• Microsoft ขยายเวลาสนับสนุน Office บน Windows 10 ไปจนถึงปี 2028

    Microsoft ได้ประกาศขยายเวลาสนับสนุน Microsoft 365 และ Office apps บน Windows 10 ไปจนถึง 10 ตุลาคม 2028 แม้ว่าการสนับสนุน Windows 10 จะสิ้นสุดใน 14 ตุลาคม 2025 การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก การเปลี่ยนผ่านไปยัง Windows 11 ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้

    ✅ Microsoft 365 apps จะได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยและแก้ไขบั๊กจนถึง 10 ตุลาคม 2028
    - Microsoft แนะนำให้ องค์กรย้ายไปใช้ Windows 11 แต่ยังคงให้การสนับสนุน Windows 10 ต่อไป

    ✅ Windows Defender จะยังคงได้รับการอัปเดตฐานข้อมูลมัลแวร์จนถึงปี 2028
    - ช่วยให้ ผู้ใช้ Windows 10 มีการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ต่อไป

    ✅ Office 2021 และ Office 2024 จะได้รับการสนับสนุนตามนโยบาย Fixed Lifecycle
    - Office 2021 จะได้รับการอัปเดตจนถึง ตุลาคม 2026
    - Office 2024 จะได้รับการอัปเดตจนถึง ตุลาคม 2029

    ✅ Microsoft อธิบายว่าการขยายเวลานี้ช่วยให้ลูกค้าปลอดภัยในช่วงเปลี่ยนผ่านไปยัง Windows 11
    - องค์กรสามารถซื้อ Extended Security Updates (ESU) หลังปี 2025 เพื่อรับการสนับสนุนเพิ่มเติม

    ✅ Microsoft ใช้กลยุทธ์กระตุ้นให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ Windows 11
    - เช่น การทำให้ OneNote บน Windows 10 ทำงานช้าลงเพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้ย้ายไป Windows 11

    https://www.techspot.com/news/107904-microsoft-gives-windows-10-users-three-extra-years.html
    Microsoft ขยายเวลาสนับสนุน Office บน Windows 10 ไปจนถึงปี 2028 Microsoft ได้ประกาศขยายเวลาสนับสนุน Microsoft 365 และ Office apps บน Windows 10 ไปจนถึง 10 ตุลาคม 2028 แม้ว่าการสนับสนุน Windows 10 จะสิ้นสุดใน 14 ตุลาคม 2025 การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก การเปลี่ยนผ่านไปยัง Windows 11 ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ✅ Microsoft 365 apps จะได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยและแก้ไขบั๊กจนถึง 10 ตุลาคม 2028 - Microsoft แนะนำให้ องค์กรย้ายไปใช้ Windows 11 แต่ยังคงให้การสนับสนุน Windows 10 ต่อไป ✅ Windows Defender จะยังคงได้รับการอัปเดตฐานข้อมูลมัลแวร์จนถึงปี 2028 - ช่วยให้ ผู้ใช้ Windows 10 มีการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ต่อไป ✅ Office 2021 และ Office 2024 จะได้รับการสนับสนุนตามนโยบาย Fixed Lifecycle - Office 2021 จะได้รับการอัปเดตจนถึง ตุลาคม 2026 - Office 2024 จะได้รับการอัปเดตจนถึง ตุลาคม 2029 ✅ Microsoft อธิบายว่าการขยายเวลานี้ช่วยให้ลูกค้าปลอดภัยในช่วงเปลี่ยนผ่านไปยัง Windows 11 - องค์กรสามารถซื้อ Extended Security Updates (ESU) หลังปี 2025 เพื่อรับการสนับสนุนเพิ่มเติม ✅ Microsoft ใช้กลยุทธ์กระตุ้นให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ Windows 11 - เช่น การทำให้ OneNote บน Windows 10 ทำงานช้าลงเพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้ย้ายไป Windows 11 https://www.techspot.com/news/107904-microsoft-gives-windows-10-users-three-extra-years.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Microsoft gives Windows 10 users three extra years of Office support
    Earlier this year, Microsoft had clearly stated that Office apps running on Windows 10 would lose support alongside the operating system. Now, Redmond has partially revised its...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • Broadcom กดดันลูกค้า VMware ให้เปลี่ยนไปใช้ระบบสมัครสมาชิก หลังจากเข้าซื้อกิจการ VMware ในปี 2023 Broadcom ได้ดำเนินกลยุทธ์ใหม่ที่ มุ่งเน้นการเปลี่ยนลูกค้าทั้งหมดไปใช้ระบบสมัครสมาชิก โดยล่าสุด Broadcom ได้ส่ง จดหมายแจ้งหยุดการใช้งาน (cease-and-desist letters) ไปยังลูกค้าที่ใช้ ไลเซนส์แบบถาวร เตือนว่าพวกเขาจะไม่ได้รับ แพตช์หรือการแก้ไขข้อบกพร่อง หากไม่สมัครสมาชิก

    Broadcom อ้างว่า การติดตั้งแพตช์โดยไม่มีการสมัครสมาชิกถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ และอาจดำเนินการทางกฎหมายกับลูกค้าที่ฝ่าฝืน

    ✅ Broadcom ส่งจดหมายแจ้งหยุดการใช้งานไปยังลูกค้า VMware ที่ใช้ไลเซนส์แบบถาวร
    - เตือนว่าลูกค้าจะไม่ได้รับ แพตช์หรือการแก้ไขข้อบกพร่อง หากไม่สมัครสมาชิก

    ✅ Broadcom ต้องการให้ลูกค้าทั้งหมดเปลี่ยนไปใช้ระบบสมัครสมาชิก
    - มุ่งเน้น การสร้างรายได้จากค่าบริการรายเดือนแทนการขายไลเซนส์แบบถาวร

    ✅ แพตช์และการแก้ไขข้อบกพร่องถูกจัดเป็นบริการที่ต้องสมัครสมาชิก
    - ลูกค้าที่ไม่มีการสมัครสมาชิก จะไม่ได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัย

    ✅ Broadcom อ้างว่าการติดตั้งแพตช์โดยไม่มีการสมัครสมาชิกถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
    - อาจดำเนินการทางกฎหมายกับลูกค้าที่ฝ่าฝืน

    ✅ มีข้อยกเว้นสำหรับช่องโหว่ Zero-Day ที่มีคะแนน CVSS 9.0 ขึ้นไป
    - Broadcom จะปล่อยแพตช์สำหรับช่องโหว่ร้ายแรงบางรายการ

    https://www.techspot.com/news/107852-broadcom-now-trying-stop-vmware-customers-installing-software.html
    Broadcom กดดันลูกค้า VMware ให้เปลี่ยนไปใช้ระบบสมัครสมาชิก หลังจากเข้าซื้อกิจการ VMware ในปี 2023 Broadcom ได้ดำเนินกลยุทธ์ใหม่ที่ มุ่งเน้นการเปลี่ยนลูกค้าทั้งหมดไปใช้ระบบสมัครสมาชิก โดยล่าสุด Broadcom ได้ส่ง จดหมายแจ้งหยุดการใช้งาน (cease-and-desist letters) ไปยังลูกค้าที่ใช้ ไลเซนส์แบบถาวร เตือนว่าพวกเขาจะไม่ได้รับ แพตช์หรือการแก้ไขข้อบกพร่อง หากไม่สมัครสมาชิก Broadcom อ้างว่า การติดตั้งแพตช์โดยไม่มีการสมัครสมาชิกถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ และอาจดำเนินการทางกฎหมายกับลูกค้าที่ฝ่าฝืน ✅ Broadcom ส่งจดหมายแจ้งหยุดการใช้งานไปยังลูกค้า VMware ที่ใช้ไลเซนส์แบบถาวร - เตือนว่าลูกค้าจะไม่ได้รับ แพตช์หรือการแก้ไขข้อบกพร่อง หากไม่สมัครสมาชิก ✅ Broadcom ต้องการให้ลูกค้าทั้งหมดเปลี่ยนไปใช้ระบบสมัครสมาชิก - มุ่งเน้น การสร้างรายได้จากค่าบริการรายเดือนแทนการขายไลเซนส์แบบถาวร ✅ แพตช์และการแก้ไขข้อบกพร่องถูกจัดเป็นบริการที่ต้องสมัครสมาชิก - ลูกค้าที่ไม่มีการสมัครสมาชิก จะไม่ได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัย ✅ Broadcom อ้างว่าการติดตั้งแพตช์โดยไม่มีการสมัครสมาชิกถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ - อาจดำเนินการทางกฎหมายกับลูกค้าที่ฝ่าฝืน ✅ มีข้อยกเว้นสำหรับช่องโหว่ Zero-Day ที่มีคะแนน CVSS 9.0 ขึ้นไป - Broadcom จะปล่อยแพตช์สำหรับช่องโหว่ร้ายแรงบางรายการ https://www.techspot.com/news/107852-broadcom-now-trying-stop-vmware-customers-installing-software.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Broadcom pressures VMware customers with cease-and-desist letters over perpetual licenses
    Broadcom wants to push every single VMware customer "owning" a perpetual license to a new subscription-based contract, and is willing to antagonize the entire VMware userbase to...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำเนียบขาวของทรัมป์กำลังสร้างจักรวาลสื่อของตัวเอง โดยใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างจากรัฐบาลก่อนหน้า เช่น การจัดบรีฟพิเศษสำหรับอินฟลูเอนเซอร์ และการเผยแพร่ มีมของทรัมป์ในบทบาทต่าง ๆ เช่น พระสันตะปาปาและเจไดจาก Star Wars

    ตั้งแต่ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม 2025 ทีมของเขาได้ให้ความสำคัญกับ สื่อฝ่ายขวาและแพลตฟอร์มออนไลน์ มากขึ้น เพื่อ ลดบทบาทของสื่อดั้งเดิมและควบคุมการนำเสนอข่าว

    ✅ ทำเนียบขาวของทรัมป์ให้ความสำคัญกับสื่อฝ่ายขวาและแพลตฟอร์มออนไลน์
    - ลดบทบาทของ สื่อดั้งเดิม เช่น CNN และ The New York Times
    - ใช้ Truth Social เป็นช่องทางหลักในการเผยแพร่ข้อมูล

    ✅ มีการจัดบรีฟพิเศษสำหรับอินฟลูเอนเซอร์แทนสื่อหลัก
    - ทำให้ อินฟลูเอนเซอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลก่อนสื่อดั้งเดิม
    - ส่งเสริม การเผยแพร่ข่าวในรูปแบบที่สนับสนุนทรัมป์

    ✅ มีการเผยแพร่มีมของทรัมป์ในบทบาทต่าง ๆ เช่น พระสันตะปาปาและเจไดจาก Star Wars
    - มีมของทรัมป์ในชุดพระสันตะปาปาถูกโพสต์บน Truth Social หลังจากเขาเข้าร่วมพิธีศพของโป๊ปฟรานซิส

    ✅ กลยุทธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของสงครามสื่อที่ทรัมป์ใช้มาตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2016
    - เน้นการ ควบคุมการนำเสนอข่าวและลดอิทธิพลของสื่อที่วิจารณ์เขา

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/07/trump039s-white-house-creates-own-media-universe
    ทำเนียบขาวของทรัมป์กำลังสร้างจักรวาลสื่อของตัวเอง โดยใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างจากรัฐบาลก่อนหน้า เช่น การจัดบรีฟพิเศษสำหรับอินฟลูเอนเซอร์ และการเผยแพร่ มีมของทรัมป์ในบทบาทต่าง ๆ เช่น พระสันตะปาปาและเจไดจาก Star Wars ตั้งแต่ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม 2025 ทีมของเขาได้ให้ความสำคัญกับ สื่อฝ่ายขวาและแพลตฟอร์มออนไลน์ มากขึ้น เพื่อ ลดบทบาทของสื่อดั้งเดิมและควบคุมการนำเสนอข่าว ✅ ทำเนียบขาวของทรัมป์ให้ความสำคัญกับสื่อฝ่ายขวาและแพลตฟอร์มออนไลน์ - ลดบทบาทของ สื่อดั้งเดิม เช่น CNN และ The New York Times - ใช้ Truth Social เป็นช่องทางหลักในการเผยแพร่ข้อมูล ✅ มีการจัดบรีฟพิเศษสำหรับอินฟลูเอนเซอร์แทนสื่อหลัก - ทำให้ อินฟลูเอนเซอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลก่อนสื่อดั้งเดิม - ส่งเสริม การเผยแพร่ข่าวในรูปแบบที่สนับสนุนทรัมป์ ✅ มีการเผยแพร่มีมของทรัมป์ในบทบาทต่าง ๆ เช่น พระสันตะปาปาและเจไดจาก Star Wars - มีมของทรัมป์ในชุดพระสันตะปาปาถูกโพสต์บน Truth Social หลังจากเขาเข้าร่วมพิธีศพของโป๊ปฟรานซิส ✅ กลยุทธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของสงครามสื่อที่ทรัมป์ใช้มาตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2016 - เน้นการ ควบคุมการนำเสนอข่าวและลดอิทธิพลของสื่อที่วิจารณ์เขา https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/07/trump039s-white-house-creates-own-media-universe
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Trump's White House creates own media universe
    Former reality TV star Trump and his team have had a strong social media game since his first presidency from 2017-2021.
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon เปิดเผยว่า ธุรกิจในสหราชอาณาจักรมีการนำ AI มาใช้ทุก ๆ 60 วินาที โดยอัตราการนำ AI มาใช้เพิ่มขึ้น 33% ในปีที่ผ่านมา ทำให้ 52% ของธุรกิจในสหราชอาณาจักรใช้ AI เทียบกับ 39% ในปีที่แล้ว

    แม้ว่าธุรกิจขนาดใหญ่และสตาร์ทอัพจะมีอัตราการนำ AI มาใช้ใกล้เคียงกันที่ 55% และ 59% ตามลำดับ แต่สตาร์ทอัพมีความพร้อมมากกว่า โดย 31% มีแผนกลยุทธ์ด้าน AI ที่ชัดเจน เทียบกับ 15% ของธุรกิจขนาดใหญ่

    ✅ ธุรกิจในสหราชอาณาจักรนำ AI มาใช้ทุก ๆ 60 วินาที
    - อัตราการนำ AI มาใช้เพิ่มขึ้น 33% ในปีที่ผ่านมา
    - 52% ของธุรกิจในสหราชอาณาจักรใช้ AI เทียบกับ 39% ในปีที่แล้ว

    ✅ สตาร์ทอัพมีความพร้อมด้าน AI มากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่
    - 31% ของสตาร์ทอัพมีแผนกลยุทธ์ด้าน AI เทียบกับ 15% ของธุรกิจขนาดใหญ่
    - ธุรกิจขนาดใหญ่ยังต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี

    ✅ 92% ของธุรกิจที่ใช้ AI รายงานว่ารายได้เพิ่มขึ้น
    - เทียบกับ 64% ในปี 2024

    ✅ AWS เปิดตัวโครงการฝึกอบรม AI ในสหราชอาณาจักร
    - ตั้งเป้า ฝึกอบรมประชาชน 100,000 คนภายในปี 2030
    - ร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Exeter และ Manchester

    ✅ AI literacy จะเป็นทักษะที่สำคัญในตลาดแรงงาน
    - 47% ของตำแหน่งงานใหม่ในอีก 3 ปีข้างหน้าจะต้องการทักษะด้าน AI

    https://www.techradar.com/pro/amazon-says-one-business-per-second-is-adopting-ai
    Amazon เปิดเผยว่า ธุรกิจในสหราชอาณาจักรมีการนำ AI มาใช้ทุก ๆ 60 วินาที โดยอัตราการนำ AI มาใช้เพิ่มขึ้น 33% ในปีที่ผ่านมา ทำให้ 52% ของธุรกิจในสหราชอาณาจักรใช้ AI เทียบกับ 39% ในปีที่แล้ว แม้ว่าธุรกิจขนาดใหญ่และสตาร์ทอัพจะมีอัตราการนำ AI มาใช้ใกล้เคียงกันที่ 55% และ 59% ตามลำดับ แต่สตาร์ทอัพมีความพร้อมมากกว่า โดย 31% มีแผนกลยุทธ์ด้าน AI ที่ชัดเจน เทียบกับ 15% ของธุรกิจขนาดใหญ่ ✅ ธุรกิจในสหราชอาณาจักรนำ AI มาใช้ทุก ๆ 60 วินาที - อัตราการนำ AI มาใช้เพิ่มขึ้น 33% ในปีที่ผ่านมา - 52% ของธุรกิจในสหราชอาณาจักรใช้ AI เทียบกับ 39% ในปีที่แล้ว ✅ สตาร์ทอัพมีความพร้อมด้าน AI มากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ - 31% ของสตาร์ทอัพมีแผนกลยุทธ์ด้าน AI เทียบกับ 15% ของธุรกิจขนาดใหญ่ - ธุรกิจขนาดใหญ่ยังต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ✅ 92% ของธุรกิจที่ใช้ AI รายงานว่ารายได้เพิ่มขึ้น - เทียบกับ 64% ในปี 2024 ✅ AWS เปิดตัวโครงการฝึกอบรม AI ในสหราชอาณาจักร - ตั้งเป้า ฝึกอบรมประชาชน 100,000 คนภายในปี 2030 - ร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Exeter และ Manchester ✅ AI literacy จะเป็นทักษะที่สำคัญในตลาดแรงงาน - 47% ของตำแหน่งงานใหม่ในอีก 3 ปีข้างหน้าจะต้องการทักษะด้าน AI https://www.techradar.com/pro/amazon-says-one-business-per-second-is-adopting-ai
    WWW.TECHRADAR.COM
    Amazon says one business per second is adopting AI
    AI adoption is strong across the UK, AWS finds
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • Constellation Energy กำลังปรับกลยุทธ์ใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่ โครงการศูนย์ข้อมูล AI ที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้า แทนที่จะใช้พลังงานจากโรงไฟฟ้าโดยตรง

    บริษัทพลังงานหลายแห่งกำลังทำข้อตกลงใหม่กับ Big Tech เพื่อจัดหาพลังงานให้กับศูนย์ข้อมูล AI ซึ่งต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล โดยหนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมคือ การเชื่อมต่อศูนย์ข้อมูล AI เข้ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์โดยตรง แทนที่จะรอเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้า

    ✅ Constellation Energy มุ่งเน้นไปที่โครงการศูนย์ข้อมูล AI ที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้า
    - เปลี่ยนแนวทางจาก การใช้พลังงานจากโรงไฟฟ้าโดยตรง
    - ช่วยให้ การจัดหาพลังงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

    ✅ Big Tech กำลังทำข้อตกลงใหม่กับบริษัทพลังงาน
    - เพื่อจัดหาพลังงานให้กับ ศูนย์ข้อมูล AI ที่ต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล
    - หนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมคือ การเชื่อมต่อศูนย์ข้อมูล AI เข้ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์โดยตรง

    ✅ แนวโน้มของการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI
    - ศูนย์ข้อมูล AI ต้องการ พลังงานจำนวนมากเพื่อรองรับการประมวลผล
    - การเชื่อมต่อกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ช่วยให้ มีเสถียรภาพด้านพลังงานมากขึ้น

    ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพลังงานและเทคโนโลยี
    - อาจทำให้ บริษัทพลังงานต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับความต้องการของ Big Tech
    - อาจช่วยให้ การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/06/constellation-refocusing-on-grid-connected-ai-data-center-power-projects
    Constellation Energy กำลังปรับกลยุทธ์ใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่ โครงการศูนย์ข้อมูล AI ที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้า แทนที่จะใช้พลังงานจากโรงไฟฟ้าโดยตรง บริษัทพลังงานหลายแห่งกำลังทำข้อตกลงใหม่กับ Big Tech เพื่อจัดหาพลังงานให้กับศูนย์ข้อมูล AI ซึ่งต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล โดยหนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมคือ การเชื่อมต่อศูนย์ข้อมูล AI เข้ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์โดยตรง แทนที่จะรอเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้า ✅ Constellation Energy มุ่งเน้นไปที่โครงการศูนย์ข้อมูล AI ที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้า - เปลี่ยนแนวทางจาก การใช้พลังงานจากโรงไฟฟ้าโดยตรง - ช่วยให้ การจัดหาพลังงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ✅ Big Tech กำลังทำข้อตกลงใหม่กับบริษัทพลังงาน - เพื่อจัดหาพลังงานให้กับ ศูนย์ข้อมูล AI ที่ต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล - หนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมคือ การเชื่อมต่อศูนย์ข้อมูล AI เข้ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์โดยตรง ✅ แนวโน้มของการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI - ศูนย์ข้อมูล AI ต้องการ พลังงานจำนวนมากเพื่อรองรับการประมวลผล - การเชื่อมต่อกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ช่วยให้ มีเสถียรภาพด้านพลังงานมากขึ้น ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพลังงานและเทคโนโลยี - อาจทำให้ บริษัทพลังงานต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับความต้องการของ Big Tech - อาจช่วยให้ การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/06/constellation-refocusing-on-grid-connected-ai-data-center-power-projects
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Constellation refocusing on grid-connected AI data center power projects
    NEW YORK (Reuters) -Constellation Energy is increasingly focused on potential data center projects that connect to the U.S. electrical grid in a pivot away from the company's previous emphasis on fueling the giant server warehouses directly from its power plants, company executives said on Tuesday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึง แนวทางการใช้ Threat Intelligence อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถ ป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้ดีขึ้น

    Threat Intelligence Platform (TIP) เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ องค์กรสามารถตรวจจับ, วิเคราะห์ และตอบสนองต่อภัยคุกคาม ได้อย่างรวดเร็ว โดยมีหลายรูปแบบ เช่น บริการคลาวด์ที่มีการจัดการ หรือชุดเครื่องมือที่รวมการตรวจจับภัยคุกคาม, การตอบสนองต่อเหตุการณ์ และการจัดการช่องโหว่

    อย่างไรก็ตาม CISOs มักทำผิดพลาดในการเลือกใช้ TIP เช่น พึ่งพาข้อมูลภัยคุกคามที่ไม่มีคุณภาพ, เลือกแหล่งข้อมูลที่ไม่เหมาะสม หรือไม่มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการใช้งาน

    ✅ เลือกใช้ข้อมูลภัยคุกคามที่มีคุณภาพมากกว่าปริมาณ
    - ควรตรวจสอบ แหล่งข้อมูลภัยคุกคามที่ใช้ และ จำนวนฟีดข้อมูลที่ประมวลผล
    - ใช้ TAXII และ STIX เพื่อเพิ่มความแม่นยำของข้อมูล

    ✅ เลือก TIP ที่เหมาะสมกับระดับความปลอดภัยขององค์กร
    - หากองค์กรมี ทีมรักษาความปลอดภัยขนาดเล็ก อาจไม่จำเป็นต้องใช้ TIP ที่ซับซ้อน
    - ควรเลือก TIP ที่สามารถ ผสานรวมกับเครื่องมือรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่

    ✅ จัดการกระบวนการหลังเกิดเหตุการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ
    - TIP ที่ดีควรสามารถ จัดการการตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อย่างรวดเร็ว
    - ควรสามารถ ผสานรวมกับ SOAR, SIEM และ XDR เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนอง

    ✅ ใช้ Threat Intelligence เพื่อดำเนินการที่เป็นรูปธรรม
    - ควรใช้ข้อมูลภัยคุกคามเพื่อ อัปเดตแพตช์, ปรับปรุงการตั้งค่าความปลอดภัย และปิดกั้นอุปกรณ์ที่มีความเสี่ยง
    - ควรมี แดชบอร์ดที่ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ภัยคุกคามได้แบบเรียลไทม์

    ✅ เข้าใจการทำงานของเครื่องมือที่ใช้ AI ใน TIP
    - ควรตรวจสอบว่า AI ใน TIP ทำงานอย่างไร และมีข้อจำกัดอะไรบ้าง
    - นักวิเคราะห์ควร ตั้งข้อสงสัยต่อข้อมูลที่ AI ให้มา และตรวจสอบกับแหล่งข้อมูลจริง

    ‼️ การใช้ข้อมูลภัยคุกคามที่ไม่มีคุณภาพอาจทำให้เกิดข้อมูลผิดพลาด
    - ควรเลือกแหล่งข้อมูลที่ มีความน่าเชื่อถือและสามารถตรวจสอบได้

    ‼️ TIP ที่ซับซ้อนเกินไปอาจไม่เหมาะกับองค์กรขนาดเล็ก
    - ควรเลือก TIP ที่ เหมาะสมกับขนาดและความซับซ้อนของโครงสร้างพื้นฐานขององค์กร

    ‼️ AI ใน TIP อาจมีข้อจำกัดในการวิเคราะห์ภัยคุกคาม
    - นักวิเคราะห์ควร ตรวจสอบข้อมูลที่ AI ให้มา และเปรียบเทียบกับพฤติกรรมภัยคุกคามจริง

    https://www.csoonline.com/article/3975448/top-tips-for-successful-threat-intelligence-usage.html
    บทความนี้กล่าวถึง แนวทางการใช้ Threat Intelligence อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถ ป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้ดีขึ้น Threat Intelligence Platform (TIP) เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ องค์กรสามารถตรวจจับ, วิเคราะห์ และตอบสนองต่อภัยคุกคาม ได้อย่างรวดเร็ว โดยมีหลายรูปแบบ เช่น บริการคลาวด์ที่มีการจัดการ หรือชุดเครื่องมือที่รวมการตรวจจับภัยคุกคาม, การตอบสนองต่อเหตุการณ์ และการจัดการช่องโหว่ อย่างไรก็ตาม CISOs มักทำผิดพลาดในการเลือกใช้ TIP เช่น พึ่งพาข้อมูลภัยคุกคามที่ไม่มีคุณภาพ, เลือกแหล่งข้อมูลที่ไม่เหมาะสม หรือไม่มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการใช้งาน ✅ เลือกใช้ข้อมูลภัยคุกคามที่มีคุณภาพมากกว่าปริมาณ - ควรตรวจสอบ แหล่งข้อมูลภัยคุกคามที่ใช้ และ จำนวนฟีดข้อมูลที่ประมวลผล - ใช้ TAXII และ STIX เพื่อเพิ่มความแม่นยำของข้อมูล ✅ เลือก TIP ที่เหมาะสมกับระดับความปลอดภัยขององค์กร - หากองค์กรมี ทีมรักษาความปลอดภัยขนาดเล็ก อาจไม่จำเป็นต้องใช้ TIP ที่ซับซ้อน - ควรเลือก TIP ที่สามารถ ผสานรวมกับเครื่องมือรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่ ✅ จัดการกระบวนการหลังเกิดเหตุการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ - TIP ที่ดีควรสามารถ จัดการการตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อย่างรวดเร็ว - ควรสามารถ ผสานรวมกับ SOAR, SIEM และ XDR เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนอง ✅ ใช้ Threat Intelligence เพื่อดำเนินการที่เป็นรูปธรรม - ควรใช้ข้อมูลภัยคุกคามเพื่อ อัปเดตแพตช์, ปรับปรุงการตั้งค่าความปลอดภัย และปิดกั้นอุปกรณ์ที่มีความเสี่ยง - ควรมี แดชบอร์ดที่ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ภัยคุกคามได้แบบเรียลไทม์ ✅ เข้าใจการทำงานของเครื่องมือที่ใช้ AI ใน TIP - ควรตรวจสอบว่า AI ใน TIP ทำงานอย่างไร และมีข้อจำกัดอะไรบ้าง - นักวิเคราะห์ควร ตั้งข้อสงสัยต่อข้อมูลที่ AI ให้มา และตรวจสอบกับแหล่งข้อมูลจริง ‼️ การใช้ข้อมูลภัยคุกคามที่ไม่มีคุณภาพอาจทำให้เกิดข้อมูลผิดพลาด - ควรเลือกแหล่งข้อมูลที่ มีความน่าเชื่อถือและสามารถตรวจสอบได้ ‼️ TIP ที่ซับซ้อนเกินไปอาจไม่เหมาะกับองค์กรขนาดเล็ก - ควรเลือก TIP ที่ เหมาะสมกับขนาดและความซับซ้อนของโครงสร้างพื้นฐานขององค์กร ‼️ AI ใน TIP อาจมีข้อจำกัดในการวิเคราะห์ภัยคุกคาม - นักวิเคราะห์ควร ตรวจสอบข้อมูลที่ AI ให้มา และเปรียบเทียบกับพฤติกรรมภัยคุกคามจริง https://www.csoonline.com/article/3975448/top-tips-for-successful-threat-intelligence-usage.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Top tips for successful threat intelligence usage
    The key message is to narrow the intelligence down to the tools and data in your organization rather than having access to intelligence that will only slow down the process.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้วิเคราะห์แนวโน้มของ การนำ Custom ASIC มาใช้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยตั้งคำถามว่าเราอาจกำลังเข้าใกล้ จุดสูงสุดของการพัฒนาและการนำไปใช้ หรือไม่

    ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทที่ไม่ใช่ผู้ผลิตชิปโดยตรง ได้เริ่มออกแบบชิปของตัวเองแทนที่จะซื้อจากผู้ผลิตทั่วไป เช่น Apple และ Google ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถ ควบคุมประสิทธิภาพและการทำงานของผลิตภัณฑ์ได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้นทุนในการออกแบบและผลิตชิปเฉพาะทางสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บางบริษัทเริ่ม ทบทวนกลยุทธ์และลดขอบเขตของการพัฒนา

    แม้ว่าบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Microsoft และ Meta จะยังคงพัฒนา Custom ASIC แต่พวกเขากำลังเผชิญกับ ความท้าทายในการนำชิปออกสู่ตลาด นอกจากนี้ Google ซึ่งมีเครื่องมือออกแบบชิปของตัวเอง ก็เริ่ม ชะลอการเปิดตัวชิปรุ่นใหม่

    ✅ บริษัทที่ไม่ใช่ผู้ผลิตชิปโดยตรงเริ่มออกแบบชิปของตัวเอง
    - ตัวอย่างเช่น Apple และ Google
    - ช่วยให้สามารถ ควบคุมประสิทธิภาพและการทำงานของผลิตภัณฑ์ได้ดีขึ้น

    ✅ ต้นทุนในการออกแบบและผลิตชิปเฉพาะทางสูงขึ้น
    - ค่าใช้จ่ายด้าน บุคลากร, สิทธิบัตร และการผลิต เพิ่มขึ้น
    - ทำให้บางบริษัท เริ่มลดขอบเขตของการพัฒนา

    ✅ Microsoft และ Meta กำลังเผชิญกับความท้าทายในการนำชิปออกสู่ตลาด
    - อาจต้อง ปรับกลยุทธ์เพื่อให้สามารถแข่งขันได้
    - Google ก็เริ่ม ชะลอการเปิดตัวชิปรุ่นใหม่

    ✅ แนวโน้มของอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนและยานยนต์
    - Samsung ลดการใช้ ชิปที่ออกแบบเอง
    - ผู้ผลิตรถยนต์ยังคง พิจารณาว่าควรพัฒนา Custom ASIC หรือไม่

    https://www.techspot.com/news/107803-opinion-nearing-peak-custom-asic-adoption.html
    บทความนี้วิเคราะห์แนวโน้มของ การนำ Custom ASIC มาใช้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยตั้งคำถามว่าเราอาจกำลังเข้าใกล้ จุดสูงสุดของการพัฒนาและการนำไปใช้ หรือไม่ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทที่ไม่ใช่ผู้ผลิตชิปโดยตรง ได้เริ่มออกแบบชิปของตัวเองแทนที่จะซื้อจากผู้ผลิตทั่วไป เช่น Apple และ Google ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถ ควบคุมประสิทธิภาพและการทำงานของผลิตภัณฑ์ได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้นทุนในการออกแบบและผลิตชิปเฉพาะทางสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บางบริษัทเริ่ม ทบทวนกลยุทธ์และลดขอบเขตของการพัฒนา แม้ว่าบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Microsoft และ Meta จะยังคงพัฒนา Custom ASIC แต่พวกเขากำลังเผชิญกับ ความท้าทายในการนำชิปออกสู่ตลาด นอกจากนี้ Google ซึ่งมีเครื่องมือออกแบบชิปของตัวเอง ก็เริ่ม ชะลอการเปิดตัวชิปรุ่นใหม่ ✅ บริษัทที่ไม่ใช่ผู้ผลิตชิปโดยตรงเริ่มออกแบบชิปของตัวเอง - ตัวอย่างเช่น Apple และ Google - ช่วยให้สามารถ ควบคุมประสิทธิภาพและการทำงานของผลิตภัณฑ์ได้ดีขึ้น ✅ ต้นทุนในการออกแบบและผลิตชิปเฉพาะทางสูงขึ้น - ค่าใช้จ่ายด้าน บุคลากร, สิทธิบัตร และการผลิต เพิ่มขึ้น - ทำให้บางบริษัท เริ่มลดขอบเขตของการพัฒนา ✅ Microsoft และ Meta กำลังเผชิญกับความท้าทายในการนำชิปออกสู่ตลาด - อาจต้อง ปรับกลยุทธ์เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ - Google ก็เริ่ม ชะลอการเปิดตัวชิปรุ่นใหม่ ✅ แนวโน้มของอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนและยานยนต์ - Samsung ลดการใช้ ชิปที่ออกแบบเอง - ผู้ผลิตรถยนต์ยังคง พิจารณาว่าควรพัฒนา Custom ASIC หรือไม่ https://www.techspot.com/news/107803-opinion-nearing-peak-custom-asic-adoption.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Opinion: Are we nearing the peak of custom ASIC adoption?
    We think it is important to remember that the case for custom silicon is an economic choice, not a technical one.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • Eutelsat ซึ่งเป็นผู้ให้บริการดาวเทียม Franco-British ได้ประกาศเปลี่ยน CEO โดยแต่งตั้ง Jean-Francois Fallacher ซึ่งปัจจุบันเป็น CEO ของ Orange France ให้เข้ารับตำแหน่งแทน Eva Berneke ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2025

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ Eutelsat ต้องการเงินทุนเพิ่มเติม และมีบทบาทสำคัญใน การสื่อสารด้านกลาโหมของยุโรป ทำให้การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารครั้งนี้ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ

    ✅ Eutelsat แต่งตั้ง Jean-Francois Fallacher เป็น CEO คนใหม่
    - ปัจจุบันเป็น CEO ของ Orange France
    - จะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 1 มิถุนายน 2025

    ✅ Eva Berneke ลงจากตำแหน่งหลังจากดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2022
    - เป็นผู้นำที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านดาวเทียม

    ✅ Eutelsat ต้องการเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อขยายธุรกิจ
    - มีบทบาทสำคัญใน การสื่อสารด้านกลาโหมของยุโรป
    - อาจมีการปรับกลยุทธ์เพื่อดึงดูดนักลงทุน

    ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมดาวเทียมและการสื่อสาร
    - อาจส่งผลต่อ การแข่งขันในตลาดดาวเทียมระดับโลก
    - อาจมีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินธุรกิจของ Eutelsat

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/05/eutelsat-appointed-jean-franois-fallacher-as-new-ceo
    Eutelsat ซึ่งเป็นผู้ให้บริการดาวเทียม Franco-British ได้ประกาศเปลี่ยน CEO โดยแต่งตั้ง Jean-Francois Fallacher ซึ่งปัจจุบันเป็น CEO ของ Orange France ให้เข้ารับตำแหน่งแทน Eva Berneke ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2025 การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ Eutelsat ต้องการเงินทุนเพิ่มเติม และมีบทบาทสำคัญใน การสื่อสารด้านกลาโหมของยุโรป ทำให้การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารครั้งนี้ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ✅ Eutelsat แต่งตั้ง Jean-Francois Fallacher เป็น CEO คนใหม่ - ปัจจุบันเป็น CEO ของ Orange France - จะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 1 มิถุนายน 2025 ✅ Eva Berneke ลงจากตำแหน่งหลังจากดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2022 - เป็นผู้นำที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านดาวเทียม ✅ Eutelsat ต้องการเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อขยายธุรกิจ - มีบทบาทสำคัญใน การสื่อสารด้านกลาโหมของยุโรป - อาจมีการปรับกลยุทธ์เพื่อดึงดูดนักลงทุน ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมดาวเทียมและการสื่อสาร - อาจส่งผลต่อ การแข่งขันในตลาดดาวเทียมระดับโลก - อาจมีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินธุรกิจของ Eutelsat https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/05/eutelsat-appointed-jean-franois-fallacher-as-new-ceo
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Eutelsat replaces CEO with Orange executive in surprise move
    PARIS (Reuters) - Franco-British satellite operator Eutelsat will replace its CEO with Orange executive Jean-Francois Fallacher, it said on Monday, in a surprise move by a company in the spotlight for its role in European defence communications.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung ประสบปัญหาขาดทุน 400 ล้านดอลลาร์ หลังจากตัดสินใจ ยกเลิกการใช้ชิป Exynos 2500 ในสมาร์ทโฟน Galaxy S25 Series เนื่องจากปัญหาด้าน ผลผลิตต่ำและประสิทธิภาพที่ไม่สามารถแข่งขันกับ Snapdragon 8 Elite ได้

    เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้ในอนาคต Samsung มีแผนที่จะเปิดตัว Exynos 2600 ใน Galaxy S26 Series โดยคาดว่าจะใช้เฉพาะใน รุ่นที่จำหน่ายในยุโรป เนื่องจากปัญหาด้านผลผลิตที่ยังคงต่ำ

    ✅ Samsung ขาดทุน 400 ล้านดอลลาร์จากการยกเลิก Exynos 2500
    - ตัดสินใจใช้ Snapdragon 8 Elite ใน Galaxy S25 Series
    - ผลผลิตของ Exynos 2500 ต่ำและไม่สามารถแข่งขันกับ Snapdragon ได้

    ✅ Exynos 2600 อาจถูกใช้ใน Galaxy S26 รุ่นยุโรป
    - ผลผลิตยังคงต่ำ ทำให้มีการจำกัดการใช้งานในบางรุ่น
    - คาดว่า Snapdragon 8 Elite Gen 2 จะยังคงมีประสิทธิภาพเหนือกว่า

    ✅ Samsung ตั้งเป้าปรับปรุงกระบวนการผลิต 2nm GAA
    - ตั้งเป้าให้ ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 60% เพื่อรองรับการผลิตเต็มรูปแบบ
    - คาดว่าจะเริ่มการผลิตจำนวนมากใน ครึ่งหลังของปี 2025

    ✅ ผลกระทบต่อกลยุทธ์ของ Samsung ในตลาดชิปเซ็ต
    - Samsung ต้องการลดต้นทุนการผลิตชิปโดยใช้ Exynos 2600
    - อาจมีการเปิดตัว Exynos 2600 ใน Galaxy Z Flip 7

    https://wccftech.com/samsung-lost-400-million-for-dropping-exynos-2500-in-the-galaxy-s25-series/
    Samsung ประสบปัญหาขาดทุน 400 ล้านดอลลาร์ หลังจากตัดสินใจ ยกเลิกการใช้ชิป Exynos 2500 ในสมาร์ทโฟน Galaxy S25 Series เนื่องจากปัญหาด้าน ผลผลิตต่ำและประสิทธิภาพที่ไม่สามารถแข่งขันกับ Snapdragon 8 Elite ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้ในอนาคต Samsung มีแผนที่จะเปิดตัว Exynos 2600 ใน Galaxy S26 Series โดยคาดว่าจะใช้เฉพาะใน รุ่นที่จำหน่ายในยุโรป เนื่องจากปัญหาด้านผลผลิตที่ยังคงต่ำ ✅ Samsung ขาดทุน 400 ล้านดอลลาร์จากการยกเลิก Exynos 2500 - ตัดสินใจใช้ Snapdragon 8 Elite ใน Galaxy S25 Series - ผลผลิตของ Exynos 2500 ต่ำและไม่สามารถแข่งขันกับ Snapdragon ได้ ✅ Exynos 2600 อาจถูกใช้ใน Galaxy S26 รุ่นยุโรป - ผลผลิตยังคงต่ำ ทำให้มีการจำกัดการใช้งานในบางรุ่น - คาดว่า Snapdragon 8 Elite Gen 2 จะยังคงมีประสิทธิภาพเหนือกว่า ✅ Samsung ตั้งเป้าปรับปรุงกระบวนการผลิต 2nm GAA - ตั้งเป้าให้ ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 60% เพื่อรองรับการผลิตเต็มรูปแบบ - คาดว่าจะเริ่มการผลิตจำนวนมากใน ครึ่งหลังของปี 2025 ✅ ผลกระทบต่อกลยุทธ์ของ Samsung ในตลาดชิปเซ็ต - Samsung ต้องการลดต้นทุนการผลิตชิปโดยใช้ Exynos 2600 - อาจมีการเปิดตัว Exynos 2600 ใน Galaxy Z Flip 7 https://wccftech.com/samsung-lost-400-million-for-dropping-exynos-2500-in-the-galaxy-s25-series/
    WCCFTECH.COM
    Samsung Was Estimated To Lose Around $400 Million After It Decided To Drop The Exynos 2500 For The Galaxy S25 Series; European Galaxy S26 Models To Be Equipped With Exynos 2600
    The Exynos 2600 will apparently be found in some Galaxy S26 variants, as Samsung was estimated to lose $400 million for dropping the Exynos 2500
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung กำลังต่อสู้กับ คำสั่งเรียกเก็บภาษีมูลค่า 520 ล้านดอลลาร์ จากรัฐบาลอินเดีย โดยอ้างว่า บริษัท Reliance Jio เคยนำเข้าอุปกรณ์เดียวกันโดยไม่เสียภาษี เป็นเวลาหลายปี

    รัฐบาลอินเดียกล่าวหาว่า Samsung หลีกเลี่ยงภาษี 10-20% โดยการ จัดประเภทผิดพลาด สำหรับอุปกรณ์เครือข่ายที่นำเข้าจาก เกาหลีและเวียดนาม ระหว่างปี 2018-2021 ซึ่งถูกขายให้กับ Reliance Jio

    Samsung โต้แย้งว่า หน่วยงานภาษีอินเดียรับรู้ถึงแนวทางการนำเข้านี้มานานแล้ว และไม่เคยตั้งคำถามเกี่ยวกับการจัดประเภทสินค้าจนกระทั่งปี 2025

    ✅ Samsung ถูกเรียกเก็บภาษี 520 ล้านดอลลาร์จากรัฐบาลอินเดีย
    - ถูกกล่าวหาว่า จัดประเภทผิดพลาด สำหรับอุปกรณ์เครือข่าย
    - อุปกรณ์ดังกล่าวถูกขายให้กับ Reliance Jio

    ✅ ข้อโต้แย้งของ Samsung
    - อ้างว่า Reliance Jio เคยนำเข้าอุปกรณ์เดียวกันโดยไม่เสียภาษี
    - หน่วยงานภาษีอินเดีย รับรู้ถึงแนวทางนี้มานานแล้ว

    ✅ ผลกระทบต่อธุรกิจของ Samsung ในอินเดีย
    - คำสั่งเรียกเก็บภาษีคิดเป็น มากกว่า 50% ของกำไรสุทธิของ Samsung ในอินเดียปีที่แล้ว
    - อาจส่งผลต่อ กลยุทธ์ทางธุรกิจของ Samsung ในตลาดอินเดีย

    ✅ แนวทางการต่อสู้ของ Samsung
    - ยื่นคำร้องต่อ ศาลภาษีในมุมไบ
    - อ้างว่า ไม่ได้รับโอกาสที่เป็นธรรมในการนำเสนอหลักฐาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/04/samsung-fights-520-million-india-tax-demand-points-to-reliance-practice
    Samsung กำลังต่อสู้กับ คำสั่งเรียกเก็บภาษีมูลค่า 520 ล้านดอลลาร์ จากรัฐบาลอินเดีย โดยอ้างว่า บริษัท Reliance Jio เคยนำเข้าอุปกรณ์เดียวกันโดยไม่เสียภาษี เป็นเวลาหลายปี รัฐบาลอินเดียกล่าวหาว่า Samsung หลีกเลี่ยงภาษี 10-20% โดยการ จัดประเภทผิดพลาด สำหรับอุปกรณ์เครือข่ายที่นำเข้าจาก เกาหลีและเวียดนาม ระหว่างปี 2018-2021 ซึ่งถูกขายให้กับ Reliance Jio Samsung โต้แย้งว่า หน่วยงานภาษีอินเดียรับรู้ถึงแนวทางการนำเข้านี้มานานแล้ว และไม่เคยตั้งคำถามเกี่ยวกับการจัดประเภทสินค้าจนกระทั่งปี 2025 ✅ Samsung ถูกเรียกเก็บภาษี 520 ล้านดอลลาร์จากรัฐบาลอินเดีย - ถูกกล่าวหาว่า จัดประเภทผิดพลาด สำหรับอุปกรณ์เครือข่าย - อุปกรณ์ดังกล่าวถูกขายให้กับ Reliance Jio ✅ ข้อโต้แย้งของ Samsung - อ้างว่า Reliance Jio เคยนำเข้าอุปกรณ์เดียวกันโดยไม่เสียภาษี - หน่วยงานภาษีอินเดีย รับรู้ถึงแนวทางนี้มานานแล้ว ✅ ผลกระทบต่อธุรกิจของ Samsung ในอินเดีย - คำสั่งเรียกเก็บภาษีคิดเป็น มากกว่า 50% ของกำไรสุทธิของ Samsung ในอินเดียปีที่แล้ว - อาจส่งผลต่อ กลยุทธ์ทางธุรกิจของ Samsung ในตลาดอินเดีย ✅ แนวทางการต่อสู้ของ Samsung - ยื่นคำร้องต่อ ศาลภาษีในมุมไบ - อ้างว่า ไม่ได้รับโอกาสที่เป็นธรรมในการนำเสนอหลักฐาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/04/samsung-fights-520-million-india-tax-demand-points-to-reliance-practice
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Samsung fights $520 million India tax demand, points to Reliance practice
    NEW DELHI (Reuters) -Samsung has asked an Indian tribunal to quash a $520 million tax demand for allegedly misclassifying imports of networking gear, arguing officials were aware of the practice as India's Reliance imported the same component in a similar manner for years, documents show.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ยืนยันว่าต้องการ แยกธุรกิจโฆษณาของ Google เพื่อลดการผูกขาดในตลาดโฆษณาดิจิทัล โดยศาลได้กำหนดให้มีการพิจารณาคดีในเดือนกันยายนนี้

    DOJ กำลังผลักดันให้ Google ขายธุรกิจโฆษณาบางส่วน เช่น Ad Exchange และ Publisher Ad Server เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับตลาดโฆษณาออนไลน์ หลังจากที่ศาลตัดสินว่า Google ใช้วิธีที่ไม่เป็นธรรมในการรักษาอำนาจผูกขาด

    Google คัดค้านแผนการแยกธุรกิจ โดยระบุว่าการบังคับขายธุรกิจโฆษณา อาจเป็นไปไม่ได้และส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของข้อมูล นอกจากนี้ Google ยังเสนอทางเลือกอื่น เช่น การแบ่งปันข้อมูลการประมูลโฆษณาแบบเรียลไทม์ และ การยกเลิกกลยุทธ์การตั้งราคาที่ไม่เป็นธรรม

    ✅ DOJ ต้องการแยกธุรกิจโฆษณาของ Google
    - ศาลกำหนดให้มีการพิจารณาคดีในเดือนกันยายน
    - DOJ ต้องการให้ Google ขายธุรกิจ Ad Exchange และ Publisher Ad Server

    ✅ เหตุผลในการดำเนินคดี
    - ศาลพบว่า Google ใช้วิธีที่ไม่เป็นธรรมในการรักษาอำนาจผูกขาด
    - การผูกขาดของ Google ส่งผลกระทบต่อผู้เผยแพร่โฆษณาและผู้บริโภค

    ✅ ข้อเสนอของ Google เพื่อลดผลกระทบ
    - Google เสนอให้ แบ่งปันข้อมูลการประมูลโฆษณาแบบเรียลไทม์
    - ยกเลิกกลยุทธ์การตั้งราคาที่ไม่เป็นธรรม เช่น Unified Pricing

    ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโฆษณาดิจิทัล
    - หาก DOJ ประสบความสำเร็จ อาจทำให้ ตลาดโฆษณามีการแข่งขันมากขึ้น
    - Google อาจต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด

    https://www.techspot.com/news/107784-doj-confirms-wants-break-up-google-advertising-tech.html
    กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ยืนยันว่าต้องการ แยกธุรกิจโฆษณาของ Google เพื่อลดการผูกขาดในตลาดโฆษณาดิจิทัล โดยศาลได้กำหนดให้มีการพิจารณาคดีในเดือนกันยายนนี้ DOJ กำลังผลักดันให้ Google ขายธุรกิจโฆษณาบางส่วน เช่น Ad Exchange และ Publisher Ad Server เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับตลาดโฆษณาออนไลน์ หลังจากที่ศาลตัดสินว่า Google ใช้วิธีที่ไม่เป็นธรรมในการรักษาอำนาจผูกขาด Google คัดค้านแผนการแยกธุรกิจ โดยระบุว่าการบังคับขายธุรกิจโฆษณา อาจเป็นไปไม่ได้และส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของข้อมูล นอกจากนี้ Google ยังเสนอทางเลือกอื่น เช่น การแบ่งปันข้อมูลการประมูลโฆษณาแบบเรียลไทม์ และ การยกเลิกกลยุทธ์การตั้งราคาที่ไม่เป็นธรรม ✅ DOJ ต้องการแยกธุรกิจโฆษณาของ Google - ศาลกำหนดให้มีการพิจารณาคดีในเดือนกันยายน - DOJ ต้องการให้ Google ขายธุรกิจ Ad Exchange และ Publisher Ad Server ✅ เหตุผลในการดำเนินคดี - ศาลพบว่า Google ใช้วิธีที่ไม่เป็นธรรมในการรักษาอำนาจผูกขาด - การผูกขาดของ Google ส่งผลกระทบต่อผู้เผยแพร่โฆษณาและผู้บริโภค ✅ ข้อเสนอของ Google เพื่อลดผลกระทบ - Google เสนอให้ แบ่งปันข้อมูลการประมูลโฆษณาแบบเรียลไทม์ - ยกเลิกกลยุทธ์การตั้งราคาที่ไม่เป็นธรรม เช่น Unified Pricing ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโฆษณาดิจิทัล - หาก DOJ ประสบความสำเร็จ อาจทำให้ ตลาดโฆษณามีการแข่งขันมากขึ้น - Google อาจต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด https://www.techspot.com/news/107784-doj-confirms-wants-break-up-google-advertising-tech.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    DOJ confirms it wants to break up Google's advertising tech monopoly
    The US Department of Justice has confirmed its intention to pursue a breakup of Google's advertising technology business, escalating the stakes in a high-profile antitrust battle. The...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึง Microsoft Edge ซึ่งกำลังเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขันกับ Google Chrome โดยแม้ว่า Microsoft จะพยายามโปรโมต Edge อย่างหนัก แต่ส่วนแบ่งตลาดของเบราว์เซอร์นี้ยังคงอยู่ที่ประมาณ 13% และไม่สามารถเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ

    Microsoft ได้พยายามเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้กับ Edge เช่น การรวม Copilot AI และการปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อให้เบราว์เซอร์ทำงานเร็วขึ้น แต่ผู้ใช้จำนวนมากยังคงรู้สึกว่า Edge ถูกบังคับให้ใช้งานใน Windows 11 ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้ไม่พอใจ

    ✅ ส่วนแบ่งตลาดของ Edge
    - อยู่ที่ 13.29% ในเดือนเมษายน 2025
    - ลดลง 0.08% จากเดือนมีนาคม 2025

    ✅ กลยุทธ์ของ Microsoft ในการโปรโมต Edge
    - เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น Copilot AI
    - ปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อลดการใช้ทรัพยากรระบบ

    ✅ ปัญหาที่ผู้ใช้พบกับ Edge
    - Microsoft พยายาม บังคับให้ Edge เป็นเบราว์เซอร์เริ่มต้นใน Windows 11
    - ผู้ใช้บางรายรู้สึกว่า การโปรโมต Edge มากเกินไปเป็นเรื่องน่ารำคาญ

    ✅ แนวทางที่ Microsoft ควรพิจารณา
    - ลดการโปรโมต Edge ใน Windows 11

    https://www.techradar.com/computing/edge/edges-doomed-challenge-to-chrome-is-embarrassing-for-microsoft-is-it-time-to-stop-forcing-the-browser-on-us-in-windows-11
    บทความนี้กล่าวถึง Microsoft Edge ซึ่งกำลังเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขันกับ Google Chrome โดยแม้ว่า Microsoft จะพยายามโปรโมต Edge อย่างหนัก แต่ส่วนแบ่งตลาดของเบราว์เซอร์นี้ยังคงอยู่ที่ประมาณ 13% และไม่สามารถเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ Microsoft ได้พยายามเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้กับ Edge เช่น การรวม Copilot AI และการปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อให้เบราว์เซอร์ทำงานเร็วขึ้น แต่ผู้ใช้จำนวนมากยังคงรู้สึกว่า Edge ถูกบังคับให้ใช้งานใน Windows 11 ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้ไม่พอใจ ✅ ส่วนแบ่งตลาดของ Edge - อยู่ที่ 13.29% ในเดือนเมษายน 2025 - ลดลง 0.08% จากเดือนมีนาคม 2025 ✅ กลยุทธ์ของ Microsoft ในการโปรโมต Edge - เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น Copilot AI - ปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อลดการใช้ทรัพยากรระบบ ✅ ปัญหาที่ผู้ใช้พบกับ Edge - Microsoft พยายาม บังคับให้ Edge เป็นเบราว์เซอร์เริ่มต้นใน Windows 11 - ผู้ใช้บางรายรู้สึกว่า การโปรโมต Edge มากเกินไปเป็นเรื่องน่ารำคาญ ✅ แนวทางที่ Microsoft ควรพิจารณา - ลดการโปรโมต Edge ใน Windows 11 https://www.techradar.com/computing/edge/edges-doomed-challenge-to-chrome-is-embarrassing-for-microsoft-is-it-time-to-stop-forcing-the-browser-on-us-in-windows-11
    WWW.TECHRADAR.COM
    Edge’s doomed challenge to Chrome is embarrassing for Microsoft – is it time to stop forcing the browser on us in Windows 11?
    Edge has gone stale, despite Microsoft’s best efforts to promote the browser – or perhaps because of this
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple เผชิญกับผลกระทบจาก Trump tariffs ซึ่งอาจทำให้บริษัทต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้นถึง 900 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสเดือนมิถุนายน 2025 แม้ว่าผลประกอบการของ Apple จะยังคงแข็งแกร่ง แต่ CEO Tim Cook ยอมรับว่าผลกระทบจากภาษีศุลกากรยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง

    Apple ได้ดำเนินมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากภาษี เช่น การขยายโรงงานผลิตในอินเดียและบราซิล และ การนำเข้า iPhone กว่า 600 ตันเข้าสหรัฐฯ ก่อนที่ภาษีจะมีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีที่สูงถึง 145% สำหรับสินค้าจากจีน และ 27% สำหรับสินค้าจากอินเดีย อาจส่งผลต่อแผนการผลิตของ Apple ในอนาคต

    ✅ ผลกระทบต่อ Apple
    - อาจต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้น 900 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสเดือนมิถุนายน 2025
    - CEO Tim Cook ยอมรับว่าผลกระทบจากภาษีศุลกากรยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง

    ✅ มาตรการลดผลกระทบของ Apple
    - ขยายโรงงานผลิตในอินเดียและบราซิล
    - นำเข้า iPhone กว่า 600 ตันเข้าสหรัฐฯ ก่อนที่ภาษีจะมีผลบังคับใช้

    ✅ อัตราภาษีที่ส่งผลต่อ Apple
    - 145% สำหรับสินค้าจากจีน
    - 27% สำหรับสินค้าจากอินเดีย

    ✅ แนวโน้มของตลาดและการผลิต
    - Apple อาจต้องปรับกลยุทธ์การผลิตเพื่อลดผลกระทบจากภาษี
    - อาจมีการเพิ่มการผลิตในประเทศที่มีภาษีต่ำกว่า

    https://www.neowin.net/news/tim-cook-says-tariffs-had-limited-impact-on-apple-but-it-may-still-lose-close-to-a-billion/
    Apple เผชิญกับผลกระทบจาก Trump tariffs ซึ่งอาจทำให้บริษัทต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้นถึง 900 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสเดือนมิถุนายน 2025 แม้ว่าผลประกอบการของ Apple จะยังคงแข็งแกร่ง แต่ CEO Tim Cook ยอมรับว่าผลกระทบจากภาษีศุลกากรยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง Apple ได้ดำเนินมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากภาษี เช่น การขยายโรงงานผลิตในอินเดียและบราซิล และ การนำเข้า iPhone กว่า 600 ตันเข้าสหรัฐฯ ก่อนที่ภาษีจะมีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีที่สูงถึง 145% สำหรับสินค้าจากจีน และ 27% สำหรับสินค้าจากอินเดีย อาจส่งผลต่อแผนการผลิตของ Apple ในอนาคต ✅ ผลกระทบต่อ Apple - อาจต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้น 900 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสเดือนมิถุนายน 2025 - CEO Tim Cook ยอมรับว่าผลกระทบจากภาษีศุลกากรยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง ✅ มาตรการลดผลกระทบของ Apple - ขยายโรงงานผลิตในอินเดียและบราซิล - นำเข้า iPhone กว่า 600 ตันเข้าสหรัฐฯ ก่อนที่ภาษีจะมีผลบังคับใช้ ✅ อัตราภาษีที่ส่งผลต่อ Apple - 145% สำหรับสินค้าจากจีน - 27% สำหรับสินค้าจากอินเดีย ✅ แนวโน้มของตลาดและการผลิต - Apple อาจต้องปรับกลยุทธ์การผลิตเพื่อลดผลกระทบจากภาษี - อาจมีการเพิ่มการผลิตในประเทศที่มีภาษีต่ำกว่า https://www.neowin.net/news/tim-cook-says-tariffs-had-limited-impact-on-apple-but-it-may-still-lose-close-to-a-billion/
    WWW.NEOWIN.NET
    Tim Cook says tariffs had "limited" impact on Apple but it may still lose close to a billion
    Apple CEO says the company could manage tariffs impact on its business, but it is difficult to predict beyond June.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานล่าสุดจาก Radware เผยว่า 57% ของการเข้าชมเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซในช่วงเทศกาลวันหยุดปี 2024 มาจากบอท ไม่ใช่ผู้ใช้จริง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ บอทมีปริมาณการเข้าชมมากกว่ามนุษย์

    บอทเหล่านี้มีความซับซ้อนมากขึ้น โดย 60% ใช้กลยุทธ์เลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์ เช่น หมุนเวียน IP, ใช้ CAPTCHA farms และจำลองรูปแบบการท่องเว็บ ทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยแบบเดิมไม่สามารถตรวจจับได้

    นอกจากนี้ การโจมตีผ่านมือถือเพิ่มขึ้น 160% ระหว่างเทศกาลวันหยุดปี 2023 และ 2024 โดยแฮกเกอร์ใช้ mobile emulators และ headless browsers เพื่อเลียนแบบพฤติกรรมของแอปพลิเคชันจริง

    ✅ บอทมีปริมาณการเข้าชมมากกว่ามนุษย์
    - 57% ของการเข้าชมเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซในช่วงเทศกาลวันหยุดปี 2024 มาจากบอท
    - ถือเป็นครั้งแรกที่ บอทมีปริมาณการเข้าชมมากกว่ามนุษย์

    ✅ บอทมีความซับซ้อนมากขึ้น
    - 60% ใช้กลยุทธ์เลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์ เช่น หมุนเวียน IP และใช้ CAPTCHA farms
    - ทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยแบบเดิมไม่สามารถตรวจจับได้

    ✅ การโจมตีผ่านมือถือเพิ่มขึ้น 160%
    - แฮกเกอร์ใช้ mobile emulators และ headless browsers เพื่อเลียนแบบพฤติกรรมของแอปพลิเคชันจริง
    - 32% ของการโจมตีมาจาก residential proxy networks ทำให้การตรวจจับยากขึ้น

    ✅ แนวโน้มของการโจมตีในอนาคต
    - บอทไม่ได้แค่ขโมยข้อมูล แต่เริ่มใช้ multi-vector attacks เพื่อทำให้เว็บไซต์ล่ม
    - ธุรกิจต้องใช้ AI-powered defenses

    https://www.techradar.com/pro/its-official-the-majority-of-visitors-to-online-shops-and-retailers-are-now-bots-not-humans-heres-why-it-matters-to-you-and-me
    รายงานล่าสุดจาก Radware เผยว่า 57% ของการเข้าชมเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซในช่วงเทศกาลวันหยุดปี 2024 มาจากบอท ไม่ใช่ผู้ใช้จริง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ บอทมีปริมาณการเข้าชมมากกว่ามนุษย์ บอทเหล่านี้มีความซับซ้อนมากขึ้น โดย 60% ใช้กลยุทธ์เลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์ เช่น หมุนเวียน IP, ใช้ CAPTCHA farms และจำลองรูปแบบการท่องเว็บ ทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยแบบเดิมไม่สามารถตรวจจับได้ นอกจากนี้ การโจมตีผ่านมือถือเพิ่มขึ้น 160% ระหว่างเทศกาลวันหยุดปี 2023 และ 2024 โดยแฮกเกอร์ใช้ mobile emulators และ headless browsers เพื่อเลียนแบบพฤติกรรมของแอปพลิเคชันจริง ✅ บอทมีปริมาณการเข้าชมมากกว่ามนุษย์ - 57% ของการเข้าชมเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซในช่วงเทศกาลวันหยุดปี 2024 มาจากบอท - ถือเป็นครั้งแรกที่ บอทมีปริมาณการเข้าชมมากกว่ามนุษย์ ✅ บอทมีความซับซ้อนมากขึ้น - 60% ใช้กลยุทธ์เลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์ เช่น หมุนเวียน IP และใช้ CAPTCHA farms - ทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยแบบเดิมไม่สามารถตรวจจับได้ ✅ การโจมตีผ่านมือถือเพิ่มขึ้น 160% - แฮกเกอร์ใช้ mobile emulators และ headless browsers เพื่อเลียนแบบพฤติกรรมของแอปพลิเคชันจริง - 32% ของการโจมตีมาจาก residential proxy networks ทำให้การตรวจจับยากขึ้น ✅ แนวโน้มของการโจมตีในอนาคต - บอทไม่ได้แค่ขโมยข้อมูล แต่เริ่มใช้ multi-vector attacks เพื่อทำให้เว็บไซต์ล่ม - ธุรกิจต้องใช้ AI-powered defenses https://www.techradar.com/pro/its-official-the-majority-of-visitors-to-online-shops-and-retailers-are-now-bots-not-humans-heres-why-it-matters-to-you-and-me
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังสร้างความท้าทายด้าน ความปลอดภัยไซเบอร์ และ โครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย โดยรายงานจาก Expereo พบว่า เกือบ 20% ขององค์กรในสหรัฐฯ ประสบปัญหาด้านความปลอดภัยจากการใช้ AI

    นอกจากนี้ 41% ขององค์กรทั่วโลก เผชิญกับปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แม้ว่าความปลอดภัยจะเป็น ลำดับที่สองของการลงทุน รองจาก เครือข่ายและการเชื่อมต่อ (43%)

    ความคาดหวังเกี่ยวกับ AI ในองค์กรยังคงสูงเกินจริง โดย หนึ่งในสามของ CIO ทั่วโลก เชื่อว่าคณะกรรมการบริษัทมีความคาดหวังที่ไม่สมเหตุสมผลเกี่ยวกับผลกระทบของ AI และ 27% ของผู้นำด้านเทคโนโลยีในสหรัฐฯ มีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน

    ✅ ผลกระทบด้านความปลอดภัยไซเบอร์
    - เกือบ 20% ขององค์กรในสหรัฐฯ ประสบปัญหาด้านความปลอดภัยจากการใช้ AI
    - 41% ขององค์กรทั่วโลก เผชิญกับปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านความปลอดภัยไซเบอร์

    ✅ การลงทุนด้านเทคโนโลยี
    - ความปลอดภัยไซเบอร์เป็น ลำดับที่สองของการลงทุน (38%)
    - เครือข่ายและการเชื่อมต่อเป็น ลำดับแรกของการลงทุน (43%)

    ✅ ความคาดหวังเกี่ยวกับ AI
    - หนึ่งในสามของ CIO ทั่วโลก เชื่อว่าคณะกรรมการบริษัทมีความคาดหวังที่ไม่สมเหตุสมผลเกี่ยวกับ AI
    - 27% ของผู้นำด้านเทคโนโลยีในสหรัฐฯ มีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน

    ✅ ผลกระทบจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
    - 50% ขององค์กรในสหรัฐฯ ระบุว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลต่อกลยุทธ์การเติบโตของพวกเขา
    - 34% ของผู้นำด้านเทคโนโลยีทั่วโลก ต้องปรับโครงสร้างพื้นฐานเนื่องจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์

    https://www.techradar.com/pro/rushed-ai-deployments-and-skills-shortages-are-putting-businesses-at-risk
    การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังสร้างความท้าทายด้าน ความปลอดภัยไซเบอร์ และ โครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย โดยรายงานจาก Expereo พบว่า เกือบ 20% ขององค์กรในสหรัฐฯ ประสบปัญหาด้านความปลอดภัยจากการใช้ AI นอกจากนี้ 41% ขององค์กรทั่วโลก เผชิญกับปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แม้ว่าความปลอดภัยจะเป็น ลำดับที่สองของการลงทุน รองจาก เครือข่ายและการเชื่อมต่อ (43%) ความคาดหวังเกี่ยวกับ AI ในองค์กรยังคงสูงเกินจริง โดย หนึ่งในสามของ CIO ทั่วโลก เชื่อว่าคณะกรรมการบริษัทมีความคาดหวังที่ไม่สมเหตุสมผลเกี่ยวกับผลกระทบของ AI และ 27% ของผู้นำด้านเทคโนโลยีในสหรัฐฯ มีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน ✅ ผลกระทบด้านความปลอดภัยไซเบอร์ - เกือบ 20% ขององค์กรในสหรัฐฯ ประสบปัญหาด้านความปลอดภัยจากการใช้ AI - 41% ขององค์กรทั่วโลก เผชิญกับปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ✅ การลงทุนด้านเทคโนโลยี - ความปลอดภัยไซเบอร์เป็น ลำดับที่สองของการลงทุน (38%) - เครือข่ายและการเชื่อมต่อเป็น ลำดับแรกของการลงทุน (43%) ✅ ความคาดหวังเกี่ยวกับ AI - หนึ่งในสามของ CIO ทั่วโลก เชื่อว่าคณะกรรมการบริษัทมีความคาดหวังที่ไม่สมเหตุสมผลเกี่ยวกับ AI - 27% ของผู้นำด้านเทคโนโลยีในสหรัฐฯ มีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน ✅ ผลกระทบจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ - 50% ขององค์กรในสหรัฐฯ ระบุว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลต่อกลยุทธ์การเติบโตของพวกเขา - 34% ของผู้นำด้านเทคโนโลยีทั่วโลก ต้องปรับโครงสร้างพื้นฐานเนื่องจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ https://www.techradar.com/pro/rushed-ai-deployments-and-skills-shortages-are-putting-businesses-at-risk
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • TSMC กำลังปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดย Kevin Zhang รองประธานอาวุโสของบริษัทเปิดเผยว่า TSMC จะนำเสนอเทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น AI, HPC และอุปกรณ์ผู้บริโภค

    ในอดีต อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ขับเคลื่อนโดย โปรเซสเซอร์สำหรับพีซี แต่เมื่อสมาร์ทโฟนเข้ามามีบทบาท เทคโนโลยีการผลิตก็ต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับ SoC สำหรับมือถือ และปัจจุบัน AI และ HPC กำลังกลายเป็นกลุ่มที่ต้องการเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุด

    TSMC วางแผนที่จะนำเสนอ N3P, N2, N2P และ A14 สำหรับอุปกรณ์มือถือและพีซี ซึ่งเน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์โดยไม่ต้องใช้ backside power delivery ขณะที่ A16 และ A14P จะถูกออกแบบมาสำหรับ AI และ HPC โดยใช้ Super Power Rail Backside Power Delivery Network (BSPDN)

    นอกจากนี้ TSMC กำลังขยายเทคโนโลยี multi-chiplet packaging เพื่อรองรับการใช้งานในศูนย์ข้อมูล โดยมีการพัฒนา silicon photonics และ embedded power components เพื่อสร้างระบบที่มีแบนด์วิดธ์สูงและประหยัดพลังงาน

    ✅ การปรับตัวของ TSMC ต่อความต้องการของตลาด
    - นำเสนอเทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างกันสำหรับ AI, HPC และอุปกรณ์ผู้บริโภค
    - ขยายเทคโนโลยี multi-chiplet packaging เพื่อรองรับศูนย์ข้อมูล

    ✅ เทคโนโลยีสำหรับอุปกรณ์มือถือและพีซี
    - ใช้ N3P, N2, N2P และ A14 ซึ่งเน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์
    - ไม่ต้องใช้ backside power delivery

    ✅ เทคโนโลยีสำหรับ AI และ HPC
    - ใช้ A16 และ A14P พร้อม Super Power Rail Backside Power Delivery Network (BSPDN)
    - รองรับการใช้พลังงานสูงในศูนย์ข้อมูล

    ✅ การพัฒนา multi-chiplet packaging
    - รวม silicon photonics และ embedded power components
    - สร้างระบบที่มีแบนด์วิดธ์สูงและประหยัดพลังงาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-svp-kevin-zhang-opens-up-on-process-technology-development-and-evolving-demands-interview
    TSMC กำลังปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดย Kevin Zhang รองประธานอาวุโสของบริษัทเปิดเผยว่า TSMC จะนำเสนอเทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น AI, HPC และอุปกรณ์ผู้บริโภค ในอดีต อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ขับเคลื่อนโดย โปรเซสเซอร์สำหรับพีซี แต่เมื่อสมาร์ทโฟนเข้ามามีบทบาท เทคโนโลยีการผลิตก็ต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับ SoC สำหรับมือถือ และปัจจุบัน AI และ HPC กำลังกลายเป็นกลุ่มที่ต้องการเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุด TSMC วางแผนที่จะนำเสนอ N3P, N2, N2P และ A14 สำหรับอุปกรณ์มือถือและพีซี ซึ่งเน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์โดยไม่ต้องใช้ backside power delivery ขณะที่ A16 และ A14P จะถูกออกแบบมาสำหรับ AI และ HPC โดยใช้ Super Power Rail Backside Power Delivery Network (BSPDN) นอกจากนี้ TSMC กำลังขยายเทคโนโลยี multi-chiplet packaging เพื่อรองรับการใช้งานในศูนย์ข้อมูล โดยมีการพัฒนา silicon photonics และ embedded power components เพื่อสร้างระบบที่มีแบนด์วิดธ์สูงและประหยัดพลังงาน ✅ การปรับตัวของ TSMC ต่อความต้องการของตลาด - นำเสนอเทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างกันสำหรับ AI, HPC และอุปกรณ์ผู้บริโภค - ขยายเทคโนโลยี multi-chiplet packaging เพื่อรองรับศูนย์ข้อมูล ✅ เทคโนโลยีสำหรับอุปกรณ์มือถือและพีซี - ใช้ N3P, N2, N2P และ A14 ซึ่งเน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์ - ไม่ต้องใช้ backside power delivery ✅ เทคโนโลยีสำหรับ AI และ HPC - ใช้ A16 และ A14P พร้อม Super Power Rail Backside Power Delivery Network (BSPDN) - รองรับการใช้พลังงานสูงในศูนย์ข้อมูล ✅ การพัฒนา multi-chiplet packaging - รวม silicon photonics และ embedded power components - สร้างระบบที่มีแบนด์วิดธ์สูงและประหยัดพลังงาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-svp-kevin-zhang-opens-up-on-process-technology-development-and-evolving-demands-interview
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • Reddit คาดการณ์รายได้ไตรมาสที่สองสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยอาศัยการเติบโตของ โฆษณาดิจิทัล แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับงบประมาณด้านการตลาด

    หุ้นของ Reddit พุ่งขึ้น 20% ในการซื้อขายหลังตลาดปิด ก่อนลดลงมาอยู่ที่ 7% หลังจาก Steve Huffman ซีอีโอของบริษัทกล่าวว่า Google Search อาจส่งผลกระทบต่อจำนวนผู้ใช้รายวัน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอัลกอริธึมของ Google ทำให้ Reddit มีความผันผวนด้านปริมาณการเข้าชม

    Reddit ได้ลงทุนใน เทคโนโลยีโฆษณา เพื่อดึงดูดนักโฆษณาในช่วงที่แพลตฟอร์มอื่น เช่น Facebook และ Instagram เผชิญกับข้อจำกัดด้านงบประมาณโฆษณา โดย Reddit ใช้ Conversation Placement Ads ซึ่งช่วยให้แบรนด์สามารถโฆษณาโดยตรงในกระทู้สนทนา

    Jen Wong ซีโอโอของ Reddit เปิดเผยว่า จำนวนผู้ลงโฆษณาเพิ่มขึ้นกว่า 50% ในไตรมาสแรกของปี 2025 และบริษัทคาดการณ์รายได้ไตรมาสที่สองอยู่ที่ 410-430 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าค่าประมาณของนักวิเคราะห์ที่ 395.5 ล้านดอลลาร์

    แม้ว่า Reddit จะเติบโตในด้านโฆษณา แต่หุ้นของบริษัทลดลง 27% ตั้งแต่ต้นปี 2025 อย่างไรก็ตาม รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น 61% ในไตรมาสแรกเป็น 392.4 ล้านดอลลาร์ และกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 13 เซนต์ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

    ✅ การเติบโตของรายได้และโฆษณา
    - คาดการณ์รายได้ไตรมาสที่สองอยู่ที่ 410-430 ล้านดอลลาร์
    - จำนวนผู้ลงโฆษณาเพิ่มขึ้นกว่า 50% ในไตรมาสแรก

    ✅ ผลกระทบจาก Google Search
    - การเปลี่ยนแปลงอัลกอริธึมของ Google อาจส่งผลต่อจำนวนผู้ใช้รายวันของ Reddit
    - Reddit เคยเผชิญกับความผันผวนด้านปริมาณการเข้าชมจากการเปลี่ยนแปลงของ Google

    ✅ กลยุทธ์ด้านโฆษณาของ Reddit
    - ใช้ Conversation Placement Ads เพื่อให้แบรนด์สามารถโฆษณาโดยตรงในกระทู้สนทนา
    - ดึงดูดนักโฆษณาในช่วงที่แพลตฟอร์มอื่นเผชิญกับข้อจำกัดด้านงบประมาณ

    ✅ สถานะของหุ้น Reddit
    - หุ้นลดลง 27% ตั้งแต่ต้นปี 2025
    - รายได้ไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 61% เป็น 392.4 ล้านดอลลาร์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/02/reddit-forecasts-revenue-above-estimates-as-digital-ad-spend-grows-shares-surge
    Reddit คาดการณ์รายได้ไตรมาสที่สองสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยอาศัยการเติบโตของ โฆษณาดิจิทัล แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับงบประมาณด้านการตลาด หุ้นของ Reddit พุ่งขึ้น 20% ในการซื้อขายหลังตลาดปิด ก่อนลดลงมาอยู่ที่ 7% หลังจาก Steve Huffman ซีอีโอของบริษัทกล่าวว่า Google Search อาจส่งผลกระทบต่อจำนวนผู้ใช้รายวัน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอัลกอริธึมของ Google ทำให้ Reddit มีความผันผวนด้านปริมาณการเข้าชม Reddit ได้ลงทุนใน เทคโนโลยีโฆษณา เพื่อดึงดูดนักโฆษณาในช่วงที่แพลตฟอร์มอื่น เช่น Facebook และ Instagram เผชิญกับข้อจำกัดด้านงบประมาณโฆษณา โดย Reddit ใช้ Conversation Placement Ads ซึ่งช่วยให้แบรนด์สามารถโฆษณาโดยตรงในกระทู้สนทนา Jen Wong ซีโอโอของ Reddit เปิดเผยว่า จำนวนผู้ลงโฆษณาเพิ่มขึ้นกว่า 50% ในไตรมาสแรกของปี 2025 และบริษัทคาดการณ์รายได้ไตรมาสที่สองอยู่ที่ 410-430 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าค่าประมาณของนักวิเคราะห์ที่ 395.5 ล้านดอลลาร์ แม้ว่า Reddit จะเติบโตในด้านโฆษณา แต่หุ้นของบริษัทลดลง 27% ตั้งแต่ต้นปี 2025 อย่างไรก็ตาม รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น 61% ในไตรมาสแรกเป็น 392.4 ล้านดอลลาร์ และกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 13 เซนต์ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ✅ การเติบโตของรายได้และโฆษณา - คาดการณ์รายได้ไตรมาสที่สองอยู่ที่ 410-430 ล้านดอลลาร์ - จำนวนผู้ลงโฆษณาเพิ่มขึ้นกว่า 50% ในไตรมาสแรก ✅ ผลกระทบจาก Google Search - การเปลี่ยนแปลงอัลกอริธึมของ Google อาจส่งผลต่อจำนวนผู้ใช้รายวันของ Reddit - Reddit เคยเผชิญกับความผันผวนด้านปริมาณการเข้าชมจากการเปลี่ยนแปลงของ Google ✅ กลยุทธ์ด้านโฆษณาของ Reddit - ใช้ Conversation Placement Ads เพื่อให้แบรนด์สามารถโฆษณาโดยตรงในกระทู้สนทนา - ดึงดูดนักโฆษณาในช่วงที่แพลตฟอร์มอื่นเผชิญกับข้อจำกัดด้านงบประมาณ ✅ สถานะของหุ้น Reddit - หุ้นลดลง 27% ตั้งแต่ต้นปี 2025 - รายได้ไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 61% เป็น 392.4 ล้านดอลลาร์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/02/reddit-forecasts-revenue-above-estimates-as-digital-ad-spend-grows-shares-surge
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Reddit's strong revenue forecast signals advertising strength
    (Reuters) -Reddit forecast second-quarter revenue above Wall Street estimates on Thursday, betting on growing digital advertising spend on the social media platform despite uncertainty over marketing budgets.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft Edge ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดที่ค่อนข้างคงที่ แม้ว่าจะเป็นเบราว์เซอร์เริ่มต้นใน Windows 10 และ 11 และมีการผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนจาก Chrome อย่างต่อเนื่อง

    จากข้อมูลของ Statcounter พบว่าในเดือนเมษายน 2025 Google Chrome ครองตลาดเบราว์เซอร์เดสก์ท็อปด้วยส่วนแบ่ง 65.02% ลดลง 0.62 จุด จากเดือนก่อนหน้า ขณะที่ Microsoft Edge มีส่วนแบ่ง 13.29% ลดลง 0.08 จุด ในเดือนเดียวกัน แต่เพิ่มขึ้น 0.32 จุด เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

    แม้ว่า Edge จะมีส่วนแบ่งตลาดที่ค่อนข้างต่ำทั่วโลก แต่ในบางประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร มีส่วนแบ่ง 21.78% ขณะที่ใน อินเดีย Chrome ครองตลาดถึง 86.22% และ Edge มีเพียง 5.65%

    เบราว์เซอร์อื่นๆ ที่ติดอันดับ ได้แก่ Safari (7.95%), Firefox (6.14%) และ Opera (3.04%) ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในเดือนเมษายน 2025

    ✅ ส่วนแบ่งตลาดของเบราว์เซอร์เดสก์ท็อป
    - Google Chrome ครองตลาดด้วย 65.02%
    - Microsoft Edge มีส่วนแบ่ง 13.29% ลดลงเล็กน้อยในเดือนเมษายน 2025

    ✅ แนวโน้มของ Microsoft Edge
    - ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น 0.32 จุด เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
    - มีส่วนแบ่งสูงขึ้นในบางประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร (21.78%)

    ✅ สถานการณ์ของเบราว์เซอร์อื่นๆ
    - Safari มีส่วนแบ่ง 7.95%
    - Firefox มีส่วนแบ่ง 6.14%
    - Opera มีส่วนแบ่ง 3.04%

    ✅ กลยุทธ์ของ Microsoft
    - ผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนจาก Chrome ผ่านการแจ้งเตือนและการตั้งค่าเริ่มต้น
    - Edge ยังคงเป็นเบราว์เซอร์เริ่มต้นใน Windows 10 และ 11

    https://www.neowin.net/news/microsoft-edge-is-not-going-anywhere-with-its-market-share/
    Microsoft Edge ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดที่ค่อนข้างคงที่ แม้ว่าจะเป็นเบราว์เซอร์เริ่มต้นใน Windows 10 และ 11 และมีการผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนจาก Chrome อย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของ Statcounter พบว่าในเดือนเมษายน 2025 Google Chrome ครองตลาดเบราว์เซอร์เดสก์ท็อปด้วยส่วนแบ่ง 65.02% ลดลง 0.62 จุด จากเดือนก่อนหน้า ขณะที่ Microsoft Edge มีส่วนแบ่ง 13.29% ลดลง 0.08 จุด ในเดือนเดียวกัน แต่เพิ่มขึ้น 0.32 จุด เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แม้ว่า Edge จะมีส่วนแบ่งตลาดที่ค่อนข้างต่ำทั่วโลก แต่ในบางประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร มีส่วนแบ่ง 21.78% ขณะที่ใน อินเดีย Chrome ครองตลาดถึง 86.22% และ Edge มีเพียง 5.65% เบราว์เซอร์อื่นๆ ที่ติดอันดับ ได้แก่ Safari (7.95%), Firefox (6.14%) และ Opera (3.04%) ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในเดือนเมษายน 2025 ✅ ส่วนแบ่งตลาดของเบราว์เซอร์เดสก์ท็อป - Google Chrome ครองตลาดด้วย 65.02% - Microsoft Edge มีส่วนแบ่ง 13.29% ลดลงเล็กน้อยในเดือนเมษายน 2025 ✅ แนวโน้มของ Microsoft Edge - ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น 0.32 จุด เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว - มีส่วนแบ่งสูงขึ้นในบางประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร (21.78%) ✅ สถานการณ์ของเบราว์เซอร์อื่นๆ - Safari มีส่วนแบ่ง 7.95% - Firefox มีส่วนแบ่ง 6.14% - Opera มีส่วนแบ่ง 3.04% ✅ กลยุทธ์ของ Microsoft - ผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนจาก Chrome ผ่านการแจ้งเตือนและการตั้งค่าเริ่มต้น - Edge ยังคงเป็นเบราว์เซอร์เริ่มต้นใน Windows 10 และ 11 https://www.neowin.net/news/microsoft-edge-is-not-going-anywhere-with-its-market-share/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft Edge is not going anywhere with its market share
    Competing with Chrome is very hard, and even Microsoft is struggling to make a dent in Chrome's market share.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • Wikipedia กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของ AI โดย Wikimedia Foundation ได้ประกาศกลยุทธ์ใหม่ในการใช้ AI เพื่อช่วยเหลืออาสาสมัครในการดูแลและปรับปรุงเนื้อหา แทนที่จะใช้ AI เพื่อแทนที่มนุษย์

    AI จะถูกนำมาใช้เพื่อ ลดภาระงานที่ซ้ำซาก เช่น การตรวจสอบบทความ การแปลภาษา และการช่วยให้ข้อมูลสามารถค้นหาได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ AI ยังจะช่วยในการฝึกอบรมอาสาสมัครใหม่ผ่านระบบ mentorship อัตโนมัติ

    อย่างไรก็ตาม Wikimedia Foundation ยืนยันว่า AI จะไม่แทนที่มนุษย์ เนื่องจากชุมชนอาสาสมัครเป็นหัวใจสำคัญของ Wikipedia และการสร้างเนื้อหาต้องอาศัยการพิจารณาและการตัดสินใจร่วมกัน

    ✅ การใช้ AI เพื่อช่วยเหลืออาสาสมัคร
    - ลดภาระงานที่ซ้ำซาก เช่น การตรวจสอบบทความและการแปลภาษา
    - ปรับปรุงการค้นหาข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ✅ การฝึกอบรมอาสาสมัครใหม่
    - ใช้ AI เพื่อช่วยให้การ onboarding ของอาสาสมัครมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    - ระบบ mentorship อัตโนมัติช่วยให้ผู้ใช้ใหม่เข้าใจการทำงานของ Wikipedia

    ✅ การรักษาบทบาทของมนุษย์
    - Wikimedia Foundation ยืนยันว่า AI จะไม่แทนที่มนุษย์
    - การสร้างเนื้อหาต้องอาศัยการพิจารณาและการตัดสินใจร่วมกัน

    ✅ แผนการดำเนินงาน
    - กลยุทธ์ AI จะถูกนำมาใช้ในช่วงสามปีข้างหน้า
    - มีการทบทวนแผนงานเป็นรายปีเพื่อปรับปรุงให้เหมาะสม

    https://www.neowin.net/news/wikipedia-announces-new-ai-strategy-but-it-wont-sacrifice-human-editors/
    Wikipedia กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของ AI โดย Wikimedia Foundation ได้ประกาศกลยุทธ์ใหม่ในการใช้ AI เพื่อช่วยเหลืออาสาสมัครในการดูแลและปรับปรุงเนื้อหา แทนที่จะใช้ AI เพื่อแทนที่มนุษย์ AI จะถูกนำมาใช้เพื่อ ลดภาระงานที่ซ้ำซาก เช่น การตรวจสอบบทความ การแปลภาษา และการช่วยให้ข้อมูลสามารถค้นหาได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ AI ยังจะช่วยในการฝึกอบรมอาสาสมัครใหม่ผ่านระบบ mentorship อัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม Wikimedia Foundation ยืนยันว่า AI จะไม่แทนที่มนุษย์ เนื่องจากชุมชนอาสาสมัครเป็นหัวใจสำคัญของ Wikipedia และการสร้างเนื้อหาต้องอาศัยการพิจารณาและการตัดสินใจร่วมกัน ✅ การใช้ AI เพื่อช่วยเหลืออาสาสมัคร - ลดภาระงานที่ซ้ำซาก เช่น การตรวจสอบบทความและการแปลภาษา - ปรับปรุงการค้นหาข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ การฝึกอบรมอาสาสมัครใหม่ - ใช้ AI เพื่อช่วยให้การ onboarding ของอาสาสมัครมีประสิทธิภาพมากขึ้น - ระบบ mentorship อัตโนมัติช่วยให้ผู้ใช้ใหม่เข้าใจการทำงานของ Wikipedia ✅ การรักษาบทบาทของมนุษย์ - Wikimedia Foundation ยืนยันว่า AI จะไม่แทนที่มนุษย์ - การสร้างเนื้อหาต้องอาศัยการพิจารณาและการตัดสินใจร่วมกัน ✅ แผนการดำเนินงาน - กลยุทธ์ AI จะถูกนำมาใช้ในช่วงสามปีข้างหน้า - มีการทบทวนแผนงานเป็นรายปีเพื่อปรับปรุงให้เหมาะสม https://www.neowin.net/news/wikipedia-announces-new-ai-strategy-but-it-wont-sacrifice-human-editors/
    WWW.NEOWIN.NET
    Wikipedia announces new AI strategy but it won't sacrifice human editors
    Wikipedia is working on a new AI strategy, but it won't replace the humans who built the platform for over 25 years.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung กำลังเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านชิปเซ็ตสำหรับสมาร์ทโฟนพับได้ โดยมีรายงานว่า Galaxy Z Flip7 จะใช้ Exynos 2500 แทน Snapdragon 8 Elite ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เนื่องจากก่อนหน้านี้ Samsung เลือกใช้ Snapdragon สำหรับสมาร์ทโฟนเรือธง

    Exynos 2500 เดิมทีถูกคาดหวังว่าจะใช้ใน Galaxy S25 แต่เนื่องจากอัตราการผลิตที่ต่ำ Samsung จึงต้องเปลี่ยนไปใช้ Snapdragon 8 Elite แทน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลล่าสุดจาก Chosun Daily ระบุว่า Samsung ได้เริ่มการผลิต Galaxy Z Flip7 พร้อม Exynos 2500 แล้ว ซึ่งหากเป็นจริง นี่จะเป็นครั้งแรกที่สมาร์ทโฟนพับได้ของ Samsung ใช้ชิป Exynos

    เหตุผลหลักที่ Samsung เลือกใช้ Exynos แทน Snapdragon คือ ต้นทุน เนื่องจาก Qualcomm ได้ปรับราคาชิปเซ็ตให้สูงขึ้น ทำให้ Samsung หันมาพัฒนา SoC ของตัวเองเพื่อควบคุมต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

    นอกจากนี้ ยังมีข่าวว่า Galaxy Z Flip7 FE ซึ่งเป็นรุ่นราคาประหยัด อาจใช้ Exynos 2400e เช่นเดียวกับ Galaxy S24 FE และ Samsung อาจจัดงาน Unpacked ครั้งที่สองของปี ที่นิวยอร์กเพื่อเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่

    ✅ การเปลี่ยนมาใช้ Exynos 2500
    - Galaxy Z Flip7 จะใช้ Exynos 2500 แทน Snapdragon 8 Elite
    - เป็นครั้งแรกที่สมาร์ทโฟนพับได้ของ Samsung ใช้ชิป Exynos

    ✅ เหตุผลในการเปลี่ยนแปลง
    - Qualcomm ปรับราคาชิปเซ็ตให้สูงขึ้น
    - Samsung ต้องการควบคุมต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

    ✅ Galaxy Z Flip7 FE และ Exynos 2400e
    - รุ่นราคาประหยัดอาจใช้ Exynos 2400e เช่นเดียวกับ Galaxy S24 FE
    - อาจมีการเปิดตัวในงาน Unpacked ครั้งที่สองของปี

    ✅ การผลิตและการเปิดตัว
    - Samsung ได้เริ่มการผลิต Galaxy Z Flip7 พร้อม Exynos 2500
    - คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2025

    https://www.neowin.net/news/samsung-allegedly-ditches-snapdragon-for-exynos-2500-in-galaxy-z-flip7/
    Samsung กำลังเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านชิปเซ็ตสำหรับสมาร์ทโฟนพับได้ โดยมีรายงานว่า Galaxy Z Flip7 จะใช้ Exynos 2500 แทน Snapdragon 8 Elite ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เนื่องจากก่อนหน้านี้ Samsung เลือกใช้ Snapdragon สำหรับสมาร์ทโฟนเรือธง Exynos 2500 เดิมทีถูกคาดหวังว่าจะใช้ใน Galaxy S25 แต่เนื่องจากอัตราการผลิตที่ต่ำ Samsung จึงต้องเปลี่ยนไปใช้ Snapdragon 8 Elite แทน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลล่าสุดจาก Chosun Daily ระบุว่า Samsung ได้เริ่มการผลิต Galaxy Z Flip7 พร้อม Exynos 2500 แล้ว ซึ่งหากเป็นจริง นี่จะเป็นครั้งแรกที่สมาร์ทโฟนพับได้ของ Samsung ใช้ชิป Exynos เหตุผลหลักที่ Samsung เลือกใช้ Exynos แทน Snapdragon คือ ต้นทุน เนื่องจาก Qualcomm ได้ปรับราคาชิปเซ็ตให้สูงขึ้น ทำให้ Samsung หันมาพัฒนา SoC ของตัวเองเพื่อควบคุมต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ ยังมีข่าวว่า Galaxy Z Flip7 FE ซึ่งเป็นรุ่นราคาประหยัด อาจใช้ Exynos 2400e เช่นเดียวกับ Galaxy S24 FE และ Samsung อาจจัดงาน Unpacked ครั้งที่สองของปี ที่นิวยอร์กเพื่อเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ✅ การเปลี่ยนมาใช้ Exynos 2500 - Galaxy Z Flip7 จะใช้ Exynos 2500 แทน Snapdragon 8 Elite - เป็นครั้งแรกที่สมาร์ทโฟนพับได้ของ Samsung ใช้ชิป Exynos ✅ เหตุผลในการเปลี่ยนแปลง - Qualcomm ปรับราคาชิปเซ็ตให้สูงขึ้น - Samsung ต้องการควบคุมต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ✅ Galaxy Z Flip7 FE และ Exynos 2400e - รุ่นราคาประหยัดอาจใช้ Exynos 2400e เช่นเดียวกับ Galaxy S24 FE - อาจมีการเปิดตัวในงาน Unpacked ครั้งที่สองของปี ✅ การผลิตและการเปิดตัว - Samsung ได้เริ่มการผลิต Galaxy Z Flip7 พร้อม Exynos 2500 - คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 https://www.neowin.net/news/samsung-allegedly-ditches-snapdragon-for-exynos-2500-in-galaxy-z-flip7/
    WWW.NEOWIN.NET
    Samsung allegedly ditches Snapdragon for Exynos 2500 in Galaxy Z Flip7
    For the first time ever, a Samsung foldable could reportedly be powered by an in-house Exynos processor.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำนานประวัติศาสตร์ EP.1: Little Round Top กลยุทธ์พลิกเกมของพันเอกอาจารย์มหาวิทยาลัยสายวาทศาสตร์

    เรื่องราวเกิดขึ้นในวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ.1863 (พ.ศ.2406) ในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา วันที่สองของสมรภูมิเก็ตตี้เบิร์ก ยุทธการนองเลือดที่จะตัดสินชะตากรรมของสหรัฐอเมริกา ณ บริเวณเนินลิตเติ้ลราวด์ท็อปกรมทหารราบรัฐเมนที่ 20 ภายใต้การนำของพันเอกโจชัวร์ ลอว์เรน แชมเบอร์เลน (Joshua Lawrence Chamberlain) ได้เข้ามาตั้งรับในบริเวณปีกซ้ายสุดของกองทัพโพโต (Army of Potomac) แมคภายใต้การนำของนายพลจอร์จ กอร์ดอน มีด (George Gordon Meades) หากเสียที่มั่นตรงนี้ไป กองทัพโพโตแมคที่เหลือจะถูกกวาดล้างโดยกองทัพเวอร์จิเนียเหนือ (Army of Northern Virginia) แห่งสมาพันธรัฐภายใต้การนำของนายพลโรเบิร์ต อี. ลี (Roberts E. Lee) ผู้เป็นตำนาน

    ในการสู้รบของวันนั้นกรมทหารราบรัฐเมนที่ 20 ภายใต้การนำของเขาได้เผชิญหน้ากับกรมทหารราบรัฐอะแลบามาที่ 15 ภายใต้การนำของพันเอกวิลเลี่ยม ซี. โอทส์ (William C. Oates) พวกเขาต่อสู้กับทหารข้าศึกจนกระสุนเริ่มร่อยหรอลง จนหมดลงในที่สุด ในทีแรกนายทหารคนสนิทของเขา…ร้อยเอกเอลลิส สเปียร์ (Ellis Spear) จะขอให้เขาถอนกำลัง แต่พวกเขาคือที่มั่นสุดท้ายแล้ว เพราะหากพวกเขาถอยทัพและกองทัพฝ่ายเหนือทั้งหมดถูกกวาดล้าง กองทัพฝ่ายใต้จะเคลื่อนพลสู่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

    พันเอกแชมเบอร์เลนจึงตัดสินใจสั่งให้ทหารที่เหลือทั้งหมดติดดาบปลายปืนเพื่อเตรียมเข้าชาร์จศัตรู โดยเขาได้นำหลักตรรกะศาสตร์ที่เขาถนัดมาใช้ด้วยเขาเรียกว่า “กลยุทธ์บานพับประตู” โดยให้กองร้อยปีกซ้ายภายใต้การนำของร้อยเอกสเปียร์โจมตีจากทางด้านข้าง (Flanking Maneuver) ขณะที่เขาและน้องชายของเขา…ร้อยโทโธมัส เดวี่ แชมเบอร์เลน (Thomas Davee Chamberlain) ได้นำกองร้อยปีกขวาโจมตีข้าศึกจากด้านหน้า (Frontal Assault)

    สาเหตุที่พันเอกแชมเบอร์เลนใช้วิธีนี้เพราะว่ากองทหารข้าศึกที่เข้าโจมตีพวกเขานั้นรบติดพันกับพวกเขามาทั้งวันและน่าจะเหนื่อยจากการเดินทัพขึ้นเนินเข้ามาตีพวกเขา (ตามบันทึกประวัติศาสตร์จากยุทธการเก็ตตี้เบิร์ก กรมทหารราบรัฐอะแลบามาที่ 15 เดินทางมาถึงสนามรบในวันที่สองของการรบและถูกส่งเข้าตีปีกซ้ายของกองทัพสหภาพในทันทีตามคำสั่งของนายพลลี โดยที่พวกเขาส่วนใหญ่ยังไม่ได้แม้แต่เติมน้ำดื่มก่อนออกรบเลย) ผลของการรบ…กรมทหารราบรัฐเมนที่ 20 สามารถขับไล่กองทหารฝ่ายใต้ออกไปได้และสามารถจับเชลยศึกที่ตกตะลึงกับการบุกและหมดแรงเกินกว่าจะหนีได้เป็นจำนวนมาก ในช่วงของการบุกพันเอกแชมเบอร์เลนเกือบถูกยิงด้วยปืนลูกโม่จากนายทหารฝ่ายใต้นายนึง สุดท้ายเขาจับนายทหารคนนั้นและยึดปืนของเขามาได้

    จากวีรกรรมของเขาในครั้งนี้ทำให้เขาได้รับเหรียญกล้าหาญ Medal of Honor ซึ่งเป็นเครื่องอิสริยาภรณ์สำหรับทหารที่มีชื่อเสียงเกียรติยศและระดับสูงสุดในสหรัฐอเมริกาซึ่งอาจเป็นการปูนบำเหน็จเพื่อยกย่องแก่ทหารในกองทัพสหรัฐที่มีชื่อเสียงโดดเด่น

    ภายหลังสงครามจบลง แชมเบอร์เลนออกจากกองทัพ และด้วยชื่อเสียงของเขา เขาได้ลงสมัครเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐเมน เขาชนะการเลือกตั้งถึงสี่สมัย ตั้งแต่ปี ค.ศ.1866-1869 (พ.ศ.2409-2412) โดยเขาสังกัดพรรครีพับลิกัน และในปี ค.ศ.1871 (พ.ศ.2414) เขาได้กลายมาเป็นอธิการบดีแห่งวิทยาลัยโบว์ดินที่เขาเคยสอนอยู่

    พันเอกโจชัวร์ ลอว์เรน แชมเบอร์เลนเสียชีวิตลงในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) ในวัย 85ปี ที่เมืองพอร์ทแลนด์, รัฐเมน, สหรัฐฯ เป็นอันปิดตำนานของพันเอกอาจารย์มหาวิทยาลัยสายวาทศาสตร์

    เรื่องราวของเขาและน้องชายของเขาได้ถูกนำไปตีแผ่ลงในนิยายเรื่อง The Killer Angels (1974) โดยนักเขียนนวนิยายอิงประวัติศาสตร์นาม…ไมเคิล ชารา ซึ่งต่อมาได้ถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์เรื่อง Gettysburg (1993) และอีกครั้งในนวนิยายเรื่อง God and Generals (1996) ที่ถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในปี 2003 ในชื่อเดียวกัน ทั้งสองเรื่องนักแสดงผู้รับบทพันเอกแชมเบอร์เลนคือ เจฟ แดเนียล

    (เพิ่มเติม: ฉากการต่อสู้ที่เนินลิตเติ้ลราวด์ท็อปในภาพยนตร์ Gettysburg 1993 แอดบอกได้เลยว่าสนุกมาก)
    ตำนานประวัติศาสตร์ EP.1: Little Round Top กลยุทธ์พลิกเกมของพันเอกอาจารย์มหาวิทยาลัยสายวาทศาสตร์ เรื่องราวเกิดขึ้นในวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ.1863 (พ.ศ.2406) ในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา วันที่สองของสมรภูมิเก็ตตี้เบิร์ก ยุทธการนองเลือดที่จะตัดสินชะตากรรมของสหรัฐอเมริกา ณ บริเวณเนินลิตเติ้ลราวด์ท็อปกรมทหารราบรัฐเมนที่ 20 ภายใต้การนำของพันเอกโจชัวร์ ลอว์เรน แชมเบอร์เลน (Joshua Lawrence Chamberlain) ได้เข้ามาตั้งรับในบริเวณปีกซ้ายสุดของกองทัพโพโต (Army of Potomac) แมคภายใต้การนำของนายพลจอร์จ กอร์ดอน มีด (George Gordon Meades) หากเสียที่มั่นตรงนี้ไป กองทัพโพโตแมคที่เหลือจะถูกกวาดล้างโดยกองทัพเวอร์จิเนียเหนือ (Army of Northern Virginia) แห่งสมาพันธรัฐภายใต้การนำของนายพลโรเบิร์ต อี. ลี (Roberts E. Lee) ผู้เป็นตำนาน ในการสู้รบของวันนั้นกรมทหารราบรัฐเมนที่ 20 ภายใต้การนำของเขาได้เผชิญหน้ากับกรมทหารราบรัฐอะแลบามาที่ 15 ภายใต้การนำของพันเอกวิลเลี่ยม ซี. โอทส์ (William C. Oates) พวกเขาต่อสู้กับทหารข้าศึกจนกระสุนเริ่มร่อยหรอลง จนหมดลงในที่สุด ในทีแรกนายทหารคนสนิทของเขา…ร้อยเอกเอลลิส สเปียร์ (Ellis Spear) จะขอให้เขาถอนกำลัง แต่พวกเขาคือที่มั่นสุดท้ายแล้ว เพราะหากพวกเขาถอยทัพและกองทัพฝ่ายเหนือทั้งหมดถูกกวาดล้าง กองทัพฝ่ายใต้จะเคลื่อนพลสู่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พันเอกแชมเบอร์เลนจึงตัดสินใจสั่งให้ทหารที่เหลือทั้งหมดติดดาบปลายปืนเพื่อเตรียมเข้าชาร์จศัตรู โดยเขาได้นำหลักตรรกะศาสตร์ที่เขาถนัดมาใช้ด้วยเขาเรียกว่า “กลยุทธ์บานพับประตู” โดยให้กองร้อยปีกซ้ายภายใต้การนำของร้อยเอกสเปียร์โจมตีจากทางด้านข้าง (Flanking Maneuver) ขณะที่เขาและน้องชายของเขา…ร้อยโทโธมัส เดวี่ แชมเบอร์เลน (Thomas Davee Chamberlain) ได้นำกองร้อยปีกขวาโจมตีข้าศึกจากด้านหน้า (Frontal Assault) สาเหตุที่พันเอกแชมเบอร์เลนใช้วิธีนี้เพราะว่ากองทหารข้าศึกที่เข้าโจมตีพวกเขานั้นรบติดพันกับพวกเขามาทั้งวันและน่าจะเหนื่อยจากการเดินทัพขึ้นเนินเข้ามาตีพวกเขา (ตามบันทึกประวัติศาสตร์จากยุทธการเก็ตตี้เบิร์ก กรมทหารราบรัฐอะแลบามาที่ 15 เดินทางมาถึงสนามรบในวันที่สองของการรบและถูกส่งเข้าตีปีกซ้ายของกองทัพสหภาพในทันทีตามคำสั่งของนายพลลี โดยที่พวกเขาส่วนใหญ่ยังไม่ได้แม้แต่เติมน้ำดื่มก่อนออกรบเลย) ผลของการรบ…กรมทหารราบรัฐเมนที่ 20 สามารถขับไล่กองทหารฝ่ายใต้ออกไปได้และสามารถจับเชลยศึกที่ตกตะลึงกับการบุกและหมดแรงเกินกว่าจะหนีได้เป็นจำนวนมาก ในช่วงของการบุกพันเอกแชมเบอร์เลนเกือบถูกยิงด้วยปืนลูกโม่จากนายทหารฝ่ายใต้นายนึง สุดท้ายเขาจับนายทหารคนนั้นและยึดปืนของเขามาได้ จากวีรกรรมของเขาในครั้งนี้ทำให้เขาได้รับเหรียญกล้าหาญ Medal of Honor ซึ่งเป็นเครื่องอิสริยาภรณ์สำหรับทหารที่มีชื่อเสียงเกียรติยศและระดับสูงสุดในสหรัฐอเมริกาซึ่งอาจเป็นการปูนบำเหน็จเพื่อยกย่องแก่ทหารในกองทัพสหรัฐที่มีชื่อเสียงโดดเด่น ภายหลังสงครามจบลง แชมเบอร์เลนออกจากกองทัพ และด้วยชื่อเสียงของเขา เขาได้ลงสมัครเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐเมน เขาชนะการเลือกตั้งถึงสี่สมัย ตั้งแต่ปี ค.ศ.1866-1869 (พ.ศ.2409-2412) โดยเขาสังกัดพรรครีพับลิกัน และในปี ค.ศ.1871 (พ.ศ.2414) เขาได้กลายมาเป็นอธิการบดีแห่งวิทยาลัยโบว์ดินที่เขาเคยสอนอยู่ พันเอกโจชัวร์ ลอว์เรน แชมเบอร์เลนเสียชีวิตลงในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) ในวัย 85ปี ที่เมืองพอร์ทแลนด์, รัฐเมน, สหรัฐฯ เป็นอันปิดตำนานของพันเอกอาจารย์มหาวิทยาลัยสายวาทศาสตร์ เรื่องราวของเขาและน้องชายของเขาได้ถูกนำไปตีแผ่ลงในนิยายเรื่อง The Killer Angels (1974) โดยนักเขียนนวนิยายอิงประวัติศาสตร์นาม…ไมเคิล ชารา ซึ่งต่อมาได้ถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์เรื่อง Gettysburg (1993) และอีกครั้งในนวนิยายเรื่อง God and Generals (1996) ที่ถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในปี 2003 ในชื่อเดียวกัน ทั้งสองเรื่องนักแสดงผู้รับบทพันเอกแชมเบอร์เลนคือ เจฟ แดเนียล (เพิ่มเติม: ฉากการต่อสู้ที่เนินลิตเติ้ลราวด์ท็อปในภาพยนตร์ Gettysburg 1993 แอดบอกได้เลยว่าสนุกมาก)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 352 มุมมอง 0 รีวิว
  • Huawei ได้เปิดตัวโปรเซสเซอร์ AI รุ่นใหม่ Ascend 910D ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อแข่งขันกับ GPU รุ่น Blackwell และ Rubin ของ Nvidia โดย Ascend 910D ถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพสูงกว่า Nvidia H100 ในการประมวลผล AI แม้ว่าในระดับชิปเดี่ยวจะยังช้ากว่า Blackwell B200 และ B300 รวมถึง Rubin GPUs ที่จะเปิดตัวในปีหน้า

    Huawei ใช้กลยุทธ์การสร้างระบบที่มีโปรเซสเซอร์หลายร้อยตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในระดับระบบ โดย Ascend 910D จะเริ่มการทดสอบในเดือนพฤษภาคม และมีแผนการจัดส่งโปรเซสเซอร์ Ascend 910C แบบสองชิปให้กับลูกค้าชาวจีนในเดือนหน้า

    อย่างไรก็ตาม Huawei ยังคงเผชิญกับความท้าทายในการพัฒนาชิปที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ในระดับประสิทธิภาพต่อวัตต์ เนื่องจากข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีการผลิตที่เกิดจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ

    ✅ การเปิดตัวโปรเซสเซอร์ Ascend 910D
    - Ascend 910D ถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพสูงกว่า Nvidia H100
    - ใช้กลยุทธ์การสร้างระบบที่มีโปรเซสเซอร์หลายร้อยตัว

    ✅ การทดสอบและการจัดส่ง
    - Ascend 910D จะเริ่มการทดสอบในเดือนพฤษภาคม
    - Ascend 910C แบบสองชิปจะเริ่มจัดส่งในเดือนหน้า

    ✅ ความสำคัญของ Ascend 910D
    - เป็นโปรเซสเซอร์ AI ที่มีเป้าหมายเพื่อแข่งขันกับ Nvidia ในตลาดจีน
    - มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา AI ในประเทศจีน

    ✅ ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีการผลิต
    - Huawei เผชิญกับข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีการผลิตจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/huawei-ascend-ai-910d-processor-designed-to-take-on-nvidias-blackwell-and-rubin-gpus
    Huawei ได้เปิดตัวโปรเซสเซอร์ AI รุ่นใหม่ Ascend 910D ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อแข่งขันกับ GPU รุ่น Blackwell และ Rubin ของ Nvidia โดย Ascend 910D ถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพสูงกว่า Nvidia H100 ในการประมวลผล AI แม้ว่าในระดับชิปเดี่ยวจะยังช้ากว่า Blackwell B200 และ B300 รวมถึง Rubin GPUs ที่จะเปิดตัวในปีหน้า Huawei ใช้กลยุทธ์การสร้างระบบที่มีโปรเซสเซอร์หลายร้อยตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในระดับระบบ โดย Ascend 910D จะเริ่มการทดสอบในเดือนพฤษภาคม และมีแผนการจัดส่งโปรเซสเซอร์ Ascend 910C แบบสองชิปให้กับลูกค้าชาวจีนในเดือนหน้า อย่างไรก็ตาม Huawei ยังคงเผชิญกับความท้าทายในการพัฒนาชิปที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ในระดับประสิทธิภาพต่อวัตต์ เนื่องจากข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีการผลิตที่เกิดจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ✅ การเปิดตัวโปรเซสเซอร์ Ascend 910D - Ascend 910D ถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพสูงกว่า Nvidia H100 - ใช้กลยุทธ์การสร้างระบบที่มีโปรเซสเซอร์หลายร้อยตัว ✅ การทดสอบและการจัดส่ง - Ascend 910D จะเริ่มการทดสอบในเดือนพฤษภาคม - Ascend 910C แบบสองชิปจะเริ่มจัดส่งในเดือนหน้า ✅ ความสำคัญของ Ascend 910D - เป็นโปรเซสเซอร์ AI ที่มีเป้าหมายเพื่อแข่งขันกับ Nvidia ในตลาดจีน - มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา AI ในประเทศจีน ✅ ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีการผลิต - Huawei เผชิญกับข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีการผลิตจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/huawei-ascend-ai-910d-processor-designed-to-take-on-nvidias-blackwell-and-rubin-gpus
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความทัศนะจากเพจเฟซบุ๊ก'อ้ายจง‘ ได้เขียนไว้อย่างน่าสนใจว่า ทำไมการแต่งตั้ง "ที่ปรึกษาชาวจีน" โดยผู้ว่าฯ จึงเป็นเรื่องที่ (ทุกคนควร) จับตามอง?.ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ข่าวการแต่งตั้งนักธุรกิจชาวจีนให้เป็น "ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี" กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง หลายคนตั้งคำถามว่า "โปร่งใสหรือไม่?" "จำเป็นแค่ไหน?" และ "ไม่มีคนไทยที่เหมาะสมกว่าหรือ?" .แม้คำสั่งแต่งตั้งจะระบุว่า เพื่อ "ให้คำปรึกษาและเสนอแนะแนวทางในประเด็นที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการ" แต่ต้องยอมรับนะครับว่า ค่อนข้างจะคลุมเครือ เพราะไม่แน่ชัดถึง "ประเด็นอะไร?" "เหตุผลเพิ่มเติมคืออะไร" ดังนั้นกลับยิ่งสร้างคำถามมากกว่าคำตอบ โดยเฉพาะเมื่อที่ปรึกษาคนดังกล่าวเป็น "ชาวต่างชาติ" และ "ชาวจีน" ในบริบทที่มีความอ่อนไหวหลายมิติ.หากวิเคราะห์ตามเนื้อผ้าและบริบทที่เป็นไปได้ จังหวัดปราจีนบุรีตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC (Eastern Economic Corridor) ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่ประเทศไทยต้องการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ .โดยเฉพาะจีนที่มีบทบาทในนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งในภูมิภาคนี้ การแต่งตั้งที่ปรึกษาชาวจีนอาจสะท้อนถึงความพยายามของผู้ว่าฯ ในการเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนจีนเพื่อสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจโดยตรง .ถ้ามองในมุมนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องของกลยุทธ์ในการพัฒนาจังหวัด แต่ประเด็นที่หลายคนคาใจอยู่ที่ความไม่ชัดเจนของข้อมูล โดยเฉพาะถ้อยคำในคำสั่งที่ระบุว่า "ให้คำปรึกษาในประเด็นต่างๆ" โดยไม่ระบุชัดว่า "ประเด็นใด" ทำให้เกิดความคลุมเครือและสร้างข้อกังขาต่อสาธารณะ.อีกเรื่องที่สำคัญมาก คือข้อกฎหมายและข้อจำกัดในการจ้างชาวต่างชาติให้ทำงานในประเทศไทย ซึ่งตามกฎหมายแรงงานแล้ว ชาวต่างชาติต้องมีใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ที่ถูกต้องและระบุขอบเขตงานชัดเจน โดยเฉพาะหากเกี่ยวข้องกับงานที่จัดอยู่ในกลุ่มอาชีพสงวน เช่น การให้คำปรึกษาทางกฎหมาย การทำงานราชการ หรืออื่นๆ ที่มีผลต่อความมั่นคง หากการแต่งตั้งนี้ไม่ได้ดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อกฎหมาย อาจกลายเป็นช่องโหว่สำคัญที่นำไปสู่ความเสียหายในระดับระบบราชการ.ต้องย้ำด้วยว่า คนต่างชาติที่เข้ามาทำงานหรือใช้ชีวิตในไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็มีจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวจีนที่ลงทุน สร้างงาน สร้างรายได้ และมีบทบาทสำคัญในภาคเศรษฐกิจไทย แต่ในขณะเดียวกัน หากรัฐยังปล่อยให้บางกลุ่มที่เข้ามาแบบผิดกฎหมายสามารถแทรกตัวหรือมีบทบาทในหน่วยงานราชการได้โดยไม่ตรวจสอบ ก็จะกลายเป็นภัยเงียบที่กระทบทั้งระบบ และยังส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของชาวต่างชาติกลุ่มที่ตั้งใจทำงานอย่างสุจริตด้วย.ที่ผ่านมาประเทศไทยมีประวัติของกรณีชาวจีนที่เข้ามาทำกิจกรรมแปลกๆ ที่ผิดกฎหมายหรือก้ำกึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการรีวิวการจ้างตำรวจไทยนำขบวนรถหรู การอบรมอาสาตำรวจให้ชาวจีน หรือแม้กระทั่งการใช้วีซ่าผิดประเภทเพื่ออยู่อาศัยหรือทำธุรกิจ หากปล่อยให้กรณีเหล่านี้เกิดขึ้นโดยไม่มีมาตรการควบคุมที่จริงจัง จะทำให้เกิดภาพลักษณ์ว่า "มีเงิน ก็ทำอะไรก็ได้ในไทย" ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ.เพราะฉะนั้น ความโปร่งใสจึงไม่ใช่แค่คำสวยหรู แต่เป็นหลักประกันพื้นฐานของความไว้วางใจในระบบสาธารณะ .การแต่งตั้งที่ปรึกษาชาวต่างชาติในระดับจังหวัดอาจเป็นสิ่งที่ทำได้ #แต่ต้องอธิบายให้สาธารณชนเข้าใจ ตรวจสอบได้ และเป็นตัวอย่างของกระบวนการที่ยึดหลักความโปร่งใสอย่างแท้จริง เพราะหากเราไม่สามารถทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในระบบได้ ทุกกลยุทธ์การดึงดูดนักลงทุน หรือการพัฒนาใดๆ ก็จะไร้ผลในระยะยาว.และในอีกแง่มุมหนึ่ง หากมีเหตุผลที่ต้องแต่งตั้งชาวต่างชาติหรือชาวจีนเป็นที่ปรึกษาจริง ๆ เพื่อช่วยวางกลยุทธ์ด้านการลงทุนหรือเศรษฐกิจ ก็ย่อมเป็นสิทธิ์ของผู้ว่าฯ ที่จะใช้ดุลยพินิจ .แต่จะยิ่งดีและเกิดประโยชน์มากขึ้น หากมี "ที่ปรึกษาชาวไทย" ทำงานควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้เกิดการถ่วงดุล สื่อสารเชิงวัฒนธรรม และสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างภาคไทยกับต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทิ้งรากฐานของสังคมไทยเอง.สุดท้าย ความโปร่งใสต้องเกิดในทุกระดับของสังคมไทย ตั้งแต่บนลงล่าง ไม่ใช่แค่ในนโยบายส่วนกลาง แต่ต้องสะท้อนออกมาให้เห็นจริงในทุกการตัดสินใจของทุกจังหวัด ทุกตำแหน่ง และทุกคำสั่ง เพราะนั่นคือรากฐานของความเชื่อมั่นและความยั่งยืนด้วยความเคารพ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 รายงานข่าวจากเพจCH7HD News ถามหาความเหมาะสม! หลังเอกสารหลุดคำสั่งผู้ว่าฯปราจีนบุรี แต่งตั้ง "ชายชาวจีน" เป็นที่ปรึกษา ทำหน้าที่แนะแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญเป็นประโยชน์ต่อการบริการขับเคลื่อนงานของจังหวัด โดย เอกสารสำคัญที่เผยแพร่แพร่ในโซเชียลตั้งแต่ค่ำวานที่ผ่านมา(29 เม.ย.68) เป็นคำสั่ง 2 ฉบับ ลงนาม โดยนายวีระพันธ์ ดีอ่อน ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ลงนามเมื่อวันที่ 21 เม.ย.68 คือ คำสั่งจังหวัดปราจีนบุรี ที่ 1327/2568 ลงนามเมื่อวันที่ 21 เม.ย.68 แต่งตั้งที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี 5 คน เพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาจังหวัด 5ปี (พ.ศ.2566-2570) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยยิ่งขึ้น โดยลำดับที่1-4 เป็นคนไทย ส่วน ลำดับที่ 5 เป็นคนจีน และ คำสั่งแจ้งบุคคลในลำดับที่ 5 เป็นที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและเสนอแนะแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมในประเด็นต่างๆ ที่เห็นว่ามีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการบริหาร และการขับเคลื่อนงานของจังหวัดปราจีนบุรี หลังเป็นข่าว ปรากฏว่า ล่าสุดวันที่ 30 เมษายน เวลา 7.00 น. ผู้ว่าฯปราจีนบุรีได้ออกคำสั่งยกเลิกแต่งตั้ง"ชาวจีน"เป็นที่ปรึกษาผู้ว่าฯแล้ว หลังจากเพจเรื่องเล่าเช้านี้ รายงานว่า คำชี้แจงจากผู้ว่าปราจีนบุรี.นายวีระพันธ์ ดีอ่อน ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี โฟนอินชี้แจงกรณีกระแสวิพากษ์วิจารณ์แต่งตั้งชาวจีนเป็นที่ปรึกษาว่า บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งทางหอการค้าจังหวัดเสนอมา ตรวจสอบแล้วไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัย เลยแต่งตั้งเพื่อให้เกียรติมาช่วยงานจังหวัด ไม่ได้สนิทเป็นการส่วนตัว .พร้อมยอมรับว่าที่ผ่านมาคนจีนมาลงทุนในจังหวัดเยอะ รวมถึงชาวต่างชาติด้วย นำรายได้มาสู่ประเทศปีหนึ่งกว่า 3 แสนล้านบาท ส่วนหน้าที่ของผู้ได้รับการแต่งตั้งนั้นจะคอยจะคอยช่วยประสานงานในส่วนนักลงทุน หรือที่มาจากทางประเทศบ้านเขาในเรื่องการสื่อสาร มิติการค้าและมิติอื่นๆ ตามความประสงค์ของหอการค้าจังหวัด พร้อมขออภัย ในความไม่เหมาะสมและเป็นที่น่าเป็นห่วงจึงได้ยกเลิกคำสั่งการแต่งตั้งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
    บทความทัศนะจากเพจเฟซบุ๊ก'อ้ายจง‘ ได้เขียนไว้อย่างน่าสนใจว่า ทำไมการแต่งตั้ง "ที่ปรึกษาชาวจีน" โดยผู้ว่าฯ จึงเป็นเรื่องที่ (ทุกคนควร) จับตามอง?.ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ข่าวการแต่งตั้งนักธุรกิจชาวจีนให้เป็น "ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี" กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง หลายคนตั้งคำถามว่า "โปร่งใสหรือไม่?" "จำเป็นแค่ไหน?" และ "ไม่มีคนไทยที่เหมาะสมกว่าหรือ?" .แม้คำสั่งแต่งตั้งจะระบุว่า เพื่อ "ให้คำปรึกษาและเสนอแนะแนวทางในประเด็นที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการ" แต่ต้องยอมรับนะครับว่า ค่อนข้างจะคลุมเครือ เพราะไม่แน่ชัดถึง "ประเด็นอะไร?" "เหตุผลเพิ่มเติมคืออะไร" ดังนั้นกลับยิ่งสร้างคำถามมากกว่าคำตอบ โดยเฉพาะเมื่อที่ปรึกษาคนดังกล่าวเป็น "ชาวต่างชาติ" และ "ชาวจีน" ในบริบทที่มีความอ่อนไหวหลายมิติ.หากวิเคราะห์ตามเนื้อผ้าและบริบทที่เป็นไปได้ จังหวัดปราจีนบุรีตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC (Eastern Economic Corridor) ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่ประเทศไทยต้องการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ .โดยเฉพาะจีนที่มีบทบาทในนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งในภูมิภาคนี้ การแต่งตั้งที่ปรึกษาชาวจีนอาจสะท้อนถึงความพยายามของผู้ว่าฯ ในการเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนจีนเพื่อสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจโดยตรง .ถ้ามองในมุมนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องของกลยุทธ์ในการพัฒนาจังหวัด แต่ประเด็นที่หลายคนคาใจอยู่ที่ความไม่ชัดเจนของข้อมูล โดยเฉพาะถ้อยคำในคำสั่งที่ระบุว่า "ให้คำปรึกษาในประเด็นต่างๆ" โดยไม่ระบุชัดว่า "ประเด็นใด" ทำให้เกิดความคลุมเครือและสร้างข้อกังขาต่อสาธารณะ.อีกเรื่องที่สำคัญมาก คือข้อกฎหมายและข้อจำกัดในการจ้างชาวต่างชาติให้ทำงานในประเทศไทย ซึ่งตามกฎหมายแรงงานแล้ว ชาวต่างชาติต้องมีใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ที่ถูกต้องและระบุขอบเขตงานชัดเจน โดยเฉพาะหากเกี่ยวข้องกับงานที่จัดอยู่ในกลุ่มอาชีพสงวน เช่น การให้คำปรึกษาทางกฎหมาย การทำงานราชการ หรืออื่นๆ ที่มีผลต่อความมั่นคง หากการแต่งตั้งนี้ไม่ได้ดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อกฎหมาย อาจกลายเป็นช่องโหว่สำคัญที่นำไปสู่ความเสียหายในระดับระบบราชการ.ต้องย้ำด้วยว่า คนต่างชาติที่เข้ามาทำงานหรือใช้ชีวิตในไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็มีจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวจีนที่ลงทุน สร้างงาน สร้างรายได้ และมีบทบาทสำคัญในภาคเศรษฐกิจไทย แต่ในขณะเดียวกัน หากรัฐยังปล่อยให้บางกลุ่มที่เข้ามาแบบผิดกฎหมายสามารถแทรกตัวหรือมีบทบาทในหน่วยงานราชการได้โดยไม่ตรวจสอบ ก็จะกลายเป็นภัยเงียบที่กระทบทั้งระบบ และยังส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของชาวต่างชาติกลุ่มที่ตั้งใจทำงานอย่างสุจริตด้วย.ที่ผ่านมาประเทศไทยมีประวัติของกรณีชาวจีนที่เข้ามาทำกิจกรรมแปลกๆ ที่ผิดกฎหมายหรือก้ำกึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการรีวิวการจ้างตำรวจไทยนำขบวนรถหรู การอบรมอาสาตำรวจให้ชาวจีน หรือแม้กระทั่งการใช้วีซ่าผิดประเภทเพื่ออยู่อาศัยหรือทำธุรกิจ หากปล่อยให้กรณีเหล่านี้เกิดขึ้นโดยไม่มีมาตรการควบคุมที่จริงจัง จะทำให้เกิดภาพลักษณ์ว่า "มีเงิน ก็ทำอะไรก็ได้ในไทย" ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ.เพราะฉะนั้น ความโปร่งใสจึงไม่ใช่แค่คำสวยหรู แต่เป็นหลักประกันพื้นฐานของความไว้วางใจในระบบสาธารณะ .การแต่งตั้งที่ปรึกษาชาวต่างชาติในระดับจังหวัดอาจเป็นสิ่งที่ทำได้ #แต่ต้องอธิบายให้สาธารณชนเข้าใจ ตรวจสอบได้ และเป็นตัวอย่างของกระบวนการที่ยึดหลักความโปร่งใสอย่างแท้จริง เพราะหากเราไม่สามารถทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในระบบได้ ทุกกลยุทธ์การดึงดูดนักลงทุน หรือการพัฒนาใดๆ ก็จะไร้ผลในระยะยาว.และในอีกแง่มุมหนึ่ง หากมีเหตุผลที่ต้องแต่งตั้งชาวต่างชาติหรือชาวจีนเป็นที่ปรึกษาจริง ๆ เพื่อช่วยวางกลยุทธ์ด้านการลงทุนหรือเศรษฐกิจ ก็ย่อมเป็นสิทธิ์ของผู้ว่าฯ ที่จะใช้ดุลยพินิจ .แต่จะยิ่งดีและเกิดประโยชน์มากขึ้น หากมี "ที่ปรึกษาชาวไทย" ทำงานควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้เกิดการถ่วงดุล สื่อสารเชิงวัฒนธรรม และสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างภาคไทยกับต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทิ้งรากฐานของสังคมไทยเอง.สุดท้าย ความโปร่งใสต้องเกิดในทุกระดับของสังคมไทย ตั้งแต่บนลงล่าง ไม่ใช่แค่ในนโยบายส่วนกลาง แต่ต้องสะท้อนออกมาให้เห็นจริงในทุกการตัดสินใจของทุกจังหวัด ทุกตำแหน่ง และทุกคำสั่ง เพราะนั่นคือรากฐานของความเชื่อมั่นและความยั่งยืนด้วยความเคารพ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 รายงานข่าวจากเพจCH7HD News ถามหาความเหมาะสม! หลังเอกสารหลุดคำสั่งผู้ว่าฯปราจีนบุรี แต่งตั้ง "ชายชาวจีน" เป็นที่ปรึกษา ทำหน้าที่แนะแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญเป็นประโยชน์ต่อการบริการขับเคลื่อนงานของจังหวัด โดย เอกสารสำคัญที่เผยแพร่แพร่ในโซเชียลตั้งแต่ค่ำวานที่ผ่านมา(29 เม.ย.68) เป็นคำสั่ง 2 ฉบับ ลงนาม โดยนายวีระพันธ์ ดีอ่อน ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ลงนามเมื่อวันที่ 21 เม.ย.68 คือ คำสั่งจังหวัดปราจีนบุรี ที่ 1327/2568 ลงนามเมื่อวันที่ 21 เม.ย.68 แต่งตั้งที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี 5 คน เพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาจังหวัด 5ปี (พ.ศ.2566-2570) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยยิ่งขึ้น โดยลำดับที่1-4 เป็นคนไทย ส่วน ลำดับที่ 5 เป็นคนจีน และ คำสั่งแจ้งบุคคลในลำดับที่ 5 เป็นที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและเสนอแนะแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมในประเด็นต่างๆ ที่เห็นว่ามีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการบริหาร และการขับเคลื่อนงานของจังหวัดปราจีนบุรี หลังเป็นข่าว ปรากฏว่า ล่าสุดวันที่ 30 เมษายน เวลา 7.00 น. ผู้ว่าฯปราจีนบุรีได้ออกคำสั่งยกเลิกแต่งตั้ง"ชาวจีน"เป็นที่ปรึกษาผู้ว่าฯแล้ว หลังจากเพจเรื่องเล่าเช้านี้ รายงานว่า คำชี้แจงจากผู้ว่าปราจีนบุรี.นายวีระพันธ์ ดีอ่อน ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี โฟนอินชี้แจงกรณีกระแสวิพากษ์วิจารณ์แต่งตั้งชาวจีนเป็นที่ปรึกษาว่า บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งทางหอการค้าจังหวัดเสนอมา ตรวจสอบแล้วไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัย เลยแต่งตั้งเพื่อให้เกียรติมาช่วยงานจังหวัด ไม่ได้สนิทเป็นการส่วนตัว .พร้อมยอมรับว่าที่ผ่านมาคนจีนมาลงทุนในจังหวัดเยอะ รวมถึงชาวต่างชาติด้วย นำรายได้มาสู่ประเทศปีหนึ่งกว่า 3 แสนล้านบาท ส่วนหน้าที่ของผู้ได้รับการแต่งตั้งนั้นจะคอยจะคอยช่วยประสานงานในส่วนนักลงทุน หรือที่มาจากทางประเทศบ้านเขาในเรื่องการสื่อสาร มิติการค้าและมิติอื่นๆ ตามความประสงค์ของหอการค้าจังหวัด พร้อมขออภัย ในความไม่เหมาะสมและเป็นที่น่าเป็นห่วงจึงได้ยกเลิกคำสั่งการแต่งตั้งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 430 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยางคอนติเนนทอล ปิดโรงงานอลอร์สตาร์ มาเลเซีย

    คอนติเนนทอล (Continental) ผู้ผลิตและจำหน่ายยางรถยนต์อันดับ 1 จากประเทศเยอรมนี ที่มียอดขายสูงสุด 1 ใน 3 ของโลก กำลังเตรียมปิดโรงงานผลิตยางรถยนต์ สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถบรรทุกขนาดเบา และจักรยานยนต์สำหรับตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในเมืองอลอร์สตาร์ (Aloe Setar) รัฐเคดะห์ (Kedah) ทางภาคเหนือของมาเลเซีย ภายในสิ้นปี 2568 โดยให้เหตุผลว่าเพื่อต้องการคงความสามารถในการแข่งขันในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นผลจากการพิจารณาทบทวนธุรกิจเต็มรูปแบบ การตัดสินใจดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ปรับปรุงกลุ่มผลิตภัณฑ์ และสถานที่ตั้งโรงงาน

    สำหรับพนักงานทั้งหมด 950 คน ที่จะได้รับผลกระทบจากการปิดโรงงานในครั้งนี้ คอนติเนนทอลได้เสนอความช่วยเหลือ เช่น การให้คำปรึกษาด้านอาชีพ และการสำรวจโอกาสในการทำงานทั้งภายในและภายนอกบริษัทฯ การปิดโรงงานดังกล่าวนับเป็นการปิดฉากโรงงานผลิตยางรถยนต์ที่ดำเนินกิจการมาเป็นเวลา 46 ปี ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2522 บนพื้นที่ 133,000 ตารางเมตร และกลายเป็นบริษัทในเครือคอนติเนนทอลมาตั้งแต่เดือน พ.ค. 2555 อย่างไรก็ตาม ยังเหลือโรงงานในมาเลเซียอีก 1 แห่ง ที่เมืองเปอตาลิง จายา รัฐสลังงอร์ ผลิตยางออฟโรดสำหรับขนย้ายวัสดุและใช้งานทางการเกษตร มีพนักงาน 500 คน

    ยางรถยนต์คอนติเนนทอลก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2414 นำเข้าและจำหน่ายในมาเลเซียช่วงต้นทศวรรษปี 1960-1970 กระทั่งในช่วงต้นทศวรรษปี 2000 คอนติเนนทอลเริ่มลงทุนโดยตรงมากขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งมาเลเซีย โดยในปี 2549 เข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัท ไซม์ ไทร์ อินเตอร์เนชันแนล บริษัทในเครือ ไซม์ ดาร์บี้ (Sime Darby) หนึ่งในผู้นำธุรกิจยานยนต์ในมาเลเซีย ทำให้คอนติเนนตัลมีฐานการผลิตและการเข้าถึงตลาดที่สำคัญในมาเลเซียในที่สุด

    แม้ว่าโรงงานที่อลอร์สตาร์จะต้องปิดตัวลง แต่คอนติเนนทอลยืนยันที่จะให้มาเลเซียเป็นตลาดสำคัญเชิงกลยุทธ์สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เน้นย้ำถึงการมุ่งรักษาความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้าและพันธมิตรในประเทศอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันคอนติเนนทอลมีโรงงานผลิตยางรถยนต์ 22 แห่งใน 17 ประเทศทั่วโลก โดยในภูมิภาคเอเชีย มีโรงงานทั้งที่มาเลเซีย เหอเฟย์ในจีน ระยองในไทย โมดิปุรัมในอินเดีย และกาลูทาราในศรีลังกา ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ต.ค. 2567 คอนติเนนทอล ประกาศว่า กำลังขยายกำลังการผลิตยางรถยนต์ในโรงงานจังหวัดระยอง ประเทศไทย อีก 3 ล้านเส้นต่อปี สร้างงานเพิ่ม 600 อัตรา วางแผนลงทุนมากกว่า 300 ล้านยูโร (13,000 ล้านบาท)

    #Newskit
    ยางคอนติเนนทอล ปิดโรงงานอลอร์สตาร์ มาเลเซีย คอนติเนนทอล (Continental) ผู้ผลิตและจำหน่ายยางรถยนต์อันดับ 1 จากประเทศเยอรมนี ที่มียอดขายสูงสุด 1 ใน 3 ของโลก กำลังเตรียมปิดโรงงานผลิตยางรถยนต์ สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถบรรทุกขนาดเบา และจักรยานยนต์สำหรับตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในเมืองอลอร์สตาร์ (Aloe Setar) รัฐเคดะห์ (Kedah) ทางภาคเหนือของมาเลเซีย ภายในสิ้นปี 2568 โดยให้เหตุผลว่าเพื่อต้องการคงความสามารถในการแข่งขันในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นผลจากการพิจารณาทบทวนธุรกิจเต็มรูปแบบ การตัดสินใจดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ปรับปรุงกลุ่มผลิตภัณฑ์ และสถานที่ตั้งโรงงาน สำหรับพนักงานทั้งหมด 950 คน ที่จะได้รับผลกระทบจากการปิดโรงงานในครั้งนี้ คอนติเนนทอลได้เสนอความช่วยเหลือ เช่น การให้คำปรึกษาด้านอาชีพ และการสำรวจโอกาสในการทำงานทั้งภายในและภายนอกบริษัทฯ การปิดโรงงานดังกล่าวนับเป็นการปิดฉากโรงงานผลิตยางรถยนต์ที่ดำเนินกิจการมาเป็นเวลา 46 ปี ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2522 บนพื้นที่ 133,000 ตารางเมตร และกลายเป็นบริษัทในเครือคอนติเนนทอลมาตั้งแต่เดือน พ.ค. 2555 อย่างไรก็ตาม ยังเหลือโรงงานในมาเลเซียอีก 1 แห่ง ที่เมืองเปอตาลิง จายา รัฐสลังงอร์ ผลิตยางออฟโรดสำหรับขนย้ายวัสดุและใช้งานทางการเกษตร มีพนักงาน 500 คน ยางรถยนต์คอนติเนนทอลก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2414 นำเข้าและจำหน่ายในมาเลเซียช่วงต้นทศวรรษปี 1960-1970 กระทั่งในช่วงต้นทศวรรษปี 2000 คอนติเนนทอลเริ่มลงทุนโดยตรงมากขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งมาเลเซีย โดยในปี 2549 เข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัท ไซม์ ไทร์ อินเตอร์เนชันแนล บริษัทในเครือ ไซม์ ดาร์บี้ (Sime Darby) หนึ่งในผู้นำธุรกิจยานยนต์ในมาเลเซีย ทำให้คอนติเนนตัลมีฐานการผลิตและการเข้าถึงตลาดที่สำคัญในมาเลเซียในที่สุด แม้ว่าโรงงานที่อลอร์สตาร์จะต้องปิดตัวลง แต่คอนติเนนทอลยืนยันที่จะให้มาเลเซียเป็นตลาดสำคัญเชิงกลยุทธ์สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เน้นย้ำถึงการมุ่งรักษาความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้าและพันธมิตรในประเทศอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันคอนติเนนทอลมีโรงงานผลิตยางรถยนต์ 22 แห่งใน 17 ประเทศทั่วโลก โดยในภูมิภาคเอเชีย มีโรงงานทั้งที่มาเลเซีย เหอเฟย์ในจีน ระยองในไทย โมดิปุรัมในอินเดีย และกาลูทาราในศรีลังกา ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ต.ค. 2567 คอนติเนนทอล ประกาศว่า กำลังขยายกำลังการผลิตยางรถยนต์ในโรงงานจังหวัดระยอง ประเทศไทย อีก 3 ล้านเส้นต่อปี สร้างงานเพิ่ม 600 อัตรา วางแผนลงทุนมากกว่า 300 ล้านยูโร (13,000 ล้านบาท) #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 324 มุมมอง 0 รีวิว
  • Hitachi Vantara ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Hitachi ได้รับผลกระทบจากการโจมตีด้วย Akira ransomware ทำให้ต้องปิดระบบบางส่วนเพื่อควบคุมสถานการณ์ ส่งผลกระทบต่อบริการและลูกค้าหลายราย

    Akira ransomware เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่ใช้กลยุทธ์ double-extortion โดยขโมยข้อมูลก่อนเข้ารหัส และเรียกร้องค่าไถ่เพื่อไม่ให้เปิดเผยข้อมูลที่ถูกขโมย กลุ่มนี้มักเจาะระบบผ่าน ช่องโหว่ของ VPN และข้อมูลล็อกอินที่ถูกขโมย

    แม้ว่าบริการ คลาวด์ของ Hitachi Vantara จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่บริษัทต้องปิดระบบภายใน รวมถึง Hitachi Vantara Manufacturing เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของมัลแวร์

    ✅ ผลกระทบต่อ Hitachi Vantara
    - บริษัทต้องปิดระบบบางส่วนเพื่อควบคุมสถานการณ์
    - ส่งผลกระทบต่อบริการและลูกค้าหลายราย

    ✅ ลักษณะของ Akira ransomware
    - ใช้กลยุทธ์ double-extortion ขโมยข้อมูลก่อนเข้ารหัส
    - เจาะระบบผ่านช่องโหว่ของ VPN และข้อมูลล็อกอินที่ถูกขโมย

    ✅ การตอบสนองของ Hitachi Vantara
    - ปิดระบบที่ได้รับผลกระทบเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของมัลแวร์
    - นำผู้เชี่ยวชาญภายนอกเข้ามาช่วยกู้คืนระบบ

    ✅ ผลกระทบต่อบริการคลาวด์
    - บริการคลาวด์ของ Hitachi Vantara ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง

    https://www.techradar.com/pro/security/hitachi-vantara-takes-down-important-systems-following-akira-ransomware-attack
    Hitachi Vantara ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Hitachi ได้รับผลกระทบจากการโจมตีด้วย Akira ransomware ทำให้ต้องปิดระบบบางส่วนเพื่อควบคุมสถานการณ์ ส่งผลกระทบต่อบริการและลูกค้าหลายราย Akira ransomware เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่ใช้กลยุทธ์ double-extortion โดยขโมยข้อมูลก่อนเข้ารหัส และเรียกร้องค่าไถ่เพื่อไม่ให้เปิดเผยข้อมูลที่ถูกขโมย กลุ่มนี้มักเจาะระบบผ่าน ช่องโหว่ของ VPN และข้อมูลล็อกอินที่ถูกขโมย แม้ว่าบริการ คลาวด์ของ Hitachi Vantara จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่บริษัทต้องปิดระบบภายใน รวมถึง Hitachi Vantara Manufacturing เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของมัลแวร์ ✅ ผลกระทบต่อ Hitachi Vantara - บริษัทต้องปิดระบบบางส่วนเพื่อควบคุมสถานการณ์ - ส่งผลกระทบต่อบริการและลูกค้าหลายราย ✅ ลักษณะของ Akira ransomware - ใช้กลยุทธ์ double-extortion ขโมยข้อมูลก่อนเข้ารหัส - เจาะระบบผ่านช่องโหว่ของ VPN และข้อมูลล็อกอินที่ถูกขโมย ✅ การตอบสนองของ Hitachi Vantara - ปิดระบบที่ได้รับผลกระทบเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของมัลแวร์ - นำผู้เชี่ยวชาญภายนอกเข้ามาช่วยกู้คืนระบบ ✅ ผลกระทบต่อบริการคลาวด์ - บริการคลาวด์ของ Hitachi Vantara ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง https://www.techradar.com/pro/security/hitachi-vantara-takes-down-important-systems-following-akira-ransomware-attack
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts