• เรื่องเล่าจากข่าว: แท็บเล็ตวาดภาพที่พร้อมใช้งานทันที แต่อาจไม่เหมาะกับทุกคน

    Wacom เปิดตัว MovinkPad 11 แท็บเล็ต Android ขนาด 11.45 นิ้ว ที่มาพร้อมกับปากกา Pro Pen 3 รุ่นมืออาชีพ ซึ่งไม่ต้องใช้แบตเตอรี่หรือ Bluetooth และให้ความแม่นยำสูงด้วยเทคโนโลยี EMR (Electromagnetic Resonance)

    จุดเด่นคือฟีเจอร์ “Quick Draw” ที่ให้ผู้ใช้แตะปากกาบนหน้าจอเพื่อเปิดแอป Wacom Canvas ได้ทันที—เหมือนเปิดสมุดสเก็ตช์แบบดิจิทัล ไม่ต้องปลดล็อกเครื่องหรือรอโหลดแอป

    หน้าจอแบบด้านช่วยลดแสงสะท้อนและให้สัมผัสเหมือนวาดบนกระดาษจริง ๆ เหมาะกับการใช้งานร่วมกับแอป Clip Studio Paint Debut ที่ติดตั้งมาให้แล้ว

    แต่แม้จะมีจุดเด่นด้านการวาด MovinkPad 11 ก็ยังมีข้อจำกัด เช่น ใช้ชิป MediaTek Helio G99 ซึ่งเป็นระดับกลาง และยังไม่มีแอป Adobe Photoshop หรือ Illustrator บน Android ทำให้การทำงานระดับมืออาชีพยังไม่ครบถ้วน

    Wacom MovinkPad 11 มาพร้อมปากกา Pro Pen 3 แบบไม่ต้องชาร์จ
    ใช้เทคโนโลยี EMR ให้ความแม่นยำสูง
    รองรับแรงกด 8,192 ระดับและการเอียงปากกา

    หน้าจอขนาด 11.45 นิ้ว ความละเอียด 2200 x 1440 แบบด้าน
    ลดแสงสะท้อนและรอยนิ้วมือ
    ให้สัมผัสเหมือนวาดบนกระดาษจริง

    ฟีเจอร์ Quick Draw เปิดแอป Wacom Canvas ได้ทันที
    ไม่ต้องปลดล็อกเครื่อง
    เหมาะกับการสเก็ตช์ไอเดียแบบรวดเร็ว

    แอป Clip Studio Paint Debut ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งาน
    เหมาะกับนักวาดมือใหม่และนักเรียน
    ใช้งานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์

    รองรับปากกา EMR จากแบรนด์อื่น เช่น LAMY และ STAEDTLER
    เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน
    ไม่จำกัดเฉพาะปากกา Wacom เท่านั้น

    แบตเตอรี่ขนาด 7,700 mAh ใช้งานได้นานหลายชั่วโมง
    น้ำหนักเบาเพียง 1.3 ปอนด์
    พกพาสะดวกและเหมาะกับการใช้งานนอกสถานที่

    https://www.techradar.com/pro/wacoms-unique-movinkpad-11-android-tablet-with-pro-pen-3-support-gets-its-first-review-and-aspiring-illustrators-will-love-it
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: แท็บเล็ตวาดภาพที่พร้อมใช้งานทันที แต่อาจไม่เหมาะกับทุกคน Wacom เปิดตัว MovinkPad 11 แท็บเล็ต Android ขนาด 11.45 นิ้ว ที่มาพร้อมกับปากกา Pro Pen 3 รุ่นมืออาชีพ ซึ่งไม่ต้องใช้แบตเตอรี่หรือ Bluetooth และให้ความแม่นยำสูงด้วยเทคโนโลยี EMR (Electromagnetic Resonance) จุดเด่นคือฟีเจอร์ “Quick Draw” ที่ให้ผู้ใช้แตะปากกาบนหน้าจอเพื่อเปิดแอป Wacom Canvas ได้ทันที—เหมือนเปิดสมุดสเก็ตช์แบบดิจิทัล ไม่ต้องปลดล็อกเครื่องหรือรอโหลดแอป หน้าจอแบบด้านช่วยลดแสงสะท้อนและให้สัมผัสเหมือนวาดบนกระดาษจริง ๆ เหมาะกับการใช้งานร่วมกับแอป Clip Studio Paint Debut ที่ติดตั้งมาให้แล้ว แต่แม้จะมีจุดเด่นด้านการวาด MovinkPad 11 ก็ยังมีข้อจำกัด เช่น ใช้ชิป MediaTek Helio G99 ซึ่งเป็นระดับกลาง และยังไม่มีแอป Adobe Photoshop หรือ Illustrator บน Android ทำให้การทำงานระดับมืออาชีพยังไม่ครบถ้วน ✅ Wacom MovinkPad 11 มาพร้อมปากกา Pro Pen 3 แบบไม่ต้องชาร์จ ➡️ ใช้เทคโนโลยี EMR ให้ความแม่นยำสูง ➡️ รองรับแรงกด 8,192 ระดับและการเอียงปากกา ✅ หน้าจอขนาด 11.45 นิ้ว ความละเอียด 2200 x 1440 แบบด้าน ➡️ ลดแสงสะท้อนและรอยนิ้วมือ ➡️ ให้สัมผัสเหมือนวาดบนกระดาษจริง ✅ ฟีเจอร์ Quick Draw เปิดแอป Wacom Canvas ได้ทันที ➡️ ไม่ต้องปลดล็อกเครื่อง ➡️ เหมาะกับการสเก็ตช์ไอเดียแบบรวดเร็ว ✅ แอป Clip Studio Paint Debut ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งาน ➡️ เหมาะกับนักวาดมือใหม่และนักเรียน ➡️ ใช้งานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ ✅ รองรับปากกา EMR จากแบรนด์อื่น เช่น LAMY และ STAEDTLER ➡️ เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน ➡️ ไม่จำกัดเฉพาะปากกา Wacom เท่านั้น ✅ แบตเตอรี่ขนาด 7,700 mAh ใช้งานได้นานหลายชั่วโมง ➡️ น้ำหนักเบาเพียง 1.3 ปอนด์ ➡️ พกพาสะดวกและเหมาะกับการใช้งานนอกสถานที่ https://www.techradar.com/pro/wacoms-unique-movinkpad-11-android-tablet-with-pro-pen-3-support-gets-its-first-review-and-aspiring-illustrators-will-love-it
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ “เงินปลอม” ถูกขายผ่าน Facebook แบบไม่ต้องหลบซ่อน

    ลองจินตนาการว่าคุณเลื่อนดู Instagram แล้วเจอโพสต์ขายธนบัตรปลอมแบบ “A1 quality” พร้อมวิดีโอโชว์กองเงินปลอม และยังมีบริการส่งถึงบ้านแบบเก็บเงินปลายทาง (COD)! นี่ไม่ใช่ฉากในหนังอาชญากรรม แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในอินเดีย

    ทีม STRIKE ของบริษัท CloudSEK ได้เปิดโปงขบวนการเงินปลอมมูลค่ากว่า ₹17.5 crore (ประมาณ 2 ล้านดอลลาร์) ที่ดำเนินการอย่างเปิดเผยผ่าน Facebook, Instagram, Telegram และ YouTube โดยใช้เทคนิค OSINT และ HUMINT เพื่อระบุตัวผู้กระทำผิด พร้อมส่งข้อมูลให้หน่วยงานรัฐเพื่อดำเนินคดี

    ขบวนการเงินปลอมมูลค่า ₹17.5 crore ถูกเปิดโปงโดย CloudSEK ในช่วง 6 เดือน
    ดำเนินการระหว่างธันวาคม 2024 ถึงมิถุนายน 2025
    ใช้แพลตฟอร์ม XVigil ตรวจจับโพสต์และบัญชีต้องสงสัย

    มีการตรวจพบโพสต์โปรโมทเงินปลอมกว่า 4,500 โพสต์ และบัญชีผู้ขายกว่า 750 บัญชี
    พบเบอร์โทรศัพท์ที่เกี่ยวข้องกว่า 410 หมายเลข
    ใช้ Meta Ads และโซเชียลมีเดียเพื่อเข้าถึงผู้ซื้อโดยตรง

    ผู้ขายใช้เทคนิคสร้างความน่าเชื่อถือ เช่น วิดีโอคอลโชว์เงินปลอม และภาพเขียนมือ
    ใช้คำรหัสเช่น “A1 note” และ “second currency” เพื่อหลบการตรวจจับ
    มีการใช้ WhatsApp เพื่อเจรจาและส่งภาพหลักฐาน

    การผลิตธนบัตรปลอมใช้เครื่องมือระดับมืออาชีพ
    ใช้ Adobe Photoshop, เครื่องพิมพ์อุตสาหกรรม และกระดาษพิเศษที่มีลายน้ำ Mahatma Gandhi
    ธนบัตรปลอมสามารถหลอกเครื่องตรวจจับได้ในบางกรณี

    ผู้ต้องสงสัยถูกระบุจากภาพใบหน้า, GPS, และบัญชีโซเชียลมีเดีย
    พบการดำเนินการในหมู่บ้าน Jamade (Dhule, Maharashtra) และเมือง Pune
    ผู้ต้องสงสัยใช้ชื่อปลอม เช่น Vivek Kumar, Karan Pawar, Sachin Deeva

    CloudSEK ส่งข้อมูลให้หน่วยงานรัฐเพื่อดำเนินการทางกฎหมาย
    รวมถึงภาพใบหน้า, หมายเลขโทรศัพท์, ตำแหน่ง GPS และหลักฐานดิจิทัล
    มีการแนะนำให้ Meta ตรวจสอบและลบโฆษณาที่เกี่ยวข้อง

    การขายเงินปลอมผ่านโซเชียลมีเดียเป็นภัยต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ
    อาจทำให้เกิดเงินเฟ้อและความไม่เชื่อมั่นในระบบการเงิน
    ส่งผลกระทบต่อธุรกิจรายย่อยและประชาชนทั่วไป

    แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยังมีช่องโหว่ในการตรวจจับการฉ้อโกงทางการเงิน
    โฆษณาเงินปลอมสามารถหลุดรอดการตรวจสอบได้
    การใช้แฮชแท็กและคำรหัสช่วยให้ผู้ขายหลบเลี่ยงการแบน

    การซื้อขายเงินปลอมอาจนำไปสู่การถูกหลอกหรือถูกปล้น
    มีรายงานว่าผู้ซื้อบางรายถูกโกงหรือถูกข่มขู่
    การทำธุรกรรมแบบพบตัวอาจเสี่ยงต่ออาชญากรรม

    การปลอมแปลงธนบัตรเป็นอาชญากรรมร้ายแรงตามกฎหมายอินเดีย
    เข้าข่ายผิดตาม Bharatiya Nyaya Sanhita (BNS) มาตรา 176–179
    และผิดตาม IT Act มาตรา 66D และ 69A หากเผยแพร่ผ่านอินเทอร์เน็ต

    https://hackread.com/researchers-online-fake-currency-operation-in-india/
    💰 เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ “เงินปลอม” ถูกขายผ่าน Facebook แบบไม่ต้องหลบซ่อน ลองจินตนาการว่าคุณเลื่อนดู Instagram แล้วเจอโพสต์ขายธนบัตรปลอมแบบ “A1 quality” พร้อมวิดีโอโชว์กองเงินปลอม และยังมีบริการส่งถึงบ้านแบบเก็บเงินปลายทาง (COD)! นี่ไม่ใช่ฉากในหนังอาชญากรรม แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในอินเดีย ทีม STRIKE ของบริษัท CloudSEK ได้เปิดโปงขบวนการเงินปลอมมูลค่ากว่า ₹17.5 crore (ประมาณ 2 ล้านดอลลาร์) ที่ดำเนินการอย่างเปิดเผยผ่าน Facebook, Instagram, Telegram และ YouTube โดยใช้เทคนิค OSINT และ HUMINT เพื่อระบุตัวผู้กระทำผิด พร้อมส่งข้อมูลให้หน่วยงานรัฐเพื่อดำเนินคดี ✅ ขบวนการเงินปลอมมูลค่า ₹17.5 crore ถูกเปิดโปงโดย CloudSEK ในช่วง 6 เดือน ➡️ ดำเนินการระหว่างธันวาคม 2024 ถึงมิถุนายน 2025 ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม XVigil ตรวจจับโพสต์และบัญชีต้องสงสัย ✅ มีการตรวจพบโพสต์โปรโมทเงินปลอมกว่า 4,500 โพสต์ และบัญชีผู้ขายกว่า 750 บัญชี ➡️ พบเบอร์โทรศัพท์ที่เกี่ยวข้องกว่า 410 หมายเลข ➡️ ใช้ Meta Ads และโซเชียลมีเดียเพื่อเข้าถึงผู้ซื้อโดยตรง ✅ ผู้ขายใช้เทคนิคสร้างความน่าเชื่อถือ เช่น วิดีโอคอลโชว์เงินปลอม และภาพเขียนมือ ➡️ ใช้คำรหัสเช่น “A1 note” และ “second currency” เพื่อหลบการตรวจจับ ➡️ มีการใช้ WhatsApp เพื่อเจรจาและส่งภาพหลักฐาน ✅ การผลิตธนบัตรปลอมใช้เครื่องมือระดับมืออาชีพ ➡️ ใช้ Adobe Photoshop, เครื่องพิมพ์อุตสาหกรรม และกระดาษพิเศษที่มีลายน้ำ Mahatma Gandhi ➡️ ธนบัตรปลอมสามารถหลอกเครื่องตรวจจับได้ในบางกรณี ✅ ผู้ต้องสงสัยถูกระบุจากภาพใบหน้า, GPS, และบัญชีโซเชียลมีเดีย ➡️ พบการดำเนินการในหมู่บ้าน Jamade (Dhule, Maharashtra) และเมือง Pune ➡️ ผู้ต้องสงสัยใช้ชื่อปลอม เช่น Vivek Kumar, Karan Pawar, Sachin Deeva ✅ CloudSEK ส่งข้อมูลให้หน่วยงานรัฐเพื่อดำเนินการทางกฎหมาย ➡️ รวมถึงภาพใบหน้า, หมายเลขโทรศัพท์, ตำแหน่ง GPS และหลักฐานดิจิทัล ➡️ มีการแนะนำให้ Meta ตรวจสอบและลบโฆษณาที่เกี่ยวข้อง ‼️ การขายเงินปลอมผ่านโซเชียลมีเดียเป็นภัยต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ ⛔ อาจทำให้เกิดเงินเฟ้อและความไม่เชื่อมั่นในระบบการเงิน ⛔ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจรายย่อยและประชาชนทั่วไป ‼️ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยังมีช่องโหว่ในการตรวจจับการฉ้อโกงทางการเงิน ⛔ โฆษณาเงินปลอมสามารถหลุดรอดการตรวจสอบได้ ⛔ การใช้แฮชแท็กและคำรหัสช่วยให้ผู้ขายหลบเลี่ยงการแบน ‼️ การซื้อขายเงินปลอมอาจนำไปสู่การถูกหลอกหรือถูกปล้น ⛔ มีรายงานว่าผู้ซื้อบางรายถูกโกงหรือถูกข่มขู่ ⛔ การทำธุรกรรมแบบพบตัวอาจเสี่ยงต่ออาชญากรรม ‼️ การปลอมแปลงธนบัตรเป็นอาชญากรรมร้ายแรงตามกฎหมายอินเดีย ⛔ เข้าข่ายผิดตาม Bharatiya Nyaya Sanhita (BNS) มาตรา 176–179 ⛔ และผิดตาม IT Act มาตรา 66D และ 69A หากเผยแพร่ผ่านอินเทอร์เน็ต https://hackread.com/researchers-online-fake-currency-operation-in-india/
    HACKREAD.COM
    Researchers Expose Massive Online Fake Currency Operation in India
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายคนอาจคิดว่า Nvidia ยังเป็นเจ้าตลาด GPU แบบเบ็ดเสร็จทุกแพลตฟอร์ม → แต่ถ้าเรามองไปที่ตลาด eGPU (GPU ภายนอกสำหรับโน้ตบุ๊ก), เกมกลับพลิก!

    ล่าสุดบริษัท Onexplayer เปิดตัว OnexGPU Lite ซึ่งใช้ Radeon RX 7600M XT แบบโมบายจาก AMD เป็นตัวประมวลผล → นี่คือ eGPU ตัวที่ 11 แล้วที่ใช้ชิป AMD จากซีรีส์ RX 7000 → ที่น่าสนใจคือยังไม่มี eGPU ที่ใช้ชิป RDNA4 ใหม่เลย — ทุกตัวใช้รุ่นเดิม แต่เปลี่ยนพอร์ตให้รองรับ Thunderbolt 5

    แม้ RX 7600M XT จะไม่ใช่ GPU ที่แรงที่สุด แต่กลับกลายเป็น "มาตรฐานของ eGPU รุ่นใหม่" ที่เน้นความบาง, น้ำหนักเบา, และการประหยัดพลังงาน → ขณะที่ Nvidia แทบไม่มีบทบาทในกลุ่มนี้ → Vendor หลายรายเลือก AMD เพราะจัดการเรื่อง driver ได้ง่ายกว่า, ประหยัดไฟกว่า และราคาอาจคุ้มค่ากว่าในแพลตฟอร์ม eGPU

    จุดขายล่าสุดคือพอร์ต Thunderbolt 5 ที่ทำงานได้ทั้งส่งภาพ, ส่งข้อมูล, และจ่ายไฟผ่านสายเดียว → แม้แบนด์วิดธ์ PCIe ยังเท่ากับ OCuLink (64Gbps) แต่ Thunderbolt 5 ใช้งานง่ายกว่า เพราะรองรับ display + power + data → เหมาะมากสำหรับ creator สายวีดีโอ หรือคนที่ใช้ Photoshop บนโน้ตบุ๊กบาง ๆ

    OnexGPU Lite ใช้ Radeon RX 7600M XT พร้อมพอร์ต Thunderbolt 5  
    • เป็น eGPU ตัวที่ 11 แล้วจาก AMD RX 7000 Series  
    • พัฒนาจาก OnexGPU 2 ที่ใช้ RX 7800M  
    • เน้น balance ระหว่างประสิทธิภาพ & portability

    Thunderbolt 5 รองรับทั้ง PCIe, display output และการจ่ายไฟผ่านสายเดียว  
    • PCIe bandwidth เทียบเท่า OCuLink (64Gbps)  
    • แต่มอบประสบการณ์ใช้งานที่ง่ายกว่าและเหมาะสำหรับ creator

    AMD ครองตลาด eGPU แบบเงียบ ๆ ขณะที่ Nvidia ยังไม่โดดเข้ามาเต็มตัว

    Vendor หลายรายอาจเลือก AMD เพราะเหตุผลด้าน power efficiency, driver compatibility, และราคาต่อโมบาย GPU

    แม้จะใช้ RX 7600M XT ซ้ำในหลายรุ่น แต่การเปลี่ยน chassis และพอร์ตเป็น Thunderbolt 5 คือทางเลือกที่คุ้มค่าในตลาด eGPU

    https://www.techradar.com/pro/amd-is-surpassing-nvidia-in-one-particular-market-and-i-dont-understand-why-11th-egpu-based-on-amd-radeon-rx-7000-series-debuts-and-even-has-thunderbolt-5
    หลายคนอาจคิดว่า Nvidia ยังเป็นเจ้าตลาด GPU แบบเบ็ดเสร็จทุกแพลตฟอร์ม → แต่ถ้าเรามองไปที่ตลาด eGPU (GPU ภายนอกสำหรับโน้ตบุ๊ก), เกมกลับพลิก! ล่าสุดบริษัท Onexplayer เปิดตัว OnexGPU Lite ซึ่งใช้ Radeon RX 7600M XT แบบโมบายจาก AMD เป็นตัวประมวลผล → นี่คือ eGPU ตัวที่ 11 แล้วที่ใช้ชิป AMD จากซีรีส์ RX 7000 → ที่น่าสนใจคือยังไม่มี eGPU ที่ใช้ชิป RDNA4 ใหม่เลย — ทุกตัวใช้รุ่นเดิม แต่เปลี่ยนพอร์ตให้รองรับ Thunderbolt 5 แม้ RX 7600M XT จะไม่ใช่ GPU ที่แรงที่สุด แต่กลับกลายเป็น "มาตรฐานของ eGPU รุ่นใหม่" ที่เน้นความบาง, น้ำหนักเบา, และการประหยัดพลังงาน → ขณะที่ Nvidia แทบไม่มีบทบาทในกลุ่มนี้ → Vendor หลายรายเลือก AMD เพราะจัดการเรื่อง driver ได้ง่ายกว่า, ประหยัดไฟกว่า และราคาอาจคุ้มค่ากว่าในแพลตฟอร์ม eGPU จุดขายล่าสุดคือพอร์ต Thunderbolt 5 ที่ทำงานได้ทั้งส่งภาพ, ส่งข้อมูล, และจ่ายไฟผ่านสายเดียว → แม้แบนด์วิดธ์ PCIe ยังเท่ากับ OCuLink (64Gbps) แต่ Thunderbolt 5 ใช้งานง่ายกว่า เพราะรองรับ display + power + data → เหมาะมากสำหรับ creator สายวีดีโอ หรือคนที่ใช้ Photoshop บนโน้ตบุ๊กบาง ๆ ✅ OnexGPU Lite ใช้ Radeon RX 7600M XT พร้อมพอร์ต Thunderbolt 5   • เป็น eGPU ตัวที่ 11 แล้วจาก AMD RX 7000 Series   • พัฒนาจาก OnexGPU 2 ที่ใช้ RX 7800M   • เน้น balance ระหว่างประสิทธิภาพ & portability ✅ Thunderbolt 5 รองรับทั้ง PCIe, display output และการจ่ายไฟผ่านสายเดียว   • PCIe bandwidth เทียบเท่า OCuLink (64Gbps)   • แต่มอบประสบการณ์ใช้งานที่ง่ายกว่าและเหมาะสำหรับ creator ✅ AMD ครองตลาด eGPU แบบเงียบ ๆ ขณะที่ Nvidia ยังไม่โดดเข้ามาเต็มตัว ✅ Vendor หลายรายอาจเลือก AMD เพราะเหตุผลด้าน power efficiency, driver compatibility, และราคาต่อโมบาย GPU ✅ แม้จะใช้ RX 7600M XT ซ้ำในหลายรุ่น แต่การเปลี่ยน chassis และพอร์ตเป็น Thunderbolt 5 คือทางเลือกที่คุ้มค่าในตลาด eGPU https://www.techradar.com/pro/amd-is-surpassing-nvidia-in-one-particular-market-and-i-dont-understand-why-11th-egpu-based-on-amd-radeon-rx-7000-series-debuts-and-even-has-thunderbolt-5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 358 มุมมอง 0 รีวิว
  • เราคงคุ้นกับ PNG ในฐานะไฟล์ภาพพื้นหลังโปร่งใสและความละเอียดสูง แต่ที่จริง PNG ถูกสร้างมาตั้งแต่ปี 1995 เพื่อมาแทน GIF ที่ติดลิขสิทธิ์ของ Unisys สมัยนั้น

    หลังจากนั้น PNG ก็แทบไม่เคยเปลี่ยนแปลงสำคัญเลย — จนมาถึงปี 2025 นี้ ที่ W3C (องค์กรมาตรฐานเว็บ) ประกาศ PNG เวอร์ชันที่ 3 ที่เพิ่มลูกเล่นใหม่ ๆ ให้ทันยุคจอ HDR และการแชร์ภาพผ่านโซเชียล/โปรแกรมแต่งภาพระดับมืออาชีพ เช่น:
    - รองรับ HDR โดยใช้วิธีฝัง CICP (ข้อมูล color space แบบประหยัดพื้นที่)
    - รองรับภาพเคลื่อนไหวแบบเป็นทางการ (เคยมีตั้งแต่ 2001 แต่ไม่อยู่ในสเปคหลัก)
    - ฝังข้อมูล Exif ได้ เช่น GPS, สิทธิ์ลิขสิทธิ์, กล้อง/เลนส์ที่ใช้

    แม้จะอัปเกรดชุดใหญ่ แต่เบราว์เซอร์หลักอย่าง Chrome, Firefox, Safari และ Edge ก็รองรับ PNG เวอร์ชันใหม่นี้แล้ว ทั้งบน Windows, macOS, iOS และ Android

    PNG อัปเดตเป็นสเปคเวอร์ชันที่ 3 ครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปี  
    • จัดทำโดย W3C ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจาก Google, Apple, Adobe, BBC, NBCUniversal, MovieLabs  
    • PNG เดิมมีมานานตั้งแต่ปี 1995 เป็นไฟล์ฟรี ไร้ลิขสิทธิ์จากยุค GIF

    เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ได้แก่:  
    • รองรับ HDR (High Dynamic Range) ด้วย CICP (Compact Color Identification Protocol)  
    • รองรับภาพเคลื่อนไหว (Animation) อย่างเป็นทางการ  
    • รองรับ Exif Metadata เช่น กล้อง, GPS, ลิขสิทธิ์

    เบราว์เซอร์หลักและระบบปฏิบัติการทันสมัยรองรับ PNG เวอร์ชันนี้แล้วทันที  
    • รวมถึง Firefox, Safari, Chrome, macOS, iOS, และแอปแต่งภาพอย่าง Photoshop, DaVinci Resolve

    PNG HDR รองรับแสงสีที่สว่าง–ดำสนิทมากขึ้น โดยไม่เพิ่มขนาดไฟล์มากนัก  
    • เหมาะกับจอ HDR และการนำเสนอกราฟิกยุคใหม่

    อนาคตจะมี PNG เวอร์ชัน 4–5 ต่อไปเพื่อปรับ SDR/HDR และเพิ่มอัตราการบีบอัด

    https://www.techspot.com/news/108483-png-image-format-receives-hdr-animation-support-first.html
    เราคงคุ้นกับ PNG ในฐานะไฟล์ภาพพื้นหลังโปร่งใสและความละเอียดสูง แต่ที่จริง PNG ถูกสร้างมาตั้งแต่ปี 1995 เพื่อมาแทน GIF ที่ติดลิขสิทธิ์ของ Unisys สมัยนั้น หลังจากนั้น PNG ก็แทบไม่เคยเปลี่ยนแปลงสำคัญเลย — จนมาถึงปี 2025 นี้ ที่ W3C (องค์กรมาตรฐานเว็บ) ประกาศ PNG เวอร์ชันที่ 3 ที่เพิ่มลูกเล่นใหม่ ๆ ให้ทันยุคจอ HDR และการแชร์ภาพผ่านโซเชียล/โปรแกรมแต่งภาพระดับมืออาชีพ เช่น: - รองรับ HDR โดยใช้วิธีฝัง CICP (ข้อมูล color space แบบประหยัดพื้นที่) - รองรับภาพเคลื่อนไหวแบบเป็นทางการ (เคยมีตั้งแต่ 2001 แต่ไม่อยู่ในสเปคหลัก) - ฝังข้อมูล Exif ได้ เช่น GPS, สิทธิ์ลิขสิทธิ์, กล้อง/เลนส์ที่ใช้ แม้จะอัปเกรดชุดใหญ่ แต่เบราว์เซอร์หลักอย่าง Chrome, Firefox, Safari และ Edge ก็รองรับ PNG เวอร์ชันใหม่นี้แล้ว ทั้งบน Windows, macOS, iOS และ Android ✅ PNG อัปเดตเป็นสเปคเวอร์ชันที่ 3 ครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปี   • จัดทำโดย W3C ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจาก Google, Apple, Adobe, BBC, NBCUniversal, MovieLabs   • PNG เดิมมีมานานตั้งแต่ปี 1995 เป็นไฟล์ฟรี ไร้ลิขสิทธิ์จากยุค GIF ✅ เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ได้แก่:   • รองรับ HDR (High Dynamic Range) ด้วย CICP (Compact Color Identification Protocol)   • รองรับภาพเคลื่อนไหว (Animation) อย่างเป็นทางการ   • รองรับ Exif Metadata เช่น กล้อง, GPS, ลิขสิทธิ์ ✅ เบราว์เซอร์หลักและระบบปฏิบัติการทันสมัยรองรับ PNG เวอร์ชันนี้แล้วทันที   • รวมถึง Firefox, Safari, Chrome, macOS, iOS, และแอปแต่งภาพอย่าง Photoshop, DaVinci Resolve ✅ PNG HDR รองรับแสงสีที่สว่าง–ดำสนิทมากขึ้น โดยไม่เพิ่มขนาดไฟล์มากนัก   • เหมาะกับจอ HDR และการนำเสนอกราฟิกยุคใหม่ ✅ อนาคตจะมี PNG เวอร์ชัน 4–5 ต่อไปเพื่อปรับ SDR/HDR และเพิ่มอัตราการบีบอัด https://www.techspot.com/news/108483-png-image-format-receives-hdr-animation-support-first.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    PNG image format receives HDR and animation support in first spec update in decades
    The World Wide Web Consortium (W3C), which manages web standards and guidelines, recently published new specifications for the PNG (Portable Network Graphics) image format. The updated format...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 382 มุมมอง 0 รีวิว
  • Adobe ปรับโครงสร้างแผนสมาชิก Creative Cloud เพิ่มราคาและเน้น AI มากขึ้น

    Adobe ประกาศปรับโครงสร้างแผนสมาชิก Creative Cloud โดยเพิ่มแผนใหม่ "Creative Cloud Pro" และปรับราคาแผนเดิม ซึ่งจะมีผลในอเมริกาเหนือตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2025

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของ Adobe Creative Cloud
    Creative Cloud Pro จะมาแทนที่แผน All Apps สำหรับสมาชิกใหม่และปัจจุบัน
    - รวม มากกว่า 20 แอป เช่น Photoshop, Illustrator และ Premiere Pro

    Creative Cloud Pro เน้นฟีเจอร์ AI และให้เครดิต AI ไม่จำกัด
    - เพิ่มจาก 1,000 เครดิตต่อเดือนเป็นไม่จำกัด

    ราคาแผน Pro เพิ่มขึ้นเป็น $69.99 ต่อเดือนสำหรับบุคคลทั่วไป
    - เพิ่มขึ้น $10 จากแผน All Apps เดิม

    สมาชิกปัจจุบันจะถูกเปลี่ยนไปใช้แผน Pro โดยอัตโนมัติในรอบบิลถัดไป
    - หากไม่ต้องการ ต้องเปลี่ยนแผนก่อนวันที่ 17 มิถุนายน

    Adobe เสนอแผน "Creative Cloud Standard" ที่ถูกกว่า ($54.99 ต่อเดือน)
    - แต่ ลดเครดิต AI จาก 1,000 เหลือเพียง 25 และตัดฟีเจอร์พรีเมียมในแอปมือถือ

    https://www.techspot.com/news/108027-adobe-auto-switch-paid-subscribers-pricier-ai-plans.html
    Adobe ปรับโครงสร้างแผนสมาชิก Creative Cloud เพิ่มราคาและเน้น AI มากขึ้น Adobe ประกาศปรับโครงสร้างแผนสมาชิก Creative Cloud โดยเพิ่มแผนใหม่ "Creative Cloud Pro" และปรับราคาแผนเดิม ซึ่งจะมีผลในอเมริกาเหนือตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2025 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของ Adobe Creative Cloud ✅ Creative Cloud Pro จะมาแทนที่แผน All Apps สำหรับสมาชิกใหม่และปัจจุบัน - รวม มากกว่า 20 แอป เช่น Photoshop, Illustrator และ Premiere Pro ✅ Creative Cloud Pro เน้นฟีเจอร์ AI และให้เครดิต AI ไม่จำกัด - เพิ่มจาก 1,000 เครดิตต่อเดือนเป็นไม่จำกัด ✅ ราคาแผน Pro เพิ่มขึ้นเป็น $69.99 ต่อเดือนสำหรับบุคคลทั่วไป - เพิ่มขึ้น $10 จากแผน All Apps เดิม ✅ สมาชิกปัจจุบันจะถูกเปลี่ยนไปใช้แผน Pro โดยอัตโนมัติในรอบบิลถัดไป - หากไม่ต้องการ ต้องเปลี่ยนแผนก่อนวันที่ 17 มิถุนายน ✅ Adobe เสนอแผน "Creative Cloud Standard" ที่ถูกกว่า ($54.99 ต่อเดือน) - แต่ ลดเครดิต AI จาก 1,000 เหลือเพียง 25 และตัดฟีเจอร์พรีเมียมในแอปมือถือ https://www.techspot.com/news/108027-adobe-auto-switch-paid-subscribers-pricier-ai-plans.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Adobe will auto-switch paid subscribers to pricier AI plans next month
    Adobe has announced sweeping changes to its Creative Cloud subscription plans, introducing a new pricing structure that will take effect in North America next month.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • Adobe ปรับขึ้นราคาสมาชิก Creative Cloud พร้อมเปิดตัวแผนใหม่ "Pro"

    Adobe ประกาศปรับขึ้นราคาสมาชิก Creative Cloud All Apps โดยเปลี่ยนชื่อเป็น Creative Cloud Pro และเพิ่มฟีเจอร์ AI ขั้นสูง เช่น Generative Fill ใน Photoshop และ Generative Remove ใน Lightroom

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของ Adobe Creative Cloud
    Creative Cloud All Apps เปลี่ยนชื่อเป็น Creative Cloud Pro
    - มาพร้อม ฟีเจอร์ AI และเครดิตสำหรับการสร้างเนื้อหาด้วย AI

    ราคาสมาชิกเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
    - รายปี จาก $659.88 เป็น $770
    - รายเดือน จาก $89.99 เป็น $104.99
    - องค์กร จาก $89.99 เป็น $99.99 ต่อที่นั่ง
    - นักเรียนและครู จาก $34.99 เป็น $39.99

    สมาชิกจะได้รับเครดิต AI 4,000 ต่อเดือนสำหรับการสร้างวิดีโอ เสียง และภาพระดับพรีเมียม
    - รวมถึง การเข้าถึงเครื่องมือ AI เช่น Firefly Boards สำหรับการวางแผนและระดมความคิด

    สามารถใช้ Adobe Firefly และรวมโมเดล AI ของตนเองเข้ากับแพลตฟอร์ม
    - ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถปรับแต่งการสร้างเนื้อหาด้วย AI ได้มากขึ้น

    การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกับการต่ออายุครั้งแรกหลังวันที่ 17 มิถุนายน 2025
    - ผู้ใช้ ต้องพิจารณาว่าฟีเจอร์ใหม่คุ้มค่ากับราคาที่เพิ่มขึ้นหรือไม่

    ราคาที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ผู้ใช้บางกลุ่มต้องมองหาทางเลือกอื่น
    - มี แอปทางเลือกสำหรับ Photoshop และ InDesign ที่อาจคุ้มค่ากว่า

    การใช้ AI อาจมีข้อจำกัดด้านลิขสิทธิ์และความถูกต้องของเนื้อหาที่สร้างขึ้น
    - ผู้ใช้ ต้องตรวจสอบข้อกำหนดการใช้งานของ Adobe Firefly

    https://www.techradar.com/computing/creative-software/the-price-of-ai-adobe-hikes-creative-cloud-subscriptions-for-some-with-new-pro-plan-heres-what-you-need-to-know
    Adobe ปรับขึ้นราคาสมาชิก Creative Cloud พร้อมเปิดตัวแผนใหม่ "Pro" Adobe ประกาศปรับขึ้นราคาสมาชิก Creative Cloud All Apps โดยเปลี่ยนชื่อเป็น Creative Cloud Pro และเพิ่มฟีเจอร์ AI ขั้นสูง เช่น Generative Fill ใน Photoshop และ Generative Remove ใน Lightroom 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของ Adobe Creative Cloud ✅ Creative Cloud All Apps เปลี่ยนชื่อเป็น Creative Cloud Pro - มาพร้อม ฟีเจอร์ AI และเครดิตสำหรับการสร้างเนื้อหาด้วย AI ✅ ราคาสมาชิกเพิ่มขึ้นกว่าเดิม - รายปี จาก $659.88 เป็น $770 - รายเดือน จาก $89.99 เป็น $104.99 - องค์กร จาก $89.99 เป็น $99.99 ต่อที่นั่ง - นักเรียนและครู จาก $34.99 เป็น $39.99 ✅ สมาชิกจะได้รับเครดิต AI 4,000 ต่อเดือนสำหรับการสร้างวิดีโอ เสียง และภาพระดับพรีเมียม - รวมถึง การเข้าถึงเครื่องมือ AI เช่น Firefly Boards สำหรับการวางแผนและระดมความคิด ✅ สามารถใช้ Adobe Firefly และรวมโมเดล AI ของตนเองเข้ากับแพลตฟอร์ม - ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถปรับแต่งการสร้างเนื้อหาด้วย AI ได้มากขึ้น ✅ การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกับการต่ออายุครั้งแรกหลังวันที่ 17 มิถุนายน 2025 - ผู้ใช้ ต้องพิจารณาว่าฟีเจอร์ใหม่คุ้มค่ากับราคาที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ ‼️ ราคาที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ผู้ใช้บางกลุ่มต้องมองหาทางเลือกอื่น - มี แอปทางเลือกสำหรับ Photoshop และ InDesign ที่อาจคุ้มค่ากว่า ‼️ การใช้ AI อาจมีข้อจำกัดด้านลิขสิทธิ์และความถูกต้องของเนื้อหาที่สร้างขึ้น - ผู้ใช้ ต้องตรวจสอบข้อกำหนดการใช้งานของ Adobe Firefly https://www.techradar.com/computing/creative-software/the-price-of-ai-adobe-hikes-creative-cloud-subscriptions-for-some-with-new-pro-plan-heres-what-you-need-to-know
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 398 มุมมอง 0 รีวิว
  • Beelink ผู้ผลิตพีซีจากจีนได้เปิดตัว GTR9 Pro ซึ่งเป็น มินิพีซีที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI, การเล่นเกม และการสร้างสรรค์เนื้อหา โดยใช้ ชิป AMD Ryzen AI Max+ 395 ที่สามารถประมวลผลได้ถึง 126 TOPS และรองรับ โมเดล AI ที่มีพารามิเตอร์สูงถึง 70 พันล้านตัว

    ใช้ชิป AMD Ryzen AI Max+ 395
    - รองรับ การประมวลผล AI ได้ถึง 126 TOPS
    - สามารถรัน โมเดล AI ที่มีพารามิเตอร์สูงถึง 70 พันล้านตัว

    มีพอร์ต Ethernet 10Gbps สองช่อง และ USB4 40Gbps สองช่อง
    - รองรับ การเชื่อมต่อความเร็วสูงและการทำงานแบบคลัสเตอร์

    ใช้ GPU AMD Radeon 8060S ที่มี 40 คอร์
    - มีประสิทธิภาพ ใกล้เคียงกับ Nvidia RTX 40 series
    - รองรับ หน่วยความจำวิดีโอสูงสุด 96GB

    สามารถรันเกมระดับสูงและรองรับการทำงานด้านสื่อและการสตรีมมิ่ง
    - รองรับ Adobe After Effects และ Photoshop

    เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ "Quietly" ที่ออกแบบมาให้มีเสียงรบกวนน้อย
    - เหมาะสำหรับ นักสร้างสรรค์และนักเล่นเกมที่ต้องการประสิทธิภาพสูงโดยไม่มีเสียงรบกวน

    ราคาตั้งไว้ที่ $1,999 แต่ยังไม่มีวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ

    https://www.techradar.com/pro/chinese-pc-vendor-you-probably-never-heard-of-just-unveiled-the-biggest-rival-to-nvidias-dgx-spark-ai-workstation
    Beelink ผู้ผลิตพีซีจากจีนได้เปิดตัว GTR9 Pro ซึ่งเป็น มินิพีซีที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI, การเล่นเกม และการสร้างสรรค์เนื้อหา โดยใช้ ชิป AMD Ryzen AI Max+ 395 ที่สามารถประมวลผลได้ถึง 126 TOPS และรองรับ โมเดล AI ที่มีพารามิเตอร์สูงถึง 70 พันล้านตัว ✅ ใช้ชิป AMD Ryzen AI Max+ 395 - รองรับ การประมวลผล AI ได้ถึง 126 TOPS - สามารถรัน โมเดล AI ที่มีพารามิเตอร์สูงถึง 70 พันล้านตัว ✅ มีพอร์ต Ethernet 10Gbps สองช่อง และ USB4 40Gbps สองช่อง - รองรับ การเชื่อมต่อความเร็วสูงและการทำงานแบบคลัสเตอร์ ✅ ใช้ GPU AMD Radeon 8060S ที่มี 40 คอร์ - มีประสิทธิภาพ ใกล้เคียงกับ Nvidia RTX 40 series - รองรับ หน่วยความจำวิดีโอสูงสุด 96GB ✅ สามารถรันเกมระดับสูงและรองรับการทำงานด้านสื่อและการสตรีมมิ่ง - รองรับ Adobe After Effects และ Photoshop ✅ เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ "Quietly" ที่ออกแบบมาให้มีเสียงรบกวนน้อย - เหมาะสำหรับ นักสร้างสรรค์และนักเล่นเกมที่ต้องการประสิทธิภาพสูงโดยไม่มีเสียงรบกวน ✅ ราคาตั้งไว้ที่ $1,999 แต่ยังไม่มีวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ https://www.techradar.com/pro/chinese-pc-vendor-you-probably-never-heard-of-just-unveiled-the-biggest-rival-to-nvidias-dgx-spark-ai-workstation
    WWW.TECHRADAR.COM
    This unknown PC brand just dropped a tiny PC that can outsmart, outgame, and outcreate your desktop
    GTR9 Pro crushes AI models with 70 billion parameters and you'll never hear the fans spin
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึงการจัดอันดับ RAM ที่ดีที่สุดสำหรับระบบ Intel และ AMD โดย Tom's Hardware ซึ่งครอบคลุมทั้ง DDR5 และ DDR4 โดยมีการทดสอบประสิทธิภาพในแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น Microsoft Office, Adobe Photoshop, และ Blender รวมถึงการทดสอบในเกมและการประมวลผล AI

    การจัดอันดับนี้ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือก RAM ที่เหมาะสมกับระบบของตน โดยมีการจัดอันดับตามความเร็ว ความจุ และการตั้งค่าที่เหมาะสมกับแพลตฟอร์ม Intel และ AMD นอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์แนวโน้มราคาของ RAM ซึ่งคาดว่าจะมีความผันผวนในปีนี้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในตลาดเซมิคอนดักเตอร์

    การจัดอันดับ RAM ที่ดีที่สุด
    - ครอบคลุมทั้ง DDR5 และ DDR4 สำหรับระบบ Intel และ AMD
    - ทดสอบประสิทธิภาพในแอปพลิเคชันและเกมต่างๆ

    การวิเคราะห์แนวโน้มราคา
    - ราคาของ DDR5 เพิ่มขึ้น 12% ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา
    - ราคาของ DDR4 ยังคงเสถียรเนื่องจากการผลิตจากผู้ผลิตในจีน

    การเปลี่ยนแปลงในตลาดเซมิคอนดักเตอร์
    - ผู้ผลิตบางรายเตรียมยุติการผลิต DDR3 และ DDR4 ภายในปี 2025
    - การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยเพิ่มพื้นที่การผลิตสำหรับเทคโนโลยีใหม่

    คำแนะนำสำหรับผู้ใช้งาน
    - เลือก RAM ที่เหมาะสมกับความต้องการและแพลตฟอร์มของระบบ

    https://www.tomshardware.com/news/ram-benchmark-hierarchy
    บทความนี้กล่าวถึงการจัดอันดับ RAM ที่ดีที่สุดสำหรับระบบ Intel และ AMD โดย Tom's Hardware ซึ่งครอบคลุมทั้ง DDR5 และ DDR4 โดยมีการทดสอบประสิทธิภาพในแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น Microsoft Office, Adobe Photoshop, และ Blender รวมถึงการทดสอบในเกมและการประมวลผล AI การจัดอันดับนี้ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือก RAM ที่เหมาะสมกับระบบของตน โดยมีการจัดอันดับตามความเร็ว ความจุ และการตั้งค่าที่เหมาะสมกับแพลตฟอร์ม Intel และ AMD นอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์แนวโน้มราคาของ RAM ซึ่งคาดว่าจะมีความผันผวนในปีนี้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ ✅ การจัดอันดับ RAM ที่ดีที่สุด - ครอบคลุมทั้ง DDR5 และ DDR4 สำหรับระบบ Intel และ AMD - ทดสอบประสิทธิภาพในแอปพลิเคชันและเกมต่างๆ ✅ การวิเคราะห์แนวโน้มราคา - ราคาของ DDR5 เพิ่มขึ้น 12% ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา - ราคาของ DDR4 ยังคงเสถียรเนื่องจากการผลิตจากผู้ผลิตในจีน ✅ การเปลี่ยนแปลงในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ - ผู้ผลิตบางรายเตรียมยุติการผลิต DDR3 และ DDR4 ภายในปี 2025 - การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยเพิ่มพื้นที่การผลิตสำหรับเทคโนโลยีใหม่ ✅ คำแนะนำสำหรับผู้ใช้งาน - เลือก RAM ที่เหมาะสมกับความต้องการและแพลตฟอร์มของระบบ https://www.tomshardware.com/news/ram-benchmark-hierarchy
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    RAM Benchmark Hierarchy 2025: DDR5, DDR4 for AMD, Intel CPUs
    Our RAM benchmark hierarchy includes DDR5 and DDR4 memory kits that we've tested on modern AMD and Intel platforms.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • Copilot Vision คือฟีเจอร์ใหม่ที่ทำให้ผู้ช่วย AI ใน Windows ฉลาดขึ้น โดยเข้าใจบริบทแอปพลิเคชันที่ใช้งานอยู่และแนะนำวิธีการทำงานได้ตรงจุด แม้ว่าฟีเจอร์นี้ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา แต่การสาธิตที่แสดงการช่วยชี้จุดในแอปพลิเคชันต่าง ๆ ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพที่อาจเปลี่ยนวิธีการทำงานใน Windows ของเราไปอย่างถาวร

    Copilot Vision ช่วยให้งานง่ายขึ้นโดยไม่ขัดจังหวะการทำงาน
    - ผู้ใช้สามารถ เปิดใช้งาน Copilot Vision ผ่านไอคอนบนหน้าจอหรือปุ่มเฉพาะบนคีย์บอร์ด เพื่อให้ AI แสดงรายการแอปพลิเคชันที่กำลังใช้งาน
    - ความสามารถนี้ช่วยให้ Copilot เข้าใจว่าผู้ใช้กำลังทำงานอะไร และสามารถตอบคำถามหรือแนะนำได้ตรงกับบริบท เช่น การออกแบบ 3D บน Blender หรือการปรับแต่งวิดีโอบน Clipchamp

    การแสดงคำแนะนำแบบโต้ตอบในอนาคต
    - Copilot Vision ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อเพิ่มฟีเจอร์ที่ แสดงลูกศรแนะนำตำแหน่งในแอปพลิเคชัน เช่น การเพิ่มการเปลี่ยนผ่านวิดีโอใน Clipchamp หรือการค้นหาเครื่องมือเฉพาะใน Photoshop
    - เทคโนโลยีใหม่นี้เปรียบเหมือน "Clippy ยุคใหม่" ที่ช่วยนำทางงานอย่างชาญฉลาด

    รองรับการใช้งานด้วยเสียงและข้อความ
    - ผู้ใช้สามารถตั้งคำถาม เช่น "จะทำให้งานออกแบบนี้ดูคลาสสิกขึ้นได้อย่างไร" หรือ "ไอคอนเพิ่มหมายเหตุอยู่ที่ไหน" โดย AI จะปรับคำตอบตามแอปและโครงการที่เปิดอยู่

    อนาคตของ Copilot Vision:
    - แม้ว่าฟีเจอร์ปัจจุบันจะสามารถระบุและเข้าใจบริบทแอปพลิเคชันได้แล้ว แต่ Microsoft กำลังพัฒนาให้ Copilot Vision ทำงานร่วมกับอินเทอร์เฟซของแอปได้ดียิ่งขึ้น และเพิ่มการช่วยเหลือในรูปแบบภาพ
    - การอัปเดตที่ก้าวหน้ากว่านี้ยังไม่มีกรอบเวลาที่แน่ชัด แต่จากการสาธิต คาดว่าไม่นานเกินรอ

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/i-tried-copilot-vision-and-it-could-change-how-you-use-windows-forever
    Copilot Vision คือฟีเจอร์ใหม่ที่ทำให้ผู้ช่วย AI ใน Windows ฉลาดขึ้น โดยเข้าใจบริบทแอปพลิเคชันที่ใช้งานอยู่และแนะนำวิธีการทำงานได้ตรงจุด แม้ว่าฟีเจอร์นี้ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา แต่การสาธิตที่แสดงการช่วยชี้จุดในแอปพลิเคชันต่าง ๆ ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพที่อาจเปลี่ยนวิธีการทำงานใน Windows ของเราไปอย่างถาวร ✅ Copilot Vision ช่วยให้งานง่ายขึ้นโดยไม่ขัดจังหวะการทำงาน - ผู้ใช้สามารถ เปิดใช้งาน Copilot Vision ผ่านไอคอนบนหน้าจอหรือปุ่มเฉพาะบนคีย์บอร์ด เพื่อให้ AI แสดงรายการแอปพลิเคชันที่กำลังใช้งาน - ความสามารถนี้ช่วยให้ Copilot เข้าใจว่าผู้ใช้กำลังทำงานอะไร และสามารถตอบคำถามหรือแนะนำได้ตรงกับบริบท เช่น การออกแบบ 3D บน Blender หรือการปรับแต่งวิดีโอบน Clipchamp ✅ การแสดงคำแนะนำแบบโต้ตอบในอนาคต - Copilot Vision ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อเพิ่มฟีเจอร์ที่ แสดงลูกศรแนะนำตำแหน่งในแอปพลิเคชัน เช่น การเพิ่มการเปลี่ยนผ่านวิดีโอใน Clipchamp หรือการค้นหาเครื่องมือเฉพาะใน Photoshop - เทคโนโลยีใหม่นี้เปรียบเหมือน "Clippy ยุคใหม่" ที่ช่วยนำทางงานอย่างชาญฉลาด ✅ รองรับการใช้งานด้วยเสียงและข้อความ - ผู้ใช้สามารถตั้งคำถาม เช่น "จะทำให้งานออกแบบนี้ดูคลาสสิกขึ้นได้อย่างไร" หรือ "ไอคอนเพิ่มหมายเหตุอยู่ที่ไหน" โดย AI จะปรับคำตอบตามแอปและโครงการที่เปิดอยู่ ✅ อนาคตของ Copilot Vision: - แม้ว่าฟีเจอร์ปัจจุบันจะสามารถระบุและเข้าใจบริบทแอปพลิเคชันได้แล้ว แต่ Microsoft กำลังพัฒนาให้ Copilot Vision ทำงานร่วมกับอินเทอร์เฟซของแอปได้ดียิ่งขึ้น และเพิ่มการช่วยเหลือในรูปแบบภาพ - การอัปเดตที่ก้าวหน้ากว่านี้ยังไม่มีกรอบเวลาที่แน่ชัด แต่จากการสาธิต คาดว่าไม่นานเกินรอ https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/i-tried-copilot-vision-and-it-could-change-how-you-use-windows-forever
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 310 มุมมอง 0 รีวิว
  • ReactOS เป็นระบบปฏิบัติการที่สร้างขึ้นใหม่เพื่อเข้ากันได้กับ Windows โดยไม่มีโค้ดของ Microsoft หลังจาก 26 ปีของการพัฒนา ล่าสุดได้เปิดตัว ReactOS 0.4.15 ซึ่งมีการปรับปรุงสำคัญ เช่น Plug and Play และเสียง อย่างไรก็ตาม ระบบยังคงอยู่ใน สถานะ Alpha และเป้าหมายปัจจุบันคือ Windows Server 2003 ในอนาคตอาจรองรับ UEFI, NTFS และระบบพลังงานที่ดีขึ้น

    ReactOS คืออะไร?
    - เป็น ระบบปฏิบัติการที่สร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดโดยไม่มีโค้ดของ Microsoft
    - เป้าหมายคือ ให้สามารถใช้งานซอฟต์แวร์และไดรเวอร์ของ Windows ได้
    - ใช้โครงสร้าง Windows NT แต่พัฒนาขึ้นเอง

    เป้าหมายการเข้ากันได้—Windows Server 2003
    - ReactOS ปัจจุบันยังคง พยายามเข้ากันได้กับ Windows Server 2003
    - สามารถใช้งาน LibreOffice, Firefox และ Adobe Photoshop รุ่นเก่าได้
    - ใช้ส่วนประกอบจาก โครงการ Wine และสามารถ บูตระบบ Linux 64-bit ผ่าน Freeloader utility

    การอัปเดตครั้งใหญ่ในเวอร์ชัน 0.4.15
    - ปรับปรุงระบบ Plug and Play และเสียง
    - เพิ่มความสามารถในการจัดการหน่วยความจำและแก้ไขปัญหา Registry
    - ปรับปรุงเครื่องมือพื้นฐาน เช่น Notepad, Paint และ RAPPS

    ReactOS ยังอยู่ในช่วง Alpha และอาจใช้เวลานานกว่าจะสมบูรณ์
    - แม้ว่าจะพัฒนามากว่า 26 ปี แต่ ReactOS ยังอยู่ในสถานะ Alpha
    - ผู้ใช้ที่สนใจสามารถลอง ใช้งานผ่าน VirtualBox เพื่อดูพัฒนาการของระบบ

    ฟีเจอร์ที่วางแผนสำหรับอัปเดตถัดไป
    - รองรับ UEFI
    - ตัวติดตั้งแบบกราฟิกใหม่
    - ระบบไฟล์ NTFS และ Symmetric Multiprocessing (SMP)
    - การจัดการพลังงานและรองรับแอปพลิเคชันที่หลากหลายขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/free-microsoft-windows-rival-gets-first-major-update-in-four-years-but-is-it-already-too-little-too-late
    ReactOS เป็นระบบปฏิบัติการที่สร้างขึ้นใหม่เพื่อเข้ากันได้กับ Windows โดยไม่มีโค้ดของ Microsoft หลังจาก 26 ปีของการพัฒนา ล่าสุดได้เปิดตัว ReactOS 0.4.15 ซึ่งมีการปรับปรุงสำคัญ เช่น Plug and Play และเสียง อย่างไรก็ตาม ระบบยังคงอยู่ใน สถานะ Alpha และเป้าหมายปัจจุบันคือ Windows Server 2003 ในอนาคตอาจรองรับ UEFI, NTFS และระบบพลังงานที่ดีขึ้น ✅ ReactOS คืออะไร? - เป็น ระบบปฏิบัติการที่สร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดโดยไม่มีโค้ดของ Microsoft - เป้าหมายคือ ให้สามารถใช้งานซอฟต์แวร์และไดรเวอร์ของ Windows ได้ - ใช้โครงสร้าง Windows NT แต่พัฒนาขึ้นเอง ✅ เป้าหมายการเข้ากันได้—Windows Server 2003 - ReactOS ปัจจุบันยังคง พยายามเข้ากันได้กับ Windows Server 2003 - สามารถใช้งาน LibreOffice, Firefox และ Adobe Photoshop รุ่นเก่าได้ - ใช้ส่วนประกอบจาก โครงการ Wine และสามารถ บูตระบบ Linux 64-bit ผ่าน Freeloader utility ✅ การอัปเดตครั้งใหญ่ในเวอร์ชัน 0.4.15 - ปรับปรุงระบบ Plug and Play และเสียง - เพิ่มความสามารถในการจัดการหน่วยความจำและแก้ไขปัญหา Registry - ปรับปรุงเครื่องมือพื้นฐาน เช่น Notepad, Paint และ RAPPS ✅ ReactOS ยังอยู่ในช่วง Alpha และอาจใช้เวลานานกว่าจะสมบูรณ์ - แม้ว่าจะพัฒนามากว่า 26 ปี แต่ ReactOS ยังอยู่ในสถานะ Alpha - ผู้ใช้ที่สนใจสามารถลอง ใช้งานผ่าน VirtualBox เพื่อดูพัฒนาการของระบบ ✅ ฟีเจอร์ที่วางแผนสำหรับอัปเดตถัดไป - รองรับ UEFI - ตัวติดตั้งแบบกราฟิกใหม่ - ระบบไฟล์ NTFS และ Symmetric Multiprocessing (SMP) - การจัดการพลังงานและรองรับแอปพลิเคชันที่หลากหลายขึ้น https://www.techradar.com/pro/free-microsoft-windows-rival-gets-first-major-update-in-four-years-but-is-it-already-too-little-too-late
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 460 มุมมอง 0 รีวิว
  • ระบบสแกนจ่ายไม่ดี ระวังจะเสียลูกค้า

    ในช่วงนี้บรรดาผู้ใช้งานแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ (Mobile Banking) กำลังวิตกกังวลเรื่องอี-สลิปปลอม ที่สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) ซึ่งมีคนออกมาเตือนว่า สามารถปลอมได้ค่อนข้างแนบเนียน ไม่ต้องใช้โปรแกรมตัดต่อภาพอย่าง Photoshop อีกต่อไป แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีเห็นว่า สลิปที่สร้างโดยเอไอไม่แนบเนียน ลายเส้นมักไม่คม แนะนำว่าให้ผู้ค้าตรวจสอบโดยการนำ QR Code บนอี-สลิปไปสแกนผ่านแอปฯ ธนาคาร

    ขณะที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) แนะนำแก่ลูกค้าว่า หลังรับโอนเงินควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสลิปโอนเงินนั้นของแท้ หรือของปลอม ด้วยการสแกน QR Code บนสลิป แต่จะมีอายุจำกัด ตั้งเเต่ 7 วัน ถึง 60 วัน แต่หากสลิปโอนเงินนั้นไม่มี QR Code ให้เข้าไปเช็กยอดเงินในโมบายแบงกิ้ง เพื่อตรวจสอบธุรกรรมที่แท้จริงได้

    ปัจจุบันการชำระเงินด้วยการสแกนจ่าย ยังคงใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ก็ยังคงเกิดปัญหาระหว่างลูกค้ากับร้านค้าเป็นระยะ เช่น แอปฯ ธนาคารล่ม หรือไม่แจ้งเตือนเงินเข้าในบางเวลา เมื่อสัปดาห์ก่อนที่จังหวัดแห่งหนึ่งติดกับกรุงเทพมหานคร เจ้าของร้านกาแฟแห่งหนึ่งโพสต์ภาพและข้อความลงในกลุ่มเฟซบุ๊กข่าวสารของจังหวัดดังกล่าว เรียกร้องให้ลูกค้ารายหนึ่งจ่ายเงินค่ากาแฟ 160 บาท อ้างว่าลูกค้าสแกนจ่ายแล้วเงินไม่เข้า มีการนำภาพจากกล้องวงจรปิดพร้อมใบหน้าลูกค้าเสมือนประจาน ทำให้ชาวเน็ตจำนวนมากต่างแชร์และประณามลูกค้าจำนวนมาก เพื่อกดดันให้กลับมาจ่ายเงินตามที่เจ้าของร้านกล่าวหา

    ปรากฎว่าในเวลาต่อมาคดีพลิก เพราะเจ้าของร้านโพสต์ข้อความขอโทษลูกค้าที่ถูกพาดพิง หลังพบว่ามีเงินเข้าแต่ระบบไม่ได้แจ้ง และยอมรับว่าทางร้านดูสลิปโอนเงินไม่ชัดเจน ไม่มีเจตนาที่จะประจานลูกค้าแต่อย่างใด ผลก็คือทัวร์ที่เคยลงลูกค้ากลับมาลงที่เจ้าของร้านแทน เรียกร้องให้ชดเชยเยียวยา บางคนแนะให้ลูกค้าแจ้งความเอาผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เพราะเป็นผู้เสียหาย บางคนกล่าวว่าจะไม่อุดหนุนร้านนี้อีก เพราะไม่รู้ว่าวันไหนตัวเองจะโดนเช่นนั้น เมื่อดูสลิปที่เจ้าของร้านกาแฟโพสต์ ปรากฎว่าปลายทางเป็นแอปฯ รับเงินของลูกค้าจากค่ายอี-วอลเล็ต ซึ่งไม่ใช่ธนาคาร

    ปัจจุบันโมบายแบงกิ้งแต่ละธนาคารมักแจ้งเตือนเงินเข้าล่าช้าในบางเวลา ขณะที่บางธนาคารมีแอปฯ สำหรับให้ร้านค้ารับเงินจากลูกค้าโดยเฉพาะ และยังแจ้งเตือนเงินเข้าทั้งแบบข้อความแจ้งเตือน และเสียงแจ้งเตือนเงินเข้าที่ระบุจำนวนเงินชัดเจน อีกด้านหนึ่ง มีบางร้านค้าขอความร่วมมือให้พนักงานถ่ายภาพอี-สลิปจากลูกค้าเพื่อใช้ตรวจสอบภายหลังกรณีเงินไม่เข้าบัญชีและอื่นๆ ต่อไป

    #Newskit
    ระบบสแกนจ่ายไม่ดี ระวังจะเสียลูกค้า ในช่วงนี้บรรดาผู้ใช้งานแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ (Mobile Banking) กำลังวิตกกังวลเรื่องอี-สลิปปลอม ที่สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) ซึ่งมีคนออกมาเตือนว่า สามารถปลอมได้ค่อนข้างแนบเนียน ไม่ต้องใช้โปรแกรมตัดต่อภาพอย่าง Photoshop อีกต่อไป แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีเห็นว่า สลิปที่สร้างโดยเอไอไม่แนบเนียน ลายเส้นมักไม่คม แนะนำว่าให้ผู้ค้าตรวจสอบโดยการนำ QR Code บนอี-สลิปไปสแกนผ่านแอปฯ ธนาคาร ขณะที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) แนะนำแก่ลูกค้าว่า หลังรับโอนเงินควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสลิปโอนเงินนั้นของแท้ หรือของปลอม ด้วยการสแกน QR Code บนสลิป แต่จะมีอายุจำกัด ตั้งเเต่ 7 วัน ถึง 60 วัน แต่หากสลิปโอนเงินนั้นไม่มี QR Code ให้เข้าไปเช็กยอดเงินในโมบายแบงกิ้ง เพื่อตรวจสอบธุรกรรมที่แท้จริงได้ ปัจจุบันการชำระเงินด้วยการสแกนจ่าย ยังคงใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ก็ยังคงเกิดปัญหาระหว่างลูกค้ากับร้านค้าเป็นระยะ เช่น แอปฯ ธนาคารล่ม หรือไม่แจ้งเตือนเงินเข้าในบางเวลา เมื่อสัปดาห์ก่อนที่จังหวัดแห่งหนึ่งติดกับกรุงเทพมหานคร เจ้าของร้านกาแฟแห่งหนึ่งโพสต์ภาพและข้อความลงในกลุ่มเฟซบุ๊กข่าวสารของจังหวัดดังกล่าว เรียกร้องให้ลูกค้ารายหนึ่งจ่ายเงินค่ากาแฟ 160 บาท อ้างว่าลูกค้าสแกนจ่ายแล้วเงินไม่เข้า มีการนำภาพจากกล้องวงจรปิดพร้อมใบหน้าลูกค้าเสมือนประจาน ทำให้ชาวเน็ตจำนวนมากต่างแชร์และประณามลูกค้าจำนวนมาก เพื่อกดดันให้กลับมาจ่ายเงินตามที่เจ้าของร้านกล่าวหา ปรากฎว่าในเวลาต่อมาคดีพลิก เพราะเจ้าของร้านโพสต์ข้อความขอโทษลูกค้าที่ถูกพาดพิง หลังพบว่ามีเงินเข้าแต่ระบบไม่ได้แจ้ง และยอมรับว่าทางร้านดูสลิปโอนเงินไม่ชัดเจน ไม่มีเจตนาที่จะประจานลูกค้าแต่อย่างใด ผลก็คือทัวร์ที่เคยลงลูกค้ากลับมาลงที่เจ้าของร้านแทน เรียกร้องให้ชดเชยเยียวยา บางคนแนะให้ลูกค้าแจ้งความเอาผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เพราะเป็นผู้เสียหาย บางคนกล่าวว่าจะไม่อุดหนุนร้านนี้อีก เพราะไม่รู้ว่าวันไหนตัวเองจะโดนเช่นนั้น เมื่อดูสลิปที่เจ้าของร้านกาแฟโพสต์ ปรากฎว่าปลายทางเป็นแอปฯ รับเงินของลูกค้าจากค่ายอี-วอลเล็ต ซึ่งไม่ใช่ธนาคาร ปัจจุบันโมบายแบงกิ้งแต่ละธนาคารมักแจ้งเตือนเงินเข้าล่าช้าในบางเวลา ขณะที่บางธนาคารมีแอปฯ สำหรับให้ร้านค้ารับเงินจากลูกค้าโดยเฉพาะ และยังแจ้งเตือนเงินเข้าทั้งแบบข้อความแจ้งเตือน และเสียงแจ้งเตือนเงินเข้าที่ระบุจำนวนเงินชัดเจน อีกด้านหนึ่ง มีบางร้านค้าขอความร่วมมือให้พนักงานถ่ายภาพอี-สลิปจากลูกค้าเพื่อใช้ตรวจสอบภายหลังกรณีเงินไม่เข้าบัญชีและอื่นๆ ต่อไป #Newskit
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 797 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซอฟต์แวร์ตัดต่อภาพที่ดีที่สุดในปี 2025 โดยมีการทดสอบและรีวิวอย่างละเอียดเพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานเลือกซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมที่สุด ทั้งสำหรับมืออาชีพและผู้เริ่มต้น บทความกล่าวถึงข้อดี ข้อเสีย ราคา และจุดเด่นของแต่ละโปรแกรม

    ==มาตรฐานสูงสุดของการตัดต่อภาพ==
    Adobe Photoshop Adobe Photoshop ยังคงครองตำแหน่งซอฟต์แวร์ที่ดีที่สุดในตลาด ด้วยเครื่องมือที่หลากหลาย เช่น การปรับสี การครอบตัดภาพ และการลบวัตถุออกจากภาพ Photoshop ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่อย่างการลบวัตถุที่ไม่ต้องการและการสร้างพื้นหลังอัตโนมัติ ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือการสมัครสมาชิกที่มีราคาเริ่มต้น $23 ต่อเดือน

    ==การจัดการภาพจำนวนมากอย่างมีประสิทธิภาพ==
    Adobe Lightroom Lightroom โดดเด่นด้วยเครื่องมือที่ช่วยลดเวลาในการแก้ไขภาพจำนวนมาก เช่น การปรับแสงและสีแบบแบช (Batch Editing) และฟีเจอร์คลาวด์ที่ทำให้การจัดการไฟล์สะดวกสบายยิ่งขึ้น ค่าสมัครเริ่มต้นที่ $12 ต่อเดือน

    ==ตัวเลือกแบบซื้อครั้งเดียว==
    Affinity Photo 2 หากคุณเบื่อการจ่ายค่าสมาชิก Affinity Photo 2 เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ด้วยราคา $70 และคุณสมบัติครบครัน เช่น การแต่งภาพ การลบวัตถุ และการปรับแต่งเลเยอร์

    ==การใช้ AI เพื่อการแต่งภาพ==
    Skylum Luminar NEO ซอฟต์แวร์นี้เน้นใช้ AI เป็นหลัก ช่วยปรับแต่งภาพให้ง่ายขึ้น ผ่านเครื่องมืออย่างการปรับสีและความชัดโดยใช้เพียงไม่กี่คลิก ราคาเริ่มต้นที่ $69 ต่อปี

    ==ฟรีและเปิดโอเพ่นซอร์ส==
    GIMP สำหรับคนที่ไม่อยากเสียค่าใช้จ่าย GIMP เป็นตัวเลือกที่ดี ด้วยความสามารถในการแต่งภาพหลากหลายรูปแบบ แม้จะมีข้อเสียคืออินเทอร์เฟซที่อาจต้องใช้เวลาศึกษา

    ==สำหรับงานศิลปะ==
    Procreate ถ้าคุณชอบการแต่งภาพที่แฝงด้วยงานศิลปะ Procreate อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุด มีราคาที่เป็นมิตรเพียง $13 และเหมาะกับ iPad เท่านั้น

    การเลือกซอฟต์แวร์ตัดต่อภาพที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับงบประมาณ ความต้องการ และความชำนาญของแต่ละคนครับ หากเพิ่งเริ่มต้น โปรแกรมฟรีหรือราคาย่อมเยาอาจเพียงพอ แต่สำหรับมืออาชีพ Adobe ยังคงเป็นตัวเลือกที่ครองใจหลายคน

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Link ข้างล่างเลยครับ
    https://www.zdnet.com/home-and-office/smart-office/best-photo-editing-software/
    ซอฟต์แวร์ตัดต่อภาพที่ดีที่สุดในปี 2025 โดยมีการทดสอบและรีวิวอย่างละเอียดเพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานเลือกซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมที่สุด ทั้งสำหรับมืออาชีพและผู้เริ่มต้น บทความกล่าวถึงข้อดี ข้อเสีย ราคา และจุดเด่นของแต่ละโปรแกรม ==มาตรฐานสูงสุดของการตัดต่อภาพ== Adobe Photoshop Adobe Photoshop ยังคงครองตำแหน่งซอฟต์แวร์ที่ดีที่สุดในตลาด ด้วยเครื่องมือที่หลากหลาย เช่น การปรับสี การครอบตัดภาพ และการลบวัตถุออกจากภาพ Photoshop ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่อย่างการลบวัตถุที่ไม่ต้องการและการสร้างพื้นหลังอัตโนมัติ ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือการสมัครสมาชิกที่มีราคาเริ่มต้น $23 ต่อเดือน ==การจัดการภาพจำนวนมากอย่างมีประสิทธิภาพ== Adobe Lightroom Lightroom โดดเด่นด้วยเครื่องมือที่ช่วยลดเวลาในการแก้ไขภาพจำนวนมาก เช่น การปรับแสงและสีแบบแบช (Batch Editing) และฟีเจอร์คลาวด์ที่ทำให้การจัดการไฟล์สะดวกสบายยิ่งขึ้น ค่าสมัครเริ่มต้นที่ $12 ต่อเดือน ==ตัวเลือกแบบซื้อครั้งเดียว== Affinity Photo 2 หากคุณเบื่อการจ่ายค่าสมาชิก Affinity Photo 2 เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ด้วยราคา $70 และคุณสมบัติครบครัน เช่น การแต่งภาพ การลบวัตถุ และการปรับแต่งเลเยอร์ ==การใช้ AI เพื่อการแต่งภาพ== Skylum Luminar NEO ซอฟต์แวร์นี้เน้นใช้ AI เป็นหลัก ช่วยปรับแต่งภาพให้ง่ายขึ้น ผ่านเครื่องมืออย่างการปรับสีและความชัดโดยใช้เพียงไม่กี่คลิก ราคาเริ่มต้นที่ $69 ต่อปี ==ฟรีและเปิดโอเพ่นซอร์ส== GIMP สำหรับคนที่ไม่อยากเสียค่าใช้จ่าย GIMP เป็นตัวเลือกที่ดี ด้วยความสามารถในการแต่งภาพหลากหลายรูปแบบ แม้จะมีข้อเสียคืออินเทอร์เฟซที่อาจต้องใช้เวลาศึกษา ==สำหรับงานศิลปะ== Procreate ถ้าคุณชอบการแต่งภาพที่แฝงด้วยงานศิลปะ Procreate อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุด มีราคาที่เป็นมิตรเพียง $13 และเหมาะกับ iPad เท่านั้น การเลือกซอฟต์แวร์ตัดต่อภาพที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับงบประมาณ ความต้องการ และความชำนาญของแต่ละคนครับ หากเพิ่งเริ่มต้น โปรแกรมฟรีหรือราคาย่อมเยาอาจเพียงพอ แต่สำหรับมืออาชีพ Adobe ยังคงเป็นตัวเลือกที่ครองใจหลายคน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Link ข้างล่างเลยครับ https://www.zdnet.com/home-and-office/smart-office/best-photo-editing-software/
    WWW.ZDNET.COM
    The best photo editing software of 2025: Expert tested and reviewed
    The best photo editing software in the market will streamline your workflow, offer creative tools, and bring the best out of your images. These are ZDNET's recommendations.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 481 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับมุมมองของ Arvind Krishna ซีอีโอของ IBM เกี่ยวกับบทบาทของ AI ในอนาคตของการเขียนโปรแกรม ซึ่งได้แบ่งปันความคิดเห็นในงาน SXSW ว่า AI จะไม่ได้เข้ามาแทนที่นักพัฒนาโปรแกรมอย่างสมบูรณ์ในเร็ว ๆ นี้ แต่จะทำหน้าที่เป็น เครื่องมือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ให้กับนักพัฒนาแทน

    ประเด็นที่สำคัญในคำกล่าวนี้มีดังนี้:
    1) Krishna คาดการณ์ว่า AI อาจเขียนโค้ดได้ราว 20-30% ซึ่งช่วยให้นักพัฒนามีเวลาสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ มากขึ้น แต่ยังไม่สามารถจัดการงานซับซ้อนได้อย่างเต็มรูปแบบ
    2) การใช้ AI เพื่อเพิ่มผลิตภาพ เช่น เขียนโค้ดได้มากขึ้นโดยใช้กำลังคนเท่าเดิม ซึ่งช่วยเร่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้
    3) Krishna มองว่า AI เป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่สิ่งที่จะมาแทนที่งานมนุษย์ เหมือนในอดีตที่มีการถกเถียงเกี่ยวกับเครื่องคิดเลขและ Photoshop ที่ไม่ได้ทำให้คณิตศาสตร์หรือศิลปะล้มหายไป

    ในขณะที่ผู้บริหารอย่าง Dario Amodei ซีอีโอของ Anthropic คาดการณ์ว่า AI จะสามารถเขียนโค้ดได้ถึง 90% ภายในเวลา 3-6 เดือน Krishna กลับมองว่าบทบาทของ AI จะยังคงเน้นที่การช่วยเหลือมากกว่าการแทนที่

    Krishna ยังกล่าวถึงความท้าทายที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่น ประเด็นทรัพย์สินทางปัญญาในการฝึก AI และการใช้พลังงานที่มากในปัจจุบัน แต่เขามองว่าอนาคต AI จะมีประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดียิ่งขึ้น อีกทั้ง IBM กำลังผลักดันเทคโนโลยีควอนตัมให้เป็นกุญแจสำคัญสำหรับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเขาเชื่อว่าควอนตัมคอมพิวติ้งจะมีบทบาทสำคัญกว่า AI ในการสร้างความรู้ใหม่

    https://www.techspot.com/news/107142-ibm-ceo-ai-boost-programmers-not-replace-them.html
    ข่าวนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับมุมมองของ Arvind Krishna ซีอีโอของ IBM เกี่ยวกับบทบาทของ AI ในอนาคตของการเขียนโปรแกรม ซึ่งได้แบ่งปันความคิดเห็นในงาน SXSW ว่า AI จะไม่ได้เข้ามาแทนที่นักพัฒนาโปรแกรมอย่างสมบูรณ์ในเร็ว ๆ นี้ แต่จะทำหน้าที่เป็น เครื่องมือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ให้กับนักพัฒนาแทน ประเด็นที่สำคัญในคำกล่าวนี้มีดังนี้: 1) Krishna คาดการณ์ว่า AI อาจเขียนโค้ดได้ราว 20-30% ซึ่งช่วยให้นักพัฒนามีเวลาสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ มากขึ้น แต่ยังไม่สามารถจัดการงานซับซ้อนได้อย่างเต็มรูปแบบ 2) การใช้ AI เพื่อเพิ่มผลิตภาพ เช่น เขียนโค้ดได้มากขึ้นโดยใช้กำลังคนเท่าเดิม ซึ่งช่วยเร่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้ 3) Krishna มองว่า AI เป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่สิ่งที่จะมาแทนที่งานมนุษย์ เหมือนในอดีตที่มีการถกเถียงเกี่ยวกับเครื่องคิดเลขและ Photoshop ที่ไม่ได้ทำให้คณิตศาสตร์หรือศิลปะล้มหายไป ในขณะที่ผู้บริหารอย่าง Dario Amodei ซีอีโอของ Anthropic คาดการณ์ว่า AI จะสามารถเขียนโค้ดได้ถึง 90% ภายในเวลา 3-6 เดือน Krishna กลับมองว่าบทบาทของ AI จะยังคงเน้นที่การช่วยเหลือมากกว่าการแทนที่ Krishna ยังกล่าวถึงความท้าทายที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่น ประเด็นทรัพย์สินทางปัญญาในการฝึก AI และการใช้พลังงานที่มากในปัจจุบัน แต่เขามองว่าอนาคต AI จะมีประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดียิ่งขึ้น อีกทั้ง IBM กำลังผลักดันเทคโนโลยีควอนตัมให้เป็นกุญแจสำคัญสำหรับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเขาเชื่อว่าควอนตัมคอมพิวติ้งจะมีบทบาทสำคัญกว่า AI ในการสร้างความรู้ใหม่ https://www.techspot.com/news/107142-ibm-ceo-ai-boost-programmers-not-replace-them.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    IBM CEO says AI will boost programmers, not replace them
    Krishna estimates that AI could write 20 – 30 percent of code but emphasizes that its role in more complex tasks will remain minimal.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 263 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทีมนักวิจัยจาก Nisos ได้เผยแพร่รายงานที่น่าตกใจเกี่ยวกับเครือข่ายของแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือที่กำลังปลอมแปลงตัวตนเพื่อสมัครงานในบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ทั้งในเอเชียและตะวันตก การกระทำนี้มุ่งเน้นหารายได้เพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธของรัฐบาลเกาหลีเหนือ

    วิธีการที่แฮกเกอร์ใช้
    1) สร้างตัวตนปลอม: แฮกเกอร์ใช้ GitHub และเนื้อหาผลงานจากบัญชีเก่าเพื่อสร้างโปรไฟล์ที่ดูเหมือนจริง
    2) เทคนิคการปลอมแปลง: ใช้รูปภาพที่ผ่านการตัดต่อ (Photoshop) และโปรไฟล์ที่ไม่มีบัญชีโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่าสงสัย
    3) การสมัครงานในบริษัทเล็ก: เป้าหมายคือบริษัทที่มีพนักงานน้อยกว่า 50 คน ทำให้ง่ายต่อการแทรกซึมข้อมูล

    การจ้างงานช่วยให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบภายในของบริษัท เป้าหมายไม่เพียงแค่ขโมยข้อมูลที่สำคัญ แต่ยังรวมถึงเงินทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฮกเกอร์กลุ่มนี้มุ่งเน้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับบล็อกเชนและคริปโตเคอเรนซี ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีประวัติการโจรกรรมครั้งใหญ่ในวงการนี้

    แม้จะไม่สามารถระบุตัวตนได้แน่นอน แต่พฤติกรรมและรูปแบบการโจมตีที่แสดงออกมามีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่ม Lazarus ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเกาหลีเหนือ และเคยเกี่ยวข้องกับการโจมตีด้วยมัลแวร์และการสร้างบริษัทปลอมเพื่อหลอกลวงนักพัฒนาซอฟต์แวร์

    การป้องกันและข้อควรรู้
    ผู้ว่าจ้างควรระวังข้อมูลที่ดูผิดปกติในโปรไฟล์ผู้สมัคร เช่น:
    - การใช้รูปภาพที่ดูไม่สมจริง
    - ไม่มีบัญชีโซเชียลมีเดีย หรืออีเมลที่คล้ายคลึงกันทั้งหมด
    - พิจารณาการตรวจสอบประวัติผู้สมัครอย่างละเอียด

    เรื่องนี้ไม่เพียงแค่สะท้อนถึงความซับซ้อนในโลกไซเบอร์ แต่ยังเตือนให้บริษัทในวงการเทคโนโลยีเพิ่มการตรวจสอบและตื่นตัวกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกเมื่อ

    https://www.techradar.com/pro/security/north-korean-fake-job-hackers-are-going-the-extra-mile-to-make-sure-their-scams-seem-legit
    ทีมนักวิจัยจาก Nisos ได้เผยแพร่รายงานที่น่าตกใจเกี่ยวกับเครือข่ายของแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือที่กำลังปลอมแปลงตัวตนเพื่อสมัครงานในบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ทั้งในเอเชียและตะวันตก การกระทำนี้มุ่งเน้นหารายได้เพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธของรัฐบาลเกาหลีเหนือ วิธีการที่แฮกเกอร์ใช้ 1) สร้างตัวตนปลอม: แฮกเกอร์ใช้ GitHub และเนื้อหาผลงานจากบัญชีเก่าเพื่อสร้างโปรไฟล์ที่ดูเหมือนจริง 2) เทคนิคการปลอมแปลง: ใช้รูปภาพที่ผ่านการตัดต่อ (Photoshop) และโปรไฟล์ที่ไม่มีบัญชีโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่าสงสัย 3) การสมัครงานในบริษัทเล็ก: เป้าหมายคือบริษัทที่มีพนักงานน้อยกว่า 50 คน ทำให้ง่ายต่อการแทรกซึมข้อมูล การจ้างงานช่วยให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบภายในของบริษัท เป้าหมายไม่เพียงแค่ขโมยข้อมูลที่สำคัญ แต่ยังรวมถึงเงินทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฮกเกอร์กลุ่มนี้มุ่งเน้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับบล็อกเชนและคริปโตเคอเรนซี ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีประวัติการโจรกรรมครั้งใหญ่ในวงการนี้ แม้จะไม่สามารถระบุตัวตนได้แน่นอน แต่พฤติกรรมและรูปแบบการโจมตีที่แสดงออกมามีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่ม Lazarus ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเกาหลีเหนือ และเคยเกี่ยวข้องกับการโจมตีด้วยมัลแวร์และการสร้างบริษัทปลอมเพื่อหลอกลวงนักพัฒนาซอฟต์แวร์ การป้องกันและข้อควรรู้ ผู้ว่าจ้างควรระวังข้อมูลที่ดูผิดปกติในโปรไฟล์ผู้สมัคร เช่น: - การใช้รูปภาพที่ดูไม่สมจริง - ไม่มีบัญชีโซเชียลมีเดีย หรืออีเมลที่คล้ายคลึงกันทั้งหมด - พิจารณาการตรวจสอบประวัติผู้สมัครอย่างละเอียด เรื่องนี้ไม่เพียงแค่สะท้อนถึงความซับซ้อนในโลกไซเบอร์ แต่ยังเตือนให้บริษัทในวงการเทคโนโลยีเพิ่มการตรวจสอบและตื่นตัวกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกเมื่อ https://www.techradar.com/pro/security/north-korean-fake-job-hackers-are-going-the-extra-mile-to-make-sure-their-scams-seem-legit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 639 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถึงเราจะอยู่บ้านเลขที่ 5 กันแล้ว แต่เราเล่นดนตรีสมศักดิ์ศรีมีเต็มเพลงไม่สมศักดิ์ศรี ไทธนาวุฒิ (cover โดย ANT อาร์ต แนท เต้)THANKS to meet you #thailand #coversong #videoviral #thankstomeetyou #เกษตรนวมิทร์ #viralvideo #music #cover #videoshorts #shorts
    ถึงเราจะอยู่บ้านเลขที่ 5 กันแล้ว แต่เราเล่นดนตรีสมศักดิ์ศรีมีเต็มเพลงไม่สมศักดิ์ศรี ไทธนาวุฒิ (cover โดย ANT อาร์ต แนท เต้)THANKS to meet you #thailand #coversong #videoviral #thankstomeetyou #เกษตรนวมิทร์ #viralvideo #music #cover #videoshorts #shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1008 มุมมอง 5 0 รีวิว
  • Adobe Photoshop Lightroom -LR

    รวมโปรแกรมฉลาดๆ ในงานตกแต่งภาพยุคนี้ ตัดต่อ ปรับ เชื่อมโยง ภาพเดียวหรือหลายภาพได้พร้อมกันในครั้งเดียว รวดเร็ว และ สวยงาม เสมือนจริง...ใน CLiCK เดียว ไม่เมื่อยนิ้ว
    Adobe Photoshop Lightroom -LR รวมโปรแกรมฉลาดๆ ในงานตกแต่งภาพยุคนี้ ตัดต่อ ปรับ เชื่อมโยง ภาพเดียวหรือหลายภาพได้พร้อมกันในครั้งเดียว รวดเร็ว และ สวยงาม เสมือนจริง...ใน CLiCK เดียว ไม่เมื่อยนิ้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • Why Isn’t This Map in the History Books?
    Native Tribes of North America Mapped

    The ancestors of living Native Americans arrived in North America about 15 thousand years ago.
    As a result, a wide diversity of communities, societies, and cultures finally developed on the continent over the millennia.

    The population figure for Indigenous peoples in the Americas before the 1492 voyage of Christopher Columbus was 70 million or more.

    About 562 tribes inhabited the contiguous U.S. territory.

    Ten largest North American Indian tribes: Arikara, Cherokee, Iroquois, Pawnee, Sioux, Apache, Eskimo, Comanche, Choctaw, Cree, Ojibwa, Mohawk, Cheyenne, Navajo, Seminole, Hope, Shoshone, Mohican, Shawnee, Mi’kmaq, Paiute, Wampanoag, Ho-Chunk, Chumash, Haida.
    Below is the tribal map of Pre-European North America.

    The old map below gives a Native American perspective by placing the tribes in full flower ~ the “Glory Days.”
    It is pre-contact from across the eastern sea or, at least, before that contact seriously affected change. Stretching over 400 years, the time of contact was quite different from tribe to tribe. For instance, the “Glory Days” of the Maya and Aztec came to an end very long before the interior tribes of other areas, with some still resisting almost until the 20th Century.
    At one time, numbering in the millions, the native peoples spoke close to 4,000 languages.
    The Americas’ European conquest, which began in 1492, ended in a sharp drop in the Native American population through epidemics, hostilities, ethnic cleansing, and slavery.
    When the United States was founded, established Native American tribes were viewed as semi-independent nations, as they commonly lived in communities separate from white immigrants.
    Why Isn’t This Map in the History Books? Native Tribes of North America Mapped The ancestors of living Native Americans arrived in North America about 15 thousand years ago. As a result, a wide diversity of communities, societies, and cultures finally developed on the continent over the millennia. The population figure for Indigenous peoples in the Americas before the 1492 voyage of Christopher Columbus was 70 million or more. About 562 tribes inhabited the contiguous U.S. territory. Ten largest North American Indian tribes: Arikara, Cherokee, Iroquois, Pawnee, Sioux, Apache, Eskimo, Comanche, Choctaw, Cree, Ojibwa, Mohawk, Cheyenne, Navajo, Seminole, Hope, Shoshone, Mohican, Shawnee, Mi’kmaq, Paiute, Wampanoag, Ho-Chunk, Chumash, Haida. Below is the tribal map of Pre-European North America. The old map below gives a Native American perspective by placing the tribes in full flower ~ the “Glory Days.” It is pre-contact from across the eastern sea or, at least, before that contact seriously affected change. Stretching over 400 years, the time of contact was quite different from tribe to tribe. For instance, the “Glory Days” of the Maya and Aztec came to an end very long before the interior tribes of other areas, with some still resisting almost until the 20th Century. At one time, numbering in the millions, the native peoples spoke close to 4,000 languages. The Americas’ European conquest, which began in 1492, ended in a sharp drop in the Native American population through epidemics, hostilities, ethnic cleansing, and slavery. When the United States was founded, established Native American tribes were viewed as semi-independent nations, as they commonly lived in communities separate from white immigrants.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 637 มุมมอง 0 รีวิว