• แนว พระราม 2
    แนวก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน

    มาแล้วเดวเราจะเป็น "เด็กแนวไหนดี"

    ผู้ใหญ่ทำให้เห็นแล้ว เขตก่อสร้าง เมื่อเร็วนี้ก็มีข่าว รถใหญ่ เบียดมอเตอร์ช่วงฝนตก ทำให้คนขับมอเตอร์ต้องไปเท้าแท่นวอริเออร์ ที่สายไฟอยู่ตรงสัน แท่น ตายไป

    พื้นที่เขตก่อสร้าง สมัยก่อนยุคเบบี้บูมไม่เป็นข่าว หรือเป็นข่าวแต่ไม่มีใครตามเรื่องต่อ (โชเชียล)

    ยุคนี้อะไรมา ตามกันมาไทยมุง ทั้งโชเชียล
    แนว พระราม 2 แนวก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน มาแล้วเดวเราจะเป็น "เด็กแนวไหนดี" ผู้ใหญ่ทำให้เห็นแล้ว เขตก่อสร้าง เมื่อเร็วนี้ก็มีข่าว รถใหญ่ เบียดมอเตอร์ช่วงฝนตก ทำให้คนขับมอเตอร์ต้องไปเท้าแท่นวอริเออร์ ที่สายไฟอยู่ตรงสัน แท่น ตายไป พื้นที่เขตก่อสร้าง สมัยก่อนยุคเบบี้บูมไม่เป็นข่าว หรือเป็นข่าวแต่ไม่มีใครตามเรื่องต่อ (โชเชียล) ยุคนี้อะไรมา ตามกันมาไทยมุง ทั้งโชเชียล
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • “ช่างซ่อมคอมฯ เจอเคส ‘สัตว์ประหลาด’ — การจัดสายไฟสุดโหดที่อาจบาดมือและทำลายระบบในพริบตา”

    เรื่องราวสุดสะเทือนวงการ PC Building เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ Reddit และเจ้าของร้านซ่อมคอมฯ elishalewisusaf ได้รับเครื่องเกมมิ่งพีซีจากลูกค้ารายหนึ่งที่มีการดัดแปลงภายในอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะบริเวณ PSU shroud ที่ถูกเจาะทะลุเหล็กแบบไม่ปราณี จนดูเหมือนถูก “เอเลี่ยน” ฉีกออกเพื่อปกป้องรังของมัน

    แม้ PSU shroud จะมีช่องสำหรับเดินสายอยู่แล้ว แต่เจ้าของเครื่องกลับเลือกใช้วิธี “ผ่าตรง” ด้วยเครื่องมือไม่ระบุชนิด ทำให้เกิดรอยแผลเหล็กบิดเบี้ยวที่อาจบาดมือได้ง่าย และอาจทำให้สายไฟภายในเสียหายหรือเกิดการลัดวงจรจากเศษโลหะและฝุ่นที่สะสม

    ในภาพยังเห็นว่าพีซีเครื่องนี้เคยเป็นของแบรนด์ Digital Storm ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการประกอบเครื่องด้วยความประณีต และมีบริการซัพพอร์ตตลอดชีพ แต่เจ้าของกลับเลือกใช้วิธี DIY ที่เสี่ยงแทนการติดต่อบริษัท

    การ์ดจอที่ติดตั้งอยู่คาดว่าเป็น Asus Dual RTX 3060 หรือ 4060 ซึ่งหมายความว่าเครื่องนี้น่าจะประกอบมาไม่เกิน 4 ปี แต่กลับมีฝุ่นสะสมหนาแน่น และใช้ SSD SATA ขนาด 256GB ที่ติดตั้งไว้บน PSU shroud ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้งานเกมในยุค 2025

    แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยว่าเครื่องมีปัญหาอะไร แต่ช่างซ่อมและผู้เชี่ยวชาญใน Reddit ต่างคาดว่าอาจมีสายไฟที่ถูกบาดหรือเกิดการลัดวงจรจากการดัดแปลงที่ไม่เหมาะสม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่างซ่อมพบพีซีที่มีการเจาะ PSU shroud อย่างรุนแรงจนเหล็กบิดเบี้ยว
    การดัดแปลงนี้อาจเกิดจากความพยายามเดินสาย 8-pin ที่สั้นเกินไป
    เครื่องเป็นของแบรนด์ Digital Storm ที่มีชื่อเสียงด้านการประกอบคุณภาพสูง
    ใช้ SSD SATA 256GB ซึ่งไม่เหมาะกับเกมมิ่งในยุคปัจจุบัน

    ความเห็นจากช่างและชุมชน
    ช่างซ่อมเรียกเครื่องนี้ว่า “monstrosity” และ “บาดมือได้”
    ผู้ใช้ Reddit ส่วนใหญ่เห็นว่าเป็น user error ที่ไม่ควรเกิดขึ้น
    บางคนเสนอว่าเจ้าของควรใช้สายต่อหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนลงมือ
    การจัดสายไฟที่ดีช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การจัดสายไฟที่ไม่ดีอาจทำให้พัดลมติดสายและเกิดความร้อนสะสม
    การเจาะเคสโดยไม่ระวังอาจทำให้โครงสร้างอ่อนแอและเกิดเสียงรบกวน
    SSD SATA มีความเร็วต่ำกว่า NVMe และไม่เหมาะกับเกมขนาดใหญ่ในปี 2025
    Digital Storm มีบริการ Lifetime Support ซึ่งควรใช้ก่อนลงมือ DIY

    https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/repairer-brands-customers-gaming-pc-a-monstrosity-skin-lacerating-cable-management-technique-provokes-horror
    🧨 “ช่างซ่อมคอมฯ เจอเคส ‘สัตว์ประหลาด’ — การจัดสายไฟสุดโหดที่อาจบาดมือและทำลายระบบในพริบตา” เรื่องราวสุดสะเทือนวงการ PC Building เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ Reddit และเจ้าของร้านซ่อมคอมฯ elishalewisusaf ได้รับเครื่องเกมมิ่งพีซีจากลูกค้ารายหนึ่งที่มีการดัดแปลงภายในอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะบริเวณ PSU shroud ที่ถูกเจาะทะลุเหล็กแบบไม่ปราณี จนดูเหมือนถูก “เอเลี่ยน” ฉีกออกเพื่อปกป้องรังของมัน แม้ PSU shroud จะมีช่องสำหรับเดินสายอยู่แล้ว แต่เจ้าของเครื่องกลับเลือกใช้วิธี “ผ่าตรง” ด้วยเครื่องมือไม่ระบุชนิด ทำให้เกิดรอยแผลเหล็กบิดเบี้ยวที่อาจบาดมือได้ง่าย และอาจทำให้สายไฟภายในเสียหายหรือเกิดการลัดวงจรจากเศษโลหะและฝุ่นที่สะสม ในภาพยังเห็นว่าพีซีเครื่องนี้เคยเป็นของแบรนด์ Digital Storm ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการประกอบเครื่องด้วยความประณีต และมีบริการซัพพอร์ตตลอดชีพ แต่เจ้าของกลับเลือกใช้วิธี DIY ที่เสี่ยงแทนการติดต่อบริษัท การ์ดจอที่ติดตั้งอยู่คาดว่าเป็น Asus Dual RTX 3060 หรือ 4060 ซึ่งหมายความว่าเครื่องนี้น่าจะประกอบมาไม่เกิน 4 ปี แต่กลับมีฝุ่นสะสมหนาแน่น และใช้ SSD SATA ขนาด 256GB ที่ติดตั้งไว้บน PSU shroud ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้งานเกมในยุค 2025 แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยว่าเครื่องมีปัญหาอะไร แต่ช่างซ่อมและผู้เชี่ยวชาญใน Reddit ต่างคาดว่าอาจมีสายไฟที่ถูกบาดหรือเกิดการลัดวงจรจากการดัดแปลงที่ไม่เหมาะสม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่างซ่อมพบพีซีที่มีการเจาะ PSU shroud อย่างรุนแรงจนเหล็กบิดเบี้ยว ➡️ การดัดแปลงนี้อาจเกิดจากความพยายามเดินสาย 8-pin ที่สั้นเกินไป ➡️ เครื่องเป็นของแบรนด์ Digital Storm ที่มีชื่อเสียงด้านการประกอบคุณภาพสูง ➡️ ใช้ SSD SATA 256GB ซึ่งไม่เหมาะกับเกมมิ่งในยุคปัจจุบัน ✅ ความเห็นจากช่างและชุมชน ➡️ ช่างซ่อมเรียกเครื่องนี้ว่า “monstrosity” และ “บาดมือได้” ➡️ ผู้ใช้ Reddit ส่วนใหญ่เห็นว่าเป็น user error ที่ไม่ควรเกิดขึ้น ➡️ บางคนเสนอว่าเจ้าของควรใช้สายต่อหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนลงมือ ➡️ การจัดสายไฟที่ดีช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การจัดสายไฟที่ไม่ดีอาจทำให้พัดลมติดสายและเกิดความร้อนสะสม ➡️ การเจาะเคสโดยไม่ระวังอาจทำให้โครงสร้างอ่อนแอและเกิดเสียงรบกวน ➡️ SSD SATA มีความเร็วต่ำกว่า NVMe และไม่เหมาะกับเกมขนาดใหญ่ในปี 2025 ➡️ Digital Storm มีบริการ Lifetime Support ซึ่งควรใช้ก่อนลงมือ DIY https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/repairer-brands-customers-gaming-pc-a-monstrosity-skin-lacerating-cable-management-technique-provokes-horror
    0 Comments 0 Shares 95 Views 0 Reviews
  • “ASUS ปฏิวัติสล็อต PCIe — ส่งพลังงานได้ถึง 250W โดยไม่ต้องใช้สายเสริม พร้อมเปิดทางสู่ยุค GPU ไร้สาย”

    ตั้งแต่ PCIe ถือกำเนิดในช่วงต้นยุค 2000 สล็อตกราฟิกบนเมนบอร์ดสามารถจ่ายไฟได้สูงสุดเพียง 75W ซึ่งเพียงพอสำหรับการ์ดจอระดับเริ่มต้นเท่านั้น ส่วนการ์ดจอระดับกลางและสูงต้องพึ่งพาสายไฟเสริมจาก PSU เสมอ แต่ล่าสุด ASUS ได้เปิดตัวแนวคิดใหม่ที่อาจเปลี่ยนแปลงวงการพีซีไปตลอดกาล — สล็อต PCIe ที่สามารถจ่ายไฟได้สูงถึง 250W โดยไม่ต้องใช้สายเสริมเลย

    แนวคิดนี้ใช้การปรับแต่ง “gold finger” ด้านหน้าของสล็อต PCIe โดยรวมสายไฟ 12V จำนวน 5 เส้นเข้าด้วยกัน พร้อมเพิ่มความหนาและใช้วัสดุที่นำไฟฟ้าได้ดีขึ้น ทำให้สามารถรับกระแสไฟได้มากขึ้นอย่างปลอดภัย โดยมีการเสริมพลังงานผ่านหัวต่อ 8-pin PCIe บนเมนบอร์ด ซึ่งช่วยป้อนพลังงานเพิ่มเติมให้กับสล็อตโดยตรง

    ASUS ตั้งเป้าให้แนวคิดนี้รองรับการ์ดจอระดับกลาง เช่น RTX 5060 Ti หรือ Radeon RX 9060 XT ที่มีการใช้พลังงานระหว่าง 150–220W ซึ่งอยู่ในขอบเขตที่สล็อตใหม่สามารถรองรับได้โดยไม่ต้องใช้สายเสริม การ์ดจอเหล่านี้จะสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพผ่านสล็อต PCIe เพียงอย่างเดียว

    แม้ ASUS จะมีมาตรฐาน GC-HPWR สำหรับการ์ดจอไร้สายอยู่แล้ว แต่แนวคิดใหม่นี้ถือเป็นทางเลือกที่ “ถูกกว่า” และ “ง่ายกว่า” เพราะไม่ต้องเพิ่มช่องเชื่อมต่อพิเศษภายในตัวการ์ดหรือเมนบอร์ด ทำให้เหมาะกับตลาดระดับกลางที่ต้องการความสะอาดในการจัดสายและลดต้นทุนการผลิต

    ที่สำคัญคือ การออกแบบใหม่นี้ยังคงความเข้ากันได้กับสล็อต PCIe แบบเดิม หากใช้การ์ดจอที่รองรับในเมนบอร์ดทั่วไป ก็จะกลับไปใช้การจ่ายไฟแบบเดิมได้ทันที แต่หากใช้กับเมนบอร์ดที่รองรับการจ่ายไฟ 250W ก็จะสามารถใช้งานแบบไร้สายได้เต็มรูปแบบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ASUS พัฒนาแนวคิดสล็อต PCIe ที่สามารถจ่ายไฟได้ถึง 250W โดยไม่ต้องใช้สายเสริม
    ใช้การรวมสาย 12V จำนวน 5 เส้น พร้อมเพิ่มความหนาและวัสดุนำไฟฟ้า
    เสริมพลังงานผ่านหัวต่อ 8-pin PCIe บนเมนบอร์ด
    รองรับการ์ดจอระดับกลาง เช่น RTX 5060 Ti และ RX 9060 XT

    จุดเด่นของแนวคิด
    ไม่ต้องใช้สายไฟเสริม ทำให้เคสสะอาดและจัดสายง่ายขึ้น
    เหมาะกับตลาด mainstream ที่ต้องการลดต้นทุนและความซับซ้อน
    ยังคงความเข้ากันได้กับสล็อต PCIe แบบเดิม
    เป็นทางเลือกที่ถูกกว่า GC-HPWR สำหรับการ์ดจอไร้สาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    PCIe มาตรฐานเดิมจ่ายไฟได้เพียง 75W ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการ์ดจอส่วนใหญ่
    GC-HPWR ของ ASUS เคยใช้ใน RTX 4070 และเมนบอร์ด Z790 TUF Gaming
    MSI เคยใช้หัวต่อ 8-pin บนเมนบอร์ดเพื่อเสริมพลังงานเช่นกัน
    การออกแบบแบบนี้อาจนำไปสู่มาตรฐานใหม่ของ GPU ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/asus-gives-us-the-pcie-finger-teases-new-concept-that-boosts-motherboard-gpu-slot-power-to-250w
    🔌 “ASUS ปฏิวัติสล็อต PCIe — ส่งพลังงานได้ถึง 250W โดยไม่ต้องใช้สายเสริม พร้อมเปิดทางสู่ยุค GPU ไร้สาย” ตั้งแต่ PCIe ถือกำเนิดในช่วงต้นยุค 2000 สล็อตกราฟิกบนเมนบอร์ดสามารถจ่ายไฟได้สูงสุดเพียง 75W ซึ่งเพียงพอสำหรับการ์ดจอระดับเริ่มต้นเท่านั้น ส่วนการ์ดจอระดับกลางและสูงต้องพึ่งพาสายไฟเสริมจาก PSU เสมอ แต่ล่าสุด ASUS ได้เปิดตัวแนวคิดใหม่ที่อาจเปลี่ยนแปลงวงการพีซีไปตลอดกาล — สล็อต PCIe ที่สามารถจ่ายไฟได้สูงถึง 250W โดยไม่ต้องใช้สายเสริมเลย แนวคิดนี้ใช้การปรับแต่ง “gold finger” ด้านหน้าของสล็อต PCIe โดยรวมสายไฟ 12V จำนวน 5 เส้นเข้าด้วยกัน พร้อมเพิ่มความหนาและใช้วัสดุที่นำไฟฟ้าได้ดีขึ้น ทำให้สามารถรับกระแสไฟได้มากขึ้นอย่างปลอดภัย โดยมีการเสริมพลังงานผ่านหัวต่อ 8-pin PCIe บนเมนบอร์ด ซึ่งช่วยป้อนพลังงานเพิ่มเติมให้กับสล็อตโดยตรง ASUS ตั้งเป้าให้แนวคิดนี้รองรับการ์ดจอระดับกลาง เช่น RTX 5060 Ti หรือ Radeon RX 9060 XT ที่มีการใช้พลังงานระหว่าง 150–220W ซึ่งอยู่ในขอบเขตที่สล็อตใหม่สามารถรองรับได้โดยไม่ต้องใช้สายเสริม การ์ดจอเหล่านี้จะสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพผ่านสล็อต PCIe เพียงอย่างเดียว แม้ ASUS จะมีมาตรฐาน GC-HPWR สำหรับการ์ดจอไร้สายอยู่แล้ว แต่แนวคิดใหม่นี้ถือเป็นทางเลือกที่ “ถูกกว่า” และ “ง่ายกว่า” เพราะไม่ต้องเพิ่มช่องเชื่อมต่อพิเศษภายในตัวการ์ดหรือเมนบอร์ด ทำให้เหมาะกับตลาดระดับกลางที่ต้องการความสะอาดในการจัดสายและลดต้นทุนการผลิต ที่สำคัญคือ การออกแบบใหม่นี้ยังคงความเข้ากันได้กับสล็อต PCIe แบบเดิม หากใช้การ์ดจอที่รองรับในเมนบอร์ดทั่วไป ก็จะกลับไปใช้การจ่ายไฟแบบเดิมได้ทันที แต่หากใช้กับเมนบอร์ดที่รองรับการจ่ายไฟ 250W ก็จะสามารถใช้งานแบบไร้สายได้เต็มรูปแบบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ASUS พัฒนาแนวคิดสล็อต PCIe ที่สามารถจ่ายไฟได้ถึง 250W โดยไม่ต้องใช้สายเสริม ➡️ ใช้การรวมสาย 12V จำนวน 5 เส้น พร้อมเพิ่มความหนาและวัสดุนำไฟฟ้า ➡️ เสริมพลังงานผ่านหัวต่อ 8-pin PCIe บนเมนบอร์ด ➡️ รองรับการ์ดจอระดับกลาง เช่น RTX 5060 Ti และ RX 9060 XT ✅ จุดเด่นของแนวคิด ➡️ ไม่ต้องใช้สายไฟเสริม ทำให้เคสสะอาดและจัดสายง่ายขึ้น ➡️ เหมาะกับตลาด mainstream ที่ต้องการลดต้นทุนและความซับซ้อน ➡️ ยังคงความเข้ากันได้กับสล็อต PCIe แบบเดิม ➡️ เป็นทางเลือกที่ถูกกว่า GC-HPWR สำหรับการ์ดจอไร้สาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ PCIe มาตรฐานเดิมจ่ายไฟได้เพียง 75W ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการ์ดจอส่วนใหญ่ ➡️ GC-HPWR ของ ASUS เคยใช้ใน RTX 4070 และเมนบอร์ด Z790 TUF Gaming ➡️ MSI เคยใช้หัวต่อ 8-pin บนเมนบอร์ดเพื่อเสริมพลังงานเช่นกัน ➡️ การออกแบบแบบนี้อาจนำไปสู่มาตรฐานใหม่ของ GPU ในอนาคต https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/asus-gives-us-the-pcie-finger-teases-new-concept-that-boosts-motherboard-gpu-slot-power-to-250w
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Asus gives us the PCIe finger — teases new concept that boosts motherboard GPU slot power to 250W
    This could be a cheaper way for Asus to make cableless graphics cards in the future.
    0 Comments 0 Shares 86 Views 0 Reviews
  • “C-200 มีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลก — ตัดง่ายขึ้น 50% ด้วยแรงสั่น 40,000 ครั้งต่อวินาที”

    Seattle Ultrasonics บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีครัวจากสหรัฐฯ ได้เปิดตัว C-200 มีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป โดยใช้เทคโนโลยีแรงสั่นสะเทือนระดับอุตสาหกรรมที่ถูกย่อส่วนให้พอดีกับด้ามมีด เมื่อเปิดใช้งาน ใบมีดจะสั่นด้วยความถี่กว่า 40,000 ครั้งต่อวินาที ทำให้ลดแรงต้านจากอาหารลงได้ถึง 50% และลดการติดของอาหารบนใบมีดอย่างเห็นได้ชัด

    ตัวใบมีดผลิตจากเหล็กญี่ปุ่นแบบสามชั้น (san mai) ชนิด AUS-10 ที่ผ่านการชุบแข็งถึงระดับ 60HRC ทำให้คมและทนทานแม้ไม่ได้เปิดโหมดอัลตราโซนิก โดยออกแบบให้เหมาะกับทั้งผู้ใช้ถนัดซ้ายและขวา ใช้ได้กับเทคนิคการหั่นทั่วไป เช่น การสับกระเทียม การหั่นแบบโยก หรือการตัดวัตถุดิบที่เปียกและลื่นอย่างมะเขือเทศหรือปลา

    เมื่อเปิดใช้งาน ใบมีดสามารถเปลี่ยนของเหลวให้กลายเป็นละอองฝอยได้ เช่น น้ำมะนาวที่ปลายมีดจะถูกแปรสภาพเป็นละอองละเอียดโดยไม่ผ่านความร้อน ซึ่งสามารถใช้ตกแต่งอาหารหรือเครื่องดื่มได้อย่างน่าสนใจ

    C-200 มาพร้อมระบบชาร์จ USB-C และรองรับการชาร์จแบบไร้สายผ่านแท่นไม้สักที่ออกแบบมาให้วางบนเคาน์เตอร์หรือแขวนผนังได้โดยไม่ต้องเจาะหรือเดินสายไฟ มีดรุ่นนี้กันน้ำระดับ IP65 สามารถล้างด้วยมือได้เหมือนมีดทั่วไป และเปิดให้พรีออเดอร์แล้วในราคา $399 โดยจะเริ่มจัดส่งในเดือนมกราคม 2026

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    C-200 เป็นมีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    ใบมีดสั่นด้วยความถี่ 40,000 ครั้งต่อวินาที ลดแรงต้านลง 50%
    ผลิตจากเหล็กญี่ปุ่น AUS-10 แบบ san mai แข็งระดับ 60HRC
    ออกแบบให้ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา รองรับเทคนิคการหั่นทั่วไป

    ฟีเจอร์เสริมและการใช้งาน
    สามารถเปลี่ยนของเหลวเป็นละอองฝอยโดยไม่ใช้ความร้อน
    กันน้ำระดับ IP65 ล้างมือได้เหมือนมีดทั่วไป
    ชาร์จผ่าน USB-C หรือแท่นชาร์จไร้สายแบบไม้สัก
    ราคาเปิดตัว $399 พร้อมจัดส่งเดือนมกราคม 2026

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เทคโนโลยีอัลตราโซนิกเคยใช้ในอุตสาหกรรมตัดวัสดุ เช่น พลาสติกและโลหะ
    Scott Heimendinger ผู้ก่อตั้งบริษัท เคยเป็นหัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีอาหารของ Modernist Cuisine
    การสั่นระดับไมโครช่วยลดแรงเสียดทานและเพิ่มความแม่นยำในการตัด
    มีดอัลตราโซนิกอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในครัวเรือนยุคใหม่

    https://seattleultrasonics.com/
    🔪 “C-200 มีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลก — ตัดง่ายขึ้น 50% ด้วยแรงสั่น 40,000 ครั้งต่อวินาที” Seattle Ultrasonics บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีครัวจากสหรัฐฯ ได้เปิดตัว C-200 มีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป โดยใช้เทคโนโลยีแรงสั่นสะเทือนระดับอุตสาหกรรมที่ถูกย่อส่วนให้พอดีกับด้ามมีด เมื่อเปิดใช้งาน ใบมีดจะสั่นด้วยความถี่กว่า 40,000 ครั้งต่อวินาที ทำให้ลดแรงต้านจากอาหารลงได้ถึง 50% และลดการติดของอาหารบนใบมีดอย่างเห็นได้ชัด ตัวใบมีดผลิตจากเหล็กญี่ปุ่นแบบสามชั้น (san mai) ชนิด AUS-10 ที่ผ่านการชุบแข็งถึงระดับ 60HRC ทำให้คมและทนทานแม้ไม่ได้เปิดโหมดอัลตราโซนิก โดยออกแบบให้เหมาะกับทั้งผู้ใช้ถนัดซ้ายและขวา ใช้ได้กับเทคนิคการหั่นทั่วไป เช่น การสับกระเทียม การหั่นแบบโยก หรือการตัดวัตถุดิบที่เปียกและลื่นอย่างมะเขือเทศหรือปลา เมื่อเปิดใช้งาน ใบมีดสามารถเปลี่ยนของเหลวให้กลายเป็นละอองฝอยได้ เช่น น้ำมะนาวที่ปลายมีดจะถูกแปรสภาพเป็นละอองละเอียดโดยไม่ผ่านความร้อน ซึ่งสามารถใช้ตกแต่งอาหารหรือเครื่องดื่มได้อย่างน่าสนใจ C-200 มาพร้อมระบบชาร์จ USB-C และรองรับการชาร์จแบบไร้สายผ่านแท่นไม้สักที่ออกแบบมาให้วางบนเคาน์เตอร์หรือแขวนผนังได้โดยไม่ต้องเจาะหรือเดินสายไฟ มีดรุ่นนี้กันน้ำระดับ IP65 สามารถล้างด้วยมือได้เหมือนมีดทั่วไป และเปิดให้พรีออเดอร์แล้วในราคา $399 โดยจะเริ่มจัดส่งในเดือนมกราคม 2026 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ C-200 เป็นมีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ➡️ ใบมีดสั่นด้วยความถี่ 40,000 ครั้งต่อวินาที ลดแรงต้านลง 50% ➡️ ผลิตจากเหล็กญี่ปุ่น AUS-10 แบบ san mai แข็งระดับ 60HRC ➡️ ออกแบบให้ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา รองรับเทคนิคการหั่นทั่วไป ✅ ฟีเจอร์เสริมและการใช้งาน ➡️ สามารถเปลี่ยนของเหลวเป็นละอองฝอยโดยไม่ใช้ความร้อน ➡️ กันน้ำระดับ IP65 ล้างมือได้เหมือนมีดทั่วไป ➡️ ชาร์จผ่าน USB-C หรือแท่นชาร์จไร้สายแบบไม้สัก ➡️ ราคาเปิดตัว $399 พร้อมจัดส่งเดือนมกราคม 2026 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เทคโนโลยีอัลตราโซนิกเคยใช้ในอุตสาหกรรมตัดวัสดุ เช่น พลาสติกและโลหะ ➡️ Scott Heimendinger ผู้ก่อตั้งบริษัท เคยเป็นหัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีอาหารของ Modernist Cuisine ➡️ การสั่นระดับไมโครช่วยลดแรงเสียดทานและเพิ่มความแม่นยำในการตัด ➡️ มีดอัลตราโซนิกอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในครัวเรือนยุคใหม่ https://seattleultrasonics.com/
    SEATTLEULTRASONICS.COM
    Seattle Ultrasonics
    Discover Seattle Ultrasonics, a startup founded by culinary technologist Scott Heimendinger. We're on a mission to make happy home cooks, and we're starting by building a better knife.
    0 Comments 0 Shares 80 Views 0 Reviews
  • Microsoft เปิดตัว Fairwater — ดาต้าเซ็นเตอร์ AI ที่ทรงพลังที่สุดในโลก พร้อม GPU นับแสนและระบบไฟเบอร์พันรอบโลก

    Microsoft ประกาศเปิดตัว “Fairwater” ดาต้าเซ็นเตอร์ AI ขนาดมหึมาในเมือง Mount Pleasant รัฐวิสคอนซิน ซึ่งจะเริ่มใช้งานในต้นปี 2026 โดยถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการฝึกและรันโมเดล AI ขนาดใหญ่ระดับโลก ด้วยพื้นที่กว่า 315 เอเคอร์ และอาคารรวมกว่า 1.2 ล้านตารางฟุต Fairwater จะบรรจุ GPU รุ่นใหม่ของ Nvidia ได้แก่ GB200 และ GB300 จำนวนหลายแสนตัว เชื่อมต่อกันด้วยไฟเบอร์ออปติกที่ยาวพอจะพันรอบโลกได้ถึง 4.5 รอบ

    Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft ระบุว่า Fairwater จะให้ประสิทธิภาพสูงกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดในปัจจุบันถึง 10 เท่า โดยเปรียบเทียบกับ Colossus ของ xAI ที่ใช้ GPU กว่า 200,000 ตัวและพลังงาน 300 เมกะวัตต์

    Fairwater ยังใช้ระบบระบายความร้อนแบบวงจรปิดด้วยน้ำ ซึ่ง Microsoft อ้างว่าจะไม่มีการสูญเสียน้ำเลย โดยใช้พัดลมขนาด 20 ฟุตจำนวน 172 ตัวในการหมุนเวียนน้ำร้อนกลับมาระบายความร้อนให้ GPU อีกครั้ง ถือเป็นโรงงานระบายความร้อนด้วยน้ำที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

    การก่อสร้างใช้โครงสร้างขนาดมหึมา เช่น เสาเข็มลึก 46.6 ไมล์ เหล็กโครงสร้าง 26.5 ล้านปอนด์ สายไฟใต้ดินแรงดันกลาง 120 ไมล์ และท่อกลไก 72.6 ไมล์ โดยระบบจัดเก็บข้อมูลมีขนาดเท่ากับสนามอเมริกันฟุตบอล 5 สนาม

    Microsoft ยังประกาศว่าจะสร้าง Fairwater อีกหลายแห่งทั่วสหรัฐฯ และลงทุนเพิ่มอีก 4 พันล้านดอลลาร์ในโครงการที่สอง พร้อมทั้งติดตั้งโซลาร์ฟาร์มขนาด 250 เมกะวัตต์เพื่อชดเชยการใช้พลังงานจากฟอสซิล และป้องกันผลกระทบต่อค่าไฟของชุมชนโดยรอบ

    Microsoft เปิดตัวดาต้าเซ็นเตอร์ AI “Fairwater” ที่วิสคอนซิน
    พื้นที่ 315 เอเคอร์ อาคารรวม 1.2 ล้านตารางฟุต
    ใช้ GPU Nvidia GB200 และ GB300 จำนวนหลายแสนตัว

    เชื่อมต่อด้วยไฟเบอร์ออปติกที่ยาวพันรอบโลก 4.5 เท่า
    ใช้ระบบเครือข่ายแบบ flat interconnect เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
    ให้ประสิทธิภาพสูงกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ปัจจุบันถึง 10 เท่า

    ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำแบบวงจรปิด
    ไม่มีการสูญเสียน้ำหลังการติดตั้ง
    ใช้พัดลมขนาด 20 ฟุตจำนวน 172 ตัวในการหมุนเวียนน้ำ

    การก่อสร้างใช้วัสดุและโครงสร้างขนาดมหึมา
    เสาเข็มลึก 46.6 ไมล์ / เหล็กโครงสร้าง 26.5 ล้านปอนด์
    สายไฟใต้ดิน 120 ไมล์ / ท่อกลไก 72.6 ไมล์

    Microsoft ลงทุนรวมกว่า 7.3 พันล้านดอลลาร์ในโครงการนี้
    3.3 พันล้านสำหรับ Fairwater แรก และอีก 4 พันล้านสำหรับแห่งที่สอง
    ติดตั้งโซลาร์ฟาร์ม 250 MW เพื่อชดเชยพลังงานฟอสซิล

    มีแผนสร้าง Fairwater เพิ่มในหลายรัฐทั่วสหรัฐฯ
    เพื่อรองรับการเติบโตของ AI และเชื่อมต่อกับ Microsoft Cloud ทั่วโลก
    ใช้สำหรับงาน AI เช่น Copilot, OpenAI และโมเดลขนาดใหญ่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/microsoft-announces-worlds-most-powerful-ai-data-center-315-acre-site-to-house-hundreds-of-thousands-of-nvidia-gpus-and-enough-fiber-to-circle-the-earth-4-5-times
    📰 Microsoft เปิดตัว Fairwater — ดาต้าเซ็นเตอร์ AI ที่ทรงพลังที่สุดในโลก พร้อม GPU นับแสนและระบบไฟเบอร์พันรอบโลก Microsoft ประกาศเปิดตัว “Fairwater” ดาต้าเซ็นเตอร์ AI ขนาดมหึมาในเมือง Mount Pleasant รัฐวิสคอนซิน ซึ่งจะเริ่มใช้งานในต้นปี 2026 โดยถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการฝึกและรันโมเดล AI ขนาดใหญ่ระดับโลก ด้วยพื้นที่กว่า 315 เอเคอร์ และอาคารรวมกว่า 1.2 ล้านตารางฟุต Fairwater จะบรรจุ GPU รุ่นใหม่ของ Nvidia ได้แก่ GB200 และ GB300 จำนวนหลายแสนตัว เชื่อมต่อกันด้วยไฟเบอร์ออปติกที่ยาวพอจะพันรอบโลกได้ถึง 4.5 รอบ Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft ระบุว่า Fairwater จะให้ประสิทธิภาพสูงกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดในปัจจุบันถึง 10 เท่า โดยเปรียบเทียบกับ Colossus ของ xAI ที่ใช้ GPU กว่า 200,000 ตัวและพลังงาน 300 เมกะวัตต์ Fairwater ยังใช้ระบบระบายความร้อนแบบวงจรปิดด้วยน้ำ ซึ่ง Microsoft อ้างว่าจะไม่มีการสูญเสียน้ำเลย โดยใช้พัดลมขนาด 20 ฟุตจำนวน 172 ตัวในการหมุนเวียนน้ำร้อนกลับมาระบายความร้อนให้ GPU อีกครั้ง ถือเป็นโรงงานระบายความร้อนด้วยน้ำที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก การก่อสร้างใช้โครงสร้างขนาดมหึมา เช่น เสาเข็มลึก 46.6 ไมล์ เหล็กโครงสร้าง 26.5 ล้านปอนด์ สายไฟใต้ดินแรงดันกลาง 120 ไมล์ และท่อกลไก 72.6 ไมล์ โดยระบบจัดเก็บข้อมูลมีขนาดเท่ากับสนามอเมริกันฟุตบอล 5 สนาม Microsoft ยังประกาศว่าจะสร้าง Fairwater อีกหลายแห่งทั่วสหรัฐฯ และลงทุนเพิ่มอีก 4 พันล้านดอลลาร์ในโครงการที่สอง พร้อมทั้งติดตั้งโซลาร์ฟาร์มขนาด 250 เมกะวัตต์เพื่อชดเชยการใช้พลังงานจากฟอสซิล และป้องกันผลกระทบต่อค่าไฟของชุมชนโดยรอบ ✅ Microsoft เปิดตัวดาต้าเซ็นเตอร์ AI “Fairwater” ที่วิสคอนซิน ➡️ พื้นที่ 315 เอเคอร์ อาคารรวม 1.2 ล้านตารางฟุต ➡️ ใช้ GPU Nvidia GB200 และ GB300 จำนวนหลายแสนตัว ✅ เชื่อมต่อด้วยไฟเบอร์ออปติกที่ยาวพันรอบโลก 4.5 เท่า ➡️ ใช้ระบบเครือข่ายแบบ flat interconnect เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ➡️ ให้ประสิทธิภาพสูงกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ปัจจุบันถึง 10 เท่า ✅ ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำแบบวงจรปิด ➡️ ไม่มีการสูญเสียน้ำหลังการติดตั้ง ➡️ ใช้พัดลมขนาด 20 ฟุตจำนวน 172 ตัวในการหมุนเวียนน้ำ ✅ การก่อสร้างใช้วัสดุและโครงสร้างขนาดมหึมา ➡️ เสาเข็มลึก 46.6 ไมล์ / เหล็กโครงสร้าง 26.5 ล้านปอนด์ ➡️ สายไฟใต้ดิน 120 ไมล์ / ท่อกลไก 72.6 ไมล์ ✅ Microsoft ลงทุนรวมกว่า 7.3 พันล้านดอลลาร์ในโครงการนี้ ➡️ 3.3 พันล้านสำหรับ Fairwater แรก และอีก 4 พันล้านสำหรับแห่งที่สอง ➡️ ติดตั้งโซลาร์ฟาร์ม 250 MW เพื่อชดเชยพลังงานฟอสซิล ✅ มีแผนสร้าง Fairwater เพิ่มในหลายรัฐทั่วสหรัฐฯ ➡️ เพื่อรองรับการเติบโตของ AI และเชื่อมต่อกับ Microsoft Cloud ทั่วโลก ➡️ ใช้สำหรับงาน AI เช่น Copilot, OpenAI และโมเดลขนาดใหญ่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/microsoft-announces-worlds-most-powerful-ai-data-center-315-acre-site-to-house-hundreds-of-thousands-of-nvidia-gpus-and-enough-fiber-to-circle-the-earth-4-5-times
    0 Comments 0 Shares 147 Views 0 Reviews
  • “Corsair WS3000: พาวเวอร์ซัพพลาย 3,000W ที่เล็กแต่โหด — พร้อมรองรับ 4 การ์ดจอระดับเทพในเครื่องเดียว”

    Corsair เปิดตัว WS3000 พาวเวอร์ซัพพลายรุ่นใหม่ที่มีกำลังไฟสูงถึง 3,000 วัตต์ ซึ่งถือเป็นรุ่นแรกของแบรนด์ที่ทะลุขีดจำกัด 1,600W เดิม โดยออกแบบมาเพื่อรองรับระบบที่ใช้การ์ดจอหลายใบ เช่น เวิร์กสเตชันสำหรับงาน AI, เรนเดอร์ 3D หรือ CAD ที่ต้องการพลังงานมหาศาลและการจ่ายไฟที่เสถียร

    WS3000 เป็นพาวเวอร์ซัพพลายแบบ ATX 3.1 ที่มีขนาดเพียง 6.9 x 5.9 x 3.4 นิ้ว ซึ่งถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับกำลังไฟที่ให้มา ทำให้สามารถติดตั้งในเคส ATX ทั่วไปได้โดยไม่ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม ตัวเครื่องเป็นแบบ fully modular ช่วยให้จัดการสายไฟได้ง่าย และมาพร้อมกับพัดลมขนาด 140 มม. แบบลูกปืนคู่เพื่อการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ แม้จะไม่มีโหมด Zero RPM เพื่อความเงียบ แต่ก็ออกแบบมาเพื่อเน้นความเสถียรมากกว่าความเงียบ

    จุดเด่นคือการรองรับสายไฟแบบ 12V-2x6 จำนวน 4 เส้น ซึ่งสามารถจ่ายไฟให้การ์ดจอที่ใช้หัวต่อ 12VHPWR ได้สูงสุดถึง 600W ต่อเส้น รวมถึงสาย PCIe 8-pin แบบคู่ 4 เส้น และสาย EPS 8-pin สำหรับเมนบอร์ดระดับเวิร์กสเตชันอีก 2 เส้น

    WS3000 ใช้ระบบ single-rail ที่จ่ายไฟ +12V ได้สูงสุดถึง 250A และรองรับเฉพาะไฟบ้าน 220–240V เท่านั้น โดยใช้สายไฟแบบ C19 ที่ใหญ่และทนกระแสสูงกว่าสาย C13 ทั่วไป ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ต้องมีระบบไฟฟ้าในบ้านที่รองรับการใช้งานระดับนี้

    Corsair รับประกัน WS3000 นานถึง 10 ปี และตั้งราคาขายไว้ที่ $599.99 แต่มีบางร้านในสหรัฐฯ ขายต่ำกว่าราคานี้เล็กน้อย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Corsair เปิดตัว WS3000 พาวเวอร์ซัพพลายขนาด 3,000W รุ่นแรกของแบรนด์
    เป็นแบบ ATX 3.1 ขนาดเล็กเพียง 6.9 นิ้ว ติดตั้งในเคสทั่วไปได้
    ใช้ระบบ single-rail จ่ายไฟ +12V ได้สูงสุด 250A
    รองรับไฟบ้าน 220–240V และใช้สาย C19 ที่ทนกระแสสูง

    จุดเด่นด้านการเชื่อมต่อ
    มีสาย 12V-2x6 จำนวน 4 เส้น รองรับการ์ดจอ 600W ได้ 4 ใบ
    มีสาย PCIe 8-pin แบบคู่ 4 เส้น รวมเป็น 8 หัวต่อ
    มีสาย EPS 8-pin สำหรับเมนบอร์ดเวิร์กสเตชัน 2 เส้น
    เป็นแบบ fully modular ช่วยให้จัดการสายไฟได้ง่าย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เหมาะสำหรับงาน AI, เรนเดอร์ 3D, CAD และระบบ multi-GPU
    ใช้พัดลม 140 มม. แบบลูกปืนคู่เพื่อการระบายความร้อนที่เสถียร
    ไม่มี Zero RPM mode และไม่รองรับ Corsair iCUE
    รับประกันนาน 10 ปี และมี MTBF สูงถึง 100,000 ชั่วโมง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/power-supplies/corsair-launches-gargantuan-3-000w-power-supply-for-usd599-99-comes-with-four-native-12v-2x6-600w-gpu-cables
    ⚡ “Corsair WS3000: พาวเวอร์ซัพพลาย 3,000W ที่เล็กแต่โหด — พร้อมรองรับ 4 การ์ดจอระดับเทพในเครื่องเดียว” Corsair เปิดตัว WS3000 พาวเวอร์ซัพพลายรุ่นใหม่ที่มีกำลังไฟสูงถึง 3,000 วัตต์ ซึ่งถือเป็นรุ่นแรกของแบรนด์ที่ทะลุขีดจำกัด 1,600W เดิม โดยออกแบบมาเพื่อรองรับระบบที่ใช้การ์ดจอหลายใบ เช่น เวิร์กสเตชันสำหรับงาน AI, เรนเดอร์ 3D หรือ CAD ที่ต้องการพลังงานมหาศาลและการจ่ายไฟที่เสถียร WS3000 เป็นพาวเวอร์ซัพพลายแบบ ATX 3.1 ที่มีขนาดเพียง 6.9 x 5.9 x 3.4 นิ้ว ซึ่งถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับกำลังไฟที่ให้มา ทำให้สามารถติดตั้งในเคส ATX ทั่วไปได้โดยไม่ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม ตัวเครื่องเป็นแบบ fully modular ช่วยให้จัดการสายไฟได้ง่าย และมาพร้อมกับพัดลมขนาด 140 มม. แบบลูกปืนคู่เพื่อการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ แม้จะไม่มีโหมด Zero RPM เพื่อความเงียบ แต่ก็ออกแบบมาเพื่อเน้นความเสถียรมากกว่าความเงียบ จุดเด่นคือการรองรับสายไฟแบบ 12V-2x6 จำนวน 4 เส้น ซึ่งสามารถจ่ายไฟให้การ์ดจอที่ใช้หัวต่อ 12VHPWR ได้สูงสุดถึง 600W ต่อเส้น รวมถึงสาย PCIe 8-pin แบบคู่ 4 เส้น และสาย EPS 8-pin สำหรับเมนบอร์ดระดับเวิร์กสเตชันอีก 2 เส้น WS3000 ใช้ระบบ single-rail ที่จ่ายไฟ +12V ได้สูงสุดถึง 250A และรองรับเฉพาะไฟบ้าน 220–240V เท่านั้น โดยใช้สายไฟแบบ C19 ที่ใหญ่และทนกระแสสูงกว่าสาย C13 ทั่วไป ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ต้องมีระบบไฟฟ้าในบ้านที่รองรับการใช้งานระดับนี้ Corsair รับประกัน WS3000 นานถึง 10 ปี และตั้งราคาขายไว้ที่ $599.99 แต่มีบางร้านในสหรัฐฯ ขายต่ำกว่าราคานี้เล็กน้อย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Corsair เปิดตัว WS3000 พาวเวอร์ซัพพลายขนาด 3,000W รุ่นแรกของแบรนด์ ➡️ เป็นแบบ ATX 3.1 ขนาดเล็กเพียง 6.9 นิ้ว ติดตั้งในเคสทั่วไปได้ ➡️ ใช้ระบบ single-rail จ่ายไฟ +12V ได้สูงสุด 250A ➡️ รองรับไฟบ้าน 220–240V และใช้สาย C19 ที่ทนกระแสสูง ✅ จุดเด่นด้านการเชื่อมต่อ ➡️ มีสาย 12V-2x6 จำนวน 4 เส้น รองรับการ์ดจอ 600W ได้ 4 ใบ ➡️ มีสาย PCIe 8-pin แบบคู่ 4 เส้น รวมเป็น 8 หัวต่อ ➡️ มีสาย EPS 8-pin สำหรับเมนบอร์ดเวิร์กสเตชัน 2 เส้น ➡️ เป็นแบบ fully modular ช่วยให้จัดการสายไฟได้ง่าย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เหมาะสำหรับงาน AI, เรนเดอร์ 3D, CAD และระบบ multi-GPU ➡️ ใช้พัดลม 140 มม. แบบลูกปืนคู่เพื่อการระบายความร้อนที่เสถียร ➡️ ไม่มี Zero RPM mode และไม่รองรับ Corsair iCUE ➡️ รับประกันนาน 10 ปี และมี MTBF สูงถึง 100,000 ชั่วโมง https://www.tomshardware.com/pc-components/power-supplies/corsair-launches-gargantuan-3-000w-power-supply-for-usd599-99-comes-with-four-native-12v-2x6-600w-gpu-cables
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • “Apple-1 ในตำนานเตรียมประมูลทะลุ $300,000 — คอมพิวเตอร์ไม้ที่เปลี่ยนโลก และเรื่องราวของเจ้าของผู้บุกเบิก”

    ในวันที่ 20 กันยายน 2025 ที่งาน Remarkable Rarities ของ RR Auctions ณ เมืองบอสตัน จะมีการประมูล Apple-1 เครื่องหายากที่ยังใช้งานได้จริง พร้อมกล่องไม้ Byte Shop ดั้งเดิม ซึ่งเชื่อว่าหลงเหลืออยู่เพียง 9 เครื่องในโลกเท่านั้น

    Apple-1 เครื่องนี้ไม่ใช่แค่ของสะสม แต่เป็น “ของจริง” ที่มาพร้อมอุปกรณ์ครบชุดจากยุค 1976 ได้แก่ แผงวงจร Apple-1 หมายเลข “01-0020”, แป้นพิมพ์ Datanetics, จอภาพ, อินเทอร์เฟซเทป, ซอฟต์แวร์บนเทปคาสเซ็ต และคู่มือการใช้งานแบบร่วมสมัย ทุกชิ้นเป็นของแท้หรือถูกแทนที่ด้วยชิ้นส่วนที่ถูกต้องตามยุคสมัย

    สิ่งที่ทำให้เครื่องนี้พิเศษยิ่งขึ้นคือ “เจ้าของเดิม” — June Blodgett Moore ผู้หญิงคนแรกที่จบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งทำให้เครื่องนี้มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ทั้งด้านเทคโนโลยีและสังคม

    ตัวเครื่องได้รับการตรวจสอบและฟื้นฟูโดยผู้เชี่ยวชาญ Corey Cohen ในช่วงกลางปี 2025 และได้รับการประเมินสภาพที่ 8.0/10 โดยมีรอยร้าวเล็ก ๆ บนกล่องไม้ และแผ่นหลังที่ถูกถอดออกเพื่อเข้าถึงสายไฟ

    ภายในยังคงมีชิป MOS 6502 แบบเซรามิกขาว และตัวเก็บประจุ Sprague “Big Blue” ทั้งสามตัวดั้งเดิม ซึ่งหายากมากในเครื่องที่ยังหลงเหลืออยู่ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนไดโอดบางตัวด้วยชิ้นส่วนที่ถูกต้องตามยุคเพื่อรักษาความสมบูรณ์ของระบบ

    กล่องไม้ Byte Shop นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นผลจากดีลครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง Steve Jobs และ Steve Wozniak กับร้าน Byte Shop ที่สั่งซื้อ Apple-1 จำนวน 50 เครื่องในราคาต่อเครื่อง $500 และขายต่อที่ $666.66 ซึ่ง Wozniakเคยกล่าวว่า “ไม่มีเหตุการณ์ใดในประวัติศาสตร์ของบริษัทที่ยิ่งใหญ่และเหนือความคาดหมายเท่านี้อีกแล้ว”

    https://www.tomshardware.com/pc-components/pc-cases/rare-apple-1-with-storied-ownership-could-fetch-over-usd300-000-at-auction-unit-housed-in-original-wood-case-thought-to-be-one-of-just-nine-surviving-examples
    🍏 “Apple-1 ในตำนานเตรียมประมูลทะลุ $300,000 — คอมพิวเตอร์ไม้ที่เปลี่ยนโลก และเรื่องราวของเจ้าของผู้บุกเบิก” ในวันที่ 20 กันยายน 2025 ที่งาน Remarkable Rarities ของ RR Auctions ณ เมืองบอสตัน จะมีการประมูล Apple-1 เครื่องหายากที่ยังใช้งานได้จริง พร้อมกล่องไม้ Byte Shop ดั้งเดิม ซึ่งเชื่อว่าหลงเหลืออยู่เพียง 9 เครื่องในโลกเท่านั้น Apple-1 เครื่องนี้ไม่ใช่แค่ของสะสม แต่เป็น “ของจริง” ที่มาพร้อมอุปกรณ์ครบชุดจากยุค 1976 ได้แก่ แผงวงจร Apple-1 หมายเลข “01-0020”, แป้นพิมพ์ Datanetics, จอภาพ, อินเทอร์เฟซเทป, ซอฟต์แวร์บนเทปคาสเซ็ต และคู่มือการใช้งานแบบร่วมสมัย ทุกชิ้นเป็นของแท้หรือถูกแทนที่ด้วยชิ้นส่วนที่ถูกต้องตามยุคสมัย สิ่งที่ทำให้เครื่องนี้พิเศษยิ่งขึ้นคือ “เจ้าของเดิม” — June Blodgett Moore ผู้หญิงคนแรกที่จบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งทำให้เครื่องนี้มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ทั้งด้านเทคโนโลยีและสังคม ตัวเครื่องได้รับการตรวจสอบและฟื้นฟูโดยผู้เชี่ยวชาญ Corey Cohen ในช่วงกลางปี 2025 และได้รับการประเมินสภาพที่ 8.0/10 โดยมีรอยร้าวเล็ก ๆ บนกล่องไม้ และแผ่นหลังที่ถูกถอดออกเพื่อเข้าถึงสายไฟ ภายในยังคงมีชิป MOS 6502 แบบเซรามิกขาว และตัวเก็บประจุ Sprague “Big Blue” ทั้งสามตัวดั้งเดิม ซึ่งหายากมากในเครื่องที่ยังหลงเหลืออยู่ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนไดโอดบางตัวด้วยชิ้นส่วนที่ถูกต้องตามยุคเพื่อรักษาความสมบูรณ์ของระบบ กล่องไม้ Byte Shop นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นผลจากดีลครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง Steve Jobs และ Steve Wozniak กับร้าน Byte Shop ที่สั่งซื้อ Apple-1 จำนวน 50 เครื่องในราคาต่อเครื่อง $500 และขายต่อที่ $666.66 ซึ่ง Wozniakเคยกล่าวว่า “ไม่มีเหตุการณ์ใดในประวัติศาสตร์ของบริษัทที่ยิ่งใหญ่และเหนือความคาดหมายเท่านี้อีกแล้ว” https://www.tomshardware.com/pc-components/pc-cases/rare-apple-1-with-storied-ownership-could-fetch-over-usd300-000-at-auction-unit-housed-in-original-wood-case-thought-to-be-one-of-just-nine-surviving-examples
    0 Comments 0 Shares 160 Views 0 Reviews
  • “50 สิ่งที่คุณทำได้ด้วย Software Defined Radio — เปิดโลกคลื่นวิทยุที่ซ่อนอยู่รอบตัวเรา”

    ในโลกที่เต็มไปด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เราอาจไม่รู้เลยว่ามีการสื่อสารเกิดขึ้นตลอดเวลา ทั้งจากวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ ไปจนถึงดาวเทียมและอุปกรณ์ IoT ทั้งหมดนี้สามารถถูกตรวจจับได้ด้วยอุปกรณ์เล็ก ๆ ที่เรียกว่า Software Defined Radio (SDR) ซึ่งเป็นวิทยุที่ใช้ซอฟต์แวร์ในการประมวลผลแทนฮาร์ดแวร์แบบดั้งเดิม

    ผู้เขียนบล็อกชื่อ “blinry” ได้ทดลองใช้ SDR แบบ USB dongle รุ่น RTL-SDR Blog V4 พร้อมเสาอากาศราคาประหยัด เพื่อค้นหาสิ่งที่สามารถรับฟังหรือวิเคราะห์ได้จากคลื่นวิทยุรอบตัวเขาในเมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี ภายในเวลา 1 สัปดาห์ เขาสามารถค้นพบถึง 50 สิ่งที่น่าทึ่ง ตั้งแต่การฟังวิทยุ FM ไปจนถึงการติดตามดาวเทียมและบอลลูนอุตุนิยมวิทยา

    สิ่งที่น่าประทับใจคือการใช้ SDR รับข้อมูลจากอุปกรณ์รอบตัว เช่น เซ็นเซอร์อุณหภูมิของเพื่อนบ้าน, การสื่อสารของรถบัส, การส่งภาพจากดาวเทียม NOAA, การฟังรหัสมอร์สจากประเทศอื่น ๆ และแม้แต่การตรวจจับสัญญาณ NFC จากสมาร์ตโฟนที่เปิดหน้าจอ

    นอกจากนี้ยังมีการทดลองสร้างเสาอากาศเองจากสายไฟธรรมดา และใช้ซอฟต์แวร์หลากหลาย เช่น SDR++, SDRangel, WSJT-X, fldigi และ QSSTV เพื่อถอดรหัสสัญญาณต่าง ๆ ทั้งเสียง ข้อความ และภาพ

    แม้จะมีข้อจำกัดทางกฎหมายในบางประเทศ เช่น เยอรมนี ที่ห้ามฟังการสื่อสารที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ แต่โปรเจกต์นี้แสดงให้เห็นว่า SDR เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเรียนรู้โลกของคลื่นวิทยุ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่โลกของวิทยุสมัครเล่นอย่างจริงจัง

    สิ่งที่ค้นพบจากการทดลอง SDR
    ฟังวิทยุ FM, AM, DAB และ CB radio ได้อย่างชัดเจน
    รับข้อมูลจากดาวเทียม NOAA และ Max Valier พร้อมภาพถ่ายจากอวกาศ
    ตรวจจับสัญญาณจากเซ็นเซอร์อุณหภูมิ, รถบัส, ยางรถยนต์ และอุปกรณ์ IoT
    ฟังรหัสมอร์สจากประเทศต่าง ๆ และรับข้อความดิจิทัลจากระบบ FT8, RTTY, SSTV
    ตรวจจับสัญญาณ NFC จากสมาร์ตโฟน และใช้หนังสือส่งรหัสมอร์สผ่านคลื่น NFC
    รับสัญญาณจากบอลลูนอุตุนิยมวิทยา และติดตามตำแหน่งการตกของบอลลูน
    รับสัญญาณจากระบบนำทางของเครื่องบิน (VOR) และระบบติดตามเรือ (AIS)
    ฟังสถานีลึกลับ เช่น “The Buzzer” และ “Number Stations” ที่อาจใช้ในงานจารกรรม

    อุปกรณ์และซอฟต์แวร์ที่ใช้
    ใช้ SDR แบบ USB dongle รุ่น RTL-SDR Blog V4 ราคาประมาณ $30
    เสาอากาศ dipole และสายไฟยาว 21.6 เมตร สำหรับความถี่ต่ำ
    ซอฟต์แวร์ SDR++, SDRangel, WSJT-X, fldigi, QSSTV, noaa-apt และ rtl_433
    ใช้ Linux เป็นระบบปฏิบัติการหลักในการทดลอง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SDR เป็นเครื่องมือสำคัญในงานวิจัยด้านคลื่นวิทยุและการสื่อสารไร้สาย
    นักวิทยุสมัครเล่นใช้ SDR เพื่อเรียนรู้และทดลองการส่งสัญญาณ
    ในปี 2024 เยอรมนีเตรียมเปิดคลาสใบอนุญาตใหม่ “N class” สำหรับผู้เริ่มต้น
    SDR สามารถใช้ร่วมกับระบบคลาวด์และแผนที่ออนไลน์เพื่อรับสัญญาณจากทั่วโลก

    https://blinry.org/50-things-with-sdr/
    📡 “50 สิ่งที่คุณทำได้ด้วย Software Defined Radio — เปิดโลกคลื่นวิทยุที่ซ่อนอยู่รอบตัวเรา” ในโลกที่เต็มไปด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เราอาจไม่รู้เลยว่ามีการสื่อสารเกิดขึ้นตลอดเวลา ทั้งจากวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ ไปจนถึงดาวเทียมและอุปกรณ์ IoT ทั้งหมดนี้สามารถถูกตรวจจับได้ด้วยอุปกรณ์เล็ก ๆ ที่เรียกว่า Software Defined Radio (SDR) ซึ่งเป็นวิทยุที่ใช้ซอฟต์แวร์ในการประมวลผลแทนฮาร์ดแวร์แบบดั้งเดิม ผู้เขียนบล็อกชื่อ “blinry” ได้ทดลองใช้ SDR แบบ USB dongle รุ่น RTL-SDR Blog V4 พร้อมเสาอากาศราคาประหยัด เพื่อค้นหาสิ่งที่สามารถรับฟังหรือวิเคราะห์ได้จากคลื่นวิทยุรอบตัวเขาในเมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี ภายในเวลา 1 สัปดาห์ เขาสามารถค้นพบถึง 50 สิ่งที่น่าทึ่ง ตั้งแต่การฟังวิทยุ FM ไปจนถึงการติดตามดาวเทียมและบอลลูนอุตุนิยมวิทยา สิ่งที่น่าประทับใจคือการใช้ SDR รับข้อมูลจากอุปกรณ์รอบตัว เช่น เซ็นเซอร์อุณหภูมิของเพื่อนบ้าน, การสื่อสารของรถบัส, การส่งภาพจากดาวเทียม NOAA, การฟังรหัสมอร์สจากประเทศอื่น ๆ และแม้แต่การตรวจจับสัญญาณ NFC จากสมาร์ตโฟนที่เปิดหน้าจอ นอกจากนี้ยังมีการทดลองสร้างเสาอากาศเองจากสายไฟธรรมดา และใช้ซอฟต์แวร์หลากหลาย เช่น SDR++, SDRangel, WSJT-X, fldigi และ QSSTV เพื่อถอดรหัสสัญญาณต่าง ๆ ทั้งเสียง ข้อความ และภาพ แม้จะมีข้อจำกัดทางกฎหมายในบางประเทศ เช่น เยอรมนี ที่ห้ามฟังการสื่อสารที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ แต่โปรเจกต์นี้แสดงให้เห็นว่า SDR เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเรียนรู้โลกของคลื่นวิทยุ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่โลกของวิทยุสมัครเล่นอย่างจริงจัง ✅ สิ่งที่ค้นพบจากการทดลอง SDR ➡️ ฟังวิทยุ FM, AM, DAB และ CB radio ได้อย่างชัดเจน ➡️ รับข้อมูลจากดาวเทียม NOAA และ Max Valier พร้อมภาพถ่ายจากอวกาศ ➡️ ตรวจจับสัญญาณจากเซ็นเซอร์อุณหภูมิ, รถบัส, ยางรถยนต์ และอุปกรณ์ IoT ➡️ ฟังรหัสมอร์สจากประเทศต่าง ๆ และรับข้อความดิจิทัลจากระบบ FT8, RTTY, SSTV ➡️ ตรวจจับสัญญาณ NFC จากสมาร์ตโฟน และใช้หนังสือส่งรหัสมอร์สผ่านคลื่น NFC ➡️ รับสัญญาณจากบอลลูนอุตุนิยมวิทยา และติดตามตำแหน่งการตกของบอลลูน ➡️ รับสัญญาณจากระบบนำทางของเครื่องบิน (VOR) และระบบติดตามเรือ (AIS) ➡️ ฟังสถานีลึกลับ เช่น “The Buzzer” และ “Number Stations” ที่อาจใช้ในงานจารกรรม ✅ อุปกรณ์และซอฟต์แวร์ที่ใช้ ➡️ ใช้ SDR แบบ USB dongle รุ่น RTL-SDR Blog V4 ราคาประมาณ $30 ➡️ เสาอากาศ dipole และสายไฟยาว 21.6 เมตร สำหรับความถี่ต่ำ ➡️ ซอฟต์แวร์ SDR++, SDRangel, WSJT-X, fldigi, QSSTV, noaa-apt และ rtl_433 ➡️ ใช้ Linux เป็นระบบปฏิบัติการหลักในการทดลอง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SDR เป็นเครื่องมือสำคัญในงานวิจัยด้านคลื่นวิทยุและการสื่อสารไร้สาย ➡️ นักวิทยุสมัครเล่นใช้ SDR เพื่อเรียนรู้และทดลองการส่งสัญญาณ ➡️ ในปี 2024 เยอรมนีเตรียมเปิดคลาสใบอนุญาตใหม่ “N class” สำหรับผู้เริ่มต้น ➡️ SDR สามารถใช้ร่วมกับระบบคลาวด์และแผนที่ออนไลน์เพื่อรับสัญญาณจากทั่วโลก https://blinry.org/50-things-with-sdr/
    BLINRY.ORG
    Fifty Things you can do with a Software Defined Radio 📻
    Last week, I went on an adventure through the electromagnetic spectrum!
    0 Comments 0 Shares 153 Views 0 Reviews
  • จากวัยเด็กถึงวันเกษียณ: การประกอบคอมพิวเตอร์ที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา

    วันวานในโลกของสายไฟและชิ้นส่วนเล็กๆ
    ในช่วงวัยรุ่นหรือวัยทำงานตอนต้น “การประกอบคอมพิวเตอร์เอง” เป็นทั้งงานอดิเรกและการผจญภัยทางเทคโนโลยี ใครที่เคยเดินหาซื้ออุปกรณ์ในย่านไอทีคงจำได้ดี ความรู้สึกตอนเลือกเมนบอร์ดที่ถูกใจหรือหาการ์ดจอที่กำลังมาแรงเหมือนการได้อาวุธชิ้นใหม่ การกลับมาบ้านพร้อมกล่องใหญ่ๆ แล้วนั่งแกะอุปกรณ์ทีละชิ้นคือความสุขที่บรรยายยาก

    เมื่อเริ่มต่อสาย วางชิ้นส่วนลงในเคส หรือขันน็อตตัวเล็กๆ หัวใจเต้นแรงไม่ต่างจากนักวิทยาศาสตร์ในห้องทดลอง ทุกครั้งที่กดปุ่มเปิดเครื่องแล้วพัดลมหมุน แสงไฟติดขึ้น นั่นคือชัยชนะเล็กๆ ที่มาพร้อมกับเสียงเฮและรอยยิ้ม ความภูมิใจในผลงานที่ทำด้วยสองมือตัวเองทำให้ค่ำคืนนั้นสดใสเป็นพิเศษ

    ความเปลี่ยนแปลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น
    แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เครื่องสำเร็จรูปที่มีให้เลือกมากมายทำให้ไม่จำเป็นต้องมานั่งต่อเองอีกต่อไป ความท้าทายที่เคยมีจึงค่อยๆ จางลง บวกกับสังขารที่ไม่เหมือนเดิม มือที่เคยคล่องแคล่วกลับสั่นเล็กน้อยเมื่อต้องหยิบน็อตจิ๋ว สายตาที่เคยชัดเจนต้องพึ่งแว่นขยาย หรือบางครั้งต้องใช้โคมไฟช่วยส่องให้เห็นรายละเอียด

    แม้จะยังสนุกอยู่ แต่ความรู้สึกกลับต่างออกไป—จากที่เคย “ตื่นเต้น” กลายเป็น “ใจเย็น” มากขึ้น บางครั้งก็รู้สึกเหนื่อยง่าย นั่งทำไม่นานก็เมื่อยหลัง ต้องพักบ่อยๆ เพื่อยืดเส้นยืดสาย สิ่งที่เปลี่ยนไม่ใช่แค่ความสนุก แต่เป็นวิธีมองกิจกรรมนี้ในฐานะงานอดิเรกที่ผ่อนคลายและไม่เร่งรีบ

    คุณค่าใหม่ที่มากับวัย
    แม้ความสนุกอาจลดลง แต่สิ่งที่ได้รับกลับลึกซึ้งกว่าเดิม ทุกครั้งที่นั่งประกอบคอมพิวเตอร์ในวันนี้ มันไม่ใช่แค่การสร้างเครื่องทำงานใหม่ แต่เป็นการทบทวนตัวเองว่า “ยังทำได้” และเป็นการใช้สมองแก้ปัญหาทีละขั้นอย่างเป็นระบบ ซึ่งถือเป็นการออกกำลังสมองที่ดีไม่แพ้การเล่นเกมฝึกความจำ

    ที่สำคัญ การประกอบคอมฯ ยังเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ ลูกหลานหลายคนมักเข้ามาช่วย แนะนำวิธีใหม่ๆ หรือหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต แล้วลงมือทำไปพร้อมกัน บรรยากาศเช่นนี้สร้างทั้งเสียงหัวเราะ ความอบอุ่น และความทรงจำใหม่ๆ ที่จะเก็บไว้เล่าต่อในอนาคต

    บทเรียนจากสายไฟและน็อตตัวเล็กๆ
    การประกอบคอมพิวเตอร์ในวัยหนุ่มสาวคือ “ความท้าทายและการพิสูจน์ตัวเอง” แต่เมื่ออายุมากขึ้น มันกลายเป็น “การฝึกสมาธิและการสร้างความผูกพัน” สิ่งที่ได้ไม่ใช่แค่เครื่องคอมพิวเตอร์ แต่คือความมั่นใจว่าอายุไม่ใช่อุปสรรคต่อการเรียนรู้ และทุกครั้งที่ลงมือ เราได้ต่อ “ชิ้นส่วนของชีวิต” เข้าไว้ด้วยกัน

    วันนี้ความสนุกอาจไม่หวือหวาเหมือนวันเก่า แต่ความหมายกลับเติบโตขึ้นมากกว่าเดิม การได้เห็นเครื่องที่เราประกอบเองบูตขึ้นมา ยังคงเป็นสัญลักษณ์เล็กๆ ของชัยชนะ และเป็นเครื่องยืนยันว่าไม่ว่าเวลาเดินไปไกลแค่ไหน เราก็ยังมีไฟที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่เสมอ

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    จากวัยเด็กถึงวันเกษียณ: การประกอบคอมพิวเตอร์ที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา 🕒💻 🖥️ วันวานในโลกของสายไฟและชิ้นส่วนเล็กๆ ในช่วงวัยรุ่นหรือวัยทำงานตอนต้น “การประกอบคอมพิวเตอร์เอง” เป็นทั้งงานอดิเรกและการผจญภัยทางเทคโนโลยี ใครที่เคยเดินหาซื้ออุปกรณ์ในย่านไอทีคงจำได้ดี ความรู้สึกตอนเลือกเมนบอร์ดที่ถูกใจหรือหาการ์ดจอที่กำลังมาแรงเหมือนการได้อาวุธชิ้นใหม่ การกลับมาบ้านพร้อมกล่องใหญ่ๆ แล้วนั่งแกะอุปกรณ์ทีละชิ้นคือความสุขที่บรรยายยาก 🔧 เมื่อเริ่มต่อสาย วางชิ้นส่วนลงในเคส หรือขันน็อตตัวเล็กๆ หัวใจเต้นแรงไม่ต่างจากนักวิทยาศาสตร์ในห้องทดลอง ทุกครั้งที่กดปุ่มเปิดเครื่องแล้วพัดลมหมุน แสงไฟติดขึ้น นั่นคือชัยชนะเล็กๆ ที่มาพร้อมกับเสียงเฮและรอยยิ้ม ความภูมิใจในผลงานที่ทำด้วยสองมือตัวเองทำให้ค่ำคืนนั้นสดใสเป็นพิเศษ 👓 ความเปลี่ยนแปลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เครื่องสำเร็จรูปที่มีให้เลือกมากมายทำให้ไม่จำเป็นต้องมานั่งต่อเองอีกต่อไป ความท้าทายที่เคยมีจึงค่อยๆ จางลง บวกกับสังขารที่ไม่เหมือนเดิม มือที่เคยคล่องแคล่วกลับสั่นเล็กน้อยเมื่อต้องหยิบน็อตจิ๋ว สายตาที่เคยชัดเจนต้องพึ่งแว่นขยาย หรือบางครั้งต้องใช้โคมไฟช่วยส่องให้เห็นรายละเอียด แม้จะยังสนุกอยู่ แต่ความรู้สึกกลับต่างออกไป—จากที่เคย “ตื่นเต้น” กลายเป็น “ใจเย็น” มากขึ้น บางครั้งก็รู้สึกเหนื่อยง่าย นั่งทำไม่นานก็เมื่อยหลัง ต้องพักบ่อยๆ เพื่อยืดเส้นยืดสาย สิ่งที่เปลี่ยนไม่ใช่แค่ความสนุก แต่เป็นวิธีมองกิจกรรมนี้ในฐานะงานอดิเรกที่ผ่อนคลายและไม่เร่งรีบ 🎉 คุณค่าใหม่ที่มากับวัย แม้ความสนุกอาจลดลง แต่สิ่งที่ได้รับกลับลึกซึ้งกว่าเดิม ทุกครั้งที่นั่งประกอบคอมพิวเตอร์ในวันนี้ มันไม่ใช่แค่การสร้างเครื่องทำงานใหม่ แต่เป็นการทบทวนตัวเองว่า “ยังทำได้” และเป็นการใช้สมองแก้ปัญหาทีละขั้นอย่างเป็นระบบ ซึ่งถือเป็นการออกกำลังสมองที่ดีไม่แพ้การเล่นเกมฝึกความจำ ที่สำคัญ การประกอบคอมฯ ยังเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ ลูกหลานหลายคนมักเข้ามาช่วย แนะนำวิธีใหม่ๆ หรือหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต แล้วลงมือทำไปพร้อมกัน บรรยากาศเช่นนี้สร้างทั้งเสียงหัวเราะ ความอบอุ่น และความทรงจำใหม่ๆ ที่จะเก็บไว้เล่าต่อในอนาคต 💡 บทเรียนจากสายไฟและน็อตตัวเล็กๆ การประกอบคอมพิวเตอร์ในวัยหนุ่มสาวคือ “ความท้าทายและการพิสูจน์ตัวเอง” แต่เมื่ออายุมากขึ้น มันกลายเป็น “การฝึกสมาธิและการสร้างความผูกพัน” สิ่งที่ได้ไม่ใช่แค่เครื่องคอมพิวเตอร์ แต่คือความมั่นใจว่าอายุไม่ใช่อุปสรรคต่อการเรียนรู้ และทุกครั้งที่ลงมือ เราได้ต่อ “ชิ้นส่วนของชีวิต” เข้าไว้ด้วยกัน 🖥️ วันนี้ความสนุกอาจไม่หวือหวาเหมือนวันเก่า แต่ความหมายกลับเติบโตขึ้นมากกว่าเดิม การได้เห็นเครื่องที่เราประกอบเองบูตขึ้นมา ยังคงเป็นสัญลักษณ์เล็กๆ ของชัยชนะ และเป็นเครื่องยืนยันว่าไม่ว่าเวลาเดินไปไกลแค่ไหน เราก็ยังมีไฟที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่เสมอ #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 Comments 0 Shares 223 Views 0 Reviews
  • “Intel 14A: เทคโนโลยีสุดล้ำที่แรงกว่า 18A แต่แพงกว่า เพราะใช้เครื่องพิมพ์ชิประดับนาโนรุ่นใหม่จาก ASML!”

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังออกแบบชิปที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดและประหยัดพลังงานที่สุดในโลก แล้ว Intel บอกว่า “เรามี 14A node ที่แรงกว่า 18A ถึง 20% และกินไฟน้อยลงถึง 35%” — ฟังดูน่าสนใจใช่ไหม? แต่เบื้องหลังนั้นคือค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว เพราะต้องใช้เครื่องพิมพ์ชิปรุ่นใหม่ที่เรียกว่า High-NA EUV จาก ASML ซึ่งมีราคาสูงถึง $380 ล้านต่อเครื่อง!

    David Zinsner, CFO ของ Intel ยืนยันในงานประชุม Citi’s Global TMT ว่า 14A จะมีต้นทุนต่อแผ่นเวเฟอร์สูงกว่า 18A อย่างแน่นอน แม้จะไม่สูงมากในแง่การลงทุนรวม แต่เครื่องพิมพ์ Twinscan EXE:5200B ที่ใช้เลนส์ขนาด 0.55 NA (Numerical Aperture) ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยพุ่งขึ้น

    Intel 14A ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่หลายอย่าง เช่น RibbonFET 2 ที่เป็นโครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ gate-all-around รุ่นปรับปรุง และ PowerDirect ที่เป็นระบบส่งพลังงานจากด้านหลังของชิปโดยตรง ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนของการเดินสายไฟและเพิ่มประสิทธิภาพ

    นอกจากนี้ยังมี Turbo Cells ที่ช่วยเพิ่มความเร็วของ CPU และ GPU โดยไม่ต้องเพิ่มพื้นที่หรือพลังงานมากนัก — ทั้งหมดนี้ทำให้ 14A เป็น node ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับทั้งผลิตภัณฑ์ของ Intel และลูกค้าภายนอกในอนาคต

    แต่ปัญหาคือ หาก Intel ไม่สามารถหาลูกค้าภายนอกมาใช้ 14A ได้ ก็อาจไม่คุ้มค่าการลงทุน และอาจต้องชะลอหรือยกเลิก node นี้ไปเลย ซึ่งจะส่งผลต่อแผนการฟื้นตัวของ Intel Foundry ที่กำลังพยายามกลับมาเป็นผู้นำในตลาดโลก

    Intel 14A node คืออะไร
    เป็นกระบวนการผลิตชิประดับ 1.4nm ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด
    ใช้เทคโนโลยี RibbonFET 2 และ PowerDirect เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    มี Turbo Cells ที่ช่วยเพิ่มความเร็วโดยไม่เพิ่มพื้นที่หรือพลังงาน
    ให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีกว่า 18A ถึง 15–20% และลดการใช้พลังงานได้ 25–35%

    เครื่องมือที่ใช้ใน 14A
    ใช้เครื่องพิมพ์ชิป High-NA EUV จาก ASML รุ่น Twinscan EXE:5200B
    ความละเอียดสูงถึง 8nm ต่อการยิงแสงครั้งเดียว
    ลดความจำเป็นในการใช้ multi-patterning ซึ่งช่วยเพิ่ม yield
    เครื่องมีราคาสูงถึง $380 ล้านต่อเครื่อง เทียบกับ $235 ล้านของรุ่นเดิม

    บริบททางธุรกิจและการลงทุน
    Intel ต้องการลูกค้าภายนอกเพื่อให้คุ้มค่าการลงทุนใน 14A
    หากไม่มีลูกค้ารายใหญ่ อาจต้องชะลอหรือยกเลิก node นี้
    Intel Foundry ต้องรักษาสัดส่วนการถือหุ้น 51% ตามข้อตกลงกับรัฐบาลสหรัฐฯ
    การพัฒนา 14A ใช้งบวิจัยหลายพันล้านดอลลาร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    14A-E เป็นเวอร์ชันปรับปรุงของ 14A ที่เพิ่มประสิทธิภาพอีก 5%
    Samsung และ TSMC กำลังพัฒนา 2nm node เพื่อแข่งขันกับ Intel
    Intel ได้รับสัญญาผลิตชิป 18A มูลค่า $15 พันล้านจาก Microsoft1
    High-NA EUV ยังมีข้อจำกัดด้านขนาด field ทำให้ต้องปรับการออกแบบชิปใหม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-cfo-confirms-that-14a-will-be-more-expensive-to-use-than-18a-intel-expects-14a-fabrication-process-to-offer-15-20-percent-better-performance-per-watt-or-25-35-percent-lower-power-consumption-compared-to-18a
    ⚙️ “Intel 14A: เทคโนโลยีสุดล้ำที่แรงกว่า 18A แต่แพงกว่า เพราะใช้เครื่องพิมพ์ชิประดับนาโนรุ่นใหม่จาก ASML!” ลองนึกภาพว่าคุณกำลังออกแบบชิปที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดและประหยัดพลังงานที่สุดในโลก แล้ว Intel บอกว่า “เรามี 14A node ที่แรงกว่า 18A ถึง 20% และกินไฟน้อยลงถึง 35%” — ฟังดูน่าสนใจใช่ไหม? แต่เบื้องหลังนั้นคือค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว เพราะต้องใช้เครื่องพิมพ์ชิปรุ่นใหม่ที่เรียกว่า High-NA EUV จาก ASML ซึ่งมีราคาสูงถึง $380 ล้านต่อเครื่อง! David Zinsner, CFO ของ Intel ยืนยันในงานประชุม Citi’s Global TMT ว่า 14A จะมีต้นทุนต่อแผ่นเวเฟอร์สูงกว่า 18A อย่างแน่นอน แม้จะไม่สูงมากในแง่การลงทุนรวม แต่เครื่องพิมพ์ Twinscan EXE:5200B ที่ใช้เลนส์ขนาด 0.55 NA (Numerical Aperture) ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยพุ่งขึ้น Intel 14A ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่หลายอย่าง เช่น RibbonFET 2 ที่เป็นโครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ gate-all-around รุ่นปรับปรุง และ PowerDirect ที่เป็นระบบส่งพลังงานจากด้านหลังของชิปโดยตรง ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนของการเดินสายไฟและเพิ่มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมี Turbo Cells ที่ช่วยเพิ่มความเร็วของ CPU และ GPU โดยไม่ต้องเพิ่มพื้นที่หรือพลังงานมากนัก — ทั้งหมดนี้ทำให้ 14A เป็น node ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับทั้งผลิตภัณฑ์ของ Intel และลูกค้าภายนอกในอนาคต แต่ปัญหาคือ หาก Intel ไม่สามารถหาลูกค้าภายนอกมาใช้ 14A ได้ ก็อาจไม่คุ้มค่าการลงทุน และอาจต้องชะลอหรือยกเลิก node นี้ไปเลย ซึ่งจะส่งผลต่อแผนการฟื้นตัวของ Intel Foundry ที่กำลังพยายามกลับมาเป็นผู้นำในตลาดโลก ✅ Intel 14A node คืออะไร ➡️ เป็นกระบวนการผลิตชิประดับ 1.4nm ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด ➡️ ใช้เทคโนโลยี RibbonFET 2 และ PowerDirect เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ มี Turbo Cells ที่ช่วยเพิ่มความเร็วโดยไม่เพิ่มพื้นที่หรือพลังงาน ➡️ ให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีกว่า 18A ถึง 15–20% และลดการใช้พลังงานได้ 25–35% ✅ เครื่องมือที่ใช้ใน 14A ➡️ ใช้เครื่องพิมพ์ชิป High-NA EUV จาก ASML รุ่น Twinscan EXE:5200B ➡️ ความละเอียดสูงถึง 8nm ต่อการยิงแสงครั้งเดียว ➡️ ลดความจำเป็นในการใช้ multi-patterning ซึ่งช่วยเพิ่ม yield ➡️ เครื่องมีราคาสูงถึง $380 ล้านต่อเครื่อง เทียบกับ $235 ล้านของรุ่นเดิม ✅ บริบททางธุรกิจและการลงทุน ➡️ Intel ต้องการลูกค้าภายนอกเพื่อให้คุ้มค่าการลงทุนใน 14A ➡️ หากไม่มีลูกค้ารายใหญ่ อาจต้องชะลอหรือยกเลิก node นี้ ➡️ Intel Foundry ต้องรักษาสัดส่วนการถือหุ้น 51% ตามข้อตกลงกับรัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ การพัฒนา 14A ใช้งบวิจัยหลายพันล้านดอลลาร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 14A-E เป็นเวอร์ชันปรับปรุงของ 14A ที่เพิ่มประสิทธิภาพอีก 5% ➡️ Samsung และ TSMC กำลังพัฒนา 2nm node เพื่อแข่งขันกับ Intel ➡️ Intel ได้รับสัญญาผลิตชิป 18A มูลค่า $15 พันล้านจาก Microsoft1 ➡️ High-NA EUV ยังมีข้อจำกัดด้านขนาด field ทำให้ต้องปรับการออกแบบชิปใหม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-cfo-confirms-that-14a-will-be-more-expensive-to-use-than-18a-intel-expects-14a-fabrication-process-to-offer-15-20-percent-better-performance-per-watt-or-25-35-percent-lower-power-consumption-compared-to-18a
    0 Comments 0 Shares 227 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก CXL ถึง DDR5: เมื่อการ์ดเสริมกลายเป็นหน่วยความจำหลักของระบบ AI

    Gigabyte เปิดตัวการ์ดเสริมรุ่นใหม่ชื่อ AI Top CXL R5X4 ซึ่งเป็น add-in card (AIC) ที่ใช้เทคโนโลยี CXL 2.0/1.1 เพื่อเพิ่มหน่วยความจำ DDR5 ได้สูงสุดถึง 512GB ผ่านสล็อต PCIe 5.0 x16 โดยไม่ต้องพึ่ง DIMM บนเมนบอร์ดโดยตรง

    การ์ดนี้มีขนาด 120 × 254 มม. ใช้แผงวงจร 16-layer HDI PCB และควบคุมด้วยชิป Microchip PM8712 พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ “CXL Thermal Armor” ที่เป็นโลหะเต็มตัว และพัดลม AIO สำหรับระบายความร้อนจากตัวควบคุมและสล็อตแรม

    จุดเด่นคือการรองรับ DDR5 RDIMM แบบ ECC ได้ถึง 4 ช่อง โดยแต่ละช่องรองรับโมดูลสูงสุด 128GB รวมเป็น 512GB ซึ่งต่างจากโมดูล CXL แบบสำเร็จรูปของ Samsung ที่มีขนาดตายตัว—การ์ดนี้ให้ผู้ใช้เลือกขนาดแรมเองได้

    แม้จะออกแบบมาสำหรับเมนบอร์ด Gigabyte รุ่น TRX50 AI Top และ W790 AI Top แต่หากเมนบอร์ดอื่นรองรับ PCIe 5.0 และ CXL ก็สามารถใช้งานได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม Gigabyte เตือนว่าบางสล็อตบน TRX50 เช่น PCIEX16_4 ไม่รองรับ CXL

    การ์ดใช้พลังงานประมาณ 70W ที่โหลดเต็ม และต้องต่อสายไฟ 8-pin EXT12V พร้อมไฟ LED แสดงสถานะการเชื่อมต่อพลังงาน ราคายังไม่เปิดเผย แต่คาดว่าจะอยู่ในช่วง $2,000–$3,000 ตามมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ CXL ระดับสูง

    สเปกของ AI Top CXL R5X4
    ใช้ PCIe 5.0 x16 และรองรับ CXL 2.0/1.1
    มี 4 ช่อง DDR5 RDIMM รองรับ ECC สูงสุด 512GB
    ใช้ Microchip PM8712 controller และระบบระบายความร้อนแบบโลหะเต็มตัว

    การใช้งานและความเข้ากันได้
    ออกแบบสำหรับ TRX50 AI Top และ W790 AI Top
    สามารถใช้กับเมนบอร์ดอื่นที่รองรับ PCIe 5.0 และ CXL
    ต้องตรวจสอบว่าแต่ละสล็อตรองรับ CXL จริง เช่น PCIEX16_4 บน TRX50 ไม่รองรับ

    จุดเด่นด้านการปรับแต่งและการขยาย
    ผู้ใช้สามารถเลือกขนาดแรมเองได้ ต่างจากโมดูล CXL แบบสำเร็จรูป
    รองรับการอัปเกรดในอนาคตโดยไม่ต้องเปลี่ยนการ์ด
    เหมาะสำหรับงาน AI training ที่ต้องการแรมระดับหลายร้อย GB

    ระบบพลังงานและการระบายความร้อน
    ใช้พลังงานประมาณ 70W ที่โหลดเต็ม
    ต้องต่อสายไฟ 8-pin EXT12V พร้อมไฟ LED แสดงสถานะ
    มีพัดลม AIO สำหรับระบายความร้อนจากตัวควบคุมและสล็อตแรม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/expansion-card-lets-you-insert-512gb-of-extra-ddr5-memory-into-your-pcie-slot-cxl-2-0-aic-designed-for-trx50-and-w790-workstation-motherboards
    🎙️ เรื่องเล่าจาก CXL ถึง DDR5: เมื่อการ์ดเสริมกลายเป็นหน่วยความจำหลักของระบบ AI Gigabyte เปิดตัวการ์ดเสริมรุ่นใหม่ชื่อ AI Top CXL R5X4 ซึ่งเป็น add-in card (AIC) ที่ใช้เทคโนโลยี CXL 2.0/1.1 เพื่อเพิ่มหน่วยความจำ DDR5 ได้สูงสุดถึง 512GB ผ่านสล็อต PCIe 5.0 x16 โดยไม่ต้องพึ่ง DIMM บนเมนบอร์ดโดยตรง การ์ดนี้มีขนาด 120 × 254 มม. ใช้แผงวงจร 16-layer HDI PCB และควบคุมด้วยชิป Microchip PM8712 พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ “CXL Thermal Armor” ที่เป็นโลหะเต็มตัว และพัดลม AIO สำหรับระบายความร้อนจากตัวควบคุมและสล็อตแรม จุดเด่นคือการรองรับ DDR5 RDIMM แบบ ECC ได้ถึง 4 ช่อง โดยแต่ละช่องรองรับโมดูลสูงสุด 128GB รวมเป็น 512GB ซึ่งต่างจากโมดูล CXL แบบสำเร็จรูปของ Samsung ที่มีขนาดตายตัว—การ์ดนี้ให้ผู้ใช้เลือกขนาดแรมเองได้ แม้จะออกแบบมาสำหรับเมนบอร์ด Gigabyte รุ่น TRX50 AI Top และ W790 AI Top แต่หากเมนบอร์ดอื่นรองรับ PCIe 5.0 และ CXL ก็สามารถใช้งานได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม Gigabyte เตือนว่าบางสล็อตบน TRX50 เช่น PCIEX16_4 ไม่รองรับ CXL การ์ดใช้พลังงานประมาณ 70W ที่โหลดเต็ม และต้องต่อสายไฟ 8-pin EXT12V พร้อมไฟ LED แสดงสถานะการเชื่อมต่อพลังงาน ราคายังไม่เปิดเผย แต่คาดว่าจะอยู่ในช่วง $2,000–$3,000 ตามมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ CXL ระดับสูง ✅ สเปกของ AI Top CXL R5X4 ➡️ ใช้ PCIe 5.0 x16 และรองรับ CXL 2.0/1.1 ➡️ มี 4 ช่อง DDR5 RDIMM รองรับ ECC สูงสุด 512GB ➡️ ใช้ Microchip PM8712 controller และระบบระบายความร้อนแบบโลหะเต็มตัว ✅ การใช้งานและความเข้ากันได้ ➡️ ออกแบบสำหรับ TRX50 AI Top และ W790 AI Top ➡️ สามารถใช้กับเมนบอร์ดอื่นที่รองรับ PCIe 5.0 และ CXL ➡️ ต้องตรวจสอบว่าแต่ละสล็อตรองรับ CXL จริง เช่น PCIEX16_4 บน TRX50 ไม่รองรับ ✅ จุดเด่นด้านการปรับแต่งและการขยาย ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกขนาดแรมเองได้ ต่างจากโมดูล CXL แบบสำเร็จรูป ➡️ รองรับการอัปเกรดในอนาคตโดยไม่ต้องเปลี่ยนการ์ด ➡️ เหมาะสำหรับงาน AI training ที่ต้องการแรมระดับหลายร้อย GB ✅ ระบบพลังงานและการระบายความร้อน ➡️ ใช้พลังงานประมาณ 70W ที่โหลดเต็ม ➡️ ต้องต่อสายไฟ 8-pin EXT12V พร้อมไฟ LED แสดงสถานะ ➡️ มีพัดลม AIO สำหรับระบายความร้อนจากตัวควบคุมและสล็อตแรม https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/expansion-card-lets-you-insert-512gb-of-extra-ddr5-memory-into-your-pcie-slot-cxl-2-0-aic-designed-for-trx50-and-w790-workstation-motherboards
    0 Comments 0 Shares 195 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเรือที่จ่ายไฟ: เมื่อ Karpowership เปลี่ยนทะเลให้กลายเป็นแหล่งพลังงานฉุกเฉิน

    Powership คือเรือที่ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าเต็มรูปแบบ โดยสามารถใช้เชื้อเพลิงหลากหลาย เช่น น้ำมันเตา, ก๊าซธรรมชาติ, หรือแม้แต่เชื้อเพลิงชีวภาพ เพื่อผลิตไฟฟ้าและส่งเข้าสู่โครงข่ายบนฝั่งผ่านสายไฟแรงสูง โดยไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าบนบกเลยแม้แต่นิดเดียว

    บริษัทที่เป็นเจ้าของและผู้ให้บริการหลักคือ Karpowership จากตุรกี ซึ่งมีเรือกว่า 50 ลำในปัจจุบัน และกำลังขยายกำลังผลิตจาก 10,000 MW เป็น 21,000 MW ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า เรือแต่ละลำสามารถผลิตไฟฟ้าได้ตั้งแต่ 30 MW ไปจนถึง 500 MW โดยใช้เทคโนโลยีแบบ plug-and-play ที่สามารถติดตั้งและเริ่มจ่ายไฟได้ภายใน 30 วัน

    เรือรุ่นใหญ่ที่สุดคือ Khan Class เช่น Osman Khan ที่มีความยาวถึง 300 เมตร และบรรทุกเชื้อเพลิงได้ถึง 38,000 ตัน ใช้เครื่องยนต์แบบ dual-fuel ที่สามารถสลับเชื้อเพลิงตามความพร้อมในพื้นที่ เช่น ก๊าซธรรมชาติในบราซิล หรือดีเซลในโมซัมบิก

    นอกจากความเร็วในการติดตั้งแล้ว Powership ยังช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้า, ลดการปล่อยคาร์บอนเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าเก่า และไม่ต้องใช้พื้นที่บนบก—เหมาะกับประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานจำกัด เช่น อินโดนีเซีย, เซเนกัล, เลบานอน, อิรัก และคิวบา

    ล่าสุด Karpowership ยังร่วมมือกับ Seatrium เพื่อพัฒนาเรือรุ่นใหม่ที่ติดตั้งระบบดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) เพื่อรองรับเป้าหมายด้านพลังงานสะอาดในอนาคต

    ความสามารถของ Powership
    ผลิตไฟฟ้าได้ตั้งแต่ 30 MW ถึง 500 MW ต่อเรือ
    ใช้เชื้อเพลิงหลากหลาย เช่น น้ำมันเตา, ก๊าซธรรมชาติ, เชื้อเพลิงชีวภาพ
    ติดตั้งและเริ่มจ่ายไฟได้ภายใน 30 วัน

    บริษัท Karpowership และการขยายตัว
    มีเรือกว่า 50 ลำ รวมกำลังผลิตกว่า 10,000 MW
    เป้าหมายคือขยายเป็น 21,000 MW ภายในไม่กี่ปี
    ให้บริการในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก

    เทคโนโลยีและความยืดหยุ่น
    ใช้เครื่องยนต์ dual-fuel ที่ปรับตามเชื้อเพลิงในพื้นที่
    ไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าบนบก ลดความเสี่ยงด้าน EPC
    มีระบบ CCUS และเทอร์ไบน์ในเรือรุ่นใหม่เพื่อรองรับพลังงานสะอาด

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    อินโดนีเซียใช้ Powership จ่ายไฟให้ 4 เกาะ รวมถึง 80% ของความต้องการ
    บราซิลและเซเนกัลใช้เรือ LNGTS เพื่อจ่ายไฟจากทะเลสู่ฝั่ง
    โมซัมบิกและอิรักใช้เพื่อเสริมโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหาย

    https://www.slashgear.com/1955619/what-is-a-power-ship-and-why-do-some-countries-need-them/
    🎙️ เรื่องเล่าจากเรือที่จ่ายไฟ: เมื่อ Karpowership เปลี่ยนทะเลให้กลายเป็นแหล่งพลังงานฉุกเฉิน Powership คือเรือที่ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าเต็มรูปแบบ โดยสามารถใช้เชื้อเพลิงหลากหลาย เช่น น้ำมันเตา, ก๊าซธรรมชาติ, หรือแม้แต่เชื้อเพลิงชีวภาพ เพื่อผลิตไฟฟ้าและส่งเข้าสู่โครงข่ายบนฝั่งผ่านสายไฟแรงสูง โดยไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าบนบกเลยแม้แต่นิดเดียว บริษัทที่เป็นเจ้าของและผู้ให้บริการหลักคือ Karpowership จากตุรกี ซึ่งมีเรือกว่า 50 ลำในปัจจุบัน และกำลังขยายกำลังผลิตจาก 10,000 MW เป็น 21,000 MW ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า เรือแต่ละลำสามารถผลิตไฟฟ้าได้ตั้งแต่ 30 MW ไปจนถึง 500 MW โดยใช้เทคโนโลยีแบบ plug-and-play ที่สามารถติดตั้งและเริ่มจ่ายไฟได้ภายใน 30 วัน เรือรุ่นใหญ่ที่สุดคือ Khan Class เช่น Osman Khan ที่มีความยาวถึง 300 เมตร และบรรทุกเชื้อเพลิงได้ถึง 38,000 ตัน ใช้เครื่องยนต์แบบ dual-fuel ที่สามารถสลับเชื้อเพลิงตามความพร้อมในพื้นที่ เช่น ก๊าซธรรมชาติในบราซิล หรือดีเซลในโมซัมบิก นอกจากความเร็วในการติดตั้งแล้ว Powership ยังช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้า, ลดการปล่อยคาร์บอนเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าเก่า และไม่ต้องใช้พื้นที่บนบก—เหมาะกับประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานจำกัด เช่น อินโดนีเซีย, เซเนกัล, เลบานอน, อิรัก และคิวบา ล่าสุด Karpowership ยังร่วมมือกับ Seatrium เพื่อพัฒนาเรือรุ่นใหม่ที่ติดตั้งระบบดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) เพื่อรองรับเป้าหมายด้านพลังงานสะอาดในอนาคต ✅ ความสามารถของ Powership ➡️ ผลิตไฟฟ้าได้ตั้งแต่ 30 MW ถึง 500 MW ต่อเรือ ➡️ ใช้เชื้อเพลิงหลากหลาย เช่น น้ำมันเตา, ก๊าซธรรมชาติ, เชื้อเพลิงชีวภาพ ➡️ ติดตั้งและเริ่มจ่ายไฟได้ภายใน 30 วัน ✅ บริษัท Karpowership และการขยายตัว ➡️ มีเรือกว่า 50 ลำ รวมกำลังผลิตกว่า 10,000 MW ➡️ เป้าหมายคือขยายเป็น 21,000 MW ภายในไม่กี่ปี ➡️ ให้บริการในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก ✅ เทคโนโลยีและความยืดหยุ่น ➡️ ใช้เครื่องยนต์ dual-fuel ที่ปรับตามเชื้อเพลิงในพื้นที่ ➡️ ไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าบนบก ลดความเสี่ยงด้าน EPC ➡️ มีระบบ CCUS และเทอร์ไบน์ในเรือรุ่นใหม่เพื่อรองรับพลังงานสะอาด ✅ ตัวอย่างการใช้งานจริง ➡️ อินโดนีเซียใช้ Powership จ่ายไฟให้ 4 เกาะ รวมถึง 80% ของความต้องการ ➡️ บราซิลและเซเนกัลใช้เรือ LNGTS เพื่อจ่ายไฟจากทะเลสู่ฝั่ง ➡️ โมซัมบิกและอิรักใช้เพื่อเสริมโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหาย https://www.slashgear.com/1955619/what-is-a-power-ship-and-why-do-some-countries-need-them/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Is A Powership And Why Do Some Countries Need Them? - SlashGear
    Powerships are essentially floating power stations that can anchor offshore and plug in to produce electricity to supplement the local power grid.
    0 Comments 0 Shares 246 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากแกนกลวง: เมื่อสายเคเบิลที่ไม่มีแก้วกลายเป็นตัวเร่งความเร็วของยุค AI

    หลังจากที่โลกใช้สายไฟเบอร์แก้วนำแสงมานานกว่า 40 ปี โดยมีขีดจำกัดการสูญเสียสัญญาณอยู่ที่ ~0.14 dB/km ทีมวิจัยจาก Lumenisity ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Microsoft ได้สร้างสายเคเบิลแบบใหม่ที่เรียกว่า “double nested antiresonant nodeless fiber” หรือ DNANF ซึ่งใช้แกนกลางเป็นอากาศแทนแก้ว และสามารถลดการสูญเสียสัญญาณลงเหลือเพียง 0.091 dB/km

    เทคโนโลยีนี้ใช้โครงสร้างแก้วบางระดับไมครอนล้อมรอบแกนอากาศ ทำหน้าที่เหมือนกระจกสะท้อนแสงกลับเข้าสู่แกนกลาง และลดการกระจายของคลื่นแสงที่ไม่ต้องการ ผลลัพธ์คือสายเคเบิลที่เร็วขึ้น (เพราะแสงเดินทางในอากาศเร็วกว่าในแก้ว) และสูญเสียพลังงานน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ

    Microsoft ได้ติดตั้งสายเคเบิลนี้จริงแล้วกว่า 1,200 กิโลเมตรในเครือข่าย Azure และประกาศว่าจะขยายอีก 15,000 กิโลเมตรภายในสองปี เพื่อรองรับการเชื่อมต่อ AI ที่ต้องการ latency ต่ำและ bandwidth สูง

    นอกจากการลดการสูญเสียสัญญาณแล้ว DNANF ยังมี chromatic dispersion ต่ำกว่าฟิเบอร์แก้วถึง 7 เท่า ซึ่งช่วยให้การออกแบบ transceiver ง่ายขึ้น และลดการใช้พลังงานในอุปกรณ์เครือข่าย

    Francesco Poletti ผู้ร่วมออกแบบเทคโนโลยีนี้ระบุว่า การลดการสูญเสียสัญญาณลงระดับนี้จะช่วยให้สามารถ “ข้ามสถานีขยายสัญญาณได้หนึ่งในทุกสองหรือสามจุด” ซึ่งลดทั้งต้นทุนการติดตั้งและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน

    ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของ DNANF
    ใช้โครงสร้างแก้วบางล้อมรอบแกนอากาศเพื่อสะท้อนแสงกลับ
    ลดการสูญเสียสัญญาณเหลือเพียง 0.091 dB/km ต่ำกว่าฟิเบอร์แก้วเดิม
    ลด chromatic dispersion ได้ถึง 7 เท่าเมื่อเทียบกับสายแก้ว

    การใช้งานจริงในเครือข่าย Azure
    Microsoft ติดตั้งแล้วกว่า 1,200 กม. และวางแผนขยายอีก 15,000 กม.
    ใช้ในเครือข่าย AI เพื่อรองรับ latency ต่ำและ bandwidth สูง
    ช่วยลดจำนวนสถานีขยายสัญญาณและต้นทุนการดำเนินงาน

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    เป็นครั้งแรกที่สายแกนอากาศมีประสิทธิภาพดีกว่าสายแก้ว
    อาจเปลี่ยนมาตรฐานการออกแบบเครือข่ายในอนาคต
    ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างศูนย์ข้อมูลเร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้น

    ความท้าทายด้านการผลิตและมาตรฐาน
    การผลิตต้องใช้เครื่องมือใหม่และกระบวนการเฉพาะ
    มาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับสาย DNANF ยังไม่ถูกกำหนดอย่างชัดเจน

    ความไม่แน่นอนของการขยายในวงกว้าง
    แม้จะใช้งานจริงแล้ว แต่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการ deploy
    ต้องพิสูจน์ความเสถียรในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายและระยะยาว

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “ความเร็ว”
    แม้แสงในอากาศจะเร็วกว่าในแก้ว แต่ความเร็วรวมยังขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ปลายทาง
    การลด latency ต้องพิจารณาทั้งระบบ ไม่ใช่แค่สายเคเบิลอย่างเดียว

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/hollow-core-fiber-research-smashes-optical-loss-record
    🎙️ เรื่องเล่าจากแกนกลวง: เมื่อสายเคเบิลที่ไม่มีแก้วกลายเป็นตัวเร่งความเร็วของยุค AI หลังจากที่โลกใช้สายไฟเบอร์แก้วนำแสงมานานกว่า 40 ปี โดยมีขีดจำกัดการสูญเสียสัญญาณอยู่ที่ ~0.14 dB/km ทีมวิจัยจาก Lumenisity ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Microsoft ได้สร้างสายเคเบิลแบบใหม่ที่เรียกว่า “double nested antiresonant nodeless fiber” หรือ DNANF ซึ่งใช้แกนกลางเป็นอากาศแทนแก้ว และสามารถลดการสูญเสียสัญญาณลงเหลือเพียง 0.091 dB/km เทคโนโลยีนี้ใช้โครงสร้างแก้วบางระดับไมครอนล้อมรอบแกนอากาศ ทำหน้าที่เหมือนกระจกสะท้อนแสงกลับเข้าสู่แกนกลาง และลดการกระจายของคลื่นแสงที่ไม่ต้องการ ผลลัพธ์คือสายเคเบิลที่เร็วขึ้น (เพราะแสงเดินทางในอากาศเร็วกว่าในแก้ว) และสูญเสียพลังงานน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ Microsoft ได้ติดตั้งสายเคเบิลนี้จริงแล้วกว่า 1,200 กิโลเมตรในเครือข่าย Azure และประกาศว่าจะขยายอีก 15,000 กิโลเมตรภายในสองปี เพื่อรองรับการเชื่อมต่อ AI ที่ต้องการ latency ต่ำและ bandwidth สูง นอกจากการลดการสูญเสียสัญญาณแล้ว DNANF ยังมี chromatic dispersion ต่ำกว่าฟิเบอร์แก้วถึง 7 เท่า ซึ่งช่วยให้การออกแบบ transceiver ง่ายขึ้น และลดการใช้พลังงานในอุปกรณ์เครือข่าย Francesco Poletti ผู้ร่วมออกแบบเทคโนโลยีนี้ระบุว่า การลดการสูญเสียสัญญาณลงระดับนี้จะช่วยให้สามารถ “ข้ามสถานีขยายสัญญาณได้หนึ่งในทุกสองหรือสามจุด” ซึ่งลดทั้งต้นทุนการติดตั้งและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ✅ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของ DNANF ➡️ ใช้โครงสร้างแก้วบางล้อมรอบแกนอากาศเพื่อสะท้อนแสงกลับ ➡️ ลดการสูญเสียสัญญาณเหลือเพียง 0.091 dB/km ต่ำกว่าฟิเบอร์แก้วเดิม ➡️ ลด chromatic dispersion ได้ถึง 7 เท่าเมื่อเทียบกับสายแก้ว ✅ การใช้งานจริงในเครือข่าย Azure ➡️ Microsoft ติดตั้งแล้วกว่า 1,200 กม. และวางแผนขยายอีก 15,000 กม. ➡️ ใช้ในเครือข่าย AI เพื่อรองรับ latency ต่ำและ bandwidth สูง ➡️ ช่วยลดจำนวนสถานีขยายสัญญาณและต้นทุนการดำเนินงาน ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ เป็นครั้งแรกที่สายแกนอากาศมีประสิทธิภาพดีกว่าสายแก้ว ➡️ อาจเปลี่ยนมาตรฐานการออกแบบเครือข่ายในอนาคต ➡️ ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างศูนย์ข้อมูลเร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้น ‼️ ความท้าทายด้านการผลิตและมาตรฐาน ⛔ การผลิตต้องใช้เครื่องมือใหม่และกระบวนการเฉพาะ ⛔ มาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับสาย DNANF ยังไม่ถูกกำหนดอย่างชัดเจน ‼️ ความไม่แน่นอนของการขยายในวงกว้าง ⛔ แม้จะใช้งานจริงแล้ว แต่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการ deploy ⛔ ต้องพิสูจน์ความเสถียรในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายและระยะยาว ‼️ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “ความเร็ว” ⛔ แม้แสงในอากาศจะเร็วกว่าในแก้ว แต่ความเร็วรวมยังขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ปลายทาง ⛔ การลด latency ต้องพิจารณาทั้งระบบ ไม่ใช่แค่สายเคเบิลอย่างเดียว https://www.tomshardware.com/tech-industry/hollow-core-fiber-research-smashes-optical-loss-record
    0 Comments 0 Shares 240 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก UB-Mesh: เมื่อการเชื่อมต่อใน data center ไม่ใช่แค่สายไฟ แต่คือ “ภาษากลางของระบบอัจฉริยะ”

    ในงาน Hot Chips 2025 Huawei ได้เปิดตัว UB-Mesh ซึ่งเป็น interconnect protocol แบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการเชื่อมต่อภายใน AI data center ขนาดใหญ่ระดับ SuperNode โดยมีเป้าหมายชัดเจน—ลดต้นทุน, เพิ่มความเสถียร, และ “เปิด source” ให้ทุกคนเข้าถึงได้

    UB-Mesh ใช้โครงสร้างแบบ hybrid topology โดยผสมผสาน CLOS backbone ระดับ data hall เข้ากับ mesh แบบหลายมิติภายในแต่ละ rack ทำให้สามารถขยายระบบได้ถึงระดับหลายหมื่น node โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนแบบเชิงเส้น

    แนวคิดนี้เกิดจากปัญหาที่ interconnect แบบเดิม เช่น PCIe, NVLink, UALink หรือ Ultra Ethernet เริ่มมีต้นทุนสูงเกินไปเมื่อระบบขยายขนาด และยังต้องใช้ protocol conversion หลายชั้น ซึ่งเพิ่ม latency และความซับซ้อน

    Huawei จึงเสนอ UB-Mesh เป็น “ภาษากลาง” ที่เชื่อมต่อทุกอุปกรณ์—CPU, GPU, SSD, memory, switch—ให้ทำงานร่วมกันได้เหมือนอยู่ในเครื่องเดียว โดยมี bandwidth มากกว่า 1TB/s ต่ออุปกรณ์ และ latency ต่ำกว่าหนึ่งไมโครวินาที

    ที่สำคัญคือ Huawei จะเปิด source โปรโตคอลนี้ในเดือนหน้า พร้อมอนุญาตให้ใช้แบบ free license เพื่อผลักดันให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม แม้จะยังมีคำถามเรื่อง governance และความเชื่อมั่นจากผู้ผลิตรายอื่น

    โครงสร้างของ UB-Mesh
    ใช้ CLOS backbone ระดับ data hall ร่วมกับ multidimensional mesh ภายใน rack
    รองรับการขยายระบบถึงระดับหลายหมื่น node โดยไม่เพิ่มต้นทุนแบบเชิงเส้น
    ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหา latency และ hardware failure ในระบบ AI ขนาดใหญ่

    เป้าหมายของ UB-Mesh
    เป็น interconnect แบบ universal ที่เชื่อมทุกอุปกรณ์ใน data center
    ลดความซับซ้อนจากการใช้ protocol conversion หลายชั้น
    ทำให้ทุกพอร์ตสามารถเชื่อมต่อกันได้โดยไม่ต้องแปลงโปรโตคอล

    ประสิทธิภาพที่ Huawei เคลม
    Bandwidth มากกว่า 1TB/s ต่ออุปกรณ์
    Latency ต่ำกว่าหนึ่งไมโครวินาที
    ใช้ได้กับระบบที่มี CPU, GPU, memory, SSD และ switch ใน node เดียว

    การเปิด source และการผลักดันเป็นมาตรฐาน
    Huawei จะเปิดเผยโปรโตคอล UB-Mesh พร้อม free license ในเดือนหน้า
    หวังให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทนระบบที่ fragmented ในปัจจุบัน
    ขึ้นอยู่กับการยอมรับจาก partner และผู้ผลิตรายอื่น

    การทดสอบและการใช้งานจริง
    Huawei ใช้ระบบ 8,192-node เป็นตัวอย่างว่าต้นทุนไม่จำเป็นต้องเพิ่มตามขนาด
    UB-Mesh เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด SuperNode ที่รวมทุกอุปกรณ์ให้ทำงานร่วมกัน
    เหมาะกับ AI training, cloud storage และ HPC ที่ต้องการ bandwidth สูง

    https://www.techradar.com/pro/could-this-be-the-next-big-step-forward-for-ai-huaweis-open-source-move-will-make-it-easier-than-ever-to-connect-together-well-pretty-much-everything
    🎙️ เรื่องเล่าจาก UB-Mesh: เมื่อการเชื่อมต่อใน data center ไม่ใช่แค่สายไฟ แต่คือ “ภาษากลางของระบบอัจฉริยะ” ในงาน Hot Chips 2025 Huawei ได้เปิดตัว UB-Mesh ซึ่งเป็น interconnect protocol แบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการเชื่อมต่อภายใน AI data center ขนาดใหญ่ระดับ SuperNode โดยมีเป้าหมายชัดเจน—ลดต้นทุน, เพิ่มความเสถียร, และ “เปิด source” ให้ทุกคนเข้าถึงได้ UB-Mesh ใช้โครงสร้างแบบ hybrid topology โดยผสมผสาน CLOS backbone ระดับ data hall เข้ากับ mesh แบบหลายมิติภายในแต่ละ rack ทำให้สามารถขยายระบบได้ถึงระดับหลายหมื่น node โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนแบบเชิงเส้น แนวคิดนี้เกิดจากปัญหาที่ interconnect แบบเดิม เช่น PCIe, NVLink, UALink หรือ Ultra Ethernet เริ่มมีต้นทุนสูงเกินไปเมื่อระบบขยายขนาด และยังต้องใช้ protocol conversion หลายชั้น ซึ่งเพิ่ม latency และความซับซ้อน Huawei จึงเสนอ UB-Mesh เป็น “ภาษากลาง” ที่เชื่อมต่อทุกอุปกรณ์—CPU, GPU, SSD, memory, switch—ให้ทำงานร่วมกันได้เหมือนอยู่ในเครื่องเดียว โดยมี bandwidth มากกว่า 1TB/s ต่ออุปกรณ์ และ latency ต่ำกว่าหนึ่งไมโครวินาที ที่สำคัญคือ Huawei จะเปิด source โปรโตคอลนี้ในเดือนหน้า พร้อมอนุญาตให้ใช้แบบ free license เพื่อผลักดันให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม แม้จะยังมีคำถามเรื่อง governance และความเชื่อมั่นจากผู้ผลิตรายอื่น ✅ โครงสร้างของ UB-Mesh ➡️ ใช้ CLOS backbone ระดับ data hall ร่วมกับ multidimensional mesh ภายใน rack ➡️ รองรับการขยายระบบถึงระดับหลายหมื่น node โดยไม่เพิ่มต้นทุนแบบเชิงเส้น ➡️ ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหา latency และ hardware failure ในระบบ AI ขนาดใหญ่ ✅ เป้าหมายของ UB-Mesh ➡️ เป็น interconnect แบบ universal ที่เชื่อมทุกอุปกรณ์ใน data center ➡️ ลดความซับซ้อนจากการใช้ protocol conversion หลายชั้น ➡️ ทำให้ทุกพอร์ตสามารถเชื่อมต่อกันได้โดยไม่ต้องแปลงโปรโตคอล ✅ ประสิทธิภาพที่ Huawei เคลม ➡️ Bandwidth มากกว่า 1TB/s ต่ออุปกรณ์ ➡️ Latency ต่ำกว่าหนึ่งไมโครวินาที ➡️ ใช้ได้กับระบบที่มี CPU, GPU, memory, SSD และ switch ใน node เดียว ✅ การเปิด source และการผลักดันเป็นมาตรฐาน ➡️ Huawei จะเปิดเผยโปรโตคอล UB-Mesh พร้อม free license ในเดือนหน้า ➡️ หวังให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทนระบบที่ fragmented ในปัจจุบัน ➡️ ขึ้นอยู่กับการยอมรับจาก partner และผู้ผลิตรายอื่น ✅ การทดสอบและการใช้งานจริง ➡️ Huawei ใช้ระบบ 8,192-node เป็นตัวอย่างว่าต้นทุนไม่จำเป็นต้องเพิ่มตามขนาด ➡️ UB-Mesh เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด SuperNode ที่รวมทุกอุปกรณ์ให้ทำงานร่วมกัน ➡️ เหมาะกับ AI training, cloud storage และ HPC ที่ต้องการ bandwidth สูง https://www.techradar.com/pro/could-this-be-the-next-big-step-forward-for-ai-huaweis-open-source-move-will-make-it-easier-than-ever-to-connect-together-well-pretty-much-everything
    0 Comments 0 Shares 218 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากแป้นพิมพ์: เมื่อ Return ไม่ได้แค่ “ขึ้นบรรทัดใหม่” แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนยุค

    ในจินตนาการของคนทั่วไป การเปลี่ยนจากเครื่องพิมพ์ดีดไปสู่คอมพิวเตอร์ดูเหมือนจะเรียบง่าย—แค่เอาจอและ CPU มาต่อกับแป้นพิมพ์ก็จบ แต่ความจริงนั้นซับซ้อนกว่ามาก และไม่มีปุ่มไหนสะท้อนการเปลี่ยนผ่านนี้ได้ดีเท่ากับ “Return”

    เริ่มจากเครื่องพิมพ์ดีดในยุค 1870s ที่ไม่มีแม้แต่ปุ่ม 0 หรือ 1 เพราะถูกตัดออกเพื่อลดต้นทุน ผู้ใช้ต้องพิมพ์ O แทน 0 และ l แทน 1 หรือแม้แต่ใช้ดินสอเติมสัญลักษณ์ที่ขาดหายไป การพิมพ์ซ้อนทับเพื่อสร้างสัญลักษณ์ใหม่กลายเป็นศิลปะที่เรียกว่า “concrete poetry”

    คันโยก “carriage return” คือกลไกที่พากระดาษขึ้นบรรทัดใหม่และเลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย แต่เมื่อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเข้ามาในยุค 1940s–1950s คันโยกนี้ก็กลายเป็นปุ่ม “Return” ที่กดง่ายขึ้นถึง 425 เท่า

    จากนั้น teletypes ก็เข้ามาแทนที่ Morse code โดยใช้แป้นพิมพ์ QWERTY ส่งข้อความผ่านสายไฟ แต่การเลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย (Carriage Return) ใช้เวลานานกว่าการขึ้นบรรทัดใหม่ (Line Feed) จึงต้องแยกเป็นสองรหัส—CR และ LF—ซึ่งกลายเป็นปัญหาที่นักพัฒนายังเจอในทุกวันนี้

    เมื่อ word processor เข้ามาในยุค 1970s–1980s การพิมพ์กลายเป็นข้อมูลที่แก้ไขได้ การขึ้นบรรทัดใหม่จึงไม่ใช่เรื่องของกลไกอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ “text reflow” ที่ต้องปรับอัตโนมัติเมื่อมีการแก้ไขข้อความ Return จึงกลายเป็นปุ่มที่ใช้เฉพาะการขึ้นย่อหน้า ส่วนการขึ้นบรรทัดใหม่ต้องใช้ soft return, hard return หรือแม้แต่ modifier key

    เมื่อคอมพิวเตอร์เริ่มมีหน้าจอและฟอร์มให้กรอกข้อมูล ปุ่ม Return ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Enter เพื่อสื่อถึงการ “ส่งข้อมูล” ไม่ใช่แค่ “ขึ้นบรรทัดใหม่” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสับสนที่ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้

    จุดกำเนิดของ Return บนเครื่องพิมพ์ดีด
    เริ่มจากคันโยกที่เลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้ายและขึ้นบรรทัดใหม่
    กลายเป็นปุ่ม “Return” เมื่อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเข้ามา
    ลดแรงที่ต้องใช้ในการพิมพ์ลงอย่างมหาศาล

    การแยก CR และ LF บน teletypes
    Carriage Return (CR) เลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย
    Line Feed (LF) ขึ้นบรรทัดใหม่
    ถูกแยกเป็นสองรหัสเพื่อให้ระบบทันกับความเร็วในการส่งข้อมูล

    การเปลี่ยนแปลงในยุค word processor
    Return ใช้เฉพาะการขึ้นย่อหน้า
    การขึ้นบรรทัดใหม่ต้องใช้ soft return หรือ modifier key
    เกิดแนวคิด “text reflow” ที่ปรับข้อความอัตโนมัติ

    การเปลี่ยนชื่อเป็น Enter บนคอมพิวเตอร์
    ใช้ Enter เพื่อสื่อถึงการ “ส่งข้อมูล” หรือ “ยืนยันคำสั่ง”
    IBM และ Apple เลือกใช้ชื่อแตกต่างกัน: IBM ใช้ Enter, Apple ใช้ Return
    ปุ่มเดียวกันมีความหมายต่างกันตามบริบทของซอฟต์แวร์

    ความซับซ้อนของแป้นพิมพ์ยุคใหม่
    ปุ่มเดียวอาจมีหลายหน้าที่ เช่น Return, Enter, Execute, New Line
    Modifier key เช่น Shift, Ctrl, Alt เปลี่ยนพฤติกรรมของปุ่ม
    การออกแบบแป้นพิมพ์ต้องรองรับหลายบริบทและหลายภาษา

    https://aresluna.org/the-day-return-became-enter/
    🎙️ เรื่องเล่าจากแป้นพิมพ์: เมื่อ Return ไม่ได้แค่ “ขึ้นบรรทัดใหม่” แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนยุค ในจินตนาการของคนทั่วไป การเปลี่ยนจากเครื่องพิมพ์ดีดไปสู่คอมพิวเตอร์ดูเหมือนจะเรียบง่าย—แค่เอาจอและ CPU มาต่อกับแป้นพิมพ์ก็จบ แต่ความจริงนั้นซับซ้อนกว่ามาก และไม่มีปุ่มไหนสะท้อนการเปลี่ยนผ่านนี้ได้ดีเท่ากับ “Return” เริ่มจากเครื่องพิมพ์ดีดในยุค 1870s ที่ไม่มีแม้แต่ปุ่ม 0 หรือ 1 เพราะถูกตัดออกเพื่อลดต้นทุน ผู้ใช้ต้องพิมพ์ O แทน 0 และ l แทน 1 หรือแม้แต่ใช้ดินสอเติมสัญลักษณ์ที่ขาดหายไป การพิมพ์ซ้อนทับเพื่อสร้างสัญลักษณ์ใหม่กลายเป็นศิลปะที่เรียกว่า “concrete poetry” คันโยก “carriage return” คือกลไกที่พากระดาษขึ้นบรรทัดใหม่และเลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย แต่เมื่อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเข้ามาในยุค 1940s–1950s คันโยกนี้ก็กลายเป็นปุ่ม “Return” ที่กดง่ายขึ้นถึง 425 เท่า จากนั้น teletypes ก็เข้ามาแทนที่ Morse code โดยใช้แป้นพิมพ์ QWERTY ส่งข้อความผ่านสายไฟ แต่การเลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย (Carriage Return) ใช้เวลานานกว่าการขึ้นบรรทัดใหม่ (Line Feed) จึงต้องแยกเป็นสองรหัส—CR และ LF—ซึ่งกลายเป็นปัญหาที่นักพัฒนายังเจอในทุกวันนี้ เมื่อ word processor เข้ามาในยุค 1970s–1980s การพิมพ์กลายเป็นข้อมูลที่แก้ไขได้ การขึ้นบรรทัดใหม่จึงไม่ใช่เรื่องของกลไกอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ “text reflow” ที่ต้องปรับอัตโนมัติเมื่อมีการแก้ไขข้อความ Return จึงกลายเป็นปุ่มที่ใช้เฉพาะการขึ้นย่อหน้า ส่วนการขึ้นบรรทัดใหม่ต้องใช้ soft return, hard return หรือแม้แต่ modifier key เมื่อคอมพิวเตอร์เริ่มมีหน้าจอและฟอร์มให้กรอกข้อมูล ปุ่ม Return ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Enter เพื่อสื่อถึงการ “ส่งข้อมูล” ไม่ใช่แค่ “ขึ้นบรรทัดใหม่” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสับสนที่ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ ✅ จุดกำเนิดของ Return บนเครื่องพิมพ์ดีด ➡️ เริ่มจากคันโยกที่เลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้ายและขึ้นบรรทัดใหม่ ➡️ กลายเป็นปุ่ม “Return” เมื่อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเข้ามา ➡️ ลดแรงที่ต้องใช้ในการพิมพ์ลงอย่างมหาศาล ✅ การแยก CR และ LF บน teletypes ➡️ Carriage Return (CR) เลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย ➡️ Line Feed (LF) ขึ้นบรรทัดใหม่ ➡️ ถูกแยกเป็นสองรหัสเพื่อให้ระบบทันกับความเร็วในการส่งข้อมูล ✅ การเปลี่ยนแปลงในยุค word processor ➡️ Return ใช้เฉพาะการขึ้นย่อหน้า ➡️ การขึ้นบรรทัดใหม่ต้องใช้ soft return หรือ modifier key ➡️ เกิดแนวคิด “text reflow” ที่ปรับข้อความอัตโนมัติ ✅ การเปลี่ยนชื่อเป็น Enter บนคอมพิวเตอร์ ➡️ ใช้ Enter เพื่อสื่อถึงการ “ส่งข้อมูล” หรือ “ยืนยันคำสั่ง” ➡️ IBM และ Apple เลือกใช้ชื่อแตกต่างกัน: IBM ใช้ Enter, Apple ใช้ Return ➡️ ปุ่มเดียวกันมีความหมายต่างกันตามบริบทของซอฟต์แวร์ ✅ ความซับซ้อนของแป้นพิมพ์ยุคใหม่ ➡️ ปุ่มเดียวอาจมีหลายหน้าที่ เช่น Return, Enter, Execute, New Line ➡️ Modifier key เช่น Shift, Ctrl, Alt เปลี่ยนพฤติกรรมของปุ่ม ➡️ การออกแบบแป้นพิมพ์ต้องรองรับหลายบริบทและหลายภาษา https://aresluna.org/the-day-return-became-enter/
    ARESLUNA.ORG
    The day Return became Enter
    A deep dive into the convoluted and fascinating story of one of the most important keys on the keyboard
    0 Comments 0 Shares 202 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากสนามหัวพิมพ์: เมื่อ Prusa, Bambu, AtomForm และ Snapmaker เปิดศึกแย่งชิงอนาคตของการพิมพ์หลายสี

    ในเดือนสิงหาคม 2025 วงการ 3D printing สั่นสะเทือนด้วยการเปิดตัวเครื่องพิมพ์แบบ “tool changer” ถึง 4 รุ่นในเวลาใกล้เคียงกัน โดยแต่ละค่ายต่างมีแนวทางเฉพาะของตนเองในการจัดการกับปัญหา “การพิมพ์หลายสีหรือหลายวัสดุ” ที่เคยยุ่งยากและเปลืองวัสดุ

    Snapmaker เปิดตัว U1 บน Kickstarter ด้วยราคาต่ำสุดเพียง $649 สำหรับผู้สนับสนุนกลุ่มแรก และสามารถระดมทุนได้กว่า $13 ล้านจากผู้สนับสนุนกว่า 14,000 คนภายในไม่กี่วัน AtomForm จากจีนเปิดตัว Palette 300 ที่มีหัวพิมพ์ถึง 12 หัว โดยใช้เทคนิคสลับหัวแบบ low-footprint และเตรียมเปิดตัวบน Kickstarter ด้วยราคาเริ่มต้น $1,499

    Bambu Lab เปิดตัว H2C ซึ่งแม้จะไม่ใช่ tool changer เต็มรูปแบบ แต่ก็ใช้แนวคิด “สลับหัวฉีด” โดยยังต้องพึ่งระบบ AMS ในการป้อนเส้นพลาสติก ส่วน Prusa กลับมาอย่างเงียบ ๆ ด้วยโพสต์ภาพ CORE One ที่ติดตั้งหัวพิมพ์ 6 หัว พร้อมอีโมจิป๊อปคอร์น และตามมาด้วยการยืนยันความร่วมมือกับ Bondtech ผู้พัฒนา INDX ซึ่งเป็นระบบ tool changer แบบไร้สายและใช้ความร้อนแบบเหนี่ยวนำ

    แนวคิดของ INDX คือการลดความซับซ้อนของหัวพิมพ์ให้เบาและง่ายต่อการสลับ โดยไม่ต้องใช้สายไฟหรือท่อเส้นพลาสติกที่ยุ่งยาก ทำให้ระบบมีความเสถียรและลดปัญหาการอุดตันของหัวฉีด

    การกลับมาของ Prusa กับ CORE One
    โพสต์ภาพ CORE One ที่ติดตั้งหัวพิมพ์ 6 หัว พร้อมอีโมจิป๊อปคอร์น
    ยืนยันความร่วมมือกับ Bondtech ในการใช้ระบบ INDX tool changer
    INDX ใช้ระบบไร้สายและความร้อนแบบเหนี่ยวนำ ทำให้หัวพิมพ์เบาและง่ายต่อการสลับ

    การเปิดตัวของ Snapmaker U1
    เปิดตัวบน Kickstarter ด้วยราคาต่ำสุด $649
    ระดมทุนได้กว่า $13 ล้านจากผู้สนับสนุนกว่า 14,000 คน
    รองรับการพิมพ์ 4 สีด้วยระบบ tool changer แบบ desktop

    การเปิดตัวของ AtomForm Palette 300
    มีหัวพิมพ์ถึง 12 หัวในพื้นที่ 300 x 300 x 300 mm
    ใช้เทคนิคสลับหัวแบบ low-footprint โดยยังไม่มีการสาธิตสด
    เตรียมเปิดตัวบน Kickstarter ด้วยราคาเริ่มต้น $1,499

    การเปิดตัวของ Bambu Lab H2C
    ใช้แนวคิด “สลับหัวฉีด” โดยยังต้องใช้ AMS ในการป้อนเส้นพลาสติก
    เปิดตัวหลัง H2S เพียง 1 ชั่วโมง สร้างความสับสนในตลาด
    เป็นการตอบโต้ต่อความสำเร็จของ Snapmaker และการมาถึงของ AtomForm

    จุดเด่นของระบบ INDX จาก Bondtech
    ใช้ระบบไร้สายและความร้อนแบบเหนี่ยวนำ ลดความซับซ้อนของหัวพิมพ์
    ลดปัญหาการอุดตันและการเสียเวลาจากการ purge เส้นพลาสติก
    สามารถติดตั้งบนเครื่องพิมพ์ DIY เช่น Voron ได้

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/3d-printings-tool-changer-wars-heat-up-as-prusa-re-enters-the-ring
    🎙️ เรื่องเล่าจากสนามหัวพิมพ์: เมื่อ Prusa, Bambu, AtomForm และ Snapmaker เปิดศึกแย่งชิงอนาคตของการพิมพ์หลายสี ในเดือนสิงหาคม 2025 วงการ 3D printing สั่นสะเทือนด้วยการเปิดตัวเครื่องพิมพ์แบบ “tool changer” ถึง 4 รุ่นในเวลาใกล้เคียงกัน โดยแต่ละค่ายต่างมีแนวทางเฉพาะของตนเองในการจัดการกับปัญหา “การพิมพ์หลายสีหรือหลายวัสดุ” ที่เคยยุ่งยากและเปลืองวัสดุ Snapmaker เปิดตัว U1 บน Kickstarter ด้วยราคาต่ำสุดเพียง $649 สำหรับผู้สนับสนุนกลุ่มแรก และสามารถระดมทุนได้กว่า $13 ล้านจากผู้สนับสนุนกว่า 14,000 คนภายในไม่กี่วัน AtomForm จากจีนเปิดตัว Palette 300 ที่มีหัวพิมพ์ถึง 12 หัว โดยใช้เทคนิคสลับหัวแบบ low-footprint และเตรียมเปิดตัวบน Kickstarter ด้วยราคาเริ่มต้น $1,499 Bambu Lab เปิดตัว H2C ซึ่งแม้จะไม่ใช่ tool changer เต็มรูปแบบ แต่ก็ใช้แนวคิด “สลับหัวฉีด” โดยยังต้องพึ่งระบบ AMS ในการป้อนเส้นพลาสติก ส่วน Prusa กลับมาอย่างเงียบ ๆ ด้วยโพสต์ภาพ CORE One ที่ติดตั้งหัวพิมพ์ 6 หัว พร้อมอีโมจิป๊อปคอร์น และตามมาด้วยการยืนยันความร่วมมือกับ Bondtech ผู้พัฒนา INDX ซึ่งเป็นระบบ tool changer แบบไร้สายและใช้ความร้อนแบบเหนี่ยวนำ แนวคิดของ INDX คือการลดความซับซ้อนของหัวพิมพ์ให้เบาและง่ายต่อการสลับ โดยไม่ต้องใช้สายไฟหรือท่อเส้นพลาสติกที่ยุ่งยาก ทำให้ระบบมีความเสถียรและลดปัญหาการอุดตันของหัวฉีด ✅ การกลับมาของ Prusa กับ CORE One ➡️ โพสต์ภาพ CORE One ที่ติดตั้งหัวพิมพ์ 6 หัว พร้อมอีโมจิป๊อปคอร์น ➡️ ยืนยันความร่วมมือกับ Bondtech ในการใช้ระบบ INDX tool changer ➡️ INDX ใช้ระบบไร้สายและความร้อนแบบเหนี่ยวนำ ทำให้หัวพิมพ์เบาและง่ายต่อการสลับ ✅ การเปิดตัวของ Snapmaker U1 ➡️ เปิดตัวบน Kickstarter ด้วยราคาต่ำสุด $649 ➡️ ระดมทุนได้กว่า $13 ล้านจากผู้สนับสนุนกว่า 14,000 คน ➡️ รองรับการพิมพ์ 4 สีด้วยระบบ tool changer แบบ desktop ✅ การเปิดตัวของ AtomForm Palette 300 ➡️ มีหัวพิมพ์ถึง 12 หัวในพื้นที่ 300 x 300 x 300 mm ➡️ ใช้เทคนิคสลับหัวแบบ low-footprint โดยยังไม่มีการสาธิตสด ➡️ เตรียมเปิดตัวบน Kickstarter ด้วยราคาเริ่มต้น $1,499 ✅ การเปิดตัวของ Bambu Lab H2C ➡️ ใช้แนวคิด “สลับหัวฉีด” โดยยังต้องใช้ AMS ในการป้อนเส้นพลาสติก ➡️ เปิดตัวหลัง H2S เพียง 1 ชั่วโมง สร้างความสับสนในตลาด ➡️ เป็นการตอบโต้ต่อความสำเร็จของ Snapmaker และการมาถึงของ AtomForm ✅ จุดเด่นของระบบ INDX จาก Bondtech ➡️ ใช้ระบบไร้สายและความร้อนแบบเหนี่ยวนำ ลดความซับซ้อนของหัวพิมพ์ ➡️ ลดปัญหาการอุดตันและการเสียเวลาจากการ purge เส้นพลาสติก ➡️ สามารถติดตั้งบนเครื่องพิมพ์ DIY เช่น Voron ได้ https://www.tomshardware.com/3d-printing/3d-printings-tool-changer-wars-heat-up-as-prusa-re-enters-the-ring
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    3D printing's tool changer wars heat up as Prusa re-enters the ring
    Buckle up, the road to 3D printing tool changers is about to get bumpy.
    0 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
  • เส้นทางใหม่ในโลกการทำงานยุค AI : คู่มือเชิงกลยุทธ์สำหรับคนไทยวัย 45 ปี

    ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานอย่างรวดเร็ว การถูกให้ออกจากงานหรือถูกบังคับเกษียณก่อนกำหนดในวัย 45 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนยังต้องแบกรับภาระครอบครัวและความรับผิดชอบสูงสุดในชีวิต กลายเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและสร้างความช็อกให้กับคนทำงานจำนวนมาก ความรู้สึกสิ้นหวัง การตั้งคำถามกับคุณค่าในตัวเอง และความรู้สึกด้อยค่าที่ว่า "ทำมา 10 ปีแต่ไม่รอด" ล้วนเป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เข้าใจได้และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ไม่ใช่ความล้มเหลวส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานระดับโลก รายงานนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นมากกว่าแค่ข้อมูล แต่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะช่วยให้ผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤตนี้สามารถตั้งหลักและก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยเปลี่ยนมุมมองจากจุดจบไปสู่จุดเปลี่ยนที่เต็มเปี่ยมด้วยโอกาส

    เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้ คำถามที่ว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน" มักผุดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อ AI กลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดเกมในตลาดแรงงานไทย ซึ่งกำลังเผชิญกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจาก AI เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ เช่น สังคมสูงวัย ในประเทศรายได้สูงและการเพิ่มขึ้นของแรงงานในประเทศรายได้ต่ำ ตลอดจนความผันผวนทางเศรษฐกิจ ตามรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ ILO คาดการณ์ว่าในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ตำแหน่งงานในไทยมากกว่า 44% หรือราว 17 ล้านตำแหน่ง มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นพลังที่กำลังปรับโครงสร้างการจ้างงานอย่างถอนรากถอนโคน โดยเฉพาะงานที่ต้องทำซ้ำๆ และงานประจำ ซึ่งแรงงานวัยกลางคนจำนวนมากรับผิดชอบอยู่ ส่งผลให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลของทักษะในตลาดแรงงาน แม้จะมีคนว่างงานมาก แต่พวกเขาก็ขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับงานใหม่ที่เทคโนโลยีสร้างขึ้น การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้คนทำงานมองเห็นปัญหาในมุมกว้างและวางแผนพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในอนาคต

    เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น การจำแนกอาชีพตามระดับความเสี่ยงจาก AI ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงมักเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมประจำหรือการจัดการข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งสามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ง่าย เช่น พนักงานแคชเชียร์หรือพนักงานขายหน้าร้านที่ถูกแทนที่ด้วยระบบ self-checkout และการซื้อขายออนไลน์ เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าหรือพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ chatbot และระบบตอบรับอัตโนมัติสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง พนักงานป้อนและประมวลผลข้อมูลที่ระบบ OCR และ AI สามารถจัดการข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พนักงานขนส่งและโลจิสติกส์รวมถึงคนขับรถที่รถยนต์ไร้คนขับ และโดรนส่งของกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และพนักงานบัญชีที่โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปและ AI สามารถบันทึกและประมวลผลข้อมูลทางการเงินได้อย่างแม่นยำ ในทางตรงกันข้าม อาชีพที่ทนทานต่อ AI และกำลังเติบโตมักต้องใช้ทักษะเชิงมนุษย์ชั้นสูงที่ซับซ้อนและเลียนแบบได้ยาก เช่น แพทย์ นักจิตวิทยา และพยาบาลที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง ประสบการณ์ การตัดสินใจที่ซับซ้อน และความเข้าใจมนุษย์ ครู-อาจารย์ที่ต้องใช้ทักษะการสอนที่ละเอียดอ่อน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการสร้างแรงบันดาลใจ นักกฎหมายที่ต้องคิดเชิงวิเคราะห์ซับซ้อน 🛜 การสื่อสาร และการตัดสินใจในบริบทละเอียดอ่อน นักพัฒนา AI Data Scientist และ AI Ethicist ที่เป็นผู้สร้างและควบคุมเทคโนโลยีเอง โดยต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะเฉพาะทางระดับสูง และผู้เชี่ยวชาญด้าน soft skills ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสาร ภาวะผู้นำ และการจัดการอารมณ์ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่แค่รายการอาชีพ แต่เป็นแผนที่กลยุทธ์ที่ชี้ทิศทางของตลาดแรงงาน คุณค่าของมนุษย์ในยุค AI อยู่ที่ทักษะที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ซึ่งจะช่วยให้คนทำงานวางแผนอัปสกิลหรือรีสกิลไปสู่อาชีพที่ยั่งยืนกว่า

    เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก การตั้งหลักอย่างมีสติและกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเริ่มจากจัดการคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา การถูกให้ออกจากงานอย่างกะทันหันอาจนำมาซึ่งความสับสน โกรธ สูญเสีย และด้อยค่า ผู้ที่เคยผ่านสถานการณ์นี้แนะนำให้ยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นและให้เวลาตัวเองจัดการ โดยวิธีต่างๆ เช่น พูดคุยกับคนรอบข้างเพื่อรับกำลังใจและมุมมองใหม่ เขียนระบายความรู้สึกเพื่อจัดระเบียบความคิดและลดภาระจิตใจ หรือฝึกสมาธิและโยคะเพื่อทำให้จิตใจสงบ ลดความวิตกกังวล และตัดสินใจได้ดีขึ้น การปล่อยวางความคิดที่ว่าต้องชนะทุกเกมหรือชีวิตต้องเป็นไปตามแผนจะช่วยลดความกดดันและเปิดโอกาสให้คิดหาทางออกใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์ การให้กำลังใจตัวเองและไม่ยอมแพ้จะเป็นพลังที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิม

    ต่อจากนั้นคือการจัดการเรื่องสำคัญเร่งด่วนอย่างสิทธิประโยชน์และแผนการเงิน เพื่อให้มีสภาพคล่องในช่วงเปลี่ยนผ่าน การใช้สิทธิจากกองทุนประกันสังคมเป็นขั้นตอนสำคัญ โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน หากจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายใน 15 เดือนก่อนว่างงาน และต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกจากงาน มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง การขึ้นทะเบียนสามารถทำออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมการจัดหางาน เช่น e-service.doe.go.th หรือ empui.doe.go.th โดยลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่ กรอกข้อมูลส่วนตัว วันที่ออกจากงาน สาเหตุ และยืนยันตัวตนด้วยรหัสหลังบัตรประชาชน จากนั้นเลือกเมนูขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานและกรอกข้อมูลการทำงานล่าสุด หลังจากนั้นยื่นเอกสารที่สำนักงานประกันสังคม เช่น แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนว่างงาน (สปส. 2-01/7) สำเนาบัตรประชาชน หนังสือรับรองการออกจากงาน (ถ้ามี) และสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารที่ร่วมรายการ สุดท้ายต้องรายงานตัวทุกเดือนผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อควรระวังคือผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปีจะไม่ได้รับเงินทดแทนว่างงาน แต่ต้องใช้สิทธิเบี้ยชราภาพแทน

    ถัดมาคือการประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อค้นหาคุณค่าจากประสบการณ์ที่สั่งสม การถูกเลิกจ้างในวัย 45 ปีไม่ได้หมายถึงคุณค่าหมดสิ้น แต่กลับกัน อายุและประสบการณ์คือทุนมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ปัญหาที่แท้จริงคือทัศนคติที่ต้องปรับเปลี่ยน องค์กรยุคใหม่ให้ความสำคัญกับคนที่เปิดใจเรียนรู้และทำงานร่วมกับคนต่างวัย การเปลี่ยนจากการพูดถึงลักษณะงานไปสู่การบอกเล่าความสำเร็จที่จับต้องได้จะสร้างความน่าเชื่อถือ ทักษะที่นำไปปรับใช้ได้หรือ transferable skills คือขุมทรัพย์ของคนวัยนี้ เช่น ทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจากประสบการณ์ยาวนานที่ทำให้มองปัญหาได้อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอด้วยตัวอย่างปัญหาที่เคยแก้ไขพร้อมขั้นตอนวิเคราะห์และผลลัพธ์จริง ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีมจากประสบการณ์นำทีมโครงการใหญ่ โดยระบุรายละเอียดเช่นนำทีม 10 คนลดต้นทุนได้ 15% ทักษะการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์จากการประสานงาน เจรจา และจัดการความขัดแย้ง โดยเล่าเรื่องที่แสดงถึงความเข้าใจผู้อื่น และการสร้างเครือข่ายจากความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม โดยใช้เพื่อขอคำแนะนำหรือหาโอกาสงาน การประยุกต์ทักษะเหล่านี้จะเปลี่ยนจุดอ่อนเรื่องอายุให้เป็นจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร

    ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การยกระดับทักษะเพื่อการแข่งขันในยุคใหม่จึงจำเป็น โดยการเรียนรู้ตลอดชีวิตคือกุญแจสู่ความอยู่รอด มีแหล่งฝึกอบรมมากมายในไทยทั้งภาครัฐและเอกชน เริ่มจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือ DSD ที่ให้บริการฝึกอบรมหลากหลายทั้งหลักสูตรระยะสั้นสำหรับรีสกิลและอัปสกิล เช่น หลักสูตร AI สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คอมพิวเตอร์อย่าง Excel และ Power BI งานช่างอย่างช่างเดินสายไฟฟ้า และอาชีพอิสระอย่างทำอาหารไทย สามารถตรวจสอบและสมัครผ่านเว็บไซต์ dsd.go.th หรือ onlinetraining.dsd.go.th ต่อมาคือศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภายใต้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวที่เปิดหลักสูตรฟรีเช่นการดูแลผู้สูงอายุและเสริมสวย และกรมการจัดหางานที่มีกิจกรรมแนะแนวอาชีพสำหรับผู้ว่างงาน สำหรับสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยหลายแห่งอย่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดหลักสูตรสะสมหน่วยกิตสำหรับรีสกิลและอัปสกิล ส่วนแพลตฟอร์มเอกชนอย่าง FutureSkill และ SkillLane นำเสนอคอร์สทักษะแห่งอนาคตทั้ง hard skills ด้านเทคโนโลยี ข้อมูล ธุรกิจ และ soft skills สำหรับทำงานร่วมกับ AI

    เมื่อพร้อมทั้งอารมณ์และทักษะ การกำหนดแผนปฏิบัติการ 3 เส้นทางสู่ความสำเร็จจะเป็นขั้นตอนต่อไป

    1️⃣ เส้นทางแรกคือการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้ประสบการณ์เป็นแต้มต่อ เทคนิคเขียนเรซูเม่สำหรับวัยเก๋าคือหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ทำให้ถูกเหมารวมอย่างปีจบการศึกษา ใช้คำสร้างความน่าเชื่อถือเช่นมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และเน้นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม การสร้างโปรไฟล์ LinkedIn เพื่อนำเสนอประสบการณ์อย่างมืออาชีพ และใช้เครือข่ายอย่างเพื่อนร่วมงานเก่าหรือ head hunter เพื่อเปิดโอกาสงานที่ไม่ได้ประกาศทั่วไป

    2️⃣ เส้นทางที่สองคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระอย่างฟรีแลนซ์หรือคอนซัลแทนต์ ซึ่งเหมาะกับผู้มีประสบการณ์สูงและต้องการกำหนดเวลาทำงานเอง อาชีพที่น่าสนใจเช่นที่ปรึกษาธุรกิจสำหรับองค์กรขนาดเล็ก นักเขียนหรือนักแปลอิสระที่ยังต้องอาศัยมนุษย์ตรวจสอบเนื้อหาละเอียดอ่อน และนักบัญชีหรือนักการเงินอิสระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การเตรียมพร้อมคือสร้างพอร์ตโฟลิโอที่น่าเชื่อถือเพราะผลงานสำคัญกว่าวุฒิการศึกษา

    3️⃣ เส้นทางที่สามคือการเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวขนาดเล็กจากงานอดิเรก โดยใช้เทคโนโลยีลดต้นทุน เช่นขายของออนไลน์ผ่าน Facebook หรือ LINE เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศ หรือเป็น influencer หรือ YouTuber โดยใช้ประสบการณ์สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า ไอเดียธุรกิจที่ลงทุนน้อยและเหมาะสม เช่นธุรกิจอาหารและบริการอย่างทำอาหารหรือขนมขายจากบ้าน ขายของตลาดนัด หรือบริการดูแลผู้สูงอายุและสัตว์เลี้ยง ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อย่างขายเสื้อผ้าหรือเป็นตัวแทนขายประกัน ธุรกิจที่ปรึกษาหรือฟรีแลนซ์อย่างที่ปรึกษาองค์กร นักเขียนอิสระ หรือที่ปรึกษาการเงิน และธุรกิจสร้างสรรค์อย่างปลูกผักปลอดสารพิษ งานฝีมือศิลปะ หรือเป็น influencer

    เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ การดูเรื่องราวความสำเร็จจากผู้ที่ก้าวข้ามมาแล้วจะช่วยให้เห็นว่าการเริ่มต้นใหม่ในวัย 45 ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เช่น Henry Ford ที่ประสบความสำเร็จกับรถยนต์ Model T ในวัย 45 ปี Colonel Sanders ที่เริ่มแฟรนไชส์ KFC ในวัย 62 ปี หรือในไทยอย่างอดีตผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดที่ถูกเลิกจ้างแต่ผันตัวเป็นผู้ค้าอิสระและประสบความสำเร็จ เรื่องราวเหล่านี้แสดงว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข และความมุ่งมั่นคือกุญแจ

    สุดท้าย การเผชิญกับการถูกบังคับเกษียณในวัย 45 ปีไม่ใช่จุดจบแต่เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่ที่ทรงคุณค่า ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติคือตั้งสติจัดการอารมณ์ ใช้สิทธิประโยชน์ให้เต็มที่ ประเมินคุณค่าจากประสบการณ์ ยกระดับทักษะอย่างต่อเนื่อง และสำรวจทางเลือกใหม่ๆ ท้ายที่สุด วัย 45 ปีคือช่วงเวลาที่ทรงพลังที่สุดในการนำประสบการณ์กว่าสองทศวรรษไปสร้างคุณค่าใหม่ให้ชีวิตและสังคมอย่างยั่งยืน

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    เส้นทางใหม่ในโลกการทำงานยุค AI 🤖: 📚 คู่มือเชิงกลยุทธ์สำหรับคนไทยวัย 45 ปี 🙎‍♂️ ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานอย่างรวดเร็ว การถูกให้ออกจากงานหรือถูกบังคับเกษียณก่อนกำหนดในวัย 45 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนยังต้องแบกรับภาระครอบครัวและความรับผิดชอบสูงสุดในชีวิต กลายเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและสร้างความช็อกให้กับคนทำงานจำนวนมาก ความรู้สึกสิ้นหวัง🤞 การตั้งคำถามกับคุณค่าในตัวเอง และความรู้สึกด้อยค่าที่ว่า "ทำมา 10 ปีแต่ไม่รอด" ล้วนเป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เข้าใจได้และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ไม่ใช่ความล้มเหลวส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานระดับโลก🌏 รายงานนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นมากกว่าแค่ข้อมูล แต่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะช่วยให้ผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤตนี้สามารถตั้งหลักและก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยเปลี่ยนมุมมองจากจุดจบไปสู่จุดเปลี่ยนที่เต็มเปี่ยมด้วยโอกาส 🌞 เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้ คำถามที่ว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน" ⁉️ มักผุดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อ AI กลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดเกมในตลาดแรงงานไทย 🙏 ซึ่งกำลังเผชิญกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจาก AI เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ เช่น สังคมสูงวัย 👴 ในประเทศรายได้สูงและการเพิ่มขึ้นของแรงงานในประเทศรายได้ต่ำ ตลอดจนความผันผวนทางเศรษฐกิจ📉 ตามรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ ILO คาดการณ์ว่าในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ตำแหน่งงานในไทยมากกว่า 44% หรือราว 17 ล้านตำแหน่ง มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นพลังที่กำลังปรับโครงสร้างการจ้างงานอย่างถอนรากถอนโคน โดยเฉพาะงานที่ต้องทำซ้ำๆ และงานประจำ ซึ่งแรงงานวัยกลางคนจำนวนมากรับผิดชอบอยู่ ส่งผลให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลของทักษะในตลาดแรงงาน แม้จะมีคนว่างงานมาก แต่พวกเขาก็ขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับงานใหม่ที่เทคโนโลยีสร้างขึ้น การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้คนทำงานมองเห็นปัญหาในมุมกว้างและวางแผนพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในอนาคต 🔮 เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น การจำแนกอาชีพตามระดับความเสี่ยงจาก AI ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงมักเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมประจำหรือการจัดการข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งสามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ง่าย เช่น พนักงานแคชเชียร์หรือพนักงานขายหน้าร้านที่ถูกแทนที่ด้วยระบบ self-checkout 🏧 และการซื้อขายออนไลน์ 🌐 เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าหรือพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ chatbot 🤖 และระบบตอบรับอัตโนมัติสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง พนักงานป้อนและประมวลผลข้อมูลที่ระบบ OCR และ AI สามารถจัดการข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พนักงานขนส่งและโลจิสติกส์รวมถึงคนขับรถที่รถยนต์ไร้คนขับ 🚗 และโดรนส่งของกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และพนักงานบัญชีที่โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปและ AI สามารถบันทึกและประมวลผลข้อมูลทางการเงินได้อย่างแม่นยำ ในทางตรงกันข้าม อาชีพที่ทนทานต่อ AI และกำลังเติบโตมักต้องใช้ทักษะเชิงมนุษย์ชั้นสูงที่ซับซ้อนและเลียนแบบได้ยาก เช่น 🧑‍⚕️ แพทย์ 👩‍🔬นักจิตวิทยา และพยาบาลที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง ประสบการณ์ การตัดสินใจที่ซับซ้อน และความเข้าใจมนุษย์ 👩‍🏫 ครู-อาจารย์ที่ต้องใช้ทักษะการสอนที่ละเอียดอ่อน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการสร้างแรงบันดาลใจ นักกฎหมายที่ต้องคิดเชิงวิเคราะห์ซับซ้อน 🛜 การสื่อสาร และการตัดสินใจในบริบทละเอียดอ่อน นักพัฒนา AI Data Scientist และ AI Ethicist ที่เป็นผู้สร้างและควบคุมเทคโนโลยีเอง โดยต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะเฉพาะทางระดับสูง และผู้เชี่ยวชาญด้าน soft skills ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสาร ภาวะผู้นำ และการจัดการอารมณ์ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่แค่รายการอาชีพ แต่เป็นแผนที่กลยุทธ์ที่ชี้ทิศทางของตลาดแรงงาน คุณค่าของมนุษย์ในยุค AI อยู่ที่ทักษะที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ซึ่งจะช่วยให้คนทำงานวางแผนอัปสกิลหรือรีสกิลไปสู่อาชีพที่ยั่งยืนกว่า เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก การตั้งหลักอย่างมีสติและกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเริ่มจากจัดการคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา 🧘 การถูกให้ออกจากงานอย่างกะทันหันอาจนำมาซึ่งความสับสน โกรธ สูญเสีย และด้อยค่า ผู้ที่เคยผ่านสถานการณ์นี้แนะนำให้ยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นและให้เวลาตัวเองจัดการ โดยวิธีต่างๆ เช่น พูดคุยกับคนรอบข้างเพื่อรับกำลังใจและมุมมองใหม่ เขียนระบายความรู้สึกเพื่อจัดระเบียบความคิดและลดภาระจิตใจ หรือฝึกสมาธิและโยคะเพื่อทำให้จิตใจสงบ ลดความวิตกกังวล และตัดสินใจได้ดีขึ้น การปล่อยวางความคิดที่ว่าต้องชนะทุกเกมหรือชีวิตต้องเป็นไปตามแผนจะช่วยลดความกดดันและเปิดโอกาสให้คิดหาทางออกใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์ การให้กำลังใจตัวเองและไม่ยอมแพ้จะเป็นพลังที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิม 💪 ต่อจากนั้นคือการจัดการเรื่องสำคัญเร่งด่วนอย่างสิทธิประโยชน์และแผนการเงิน เพื่อให้มีสภาพคล่องในช่วงเปลี่ยนผ่าน การใช้สิทธิจากกองทุนประกันสังคมเป็นขั้นตอนสำคัญ โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน หากจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายใน 15 เดือนก่อนว่างงาน และต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกจากงาน มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง การขึ้นทะเบียนสามารถทำออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมการจัดหางาน เช่น e-service.doe.go.th หรือ empui.doe.go.th โดยลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่ กรอกข้อมูลส่วนตัว วันที่ออกจากงาน สาเหตุ และยืนยันตัวตนด้วยรหัสหลังบัตรประชาชน จากนั้นเลือกเมนูขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานและกรอกข้อมูลการทำงานล่าสุด หลังจากนั้นยื่นเอกสารที่สำนักงานประกันสังคม เช่น แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนว่างงาน (สปส. 2-01/7) สำเนาบัตรประชาชน หนังสือรับรองการออกจากงาน (ถ้ามี) และสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารที่ร่วมรายการ สุดท้ายต้องรายงานตัวทุกเดือนผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อควรระวังคือผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปีจะไม่ได้รับเงินทดแทนว่างงาน แต่ต้องใช้สิทธิเบี้ยชราภาพแทน 💷💶💵 ถัดมาคือการประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อค้นหาคุณค่าจากประสบการณ์ที่สั่งสม การถูกเลิกจ้างในวัย 45 ปีไม่ได้หมายถึงคุณค่าหมดสิ้น แต่กลับกัน อายุและประสบการณ์คือทุนมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ปัญหาที่แท้จริงคือทัศนคติที่ต้องปรับเปลี่ยน องค์กรยุคใหม่ให้ความสำคัญกับคนที่เปิดใจเรียนรู้และทำงานร่วมกับคนต่างวัย การเปลี่ยนจากการพูดถึงลักษณะงานไปสู่การบอกเล่าความสำเร็จที่จับต้องได้จะสร้างความน่าเชื่อถือ ทักษะที่นำไปปรับใช้ได้หรือ transferable skills คือขุมทรัพย์ของคนวัยนี้ เช่น ทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจากประสบการณ์ยาวนานที่ทำให้มองปัญหาได้อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอด้วยตัวอย่างปัญหาที่เคยแก้ไขพร้อมขั้นตอนวิเคราะห์และผลลัพธ์จริง 📊 ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีมจากประสบการณ์นำทีมโครงการใหญ่ โดยระบุรายละเอียดเช่นนำทีม 10 คนลดต้นทุนได้ 15% ทักษะการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์จากการประสานงาน เจรจา และจัดการความขัดแย้ง โดยเล่าเรื่องที่แสดงถึงความเข้าใจผู้อื่น และการสร้างเครือข่ายจากความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม โดยใช้เพื่อขอคำแนะนำหรือหาโอกาสงาน การประยุกต์ทักษะเหล่านี้จะเปลี่ยนจุดอ่อนเรื่องอายุให้เป็นจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร 🧍‍♂️ ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การยกระดับทักษะเพื่อการแข่งขันในยุคใหม่จึงจำเป็น โดยการเรียนรู้ตลอดชีวิตคือกุญแจสู่ความอยู่รอด 🏫 มีแหล่งฝึกอบรมมากมายในไทยทั้งภาครัฐและเอกชน เริ่มจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือ DSD ที่ให้บริการฝึกอบรมหลากหลายทั้งหลักสูตรระยะสั้นสำหรับรีสกิลและอัปสกิล เช่น หลักสูตร AI สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คอมพิวเตอร์อย่าง Excel และ Power BI งานช่างอย่างช่างเดินสายไฟฟ้า และอาชีพอิสระอย่างทำอาหารไทย สามารถตรวจสอบและสมัครผ่านเว็บไซต์ dsd.go.th หรือ onlinetraining.dsd.go.th 🌐 ต่อมาคือศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภายใต้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวที่เปิดหลักสูตรฟรีเช่นการดูแลผู้สูงอายุและเสริมสวย และกรมการจัดหางานที่มีกิจกรรมแนะแนวอาชีพสำหรับผู้ว่างงาน สำหรับสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยหลายแห่งอย่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดหลักสูตรสะสมหน่วยกิตสำหรับรีสกิลและอัปสกิล ส่วนแพลตฟอร์มเอกชนอย่าง FutureSkill และ SkillLane 🕸️ นำเสนอคอร์สทักษะแห่งอนาคตทั้ง hard skills ด้านเทคโนโลยี ข้อมูล ธุรกิจ และ soft skills สำหรับทำงานร่วมกับ AI เมื่อพร้อมทั้งอารมณ์และทักษะ การกำหนดแผนปฏิบัติการ 3 เส้นทางสู่ความสำเร็จจะเป็นขั้นตอนต่อไป 1️⃣ เส้นทางแรกคือการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้ประสบการณ์เป็นแต้มต่อ 👩‍💻 เทคนิคเขียนเรซูเม่สำหรับวัยเก๋าคือหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ทำให้ถูกเหมารวมอย่างปีจบการศึกษา ใช้คำสร้างความน่าเชื่อถือเช่นมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และเน้นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม การสร้างโปรไฟล์ LinkedIn เพื่อนำเสนอประสบการณ์อย่างมืออาชีพ และใช้เครือข่ายอย่างเพื่อนร่วมงานเก่าหรือ head hunter เพื่อเปิดโอกาสงานที่ไม่ได้ประกาศทั่วไป 2️⃣ เส้นทางที่สองคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระอย่างฟรีแลนซ์หรือคอนซัลแทนต์ 👨‍🏭 ซึ่งเหมาะกับผู้มีประสบการณ์สูงและต้องการกำหนดเวลาทำงานเอง อาชีพที่น่าสนใจเช่นที่ปรึกษาธุรกิจสำหรับองค์กรขนาดเล็ก นักเขียนหรือนักแปลอิสระที่ยังต้องอาศัยมนุษย์ตรวจสอบเนื้อหาละเอียดอ่อน และนักบัญชีหรือนักการเงินอิสระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การเตรียมพร้อมคือสร้างพอร์ตโฟลิโอที่น่าเชื่อถือเพราะผลงานสำคัญกว่าวุฒิการศึกษา 3️⃣ เส้นทางที่สามคือการเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวขนาดเล็กจากงานอดิเรก 🏓 โดยใช้เทคโนโลยีลดต้นทุน เช่นขายของออนไลน์ผ่าน Facebook หรือ LINE เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศ หรือเป็น influencer หรือ YouTuber โดยใช้ประสบการณ์สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า ไอเดียธุรกิจที่ลงทุนน้อยและเหมาะสม เช่นธุรกิจอาหารและบริการอย่างทำอาหารหรือขนมขายจากบ้าน ขายของตลาดนัด หรือบริการดูแลผู้สูงอายุและสัตว์เลี้ยง ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อย่างขายเสื้อผ้าหรือเป็นตัวแทนขายประกัน ธุรกิจที่ปรึกษาหรือฟรีแลนซ์อย่างที่ปรึกษาองค์กร นักเขียนอิสระ หรือที่ปรึกษาการเงิน และธุรกิจสร้างสรรค์อย่างปลูกผักปลอดสารพิษ งานฝีมือศิลปะ หรือเป็น influencer เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ การดูเรื่องราวความสำเร็จจากผู้ที่ก้าวข้ามมาแล้วจะช่วยให้เห็นว่าการเริ่มต้นใหม่ในวัย 45 ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เช่น Henry Ford ที่ประสบความสำเร็จกับรถยนต์ Model T ในวัย 45 ปี Colonel Sanders ที่เริ่มแฟรนไชส์ KFC ในวัย 62 ปี หรือในไทยอย่างอดีตผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดที่ถูกเลิกจ้างแต่ผันตัวเป็นผู้ค้าอิสระและประสบความสำเร็จ เรื่องราวเหล่านี้แสดงว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข และความมุ่งมั่นคือกุญแจ 🗝️ สุดท้าย การเผชิญกับการถูกบังคับเกษียณในวัย 45 ปีไม่ใช่จุดจบแต่เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่ที่ทรงคุณค่า ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติคือตั้งสติจัดการอารมณ์ ใช้สิทธิประโยชน์ให้เต็มที่ ประเมินคุณค่าจากประสบการณ์ ยกระดับทักษะอย่างต่อเนื่อง และสำรวจทางเลือกใหม่ๆ ท้ายที่สุด วัย 45 ปีคือช่วงเวลาที่ทรงพลังที่สุดในการนำประสบการณ์กว่าสองทศวรรษไปสร้างคุณค่าใหม่ให้ชีวิตและสังคมอย่างยั่งยืน #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 Comments 0 Shares 490 Views 0 Reviews
  • เมื่อสายไฟละลายไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ: DIYer สร้างระบบป้องกัน RTX 5090 ด้วยสายไฟพันกันสุดโกลาหล

    ปัญหาสายไฟละลายจากหัวต่อ 16-pin ของการ์ดจอ RTX 4090 และ 5090 กลายเป็นเรื่องจริงที่ผู้ใช้งานหลายคนเจอ โดยเฉพาะเมื่อใช้กับ PSU ที่จ่ายไฟสูงและสาย 12VHPWR ที่ไม่แน่นหนา

    Electronic_Ear6797 จึงสร้างระบบ “RTX 5090 Countermeasures” ที่ดูเหมือนงานศิลปะสายไฟพันกัน แต่มีระบบตรวจจับกระแสเกิน และสั่งให้ PSU ปิดตัวทันทีเมื่อเกิดความเสี่ยง

    ระบบนี้ใช้ชิ้นส่วนอุตสาหกรรม เช่น PLC จาก Mitsubishi, เซนเซอร์วัดกระแส และรีเลย์ไฟฟ้า เพื่อควบคุมการจ่ายไฟอย่างแม่นยำ โดยไม่พึ่งแค่ฟิวส์หรือระบบป้องกันพื้นฐาน

    แม้จะดูยุ่งเหยิง แต่ระบบนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการละลายหัวต่อ ซึ่งเคยเกิดขึ้นจริงกับผู้ใช้งาน RTX 4090 และยังคงเกิดซ้ำกับ RTX 5090 แม้จะเป็นรุ่นใหม่

    ปัญหาที่เกิดขึ้นกับ RTX 5090
    หัวต่อ 16-pin มีความเสี่ยงละลายจากความร้อนสูง
    ปัญหาเริ่มจาก RTX 4090 และยังเกิดซ้ำกับ RTX 5090
    สาย 12VHPWR ที่ไม่แน่นหนาเป็นสาเหตุหลัก

    ระบบป้องกันแบบ DIY
    ใช้ PLC จาก Mitsubishi และเซนเซอร์วัดกระแสไฟฟ้า
    มีรีเลย์ที่สั่งปิด PSU ทันทีเมื่อเกิดกระแสเกิน
    สร้างจากชิ้นส่วนอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่ฟิวส์ธรรมดา

    จุดเด่นของระบบ
    ป้องกันการละลายหัวต่อได้แบบ proactive
    ลดความเสี่ยงจากการใช้งานการ์ดจอระดับสูง
    เป็นตัวอย่างของการแก้ปัญหาด้วยความรู้ด้านไฟฟ้าและระบบควบคุม

    ข้อมูลเสริมจากวงการฮาร์ดแวร์
    Thermal Grizzly มีผลิตภัณฑ์ WireView สำหรับตรวจสอบพลังงาน GPU
    Corsair และ Seasonic เริ่มออกแบบสาย 12VHPWR รุ่นใหม่ที่แน่นหนาขึ้น
    ผู้ผลิตบางรายเริ่มพัฒนา GPU ที่ใช้หัวต่อแบบใหม่เพื่อลดความเสี่ยง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/diyer-creates-rtx-5090-countermeasures-with-cabling-spaghetti-to-mitigate-16-pin-meltdowns-system-automatically-shuts-down-when-the-overcurrent-protection-is-triggered
    🧠 เมื่อสายไฟละลายไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ: DIYer สร้างระบบป้องกัน RTX 5090 ด้วยสายไฟพันกันสุดโกลาหล ปัญหาสายไฟละลายจากหัวต่อ 16-pin ของการ์ดจอ RTX 4090 และ 5090 กลายเป็นเรื่องจริงที่ผู้ใช้งานหลายคนเจอ โดยเฉพาะเมื่อใช้กับ PSU ที่จ่ายไฟสูงและสาย 12VHPWR ที่ไม่แน่นหนา Electronic_Ear6797 จึงสร้างระบบ “RTX 5090 Countermeasures” ที่ดูเหมือนงานศิลปะสายไฟพันกัน แต่มีระบบตรวจจับกระแสเกิน และสั่งให้ PSU ปิดตัวทันทีเมื่อเกิดความเสี่ยง ระบบนี้ใช้ชิ้นส่วนอุตสาหกรรม เช่น PLC จาก Mitsubishi, เซนเซอร์วัดกระแส และรีเลย์ไฟฟ้า เพื่อควบคุมการจ่ายไฟอย่างแม่นยำ โดยไม่พึ่งแค่ฟิวส์หรือระบบป้องกันพื้นฐาน แม้จะดูยุ่งเหยิง แต่ระบบนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการละลายหัวต่อ ซึ่งเคยเกิดขึ้นจริงกับผู้ใช้งาน RTX 4090 และยังคงเกิดซ้ำกับ RTX 5090 แม้จะเป็นรุ่นใหม่ ✅ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับ RTX 5090 ➡️ หัวต่อ 16-pin มีความเสี่ยงละลายจากความร้อนสูง ➡️ ปัญหาเริ่มจาก RTX 4090 และยังเกิดซ้ำกับ RTX 5090 ➡️ สาย 12VHPWR ที่ไม่แน่นหนาเป็นสาเหตุหลัก ✅ ระบบป้องกันแบบ DIY ➡️ ใช้ PLC จาก Mitsubishi และเซนเซอร์วัดกระแสไฟฟ้า ➡️ มีรีเลย์ที่สั่งปิด PSU ทันทีเมื่อเกิดกระแสเกิน ➡️ สร้างจากชิ้นส่วนอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่ฟิวส์ธรรมดา ✅ จุดเด่นของระบบ ➡️ ป้องกันการละลายหัวต่อได้แบบ proactive ➡️ ลดความเสี่ยงจากการใช้งานการ์ดจอระดับสูง ➡️ เป็นตัวอย่างของการแก้ปัญหาด้วยความรู้ด้านไฟฟ้าและระบบควบคุม ✅ ข้อมูลเสริมจากวงการฮาร์ดแวร์ ➡️ Thermal Grizzly มีผลิตภัณฑ์ WireView สำหรับตรวจสอบพลังงาน GPU ➡️ Corsair และ Seasonic เริ่มออกแบบสาย 12VHPWR รุ่นใหม่ที่แน่นหนาขึ้น ➡️ ผู้ผลิตบางรายเริ่มพัฒนา GPU ที่ใช้หัวต่อแบบใหม่เพื่อลดความเสี่ยง https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/diyer-creates-rtx-5090-countermeasures-with-cabling-spaghetti-to-mitigate-16-pin-meltdowns-system-automatically-shuts-down-when-the-overcurrent-protection-is-triggered
    0 Comments 0 Shares 269 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากชั้นในของชิป: CT scan เผยความลับของ Intel 386 ที่ซ่อนอยู่ใต้เซรามิก

    ในยุคที่ชิปสมัยใหม่มีขนาดเล็กลงและซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ Ken Shirriff นักวิจัยด้านฮาร์ดแวร์ได้ใช้เทคโนโลยี CT scan เพื่อเปิดเผยโครงสร้างภายในของ Intel 386—ชิประดับตำนานจากยุค 1980 ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ x86 แบบ 32 บิต

    แม้ภายนอกจะดูเหมือนเซรามิกสีเทาพร้อมขา 132 ขา แต่ภายในกลับซ่อนวิศวกรรมระดับสูงไว้มากมาย โดย CT scan ให้ภาพ X-ray หลายร้อยชั้นที่สามารถรวมเป็นโมเดล 3D เพื่อหมุน ดู และ “ลอก” ชั้นต่าง ๆ ได้แบบดิจิทัล

    สิ่งที่พบมีตั้งแต่สายทองคำขนาด 35 ไมโครเมตรที่เชื่อมระหว่าง die กับแผงวงจร ไปจนถึงโครงสร้างวงจร 6 ชั้นที่ซ่อนอยู่ภายในเซรามิก ซึ่งประกอบด้วย 2 ชั้นสำหรับสัญญาณ และ 4 ชั้นสำหรับพลังงานและกราวด์ โดยใช้เทคนิค “single-row double-shelf bonding” เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของการเชื่อมต่อ

    นอกจากนี้ยังพบสายไฟข้างชิปที่ใช้ในขั้นตอนชุบทอง ซึ่งปกติจะไม่ปรากฏให้เห็น รวมถึงการออกแบบที่รองรับการกระจายความร้อนด้วยอีพ็อกซีผสมเงินใต้ die เพื่อให้ชิปทำงานได้เสถียร

    ที่น่าสนใจคือ มีขาบางขาในแพ็กเกจที่ระบุว่า “No Connect” แต่จริง ๆ แล้วมีการเชื่อมต่อภายใน die ซึ่งอาจใช้สำหรับการทดสอบหรือฟังก์ชันลับที่ Intel ไม่เคยเปิดเผย

    Ken Shirriff ใช้ CT scan สำรวจโครงสร้างภายในของ Intel 386 CPU
    สร้างโมเดล 3D ที่สามารถหมุนและลอกชั้นต่าง ๆ ได้แบบดิจิทัล

    พบสายทองคำขนาด 35 µm เชื่อมระหว่าง die กับแผงวงจร
    บางจุดมีถึง 5 เส้นเพื่อรองรับกระแสไฟสูง

    แพ็กเกจภายในเป็นวงจร 6 ชั้น: 2 ชั้นสัญญาณ + 4 ชั้นพลังงาน
    ใช้เทคนิค “single-row double-shelf bonding” เพื่อเพิ่มความหนาแน่น

    พบสายไฟด้านข้างที่ใช้ชุบทองในขั้นตอนการผลิต
    ยืนยันด้วยการขัดเซรามิกให้ตรงกับภาพ CT

    ใต้ die มีอีพ็อกซีผสมเงินเพื่อระบายความร้อนและเชื่อมกราวด์
    ช่วยให้ชิปทำงานได้เสถียรภายใต้โหลด

    พบขา “No Connect” ที่มีการเชื่อมต่อภายใน die จริง
    อาจใช้สำหรับการทดสอบหรือฟังก์ชันลับของ Intel

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/ct-scan-peels-back-the-layers-of-time-to-reveal-the-engineering-within-intels-iconic-386-cpu-exposing-intricate-pin-mapping-hidden-power-planes-and-more
    🔬💾 เรื่องเล่าจากชั้นในของชิป: CT scan เผยความลับของ Intel 386 ที่ซ่อนอยู่ใต้เซรามิก ในยุคที่ชิปสมัยใหม่มีขนาดเล็กลงและซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ Ken Shirriff นักวิจัยด้านฮาร์ดแวร์ได้ใช้เทคโนโลยี CT scan เพื่อเปิดเผยโครงสร้างภายในของ Intel 386—ชิประดับตำนานจากยุค 1980 ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ x86 แบบ 32 บิต แม้ภายนอกจะดูเหมือนเซรามิกสีเทาพร้อมขา 132 ขา แต่ภายในกลับซ่อนวิศวกรรมระดับสูงไว้มากมาย โดย CT scan ให้ภาพ X-ray หลายร้อยชั้นที่สามารถรวมเป็นโมเดล 3D เพื่อหมุน ดู และ “ลอก” ชั้นต่าง ๆ ได้แบบดิจิทัล สิ่งที่พบมีตั้งแต่สายทองคำขนาด 35 ไมโครเมตรที่เชื่อมระหว่าง die กับแผงวงจร ไปจนถึงโครงสร้างวงจร 6 ชั้นที่ซ่อนอยู่ภายในเซรามิก ซึ่งประกอบด้วย 2 ชั้นสำหรับสัญญาณ และ 4 ชั้นสำหรับพลังงานและกราวด์ โดยใช้เทคนิค “single-row double-shelf bonding” เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของการเชื่อมต่อ นอกจากนี้ยังพบสายไฟข้างชิปที่ใช้ในขั้นตอนชุบทอง ซึ่งปกติจะไม่ปรากฏให้เห็น รวมถึงการออกแบบที่รองรับการกระจายความร้อนด้วยอีพ็อกซีผสมเงินใต้ die เพื่อให้ชิปทำงานได้เสถียร ที่น่าสนใจคือ มีขาบางขาในแพ็กเกจที่ระบุว่า “No Connect” แต่จริง ๆ แล้วมีการเชื่อมต่อภายใน die ซึ่งอาจใช้สำหรับการทดสอบหรือฟังก์ชันลับที่ Intel ไม่เคยเปิดเผย ✅ Ken Shirriff ใช้ CT scan สำรวจโครงสร้างภายในของ Intel 386 CPU ➡️ สร้างโมเดล 3D ที่สามารถหมุนและลอกชั้นต่าง ๆ ได้แบบดิจิทัล ✅ พบสายทองคำขนาด 35 µm เชื่อมระหว่าง die กับแผงวงจร ➡️ บางจุดมีถึง 5 เส้นเพื่อรองรับกระแสไฟสูง ✅ แพ็กเกจภายในเป็นวงจร 6 ชั้น: 2 ชั้นสัญญาณ + 4 ชั้นพลังงาน ➡️ ใช้เทคนิค “single-row double-shelf bonding” เพื่อเพิ่มความหนาแน่น ✅ พบสายไฟด้านข้างที่ใช้ชุบทองในขั้นตอนการผลิต ➡️ ยืนยันด้วยการขัดเซรามิกให้ตรงกับภาพ CT ✅ ใต้ die มีอีพ็อกซีผสมเงินเพื่อระบายความร้อนและเชื่อมกราวด์ ➡️ ช่วยให้ชิปทำงานได้เสถียรภายใต้โหลด ✅ พบขา “No Connect” ที่มีการเชื่อมต่อภายใน die จริง ➡️ อาจใช้สำหรับการทดสอบหรือฟังก์ชันลับของ Intel https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/ct-scan-peels-back-the-layers-of-time-to-reveal-the-engineering-within-intels-iconic-386-cpu-exposing-intricate-pin-mapping-hidden-power-planes-and-more
    0 Comments 0 Shares 245 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากตลาดการ์ดจอ: AMD เปิดตัว Radeon RX 7400 การ์ดจอราคาประหยัดที่ยังรองรับ Ray Tracing

    ในเดือนสิงหาคม 2025 AMD เปิดตัว Radeon RX 7400 แบบเงียบ ๆ โดยไม่ได้จัดงานเปิดตัวใหญ่โต เพราะนี่คือการ์ดจอระดับเริ่มต้นในตระกูล RDNA 3 ที่ใช้ชิป Navi 33 ซึ่งเป็นชิ้นเล็กที่สุดในสายการผลิตนี้ และเคยใช้ในรุ่น RX 7600 มาก่อน

    RX 7400 มาพร้อม 28 Compute Units หรือ 1,792 Stream Processors ซึ่งลดลงจาก RX 7600 ประมาณ 12.5% แต่ยังคงรองรับ Ray Tracing ด้วย 28 Ray Accelerators และมี AI Accelerators 56 ตัว แม้จะเป็นรุ่นเล็กที่สุดในซีรีส์ แต่ก็ยังให้ฟีเจอร์ครบถ้วนสำหรับการเล่นเกมระดับ 1080p

    หน่วยความจำ GDDR6 ขนาด 8GB ถูกลดความเร็วลงเหลือ 10.8 Gbps ทำให้ bandwidth อยู่ที่ 173 GB/s ซึ่งต่ำกว่า RX 7600 ถึง 40% แต่ข้อดีคือ RX 7400 ใช้พลังงานเพียง 55W และไม่ต้องต่อสายไฟเพิ่ม เหมาะสำหรับเครื่องพีซีขนาดเล็กหรือระบบ OEM ที่ต้องการประหยัดพลังงาน

    AMD เปิดตัว Radeon RX 7400 การ์ดจอ RDNA 3 รุ่นเริ่มต้น
    ใช้ชิป Navi 33 เหมือน RX 7600 แต่ลดจำนวน Compute Units

    RX 7400 มี 28 Compute Units และ 1,792 Stream Processors
    ลดลง 12.5% จาก RX 7600 ที่มี 2,048 SPs

    รองรับ Ray Tracing ด้วย 28 Ray Accelerators และ 56 AI Accelerators
    เป็นรุ่นราคาประหยัดที่ยังมีฟีเจอร์ครบ

    ใช้ GDDR6 ขนาด 8GB ความเร็ว 10.8 Gbps
    Bandwidth อยู่ที่ 173 GB/s ต่ำกว่า RX 7600 ถึง 40%

    ใช้พลังงานเพียง 55W ไม่ต้องต่อสายไฟเพิ่ม
    เหมาะสำหรับเครื่องพีซีขนาดเล็กหรือระบบ OEM

    ขนาดการ์ด 167 มม. แบบ single-slot
    ติดตั้งง่ายในเคสขนาดเล็ก

    RX 7400 เหมาะสำหรับเกม 1080p และงานสตรีมมิ่งพื้นฐาน
    แม้ไม่แรงเท่า RX 7600 แต่ดีกว่า iGPU ในซีพียูทั่วไป

    มีการใช้งานในเครื่องพีซีของ Dell สำหรับตลาดองค์กร
    บ่งชี้ว่าอาจเป็นรุ่น OEM เป็นหลัก

    ยังไม่มีการประกาศราคาขายอย่างเป็นทางการ
    แต่คาดว่าจะต่ำกว่า RX 7600 ที่เปิดตัวที่ $269

    AMD ยังไม่ยืนยันว่าจะมีรุ่น RX 7300 ตามมา
    แม้มีข่าวหลุดว่ามีรุ่น 6GB และ 1,536 SPs อยู่ในแผน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-quietly-launches-radeon-rx-7400-8gb-budget-gaming-gpu-rdna-3-goes-another-rung-lower-on-the-ladder
    🎮💸 เรื่องเล่าจากตลาดการ์ดจอ: AMD เปิดตัว Radeon RX 7400 การ์ดจอราคาประหยัดที่ยังรองรับ Ray Tracing ในเดือนสิงหาคม 2025 AMD เปิดตัว Radeon RX 7400 แบบเงียบ ๆ โดยไม่ได้จัดงานเปิดตัวใหญ่โต เพราะนี่คือการ์ดจอระดับเริ่มต้นในตระกูล RDNA 3 ที่ใช้ชิป Navi 33 ซึ่งเป็นชิ้นเล็กที่สุดในสายการผลิตนี้ และเคยใช้ในรุ่น RX 7600 มาก่อน RX 7400 มาพร้อม 28 Compute Units หรือ 1,792 Stream Processors ซึ่งลดลงจาก RX 7600 ประมาณ 12.5% แต่ยังคงรองรับ Ray Tracing ด้วย 28 Ray Accelerators และมี AI Accelerators 56 ตัว แม้จะเป็นรุ่นเล็กที่สุดในซีรีส์ แต่ก็ยังให้ฟีเจอร์ครบถ้วนสำหรับการเล่นเกมระดับ 1080p หน่วยความจำ GDDR6 ขนาด 8GB ถูกลดความเร็วลงเหลือ 10.8 Gbps ทำให้ bandwidth อยู่ที่ 173 GB/s ซึ่งต่ำกว่า RX 7600 ถึง 40% แต่ข้อดีคือ RX 7400 ใช้พลังงานเพียง 55W และไม่ต้องต่อสายไฟเพิ่ม เหมาะสำหรับเครื่องพีซีขนาดเล็กหรือระบบ OEM ที่ต้องการประหยัดพลังงาน ✅ AMD เปิดตัว Radeon RX 7400 การ์ดจอ RDNA 3 รุ่นเริ่มต้น ➡️ ใช้ชิป Navi 33 เหมือน RX 7600 แต่ลดจำนวน Compute Units ✅ RX 7400 มี 28 Compute Units และ 1,792 Stream Processors ➡️ ลดลง 12.5% จาก RX 7600 ที่มี 2,048 SPs ✅ รองรับ Ray Tracing ด้วย 28 Ray Accelerators และ 56 AI Accelerators ➡️ เป็นรุ่นราคาประหยัดที่ยังมีฟีเจอร์ครบ ✅ ใช้ GDDR6 ขนาด 8GB ความเร็ว 10.8 Gbps ➡️ Bandwidth อยู่ที่ 173 GB/s ต่ำกว่า RX 7600 ถึง 40% ✅ ใช้พลังงานเพียง 55W ไม่ต้องต่อสายไฟเพิ่ม ➡️ เหมาะสำหรับเครื่องพีซีขนาดเล็กหรือระบบ OEM ✅ ขนาดการ์ด 167 มม. แบบ single-slot ➡️ ติดตั้งง่ายในเคสขนาดเล็ก ✅ RX 7400 เหมาะสำหรับเกม 1080p และงานสตรีมมิ่งพื้นฐาน ➡️ แม้ไม่แรงเท่า RX 7600 แต่ดีกว่า iGPU ในซีพียูทั่วไป ✅ มีการใช้งานในเครื่องพีซีของ Dell สำหรับตลาดองค์กร ➡️ บ่งชี้ว่าอาจเป็นรุ่น OEM เป็นหลัก ✅ ยังไม่มีการประกาศราคาขายอย่างเป็นทางการ ➡️ แต่คาดว่าจะต่ำกว่า RX 7600 ที่เปิดตัวที่ $269 ✅ AMD ยังไม่ยืนยันว่าจะมีรุ่น RX 7300 ตามมา ➡️ แม้มีข่าวหลุดว่ามีรุ่น 6GB และ 1,536 SPs อยู่ในแผน https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-quietly-launches-radeon-rx-7400-8gb-budget-gaming-gpu-rdna-3-goes-another-rung-lower-on-the-ladder
    0 Comments 0 Shares 261 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโต๊ะทดสอบ: der8enchtable โต๊ะทดสอบสุดล้ำที่รวมพลังงาน ความเย็น และการเชื่อมต่อไว้ในแผ่นเดียว

    ถ้าคุณเป็นสายฮาร์ดแวร์ที่ชอบทดสอบอุปกรณ์ เปลี่ยนเมนบอร์ดบ่อย ๆ หรือทำงานรีวิวอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โต๊ะทดสอบแบบเปิด (open bench table) คือเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ และล่าสุด Thermal Grizzly ร่วมกับ Roman “der8auer” Hartung และ Elmor Labs ได้เปิดตัว der8enchtable — โต๊ะทดสอบระดับมืออาชีพที่ไม่ใช่แค่โครงเหล็กวางเมนบอร์ด แต่เป็นแผ่น PCB ที่มีระบบควบคุมพัดลม ปั๊มน้ำ พอร์ตเก็บข้อมูล และไฟ RGB ในตัว

    der8enchtable เปิดตัวครั้งแรกในงาน Computex 2025 และคว้ารางวัลด้านการออกแบบทันที จุดเด่นคือการรวมพอร์ต SATA, USB, microSD, พัดลม และปั๊มน้ำไว้ในแผ่น PCB เดียว ทำให้ผู้ใช้สามารถ hot-swap อุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องต่อสายเข้ากับเมนบอร์ดโดยตรง

    โต๊ะนี้มีโซนควบคุมพัดลม 3 โซน (Fan Zones) และโซนปั๊มน้ำ 1 โซน (Pump Zone) โดยแต่ละโซนมีหัวต่อ 4-pin ที่จ่ายไฟได้ถึง 3A พร้อมฟิวส์แยก และสามารถควบคุมความเร็วได้แบบอิสระ หรือส่งต่อให้เมนบอร์ดควบคุมก็ได้

    นอกจากนี้ยังมีพอร์ต USB Type-A และ Type-C, ช่องเสียบ microSD สำหรับโหลด OS หรือ BIOS, จุดติดตั้ง SSD ขนาด 2.5 นิ้ว และไฟ RGB ที่ควบคุมผ่านเมนบอร์ดหรือคอนโทรลเลอร์แยก โต๊ะนี้ยังสามารถปรับขนาดให้รองรับ ATX, mATX และ Mini-ITX ได้ และมีโครงแบบโมดูลาร์ที่ติดตั้ง PSU หรือหม้อน้ำได้ตามต้องการ

    Thermal Grizzly เปิดตัว der8enchtable โต๊ะทดสอบระดับมืออาชีพ
    พัฒนาโดย Roman “der8auer” Hartung และ Elmor Labs

    โต๊ะใช้ PCB เป็นฐานหลักที่รวมพอร์ตและระบบควบคุมไว้ในแผ่นเดียว
    มีพอร์ต SATA, USB, microSD, และไฟ RGB ในตัว

    มีโซนควบคุมพัดลม 3 โซน และโซนปั๊มน้ำ 1 โซน
    แต่ละหัวต่อจ่ายไฟได้ 3A พร้อมฟิวส์แยก และควบคุมความเร็วได้

    รองรับการติดตั้ง SSD 2.5 นิ้ว 2 ลูก และ microSD ได้ 4 ช่อง
    เหมาะสำหรับโหลด OS, BIOS หรือไฟล์ทดสอบ

    มีพอร์ต USB Type-A 4 ช่อง และ Type-C 2 ช่อง
    ใช้พลังงานจาก PCIe 6-pin และเชื่อมต่อเมนบอร์ดผ่าน USB header

    รองรับเมนบอร์ด ATX, mATX, Mini-ITX และติดตั้ง PSU หรือหม้อน้ำได้
    มีสาย Velcro สำหรับจัดการสายไฟ และไฟ RGB ควบคุมผ่าน 3-pin header

    ราคาจำหน่ายอยู่ที่ $268.98 พร้อมอุปกรณ์ครบชุด
    รวมสาย, ขาตั้ง, อุปกรณ์ติดตั้ง และประแจ Allen

    der8enchtable ได้รับรางวัล Best of Computex 2025 จาก TechPowerUp
    เพราะรวมฟังก์ชันที่จำเป็นสำหรับนักทดสอบไว้ในอุปกรณ์เดียว

    โต๊ะนี้ช่วยลดเวลาการเปลี่ยนเมนบอร์ดและอุปกรณ์ต่าง ๆ
    โดยไม่ต้องถอดสายหรือติดตั้งใหม่ทุกครั้ง

    เหมาะสำหรับนักรีวิว, นักโอเวอร์คล็อก, และผู้พัฒนาไดรเวอร์หรือ BIOS
    เพราะสามารถทดสอบหลายระบบได้อย่างรวดเร็ว

    การใช้ PCB เป็นฐานช่วยให้การจัดการพลังงานและความเย็นมีประสิทธิภาพ
    โดยไม่ต้องพึ่งพาเคสหรือระบบแยก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/thermal-grizzly-and-der8auer-launch-the-der8enchtable-enthusiast-test-bench-boasts-an-open-design-integrated-pcb-for-storage-and-cooling
    🧪🛠️ เรื่องเล่าจากโต๊ะทดสอบ: der8enchtable โต๊ะทดสอบสุดล้ำที่รวมพลังงาน ความเย็น และการเชื่อมต่อไว้ในแผ่นเดียว ถ้าคุณเป็นสายฮาร์ดแวร์ที่ชอบทดสอบอุปกรณ์ เปลี่ยนเมนบอร์ดบ่อย ๆ หรือทำงานรีวิวอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โต๊ะทดสอบแบบเปิด (open bench table) คือเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ และล่าสุด Thermal Grizzly ร่วมกับ Roman “der8auer” Hartung และ Elmor Labs ได้เปิดตัว der8enchtable — โต๊ะทดสอบระดับมืออาชีพที่ไม่ใช่แค่โครงเหล็กวางเมนบอร์ด แต่เป็นแผ่น PCB ที่มีระบบควบคุมพัดลม ปั๊มน้ำ พอร์ตเก็บข้อมูล และไฟ RGB ในตัว der8enchtable เปิดตัวครั้งแรกในงาน Computex 2025 และคว้ารางวัลด้านการออกแบบทันที จุดเด่นคือการรวมพอร์ต SATA, USB, microSD, พัดลม และปั๊มน้ำไว้ในแผ่น PCB เดียว ทำให้ผู้ใช้สามารถ hot-swap อุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องต่อสายเข้ากับเมนบอร์ดโดยตรง โต๊ะนี้มีโซนควบคุมพัดลม 3 โซน (Fan Zones) และโซนปั๊มน้ำ 1 โซน (Pump Zone) โดยแต่ละโซนมีหัวต่อ 4-pin ที่จ่ายไฟได้ถึง 3A พร้อมฟิวส์แยก และสามารถควบคุมความเร็วได้แบบอิสระ หรือส่งต่อให้เมนบอร์ดควบคุมก็ได้ นอกจากนี้ยังมีพอร์ต USB Type-A และ Type-C, ช่องเสียบ microSD สำหรับโหลด OS หรือ BIOS, จุดติดตั้ง SSD ขนาด 2.5 นิ้ว และไฟ RGB ที่ควบคุมผ่านเมนบอร์ดหรือคอนโทรลเลอร์แยก โต๊ะนี้ยังสามารถปรับขนาดให้รองรับ ATX, mATX และ Mini-ITX ได้ และมีโครงแบบโมดูลาร์ที่ติดตั้ง PSU หรือหม้อน้ำได้ตามต้องการ ✅ Thermal Grizzly เปิดตัว der8enchtable โต๊ะทดสอบระดับมืออาชีพ ➡️ พัฒนาโดย Roman “der8auer” Hartung และ Elmor Labs ✅ โต๊ะใช้ PCB เป็นฐานหลักที่รวมพอร์ตและระบบควบคุมไว้ในแผ่นเดียว ➡️ มีพอร์ต SATA, USB, microSD, และไฟ RGB ในตัว ✅ มีโซนควบคุมพัดลม 3 โซน และโซนปั๊มน้ำ 1 โซน ➡️ แต่ละหัวต่อจ่ายไฟได้ 3A พร้อมฟิวส์แยก และควบคุมความเร็วได้ ✅ รองรับการติดตั้ง SSD 2.5 นิ้ว 2 ลูก และ microSD ได้ 4 ช่อง ➡️ เหมาะสำหรับโหลด OS, BIOS หรือไฟล์ทดสอบ ✅ มีพอร์ต USB Type-A 4 ช่อง และ Type-C 2 ช่อง ➡️ ใช้พลังงานจาก PCIe 6-pin และเชื่อมต่อเมนบอร์ดผ่าน USB header ✅ รองรับเมนบอร์ด ATX, mATX, Mini-ITX และติดตั้ง PSU หรือหม้อน้ำได้ ➡️ มีสาย Velcro สำหรับจัดการสายไฟ และไฟ RGB ควบคุมผ่าน 3-pin header ✅ ราคาจำหน่ายอยู่ที่ $268.98 พร้อมอุปกรณ์ครบชุด ➡️ รวมสาย, ขาตั้ง, อุปกรณ์ติดตั้ง และประแจ Allen ✅ der8enchtable ได้รับรางวัล Best of Computex 2025 จาก TechPowerUp ➡️ เพราะรวมฟังก์ชันที่จำเป็นสำหรับนักทดสอบไว้ในอุปกรณ์เดียว ✅ โต๊ะนี้ช่วยลดเวลาการเปลี่ยนเมนบอร์ดและอุปกรณ์ต่าง ๆ ➡️ โดยไม่ต้องถอดสายหรือติดตั้งใหม่ทุกครั้ง ✅ เหมาะสำหรับนักรีวิว, นักโอเวอร์คล็อก, และผู้พัฒนาไดรเวอร์หรือ BIOS ➡️ เพราะสามารถทดสอบหลายระบบได้อย่างรวดเร็ว ✅ การใช้ PCB เป็นฐานช่วยให้การจัดการพลังงานและความเย็นมีประสิทธิภาพ ➡️ โดยไม่ต้องพึ่งพาเคสหรือระบบแยก https://www.tomshardware.com/pc-components/thermal-grizzly-and-der8auer-launch-the-der8enchtable-enthusiast-test-bench-boasts-an-open-design-integrated-pcb-for-storage-and-cooling
    0 Comments 0 Shares 384 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Coffeematic PC – คอมพิวเตอร์ที่ชงกาแฟ และใช้กาแฟร้อนในการ “ระบายความร้อน”

    ในฤดูหนาวปี 2024 Doug MacDowell ศิลปินและนักสร้างสรรค์ ได้หยิบเครื่องชงกาแฟ GE Coffeematic รุ่นปี 1980 จากร้านของมือสอง แล้วดัดแปลงให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์เล่นเกมที่สามารถชงกาแฟได้จริง และใช้กาแฟร้อนในการระบายความร้อนของ CPU

    เขาใช้ชิ้นส่วนเก่าจากยุค 2000 เช่น เมนบอร์ด ASUS M2NPV-VM, CPU AMD Athlon II X4, RAM DDR2 และ SSD 240GB ติดตั้งลงบนตัวเครื่องชงกาแฟ พร้อมระบบท่อและปั๊มที่หมุนเวียนกาแฟร้อน (~90°C) ผ่านหม้อน้ำสองตัว ก่อนส่งไปยัง CPU เพื่อควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ที่ประมาณ 33°C

    แม้จะฟังดู “เกือบทำลายตัวเอง” แต่ Coffeematic PC กลับทำงานได้จริงทั้งในส่วนของคอมพิวเตอร์และเครื่องชงกาแฟ แม้จะไม่เหมาะกับการใช้งานทุกวัน และกาแฟที่ได้ก็ไม่ควรดื่มก็ตาม

    Coffeematic PC คือการรวมเครื่องชงกาแฟ GE รุ่นปี 1980 กับคอมพิวเตอร์เล่นเกม
    ใช้เมนบอร์ด ASUS M2NPV-VM และ CPU AMD Athlon II X4
    ติดตั้งบนตัวเครื่องด้วยแผ่นสแตนเลสและซีลกันน้ำ

    ระบบระบายความร้อนใช้กาแฟร้อนแทนน้ำหรือพัดลม
    กาแฟร้อน (~90°C) ถูกปั๊มผ่านหม้อน้ำก่อนถึง CPU
    อุณหภูมิ CPU คงที่ที่ ~33°C หลังหมุนเวียน 75 นาที

    ทั้งคอมพิวเตอร์และเครื่องชงกาแฟทำงานได้จริง
    สามารถชงกาแฟและเปิดระบบปฏิบัติการ Linux Mint ได้
    มีปั๊มแยกสำหรับจ่ายกาแฟให้ผู้ใช้โดยตรง

    เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ “coffee maker PC” ที่มีมาตั้งแต่ปี 2002
    มีรุ่นก่อนหน้าเช่น The Caffeine Machine (2002), Zotac Mekspresso (2018), Mr. Coffee PC (2019), Nerdforge (2024)
    Coffeematic PC เป็นรุ่นที่ 5 ในสายงานนี้

    โครงการนี้เน้นความคิดสร้างสรรค์มากกว่าการใช้งานจริง
    เป็นงานศิลปะเชิงเทคนิคที่ท้าทายขอบเขตของการออกแบบ
    แสดงในนิทรรศการ Sparklines พร้อมกราฟข้อมูลที่เขียนด้วยมือ

    กาแฟที่ใช้ในระบบไม่เหมาะสำหรับการบริโภค
    ท่อและปั๊มไม่ใช่อุปกรณ์สำหรับอาหาร
    อาจเกิดเชื้อราและสิ่งสกปรกสะสมในระบบ

    ระบบเปิดเผยสายไฟและชิ้นส่วนทั้งหมด อาจเกิดอันตรายจากน้ำหก
    การเติมน้ำผิดพลาดอาจทำให้ระบบไฟฟ้าลัดวงจร
    ไม่มีการป้องกันจากการสัมผัสโดยตรง

    ไม่เหมาะกับการใช้งานทุกวันหรือเป็นคอมพิวเตอร์หลัก
    ใช้ชิ้นส่วนเก่าที่ไม่รองรับซอฟต์แวร์ใหม่
    ประสิทธิภาพต่ำเมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน

    การใช้กาแฟร้อนในการระบายความร้อนอาจเสี่ยงต่อความเสียหายของ CPU
    อุณหภูมิเริ่มต้นสูงเกินกว่าที่ CPU ควรรับได้
    ต้องพึ่งพาหม้อน้ำและการควบคุมที่แม่นยำ

    https://www.dougmacdowell.com/coffeematic-pc.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Coffeematic PC – คอมพิวเตอร์ที่ชงกาแฟ และใช้กาแฟร้อนในการ “ระบายความร้อน” ในฤดูหนาวปี 2024 Doug MacDowell ศิลปินและนักสร้างสรรค์ ได้หยิบเครื่องชงกาแฟ GE Coffeematic รุ่นปี 1980 จากร้านของมือสอง แล้วดัดแปลงให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์เล่นเกมที่สามารถชงกาแฟได้จริง และใช้กาแฟร้อนในการระบายความร้อนของ CPU เขาใช้ชิ้นส่วนเก่าจากยุค 2000 เช่น เมนบอร์ด ASUS M2NPV-VM, CPU AMD Athlon II X4, RAM DDR2 และ SSD 240GB ติดตั้งลงบนตัวเครื่องชงกาแฟ พร้อมระบบท่อและปั๊มที่หมุนเวียนกาแฟร้อน (~90°C) ผ่านหม้อน้ำสองตัว ก่อนส่งไปยัง CPU เพื่อควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ที่ประมาณ 33°C แม้จะฟังดู “เกือบทำลายตัวเอง” แต่ Coffeematic PC กลับทำงานได้จริงทั้งในส่วนของคอมพิวเตอร์และเครื่องชงกาแฟ แม้จะไม่เหมาะกับการใช้งานทุกวัน และกาแฟที่ได้ก็ไม่ควรดื่มก็ตาม ✅ Coffeematic PC คือการรวมเครื่องชงกาแฟ GE รุ่นปี 1980 กับคอมพิวเตอร์เล่นเกม ➡️ ใช้เมนบอร์ด ASUS M2NPV-VM และ CPU AMD Athlon II X4 ➡️ ติดตั้งบนตัวเครื่องด้วยแผ่นสแตนเลสและซีลกันน้ำ ✅ ระบบระบายความร้อนใช้กาแฟร้อนแทนน้ำหรือพัดลม ➡️ กาแฟร้อน (~90°C) ถูกปั๊มผ่านหม้อน้ำก่อนถึง CPU ➡️ อุณหภูมิ CPU คงที่ที่ ~33°C หลังหมุนเวียน 75 นาที ✅ ทั้งคอมพิวเตอร์และเครื่องชงกาแฟทำงานได้จริง ➡️ สามารถชงกาแฟและเปิดระบบปฏิบัติการ Linux Mint ได้ ➡️ มีปั๊มแยกสำหรับจ่ายกาแฟให้ผู้ใช้โดยตรง ✅ เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ “coffee maker PC” ที่มีมาตั้งแต่ปี 2002 ➡️ มีรุ่นก่อนหน้าเช่น The Caffeine Machine (2002), Zotac Mekspresso (2018), Mr. Coffee PC (2019), Nerdforge (2024) ➡️ Coffeematic PC เป็นรุ่นที่ 5 ในสายงานนี้ ✅ โครงการนี้เน้นความคิดสร้างสรรค์มากกว่าการใช้งานจริง ➡️ เป็นงานศิลปะเชิงเทคนิคที่ท้าทายขอบเขตของการออกแบบ ➡️ แสดงในนิทรรศการ Sparklines พร้อมกราฟข้อมูลที่เขียนด้วยมือ ‼️ กาแฟที่ใช้ในระบบไม่เหมาะสำหรับการบริโภค ⛔ ท่อและปั๊มไม่ใช่อุปกรณ์สำหรับอาหาร ⛔ อาจเกิดเชื้อราและสิ่งสกปรกสะสมในระบบ ‼️ ระบบเปิดเผยสายไฟและชิ้นส่วนทั้งหมด อาจเกิดอันตรายจากน้ำหก ⛔ การเติมน้ำผิดพลาดอาจทำให้ระบบไฟฟ้าลัดวงจร ⛔ ไม่มีการป้องกันจากการสัมผัสโดยตรง ‼️ ไม่เหมาะกับการใช้งานทุกวันหรือเป็นคอมพิวเตอร์หลัก ⛔ ใช้ชิ้นส่วนเก่าที่ไม่รองรับซอฟต์แวร์ใหม่ ⛔ ประสิทธิภาพต่ำเมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน ‼️ การใช้กาแฟร้อนในการระบายความร้อนอาจเสี่ยงต่อความเสียหายของ CPU ⛔ อุณหภูมิเริ่มต้นสูงเกินกว่าที่ CPU ควรรับได้ ⛔ ต้องพึ่งพาหม้อน้ำและการควบคุมที่แม่นยำ https://www.dougmacdowell.com/coffeematic-pc.html
    WWW.DOUGMACDOWELL.COM
    Coffeematic PC – Coffee Maker Computer by Doug MacDowell
    A 1980s GE coffee maker converted into a working computer. Part art, part absurd machine, fully functional.
    0 Comments 0 Shares 247 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากพอร์ตชาร์จ: เมื่อการเสียบสายกลายเป็นการเปิดประตูให้แฮกเกอร์

    ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน โลกเคยตื่นตัวกับภัย “Juice Jacking” ที่ใช้พอร์ต USB สาธารณะในการติดตั้งมัลแวร์หรือขโมยข้อมูลจากมือถือที่เสียบชาร์จ ทำให้ผู้ผลิตระบบปฏิบัติการมือถืออย่าง Apple และ Google ต้องออกมาตรการป้องกัน เช่น การให้ผู้ใช้เลือก “Charge only” หรือ “Transfer files” ทุกครั้งที่เสียบสาย

    แต่ในปี 2025 นักวิจัยจาก Graz University of Technology ประเทศออสเตรีย ได้เปิดเผยเทคนิคใหม่ชื่อว่า Choicejacking ซึ่งสามารถหลอกให้มือถืออนุญาตการเชื่อมต่อข้อมูลโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว

    Choicejacking ไม่ใช่มัลแวร์แบบเดิม แต่ใช้การจำลองอุปกรณ์ USB หรือ Bluetooth เช่น คีย์บอร์ด เพื่อส่งคำสั่งปลอมไปยังมือถือให้ตอบตกลงกับหน้าต่างแจ้งเตือนการเชื่อมต่อข้อมูล โดยใช้เวลาเพียง 133 มิลลิวินาที—เร็วกว่าการกระพริบตา!

    Choicejacking เป็นเทคนิคใหม่ที่สามารถหลอกมือถือให้อนุญาตการเชื่อมต่อข้อมูลโดยไม่ต้องแตะหน้าจอ
    ใช้การจำลองอุปกรณ์ USB หรือ Bluetooth เพื่อส่งคำสั่งปลอม
    ใช้เวลาเพียง 133 มิลลิวินาทีในการดำเนินการ

    นักวิจัยจาก Graz University of Technology เป็นผู้ค้นพบและนำเสนอที่งาน USENIX Security Symposium 2025
    เป็นการพัฒนาต่อจาก Juice Jacking ที่เคยเป็นภัยใหญ่เมื่อสิบปีก่อน
    ได้รับการยอมรับจากผู้ผลิตมือถือรายใหญ่ เช่น Apple, Google, Samsung, Xiaomi

    Choicejacking สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น รูปภาพ, เอกสาร, ข้อมูลแอปพลิเคชัน
    ทดสอบกับมือถือจาก 8 ผู้ผลิตหลัก และพบว่าทุกเครื่องมีช่องโหว่
    บางรุ่นสามารถขโมยข้อมูลได้แม้หน้าจอจะล็อกอยู่

    มีการใช้เทคนิคเสริม เช่น การตรวจจับช่วงเวลาที่ผู้ใช้ไม่สังเกตหน้าจอผ่านสายไฟ (power line side-channel)
    ใช้ช่วงที่ผู้ใช้กำลังโทรศัพท์หรือดูวิดีโอเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    เพิ่มความแนบเนียนในการโจมตี

    ผู้ผลิตระบบปฏิบัติการเริ่มออกแพตช์เพื่อป้องกัน Choicejacking
    iOS 18.4 และ Android 15 เพิ่มการยืนยันตัวตนก่อนอนุญาตการเชื่อมต่อ USB
    แต่บางรุ่น เช่น Samsung ที่ใช้ One UI 7 ยังไม่มีการบังคับใช้การยืนยัน

    การใช้พอร์ต USB สาธารณะ เช่น ที่สนามบิน, โรงแรม, ร้านกาแฟ อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตี
    แม้จะดูปลอดภัย แต่พอร์ตอาจถูกดัดแปลงให้เป็นอุปกรณ์โจมตี
    การเสียบสายโดยไม่ระวังอาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลได้ทันที

    การโจมตีสามารถเกิดขึ้นได้แม้ผู้ใช้ไม่ได้แตะหน้าจอเลย
    ใช้การจำลองคีย์บอร์ดหรืออุปกรณ์ Bluetooth เพื่อส่งคำสั่งปลอม
    ผู้ใช้ไม่มีโอกาสเห็นหรือยกเลิกการอนุญาต

    มือถือบางรุ่นยังไม่มีการบังคับให้ยืนยันตัวตนก่อนอนุญาตการเชื่อมต่อข้อมูล
    แม้จะอัปเดตเป็น Android 15 แล้ว แต่บางแบรนด์ยังไม่เปิดใช้ฟีเจอร์นี้
    ทำให้ผู้ใช้ยังเสี่ยงต่อการถูกโจมตี Choicejacking

    อุปกรณ์ป้องกันแบบเดิม เช่น USB data blocker อาจไม่เพียงพออีกต่อไป
    Choicejacking ใช้ช่องทางใหม่ที่ไม่ถูกบล็อกโดยอุปกรณ์เหล่านี้
    ต้องใช้มาตรการเสริม เช่น สายชาร์จแบบ “charge-only” หรือ power bank ส่วนตัว

    https://hackread.com/choicejacking-attack-steals-data-phones-public-chargers/
    🔌 เรื่องเล่าจากพอร์ตชาร์จ: เมื่อการเสียบสายกลายเป็นการเปิดประตูให้แฮกเกอร์ ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน โลกเคยตื่นตัวกับภัย “Juice Jacking” ที่ใช้พอร์ต USB สาธารณะในการติดตั้งมัลแวร์หรือขโมยข้อมูลจากมือถือที่เสียบชาร์จ ทำให้ผู้ผลิตระบบปฏิบัติการมือถืออย่าง Apple และ Google ต้องออกมาตรการป้องกัน เช่น การให้ผู้ใช้เลือก “Charge only” หรือ “Transfer files” ทุกครั้งที่เสียบสาย แต่ในปี 2025 นักวิจัยจาก Graz University of Technology ประเทศออสเตรีย ได้เปิดเผยเทคนิคใหม่ชื่อว่า Choicejacking ซึ่งสามารถหลอกให้มือถืออนุญาตการเชื่อมต่อข้อมูลโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว Choicejacking ไม่ใช่มัลแวร์แบบเดิม แต่ใช้การจำลองอุปกรณ์ USB หรือ Bluetooth เช่น คีย์บอร์ด เพื่อส่งคำสั่งปลอมไปยังมือถือให้ตอบตกลงกับหน้าต่างแจ้งเตือนการเชื่อมต่อข้อมูล โดยใช้เวลาเพียง 133 มิลลิวินาที—เร็วกว่าการกระพริบตา! ✅ Choicejacking เป็นเทคนิคใหม่ที่สามารถหลอกมือถือให้อนุญาตการเชื่อมต่อข้อมูลโดยไม่ต้องแตะหน้าจอ ➡️ ใช้การจำลองอุปกรณ์ USB หรือ Bluetooth เพื่อส่งคำสั่งปลอม ➡️ ใช้เวลาเพียง 133 มิลลิวินาทีในการดำเนินการ ✅ นักวิจัยจาก Graz University of Technology เป็นผู้ค้นพบและนำเสนอที่งาน USENIX Security Symposium 2025 ➡️ เป็นการพัฒนาต่อจาก Juice Jacking ที่เคยเป็นภัยใหญ่เมื่อสิบปีก่อน ➡️ ได้รับการยอมรับจากผู้ผลิตมือถือรายใหญ่ เช่น Apple, Google, Samsung, Xiaomi ✅ Choicejacking สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น รูปภาพ, เอกสาร, ข้อมูลแอปพลิเคชัน ➡️ ทดสอบกับมือถือจาก 8 ผู้ผลิตหลัก และพบว่าทุกเครื่องมีช่องโหว่ ➡️ บางรุ่นสามารถขโมยข้อมูลได้แม้หน้าจอจะล็อกอยู่ ✅ มีการใช้เทคนิคเสริม เช่น การตรวจจับช่วงเวลาที่ผู้ใช้ไม่สังเกตหน้าจอผ่านสายไฟ (power line side-channel) ➡️ ใช้ช่วงที่ผู้ใช้กำลังโทรศัพท์หรือดูวิดีโอเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ เพิ่มความแนบเนียนในการโจมตี ✅ ผู้ผลิตระบบปฏิบัติการเริ่มออกแพตช์เพื่อป้องกัน Choicejacking ➡️ iOS 18.4 และ Android 15 เพิ่มการยืนยันตัวตนก่อนอนุญาตการเชื่อมต่อ USB ➡️ แต่บางรุ่น เช่น Samsung ที่ใช้ One UI 7 ยังไม่มีการบังคับใช้การยืนยัน ‼️ การใช้พอร์ต USB สาธารณะ เช่น ที่สนามบิน, โรงแรม, ร้านกาแฟ อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตี ⛔ แม้จะดูปลอดภัย แต่พอร์ตอาจถูกดัดแปลงให้เป็นอุปกรณ์โจมตี ⛔ การเสียบสายโดยไม่ระวังอาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลได้ทันที ‼️ การโจมตีสามารถเกิดขึ้นได้แม้ผู้ใช้ไม่ได้แตะหน้าจอเลย ⛔ ใช้การจำลองคีย์บอร์ดหรืออุปกรณ์ Bluetooth เพื่อส่งคำสั่งปลอม ⛔ ผู้ใช้ไม่มีโอกาสเห็นหรือยกเลิกการอนุญาต ‼️ มือถือบางรุ่นยังไม่มีการบังคับให้ยืนยันตัวตนก่อนอนุญาตการเชื่อมต่อข้อมูล ⛔ แม้จะอัปเดตเป็น Android 15 แล้ว แต่บางแบรนด์ยังไม่เปิดใช้ฟีเจอร์นี้ ⛔ ทำให้ผู้ใช้ยังเสี่ยงต่อการถูกโจมตี Choicejacking ‼️ อุปกรณ์ป้องกันแบบเดิม เช่น USB data blocker อาจไม่เพียงพออีกต่อไป ⛔ Choicejacking ใช้ช่องทางใหม่ที่ไม่ถูกบล็อกโดยอุปกรณ์เหล่านี้ ⛔ ต้องใช้มาตรการเสริม เช่น สายชาร์จแบบ “charge-only” หรือ power bank ส่วนตัว https://hackread.com/choicejacking-attack-steals-data-phones-public-chargers/
    HACKREAD.COM
    New Choicejacking Attack Steals Data from Phones via Public Chargers
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 399 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกฮาร์ดแวร์: เมื่อสล็อตเดียวกลายเป็นศูนย์กลางพลังประมวลผลและจัดเก็บข้อมูล

    Rocket 7638D คือการ์ดเสริมที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาความจำกัดของพื้นที่ในเซิร์ฟเวอร์และเวิร์กสเตชัน โดยรวมการเชื่อมต่อ GPU ภายนอกและ SSD NVMe ภายในไว้ในสล็อต PCIe เดียว รองรับ GPU ขนาดใหญ่ระดับ RTX 5090 ผ่านพอร์ต CDFP และเชื่อมต่อ SSD ได้ถึง 16 ตัวผ่านพอร์ต MCIO

    เมื่อจับคู่กับ SSD ขนาด 245.66TB อย่าง Kioxia LC9 ก็สามารถสร้างระบบจัดเก็บข้อมูลได้ถึง 4PB—เหมาะสำหรับงาน AI inference, HPC, การตัดต่อวิดีโอระดับมืออาชีพ และงานที่ต้องการความหนาแน่นสูง

    HighPoint เปิดตัว Rocket 7638D ที่งาน FMS2025
    เป็นการ์ด PCIe Gen5 x16 แบบ single-slot
    รวม GPU และ SSD ไว้ในสล็อตเดียว

    รองรับ GPU ระดับสูงผ่านพอร์ต CDFP
    รองรับ GPU Gen5 แบบ dual/triple-slot ยาวถึง 370mm
    ใช้งานร่วมกับ Nvidia GeForce RTX 5090 ได้

    รองรับ SSD NVMe ได้สูงสุด 16 ตัวผ่านพอร์ต MCIO
    ใช้สายมาตรฐานหรือ backplane
    รองรับ SSD ขนาดใหญ่ เช่น Kioxia LC9 (245.66TB)

    สามารถสร้างระบบจัดเก็บข้อมูลได้ถึง 4PB
    เหมาะสำหรับงาน AI, HPC, และ media production
    ลดจำนวนสล็อตที่ต้องใช้ในระบบ

    มีฟีเจอร์สำหรับการจัดการและตรวจสอบระบบ
    มี LED, CLI, และเครื่องมือ firmware สำหรับจัดการ lane, power, และสถานะอุปกรณ์
    รองรับการตรวจสอบแบบเรียลไทม์

    เป็นส่วนหนึ่งของ Rocket Series ที่รองรับ NVMe หลากหลายรูปแบบ
    M.2, U.2/U.3, E1.S, E3.S, ESDFF
    รองรับการขยายระบบได้ถึง 32 SSD หรือ 8 accelerators ต่อสล็อต

    การใช้งาน Rocket 7638D อาจเผชิญข้อจำกัดด้านพลังงานและความร้อน
    ต้องมีระบบระบายความร้อนและจ่ายไฟที่เหมาะสม
    หากไม่จัดการดี อาจเกิดปัญหาเสถียรภาพหรือประสิทธิภาพลดลง

    การ์ดระดับนี้มีราคาสูงและต้องการระบบที่รองรับ Gen5 เต็มรูปแบบ
    เมนบอร์ดและระบบต้องรองรับ PCIe Gen5 x16
    อุปกรณ์เสริม เช่น backplane และสาย MCIO อาจมีต้นทุนเพิ่มเติม

    การรวม GPU และ SSD ไว้ในสล็อตเดียวอาจทำให้การบำรุงรักษาซับซ้อนขึ้น
    หากอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งเสีย อาจต้องถอดทั้งการ์ด
    การจัดการความร้อนและสายไฟต้องวางแผนอย่างรอบคอบ

    https://www.techradar.com/pro/want-to-host-an-nvidia-geforce-rtx-5090-gpu-and-up-to-4pb-of-ssd-storage-on-one-single-pcie-slot-heres-how-to-do-it
    🚀 เรื่องเล่าจากโลกฮาร์ดแวร์: เมื่อสล็อตเดียวกลายเป็นศูนย์กลางพลังประมวลผลและจัดเก็บข้อมูล Rocket 7638D คือการ์ดเสริมที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาความจำกัดของพื้นที่ในเซิร์ฟเวอร์และเวิร์กสเตชัน โดยรวมการเชื่อมต่อ GPU ภายนอกและ SSD NVMe ภายในไว้ในสล็อต PCIe เดียว รองรับ GPU ขนาดใหญ่ระดับ RTX 5090 ผ่านพอร์ต CDFP และเชื่อมต่อ SSD ได้ถึง 16 ตัวผ่านพอร์ต MCIO เมื่อจับคู่กับ SSD ขนาด 245.66TB อย่าง Kioxia LC9 ก็สามารถสร้างระบบจัดเก็บข้อมูลได้ถึง 4PB—เหมาะสำหรับงาน AI inference, HPC, การตัดต่อวิดีโอระดับมืออาชีพ และงานที่ต้องการความหนาแน่นสูง ✅ HighPoint เปิดตัว Rocket 7638D ที่งาน FMS2025 ➡️ เป็นการ์ด PCIe Gen5 x16 แบบ single-slot ➡️ รวม GPU และ SSD ไว้ในสล็อตเดียว ✅ รองรับ GPU ระดับสูงผ่านพอร์ต CDFP ➡️ รองรับ GPU Gen5 แบบ dual/triple-slot ยาวถึง 370mm ➡️ ใช้งานร่วมกับ Nvidia GeForce RTX 5090 ได้ ✅ รองรับ SSD NVMe ได้สูงสุด 16 ตัวผ่านพอร์ต MCIO ➡️ ใช้สายมาตรฐานหรือ backplane ➡️ รองรับ SSD ขนาดใหญ่ เช่น Kioxia LC9 (245.66TB) ✅ สามารถสร้างระบบจัดเก็บข้อมูลได้ถึง 4PB ➡️ เหมาะสำหรับงาน AI, HPC, และ media production ➡️ ลดจำนวนสล็อตที่ต้องใช้ในระบบ ✅ มีฟีเจอร์สำหรับการจัดการและตรวจสอบระบบ ➡️ มี LED, CLI, และเครื่องมือ firmware สำหรับจัดการ lane, power, และสถานะอุปกรณ์ ➡️ รองรับการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ ✅ เป็นส่วนหนึ่งของ Rocket Series ที่รองรับ NVMe หลากหลายรูปแบบ ➡️ M.2, U.2/U.3, E1.S, E3.S, ESDFF ➡️ รองรับการขยายระบบได้ถึง 32 SSD หรือ 8 accelerators ต่อสล็อต ‼️ การใช้งาน Rocket 7638D อาจเผชิญข้อจำกัดด้านพลังงานและความร้อน ⛔ ต้องมีระบบระบายความร้อนและจ่ายไฟที่เหมาะสม ⛔ หากไม่จัดการดี อาจเกิดปัญหาเสถียรภาพหรือประสิทธิภาพลดลง ‼️ การ์ดระดับนี้มีราคาสูงและต้องการระบบที่รองรับ Gen5 เต็มรูปแบบ ⛔ เมนบอร์ดและระบบต้องรองรับ PCIe Gen5 x16 ⛔ อุปกรณ์เสริม เช่น backplane และสาย MCIO อาจมีต้นทุนเพิ่มเติม ‼️ การรวม GPU และ SSD ไว้ในสล็อตเดียวอาจทำให้การบำรุงรักษาซับซ้อนขึ้น ⛔ หากอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งเสีย อาจต้องถอดทั้งการ์ด ⛔ การจัดการความร้อนและสายไฟต้องวางแผนอย่างรอบคอบ https://www.techradar.com/pro/want-to-host-an-nvidia-geforce-rtx-5090-gpu-and-up-to-4pb-of-ssd-storage-on-one-single-pcie-slot-heres-how-to-do-it
    0 Comments 0 Shares 253 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก BIOS หลุดที่ทำให้ GPU แรง: เมื่อ RTX 5090D ถูกปลดล็อกให้กินไฟเกิน 2,000 วัตต์

    BIOS XOC ตัวนี้ไม่ได้มาจาก ASUS โดยตรง แต่ถูกอัปโหลดเข้าสู่ฐานข้อมูล TechPowerUp GPU BIOS DB และได้รับการยืนยันว่าใช้งานได้จริง โดย:
    - ปลดล็อก TDP จาก 575 W เป็น 2,001 W (เพิ่มขึ้น 3.5 เท่า)
    - ต้องใช้สายไฟแบบ 12V-2×6 หลายเส้น หรือระบบจ่ายไฟแบบ custom
    - ต้องใช้ระบบระบายความร้อนระดับน้ำหรือ LN2 เท่านั้น
    - การติดตั้ง BIOS นี้จะทำให้หมดประกันทันที

    อย่างไรก็ตาม BIOS นี้ยังมีโหมดลด TDP ลงเหลือ 400 W สำหรับการทดลอง undervolt ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่น่าสนใจสำหรับสายประหยัดพลังงาน

    ผู้ใช้ในฟอรั่ม TechPowerUp แสดงความคิดเห็นว่า:
    - BIOS นี้ไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้งานที่ 2,000 W จริง แต่เพื่อป้องกันการจำกัดพลังงานในช่วง spike
    - การใช้งานจริงอาจอยู่ที่ 1,000–1,300 W หากใช้ระบบระบายความร้อนแบบ sub-ambient

    https://www.techpowerup.com/339197/2-001-watt-xoc-bios-for-asus-rog-astral-rtx-5090d-appears
    🎙️ เรื่องเล่าจาก BIOS หลุดที่ทำให้ GPU แรง: เมื่อ RTX 5090D ถูกปลดล็อกให้กินไฟเกิน 2,000 วัตต์ BIOS XOC ตัวนี้ไม่ได้มาจาก ASUS โดยตรง แต่ถูกอัปโหลดเข้าสู่ฐานข้อมูล TechPowerUp GPU BIOS DB และได้รับการยืนยันว่าใช้งานได้จริง โดย: - ปลดล็อก TDP จาก 575 W เป็น 2,001 W (เพิ่มขึ้น 3.5 เท่า) - ต้องใช้สายไฟแบบ 12V-2×6 หลายเส้น หรือระบบจ่ายไฟแบบ custom - ต้องใช้ระบบระบายความร้อนระดับน้ำหรือ LN2 เท่านั้น - การติดตั้ง BIOS นี้จะทำให้หมดประกันทันที อย่างไรก็ตาม BIOS นี้ยังมีโหมดลด TDP ลงเหลือ 400 W สำหรับการทดลอง undervolt ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่น่าสนใจสำหรับสายประหยัดพลังงาน ผู้ใช้ในฟอรั่ม TechPowerUp แสดงความคิดเห็นว่า: - BIOS นี้ไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้งานที่ 2,000 W จริง แต่เพื่อป้องกันการจำกัดพลังงานในช่วง spike - การใช้งานจริงอาจอยู่ที่ 1,000–1,300 W หากใช้ระบบระบายความร้อนแบบ sub-ambient https://www.techpowerup.com/339197/2-001-watt-xoc-bios-for-asus-rog-astral-rtx-5090d-appears
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    2,001 Watt XOC BIOS for ASUS ROG Astral RTX 5090D Appears
    An unverified 2,001-watt XOC BIOS for the China-exclusive ASUS ROG Astral RTX 5090D has surfaced on the TechPowerUp GPU BIOS DB, instantly tripling the card's stock 575 W limit. And just like last week's China-only GALAX HOF leak, it's opening kilowatt-class overclocking to enthusiasts who are willi...
    0 Comments 0 Shares 212 Views 0 Reviews
More Results