ล้านต่อคน ➡️ Zuckerberg เข้าร่วมกระบวนการสรรหาด้วยตัวเอง ➡️ ลงทุน $14.3 พันล้านใน Scale AI เพื่อดึง Wang มาร่วมทีม ✅ ความท้าทายด้านการบริหารทีมอัจฉริยะ ➡️ ทีมที่มีแต่คนเก่งอาจเกิดความขัดแย้งและประสิทธิภาพลดลง ➡️ ต้องมีการแบ่งหน้าที่ชัดเจนและโครงสร้างอำนาจที่โปร่งใส ➡️ การสร้างเคมีของทีมต้องใช้เวลาและความอดทนจากผู้นำ ✅ ข้อเสนอจากนักวิชาการด้านการบริหารทีม ➡️ กำหนด “เลน” ของแต่ละคนให้ชัดเจน ➡️ สร้างโครงสร้างอำนาจที่ยืดหยุ่นแต่ชัดเจน ➡️ สร้างความไว้วางใจและเป้าหมายร่วมกันในทีม ✅ ความหลากหลายของทีมและผลกระทบ ➡️ ทีมมีสมาชิกเชื้อสายจีนกว่า 50% และถือ PhD ถึง 75% ➡️ ความหลากหลายช่วยเพิ่มมุมมอง แต่ต้องจัดการความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ➡️ การสื่อสารและความเข้าใจระหว่างสมาชิกเป็นหัวใจสำคัญ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/metas-superintelligence-dream-team-will-be-management-challenge-of-the-century
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta’s superintelligence dream team will be management challenge of the century
    Without expert management, too much talent in one group can lead to diminishing returns – or even outright failure – if egos clash and the chemistry is poor enough.
    0 Comments 0 Shares 192 Views 0 Reviews
  • ArchWiki กับภารกิจปั้นเอกสารให้ Debian — จากตำนานสู่แรงบันดาลใจ

    ในงาน DebConf25 ที่ฝรั่งเศส ทีมผู้ดูแล ArchWiki อย่าง Jakub Klinkovský และ Vladimir Lavallade ได้รับเชิญจาก Debian เพื่อแชร์กลยุทธ์การจัดการเอกสารของ Arch Linux ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการว่า “แหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดแม้คุณจะไม่ได้ใช้ Arch”

    ArchWiki มีจุดแข็งคือเนื้อหาครอบคลุม อัปเดตเร็ว และมีชุมชนที่มีส่วนร่วมสูง โดยใช้หลักการ SWOT วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภัยคุกคามของระบบเอกสารของตนเอง

    Debian ได้รับแรงบันดาลใจทันที โดยเริ่มเปลี่ยนระบบ wiki จาก MoinMoin ที่ล้าสมัยไปใช้ MediaWiki พร้อมปรับนโยบายการอนุญาตเนื้อหา และตั้ง mailing list ใหม่เพื่อจัดการเอกสารอย่างเป็นระบบ

    แม้ ArchWiki จะมีจุดอ่อน เช่น syntax ที่ซับซ้อนและการพึ่งพา MediaWiki ที่ไม่ยืดหยุ่น แต่ระบบการดูแลเอกสารแบบกระจายอำนาจและการส่งเสริมให้ผู้ใช้มีส่วนร่วม กลับสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่แข็งแกร่ง และกลายเป็นต้นแบบให้กับหลาย distro

    ArchWiki ถูกยกให้เป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดในวงการ Linux
    แม้ผู้ใช้จะไม่ได้ใช้ Arch ก็ยังอ้างอิงเอกสารจาก ArchWiki

    Debian เชิญทีม ArchWiki มาแชร์กลยุทธ์ในงาน DebConf25
    นำไปสู่การปฏิรูป wiki ของ Debian โดยเปลี่ยนไปใช้ MediaWiki

    ArchWiki มีมากกว่า 4,000 หน้าเนื้อหา และรวมทั้งหมดเกือบ 30,000 หน้า
    มีผู้แก้ไขกว่า 86,000 คน และมีการแก้ไขเฉลี่ย 2,000 ครั้งต่อเดือน

    หลักการดูแลเนื้อหาของ ArchWiki คือ DRY, atomic editing และการประกาศก่อนเปลี่ยนแปลงใหญ่
    ช่วยรักษาคุณภาพและลดความขัดแย้งในการแก้ไข

    การดูแลเนื้อหาใช้ระบบกระจายอำนาจ
    ผู้ใช้ทั่วไปสามารถตรวจสอบ แก้ไข หรือแจ้งปัญหาได้โดยไม่ต้องเป็น maintainer

    Debian เปลี่ยนนโยบายลิขสิทธิ์เนื้อหา wiki เป็น CC BY-SA 4.0
    เพื่อเปิดให้ชุมชนมีส่วนร่วมและนำไปใช้ต่อได้ง่ายขึ้น

    ArchWiki ใช้ MediaWiki ซึ่งมี API และระบบ template ที่ทรงพลัง
    แม้จะซับซ้อน แต่สามารถปรับแต่งและใช้ร่วมกับ bot ได้ดี

    ArchWiki มีเครื่องมือช่วยแก้ไข เช่น Wiki Monkey และ wiki-scripts
    ช่วยตรวจลิงก์ แก้ markup และปรับปรุงโครงสร้างเนื้อหา

    ArchWiki มีห้อง IRC สำหรับพูดคุยเรื่องการแก้ไข wiki โดยเฉพาะ
    แต่เน้นให้ใช้หน้า talk page เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วม

    ArchWiki เป็นศูนย์กลางความรู้ที่ผู้ใช้จาก distro อื่นก็เข้ามาใช้
    เช่น Ubuntu หรือ Fedora ก็อ้างอิงจาก ArchWiki เป็นประจำ

    https://lwn.net/SubscriberLink/1032604/73596e0c3ed1945a/
    📚🐧 ArchWiki กับภารกิจปั้นเอกสารให้ Debian — จากตำนานสู่แรงบันดาลใจ ในงาน DebConf25 ที่ฝรั่งเศส ทีมผู้ดูแล ArchWiki อย่าง Jakub Klinkovský และ Vladimir Lavallade ได้รับเชิญจาก Debian เพื่อแชร์กลยุทธ์การจัดการเอกสารของ Arch Linux ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการว่า “แหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดแม้คุณจะไม่ได้ใช้ Arch” ArchWiki มีจุดแข็งคือเนื้อหาครอบคลุม อัปเดตเร็ว และมีชุมชนที่มีส่วนร่วมสูง โดยใช้หลักการ SWOT วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภัยคุกคามของระบบเอกสารของตนเอง Debian ได้รับแรงบันดาลใจทันที โดยเริ่มเปลี่ยนระบบ wiki จาก MoinMoin ที่ล้าสมัยไปใช้ MediaWiki พร้อมปรับนโยบายการอนุญาตเนื้อหา และตั้ง mailing list ใหม่เพื่อจัดการเอกสารอย่างเป็นระบบ แม้ ArchWiki จะมีจุดอ่อน เช่น syntax ที่ซับซ้อนและการพึ่งพา MediaWiki ที่ไม่ยืดหยุ่น แต่ระบบการดูแลเอกสารแบบกระจายอำนาจและการส่งเสริมให้ผู้ใช้มีส่วนร่วม กลับสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่แข็งแกร่ง และกลายเป็นต้นแบบให้กับหลาย distro ✅ ArchWiki ถูกยกให้เป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดในวงการ Linux ➡️ แม้ผู้ใช้จะไม่ได้ใช้ Arch ก็ยังอ้างอิงเอกสารจาก ArchWiki ✅ Debian เชิญทีม ArchWiki มาแชร์กลยุทธ์ในงาน DebConf25 ➡️ นำไปสู่การปฏิรูป wiki ของ Debian โดยเปลี่ยนไปใช้ MediaWiki ✅ ArchWiki มีมากกว่า 4,000 หน้าเนื้อหา และรวมทั้งหมดเกือบ 30,000 หน้า ➡️ มีผู้แก้ไขกว่า 86,000 คน และมีการแก้ไขเฉลี่ย 2,000 ครั้งต่อเดือน ✅ หลักการดูแลเนื้อหาของ ArchWiki คือ DRY, atomic editing และการประกาศก่อนเปลี่ยนแปลงใหญ่ ➡️ ช่วยรักษาคุณภาพและลดความขัดแย้งในการแก้ไข ✅ การดูแลเนื้อหาใช้ระบบกระจายอำนาจ ➡️ ผู้ใช้ทั่วไปสามารถตรวจสอบ แก้ไข หรือแจ้งปัญหาได้โดยไม่ต้องเป็น maintainer ✅ Debian เปลี่ยนนโยบายลิขสิทธิ์เนื้อหา wiki เป็น CC BY-SA 4.0 ➡️ เพื่อเปิดให้ชุมชนมีส่วนร่วมและนำไปใช้ต่อได้ง่ายขึ้น ✅ ArchWiki ใช้ MediaWiki ซึ่งมี API และระบบ template ที่ทรงพลัง ➡️ แม้จะซับซ้อน แต่สามารถปรับแต่งและใช้ร่วมกับ bot ได้ดี ✅ ArchWiki มีเครื่องมือช่วยแก้ไข เช่น Wiki Monkey และ wiki-scripts ➡️ ช่วยตรวจลิงก์ แก้ markup และปรับปรุงโครงสร้างเนื้อหา ✅ ArchWiki มีห้อง IRC สำหรับพูดคุยเรื่องการแก้ไข wiki โดยเฉพาะ ➡️ แต่เน้นให้ใช้หน้า talk page เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วม ✅ ArchWiki เป็นศูนย์กลางความรู้ที่ผู้ใช้จาก distro อื่นก็เข้ามาใช้ ➡️ เช่น Ubuntu หรือ Fedora ก็อ้างอิงจาก ArchWiki เป็นประจำ https://lwn.net/SubscriberLink/1032604/73596e0c3ed1945a/
    0 Comments 0 Shares 171 Views 0 Reviews
  • เล่าให้ฟังใหม่: TSMC ปิดสายการผลิตเวเฟอร์ 6 นิ้ว — ยุคใหม่ของ Gigafab กำลังมา

    TSMC ผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก ประกาศว่าจะทยอยเลิกผลิตเวเฟอร์ขนาด 6 นิ้ว (150 มม.) ภายใน 2 ปีข้างหน้า โดยจะรวมสายการผลิตเก่าในเมือง Hsinchu และย้ายลูกค้าไปยังโรงงานที่ใช้เวเฟอร์ขนาดใหญ่ขึ้น เช่น 8 นิ้ว (200 มม.) และ 12 นิ้ว (300 มม.) ซึ่งมีประสิทธิภาพและต้นทุนต่อชิปที่ดีกว่า

    เหตุผลหลักคือ เวเฟอร์ขนาดเล็กให้จำนวนชิปต่อแผ่นน้อย ทำให้ต้นทุนสูง ไม่เหมาะกับเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น AI และ HPC อีกทั้งยังมีการแข่งขันจากโรงงานในจีนที่ผลิตชิปบนเทคโนโลยีเก่าในราคาถูก ทำให้ TSMC ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันระยะยาว

    โรงงาน Fab 2 และ Fab 5 จะหยุดผลิตภายในปี 2027 โดยบางส่วนจะถูกปรับเปลี่ยนเป็นศูนย์วิจัยหรือโรงงานประกอบชิ้นส่วนขั้นสูง (advanced packaging) สำหรับเวเฟอร์ 300 มม. ซึ่งเป็นทิศทางที่ TSMC มุ่งไปในยุคหลัง 2 นาโนเมตร

    TSMC จะเลิกผลิตเวเฟอร์ขนาด 6 นิ้วภายใน 2 ปี
    เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต

    โรงงาน Fab 2 และ Fab 5 จะหยุดผลิตภายในปี 2027
    อาจถูกปรับเป็นศูนย์วิจัยหรือโรงงานประกอบชิ้นส่วน

    ลูกค้าจะถูกย้ายไปยังโรงงานที่ใช้เวเฟอร์ 200 มม. และ 300 มม.
    เพื่อรองรับการผลิตในปริมาณมากและเทคโนโลยีขั้นสูง

    เวเฟอร์ขนาดใหญ่ให้จำนวนชิปต่อแผ่นมากกว่า
    ส่งผลให้ต้นทุนต่อชิปลดลงและประสิทธิภาพดีขึ้น

    TSMC ต้องการเพิ่มการใช้พื้นที่และบุคลากรในโรงงานขนาดใหญ่
    เช่น Fab 12 และโรงงานใหม่ที่อยู่ใกล้กัน

    การตัดสินใจนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ระยะยาวของบริษัท
    มุ่งเน้นการผลิตชิปขั้นสูงสำหรับตลาด AI และ HPC

    https://www.techpowerup.com/339890/tsmc-phases-out-6-inch-wafer-production-encourages-customers-to-move-to-gigafabs
    🏭🔄 เล่าให้ฟังใหม่: TSMC ปิดสายการผลิตเวเฟอร์ 6 นิ้ว — ยุคใหม่ของ Gigafab กำลังมา TSMC ผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก ประกาศว่าจะทยอยเลิกผลิตเวเฟอร์ขนาด 6 นิ้ว (150 มม.) ภายใน 2 ปีข้างหน้า โดยจะรวมสายการผลิตเก่าในเมือง Hsinchu และย้ายลูกค้าไปยังโรงงานที่ใช้เวเฟอร์ขนาดใหญ่ขึ้น เช่น 8 นิ้ว (200 มม.) และ 12 นิ้ว (300 มม.) ซึ่งมีประสิทธิภาพและต้นทุนต่อชิปที่ดีกว่า เหตุผลหลักคือ เวเฟอร์ขนาดเล็กให้จำนวนชิปต่อแผ่นน้อย ทำให้ต้นทุนสูง ไม่เหมาะกับเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น AI และ HPC อีกทั้งยังมีการแข่งขันจากโรงงานในจีนที่ผลิตชิปบนเทคโนโลยีเก่าในราคาถูก ทำให้ TSMC ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันระยะยาว โรงงาน Fab 2 และ Fab 5 จะหยุดผลิตภายในปี 2027 โดยบางส่วนจะถูกปรับเปลี่ยนเป็นศูนย์วิจัยหรือโรงงานประกอบชิ้นส่วนขั้นสูง (advanced packaging) สำหรับเวเฟอร์ 300 มม. ซึ่งเป็นทิศทางที่ TSMC มุ่งไปในยุคหลัง 2 นาโนเมตร ✅ TSMC จะเลิกผลิตเวเฟอร์ขนาด 6 นิ้วภายใน 2 ปี ➡️ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต ✅ โรงงาน Fab 2 และ Fab 5 จะหยุดผลิตภายในปี 2027 ➡️ อาจถูกปรับเป็นศูนย์วิจัยหรือโรงงานประกอบชิ้นส่วน ✅ ลูกค้าจะถูกย้ายไปยังโรงงานที่ใช้เวเฟอร์ 200 มม. และ 300 มม. ➡️ เพื่อรองรับการผลิตในปริมาณมากและเทคโนโลยีขั้นสูง ✅ เวเฟอร์ขนาดใหญ่ให้จำนวนชิปต่อแผ่นมากกว่า ➡️ ส่งผลให้ต้นทุนต่อชิปลดลงและประสิทธิภาพดีขึ้น ✅ TSMC ต้องการเพิ่มการใช้พื้นที่และบุคลากรในโรงงานขนาดใหญ่ ➡️ เช่น Fab 12 และโรงงานใหม่ที่อยู่ใกล้กัน ✅ การตัดสินใจนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ระยะยาวของบริษัท ➡️ มุ่งเน้นการผลิตชิปขั้นสูงสำหรับตลาด AI และ HPC https://www.techpowerup.com/339890/tsmc-phases-out-6-inch-wafer-production-encourages-customers-to-move-to-gigafabs
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    TSMC Phases Out 6-Inch Wafer Production, Encourages Customers to Move to Gigafabs
    TSMC will retire its smallest wafer line and reorganize several legacy fabs in Hsinchu as part of a cost and efficiency drive. TSMC plans to discontinue production on 6-inch 150 mm wafers within two years and consolidate its 8-inch 200 mm capacity, enabling machines and staff to operate more efficie...
    0 Comments 0 Shares 150 Views 0 Reviews
  • YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ: ปกป้องเยาวชนหรือรุกล้ำความเป็นส่วนตัว?

    YouTube เริ่มทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ โดยไม่พึ่งข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอกเอง แต่ใช้พฤติกรรมการใช้งาน เช่น ประเภทวิดีโอที่ดู, คำค้นหา, และอายุบัญชี เพื่อประเมินว่าเป็นผู้ใหญ่หรือเยาวชน หากระบบ AI ประเมินว่าเป็นเยาวชน YouTube จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม, เปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดการดูเนื้อหาบางประเภทโดยอัตโนมัติ

    แม้เป้าหมายคือการปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิส่วนบุคคลเตือนว่า ระบบนี้อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการแสดงออก โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องส่งบัตรประชาชน, บัตรเครดิต หรือภาพถ่ายตนเองเพื่อยืนยันอายุ ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการเก็บข้อมูลส่วนตัวโดยไม่มีความโปร่งใส

    ระบบนี้ยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่น เพราะโฆษณาแบบเจาะกลุ่มจะถูกปิด และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอาจถูกจำกัดการเข้าถึง

    YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ
    ใช้พฤติกรรมการใช้งานแทนข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอก

    หากระบบประเมินว่าเป็นเยาวชน จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม
    พร้อมเปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดเนื้อหาบางประเภท

    ระบบนี้เคยใช้ในอังกฤษและออสเตรเลียมาก่อน
    และกำลังขยายสู่สหรัฐฯ ตามแรงกดดันจากกฎหมายความปลอดภัยออนไลน์

    ผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนหรือภาพถ่าย
    เพื่อขอสิทธิ์เข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด

    ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่นจะได้รับผลกระทบ
    เพราะโฆษณาและเนื้อหาถูกจำกัดการเข้าถึง

    ระบบนี้อาจขยายไปยังบริการอื่นของ Google เช่น Google Ads และ Google Play
    ส่งผลต่อกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลโดยรวม

    การตรวจสอบอายุด้วย AI เป็นแนวทางใหม่ที่หลายแพลตฟอร์มเริ่มนำมาใช้
    เช่น TikTok และ Instagram ก็เริ่มใช้ระบบคล้ายกัน

    กฎหมาย Online Safety Act ในอังกฤษบังคับให้แพลตฟอร์มปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาผู้ใหญ่
    เป็นแรงผลักดันให้ YouTube ปรับระบบในประเทศอื่น

    การใช้ AI ประเมินอายุช่วยลดการพึ่งพาข้อมูลส่วนตัวโดยตรง
    แต่ต้องมีความแม่นยำสูงเพื่อไม่ให้เกิดการประเมินผิด

    การจำกัดเนื้อหาสำหรับเยาวชนอาจช่วยลดผลกระทบด้านสุขภาพจิต
    โดยเฉพาะเนื้อหาที่กระตุ้นความเครียดหรือพฤติกรรมเสี่ยง

    https://wccftech.com/youtube-tests-ai-powered-age-verification-in-the-u-s-to-safeguard-teens/
    🧠🔞 YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ: ปกป้องเยาวชนหรือรุกล้ำความเป็นส่วนตัว? YouTube เริ่มทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ โดยไม่พึ่งข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอกเอง แต่ใช้พฤติกรรมการใช้งาน เช่น ประเภทวิดีโอที่ดู, คำค้นหา, และอายุบัญชี เพื่อประเมินว่าเป็นผู้ใหญ่หรือเยาวชน หากระบบ AI ประเมินว่าเป็นเยาวชน YouTube จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม, เปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดการดูเนื้อหาบางประเภทโดยอัตโนมัติ แม้เป้าหมายคือการปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิส่วนบุคคลเตือนว่า ระบบนี้อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการแสดงออก โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องส่งบัตรประชาชน, บัตรเครดิต หรือภาพถ่ายตนเองเพื่อยืนยันอายุ ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการเก็บข้อมูลส่วนตัวโดยไม่มีความโปร่งใส ระบบนี้ยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่น เพราะโฆษณาแบบเจาะกลุ่มจะถูกปิด และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอาจถูกจำกัดการเข้าถึง ✅ YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ ➡️ ใช้พฤติกรรมการใช้งานแทนข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอก ✅ หากระบบประเมินว่าเป็นเยาวชน จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม ➡️ พร้อมเปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดเนื้อหาบางประเภท ✅ ระบบนี้เคยใช้ในอังกฤษและออสเตรเลียมาก่อน ➡️ และกำลังขยายสู่สหรัฐฯ ตามแรงกดดันจากกฎหมายความปลอดภัยออนไลน์ ✅ ผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนหรือภาพถ่าย ➡️ เพื่อขอสิทธิ์เข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด ✅ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่นจะได้รับผลกระทบ ➡️ เพราะโฆษณาและเนื้อหาถูกจำกัดการเข้าถึง ✅ ระบบนี้อาจขยายไปยังบริการอื่นของ Google เช่น Google Ads และ Google Play ➡️ ส่งผลต่อกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลโดยรวม ✅ การตรวจสอบอายุด้วย AI เป็นแนวทางใหม่ที่หลายแพลตฟอร์มเริ่มนำมาใช้ ➡️ เช่น TikTok และ Instagram ก็เริ่มใช้ระบบคล้ายกัน ✅ กฎหมาย Online Safety Act ในอังกฤษบังคับให้แพลตฟอร์มปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาผู้ใหญ่ ➡️ เป็นแรงผลักดันให้ YouTube ปรับระบบในประเทศอื่น ✅ การใช้ AI ประเมินอายุช่วยลดการพึ่งพาข้อมูลส่วนตัวโดยตรง ➡️ แต่ต้องมีความแม่นยำสูงเพื่อไม่ให้เกิดการประเมินผิด ✅ การจำกัดเนื้อหาสำหรับเยาวชนอาจช่วยลดผลกระทบด้านสุขภาพจิต ➡️ โดยเฉพาะเนื้อหาที่กระตุ้นความเครียดหรือพฤติกรรมเสี่ยง https://wccftech.com/youtube-tests-ai-powered-age-verification-in-the-u-s-to-safeguard-teens/
    WCCFTECH.COM
    YouTube Tests AI-Powered Age Verification In The U.S. To Safeguard Teens While Navigating Privacy And Free Speech Challenges
    YouTube is testing a new age-verification system in the U.S. that relies on the technology to distinguish adults and minors
    0 Comments 0 Shares 278 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกผู้บริหารความปลอดภัย: ยุคทองของ CSO กับภารกิจรับมือภัยไซเบอร์ยุค AI

    ในปี 2025 ตำแหน่ง Chief Security Officer (CSO) กลายเป็นหนึ่งในบทบาทที่องค์กรทั่วโลกต้องการมากที่สุด ไม่ใช่แค่เพราะภัยไซเบอร์ที่ซับซ้อนขึ้น แต่เพราะ CSO กลายเป็นผู้มีบทบาทเชิงกลยุทธ์ในระดับ C-suite ที่ต้องเข้าใจทั้งเทคโนโลยี กฎหมาย และการสื่อสารกับผู้บริหารระดับสูง

    รายงานจาก Skillsoft ระบุว่า ความต้องการ CSO เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลเข้มงวด เช่น การเงิน การแพทย์ รัฐบาล และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ขณะที่เงินเดือนของ CSO ในองค์กรขนาดใหญ่สามารถแตะระดับ $700,000–$2,000,000 ต่อปี

    สิ่งที่องค์กรต้องการไม่ใช่แค่ความรู้ด้านเทคนิค แต่รวมถึง soft skills เช่น การสื่อสารในภาวะวิกฤต การเข้าใจการเงิน และการจัดการภาพลักษณ์องค์กร รวมถึงความเข้าใจใน AI ทั้งด้านความเสี่ยงและการใช้ AI เพื่อป้องกันภัย

    นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มการเตรียมผู้สืบทอดตำแหน่งผ่านบทบาทรอง เช่น Deputy CSO หรือหัวหน้าฝ่าย GRC (Governance, Risk, Compliance) เพื่อสร้างความต่อเนื่องในการบริหารความปลอดภัย

    ความต้องการ CSO เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 2025
    โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลเข้มงวด

    เงินเดือนของ CSO สูงถึง $700,000–$2,000,000 ต่อปี
    โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น New York, Bay Area, Washington D.C.

    CSO ต้องมีทั้งความรู้ด้านเทคนิคและ soft skills
    เช่น การสื่อสารกับบอร์ด การจัดการวิกฤต และความเข้าใจด้านการเงิน

    AI literacy กลายเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของ CSO ยุคใหม่
    ต้องเข้าใจทั้งการป้องกันภัยจาก AI และการใช้ AI ในการตรวจจับ

    มีการเตรียมผู้สืบทอดตำแหน่งผ่านบทบาทรอง เช่น Deputy CSO
    เพื่อสร้างความต่อเนื่องและลดความเสี่ยงด้านบุคลากร

    องค์กรเริ่มเน้นการจ้างงานแบบเน้นทักษะมากกว่าปริญญา
    ให้ความสำคัญกับใบรับรองและประสบการณ์จริง

    https://www.csoonline.com/article/4033026/cso-hiring-on-the-rise-how-to-land-a-top-security-exec-role.html
    🛡️🏢 เรื่องเล่าจากโลกผู้บริหารความปลอดภัย: ยุคทองของ CSO กับภารกิจรับมือภัยไซเบอร์ยุค AI ในปี 2025 ตำแหน่ง Chief Security Officer (CSO) กลายเป็นหนึ่งในบทบาทที่องค์กรทั่วโลกต้องการมากที่สุด ไม่ใช่แค่เพราะภัยไซเบอร์ที่ซับซ้อนขึ้น แต่เพราะ CSO กลายเป็นผู้มีบทบาทเชิงกลยุทธ์ในระดับ C-suite ที่ต้องเข้าใจทั้งเทคโนโลยี กฎหมาย และการสื่อสารกับผู้บริหารระดับสูง รายงานจาก Skillsoft ระบุว่า ความต้องการ CSO เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลเข้มงวด เช่น การเงิน การแพทย์ รัฐบาล และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ขณะที่เงินเดือนของ CSO ในองค์กรขนาดใหญ่สามารถแตะระดับ $700,000–$2,000,000 ต่อปี สิ่งที่องค์กรต้องการไม่ใช่แค่ความรู้ด้านเทคนิค แต่รวมถึง soft skills เช่น การสื่อสารในภาวะวิกฤต การเข้าใจการเงิน และการจัดการภาพลักษณ์องค์กร รวมถึงความเข้าใจใน AI ทั้งด้านความเสี่ยงและการใช้ AI เพื่อป้องกันภัย นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มการเตรียมผู้สืบทอดตำแหน่งผ่านบทบาทรอง เช่น Deputy CSO หรือหัวหน้าฝ่าย GRC (Governance, Risk, Compliance) เพื่อสร้างความต่อเนื่องในการบริหารความปลอดภัย ✅ ความต้องการ CSO เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 2025 ➡️ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลเข้มงวด ✅ เงินเดือนของ CSO สูงถึง $700,000–$2,000,000 ต่อปี ➡️ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น New York, Bay Area, Washington D.C. ✅ CSO ต้องมีทั้งความรู้ด้านเทคนิคและ soft skills ➡️ เช่น การสื่อสารกับบอร์ด การจัดการวิกฤต และความเข้าใจด้านการเงิน ✅ AI literacy กลายเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของ CSO ยุคใหม่ ➡️ ต้องเข้าใจทั้งการป้องกันภัยจาก AI และการใช้ AI ในการตรวจจับ ✅ มีการเตรียมผู้สืบทอดตำแหน่งผ่านบทบาทรอง เช่น Deputy CSO ➡️ เพื่อสร้างความต่อเนื่องและลดความเสี่ยงด้านบุคลากร ✅ องค์กรเริ่มเน้นการจ้างงานแบบเน้นทักษะมากกว่าปริญญา ➡️ ให้ความสำคัญกับใบรับรองและประสบการณ์จริง https://www.csoonline.com/article/4033026/cso-hiring-on-the-rise-how-to-land-a-top-security-exec-role.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CSO hiring on the rise: How to land a top security exec role
    2025 sees strong demand for top-level CSOs who can influence the C-suite, navigate regulatory and threat complexity, and meet the AI era head on.
    0 Comments 0 Shares 194 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากศาลแคลิฟอร์เนีย: ผู้ใช้ฟ้อง Microsoft ฐานยุติ Windows 10 เพื่อครองตลาด AI

    Lawrence Klein ชายชาวแคลิฟอร์เนียผู้ใช้แล็ปท็อป Windows 10 สองเครื่อง ตัดสินใจฟ้อง Microsoft ต่อศาลสูงซานดิเอโก โดยกล่าวหาว่าการยุติการสนับสนุน Windows 10 ในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 เป็นการบีบบังคับให้ผู้ใช้ต้องซื้ออุปกรณ์ใหม่ที่รองรับ Windows 11 ซึ่งมาพร้อมฟีเจอร์ AI เช่น Copilot โดยปริยาย

    แม้การอัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 จะ “ฟรี” แต่ก็มีอุปกรณ์หลายร้อยล้านเครื่องที่ไม่สามารถอัปเกรดได้ เพราะขาดชิป TPM 2.0 ซึ่ง Microsoft ยืนยันว่าเป็น “ข้อกำหนดที่ไม่สามารถต่อรองได้” เพื่อความปลอดภัยในอนาคต

    Klein ระบุว่า Microsoft กำลังใช้กลยุทธ์ “forced obsolescence” หรือการทำให้อุปกรณ์เก่าหมดอายุโดยตั้งใจ เพื่อผลักดันยอดขายฮาร์ดแวร์ใหม่ และครอบครองตลาดซอฟต์แวร์ AI โดยเฉพาะ Copilot ที่ฝังอยู่ใน Windows 11

    เขาเรียกร้องให้ศาลสั่งให้ Microsoft สนับสนุน Windows 10 ต่อไปโดยไม่มีค่าใช้จ่าย จนกว่าผู้ใช้จะลดลงต่ำกว่า 10% ของผู้ใช้ Windows ทั้งหมด ซึ่งอาจหมายถึงการเลื่อนการเปลี่ยนผ่านไปอีกหลายปี

    Microsoft จะยุติการสนับสนุน Windows 10 ในวันที่ 14 ตุลาคม 2025
    ส่งผลให้ผู้ใช้หลายร้อยล้านคนต้องอัปเกรดหรือเสี่ยงด้านความปลอดภัย

    Lawrence Klein ฟ้อง Microsoft ฐานบีบบังคับให้ซื้ออุปกรณ์ใหม่
    กล่าวหาว่าเป็นการผูกขาดตลาดซอฟต์แวร์ AI โดยเฉพาะ Copilot

    TPM 2.0 เป็นข้อกำหนดหลักในการอัปเกรดเป็น Windows 11
    อุปกรณ์ที่ไม่มี TPM 2.0 ไม่สามารถอัปเกรดได้อย่างเป็นทางการ

    Microsoft เสนอโปรแกรม Extended Security Updates (ESU)
    ผู้ใช้ทั่วไปจ่าย $30 ต่อปี ส่วนองค์กรเริ่มต้นที่ $61 และเพิ่มขึ้นทุกปี

    Klein ไม่เรียกร้องค่าชดเชยส่วนตัว แต่ขอให้ Microsoft สนับสนุน Windows 10 ต่อ
    จนกว่าผู้ใช้จะลดลงต่ำกว่า 10% ของฐานผู้ใช้ Windows

    https://www.tomshardware.com/software/windows/california-man-sues-microsoft-for-discontinuing-windows-10-says-company-is-doing-this-to-monopolize-the-generative-ai-market
    🧑‍⚖️💻 เรื่องเล่าจากศาลแคลิฟอร์เนีย: ผู้ใช้ฟ้อง Microsoft ฐานยุติ Windows 10 เพื่อครองตลาด AI Lawrence Klein ชายชาวแคลิฟอร์เนียผู้ใช้แล็ปท็อป Windows 10 สองเครื่อง ตัดสินใจฟ้อง Microsoft ต่อศาลสูงซานดิเอโก โดยกล่าวหาว่าการยุติการสนับสนุน Windows 10 ในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 เป็นการบีบบังคับให้ผู้ใช้ต้องซื้ออุปกรณ์ใหม่ที่รองรับ Windows 11 ซึ่งมาพร้อมฟีเจอร์ AI เช่น Copilot โดยปริยาย แม้การอัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 จะ “ฟรี” แต่ก็มีอุปกรณ์หลายร้อยล้านเครื่องที่ไม่สามารถอัปเกรดได้ เพราะขาดชิป TPM 2.0 ซึ่ง Microsoft ยืนยันว่าเป็น “ข้อกำหนดที่ไม่สามารถต่อรองได้” เพื่อความปลอดภัยในอนาคต Klein ระบุว่า Microsoft กำลังใช้กลยุทธ์ “forced obsolescence” หรือการทำให้อุปกรณ์เก่าหมดอายุโดยตั้งใจ เพื่อผลักดันยอดขายฮาร์ดแวร์ใหม่ และครอบครองตลาดซอฟต์แวร์ AI โดยเฉพาะ Copilot ที่ฝังอยู่ใน Windows 11 เขาเรียกร้องให้ศาลสั่งให้ Microsoft สนับสนุน Windows 10 ต่อไปโดยไม่มีค่าใช้จ่าย จนกว่าผู้ใช้จะลดลงต่ำกว่า 10% ของผู้ใช้ Windows ทั้งหมด ซึ่งอาจหมายถึงการเลื่อนการเปลี่ยนผ่านไปอีกหลายปี ✅ Microsoft จะยุติการสนับสนุน Windows 10 ในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ➡️ ส่งผลให้ผู้ใช้หลายร้อยล้านคนต้องอัปเกรดหรือเสี่ยงด้านความปลอดภัย ✅ Lawrence Klein ฟ้อง Microsoft ฐานบีบบังคับให้ซื้ออุปกรณ์ใหม่ ➡️ กล่าวหาว่าเป็นการผูกขาดตลาดซอฟต์แวร์ AI โดยเฉพาะ Copilot ✅ TPM 2.0 เป็นข้อกำหนดหลักในการอัปเกรดเป็น Windows 11 ➡️ อุปกรณ์ที่ไม่มี TPM 2.0 ไม่สามารถอัปเกรดได้อย่างเป็นทางการ ✅ Microsoft เสนอโปรแกรม Extended Security Updates (ESU) ➡️ ผู้ใช้ทั่วไปจ่าย $30 ต่อปี ส่วนองค์กรเริ่มต้นที่ $61 และเพิ่มขึ้นทุกปี ✅ Klein ไม่เรียกร้องค่าชดเชยส่วนตัว แต่ขอให้ Microsoft สนับสนุน Windows 10 ต่อ ➡️ จนกว่าผู้ใช้จะลดลงต่ำกว่า 10% ของฐานผู้ใช้ Windows https://www.tomshardware.com/software/windows/california-man-sues-microsoft-for-discontinuing-windows-10-says-company-is-doing-this-to-monopolize-the-generative-ai-market
    0 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
  • กลยุทธ์จีนแก้เกมกัมพูชา ให้อเมริกาเข้าประเทศ

    https://youtu.be/FpurDJRpqLQ?si=gI_kKwgOzoewFUNd
    กลยุทธ์จีนแก้เกมกัมพูชา ให้อเมริกาเข้าประเทศ https://youtu.be/FpurDJRpqLQ?si=gI_kKwgOzoewFUNd
    0 Comments 0 Shares 111 Views 0 Reviews
  • 5 กลยุทธ์ปิดความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ของธนาคาร
    5 กลยุทธ์ปิดความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ของธนาคาร
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากห้องประชุม Intel: เมื่อประธานบอร์ดพยายามขายโรงงานให้ TSMC แต่ซีอีโอขัดขวางเต็มกำลัง

    ในช่วงต้นปี 2025 เกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ภายใน Intel เมื่อ Frank Yeary ประธานบอร์ดของบริษัทพยายามผลักดันแผนการขายหรือแยกกิจการโรงงานผลิตชิป (Intel Foundry) ไปให้ TSMC หรือสร้างบริษัทร่วมทุนกับ Broadcom และ Nvidia โดยให้ TSMC เข้ามาควบคุมการผลิตและ “แก้ไข” เทคโนโลยีของ Intel ที่ล่าช้า

    แต่ Lip-Bu Tan ซีอีโอคนใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งในเดือนมีนาคม กลับมองว่าการผลิตชิปภายในเป็นหัวใจของความสามารถในการแข่งขันของ Intel และเป็นสิ่งสำคัญต่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ เขาจึงคัดค้านแผนนี้อย่างหนัก ทำให้เกิดความขัดแย้งในบอร์ดบริหาร และส่งผลให้แผนกลยุทธ์หลายอย่างของ Tan ถูกชะลอหรือถูกขัดขวาง

    แม้บอร์ดจะยังแสดงการสนับสนุน Tan อย่างเป็นทางการ แต่แรงกดดันภายในและภายนอกก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อ TSMC เองก็ไม่สนใจซื้อโรงงานของ Intel เนื่องจากความแตกต่างด้านเทคโนโลยี เช่น ระบบ EUV ที่ใช้ต่างกัน และความเสี่ยงด้านธุรกิจที่ไม่คุ้มค่าการลงทุน

    Frank Yeary ประธานบอร์ด Intel พยายามขายหรือแยกกิจการโรงงานผลิตชิปให้ TSMC
    เสนอให้ TSMC และบริษัท fabless อย่าง Broadcom/Nvidia ร่วมลงทุน

    Lip-Bu Tan ซีอีโอคนใหม่คัดค้านแผนนี้อย่างหนัก
    เห็นว่าการผลิตภายในเป็นสิ่งสำคัญต่อความสามารถแข่งขันและความมั่นคงของสหรัฐฯ

    ความขัดแย้งในบอร์ดทำให้แผนกลยุทธ์ของ Tan ถูกชะลอหรือถูกขัดขวาง
    รวมถึงแผนระดมทุนและการเข้าซื้อบริษัท AI เพื่อแข่งกับ Nvidia และ AMD

    TSMC ไม่สนใจซื้อโรงงานของ Intel ด้วยเหตุผลทางเทคนิคและธุรกิจ
    เช่น ความแตกต่างด้าน EUV, เครื่องมือ, วัสดุ และความเสี่ยงด้าน yield

    Intel และ TSMC ใช้ระบบการผลิตที่แตกต่างกันแม้จะใช้เครื่องมือจาก ASML เหมือนกัน
    การย้ายเทคโนโลยีข้ามบริษัทอาจทำให้เกิด yield loss และต้นทุนสูง

    TSMC สนใจลงทุนในโรงงานสหรัฐฯ ของตัวเองมากกว่า
    ประกาศลงทุนสูงถึง $165B เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีจากรัฐบาลสหรัฐฯ

    Intel Foundry เป็นความพยายามของ Intel ที่จะกลับมาแข่งขันในตลาดการผลิตชิป
    โดยเน้นเทคโนโลยี Intel 3 และ Intel 18A

    การแยกกิจการโรงงานอาจทำให้ Intel สูญเสียการควบคุมด้านเทคโนโลยี
    และกลายเป็นบริษัท fabless ที่ต้องพึ่งพาผู้ผลิตภายนอก

    การร่วมทุนกับ TSMC อาจทำให้เกิดความขัดแย้งด้านการจัดสรรทรัพยากร
    เช่น การแบ่ง capacity ระหว่างลูกค้า Intel และ TSMC

    การล่าช้าในการเข้าซื้อบริษัท AI ทำให้ Intel เสียโอกาสในการแข่งขัน
    บริษัทเป้าหมายถูกซื้อโดยบริษัทเทคโนโลยีอื่นแทน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intels-chairman-reportedly-tried-to-broker-a-deal-to-sell-fabs-to-tsmc-ceo-lip-bu-tan-opposed
    🏭⚔️ เรื่องเล่าจากห้องประชุม Intel: เมื่อประธานบอร์ดพยายามขายโรงงานให้ TSMC แต่ซีอีโอขัดขวางเต็มกำลัง ในช่วงต้นปี 2025 เกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ภายใน Intel เมื่อ Frank Yeary ประธานบอร์ดของบริษัทพยายามผลักดันแผนการขายหรือแยกกิจการโรงงานผลิตชิป (Intel Foundry) ไปให้ TSMC หรือสร้างบริษัทร่วมทุนกับ Broadcom และ Nvidia โดยให้ TSMC เข้ามาควบคุมการผลิตและ “แก้ไข” เทคโนโลยีของ Intel ที่ล่าช้า แต่ Lip-Bu Tan ซีอีโอคนใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งในเดือนมีนาคม กลับมองว่าการผลิตชิปภายในเป็นหัวใจของความสามารถในการแข่งขันของ Intel และเป็นสิ่งสำคัญต่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ เขาจึงคัดค้านแผนนี้อย่างหนัก ทำให้เกิดความขัดแย้งในบอร์ดบริหาร และส่งผลให้แผนกลยุทธ์หลายอย่างของ Tan ถูกชะลอหรือถูกขัดขวาง แม้บอร์ดจะยังแสดงการสนับสนุน Tan อย่างเป็นทางการ แต่แรงกดดันภายในและภายนอกก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อ TSMC เองก็ไม่สนใจซื้อโรงงานของ Intel เนื่องจากความแตกต่างด้านเทคโนโลยี เช่น ระบบ EUV ที่ใช้ต่างกัน และความเสี่ยงด้านธุรกิจที่ไม่คุ้มค่าการลงทุน ✅ Frank Yeary ประธานบอร์ด Intel พยายามขายหรือแยกกิจการโรงงานผลิตชิปให้ TSMC ➡️ เสนอให้ TSMC และบริษัท fabless อย่าง Broadcom/Nvidia ร่วมลงทุน ✅ Lip-Bu Tan ซีอีโอคนใหม่คัดค้านแผนนี้อย่างหนัก ➡️ เห็นว่าการผลิตภายในเป็นสิ่งสำคัญต่อความสามารถแข่งขันและความมั่นคงของสหรัฐฯ ✅ ความขัดแย้งในบอร์ดทำให้แผนกลยุทธ์ของ Tan ถูกชะลอหรือถูกขัดขวาง ➡️ รวมถึงแผนระดมทุนและการเข้าซื้อบริษัท AI เพื่อแข่งกับ Nvidia และ AMD ✅ TSMC ไม่สนใจซื้อโรงงานของ Intel ด้วยเหตุผลทางเทคนิคและธุรกิจ ➡️ เช่น ความแตกต่างด้าน EUV, เครื่องมือ, วัสดุ และความเสี่ยงด้าน yield ✅ Intel และ TSMC ใช้ระบบการผลิตที่แตกต่างกันแม้จะใช้เครื่องมือจาก ASML เหมือนกัน ➡️ การย้ายเทคโนโลยีข้ามบริษัทอาจทำให้เกิด yield loss และต้นทุนสูง ✅ TSMC สนใจลงทุนในโรงงานสหรัฐฯ ของตัวเองมากกว่า ➡️ ประกาศลงทุนสูงถึง $165B เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีจากรัฐบาลสหรัฐฯ ✅ Intel Foundry เป็นความพยายามของ Intel ที่จะกลับมาแข่งขันในตลาดการผลิตชิป ➡️ โดยเน้นเทคโนโลยี Intel 3 และ Intel 18A ✅ การแยกกิจการโรงงานอาจทำให้ Intel สูญเสียการควบคุมด้านเทคโนโลยี ➡️ และกลายเป็นบริษัท fabless ที่ต้องพึ่งพาผู้ผลิตภายนอก ✅ การร่วมทุนกับ TSMC อาจทำให้เกิดความขัดแย้งด้านการจัดสรรทรัพยากร ➡️ เช่น การแบ่ง capacity ระหว่างลูกค้า Intel และ TSMC ✅ การล่าช้าในการเข้าซื้อบริษัท AI ทำให้ Intel เสียโอกาสในการแข่งขัน ➡️ บริษัทเป้าหมายถูกซื้อโดยบริษัทเทคโนโลยีอื่นแทน https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intels-chairman-reportedly-tried-to-broker-a-deal-to-sell-fabs-to-tsmc-ceo-lip-bu-tan-opposed
    0 Comments 0 Shares 293 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากห้องประชุม: CISO ผู้นำความมั่นคงไซเบอร์ที่องค์กรยุคใหม่ขาดไม่ได้

    ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร ตำแหน่ง “CISO” หรือ Chief Information Security Officer จึงกลายเป็นหนึ่งในบทบาทที่สำคัญที่สุดในระดับผู้บริหาร โดยมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของข้อมูลและระบบดิจิทัลทั้งหมดขององค์กร

    แต่รู้ไหมว่า...มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือเท่านั้นที่มี CISO และในบริษัทที่มีรายได้เกินพันล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 15%! หลายองค์กรยังมองว่า cybersecurity เป็นแค่ต้นทุนด้าน IT ไม่ใช่ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ ทำให้ CISO บางคนต้องรายงานต่อ CIO หรือ CSO แทนที่จะได้ที่นั่งในห้องประชุมผู้บริหาร

    CISO ที่มีอำนาจจริงจะต้องรับผิดชอบตั้งแต่การวางนโยบายความปลอดภัย การจัดการความเสี่ยง การตอบสนองเหตุการณ์ ไปจนถึงการสื่อสารกับบอร์ดและผู้ถือหุ้น พวกเขาต้องมีทั้งความรู้ด้านเทคนิค เช่น DNS, VPN, firewall และความเข้าใจในกฎหมายอย่าง GDPR, HIPAA, SOX รวมถึงทักษะการบริหารและการสื่อสารเชิงธุรกิจ

    ในปี 2025 บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI, การควบรวมกิจการ และการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ทำให้พวกเขากลายเป็น “ผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร” ไม่ใช่แค่ “ผู้เฝ้าประตูระบบ”

    CISO คือผู้บริหารระดับสูงที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยของข้อมูล
    ดูแลทั้งระบบ IT, นโยบาย, การตอบสนองเหตุการณ์ และการบริหารความเสี่ยง

    มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือที่มี CISO
    และเพียง 15% ของบริษัทที่มีรายได้เกิน $1B ที่มี CISO ในระดับ C-suite

    CISO ที่รายงานตรงต่อ CEO หรือบอร์ดจะมีอิทธิพลมากกว่า
    ช่วยให้การตัดสินใจด้านความปลอดภัยมีน้ำหนักในเชิงกลยุทธ์

    หน้าที่หลักของ CISO ได้แก่:
    Security operations, Cyber risk, Data loss prevention, Architecture, IAM, Program management, Forensics, Governance

    คุณสมบัติของ CISO ที่ดีต้องมีทั้งพื้นฐานเทคนิคและทักษะธุรกิจ
    เช่น ความเข้าใจใน DNS, VPN, ethical hacking, compliance และการสื่อสารกับผู้บริหาร

    บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI และการควบรวมกิจการ
    ทำให้กลายเป็นผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร ไม่ใช่แค่ฝ่ายเทคนิค

    มีการแบ่งประเภท CISO เป็น 3 กลุ่ม: Strategic, Functional, Tactical
    Strategic CISO มีอิทธิพลสูงสุดในองค์กรและได้รับค่าตอบแทนสูง

    ความท้าทายใหม่ของ CISO ได้แก่ภัยคุกคามจาก AI, ransomware และ social engineering
    ต้องใช้แนวทางป้องกันที่ปรับตัวได้และเน้นการฝึกอบรมพนักงาน

    การมี CISO ที่มี visibility ในบอร์ดช่วยเพิ่มความพึงพอใจในงานและโอกาสเติบโต
    เช่น การสร้างความสัมพันธ์กับบอร์ดนอกการประชุม

    https://www.csoonline.com/article/566757/what-is-a-ciso-responsibilities-and-requirements-for-this-vital-leadership-role.html
    🛡️🏢 เรื่องเล่าจากห้องประชุม: CISO ผู้นำความมั่นคงไซเบอร์ที่องค์กรยุคใหม่ขาดไม่ได้ ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร ตำแหน่ง “CISO” หรือ Chief Information Security Officer จึงกลายเป็นหนึ่งในบทบาทที่สำคัญที่สุดในระดับผู้บริหาร โดยมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของข้อมูลและระบบดิจิทัลทั้งหมดขององค์กร แต่รู้ไหมว่า...มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือเท่านั้นที่มี CISO และในบริษัทที่มีรายได้เกินพันล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 15%! หลายองค์กรยังมองว่า cybersecurity เป็นแค่ต้นทุนด้าน IT ไม่ใช่ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ ทำให้ CISO บางคนต้องรายงานต่อ CIO หรือ CSO แทนที่จะได้ที่นั่งในห้องประชุมผู้บริหาร CISO ที่มีอำนาจจริงจะต้องรับผิดชอบตั้งแต่การวางนโยบายความปลอดภัย การจัดการความเสี่ยง การตอบสนองเหตุการณ์ ไปจนถึงการสื่อสารกับบอร์ดและผู้ถือหุ้น พวกเขาต้องมีทั้งความรู้ด้านเทคนิค เช่น DNS, VPN, firewall และความเข้าใจในกฎหมายอย่าง GDPR, HIPAA, SOX รวมถึงทักษะการบริหารและการสื่อสารเชิงธุรกิจ ในปี 2025 บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI, การควบรวมกิจการ และการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ทำให้พวกเขากลายเป็น “ผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร” ไม่ใช่แค่ “ผู้เฝ้าประตูระบบ” ✅ CISO คือผู้บริหารระดับสูงที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยของข้อมูล ➡️ ดูแลทั้งระบบ IT, นโยบาย, การตอบสนองเหตุการณ์ และการบริหารความเสี่ยง ✅ มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือที่มี CISO ➡️ และเพียง 15% ของบริษัทที่มีรายได้เกิน $1B ที่มี CISO ในระดับ C-suite ✅ CISO ที่รายงานตรงต่อ CEO หรือบอร์ดจะมีอิทธิพลมากกว่า ➡️ ช่วยให้การตัดสินใจด้านความปลอดภัยมีน้ำหนักในเชิงกลยุทธ์ ✅ หน้าที่หลักของ CISO ได้แก่: ➡️ Security operations, Cyber risk, Data loss prevention, Architecture, IAM, Program management, Forensics, Governance ✅ คุณสมบัติของ CISO ที่ดีต้องมีทั้งพื้นฐานเทคนิคและทักษะธุรกิจ ➡️ เช่น ความเข้าใจใน DNS, VPN, ethical hacking, compliance และการสื่อสารกับผู้บริหาร ✅ บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI และการควบรวมกิจการ ➡️ ทำให้กลายเป็นผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร ไม่ใช่แค่ฝ่ายเทคนิค ✅ มีการแบ่งประเภท CISO เป็น 3 กลุ่ม: Strategic, Functional, Tactical ➡️ Strategic CISO มีอิทธิพลสูงสุดในองค์กรและได้รับค่าตอบแทนสูง ✅ ความท้าทายใหม่ของ CISO ได้แก่ภัยคุกคามจาก AI, ransomware และ social engineering ➡️ ต้องใช้แนวทางป้องกันที่ปรับตัวได้และเน้นการฝึกอบรมพนักงาน ✅ การมี CISO ที่มี visibility ในบอร์ดช่วยเพิ่มความพึงพอใจในงานและโอกาสเติบโต ➡️ เช่น การสร้างความสัมพันธ์กับบอร์ดนอกการประชุม https://www.csoonline.com/article/566757/what-is-a-ciso-responsibilities-and-requirements-for-this-vital-leadership-role.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What is a CISO? The top IT security leader role explained
    The chief information security officer (CISO) is the executive responsible for an organization’s information and data security. Here’s what it takes to succeed in this role.
    0 Comments 0 Shares 304 Views 0 Reviews
More Results