• ภาค1 ส 12-7-68 ..
    E:\- m1 ภาค ส่ง
    1.ยุคนี้ เป็นยุคสส.(อดัม สมิธ)ที่ภาครัฐต้องเอื้ออำนวยบทบาทเอกชนเหล่าสส.เล่นได้เต็มที่ก็จะเกิดความมั่งคั่งตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์อดัมสมิตซึ่งเป็นผลดีต่อตลาดแข่งขันเสรีโดยรวมแห่งระบบเลือกตั้งสังคมทุนนิยม
    2.เมื่อโลกใบนี้(รวมทั้งไทย)ที่สส.ฐานะเป็นเอกชนซึ่งมีความโลภมีบทบาทแข่งกันเข้ากอบโกยสร้างรวยแก่ตนได้ อันเป็นความชอบธรรมทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์อดัมสมิธ สส.จึงลงทุนซื้อเสียงเลือกตั้งชิงอำนาจครองเมืองเพื่อความได้เปรียบคู่แข่งต่อการกอบโกยอันเป็นลักษณะทั่วไปของระบบ “แข่งขันเข้าคูหาเลือกตั้ง” เพื่อชิงอำนาจครองเมืองแห่งทุนเสรีในยุคปัจจุบัน -นับแต่นี้ไป ต้องไม่เอื้อเหล่าสส.อดัม สมิธ ครองเมืองอีก
    3.ประเทศไทยต้องสร้าง “การเมืองใหม่” ขึ้นมาให้ได้!
    4.ธรรมชาติโลกใบนี้ “ปั่นป่วน” ยิ่งนัก ทั้งลม-ฟ้า-อากาศ และผืนดิน ธรรมชาติจึงสร้างมนุษย์ให้พึ่งพากันโดยมีแวว “ทักษะและความชอบ” แตกต่างกันไปเชิงสังคม
    5.โครงสร้างสังคมหลักเศรษฐศาสตร์ใหม่ของเรา อิงวิถีธรรมชาติที่ให้เรามา
    6.อนึ่ง ประเทศจีนปฏิวัติสังคมประเทศไปก่อนแล้ว โดยนำระบบการตลาดควบระบบสังคมนิยม
    - ด้านผลสำเร็จ คือทิศทางเราควรศึกษาจากเขา
    • จีนทุ่มงานวิจัยr&dเยอะจึงพัฒนาไปเร็ว
    • ขจัดความยากจนของประเทศ
    • ปราบคอร์รัปชั่นเฉียบขาด
    - ส่วนด้านจุดอ่อนนั้น เราก็อย่าให้เกิดซ้ำรอยที่เราอีก ในกรณี “อาชีพเก็งกำไร” เช่น ธุรกิจอสังหาฯ ธุรกิจธนาคารเอกชน ธุรกิจสอนพิเศษ ตลาดหลักทรัพย์ จะต้องไม่ให้เกิดที่ไทย
    กรณีบทเรียนจีนอุดหนุนเอกชนผลิตรถอีวี แข่งขันกันพากันเจ๊ง กรณีจีนอุดหนุนส่งเสริมผลิตสินค้าผลิตให้มากเพื่อได้ต้นทุนต่ำ ผลิตล้นขายทั้งในและนอกประเทศเดือดร้อนไปทั่ว
    การศึกษาแข่งขันกันสูง ค่าเล่าเรียนจึงสูงมาก จบออกมาก็ยังหางานทำไม่ได้
    ค่าบ้าน ค่าเรียน จึงเป็นภาระหนักของประชาชน จึงเป็นเหตุให้ไม่อยากแต่งงาน แต่งงานก็ไม่อยากมีลูก เป็นเหตุให้จีนคนสูงวัยเยอะ แต่ขาดวัยแรงงานพัฒนาประเทศ
    7.ประเทศไทย ต้องลดค่าครองชีพให้กับประชาชน คือด้านพลังงาน ต้องเป็นรัฐวิสาหกิจทั้งหมด (การกลั่นน้ำมัน ขายปลีกปั๋มน้ำมัน ไปจนถึงพลังงานทดแทน เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศและประชาชน ควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม
    8. ยกเลิกธุรกิจเก็งกำไรทั้งปวง การธนาคารต้องเป็นรัฐ วิสาหกิจ(ยกเลิกการธนาคารเอกชน) รวมถึง อสังหาริมทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์
    9] ปลดโซ่ตรวนทุนเสรีทั้งปวง สร้างกำลังซื้อประชาชน การเงินจะได้สะพัดในระบบเศรษฐกิจสังคม
    # ต้องลดค่าครองชีพให้กับประชาชน ลดภาระปัจจัย4
    -บ้าน/อาคาร ที่พักอาศัย ที่ทำกิน-ที่ค้าขายต้องอยู่ฟรี
    -เครื่องมือ-อุปกรณ์การทำอาชีพต้องสนองให้และฟรี และมีการพัฒนาและเสริมให้ใหม่อยู่เสมอ
    # ยกเลิกระบบลูกจ้าง
    -ทุกอาชีพที่ต้องใช้คนช่วย ตั้งบริษัท เป็นนิติบุคคล
    ตั้งเป็นบริษัทพัฒนา (ตามสมัครใจ)
    -“บริษัฒนา” ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน
    9.1]ด้วยธรรมชาติโลกใบนี้ “ปั่นป่วน” ยิ่งนัก ธรรมชาติจึงให้ “แวว” มนุษย์แตกต่างกันเกื้อกูลกันเชิงสังคม ภาครัฐต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูเด็กๆ ตั้งแต่ย่างเข้าสู่วัย “เตรียมอนุบาล” เพื่อพัฒนาการ “แวว” ของเด็กแต่ละคนให้ตรงจุด
    9.1.1] “เตรียมอนุบาล”เป็นวัยเริ่มต้นของชีวิต เป็นวัยที่เริ่มแสดงออกถึงแววไปทางใด เช่น (ลักษณะผู้นำ) : คิดการไกล-มีวิสัยทัศน์ ช่างคิด คิดต่างเสมอ (ลักษณะผู้บริหาร) :อิงระบบ คุมกฎ ชอบจัด-วางระเบียบ. บุคลากรปฏิบัติตามกฎระเบียบและคำสั่ง บุคลากรที่ชอบออกแรงแบบใช้สมอง บุคลากรที่ชอบออกแรงแต่ไม่ชอบใช้สมอง ฯ
    ภาครัฐก็จะได้ส่งเสริมทิศทางแววได้ถูกจุด และเจ้าตัวก็จะได้รับรู้แววของตัวเองไปทางใด
    ดังคำพังเพยที่ว่า"ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก"
    ไม่จำเป็นต้องดัดอะไรอีกเลย เพียงทราบทิศทางแววไปทางไหนก็พัฒนาการไปทางนั้น นั่นคือจะเกิดความชื่นชอบส่วนลึกทางจิตใจโดยวิถีธรรมชาติของเขา นั่นความสุขใจในการปฏิบัติงานของเขา ก็จะได้ทรัพยากรบุคคที่มีคุณภาพให้แก่สังคม
    9.1.2] ภาคเอกชน ก็รู้จักใช้คน ด้วยการจองตัวนักศึกษากับมหาวิทยาลัย นักศึกษาที่ “แววดี” คะแนนดี มีผลงาน เอาไว้ใช้งาน
    9.1.3] ภาครัฐก็เช่นกัน ควรวางตัวบุคคลากรในหน่วยงานตามลัษณะพิเศษของแวว ในตำแหน่งสำคัญๆ คือ แวว-ผู้นำองค์กร แวว-ผู้บริหารองค์กร
    -เช่น ภาครั.ฐวิสาหกิจ และหน่วยงานราชการ
    -มิเช่นนั้น กิจการรั.ฐวิสาหกิจก็จะหยุดนิ่งอยู่กับที่
    -คำกล่าวขานกันว่า ถ้าเป็นกิจการของรัฐมักไม่โต
    -อีกประการหนึ่ง กิจการของภาครัฐ มักถูกนักการเมืองเข้าบอนไซ ทำให้ง่อยเปลี้ยแล้วเข้าฮุบกิจการ
    9.2]ยังมีแววลักษณะพิเศษอื่นๆ เช่น :-
    9.2.1]เรียนไม่เก่งก็สร้างความยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้
    • อย่าง “แจ็คหม่า” เรียนไม่เก่ง ซ้ำชั้นบ่อยแม้ภาษาอังกฤษก็เรียนไม่ผ่าน ไปสมัครงานที่ไหนๆก็ไม่มีใครรับกัน KFCเขาก็ไม่รับ
    • แจ็คหม่ามีแววช่างคิด(เจ้าปัญญา)เขาเชื่อใจตัวเองว่า:เขาสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองได้ เขาปั่นจักรยานร่วมชั่วโมงไปในเมืองเป็นไกด์ จากที่เริ่มต้นพูดงูๆปลาๆจนพูดได้ดี ก็ไปเรียนต่อภาษาอังกฤษจนจบได้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษได้สมใจ
    • แจ็กหม่าเริ่มรู้จักอินเตอร์เน็ทตอนทำธุรกิจการแปลภาษา กับตอนที่เป็นล่ามที่อเมริกา
    • แจ็คหม่าข้องใจว่า ในอีเตอร์เน็ทต่างประเทศลงสินค้าจีนแต่ไม่มีตัวแทนจีนเอาไปลงเลย สินค้าจีนบางตัวก็ไม่มีลง ก็ทำให้แจ็คหม่ามีแรงบันดาลใจ กลับจีนจะไปผลักดันเรื่องนี้ พอกลับก็ไปผลักดันจนในที่สุดก็สร้าง “เว็บไซต์ E-commerce อาลีบาบา”ขึ้นมา เป็นตลาดซื้อขายระดับต่างๆ ผลให้แจ็กหม่าในปี 2018 มีทรัพย์สินราว ๆ 1.2 ล้านล้านบาท กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 20 ของโลกในที่สุด – จากเด็กยากจนและเรียนไม่เก่ง แต่มีแววช่างคิดวิสัยทัศน์ไกลผลให้เติบโตสุดๆ!
    9.2.2]คำวลี "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้" นั่นคือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
    จินตนาการหมายถึง การคิดสร้างภาพในจิตใจหรือพลังของจิตที่สร้างภาพขันใหม่ภายในใจ ให้น่าพอใจกว่า สวยกว่า เป็นระเบียบกว่าหรือร้ายกาจกว่าสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป จินตนาการทำให้เกิดภาพขึ้นในสำนึกเรียกว่า “จินตภาพ” จินตภาพเหล่านี้เชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่ได้นับสะสมอยู่ภายใน

    ปล.ภาค1 ยังไม่จบ ต่อภาค2 ก่อน เกี่ยวกับตั้งพรรคการเมือง

    ภาค1 ส 12-7-68 .. E:\- m1 ภาค ส่ง 1.ยุคนี้ เป็นยุคสส.(อดัม สมิธ)ที่ภาครัฐต้องเอื้ออำนวยบทบาทเอกชนเหล่าสส.เล่นได้เต็มที่ก็จะเกิดความมั่งคั่งตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์อดัมสมิตซึ่งเป็นผลดีต่อตลาดแข่งขันเสรีโดยรวมแห่งระบบเลือกตั้งสังคมทุนนิยม 2.เมื่อโลกใบนี้(รวมทั้งไทย)ที่สส.ฐานะเป็นเอกชนซึ่งมีความโลภมีบทบาทแข่งกันเข้ากอบโกยสร้างรวยแก่ตนได้ อันเป็นความชอบธรรมทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์อดัมสมิธ สส.จึงลงทุนซื้อเสียงเลือกตั้งชิงอำนาจครองเมืองเพื่อความได้เปรียบคู่แข่งต่อการกอบโกยอันเป็นลักษณะทั่วไปของระบบ “แข่งขันเข้าคูหาเลือกตั้ง” เพื่อชิงอำนาจครองเมืองแห่งทุนเสรีในยุคปัจจุบัน -นับแต่นี้ไป ต้องไม่เอื้อเหล่าสส.อดัม สมิธ ครองเมืองอีก 3.ประเทศไทยต้องสร้าง “การเมืองใหม่” ขึ้นมาให้ได้! 4.ธรรมชาติโลกใบนี้ “ปั่นป่วน” ยิ่งนัก ทั้งลม-ฟ้า-อากาศ และผืนดิน ธรรมชาติจึงสร้างมนุษย์ให้พึ่งพากันโดยมีแวว “ทักษะและความชอบ” แตกต่างกันไปเชิงสังคม 5.โครงสร้างสังคมหลักเศรษฐศาสตร์ใหม่ของเรา อิงวิถีธรรมชาติที่ให้เรามา 6.อนึ่ง ประเทศจีนปฏิวัติสังคมประเทศไปก่อนแล้ว โดยนำระบบการตลาดควบระบบสังคมนิยม - ด้านผลสำเร็จ คือทิศทางเราควรศึกษาจากเขา • จีนทุ่มงานวิจัยr&dเยอะจึงพัฒนาไปเร็ว • ขจัดความยากจนของประเทศ • ปราบคอร์รัปชั่นเฉียบขาด - ส่วนด้านจุดอ่อนนั้น เราก็อย่าให้เกิดซ้ำรอยที่เราอีก ในกรณี “อาชีพเก็งกำไร” เช่น ธุรกิจอสังหาฯ ธุรกิจธนาคารเอกชน ธุรกิจสอนพิเศษ ตลาดหลักทรัพย์ จะต้องไม่ให้เกิดที่ไทย กรณีบทเรียนจีนอุดหนุนเอกชนผลิตรถอีวี แข่งขันกันพากันเจ๊ง กรณีจีนอุดหนุนส่งเสริมผลิตสินค้าผลิตให้มากเพื่อได้ต้นทุนต่ำ ผลิตล้นขายทั้งในและนอกประเทศเดือดร้อนไปทั่ว การศึกษาแข่งขันกันสูง ค่าเล่าเรียนจึงสูงมาก จบออกมาก็ยังหางานทำไม่ได้ ค่าบ้าน ค่าเรียน จึงเป็นภาระหนักของประชาชน จึงเป็นเหตุให้ไม่อยากแต่งงาน แต่งงานก็ไม่อยากมีลูก เป็นเหตุให้จีนคนสูงวัยเยอะ แต่ขาดวัยแรงงานพัฒนาประเทศ 7.ประเทศไทย ต้องลดค่าครองชีพให้กับประชาชน คือด้านพลังงาน ต้องเป็นรัฐวิสาหกิจทั้งหมด (การกลั่นน้ำมัน ขายปลีกปั๋มน้ำมัน ไปจนถึงพลังงานทดแทน เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศและประชาชน ควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม 8. ยกเลิกธุรกิจเก็งกำไรทั้งปวง การธนาคารต้องเป็นรัฐ วิสาหกิจ(ยกเลิกการธนาคารเอกชน) รวมถึง อสังหาริมทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ 9] ปลดโซ่ตรวนทุนเสรีทั้งปวง สร้างกำลังซื้อประชาชน การเงินจะได้สะพัดในระบบเศรษฐกิจสังคม # ต้องลดค่าครองชีพให้กับประชาชน ลดภาระปัจจัย4 -บ้าน/อาคาร ที่พักอาศัย ที่ทำกิน-ที่ค้าขายต้องอยู่ฟรี -เครื่องมือ-อุปกรณ์การทำอาชีพต้องสนองให้และฟรี และมีการพัฒนาและเสริมให้ใหม่อยู่เสมอ # ยกเลิกระบบลูกจ้าง -ทุกอาชีพที่ต้องใช้คนช่วย ตั้งบริษัท เป็นนิติบุคคล ตั้งเป็นบริษัทพัฒนา (ตามสมัครใจ) -“บริษัฒนา” ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน 9.1]ด้วยธรรมชาติโลกใบนี้ “ปั่นป่วน” ยิ่งนัก ธรรมชาติจึงให้ “แวว” มนุษย์แตกต่างกันเกื้อกูลกันเชิงสังคม ภาครัฐต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูเด็กๆ ตั้งแต่ย่างเข้าสู่วัย “เตรียมอนุบาล” เพื่อพัฒนาการ “แวว” ของเด็กแต่ละคนให้ตรงจุด 9.1.1] “เตรียมอนุบาล”เป็นวัยเริ่มต้นของชีวิต เป็นวัยที่เริ่มแสดงออกถึงแววไปทางใด เช่น (ลักษณะผู้นำ) : คิดการไกล-มีวิสัยทัศน์ ช่างคิด คิดต่างเสมอ (ลักษณะผู้บริหาร) :อิงระบบ คุมกฎ ชอบจัด-วางระเบียบ. บุคลากรปฏิบัติตามกฎระเบียบและคำสั่ง บุคลากรที่ชอบออกแรงแบบใช้สมอง บุคลากรที่ชอบออกแรงแต่ไม่ชอบใช้สมอง ฯ ภาครัฐก็จะได้ส่งเสริมทิศทางแววได้ถูกจุด และเจ้าตัวก็จะได้รับรู้แววของตัวเองไปทางใด ดังคำพังเพยที่ว่า"ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก" ไม่จำเป็นต้องดัดอะไรอีกเลย เพียงทราบทิศทางแววไปทางไหนก็พัฒนาการไปทางนั้น นั่นคือจะเกิดความชื่นชอบส่วนลึกทางจิตใจโดยวิถีธรรมชาติของเขา นั่นความสุขใจในการปฏิบัติงานของเขา ก็จะได้ทรัพยากรบุคคที่มีคุณภาพให้แก่สังคม 9.1.2] ภาคเอกชน ก็รู้จักใช้คน ด้วยการจองตัวนักศึกษากับมหาวิทยาลัย นักศึกษาที่ “แววดี” คะแนนดี มีผลงาน เอาไว้ใช้งาน 9.1.3] ภาครัฐก็เช่นกัน ควรวางตัวบุคคลากรในหน่วยงานตามลัษณะพิเศษของแวว ในตำแหน่งสำคัญๆ คือ แวว-ผู้นำองค์กร แวว-ผู้บริหารองค์กร -เช่น ภาครั.ฐวิสาหกิจ และหน่วยงานราชการ -มิเช่นนั้น กิจการรั.ฐวิสาหกิจก็จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ -คำกล่าวขานกันว่า ถ้าเป็นกิจการของรัฐมักไม่โต -อีกประการหนึ่ง กิจการของภาครัฐ มักถูกนักการเมืองเข้าบอนไซ ทำให้ง่อยเปลี้ยแล้วเข้าฮุบกิจการ 9.2]ยังมีแววลักษณะพิเศษอื่นๆ เช่น :- 9.2.1]เรียนไม่เก่งก็สร้างความยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ • อย่าง “แจ็คหม่า” เรียนไม่เก่ง ซ้ำชั้นบ่อยแม้ภาษาอังกฤษก็เรียนไม่ผ่าน ไปสมัครงานที่ไหนๆก็ไม่มีใครรับกัน KFCเขาก็ไม่รับ • แจ็คหม่ามีแววช่างคิด(เจ้าปัญญา)เขาเชื่อใจตัวเองว่า:เขาสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองได้ เขาปั่นจักรยานร่วมชั่วโมงไปในเมืองเป็นไกด์ จากที่เริ่มต้นพูดงูๆปลาๆจนพูดได้ดี ก็ไปเรียนต่อภาษาอังกฤษจนจบได้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษได้สมใจ • แจ็กหม่าเริ่มรู้จักอินเตอร์เน็ทตอนทำธุรกิจการแปลภาษา กับตอนที่เป็นล่ามที่อเมริกา • แจ็คหม่าข้องใจว่า ในอีเตอร์เน็ทต่างประเทศลงสินค้าจีนแต่ไม่มีตัวแทนจีนเอาไปลงเลย สินค้าจีนบางตัวก็ไม่มีลง ก็ทำให้แจ็คหม่ามีแรงบันดาลใจ กลับจีนจะไปผลักดันเรื่องนี้ พอกลับก็ไปผลักดันจนในที่สุดก็สร้าง “เว็บไซต์ E-commerce อาลีบาบา”ขึ้นมา เป็นตลาดซื้อขายระดับต่างๆ ผลให้แจ็กหม่าในปี 2018 มีทรัพย์สินราว ๆ 1.2 ล้านล้านบาท กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 20 ของโลกในที่สุด – จากเด็กยากจนและเรียนไม่เก่ง แต่มีแววช่างคิดวิสัยทัศน์ไกลผลให้เติบโตสุดๆ! 9.2.2]คำวลี "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้" นั่นคือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จินตนาการหมายถึง การคิดสร้างภาพในจิตใจหรือพลังของจิตที่สร้างภาพขันใหม่ภายในใจ ให้น่าพอใจกว่า สวยกว่า เป็นระเบียบกว่าหรือร้ายกาจกว่าสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป จินตนาการทำให้เกิดภาพขึ้นในสำนึกเรียกว่า “จินตภาพ” จินตภาพเหล่านี้เชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่ได้นับสะสมอยู่ภายใน ปล.ภาค1 ยังไม่จบ ต่อภาค2 ก่อน เกี่ยวกับตั้งพรรคการเมือง
    0 Comments 0 Shares 45 Views 0 Reviews
  • บางทีวันนี้รู้สึกไม่สบายใจเพราะเปิดเจอข่าวการเมือง ข่าววิจารณ์สังคมเกินจริงจาก The Satandard, Workpoint feat. มติชิน ข่าวปด คือสื่อพรรค์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อเอาใจลิเบอร่าน เดโมแครตเชี่ยเหี้ย Woke DEI สามกีบ โดยเฉพาะ เห็นมีแต่โทษทหาร โทษรัฐประหาร ว่าทำให้ไม่มีทางเลือกในการทำมาหากินตามใจชอบมากขึ้น คิดไปคิดมาไม่ต้องเสพจากมันเลยจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาคิดวนจนขุดเรื่องแย่ๆที่เคยจำตอกกบาลไปจนผมรู้สึก Toxic Burnout ง่าย แถมหมด Passion ในการเดินหน้าชีวิตต่อ
    ส่วน Netflix ผมไม่อยากจะตามมันต่อแล้ว เพราะบางทีมีหนัง Woke DEI รกหูรกตา ทางเลือกเสพสื่อมีอีกเยอะแยะ แต่สื่อกระแสหลักตะวันตกเชื่อไม่ได้ 100% และไม่อยากจะเสพมัน อย่าง CNN CNBC BBC ABC ไรงี้ มีแต่อวย Woke DEI เลียไข่ยิว 100% ทั้งเพ
    สื่อข่าวที่ขายดีคือ ข่าวการเมือง ข่าวดราม่า ข่าวดารา เจอมาเยอะ ข่าวดีๆไม่ค่อยมีนำมาออกสื่อในเมืองไทย บางทีสื่อพวกนี้ชอบบิดเบือนตามคำโกหกของ NGO สายสังคม การเมืองและสิ่งแวดล้อม จริงๆ
    ไม่บริจาคให้ UNICEF ไม่บริจาคให้ Greenpeace เพราะมีการฟอกเงินให้ยิว
    แต่ถ้ามูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินส่งเสริมนวัตกรรมสร้างอาชีพ สร้างโอกาส แก่คนยากไร้ทั่วโลก ผมพร้อมที่จะบริจาค
    บางทีวันนี้รู้สึกไม่สบายใจเพราะเปิดเจอข่าวการเมือง ข่าววิจารณ์สังคมเกินจริงจาก The Satandard, Workpoint feat. มติชิน ข่าวปด คือสื่อพรรค์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อเอาใจลิเบอร่าน เดโมแครตเชี่ยเหี้ย Woke DEI สามกีบ โดยเฉพาะ เห็นมีแต่โทษทหาร โทษรัฐประหาร ว่าทำให้ไม่มีทางเลือกในการทำมาหากินตามใจชอบมากขึ้น คิดไปคิดมาไม่ต้องเสพจากมันเลยจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาคิดวนจนขุดเรื่องแย่ๆที่เคยจำตอกกบาลไปจนผมรู้สึก Toxic Burnout ง่าย แถมหมด Passion ในการเดินหน้าชีวิตต่อ ส่วน Netflix ผมไม่อยากจะตามมันต่อแล้ว เพราะบางทีมีหนัง Woke DEI รกหูรกตา ทางเลือกเสพสื่อมีอีกเยอะแยะ แต่สื่อกระแสหลักตะวันตกเชื่อไม่ได้ 100% และไม่อยากจะเสพมัน อย่าง CNN CNBC BBC ABC ไรงี้ มีแต่อวย Woke DEI เลียไข่ยิว 100% ทั้งเพ สื่อข่าวที่ขายดีคือ ข่าวการเมือง ข่าวดราม่า ข่าวดารา เจอมาเยอะ ข่าวดีๆไม่ค่อยมีนำมาออกสื่อในเมืองไทย บางทีสื่อพวกนี้ชอบบิดเบือนตามคำโกหกของ NGO สายสังคม การเมืองและสิ่งแวดล้อม จริงๆ ไม่บริจาคให้ UNICEF ไม่บริจาคให้ Greenpeace เพราะมีการฟอกเงินให้ยิว แต่ถ้ามูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินส่งเสริมนวัตกรรมสร้างอาชีพ สร้างโอกาส แก่คนยากไร้ทั่วโลก ผมพร้อมที่จะบริจาค
    0 Comments 0 Shares 49 Views 0 Reviews
  • ศูนย์ข้อมูลบูมในจอร์เจีย – เทคโนโลยีมา น้ำหาย คนอยู่ลำบาก

    ในชนบทของรัฐจอร์เจีย สหรัฐฯ พื้นที่ที่เคยเงียบสงบและเต็มไปด้วยต้นไม้ กำลังถูกแทนที่ด้วยอาคารขนาดใหญ่ไร้หน้าต่างที่เต็มไปด้วยเซิร์ฟเวอร์—ศูนย์ข้อมูลที่เป็นหัวใจของโลกดิจิทัลยุคใหม่ โดยเฉพาะในยุค AI และคลาวด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

    แต่เบื้องหลังความก้าวหน้ากลับมีปัญหาใหญ่: การใช้น้ำมหาศาลเพื่อระบายความร้อนให้เซิร์ฟเวอร์ โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อน ศูนย์ข้อมูลแห่งหนึ่งอาจใช้น้ำถึง 5 ล้านแกลลอนต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้น้ำของทั้งเมือง

    ในเมือง Mansfield ชาวบ้านบางคน เช่น Beverly Morris ซึ่งอาศัยอยู่ห่างจากศูนย์ข้อมูลของ Meta เพียง 400 หลา บ่นว่าบ้านของเธอไม่มีน้ำใช้ และไม่สามารถดื่มน้ำจากบ่อได้อีกต่อไป

    แม้บริษัทต่าง ๆ จะอ้างว่ามีการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด และบางแห่งลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ เช่น liquid cooling หรือการเก็บน้ำฝน แต่ชาวบ้านยังคงไม่ไว้วางใจ และรู้สึกว่าคุณภาพชีวิตของพวกเขาถูกลดทอนเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทเทคโนโลยี

    ปัญหานี้ไม่ได้เกิดแค่ในจอร์เจีย แต่กำลังลุกลามไปทั่วสหรัฐฯ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีปัญหาภัยแล้ง และคาดว่าการใช้น้ำของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

    ข้อมูลจากข่าว
    - ศูนย์ข้อมูลในจอร์เจียขยายตัวอย่างรวดเร็วเพื่อตอบรับการเติบโตของ AI และคลาวด์
    - ใช้น้ำมหาศาลเพื่อระบายความร้อน โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อน
    - ชาวบ้านใน Mansfield รายงานว่าบ่อบ้านแห้งและไม่สามารถใช้น้ำได้
    - บริษัทต่าง ๆ อ้างว่ามีการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมและลงทุนในเทคโนโลยีลดการใช้น้ำ
    - มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น liquid cooling และ rainwater harvesting
    - ปัญหานี้เกิดในหลายรัฐของสหรัฐฯ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีภัยแล้ง
    - คาดว่าการใช้น้ำของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอนาคต

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การใช้น้ำของศูนย์ข้อมูลอาจกระทบต่อแหล่งน้ำของชุมชนโดยตรง
    - การตรวจสอบสิ่งแวดล้อมที่บริษัทจัดจ้างอาจไม่เป็นกลางหรือโปร่งใส
    - ชาวบ้านบางรายยังคงใช้ “น้ำที่ไม่มั่นใจ” ในการปรุงอาหารและแปรงฟัน
    - การเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอาจไม่สมดุลกับคุณภาพชีวิตของประชาชน
    - หากไม่มีการกำกับดูแลที่เข้มงวด การขยายตัวของศูนย์ข้อมูลอาจทำลายระบบนิเวศท้องถิ่น

    https://www.techspot.com/news/108634-data-center-boom-georgia-sparks-water-worries-resident.html
    ศูนย์ข้อมูลบูมในจอร์เจีย – เทคโนโลยีมา น้ำหาย คนอยู่ลำบาก ในชนบทของรัฐจอร์เจีย สหรัฐฯ พื้นที่ที่เคยเงียบสงบและเต็มไปด้วยต้นไม้ กำลังถูกแทนที่ด้วยอาคารขนาดใหญ่ไร้หน้าต่างที่เต็มไปด้วยเซิร์ฟเวอร์—ศูนย์ข้อมูลที่เป็นหัวใจของโลกดิจิทัลยุคใหม่ โดยเฉพาะในยุค AI และคลาวด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เบื้องหลังความก้าวหน้ากลับมีปัญหาใหญ่: การใช้น้ำมหาศาลเพื่อระบายความร้อนให้เซิร์ฟเวอร์ โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อน ศูนย์ข้อมูลแห่งหนึ่งอาจใช้น้ำถึง 5 ล้านแกลลอนต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้น้ำของทั้งเมือง ในเมือง Mansfield ชาวบ้านบางคน เช่น Beverly Morris ซึ่งอาศัยอยู่ห่างจากศูนย์ข้อมูลของ Meta เพียง 400 หลา บ่นว่าบ้านของเธอไม่มีน้ำใช้ และไม่สามารถดื่มน้ำจากบ่อได้อีกต่อไป แม้บริษัทต่าง ๆ จะอ้างว่ามีการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด และบางแห่งลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ เช่น liquid cooling หรือการเก็บน้ำฝน แต่ชาวบ้านยังคงไม่ไว้วางใจ และรู้สึกว่าคุณภาพชีวิตของพวกเขาถูกลดทอนเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทเทคโนโลยี ปัญหานี้ไม่ได้เกิดแค่ในจอร์เจีย แต่กำลังลุกลามไปทั่วสหรัฐฯ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีปัญหาภัยแล้ง และคาดว่าการใช้น้ำของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ✅ ข้อมูลจากข่าว - ศูนย์ข้อมูลในจอร์เจียขยายตัวอย่างรวดเร็วเพื่อตอบรับการเติบโตของ AI และคลาวด์ - ใช้น้ำมหาศาลเพื่อระบายความร้อน โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อน - ชาวบ้านใน Mansfield รายงานว่าบ่อบ้านแห้งและไม่สามารถใช้น้ำได้ - บริษัทต่าง ๆ อ้างว่ามีการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมและลงทุนในเทคโนโลยีลดการใช้น้ำ - มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น liquid cooling และ rainwater harvesting - ปัญหานี้เกิดในหลายรัฐของสหรัฐฯ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีภัยแล้ง - คาดว่าการใช้น้ำของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอนาคต ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การใช้น้ำของศูนย์ข้อมูลอาจกระทบต่อแหล่งน้ำของชุมชนโดยตรง - การตรวจสอบสิ่งแวดล้อมที่บริษัทจัดจ้างอาจไม่เป็นกลางหรือโปร่งใส - ชาวบ้านบางรายยังคงใช้ “น้ำที่ไม่มั่นใจ” ในการปรุงอาหารและแปรงฟัน - การเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอาจไม่สมดุลกับคุณภาพชีวิตของประชาชน - หากไม่มีการกำกับดูแลที่เข้มงวด การขยายตัวของศูนย์ข้อมูลอาจทำลายระบบนิเวศท้องถิ่น https://www.techspot.com/news/108634-data-center-boom-georgia-sparks-water-worries-resident.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Data center boom in Georgia sparks water worries and resident backlash
    The rise of data centers is closely tied to the rapid growth of artificial intelligence and cloud computing. But as the demand for digital services increases, so...
    0 Comments 0 Shares 52 Views 0 Reviews
  • หัวหน้าฝ่ายวางแผนของรัฐบาลจีนเผย เศรษฐกิจจีนจะมีมูลค่าเกิน 140 ล้านล้านหยวน (19.5 ล้านล้านดอลลาร์) หรือประมาณ 636 ล้านล้านบาทในปีนี้ ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายของจีนเตรียมแผนขับเคลื่อนประเทศหลังจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปีปัจจุบันสิ้นสุดลงในช่วงปลายปี 2025

    จีนซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกกำลังเผชิญกับสงครามการค้าที่ยืดเยื้อกับสหรัฐฯ รวมไปถึงแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดที่ยังแก้ไม่ตก

    “เมื่อมองย้อนกลับไปที่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 ความท้าทายที่เราเผชิญนั้นรุนแรงกว่าที่คาดไว้ แต่ความสำเร็จก็เกินความคาดหมาย” เจิ้ง ซานเจี๋ย (Zheng Shanjie) ประธานคณะกรรมการปฏิรูปและการพัฒนาแห่งชาติจีน ระบุในงานแถลงข่าว

    เจิ้ง ชี้ถึงความคืบหน้าที่เกิดขึ้นภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี 2021–2025 ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ประเด็นสำคัญๆ เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจ นวัตกรรมเทคโนโลยี การปรับเปลี่ยนไปสู่ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000064644

    #Thaitimes #MGROnline #เศรษฐกิจจีน
    หัวหน้าฝ่ายวางแผนของรัฐบาลจีนเผย เศรษฐกิจจีนจะมีมูลค่าเกิน 140 ล้านล้านหยวน (19.5 ล้านล้านดอลลาร์) หรือประมาณ 636 ล้านล้านบาทในปีนี้ ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายของจีนเตรียมแผนขับเคลื่อนประเทศหลังจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปีปัจจุบันสิ้นสุดลงในช่วงปลายปี 2025 • จีนซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกกำลังเผชิญกับสงครามการค้าที่ยืดเยื้อกับสหรัฐฯ รวมไปถึงแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดที่ยังแก้ไม่ตก • “เมื่อมองย้อนกลับไปที่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 ความท้าทายที่เราเผชิญนั้นรุนแรงกว่าที่คาดไว้ แต่ความสำเร็จก็เกินความคาดหมาย” เจิ้ง ซานเจี๋ย (Zheng Shanjie) ประธานคณะกรรมการปฏิรูปและการพัฒนาแห่งชาติจีน ระบุในงานแถลงข่าว • เจิ้ง ชี้ถึงความคืบหน้าที่เกิดขึ้นภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี 2021–2025 ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ประเด็นสำคัญๆ เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจ นวัตกรรมเทคโนโลยี การปรับเปลี่ยนไปสู่ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000064644 • #Thaitimes #MGROnline #เศรษฐกิจจีน
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • อย่าเอา LNG ไปผูกดีลภาษีทรัมป์!
    ผศ.ประสาท มีแต้ม เตือน “ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย”
    หัวโตแน่ ทั้งที่โซลาร์+แบตใช้ไฟได้เกือบทั้งปี

    ผศ.ประสาท มีแต้ม อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค เตือนรัฐบาลว่า

    “ไม่ควรนำเรื่อง การนำเข้า LNG ไปเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจา ‘ภาษีทรัมป์’ หรือข้อตกลงทางการค้า”
    เพราะนั่นจะทำให้ไทยตกอยู่ในสถานะ ต้องเซ็นสัญญา Take-or-Pay — ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย ซึ่งจะกลายเป็นภาระค่าไฟระยะยาวมหาศาล

    ผศ.ประสาทชี้ว่า ขณะนี้โลกกำลังเปลี่ยนทิศทางไปสู่พลังงานหมุนเวียน และงานวิจัยล่าสุดพบว่า

    “ระบบโซลาร์บวกแบตเตอรี่ (Solar + Storage) ในประเทศที่มีแดดดี 12 ประเทศทั่วโลก สามารถผลิตไฟฟ้าได้ เกือบครบ 24 ชั่วโมง ตลอด 365 วัน”

    เช่นใน ฟิลิปปินส์ ระบบนี้สามารถจ่ายไฟได้ถึง 92% ของเวลาทั้งปี ส่วนที่เหลืออีกเพียง 8% จึงค่อยใช้ไฟจากแหล่งอื่น

    นอกจากนี้ ต้นทุนไฟฟ้าจากระบบโซลาร์บวกแบตฯ ก็ถูกลงอย่างรวดเร็ว
    • ปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 3.50 บาทต่อหน่วย
    • และจะ ลดลงเฉลี่ยปีละ 22%

    “ลองคิดดูดีๆ เราไม่มีความจำเป็นต้องพึ่ง LNG อีกต่อไป
    แต่ถ้ารัฐยังฝืนพาไทยไปผูกกับดีล LNG ระยะยาว สุดท้ายประชาชนจะต้องจ่ายแพงไปอีกหลายสิบปี”

    https://www.facebook.com/share/p/1Aor22TQZp/?mibextid=wwXIfr
    อย่าเอา LNG ไปผูกดีลภาษีทรัมป์! ผศ.ประสาท มีแต้ม เตือน “ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย” หัวโตแน่ ทั้งที่โซลาร์+แบตใช้ไฟได้เกือบทั้งปี ผศ.ประสาท มีแต้ม อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค เตือนรัฐบาลว่า “ไม่ควรนำเรื่อง การนำเข้า LNG ไปเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจา ‘ภาษีทรัมป์’ หรือข้อตกลงทางการค้า” เพราะนั่นจะทำให้ไทยตกอยู่ในสถานะ ต้องเซ็นสัญญา Take-or-Pay — ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย ซึ่งจะกลายเป็นภาระค่าไฟระยะยาวมหาศาล ผศ.ประสาทชี้ว่า ขณะนี้โลกกำลังเปลี่ยนทิศทางไปสู่พลังงานหมุนเวียน และงานวิจัยล่าสุดพบว่า “ระบบโซลาร์บวกแบตเตอรี่ (Solar + Storage) ในประเทศที่มีแดดดี 12 ประเทศทั่วโลก สามารถผลิตไฟฟ้าได้ เกือบครบ 24 ชั่วโมง ตลอด 365 วัน” เช่นใน ฟิลิปปินส์ ระบบนี้สามารถจ่ายไฟได้ถึง 92% ของเวลาทั้งปี ส่วนที่เหลืออีกเพียง 8% จึงค่อยใช้ไฟจากแหล่งอื่น นอกจากนี้ ต้นทุนไฟฟ้าจากระบบโซลาร์บวกแบตฯ ก็ถูกลงอย่างรวดเร็ว • ปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 3.50 บาทต่อหน่วย • และจะ ลดลงเฉลี่ยปีละ 22% “ลองคิดดูดีๆ เราไม่มีความจำเป็นต้องพึ่ง LNG อีกต่อไป แต่ถ้ารัฐยังฝืนพาไทยไปผูกกับดีล LNG ระยะยาว สุดท้ายประชาชนจะต้องจ่ายแพงไปอีกหลายสิบปี” https://www.facebook.com/share/p/1Aor22TQZp/?mibextid=wwXIfr
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • AI: พลังขับเคลื่อนความก้าวหน้า... หรือเร่งโลกให้ร้อนขึ้น?

    บทนำ: ยุค AI กับผลกระทบที่มองไม่เห็น
    ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนแปลงโลก จากการค้นหาข้อมูล รถยนต์ไร้คนขับ ไปจนถึงการวินิจฉัยทางการแพทย์ แต่ความก้าวหน้านี้มาพร้อมต้นทุนที่ซ่อนอยู่: การใช้พลังงานมหาศาลและความร้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลต่อภาวะโลกร้อน บทความนี้สำรวจสาเหตุที่ AI ใช้พลังงานมาก ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน

    AI กับความต้องการพลังงานมหาศาล

    ทำไม AI ถึงใช้พลังงานมาก?
    AI โดยเฉพาะโมเดลกำเนิด เช่น GPT-4 ต้องการพลังการประมวลผลสูง ใช้หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPUs) และหน่วยประมวลผลเทนเซอร์ (TPUs) ซึ่งกินไฟมากและสร้างความร้อนที่ต้องระบายด้วยระบบทำความเย็นซับซ้อน การฝึกโมเดล เช่น GPT-3 ใช้ไฟฟ้า ~1,300 MWh และ GPT-4 ใช้ ~1,750 MWh ส่วนการอนุมาน (เช่น การสอบถาม ChatGPT) ใช้พลังงานรวมมากกว่าการฝึกเมื่อมีผู้ใช้จำนวนมาก

    ตัวอย่างการใช้พลังงาน
    - ชั้นวาง AI ใช้ไฟมากกว่าครัวเรือนสหรัฐฯ 39 เท่า
    - การฝึก GPT-3 เทียบเท่าการใช้ไฟของบ้าน 120-130 หลังต่อปี
    - การสอบถาม ChatGPT ครั้งหนึ่งใช้พลังงานมากกว่าการค้นหา Google 10-15 เท่า และปล่อย CO2 มากกว่า 340 เท่า
    - ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกในปี 2022 ใช้ไฟ 460 TWh และคาดว่าในปี 2026 จะเพิ่มเป็น ~1,050 TWh เทียบเท่าการใช้ไฟของเยอรมนี

    ความร้อนจาก AI: ตัวเร่งโลกร้อน

    จากไฟฟ้าสู่ความร้อน
    พลังงานไฟฟ้าที่ AI ใช้เกือบทั้งหมดแปลงเป็นความร้อน โดย 1 วัตต์ผลิตความร้อน 3.412 BTU/ชั่วโมง GPUs สมัยใหม่ใช้ไฟเกิน 1,000 วัตต์ต่อตัว สร้างความร้อนที่ต้องระบาย

    รอยเท้าคาร์บอนและน้ำ
    การฝึกโมเดล AI ปล่อย CO2 ได้ถึง 284 ตัน เทียบเท่ารถยนต์สหรัฐฯ 5 คันต่อปี การระบายความร้อนศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้าถึง 40% และน้ำราว 2 ลิตรต่อ kWh โดย ChatGPT-4o ใช้น้ำเทียบเท่าความต้องการน้ำดื่มของ 1.2 ล้านคนต่อปี คาดว่าภายในปี 2030 ศูนย์ข้อมูล AI อาจใช้ไฟมากกว่าฝรั่งเศสทั้งประเทศ

    ความท้าทายด้านความร้อน
    ความร้อนสูงเกินไปทำให้ประสิทธิภาพลดลง อายุฮาร์ดแวร์สั้นลง และระบบไม่เสถียร การระบายความร้อนด้วยอากาศแบบดั้งเดิมไม่เพียงพอต่อความร้อนจาก AI สมัยใหม่ และระบบทำความเย็นใช้พลังงานสูง ตัวอย่างการใช้พลังงาน GPU ในอนาคต:
    - ปี 2025 (Blackwell Ultra): 1,400W, ใช้การระบายความร้อนแบบ Direct-to-Chip
    - ปี 2027 (Rubin Ultra): 3,600W, ใช้ Direct-to-Chip
    - ปี 2029 (Feynman Ultra): 6,000W, ใช้ Immersion Cooling
    - ปี 2032: 15,360W, ใช้ Embedded Cooling

    นวัตกรรมเพื่อ AI ที่ยั่งยืน

    การระบายความร้อนที่ชาญฉลาด
    - การระบายความร้อนด้วยของLikely ResponseHed: มีประสิทธิภาพสูงกว่าอากาศ 3000 เท่า ใช้ในระบบ Direct-to-Chip และ Immersion Cooling
    - ระบบ HVAC ขั้นสูง: ใช้การระบายความร้อนแบบระเหยและท่อความร้อน ลดการใช้พลังงานและน้ำ
    - ตัวชี้วัด TUE: วัดประสิทธิภาพพลังงานโดยรวมของศูนย์ข้อมูล

    การออกแบบ AI ที่ประหยัดพลังงาน
    - การตัดแต่งโมเดล/ควอนไทซ์: ลดขนาดโมเดลและพลังงานที่ใช้
    - การกลั่นความรู้: ถ่ายทอดความรู้สู่โมเดลขนาดเล็ก
    - ชิปประหยัดพลังงาน: เช่น TPUs และ NPUs
    - AI จัดการพลังงาน: ใช้ AI วิเคราะห์และลดการใช้พลังงานในโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ
    - Edge Computing: ลดการส่งข้อมูลไปยังคลาวด์

    พลังงานหมุนเวียน
    ศูนย์ข้อมูลเปลี่ยนไปใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และน้ำ รวมถึงนวัตกรรมอย่างการระบายความร้อนด้วยน้ำทะเลและพลังงานแสงอาทิตย์แบบ Dispatchable

    ความรับผิดชอบร่วมกัน

    ความโปร่งใสของบริษัท AI
    บริษัทควรเปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและรอยเท้าคาร์บอน เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบ

    นโยบายและกฎระเบียบ
    รัฐบาลทั่วโลกผลักดันนโยบาย Green AI เช่น กฎหมาย AI ของสหภาพยุโรป เพื่อความยั่งยืน

    บทบาทของนักพัฒนาและผู้ใช้
    - นักพัฒนา: เลือกโมเดลและฮาร์ดแวร์ประหยัดพลังงาน ใช้เครื่องมือติดตามคาร์บอน
    - ผู้ใช้: ตระหนักถึงการใช้พลังงานของ AI และสนับสนุนบริษัทที่ยั่งยืน

    บทสรุป: วิสัยทัศน์ Green AI
    AI มีศักยภาพเปลี่ยนแปลงโลก แต่ต้องจัดการกับการใช้พลังงานและความร้อนที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน ด้วยนวัตกรรมการระบายความร้อน การออกแบบ AI ที่ประหยัดพลังงาน และพลังงานหมุนเวียน รวมถึงความโปร่งใสและนโยบายที่เหมาะสม เราสามารถสร้างอนาคต AI ที่ยั่งยืน โดยไม่ต้องเลือกว่าจะพัฒนา AI หรือรักษาสภาพภูมิอากาศ

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    🌍 AI: พลังขับเคลื่อนความก้าวหน้า... หรือเร่งโลกให้ร้อนขึ้น? 📝 บทนำ: ยุค AI กับผลกระทบที่มองไม่เห็น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนแปลงโลก จากการค้นหาข้อมูล รถยนต์ไร้คนขับ ไปจนถึงการวินิจฉัยทางการแพทย์ แต่ความก้าวหน้านี้มาพร้อมต้นทุนที่ซ่อนอยู่: การใช้พลังงานมหาศาลและความร้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลต่อภาวะโลกร้อน บทความนี้สำรวจสาเหตุที่ AI ใช้พลังงานมาก ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ⚡ AI กับความต้องการพลังงานมหาศาล ❓ ทำไม AI ถึงใช้พลังงานมาก? AI โดยเฉพาะโมเดลกำเนิด เช่น GPT-4 ต้องการพลังการประมวลผลสูง ใช้หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPUs) และหน่วยประมวลผลเทนเซอร์ (TPUs) ซึ่งกินไฟมากและสร้างความร้อนที่ต้องระบายด้วยระบบทำความเย็นซับซ้อน การฝึกโมเดล เช่น GPT-3 ใช้ไฟฟ้า ~1,300 MWh และ GPT-4 ใช้ ~1,750 MWh ส่วนการอนุมาน (เช่น การสอบถาม ChatGPT) ใช้พลังงานรวมมากกว่าการฝึกเมื่อมีผู้ใช้จำนวนมาก 📊 ตัวอย่างการใช้พลังงาน - ชั้นวาง AI ใช้ไฟมากกว่าครัวเรือนสหรัฐฯ 39 เท่า - การฝึก GPT-3 เทียบเท่าการใช้ไฟของบ้าน 120-130 หลังต่อปี - การสอบถาม ChatGPT ครั้งหนึ่งใช้พลังงานมากกว่าการค้นหา Google 10-15 เท่า และปล่อย CO2 มากกว่า 340 เท่า - ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกในปี 2022 ใช้ไฟ 460 TWh และคาดว่าในปี 2026 จะเพิ่มเป็น ~1,050 TWh เทียบเท่าการใช้ไฟของเยอรมนี 🔥 ความร้อนจาก AI: ตัวเร่งโลกร้อน 🌡️ จากไฟฟ้าสู่ความร้อน พลังงานไฟฟ้าที่ AI ใช้เกือบทั้งหมดแปลงเป็นความร้อน โดย 1 วัตต์ผลิตความร้อน 3.412 BTU/ชั่วโมง GPUs สมัยใหม่ใช้ไฟเกิน 1,000 วัตต์ต่อตัว สร้างความร้อนที่ต้องระบาย 🌱 รอยเท้าคาร์บอนและน้ำ การฝึกโมเดล AI ปล่อย CO2 ได้ถึง 284 ตัน เทียบเท่ารถยนต์สหรัฐฯ 5 คันต่อปี การระบายความร้อนศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้าถึง 40% และน้ำราว 2 ลิตรต่อ kWh โดย ChatGPT-4o ใช้น้ำเทียบเท่าความต้องการน้ำดื่มของ 1.2 ล้านคนต่อปี คาดว่าภายในปี 2030 ศูนย์ข้อมูล AI อาจใช้ไฟมากกว่าฝรั่งเศสทั้งประเทศ 🛠️ ความท้าทายด้านความร้อน ความร้อนสูงเกินไปทำให้ประสิทธิภาพลดลง อายุฮาร์ดแวร์สั้นลง และระบบไม่เสถียร การระบายความร้อนด้วยอากาศแบบดั้งเดิมไม่เพียงพอต่อความร้อนจาก AI สมัยใหม่ และระบบทำความเย็นใช้พลังงานสูง ตัวอย่างการใช้พลังงาน GPU ในอนาคต: - ปี 2025 (Blackwell Ultra): 1,400W, ใช้การระบายความร้อนแบบ Direct-to-Chip - ปี 2027 (Rubin Ultra): 3,600W, ใช้ Direct-to-Chip - ปี 2029 (Feynman Ultra): 6,000W, ใช้ Immersion Cooling - ปี 2032: 15,360W, ใช้ Embedded Cooling 🌱 นวัตกรรมเพื่อ AI ที่ยั่งยืน 💧 การระบายความร้อนที่ชาญฉลาด - การระบายความร้อนด้วยของLikely ResponseHed: มีประสิทธิภาพสูงกว่าอากาศ 3000 เท่า ใช้ในระบบ Direct-to-Chip และ Immersion Cooling - ระบบ HVAC ขั้นสูง: ใช้การระบายความร้อนแบบระเหยและท่อความร้อน ลดการใช้พลังงานและน้ำ - ตัวชี้วัด TUE: วัดประสิทธิภาพพลังงานโดยรวมของศูนย์ข้อมูล 🖥️ การออกแบบ AI ที่ประหยัดพลังงาน - การตัดแต่งโมเดล/ควอนไทซ์: ลดขนาดโมเดลและพลังงานที่ใช้ - การกลั่นความรู้: ถ่ายทอดความรู้สู่โมเดลขนาดเล็ก - ชิปประหยัดพลังงาน: เช่น TPUs และ NPUs - AI จัดการพลังงาน: ใช้ AI วิเคราะห์และลดการใช้พลังงานในโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ - Edge Computing: ลดการส่งข้อมูลไปยังคลาวด์ ☀️ พลังงานหมุนเวียน ศูนย์ข้อมูลเปลี่ยนไปใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และน้ำ รวมถึงนวัตกรรมอย่างการระบายความร้อนด้วยน้ำทะเลและพลังงานแสงอาทิตย์แบบ Dispatchable 🤝 ความรับผิดชอบร่วมกัน 📊 ความโปร่งใสของบริษัท AI บริษัทควรเปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและรอยเท้าคาร์บอน เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบ 📜 นโยบายและกฎระเบียบ รัฐบาลทั่วโลกผลักดันนโยบาย Green AI เช่น กฎหมาย AI ของสหภาพยุโรป เพื่อความยั่งยืน 🧑‍💻 บทบาทของนักพัฒนาและผู้ใช้ - นักพัฒนา: เลือกโมเดลและฮาร์ดแวร์ประหยัดพลังงาน ใช้เครื่องมือติดตามคาร์บอน - ผู้ใช้: ตระหนักถึงการใช้พลังงานของ AI และสนับสนุนบริษัทที่ยั่งยืน 🌟 บทสรุป: วิสัยทัศน์ Green AI AI มีศักยภาพเปลี่ยนแปลงโลก แต่ต้องจัดการกับการใช้พลังงานและความร้อนที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน ด้วยนวัตกรรมการระบายความร้อน การออกแบบ AI ที่ประหยัดพลังงาน และพลังงานหมุนเวียน รวมถึงความโปร่งใสและนโยบายที่เหมาะสม เราสามารถสร้างอนาคต AI ที่ยั่งยืน โดยไม่ต้องเลือกว่าจะพัฒนา AI หรือรักษาสภาพภูมิอากาศ #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 Comments 0 Shares 188 Views 0 Reviews
  • ใครเคยคิดว่า “โรงงานผลิตแรม” จะมีขนาดใหญ่เท่าศูนย์ประชุม! Micron เปิดเผยว่าโรงงาน ID1 ที่ Boise, Idaho ซึ่งเป็นแห่งแรกในชุดนี้ กำลังสร้าง cleanroom ขนาด 600,000 ตารางฟุต — ใหญ่เทียบเท่าโรงงาน SK Hynix หรือ Samsung ในเกาหลีใต้เลย

    เป้าหมายคือภายใน 20 ปีข้างหน้า Micron จะลงทุนรวม $200,000 ล้าน (ประมาณ 7.3 ล้านล้านบาท) ในการตั้งโรงงาน DRAM, สร้างแพ็กกิ้ง HBM ในเวอร์จิเนีย และขยาย R&D อย่างจริงจัง เพื่อให้สหรัฐฯ มีกำลังผลิต DRAM “อย่างน้อย 40%” อยู่ภายในประเทศ

    แผนนี้จะสร้างงานกว่า 90,000 ตำแหน่ง และทำให้สหรัฐฯ มีศูนย์กลางการผลิตหน่วยความจำแข่งกับเกาหลี–ญี่ปุ่น–ไต้หวันมากขึ้น โดยได้แรงหนุนจาก CHIPS Act และเครดิตภาษีอีกมาก

    แต่ในทางกลับกัน แม้ DRAM จะมีแผนลงหลักปักฐานในอเมริกาแล้ว — Micron ยังไม่ประกาศว่าจะย้ายการผลิต NAND มาในประเทศแต่อย่างใด ทำให้ “ศูนย์ถ่วงการผลิตแฟลช” อาจยังอยู่ที่เอเชียอีกนาน

    Micron ประกาศลงทุน $200,000 ล้านในสหรัฐฯ ตลอด 20 ปีข้างหน้า  
    • แบ่งเป็น $150B สำหรับผลิต DRAM และ $50B สำหรับงานวิจัย (R&D)  
    • ได้รับแรงหนุนจาก CHIPS Act และเครดิตภาษีอีกมากมาย

    แผนประกอบด้วย:  
    • โรงงาน DRAM 2 แห่งใน Idaho  
    • โรงงาน DRAM 4 แห่งในนิวยอร์ก (Clay, NY)  
    • ส่วนแพ็กกิ้ง HBM (เช่น HBM5/6) ในเวอร์จิเนีย (Manassas)  
    • ตั้งเป้าผลิต DRAM ในสหรัฐฯ 40% ภายใน 10 ปี

    ID1 (โรงงานแรกในไอดาโฮ) จะเริ่มเดินสายการผลิตช่วงครึ่งหลังปี 2027  
    • มี cleanroom ขนาด 600,000 ตร.ฟุต (ใหญ่พอ ๆ กับ Samsung/Hynix)  
    • ID2 จะสร้างติดกัน เพื่อใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน

    โรงงานในนิวยอร์กอยู่ระหว่างรอผลประเมินสิ่งแวดล้อม (EIA)  
    • คาดว่าเริ่มถมที่ปลายปี 2025

    Manassas, VA จะถูกอัปเกรดให้แพ็กกิ้ง HBM ได้เองในประเทศ  
    • แต่จะเริ่มหลังจากที่ DRAM แผ่นเวเฟอร์ในอเมริกาเพียงพอก่อน

    คาดว่าจะมีการจ้างงาน ~90,000 ตำแหน่ง (ตรง + อ้อม)  
    • ทั้งในสายงานวิศวกรรม, ก่อสร้าง, บริการ และ supply chain

    ตั้งเป้าให้ DRAM จากอเมริกาใช้ในระบบสำคัญ เช่น AI, คลาวด์, เซิร์ฟเวอร์ และอุปกรณ์เชิงยุทธศาสตร์

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/micron-details-new-u-s-fab-projects-idaho-fab-1-comes-online-in-2h-2027-new-york-fabs-come-later-hbm-assembly-in-the-u-s
    ใครเคยคิดว่า “โรงงานผลิตแรม” จะมีขนาดใหญ่เท่าศูนย์ประชุม! Micron เปิดเผยว่าโรงงาน ID1 ที่ Boise, Idaho ซึ่งเป็นแห่งแรกในชุดนี้ กำลังสร้าง cleanroom ขนาด 600,000 ตารางฟุต — ใหญ่เทียบเท่าโรงงาน SK Hynix หรือ Samsung ในเกาหลีใต้เลย เป้าหมายคือภายใน 20 ปีข้างหน้า Micron จะลงทุนรวม $200,000 ล้าน (ประมาณ 7.3 ล้านล้านบาท) ในการตั้งโรงงาน DRAM, สร้างแพ็กกิ้ง HBM ในเวอร์จิเนีย และขยาย R&D อย่างจริงจัง เพื่อให้สหรัฐฯ มีกำลังผลิต DRAM “อย่างน้อย 40%” อยู่ภายในประเทศ แผนนี้จะสร้างงานกว่า 90,000 ตำแหน่ง และทำให้สหรัฐฯ มีศูนย์กลางการผลิตหน่วยความจำแข่งกับเกาหลี–ญี่ปุ่น–ไต้หวันมากขึ้น โดยได้แรงหนุนจาก CHIPS Act และเครดิตภาษีอีกมาก แต่ในทางกลับกัน แม้ DRAM จะมีแผนลงหลักปักฐานในอเมริกาแล้ว — Micron ยังไม่ประกาศว่าจะย้ายการผลิต NAND มาในประเทศแต่อย่างใด ทำให้ “ศูนย์ถ่วงการผลิตแฟลช” อาจยังอยู่ที่เอเชียอีกนาน ✅ Micron ประกาศลงทุน $200,000 ล้านในสหรัฐฯ ตลอด 20 ปีข้างหน้า   • แบ่งเป็น $150B สำหรับผลิต DRAM และ $50B สำหรับงานวิจัย (R&D)   • ได้รับแรงหนุนจาก CHIPS Act และเครดิตภาษีอีกมากมาย ✅ แผนประกอบด้วย:   • โรงงาน DRAM 2 แห่งใน Idaho   • โรงงาน DRAM 4 แห่งในนิวยอร์ก (Clay, NY)   • ส่วนแพ็กกิ้ง HBM (เช่น HBM5/6) ในเวอร์จิเนีย (Manassas)   • ตั้งเป้าผลิต DRAM ในสหรัฐฯ 40% ภายใน 10 ปี ✅ ID1 (โรงงานแรกในไอดาโฮ) จะเริ่มเดินสายการผลิตช่วงครึ่งหลังปี 2027   • มี cleanroom ขนาด 600,000 ตร.ฟุต (ใหญ่พอ ๆ กับ Samsung/Hynix)   • ID2 จะสร้างติดกัน เพื่อใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน ✅ โรงงานในนิวยอร์กอยู่ระหว่างรอผลประเมินสิ่งแวดล้อม (EIA)   • คาดว่าเริ่มถมที่ปลายปี 2025 ✅ Manassas, VA จะถูกอัปเกรดให้แพ็กกิ้ง HBM ได้เองในประเทศ   • แต่จะเริ่มหลังจากที่ DRAM แผ่นเวเฟอร์ในอเมริกาเพียงพอก่อน ✅ คาดว่าจะมีการจ้างงาน ~90,000 ตำแหน่ง (ตรง + อ้อม)   • ทั้งในสายงานวิศวกรรม, ก่อสร้าง, บริการ และ supply chain ✅ ตั้งเป้าให้ DRAM จากอเมริกาใช้ในระบบสำคัญ เช่น AI, คลาวด์, เซิร์ฟเวอร์ และอุปกรณ์เชิงยุทธศาสตร์ https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/micron-details-new-u-s-fab-projects-idaho-fab-1-comes-online-in-2h-2027-new-york-fabs-come-later-hbm-assembly-in-the-u-s
    0 Comments 0 Shares 235 Views 0 Reviews
  • โดยทั่วไปแล้ว การสกัดทองจากแร่หรือแผงวงจร (PCB) ต้องพึ่งสารเคมีสุดอันตรายอย่าง “ไซยาไนด์” หรือ “ปรอท” ซึ่งเป็นอันตรายต่อทั้งคนและสิ่งแวดล้อม แถมยังเกิดมลพิษข้ามพรมแดนในหลายประเทศ

    ทีมวิจัยจาก Flinders คิดต่าง — พวกเขาใช้สาร TCCA (Trichloroisocyanuric acid) ซึ่งโดยปกติใช้ในงานฆ่าเชื้อหรือบำบัดน้ำ มาทำหน้าที่ละลายทองคำออกจากแหล่งขยะอิเล็กทรอนิกส์

    แล้วจับทองด้วย “โพลิเมอร์กำมะถันชนิดใหม่” ที่จะจับเฉพาะทอง (ไม่จับโลหะอื่น) พอจับเสร็จ ก็เอาไปเผาหรือแยกเคมีเพื่อคืนทองที่มีความบริสุทธิ์สูงกว่า 99%!

    ไฮไลต์อยู่ตรงนี้:
    - โพลิเมอร์นี้ รีไซเคิลได้ ใช้ซ้ำได้หลายรอบ
    - ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าเยอะ
    - ไม่มีของเสียพิษเหมือนระบบเดิม
    - เหมาะกับทั้ง “งานเหมืองใหม่” และ “รีไซเคิลทองจากขยะ”

    ใช้ TCCA แทนไซยาไนด์ในการสกัดทอง  
    • TCCA เป็นสารปลอดภัย ราคาถูก ใช้ในน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วไป  
    • ละลายทองออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ใช้โพลิเมอร์กำมะถันชนิดพิเศษจับทองจากสารละลาย  
    • โพลิเมอร์นี้จับเฉพาะทอง — ไม่จับโลหะอื่น ๆ ที่ละลายมาด้วย  
    • สามารถทำให้ได้ทองความบริสุทธิ์สูง >99%

    โพลิเมอร์สามารถรีไซเคิลได้หลายรอบ  
    • ลดต้นทุน ไม่ต้องใช้สารใหม่ทุกครั้ง
    • ลดการใช้ทรัพยากรและของเสีย

    กระบวนการใช้ไฟฟ้าน้อยและไม่มีการปล่อยปรอท/ไซยาไนด์  
    • ปลอดภัยทั้งต่อคนทำและสิ่งแวดล้อม  
    • เหมาะกับประเทศกำลังพัฒนา, ชุมชนขุดทองแบบ artisanal mining

    ทีมวิจัยนำโดย Dr. Max Mann, Dr. Thomas Nicholls, Dr. Harshal Patel และ Dr. Lynn Lisboa  
    • ทดสอบด้วยขยะอิเล็กทรอนิกส์จริงและของเสียจากห้องแล็บ  
    • ได้ผลลัพธ์เป็นทองบริสุทธิ์จาก “ภูเขาขยะ”

    ทองยังเป็นโลหะที่โลกต้องใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ  
    • ในวงการอิเล็กทรอนิกส์, ชิป, การแพทย์ และ AI

    https://www.tomshardware.com/pc-components/safer-faster-and-cheaper-way-to-extract-gold-at-99-percent-purity-from-electronic-waste-detailed-method-uses-a-sanitizing-reagent-and-a-novel-polymer-to-recover-gold-from-pcbs
    โดยทั่วไปแล้ว การสกัดทองจากแร่หรือแผงวงจร (PCB) ต้องพึ่งสารเคมีสุดอันตรายอย่าง “ไซยาไนด์” หรือ “ปรอท” ซึ่งเป็นอันตรายต่อทั้งคนและสิ่งแวดล้อม แถมยังเกิดมลพิษข้ามพรมแดนในหลายประเทศ ทีมวิจัยจาก Flinders คิดต่าง — พวกเขาใช้สาร TCCA (Trichloroisocyanuric acid) ซึ่งโดยปกติใช้ในงานฆ่าเชื้อหรือบำบัดน้ำ มาทำหน้าที่ละลายทองคำออกจากแหล่งขยะอิเล็กทรอนิกส์ แล้วจับทองด้วย “โพลิเมอร์กำมะถันชนิดใหม่” ที่จะจับเฉพาะทอง (ไม่จับโลหะอื่น) พอจับเสร็จ ก็เอาไปเผาหรือแยกเคมีเพื่อคืนทองที่มีความบริสุทธิ์สูงกว่า 99%! ไฮไลต์อยู่ตรงนี้: - โพลิเมอร์นี้ รีไซเคิลได้ ใช้ซ้ำได้หลายรอบ - ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าเยอะ - ไม่มีของเสียพิษเหมือนระบบเดิม - เหมาะกับทั้ง “งานเหมืองใหม่” และ “รีไซเคิลทองจากขยะ” ✅ ใช้ TCCA แทนไซยาไนด์ในการสกัดทอง   • TCCA เป็นสารปลอดภัย ราคาถูก ใช้ในน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วไป   • ละลายทองออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ใช้โพลิเมอร์กำมะถันชนิดพิเศษจับทองจากสารละลาย   • โพลิเมอร์นี้จับเฉพาะทอง — ไม่จับโลหะอื่น ๆ ที่ละลายมาด้วย   • สามารถทำให้ได้ทองความบริสุทธิ์สูง >99% ✅ โพลิเมอร์สามารถรีไซเคิลได้หลายรอบ   • ลดต้นทุน ไม่ต้องใช้สารใหม่ทุกครั้ง • ลดการใช้ทรัพยากรและของเสีย ✅ กระบวนการใช้ไฟฟ้าน้อยและไม่มีการปล่อยปรอท/ไซยาไนด์   • ปลอดภัยทั้งต่อคนทำและสิ่งแวดล้อม   • เหมาะกับประเทศกำลังพัฒนา, ชุมชนขุดทองแบบ artisanal mining ✅ ทีมวิจัยนำโดย Dr. Max Mann, Dr. Thomas Nicholls, Dr. Harshal Patel และ Dr. Lynn Lisboa   • ทดสอบด้วยขยะอิเล็กทรอนิกส์จริงและของเสียจากห้องแล็บ   • ได้ผลลัพธ์เป็นทองบริสุทธิ์จาก “ภูเขาขยะ” ✅ ทองยังเป็นโลหะที่โลกต้องใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ   • ในวงการอิเล็กทรอนิกส์, ชิป, การแพทย์ และ AI https://www.tomshardware.com/pc-components/safer-faster-and-cheaper-way-to-extract-gold-at-99-percent-purity-from-electronic-waste-detailed-method-uses-a-sanitizing-reagent-and-a-novel-polymer-to-recover-gold-from-pcbs
    0 Comments 0 Shares 212 Views 0 Reviews
  • **อ่าวไทย** มีทั้งผลกระทบทางบวกและลบต่อ**ประเทศจีน** โดยขึ้นอยู่กับมุมมองทางเศรษฐกิจ การเมือง และยุทธศาสตร์ ดังนี้:

    ---

    ### **ผลกระทบทางบวก (ประโยชน์ต่อจีน):**
    1. **เส้นทางขนส่งทางทะเลที่สำคัญ:**
    - อ่าวไทยเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางเดินเรือระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและอินเดีย ซึ่งจีนพึ่งพาเพื่อการค้าและนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง/แอฟริกา (กว่า 80% ของน้ำมันดิบของจีนขนส่งทางทะเลผ่านช่องแคบมะละกา)
    - โครงการพัฒนาคลองกระ (Kra Canal) ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต (แม้ยังไม่มีความชัดเจน) อาจช่วยลดระยะทางขนส่งและลด "กับดักช่องแคบมะละกา" ซึ่งเป็นจุดอ่อนยุทธศาสตร์ของจีนได้

    2. **ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ:**
    - จีนลงทุนมหาศาลในประเทศรอบอ่าวไทย (ไทย, กัมพูชา, เวียดนาม) ผ่านโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) เช่น ท่าเรือน้ำลึกศรีราชา (ไทย) เขตเศรษฐกิจพิเศษเสียมราฐ (กัมพูชา)
    - อ่าวไทยเป็นแหล่งประมงและพลังงาน (ก๊าซธรรมชาติ) ที่สำคัญ ซึ่งจีนมีส่วนร่วมในการสำรวจและพัฒนา

    3. **ความมั่นคงในภูมิภาค:**
    - จีนร่วมมือกับกองทัพเรือไทย/กัมพูชา ผ่านการฝึกรบร่วมและการสนับสนุนด้านเทคนิค เพื่อรักษาเสถียรภาพในอ่าวไทย ซึ่งส่งผลดีต่อความปลอดภัยของเส้นทางเดินเรือ

    ---

    ### **ผลกระทบทางลบ (ความท้าทายต่อจีน):**
    1. **ข้อพิพาทในทะเลจีนใต้:**
    - แม้อ่าวไทยไม่ใช่พื้นที่พิพาทโดยตรง แต่ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ (โดยเฉพาะกับเวียดนาม) ส่งผลต่อความสัมพันธ์ในภูมิภาค ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพของอ่าวไทย

    2. **อิทธิพลของสหรัฐฯ:**
    - ไทยเป็นพันธมิตรทางทหารกับสหรัฐฯ การมีฐานทัพเรืออู่ตะเภาและการฝึกคอบร้าโกลด์ (Cobra Gold) อาจทำให้จีนกังวลเรื่องการขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ ในอ่าวไทย

    3. **ภัยคุกคามทางทะเล:**
    - การโจรกรรมทางทะเล การค้ามนุษย์ และการลักลอบทำประมงผิดกฎหมายในอ่าวไทยอาจกระทบต่อเรือสินค้าของจีน

    4. **ปัญหาสิ่งแวดล้อม:**
    - มลภาวะและการกัดเซาะชายฝั่งในอ่าวไทยอาจส่งผลต่อระบบนิเวศที่จีนมีส่วนได้ส่วนเสีย เนื่องจากจีนลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานชายฝั่ง

    ---

    ### **สรุป:**
    อ่าวไทยมี**ผลดีต่อจีน**ในด้านเศรษฐกิจและการขนส่งทางทะเล แต่ก็มี**ความเสี่ยง**ด้านความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์ โดยจีนพยายามสร้างสมดุลผ่าน:
    - การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
    - ความร่วมมือทางทหารกับประเทศอ่าวไทย
    - การส่งเสริม BRI เพื่อขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจ

    ทั้งนี้ ผลกระทบที่แท้จริงขึ้นอยู่กับ**นโยบายของจีน** และ**สถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้** โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับไทย เวียดนาม และกัมพูชา
    **อ่าวไทย** มีทั้งผลกระทบทางบวกและลบต่อ**ประเทศจีน** โดยขึ้นอยู่กับมุมมองทางเศรษฐกิจ การเมือง และยุทธศาสตร์ ดังนี้: --- ### **ผลกระทบทางบวก (ประโยชน์ต่อจีน):** 1. **เส้นทางขนส่งทางทะเลที่สำคัญ:** - อ่าวไทยเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางเดินเรือระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและอินเดีย ซึ่งจีนพึ่งพาเพื่อการค้าและนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง/แอฟริกา (กว่า 80% ของน้ำมันดิบของจีนขนส่งทางทะเลผ่านช่องแคบมะละกา) - โครงการพัฒนาคลองกระ (Kra Canal) ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต (แม้ยังไม่มีความชัดเจน) อาจช่วยลดระยะทางขนส่งและลด "กับดักช่องแคบมะละกา" ซึ่งเป็นจุดอ่อนยุทธศาสตร์ของจีนได้ 2. **ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ:** - จีนลงทุนมหาศาลในประเทศรอบอ่าวไทย (ไทย, กัมพูชา, เวียดนาม) ผ่านโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) เช่น ท่าเรือน้ำลึกศรีราชา (ไทย) เขตเศรษฐกิจพิเศษเสียมราฐ (กัมพูชา) - อ่าวไทยเป็นแหล่งประมงและพลังงาน (ก๊าซธรรมชาติ) ที่สำคัญ ซึ่งจีนมีส่วนร่วมในการสำรวจและพัฒนา 3. **ความมั่นคงในภูมิภาค:** - จีนร่วมมือกับกองทัพเรือไทย/กัมพูชา ผ่านการฝึกรบร่วมและการสนับสนุนด้านเทคนิค เพื่อรักษาเสถียรภาพในอ่าวไทย ซึ่งส่งผลดีต่อความปลอดภัยของเส้นทางเดินเรือ --- ### **ผลกระทบทางลบ (ความท้าทายต่อจีน):** 1. **ข้อพิพาทในทะเลจีนใต้:** - แม้อ่าวไทยไม่ใช่พื้นที่พิพาทโดยตรง แต่ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ (โดยเฉพาะกับเวียดนาม) ส่งผลต่อความสัมพันธ์ในภูมิภาค ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพของอ่าวไทย 2. **อิทธิพลของสหรัฐฯ:** - ไทยเป็นพันธมิตรทางทหารกับสหรัฐฯ การมีฐานทัพเรืออู่ตะเภาและการฝึกคอบร้าโกลด์ (Cobra Gold) อาจทำให้จีนกังวลเรื่องการขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ ในอ่าวไทย 3. **ภัยคุกคามทางทะเล:** - การโจรกรรมทางทะเล การค้ามนุษย์ และการลักลอบทำประมงผิดกฎหมายในอ่าวไทยอาจกระทบต่อเรือสินค้าของจีน 4. **ปัญหาสิ่งแวดล้อม:** - มลภาวะและการกัดเซาะชายฝั่งในอ่าวไทยอาจส่งผลต่อระบบนิเวศที่จีนมีส่วนได้ส่วนเสีย เนื่องจากจีนลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานชายฝั่ง --- ### **สรุป:** อ่าวไทยมี**ผลดีต่อจีน**ในด้านเศรษฐกิจและการขนส่งทางทะเล แต่ก็มี**ความเสี่ยง**ด้านความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์ โดยจีนพยายามสร้างสมดุลผ่าน: - ✅ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน - ✅ ความร่วมมือทางทหารกับประเทศอ่าวไทย - ✅ การส่งเสริม BRI เพื่อขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ผลกระทบที่แท้จริงขึ้นอยู่กับ**นโยบายของจีน** และ**สถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้** โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับไทย เวียดนาม และกัมพูชา
    0 Comments 0 Shares 256 Views 0 Reviews
  • หลายคนอาจคิดว่าชิป AI หรือคลาวด์คือปัญหาใหญ่ของยุคนี้ — แต่จริง ๆ แล้วศูนย์ข้อมูล AI ทั้งหลายมีอีกสิ่งที่ “กินไม่อั้น” ยิ่งกว่า…นั่นคือ “ไฟฟ้า”

    Meta หนึ่งในบริษัทที่ลงทุนใน AI หนักมาก (ตั้งเป้าใช้ $65 พันล้านในด้านนี้) เริ่มเผชิญ “คอขวดด้านพลังงาน” อย่างหนัก เลยต้องเดินเกมสองด้าน:

    1️⃣ หันไปซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาด จากบริษัท Invenergy ทั้งแสงอาทิตย์และลม รวมกัน 1,800 เมกะวัตต์ (MW)

    2️⃣ ขุดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เก่าในรัฐอิลลินอยส์กลับมาใช้งานอีกครั้ง เป็นเวลานาน 20 ปี!

    3️⃣ ยังไม่พอ Meta ยังประกาศหา “พันธมิตรด้านพลังงานนิวเคลียร์ใหม่” ในสหรัฐอีกด้วย เพราะวางแผนจะสร้างไฟนิวเคลียร์ใหม่ให้ได้ 1–4 กิกะวัตต์ (GW) ภายในต้นทศวรรษ 2030

    แม้พลังงานหมุนเวียนจะสะอาดและดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่ก็ไม่สามารถให้พลังงานได้ “แน่นอนทุกวินาที” เหมือนนิวเคลียร์ ทำให้ในระยะยาว Meta และบริษัทเทคอื่น ๆ ต้องพึ่งไฟแบบ “เสถียรคงที่” มากขึ้น

    Meta เซ็นสัญญากับ Invenergy เพื่อซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่ม 791 MW  
    • ครอบคลุมพลังงานแสงอาทิตย์และลม  
    • เพิ่มจากข้อตกลงเดิมปีที่แล้วอีก 760 MW → รวมกลายเป็น 1,800 MW

    พลังงานหมุนเวียนมาจากโครงการในรัฐ Ohio, Arkansas, Texas  
    • ใช้ป้อนศูนย์ข้อมูลของ Meta ในพื้นที่นั้น ๆ

    Meta ประกาศแผนหาโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เพิ่มอีก 1–4 GW ภายในต้นปี 2030  
    • เปิด RFP หาผู้พัฒนาใหม่จากสหรัฐฯ ตั้งแต่ปีที่แล้ว

    ร่วมกับบริษัท Constellation เพื่อฟื้นฟูโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในรัฐ Illinois  
    • โรงงานนี้หยุดทำงานไปตั้งแต่ปี 2017 จากปัญหาขาดทุน  
    • Meta จะใช้พลังงานจากโรงงานนี้อีกอย่างน้อย 20 ปี

    ความต้องการไฟฟ้าจาก AI Data Center กลายเป็นแรงผลักดันให้ Big Tech หันมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานพลังงานโดยตรง

    https://www.neowin.net/news/meta-is-now-using-every-possible-source-to-power-its-data-centers/
    หลายคนอาจคิดว่าชิป AI หรือคลาวด์คือปัญหาใหญ่ของยุคนี้ — แต่จริง ๆ แล้วศูนย์ข้อมูล AI ทั้งหลายมีอีกสิ่งที่ “กินไม่อั้น” ยิ่งกว่า…นั่นคือ “ไฟฟ้า” Meta หนึ่งในบริษัทที่ลงทุนใน AI หนักมาก (ตั้งเป้าใช้ $65 พันล้านในด้านนี้) เริ่มเผชิญ “คอขวดด้านพลังงาน” อย่างหนัก เลยต้องเดินเกมสองด้าน: 1️⃣ หันไปซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาด จากบริษัท Invenergy ทั้งแสงอาทิตย์และลม รวมกัน 1,800 เมกะวัตต์ (MW) 2️⃣ ขุดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เก่าในรัฐอิลลินอยส์กลับมาใช้งานอีกครั้ง เป็นเวลานาน 20 ปี! 3️⃣ ยังไม่พอ Meta ยังประกาศหา “พันธมิตรด้านพลังงานนิวเคลียร์ใหม่” ในสหรัฐอีกด้วย เพราะวางแผนจะสร้างไฟนิวเคลียร์ใหม่ให้ได้ 1–4 กิกะวัตต์ (GW) ภายในต้นทศวรรษ 2030 แม้พลังงานหมุนเวียนจะสะอาดและดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่ก็ไม่สามารถให้พลังงานได้ “แน่นอนทุกวินาที” เหมือนนิวเคลียร์ ทำให้ในระยะยาว Meta และบริษัทเทคอื่น ๆ ต้องพึ่งไฟแบบ “เสถียรคงที่” มากขึ้น ✅ Meta เซ็นสัญญากับ Invenergy เพื่อซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่ม 791 MW   • ครอบคลุมพลังงานแสงอาทิตย์และลม   • เพิ่มจากข้อตกลงเดิมปีที่แล้วอีก 760 MW → รวมกลายเป็น 1,800 MW ✅ พลังงานหมุนเวียนมาจากโครงการในรัฐ Ohio, Arkansas, Texas   • ใช้ป้อนศูนย์ข้อมูลของ Meta ในพื้นที่นั้น ๆ ✅ Meta ประกาศแผนหาโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เพิ่มอีก 1–4 GW ภายในต้นปี 2030   • เปิด RFP หาผู้พัฒนาใหม่จากสหรัฐฯ ตั้งแต่ปีที่แล้ว ✅ ร่วมกับบริษัท Constellation เพื่อฟื้นฟูโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในรัฐ Illinois   • โรงงานนี้หยุดทำงานไปตั้งแต่ปี 2017 จากปัญหาขาดทุน   • Meta จะใช้พลังงานจากโรงงานนี้อีกอย่างน้อย 20 ปี ✅ ความต้องการไฟฟ้าจาก AI Data Center กลายเป็นแรงผลักดันให้ Big Tech หันมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานพลังงานโดยตรง https://www.neowin.net/news/meta-is-now-using-every-possible-source-to-power-its-data-centers/
    WWW.NEOWIN.NET
    Meta is now using every possible source to power its data centers
    After investing in nuclear power plants, Meta is now turning to renewable energy to power its data centers.
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • ม.ราชภัฏโคราช จับมือ สมาคมการค้าไทย-จีนกวางตุ้ง และ Mancool Technology ร่วมสร้างสรรค์สังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยนวัตกรรม E-Bike สู่การเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียว
    .
    วันที่ 26 มิถุนายน 2568 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ร่วมกับ สมาคมการค้าไทย-จีนกวางตุ้ง และ บริษัท Mancool Technology จำกัด สมาคมการค้าไทย-จีนกวางตุ้ง และบริษัท Mancool Technology จำกัด จัดให้มีโครงการลดคาร์บอน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขับเคลื่อนสู่การเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียว โดยมี รศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา กล่าวเปิดงาน นายธนกร สิริบุญสุข อุปนายกสมาคมการค้าไทย - จีนกวางตุ้ง มอบเสื้อที่ระลึก จากนั้นเป็นการการทดลองใช้รถจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการนำนวัตกรรมจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) มาใช้ภายในพื้นที่มหาวิทยาลัย ความร่วมมือครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้ยานพาหนะที่ก่อให้เกิดมลพิษ และสร้างสภาพแวดล้อมที่สะอาดและน่าอยู่มากยิ่งขึ้นภายในรั้วมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
    .
    ทั้งนี้ บริษัท Mancool Technology จำกัด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจักรยานไฟฟ้า เป็นผู้สนับสนุนจักรยานไฟฟ้า เพื่อให้บริการแก่นักศึกษา บุคลากร และผู้มาเยือน การนำ E-Bike มาใช้จะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางภายในมหาวิทยาลัย อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการออกกำลังกายและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
    .
    มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา และสมาคมการค้าไทย-จีนกวางตุ้ง มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและผลักดันความร่วมมือครั้งนี้ให้เกิดขึ้น โดยเล็งเห็นถึงประโยชน์ของการนำเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้ในสถาบันการศึกษา ซึ่งจะเป็นต้นแบบที่ดีสำหรับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในอนาคต โครงการนี้ไม่เพียงแต่เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตภายในมหาวิทยาลัย แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้จังหวัดนครราชสีมาเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้และเมืองสีเขียวอย่างแท้จริง การนำนวัตกรรม E-Bike มาใช้ในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างสรรค์สังคมลดคาร์บอน ลด
    ม.ราชภัฏโคราช จับมือ สมาคมการค้าไทย-จีนกวางตุ้ง และ Mancool Technology ร่วมสร้างสรรค์สังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยนวัตกรรม E-Bike สู่การเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียว . วันที่ 26 มิถุนายน 2568 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ร่วมกับ สมาคมการค้าไทย-จีนกวางตุ้ง และ บริษัท Mancool Technology จำกัด สมาคมการค้าไทย-จีนกวางตุ้ง และบริษัท Mancool Technology จำกัด จัดให้มีโครงการลดคาร์บอน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขับเคลื่อนสู่การเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียว โดยมี รศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา กล่าวเปิดงาน นายธนกร สิริบุญสุข อุปนายกสมาคมการค้าไทย - จีนกวางตุ้ง มอบเสื้อที่ระลึก จากนั้นเป็นการการทดลองใช้รถจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการนำนวัตกรรมจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) มาใช้ภายในพื้นที่มหาวิทยาลัย ความร่วมมือครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้ยานพาหนะที่ก่อให้เกิดมลพิษ และสร้างสภาพแวดล้อมที่สะอาดและน่าอยู่มากยิ่งขึ้นภายในรั้วมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา . ทั้งนี้ บริษัท Mancool Technology จำกัด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจักรยานไฟฟ้า เป็นผู้สนับสนุนจักรยานไฟฟ้า เพื่อให้บริการแก่นักศึกษา บุคลากร และผู้มาเยือน การนำ E-Bike มาใช้จะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางภายในมหาวิทยาลัย อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการออกกำลังกายและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก . มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา และสมาคมการค้าไทย-จีนกวางตุ้ง มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและผลักดันความร่วมมือครั้งนี้ให้เกิดขึ้น โดยเล็งเห็นถึงประโยชน์ของการนำเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้ในสถาบันการศึกษา ซึ่งจะเป็นต้นแบบที่ดีสำหรับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในอนาคต โครงการนี้ไม่เพียงแต่เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตภายในมหาวิทยาลัย แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้จังหวัดนครราชสีมาเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้และเมืองสีเขียวอย่างแท้จริง การนำนวัตกรรม E-Bike มาใช้ในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างสรรค์สังคมลดคาร์บอน ลด
    0 Comments 0 Shares 257 Views 0 Reviews
  • สำนักข่าว Al Jazeera แฉคลิปเสียงหลุด!ฮุนเซน สั่ง “นายฮวด” ไล่ล่าคนเห็นต่างในไทย — ไม่สนว่าจับได้จะ “เป็นหรือตาย”!นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาภายในกัมพูชา —แต่คือคำสั่งจากผู้นำต่างชาติ ที่ล้ำเส้นเข้ามายัง “แผ่นดินไทย”!ในคลิปเสียงดังกล่าว ฮุนเซนได้สั่งตรงถึง “นายเคลียง ฮวด”ให้ดำเนินการ “ตามล่าคนที่วิพากษ์วิจารณ์ตน แม้จะอยู่ในประเทศไทย”พร้อมกำชับชัดเจนว่า“ไม่ต้องสนใจว่าจับมาได้จะ ‘เป็นหรือตาย’”การลอบสังหารนักการเมืองระดับสูงในกัมพูชา ในปี 2016 นายเขม ไลย์ นักวิจารณ์การเมืองซึ่งเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์ฮุน เซน ชื่อดัง ถูกยิงเสียชีวิตในกรุงพนมเปญ และในปี 2012 นายจุ๊ต วุตติ นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมก็ถูกสังหารด้วยเช่นกันล่าสุดเมื่อเดือนมกราคมปีนี้ กรณีสังหารนายลิม กิมยา อดีตสมาชิกรัฐสภาวัย 73 ปี ของพรรคแกนนำฝ่ายค้านของกัมพูชาที่ชื่อว่าพรรคกู้ชาติกัมพูชา หรือ ซีเอ็นอาร์พี (Cambodia National Rescue Party - CNRP) ซึ่งพรรคนี้ถูกแบนไปเมื่อปี 2017 จากรายงานของตำรวจไทย เขาถูกยิงด้วยกระสุน 2 นัดบริเวณหน้าอก ทั้งที่เพิ่งเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ด้วยรถบัสจากกัมพูชา พร้อมกับภรรยาที่บริเวณหน้าวัดบวรนิเวศ บางลำพู เขตพระนคร กรุงเทพนายเอกลักษณ์ แพน้อย ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงนายลิม กิมยา อดีต สส. ฝ่ายค้านกัมพูชา ถูกจับตัวได้ที่ จ.พระตะบอง ประเทศกัมพูชา หลังหลบหนีออกจากไทย และถูกส่งตัวกลับมาดำเนินคดีที่ไทยแล้วเมื่อวันที่ 11 ม.ค.2568ที่ผ่านมาแล้วเรื่องก็เงียบhttps://youtu.be/FR39vs42N9I
    สำนักข่าว Al Jazeera แฉคลิปเสียงหลุด!ฮุนเซน สั่ง “นายฮวด” ไล่ล่าคนเห็นต่างในไทย — ไม่สนว่าจับได้จะ “เป็นหรือตาย”!นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาภายในกัมพูชา —แต่คือคำสั่งจากผู้นำต่างชาติ ที่ล้ำเส้นเข้ามายัง “แผ่นดินไทย”!ในคลิปเสียงดังกล่าว ฮุนเซนได้สั่งตรงถึง “นายเคลียง ฮวด”ให้ดำเนินการ “ตามล่าคนที่วิพากษ์วิจารณ์ตน แม้จะอยู่ในประเทศไทย”พร้อมกำชับชัดเจนว่า“ไม่ต้องสนใจว่าจับมาได้จะ ‘เป็นหรือตาย’”การลอบสังหารนักการเมืองระดับสูงในกัมพูชา ในปี 2016 นายเขม ไลย์ นักวิจารณ์การเมืองซึ่งเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์ฮุน เซน ชื่อดัง ถูกยิงเสียชีวิตในกรุงพนมเปญ และในปี 2012 นายจุ๊ต วุตติ นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมก็ถูกสังหารด้วยเช่นกันล่าสุดเมื่อเดือนมกราคมปีนี้ กรณีสังหารนายลิม กิมยา อดีตสมาชิกรัฐสภาวัย 73 ปี ของพรรคแกนนำฝ่ายค้านของกัมพูชาที่ชื่อว่าพรรคกู้ชาติกัมพูชา หรือ ซีเอ็นอาร์พี (Cambodia National Rescue Party - CNRP) ซึ่งพรรคนี้ถูกแบนไปเมื่อปี 2017 จากรายงานของตำรวจไทย เขาถูกยิงด้วยกระสุน 2 นัดบริเวณหน้าอก ทั้งที่เพิ่งเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ด้วยรถบัสจากกัมพูชา พร้อมกับภรรยาที่บริเวณหน้าวัดบวรนิเวศ บางลำพู เขตพระนคร กรุงเทพนายเอกลักษณ์ แพน้อย ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงนายลิม กิมยา อดีต สส. ฝ่ายค้านกัมพูชา ถูกจับตัวได้ที่ จ.พระตะบอง ประเทศกัมพูชา หลังหลบหนีออกจากไทย และถูกส่งตัวกลับมาดำเนินคดีที่ไทยแล้วเมื่อวันที่ 11 ม.ค.2568ที่ผ่านมาแล้วเรื่องก็เงียบhttps://youtu.be/FR39vs42N9I
    Like
    1
    0 Comments 1 Shares 310 Views 0 Reviews
  • Data centre คือหัวใจของยุค AI เพราะใช้เก็บและประมวลผลข้อมูลจากทั้งแอปฯ แชต, รูป, โมเดลปัญญาประดิษฐ์ยักษ์ ๆ อย่าง GPT, Gemini และ Llama — และมันกินไฟมหาศาล!

    ทุกวันนี้ศูนย์ข้อมูลใหญ่ ๆ ของยุโรปกระจุกอยู่ใน 5 เมืองหลัก: แฟรงก์เฟิร์ต, ลอนดอน, อัมสเตอร์ดัม, ปารีส และดับลิน แต่ปัญหาคือ... จะเชื่อมศูนย์ข้อมูลใหม่เข้ากับระบบไฟฟ้าในเมืองเหล่านี้ ต้องใช้เวลา 7–13 ปี! ทำให้ผู้พัฒนาจำนวนมากหันไปหาประเทศที่วางแผนโครงสร้างพื้นฐานได้เร็วกว่า เช่น อิตาลี เชื่อมไฟได้ภายใน 3 ปีเท่านั้น

    รายงานเตือนว่า ถ้าแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ภายในปี 2035 มีโอกาสสูงที่ศูนย์ข้อมูล ครึ่งหนึ่ง ของยุโรปจะย้ายไปอยู่นอกฮับหลักเดิมเลย — นี่หมายถึงการสูญเสียการลงทุนระดับพันล้านยูโรต่อประเทศ และตำแหน่งงานจำนวนมาก เช่นในเยอรมนี ปี 2024 ศูนย์ข้อมูลสร้าง GDP ได้กว่า €10.4B และคาดว่าจะมากกว่าสองเท่าในปี 2029 หากไม่มีอุปสรรค

    เฉพาะฝรั่งเศสเท่านั้นที่ยังรักษาเสถียรภาพได้ เพราะระบบสายส่งไฟยังไม่ติดคอขวดมากเท่าประเทศอื่น

    Ember ชี้การวางแผนระบบไฟฟ้าช้า กระทบการกระจายศูนย์ข้อมูลในยุโรป  
    • การเชื่อม Data Centre เข้ากับโครงข่ายไฟฟ้าใช้เวลานาน 7–13 ปีในฮับหลัก  
    • ทำให้นักลงทุนเบนเข็มไปยังประเทศที่เชื่อมได้เร็ว เช่น อิตาลี ใช้แค่ 3 ปี

    คาดว่าภายในปี 2035 ครึ่งหนึ่งของศูนย์ข้อมูลยุโรปจะอยู่นอกฮับหลักเดิม  
    • อาจกระทบเศรษฐกิจในประเทศอย่างเยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, อังกฤษ

    ฝรั่งเศสอาจเป็นประเทศเดียวที่รักษาการลงทุนไว้ได้อย่างต่อเนื่อง  
    • เพราะระบบไฟฟ้าไม่ติดปัญหาขัดข้องเหมือนชาติอื่นในกลุ่ม

    ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในยุโรปเหนือและตะวันออก  
    • เช่น สวีเดน, นอร์เวย์, เดนมาร์ก: คาดว่า demand จะ เพิ่ม 3 เท่าภายในปี 2030  
    • ออสเตรีย, กรีซ, ฟินแลนด์, ฮังการี, อิตาลี, โปรตุเกส, สโลวาเกีย: คาดว่า ไฟที่ใช้กับ data centre จะเพิ่ม 3–5 เท่าในปี 2035

    Ember ระบุว่า “โครงข่ายไฟ” คือเครื่องมือดึงดูดการลงทุนระดับชาติในยุค AI  
    • ไม่ใช่แค่ data centre — อุตสาหกรรมทุกชนิดที่ต้องการใช้พลังงานสูงจะได้รับผล

    หากประเทศไม่เร่งลงทุนในโครงข่ายไฟและระบบอนุมัติ จะสูญเสียโอกาสหลายพันล้านยูโร  
    • ประเทศที่การเชื่อมไฟฟ้าช้า อาจถูกมองข้ามโดยผู้พัฒนา AI/data centre

    การกระจุกตัวของ data centre ในไม่กี่เมืองกำลังถึงทางตัน  
    • เกิดปัญหาคอขวด การใช้ไฟฟ้าเกินพิกัด และต้นทุนที่สูงขึ้น

    หากปล่อยให้ผู้พัฒนาเลือกที่ตั้งตามความสะดวกเรื่องไฟ โดยไม่มีแผนระดับภูมิภาค อาจเกิดการกระจายตัวแบบไม่สมดุล  
    • กระทบภาระด้านพลังงาน–สิ่งแวดล้อม และแผนเมืองในระยะยาว

    ศูนย์ข้อมูลต้องใช้ไฟฟ้าอย่างมั่นคง หากไม่มีแผนสำรองอาจกลายเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์  
    • โดยเฉพาะเมื่อระบบ cloud และ AI เข้าไปอยู่ในทุกธุรกิจภาครัฐและการเงิน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/poor-grid-planning-could-shift-europe039s-data-centre-geography-report-says
    Data centre คือหัวใจของยุค AI เพราะใช้เก็บและประมวลผลข้อมูลจากทั้งแอปฯ แชต, รูป, โมเดลปัญญาประดิษฐ์ยักษ์ ๆ อย่าง GPT, Gemini และ Llama — และมันกินไฟมหาศาล! ทุกวันนี้ศูนย์ข้อมูลใหญ่ ๆ ของยุโรปกระจุกอยู่ใน 5 เมืองหลัก: แฟรงก์เฟิร์ต, ลอนดอน, อัมสเตอร์ดัม, ปารีส และดับลิน แต่ปัญหาคือ... จะเชื่อมศูนย์ข้อมูลใหม่เข้ากับระบบไฟฟ้าในเมืองเหล่านี้ ต้องใช้เวลา 7–13 ปี! ทำให้ผู้พัฒนาจำนวนมากหันไปหาประเทศที่วางแผนโครงสร้างพื้นฐานได้เร็วกว่า เช่น อิตาลี เชื่อมไฟได้ภายใน 3 ปีเท่านั้น รายงานเตือนว่า ถ้าแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ภายในปี 2035 มีโอกาสสูงที่ศูนย์ข้อมูล ครึ่งหนึ่ง ของยุโรปจะย้ายไปอยู่นอกฮับหลักเดิมเลย — นี่หมายถึงการสูญเสียการลงทุนระดับพันล้านยูโรต่อประเทศ และตำแหน่งงานจำนวนมาก เช่นในเยอรมนี ปี 2024 ศูนย์ข้อมูลสร้าง GDP ได้กว่า €10.4B และคาดว่าจะมากกว่าสองเท่าในปี 2029 หากไม่มีอุปสรรค เฉพาะฝรั่งเศสเท่านั้นที่ยังรักษาเสถียรภาพได้ เพราะระบบสายส่งไฟยังไม่ติดคอขวดมากเท่าประเทศอื่น ✅ Ember ชี้การวางแผนระบบไฟฟ้าช้า กระทบการกระจายศูนย์ข้อมูลในยุโรป   • การเชื่อม Data Centre เข้ากับโครงข่ายไฟฟ้าใช้เวลานาน 7–13 ปีในฮับหลัก   • ทำให้นักลงทุนเบนเข็มไปยังประเทศที่เชื่อมได้เร็ว เช่น อิตาลี ใช้แค่ 3 ปี ✅ คาดว่าภายในปี 2035 ครึ่งหนึ่งของศูนย์ข้อมูลยุโรปจะอยู่นอกฮับหลักเดิม   • อาจกระทบเศรษฐกิจในประเทศอย่างเยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, อังกฤษ ✅ ฝรั่งเศสอาจเป็นประเทศเดียวที่รักษาการลงทุนไว้ได้อย่างต่อเนื่อง   • เพราะระบบไฟฟ้าไม่ติดปัญหาขัดข้องเหมือนชาติอื่นในกลุ่ม ✅ ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในยุโรปเหนือและตะวันออก   • เช่น สวีเดน, นอร์เวย์, เดนมาร์ก: คาดว่า demand จะ เพิ่ม 3 เท่าภายในปี 2030   • ออสเตรีย, กรีซ, ฟินแลนด์, ฮังการี, อิตาลี, โปรตุเกส, สโลวาเกีย: คาดว่า ไฟที่ใช้กับ data centre จะเพิ่ม 3–5 เท่าในปี 2035 ✅ Ember ระบุว่า “โครงข่ายไฟ” คือเครื่องมือดึงดูดการลงทุนระดับชาติในยุค AI   • ไม่ใช่แค่ data centre — อุตสาหกรรมทุกชนิดที่ต้องการใช้พลังงานสูงจะได้รับผล ‼️ หากประเทศไม่เร่งลงทุนในโครงข่ายไฟและระบบอนุมัติ จะสูญเสียโอกาสหลายพันล้านยูโร   • ประเทศที่การเชื่อมไฟฟ้าช้า อาจถูกมองข้ามโดยผู้พัฒนา AI/data centre ‼️ การกระจุกตัวของ data centre ในไม่กี่เมืองกำลังถึงทางตัน   • เกิดปัญหาคอขวด การใช้ไฟฟ้าเกินพิกัด และต้นทุนที่สูงขึ้น ‼️ หากปล่อยให้ผู้พัฒนาเลือกที่ตั้งตามความสะดวกเรื่องไฟ โดยไม่มีแผนระดับภูมิภาค อาจเกิดการกระจายตัวแบบไม่สมดุล   • กระทบภาระด้านพลังงาน–สิ่งแวดล้อม และแผนเมืองในระยะยาว ‼️ ศูนย์ข้อมูลต้องใช้ไฟฟ้าอย่างมั่นคง หากไม่มีแผนสำรองอาจกลายเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์   • โดยเฉพาะเมื่อระบบ cloud และ AI เข้าไปอยู่ในทุกธุรกิจภาครัฐและการเงิน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/poor-grid-planning-could-shift-europe039s-data-centre-geography-report-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Poor grid planning could shift Europe's data centre geography, report says
    PARIS (Reuters) -Europe's leading data centre hubs face a major shift as developers will go wherever connection times are shortest, unless there is more proactive electricity grid planning, a report on Thursday by energy think-tank Ember showed.
    0 Comments 0 Shares 287 Views 0 Reviews
  • ถ้าตอนนี้เราเริ่มบ่นว่า “เซิร์ฟเวอร์มันร้อน” อีกไม่กี่ปีข้างหน้า—อาจต้องเรียกวิศวกรนิวเคลียร์มาช่วยออกแบบห้องเซิร์ฟเวอร์กันเลยทีเดียว

    เพราะรายงานจาก KAIST (สถาบันวิจัยของเกาหลีใต้) ชี้ว่า TDP (Thermal Design Power) ของชิป AI ในอนาคตอาจพุ่งไปถึง 15,360W ภายในปี 2032 ซึ่งสูงกว่าชิป H100 ของ NVIDIA ปัจจุบัน (700–800W) ถึง 20 เท่า

    ตอนนี้ NVIDIA Blackwell ใช้พลังงาน 1,400W แล้ว Rubin Ultra ที่จะมาในปี 2027 จะพุ่งไป 3,600W และ Feynman ในปี 2029 จะทะลุ 6,000W ได้เลย โดยทั้งหมดนี้ยัง “ใช้แค่น้ำหล่อเย็น (liquid cooling)” ได้อยู่

    แต่หลังจากปี 2030 เป็นต้นไป จะเริ่มใช้เทคโนโลยี Immersion Cooling (จุ่มชิปในของเหลวพิเศษ) และเมื่อถึงปี 2032… ต้องฝังระบบทำความเย็นลงไปในชิปเลย (Embedded Cooling)

    และไม่ใช่แค่ตัวประมวลผลที่กินไฟครับ—โมดูลหน่วยความจำ HBM ก็จะใช้ไฟกว่า 2,000W ด้วย นั่นแปลว่าชิป AI 1 ตัวอาจใช้ไฟมากกว่บ้าน 2 หลังรวมกัน!

    TDP ของชิป AI เพิ่มจากร้อย → พัน → หมื่นวัตต์ในทศวรรษเดียว  
    • Blackwell Ultra (2025): 1,400W  
    • Rubin Ultra (2027): 3,600W  
    • Feynman Ultra (2029): 6,000W  
    • Post-Feynman Ultra (2032): 15,360W

    แนวโน้มเทคโนโลยีหล่อเย็น AI ตามระดับความร้อน  
    • เริ่มจาก liquid cooling → immersion cooling → embedded cooling  
    • KAIST เสนอแนวคิดฝัง "ท่อน้ำหล่อเย็น" และ “ฟลูอิด TSV” ลงในชิป

    การเพิ่มจำนวน chiplet และ HBM stack เป็นสาเหตุหลักของพลังงานมหาศาล  
    • HBM6 stack หนึ่งใช้ไฟถึง 120W และอาจมีมากถึง 16 stack ต่อชิป  
    • ระบบต้องติดเซ็นเซอร์ความร้อนแบบเรียลไทม์

    แนวคิดอนาคต: GPU ซ้อนชั้นสองด้าน + ท่อนำความร้อนฝังใน interposer  
    • เพิ่มพลังโดยไม่เพิ่มพื้นที่ชิป  
    • เน้นดึงความร้อนออกจาก “core” ก่อน แล้วค่อยระบายออกนอกตัวระบบ

    พลังงานระดับนี้อาจต้องใช้ระบบจ่ายไฟระดับ “โรงไฟฟ้าขนาดย่อม”  
    • หนึ่ง GPU rack อาจกินไฟ 50kW+ → ส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐานของ data center ทั่วโลก

    ความท้าทายเรื่อง “คาร์บอนฟุตพรินต์” และสิ่งแวดล้อมจะหนักขึ้น  
    • แม้จะมีความพยายามใช้ cooling แบบปิดระบบ แต่การผลิตและใช้ชิปเหล่านี้ยังสิ้นเปลืองพลังงานมหาศาล

    Immersion cooling ยังเป็นเทคโนโลยีเฉพาะทาง – ไม่แพร่หลายเท่าที่ควร  
    • ต้องใช้ของเหลวเฉพาะ แพง และต้องมีระบบควบคุมพิเศษ  
    • อาจไม่เหมาะกับองค์กรทั่วไป

    ยังไม่มีมาตรฐานอุตสาหกรรมด้าน embedded cooling ที่ชัดเจน  
    • หากใช้ต่างแนวทางกัน อาจเกิดปัญหาความเข้ากันได้ของฮาร์ดแวร์ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cooling/future-ai-processors-said-to-consume-up-to-15-360w-massive-power-draw-will-demand-exotic-immersion-and-embedded-cooling-tech
    ถ้าตอนนี้เราเริ่มบ่นว่า “เซิร์ฟเวอร์มันร้อน” อีกไม่กี่ปีข้างหน้า—อาจต้องเรียกวิศวกรนิวเคลียร์มาช่วยออกแบบห้องเซิร์ฟเวอร์กันเลยทีเดียว 🤯 เพราะรายงานจาก KAIST (สถาบันวิจัยของเกาหลีใต้) ชี้ว่า TDP (Thermal Design Power) ของชิป AI ในอนาคตอาจพุ่งไปถึง 15,360W ภายในปี 2032 ซึ่งสูงกว่าชิป H100 ของ NVIDIA ปัจจุบัน (700–800W) ถึง 20 เท่า ตอนนี้ NVIDIA Blackwell ใช้พลังงาน 1,400W แล้ว Rubin Ultra ที่จะมาในปี 2027 จะพุ่งไป 3,600W และ Feynman ในปี 2029 จะทะลุ 6,000W ได้เลย โดยทั้งหมดนี้ยัง “ใช้แค่น้ำหล่อเย็น (liquid cooling)” ได้อยู่ แต่หลังจากปี 2030 เป็นต้นไป จะเริ่มใช้เทคโนโลยี Immersion Cooling (จุ่มชิปในของเหลวพิเศษ) และเมื่อถึงปี 2032… ต้องฝังระบบทำความเย็นลงไปในชิปเลย (Embedded Cooling) และไม่ใช่แค่ตัวประมวลผลที่กินไฟครับ—โมดูลหน่วยความจำ HBM ก็จะใช้ไฟกว่า 2,000W ด้วย นั่นแปลว่าชิป AI 1 ตัวอาจใช้ไฟมากกว่บ้าน 2 หลังรวมกัน! ✅ TDP ของชิป AI เพิ่มจากร้อย → พัน → หมื่นวัตต์ในทศวรรษเดียว   • Blackwell Ultra (2025): 1,400W   • Rubin Ultra (2027): 3,600W   • Feynman Ultra (2029): 6,000W   • Post-Feynman Ultra (2032): 15,360W ✅ แนวโน้มเทคโนโลยีหล่อเย็น AI ตามระดับความร้อน   • เริ่มจาก liquid cooling → immersion cooling → embedded cooling   • KAIST เสนอแนวคิดฝัง "ท่อน้ำหล่อเย็น" และ “ฟลูอิด TSV” ลงในชิป ✅ การเพิ่มจำนวน chiplet และ HBM stack เป็นสาเหตุหลักของพลังงานมหาศาล   • HBM6 stack หนึ่งใช้ไฟถึง 120W และอาจมีมากถึง 16 stack ต่อชิป   • ระบบต้องติดเซ็นเซอร์ความร้อนแบบเรียลไทม์ ✅ แนวคิดอนาคต: GPU ซ้อนชั้นสองด้าน + ท่อนำความร้อนฝังใน interposer   • เพิ่มพลังโดยไม่เพิ่มพื้นที่ชิป   • เน้นดึงความร้อนออกจาก “core” ก่อน แล้วค่อยระบายออกนอกตัวระบบ ‼️ พลังงานระดับนี้อาจต้องใช้ระบบจ่ายไฟระดับ “โรงไฟฟ้าขนาดย่อม”   • หนึ่ง GPU rack อาจกินไฟ 50kW+ → ส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐานของ data center ทั่วโลก ‼️ ความท้าทายเรื่อง “คาร์บอนฟุตพรินต์” และสิ่งแวดล้อมจะหนักขึ้น   • แม้จะมีความพยายามใช้ cooling แบบปิดระบบ แต่การผลิตและใช้ชิปเหล่านี้ยังสิ้นเปลืองพลังงานมหาศาล ‼️ Immersion cooling ยังเป็นเทคโนโลยีเฉพาะทาง – ไม่แพร่หลายเท่าที่ควร   • ต้องใช้ของเหลวเฉพาะ แพง และต้องมีระบบควบคุมพิเศษ   • อาจไม่เหมาะกับองค์กรทั่วไป ‼️ ยังไม่มีมาตรฐานอุตสาหกรรมด้าน embedded cooling ที่ชัดเจน   • หากใช้ต่างแนวทางกัน อาจเกิดปัญหาความเข้ากันได้ของฮาร์ดแวร์ในอนาคต https://www.tomshardware.com/pc-components/cooling/future-ai-processors-said-to-consume-up-to-15-360w-massive-power-draw-will-demand-exotic-immersion-and-embedded-cooling-tech
    0 Comments 0 Shares 256 Views 0 Reviews
  • ทุกวันนี้เราใช้งาน AI อย่าง ChatGPT กันจนเป็นเรื่องปกติ—แต่รู้ไหมครับว่าแค่พิมพ์ถามคำถามหนึ่งครั้ง อาจมีผลต่อสิ่งแวดล้อมไม่น้อยเลย

    Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ออกมาเผยตัวเลขว่า คำถามหนึ่งคำถามบน ChatGPT ใช้พลังงานประมาณ 0.34 วัตต์-ชั่วโมง ซึ่งเท่ากับเปิดเตาอบประมาณ 1 วินาที หรือเปิดหลอดไฟประหยัดพลังงานประมาณ 2 นาที และใช้น้ำประมาณ 0.000085 แกลลอน (ประมาณ 1/15 ช้อนชา)

    แต่ในความเป็นจริง คำถามไม่ได้มีแค่คำถามเดียว—ทั่วโลกมีการยิงคำถามเข้าระบบเป็นพันล้านครั้งต่อวัน รวมแล้วผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก็ “ไม่เล็ก” อีกต่อไป

    แอปวิเคราะห์คาร์บอนฟุตพรินต์ชื่อว่า Greenly เคยคำนวณว่า ChatGPT รุ่นแรก ใช้พลังงานจนปล่อย CO₂ ประมาณ 240 ตันต่อปี เทียบได้กับการบินระหว่างปารีส-นิวยอร์ก 136 เที่ยวไปกลับ!

    และถ้าองค์กรหนึ่งใช้ ChatGPT-4 เพื่อตอบอีเมลล้านฉบับต่อเดือน จะปล่อย CO₂ รวมกันปีละ 7,138 ตัน หรือเท่ากับการบินไป-กลับปารีส-นิวยอร์กถึง 4,300 เที่ยว

    นักวิจัยจาก MIT ยังชี้ว่า การฝึกสอนโมเดลภาษาหลายตัว เทียบเท่าการปล่อยคาร์บอนของรถยนต์ในอเมริกาตลอดอายุการใช้งาน “ถึง 5 คัน” รวมการผลิตรถด้วยนะครับ ไม่ใช่แค่การขับ

    Altman เผยตัวเลขพลังงานที่ใช้ต่อ 1 คำถามของ ChatGPT  
    • ใช้พลังงาน 0.34 วัตต์-ชั่วโมง และน้ำประมาณ 1/15 ช้อนชา  
    • เทียบเท่ากับการเปิดเตาอบไฟฟ้า 1 วินาที หรือหลอดไฟ 2 นาที

    ผลกระทบสะสมมหาศาลเมื่อมีผู้ใช้จำนวนมาก  
    • ChatGPT เองยังตอบว่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหากใช้งานระดับพันล้านครั้ง

    รายงานจาก Greenly ระบุ ChatGPT-4 สร้าง CO₂ ประมาณ 7,138 ตัน/ปี (ใช้ตอบอีเมลล้านฉบับ/เดือน)  
    • เทียบเท่ากับเที่ยวบินไปกลับปารีส-นิวยอร์ก 4,300 เที่ยว

    แหล่งการปล่อย CO₂ ส่วนใหญ่มาจากการฝึก (Training)  
    • ระบบฝึกคิดเป็น 99% ของปริมาณคาร์บอนทั้งหมดในบางกรณี  
    • คิดเป็นประมาณ 238 ตัน CO₂ ต่อปีสำหรับรุ่นแรกของ ChatGPT

    MIT เปรียบเทียบว่าโมเดล LLM ปล่อย CO₂ เท่ารถยนต์ 5 คันรวมกันตลอดอายุการใช้งาน  
    • คำนวณรวมตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการใช้งาน

    แนวโน้ม “AI ขนาดเล็ก ประสิทธิภาพสูง” กำลังมาแรงเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม  
    • เป็นทางเลือกให้ใช้งานได้แบบพอดี โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรสูงแบบ LLM ขนาดใหญ่

    AI แม้ตอบได้ฉลาด แต่ไม่ใช่ “ไร้มลพิษ” อย่างที่เข้าใจกัน  
    • การใช้งานมากเกินจำเป็น หรือใช้แบบไม่ได้วางแผน อาจมีผลต่อสิ่งแวดล้อมสูง

    การฝึกโมเดลขนาดใหญ่มีผลกระทบสูงมากต่อทรัพยากรโลก  
    • โดยเฉพาะการใช้ไฟฟ้า น้ำ และการผลิตอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์

    ปริมาณน้ำที่ใช้ต่อ query ดูเหมือนน้อย แต่สะสมแล้วสูงมากในระดับโลก  
    • ยิ่งมีการขยายเซิร์ฟเวอร์ AI ทั่วโลก ยิ่งต้องคำนึงถึง “Water Footprint” มากขึ้น

    ข้อมูลจาก Altman เป็นค่าเฉลี่ย ไม่ได้แสดงความแปรผันตามรูปแบบคำถามที่ซับซ้อนกว่า  
    • คำถามที่ใช้ context เยอะ หรือเรียกโมเดลขนาดใหญ่ อาจใช้พลังงานมากกว่าค่าเฉลี่ยหลายเท่า

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/18/the-environmental-cost-of-a-chatgpt-query-according-to-openai039s-ceo
    ทุกวันนี้เราใช้งาน AI อย่าง ChatGPT กันจนเป็นเรื่องปกติ—แต่รู้ไหมครับว่าแค่พิมพ์ถามคำถามหนึ่งครั้ง อาจมีผลต่อสิ่งแวดล้อมไม่น้อยเลย Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ออกมาเผยตัวเลขว่า คำถามหนึ่งคำถามบน ChatGPT ใช้พลังงานประมาณ 0.34 วัตต์-ชั่วโมง ซึ่งเท่ากับเปิดเตาอบประมาณ 1 วินาที หรือเปิดหลอดไฟประหยัดพลังงานประมาณ 2 นาที และใช้น้ำประมาณ 0.000085 แกลลอน (ประมาณ 1/15 ช้อนชา) แต่ในความเป็นจริง คำถามไม่ได้มีแค่คำถามเดียว—ทั่วโลกมีการยิงคำถามเข้าระบบเป็นพันล้านครั้งต่อวัน รวมแล้วผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก็ “ไม่เล็ก” อีกต่อไป แอปวิเคราะห์คาร์บอนฟุตพรินต์ชื่อว่า Greenly เคยคำนวณว่า ChatGPT รุ่นแรก ใช้พลังงานจนปล่อย CO₂ ประมาณ 240 ตันต่อปี เทียบได้กับการบินระหว่างปารีส-นิวยอร์ก 136 เที่ยวไปกลับ! และถ้าองค์กรหนึ่งใช้ ChatGPT-4 เพื่อตอบอีเมลล้านฉบับต่อเดือน จะปล่อย CO₂ รวมกันปีละ 7,138 ตัน หรือเท่ากับการบินไป-กลับปารีส-นิวยอร์กถึง 4,300 เที่ยว 😱 นักวิจัยจาก MIT ยังชี้ว่า การฝึกสอนโมเดลภาษาหลายตัว เทียบเท่าการปล่อยคาร์บอนของรถยนต์ในอเมริกาตลอดอายุการใช้งาน “ถึง 5 คัน” รวมการผลิตรถด้วยนะครับ ไม่ใช่แค่การขับ ✅ Altman เผยตัวเลขพลังงานที่ใช้ต่อ 1 คำถามของ ChatGPT   • ใช้พลังงาน 0.34 วัตต์-ชั่วโมง และน้ำประมาณ 1/15 ช้อนชา   • เทียบเท่ากับการเปิดเตาอบไฟฟ้า 1 วินาที หรือหลอดไฟ 2 นาที ✅ ผลกระทบสะสมมหาศาลเมื่อมีผู้ใช้จำนวนมาก   • ChatGPT เองยังตอบว่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหากใช้งานระดับพันล้านครั้ง ✅ รายงานจาก Greenly ระบุ ChatGPT-4 สร้าง CO₂ ประมาณ 7,138 ตัน/ปี (ใช้ตอบอีเมลล้านฉบับ/เดือน)   • เทียบเท่ากับเที่ยวบินไปกลับปารีส-นิวยอร์ก 4,300 เที่ยว ✅ แหล่งการปล่อย CO₂ ส่วนใหญ่มาจากการฝึก (Training)   • ระบบฝึกคิดเป็น 99% ของปริมาณคาร์บอนทั้งหมดในบางกรณี   • คิดเป็นประมาณ 238 ตัน CO₂ ต่อปีสำหรับรุ่นแรกของ ChatGPT ✅ MIT เปรียบเทียบว่าโมเดล LLM ปล่อย CO₂ เท่ารถยนต์ 5 คันรวมกันตลอดอายุการใช้งาน   • คำนวณรวมตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการใช้งาน ✅ แนวโน้ม “AI ขนาดเล็ก ประสิทธิภาพสูง” กำลังมาแรงเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม   • เป็นทางเลือกให้ใช้งานได้แบบพอดี โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรสูงแบบ LLM ขนาดใหญ่ ‼️ AI แม้ตอบได้ฉลาด แต่ไม่ใช่ “ไร้มลพิษ” อย่างที่เข้าใจกัน   • การใช้งานมากเกินจำเป็น หรือใช้แบบไม่ได้วางแผน อาจมีผลต่อสิ่งแวดล้อมสูง ‼️ การฝึกโมเดลขนาดใหญ่มีผลกระทบสูงมากต่อทรัพยากรโลก   • โดยเฉพาะการใช้ไฟฟ้า น้ำ และการผลิตอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์ ‼️ ปริมาณน้ำที่ใช้ต่อ query ดูเหมือนน้อย แต่สะสมแล้วสูงมากในระดับโลก   • ยิ่งมีการขยายเซิร์ฟเวอร์ AI ทั่วโลก ยิ่งต้องคำนึงถึง “Water Footprint” มากขึ้น ‼️ ข้อมูลจาก Altman เป็นค่าเฉลี่ย ไม่ได้แสดงความแปรผันตามรูปแบบคำถามที่ซับซ้อนกว่า   • คำถามที่ใช้ context เยอะ หรือเรียกโมเดลขนาดใหญ่ อาจใช้พลังงานมากกว่าค่าเฉลี่ยหลายเท่า https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/18/the-environmental-cost-of-a-chatgpt-query-according-to-openai039s-ceo
    WWW.THESTAR.COM.MY
    The environmental cost of a ChatGPT query, according to OpenAI's CEO
    What is the environmental impact of using large language models such as ChatGPT? It's difficult to say, although several studies on the subject have already been conducted.
    0 Comments 0 Shares 273 Views 0 Reviews
  • Amazon ลงทุน 20 พันล้านดอลลาร์ สร้างศูนย์ข้อมูล AI ในเพนซิลเวเนีย
    Amazon Web Services (AWS) ประกาศแผนลงทุนอย่างน้อย 20 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้าง ศูนย์ข้อมูล AI และคลาวด์คอมพิวติ้ง ในรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งถือเป็น การลงทุนภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐ

    AWS จะสร้าง AI campuses ใน Salem Township และ Falls Township โดยมีแผนขยายเพิ่มเติม ซึ่งอาจทำให้ มูลค่าการลงทุนสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้

    ข้อมูลจากข่าว
    - Amazon ลงทุน 20 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูล AI และคลาวด์คอมพิวติ้งในเพนซิลเวเนีย
    - โครงการนี้จะสร้างงาน IT อย่างน้อย 1,250 ตำแหน่ง พร้อมงานก่อสร้างและบำรุงรักษาอีกหลายพันตำแหน่ง
    - รัฐเพนซิลเวเนียทำงานร่วมกับ Amazon และผู้นำท้องถิ่นเพื่อสรุปข้อตกลงนี้
    - Governor Josh Shapiro ระบุว่าโครงการนี้จะช่วยให้รัฐมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา AI ขั้นสูง
    - Amazon ลงทุนในเพนซิลเวเนียมากกว่า 26 พันล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2010

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI และเศรษฐกิจ
    การลงทุนครั้งนี้ ช่วยให้สหรัฐฯ รักษาความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม AI และ เพิ่มโอกาสการจ้างงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้โครงการนี้จะสร้างงานจำนวนมาก แต่ต้องติดตามว่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะเป็นอย่างไร
    - Amazon อาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากรัฐ ซึ่งอาจส่งผลต่อรายได้ของรัฐบาลท้องถิ่น
    - ต้องติดตามว่าโครงการนี้จะช่วยให้เพนซิลเวเนียกลายเป็นศูนย์กลาง AI ระดับโลกหรือไม่
    - การพัฒนา AI ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล

    Amazon มุ่งเน้น การพัฒนา AI และโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ เพื่อรองรับ บริการ AI ขั้นสูง เช่น Generative AI และ Machine Learning อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะส่งผลต่อการแข่งขันในตลาด AI อย่างไร

    https://www.techspot.com/news/108276-amazon-invest-20-billion-ai-data-centers-across.html
    🏗️ Amazon ลงทุน 20 พันล้านดอลลาร์ สร้างศูนย์ข้อมูล AI ในเพนซิลเวเนีย Amazon Web Services (AWS) ประกาศแผนลงทุนอย่างน้อย 20 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้าง ศูนย์ข้อมูล AI และคลาวด์คอมพิวติ้ง ในรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งถือเป็น การลงทุนภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐ AWS จะสร้าง AI campuses ใน Salem Township และ Falls Township โดยมีแผนขยายเพิ่มเติม ซึ่งอาจทำให้ มูลค่าการลงทุนสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Amazon ลงทุน 20 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูล AI และคลาวด์คอมพิวติ้งในเพนซิลเวเนีย - โครงการนี้จะสร้างงาน IT อย่างน้อย 1,250 ตำแหน่ง พร้อมงานก่อสร้างและบำรุงรักษาอีกหลายพันตำแหน่ง - รัฐเพนซิลเวเนียทำงานร่วมกับ Amazon และผู้นำท้องถิ่นเพื่อสรุปข้อตกลงนี้ - Governor Josh Shapiro ระบุว่าโครงการนี้จะช่วยให้รัฐมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา AI ขั้นสูง - Amazon ลงทุนในเพนซิลเวเนียมากกว่า 26 พันล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2010 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI และเศรษฐกิจ การลงทุนครั้งนี้ ช่วยให้สหรัฐฯ รักษาความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม AI และ เพิ่มโอกาสการจ้างงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้โครงการนี้จะสร้างงานจำนวนมาก แต่ต้องติดตามว่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะเป็นอย่างไร - Amazon อาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากรัฐ ซึ่งอาจส่งผลต่อรายได้ของรัฐบาลท้องถิ่น - ต้องติดตามว่าโครงการนี้จะช่วยให้เพนซิลเวเนียกลายเป็นศูนย์กลาง AI ระดับโลกหรือไม่ - การพัฒนา AI ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล Amazon มุ่งเน้น การพัฒนา AI และโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ เพื่อรองรับ บริการ AI ขั้นสูง เช่น Generative AI และ Machine Learning อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะส่งผลต่อการแข่งขันในตลาด AI อย่างไร https://www.techspot.com/news/108276-amazon-invest-20-billion-ai-data-centers-across.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Amazon to invest $20 billion in AI data centers across Pennsylvania
    Amazon has announced plans to invest at least $20 billion in new cloud computing facilities across Pennsylvania. The tech giant, founded by Jeff Bezos, says the move...
    0 Comments 0 Shares 175 Views 0 Reviews
  • วันนี้พักเรื่องมือปราบ เรามาคุยกันเรื่องบทกวีที่มีคติสอนใจ เป็นบทกวีอีกหนึ่งบทที่ปรากฎในนิยาย/ละคร <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> ในตอนที่พระเอกวาดภาพดอกบัว

    ความมีอยู่ว่า
    ...โจวเซิงเฉินมองเธอเช่นกัน ยิ้มเล็กน้อย เปลี่ยนพู่กันแล้วเขียนลงตรงข้างๆ ภาพวาด: “ยามมองปทุมสะอาดหมดจด พึงหยั่งรู้ถึงใจที่ไม่แปดเปื้อน”
    นี่เป็นวลีของเมิ่งฮ่าวหรัน
    เธอจำวลีนี้ได้ ย่อมเข้าใจถึงความหมายของมัน: เจ้าเห็นดอกบัวนี้โผล่พ้นโคลนตมออกมาแต่ไม่เปรอะเปื้อน ควรเป็นคติเตือนใจ อย่าให้โลกแห่งกิเลสมาครอบงำ รักษาจิตใจของตนให้ดี...
    - จากเรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> ผู้แต่ง โม่เป่าเฟยเป่า (แต่ Storyฯ แปลเองจ้า)

    วลี “ยามมองปทุมสะอาดหมดจด พึงหยั่งรู้ถึงใจที่ไม่แปดเปื้อน” (看取莲花净,应知不染心) นี้ ในละครตีความหมายผ่านบทสนทนาของตัวละครว่า โจวเซิงเฉินใช้วลีนี้สื่อถึงความรักที่มั่นคงต่อสืออี๋ ไม่ยอมให้ประเพณีนิยมมากวนใจ

    ขออภัยหากทำลายความโรแมนติกลง แต่จริงๆ แล้ววลีนี้ไม่ได้หมายถึงการยึดมั่นในความคิดของตน หากแต่เป็นบทกวีที่มีพื้นฐานจากคำสอนของศาสนาพุทธจึงมีการเปรียบเปรยถึงดอกบัวอันบริสุทธิ์ และความหมายเป็นไปตามที่บรรยายในนิยายข้างต้น ซึ่งก็คือการดำรงให้ ‘ใจไร้รอยแปดเปื้อน’ (ปู้หร่านซิน / 不染心)

    บทกวีนี้มีชื่อเต็มว่า “เรื่องกุฏิของอี้กง” (ถีอี้กงฉานฝาง / 题义公禅房) มีทั้งหมดแปดวรรค เป็นหนึ่งในบทกวีเลื่องชื่อของเมิ่งฮ่าวหรัน (ค.ศ. 689 – 740) กวีเอกสมัยราชวงศ์ถัง สรุปใจความเป็นการบรรยายถึง นักบวชขั้นสูงนามว่าอี้กงผู้บำเพ็ญศีลในกุฏิที่สร้างอยู่ในป่าเงียบสงบและศึกษาจบบทที่เรียกว่า ‘คัมภีร์ดอกบัว’ ด้วยใจสงบนิ่งไม่ถูกสิ่งแวดล้อมทำให้ไขว้เขว สะท้อนถึงใจที่บริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนด้วยกิเลส

    บทกวีนี้จัดอยู่ในประเภทที่เรียกว่า ‘กลอนทิวทัศน์ภูผาวารี’ หรือ ‘ซานสุ่ยซือ’ มีลักษณะเป็นโคลงห้า (五言律诗) ซึ่งเป็นสไตล์ที่เมิ่งฮ่าวหรันชอบใช้ โคลงห้าของจีนในแต่ละวรรคมีห้าอักษร นอกจากคำคล้องจองแล้ว อักษรที่ใช้ต้องมีจังหวะเสียงประมาณนี้ (อาจสลับเรียงวรรคก่อนหลังได้ แต่จังหวะในแต่ละวรรคไม่เปลี่ยน)
    เข้ม เข้ม - เบา เบา เข้ม / เข้ม เข้ม - เข้ม เบา เบา
    เบา เบา - เบา เข้ม เข้ม / เบา เบา - เข้ม เข้ม เบา

    สำหรับท่านที่ต้องการสำนวนที่สื่อถึงการยึดมั่นในเจตนารมณ์ Storyฯ อยากแนะนำอีกวลีหนึ่งแทน เป็นวลีสั้นๆ ว่า “ไม่ลืมใจเดิม” (ปู้ว่างชูซิน / 不忘初心) เป็นวลีที่ยกมาจากงานเขียนสมัยราชวงศ์ถังเช่นกัน มาจากวรรคเต็มที่เขียนไว้ว่า หากคนเราไม่ลืมความคิดและใจที่ตั้งต้น ย่อมสามารถเดินถึงจุดหมายปลายทางตามเจตนารมณ์เดิมได้

    มันเป็นวลีที่มีคุณค่าทางจิตใจต่อ Storyฯ เพราะเพจนี้เกิดจากความ ‘ไม่ลืมใจเดิม’ ที่อยากจะเป็นนักเขียน หลังจากเส้นทางชีวิตนำพาให้ Storyฯ ไปทำอะไรอย่างอื่นมากมาย ตอนนี้จึงอยากกลับมาตามฝันตั้งต้นของตัวเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://3g.163.com/dy/article/GHPHHJRU05527S2X.html
    http://huamenglianyuan.blog.epochtimes.com/article/show?articleid=75762
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.xiaogushi.cn/shici/mingju/414146.html
    https://so.gushiwen.cn/mingju/juv_44e80087e9b5.aspx
    https://baike.baidu.com/item/五言律诗/10294694
    https://www.chinacourt.org/article/detail/2019/09/id/4425543.shtml

    #กระดูกงดงาม #โจวเซิงเฉิน #สืออี๋ #เมิ่งฮ่าวหรัน #บทกวีจีนโบราณ #วลีจีนโบราณ #วัฒนธรรมจีนโบราณ #ราชวงศ์ถัง
    วันนี้พักเรื่องมือปราบ เรามาคุยกันเรื่องบทกวีที่มีคติสอนใจ เป็นบทกวีอีกหนึ่งบทที่ปรากฎในนิยาย/ละคร <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> ในตอนที่พระเอกวาดภาพดอกบัว ความมีอยู่ว่า ...โจวเซิงเฉินมองเธอเช่นกัน ยิ้มเล็กน้อย เปลี่ยนพู่กันแล้วเขียนลงตรงข้างๆ ภาพวาด: “ยามมองปทุมสะอาดหมดจด พึงหยั่งรู้ถึงใจที่ไม่แปดเปื้อน” นี่เป็นวลีของเมิ่งฮ่าวหรัน เธอจำวลีนี้ได้ ย่อมเข้าใจถึงความหมายของมัน: เจ้าเห็นดอกบัวนี้โผล่พ้นโคลนตมออกมาแต่ไม่เปรอะเปื้อน ควรเป็นคติเตือนใจ อย่าให้โลกแห่งกิเลสมาครอบงำ รักษาจิตใจของตนให้ดี... - จากเรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> ผู้แต่ง โม่เป่าเฟยเป่า (แต่ Storyฯ แปลเองจ้า) วลี “ยามมองปทุมสะอาดหมดจด พึงหยั่งรู้ถึงใจที่ไม่แปดเปื้อน” (看取莲花净,应知不染心) นี้ ในละครตีความหมายผ่านบทสนทนาของตัวละครว่า โจวเซิงเฉินใช้วลีนี้สื่อถึงความรักที่มั่นคงต่อสืออี๋ ไม่ยอมให้ประเพณีนิยมมากวนใจ ขออภัยหากทำลายความโรแมนติกลง แต่จริงๆ แล้ววลีนี้ไม่ได้หมายถึงการยึดมั่นในความคิดของตน หากแต่เป็นบทกวีที่มีพื้นฐานจากคำสอนของศาสนาพุทธจึงมีการเปรียบเปรยถึงดอกบัวอันบริสุทธิ์ และความหมายเป็นไปตามที่บรรยายในนิยายข้างต้น ซึ่งก็คือการดำรงให้ ‘ใจไร้รอยแปดเปื้อน’ (ปู้หร่านซิน / 不染心) บทกวีนี้มีชื่อเต็มว่า “เรื่องกุฏิของอี้กง” (ถีอี้กงฉานฝาง / 题义公禅房) มีทั้งหมดแปดวรรค เป็นหนึ่งในบทกวีเลื่องชื่อของเมิ่งฮ่าวหรัน (ค.ศ. 689 – 740) กวีเอกสมัยราชวงศ์ถัง สรุปใจความเป็นการบรรยายถึง นักบวชขั้นสูงนามว่าอี้กงผู้บำเพ็ญศีลในกุฏิที่สร้างอยู่ในป่าเงียบสงบและศึกษาจบบทที่เรียกว่า ‘คัมภีร์ดอกบัว’ ด้วยใจสงบนิ่งไม่ถูกสิ่งแวดล้อมทำให้ไขว้เขว สะท้อนถึงใจที่บริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนด้วยกิเลส บทกวีนี้จัดอยู่ในประเภทที่เรียกว่า ‘กลอนทิวทัศน์ภูผาวารี’ หรือ ‘ซานสุ่ยซือ’ มีลักษณะเป็นโคลงห้า (五言律诗) ซึ่งเป็นสไตล์ที่เมิ่งฮ่าวหรันชอบใช้ โคลงห้าของจีนในแต่ละวรรคมีห้าอักษร นอกจากคำคล้องจองแล้ว อักษรที่ใช้ต้องมีจังหวะเสียงประมาณนี้ (อาจสลับเรียงวรรคก่อนหลังได้ แต่จังหวะในแต่ละวรรคไม่เปลี่ยน) เข้ม เข้ม - เบา เบา เข้ม / เข้ม เข้ม - เข้ม เบา เบา เบา เบา - เบา เข้ม เข้ม / เบา เบา - เข้ม เข้ม เบา สำหรับท่านที่ต้องการสำนวนที่สื่อถึงการยึดมั่นในเจตนารมณ์ Storyฯ อยากแนะนำอีกวลีหนึ่งแทน เป็นวลีสั้นๆ ว่า “ไม่ลืมใจเดิม” (ปู้ว่างชูซิน / 不忘初心) เป็นวลีที่ยกมาจากงานเขียนสมัยราชวงศ์ถังเช่นกัน มาจากวรรคเต็มที่เขียนไว้ว่า หากคนเราไม่ลืมความคิดและใจที่ตั้งต้น ย่อมสามารถเดินถึงจุดหมายปลายทางตามเจตนารมณ์เดิมได้ มันเป็นวลีที่มีคุณค่าทางจิตใจต่อ Storyฯ เพราะเพจนี้เกิดจากความ ‘ไม่ลืมใจเดิม’ ที่อยากจะเป็นนักเขียน หลังจากเส้นทางชีวิตนำพาให้ Storyฯ ไปทำอะไรอย่างอื่นมากมาย ตอนนี้จึงอยากกลับมาตามฝันตั้งต้นของตัวเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://3g.163.com/dy/article/GHPHHJRU05527S2X.html http://huamenglianyuan.blog.epochtimes.com/article/show?articleid=75762 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.xiaogushi.cn/shici/mingju/414146.html https://so.gushiwen.cn/mingju/juv_44e80087e9b5.aspx https://baike.baidu.com/item/五言律诗/10294694 https://www.chinacourt.org/article/detail/2019/09/id/4425543.shtml #กระดูกงดงาม #โจวเซิงเฉิน #สืออี๋ #เมิ่งฮ่าวหรัน #บทกวีจีนโบราณ #วลีจีนโบราณ #วัฒนธรรมจีนโบราณ #ราชวงศ์ถัง
    3G.163.COM
    任嘉伦白鹿新戏《周生如故》,朝堂线太过儿戏,剧情偏平淡_手机网易网
    任嘉伦,白鹿的新戏《周生如故》开播了。任嘉伦出演周生辰,坐拥数十万兵马的小南辰王,驻守西州的不败将军。白鹿出演漼时宜,世家大族漼家的嫡女,指腹为婚的未来太子妃。无论是周生辰还是漼时宜他们的事业线、感情线都和朝堂线有密切的联系,甚至是决定性作用。
    1 Comments 0 Shares 462 Views 0 Reviews
  • นักฟิสิกส์อังกฤษสร้างไวโอลินที่เล็กที่สุดในโลกด้วยนาโนลิโธกราฟี
    ทีมนักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยลัฟบะระ (Loughborough University) ในสหราชอาณาจักร ได้สร้าง ไวโอลินที่เล็กที่สุดในโลก โดยใช้ นาโนลิโธกราฟี ซึ่งเป็นเทคนิคการพิมพ์ระดับนาโนที่สามารถสร้างโครงสร้างที่เล็กกว่าความหนาของเส้นผมมนุษย์

    ไวโอลินนี้มีขนาดเพียง 13 ไมครอนกว้าง และ 35 ไมครอนสูง ซึ่งเล็กกว่าความหนาของเส้นผมมนุษย์ และถูกสร้างขึ้นจาก แพลตตินัม ผ่านกระบวนการ thermal scanning probe lithography

    นักวิจัยใช้ NanoFrazor จาก Heidelberg Instruments ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถ แกะสลักโครงสร้างระดับนาโนลงบนวัสดุต่าง ๆ ด้วยความละเอียดสูงถึง 15 นาโนเมตร โดยใช้ หัวเข็มที่ร้อนจัด เพื่อสร้างลวดลายบนชิปที่เคลือบสารต้านทาน จากนั้น เติมแพลตตินัมลงไปและล้างสารต้านทานออก เพื่อให้เหลือเพียงไวโอลินขนาดจิ๋ว

    แม้ว่าไวโอลินนี้จะไม่สามารถเล่นดนตรีได้จริง แต่การทดลองนี้เป็น ก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำระดับนาโน ซึ่งอาจช่วยให้เกิด อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความหนาแน่นสูงขึ้น

    ข้อมูลจากข่าว
    - นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยลัฟบะระสร้างไวโอลินที่เล็กที่สุดในโลกด้วยนาโนลิโธกราฟี
    - ไวโอลินมีขนาดเพียง 13 ไมครอนกว้าง และ 35 ไมครอนสูง
    - ใช้แพลตตินัมและกระบวนการ thermal scanning probe lithography
    - NanoFrazor สามารถแกะสลักโครงสร้างระดับนาโนด้วยความละเอียดสูงถึง 15 นาโนเมตร
    - การทดลองนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำระดับนาโน

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ไวโอลินนี้ไม่สามารถเล่นดนตรีได้จริง เป็นเพียงการทดลองทางวิทยาศาสตร์
    - เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และต้องใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาให้ใช้งานจริง
    = ต้องติดตามว่าการใช้แพลตตินัมในกระบวนการผลิตจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่
    - การพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำระดับนาโนต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านเสถียรภาพของข้อมูล

    แม้ว่าการสร้างไวโอลินระดับนาโนจะเป็นเพียงการทดลอง แต่เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้เกิดการพัฒนาอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความหนาแน่นสูงขึ้น และ ช่วยขยายขีดจำกัดของการประมวลผลระดับนาโน อย่างไรก็ตาม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/scientists-print-worlds-smallest-violin-in-platinum-with-nanolithography-uk-physicists-push-toward-nanoscale-computing
    🎻 นักฟิสิกส์อังกฤษสร้างไวโอลินที่เล็กที่สุดในโลกด้วยนาโนลิโธกราฟี ทีมนักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยลัฟบะระ (Loughborough University) ในสหราชอาณาจักร ได้สร้าง ไวโอลินที่เล็กที่สุดในโลก โดยใช้ นาโนลิโธกราฟี ซึ่งเป็นเทคนิคการพิมพ์ระดับนาโนที่สามารถสร้างโครงสร้างที่เล็กกว่าความหนาของเส้นผมมนุษย์ ไวโอลินนี้มีขนาดเพียง 13 ไมครอนกว้าง และ 35 ไมครอนสูง ซึ่งเล็กกว่าความหนาของเส้นผมมนุษย์ และถูกสร้างขึ้นจาก แพลตตินัม ผ่านกระบวนการ thermal scanning probe lithography นักวิจัยใช้ NanoFrazor จาก Heidelberg Instruments ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถ แกะสลักโครงสร้างระดับนาโนลงบนวัสดุต่าง ๆ ด้วยความละเอียดสูงถึง 15 นาโนเมตร โดยใช้ หัวเข็มที่ร้อนจัด เพื่อสร้างลวดลายบนชิปที่เคลือบสารต้านทาน จากนั้น เติมแพลตตินัมลงไปและล้างสารต้านทานออก เพื่อให้เหลือเพียงไวโอลินขนาดจิ๋ว แม้ว่าไวโอลินนี้จะไม่สามารถเล่นดนตรีได้จริง แต่การทดลองนี้เป็น ก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำระดับนาโน ซึ่งอาจช่วยให้เกิด อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความหนาแน่นสูงขึ้น ✅ ข้อมูลจากข่าว - นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยลัฟบะระสร้างไวโอลินที่เล็กที่สุดในโลกด้วยนาโนลิโธกราฟี - ไวโอลินมีขนาดเพียง 13 ไมครอนกว้าง และ 35 ไมครอนสูง - ใช้แพลตตินัมและกระบวนการ thermal scanning probe lithography - NanoFrazor สามารถแกะสลักโครงสร้างระดับนาโนด้วยความละเอียดสูงถึง 15 นาโนเมตร - การทดลองนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำระดับนาโน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ไวโอลินนี้ไม่สามารถเล่นดนตรีได้จริง เป็นเพียงการทดลองทางวิทยาศาสตร์ - เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และต้องใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาให้ใช้งานจริง = ต้องติดตามว่าการใช้แพลตตินัมในกระบวนการผลิตจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ - การพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำระดับนาโนต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านเสถียรภาพของข้อมูล แม้ว่าการสร้างไวโอลินระดับนาโนจะเป็นเพียงการทดลอง แต่เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้เกิดการพัฒนาอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความหนาแน่นสูงขึ้น และ ช่วยขยายขีดจำกัดของการประมวลผลระดับนาโน อย่างไรก็ตาม https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/scientists-print-worlds-smallest-violin-in-platinum-with-nanolithography-uk-physicists-push-toward-nanoscale-computing
    0 Comments 0 Shares 189 Views 0 Reviews
  • นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นพัฒนาพลาสติกที่สลายตัวในน้ำทะเลภายในไม่กี่ชั่วโมง
    ทีมนักวิจัยจาก RIKEN Center for Emergent Matter Science และมหาวิทยาลัยโตเกียว ได้พัฒนา พลาสติกชนิดใหม่ที่สามารถสลายตัวในน้ำทะเลภายในไม่กี่ชั่วโมง โดยไม่ทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม

    วิธีการทำงานของพลาสติกชนิดใหม่
    พลาสติกนี้มี ความแข็งแรงเทียบเท่าพลาสติกจากปิโตรเลียม แต่เมื่อสัมผัสกับ น้ำเค็ม จะ แตกตัวเป็นองค์ประกอบดั้งเดิม ซึ่งสามารถถูกย่อยสลายโดย แบคทีเรียตามธรรมชาติ โดยไม่ทิ้ง ไมโครพลาสติกหรือนาโนพลาสติก

    นักวิจัยได้สาธิตการทำงานของพลาสติกนี้ในห้องทดลองที่โตเกียว โดยพบว่า แผ่นพลาสติกใสสามารถสลายตัวในน้ำเค็มภายในหนึ่งชั่วโมง และหากฝังลงในดินที่มีเกลือ จะสลายตัวหมดภายใน 200 ชั่วโมง

    สรุปข้อมูลหลักและคำเตือน
    ข้อมูลจากข่าว
    - พลาสติกชนิดใหม่สามารถสลายตัวในน้ำทะเลภายในไม่กี่ชั่วโมง
    - ไม่มีสารตกค้าง เช่น ไมโครพลาสติกหรือนาโนพลาสติก
    - มีความแข็งแรงเทียบเท่าพลาสติกจากปิโตรเลียม
    - สามารถถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียตามธรรมชาติ
    - เมื่อฝังลงในดินที่มีเกลือ จะสลายตัวหมดภายใน 200 ชั่วโมง

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - พลาสติกนี้ยังต้องได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิตเชิงพาณิชย์
    - ต้องติดตามว่าการเคลือบพลาสติกจะมีผลกระทบต่อกระบวนการสลายตัวหรือไม่
    - แม้ว่าจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ต้องตรวจสอบว่ามีผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลหรือไม่
    - ต้องรอดูว่าบริษัทบรรจุภัณฑ์จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้จริงหรือไม่

    พลาสติกชนิดใหม่นี้ อาจช่วยลดปัญหาขยะพลาสติกในมหาสมุทร และ เป็นทางเลือกที่ดีกว่าพลาสติกชีวภาพที่ยังคงทิ้งไมโครพลาสติก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเพิ่มเติมจะช่วยให้สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมได้จริงหรือไม่

    https://www.techspot.com/news/108206-scientists-plastic-dissolves-seawater-hours.html
    🌊 นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นพัฒนาพลาสติกที่สลายตัวในน้ำทะเลภายในไม่กี่ชั่วโมง ทีมนักวิจัยจาก RIKEN Center for Emergent Matter Science และมหาวิทยาลัยโตเกียว ได้พัฒนา พลาสติกชนิดใหม่ที่สามารถสลายตัวในน้ำทะเลภายในไม่กี่ชั่วโมง โดยไม่ทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม 🔍 วิธีการทำงานของพลาสติกชนิดใหม่ พลาสติกนี้มี ความแข็งแรงเทียบเท่าพลาสติกจากปิโตรเลียม แต่เมื่อสัมผัสกับ น้ำเค็ม จะ แตกตัวเป็นองค์ประกอบดั้งเดิม ซึ่งสามารถถูกย่อยสลายโดย แบคทีเรียตามธรรมชาติ โดยไม่ทิ้ง ไมโครพลาสติกหรือนาโนพลาสติก นักวิจัยได้สาธิตการทำงานของพลาสติกนี้ในห้องทดลองที่โตเกียว โดยพบว่า แผ่นพลาสติกใสสามารถสลายตัวในน้ำเค็มภายในหนึ่งชั่วโมง และหากฝังลงในดินที่มีเกลือ จะสลายตัวหมดภายใน 200 ชั่วโมง 📌 สรุปข้อมูลหลักและคำเตือน ✅ ข้อมูลจากข่าว - พลาสติกชนิดใหม่สามารถสลายตัวในน้ำทะเลภายในไม่กี่ชั่วโมง - ไม่มีสารตกค้าง เช่น ไมโครพลาสติกหรือนาโนพลาสติก - มีความแข็งแรงเทียบเท่าพลาสติกจากปิโตรเลียม - สามารถถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียตามธรรมชาติ - เมื่อฝังลงในดินที่มีเกลือ จะสลายตัวหมดภายใน 200 ชั่วโมง ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - พลาสติกนี้ยังต้องได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิตเชิงพาณิชย์ - ต้องติดตามว่าการเคลือบพลาสติกจะมีผลกระทบต่อกระบวนการสลายตัวหรือไม่ - แม้ว่าจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ต้องตรวจสอบว่ามีผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลหรือไม่ - ต้องรอดูว่าบริษัทบรรจุภัณฑ์จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้จริงหรือไม่ พลาสติกชนิดใหม่นี้ อาจช่วยลดปัญหาขยะพลาสติกในมหาสมุทร และ เป็นทางเลือกที่ดีกว่าพลาสติกชีวภาพที่ยังคงทิ้งไมโครพลาสติก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเพิ่มเติมจะช่วยให้สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมได้จริงหรือไม่ https://www.techspot.com/news/108206-scientists-plastic-dissolves-seawater-hours.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Scientists develop plastic that dissolves in seawater within hours
    A team of Japanese researchers has developed a plastic material that disappears in seawater within hours, leaving no harmful residues. Designed to be more environmentally friendly than...
    0 Comments 0 Shares 235 Views 0 Reviews
  • สตาร์ทอัพฮ่องกงพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียม
    Achelous Pure Metals ซึ่งเป็น สตาร์ทอัพด้านการรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมในฮ่องกง กำลังขยายธุรกิจไปยัง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในจีน

    บริษัทใช้ เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดย บดแบตเตอรี่เป็น "black mass" ซึ่งเป็น ส่วนผสมของโลหะมีค่า เช่น ลิเธียม, โคบอลต์, ทองแดง, แมงกานีส และนิกเกิล ก่อนนำไป สกัดเป็นสารประกอบลิเธียมคาร์บอเนต, โคบอลต์ และนิกเกิล

    Achelous ได้พัฒนา ระบบรีไซเคิลที่ใช้หุ่นยนต์ช่วยคัดแยกและบดแบตเตอรี่ พร้อมกับ เทคโนโลยีที่ใช้สุญญากาศและความร้อนเพื่อกำจัดสารอันตราย เช่น กาวอีพ็อกซีและฟลูออรีน

    ข้อมูลจากข่าว
    - Achelous Pure Metals เป็นสตาร์ทอัพรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมในฮ่องกง
    - บดแบตเตอรี่เป็น "black mass" เพื่อสกัดโลหะมีค่า
    - ใช้ระบบรีไซเคิลที่มีหุ่นยนต์ช่วยคัดแยกและบดแบตเตอรี่
    - เทคโนโลยีรีไซเคิลช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    - บริษัทกำลังขยายธุรกิจไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การแข่งขันในจีนทำให้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้นและราคาผลิตภัณฑ์ลดลง
    - การรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานสิ่งแวดล้อม
    - ตลาดแบตเตอรี่ลิเธียมอาจเผชิญกับภาวะล้นตลาดจนถึงปี 2027
    - ต้องติดตามว่าการขยายธุรกิจไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะประสบความสำเร็จหรือไม่

    เทคโนโลยีของ Achelous อาจช่วยให้ การรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมมีประสิทธิภาพมากขึ้น และ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันในตลาดจะส่งผลต่อการเติบโตของบริษัทอย่างไร

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/06/how-a-hong-kong-startup-is-going-about-recycling-lithium-batteries
    🔋 สตาร์ทอัพฮ่องกงพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียม Achelous Pure Metals ซึ่งเป็น สตาร์ทอัพด้านการรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมในฮ่องกง กำลังขยายธุรกิจไปยัง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในจีน บริษัทใช้ เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดย บดแบตเตอรี่เป็น "black mass" ซึ่งเป็น ส่วนผสมของโลหะมีค่า เช่น ลิเธียม, โคบอลต์, ทองแดง, แมงกานีส และนิกเกิล ก่อนนำไป สกัดเป็นสารประกอบลิเธียมคาร์บอเนต, โคบอลต์ และนิกเกิล Achelous ได้พัฒนา ระบบรีไซเคิลที่ใช้หุ่นยนต์ช่วยคัดแยกและบดแบตเตอรี่ พร้อมกับ เทคโนโลยีที่ใช้สุญญากาศและความร้อนเพื่อกำจัดสารอันตราย เช่น กาวอีพ็อกซีและฟลูออรีน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Achelous Pure Metals เป็นสตาร์ทอัพรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมในฮ่องกง - บดแบตเตอรี่เป็น "black mass" เพื่อสกัดโลหะมีค่า - ใช้ระบบรีไซเคิลที่มีหุ่นยนต์ช่วยคัดแยกและบดแบตเตอรี่ - เทคโนโลยีรีไซเคิลช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม - บริษัทกำลังขยายธุรกิจไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การแข่งขันในจีนทำให้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้นและราคาผลิตภัณฑ์ลดลง - การรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานสิ่งแวดล้อม - ตลาดแบตเตอรี่ลิเธียมอาจเผชิญกับภาวะล้นตลาดจนถึงปี 2027 - ต้องติดตามว่าการขยายธุรกิจไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ เทคโนโลยีของ Achelous อาจช่วยให้ การรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมมีประสิทธิภาพมากขึ้น และ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันในตลาดจะส่งผลต่อการเติบโตของบริษัทอย่างไร https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/06/how-a-hong-kong-startup-is-going-about-recycling-lithium-batteries
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How a Hong Kong startup is going about recycling lithium batteries
    Achelous Pure Metals plans to bring its scalable, movable, eco-friendly technology to the city followed by South-East Asia.
    0 Comments 0 Shares 185 Views 0 Reviews
  • การสังเกตธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก่อนเกิดภัยพิบัติเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยเตือนภัยล่วงหน้าได้ ต่อไปนี้เป็นวิธีการสังเกตตามประเภทภัยพิบัติ:

    ### **1. น้ำท่วม/ดินถล่ม**
    - **สังเกตระดับน้ำและสภาพน้ำ**:
    - น้ำในแม่น้ำ/ลำห้วยสูงขึ้นเร็วผิดปกติ หรือเปลี่ยนสีเป็นสีโคลนขุ่น
    - มีฟองอากาศหรือกลิ่นโคลนค่อนข้างฉุนบริเวณแหล่งน้ำ
    - **สภาพดินและสิ่งแวดล้อม**:
    - ดินบนภูเขาหรือทางลาดชันมีรอยแตกหรือนูนขึ้น
    - มีน้ำซึมออกมาจากเชิงเขาแม้ฝนไม่ตก
    - ต้นไม้เอียงล้มทิศทางเดียวกันหรือมีเสียงต้นไม้หัก
    - **พฤติกรรมสัตว์**:
    - หนู/งู อพยพขึ้นที่สูงผิดปกติ
    - มด/แมลงย้ายรังขึ้นที่สูง

    ### **2. แผ่นดินไหว**
    - **สัญญาณธรรมชาติ**:
    - **ท้องฟ้า**: แสงประหลาด (Earthquake Light) เช่น แสงสีฟ้า/เขียว (เกิดจากแรงเค้นทางธรณี)
    - **พฤติกรรมสัตว์**: สัตว์เลี้ยงตื่นตระหนก, นกบินวุ่นวาย, สัตว์เลื้อยคลานหนีออกมาจากรู
    - **ระดับน้ำ**: น้ำในบ่อ/บาดาลขุ่นหรือเปลี่ยนระดับกะทันหัน

    ### **3. สึนามิ**
    - **สัญญาณเตือนหลังแผ่นดินไหว**:
    - **น้ำทะเลถอยร่น**เร็วและไกลผิดปกติ (ชายหาดแห้งเกินปกติ)
    - ได้ยินเสียงคลื่นดังผิดปกติเหมือนรถไฟหรือเครื่องยนต์
    - **สัตว์ทะเล** เช่น ปลาหรือปูหนีขึ้นมาบนชายฝั่ง

    ### **4. พายุรุนแรง**
    - **สังเกตท้องฟ้าและบรรยากาศ**:
    - เมฆสีเขียวหรือดำคล้ำ (บ่งชี้ลูกเห็บหรือพายุทอร์นาโด)
    - ลมสงบกะทันหันก่อนพายุเข้า
    - **เมฆรูปฐานแบนเรียบ (Wall Cloud)** หรือเมฆหมุน

    ### **5. ภัยแล้ง**
    - **พืชพรรณธรรมชาติ**: ใบไม้เหี่ยว/เปลี่ยนสีเร็วกว่าฤดูกาล
    - **พฤติกรรมสัตว์**: สัตว์ป่าออกหาอาหารใกล้ชุมชน
    - **แหล่งน้ำ**: น้ำในบ่อ/หนองน้ำแห้งขอดเร็วผิดปกติ

    ### **แนวทางปฏิบัติเมื่อพบสัญญาณ**
    1. **ไม่ประมาท**: สัญญาณธรรมชาติไม่เสถียร 100% แต่ให้เตรียมพร้อม
    2. **ติดตามข้อมูล**: เช็คแอปฯ เตือนภัย (เช่น ThaiPBS, กรมอุตุนิยมวิทยา)
    3. **อพยพทันที** หาก:
    - ได้ยินเสียงคำรามใต้ดิน (ดินถล่ม)
    - น้ำทะเลถอยร่นผิดปกติ (สึนามิ)
    - แผ่นดินไหวรุนแรงจนยืนไม่ตรง

    ### **แหล่งข้อมูลไทย**
    - **แอปพลิเคชัน**: "THAI DISASTER ALERT" (โดย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
    - **เว็บไซต์**: [กรมอุตุนิยมวิทยา](https://www.tmd.go.th), [กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย](https://www.disaster.go.th)

    > **ข้อควรระวัง**: สัญญาณธรรมชาติเป็นเพียงเครื่องเตือนเบื้องต้น **ต้องผสมผสานกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์** และระบบเตือนภัยของทางการเสมอ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด!
    การสังเกตธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก่อนเกิดภัยพิบัติเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยเตือนภัยล่วงหน้าได้ ต่อไปนี้เป็นวิธีการสังเกตตามประเภทภัยพิบัติ: ### **1. น้ำท่วม/ดินถล่ม** - **สังเกตระดับน้ำและสภาพน้ำ**: - น้ำในแม่น้ำ/ลำห้วยสูงขึ้นเร็วผิดปกติ หรือเปลี่ยนสีเป็นสีโคลนขุ่น - มีฟองอากาศหรือกลิ่นโคลนค่อนข้างฉุนบริเวณแหล่งน้ำ - **สภาพดินและสิ่งแวดล้อม**: - ดินบนภูเขาหรือทางลาดชันมีรอยแตกหรือนูนขึ้น - มีน้ำซึมออกมาจากเชิงเขาแม้ฝนไม่ตก - ต้นไม้เอียงล้มทิศทางเดียวกันหรือมีเสียงต้นไม้หัก - **พฤติกรรมสัตว์**: - หนู/งู อพยพขึ้นที่สูงผิดปกติ - มด/แมลงย้ายรังขึ้นที่สูง ### **2. แผ่นดินไหว** - **สัญญาณธรรมชาติ**: - **ท้องฟ้า**: แสงประหลาด (Earthquake Light) เช่น แสงสีฟ้า/เขียว (เกิดจากแรงเค้นทางธรณี) - **พฤติกรรมสัตว์**: สัตว์เลี้ยงตื่นตระหนก, นกบินวุ่นวาย, สัตว์เลื้อยคลานหนีออกมาจากรู - **ระดับน้ำ**: น้ำในบ่อ/บาดาลขุ่นหรือเปลี่ยนระดับกะทันหัน ### **3. สึนามิ** - **สัญญาณเตือนหลังแผ่นดินไหว**: - **น้ำทะเลถอยร่น**เร็วและไกลผิดปกติ (ชายหาดแห้งเกินปกติ) - ได้ยินเสียงคลื่นดังผิดปกติเหมือนรถไฟหรือเครื่องยนต์ - **สัตว์ทะเล** เช่น ปลาหรือปูหนีขึ้นมาบนชายฝั่ง ### **4. พายุรุนแรง** - **สังเกตท้องฟ้าและบรรยากาศ**: - เมฆสีเขียวหรือดำคล้ำ (บ่งชี้ลูกเห็บหรือพายุทอร์นาโด) - ลมสงบกะทันหันก่อนพายุเข้า - **เมฆรูปฐานแบนเรียบ (Wall Cloud)** หรือเมฆหมุน ### **5. ภัยแล้ง** - **พืชพรรณธรรมชาติ**: ใบไม้เหี่ยว/เปลี่ยนสีเร็วกว่าฤดูกาล - **พฤติกรรมสัตว์**: สัตว์ป่าออกหาอาหารใกล้ชุมชน - **แหล่งน้ำ**: น้ำในบ่อ/หนองน้ำแห้งขอดเร็วผิดปกติ ### **แนวทางปฏิบัติเมื่อพบสัญญาณ** 1. **ไม่ประมาท**: สัญญาณธรรมชาติไม่เสถียร 100% แต่ให้เตรียมพร้อม 2. **ติดตามข้อมูล**: เช็คแอปฯ เตือนภัย (เช่น ThaiPBS, กรมอุตุนิยมวิทยา) 3. **อพยพทันที** หาก: - ได้ยินเสียงคำรามใต้ดิน (ดินถล่ม) - น้ำทะเลถอยร่นผิดปกติ (สึนามิ) - แผ่นดินไหวรุนแรงจนยืนไม่ตรง ### **แหล่งข้อมูลไทย** - **แอปพลิเคชัน**: "THAI DISASTER ALERT" (โดย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) - **เว็บไซต์**: [กรมอุตุนิยมวิทยา](https://www.tmd.go.th), [กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย](https://www.disaster.go.th) > **ข้อควรระวัง**: สัญญาณธรรมชาติเป็นเพียงเครื่องเตือนเบื้องต้น **ต้องผสมผสานกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์** และระบบเตือนภัยของทางการเสมอ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด!
    0 Comments 0 Shares 338 Views 0 Reviews
  • ผู้ว่าโคราช นำประชาชนจิตอาสาพระราชทาน ร่วมกิจกรรม ปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568

    วันนี้ ( 3 มิถุนายน 2568) ที่ป่าชุมชนบ้านทับช้าง ต.หนองระเวียง อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานในกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา ร่วมกันปลูกต้นไม้ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568 โดยมีส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ และประชาชนจิตอาสาพระราชทานจังหวัดนครราชสีมา ร่วมกิจกรรม ทั้งนี้การจัดกิจกรรมจิตอาสา เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และเพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกในการดูแล บำรุงรักษาต้นไม้ ฟื้นคืนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในพื้นที่ป่าชุมชม ต่อไป
    ผู้ว่าโคราช นำประชาชนจิตอาสาพระราชทาน ร่วมกิจกรรม ปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568 วันนี้ ( 3 มิถุนายน 2568) ที่ป่าชุมชนบ้านทับช้าง ต.หนองระเวียง อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานในกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา ร่วมกันปลูกต้นไม้ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568 โดยมีส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ และประชาชนจิตอาสาพระราชทานจังหวัดนครราชสีมา ร่วมกิจกรรม ทั้งนี้การจัดกิจกรรมจิตอาสา เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และเพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกในการดูแล บำรุงรักษาต้นไม้ ฟื้นคืนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในพื้นที่ป่าชุมชม ต่อไป
    0 Comments 0 Shares 285 Views 0 Reviews
  • ผู้ว่าโคราช นำประชาชนจิตอาสาพระราชทาน ร่วมกิจกรรม ปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568

    วันนี้ ( 3 มิถุนายน 2568) ที่ป่าชุมชนบ้านทับช้าง ต.หนองระเวียง อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานในกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา ร่วมกันปลูกต้นไม้ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568 โดยมีส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ และประชาชนจิตอาสาพระราชทานจังหวัดนครราชสีมา ร่วมกิจกรรม ทั้งนี้การจัดกิจกรรมจิตอาสา เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และเพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกในการดูแล บำรุงรักษาต้นไม้ ฟื้นคืนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในพื้นที่ป่าชุมชม ต่อไป
    ผู้ว่าโคราช นำประชาชนจิตอาสาพระราชทาน ร่วมกิจกรรม ปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568 วันนี้ ( 3 มิถุนายน 2568) ที่ป่าชุมชนบ้านทับช้าง ต.หนองระเวียง อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานในกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา ร่วมกันปลูกต้นไม้ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568 โดยมีส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ และประชาชนจิตอาสาพระราชทานจังหวัดนครราชสีมา ร่วมกิจกรรม ทั้งนี้การจัดกิจกรรมจิตอาสา เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และเพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกในการดูแล บำรุงรักษาต้นไม้ ฟื้นคืนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในพื้นที่ป่าชุมชม ต่อไป
    0 Comments 0 Shares 266 Views 0 Reviews
  • AI อาจใช้พลังงานมากกว่าการขุด Bitcoin และบางประเทศภายในปี 2025
    การเติบโตของ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังสร้างผลกระทบต่อ โครงสร้างพลังงานโลก โดยมีการคาดการณ์ว่า AI อาจใช้พลังงานมากกว่าการขุด Bitcoin และบางประเทศภายในปี 2025

    การขยายตัวของ Generative AI ทำให้เกิดการลงทุนมหาศาลใน ศูนย์ข้อมูลและฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะ AI accelerators จาก Nvidia และ AMD ซึ่งมีการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    นักวิจัย Alex de Vries-Gao จาก Vrije Universiteit Amsterdam วิเคราะห์ข้อมูลจาก สเปกอุปกรณ์, การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และรายงานของบริษัท เพื่อประเมิน ปริมาณการผลิตและการใช้พลังงานของฮาร์ดแวร์ AI

    ข้อมูลจากข่าว
    - AI อาจใช้พลังงานมากกว่าการขุด Bitcoin และบางประเทศภายในปี 2025
    - AI คาดว่าจะใช้พลังงานเกือบครึ่งหนึ่งของศูนย์ข้อมูลทั้งหมดภายในปีหน้า
    - Nvidia H100 AI accelerator ใช้พลังงาน 700 วัตต์ต่อหน่วย
    - ฮาร์ดแวร์ AI ที่ผลิตในปี 2023-2024 อาจต้องใช้พลังงานระหว่าง 5.3 ถึง 9.4 กิกะวัตต์
    - TSMC วางแผนเพิ่มกำลังการผลิต CoWoS packaging technology เป็นสองเท่าในปี 2025

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การเติบโตของ AI อาจทำให้การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในสองปี
    - บางโครงการกำลังใช้โครงสร้างพื้นฐานพลังงานฟอสซิล เช่น โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 4.5 กิกะวัตต์ เพื่อรองรับ AI
    - การใช้พลังงานของ AI ขึ้นอยู่กับแหล่งพลังงาน หากใช้พลังงานจากฟอสซิล อาจเพิ่มการปล่อยคาร์บอน
    - บริษัทเทคโนโลยีมักไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงานของ AI ซึ่งอาจส่งผลต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม

    การเติบโตของ AI อาจทำให้ ความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และส่งผลต่อ นโยบายพลังงานและสิ่งแวดล้อมทั่วโลก อย่างไรก็ตาม

    https://www.techspot.com/news/108140-ai-could-soon-consume-more-electricity-than-bitcoin.html
    ⚡ AI อาจใช้พลังงานมากกว่าการขุด Bitcoin และบางประเทศภายในปี 2025 การเติบโตของ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังสร้างผลกระทบต่อ โครงสร้างพลังงานโลก โดยมีการคาดการณ์ว่า AI อาจใช้พลังงานมากกว่าการขุด Bitcoin และบางประเทศภายในปี 2025 การขยายตัวของ Generative AI ทำให้เกิดการลงทุนมหาศาลใน ศูนย์ข้อมูลและฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะ AI accelerators จาก Nvidia และ AMD ซึ่งมีการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นักวิจัย Alex de Vries-Gao จาก Vrije Universiteit Amsterdam วิเคราะห์ข้อมูลจาก สเปกอุปกรณ์, การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และรายงานของบริษัท เพื่อประเมิน ปริมาณการผลิตและการใช้พลังงานของฮาร์ดแวร์ AI ✅ ข้อมูลจากข่าว - AI อาจใช้พลังงานมากกว่าการขุด Bitcoin และบางประเทศภายในปี 2025 - AI คาดว่าจะใช้พลังงานเกือบครึ่งหนึ่งของศูนย์ข้อมูลทั้งหมดภายในปีหน้า - Nvidia H100 AI accelerator ใช้พลังงาน 700 วัตต์ต่อหน่วย - ฮาร์ดแวร์ AI ที่ผลิตในปี 2023-2024 อาจต้องใช้พลังงานระหว่าง 5.3 ถึง 9.4 กิกะวัตต์ - TSMC วางแผนเพิ่มกำลังการผลิต CoWoS packaging technology เป็นสองเท่าในปี 2025 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การเติบโตของ AI อาจทำให้การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในสองปี - บางโครงการกำลังใช้โครงสร้างพื้นฐานพลังงานฟอสซิล เช่น โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 4.5 กิกะวัตต์ เพื่อรองรับ AI - การใช้พลังงานของ AI ขึ้นอยู่กับแหล่งพลังงาน หากใช้พลังงานจากฟอสซิล อาจเพิ่มการปล่อยคาร์บอน - บริษัทเทคโนโลยีมักไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงานของ AI ซึ่งอาจส่งผลต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม การเติบโตของ AI อาจทำให้ ความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และส่งผลต่อ นโยบายพลังงานและสิ่งแวดล้อมทั่วโลก อย่างไรก็ตาม https://www.techspot.com/news/108140-ai-could-soon-consume-more-electricity-than-bitcoin.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AI could soon consume more electricity than Bitcoin mining and entire countries
    The rapid expansion of generative AI has triggered a boom in data center construction and hardware production. As AI applications become more complex and are more widely...
    0 Comments 0 Shares 249 Views 0 Reviews
  • Microsoft กำลังพัฒนา Windows Update orchestration platform ซึ่งจะช่วยให้การอัปเดตซอฟต์แวร์ทั้งหมด รวมถึงแอปพลิเคชันและไดรเวอร์ สามารถจัดการได้ผ่าน Windows Update โดยตรง แทนที่จะต้องใช้ตัวอัปเดตแยกต่างหากจากผู้พัฒนาแต่ละราย

    แนวคิดนี้อาจช่วยลดปัญหาการแจ้งเตือนที่ซ้ำซ้อนและการใช้ทรัพยากรระบบที่มากเกินไปจากตัวอัปเดตของแต่ละแอป นอกจากนี้ Microsoft ยังเน้นการอัปเดตที่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น เมื่ออุปกรณ์เชื่อมต่อ Wi-Fi และใช้พลังงานจากแหล่งจ่ายไฟ

    ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft เปิดตัว Windows Update orchestration platform เพื่อรวมการอัปเดตทั้งหมด
    - นักพัฒนาสามารถลงทะเบียนเป็น update provider และใช้ WinRT APIs หรือ PowerShell cmdlets
    - ระบบจะตรวจสอบเวอร์ชันใหม่และติดตั้งเมื่ออุปกรณ์อยู่ในสถานะที่เหมาะสม
    - รองรับ MSIX/APPX packages และบางส่วนของ Win32 apps
    - แอปที่เข้าร่วมจะปรากฏใน Windows Update history และสามารถใช้ toast notifications

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - นักพัฒนาต้องปรับตัวให้เข้ากับแพลตฟอร์มใหม่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลา
    - ผู้ใช้บางรายอาจกังวลเรื่อง ความเป็นส่วนตัว และการควบคุมการอัปเดต
    - การรวมทุกอย่างไว้ใน Windows Update อาจทำให้เกิดปัญหาหากระบบมีข้อผิดพลาด
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อ ธุรกิจของผู้พัฒนาแอปที่เคยใช้ตัวอัปเดตของตนเอง

    Microsoft หวังว่าการรวมระบบอัปเดตทั้งหมดไว้ใน Windows Update จะช่วยให้ผู้ใช้และองค์กรสามารถจัดการซอฟต์แวร์ได้ง่ายขึ้น แต่ก็ยังมีข้อกังวลที่ต้องติดตามต่อไป

    https://www.techspot.com/news/108088-windows-update-could-soon-handle-all-apps-drivers.html
    Microsoft กำลังพัฒนา Windows Update orchestration platform ซึ่งจะช่วยให้การอัปเดตซอฟต์แวร์ทั้งหมด รวมถึงแอปพลิเคชันและไดรเวอร์ สามารถจัดการได้ผ่าน Windows Update โดยตรง แทนที่จะต้องใช้ตัวอัปเดตแยกต่างหากจากผู้พัฒนาแต่ละราย แนวคิดนี้อาจช่วยลดปัญหาการแจ้งเตือนที่ซ้ำซ้อนและการใช้ทรัพยากรระบบที่มากเกินไปจากตัวอัปเดตของแต่ละแอป นอกจากนี้ Microsoft ยังเน้นการอัปเดตที่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น เมื่ออุปกรณ์เชื่อมต่อ Wi-Fi และใช้พลังงานจากแหล่งจ่ายไฟ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft เปิดตัว Windows Update orchestration platform เพื่อรวมการอัปเดตทั้งหมด - นักพัฒนาสามารถลงทะเบียนเป็น update provider และใช้ WinRT APIs หรือ PowerShell cmdlets - ระบบจะตรวจสอบเวอร์ชันใหม่และติดตั้งเมื่ออุปกรณ์อยู่ในสถานะที่เหมาะสม - รองรับ MSIX/APPX packages และบางส่วนของ Win32 apps - แอปที่เข้าร่วมจะปรากฏใน Windows Update history และสามารถใช้ toast notifications ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - นักพัฒนาต้องปรับตัวให้เข้ากับแพลตฟอร์มใหม่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลา - ผู้ใช้บางรายอาจกังวลเรื่อง ความเป็นส่วนตัว และการควบคุมการอัปเดต - การรวมทุกอย่างไว้ใน Windows Update อาจทำให้เกิดปัญหาหากระบบมีข้อผิดพลาด - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อ ธุรกิจของผู้พัฒนาแอปที่เคยใช้ตัวอัปเดตของตนเอง Microsoft หวังว่าการรวมระบบอัปเดตทั้งหมดไว้ใน Windows Update จะช่วยให้ผู้ใช้และองค์กรสามารถจัดการซอฟต์แวร์ได้ง่ายขึ้น แต่ก็ยังมีข้อกังวลที่ต้องติดตามต่อไป https://www.techspot.com/news/108088-windows-update-could-soon-handle-all-apps-drivers.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Windows Update could soon handle all apps and drivers, not just the OS
    Angie Chen, a product manager at Microsoft, writes that the updates across the Windows ecosystem can feel like a fragmented experience, which has led to Microsoft developing...
    0 Comments 0 Shares 307 Views 0 Reviews
More Results