• “พฤติกรรมการขับรถ” อาจเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของภาวะสมองเสื่อมในอนาคต

    นักวิจัยติดตามพฤติกรรมการขับรถของผู้สูงอายุ 298 คน (อายุเฉลี่ย 75 ปี) เป็นเวลา 40 เดือน พบว่า ผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย (MCI) มักจะขับรถน้อยลง เลือกเส้นทางที่ง่ายและคุ้นเคย และมีแนวโน้มลดการขับรถเร็วหรือเดินทางไกล เมื่อเทียบกับผู้ที่ยังไม่มีปัญหาด้านสมอง

    การใช้ข้อมูล GPS และการทดสอบสมอง
    ทีมวิจัยใช้ GPS ติดตามการขับรถ ร่วมกับการทดสอบความจำและการทำงานของสมอง ผลลัพธ์สามารถทำนายภาวะ MCI ได้แม่นยำถึง 82–87% ซึ่งสูงกว่าการใช้ข้อมูลอายุหรือปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมเพียงอย่างเดียว

    ความสำคัญต่อสาธารณสุข
    การตรวจจับสัญญาณเตือนจากพฤติกรรมขับรถถือเป็นวิธีที่ ไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจช่วยให้แพทย์สามารถแทรกแซงได้เร็วขึ้น ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุหรืออาการสมองเสื่อมรุนแรง การวิจัยนี้ยังเปิดทางให้ใช้ข้อมูลจากรถยนต์อัจฉริยะหรือระบบติดตามเพื่อช่วยวินิจฉัยในอนาคต

    ข้อควรระวังและจริยธรรม
    แม้การติดตามพฤติกรรมขับรถจะมีประโยชน์ แต่ก็ต้องคำนึงถึง ความเป็นส่วนตัวและสิทธิในการตัดสินใจของผู้สูงอายุ นักวิจัยย้ำว่าการใช้ข้อมูลต้องอยู่บนพื้นฐานของความยินยอมและมาตรฐานจริยธรรมที่เข้มงวด

    สรุปเป็นหัวข้อ
    พฤติกรรมขับรถสะท้อนภาวะสมองเสื่อม
    ขับน้อยลง เลือกเส้นทางง่าย และลดการขับเร็ว

    GPS และการทดสอบสมองช่วยทำนาย MCI ได้แม่นยำ
    ความแม่นยำสูงถึง 82–87%

    วิธีตรวจจับที่ไม่รบกวนชีวิตประจำวัน
    ช่วยให้แพทย์แทรกแซงได้เร็วขึ้น

    ศักยภาพการใช้เทคโนโลยีรถยนต์อัจฉริยะ
    อาจช่วยวินิจฉัยและติดตามสุขภาพในอนาคต

    ข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัว
    ต้องได้รับความยินยอมและเคารพสิทธิผู้สูงอายุ

    การตีความข้อมูลต้องระมัดระวัง
    พฤติกรรมขับรถอาจเปลี่ยนไปด้วยเหตุผลอื่น เช่น สุขภาพกายหรือสภาพแวดล้อม

    https://www.sciencealert.com/your-driving-choices-could-be-hiding-signs-of-future-cognitive-decline
    🚗 “พฤติกรรมการขับรถ” อาจเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของภาวะสมองเสื่อมในอนาคต นักวิจัยติดตามพฤติกรรมการขับรถของผู้สูงอายุ 298 คน (อายุเฉลี่ย 75 ปี) เป็นเวลา 40 เดือน พบว่า ผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย (MCI) มักจะขับรถน้อยลง เลือกเส้นทางที่ง่ายและคุ้นเคย และมีแนวโน้มลดการขับรถเร็วหรือเดินทางไกล เมื่อเทียบกับผู้ที่ยังไม่มีปัญหาด้านสมอง 🧠 การใช้ข้อมูล GPS และการทดสอบสมอง ทีมวิจัยใช้ GPS ติดตามการขับรถ ร่วมกับการทดสอบความจำและการทำงานของสมอง ผลลัพธ์สามารถทำนายภาวะ MCI ได้แม่นยำถึง 82–87% ซึ่งสูงกว่าการใช้ข้อมูลอายุหรือปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมเพียงอย่างเดียว 🌍 ความสำคัญต่อสาธารณสุข การตรวจจับสัญญาณเตือนจากพฤติกรรมขับรถถือเป็นวิธีที่ ไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจช่วยให้แพทย์สามารถแทรกแซงได้เร็วขึ้น ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุหรืออาการสมองเสื่อมรุนแรง การวิจัยนี้ยังเปิดทางให้ใช้ข้อมูลจากรถยนต์อัจฉริยะหรือระบบติดตามเพื่อช่วยวินิจฉัยในอนาคต ⚖️ ข้อควรระวังและจริยธรรม แม้การติดตามพฤติกรรมขับรถจะมีประโยชน์ แต่ก็ต้องคำนึงถึง ความเป็นส่วนตัวและสิทธิในการตัดสินใจของผู้สูงอายุ นักวิจัยย้ำว่าการใช้ข้อมูลต้องอยู่บนพื้นฐานของความยินยอมและมาตรฐานจริยธรรมที่เข้มงวด 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ พฤติกรรมขับรถสะท้อนภาวะสมองเสื่อม ➡️ ขับน้อยลง เลือกเส้นทางง่าย และลดการขับเร็ว ✅ GPS และการทดสอบสมองช่วยทำนาย MCI ได้แม่นยำ ➡️ ความแม่นยำสูงถึง 82–87% ✅ วิธีตรวจจับที่ไม่รบกวนชีวิตประจำวัน ➡️ ช่วยให้แพทย์แทรกแซงได้เร็วขึ้น ✅ ศักยภาพการใช้เทคโนโลยีรถยนต์อัจฉริยะ ➡️ อาจช่วยวินิจฉัยและติดตามสุขภาพในอนาคต ‼️ ข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัว ⛔ ต้องได้รับความยินยอมและเคารพสิทธิผู้สูงอายุ ‼️ การตีความข้อมูลต้องระมัดระวัง ⛔ พฤติกรรมขับรถอาจเปลี่ยนไปด้วยเหตุผลอื่น เช่น สุขภาพกายหรือสภาพแวดล้อม https://www.sciencealert.com/your-driving-choices-could-be-hiding-signs-of-future-cognitive-decline
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Your Driving Choices Could Be Hiding Signs of Future Cognitive Decline
    Early signs of cognitive decline may influence our driving habits, making our choices in travel times and routes a potential indicator of future mental health.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมองเชื่อมโยงกันเมื่อทำงานร่วมกัน

    นักวิจัยจาก Western Sydney University ทดลองให้ผู้เข้าร่วม 24 คู่ทำงานร่วมกันในการจัดหมวดหมู่รูปทรงที่ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ผลการตรวจ EEG พบว่า สมองของคู่ที่ทำงานร่วมกันมีการปรับคลื่นสมองให้สอดคล้องกัน โดยเฉพาะหลังจาก 200 มิลลิวินาทีที่สิ่งเร้าปรากฏขึ้น ซึ่งต่างจากคู่ที่ไม่ได้ร่วมมือจริง ๆ

    ความแตกต่างระหว่าง “คู่จริง” และ “คู่จำลอง”
    นักวิจัยเปรียบเทียบข้อมูล EEG ของคู่ที่ทำงานร่วมกันจริงกับคู่จำลองที่ถูกจับคู่แบบสุ่ม พบว่า การซิงค์ของสมองในคู่จริงมีความเข้มข้นและต่อเนื่องมากกว่า แม้จะใช้กติกาการจัดหมวดหมู่คล้ายกันก็ตาม แสดงให้เห็นว่าปัจจัยสำคัญคือการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ไม่ใช่เพียงการทำงานตามกติกา

    ผลต่อการทำงานเป็นทีมและการสื่อสาร
    การค้นพบนี้ชี้ว่า การทำงานร่วมกันช่วยสร้างการเชื่อมโยงทางประสาท ซึ่งอาจอธิบายว่าทำไมทีมที่มีความสามัคคีจึงทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น งานวิจัยยังเสนอว่าแนวทางนี้สามารถนำไปใช้ศึกษาการสื่อสาร การตัดสินใจ และการทำงานกลุ่มในระดับองค์กรหรือการเรียนรู้ร่วมกันได้

    ก้าวต่อไปของการวิจัย
    นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการทำความเข้าใจการซิงค์ของสมองจะช่วยพัฒนา วิธีการเสริมสร้างการทำงานเป็นทีม และอาจนำไปสู่การประยุกต์ใช้ในด้านการศึกษา การแพทย์ และการพัฒนาทักษะการสื่อสารในอนาคต

    สรุปเป็นหัวข้อ
    สมองซิงค์กันเมื่อทำงานร่วมกัน
    EEG แสดงการปรับคลื่นสมองภายใน 200 มิลลิวินาที

    คู่จริงมีการซิงค์มากกว่าคู่จำลอง
    ปัจจัยสำคัญคือการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

    การซิงค์สมองช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทีม
    อธิบายว่าทำไมทีมที่สามัคคีจึงทำงานได้ดี

    การประยุกต์ใช้ในอนาคต
    ศึกษาการสื่อสาร การตัดสินใจ และการเรียนรู้ร่วมกัน

    การตีความผลวิจัยต้องระวัง
    ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าการซิงค์สมองทำให้ผลลัพธ์ดีกว่าเสมอ

    ข้อจำกัดของการทดลอง
    ขนาดกลุ่มตัวอย่างยังเล็ก และต้องการการศึกษาเพิ่มเติม

    https://www.sciencealert.com/our-brains-really-do-sync-up-when-we-collaborate-study-reveals
    🧠 สมองเชื่อมโยงกันเมื่อทำงานร่วมกัน นักวิจัยจาก Western Sydney University ทดลองให้ผู้เข้าร่วม 24 คู่ทำงานร่วมกันในการจัดหมวดหมู่รูปทรงที่ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ผลการตรวจ EEG พบว่า สมองของคู่ที่ทำงานร่วมกันมีการปรับคลื่นสมองให้สอดคล้องกัน โดยเฉพาะหลังจาก 200 มิลลิวินาทีที่สิ่งเร้าปรากฏขึ้น ซึ่งต่างจากคู่ที่ไม่ได้ร่วมมือจริง ๆ 🔬 ความแตกต่างระหว่าง “คู่จริง” และ “คู่จำลอง” นักวิจัยเปรียบเทียบข้อมูล EEG ของคู่ที่ทำงานร่วมกันจริงกับคู่จำลองที่ถูกจับคู่แบบสุ่ม พบว่า การซิงค์ของสมองในคู่จริงมีความเข้มข้นและต่อเนื่องมากกว่า แม้จะใช้กติกาการจัดหมวดหมู่คล้ายกันก็ตาม แสดงให้เห็นว่าปัจจัยสำคัญคือการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ไม่ใช่เพียงการทำงานตามกติกา 🌍 ผลต่อการทำงานเป็นทีมและการสื่อสาร การค้นพบนี้ชี้ว่า การทำงานร่วมกันช่วยสร้างการเชื่อมโยงทางประสาท ซึ่งอาจอธิบายว่าทำไมทีมที่มีความสามัคคีจึงทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น งานวิจัยยังเสนอว่าแนวทางนี้สามารถนำไปใช้ศึกษาการสื่อสาร การตัดสินใจ และการทำงานกลุ่มในระดับองค์กรหรือการเรียนรู้ร่วมกันได้ 🚀 ก้าวต่อไปของการวิจัย นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการทำความเข้าใจการซิงค์ของสมองจะช่วยพัฒนา วิธีการเสริมสร้างการทำงานเป็นทีม และอาจนำไปสู่การประยุกต์ใช้ในด้านการศึกษา การแพทย์ และการพัฒนาทักษะการสื่อสารในอนาคต 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ สมองซิงค์กันเมื่อทำงานร่วมกัน ➡️ EEG แสดงการปรับคลื่นสมองภายใน 200 มิลลิวินาที ✅ คู่จริงมีการซิงค์มากกว่าคู่จำลอง ➡️ ปัจจัยสำคัญคือการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ✅ การซิงค์สมองช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทีม ➡️ อธิบายว่าทำไมทีมที่สามัคคีจึงทำงานได้ดี ✅ การประยุกต์ใช้ในอนาคต ➡️ ศึกษาการสื่อสาร การตัดสินใจ และการเรียนรู้ร่วมกัน ‼️ การตีความผลวิจัยต้องระวัง ⛔ ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าการซิงค์สมองทำให้ผลลัพธ์ดีกว่าเสมอ ‼️ ข้อจำกัดของการทดลอง ⛔ ขนาดกลุ่มตัวอย่างยังเล็ก และต้องการการศึกษาเพิ่มเติม https://www.sciencealert.com/our-brains-really-do-sync-up-when-we-collaborate-study-reveals
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Our Brains Really Do 'Sync Up' When We Collaborate, Study Reveals
    Ever experienced a moment of flow when working with another human to achieve a common goal, almost as if you and your collaborator are tuned in to each other's brains? You may have literally been 'in sync' on a neurological level, new research shows.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251204 #TechRadar

    Google Antigravity AI ลบข้อมูลนักพัฒนาแล้วขอโทษ
    เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเมื่อระบบ AI ของ Google ที่ชื่อว่า Antigravity ลบข้อมูลใน Google Drive ของนักพัฒนารายหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากนั้นระบบได้ส่งข้อความขอโทษกลับมาเอง เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามใหญ่เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของ AI ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ หลายฝ่ายกังวลว่าหาก AI สามารถทำผิดพลาดในระดับนี้ อาจสร้างผลกระทบต่อธุรกิจและบุคคลทั่วไปได้อย่างรุนแรง
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/googles-antigravity-ai-deleted-a-developers-drive-and-then-apologized

    ความพยายามของทรัมป์ในการผลักดันกฎหมาย AI ระดับชาติสะดุด
    เรื่องนี้เป็นการถกเถียงใหญ่ในสภาอเมริกา เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์พยายามผลักดันให้กฎหมายควบคุม AI ถูกกำหนดในระดับรัฐบาลกลาง เพื่อหลีกเลี่ยงการมี “กฎหมาย 50 แบบ” จากแต่ละรัฐ เขาเชื่อว่าการรวมศูนย์จะช่วยให้สหรัฐฯ แข่งขันกับจีนได้ แต่ฝ่ายนิติบัญญัติหลายคน โดยเฉพาะรีพับลิกันเอง กลับไม่เห็นด้วย เพราะมองว่ารัฐมีความคล่องตัวในการออกกฎหมายที่ตอบโจทย์สถานการณ์ได้เร็วกว่า อีกทั้งยังมีเสียงวิจารณ์ว่าการผลักดันนี้คือการเข้าข้างบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี สุดท้ายข้อเสนอนี้ถูกโหวตคว่ำอย่างท่วมท้น และทำให้ทรัมป์ถูกโจมตีว่า “ยืนอยู่ข้าง Big Tech”
    https://www.techradar.com/pro/trumps-push-to-overrule-ai-regulation-falters-as-republicans-split

    AWS เปิดตัว Nova Forge ให้ธุรกิจสร้างโมเดล AI ของตัวเอง
    Amazon Web Services เปิดตัวบริการใหม่ชื่อ Nova Forge ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งโมเดล AI ได้ตามต้องการ โดยเริ่มจากโมเดลพื้นฐานของ Amazon แล้วนำข้อมูลของบริษัทมาผสมเพื่อสร้างโมเดลเฉพาะกิจที่เรียกว่า “Novellas” จุดเด่นคือช่วยลดต้นทุนและเวลาในการฝึกโมเดลใหม่จากศูนย์ ซึ่งปกติอาจใช้เงินมหาศาลและทีมงานจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว Nova 2 ที่มาพร้อมโมเดลพื้นฐานใหม่หลายตัว รวมถึงความสามารถด้านการสนทนาแบบเสียงต่อเสียงที่ใกล้เคียงมนุษย์ ถือเป็นการขยายศักยภาพของ AWS ในตลาด AI อย่างจริงจัง
    https://www.techradar.com/pro/aws-nova-forge-could-be-your-companys-cue-to-start-building-custom-ai-models

    แฮกเกอร์เกาหลีเหนือถูกจับตาแบบสด ๆ ระหว่างปฏิบัติการ
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยสามารถหลอกกลุ่ม Lazarus ของเกาหลีเหนือให้ใช้เครื่องที่พวกเขาคิดว่าเป็น “แล็ปท็อปจริง” แต่แท้จริงคือ sandbox ที่ควบคุมจากระยะไกล ทำให้สามารถเห็นการทำงานของแฮกเกอร์แบบสด ๆ แผนการนี้เกี่ยวข้องกับการสร้าง “คนงานปลอม” เพื่อสมัครงานในบริษัทใหญ่ แล้วใช้ตำแหน่งนั้นทำกิจกรรมโจมตีไซเบอร์ นักวิจัยพบว่าแฮกเกอร์ใช้เครื่องมืออย่าง OTP generator, AI automation และ Google Remote Desktop เพื่อเลี่ยงการตรวจสอบสองชั้น เหตุการณ์นี้ช่วยเปิดเผยวิธีการทำงานของกลุ่ม Lazarus และเป็นข้อมูลสำคัญในการป้องกันภัยไซเบอร์ในอนาคต
    https://www.techradar.com/pro/security/north-korean-fake-worker-scheme-caught-live-on-camera

    รีวิว Lenovo ThinkBook Plus Gen 6 Rollable โน้ตบุ๊คจอขยายได้
    Lenovo เปิดตัวโน้ตบุ๊คที่เรียกว่า “Rollable” รุ่นแรกของโลก ThinkBook Plus Gen 6 ที่สามารถขยายหน้าจอจาก 14 นิ้วเป็น 16 นิ้วได้เพียงกดปุ่มเดียว ทำให้การทำงานนอกสถานที่สะดวกขึ้นมาก ตัวเครื่องมาพร้อมสเปกแรง เช่น Intel Core Ultra 7, RAM 32GB และ SSD 1TB จุดเด่นคือจอ OLED ที่ขยายได้อย่างลื่นไหลและใช้งานจริงได้ ไม่ใช่แค่ลูกเล่น ผู้รีวิวเล่าว่าทุกครั้งที่กางจอออก คนรอบข้างมักตื่นตาตื่นใจ ถือเป็นการเปลี่ยนมุมมองใหม่ต่อโน้ตบุ๊คสำหรับธุรกิจและการทำงานแบบพกพา
    https://www.techradar.com/pro/lenovo-thinkbook-plus-gen-6-rollable-business-laptop-review

    หลุดข้อมูล Xeon 6 เวิร์กสเตชันใหม่ของ Intel
    มีการพบเมนบอร์ด ADLINK ISB-W890 ที่เผยให้เห็นแพลตฟอร์มใหม่ของ Intel สำหรับเวิร์กสเตชัน Granite Rapids-WS จุดเด่นคือรองรับหน่วยความจำ ECC DDR5 ได้สูงสุดถึง 1TB และมีช่อง PCIe มากมายสำหรับงานประมวลผลหนัก ๆ รวมถึงการ์ดกราฟิกหลายตัว ซีพียู Xeon รุ่นใหม่คาดว่าจะมีสูงสุดถึง 86 คอร์ พร้อมความเร็วสูงถึง 4.8GHz ซึ่งจะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ AMD ThreadRipper รุ่นท็อป การรั่วไหลนี้ทำให้เห็นว่า Intel กำลังกลับมาท้าทายตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูงอีกครั้ง
    https://www.techradar.com/pro/is-this-our-first-look-at-intels-xeon-6-workstation-hardware-leak-claims-to-show-w890-platform-ahead-of-granite-rapids-launch

    Qualcomm สู้กลับด้วย Snapdragon 8 Gen 5
    เรื่องนี้เริ่มจาก OnePlus เตรียมเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่ OnePlus 15R ที่จะใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 5 เป็นครั้งแรก จุดที่น่าสนใจคือ Qualcomm เลือกใช้กลยุทธ์ “สองรุ่นเรือธง” คล้ายกับที่ Apple ทำกับชิป A-series โดยแบ่งเป็นรุ่น Elite และรุ่นปกติ เพื่อให้มือถือราคาย่อมเยาได้สัมผัสพลังระดับเรือธงเช่นกัน ผู้บริหาร OnePlus อธิบายว่า Apple เป็นแรงบันดาลใจ เพราะการแยกชิป Pro และชิปธรรมดาใน iPhone ทำให้ตลาดแตกต่างชัดเจน Qualcomm จึงต้องเดินตามแนวทางนี้เพื่อไม่ให้เสียเปรียบ และผลลัพธ์คือผู้ใช้จะได้มือถือที่แรงขึ้นแม้ไม่ใช่รุ่นแพงสุด
    https://www.techradar.com/phones/oneplus-phones/qualcomm-knows-it-has-to-fight-back-oneplus-exec-explains-why-apple-is-partially-responsible-for-the-new-snapdragon-8-gen-5-chipset

    รื้อความเข้าใจผิดเรื่อง Passwordless Authentication
    หลายคนยังเชื่อว่าการเข้าสู่ระบบแบบไม่ใช้รหัสผ่านนั้นไม่ปลอดภัย แต่บทความนี้อธิบายชัดว่ามันคือการยกระดับความปลอดภัย เพราะใช้สิ่งที่คุณ “เป็น” เช่น ลายนิ้วมือหรือใบหน้า ร่วมกับ PIN ที่ทำงานเฉพาะบนอุปกรณ์ ไม่ถูกส่งออกไปเหมือนรหัสผ่านทั่วไป จึงยากต่อการโจมตี อีกทั้งยังช่วยลดภาระของทีม IT ที่ต้องคอยแก้ปัญหาการรีเซ็ตรหัสผ่านซ้ำๆ เทคโนโลยีนี้จึงเป็นก้าวสำคัญสู่ยุค Zero-Trust ที่องค์กรกำลังมุ่งไป
    https://www.techradar.com/pro/passwordless-authentication-isnt-the-problem-the-myths-around-the-technology-are

    โฆษณา Windows 11 “PC ที่พูดคุยได้” สร้างเสียงแตก
    Microsoft ปล่อยโฆษณาใหม่ช่วงเทศกาลที่โชว์ฟีเจอร์ “Hey Copilot” ให้ผู้ใช้พูดคุยกับคอมพิวเตอร์ได้เหมือนผู้ช่วยส่วนตัว โฆษณามีฉากสนุกๆ เช่นการให้ Copilot ซิงค์ไฟคริสต์มาสกับเพลง แต่ปัญหาคือฟีเจอร์จริงยังทำไม่ได้ ทำให้ผู้ชมบางส่วนมองว่า Microsoft กำลังสร้างความคาดหวังเกินจริง หลายคอมเมนต์ประชดประชัน เช่น “Hey Copilot – ช่วยติดตั้ง Linux ให้หน่อย” สะท้อนว่าผู้ใช้บางกลุ่มรู้สึกถูกยัดเยียด AI มากเกินไป
    https://www.techradar.com/computing/windows/new-windows-11-pc-you-can-talk-to-ad-pushing-copilot-is-proving-divisive-and-i-can-see-it-seriously-backfiring

    ความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในยุค AI
    AI กำลังเปลี่ยนโลกธุรกิจให้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ปัญหาคือข้อมูลที่ใช้ฝึก AI มักเป็นข้อมูลลับและอ่อนไหว หากบริษัทไม่โปร่งใสในการจัดการข้อมูล ลูกค้าอาจหมดความเชื่อใจ ตัวอย่างเช่น OpenAI เคยถูกปรับเพราะใช้ข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ชัดเจน ทำให้เกิดคำถามใหญ่: ผู้ให้บริการ AI จะสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างไร? คำตอบคือการเปิดเผยที่มาของข้อมูลและสถานที่จัดเก็บอย่างชัดเจน พร้อมเสริมระบบความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสและ MFA เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าข้อมูลของพวกเขาปลอดภัยจริง
    https://www.techradar.com/pro/the-search-for-transparency-and-reliability-in-the-ai-era

    Nvidia กับดีล 100 พันล้านดอลลาร์ที่ยังไม่เสร็จ
    แม้จะมีข่าวใหญ่เรื่อง Nvidia จับมือ OpenAI ทำโครงการโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า 100 พันล้านดอลลาร์ แต่ความจริงคือดีลนี้ยังไม่ถูกลงนามอย่างเป็นทางการ CFO ของ Nvidia ยอมรับว่าทุกอย่างยังอยู่ในขั้นตอน “จดหมายแสดงเจตนา” เท่านั้น ความเสี่ยงคือการลงทุนระยะยาวอาจเจอปัญหาสินค้าล้นสต็อกหรือการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่เร็วเกินไป นักลงทุนบางส่วนจึงกังวลว่าอาจเกิด “ฟองสบู่ AI” ที่พร้อมแตกได้ทุกเมื่อ ถึงแม้หุ้น Nvidia จะยังขึ้น แต่คำถามเรื่องความยั่งยืนยังคงอยู่
    https://www.techradar.com/pro/nvidia-admits-the-usd100bn-biggest-ai-infrastructure-project-in-history-openai-deal-still-isnt-finalized

    Character.ai ปรับกลยุทธ์ใหม่สำหรับวัยรุ่น
    แพลตฟอร์ม AI ชื่อดัง Character.ai เริ่มเปลี่ยนแนวทางการให้บริการ โดยลดการสนทนาแบบเปิดกว้างสำหรับผู้ใช้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี แล้วเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ชื่อ “Stories” เพื่อดึงดูดวัยรุ่นให้ยังคงสนใจอยู่ จุดประสงค์คือสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยมากขึ้น และยังคงให้ผู้ใช้ได้สนุกกับการเล่าเรื่องในรูปแบบที่ควบคุมได้มากกว่า การปรับนี้สะท้อนว่าตลาด AI กำลังหาทางบาลานซ์ระหว่างความสร้างสรรค์และความรับผิดชอบต่อผู้ใช้เยาวชน
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/character-ai-launches-stories-to-keep-teens-engaged-as-it-scales-back-open-ended-chat-for-under-18s

    กลุ่มแฮ็กเกอร์อิหร่านใช้เกม Snake เป็นอาวุธ
    มีรายงานว่ากลุ่มแฮ็กเกอร์จากอิหร่านได้สร้างเกม Snake ปลอมขึ้นมาเพื่อโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในอียิปต์และอิสราเอล เกมนี้ถูกออกแบบให้ดูเหมือนเกมธรรมดา แต่จริงๆ แล้วแฝงมัลแวร์ที่สามารถเจาะระบบได้ การใช้วิธีที่ดู “ไร้เดียงสา” เช่นเกมยอดนิยม เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้การโจมตีมีโอกาสสำเร็จสูงขึ้น และเป็นสัญญาณเตือนว่าภัยคุกคามไซเบอร์กำลังซับซ้อนและอันตรายมากขึ้น
    https://www.techradar.com/pro/security/iranian-hacker-group-deploys-malicious-snake-game-to-target-egyptian-and-israeli-critical-infrastructure

    รีวิว MSI Cubi NUC AI+ 2MG Mini PC
    บทความนี้รีวิวเครื่อง Mini PC รุ่นใหม่จาก MSI ที่ชื่อ Cubi NUC AI+ 2MG จุดเด่นคือขนาดเล็กแต่ทรงพลัง เหมาะสำหรับงานสำนักงานหรือผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่กินพื้นที่มาก ตัวเครื่องมาพร้อมการรองรับ AI workload และการเชื่อมต่อที่ครบครัน ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยากได้ PC ขนาดกะทัดรัดแต่ยังคงความแรงไว้ครบ
    https://www.techradar.com/pro/msi-cubi-nuc-ai-2mg-mini-pc-review

    ExpressVPN อัปเดตใหม่ เร็วขึ้นและปรับโฉมบน Mac
    ExpressVPN ปล่อยอัปเดตล่าสุดที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการเชื่อมต่อ และปรับปรุงแอปบน Mac ให้ใช้งานง่ายขึ้น ดีไซน์ใหม่ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงฟีเจอร์หลักได้สะดวกกว่าเดิม พร้อมทั้งเสริมความปลอดภัยและเสถียรภาพของการเชื่อมต่อ ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์ใช้งาน VPN ที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้ทั่วไปและผู้ใช้ระดับมืออาชีพ
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/expressvpns-latest-update-boosts-connection-speeds-and-revamps-its-mac-app

    กฎหมาย Chat Control สร้างเสียงวิจารณ์ในวงการ Privacy Tech
    กฎหมายใหม่ที่ชื่อ Chat Control กำลังถูกวิจารณ์อย่างหนักจากผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัว หลายคนมองว่ามันคือ “หายนะที่รอเกิดขึ้น” เพราะเปิดช่องให้มีการสอดส่องการสื่อสารส่วนตัวของผู้ใช้ แม้จะอ้างว่าเพื่อความปลอดภัย แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ามันจะกระทบสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน และอาจทำให้ความเชื่อมั่นต่อเทคโนโลยีด้านความเป็นส่วนตัวพังทลาย
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/a-disaster-waiting-to-happen-the-privacy-tech-world-reacts-to-the-new-chat-control-bill

    Devolo WiFi 6 Router 3600 5G Review
    เรื่องนี้เล่าได้ว่าเป็นประสบการณ์ตรงของผู้ทดสอบที่ได้ลองใช้เราเตอร์ Devolo WiFi 6 รุ่น 3600 ที่รองรับซิมการ์ด 5G LTE ตัวเครื่องออกแบบมาให้ใช้งานง่ายมาก เพียงใส่ซิม เปิดไฟ และกดปุ่ม WPS ก็เชื่อมต่อได้ทันที จุดเด่นคือสามารถรองรับอุปกรณ์ได้มากกว่า 100 เครื่องพร้อมกัน เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตบ้าน เช่นออฟฟิศใหม่หรือการทำงานนอกสถานที่ ความเร็วขึ้นอยู่กับสัญญาณเครือข่าย แต่เมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มี 5G แรง ๆ ก็เร็วและเสถียรกว่าการแชร์ฮอตสปอตจากมือถือมาก แม้ราคาจะสูงเกือบ £399 แต่ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในสถานการณ์ที่ต้องการอินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้
    https://www.techradar.com/computing/devolo-wifi-6-router-3600-5g-lte-review

    OnePlus 15 เตรียมเปิดตัวในสหรัฐฯ พร้อมของแถมพิเศษ
    OnePlus 15 ที่หลายคนรอคอยกำลังจะเปิดให้พรีออเดอร์ในสหรัฐฯ วันที่ 4 ธันวาคมนี้ หลังจากเลื่อนเปิดตัวเพราะติดปัญหาการรับรองจาก FCC ราคาจะเริ่มต้นที่ $899.99 สำหรับรุ่น RAM 12GB และ $999.99 สำหรับรุ่น RAM 16GB พร้อมของแถมให้เลือก เช่นนาฬิกา OnePlus Watch 3 มูลค่า $300 หรือหูฟัง Buds Pro 3 จุดเด่นของรุ่นนี้คือแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 7,300mAh ที่ใช้งานได้ยาวนานมาก รวมถึงกล้องและซอฟต์แวร์ที่ได้รับคำชมจนได้คะแนนรีวิวเต็ม 5 ดาว ถือเป็นการกลับมาที่น่าตื่นเต้นของ OnePlus ในตลาดสหรัฐฯ
    https://www.techradar.com/phones/oneplus-phones/the-oneplus-15-is-finally-heading-to-the-us-and-you-can-grab-a-major-pre-order-bonus

    รัสเซียเตรียมแบน WhatsApp ภายใต้ “ม่านเหล็กดิจิทัล”
    รัฐบาลรัสเซียโดยหน่วยงาน Roskomnadzor ขู่จะบล็อก WhatsApp แบบเต็มรูปแบบ โดยกล่าวหาว่าแพลตฟอร์มนี้ถูกใช้เพื่อกิจกรรมก่อการร้าย และไม่ปฏิบัติตามกฎหมายท้องถิ่น ปัจจุบันมีผู้ใช้ WhatsApp ในรัสเซียกว่า 97 ล้านคน หากถูกบล็อกจริงจะกระทบการสื่อสารอย่างรุนแรง โดยก่อนหน้านี้ Signal ก็ถูกบล็อกไปแล้ว ทำให้ผู้ใช้ถูกบังคับไปใช้แอปที่รัฐควบคุมอย่าง MAX ซึ่งมีความเสี่ยงด้านการสอดส่องสูง WhatsApp ยืนยันว่าจะยังคงให้บริการการสื่อสารแบบเข้ารหัสเพื่อปกป้องสิทธิผู้ใช้ แม้จะถูกกดดันจากรัฐบาล
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/russias-digital-iron-curtain-whatsapp-next-on-the-chopping-block

    Amazon ทดลอง “AI Factories” ติดตั้งในองค์กรลูกค้า
    Amazon Web Services เปิดตัวแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า “AI Factories” คือการนำฮาร์ดแวร์และระบบ AI ไปติดตั้งในศูนย์ข้อมูลของลูกค้าเอง เพื่อรองรับข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและอธิปไตยข้อมูล ลูกค้าไม่ต้องลงทุนสร้างระบบเอง แต่ AWS จะจัดการทุกอย่างให้ โดยใช้ชิป Nvidia Blackwell และ Trainium3 ของ Amazon จุดนี้ถือเป็นการกลับไปสู่แนวทาง on-premises อีกครั้ง หลังยุคที่ทุกอย่างย้ายขึ้นคลาวด์ เหมาะกับองค์กรหรือรัฐบาลที่ต้องการใช้ AI แต่ไม่สามารถส่งข้อมูลออกนอกพื้นที่ได้
    https://www.techradar.com/pro/amazon-is-testing-out-private-on-premises-ai-factories

    Windows 11 มีบั๊กใหม่ใน Dark Mode ของ File Explorer
    Microsoft ปล่อยอัปเดตตัวล่าสุด KB5070311 ที่ตั้งใจจะปรับปรุง Dark Mode ให้สมบูรณ์ขึ้น แต่กลับทำให้เกิดบั๊กที่สร้างความรำคาญ เมื่อผู้ใช้เปิดโฟลเดอร์หรือแท็บใหม่ใน File Explorer จะมีแฟลชสีขาววาบขึ้นมา ซึ่งยิ่งรบกวนสายตาในสภาพแสงน้อย Microsoft ยอมรับปัญหาและกำลังแก้ไขก่อนที่จะปล่อยอัปเดตเต็มในสัปดาห์หน้า แม้จะเป็นเพียงเวอร์ชันทดลอง แต่หากไม่แก้ทันก็อาจกระทบผู้ใช้จำนวนมากที่รออัปเดต
    https://www.techradar.com/computing/windows/microsoft-just-broke-file-explorer-dark-mode-some-windows-11-users-are-seeing-jarring-white-flashes-when-opening-folders

    Zettlab D6 NAS Review
    นี่เป็นรีวิวของ Zettlab D6 NAS อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเครือข่ายที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการความเร็วและความปลอดภัยสูง จุดเด่นคือรองรับการเชื่อมต่อความเร็วสูง มีพอร์ตหลากหลาย และระบบจัดการที่ใช้งานง่าย เหมาะกับทั้งธุรกิจขนาดเล็กและผู้ใช้ที่ต้องการเก็บไฟล์จำนวนมากในบ้าน แม้ราคาจะสูง แต่ถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับความสามารถในการปกป้องและแชร์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    https://www.techradar.com/computing/zettlab-d6-nas-device-review

    ทดสอบ ChatGPT, Gemini และ Claude ในโลกมัลติโหมด
    บทความนี้เล่าถึงการทดสอบ AI รุ่นใหม่ ๆ ที่สามารถทำงานแบบมัลติโหมดได้ เช่น ChatGPT, Gemini และ Claude โดยเปรียบเทียบความสามารถในการเข้าใจข้อความ ภาพ และเสียง จุดที่น่าสนใจคือแต่ละระบบมีจุดแข็งต่างกัน เช่น ChatGPT เด่นด้านการสนทนาเชิงลึก Gemini เน้นการเชื่อมโยงข้อมูลหลายรูปแบบ ส่วน Claude มีความแม่นยำในการตีความบริบท การทดสอบนี้สะท้อนให้เห็นว่า AI กำลังพัฒนาไปสู่การใช้งานที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/testing-chatgpt-gemini-and-claude-in-the-multimodal-maze

    ยุคโฆษณาใน ChatGPT เริ่มต้นแล้ว
    ผู้ใช้ ChatGPT โดยเฉพาะกลุ่ม Pro ที่จ่ายถึง $200 ต่อเดือน กำลังไม่พอใจอย่างหนัก เพราะ OpenAI เริ่มแสดงโฆษณาและแนะนำแอปในระบบ แม้จะเป็นผู้ใช้แบบเสียเงินก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการหาทางสร้างรายได้ใหม่ของบริษัท แต่ก็ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่าเป็นการลดคุณภาพประสบการณ์ของผู้ใช้ที่ยอมจ่ายแพงเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวน
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/the-era-of-ads-in-chatgpt-begins-users-furious-as-even-usd200-a-month-pro-subscribers-hit-with-app-suggestions

    ออสเตรเลียสั่งห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ใช้ VPN เพื่อเลี่ยงกฎหมายโซเชียล
    รัฐบาลออสเตรเลียออกมาตรการใหม่ บังคับให้แพลตฟอร์มออนไลน์ต้องป้องกันไม่ให้ผู้ใช้อายุต่ำกว่า 16 ปีใช้ VPN เพื่อหลบเลี่ยงการแบนโซเชียลมีเดีย กฎหมายนี้ถูกวิจารณ์ว่าอาจละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและสร้างภาระให้กับบริษัทเทคโนโลยี แต่รัฐบาลยืนยันว่าจำเป็นเพื่อปกป้องเยาวชนจากผลกระทบของโซเชียลมีเดีย
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/australia-expects-platforms-to-stop-under-16s-from-using-vpns-to-evade-social-media-ban

    กว่า 2 ใน 3 ของร้านค้าปลีกใช้ AI Agent เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแล้ว
    รายงานล่าสุดเผยว่ามากกว่า 67% ของผู้ค้าปลีกได้เริ่มนำ AI Agent มาใช้ในการทำงาน เช่น การตอบลูกค้า การจัดการสต็อก และการวิเคราะห์ข้อมูล จุดนี้สะท้อนว่าการใช้ AI ไม่ใช่แค่แนวโน้ม แต่กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของธุรกิจค้าปลีกที่ต้องการความเร็วและความแม่นยำในการแข่งขัน
    https://www.techradar.com/pro/over-two-thirds-of-retailers-have-already-partially-deployed-ai-agents-for-efficiency



    📌📡🟠 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🟠📡📌 #รวมข่าวIT #20251204 #TechRadar 🤖 Google Antigravity AI ลบข้อมูลนักพัฒนาแล้วขอโทษ เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเมื่อระบบ AI ของ Google ที่ชื่อว่า Antigravity ลบข้อมูลใน Google Drive ของนักพัฒนารายหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากนั้นระบบได้ส่งข้อความขอโทษกลับมาเอง เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามใหญ่เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของ AI ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ หลายฝ่ายกังวลว่าหาก AI สามารถทำผิดพลาดในระดับนี้ อาจสร้างผลกระทบต่อธุรกิจและบุคคลทั่วไปได้อย่างรุนแรง 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/googles-antigravity-ai-deleted-a-developers-drive-and-then-apologized 🏛️ ความพยายามของทรัมป์ในการผลักดันกฎหมาย AI ระดับชาติสะดุด เรื่องนี้เป็นการถกเถียงใหญ่ในสภาอเมริกา เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์พยายามผลักดันให้กฎหมายควบคุม AI ถูกกำหนดในระดับรัฐบาลกลาง เพื่อหลีกเลี่ยงการมี “กฎหมาย 50 แบบ” จากแต่ละรัฐ เขาเชื่อว่าการรวมศูนย์จะช่วยให้สหรัฐฯ แข่งขันกับจีนได้ แต่ฝ่ายนิติบัญญัติหลายคน โดยเฉพาะรีพับลิกันเอง กลับไม่เห็นด้วย เพราะมองว่ารัฐมีความคล่องตัวในการออกกฎหมายที่ตอบโจทย์สถานการณ์ได้เร็วกว่า อีกทั้งยังมีเสียงวิจารณ์ว่าการผลักดันนี้คือการเข้าข้างบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี สุดท้ายข้อเสนอนี้ถูกโหวตคว่ำอย่างท่วมท้น และทำให้ทรัมป์ถูกโจมตีว่า “ยืนอยู่ข้าง Big Tech” 🔗 https://www.techradar.com/pro/trumps-push-to-overrule-ai-regulation-falters-as-republicans-split ☁️ AWS เปิดตัว Nova Forge ให้ธุรกิจสร้างโมเดล AI ของตัวเอง Amazon Web Services เปิดตัวบริการใหม่ชื่อ Nova Forge ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งโมเดล AI ได้ตามต้องการ โดยเริ่มจากโมเดลพื้นฐานของ Amazon แล้วนำข้อมูลของบริษัทมาผสมเพื่อสร้างโมเดลเฉพาะกิจที่เรียกว่า “Novellas” จุดเด่นคือช่วยลดต้นทุนและเวลาในการฝึกโมเดลใหม่จากศูนย์ ซึ่งปกติอาจใช้เงินมหาศาลและทีมงานจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว Nova 2 ที่มาพร้อมโมเดลพื้นฐานใหม่หลายตัว รวมถึงความสามารถด้านการสนทนาแบบเสียงต่อเสียงที่ใกล้เคียงมนุษย์ ถือเป็นการขยายศักยภาพของ AWS ในตลาด AI อย่างจริงจัง 🔗 https://www.techradar.com/pro/aws-nova-forge-could-be-your-companys-cue-to-start-building-custom-ai-models 🕵️ แฮกเกอร์เกาหลีเหนือถูกจับตาแบบสด ๆ ระหว่างปฏิบัติการ นักวิจัยด้านความปลอดภัยสามารถหลอกกลุ่ม Lazarus ของเกาหลีเหนือให้ใช้เครื่องที่พวกเขาคิดว่าเป็น “แล็ปท็อปจริง” แต่แท้จริงคือ sandbox ที่ควบคุมจากระยะไกล ทำให้สามารถเห็นการทำงานของแฮกเกอร์แบบสด ๆ แผนการนี้เกี่ยวข้องกับการสร้าง “คนงานปลอม” เพื่อสมัครงานในบริษัทใหญ่ แล้วใช้ตำแหน่งนั้นทำกิจกรรมโจมตีไซเบอร์ นักวิจัยพบว่าแฮกเกอร์ใช้เครื่องมืออย่าง OTP generator, AI automation และ Google Remote Desktop เพื่อเลี่ยงการตรวจสอบสองชั้น เหตุการณ์นี้ช่วยเปิดเผยวิธีการทำงานของกลุ่ม Lazarus และเป็นข้อมูลสำคัญในการป้องกันภัยไซเบอร์ในอนาคต 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/north-korean-fake-worker-scheme-caught-live-on-camera 💻 รีวิว Lenovo ThinkBook Plus Gen 6 Rollable โน้ตบุ๊คจอขยายได้ Lenovo เปิดตัวโน้ตบุ๊คที่เรียกว่า “Rollable” รุ่นแรกของโลก ThinkBook Plus Gen 6 ที่สามารถขยายหน้าจอจาก 14 นิ้วเป็น 16 นิ้วได้เพียงกดปุ่มเดียว ทำให้การทำงานนอกสถานที่สะดวกขึ้นมาก ตัวเครื่องมาพร้อมสเปกแรง เช่น Intel Core Ultra 7, RAM 32GB และ SSD 1TB จุดเด่นคือจอ OLED ที่ขยายได้อย่างลื่นไหลและใช้งานจริงได้ ไม่ใช่แค่ลูกเล่น ผู้รีวิวเล่าว่าทุกครั้งที่กางจอออก คนรอบข้างมักตื่นตาตื่นใจ ถือเป็นการเปลี่ยนมุมมองใหม่ต่อโน้ตบุ๊คสำหรับธุรกิจและการทำงานแบบพกพา 🔗 https://www.techradar.com/pro/lenovo-thinkbook-plus-gen-6-rollable-business-laptop-review ⚙️ หลุดข้อมูล Xeon 6 เวิร์กสเตชันใหม่ของ Intel มีการพบเมนบอร์ด ADLINK ISB-W890 ที่เผยให้เห็นแพลตฟอร์มใหม่ของ Intel สำหรับเวิร์กสเตชัน Granite Rapids-WS จุดเด่นคือรองรับหน่วยความจำ ECC DDR5 ได้สูงสุดถึง 1TB และมีช่อง PCIe มากมายสำหรับงานประมวลผลหนัก ๆ รวมถึงการ์ดกราฟิกหลายตัว ซีพียู Xeon รุ่นใหม่คาดว่าจะมีสูงสุดถึง 86 คอร์ พร้อมความเร็วสูงถึง 4.8GHz ซึ่งจะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ AMD ThreadRipper รุ่นท็อป การรั่วไหลนี้ทำให้เห็นว่า Intel กำลังกลับมาท้าทายตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูงอีกครั้ง 🔗 https://www.techradar.com/pro/is-this-our-first-look-at-intels-xeon-6-workstation-hardware-leak-claims-to-show-w890-platform-ahead-of-granite-rapids-launch 📱 Qualcomm สู้กลับด้วย Snapdragon 8 Gen 5 เรื่องนี้เริ่มจาก OnePlus เตรียมเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่ OnePlus 15R ที่จะใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 5 เป็นครั้งแรก จุดที่น่าสนใจคือ Qualcomm เลือกใช้กลยุทธ์ “สองรุ่นเรือธง” คล้ายกับที่ Apple ทำกับชิป A-series โดยแบ่งเป็นรุ่น Elite และรุ่นปกติ เพื่อให้มือถือราคาย่อมเยาได้สัมผัสพลังระดับเรือธงเช่นกัน ผู้บริหาร OnePlus อธิบายว่า Apple เป็นแรงบันดาลใจ เพราะการแยกชิป Pro และชิปธรรมดาใน iPhone ทำให้ตลาดแตกต่างชัดเจน Qualcomm จึงต้องเดินตามแนวทางนี้เพื่อไม่ให้เสียเปรียบ และผลลัพธ์คือผู้ใช้จะได้มือถือที่แรงขึ้นแม้ไม่ใช่รุ่นแพงสุด 🔗 https://www.techradar.com/phones/oneplus-phones/qualcomm-knows-it-has-to-fight-back-oneplus-exec-explains-why-apple-is-partially-responsible-for-the-new-snapdragon-8-gen-5-chipset 🔐 รื้อความเข้าใจผิดเรื่อง Passwordless Authentication หลายคนยังเชื่อว่าการเข้าสู่ระบบแบบไม่ใช้รหัสผ่านนั้นไม่ปลอดภัย แต่บทความนี้อธิบายชัดว่ามันคือการยกระดับความปลอดภัย เพราะใช้สิ่งที่คุณ “เป็น” เช่น ลายนิ้วมือหรือใบหน้า ร่วมกับ PIN ที่ทำงานเฉพาะบนอุปกรณ์ ไม่ถูกส่งออกไปเหมือนรหัสผ่านทั่วไป จึงยากต่อการโจมตี อีกทั้งยังช่วยลดภาระของทีม IT ที่ต้องคอยแก้ปัญหาการรีเซ็ตรหัสผ่านซ้ำๆ เทคโนโลยีนี้จึงเป็นก้าวสำคัญสู่ยุค Zero-Trust ที่องค์กรกำลังมุ่งไป 🔗 https://www.techradar.com/pro/passwordless-authentication-isnt-the-problem-the-myths-around-the-technology-are 🎄 โฆษณา Windows 11 “PC ที่พูดคุยได้” สร้างเสียงแตก Microsoft ปล่อยโฆษณาใหม่ช่วงเทศกาลที่โชว์ฟีเจอร์ “Hey Copilot” ให้ผู้ใช้พูดคุยกับคอมพิวเตอร์ได้เหมือนผู้ช่วยส่วนตัว โฆษณามีฉากสนุกๆ เช่นการให้ Copilot ซิงค์ไฟคริสต์มาสกับเพลง แต่ปัญหาคือฟีเจอร์จริงยังทำไม่ได้ ทำให้ผู้ชมบางส่วนมองว่า Microsoft กำลังสร้างความคาดหวังเกินจริง หลายคอมเมนต์ประชดประชัน เช่น “Hey Copilot – ช่วยติดตั้ง Linux ให้หน่อย” สะท้อนว่าผู้ใช้บางกลุ่มรู้สึกถูกยัดเยียด AI มากเกินไป 🔗 https://www.techradar.com/computing/windows/new-windows-11-pc-you-can-talk-to-ad-pushing-copilot-is-proving-divisive-and-i-can-see-it-seriously-backfiring 🤖 ความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในยุค AI AI กำลังเปลี่ยนโลกธุรกิจให้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ปัญหาคือข้อมูลที่ใช้ฝึก AI มักเป็นข้อมูลลับและอ่อนไหว หากบริษัทไม่โปร่งใสในการจัดการข้อมูล ลูกค้าอาจหมดความเชื่อใจ ตัวอย่างเช่น OpenAI เคยถูกปรับเพราะใช้ข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ชัดเจน ทำให้เกิดคำถามใหญ่: ผู้ให้บริการ AI จะสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างไร? คำตอบคือการเปิดเผยที่มาของข้อมูลและสถานที่จัดเก็บอย่างชัดเจน พร้อมเสริมระบบความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสและ MFA เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าข้อมูลของพวกเขาปลอดภัยจริง 🔗 https://www.techradar.com/pro/the-search-for-transparency-and-reliability-in-the-ai-era 💰 Nvidia กับดีล 100 พันล้านดอลลาร์ที่ยังไม่เสร็จ แม้จะมีข่าวใหญ่เรื่อง Nvidia จับมือ OpenAI ทำโครงการโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า 100 พันล้านดอลลาร์ แต่ความจริงคือดีลนี้ยังไม่ถูกลงนามอย่างเป็นทางการ CFO ของ Nvidia ยอมรับว่าทุกอย่างยังอยู่ในขั้นตอน “จดหมายแสดงเจตนา” เท่านั้น ความเสี่ยงคือการลงทุนระยะยาวอาจเจอปัญหาสินค้าล้นสต็อกหรือการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่เร็วเกินไป นักลงทุนบางส่วนจึงกังวลว่าอาจเกิด “ฟองสบู่ AI” ที่พร้อมแตกได้ทุกเมื่อ ถึงแม้หุ้น Nvidia จะยังขึ้น แต่คำถามเรื่องความยั่งยืนยังคงอยู่ 🔗 https://www.techradar.com/pro/nvidia-admits-the-usd100bn-biggest-ai-infrastructure-project-in-history-openai-deal-still-isnt-finalized 📖 Character.ai ปรับกลยุทธ์ใหม่สำหรับวัยรุ่น แพลตฟอร์ม AI ชื่อดัง Character.ai เริ่มเปลี่ยนแนวทางการให้บริการ โดยลดการสนทนาแบบเปิดกว้างสำหรับผู้ใช้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี แล้วเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ชื่อ “Stories” เพื่อดึงดูดวัยรุ่นให้ยังคงสนใจอยู่ จุดประสงค์คือสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยมากขึ้น และยังคงให้ผู้ใช้ได้สนุกกับการเล่าเรื่องในรูปแบบที่ควบคุมได้มากกว่า การปรับนี้สะท้อนว่าตลาด AI กำลังหาทางบาลานซ์ระหว่างความสร้างสรรค์และความรับผิดชอบต่อผู้ใช้เยาวชน 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/character-ai-launches-stories-to-keep-teens-engaged-as-it-scales-back-open-ended-chat-for-under-18s 🎮 กลุ่มแฮ็กเกอร์อิหร่านใช้เกม Snake เป็นอาวุธ มีรายงานว่ากลุ่มแฮ็กเกอร์จากอิหร่านได้สร้างเกม Snake ปลอมขึ้นมาเพื่อโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในอียิปต์และอิสราเอล เกมนี้ถูกออกแบบให้ดูเหมือนเกมธรรมดา แต่จริงๆ แล้วแฝงมัลแวร์ที่สามารถเจาะระบบได้ การใช้วิธีที่ดู “ไร้เดียงสา” เช่นเกมยอดนิยม เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้การโจมตีมีโอกาสสำเร็จสูงขึ้น และเป็นสัญญาณเตือนว่าภัยคุกคามไซเบอร์กำลังซับซ้อนและอันตรายมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/iranian-hacker-group-deploys-malicious-snake-game-to-target-egyptian-and-israeli-critical-infrastructure 💻 รีวิว MSI Cubi NUC AI+ 2MG Mini PC บทความนี้รีวิวเครื่อง Mini PC รุ่นใหม่จาก MSI ที่ชื่อ Cubi NUC AI+ 2MG จุดเด่นคือขนาดเล็กแต่ทรงพลัง เหมาะสำหรับงานสำนักงานหรือผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่กินพื้นที่มาก ตัวเครื่องมาพร้อมการรองรับ AI workload และการเชื่อมต่อที่ครบครัน ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยากได้ PC ขนาดกะทัดรัดแต่ยังคงความแรงไว้ครบ 🔗 https://www.techradar.com/pro/msi-cubi-nuc-ai-2mg-mini-pc-review 🌐 ExpressVPN อัปเดตใหม่ เร็วขึ้นและปรับโฉมบน Mac ExpressVPN ปล่อยอัปเดตล่าสุดที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการเชื่อมต่อ และปรับปรุงแอปบน Mac ให้ใช้งานง่ายขึ้น ดีไซน์ใหม่ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงฟีเจอร์หลักได้สะดวกกว่าเดิม พร้อมทั้งเสริมความปลอดภัยและเสถียรภาพของการเชื่อมต่อ ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์ใช้งาน VPN ที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้ทั่วไปและผู้ใช้ระดับมืออาชีพ 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/expressvpns-latest-update-boosts-connection-speeds-and-revamps-its-mac-app ⚖️ กฎหมาย Chat Control สร้างเสียงวิจารณ์ในวงการ Privacy Tech กฎหมายใหม่ที่ชื่อ Chat Control กำลังถูกวิจารณ์อย่างหนักจากผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัว หลายคนมองว่ามันคือ “หายนะที่รอเกิดขึ้น” เพราะเปิดช่องให้มีการสอดส่องการสื่อสารส่วนตัวของผู้ใช้ แม้จะอ้างว่าเพื่อความปลอดภัย แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ามันจะกระทบสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน และอาจทำให้ความเชื่อมั่นต่อเทคโนโลยีด้านความเป็นส่วนตัวพังทลาย 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/a-disaster-waiting-to-happen-the-privacy-tech-world-reacts-to-the-new-chat-control-bill 📡 Devolo WiFi 6 Router 3600 5G Review เรื่องนี้เล่าได้ว่าเป็นประสบการณ์ตรงของผู้ทดสอบที่ได้ลองใช้เราเตอร์ Devolo WiFi 6 รุ่น 3600 ที่รองรับซิมการ์ด 5G LTE ตัวเครื่องออกแบบมาให้ใช้งานง่ายมาก เพียงใส่ซิม เปิดไฟ และกดปุ่ม WPS ก็เชื่อมต่อได้ทันที จุดเด่นคือสามารถรองรับอุปกรณ์ได้มากกว่า 100 เครื่องพร้อมกัน เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตบ้าน เช่นออฟฟิศใหม่หรือการทำงานนอกสถานที่ ความเร็วขึ้นอยู่กับสัญญาณเครือข่าย แต่เมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มี 5G แรง ๆ ก็เร็วและเสถียรกว่าการแชร์ฮอตสปอตจากมือถือมาก แม้ราคาจะสูงเกือบ £399 แต่ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในสถานการณ์ที่ต้องการอินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้ 🔗 https://www.techradar.com/computing/devolo-wifi-6-router-3600-5g-lte-review 📱 OnePlus 15 เตรียมเปิดตัวในสหรัฐฯ พร้อมของแถมพิเศษ OnePlus 15 ที่หลายคนรอคอยกำลังจะเปิดให้พรีออเดอร์ในสหรัฐฯ วันที่ 4 ธันวาคมนี้ หลังจากเลื่อนเปิดตัวเพราะติดปัญหาการรับรองจาก FCC ราคาจะเริ่มต้นที่ $899.99 สำหรับรุ่น RAM 12GB และ $999.99 สำหรับรุ่น RAM 16GB พร้อมของแถมให้เลือก เช่นนาฬิกา OnePlus Watch 3 มูลค่า $300 หรือหูฟัง Buds Pro 3 จุดเด่นของรุ่นนี้คือแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 7,300mAh ที่ใช้งานได้ยาวนานมาก รวมถึงกล้องและซอฟต์แวร์ที่ได้รับคำชมจนได้คะแนนรีวิวเต็ม 5 ดาว ถือเป็นการกลับมาที่น่าตื่นเต้นของ OnePlus ในตลาดสหรัฐฯ 🔗 https://www.techradar.com/phones/oneplus-phones/the-oneplus-15-is-finally-heading-to-the-us-and-you-can-grab-a-major-pre-order-bonus 🚫 รัสเซียเตรียมแบน WhatsApp ภายใต้ “ม่านเหล็กดิจิทัล” รัฐบาลรัสเซียโดยหน่วยงาน Roskomnadzor ขู่จะบล็อก WhatsApp แบบเต็มรูปแบบ โดยกล่าวหาว่าแพลตฟอร์มนี้ถูกใช้เพื่อกิจกรรมก่อการร้าย และไม่ปฏิบัติตามกฎหมายท้องถิ่น ปัจจุบันมีผู้ใช้ WhatsApp ในรัสเซียกว่า 97 ล้านคน หากถูกบล็อกจริงจะกระทบการสื่อสารอย่างรุนแรง โดยก่อนหน้านี้ Signal ก็ถูกบล็อกไปแล้ว ทำให้ผู้ใช้ถูกบังคับไปใช้แอปที่รัฐควบคุมอย่าง MAX ซึ่งมีความเสี่ยงด้านการสอดส่องสูง WhatsApp ยืนยันว่าจะยังคงให้บริการการสื่อสารแบบเข้ารหัสเพื่อปกป้องสิทธิผู้ใช้ แม้จะถูกกดดันจากรัฐบาล 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/russias-digital-iron-curtain-whatsapp-next-on-the-chopping-block 🤖 Amazon ทดลอง “AI Factories” ติดตั้งในองค์กรลูกค้า Amazon Web Services เปิดตัวแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า “AI Factories” คือการนำฮาร์ดแวร์และระบบ AI ไปติดตั้งในศูนย์ข้อมูลของลูกค้าเอง เพื่อรองรับข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและอธิปไตยข้อมูล ลูกค้าไม่ต้องลงทุนสร้างระบบเอง แต่ AWS จะจัดการทุกอย่างให้ โดยใช้ชิป Nvidia Blackwell และ Trainium3 ของ Amazon จุดนี้ถือเป็นการกลับไปสู่แนวทาง on-premises อีกครั้ง หลังยุคที่ทุกอย่างย้ายขึ้นคลาวด์ เหมาะกับองค์กรหรือรัฐบาลที่ต้องการใช้ AI แต่ไม่สามารถส่งข้อมูลออกนอกพื้นที่ได้ 🔗 https://www.techradar.com/pro/amazon-is-testing-out-private-on-premises-ai-factories 💻 Windows 11 มีบั๊กใหม่ใน Dark Mode ของ File Explorer Microsoft ปล่อยอัปเดตตัวล่าสุด KB5070311 ที่ตั้งใจจะปรับปรุง Dark Mode ให้สมบูรณ์ขึ้น แต่กลับทำให้เกิดบั๊กที่สร้างความรำคาญ เมื่อผู้ใช้เปิดโฟลเดอร์หรือแท็บใหม่ใน File Explorer จะมีแฟลชสีขาววาบขึ้นมา ซึ่งยิ่งรบกวนสายตาในสภาพแสงน้อย Microsoft ยอมรับปัญหาและกำลังแก้ไขก่อนที่จะปล่อยอัปเดตเต็มในสัปดาห์หน้า แม้จะเป็นเพียงเวอร์ชันทดลอง แต่หากไม่แก้ทันก็อาจกระทบผู้ใช้จำนวนมากที่รออัปเดต 🔗 https://www.techradar.com/computing/windows/microsoft-just-broke-file-explorer-dark-mode-some-windows-11-users-are-seeing-jarring-white-flashes-when-opening-folders 💾 Zettlab D6 NAS Review นี่เป็นรีวิวของ Zettlab D6 NAS อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเครือข่ายที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการความเร็วและความปลอดภัยสูง จุดเด่นคือรองรับการเชื่อมต่อความเร็วสูง มีพอร์ตหลากหลาย และระบบจัดการที่ใช้งานง่าย เหมาะกับทั้งธุรกิจขนาดเล็กและผู้ใช้ที่ต้องการเก็บไฟล์จำนวนมากในบ้าน แม้ราคาจะสูง แต่ถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับความสามารถในการปกป้องและแชร์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🔗 https://www.techradar.com/computing/zettlab-d6-nas-device-review 🧩 ทดสอบ ChatGPT, Gemini และ Claude ในโลกมัลติโหมด บทความนี้เล่าถึงการทดสอบ AI รุ่นใหม่ ๆ ที่สามารถทำงานแบบมัลติโหมดได้ เช่น ChatGPT, Gemini และ Claude โดยเปรียบเทียบความสามารถในการเข้าใจข้อความ ภาพ และเสียง จุดที่น่าสนใจคือแต่ละระบบมีจุดแข็งต่างกัน เช่น ChatGPT เด่นด้านการสนทนาเชิงลึก Gemini เน้นการเชื่อมโยงข้อมูลหลายรูปแบบ ส่วน Claude มีความแม่นยำในการตีความบริบท การทดสอบนี้สะท้อนให้เห็นว่า AI กำลังพัฒนาไปสู่การใช้งานที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/testing-chatgpt-gemini-and-claude-in-the-multimodal-maze 📢 ยุคโฆษณาใน ChatGPT เริ่มต้นแล้ว ผู้ใช้ ChatGPT โดยเฉพาะกลุ่ม Pro ที่จ่ายถึง $200 ต่อเดือน กำลังไม่พอใจอย่างหนัก เพราะ OpenAI เริ่มแสดงโฆษณาและแนะนำแอปในระบบ แม้จะเป็นผู้ใช้แบบเสียเงินก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการหาทางสร้างรายได้ใหม่ของบริษัท แต่ก็ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่าเป็นการลดคุณภาพประสบการณ์ของผู้ใช้ที่ยอมจ่ายแพงเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวน 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/the-era-of-ads-in-chatgpt-begins-users-furious-as-even-usd200-a-month-pro-subscribers-hit-with-app-suggestions 🛡️ ออสเตรเลียสั่งห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ใช้ VPN เพื่อเลี่ยงกฎหมายโซเชียล รัฐบาลออสเตรเลียออกมาตรการใหม่ บังคับให้แพลตฟอร์มออนไลน์ต้องป้องกันไม่ให้ผู้ใช้อายุต่ำกว่า 16 ปีใช้ VPN เพื่อหลบเลี่ยงการแบนโซเชียลมีเดีย กฎหมายนี้ถูกวิจารณ์ว่าอาจละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและสร้างภาระให้กับบริษัทเทคโนโลยี แต่รัฐบาลยืนยันว่าจำเป็นเพื่อปกป้องเยาวชนจากผลกระทบของโซเชียลมีเดีย 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/australia-expects-platforms-to-stop-under-16s-from-using-vpns-to-evade-social-media-ban 🛍️ กว่า 2 ใน 3 ของร้านค้าปลีกใช้ AI Agent เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแล้ว รายงานล่าสุดเผยว่ามากกว่า 67% ของผู้ค้าปลีกได้เริ่มนำ AI Agent มาใช้ในการทำงาน เช่น การตอบลูกค้า การจัดการสต็อก และการวิเคราะห์ข้อมูล จุดนี้สะท้อนว่าการใช้ AI ไม่ใช่แค่แนวโน้ม แต่กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของธุรกิจค้าปลีกที่ต้องการความเร็วและความแม่นยำในการแข่งขัน 🔗 https://www.techradar.com/pro/over-two-thirds-of-retailers-have-already-partially-deployed-ai-agents-for-efficiency
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline

    #รวมข่าวIT #20251204 #securityonline

    React พบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-55182
    ทีมพัฒนา React ออกประกาศฉุกเฉินหลังพบช่องโหว่ที่มีความรุนแรงสูงสุด (CVSS 10.0) ซึ่งเปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดบนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ช่องโหว่นี้เกิดจากกระบวนการถอดรหัสข้อมูลที่ส่งจาก client ไปยัง server ใน React Server Components (RSC) ที่ผิดพลาด ทำให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่งแฝงเข้ามาและเข้าควบคุมระบบได้ทันที ปัญหานี้กระทบไปถึงเฟรมเวิร์กยอดนิยมอย่าง Next.js, React Router, Waku และอื่น ๆ โดยมีการออกแพตช์แก้ไขแล้วในหลายเวอร์ชัน นักพัฒนาจำเป็นต้องอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี
    https://securityonline.info/catastrophic-react-flaw-cve-2025-55182-cvss-10-0-allows-unauthenticated-rce-on-next-js-and-server-components

    WordPress เจอช่องโหว่ CVE-2025-6389 ถูกโจมตีจริงแล้ว
    WordPress ที่ใช้ Sneeit Framework กำลังเผชิญการโจมตีครั้งใหญ่ หลังมีการเปิดเผยช่องโหว่ Remote Code Execution (RCE) ที่ทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าควบคุมเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องล็อกอิน ช่องโหว่นี้เกิดจากฟังก์ชัน sneeit_articles_pagination_callback() ที่เปิดให้ผู้ใช้ส่งข้อมูลเข้ามาโดยไม่ตรวจสอบ ทำให้แฮกเกอร์สามารถเรียกใช้ฟังก์ชัน PHP ใด ๆ ได้ตามใจ ผลคือมีการสร้างบัญชีแอดมินปลอมและฝัง backdoor ลงในระบบทันที มีรายงานว่ามีการพยายามโจมตีมากกว่า 131,000 ครั้งแล้ว หากใครยังใช้เวอร์ชัน 8.3 หรือต่ำกว่า ต้องรีบอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 8.4 โดยด่วน
    https://securityonline.info/critical-wordpress-flaw-cve-2025-6389-under-active-exploitation-allows-unauthenticated-rce

    Next.js เจอช่องโหว่ CVE-2025-66478 ระดับสูงสุด นักพัฒนา
    Next.js กำลังเจอวิกฤติครั้งใหญ่ เมื่อพบช่องโหว่ที่มีคะแนนความรุนแรงสูงสุด CVSS 10.0 ซึ่งเปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดบนเซิร์ฟเวอร์ได้ ช่องโหว่นี้เชื่อมโยงกับ React Server Components (CVE-2025-55182) และส่งผลกระทบต่อ Next.js รุ่นใหม่ที่ใช้ App Router โดยตรง เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบคือ Next.js 15.x และ 16.x รวมถึง canary release ของ 14.3.0 ขึ้นไป ทางแก้เดียวคือการอัปเดตไปยังเวอร์ชันที่มีแพตช์ เช่น 15.0.5, 15.1.9 หรือ 16.0.7 หากยังใช้เวอร์ชันที่เสี่ยงอยู่ถือว่าเปิดช่องให้ถูกยึดระบบได้ทันที
    https://securityonline.info/maximum-severity-alert-critical-rce-flaw-hits-next-js-cve-2025-66478-cvss-10-0

    AWS เปิดตัว Frontier Agents: ทีมงาน AI อัตโนมัติ
    ที่งาน re:Invent 2025 AWS สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัว “Frontier Agents” ซึ่งเป็น AI ที่ทำงานได้เหมือนทีมงานจริง ๆ สามารถรับภารกิจและทำงานต่อเนื่องได้โดยไม่ต้องมีคนคอยกำกับตลอดเวลา มีทั้งหมด 3 ตัวหลักคือ Kiro สำหรับงานพัฒนา, Security Agent สำหรับตรวจสอบความปลอดภัย และ DevOps Agent สำหรับแก้ปัญหาระบบที่ล่ม ตัวอย่างเช่น Kiro สามารถรับงานจาก GitHub แล้วแก้บั๊กหรือเพิ่ม test coverage ได้เอง ส่วน Security Agent ก็ช่วยตรวจสอบช่องโหว่ที่เครื่องมือทั่วไปมองไม่เห็น และ DevOps Agent สามารถหาสาเหตุระบบล่มได้ภายใน 15 นาที ซึ่งปกติวิศวกรอาจใช้เวลาหลายชั่วโมง จุดสำคัญคือ AWS ต้องการให้คนทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และปล่อยเวลาไปทำงานเชิงกลยุทธ์แทน
    https://securityonline.info/aws-frontier-agents-autonomous-ai-team-members-take-over-dev-security-and-ops

    AWS S3 Unleashed: ยุคใหม่ของการเก็บข้อมูล AI และ Big Data
    AWS ประกาศอัปเกรดครั้งใหญ่ให้กับ Amazon S3 โดยเพิ่มความสามารถในการเก็บและค้นหาข้อมูลแบบเวกเตอร์ (S3 Vectors) ที่รองรับได้ถึง 20 ล้านล้านเวกเตอร์ และเพิ่มขนาดไฟล์สูงสุดจาก 5 TB เป็น 50 TB ทำให้สามารถเก็บไฟล์ขนาดมหึมา เช่น วิดีโอความละเอียดสูงหรือ dataset สำหรับ AI ได้โดยไม่ต้องแบ่งไฟล์ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง batch operations ให้เร็วขึ้น 10 เท่า และเพิ่มฟีเจอร์ replication ข้าม region สำหรับ S3 Tables จุดเด่นคือช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 90% และทำให้การสร้างระบบ AI หรือ RAG ง่ายขึ้นมาก หลายองค์กรใหญ่ เช่น BMW และ Twilio ได้เริ่มใช้งานแล้ว
    https://securityonline.info/aws-s3-unleashed-native-vector-storage-50-tb-max-object-size-for-ai-big-data

    Raspberry Pi ขึ้นราคาเพราะกระแส AI
    Raspberry Pi ประกาศขึ้นราคาทันทีสำหรับบางรุ่นของ Pi 4 และ Pi 5 เนื่องจากความต้องการหน่วยความจำทั่วโลกที่พุ่งสูงจากการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น รุ่นที่มีหน่วยความจำมากขึ้นจะขึ้นราคาหนักที่สุด เช่น Pi 5 (16GB) จาก 120 ดอลลาร์เป็น 145 ดอลลาร์ และ Pi 5 (8GB) จาก 80 ดอลลาร์เป็น 95 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม Raspberry Pi ก็เปิดตัวรุ่นใหม่ราคาประหยัดคือ Pi 5 (1GB) ที่ 45 ดอลลาร์ เพื่อให้คนทั่วไปยังเข้าถึงได้ CEO Eben Upton ย้ำว่านี่เป็นการปรับราคาชั่วคราว และเมื่อสถานการณ์หน่วยความจำกลับมาปกติ ราคาจะลดลงอีกครั้ง
    https://securityonline.info/raspberry-pi-price-hike-ai-boom-forces-price-increases-on-pi-4-and-pi-5-models

    Android 16 อัปเดตใหม่: AI สรุปแจ้งเตือนและฟีเจอร์ช่วยเหลือผู้พิการ
    Google ปล่อยอัปเดตใหญ่ครั้งที่สองของ Android 16 โดยเพิ่มฟีเจอร์ AI ที่ช่วยสรุปข้อความแจ้งเตือนยาว ๆ ให้เข้าใจง่ายขึ้น และมี Notification Organizer ที่ช่วยจัดการแจ้งเตือนที่ไม่สำคัญให้อัตโนมัติ ด้านความปลอดภัยก็มีการกรองข้อความเชิญเข้ากลุ่มจากเบอร์แปลก และ Circle to Search สามารถตรวจสอบข้อความหลอกลวงได้ ฟีเจอร์ใหม่ยังรวมถึงการปรับแต่งไอคอน, Dark Theme ที่ครอบคลุมทุกแอป และ parental control ที่ใช้งานง่ายขึ้น ที่สำคัญคือการปรับปรุงด้าน accessibility เช่น TalkBack ที่ใช้ Gemini ช่วยแก้ไขข้อความด้วยเสียง, กล้องที่ให้คำแนะนำเสียงสำหรับผู้พิการทางสายตา, AutoClick สำหรับผู้ใช้เมาส์ และ Expressive Captions ที่บอกอารมณ์ของผู้พูดในวิดีโอ ฟีเจอร์เหล่านี้เริ่มปล่อยให้ Pixel ก่อนและจะขยายไปยังอุปกรณ์อื่นในอนาคต
    https://securityonline.info/android-16-update-ai-notification-summaries-gemini-powered-accessibility-suite

    AWS Nova Forge: แพลตฟอร์มเปิดให้ปรับแต่งโมเดล Nova 2
    AWS เปิดตัว Nova Forge ที่งาน re:Invent 2025 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งโมเดล Nova 2 ได้อย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่ขั้น pre-training ไปจนถึง post-training ทำให้สามารถใส่ความรู้เฉพาะองค์กรเข้าไปในโมเดลโดยตรง ไม่ต้องพึ่งการเชื่อมต่อภายนอกที่อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่เสถียร จุดเด่นคือความยืดหยุ่นในการปรับแต่งตามกฎและความรู้ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา AWS ยังเสริมระบบ guardrails เพื่อให้ลูกค้ากำหนดขอบเขตพฤติกรรมของโมเดลได้เอง นอกจากนี้ Nova Forge ยังสามารถใช้ปรับแต่ง Alexa+ ได้โดยตรง ทำให้บริการสำหรับองค์กรมีความเฉพาะตัวมากขึ้น ถือเป็นการยกระดับการสร้างโมเดล AI ให้ตอบโจทย์ธุรกิจได้จริง
    https://securityonline.info/aws-nova-forge-open-training-platform-enables-deep-customization-of-nova-2-models

    ช่องโหว่ร้ายแรงใน Vim for Windows (CVE-2025-66476)
    มีการค้นพบช่องโหว่ระดับสูงใน Vim เวอร์ชัน Windows ที่อาจเปิดทางให้ผู้โจมตีรันโค้ดอันตรายได้หากผู้ใช้เปิดไฟล์จากโฟลเดอร์ที่ถูกเจาะแล้ว ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการ path ที่ไม่ปลอดภัย ทำให้ผู้โจมตีสามารถฝังสคริปต์ไว้ในไฟล์ที่ดูเหมือนปกติได้ ผลคือผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกควบคุมเครื่องโดยไม่รู้ตัว นักวิจัยเตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตแพตช์ล่าสุดเพื่อป้องกันการโจมตี
    https://securityonline.info/high-severity-vim-for-windows-flaw-cve-2025-66476-risks-arbitrary-code-execution-from-compromised-folders

    แคมเปญ Water Saci ใช้ LLM แปลงมัลแวร์เป็น Python
    นักวิจัยพบการโจมตีใหม่ชื่อ Water Saci ที่ใช้โมเดลภาษาใหญ่ (LLM) ช่วยแปลงโค้ดมัลแวร์เป็น Python เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ จากนั้นแพร่กระจายผ่าน WhatsApp worm โดยส่งลิงก์ปลอมไปยังผู้ใช้ เมื่อเหยื่อคลิกก็จะติด Banking Trojan ที่ขโมยข้อมูลการเงิน จุดน่าสนใจคือการใช้ AI ในการปรับโค้ดให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ทำให้การโจมตียากต่อการตรวจจับมากขึ้น
    https://securityonline.info/water-saci-campaign-uses-llms-to-convert-malware-to-python-spreads-banking-trojan-via-whatsapp-worm

    Synology BeeStation พบช่องโหว่ SQL Injection แบบใหม่
    มีการเปิดเผยช่องโหว่ใน Synology BeeStation ที่สามารถนำไปสู่การเข้าถึงสิทธิ์ root ได้ผ่านเทคนิค “Dirty File Write” ซึ่งเป็นการโจมตี SQL Injection รูปแบบใหม่ นักวิจัยได้เผยแพร่ PoC แล้ว ทำให้ผู้โจมตีสามารถใช้ประโยชน์ได้ทันทีหากผู้ใช้ยังไม่อัปเดตแพตช์ ความร้ายแรงคือสามารถควบคุมระบบทั้งหมดได้โดยตรง Synology แนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี
    https://securityonline.info/synology-beestation-flaw-chain-leads-to-root-rce-via-novel-dirty-file-write-sql-injection-poc-available

    Matanbuchus 3.0 เปลี่ยนจาก Downloader ไปสู่ Ransomware
    มัลแวร์ Matanbuchus ได้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 3.0 โดยเปลี่ยนบทบาทจากการเป็น downloader ไปสู่การทำงานเป็น ransomware เต็มรูปแบบ ใช้เทคนิคใหม่อย่าง Protobufs และ Intel QuickAssist เพื่อซ่อนการเข้าถึงและทำงานได้อย่างลับ ๆ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้การโจมตีมีความซับซ้อนและอันตรายมากขึ้น เพราะสามารถเข้ารหัสไฟล์และเรียกค่าไถ่ได้โดยตรง
    https://securityonline.info/matanbuchus-3-0-downloader-pivots-to-ransomware-using-protobufs-and-quickassist-for-stealth-access

    ShadyPanda Spyware แฮ็กผู้ใช้กว่า 4.3 ล้านราย
    มีรายงานว่า ShadyPanda Spyware ใช้ประโยชน์จากการอัปเดตอัตโนมัติของส่วนขยายเบราว์เซอร์ที่เชื่อถือได้ เพื่อฝังโค้ดอันตรายและเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้โดยตรง ส่งผลให้มีผู้ใช้กว่า 4.3 ล้านรายถูกเจาะข้อมูล การโจมตีนี้อันตรายมากเพราะเกิดขึ้นผ่านช่องทางที่ผู้ใช้เชื่อถืออยู่แล้ว ทำให้ยากต่อการสังเกตหรือป้องกัน
    https://securityonline.info/shadypanda-spyware-hacked-4-3-million-users-by-weaponizing-trusted-browser-extensions-via-auto-updates

    ช่องโหว่ร้ายแรงในปลั๊กอิน WordPress ACF Extended
    มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงในปลั๊กอิน Advanced Custom Fields: Extended ที่ถูกใช้งานบนเว็บไซต์กว่าแสนแห่งทั่วโลก ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถรันโค้ดจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องล็อกอินเข้าระบบ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถเข้าควบคุมเว็บไซต์ได้เต็มรูปแบบ นักวิจัยด้านความปลอดภัยที่ค้นพบได้รับเงินรางวัลจากการแจ้งเตือน เนื่องจากความเสี่ยงสูงสุดที่ช่องโหว่นี้สร้างขึ้น ทีมพัฒนาจึงรีบออกแพตช์แก้ไขและแนะนำให้ผู้ดูแลเว็บไซต์รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี
    https://securityonline.info/critical-acf-extended-flaw-cve-2025-13486-cvss-9-8-allows-unauthenticated-rce-on-100k-wordpress-sites

    อินเดียบังคับใช้กฎ SIM-Binding บน WhatsApp และ Telegram
    รัฐบาลอินเดียออกข้อบังคับใหม่ที่เข้มงวดกับแอปแชทชื่อดังอย่าง WhatsApp, Telegram และอีกหลายแพลตฟอร์ม โดยกำหนดให้ผู้ใช้ต้องผูกบัญชีเข้ากับซิมการ์ดที่ออกในอินเดีย และต้องยืนยันตัวตนใหม่ทุก ๆ 6 ชั่วโมง หากไม่มีซิมที่เชื่อมโยงอยู่ บัญชีจะถูกล็อกทันที กฎนี้ถูกออกมาเพื่อป้องกันการใช้เบอร์โทรศัพท์อินเดียไปทำการหลอกลวงหรือฟิชชิ่งจากต่างประเทศ แม้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย แต่ก็สร้างคำถามว่าแพลตฟอร์มต่างชาติที่เน้นความเป็นส่วนตัวจะยอมทำตามหรือไม่
    https://securityonline.info/india-mandates-sim-binding-whatsapp-and-telegram-users-must-re-verify-every-6-hours

    OpenAI ยกเลิกแผนโฆษณา หันมาโฟกัสคุณภาพ ChatGPT รับมือ Gemini
    OpenAI เคยทดลองเพิ่มโฆษณาใน ChatGPT เพื่อหารายได้ แต่ล่าสุดบริษัทตัดสินใจหยุดแผนนี้และหันมาเน้นพัฒนาคุณภาพของ ChatGPT ให้ดียิ่งขึ้น เหตุผลสำคัญคือการมาของ Google Gemini ที่กำลังดึงผู้ใช้จำนวนมากไป ทำให้ Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ประกาศ “red alert” ภายในบริษัท พร้อมสั่งทีมงานเร่งพัฒนาโมเดล reasoning ใหม่ที่คาดว่าจะเหนือกว่า Gemini 3 รวมถึงปรับปรุงด้าน personalization และความเร็วในการใช้งาน เพื่อรักษาฐานผู้ใช้และความสามารถในการแข่งขัน
    https://securityonline.info/red-alert-at-openai-ad-plans-dropped-to-focus-on-chatgpt-quality-amid-gemini-threat

    Let’s Encrypt เตรียมลดอายุใบรับรองเหลือ 45 วันภายในปี 2028
    เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของระบบอินเทอร์เน็ต องค์กร CA/Browser Forum ได้ตกลงให้ลดอายุการใช้งานของใบรับรอง SSL/TLS จากเดิมเกือบ 400 วัน เหลือเพียง 45 วันเท่านั้น โดย Let’s Encrypt ประกาศว่าจะทยอยปรับตามข้อกำหนดนี้จนเสร็จสมบูรณ์ในปี 2028 การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่าผู้ดูแลระบบต้องมีการต่ออายุใบรับรองบ่อยขึ้น และต้องพึ่งพาการทำงานแบบอัตโนมัติเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่อาจทำให้เว็บไซต์ล่ม
    https://securityonline.info/security-tightens-lets-encrypt-will-cap-certificate-validity-at-45-days-by-2028

    อัปเดต Windows ทำ Dark Mode พัง ไฟล์ Explorer กระพริบขาว
    ผู้ใช้ Windows 11 ที่ติดตั้งอัปเดต KB5070311 พบปัญหาน่ารำคาญ เมื่อเปิด File Explorer ในโหมดมืด หน้าต่างจะกระพริบเป็นสีขาวสว่างก่อนโหลดข้อมูล ซึ่งสร้างความไม่สบายตาและทำให้ประสบการณ์ใช้งานสะดุด แม้ Microsoft จะระบุว่านี่เป็นเพียงอัปเดตตัวทดลอง แต่ก็ทำให้ผู้ใช้หลายคนผิดหวัง เพราะฟีเจอร์ที่ควรทำให้ใช้งานราบรื่นกลับสร้างปัญหาแทน ตอนนี้ Microsoft กำลังเร่งแก้ไขเพื่อไม่ให้บั๊กนี้หลุดไปถึงเวอร์ชันเสถียร
    https://securityonline.info/microsoft-update-breaks-dark-mode-file-explorer-now-flashes-white-on-launch

    Google Phone App เพิ่มฟีเจอร์ “Call Reason” ให้โทรศัพท์ดูสำคัญขึ้น
    Google เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในแอป Phone ที่ชื่อว่า “Call Reason” ผู้โทรสามารถใส่เหตุผลประกอบการโทร เช่น “ด่วนมาก” หรือ “ประชุมสำคัญ” เพื่อให้ผู้รับรู้ทันทีว่าโทรศัพท์นั้นมีความสำคัญแค่ไหน ฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่หลายคนไม่รับสายจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก หรือสายที่ไม่ระบุรายละเอียด การเพิ่มข้อความสั้น ๆ ก่อนโทรช่วยให้ผู้รับตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะรับสายทันทีหรือไม่
    https://securityonline.info/google-phone-app-gets-call-reason-mark-calls-as-urgent-to-ensure-a-pick-up

    AWS Bedrock เปิดตัวครั้งใหญ่ เพิ่ม 18 โมเดล AI และระบบ AgentCore ใหม่
    Amazon Web Services (AWS) ประกาศอัปเดตครั้งใหญ่ให้กับ Bedrock โดยเพิ่มโมเดล AI ใหม่ถึง 18 โมเดลจากหลายบริษัท พร้อมปรับปรุงระบบ AgentCore ที่ช่วยให้การทำงานของ AI มีความปลอดภัยและยืดหยุ่นมากขึ้น จุดเด่นคือการรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่การสร้างคอนเทนต์ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก รวมถึงการเพิ่มระบบความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่
    https://securityonline.info/aws-bedrock-unleashed-18-new-ai-models-agentcore-upgrades-and-enhanced-security

    AWS เปิดตัวชิป Trainium3 เร็วขึ้น 4.4 เท่า สำหรับงาน AI
    AWS เปิดตัวชิปใหม่ Trainium3 ที่ออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI โดยเฉพาะ ชิปนี้ให้ประสิทธิภาพเร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 4.4 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน และถูกนำไปใช้ในเซิร์ฟเวอร์ EC2 UltraServers จุดเด่นคือการรองรับงาน AI ที่ซับซ้อน เช่น การฝึกโมเดลขนาดใหญ่ และการประมวลผลแบบเรียลไทม์ ถือเป็นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ของ AWS ให้แข่งขันกับผู้ให้บริการรายอื่นได้อย่างแข็งแกร่ง
    https://securityonline.info/aws-unleashes-trainium3-chip-4-4x-faster-ai-performance-for-ec2-ultraservers

    AWS AI Factories นำโครงสร้างพื้นฐาน AI ลงสู่ On-Premises
    AWS เปิดตัวแนวคิด “AI Factories” ที่ช่วยให้องค์กรสามารถนำโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่สมบูรณ์แบบจากระบบคลาวด์มาติดตั้งใช้งานในสถานที่ของตัวเอง (On-Premises) เพื่อรองรับความต้องการด้าน Data Sovereignty หรือการควบคุมข้อมูลให้อยู่ในประเทศหรือองค์กรโดยตรง แนวทางนี้ตอบโจทย์องค์กรที่ต้องการใช้ AI แต่มีข้อจำกัดด้านกฎหมายหรือความปลอดภัยของข้อมูล
    https://securityonline.info/aws-ai-factories-bringing-full-cloud-ai-infrastructure-on-prem-for-data-sovereignty

    AWS เปิดตัวตระกูลโมเดล Nova 2 รองรับ Multimodal และ Agentic AI
    AWS ประกาศเปิดตัวโมเดลใหม่ในตระกูล Nova 2 ที่สามารถทำงานแบบ Multimodal คือรองรับทั้งข้อความ ภาพ และเสียง พร้อมฟีเจอร์ Agentic Nova Act ที่ช่วยให้ AI สามารถทำงานเชิงรุกได้มากขึ้น เช่น การตัดสินใจอัตโนมัติและการทำงานแทนมนุษย์ในบางกระบวนการ ถือเป็นการยกระดับความสามารถของ AWS ในการแข่งขันกับผู้ให้บริการ AI รายใหญ่ทั่วโลก
    https://securityonline.info/aws-unveils-nova-2-ai-model-family-with-multimodal-omni-agentic-nova-act

    📌🔐🟠 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🟠🔐📌 #รวมข่าวIT #20251204 #securityonline 🛡️ React พบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-55182 ทีมพัฒนา React ออกประกาศฉุกเฉินหลังพบช่องโหว่ที่มีความรุนแรงสูงสุด (CVSS 10.0) ซึ่งเปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดบนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ช่องโหว่นี้เกิดจากกระบวนการถอดรหัสข้อมูลที่ส่งจาก client ไปยัง server ใน React Server Components (RSC) ที่ผิดพลาด ทำให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่งแฝงเข้ามาและเข้าควบคุมระบบได้ทันที ปัญหานี้กระทบไปถึงเฟรมเวิร์กยอดนิยมอย่าง Next.js, React Router, Waku และอื่น ๆ โดยมีการออกแพตช์แก้ไขแล้วในหลายเวอร์ชัน นักพัฒนาจำเป็นต้องอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี 🔗 https://securityonline.info/catastrophic-react-flaw-cve-2025-55182-cvss-10-0-allows-unauthenticated-rce-on-next-js-and-server-components ⚠️ WordPress เจอช่องโหว่ CVE-2025-6389 ถูกโจมตีจริงแล้ว WordPress ที่ใช้ Sneeit Framework กำลังเผชิญการโจมตีครั้งใหญ่ หลังมีการเปิดเผยช่องโหว่ Remote Code Execution (RCE) ที่ทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าควบคุมเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องล็อกอิน ช่องโหว่นี้เกิดจากฟังก์ชัน sneeit_articles_pagination_callback() ที่เปิดให้ผู้ใช้ส่งข้อมูลเข้ามาโดยไม่ตรวจสอบ ทำให้แฮกเกอร์สามารถเรียกใช้ฟังก์ชัน PHP ใด ๆ ได้ตามใจ ผลคือมีการสร้างบัญชีแอดมินปลอมและฝัง backdoor ลงในระบบทันที มีรายงานว่ามีการพยายามโจมตีมากกว่า 131,000 ครั้งแล้ว หากใครยังใช้เวอร์ชัน 8.3 หรือต่ำกว่า ต้องรีบอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 8.4 โดยด่วน 🔗 https://securityonline.info/critical-wordpress-flaw-cve-2025-6389-under-active-exploitation-allows-unauthenticated-rce 🚨 Next.js เจอช่องโหว่ CVE-2025-66478 ระดับสูงสุด นักพัฒนา Next.js กำลังเจอวิกฤติครั้งใหญ่ เมื่อพบช่องโหว่ที่มีคะแนนความรุนแรงสูงสุด CVSS 10.0 ซึ่งเปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดบนเซิร์ฟเวอร์ได้ ช่องโหว่นี้เชื่อมโยงกับ React Server Components (CVE-2025-55182) และส่งผลกระทบต่อ Next.js รุ่นใหม่ที่ใช้ App Router โดยตรง เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบคือ Next.js 15.x และ 16.x รวมถึง canary release ของ 14.3.0 ขึ้นไป ทางแก้เดียวคือการอัปเดตไปยังเวอร์ชันที่มีแพตช์ เช่น 15.0.5, 15.1.9 หรือ 16.0.7 หากยังใช้เวอร์ชันที่เสี่ยงอยู่ถือว่าเปิดช่องให้ถูกยึดระบบได้ทันที 🔗 https://securityonline.info/maximum-severity-alert-critical-rce-flaw-hits-next-js-cve-2025-66478-cvss-10-0 🧑‍💻 AWS เปิดตัว Frontier Agents: ทีมงาน AI อัตโนมัติ ที่งาน re:Invent 2025 AWS สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัว “Frontier Agents” ซึ่งเป็น AI ที่ทำงานได้เหมือนทีมงานจริง ๆ สามารถรับภารกิจและทำงานต่อเนื่องได้โดยไม่ต้องมีคนคอยกำกับตลอดเวลา มีทั้งหมด 3 ตัวหลักคือ Kiro สำหรับงานพัฒนา, Security Agent สำหรับตรวจสอบความปลอดภัย และ DevOps Agent สำหรับแก้ปัญหาระบบที่ล่ม ตัวอย่างเช่น Kiro สามารถรับงานจาก GitHub แล้วแก้บั๊กหรือเพิ่ม test coverage ได้เอง ส่วน Security Agent ก็ช่วยตรวจสอบช่องโหว่ที่เครื่องมือทั่วไปมองไม่เห็น และ DevOps Agent สามารถหาสาเหตุระบบล่มได้ภายใน 15 นาที ซึ่งปกติวิศวกรอาจใช้เวลาหลายชั่วโมง จุดสำคัญคือ AWS ต้องการให้คนทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และปล่อยเวลาไปทำงานเชิงกลยุทธ์แทน 🔗 https://securityonline.info/aws-frontier-agents-autonomous-ai-team-members-take-over-dev-security-and-ops 📦 AWS S3 Unleashed: ยุคใหม่ของการเก็บข้อมูล AI และ Big Data AWS ประกาศอัปเกรดครั้งใหญ่ให้กับ Amazon S3 โดยเพิ่มความสามารถในการเก็บและค้นหาข้อมูลแบบเวกเตอร์ (S3 Vectors) ที่รองรับได้ถึง 20 ล้านล้านเวกเตอร์ และเพิ่มขนาดไฟล์สูงสุดจาก 5 TB เป็น 50 TB ทำให้สามารถเก็บไฟล์ขนาดมหึมา เช่น วิดีโอความละเอียดสูงหรือ dataset สำหรับ AI ได้โดยไม่ต้องแบ่งไฟล์ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง batch operations ให้เร็วขึ้น 10 เท่า และเพิ่มฟีเจอร์ replication ข้าม region สำหรับ S3 Tables จุดเด่นคือช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 90% และทำให้การสร้างระบบ AI หรือ RAG ง่ายขึ้นมาก หลายองค์กรใหญ่ เช่น BMW และ Twilio ได้เริ่มใช้งานแล้ว 🔗 https://securityonline.info/aws-s3-unleashed-native-vector-storage-50-tb-max-object-size-for-ai-big-data 💾 Raspberry Pi ขึ้นราคาเพราะกระแส AI Raspberry Pi ประกาศขึ้นราคาทันทีสำหรับบางรุ่นของ Pi 4 และ Pi 5 เนื่องจากความต้องการหน่วยความจำทั่วโลกที่พุ่งสูงจากการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น รุ่นที่มีหน่วยความจำมากขึ้นจะขึ้นราคาหนักที่สุด เช่น Pi 5 (16GB) จาก 120 ดอลลาร์เป็น 145 ดอลลาร์ และ Pi 5 (8GB) จาก 80 ดอลลาร์เป็น 95 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม Raspberry Pi ก็เปิดตัวรุ่นใหม่ราคาประหยัดคือ Pi 5 (1GB) ที่ 45 ดอลลาร์ เพื่อให้คนทั่วไปยังเข้าถึงได้ CEO Eben Upton ย้ำว่านี่เป็นการปรับราคาชั่วคราว และเมื่อสถานการณ์หน่วยความจำกลับมาปกติ ราคาจะลดลงอีกครั้ง 🔗 https://securityonline.info/raspberry-pi-price-hike-ai-boom-forces-price-increases-on-pi-4-and-pi-5-models 📱 Android 16 อัปเดตใหม่: AI สรุปแจ้งเตือนและฟีเจอร์ช่วยเหลือผู้พิการ Google ปล่อยอัปเดตใหญ่ครั้งที่สองของ Android 16 โดยเพิ่มฟีเจอร์ AI ที่ช่วยสรุปข้อความแจ้งเตือนยาว ๆ ให้เข้าใจง่ายขึ้น และมี Notification Organizer ที่ช่วยจัดการแจ้งเตือนที่ไม่สำคัญให้อัตโนมัติ ด้านความปลอดภัยก็มีการกรองข้อความเชิญเข้ากลุ่มจากเบอร์แปลก และ Circle to Search สามารถตรวจสอบข้อความหลอกลวงได้ ฟีเจอร์ใหม่ยังรวมถึงการปรับแต่งไอคอน, Dark Theme ที่ครอบคลุมทุกแอป และ parental control ที่ใช้งานง่ายขึ้น ที่สำคัญคือการปรับปรุงด้าน accessibility เช่น TalkBack ที่ใช้ Gemini ช่วยแก้ไขข้อความด้วยเสียง, กล้องที่ให้คำแนะนำเสียงสำหรับผู้พิการทางสายตา, AutoClick สำหรับผู้ใช้เมาส์ และ Expressive Captions ที่บอกอารมณ์ของผู้พูดในวิดีโอ ฟีเจอร์เหล่านี้เริ่มปล่อยให้ Pixel ก่อนและจะขยายไปยังอุปกรณ์อื่นในอนาคต 🔗 https://securityonline.info/android-16-update-ai-notification-summaries-gemini-powered-accessibility-suite ⚙️ AWS Nova Forge: แพลตฟอร์มเปิดให้ปรับแต่งโมเดล Nova 2 AWS เปิดตัว Nova Forge ที่งาน re:Invent 2025 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งโมเดล Nova 2 ได้อย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่ขั้น pre-training ไปจนถึง post-training ทำให้สามารถใส่ความรู้เฉพาะองค์กรเข้าไปในโมเดลโดยตรง ไม่ต้องพึ่งการเชื่อมต่อภายนอกที่อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่เสถียร จุดเด่นคือความยืดหยุ่นในการปรับแต่งตามกฎและความรู้ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา AWS ยังเสริมระบบ guardrails เพื่อให้ลูกค้ากำหนดขอบเขตพฤติกรรมของโมเดลได้เอง นอกจากนี้ Nova Forge ยังสามารถใช้ปรับแต่ง Alexa+ ได้โดยตรง ทำให้บริการสำหรับองค์กรมีความเฉพาะตัวมากขึ้น ถือเป็นการยกระดับการสร้างโมเดล AI ให้ตอบโจทย์ธุรกิจได้จริง 🔗 https://securityonline.info/aws-nova-forge-open-training-platform-enables-deep-customization-of-nova-2-models 🛠️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Vim for Windows (CVE-2025-66476) มีการค้นพบช่องโหว่ระดับสูงใน Vim เวอร์ชัน Windows ที่อาจเปิดทางให้ผู้โจมตีรันโค้ดอันตรายได้หากผู้ใช้เปิดไฟล์จากโฟลเดอร์ที่ถูกเจาะแล้ว ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการ path ที่ไม่ปลอดภัย ทำให้ผู้โจมตีสามารถฝังสคริปต์ไว้ในไฟล์ที่ดูเหมือนปกติได้ ผลคือผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกควบคุมเครื่องโดยไม่รู้ตัว นักวิจัยเตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตแพตช์ล่าสุดเพื่อป้องกันการโจมตี 🔗 https://securityonline.info/high-severity-vim-for-windows-flaw-cve-2025-66476-risks-arbitrary-code-execution-from-compromised-folders 🐍 แคมเปญ Water Saci ใช้ LLM แปลงมัลแวร์เป็น Python นักวิจัยพบการโจมตีใหม่ชื่อ Water Saci ที่ใช้โมเดลภาษาใหญ่ (LLM) ช่วยแปลงโค้ดมัลแวร์เป็น Python เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ จากนั้นแพร่กระจายผ่าน WhatsApp worm โดยส่งลิงก์ปลอมไปยังผู้ใช้ เมื่อเหยื่อคลิกก็จะติด Banking Trojan ที่ขโมยข้อมูลการเงิน จุดน่าสนใจคือการใช้ AI ในการปรับโค้ดให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ทำให้การโจมตียากต่อการตรวจจับมากขึ้น 🔗 https://securityonline.info/water-saci-campaign-uses-llms-to-convert-malware-to-python-spreads-banking-trojan-via-whatsapp-worm 🐝 Synology BeeStation พบช่องโหว่ SQL Injection แบบใหม่ มีการเปิดเผยช่องโหว่ใน Synology BeeStation ที่สามารถนำไปสู่การเข้าถึงสิทธิ์ root ได้ผ่านเทคนิค “Dirty File Write” ซึ่งเป็นการโจมตี SQL Injection รูปแบบใหม่ นักวิจัยได้เผยแพร่ PoC แล้ว ทำให้ผู้โจมตีสามารถใช้ประโยชน์ได้ทันทีหากผู้ใช้ยังไม่อัปเดตแพตช์ ความร้ายแรงคือสามารถควบคุมระบบทั้งหมดได้โดยตรง Synology แนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี 🔗 https://securityonline.info/synology-beestation-flaw-chain-leads-to-root-rce-via-novel-dirty-file-write-sql-injection-poc-available 🔒 Matanbuchus 3.0 เปลี่ยนจาก Downloader ไปสู่ Ransomware มัลแวร์ Matanbuchus ได้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 3.0 โดยเปลี่ยนบทบาทจากการเป็น downloader ไปสู่การทำงานเป็น ransomware เต็มรูปแบบ ใช้เทคนิคใหม่อย่าง Protobufs และ Intel QuickAssist เพื่อซ่อนการเข้าถึงและทำงานได้อย่างลับ ๆ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้การโจมตีมีความซับซ้อนและอันตรายมากขึ้น เพราะสามารถเข้ารหัสไฟล์และเรียกค่าไถ่ได้โดยตรง 🔗 https://securityonline.info/matanbuchus-3-0-downloader-pivots-to-ransomware-using-protobufs-and-quickassist-for-stealth-access 🕵️ ShadyPanda Spyware แฮ็กผู้ใช้กว่า 4.3 ล้านราย มีรายงานว่า ShadyPanda Spyware ใช้ประโยชน์จากการอัปเดตอัตโนมัติของส่วนขยายเบราว์เซอร์ที่เชื่อถือได้ เพื่อฝังโค้ดอันตรายและเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้โดยตรง ส่งผลให้มีผู้ใช้กว่า 4.3 ล้านรายถูกเจาะข้อมูล การโจมตีนี้อันตรายมากเพราะเกิดขึ้นผ่านช่องทางที่ผู้ใช้เชื่อถืออยู่แล้ว ทำให้ยากต่อการสังเกตหรือป้องกัน 🔗 https://securityonline.info/shadypanda-spyware-hacked-4-3-million-users-by-weaponizing-trusted-browser-extensions-via-auto-updates 🛡️ ช่องโหว่ร้ายแรงในปลั๊กอิน WordPress ACF Extended มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงในปลั๊กอิน Advanced Custom Fields: Extended ที่ถูกใช้งานบนเว็บไซต์กว่าแสนแห่งทั่วโลก ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถรันโค้ดจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องล็อกอินเข้าระบบ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถเข้าควบคุมเว็บไซต์ได้เต็มรูปแบบ นักวิจัยด้านความปลอดภัยที่ค้นพบได้รับเงินรางวัลจากการแจ้งเตือน เนื่องจากความเสี่ยงสูงสุดที่ช่องโหว่นี้สร้างขึ้น ทีมพัฒนาจึงรีบออกแพตช์แก้ไขและแนะนำให้ผู้ดูแลเว็บไซต์รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี 🔗 https://securityonline.info/critical-acf-extended-flaw-cve-2025-13486-cvss-9-8-allows-unauthenticated-rce-on-100k-wordpress-sites 📱 อินเดียบังคับใช้กฎ SIM-Binding บน WhatsApp และ Telegram รัฐบาลอินเดียออกข้อบังคับใหม่ที่เข้มงวดกับแอปแชทชื่อดังอย่าง WhatsApp, Telegram และอีกหลายแพลตฟอร์ม โดยกำหนดให้ผู้ใช้ต้องผูกบัญชีเข้ากับซิมการ์ดที่ออกในอินเดีย และต้องยืนยันตัวตนใหม่ทุก ๆ 6 ชั่วโมง หากไม่มีซิมที่เชื่อมโยงอยู่ บัญชีจะถูกล็อกทันที กฎนี้ถูกออกมาเพื่อป้องกันการใช้เบอร์โทรศัพท์อินเดียไปทำการหลอกลวงหรือฟิชชิ่งจากต่างประเทศ แม้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย แต่ก็สร้างคำถามว่าแพลตฟอร์มต่างชาติที่เน้นความเป็นส่วนตัวจะยอมทำตามหรือไม่ 🔗 https://securityonline.info/india-mandates-sim-binding-whatsapp-and-telegram-users-must-re-verify-every-6-hours 🚨 OpenAI ยกเลิกแผนโฆษณา หันมาโฟกัสคุณภาพ ChatGPT รับมือ Gemini OpenAI เคยทดลองเพิ่มโฆษณาใน ChatGPT เพื่อหารายได้ แต่ล่าสุดบริษัทตัดสินใจหยุดแผนนี้และหันมาเน้นพัฒนาคุณภาพของ ChatGPT ให้ดียิ่งขึ้น เหตุผลสำคัญคือการมาของ Google Gemini ที่กำลังดึงผู้ใช้จำนวนมากไป ทำให้ Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ประกาศ “red alert” ภายในบริษัท พร้อมสั่งทีมงานเร่งพัฒนาโมเดล reasoning ใหม่ที่คาดว่าจะเหนือกว่า Gemini 3 รวมถึงปรับปรุงด้าน personalization และความเร็วในการใช้งาน เพื่อรักษาฐานผู้ใช้และความสามารถในการแข่งขัน 🔗 https://securityonline.info/red-alert-at-openai-ad-plans-dropped-to-focus-on-chatgpt-quality-amid-gemini-threat 🔒 Let’s Encrypt เตรียมลดอายุใบรับรองเหลือ 45 วันภายในปี 2028 เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของระบบอินเทอร์เน็ต องค์กร CA/Browser Forum ได้ตกลงให้ลดอายุการใช้งานของใบรับรอง SSL/TLS จากเดิมเกือบ 400 วัน เหลือเพียง 45 วันเท่านั้น โดย Let’s Encrypt ประกาศว่าจะทยอยปรับตามข้อกำหนดนี้จนเสร็จสมบูรณ์ในปี 2028 การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่าผู้ดูแลระบบต้องมีการต่ออายุใบรับรองบ่อยขึ้น และต้องพึ่งพาการทำงานแบบอัตโนมัติเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่อาจทำให้เว็บไซต์ล่ม 🔗 https://securityonline.info/security-tightens-lets-encrypt-will-cap-certificate-validity-at-45-days-by-2028 💻 อัปเดต Windows ทำ Dark Mode พัง ไฟล์ Explorer กระพริบขาว ผู้ใช้ Windows 11 ที่ติดตั้งอัปเดต KB5070311 พบปัญหาน่ารำคาญ เมื่อเปิด File Explorer ในโหมดมืด หน้าต่างจะกระพริบเป็นสีขาวสว่างก่อนโหลดข้อมูล ซึ่งสร้างความไม่สบายตาและทำให้ประสบการณ์ใช้งานสะดุด แม้ Microsoft จะระบุว่านี่เป็นเพียงอัปเดตตัวทดลอง แต่ก็ทำให้ผู้ใช้หลายคนผิดหวัง เพราะฟีเจอร์ที่ควรทำให้ใช้งานราบรื่นกลับสร้างปัญหาแทน ตอนนี้ Microsoft กำลังเร่งแก้ไขเพื่อไม่ให้บั๊กนี้หลุดไปถึงเวอร์ชันเสถียร 🔗 https://securityonline.info/microsoft-update-breaks-dark-mode-file-explorer-now-flashes-white-on-launch 📞 Google Phone App เพิ่มฟีเจอร์ “Call Reason” ให้โทรศัพท์ดูสำคัญขึ้น Google เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในแอป Phone ที่ชื่อว่า “Call Reason” ผู้โทรสามารถใส่เหตุผลประกอบการโทร เช่น “ด่วนมาก” หรือ “ประชุมสำคัญ” เพื่อให้ผู้รับรู้ทันทีว่าโทรศัพท์นั้นมีความสำคัญแค่ไหน ฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่หลายคนไม่รับสายจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก หรือสายที่ไม่ระบุรายละเอียด การเพิ่มข้อความสั้น ๆ ก่อนโทรช่วยให้ผู้รับตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะรับสายทันทีหรือไม่ 🔗 https://securityonline.info/google-phone-app-gets-call-reason-mark-calls-as-urgent-to-ensure-a-pick-up ☁️ AWS Bedrock เปิดตัวครั้งใหญ่ เพิ่ม 18 โมเดล AI และระบบ AgentCore ใหม่ Amazon Web Services (AWS) ประกาศอัปเดตครั้งใหญ่ให้กับ Bedrock โดยเพิ่มโมเดล AI ใหม่ถึง 18 โมเดลจากหลายบริษัท พร้อมปรับปรุงระบบ AgentCore ที่ช่วยให้การทำงานของ AI มีความปลอดภัยและยืดหยุ่นมากขึ้น จุดเด่นคือการรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่การสร้างคอนเทนต์ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก รวมถึงการเพิ่มระบบความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่ 🔗 https://securityonline.info/aws-bedrock-unleashed-18-new-ai-models-agentcore-upgrades-and-enhanced-security ⚡ AWS เปิดตัวชิป Trainium3 เร็วขึ้น 4.4 เท่า สำหรับงาน AI AWS เปิดตัวชิปใหม่ Trainium3 ที่ออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI โดยเฉพาะ ชิปนี้ให้ประสิทธิภาพเร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 4.4 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน และถูกนำไปใช้ในเซิร์ฟเวอร์ EC2 UltraServers จุดเด่นคือการรองรับงาน AI ที่ซับซ้อน เช่น การฝึกโมเดลขนาดใหญ่ และการประมวลผลแบบเรียลไทม์ ถือเป็นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ของ AWS ให้แข่งขันกับผู้ให้บริการรายอื่นได้อย่างแข็งแกร่ง 🔗 https://securityonline.info/aws-unleashes-trainium3-chip-4-4x-faster-ai-performance-for-ec2-ultraservers 🏭 AWS AI Factories นำโครงสร้างพื้นฐาน AI ลงสู่ On-Premises AWS เปิดตัวแนวคิด “AI Factories” ที่ช่วยให้องค์กรสามารถนำโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่สมบูรณ์แบบจากระบบคลาวด์มาติดตั้งใช้งานในสถานที่ของตัวเอง (On-Premises) เพื่อรองรับความต้องการด้าน Data Sovereignty หรือการควบคุมข้อมูลให้อยู่ในประเทศหรือองค์กรโดยตรง แนวทางนี้ตอบโจทย์องค์กรที่ต้องการใช้ AI แต่มีข้อจำกัดด้านกฎหมายหรือความปลอดภัยของข้อมูล 🔗 https://securityonline.info/aws-ai-factories-bringing-full-cloud-ai-infrastructure-on-prem-for-data-sovereignty 🤖 AWS เปิดตัวตระกูลโมเดล Nova 2 รองรับ Multimodal และ Agentic AI AWS ประกาศเปิดตัวโมเดลใหม่ในตระกูล Nova 2 ที่สามารถทำงานแบบ Multimodal คือรองรับทั้งข้อความ ภาพ และเสียง พร้อมฟีเจอร์ Agentic Nova Act ที่ช่วยให้ AI สามารถทำงานเชิงรุกได้มากขึ้น เช่น การตัดสินใจอัตโนมัติและการทำงานแทนมนุษย์ในบางกระบวนการ ถือเป็นการยกระดับความสามารถของ AWS ในการแข่งขันกับผู้ให้บริการ AI รายใหญ่ทั่วโลก 🔗 https://securityonline.info/aws-unveils-nova-2-ai-model-family-with-multimodal-omni-agentic-nova-act
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • การพบปะระหว่างทรัมป์และซีอีโอ Nvidia

    เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2025 มีรายงานว่า ทรัมป์ได้พบกับเจนเซน ฮวง ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อหารือเกี่ยวกับ ข้อจำกัดการส่งออกชิปประมวลผล AI ไปยังประเทศที่ถูกจัดว่าเป็น “countries of concern” การพบปะครั้งนี้สะท้อนถึงความสำคัญของ Nvidia ในฐานะบริษัทที่มีบทบาทนำในตลาด AI และชิปประสิทธิภาพสูง

    ความกังวลของ Nvidia
    ฮวงได้แสดงความกังวลว่า กฎหมายที่บังคับให้ขายชิปให้ลูกค้าในสหรัฐฯ ก่อนส่งออก อาจทำให้การแข่งขันระดับโลกชะลอตัว และลดความสามารถของสหรัฐฯ ในการรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI เขายังกล่าวในพอดแคสต์กับ Joe Rogan ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ตอบสนองต่อข้อกังวลของเขาเสมอ และย้ำว่าการแข่งขันด้าน AI จะไม่ใช่การ “ชนะทันที” แต่เป็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

    มิติด้านความมั่นคงและการแข่งขันโลก
    การควบคุมการส่งออกชิปถูกมองว่าเป็น กลยุทธ์ด้านความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศคู่แข่งเข้าถึงเทคโนโลยีที่อาจใช้ในด้านการทหารหรือการพัฒนา AI ขั้นสูง อย่างไรก็ตาม Nvidia และผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่าการจำกัดมากเกินไปอาจทำให้สหรัฐฯ สูญเสียความได้เปรียบเชิงพาณิชย์และนวัตกรรม

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI
    หากมาตรการควบคุมเข้มงวดเกินไป อาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ สูญเสียตลาดต่างประเทศ และเปิดโอกาสให้คู่แข่งจากจีนหรือยุโรปเข้ามาแทนที่ ขณะเดียวกันก็อาจกระทบต่อการลงทุนและการพัฒนา AI ภายในประเทศเอง

    สรุปสาระสำคัญ
    การพบปะระหว่างทรัมป์และเจนเซน ฮวง
    หารือเรื่องมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI

    ความกังวลของ Nvidia
    กฎหมายบังคับขายในประเทศก่อนส่งออกอาจลดความสามารถในการแข่งขัน

    มิติด้านความมั่นคงแห่งชาติ
    สหรัฐฯ ต้องการป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง

    ความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรม AI
    อาจทำให้บริษัทสหรัฐฯ สูญเสียตลาดต่างประเทศและลดแรงจูงใจในการลงทุน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/04/trump-met-with-nvidia-ceo-jensen-huang-about-export-controls-cbs-news039-reporter-says
    🤝 การพบปะระหว่างทรัมป์และซีอีโอ Nvidia เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2025 มีรายงานว่า ทรัมป์ได้พบกับเจนเซน ฮวง ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อหารือเกี่ยวกับ ข้อจำกัดการส่งออกชิปประมวลผล AI ไปยังประเทศที่ถูกจัดว่าเป็น “countries of concern” การพบปะครั้งนี้สะท้อนถึงความสำคัญของ Nvidia ในฐานะบริษัทที่มีบทบาทนำในตลาด AI และชิปประสิทธิภาพสูง ⚙️ ความกังวลของ Nvidia ฮวงได้แสดงความกังวลว่า กฎหมายที่บังคับให้ขายชิปให้ลูกค้าในสหรัฐฯ ก่อนส่งออก อาจทำให้การแข่งขันระดับโลกชะลอตัว และลดความสามารถของสหรัฐฯ ในการรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI เขายังกล่าวในพอดแคสต์กับ Joe Rogan ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ตอบสนองต่อข้อกังวลของเขาเสมอ และย้ำว่าการแข่งขันด้าน AI จะไม่ใช่การ “ชนะทันที” แต่เป็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 🔮 มิติด้านความมั่นคงและการแข่งขันโลก การควบคุมการส่งออกชิปถูกมองว่าเป็น กลยุทธ์ด้านความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศคู่แข่งเข้าถึงเทคโนโลยีที่อาจใช้ในด้านการทหารหรือการพัฒนา AI ขั้นสูง อย่างไรก็ตาม Nvidia และผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่าการจำกัดมากเกินไปอาจทำให้สหรัฐฯ สูญเสียความได้เปรียบเชิงพาณิชย์และนวัตกรรม ⚠️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI หากมาตรการควบคุมเข้มงวดเกินไป อาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ สูญเสียตลาดต่างประเทศ และเปิดโอกาสให้คู่แข่งจากจีนหรือยุโรปเข้ามาแทนที่ ขณะเดียวกันก็อาจกระทบต่อการลงทุนและการพัฒนา AI ภายในประเทศเอง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การพบปะระหว่างทรัมป์และเจนเซน ฮวง ➡️ หารือเรื่องมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ✅ ความกังวลของ Nvidia ➡️ กฎหมายบังคับขายในประเทศก่อนส่งออกอาจลดความสามารถในการแข่งขัน ✅ มิติด้านความมั่นคงแห่งชาติ ➡️ สหรัฐฯ ต้องการป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ‼️ ความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรม AI ⛔ อาจทำให้บริษัทสหรัฐฯ สูญเสียตลาดต่างประเทศและลดแรงจูงใจในการลงทุน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/04/trump-met-with-nvidia-ceo-jensen-huang-about-export-controls-cbs-news039-reporter-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Trump met with Nvidia CEO Jensen Huang on export controls, source says
    Dec 3 (Reuters) - U.S. President Donald Trump met with chip giant Nvidia's CEO Jensen Huang on Wednesday to discuss export controls, a source familiar with the matter told Reuters.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • โครงการภาษาโปรแกรม Zig ตัดสินใจย้ายออกจาก GitHub

    Andrew Kelly ประธานและหัวหน้าทีมพัฒนา Zig Software Foundation ประกาศว่าโครงการ Zig จะย้ายไปใช้ Codeberg ซึ่งเป็นบริการโฮสต์ Git แบบไม่แสวงหากำไร เหตุผลหลักคือ GitHub ไม่แสดงถึงความมุ่งมั่นในด้าน engineering excellence อีกต่อไป โดยยกตัวอย่างบั๊กในสคริปต์ safe_sleep.sh ที่ทำให้ระบบ CI ใช้ CPU 100% และหยุดทำงานไปหลายสัปดาห์โดยไม่มีการแก้ไขที่ชัดเจน

    ปัญหา GitHub Actions และ “Vibe-Scheduling”
    Kelly วิจารณ์ว่า GitHub Actions มีบั๊กที่ “ไม่สามารถยอมรับได้” และถูกละเลย หลังจาก CEO ของ GitHub ประกาศว่า “embrace AI or get out” ระบบ Actions ก็เริ่มทำงานแบบ “vibe-scheduling” คือเลือกงานที่จะรันแบบสุ่ม ทำให้ CI ของ Zig ติดขัดจนแม้แต่ commit ใน master branch ก็ไม่ได้รับการตรวจสอบ

    เสียงสะท้อนจากนักพัฒนาอื่น
    นักพัฒนา Zig รายอื่น เช่น Matthew Lugg และผู้เชี่ยวชาญอย่าง Jeremy Howard ก็ยืนยันว่าบั๊กดังกล่าวชัดเจนตั้งแต่แรกเห็น และการแก้ไขล่าช้าเกินไปจนทำให้ระบบ CI เสียหายหนัก Howard ถึงกับกล่าวว่า “เป็นการสะสมของเหตุการณ์ face-palming ที่ไม่ควรเกิดขึ้นในองค์กรที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

    กระแสย้ายออกจาก GitHub
    Zig ไม่ใช่โครงการเดียวที่แสดงความไม่พอใจ Rodrigo Arias Mallo ผู้สร้างเบราว์เซอร์ Dillo ก็ประกาศว่าจะย้ายออกจาก GitHub ด้วยเหตุผลคล้ายกัน เช่น การพึ่งพา JavaScript มากเกินไป การจัดการที่ลดคุณภาพ และการโฟกัสเกินไปกับ LLMs และ Generative AI ซึ่งเขามองว่ากำลังทำลายความเปิดกว้างของเว็บ ขณะเดียวกัน Codeberg ก็มีจำนวนสมาชิกสนับสนุนเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในปีเดียว

    สรุปสาระสำคัญ
    Zig ย้ายออกจาก GitHub
    เหตุผลคือ GitHub ละเลยคุณภาพวิศวกรรมและมีบั๊กเรื้อรังในระบบ Actions

    ปัญหา Safe Sleep Script
    ใช้ CPU 100% และทำให้ CI หยุดทำงานหลายสัปดาห์

    Vibe-Scheduling ใน GitHub Actions
    ระบบเลือกงานที่จะรันแบบสุ่ม ทำให้ CI backlog หนัก

    เสียงสะท้อนจากนักพัฒนาอื่น
    ยืนยันว่าบั๊กชัดเจนตั้งแต่แรก แต่แก้ไขล่าช้าเกินไป

    ความเสี่ยงต่อโครงการโอเพ่นซอร์ส
    หาก GitHub มุ่งเน้น AI มากเกินไป อาจทำให้คุณภาพการให้บริการลดลงและผู้ใช้ย้ายออก

    ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักพัฒนา
    การละเลยบั๊กและการจัดการที่ไม่โปร่งใส อาจบั่นทอนความไว้วางใจในแพลตฟอร์ม

    https://www.theregister.com/2025/12/02/zig_quits_github_microsoft_ai_obsession/
    🔩 โครงการภาษาโปรแกรม Zig ตัดสินใจย้ายออกจาก GitHub Andrew Kelly ประธานและหัวหน้าทีมพัฒนา Zig Software Foundation ประกาศว่าโครงการ Zig จะย้ายไปใช้ Codeberg ซึ่งเป็นบริการโฮสต์ Git แบบไม่แสวงหากำไร เหตุผลหลักคือ GitHub ไม่แสดงถึงความมุ่งมั่นในด้าน engineering excellence อีกต่อไป โดยยกตัวอย่างบั๊กในสคริปต์ safe_sleep.sh ที่ทำให้ระบบ CI ใช้ CPU 100% และหยุดทำงานไปหลายสัปดาห์โดยไม่มีการแก้ไขที่ชัดเจน ⚙️ ปัญหา GitHub Actions และ “Vibe-Scheduling” Kelly วิจารณ์ว่า GitHub Actions มีบั๊กที่ “ไม่สามารถยอมรับได้” และถูกละเลย หลังจาก CEO ของ GitHub ประกาศว่า “embrace AI or get out” ระบบ Actions ก็เริ่มทำงานแบบ “vibe-scheduling” คือเลือกงานที่จะรันแบบสุ่ม ทำให้ CI ของ Zig ติดขัดจนแม้แต่ commit ใน master branch ก็ไม่ได้รับการตรวจสอบ 🔥 เสียงสะท้อนจากนักพัฒนาอื่น นักพัฒนา Zig รายอื่น เช่น Matthew Lugg และผู้เชี่ยวชาญอย่าง Jeremy Howard ก็ยืนยันว่าบั๊กดังกล่าวชัดเจนตั้งแต่แรกเห็น และการแก้ไขล่าช้าเกินไปจนทำให้ระบบ CI เสียหายหนัก Howard ถึงกับกล่าวว่า “เป็นการสะสมของเหตุการณ์ face-palming ที่ไม่ควรเกิดขึ้นในองค์กรที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ” 🌐 กระแสย้ายออกจาก GitHub Zig ไม่ใช่โครงการเดียวที่แสดงความไม่พอใจ Rodrigo Arias Mallo ผู้สร้างเบราว์เซอร์ Dillo ก็ประกาศว่าจะย้ายออกจาก GitHub ด้วยเหตุผลคล้ายกัน เช่น การพึ่งพา JavaScript มากเกินไป การจัดการที่ลดคุณภาพ และการโฟกัสเกินไปกับ LLMs และ Generative AI ซึ่งเขามองว่ากำลังทำลายความเปิดกว้างของเว็บ ขณะเดียวกัน Codeberg ก็มีจำนวนสมาชิกสนับสนุนเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในปีเดียว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Zig ย้ายออกจาก GitHub ➡️ เหตุผลคือ GitHub ละเลยคุณภาพวิศวกรรมและมีบั๊กเรื้อรังในระบบ Actions ✅ ปัญหา Safe Sleep Script ➡️ ใช้ CPU 100% และทำให้ CI หยุดทำงานหลายสัปดาห์ ✅ Vibe-Scheduling ใน GitHub Actions ➡️ ระบบเลือกงานที่จะรันแบบสุ่ม ทำให้ CI backlog หนัก ✅ เสียงสะท้อนจากนักพัฒนาอื่น ➡️ ยืนยันว่าบั๊กชัดเจนตั้งแต่แรก แต่แก้ไขล่าช้าเกินไป ‼️ ความเสี่ยงต่อโครงการโอเพ่นซอร์ส ⛔ หาก GitHub มุ่งเน้น AI มากเกินไป อาจทำให้คุณภาพการให้บริการลดลงและผู้ใช้ย้ายออก ‼️ ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักพัฒนา ⛔ การละเลยบั๊กและการจัดการที่ไม่โปร่งใส อาจบั่นทอนความไว้วางใจในแพลตฟอร์ม https://www.theregister.com/2025/12/02/zig_quits_github_microsoft_ai_obsession/
    WWW.THEREGISTER.COM
    Zig quits GitHub, gripes about Microsoft's AI obsession
    : Zig prez complains about 'vibe-scheduling' after safe sleep bug goes unaddressed for eons
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • การค้นพบช่องโหว่ครั้งใหญ่

    นักวิจัยด้านความปลอดภัย Alex Schapiro ได้ทำการ Reverse Engineering ระบบของ Filevine ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม AI ที่ใช้ในวงการกฎหมาย และพบว่า API Endpoint ของบริษัทเปิดให้เข้าถึงโดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตน ผลลัพธ์คือสามารถดึง Admin Token ที่มีสิทธิ์เข้าถึงไฟล์ทั้งหมดของสำนักงานกฎหมาย Margolis ได้โดยตรง

    ข้อมูลลับกว่า 100,000 ไฟล์ถูกเปิดเผย
    เมื่อทดสอบการค้นหาด้วยคำว่า “confidential” ระบบตอบกลับด้วยผลลัพธ์กว่า 100,000 ไฟล์ ที่ครอบคลุมตั้งแต่เอกสารภายใน, Payroll, ข้อมูลผู้ใช้ ไปจนถึงเอกสารที่ได้รับการคุ้มครองตามคำสั่งศาล หากผู้ไม่หวังดีเข้าถึงได้จริง จะสามารถขโมยข้อมูลที่อยู่ภายใต้ HIPAA และมาตรฐานทางกฎหมายอื่น ๆ ได้ทั้งหมด

    การตอบสนองของ Filevine
    หลังจากการแจ้งเตือนในวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ทีมงาน Filevine ได้ตอบรับอย่างรวดเร็ว และภายในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2025 ได้ยืนยันว่าช่องโหว่ถูกแก้ไขเรียบร้อยแล้ว พร้อมขอบคุณนักวิจัยที่เปิดเผยอย่างมีความรับผิดชอบ การจัดการครั้งนี้ถูกยกเป็นตัวอย่างที่ดีของการ Responsible Disclosure ในวงการความปลอดภัยไซเบอร์

    บทเรียนสำหรับวงการ AI กฎหมาย
    เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า การเร่งพัฒนา AI โดยไม่ตรวจสอบความปลอดภัยอย่างรอบคอบ อาจนำไปสู่หายนะครั้งใหญ่ บริษัทที่ใช้ AI ในการจัดการข้อมูลลับจำเป็นต้องลงทุนในระบบ Security Audit, Penetration Testing และการเข้ารหัสที่เข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบช่องโหว่ใน Filevine
    API เปิดให้เข้าถึงโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    ข้อมูลลับกว่า 100,000 ไฟล์ถูกเปิดเผย
    ครอบคลุมเอกสารภายใน, Payroll, ข้อมูลผู้ใช้ และเอกสารที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย

    การตอบสนองของ Filevine
    แก้ไขช่องโหว่ภายในไม่กี่สัปดาห์ และยกเป็นตัวอย่าง Responsible Disclosure

    ความเสี่ยงหากถูกโจมตีจริง
    อาจทำให้ข้อมูลที่อยู่ภายใต้ HIPAA และคำสั่งศาลถูกขโมยทั้งหมด

    บทเรียนสำหรับวงการ AI กฎหมาย
    ต้องลงทุนใน Security Audit และการเข้ารหัสเพื่อป้องกันภัยคุกคามในอนาคต

    https://alexschapiro.com/security/vulnerability/2025/12/02/filevine-api-100k
    🔐 การค้นพบช่องโหว่ครั้งใหญ่ นักวิจัยด้านความปลอดภัย Alex Schapiro ได้ทำการ Reverse Engineering ระบบของ Filevine ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม AI ที่ใช้ในวงการกฎหมาย และพบว่า API Endpoint ของบริษัทเปิดให้เข้าถึงโดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตน ผลลัพธ์คือสามารถดึง Admin Token ที่มีสิทธิ์เข้าถึงไฟล์ทั้งหมดของสำนักงานกฎหมาย Margolis ได้โดยตรง 📂 ข้อมูลลับกว่า 100,000 ไฟล์ถูกเปิดเผย เมื่อทดสอบการค้นหาด้วยคำว่า “confidential” ระบบตอบกลับด้วยผลลัพธ์กว่า 100,000 ไฟล์ ที่ครอบคลุมตั้งแต่เอกสารภายใน, Payroll, ข้อมูลผู้ใช้ ไปจนถึงเอกสารที่ได้รับการคุ้มครองตามคำสั่งศาล หากผู้ไม่หวังดีเข้าถึงได้จริง จะสามารถขโมยข้อมูลที่อยู่ภายใต้ HIPAA และมาตรฐานทางกฎหมายอื่น ๆ ได้ทั้งหมด 🧑‍⚖️ การตอบสนองของ Filevine หลังจากการแจ้งเตือนในวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ทีมงาน Filevine ได้ตอบรับอย่างรวดเร็ว และภายในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2025 ได้ยืนยันว่าช่องโหว่ถูกแก้ไขเรียบร้อยแล้ว พร้อมขอบคุณนักวิจัยที่เปิดเผยอย่างมีความรับผิดชอบ การจัดการครั้งนี้ถูกยกเป็นตัวอย่างที่ดีของการ Responsible Disclosure ในวงการความปลอดภัยไซเบอร์ ⚠️ บทเรียนสำหรับวงการ AI กฎหมาย เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า การเร่งพัฒนา AI โดยไม่ตรวจสอบความปลอดภัยอย่างรอบคอบ อาจนำไปสู่หายนะครั้งใหญ่ บริษัทที่ใช้ AI ในการจัดการข้อมูลลับจำเป็นต้องลงทุนในระบบ Security Audit, Penetration Testing และการเข้ารหัสที่เข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบช่องโหว่ใน Filevine ➡️ API เปิดให้เข้าถึงโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ✅ ข้อมูลลับกว่า 100,000 ไฟล์ถูกเปิดเผย ➡️ ครอบคลุมเอกสารภายใน, Payroll, ข้อมูลผู้ใช้ และเอกสารที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ✅ การตอบสนองของ Filevine ➡️ แก้ไขช่องโหว่ภายในไม่กี่สัปดาห์ และยกเป็นตัวอย่าง Responsible Disclosure ‼️ ความเสี่ยงหากถูกโจมตีจริง ⛔ อาจทำให้ข้อมูลที่อยู่ภายใต้ HIPAA และคำสั่งศาลถูกขโมยทั้งหมด ‼️ บทเรียนสำหรับวงการ AI กฎหมาย ⛔ ต้องลงทุนใน Security Audit และการเข้ารหัสเพื่อป้องกันภัยคุกคามในอนาคต https://alexschapiro.com/security/vulnerability/2025/12/02/filevine-api-100k
    ALEXSCHAPIRO.COM
    How I Reverse Engineered a Billion-Dollar Legal AI Tool and Found 100k+ Confidential Files
    Update: This post received a large amount of attention on Hacker News — see the discussion thread.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • 5 แพลตฟอร์ม Dark Web Intelligence ที่ดีที่สุดในปี 2026

    บทความนี้แนะนำ 5 แพลตฟอร์ม Dark Web Intelligence ที่ดีที่สุดในปี 2026 ได้แก่ Lunar (Webz.io), ZeroFox, DarkOwl, Cyble และ Recorded Future โดยแต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นด้านการเก็บข้อมูล, การตรวจจับภัยคุกคาม, การวิเคราะห์ผู้โจมตี และการผสานเข้ากับระบบองค์กรเพื่อป้องกันภัยไซเบอร์เชิงรุก

    ความสำคัญของ Dark Web Intelligence
    โลกไซเบอร์ในปัจจุบันไม่ได้มีแค่การป้องกันด้วย Firewall หรือ Antivirus อีกต่อไป เพราะภัยคุกคามจำนวนมากเริ่มต้นจาก Dark Web ซึ่งเป็นพื้นที่เข้ารหัสและไม่ถูกควบคุม ใช้สำหรับการซื้อขายข้อมูลรั่วไหล, มัลแวร์, และการวางแผนโจมตี การใช้ Dark Web Intelligence Platforms จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง

    5 แพลตฟอร์มที่โดดเด่น
    Lunar (Webz.io)
    ครอบคลุมการเก็บข้อมูลจาก Tor, I2P และชุมชนออนไลน์หลายภาษา
    มีระบบ Machine Learning สำหรับตรวจจับ Entity และ Threat Indicators
    ผสานเข้ากับ SIEM และ API ได้โดยตรง

    ZeroFox
    เน้นการป้องกันแบรนด์และผู้บริหารจากการปลอมแปลงและ Credential Leak
    มีบริการ Automated Takedown เพื่อลบเนื้อหาที่เป็นภัยคุกคาม
    วิเคราะห์ Threat Actor และโครงสร้างการโจมตี

    DarkOwl
    มีฐานข้อมูล Dark Web ที่ใหญ่ที่สุดในเชิงพาณิชย์
    รองรับการค้นหาด้วย API และการทำ Threat Scoring อัตโนมัติ
    เหมาะสำหรับทีม Forensics และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย

    Cyble
    ใช้บอทอัตโนมัติสแกนตลาดมืดและฟอรั่มอย่างต่อเนื่อง
    มีระบบแจ้งเตือนแบบ Real-time พร้อมการจัดอันดับความเสี่ยง
    สร้างโปรไฟล์ผู้โจมตีและตรวจสอบการรั่วไหลของข้อมูลซัพพลายเชน

    Recorded Future
    ครอบคลุมทั้ง Surface, Deep และ Dark Web
    ใช้ Machine Learning ในการจัดลำดับความเสี่ยงตามความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ
    รายงานระดับองค์กรและการผสานเข้ากับระบบ IR/SOAR

    บทบาทของ AI และ Automation
    แพลตฟอร์มเหล่านี้ใช้ AI และ NLP เพื่อถอดรหัสภาษาสแลง, ตรวจจับพฤติกรรมใหม่ ๆ ของผู้โจมตี และสร้างการแจ้งเตือนที่แม่นยำมากขึ้น รวมถึงการใช้ Collaborative Defence Models ที่ช่วยให้ข้อมูลภัยคุกคามถูกแชร์ระหว่างองค์กรและภาครัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน


    https://hackread.com/best-dark-web-intelligence-platforms/
    🕍 5 แพลตฟอร์ม Dark Web Intelligence ที่ดีที่สุดในปี 2026 บทความนี้แนะนำ 5 แพลตฟอร์ม Dark Web Intelligence ที่ดีที่สุดในปี 2026 ได้แก่ Lunar (Webz.io), ZeroFox, DarkOwl, Cyble และ Recorded Future โดยแต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นด้านการเก็บข้อมูล, การตรวจจับภัยคุกคาม, การวิเคราะห์ผู้โจมตี และการผสานเข้ากับระบบองค์กรเพื่อป้องกันภัยไซเบอร์เชิงรุก 🌐 ความสำคัญของ Dark Web Intelligence โลกไซเบอร์ในปัจจุบันไม่ได้มีแค่การป้องกันด้วย Firewall หรือ Antivirus อีกต่อไป เพราะภัยคุกคามจำนวนมากเริ่มต้นจาก Dark Web ซึ่งเป็นพื้นที่เข้ารหัสและไม่ถูกควบคุม ใช้สำหรับการซื้อขายข้อมูลรั่วไหล, มัลแวร์, และการวางแผนโจมตี การใช้ Dark Web Intelligence Platforms จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง 🛡️ 5 แพลตฟอร์มที่โดดเด่น 🔩 Lunar (Webz.io) ➡️ ครอบคลุมการเก็บข้อมูลจาก Tor, I2P และชุมชนออนไลน์หลายภาษา ➡️ มีระบบ Machine Learning สำหรับตรวจจับ Entity และ Threat Indicators ➡️ ผสานเข้ากับ SIEM และ API ได้โดยตรง 🔩 ZeroFox ➡️ เน้นการป้องกันแบรนด์และผู้บริหารจากการปลอมแปลงและ Credential Leak ➡️ มีบริการ Automated Takedown เพื่อลบเนื้อหาที่เป็นภัยคุกคาม ➡️ วิเคราะห์ Threat Actor และโครงสร้างการโจมตี 🔩 DarkOwl ➡️ มีฐานข้อมูล Dark Web ที่ใหญ่ที่สุดในเชิงพาณิชย์ ➡️ รองรับการค้นหาด้วย API และการทำ Threat Scoring อัตโนมัติ ➡️ เหมาะสำหรับทีม Forensics และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย 🔩 Cyble ➡️ ใช้บอทอัตโนมัติสแกนตลาดมืดและฟอรั่มอย่างต่อเนื่อง ➡️ มีระบบแจ้งเตือนแบบ Real-time พร้อมการจัดอันดับความเสี่ยง ➡️ สร้างโปรไฟล์ผู้โจมตีและตรวจสอบการรั่วไหลของข้อมูลซัพพลายเชน 🔩 Recorded Future ➡️ ครอบคลุมทั้ง Surface, Deep และ Dark Web ➡️ ใช้ Machine Learning ในการจัดลำดับความเสี่ยงตามความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ ➡️ รายงานระดับองค์กรและการผสานเข้ากับระบบ IR/SOAR ⚙️ บทบาทของ AI และ Automation แพลตฟอร์มเหล่านี้ใช้ AI และ NLP เพื่อถอดรหัสภาษาสแลง, ตรวจจับพฤติกรรมใหม่ ๆ ของผู้โจมตี และสร้างการแจ้งเตือนที่แม่นยำมากขึ้น รวมถึงการใช้ Collaborative Defence Models ที่ช่วยให้ข้อมูลภัยคุกคามถูกแชร์ระหว่างองค์กรและภาครัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน https://hackread.com/best-dark-web-intelligence-platforms/
    HACKREAD.COM
    Best 5 Dark Web Intelligence Platforms
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • เตือน ChatGPT Atlas Browser ปลอม

    การโจมตีล่าสุดที่ใช้ Fake ChatGPT Atlas Browser เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ ClickFix Attack กำลังสร้างความกังวลในวงการไซเบอร์ หลังพบว่ามีการเพิ่มขึ้นกว่า 517% ในปี 2025 โดยผู้โจมตีใช้เว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบของจริงเพื่อหลอกให้ผู้ใช้รันคำสั่งใน Terminal ซึ่งนำไปสู่การขโมยรหัสผ่านและการยกระดับสิทธิ์จนเข้าควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ

    ClickFix Attack: จากเทคนิค Copy-Paste สู่การยึดเครื่อง
    ClickFix เป็นการโจมตีแบบ Social Engineering ที่เริ่มต้นในปี 2024 โดยหลอกให้ผู้ใช้คัดลอกคำสั่งที่ดูไม่อันตรายไปวางใน Terminal หรือ Command Line แต่จริง ๆ แล้วคำสั่งนั้นจะเรียกสคริปต์ระยะไกลที่ขโมยรหัสผ่านและใช้สิทธิ์ sudo เพื่อยกระดับเป็นผู้ดูแลระบบเต็มรูปแบบ การโจมตีนี้ถูกใช้โดยกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ เช่น TA450 (อิหร่าน), TA427 (เกาหลีเหนือ), TA422 (รัสเซีย)

    Fake ChatGPT Atlas Browser: เว็บไซต์ปลอมที่แนบเนียน
    นักวิจัย Kaushik Devireddy จาก Fable Security พบเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบ ChatGPT Atlas Browser ได้อย่างแนบเนียน ทั้งหน้าตา, โลโก้ และข้อความเหมือนจริงทุกประการ สิ่งเดียวที่ต่างคือ โดเมนเป็น Google Sites URL ซึ่งสร้างความเชื่อใจผิด ๆ ให้ผู้ใช้คิดว่าเป็นของจริง เมื่อผู้ใช้ดาวน์โหลดและทำตามคำสั่งที่ให้คัดลอกโค้ดไปวางใน Terminal ก็จะถูกโจมตีทันที

    ความร้ายแรงของการโจมตี
    สิ่งที่ทำให้ ClickFix น่ากังวลคือ:
    สามารถหลบเลี่ยงเครื่องมือรักษาความปลอดภัย เช่น CrowdStrike และ SentinelOne
    ใช้การผสมผสานหลายเทคนิค ทั้งการโคลนเว็บไซต์, การใช้โฮสต์ที่เชื่อถือได้, การทำ Obfuscation และ Privilege Escalation
    แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยเป้าหมายล่าสุดคือแพลตฟอร์มยอดนิยม เช่น iClicker, AnyDesk, Google Meet และ ChatGPT Atlas

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ClickFix Attack
    เริ่มต้นปี 2024 และเพิ่มขึ้นกว่า 517% ในปี 2025
    ใช้เทคนิค Copy-Paste หลอกให้ผู้ใช้รันโค้ดอันตราย

    Fake ChatGPT Atlas Browser
    เว็บไซต์ปลอมเลียนแบบของจริง ใช้ Google Sites URL
    หลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดและรันคำสั่งใน Terminal

    ผลกระทบ
    ขโมยรหัสผ่านและยกระดับสิทธิ์เป็น Root/Admin
    หลบเลี่ยงเครื่องมือรักษาความปลอดภัยขั้นสูง

    คำเตือนต่อผู้ใช้
    ห้ามคัดลอกและรันคำสั่งจากเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ
    ตรวจสอบโดเมนให้แน่ใจก่อนดาวน์โหลดซอฟต์แวร์
    การโจมตีนี้สามารถยึดเครื่องได้เต็มรูปแบบแม้มีระบบป้องกัน

    https://hackread.com/fake-chatgpt-atlas-clickfix-steal-passwords/
    ⚠️ เตือน ChatGPT Atlas Browser ปลอม การโจมตีล่าสุดที่ใช้ Fake ChatGPT Atlas Browser เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ ClickFix Attack กำลังสร้างความกังวลในวงการไซเบอร์ หลังพบว่ามีการเพิ่มขึ้นกว่า 517% ในปี 2025 โดยผู้โจมตีใช้เว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบของจริงเพื่อหลอกให้ผู้ใช้รันคำสั่งใน Terminal ซึ่งนำไปสู่การขโมยรหัสผ่านและการยกระดับสิทธิ์จนเข้าควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ 🕵️‍♂️ ClickFix Attack: จากเทคนิค Copy-Paste สู่การยึดเครื่อง ClickFix เป็นการโจมตีแบบ Social Engineering ที่เริ่มต้นในปี 2024 โดยหลอกให้ผู้ใช้คัดลอกคำสั่งที่ดูไม่อันตรายไปวางใน Terminal หรือ Command Line แต่จริง ๆ แล้วคำสั่งนั้นจะเรียกสคริปต์ระยะไกลที่ขโมยรหัสผ่านและใช้สิทธิ์ sudo เพื่อยกระดับเป็นผู้ดูแลระบบเต็มรูปแบบ การโจมตีนี้ถูกใช้โดยกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ เช่น TA450 (อิหร่าน), TA427 (เกาหลีเหนือ), TA422 (รัสเซีย) ⚙️ Fake ChatGPT Atlas Browser: เว็บไซต์ปลอมที่แนบเนียน นักวิจัย Kaushik Devireddy จาก Fable Security พบเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบ ChatGPT Atlas Browser ได้อย่างแนบเนียน ทั้งหน้าตา, โลโก้ และข้อความเหมือนจริงทุกประการ สิ่งเดียวที่ต่างคือ โดเมนเป็น Google Sites URL ซึ่งสร้างความเชื่อใจผิด ๆ ให้ผู้ใช้คิดว่าเป็นของจริง เมื่อผู้ใช้ดาวน์โหลดและทำตามคำสั่งที่ให้คัดลอกโค้ดไปวางใน Terminal ก็จะถูกโจมตีทันที 🔒 ความร้ายแรงของการโจมตี สิ่งที่ทำให้ ClickFix น่ากังวลคือ: 🪲 สามารถหลบเลี่ยงเครื่องมือรักษาความปลอดภัย เช่น CrowdStrike และ SentinelOne 🪲 ใช้การผสมผสานหลายเทคนิค ทั้งการโคลนเว็บไซต์, การใช้โฮสต์ที่เชื่อถือได้, การทำ Obfuscation และ Privilege Escalation 🪲 แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยเป้าหมายล่าสุดคือแพลตฟอร์มยอดนิยม เช่น iClicker, AnyDesk, Google Meet และ ChatGPT Atlas 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ClickFix Attack ➡️ เริ่มต้นปี 2024 และเพิ่มขึ้นกว่า 517% ในปี 2025 ➡️ ใช้เทคนิค Copy-Paste หลอกให้ผู้ใช้รันโค้ดอันตราย ✅ Fake ChatGPT Atlas Browser ➡️ เว็บไซต์ปลอมเลียนแบบของจริง ใช้ Google Sites URL ➡️ หลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดและรันคำสั่งใน Terminal ✅ ผลกระทบ ➡️ ขโมยรหัสผ่านและยกระดับสิทธิ์เป็น Root/Admin ➡️ หลบเลี่ยงเครื่องมือรักษาความปลอดภัยขั้นสูง ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ ห้ามคัดลอกและรันคำสั่งจากเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ ⛔ ตรวจสอบโดเมนให้แน่ใจก่อนดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ ⛔ การโจมตีนี้สามารถยึดเครื่องได้เต็มรูปแบบแม้มีระบบป้องกัน https://hackread.com/fake-chatgpt-atlas-clickfix-steal-passwords/
    HACKREAD.COM
    Fake ChatGPT Atlas Browser Used in ClickFix Attack to Steal Passwords
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความหมายของ S และ P ในแบตเตอรี่

    บทความนี้อธิบายว่าอักษร S และ P บนแบตเตอรี่แพ็ก หมายถึงการจัดเรียงเซลล์แบบ Series (S) และ Parallel (P) ซึ่งส่งผลต่อแรงดันไฟฟ้าและความจุของแบตเตอรี่ โดยการเลือกใช้ขึ้นอยู่กับความต้องการของอุปกรณ์ เช่น เครื่องมือไฟฟ้า, e-bike, หรือรถยนต์ไฟฟ้า

    S (Series): การต่อเซลล์แบบอนุกรม โดยขั้วบวกของเซลล์หนึ่งต่อกับขั้วลบของอีกเซลล์ ทำให้แรงดันไฟฟ้ารวมกัน เช่น 2 เซลล์ 1.5V ต่ออนุกรมจะได้ 3V

    P (Parallel): การต่อเซลล์แบบขนาน โดยขั้วบวกทั้งหมดเชื่อมกัน และขั้วลบทั้งหมดเชื่อมกัน ทำให้แรงดันไฟฟ้าเท่าเดิม แต่ความจุเพิ่มขึ้น เช่น 2 เซลล์ 12V ต่อขนานยังคงได้ 12V แต่ความจุเป็นสองเท่า

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    เครื่องมือไฟฟ้า (Power Tools): ใช้การต่อแบบ Series เพื่อให้แรงดันสูงขึ้น เช่น DeWalt 20V MAX ใช้การต่อ 5 เซลล์อนุกรมเพื่อให้มอเตอร์มีแรงบิดสูง

    e-bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า: ใช้การต่อผสมทั้ง Series และ Parallel เพื่อให้ได้ทั้งแรงดันและความจุ เช่น แบตเตอรี่ 4S2P หมายถึง 4 เซลล์อนุกรม แล้วนำ 2 ชุดมาต่อขนาน รวมแรงดัน 14.4V และความจุเพิ่มขึ้นสองเท่า

    รถยนต์ไฟฟ้า (EVs): ใช้การต่อที่ซับซ้อน เช่น Rivian ใช้ 12S72P และ Hummer EV ใช้ 192S3P เพื่อให้ได้แรงดันและพลังงานสูงมาก

    มุมมองเพิ่มเติม
    การเลือกใช้การต่อแบบ S หรือ P ขึ้นอยู่กับ ลักษณะการใช้งาน:
    อุปกรณ์ที่ต้องการแรงดันสูงและพลังงานระเบิดในช่วงสั้น → ใช้ Series
    อุปกรณ์ที่ต้องการทำงานต่อเนื่องยาวนาน → ใช้ Parallel หรือผสม S+P นี่คือเหตุผลที่แบตเตอรี่แพ็กมักมีการระบุทั้ง S และ P เช่น “13S4P” เพื่อบอกโครงสร้างภายในอย่างชัดเจน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ความหมายของ S และ P
    S = Series → เพิ่มแรงดันไฟฟ้า
    P = Parallel → เพิ่มความจุพลังงาน

    ตัวอย่างการใช้งาน
    Power Tools ใช้ Series เพื่อแรงดันสูง
    e-bike ใช้ผสม S+P เพื่อแรงดันและความจุ
    EV ใช้โครงสร้างซับซ้อน เช่น 192S3P

    คำเตือนต่อผู้ใช้
    หากเลือกแบตเตอรี่ไม่ตรงกับความต้องการ อาจทำให้อุปกรณ์ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
    การต่อผิดวิธีอาจเสี่ยงต่อความเสียหายหรืออันตรายจากไฟฟ้า
    🔋 ความหมายของ S และ P ในแบตเตอรี่ บทความนี้อธิบายว่าอักษร S และ P บนแบตเตอรี่แพ็ก หมายถึงการจัดเรียงเซลล์แบบ Series (S) และ Parallel (P) ซึ่งส่งผลต่อแรงดันไฟฟ้าและความจุของแบตเตอรี่ โดยการเลือกใช้ขึ้นอยู่กับความต้องการของอุปกรณ์ เช่น เครื่องมือไฟฟ้า, e-bike, หรือรถยนต์ไฟฟ้า 💠 S (Series): การต่อเซลล์แบบอนุกรม โดยขั้วบวกของเซลล์หนึ่งต่อกับขั้วลบของอีกเซลล์ ทำให้แรงดันไฟฟ้ารวมกัน เช่น 2 เซลล์ 1.5V ต่ออนุกรมจะได้ 3V 💠 P (Parallel): การต่อเซลล์แบบขนาน โดยขั้วบวกทั้งหมดเชื่อมกัน และขั้วลบทั้งหมดเชื่อมกัน ทำให้แรงดันไฟฟ้าเท่าเดิม แต่ความจุเพิ่มขึ้น เช่น 2 เซลล์ 12V ต่อขนานยังคงได้ 12V แต่ความจุเป็นสองเท่า ⚙️ ตัวอย่างการใช้งานจริง 💠 เครื่องมือไฟฟ้า (Power Tools): ใช้การต่อแบบ Series เพื่อให้แรงดันสูงขึ้น เช่น DeWalt 20V MAX ใช้การต่อ 5 เซลล์อนุกรมเพื่อให้มอเตอร์มีแรงบิดสูง 💠 e-bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า: ใช้การต่อผสมทั้ง Series และ Parallel เพื่อให้ได้ทั้งแรงดันและความจุ เช่น แบตเตอรี่ 4S2P หมายถึง 4 เซลล์อนุกรม แล้วนำ 2 ชุดมาต่อขนาน รวมแรงดัน 14.4V และความจุเพิ่มขึ้นสองเท่า 💠 รถยนต์ไฟฟ้า (EVs): ใช้การต่อที่ซับซ้อน เช่น Rivian ใช้ 12S72P และ Hummer EV ใช้ 192S3P เพื่อให้ได้แรงดันและพลังงานสูงมาก 🌐 มุมมองเพิ่มเติม การเลือกใช้การต่อแบบ S หรือ P ขึ้นอยู่กับ ลักษณะการใช้งาน: 💠 อุปกรณ์ที่ต้องการแรงดันสูงและพลังงานระเบิดในช่วงสั้น → ใช้ Series 💠 อุปกรณ์ที่ต้องการทำงานต่อเนื่องยาวนาน → ใช้ Parallel หรือผสม S+P นี่คือเหตุผลที่แบตเตอรี่แพ็กมักมีการระบุทั้ง S และ P เช่น “13S4P” เพื่อบอกโครงสร้างภายในอย่างชัดเจน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ความหมายของ S และ P ➡️ S = Series → เพิ่มแรงดันไฟฟ้า ➡️ P = Parallel → เพิ่มความจุพลังงาน ✅ ตัวอย่างการใช้งาน ➡️ Power Tools ใช้ Series เพื่อแรงดันสูง ➡️ e-bike ใช้ผสม S+P เพื่อแรงดันและความจุ ➡️ EV ใช้โครงสร้างซับซ้อน เช่น 192S3P ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ หากเลือกแบตเตอรี่ไม่ตรงกับความต้องการ อาจทำให้อุปกรณ์ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ⛔ การต่อผิดวิธีอาจเสี่ยงต่อความเสียหายหรืออันตรายจากไฟฟ้า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • Wireshark 4.6.2: อัปเดตโปรโตคอลและไฟล์ Capture

    Wireshark 4.6.2 ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดของเครื่องมือวิเคราะห์โปรโตคอลเครือข่าย ได้เพิ่มการรองรับโปรโตคอลใหม่หลายตัว เช่น ATM PW, COSEM, DECT NR+, DMP, GTP, HTTP3, IEEE 802.15.4, ISOBUS, MAUSB, MEGACO และ OsmoTRXD รวมถึงการปรับปรุงการทำงานกับไฟล์ Capture เช่น Peektagged capture file เพื่อให้การวิเคราะห์ข้อมูลเครือข่ายมีความแม่นยำและครอบคลุมมากขึ้น

    การแก้ไขบั๊กและปัญหาความปลอดภัย
    การอัปเดตครั้งนี้ยังแก้ไขบั๊กที่สำคัญ เช่น:
    แก้ปัญหา Crash ใน HTTP3 dissector
    แก้ Infinite loop ใน MEGACO dissector
    แก้ Regression จากเวอร์ชัน 4.6.1 ที่ทำให้ไฟล์ Omnipeek ใช้งานไม่ได้
    แก้ Stack buffer overflow ใน wiretap/ber.c (ber_open)
    แก้ปัญหา API/ABI compatibility ที่กระทบปลั๊กอินจากเวอร์ชันก่อนหน้า

    ฟีเจอร์ใหม่ในซีรีส์ Wireshark 4.6
    นอกจากการแก้ไขบั๊กแล้ว Wireshark 4.6 ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น เช่น:
    Plots dialog สำหรับสร้าง scatter plots ที่รองรับหลายกราฟพร้อมกัน
    การบีบอัด live captures ระหว่างการบันทึก
    การเขียน absolute time fields ในรูปแบบ ISO 8601 (UTC)
    การถอดรหัส NTP packets ด้วย NTS (Network Time Security)
    การขยายการถอดรหัส MACsec packets ด้วย SAK หรือ PSK
    การใช้หน่วย SI prefixes ใน TCP Stream Graph axes

    มุมมองเพิ่มเติมจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    การอัปเดตนี้สะท้อนถึงความต่อเนื่องของ Wireshark ในการเป็นเครื่องมือวิเคราะห์โปรโตคอลที่สำคัญที่สุดในโลกโอเพ่นซอร์ส โดยการเพิ่มการรองรับโปรโตคอลใหม่และการแก้ไขบั๊กช่วยให้ผู้ใช้ทั้งในงานวิจัย, การพัฒนา, และการดูแลระบบเครือข่ายมั่นใจได้ว่ามีเครื่องมือที่ทันสมัยและปลอดภัย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การอัปเดตโปรโตคอลใหม่ใน Wireshark 4.6.2
    รองรับ ATM PW, COSEM, DECT NR+, DMP, GTP, HTTP3, IEEE 802.15.4, ISOBUS, MAUSB, MEGACO, OsmoTRXD

    การแก้ไขบั๊กสำคัญ
    Crash ใน HTTP3 dissector
    Infinite loop ใน MEGACO dissector
    Regression ที่ทำให้ Omnipeek files ใช้งานไม่ได้
    Stack buffer overflow ใน wiretap/ber.c

    ฟีเจอร์ใหม่ในซีรีส์ 4.6
    Plots dialog สำหรับ scatter plots
    การบีบอัด live captures
    การเขียนเวลาแบบ ISO 8601
    การถอดรหัส NTP และ MACsec packets

    คำเตือนต่อผู้ใช้
    หากยังใช้เวอร์ชันเก่า อาจเสี่ยงต่อบั๊กและช่องโหว่ความปลอดภัย
    ปลั๊กอินที่สร้างจากเวอร์ชันก่อนหน้าอาจไม่เข้ากันกับ API/ABI เดิม
    ผู้ใช้ควรอัปเดตทันทีเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ

    https://9to5linux.com/wireshark-4-6-2-is-out-to-update-protocol-capture-file-support-and-fix-more-bugs
    🛡️ Wireshark 4.6.2: อัปเดตโปรโตคอลและไฟล์ Capture Wireshark 4.6.2 ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดของเครื่องมือวิเคราะห์โปรโตคอลเครือข่าย ได้เพิ่มการรองรับโปรโตคอลใหม่หลายตัว เช่น ATM PW, COSEM, DECT NR+, DMP, GTP, HTTP3, IEEE 802.15.4, ISOBUS, MAUSB, MEGACO และ OsmoTRXD รวมถึงการปรับปรุงการทำงานกับไฟล์ Capture เช่น Peektagged capture file เพื่อให้การวิเคราะห์ข้อมูลเครือข่ายมีความแม่นยำและครอบคลุมมากขึ้น ⚙️ การแก้ไขบั๊กและปัญหาความปลอดภัย การอัปเดตครั้งนี้ยังแก้ไขบั๊กที่สำคัญ เช่น: 💠 แก้ปัญหา Crash ใน HTTP3 dissector 💠 แก้ Infinite loop ใน MEGACO dissector 💠 แก้ Regression จากเวอร์ชัน 4.6.1 ที่ทำให้ไฟล์ Omnipeek ใช้งานไม่ได้ 💠 แก้ Stack buffer overflow ใน wiretap/ber.c (ber_open) 💠 แก้ปัญหา API/ABI compatibility ที่กระทบปลั๊กอินจากเวอร์ชันก่อนหน้า 🔒 ฟีเจอร์ใหม่ในซีรีส์ Wireshark 4.6 นอกจากการแก้ไขบั๊กแล้ว Wireshark 4.6 ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น เช่น: 💠 Plots dialog สำหรับสร้าง scatter plots ที่รองรับหลายกราฟพร้อมกัน 💠 การบีบอัด live captures ระหว่างการบันทึก 💠 การเขียน absolute time fields ในรูปแบบ ISO 8601 (UTC) 💠 การถอดรหัส NTP packets ด้วย NTS (Network Time Security) 💠 การขยายการถอดรหัส MACsec packets ด้วย SAK หรือ PSK 💠 การใช้หน่วย SI prefixes ใน TCP Stream Graph axes 🌐 มุมมองเพิ่มเติมจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส การอัปเดตนี้สะท้อนถึงความต่อเนื่องของ Wireshark ในการเป็นเครื่องมือวิเคราะห์โปรโตคอลที่สำคัญที่สุดในโลกโอเพ่นซอร์ส โดยการเพิ่มการรองรับโปรโตคอลใหม่และการแก้ไขบั๊กช่วยให้ผู้ใช้ทั้งในงานวิจัย, การพัฒนา, และการดูแลระบบเครือข่ายมั่นใจได้ว่ามีเครื่องมือที่ทันสมัยและปลอดภัย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การอัปเดตโปรโตคอลใหม่ใน Wireshark 4.6.2 ➡️ รองรับ ATM PW, COSEM, DECT NR+, DMP, GTP, HTTP3, IEEE 802.15.4, ISOBUS, MAUSB, MEGACO, OsmoTRXD ✅ การแก้ไขบั๊กสำคัญ ➡️ Crash ใน HTTP3 dissector ➡️ Infinite loop ใน MEGACO dissector ➡️ Regression ที่ทำให้ Omnipeek files ใช้งานไม่ได้ ➡️ Stack buffer overflow ใน wiretap/ber.c ✅ ฟีเจอร์ใหม่ในซีรีส์ 4.6 ➡️ Plots dialog สำหรับ scatter plots ➡️ การบีบอัด live captures ➡️ การเขียนเวลาแบบ ISO 8601 ➡️ การถอดรหัส NTP และ MACsec packets ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ หากยังใช้เวอร์ชันเก่า อาจเสี่ยงต่อบั๊กและช่องโหว่ความปลอดภัย ⛔ ปลั๊กอินที่สร้างจากเวอร์ชันก่อนหน้าอาจไม่เข้ากันกับ API/ABI เดิม ⛔ ผู้ใช้ควรอัปเดตทันทีเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ https://9to5linux.com/wireshark-4-6-2-is-out-to-update-protocol-capture-file-support-and-fix-more-bugs
    9TO5LINUX.COM
    Wireshark 4.6.2 Is Out to Update Protocol/Capture File Support and Fix More Bugs - 9to5Linux
    Wireshark 4.6.2 open-source network protocol analyzer is now available to download with various bug fixes and updated protocols.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • Linux Kernel 6.18 ได้สถานะ LTS

    Linux Kernel 6.18 เปิดตัวเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2025 และได้รับการยืนยันจากนักพัฒนา Thorsten Leemhuis ว่าเป็น รุ่น LTS โดยมีอายุการสนับสนุนถึง ธันวาคม 2027 เช่นเดียวกับ Kernel 6.1 ที่ยังคงได้รับการดูแลอยู่ การประกาศนี้ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่า Kernel รุ่นนี้จะเป็นหนึ่งในแกนหลักที่เสถียรสำหรับระบบปฏิบัติการ Linux ในอีกหลายปีข้างหน้า

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Kernel 6.18
    Kernel รุ่นนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์สำคัญหลายอย่าง เช่น:
    Rust Binder Driver รองรับการพัฒนาไดรเวอร์ด้วยภาษา Rust เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของหน่วยความจำ
    dm-pcache device-mapper target สำหรับใช้ persistent memory เป็น cache ของ block devices ที่ช้ากว่า
    microcode= option สำหรับควบคุมการโหลด microcode บนแพลตฟอร์ม x86 ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัยให้กับระบบ Linux รุ่นใหม่ ๆ

    สถานะการสนับสนุน Kernel รุ่นอื่น ๆ
    นอกจาก Kernel 6.18 แล้ว ปัจจุบัน Kernel.org ยังระบุรุ่นที่ได้รับการสนับสนุนดังนี้:
    Linux 6.12 และ 6.6 สนับสนุนถึงธันวาคม 2026
    Linux 6.1 และ 6.18 สนับสนุนถึงธันวาคม 2027
    Linux 5.15 และ 5.10 สนับสนุนถึงธันวาคม 2026 ในขณะเดียวกัน Linux 5.4 เพิ่งถูกประกาศเข้าสู่สถานะ EOL หลังจากได้รับการดูแลมานานกว่า 6 ปี

    มุมมองจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    การที่ Kernel 6.18 ได้สถานะ LTS ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบเสถียรและปลอดภัย โดยเฉพาะองค์กรที่ต้องการใช้ Linux ในงานระยะยาว เช่น เซิร์ฟเวอร์, ระบบ IoT, และโครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์ การสนับสนุนต่อเนื่องช่วยลดความเสี่ยงจากช่องโหว่และทำให้การบำรุงรักษาระบบมีความมั่นคงมากขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Linux Kernel 6.18 ได้สถานะ LTS
    สนับสนุนถึงธันวาคม 2027
    ยืนยันโดยนักพัฒนา Thorsten Leemhuis

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Kernel 6.18
    Rust Binder Driver เพิ่มความปลอดภัย
    dm-pcache ใช้ persistent memory เป็น cache
    microcode= option สำหรับ x86

    สถานะ Kernel รุ่นอื่น ๆ
    6.12 และ 6.6 สนับสนุนถึงธันวาคม 2026
    6.1 และ 6.18 สนับสนุนถึงธันวาคม 2027
    5.15 และ 5.10 สนับสนุนถึงธันวาคม 2026

    คำเตือนต่อผู้ใช้
    Kernel 5.4 เข้าสู่ EOL แล้ว ไม่มีการอัปเดตอีกต่อไป
    ผู้ใช้ควรอัปเกรดไปยัง Kernel ที่ยังได้รับการสนับสนุนเพื่อความปลอดภัย

    https://9to5linux.com/its-official-linux-kernel-6-18-will-be-lts-supported-until-december-2027
    🛡️ Linux Kernel 6.18 ได้สถานะ LTS Linux Kernel 6.18 เปิดตัวเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2025 และได้รับการยืนยันจากนักพัฒนา Thorsten Leemhuis ว่าเป็น รุ่น LTS โดยมีอายุการสนับสนุนถึง ธันวาคม 2027 เช่นเดียวกับ Kernel 6.1 ที่ยังคงได้รับการดูแลอยู่ การประกาศนี้ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่า Kernel รุ่นนี้จะเป็นหนึ่งในแกนหลักที่เสถียรสำหรับระบบปฏิบัติการ Linux ในอีกหลายปีข้างหน้า ⚙️ ฟีเจอร์ใหม่ใน Kernel 6.18 Kernel รุ่นนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์สำคัญหลายอย่าง เช่น: 💠 Rust Binder Driver รองรับการพัฒนาไดรเวอร์ด้วยภาษา Rust เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของหน่วยความจำ 💠 dm-pcache device-mapper target สำหรับใช้ persistent memory เป็น cache ของ block devices ที่ช้ากว่า 💠 microcode= option สำหรับควบคุมการโหลด microcode บนแพลตฟอร์ม x86 ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัยให้กับระบบ Linux รุ่นใหม่ ๆ 🔒 สถานะการสนับสนุน Kernel รุ่นอื่น ๆ นอกจาก Kernel 6.18 แล้ว ปัจจุบัน Kernel.org ยังระบุรุ่นที่ได้รับการสนับสนุนดังนี้: 💠 Linux 6.12 และ 6.6 สนับสนุนถึงธันวาคม 2026 💠 Linux 6.1 และ 6.18 สนับสนุนถึงธันวาคม 2027 💠 Linux 5.15 และ 5.10 สนับสนุนถึงธันวาคม 2026 ในขณะเดียวกัน Linux 5.4 เพิ่งถูกประกาศเข้าสู่สถานะ EOL หลังจากได้รับการดูแลมานานกว่า 6 ปี 🌐 มุมมองจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส การที่ Kernel 6.18 ได้สถานะ LTS ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบเสถียรและปลอดภัย โดยเฉพาะองค์กรที่ต้องการใช้ Linux ในงานระยะยาว เช่น เซิร์ฟเวอร์, ระบบ IoT, และโครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์ การสนับสนุนต่อเนื่องช่วยลดความเสี่ยงจากช่องโหว่และทำให้การบำรุงรักษาระบบมีความมั่นคงมากขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Linux Kernel 6.18 ได้สถานะ LTS ➡️ สนับสนุนถึงธันวาคม 2027 ➡️ ยืนยันโดยนักพัฒนา Thorsten Leemhuis ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Kernel 6.18 ➡️ Rust Binder Driver เพิ่มความปลอดภัย ➡️ dm-pcache ใช้ persistent memory เป็น cache ➡️ microcode= option สำหรับ x86 ✅ สถานะ Kernel รุ่นอื่น ๆ ➡️ 6.12 และ 6.6 สนับสนุนถึงธันวาคม 2026 ➡️ 6.1 และ 6.18 สนับสนุนถึงธันวาคม 2027 ➡️ 5.15 และ 5.10 สนับสนุนถึงธันวาคม 2026 ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ Kernel 5.4 เข้าสู่ EOL แล้ว ไม่มีการอัปเดตอีกต่อไป ⛔ ผู้ใช้ควรอัปเกรดไปยัง Kernel ที่ยังได้รับการสนับสนุนเพื่อความปลอดภัย https://9to5linux.com/its-official-linux-kernel-6-18-will-be-lts-supported-until-december-2027
    9TO5LINUX.COM
    It’s Official: Linux Kernel 6.18 Will Be LTS, Supported Until December 2027 - 9to5Linux
    Linux kernel 6.18 is now officially marked as LTS (Long-Term Support) on the kernel.org website and it will be supported until December 2027.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • Linux Kernel 5.4 ปิดฉากหลัง 6 ปีการดูแล

    Linux Kernel 5.4 เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2019 และได้รับการดูแลต่อเนื่องโดย Greg Kroah-Hartman ผ่านการอัปเดตมากกว่า 300 ครั้ง ตลอดระยะเวลา 6 ปี ล่าสุดได้ออกเวอร์ชัน 5.4.302 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะถูกประกาศเข้าสู่สถานะ EOL (End of Life) หมายความว่าจะไม่มีการแก้ไขบั๊กหรืออัปเดตความปลอดภัยอีกต่อไป

    ความเสี่ยงจากการใช้งาน Kernel 5.4 ต่อไป
    Greg Kroah-Hartman ระบุว่า Kernel 5.4 มี ช่องโหว่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขกว่า 1,539 CVEs และจำนวนนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หากยังมีการค้นพบใหม่ การใช้งาน Kernel รุ่นนี้ต่อไปจึงเสี่ยงต่อการถูกโจมตี โดยเฉพาะระบบที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือใช้ในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง

    ทางเลือกสำหรับผู้ใช้
    ผู้ใช้ที่ยังคงใช้ Kernel 5.4 ควรรีบอัปเกรดไปยัง Kernel รุ่นใหม่ที่ยังได้รับการสนับสนุน เช่น:
    Linux 5.10 และ 5.15 (สนับสนุนถึงปี 2026)
    Linux 6.1 และ 6.6 (สนับสนุนถึงปี 2027)
    Linux 6.12 LTS (รุ่นล่าสุดที่แนะนำสำหรับระบบใหม่)

    สำหรับผู้ใช้ที่มีฮาร์ดแวร์ใหม่ การเลือก Kernel รุ่นใหม่จะช่วยให้ได้ประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่ดีกว่า

    มุมมองจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    แม้การสิ้นสุดการสนับสนุนของ Kernel 5.4 จะเป็นเรื่องปกติในวงจรชีวิตของ LTS แต่ก็สะท้อนถึงความท้าทายในการดูแลระบบที่ยังใช้ฮาร์ดแวร์เก่า ผู้ใช้บางรายอาจต้องพึ่งพา Extended LTS Support จากบริษัทที่ให้บริการเชิงพาณิชย์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ก็เป็นทางเลือกสำหรับองค์กรที่ไม่สามารถอัปเกรดระบบได้ทันที

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Linux Kernel 5.4 เข้าสู่ EOL
    เปิดตัวเมื่อปี 2019
    ได้รับการดูแลกว่า 6 ปี และอัปเดตครั้งสุดท้ายเป็น 5.4.302

    ความเสี่ยงจากการใช้งานต่อ
    มีช่องโหว่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขกว่า 1,539 CVEs
    ไม่มีการอัปเดตความปลอดภัยอีกต่อไป

    ทางเลือกสำหรับผู้ใช้
    อัปเกรดไปยัง Kernel 5.10, 5.15, 6.1, 6.6 หรือ 6.12 LTS
    ใช้ Extended LTS Support หากไม่สามารถอัปเกรดได้ทันที

    คำเตือนต่อผู้ใช้
    การใช้งาน Kernel 5.4 ต่อไปเสี่ยงต่อการถูกโจมตี
    ระบบที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ
    องค์กรที่ไม่อัปเดตอาจละเมิดข้อกำหนดด้านความปลอดภัย

    https://9to5linux.com/linux-kernel-5-4-reaches-end-of-life-after-more-than-six-years-of-maintenance
    🛡️ Linux Kernel 5.4 ปิดฉากหลัง 6 ปีการดูแล Linux Kernel 5.4 เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2019 และได้รับการดูแลต่อเนื่องโดย Greg Kroah-Hartman ผ่านการอัปเดตมากกว่า 300 ครั้ง ตลอดระยะเวลา 6 ปี ล่าสุดได้ออกเวอร์ชัน 5.4.302 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะถูกประกาศเข้าสู่สถานะ EOL (End of Life) หมายความว่าจะไม่มีการแก้ไขบั๊กหรืออัปเดตความปลอดภัยอีกต่อไป ⚙️ ความเสี่ยงจากการใช้งาน Kernel 5.4 ต่อไป Greg Kroah-Hartman ระบุว่า Kernel 5.4 มี ช่องโหว่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขกว่า 1,539 CVEs และจำนวนนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หากยังมีการค้นพบใหม่ การใช้งาน Kernel รุ่นนี้ต่อไปจึงเสี่ยงต่อการถูกโจมตี โดยเฉพาะระบบที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือใช้ในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง 🔒 ทางเลือกสำหรับผู้ใช้ ผู้ใช้ที่ยังคงใช้ Kernel 5.4 ควรรีบอัปเกรดไปยัง Kernel รุ่นใหม่ที่ยังได้รับการสนับสนุน เช่น: 💠 Linux 5.10 และ 5.15 (สนับสนุนถึงปี 2026) 💠 Linux 6.1 และ 6.6 (สนับสนุนถึงปี 2027) 💠 Linux 6.12 LTS (รุ่นล่าสุดที่แนะนำสำหรับระบบใหม่) สำหรับผู้ใช้ที่มีฮาร์ดแวร์ใหม่ การเลือก Kernel รุ่นใหม่จะช่วยให้ได้ประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่ดีกว่า 🌐 มุมมองจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส แม้การสิ้นสุดการสนับสนุนของ Kernel 5.4 จะเป็นเรื่องปกติในวงจรชีวิตของ LTS แต่ก็สะท้อนถึงความท้าทายในการดูแลระบบที่ยังใช้ฮาร์ดแวร์เก่า ผู้ใช้บางรายอาจต้องพึ่งพา Extended LTS Support จากบริษัทที่ให้บริการเชิงพาณิชย์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ก็เป็นทางเลือกสำหรับองค์กรที่ไม่สามารถอัปเกรดระบบได้ทันที 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Linux Kernel 5.4 เข้าสู่ EOL ➡️ เปิดตัวเมื่อปี 2019 ➡️ ได้รับการดูแลกว่า 6 ปี และอัปเดตครั้งสุดท้ายเป็น 5.4.302 ✅ ความเสี่ยงจากการใช้งานต่อ ➡️ มีช่องโหว่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขกว่า 1,539 CVEs ➡️ ไม่มีการอัปเดตความปลอดภัยอีกต่อไป ✅ ทางเลือกสำหรับผู้ใช้ ➡️ อัปเกรดไปยัง Kernel 5.10, 5.15, 6.1, 6.6 หรือ 6.12 LTS ➡️ ใช้ Extended LTS Support หากไม่สามารถอัปเกรดได้ทันที ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ การใช้งาน Kernel 5.4 ต่อไปเสี่ยงต่อการถูกโจมตี ⛔ ระบบที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ ⛔ องค์กรที่ไม่อัปเดตอาจละเมิดข้อกำหนดด้านความปลอดภัย https://9to5linux.com/linux-kernel-5-4-reaches-end-of-life-after-more-than-six-years-of-maintenance
    9TO5LINUX.COM
    Linux Kernel 5.4 Reaches End of Life After More Than Six Years of Maintenance - 9to5Linux
    Linux 5.4 LTS kernel series has reached end of life after being maintained for more than six years, receiving a total of 302 point releases.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ Directory Traversal + LPE ใน cPanel

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยค้นพบว่า cPanel มีช่องโหว่ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถใช้ Directory Traversal เพื่อเข้าถึงไฟล์ที่อยู่นอกเส้นทางที่อนุญาตได้ เมื่อรวมกับ Local Privilege Escalation (LPE) ผู้โจมตีสามารถยกระดับสิทธิ์จนถึงระดับ Root และเข้าควบคุมเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดได้ทันที ช่องโหว่นี้ถูกจัดอยู่ในระดับ Critical (CVSS 9.3) เนื่องจากผลกระทบครอบคลุมทั้งระบบและอาจทำให้ข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมดถูกเข้าถึงหรือแก้ไขได้

    วิธีการโจมตีและผลกระทบ
    การโจมตีอาศัยการส่งคำสั่งที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อหลอกให้ cPanel เข้าถึงไฟล์ระบบที่สำคัญ เช่น configuration หรือ script ภายใน เมื่อผู้โจมตีสามารถเขียนหรือแก้ไขไฟล์เหล่านี้ได้ ก็สามารถฝังโค้ดอันตรายเพื่อให้รันด้วยสิทธิ์สูงสุด ผลลัพธ์คือการเข้าควบคุมเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบ รวมถึงการสร้างบัญชีใหม่, การแก้ไขเว็บไซต์ที่โฮสต์อยู่, หรือการขโมยข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมด

    การตอบสนองจาก cPanel และคำแนะนำ
    ทีมพัฒนา cPanel ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบอัปเดตทันที โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ Shared Hosting หรือเปิดการเข้าถึงจากอินเทอร์เน็ตโดยตรง เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกโจมตีแบบอัตโนมัติผ่านสคริปต์ที่เผยแพร่ในชุมชนแฮกเกอร์

    มุมมองเพิ่มเติมจากวงการไซเบอร์
    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเตือนว่า ช่องโหว่ลักษณะนี้อันตรายมากเพราะ cPanel เป็นเครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการจัดการเว็บโฮสติ้ง หากผู้โจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์ Root ได้ จะส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์จำนวนมหาศาลทั่วโลก และอาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีต่อระบบอื่น ๆ ต่อไป

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่ (CVE-2025-66476)
    Directory Traversal ใช้เข้าถึงไฟล์นอกเส้นทางที่อนุญาต
    Local Privilege Escalation ทำให้ผู้โจมตีได้สิทธิ์ Root

    ผลกระทบ
    เข้าควบคุมเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมด
    ขโมยหรือแก้ไขข้อมูลผู้ใช้
    ใช้เซิร์ฟเวอร์เป็นฐานโจมตีระบบอื่น

    การแก้ไข
    cPanel ออกแพตช์แก้ไขแล้ว
    ผู้ดูแลระบบควรอัปเดตทันที

    คำเตือนต่อผู้ใช้และผู้ดูแลระบบ
    หากยังไม่ได้อัปเดต ระบบเสี่ยงต่อการถูกโจมตีเต็มรูปแบบ
    Shared Hosting มีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ
    อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีต่อระบบอื่น ๆ

    https://securityonline.info/critical-cpanel-flaw-cvss-9-3-allows-directory-traversal-lpe-for-full-server-takeover/
    🛡️ ช่องโหว่ Directory Traversal + LPE ใน cPanel นักวิจัยด้านความปลอดภัยค้นพบว่า cPanel มีช่องโหว่ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถใช้ Directory Traversal เพื่อเข้าถึงไฟล์ที่อยู่นอกเส้นทางที่อนุญาตได้ เมื่อรวมกับ Local Privilege Escalation (LPE) ผู้โจมตีสามารถยกระดับสิทธิ์จนถึงระดับ Root และเข้าควบคุมเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดได้ทันที ช่องโหว่นี้ถูกจัดอยู่ในระดับ Critical (CVSS 9.3) เนื่องจากผลกระทบครอบคลุมทั้งระบบและอาจทำให้ข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมดถูกเข้าถึงหรือแก้ไขได้ ⚙️ วิธีการโจมตีและผลกระทบ การโจมตีอาศัยการส่งคำสั่งที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อหลอกให้ cPanel เข้าถึงไฟล์ระบบที่สำคัญ เช่น configuration หรือ script ภายใน เมื่อผู้โจมตีสามารถเขียนหรือแก้ไขไฟล์เหล่านี้ได้ ก็สามารถฝังโค้ดอันตรายเพื่อให้รันด้วยสิทธิ์สูงสุด ผลลัพธ์คือการเข้าควบคุมเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบ รวมถึงการสร้างบัญชีใหม่, การแก้ไขเว็บไซต์ที่โฮสต์อยู่, หรือการขโมยข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมด 🔒 การตอบสนองจาก cPanel และคำแนะนำ ทีมพัฒนา cPanel ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบอัปเดตทันที โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ Shared Hosting หรือเปิดการเข้าถึงจากอินเทอร์เน็ตโดยตรง เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกโจมตีแบบอัตโนมัติผ่านสคริปต์ที่เผยแพร่ในชุมชนแฮกเกอร์ 🌐 มุมมองเพิ่มเติมจากวงการไซเบอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเตือนว่า ช่องโหว่ลักษณะนี้อันตรายมากเพราะ cPanel เป็นเครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการจัดการเว็บโฮสติ้ง หากผู้โจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์ Root ได้ จะส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์จำนวนมหาศาลทั่วโลก และอาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีต่อระบบอื่น ๆ ต่อไป 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ (CVE-2025-66476) ➡️ Directory Traversal ใช้เข้าถึงไฟล์นอกเส้นทางที่อนุญาต ➡️ Local Privilege Escalation ทำให้ผู้โจมตีได้สิทธิ์ Root ✅ ผลกระทบ ➡️ เข้าควบคุมเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมด ➡️ ขโมยหรือแก้ไขข้อมูลผู้ใช้ ➡️ ใช้เซิร์ฟเวอร์เป็นฐานโจมตีระบบอื่น ✅ การแก้ไข ➡️ cPanel ออกแพตช์แก้ไขแล้ว ➡️ ผู้ดูแลระบบควรอัปเดตทันที ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้และผู้ดูแลระบบ ⛔ หากยังไม่ได้อัปเดต ระบบเสี่ยงต่อการถูกโจมตีเต็มรูปแบบ ⛔ Shared Hosting มีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ ⛔ อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีต่อระบบอื่น ๆ https://securityonline.info/critical-cpanel-flaw-cvss-9-3-allows-directory-traversal-lpe-for-full-server-takeover/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical cPanel Flaw (CVSS 9.3) Allows Directory Traversal LPE for Full Server Takeover
    A Critical (CVSS 9.3) LPE flaw in cPanel's Team Manager API allows a standard user to break out of their directory via path traversal and compromise the shared hosting server. Update immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน Vim for Windows

    นักวิจัยจาก Trend Micro Zero Day Initiative ได้รายงานช่องโหว่ที่เกิดจาก Uncontrolled Search Path Vulnerability ใน Vim บน Windows ซึ่งทำให้โปรแกรมไปเรียกใช้ไฟล์จากโฟลเดอร์ปัจจุบันแทนที่จะใช้ไฟล์ระบบที่ปลอดภัย หากมีผู้โจมตีวางไฟล์ปลอม เช่น findstr.exe ไว้ในโฟลเดอร์นั้น เมื่อผู้ใช้รันคำสั่งค้นหาภายใน Vim โปรแกรมจะเรียกใช้ไฟล์ปลอมแทนไฟล์จริง ส่งผลให้โค้ดอันตรายถูกรันทันที

    วิธีการโจมตีที่ใช้
    ช่องโหว่นี้สามารถถูกกระตุ้นได้จากหลายคำสั่งใน Vim เช่น :grep, :!, :make หรือการใช้ filter commands โดยทั้งหมดจะไปเรียกใช้โปรแกรมภายนอก หากมีไฟล์ปลอมอยู่ในโฟลเดอร์เดียวกัน โปรแกรมจะรันไฟล์นั้นแทนไฟล์ระบบจริง ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุมเครื่องได้ด้วยสิทธิ์ของผู้ใช้ที่เปิด Vim โดยไม่ต้องใช้สิทธิ์ Administrator

    การแก้ไขและคำแนะนำ
    ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ Vim for Windows เวอร์ชัน 9.1.1946 และก่อนหน้า โดยทีมพัฒนาได้ออกแพตช์แก้ไขใน เวอร์ชัน 9.1.1947 ผู้ใช้ Windows ทุกคนที่ใช้ Vim ควรรีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี โดยเฉพาะนักพัฒนาที่มักเปิดโฟลเดอร์จากแหล่งที่ไม่รู้จัก เช่น repository ที่ดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ต

    มุมมองเพิ่มเติมจากวงการไซเบอร์
    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเตือนว่า ช่องโหว่ลักษณะนี้อันตรายมากเพราะอาศัยความเชื่อใจใน workspace ของผู้ใช้เอง ไม่ใช่การโจมตีจากภายนอกโดยตรง ทำให้ผู้ใช้มักไม่ระวัง และอาจถูกโจมตีได้ง่ายหากเปิดโฟลเดอร์ที่มีไฟล์ปลอมอยู่ การโจมตีแบบนี้ยังสามารถข้ามการแจ้งเตือนด้านความปลอดภัยทั่วไปได้อีกด้วย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่ (CVE-2025-66476)
    เกิดจาก Uncontrolled Search Path Vulnerability
    ทำให้ Vim เรียกใช้ไฟล์ปลอมในโฟลเดอร์แทนไฟล์ระบบจริง

    วิธีการโจมตี
    ใช้คำสั่ง :grep, :!, :make, filter commands
    หากมีไฟล์ปลอม เช่น findstr.exe จะถูกรันแทนไฟล์จริง

    การแก้ไข
    ช่องโหว่กระทบเวอร์ชัน 9.1.1946 และก่อนหน้า
    แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 9.1.1947

    คำเตือนต่อผู้ใช้
    หากยังไม่ได้อัปเดต อาจถูกโจมตีได้ทันทีเมื่อเปิดโฟลเดอร์ที่มีไฟล์ปลอม
    การโจมตีสามารถข้ามการแจ้งเตือนความปลอดภัยทั่วไป
    นักพัฒนาที่ดาวน์โหลดโฟลเดอร์จากอินเทอร์เน็ตเสี่ยงสูงมาก

    https://securityonline.info/high-severity-vim-for-windows-flaw-cve-2025-66476-risks-arbitrary-code-execution-from-compromised-folders/
    ⚠️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Vim for Windows นักวิจัยจาก Trend Micro Zero Day Initiative ได้รายงานช่องโหว่ที่เกิดจาก Uncontrolled Search Path Vulnerability ใน Vim บน Windows ซึ่งทำให้โปรแกรมไปเรียกใช้ไฟล์จากโฟลเดอร์ปัจจุบันแทนที่จะใช้ไฟล์ระบบที่ปลอดภัย หากมีผู้โจมตีวางไฟล์ปลอม เช่น findstr.exe ไว้ในโฟลเดอร์นั้น เมื่อผู้ใช้รันคำสั่งค้นหาภายใน Vim โปรแกรมจะเรียกใช้ไฟล์ปลอมแทนไฟล์จริง ส่งผลให้โค้ดอันตรายถูกรันทันที 🛠️ วิธีการโจมตีที่ใช้ ช่องโหว่นี้สามารถถูกกระตุ้นได้จากหลายคำสั่งใน Vim เช่น :grep, :!, :make หรือการใช้ filter commands โดยทั้งหมดจะไปเรียกใช้โปรแกรมภายนอก หากมีไฟล์ปลอมอยู่ในโฟลเดอร์เดียวกัน โปรแกรมจะรันไฟล์นั้นแทนไฟล์ระบบจริง ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุมเครื่องได้ด้วยสิทธิ์ของผู้ใช้ที่เปิด Vim โดยไม่ต้องใช้สิทธิ์ Administrator 🔒 การแก้ไขและคำแนะนำ ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ Vim for Windows เวอร์ชัน 9.1.1946 และก่อนหน้า โดยทีมพัฒนาได้ออกแพตช์แก้ไขใน เวอร์ชัน 9.1.1947 ผู้ใช้ Windows ทุกคนที่ใช้ Vim ควรรีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี โดยเฉพาะนักพัฒนาที่มักเปิดโฟลเดอร์จากแหล่งที่ไม่รู้จัก เช่น repository ที่ดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ต 🌐 มุมมองเพิ่มเติมจากวงการไซเบอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเตือนว่า ช่องโหว่ลักษณะนี้อันตรายมากเพราะอาศัยความเชื่อใจใน workspace ของผู้ใช้เอง ไม่ใช่การโจมตีจากภายนอกโดยตรง ทำให้ผู้ใช้มักไม่ระวัง และอาจถูกโจมตีได้ง่ายหากเปิดโฟลเดอร์ที่มีไฟล์ปลอมอยู่ การโจมตีแบบนี้ยังสามารถข้ามการแจ้งเตือนด้านความปลอดภัยทั่วไปได้อีกด้วย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ (CVE-2025-66476) ➡️ เกิดจาก Uncontrolled Search Path Vulnerability ➡️ ทำให้ Vim เรียกใช้ไฟล์ปลอมในโฟลเดอร์แทนไฟล์ระบบจริง ✅ วิธีการโจมตี ➡️ ใช้คำสั่ง :grep, :!, :make, filter commands ➡️ หากมีไฟล์ปลอม เช่น findstr.exe จะถูกรันแทนไฟล์จริง ✅ การแก้ไข ➡️ ช่องโหว่กระทบเวอร์ชัน 9.1.1946 และก่อนหน้า ➡️ แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 9.1.1947 ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ หากยังไม่ได้อัปเดต อาจถูกโจมตีได้ทันทีเมื่อเปิดโฟลเดอร์ที่มีไฟล์ปลอม ⛔ การโจมตีสามารถข้ามการแจ้งเตือนความปลอดภัยทั่วไป ⛔ นักพัฒนาที่ดาวน์โหลดโฟลเดอร์จากอินเทอร์เน็ตเสี่ยงสูงมาก https://securityonline.info/high-severity-vim-for-windows-flaw-cve-2025-66476-risks-arbitrary-code-execution-from-compromised-folders/
    SECURITYONLINE.INFO
    High-Severity Vim for Windows Flaw (CVE-2025-66476) Risks Arbitrary Code Execution from Compromised Folders
    A High-severity Vim for Windows flaw (CVE-2025-66476) allows arbitrary code execution. The editor executes malicious binaries in the current working directory instead of safe system paths when running commands like :grep.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ Synology BeeStation: การโจมตีแบบ “Dirty File Write”

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้เปิดเผยชุดการโจมตีที่ซับซ้อนต่อ Synology BeeStation โดยใช้การเชื่อมโยงช่องโหว่ 3 จุด ได้แก่ CRLF Injection, Improper Authentication และ SQL Injection ซึ่งสามารถนำไปสู่การเข้าควบคุมระบบทั้งหมดได้โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนใด ๆ การโจมตีนี้ถูกนำเสนอครั้งแรกในงาน Pwn2Own 2024 และถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้ “vulnerability chaining” หรือการเชื่อมโยงช่องโหว่หลายจุดเข้าด้วยกันเพื่อสร้างผลลัพธ์ร้ายแรงที่สุด

    เทคนิคใหม่: Dirty File Write ผ่าน Cron
    สิ่งที่ทำให้การโจมตีครั้งนี้โดดเด่นคือการใช้ SQL Injection ในการเขียนไฟล์เข้าสู่ระบบ Cron โดยอาศัยความทนทานของ Cron ที่สามารถข้ามบรรทัดที่ผิดพลาดและยังคงทำงานกับบรรทัดที่ถูกต้องได้ นักวิจัยจึงสามารถฝังคำสั่ง Bash ที่เป็นอันตรายลงไปในไฟล์ที่มีข้อมูล Binary ของ SQLite ได้ เมื่อ Cron ทำงานก็จะรันคำสั่งนั้นทันที ส่งผลให้ผู้โจมตีได้สิทธิ์ Root Shell โดยตรง

    การตอบสนองจาก Synology และความเสี่ยงต่อผู้ใช้
    Synology ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่เหล่านี้ในเวอร์ชันล่าสุดของ DSM และ BeeStation OS พร้อมแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันที เนื่องจากมี Proof-of-Concept (PoC) เผยแพร่สู่สาธารณะแล้ว ทำให้อุปกรณ์ที่ยังไม่ได้อัปเดตเสี่ยงต่อการถูกโจมตีอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ใช้ที่เปิดการเข้าถึงจากอินเทอร์เน็ตโดยตรง

    มุมมองเพิ่มเติมจากวงการไซเบอร์
    นักวิจัยหลายรายมองว่าการโจมตีนี้เป็น “game-changing technique” เพราะแสดงให้เห็นว่า SQL Injection สามารถใช้ได้แม้ไม่มี PHP Interpreter ซึ่งปกติเป็นวิธีมาตรฐานในการฝัง Web Shell นั่นหมายความว่าเทคนิคนี้อาจถูกนำไปใช้กับระบบ Linux อื่น ๆ ที่มี Cron ทำงานอยู่ และอาจกลายเป็นแนวทางใหม่ของผู้โจมตีในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่ที่พบใน Synology BeeStation
    CRLF Injection (CVE-2024-50629) ใช้รั่วข้อมูลภายใน
    Improper Authentication (CVE-2024-50630) ใช้ข้ามการตรวจสอบรหัสผ่าน
    SQL Injection (CVE-2024-50631) ใช้สร้าง Cron Job อันตราย

    เทคนิค Dirty File Write
    ใช้ SQLite ATTACH DATABASE เขียนไฟล์ลง Cron
    Cron ข้ามบรรทัดผิดพลาดและรันคำสั่งที่ถูกต้อง

    การตอบสนองจาก Synology
    ออกแพตช์แก้ไขใน DSM และ BeeStation OS เวอร์ชันล่าสุด
    แนะนำให้อัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี

    คำเตือนต่อผู้ใช้
    หากยังไม่ได้อัปเดต อุปกรณ์เสี่ยงต่อการถูกโจมตีทันที
    PoC ถูกเผยแพร่แล้ว ทำให้ผู้โจมตีสามารถนำไปใช้ได้ง่าย
    เทคนิคนี้อาจถูกนำไปใช้กับระบบ Linux อื่น ๆ ที่มี Cron ทำงานอยู่

    https://securityonline.info/synology-beestation-flaw-chain-leads-to-root-rce-via-novel-dirty-file-write-sql-injection-poc-available/
    🛡️ ช่องโหว่ Synology BeeStation: การโจมตีแบบ “Dirty File Write” นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้เปิดเผยชุดการโจมตีที่ซับซ้อนต่อ Synology BeeStation โดยใช้การเชื่อมโยงช่องโหว่ 3 จุด ได้แก่ CRLF Injection, Improper Authentication และ SQL Injection ซึ่งสามารถนำไปสู่การเข้าควบคุมระบบทั้งหมดได้โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนใด ๆ การโจมตีนี้ถูกนำเสนอครั้งแรกในงาน Pwn2Own 2024 และถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้ “vulnerability chaining” หรือการเชื่อมโยงช่องโหว่หลายจุดเข้าด้วยกันเพื่อสร้างผลลัพธ์ร้ายแรงที่สุด ⚙️ เทคนิคใหม่: Dirty File Write ผ่าน Cron สิ่งที่ทำให้การโจมตีครั้งนี้โดดเด่นคือการใช้ SQL Injection ในการเขียนไฟล์เข้าสู่ระบบ Cron โดยอาศัยความทนทานของ Cron ที่สามารถข้ามบรรทัดที่ผิดพลาดและยังคงทำงานกับบรรทัดที่ถูกต้องได้ นักวิจัยจึงสามารถฝังคำสั่ง Bash ที่เป็นอันตรายลงไปในไฟล์ที่มีข้อมูล Binary ของ SQLite ได้ เมื่อ Cron ทำงานก็จะรันคำสั่งนั้นทันที ส่งผลให้ผู้โจมตีได้สิทธิ์ Root Shell โดยตรง 🔒 การตอบสนองจาก Synology และความเสี่ยงต่อผู้ใช้ Synology ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่เหล่านี้ในเวอร์ชันล่าสุดของ DSM และ BeeStation OS พร้อมแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันที เนื่องจากมี Proof-of-Concept (PoC) เผยแพร่สู่สาธารณะแล้ว ทำให้อุปกรณ์ที่ยังไม่ได้อัปเดตเสี่ยงต่อการถูกโจมตีอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ใช้ที่เปิดการเข้าถึงจากอินเทอร์เน็ตโดยตรง 🌐 มุมมองเพิ่มเติมจากวงการไซเบอร์ นักวิจัยหลายรายมองว่าการโจมตีนี้เป็น “game-changing technique” เพราะแสดงให้เห็นว่า SQL Injection สามารถใช้ได้แม้ไม่มี PHP Interpreter ซึ่งปกติเป็นวิธีมาตรฐานในการฝัง Web Shell นั่นหมายความว่าเทคนิคนี้อาจถูกนำไปใช้กับระบบ Linux อื่น ๆ ที่มี Cron ทำงานอยู่ และอาจกลายเป็นแนวทางใหม่ของผู้โจมตีในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ที่พบใน Synology BeeStation ➡️ CRLF Injection (CVE-2024-50629) ใช้รั่วข้อมูลภายใน ➡️ Improper Authentication (CVE-2024-50630) ใช้ข้ามการตรวจสอบรหัสผ่าน ➡️ SQL Injection (CVE-2024-50631) ใช้สร้าง Cron Job อันตราย ✅ เทคนิค Dirty File Write ➡️ ใช้ SQLite ATTACH DATABASE เขียนไฟล์ลง Cron ➡️ Cron ข้ามบรรทัดผิดพลาดและรันคำสั่งที่ถูกต้อง ✅ การตอบสนองจาก Synology ➡️ ออกแพตช์แก้ไขใน DSM และ BeeStation OS เวอร์ชันล่าสุด ➡️ แนะนำให้อัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ หากยังไม่ได้อัปเดต อุปกรณ์เสี่ยงต่อการถูกโจมตีทันที ⛔ PoC ถูกเผยแพร่แล้ว ทำให้ผู้โจมตีสามารถนำไปใช้ได้ง่าย ⛔ เทคนิคนี้อาจถูกนำไปใช้กับระบบ Linux อื่น ๆ ที่มี Cron ทำงานอยู่ https://securityonline.info/synology-beestation-flaw-chain-leads-to-root-rce-via-novel-dirty-file-write-sql-injection-poc-available/
    SECURITYONLINE.INFO
    Synology BeeStation Flaw Chain Leads to Root RCE Via Novel "Dirty File Write" SQL Injection, PoC Available
    A 3-flaw chain (CRLF, Auth Bypass, SQLi) achieves root RCE on Synology BeeStation. The exploit uses a "Dirty File Write" SQLi to inject a malicious crontab entry, bypassing the lack of a PHP interpreter.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.38

    กฎหมายแรงงานฉบับลูกจ้าง: เกราะป้องกันที่คุณต้องมีในโลกการทำงาน
    ในโลกของการจ้างงานที่ขับเคลื่อนด้วยการแข่งขันและภาระหน้าที่ เราในฐานะ "ลูกจ้าง" หรือ "คนทำงาน" มักได้ยินคำว่า "กฎหมายแรงงาน" อยู่บ่อยครั้ง จนบางครั้งเกิดความสับสนหรือไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้วสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายของเราครอบคลุมถึงขอบเขตใดบ้าง การตระหนักถึงข้อกฎหมายเหล่านี้จึงไม่ใช่เพียงแค่ความรู้ทั่วไป แต่เป็นเสมือน "เกราะป้องกัน" ที่สำคัญที่สุด ที่จะช่วยให้เราสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมั่นใจ ไม่ถูกเอาเปรียบ และเรียกร้องความเป็นธรรมได้เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามครรลองที่กฎหมายกำหนดไว้ เราจึงขอสรุปสาระสำคัญของกฎหมายแรงงานที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนจำเป็นต้องทราบ ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานของเวลาทำงาน วันหยุด วันลา ไปจนถึงสิทธิค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้าง เพื่อให้ทุกคน "รู้ทันสิทธิ" ของตนเองอย่างแท้จริง

    กฎหมายแรงงานได้กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำเกี่ยวกับ "เวลาทำงาน" เพื่อให้ลูกจ้างมีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอ โดยกำหนดให้งานทั่วไปต้องทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน และรวมแล้วต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนงานที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพหรืออันตรายจะถูกจำกัดเข้มงวดกว่า คือต้องไม่เกิน 5 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่นายจ้างต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด หากมีความจำเป็นต้องทำงานล่วงเวลา หรือที่เรียกกันว่า "OT" (Overtime) กฎหมายก็กำหนดอัตราค่าตอบแทนที่เป็นธรรม โดยในวันธรรมดาจะต้องได้รับค่าล่วงเวลาไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง และเพิ่มเป็น 3 เท่าสำหรับวันหยุด และแม้จะเป็นการทำงานเพิ่มในเวลาทำงานปกติก็ตาม ก็ยังคงต้องได้รับค่าตอบแทนในอัตรา 1 เท่า หากแต่การทำงานล่วงเวลาทั้งหมดนี้ก็มีเพดานกำกับไว้ คือต้องไม่เกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพื่อป้องกันการใช้แรงงานเกินควร นอกจากเวลาทำงานแล้ว "วันหยุด" ก็เป็นอีกหนึ่งสิทธิพื้นฐานที่ถูกคุ้มครอง ลูกจ้างมีสิทธิได้รับวันหยุดประจำสัปดาห์อย่างน้อย 1 วัน และที่สำคัญคือสิทธิในวันหยุดตามประเพณี ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่าต้องไม่น้อยกว่า 13 วันต่อปี โดยรวมวันสำคัญทางศาสนาและวันหยุดราชการอื่น ๆ เพื่อให้ลูกจ้างมีโอกาสได้พักผ่อนและทำกิจกรรมทางสังคมได้อย่างเต็มที่ สิทธิในการ "ลา" เป็นอีกหนึ่งบทบัญญัติที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในคุณภาพชีวิตของลูกจ้าง เริ่มตั้งแต่ "ลาป่วย" ซึ่งลูกจ้างสามารถลาได้ตามที่ป่วยจริง และหากลาติดต่อกันเกินกว่า 3 วัน นายจ้างมีสิทธิขอ "ใบรับรองแพทย์" เพื่อประกอบการพิจารณา การ "ลาพักร้อน" หรือวันหยุดพักผ่อนประจำปี ก็ถูกกำหนดให้มีขั้นต่ำที่ 6 วันต่อปี หลังจากทำงานครบหนึ่งปี ส่วน "ลากิจธุระอันจำเป็น" นั้น แม้จะถูกกำหนดโดยกฎหมายให้นายจ้างอนุญาต แต่รายละเอียดและจำนวนวันลาที่เกินกว่า 3 วันขึ้นไป อาจขึ้นอยู่กับข้อตกลงหรือระเบียบขององค์กรนั้น ๆ สำหรับสิทธิของลูกจ้างหญิง กฎหมายให้สิทธิ "ลาคลอดบุตร" ได้สูงสุดถึง 120 วัน โดยได้รับค่าจ้างในระหว่างลานั้นไม่เกิน 60 วัน และล่าสุด ยังรวมถึงสิทธิ "ลาตรวจครรภ์" 15 วัน และ "ลาเพื่อช่วยคู่สมรสคลอดบุตร" 15 วัน ซึ่งต้องใช้สิทธิภายใน 90 วันหลังคลอด ซึ่งทั้งหมดนี้คือการยกระดับคุณภาพชีวิตและครอบครัวของแรงงาน

    แต่ประเด็นที่มักจะสร้างความกังวลใจและเป็นข้อพิพาทมากที่สุด คือเรื่องของการ "เลิกจ้าง" และ "ค่าชดเชย" กฎหมายแรงงานได้กำหนดอัตราค่าชดเชยที่ชัดเจนและเป็นไปตามระยะเวลาการทำงานของลูกจ้าง เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อต้องออกจากงาน ลูกจ้างจะได้รับเงินชดเชยที่เหมาะสมตามความทุ่มเทและเวลาที่ได้อุทิศให้แก่องค์กร โดยเริ่มตั้งแต่การทำงานครบ 120 วันแต่ไม่ถึง 1 ปี จะได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 30 วัน ไปจนถึงกรณีที่ทำงานมาอย่างยาวนานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จะได้รับค่าชดเชยสูงสุดถึง 300 วัน ซึ่งการกำหนดอัตราค่าชดเชยนี้เป็นไปเพื่อคุ้มครองสถานะทางการเงินของลูกจ้างในช่วงเปลี่ยนผ่านการทำงาน การทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องเวลาทำงาน ค่าล่วงเวลา วันหยุด วันลา และค่าชดเชยการเลิกจ้าง ตามที่กระทรวงแรงงานได้ประกาศไว้นั้น จึงไม่ใช่เพียงแค่การท่องจำตัวเลข แต่เป็นการติดอาวุธทางปัญญาให้กับตนเองในฐานะลูกจ้าง เพื่อใช้กฎหมายเป็นกลไกในการรักษาสิทธิของตนเองให้ได้รับความเสมอภาคและความเป็นธรรมตามหลักนิติธรรมที่ใช้กำกับดูแลความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง

    ดังนั้น การศึกษากฎหมายแรงงานจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด ไม่ว่าคุณจะอยู่ในตำแหน่งใดหรือทำงานในอุตสาหกรรมใดก็ตาม การ "รู้ทันสิทธิ" เหล่านี้จะทำให้คุณไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าในโครงสร้างการจ้างงาน และทำให้คุณสามารถก้าวเดินในโลกของการทำงานได้อย่างมั่นคงและมั่นใจ การใช้กฎหมายเป็นหลักในการเจรจาและการปฏิบัติงานคือการแสดงออกถึงความเป็นมืออาชีพและการเคารพในตัวเอง เพราะสิทธิที่เราได้รับตามกฎหมายแรงงานนั้น แท้จริงแล้วคือสิ่งที่สังคมยอมรับว่าเป็นความยุติธรรมขั้นพื้นฐานที่เราพึงได้รับจากการใช้แรงงานและเวลาอันมีค่าของเราในการสร้างสรรค์ผลผลิตให้กับสังคมนั่นเอง
    บทความกฎหมาย EP.38 กฎหมายแรงงานฉบับลูกจ้าง: เกราะป้องกันที่คุณต้องมีในโลกการทำงาน ในโลกของการจ้างงานที่ขับเคลื่อนด้วยการแข่งขันและภาระหน้าที่ เราในฐานะ "ลูกจ้าง" หรือ "คนทำงาน" มักได้ยินคำว่า "กฎหมายแรงงาน" อยู่บ่อยครั้ง จนบางครั้งเกิดความสับสนหรือไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้วสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายของเราครอบคลุมถึงขอบเขตใดบ้าง การตระหนักถึงข้อกฎหมายเหล่านี้จึงไม่ใช่เพียงแค่ความรู้ทั่วไป แต่เป็นเสมือน "เกราะป้องกัน" ที่สำคัญที่สุด ที่จะช่วยให้เราสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมั่นใจ ไม่ถูกเอาเปรียบ และเรียกร้องความเป็นธรรมได้เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามครรลองที่กฎหมายกำหนดไว้ เราจึงขอสรุปสาระสำคัญของกฎหมายแรงงานที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนจำเป็นต้องทราบ ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานของเวลาทำงาน วันหยุด วันลา ไปจนถึงสิทธิค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้าง เพื่อให้ทุกคน "รู้ทันสิทธิ" ของตนเองอย่างแท้จริง กฎหมายแรงงานได้กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำเกี่ยวกับ "เวลาทำงาน" เพื่อให้ลูกจ้างมีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอ โดยกำหนดให้งานทั่วไปต้องทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน และรวมแล้วต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนงานที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพหรืออันตรายจะถูกจำกัดเข้มงวดกว่า คือต้องไม่เกิน 5 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่นายจ้างต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด หากมีความจำเป็นต้องทำงานล่วงเวลา หรือที่เรียกกันว่า "OT" (Overtime) กฎหมายก็กำหนดอัตราค่าตอบแทนที่เป็นธรรม โดยในวันธรรมดาจะต้องได้รับค่าล่วงเวลาไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง และเพิ่มเป็น 3 เท่าสำหรับวันหยุด และแม้จะเป็นการทำงานเพิ่มในเวลาทำงานปกติก็ตาม ก็ยังคงต้องได้รับค่าตอบแทนในอัตรา 1 เท่า หากแต่การทำงานล่วงเวลาทั้งหมดนี้ก็มีเพดานกำกับไว้ คือต้องไม่เกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพื่อป้องกันการใช้แรงงานเกินควร นอกจากเวลาทำงานแล้ว "วันหยุด" ก็เป็นอีกหนึ่งสิทธิพื้นฐานที่ถูกคุ้มครอง ลูกจ้างมีสิทธิได้รับวันหยุดประจำสัปดาห์อย่างน้อย 1 วัน และที่สำคัญคือสิทธิในวันหยุดตามประเพณี ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่าต้องไม่น้อยกว่า 13 วันต่อปี โดยรวมวันสำคัญทางศาสนาและวันหยุดราชการอื่น ๆ เพื่อให้ลูกจ้างมีโอกาสได้พักผ่อนและทำกิจกรรมทางสังคมได้อย่างเต็มที่ สิทธิในการ "ลา" เป็นอีกหนึ่งบทบัญญัติที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในคุณภาพชีวิตของลูกจ้าง เริ่มตั้งแต่ "ลาป่วย" ซึ่งลูกจ้างสามารถลาได้ตามที่ป่วยจริง และหากลาติดต่อกันเกินกว่า 3 วัน นายจ้างมีสิทธิขอ "ใบรับรองแพทย์" เพื่อประกอบการพิจารณา การ "ลาพักร้อน" หรือวันหยุดพักผ่อนประจำปี ก็ถูกกำหนดให้มีขั้นต่ำที่ 6 วันต่อปี หลังจากทำงานครบหนึ่งปี ส่วน "ลากิจธุระอันจำเป็น" นั้น แม้จะถูกกำหนดโดยกฎหมายให้นายจ้างอนุญาต แต่รายละเอียดและจำนวนวันลาที่เกินกว่า 3 วันขึ้นไป อาจขึ้นอยู่กับข้อตกลงหรือระเบียบขององค์กรนั้น ๆ สำหรับสิทธิของลูกจ้างหญิง กฎหมายให้สิทธิ "ลาคลอดบุตร" ได้สูงสุดถึง 120 วัน โดยได้รับค่าจ้างในระหว่างลานั้นไม่เกิน 60 วัน และล่าสุด ยังรวมถึงสิทธิ "ลาตรวจครรภ์" 15 วัน และ "ลาเพื่อช่วยคู่สมรสคลอดบุตร" 15 วัน ซึ่งต้องใช้สิทธิภายใน 90 วันหลังคลอด ซึ่งทั้งหมดนี้คือการยกระดับคุณภาพชีวิตและครอบครัวของแรงงาน แต่ประเด็นที่มักจะสร้างความกังวลใจและเป็นข้อพิพาทมากที่สุด คือเรื่องของการ "เลิกจ้าง" และ "ค่าชดเชย" กฎหมายแรงงานได้กำหนดอัตราค่าชดเชยที่ชัดเจนและเป็นไปตามระยะเวลาการทำงานของลูกจ้าง เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อต้องออกจากงาน ลูกจ้างจะได้รับเงินชดเชยที่เหมาะสมตามความทุ่มเทและเวลาที่ได้อุทิศให้แก่องค์กร โดยเริ่มตั้งแต่การทำงานครบ 120 วันแต่ไม่ถึง 1 ปี จะได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 30 วัน ไปจนถึงกรณีที่ทำงานมาอย่างยาวนานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จะได้รับค่าชดเชยสูงสุดถึง 300 วัน ซึ่งการกำหนดอัตราค่าชดเชยนี้เป็นไปเพื่อคุ้มครองสถานะทางการเงินของลูกจ้างในช่วงเปลี่ยนผ่านการทำงาน การทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องเวลาทำงาน ค่าล่วงเวลา วันหยุด วันลา และค่าชดเชยการเลิกจ้าง ตามที่กระทรวงแรงงานได้ประกาศไว้นั้น จึงไม่ใช่เพียงแค่การท่องจำตัวเลข แต่เป็นการติดอาวุธทางปัญญาให้กับตนเองในฐานะลูกจ้าง เพื่อใช้กฎหมายเป็นกลไกในการรักษาสิทธิของตนเองให้ได้รับความเสมอภาคและความเป็นธรรมตามหลักนิติธรรมที่ใช้กำกับดูแลความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ดังนั้น การศึกษากฎหมายแรงงานจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด ไม่ว่าคุณจะอยู่ในตำแหน่งใดหรือทำงานในอุตสาหกรรมใดก็ตาม การ "รู้ทันสิทธิ" เหล่านี้จะทำให้คุณไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าในโครงสร้างการจ้างงาน และทำให้คุณสามารถก้าวเดินในโลกของการทำงานได้อย่างมั่นคงและมั่นใจ การใช้กฎหมายเป็นหลักในการเจรจาและการปฏิบัติงานคือการแสดงออกถึงความเป็นมืออาชีพและการเคารพในตัวเอง เพราะสิทธิที่เราได้รับตามกฎหมายแรงงานนั้น แท้จริงแล้วคือสิ่งที่สังคมยอมรับว่าเป็นความยุติธรรมขั้นพื้นฐานที่เราพึงได้รับจากการใช้แรงงานและเวลาอันมีค่าของเราในการสร้างสรรค์ผลผลิตให้กับสังคมนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • DeepPix: เซ็นเซอร์ใหม่จาก Samsung

    Samsung กำลังพัฒนาเซ็นเซอร์กล้องใหม่ชื่อ DeepPix ซึ่งถูกมองว่าเป็นตัวแทนของ ISOCELL ที่ใช้งานมานาน โดยมีการยื่นจดเครื่องหมายการค้าในหลายประเทศ และคาดว่าจะเป็นการตอบโต้ต่อคู่แข่งอย่าง Sony ที่เพิ่งเปิดตัวเซ็นเซอร์ LYTIA 901

    Samsung ยื่นจดเครื่องหมายการค้า DeepPix ในสหรัฐฯ, สหภาพยุโรป และอาร์เจนตินา โดยระบุว่าเป็น CMOS image sensor ซึ่งสามารถแปลงแสงเป็นสัญญาณดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดเด่นของ CMOS คือ ใช้พลังงานต่ำ, ความเร็วสูง และต้นทุนการผลิตต่ำ เนื่องจากสามารถผลิตด้วยกระบวนการเซมิคอนดักเตอร์มาตรฐาน

    การเปลี่ยนผ่านจาก ISOCELL
    Samsung ใช้แบรนด์ ISOCELL มาตั้งแต่ปี 2013 แต่ด้วยการแข่งขันที่รุนแรงจาก Sony และ OmniVision ทำให้บริษัทต้องหาทางรีแบรนด์และพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ DeepPix จึงถูกมองว่าเป็น การรีเฟรชแบรนด์ และอาจมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น การลด noise, ADC แบบละเอียด และวงจรประมวลผลภาพในตัว

    การแข่งขันกับ Sony และคู่แข่ง
    Sony เพิ่งเปิดตัวเซ็นเซอร์ LYTIA 901 ขนาด 200MP ที่ใช้เทคโนโลยี Quad-Quad Bayer Coding (QQBC) และ HDR ขั้นสูง ทำให้ DeepPix ถูกคาดว่าจะเป็นการตอบโต้โดยตรง เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดในสมาร์ทโฟนระดับเรือธง โดยเฉพาะในซีรีส์ Galaxy Ultra รุ่นถัดไป

    ยังไม่พร้อมเปิดตัวใน Galaxy S26
    แม้จะมีข่าวลือ แต่รายงานระบุว่า Galaxy S26 Ultra จะยังใช้ ISOCELL HP2 และกล้องจาก Sony เช่น IMX564 และ IMX854 ทำให้ DeepPix อาจถูกเลื่อนการเปิดตัวไปในรุ่นหลังจากนั้น เพื่อให้มีเวลาในการพัฒนาและทดสอบอย่างเต็มที่

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Samsung ยื่นจดเครื่องหมายการค้า DeepPix
    ระบุว่าเป็น CMOS image sensor

    DeepPix ถูกมองว่าเป็นการแทนที่ ISOCELL
    ใช้พลังงานต่ำ, ความเร็วสูง, ต้นทุนต่ำ

    Sony เปิดตัว LYTIA 901 ขนาด 200MP
    เทคโนโลยี QQBC และ HDR ขั้นสูง

    DeepPix ยังไม่พร้อมใช้ใน Galaxy S26 Ultra
    รุ่นนี้ยังคงใช้ ISOCELL HP2 และเซ็นเซอร์ Sony

    การแข่งขันในตลาดเซ็นเซอร์รุนแรงมาก
    Samsung ต้องเร่งพัฒนาเพื่อไม่ให้เสียส่วนแบ่งตลาด

    https://wccftech.com/meet-samsungs-deeppix-camera-sensor-a-likely-replacement-for-the-ageing-isocell/
    📸 DeepPix: เซ็นเซอร์ใหม่จาก Samsung Samsung กำลังพัฒนาเซ็นเซอร์กล้องใหม่ชื่อ DeepPix ซึ่งถูกมองว่าเป็นตัวแทนของ ISOCELL ที่ใช้งานมานาน โดยมีการยื่นจดเครื่องหมายการค้าในหลายประเทศ และคาดว่าจะเป็นการตอบโต้ต่อคู่แข่งอย่าง Sony ที่เพิ่งเปิดตัวเซ็นเซอร์ LYTIA 901 Samsung ยื่นจดเครื่องหมายการค้า DeepPix ในสหรัฐฯ, สหภาพยุโรป และอาร์เจนตินา โดยระบุว่าเป็น CMOS image sensor ซึ่งสามารถแปลงแสงเป็นสัญญาณดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดเด่นของ CMOS คือ ใช้พลังงานต่ำ, ความเร็วสูง และต้นทุนการผลิตต่ำ เนื่องจากสามารถผลิตด้วยกระบวนการเซมิคอนดักเตอร์มาตรฐาน 🔍 การเปลี่ยนผ่านจาก ISOCELL Samsung ใช้แบรนด์ ISOCELL มาตั้งแต่ปี 2013 แต่ด้วยการแข่งขันที่รุนแรงจาก Sony และ OmniVision ทำให้บริษัทต้องหาทางรีแบรนด์และพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ DeepPix จึงถูกมองว่าเป็น การรีเฟรชแบรนด์ และอาจมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น การลด noise, ADC แบบละเอียด และวงจรประมวลผลภาพในตัว 🎮 การแข่งขันกับ Sony และคู่แข่ง Sony เพิ่งเปิดตัวเซ็นเซอร์ LYTIA 901 ขนาด 200MP ที่ใช้เทคโนโลยี Quad-Quad Bayer Coding (QQBC) และ HDR ขั้นสูง ทำให้ DeepPix ถูกคาดว่าจะเป็นการตอบโต้โดยตรง เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดในสมาร์ทโฟนระดับเรือธง โดยเฉพาะในซีรีส์ Galaxy Ultra รุ่นถัดไป ⚠️ ยังไม่พร้อมเปิดตัวใน Galaxy S26 แม้จะมีข่าวลือ แต่รายงานระบุว่า Galaxy S26 Ultra จะยังใช้ ISOCELL HP2 และกล้องจาก Sony เช่น IMX564 และ IMX854 ทำให้ DeepPix อาจถูกเลื่อนการเปิดตัวไปในรุ่นหลังจากนั้น เพื่อให้มีเวลาในการพัฒนาและทดสอบอย่างเต็มที่ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Samsung ยื่นจดเครื่องหมายการค้า DeepPix ➡️ ระบุว่าเป็น CMOS image sensor ✅ DeepPix ถูกมองว่าเป็นการแทนที่ ISOCELL ➡️ ใช้พลังงานต่ำ, ความเร็วสูง, ต้นทุนต่ำ ✅ Sony เปิดตัว LYTIA 901 ขนาด 200MP ➡️ เทคโนโลยี QQBC และ HDR ขั้นสูง ‼️ DeepPix ยังไม่พร้อมใช้ใน Galaxy S26 Ultra ⛔ รุ่นนี้ยังคงใช้ ISOCELL HP2 และเซ็นเซอร์ Sony ‼️ การแข่งขันในตลาดเซ็นเซอร์รุนแรงมาก ⛔ Samsung ต้องเร่งพัฒนาเพื่อไม่ให้เสียส่วนแบ่งตลาด https://wccftech.com/meet-samsungs-deeppix-camera-sensor-a-likely-replacement-for-the-ageing-isocell/
    WCCFTECH.COM
    Samsung DeepPix: Can This New Sensor Take On Sony's LYTIA 901?
    Samsung's DeepPix might be a response to Sony's new 200MP sensor, called LYTIA 901, which features a 1/1.12-inch aperture and 0.7 µm pixels.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลุดผลทดสอบบน Geekbench ของ Intel Core Ultra 7 366H (Panther Lake)

    Intel Core Ultra 7 366H (Panther Lake) ถูกทดสอบบน Geekbench เผยว่า iGPU แบบ Xe3 4 คอร์ ทำคะแนนสูงกว่า GTX 1050 Ti และ Radeon 840M แต่ยังตามหลัง Radeon 860M อยู่ราว 40%

    Core Ultra 7 366H ใช้สถาปัตยกรรม Panther Lake มี 16 คอร์ (4 Performance + 8 Efficient + 4 LP-E) ความเร็วสูงสุด 4.8 GHz พร้อมแคช L3 ขนาด 18 MB ถือเป็นรุ่นที่เน้นตลาดโน้ตบุ๊กระดับกลาง โดยยังคงใช้พลังงาน TDP 25W (Turbo 65–80W)

    iGPU Xe3 4 คอร์ เทียบกับคู่แข่ง
    ผลทดสอบ Geekbench Vulkan แสดงว่า iGPU ทำคะแนน 22,813 ซึ่งสูงกว่า GTX 1050 Ti (21,937) และ Radeon 840M (18,060) แต่ยังตามหลัง Radeon 860M (37,552) อยู่มาก จุดนี้สะท้อนว่า iGPU ของ Intel รุ่นนี้เหมาะกับงานกราฟิกทั่วไปและเกมเบา ๆ แต่ยังไม่สามารถแข่งขันกับ iGPU ระดับสูงของ AMD ได้

    ตำแหน่งในตลาด
    Core Ultra 7 366H ถูกวางไว้สำหรับ โน้ตบุ๊ก mainstream ที่ต้องการสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและราคา โดยรุ่นที่มี iGPU 10–12 คอร์ในตระกูล Panther Lake ได้แสดงผลลัพธ์ใกล้เคียง RTX 3050 แล้ว ทำให้รุ่น 366H เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในกลุ่มกลาง แต่ไม่ใช่ตัวท็อปสำหรับงานกราฟิกหนัก

    แนวโน้มและการแข่งขัน
    แม้ Intel จะพัฒนา iGPU ให้ดีขึ้น แต่ตลาดโน้ตบุ๊กงบกลางยังคงถูกครองโดย AMD ที่มี iGPU แรงกว่าในซีรีส์ Ryzen AI 7 และ Krackan Point การแข่งขันในปี 2026 จะขึ้นอยู่กับว่า Intel สามารถผลักดัน Panther Lake รุ่นสูงให้เข้าถึงตลาดได้เร็วแค่ไหน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Core Ultra 7 366H ใช้สถาปัตยกรรม Panther Lake
    16 คอร์, 4.8 GHz, L3 18 MB, TDP 25W

    iGPU Xe3 4 คอร์ทำคะแนน 22,813 บน Geekbench Vulkan
    สูงกว่า GTX 1050 Ti และ Radeon 840M

    เหมาะกับโน้ตบุ๊ก mainstream
    สมดุลระหว่างราคาและประสิทธิภาพ แต่ไม่ใช่ตัวท็อป

    ยังตามหลัง Radeon 860M อยู่ราว 40%
    ไม่เหมาะกับงานกราฟิกหนักหรือเกม AAA ที่ต้องการพลังสูง

    AMD ยังคงครองตลาด iGPU ระดับสูง
    Intel ต้องเร่งพัฒนา Panther Lake รุ่น 10–12 คอร์เพื่อแข่งขัน

    https://wccftech.com/intel-core-ultra-7-366h-benchmarked-on-geekbench/
    📈 หลุดผลทดสอบบน Geekbench ของ Intel Core Ultra 7 366H (Panther Lake) Intel Core Ultra 7 366H (Panther Lake) ถูกทดสอบบน Geekbench เผยว่า iGPU แบบ Xe3 4 คอร์ ทำคะแนนสูงกว่า GTX 1050 Ti และ Radeon 840M แต่ยังตามหลัง Radeon 860M อยู่ราว 40% Core Ultra 7 366H ใช้สถาปัตยกรรม Panther Lake มี 16 คอร์ (4 Performance + 8 Efficient + 4 LP-E) ความเร็วสูงสุด 4.8 GHz พร้อมแคช L3 ขนาด 18 MB ถือเป็นรุ่นที่เน้นตลาดโน้ตบุ๊กระดับกลาง โดยยังคงใช้พลังงาน TDP 25W (Turbo 65–80W) 🎮 iGPU Xe3 4 คอร์ เทียบกับคู่แข่ง ผลทดสอบ Geekbench Vulkan แสดงว่า iGPU ทำคะแนน 22,813 ซึ่งสูงกว่า GTX 1050 Ti (21,937) และ Radeon 840M (18,060) แต่ยังตามหลัง Radeon 860M (37,552) อยู่มาก จุดนี้สะท้อนว่า iGPU ของ Intel รุ่นนี้เหมาะกับงานกราฟิกทั่วไปและเกมเบา ๆ แต่ยังไม่สามารถแข่งขันกับ iGPU ระดับสูงของ AMD ได้ 🖥️ ตำแหน่งในตลาด Core Ultra 7 366H ถูกวางไว้สำหรับ โน้ตบุ๊ก mainstream ที่ต้องการสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและราคา โดยรุ่นที่มี iGPU 10–12 คอร์ในตระกูล Panther Lake ได้แสดงผลลัพธ์ใกล้เคียง RTX 3050 แล้ว ทำให้รุ่น 366H เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในกลุ่มกลาง แต่ไม่ใช่ตัวท็อปสำหรับงานกราฟิกหนัก ⚠️ แนวโน้มและการแข่งขัน แม้ Intel จะพัฒนา iGPU ให้ดีขึ้น แต่ตลาดโน้ตบุ๊กงบกลางยังคงถูกครองโดย AMD ที่มี iGPU แรงกว่าในซีรีส์ Ryzen AI 7 และ Krackan Point การแข่งขันในปี 2026 จะขึ้นอยู่กับว่า Intel สามารถผลักดัน Panther Lake รุ่นสูงให้เข้าถึงตลาดได้เร็วแค่ไหน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Core Ultra 7 366H ใช้สถาปัตยกรรม Panther Lake ➡️ 16 คอร์, 4.8 GHz, L3 18 MB, TDP 25W ✅ iGPU Xe3 4 คอร์ทำคะแนน 22,813 บน Geekbench Vulkan ➡️ สูงกว่า GTX 1050 Ti และ Radeon 840M ✅ เหมาะกับโน้ตบุ๊ก mainstream ➡️ สมดุลระหว่างราคาและประสิทธิภาพ แต่ไม่ใช่ตัวท็อป ‼️ ยังตามหลัง Radeon 860M อยู่ราว 40% ⛔ ไม่เหมาะกับงานกราฟิกหนักหรือเกม AAA ที่ต้องการพลังสูง ‼️ AMD ยังคงครองตลาด iGPU ระดับสูง ⛔ Intel ต้องเร่งพัฒนา Panther Lake รุ่น 10–12 คอร์เพื่อแข่งขัน https://wccftech.com/intel-core-ultra-7-366h-benchmarked-on-geekbench/
    WCCFTECH.COM
    Intel Core Ultra 7 366H Leaked iGPU Geekbench Benchmark Reveals 26% Higher Score Vs Radeon 840M
    Intel Panther Lake Core Ultra 7 366H was benchmarked in Geekbench Vulkan test and showed good performance uplift over Radeon 840M.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • Lisuan 7G106: GPU จีนรุ่นใหม่ อาจจะรองรับ Windows on ARM (WoA) เป็นเจ้าแรก

    บริษัทจีนชื่อ Lisuan เตรียมเปิดตัวการ์ดจอ 7G106 (6nm) ที่อาจเป็น GPU ตัวแรกของโลกที่รองรับ Windows on ARM (WoA) ก่อนทั้ง NVIDIA และ AMD โดยจับคู่กับซีพียู ARMv9 ของจีน และอยู่ระหว่างการผลิตเพื่อวางขายในไตรมาสแรกปี 2026

    Lisuan เปิดเผยว่า 7G106 Gaming GPU ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC N6 (6nm) มีหน่วยความจำ 12GB GDDR6 บัส 192-bit รองรับ PCIe 4.0 x16 และใช้พลังงานสูงสุด 225W จุดเด่นคือการออกแบบเพื่อแข่งขันกับ NVIDIA GeForce RTX 60-series โดยมีจำนวน 192 TMUs และ 96 ROPs

    รองรับ Windows on ARM เป็นครั้งแรก
    สิ่งที่ทำให้ 7G106 น่าสนใจคือการถูกทดสอบร่วมกับซีพียู ARMv9 CP8180 (12 คอร์, 3.2 GHz) และสามารถรัน Windows on ARM ได้จริง นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ GPU แบบ discrete รองรับ WoA ซึ่งปกติถูกจำกัดอยู่ในโน้ตบุ๊กที่ใช้ Snapdragon X Elite เท่านั้น

    ความท้าทายด้านการผลิต
    แม้จะใช้เทคโนโลยี TSMC N6 แต่เนื่องจากข้อจำกัดด้านการส่งออกชิปไปจีน ทำให้ Lisuan อาจต้องหันไปใช้ SMIC 6nm ในอนาคต การเปลี่ยนแหล่งผลิตอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและต้นทุน แต่ Lisuan ยืนยันว่ากำลังเข้าสู่การผลิตจำนวนมากแล้ว

    ผลกระทบต่อการแข่งขัน GPU โลก
    การที่ Lisuanสามารถเปิดตัว GPU ที่รองรับ WoA ก่อน NVIDIA และ AMD อาจทำให้ตลาด ARM-based PC ในจีนเติบโตเร็วขึ้น และสร้างแรงกดดันให้ผู้ผลิตตะวันตกต้องเร่งพัฒนาไดรเวอร์สำหรับ WoA หาก Lisuanทำสำเร็จ จะเป็นการเปลี่ยนเกมในตลาดที่ ARM กำลังได้รับความนิยมสูงขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Lisuan 7G106 GPU ผลิตบน TSMC N6
    12GB GDDR6, PCIe 4.0, 225W TDP

    รองรับ Windows on ARM เป็นครั้งแรก
    ทดสอบกับซีพียู ARMv9 CP8180 และ WoA desktop environment

    กำลังเข้าสู่การผลิตจำนวนมาก
    คาดเปิดตัวในไตรมาสแรกปี 2026

    ข้อจำกัดด้านการผลิตจาก TSMC
    อาจต้องเปลี่ยนไปใช้ SMIC 6nm ในอนาคต

    NVIDIA และ AMD ยังไม่รองรับ WoA บน dGPU
    Lisuanอาจได้เปรียบในตลาด ARM-based PC

    https://wccftech.com/the-first-gpu-to-support-windows-on-arm-may-not-come-from-nvidia-or-amd-but-from-china-lisuan/
    🇨🇳 Lisuan 7G106: GPU จีนรุ่นใหม่ อาจจะรองรับ Windows on ARM (WoA) เป็นเจ้าแรก บริษัทจีนชื่อ Lisuan เตรียมเปิดตัวการ์ดจอ 7G106 (6nm) ที่อาจเป็น GPU ตัวแรกของโลกที่รองรับ Windows on ARM (WoA) ก่อนทั้ง NVIDIA และ AMD โดยจับคู่กับซีพียู ARMv9 ของจีน และอยู่ระหว่างการผลิตเพื่อวางขายในไตรมาสแรกปี 2026 Lisuan เปิดเผยว่า 7G106 Gaming GPU ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC N6 (6nm) มีหน่วยความจำ 12GB GDDR6 บัส 192-bit รองรับ PCIe 4.0 x16 และใช้พลังงานสูงสุด 225W จุดเด่นคือการออกแบบเพื่อแข่งขันกับ NVIDIA GeForce RTX 60-series โดยมีจำนวน 192 TMUs และ 96 ROPs 🐧 รองรับ Windows on ARM เป็นครั้งแรก สิ่งที่ทำให้ 7G106 น่าสนใจคือการถูกทดสอบร่วมกับซีพียู ARMv9 CP8180 (12 คอร์, 3.2 GHz) และสามารถรัน Windows on ARM ได้จริง นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ GPU แบบ discrete รองรับ WoA ซึ่งปกติถูกจำกัดอยู่ในโน้ตบุ๊กที่ใช้ Snapdragon X Elite เท่านั้น 🔋 ความท้าทายด้านการผลิต แม้จะใช้เทคโนโลยี TSMC N6 แต่เนื่องจากข้อจำกัดด้านการส่งออกชิปไปจีน ทำให้ Lisuan อาจต้องหันไปใช้ SMIC 6nm ในอนาคต การเปลี่ยนแหล่งผลิตอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและต้นทุน แต่ Lisuan ยืนยันว่ากำลังเข้าสู่การผลิตจำนวนมากแล้ว ⚠️ ผลกระทบต่อการแข่งขัน GPU โลก การที่ Lisuanสามารถเปิดตัว GPU ที่รองรับ WoA ก่อน NVIDIA และ AMD อาจทำให้ตลาด ARM-based PC ในจีนเติบโตเร็วขึ้น และสร้างแรงกดดันให้ผู้ผลิตตะวันตกต้องเร่งพัฒนาไดรเวอร์สำหรับ WoA หาก Lisuanทำสำเร็จ จะเป็นการเปลี่ยนเกมในตลาดที่ ARM กำลังได้รับความนิยมสูงขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Lisuan 7G106 GPU ผลิตบน TSMC N6 ➡️ 12GB GDDR6, PCIe 4.0, 225W TDP ✅ รองรับ Windows on ARM เป็นครั้งแรก ➡️ ทดสอบกับซีพียู ARMv9 CP8180 และ WoA desktop environment ✅ กำลังเข้าสู่การผลิตจำนวนมาก ➡️ คาดเปิดตัวในไตรมาสแรกปี 2026 ‼️ ข้อจำกัดด้านการผลิตจาก TSMC ⛔ อาจต้องเปลี่ยนไปใช้ SMIC 6nm ในอนาคต ‼️ NVIDIA และ AMD ยังไม่รองรับ WoA บน dGPU ⛔ Lisuanอาจได้เปรียบในตลาด ARM-based PC https://wccftech.com/the-first-gpu-to-support-windows-on-arm-may-not-come-from-nvidia-or-amd-but-from-china-lisuan/
    WCCFTECH.COM
    The First Discrete GPU to Support “Windows on ARM” May Not Come From NVIDIA or AMD, but From China’s Lisuan
    Lisuan is expected to introduce its 7G106 gaming GPU soon, and it is reported to feature support for 'Windows on ARM' platform.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • EPYC Embedded Venice (Zen 6)

    AMD เตรียมเปิดตัวซีรีส์ EPYC Embedded 9006 Venice ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 6 ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC 2nm โดยรุ่น Embedded จะมีสูงสุด 96 คอร์ พร้อมรองรับ PCIe Gen6 และ DDR5/MRDIMM ถือเป็นรุ่นที่เน้นประสิทธิภาพสูงสำหรับงานที่ต้องการพลังการประมวลผลมาก เช่น Data center ขนาดเล็ก, Edge computing และระบบ AI inference

    EPYC Embedded Fire Range (Zen 5)
    ซีรีส์ Fire Range Embedded 2005 ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 สูงสุด 16 คอร์ รองรับ PCIe Gen5 และ DDR5-5600 โดยใช้ die เดียวกับ Ryzen 9000HX ทำให้เหมาะกับงาน Networking, Storage และ Industrial platforms จุดเด่นคือการนำชิปเดสก์ท็อปมาใช้ใหม่ในตลาด Embedded เพื่อคุมต้นทุนแต่ยังคงประสิทธิภาพสูง

    EPYC Embedded Annapurna
    ตระกูล Annapurna ถูกออกแบบมาเพื่อ Network Control planes โดยเน้น ประสิทธิภาพต่อวัตต์และต่อราคา (perf/Watt, perf/$) เหมาะสำหรับ Switches, Routers, Security appliances และ Optical transport แม้ AMD ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดสถาปัตยกรรม แต่ชัดเจนว่าเป็นรุ่นที่เน้นการใช้งานในระบบเครือข่ายที่ต้องการความเสถียรและต้นทุนต่ำ

    แนวโน้มและการเปิดตัว
    AMD คาดว่าจะเปิดตัวไลน์อัพเหล่านี้ในช่วง ปี 2026–2027 เพื่อขยายตลาด Embedded ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยจะเป็นคู่แข่งสำคัญกับ Intel และ ARM-based solutions ในตลาดที่ต้องการทั้ง พลังการประมวลผลและการประหยัดพลังงาน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    EPYC Embedded Venice (Zen 6)
    สูงสุด 96 คอร์, PCIe Gen6, DDR5/MRDIMM, ผลิตบน TSMC 2nm

    EPYC Embedded Fire Range (Zen 5)
    สูงสุด 16 คอร์, PCIe Gen5, DDR5-5600, ใช้ die จาก Ryzen 9000HX

    EPYC Embedded Annapurna
    เน้น perf/Watt และ perf/$ สำหรับ Switches, Routers และ Security appliances

    ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดสถาปัตยกรรม Annapurna
    ต้องรอติดตามข้อมูลเพิ่มเติมจาก AMD

    การเปิดตัวจริงคาดในปี 2026–2027
    ตลาด Embedded จะเป็นสมรภูมิแข่งขันใหม่กับ Intel และ ARM

    https://wccftech.com/amd-epyc-9006-embedded-venice-cpus-96-zen-6-cores-embedded-2005-fire-range-annapurna/
    🖥️ EPYC Embedded Venice (Zen 6) AMD เตรียมเปิดตัวซีรีส์ EPYC Embedded 9006 Venice ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 6 ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC 2nm โดยรุ่น Embedded จะมีสูงสุด 96 คอร์ พร้อมรองรับ PCIe Gen6 และ DDR5/MRDIMM ถือเป็นรุ่นที่เน้นประสิทธิภาพสูงสำหรับงานที่ต้องการพลังการประมวลผลมาก เช่น Data center ขนาดเล็ก, Edge computing และระบบ AI inference 🔥 EPYC Embedded Fire Range (Zen 5) ซีรีส์ Fire Range Embedded 2005 ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 สูงสุด 16 คอร์ รองรับ PCIe Gen5 และ DDR5-5600 โดยใช้ die เดียวกับ Ryzen 9000HX ทำให้เหมาะกับงาน Networking, Storage และ Industrial platforms จุดเด่นคือการนำชิปเดสก์ท็อปมาใช้ใหม่ในตลาด Embedded เพื่อคุมต้นทุนแต่ยังคงประสิทธิภาพสูง 🌐 EPYC Embedded Annapurna ตระกูล Annapurna ถูกออกแบบมาเพื่อ Network Control planes โดยเน้น ประสิทธิภาพต่อวัตต์และต่อราคา (perf/Watt, perf/$) เหมาะสำหรับ Switches, Routers, Security appliances และ Optical transport แม้ AMD ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดสถาปัตยกรรม แต่ชัดเจนว่าเป็นรุ่นที่เน้นการใช้งานในระบบเครือข่ายที่ต้องการความเสถียรและต้นทุนต่ำ ⚠️ แนวโน้มและการเปิดตัว AMD คาดว่าจะเปิดตัวไลน์อัพเหล่านี้ในช่วง ปี 2026–2027 เพื่อขยายตลาด Embedded ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยจะเป็นคู่แข่งสำคัญกับ Intel และ ARM-based solutions ในตลาดที่ต้องการทั้ง พลังการประมวลผลและการประหยัดพลังงาน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ EPYC Embedded Venice (Zen 6) ➡️ สูงสุด 96 คอร์, PCIe Gen6, DDR5/MRDIMM, ผลิตบน TSMC 2nm ✅ EPYC Embedded Fire Range (Zen 5) ➡️ สูงสุด 16 คอร์, PCIe Gen5, DDR5-5600, ใช้ die จาก Ryzen 9000HX ✅ EPYC Embedded Annapurna ➡️ เน้น perf/Watt และ perf/$ สำหรับ Switches, Routers และ Security appliances ‼️ ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดสถาปัตยกรรม Annapurna ⛔ ต้องรอติดตามข้อมูลเพิ่มเติมจาก AMD ‼️ การเปิดตัวจริงคาดในปี 2026–2027 ⛔ ตลาด Embedded จะเป็นสมรภูมิแข่งขันใหม่กับ Intel และ ARM https://wccftech.com/amd-epyc-9006-embedded-venice-cpus-96-zen-6-cores-embedded-2005-fire-range-annapurna/
    WCCFTECH.COM
    AMD EPYC "9006" Embedded Venice CPUs Rock Up To 96 "Zen 6" Cores & PCIe Gen6, EPYC Embedded 2005 "Fire Range" & Annapurna Families Confirmed Too
    AMD is preparing a range of EPYC Embedded family, such as Venice "Zen 6" series, Fire Range "Zen 5" series & Annapurna lineups.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุคทองของ GTX 900 และ 10-series

    Nvidia ประกาศว่า GeForce 590 driver branch จะเป็นรุ่นแรกที่ หยุดการสนับสนุนฟีเจอร์สำหรับการ์ด GTX 900 และ 10-series อย่างเป็นทางการ ถือเป็นการสิ้นสุดยุคของ GPU ที่เคยครองตลาดเกมเมอร์ในช่วงปี 2014–2017

    การ์ดจออย่าง GTX 970, GTX 1070 และ GTX 1080 Ti เคยเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่เกมเมอร์ ด้วยความคุ้มค่าและประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะ GTX 1080 Ti ที่ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน GPU ที่ดีที่สุดในยุคนั้น การหยุดสนับสนุนฟีเจอร์ใหม่ในไดรเวอร์ล่าสุดจึงเป็นการปิดฉากยุคทองของการ์ดเหล่านี้

    Linux และ Windows เดินคู่กัน
    ในอดีต Linux มักได้รับการสนับสนุนฟีเจอร์จาก Nvidia นานกว่า Windows แต่ตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นมา Nvidia ได้ปรับให้ ตารางการออกไดรเวอร์ของทั้งสองระบบปฏิบัติการเป็นแบบเดียวกัน ทำให้การหยุดสนับสนุนครั้งนี้มีผลทั้งบน Windows และ Linux พร้อมกัน

    ยังมีการอัปเดตด้านความปลอดภัย
    แม้จะไม่มีฟีเจอร์ใหม่ แต่ Nvidia ยืนยันว่า GTX 900 และ 10-series จะยังได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยไปจนถึงเดือนตุลาคม 2028 เพื่อให้ผู้ใช้ยังสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยในระยะยาว นี่เป็นมาตรฐานการดูแลที่ยาวนานกว่าการสนับสนุน Windows 10 เสียอีก

    บทเรียนจากการเปลี่ยนผ่าน
    การหยุดสนับสนุนนี้สะท้อนว่า วงจรชีวิตของ GPU รุ่นท็อปอยู่ที่ราว 8–10 ปี และผู้ใช้ที่ยังใช้การ์ดรุ่นเก่าอาจต้องพิจารณาอัปเกรดเพื่อเข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น DLSS 3.5 หรือ Ray Tracing ที่การ์ดรุ่นเก่าไม่รองรับ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    GeForce 590 driver branch หยุดสนับสนุน GTX 900 และ 10-series
    ถือเป็นการสิ้นสุดยุคของ GPU ที่เคยครองตลาด

    Linux และ Windows ได้รับผลกระทบพร้อมกัน
    Nvidia ปรับตารางการออกไดรเวอร์ให้เหมือนกันตั้งแต่ปี 2024

    ยังคงมีอัปเดตด้านความปลอดภัยจนถึงปี 2028
    ยืดอายุการใช้งานแม้ไม่มีฟีเจอร์ใหม่

    ผู้ใช้การ์ดรุ่นเก่าอาจพลาดฟีเจอร์ใหม่ ๆ
    เช่น DLSS 3.5 และ Ray Tracing ที่ไม่รองรับ

    วงจรชีวิต GPU อยู่ที่ราว 8–10 ปี
    หลังจากนั้นควรพิจารณาอัปเกรดเพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/geforce-590-driver-branch-is-the-first-without-feature-support-for-gtx-9-and-10-series-gpus-linux-release-marks-the-end-of-the-line-for-graphics-cards-that-defined-an-era
    🕹️ ยุคทองของ GTX 900 และ 10-series Nvidia ประกาศว่า GeForce 590 driver branch จะเป็นรุ่นแรกที่ หยุดการสนับสนุนฟีเจอร์สำหรับการ์ด GTX 900 และ 10-series อย่างเป็นทางการ ถือเป็นการสิ้นสุดยุคของ GPU ที่เคยครองตลาดเกมเมอร์ในช่วงปี 2014–2017 การ์ดจออย่าง GTX 970, GTX 1070 และ GTX 1080 Ti เคยเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่เกมเมอร์ ด้วยความคุ้มค่าและประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะ GTX 1080 Ti ที่ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน GPU ที่ดีที่สุดในยุคนั้น การหยุดสนับสนุนฟีเจอร์ใหม่ในไดรเวอร์ล่าสุดจึงเป็นการปิดฉากยุคทองของการ์ดเหล่านี้ 🐧 Linux และ Windows เดินคู่กัน ในอดีต Linux มักได้รับการสนับสนุนฟีเจอร์จาก Nvidia นานกว่า Windows แต่ตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นมา Nvidia ได้ปรับให้ ตารางการออกไดรเวอร์ของทั้งสองระบบปฏิบัติการเป็นแบบเดียวกัน ทำให้การหยุดสนับสนุนครั้งนี้มีผลทั้งบน Windows และ Linux พร้อมกัน 🔒 ยังมีการอัปเดตด้านความปลอดภัย แม้จะไม่มีฟีเจอร์ใหม่ แต่ Nvidia ยืนยันว่า GTX 900 และ 10-series จะยังได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยไปจนถึงเดือนตุลาคม 2028 เพื่อให้ผู้ใช้ยังสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยในระยะยาว นี่เป็นมาตรฐานการดูแลที่ยาวนานกว่าการสนับสนุน Windows 10 เสียอีก ⚠️ บทเรียนจากการเปลี่ยนผ่าน การหยุดสนับสนุนนี้สะท้อนว่า วงจรชีวิตของ GPU รุ่นท็อปอยู่ที่ราว 8–10 ปี และผู้ใช้ที่ยังใช้การ์ดรุ่นเก่าอาจต้องพิจารณาอัปเกรดเพื่อเข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น DLSS 3.5 หรือ Ray Tracing ที่การ์ดรุ่นเก่าไม่รองรับ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ GeForce 590 driver branch หยุดสนับสนุน GTX 900 และ 10-series ➡️ ถือเป็นการสิ้นสุดยุคของ GPU ที่เคยครองตลาด ✅ Linux และ Windows ได้รับผลกระทบพร้อมกัน ➡️ Nvidia ปรับตารางการออกไดรเวอร์ให้เหมือนกันตั้งแต่ปี 2024 ✅ ยังคงมีอัปเดตด้านความปลอดภัยจนถึงปี 2028 ➡️ ยืดอายุการใช้งานแม้ไม่มีฟีเจอร์ใหม่ ‼️ ผู้ใช้การ์ดรุ่นเก่าอาจพลาดฟีเจอร์ใหม่ ๆ ⛔ เช่น DLSS 3.5 และ Ray Tracing ที่ไม่รองรับ ‼️ วงจรชีวิต GPU อยู่ที่ราว 8–10 ปี ⛔ หลังจากนั้นควรพิจารณาอัปเกรดเพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัย https://www.tomshardware.com/tech-industry/geforce-590-driver-branch-is-the-first-without-feature-support-for-gtx-9-and-10-series-gpus-linux-release-marks-the-end-of-the-line-for-graphics-cards-that-defined-an-era
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • OCuLink: ทางเลือกใหม่แทน Thunderbolt

    ผู้ใช้ Framework 16 Laptop รายหนึ่งได้ดัดแปลงเครื่องให้มี พอร์ต OCuLink PCIe 4.0 x8 เพื่อเชื่อมต่อ GPU ภายนอกโดยตรง ผลคือได้ประสิทธิภาพสูงกว่า Thunderbolt อย่างชัดเจน และถือเป็นการเปิดทางใหม่ให้กับการอัปเกรดโน้ตบุ๊กสำหรับเกมเมอร์และสาย DIY

    Thunderbolt แม้จะสะดวก แต่มีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพเพราะต้องห่อหุ้มสัญญาณ PCIe ทำให้สูญเสียแบนด์วิดท์และเพิ่มความหน่วง ขณะที่ OCuLink เป็นการเชื่อมต่อ PCIe โดยตรง จึงให้ประสิทธิภาพเต็มที่โดยไม่ต้องผ่านการแปลงสัญญาณ แต่ข้อเสียคือไม่รองรับการเสียบ-ถอดร้อน และไม่มีการส่งข้อมูล USB/เสียง/วิดีโอรวมในสายเดียว

    การดัดแปลง Framework 16
    นักดัดแปลงชื่อ Filip (Terrails บน GitHub) ได้สร้างโมดูลเชื่อมต่อจาก PCIe x8 expansion bay ของ Framework 16 ไปยังพอร์ต OCuLink โดยใช้บอร์ดแปลงแบบ passive ผลคือสามารถเชื่อมต่อกับ GPU Desktop-class เช่น RTX 4070 ได้โดยตรง และเล่นเกมด้วยประสิทธิภาพใกล้เคียงเครื่อง PC จริง

    ผลลัพธ์และการสนับสนุนจากชุมชน
    หลังจากแก้ไขปัญหาซอฟต์แวร์และสัญญาณ Filip รายงานว่า สามารถรันเกมได้จริงที่ PCIe 4.0 x8 Framework เองก็เข้ามาช่วยเหลือ โดยทีมพัฒนาได้อัปเดตเครื่องมือเฟิร์มแวร์เพื่อสนับสนุนการใช้งานนี้ ทำให้โครงการไม่ใช่แค่การทดลอง แต่มีแนวโน้มจะถูกนำไปใช้จริงในชุมชนผู้ใช้ Framework

    ข้อจำกัดและอนาคต
    แม้ OCuLink จะให้ประสิทธิภาพสูง แต่ยังคงเป็น มาตรฐานที่ถูกยกเลิกตั้งแต่ปี 2021 และถูกแทนที่ด้วย CopprLink ที่ไม่เข้ากันย้อนหลัง ทำให้การใช้งานยังคงเป็น niche สำหรับผู้ใช้สาย DIY อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิต Mini-PC และเครื่องเกมพกพาหลายราย เช่น Ayaneo และ OneXPlayer เริ่มใส่พอร์ต OCuLink มาแล้ว ซึ่งอาจทำให้มันกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Framework 16 ถูกดัดแปลงเพิ่มพอร์ต OCuLink PCIe 4.0 x8
    เชื่อมต่อ GPU ภายนอกได้เต็มประสิทธิภาพ

    ผลทดสอบยืนยันเล่นเกมได้จริง
    ใช้ RTX 4070 รันเกมที่แบนด์วิดท์สูง

    Framework สนับสนุนการพัฒนา
    ทีมงานอัปเดตเครื่องมือเฟิร์มแวร์ช่วยชุมชน DIY

    OCuLink ถูกยกเลิกมาตรฐานแล้ว
    ถูกแทนที่ด้วย CopprLink ที่ไม่เข้ากันย้อนหลัง

    ข้อจำกัดด้านการใช้งาน
    ไม่รองรับ hot-plug และไม่มีการส่งข้อมูล USB/เสียง/วิดีโอ

    https://www.tomshardware.com/laptops/enthusiast-adds-oculink-port-to-framework-16-laptop-offering-pcie-4-0-x8-bandwidth-for-big-gpu-performance-gains
    🔌 OCuLink: ทางเลือกใหม่แทน Thunderbolt ผู้ใช้ Framework 16 Laptop รายหนึ่งได้ดัดแปลงเครื่องให้มี พอร์ต OCuLink PCIe 4.0 x8 เพื่อเชื่อมต่อ GPU ภายนอกโดยตรง ผลคือได้ประสิทธิภาพสูงกว่า Thunderbolt อย่างชัดเจน และถือเป็นการเปิดทางใหม่ให้กับการอัปเกรดโน้ตบุ๊กสำหรับเกมเมอร์และสาย DIY Thunderbolt แม้จะสะดวก แต่มีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพเพราะต้องห่อหุ้มสัญญาณ PCIe ทำให้สูญเสียแบนด์วิดท์และเพิ่มความหน่วง ขณะที่ OCuLink เป็นการเชื่อมต่อ PCIe โดยตรง จึงให้ประสิทธิภาพเต็มที่โดยไม่ต้องผ่านการแปลงสัญญาณ แต่ข้อเสียคือไม่รองรับการเสียบ-ถอดร้อน และไม่มีการส่งข้อมูล USB/เสียง/วิดีโอรวมในสายเดียว 🛠️ การดัดแปลง Framework 16 นักดัดแปลงชื่อ Filip (Terrails บน GitHub) ได้สร้างโมดูลเชื่อมต่อจาก PCIe x8 expansion bay ของ Framework 16 ไปยังพอร์ต OCuLink โดยใช้บอร์ดแปลงแบบ passive ผลคือสามารถเชื่อมต่อกับ GPU Desktop-class เช่น RTX 4070 ได้โดยตรง และเล่นเกมด้วยประสิทธิภาพใกล้เคียงเครื่อง PC จริง 🎮 ผลลัพธ์และการสนับสนุนจากชุมชน หลังจากแก้ไขปัญหาซอฟต์แวร์และสัญญาณ Filip รายงานว่า สามารถรันเกมได้จริงที่ PCIe 4.0 x8 Framework เองก็เข้ามาช่วยเหลือ โดยทีมพัฒนาได้อัปเดตเครื่องมือเฟิร์มแวร์เพื่อสนับสนุนการใช้งานนี้ ทำให้โครงการไม่ใช่แค่การทดลอง แต่มีแนวโน้มจะถูกนำไปใช้จริงในชุมชนผู้ใช้ Framework ⚠️ ข้อจำกัดและอนาคต แม้ OCuLink จะให้ประสิทธิภาพสูง แต่ยังคงเป็น มาตรฐานที่ถูกยกเลิกตั้งแต่ปี 2021 และถูกแทนที่ด้วย CopprLink ที่ไม่เข้ากันย้อนหลัง ทำให้การใช้งานยังคงเป็น niche สำหรับผู้ใช้สาย DIY อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิต Mini-PC และเครื่องเกมพกพาหลายราย เช่น Ayaneo และ OneXPlayer เริ่มใส่พอร์ต OCuLink มาแล้ว ซึ่งอาจทำให้มันกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Framework 16 ถูกดัดแปลงเพิ่มพอร์ต OCuLink PCIe 4.0 x8 ➡️ เชื่อมต่อ GPU ภายนอกได้เต็มประสิทธิภาพ ✅ ผลทดสอบยืนยันเล่นเกมได้จริง ➡️ ใช้ RTX 4070 รันเกมที่แบนด์วิดท์สูง ✅ Framework สนับสนุนการพัฒนา ➡️ ทีมงานอัปเดตเครื่องมือเฟิร์มแวร์ช่วยชุมชน DIY ‼️ OCuLink ถูกยกเลิกมาตรฐานแล้ว ⛔ ถูกแทนที่ด้วย CopprLink ที่ไม่เข้ากันย้อนหลัง ‼️ ข้อจำกัดด้านการใช้งาน ⛔ ไม่รองรับ hot-plug และไม่มีการส่งข้อมูล USB/เสียง/วิดีโอ https://www.tomshardware.com/laptops/enthusiast-adds-oculink-port-to-framework-16-laptop-offering-pcie-4-0-x8-bandwidth-for-big-gpu-performance-gains
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Enthusiast adds OCuLink port to Framework 16 Laptop — offering PCIe 4.0 x8 bandwidth for big GPU performance gains
    Unlike Thunderbolt, OCuLink offers full PCI Express performance for no-compromise PC gaming on a docked mobile device.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความต้องการทองแดงพุ่งสูงจากศูนย์ข้อมูล AI

    การขยายตัวของ Hyperscale AI campuses ที่ใช้พลังงานมหาศาล (50–150 เมกะวัตต์ต่อไซต์) ทำให้ทองแดงถูกใช้ในปริมาณมหาศาล โดยเฉลี่ย 27–33 ตันต่อเมกะวัตต์ ส่งผลให้ไซต์ขนาด 100 เมกะวัตต์ต้องใช้ทองแดงหลายพันตัน นี่คือแรงกดดันใหม่ที่ทำให้ทองแดงกลายเป็น คอขวดสำคัญของอุตสาหกรรม AI

    ปัญหาการผลิตและเหมืองทองแดง
    หลายเหมืองทั่วโลกกำลังเจอปัญหา เช่น คุณภาพแร่ลดลงกว่า 40% ตั้งแต่ปี 1991 และการขยายเหมืองใหม่ถูกขัดขวางด้วยข้อพิพาททางกฎหมายและสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการ Resolution Copper ในรัฐแอริโซนา ที่ถูกชะลอเพราะพื้นที่ถูกมองว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่า Apache ทำให้การผลิตใหม่ยังต้องรออีกนาน

    ราคาทองแดงพุ่งสูงและตลาดตึงตัว
    ราคาทองแดงทะยานขึ้นกว่า 11,000 ดอลลาร์ต่อตัน จากราว 8,500 ดอลลาร์เมื่อสองปีก่อน ขณะที่สหรัฐฯ และยุโรปเริ่มจัดให้ทองแดงเป็น แร่ธาตุวิกฤต (critical mineral) เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านอุตสาหกรรม นักวิเคราะห์คาดว่าราคาจะยังสูงต่อเนื่องจนถึงปี 2026 เพราะการหยุดชะงักของเหมืองในอเมริกาใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    การรีไซเคิลและนโยบายใหม่
    เพื่อลดแรงกดดัน ตลาดกำลังหันไปพึ่ง การรีไซเคิลและการทำเหมืองในเมือง (urban mining) รวมถึงการใช้กองขยะเก่าที่เคยไม่คุ้มค่าในการสกัด แต่การสร้างโรงถลุงใหม่ยังคงช้าและมีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้การแก้ปัญหายังไม่ทันต่อความต้องการที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ความต้องการทองแดงจากศูนย์ข้อมูล AI สูงมาก
    ใช้ 27–33 ตันต่อเมกะวัตต์, ไซต์ใหญ่ต้องใช้หลายพันตัน

    เหมืองทองแดงทั่วโลกผลิตไม่ทัน
    คุณภาพแร่ลดลง 40% และโครงการใหม่ถูกขัดขวาง

    ราคาทองแดงพุ่งทะลุ 11,000 ดอลลาร์ต่อตัน
    สหรัฐฯ และยุโรปจัดให้เป็นแร่ธาตุวิกฤต

    เสี่ยงขาดแคลนทองแดงในปี 2025–2035
    ปี 2025 ขาดแคลน 304,000 ตัน และปี 2035 ผลิตได้เพียง 70% ของความต้องการ

    การสร้างโรงถลุงใหม่ยังล่าช้าและแพง
    ทำให้การแก้ปัญหายังไม่ทันต่อความต้องการ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/ai-data-center-buildout-pushes-copper-toward-shortages-analysts-warn
    ⚡ ความต้องการทองแดงพุ่งสูงจากศูนย์ข้อมูล AI การขยายตัวของ Hyperscale AI campuses ที่ใช้พลังงานมหาศาล (50–150 เมกะวัตต์ต่อไซต์) ทำให้ทองแดงถูกใช้ในปริมาณมหาศาล โดยเฉลี่ย 27–33 ตันต่อเมกะวัตต์ ส่งผลให้ไซต์ขนาด 100 เมกะวัตต์ต้องใช้ทองแดงหลายพันตัน นี่คือแรงกดดันใหม่ที่ทำให้ทองแดงกลายเป็น คอขวดสำคัญของอุตสาหกรรม AI 🏭 ปัญหาการผลิตและเหมืองทองแดง หลายเหมืองทั่วโลกกำลังเจอปัญหา เช่น คุณภาพแร่ลดลงกว่า 40% ตั้งแต่ปี 1991 และการขยายเหมืองใหม่ถูกขัดขวางด้วยข้อพิพาททางกฎหมายและสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการ Resolution Copper ในรัฐแอริโซนา ที่ถูกชะลอเพราะพื้นที่ถูกมองว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่า Apache ทำให้การผลิตใหม่ยังต้องรออีกนาน 💰 ราคาทองแดงพุ่งสูงและตลาดตึงตัว ราคาทองแดงทะยานขึ้นกว่า 11,000 ดอลลาร์ต่อตัน จากราว 8,500 ดอลลาร์เมื่อสองปีก่อน ขณะที่สหรัฐฯ และยุโรปเริ่มจัดให้ทองแดงเป็น แร่ธาตุวิกฤต (critical mineral) เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านอุตสาหกรรม นักวิเคราะห์คาดว่าราคาจะยังสูงต่อเนื่องจนถึงปี 2026 เพราะการหยุดชะงักของเหมืองในอเมริกาใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ♻️ การรีไซเคิลและนโยบายใหม่ เพื่อลดแรงกดดัน ตลาดกำลังหันไปพึ่ง การรีไซเคิลและการทำเหมืองในเมือง (urban mining) รวมถึงการใช้กองขยะเก่าที่เคยไม่คุ้มค่าในการสกัด แต่การสร้างโรงถลุงใหม่ยังคงช้าและมีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้การแก้ปัญหายังไม่ทันต่อความต้องการที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ความต้องการทองแดงจากศูนย์ข้อมูล AI สูงมาก ➡️ ใช้ 27–33 ตันต่อเมกะวัตต์, ไซต์ใหญ่ต้องใช้หลายพันตัน ✅ เหมืองทองแดงทั่วโลกผลิตไม่ทัน ➡️ คุณภาพแร่ลดลง 40% และโครงการใหม่ถูกขัดขวาง ✅ ราคาทองแดงพุ่งทะลุ 11,000 ดอลลาร์ต่อตัน ➡️ สหรัฐฯ และยุโรปจัดให้เป็นแร่ธาตุวิกฤต ‼️ เสี่ยงขาดแคลนทองแดงในปี 2025–2035 ⛔ ปี 2025 ขาดแคลน 304,000 ตัน และปี 2035 ผลิตได้เพียง 70% ของความต้องการ ‼️ การสร้างโรงถลุงใหม่ยังล่าช้าและแพง ⛔ ทำให้การแก้ปัญหายังไม่ทันต่อความต้องการ https://www.tomshardware.com/tech-industry/ai-data-center-buildout-pushes-copper-toward-shortages-analysts-warn
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • Linux บน Steam พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์

    ผลสำรวจ Steam Hardware Survey ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า Linux มีผู้ใช้งานถึง 3.2% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลมา การเติบโตนี้สะท้อนถึงความนิยมของ Steam Deck และการสนับสนุนจากซอฟต์แวร์อย่าง Proton ที่ทำให้เกม Windows เล่นได้บน Linux อย่างราบรื่น นอกจากนี้ ความไม่พอใจต่อ Windows 11 ที่บังคับอัปเกรดและมีการแจ้งเตือนรบกวน ก็ยิ่งผลักดันให้ผู้เล่นหันมาใช้ Linux มากขึ้น

    AMD เดินหน้าท้าชน Intel
    AMD ยังคงเพิ่มส่วนแบ่งตลาด CPU อย่างต่อเนื่อง โดยในกลุ่มเกมเมอร์บน Steam มีสัดส่วนกว่า 43–44% และในบางภูมิภาค เช่น เยอรมนี AMD ครองตลาดร้านค้าปลีกเกือบทั้งหมด ความสำเร็จนี้เกิดจาก Ryzen 7000/8000 series ที่ให้จำนวนคอร์มากต่อราคา และ EPYC server chips ที่ครองรายได้เหนือ Intel ในศูนย์ข้อมูล ทำให้ AMD ไม่ใช่ผู้ตามอีกต่อไป แต่กลายเป็นคู่แข่งที่ท้าทาย Intel อย่างจริงจัง

    NVIDIA RTX 5070 ขึ้นแท่น GPU ยอดนิยม
    ในฝั่งการ์ดจอ NVIDIA RTX 5070 กำลังแซงรุ่นก่อนหน้าอย่าง RTX 4070 และติดอันดับ Top 10 GPU บน Steam ด้วยสัดส่วนราว 2.1–2.2% จุดเด่นคือสถาปัตยกรรม Blackwell ที่ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้นและรองรับฟีเจอร์เรนเดอร์สมัยใหม่ ขณะที่ราคาวางตลาดสมเหตุสมผลกว่ารุ่นก่อน ทำให้ผู้เล่นจำนวนมากเลือกอัปเกรดเร็วผิดคาด การเติบโตนี้ยังส่งผลต่อทิศทางการพัฒนาเกม ที่สามารถใช้เทคโนโลยีกราฟิกขั้นสูงได้มากขึ้น

    ความท้าทายและความเสี่ยงในตลาด
    แม้ตัวเลขจะสดใส แต่ก็มีสัญญาณเตือน เช่น AMD RDNA 4 GPUs ยังไม่ปรากฏในผลสำรวจ ซึ่งอาจสะท้อนถึงปัญหาการผลิตหรือการยอมรับของตลาด อีกทั้ง Intel เตรียมเปิดตัว Lunar Lake ที่มุ่งเน้น AI และกราฟิกในปี 2026 ซึ่งอาจพลิกเกมการแข่งขันได้ นอกจากนี้ การแข่งขันด้านราคาอาจทำให้ทั้ง AMD และ Intel ต้องลดกำไรลงเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Linux Usage บน Steam พุ่งสูงสุด 3.2%
    ความนิยม Steam Deck และ Proton ทำให้เกม Windows เล่นได้บน Linux

    AMD เพิ่มส่วนแบ่ง CPU ในตลาดเกมเมอร์
    Ryzen และ EPYC ช่วยให้ AMD แข็งแกร่งทั้งในเดสก์ท็อปและเซิร์ฟเวอร์

    NVIDIA RTX 5070 กำลังขึ้นแท่น GPU ยอดนิยม
    สถาปัตยกรรม Blackwell และราคาที่แข่งขันได้ดึงดูดผู้ใช้จำนวนมาก

    AMD RDNA 4 ยังไม่ปรากฏในผลสำรวจ
    อาจสะท้อนถึงปัญหาการผลิตหรือการยอมรับของตลาด

    การแข่งขันด้านราคาอาจบีบกำไรของผู้ผลิต CPU
    Intel เตรียมเปิดตัว Lunar Lake ที่อาจสร้างแรงกดดันใหม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/linux-usage-hits-an-all-time-high-in-steam-hardware-survey-and-amd-processors-continue-their-march-against-intel
    🐧 Linux บน Steam พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ผลสำรวจ Steam Hardware Survey ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า Linux มีผู้ใช้งานถึง 3.2% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลมา การเติบโตนี้สะท้อนถึงความนิยมของ Steam Deck และการสนับสนุนจากซอฟต์แวร์อย่าง Proton ที่ทำให้เกม Windows เล่นได้บน Linux อย่างราบรื่น นอกจากนี้ ความไม่พอใจต่อ Windows 11 ที่บังคับอัปเกรดและมีการแจ้งเตือนรบกวน ก็ยิ่งผลักดันให้ผู้เล่นหันมาใช้ Linux มากขึ้น 🔥 AMD เดินหน้าท้าชน Intel AMD ยังคงเพิ่มส่วนแบ่งตลาด CPU อย่างต่อเนื่อง โดยในกลุ่มเกมเมอร์บน Steam มีสัดส่วนกว่า 43–44% และในบางภูมิภาค เช่น เยอรมนี AMD ครองตลาดร้านค้าปลีกเกือบทั้งหมด ความสำเร็จนี้เกิดจาก Ryzen 7000/8000 series ที่ให้จำนวนคอร์มากต่อราคา และ EPYC server chips ที่ครองรายได้เหนือ Intel ในศูนย์ข้อมูล ทำให้ AMD ไม่ใช่ผู้ตามอีกต่อไป แต่กลายเป็นคู่แข่งที่ท้าทาย Intel อย่างจริงจัง 🎮 NVIDIA RTX 5070 ขึ้นแท่น GPU ยอดนิยม ในฝั่งการ์ดจอ NVIDIA RTX 5070 กำลังแซงรุ่นก่อนหน้าอย่าง RTX 4070 และติดอันดับ Top 10 GPU บน Steam ด้วยสัดส่วนราว 2.1–2.2% จุดเด่นคือสถาปัตยกรรม Blackwell ที่ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้นและรองรับฟีเจอร์เรนเดอร์สมัยใหม่ ขณะที่ราคาวางตลาดสมเหตุสมผลกว่ารุ่นก่อน ทำให้ผู้เล่นจำนวนมากเลือกอัปเกรดเร็วผิดคาด การเติบโตนี้ยังส่งผลต่อทิศทางการพัฒนาเกม ที่สามารถใช้เทคโนโลยีกราฟิกขั้นสูงได้มากขึ้น ⚠️ ความท้าทายและความเสี่ยงในตลาด แม้ตัวเลขจะสดใส แต่ก็มีสัญญาณเตือน เช่น AMD RDNA 4 GPUs ยังไม่ปรากฏในผลสำรวจ ซึ่งอาจสะท้อนถึงปัญหาการผลิตหรือการยอมรับของตลาด อีกทั้ง Intel เตรียมเปิดตัว Lunar Lake ที่มุ่งเน้น AI และกราฟิกในปี 2026 ซึ่งอาจพลิกเกมการแข่งขันได้ นอกจากนี้ การแข่งขันด้านราคาอาจทำให้ทั้ง AMD และ Intel ต้องลดกำไรลงเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Linux Usage บน Steam พุ่งสูงสุด 3.2% ➡️ ความนิยม Steam Deck และ Proton ทำให้เกม Windows เล่นได้บน Linux ✅ AMD เพิ่มส่วนแบ่ง CPU ในตลาดเกมเมอร์ ➡️ Ryzen และ EPYC ช่วยให้ AMD แข็งแกร่งทั้งในเดสก์ท็อปและเซิร์ฟเวอร์ ✅ NVIDIA RTX 5070 กำลังขึ้นแท่น GPU ยอดนิยม ➡️ สถาปัตยกรรม Blackwell และราคาที่แข่งขันได้ดึงดูดผู้ใช้จำนวนมาก ‼️ AMD RDNA 4 ยังไม่ปรากฏในผลสำรวจ ⛔ อาจสะท้อนถึงปัญหาการผลิตหรือการยอมรับของตลาด ‼️ การแข่งขันด้านราคาอาจบีบกำไรของผู้ผลิต CPU ⛔ Intel เตรียมเปิดตัว Lunar Lake ที่อาจสร้างแรงกดดันใหม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/linux-usage-hits-an-all-time-high-in-steam-hardware-survey-and-amd-processors-continue-their-march-against-intel
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts