• 🖧 TSMC เปิดตัวโซลูชัน Optical Connectivity สำหรับชิป AI รุ่นใหม่

    ที่งาน TSMC European OIP Forum ล่าสุด บริษัท Alchip และ Ayar Labs ได้ร่วมกันสาธิตโซลูชันเชื่อมต่อแบบ Optical I/O ที่สร้างบนแพลตฟอร์ม COUPE (Compact Universal Photonic Engine) ของ TSMC ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผล AI รุ่นใหม่ โซลูชันนี้สามารถส่งข้อมูลได้สูงสุดถึง 100 Tb/s ต่อหนึ่งตัวเร่งความเร็ว (accelerator) และรองรับการเชื่อมต่อกับชิปอื่น ๆ ผ่านมาตรฐาน UCIe interface

    สิ่งที่น่าสนใจคือ โซลูชันนี้ช่วยให้บริษัทขนาดเล็กที่ไม่มีทรัพยากรในการพัฒนา subsystem ด้าน optical เอง สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีระดับสูงได้ โดยใช้โมดูลที่พร้อมใช้งานจาก Alchip และ Ayar Labs ทำให้ลดต้นทุนการลงทุนหลายสิบล้านดอลลาร์ และยังสามารถขยายระบบได้ในระดับ rack-scale หรือ multi-rack-scale เพื่อเชื่อมต่อชิปจำนวนมหาศาลให้ทำงานเหมือนเป็นโปรเซสเซอร์เดียว

    ในเชิงเทคนิค โซลูชันนี้ประกอบด้วย สาม chiplets ได้แก่ ตัว protocol converter ของ Alchip, ตัว EIC (electrical interface die) และตัว PIC (photonic integrated circuit) ของ Ayar Labs ที่ใช้สถาปัตยกรรม microring พร้อมตัวเชื่อมต่อไฟเบอร์แบบถอดได้ รองรับทั้ง PAM4 CWDM และ DWDM ซึ่งให้ latency ต่ำและอัตราความผิดพลาดของข้อมูล (BER) ที่ดีมาก

    นอกจากการเชื่อมต่อระหว่างชิปแล้ว ทีมพัฒนายังมองว่าโซลูชันนี้สามารถนำไปใช้เป็น memory extender ได้ด้วย โดย reference design ที่นำเสนอมีการรวม accelerator dies, HBM stacks และ optical engines บน substrate เดียว ทำให้เกิดการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพสูงและใช้พลังงานต่ำ ซึ่งอาจเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนา AI accelerators ในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    โซลูชัน Optical I/O จาก TSMC, Alchip และ Ayar Labs
    รองรับ bandwidth สูงสุด 100 Tb/s ต่อ accelerator
    ใช้มาตรฐาน UCIe interface เชื่อมต่อกับชิปอื่น ๆ

    ช่วยให้บริษัทขนาดเล็กเข้าถึงเทคโนโลยี optical connectivity ได้ง่ายขึ้น
    ลดต้นทุนการลงทุน subsystem optical หลายสิบล้านดอลลาร์
    สามารถขยายระบบได้ทั้ง rack-scale และ multi-rack-scale

    โครงสร้างสาม chiplets ที่ทำงานร่วมกัน
    Protocol converter รองรับ UCIe และ proprietary protocols
    PIC ของ Ayar Labs ใช้ microring architecture พร้อม fiber connector

    การใช้งานที่หลากหลาย
    เชื่อมต่อ XPU-to-XPU, XPU-to-switch และ switch-to-switch
    สามารถใช้เป็น memory extender ได้

    ความท้าทายและข้อควรระวัง
    การผลิตและบูรณาการ subsystem optical ต้องการความแม่นยำสูง
    หาก latency หรือ BER ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน อาจกระทบต่อประสิทธิภาพ AI accelerators
    การขยายระบบในระดับ multi-rack-scale อาจเพิ่มความซับซ้อนในการจัดการพลังงานและความเสถียร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/industrys-first-tsmc-coupe-based-optical-connectivity-solution-for-next-gen-ai-chips-displayed-alchip-and-ayar-labs-show-future-silicon-photonics-device
    🖧 TSMC เปิดตัวโซลูชัน Optical Connectivity สำหรับชิป AI รุ่นใหม่ ที่งาน TSMC European OIP Forum ล่าสุด บริษัท Alchip และ Ayar Labs ได้ร่วมกันสาธิตโซลูชันเชื่อมต่อแบบ Optical I/O ที่สร้างบนแพลตฟอร์ม COUPE (Compact Universal Photonic Engine) ของ TSMC ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผล AI รุ่นใหม่ โซลูชันนี้สามารถส่งข้อมูลได้สูงสุดถึง 100 Tb/s ต่อหนึ่งตัวเร่งความเร็ว (accelerator) และรองรับการเชื่อมต่อกับชิปอื่น ๆ ผ่านมาตรฐาน UCIe interface สิ่งที่น่าสนใจคือ โซลูชันนี้ช่วยให้บริษัทขนาดเล็กที่ไม่มีทรัพยากรในการพัฒนา subsystem ด้าน optical เอง สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีระดับสูงได้ โดยใช้โมดูลที่พร้อมใช้งานจาก Alchip และ Ayar Labs ทำให้ลดต้นทุนการลงทุนหลายสิบล้านดอลลาร์ และยังสามารถขยายระบบได้ในระดับ rack-scale หรือ multi-rack-scale เพื่อเชื่อมต่อชิปจำนวนมหาศาลให้ทำงานเหมือนเป็นโปรเซสเซอร์เดียว ในเชิงเทคนิค โซลูชันนี้ประกอบด้วย สาม chiplets ได้แก่ ตัว protocol converter ของ Alchip, ตัว EIC (electrical interface die) และตัว PIC (photonic integrated circuit) ของ Ayar Labs ที่ใช้สถาปัตยกรรม microring พร้อมตัวเชื่อมต่อไฟเบอร์แบบถอดได้ รองรับทั้ง PAM4 CWDM และ DWDM ซึ่งให้ latency ต่ำและอัตราความผิดพลาดของข้อมูล (BER) ที่ดีมาก นอกจากการเชื่อมต่อระหว่างชิปแล้ว ทีมพัฒนายังมองว่าโซลูชันนี้สามารถนำไปใช้เป็น memory extender ได้ด้วย โดย reference design ที่นำเสนอมีการรวม accelerator dies, HBM stacks และ optical engines บน substrate เดียว ทำให้เกิดการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพสูงและใช้พลังงานต่ำ ซึ่งอาจเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนา AI accelerators ในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ โซลูชัน Optical I/O จาก TSMC, Alchip และ Ayar Labs ➡️ รองรับ bandwidth สูงสุด 100 Tb/s ต่อ accelerator ➡️ ใช้มาตรฐาน UCIe interface เชื่อมต่อกับชิปอื่น ๆ ✅ ช่วยให้บริษัทขนาดเล็กเข้าถึงเทคโนโลยี optical connectivity ได้ง่ายขึ้น ➡️ ลดต้นทุนการลงทุน subsystem optical หลายสิบล้านดอลลาร์ ➡️ สามารถขยายระบบได้ทั้ง rack-scale และ multi-rack-scale ✅ โครงสร้างสาม chiplets ที่ทำงานร่วมกัน ➡️ Protocol converter รองรับ UCIe และ proprietary protocols ➡️ PIC ของ Ayar Labs ใช้ microring architecture พร้อม fiber connector ✅ การใช้งานที่หลากหลาย ➡️ เชื่อมต่อ XPU-to-XPU, XPU-to-switch และ switch-to-switch ➡️ สามารถใช้เป็น memory extender ได้ ‼️ ความท้าทายและข้อควรระวัง ⛔ การผลิตและบูรณาการ subsystem optical ต้องการความแม่นยำสูง ⛔ หาก latency หรือ BER ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน อาจกระทบต่อประสิทธิภาพ AI accelerators ⛔ การขยายระบบในระดับ multi-rack-scale อาจเพิ่มความซับซ้อนในการจัดการพลังงานและความเสถียร https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/industrys-first-tsmc-coupe-based-optical-connectivity-solution-for-next-gen-ai-chips-displayed-alchip-and-ayar-labs-show-future-silicon-photonics-device
    0 Comments 0 Shares 155 Views 0 Reviews
  • GNU Linux-Libre 6.18 Kernel สำหรับสายเสรีภาพซอฟต์แวร์

    โครงการ GNU Linux-Libre ประกาศเปิดตัว Kernel รุ่น 6.18 ซึ่งพัฒนาต่อยอดจาก Linux Kernel 6.18 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้ที่รักเสรีภาพซอฟต์แวร์สามารถใช้งานระบบที่ 100% ปราศจากโค้ด proprietary ได้อย่างมั่นใจ การอัปเดตครั้งนี้เน้นการทำความสะอาด (deblob) ไดรเวอร์ใหม่ ๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน Linux 6.18 เช่น FourSemi digital audio amplifier, TI TAS2783 speaker amplifier, และ Qualcomm GENI Serial Engine

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการทำความสะอาดสำหรับไดรเวอร์ที่มีการเปลี่ยนแปลง upstream เช่น Nova-Core, Intel XE, TI PRU Ethernet, และ Marvell WiFi-Ex รวมถึงการถอดการ deblob ของ TI WL1273 FM Radio driver เนื่องจากถูกลบออกไปแล้วใน upstream และการปรับตำแหน่ง deblob สำหรับ Lantiq GSWIP driver

    การอัปเดตยังครอบคลุมการทำความสะอาด devicetree files สำหรับอุปกรณ์จาก Qualcomm, Mediatek และ TI ARM64 ซึ่งช่วยให้ระบบ GNU/Linux ที่ใช้ Kernel นี้สามารถทำงานได้โดยไม่พึ่งพาโค้ด proprietary ใด ๆ ถือเป็นการยกระดับความเข้มงวดในการรักษาเสรีภาพของผู้ใช้และนักพัฒนา

    ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด compressed tarballs ของ GNU Linux-Libre 6.18 ได้จากเว็บไซต์ทางการ รวมถึงมีแพ็กเกจพร้อมใช้งานสำหรับดิสโทรสาย Debian (DEB) และ Red Hat (RPM) ผ่านโครงการ Freesh และ RPM Freedom ทำให้สามารถติดตั้งได้แทบทุกดิสโทร ไม่ว่าจะใช้แทน Kernel มาตรฐานหรือใช้งานควบคู่กัน

    สรุปสาระสำคัญ
    การทำความสะอาดไดรเวอร์ใหม่
    FourSemi digital audio amplifier
    TI TAS2783 speaker amplifier
    Qualcomm GENI Serial Engine

    การปรับปรุง deblob ไดรเวอร์เดิม
    Nova-Core, Intel XE, TI PRU Ethernet, Marvell WiFi-Ex
    TI WL1273 FM Radio driver ถูกถอดออก upstream
    Lantiq GSWIP driver ปรับตำแหน่ง deblob

    การทำความสะอาด devicetree files
    Qualcomm, Mediatek และ TI ARM64 devices

    การเผยแพร่และติดตั้ง
    มี compressed tarballs ให้ดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ทางการ
    มีแพ็กเกจ DEB และ RPM ผ่าน Freesh และ RPM Freedom

    ข้อควรระวัง
    ผู้ใช้ที่ต้องการไดรเวอร์ proprietary อาจพบข้อจำกัดในการใช้งาน
    การใช้ Kernel นี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการระบบ 100% free software เท่านั้น

    https://9to5linux.com/gnu-linux-libre-6-18-kernel-released-for-software-freedom-lovers
    🐧 GNU Linux-Libre 6.18 Kernel สำหรับสายเสรีภาพซอฟต์แวร์ โครงการ GNU Linux-Libre ประกาศเปิดตัว Kernel รุ่น 6.18 ซึ่งพัฒนาต่อยอดจาก Linux Kernel 6.18 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้ที่รักเสรีภาพซอฟต์แวร์สามารถใช้งานระบบที่ 100% ปราศจากโค้ด proprietary ได้อย่างมั่นใจ การอัปเดตครั้งนี้เน้นการทำความสะอาด (deblob) ไดรเวอร์ใหม่ ๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน Linux 6.18 เช่น FourSemi digital audio amplifier, TI TAS2783 speaker amplifier, และ Qualcomm GENI Serial Engine นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการทำความสะอาดสำหรับไดรเวอร์ที่มีการเปลี่ยนแปลง upstream เช่น Nova-Core, Intel XE, TI PRU Ethernet, และ Marvell WiFi-Ex รวมถึงการถอดการ deblob ของ TI WL1273 FM Radio driver เนื่องจากถูกลบออกไปแล้วใน upstream และการปรับตำแหน่ง deblob สำหรับ Lantiq GSWIP driver การอัปเดตยังครอบคลุมการทำความสะอาด devicetree files สำหรับอุปกรณ์จาก Qualcomm, Mediatek และ TI ARM64 ซึ่งช่วยให้ระบบ GNU/Linux ที่ใช้ Kernel นี้สามารถทำงานได้โดยไม่พึ่งพาโค้ด proprietary ใด ๆ ถือเป็นการยกระดับความเข้มงวดในการรักษาเสรีภาพของผู้ใช้และนักพัฒนา ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด compressed tarballs ของ GNU Linux-Libre 6.18 ได้จากเว็บไซต์ทางการ รวมถึงมีแพ็กเกจพร้อมใช้งานสำหรับดิสโทรสาย Debian (DEB) และ Red Hat (RPM) ผ่านโครงการ Freesh และ RPM Freedom ทำให้สามารถติดตั้งได้แทบทุกดิสโทร ไม่ว่าจะใช้แทน Kernel มาตรฐานหรือใช้งานควบคู่กัน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การทำความสะอาดไดรเวอร์ใหม่ ➡️ FourSemi digital audio amplifier ➡️ TI TAS2783 speaker amplifier ➡️ Qualcomm GENI Serial Engine ✅ การปรับปรุง deblob ไดรเวอร์เดิม ➡️ Nova-Core, Intel XE, TI PRU Ethernet, Marvell WiFi-Ex ➡️ TI WL1273 FM Radio driver ถูกถอดออก upstream ➡️ Lantiq GSWIP driver ปรับตำแหน่ง deblob ✅ การทำความสะอาด devicetree files ➡️ Qualcomm, Mediatek และ TI ARM64 devices ✅ การเผยแพร่และติดตั้ง ➡️ มี compressed tarballs ให้ดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ทางการ ➡️ มีแพ็กเกจ DEB และ RPM ผ่าน Freesh และ RPM Freedom ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ผู้ใช้ที่ต้องการไดรเวอร์ proprietary อาจพบข้อจำกัดในการใช้งาน ⛔ การใช้ Kernel นี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการระบบ 100% free software เท่านั้น https://9to5linux.com/gnu-linux-libre-6-18-kernel-released-for-software-freedom-lovers
    9TO5LINUX.COM
    GNU Linux-Libre 6.18 Kernel Released for Software Freedom Lovers - 9to5Linux
    GNU Linux-libre 6.18 kernel is now available for download based on Linux kernel 6.18 targeted at those who seek 100% freedom for their PCs.
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
  • “อุปกรณ์ที่ไม่ควรใช้แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้”

    แม้ว่าแบตเตอรี่แบบชาร์จใหม่ได้จะกลายเป็นมาตรฐานในชีวิตประจำวัน ทั้งสมาร์ทโฟน กล้อง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ แต่ก็มีบางกรณีที่แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียว (disposable) ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เหตุผลหลักคือ รูปแบบการคายประจุและแรงดันไฟฟ้า ที่แตกต่างกัน แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้จะคายประจุอย่างคงที่จนใกล้หมดแล้วแรงดันตกลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวจะคายประจุอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรในระยะยาว

    หนึ่งในกลุ่มอุปกรณ์ที่สำคัญคือ อุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น เครื่องตรวจจับควัน เครื่องตรวจจับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และไฟฉุกเฉิน ซึ่งต้องการแบตเตอรี่ที่สามารถเก็บพลังงานได้นานโดยไม่ต้องดูแลบ่อย ๆ แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวจึงเหมาะสมกว่า เพราะมีอายุการเก็บรักษายาวนานและพร้อมใช้งานเมื่อจำเป็น

    อีกกลุ่มคือ อุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังต่ำ ที่ใช้พลังงานเพียงเล็กน้อย เช่น นาฬิกาแขวน รีโมทคอนโทรล เทอร์โมสแตท และวิทยุขนาดเล็ก แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้มีการคายประจุเองแม้ไม่ได้ใช้งาน ทำให้ไม่เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการใช้งานต่อเนื่องยาวนานโดยไม่เปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อย ๆ

    สุดท้ายคือ อุปกรณ์ที่ใช้ไม่บ่อย เช่น ไฟฉายสำหรับแคมป์หรือไฟฉุกเฉินในบ้าน เนื่องจากแบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวสามารถเก็บพลังงานได้นานหลายปีโดยไม่เสื่อม ทำให้มั่นใจได้ว่าเมื่อหยิบมาใช้จะยังมีไฟฟ้าเพียงพอ ต่างจากแบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้ที่อาจหมดประจุเองเมื่อเก็บไว้นาน

    สรุปสาระสำคัญ
    อุปกรณ์ความปลอดภัย
    เครื่องตรวจจับควัน, เครื่องตรวจจับ CO, ไฟฉุกเฉินควรใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียว

    อุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังต่ำ
    นาฬิกาแขวน, รีโมทคอนโทรล, เทอร์โมสแตท, วิทยุเล็ก ๆ ใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวได้ดีกว่า

    อุปกรณ์ที่ใช้ไม่บ่อย
    ไฟฉายแคมป์, ไฟฉุกเฉิน ควรใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวเพื่อความมั่นใจ

    คำเตือน
    แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้มีแรงดันต่ำกว่า (1.2V เทียบกับ 1.5V) อาจทำให้อุปกรณ์บางชนิดทำงานผิดปกติ
    มีการคายประจุเองแม้ไม่ได้ใช้งาน ทำให้ไม่เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรระยะยาว

    https://www.slashgear.com/2039176/devices-should-not-use-rechargeable-batteries/
    🔋 “อุปกรณ์ที่ไม่ควรใช้แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้” แม้ว่าแบตเตอรี่แบบชาร์จใหม่ได้จะกลายเป็นมาตรฐานในชีวิตประจำวัน ทั้งสมาร์ทโฟน กล้อง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ แต่ก็มีบางกรณีที่แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียว (disposable) ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เหตุผลหลักคือ รูปแบบการคายประจุและแรงดันไฟฟ้า ที่แตกต่างกัน แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้จะคายประจุอย่างคงที่จนใกล้หมดแล้วแรงดันตกลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวจะคายประจุอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรในระยะยาว หนึ่งในกลุ่มอุปกรณ์ที่สำคัญคือ อุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น เครื่องตรวจจับควัน เครื่องตรวจจับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และไฟฉุกเฉิน ซึ่งต้องการแบตเตอรี่ที่สามารถเก็บพลังงานได้นานโดยไม่ต้องดูแลบ่อย ๆ แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวจึงเหมาะสมกว่า เพราะมีอายุการเก็บรักษายาวนานและพร้อมใช้งานเมื่อจำเป็น อีกกลุ่มคือ อุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังต่ำ ที่ใช้พลังงานเพียงเล็กน้อย เช่น นาฬิกาแขวน รีโมทคอนโทรล เทอร์โมสแตท และวิทยุขนาดเล็ก แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้มีการคายประจุเองแม้ไม่ได้ใช้งาน ทำให้ไม่เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการใช้งานต่อเนื่องยาวนานโดยไม่เปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อย ๆ สุดท้ายคือ อุปกรณ์ที่ใช้ไม่บ่อย เช่น ไฟฉายสำหรับแคมป์หรือไฟฉุกเฉินในบ้าน เนื่องจากแบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวสามารถเก็บพลังงานได้นานหลายปีโดยไม่เสื่อม ทำให้มั่นใจได้ว่าเมื่อหยิบมาใช้จะยังมีไฟฟ้าเพียงพอ ต่างจากแบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้ที่อาจหมดประจุเองเมื่อเก็บไว้นาน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ อุปกรณ์ความปลอดภัย ➡️ เครื่องตรวจจับควัน, เครื่องตรวจจับ CO, ไฟฉุกเฉินควรใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียว ✅ อุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังต่ำ ➡️ นาฬิกาแขวน, รีโมทคอนโทรล, เทอร์โมสแตท, วิทยุเล็ก ๆ ใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวได้ดีกว่า ✅ อุปกรณ์ที่ใช้ไม่บ่อย ➡️ ไฟฉายแคมป์, ไฟฉุกเฉิน ควรใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวเพื่อความมั่นใจ ‼️ คำเตือน ⛔ แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้มีแรงดันต่ำกว่า (1.2V เทียบกับ 1.5V) อาจทำให้อุปกรณ์บางชนิดทำงานผิดปกติ ⛔ มีการคายประจุเองแม้ไม่ได้ใช้งาน ทำให้ไม่เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรระยะยาว https://www.slashgear.com/2039176/devices-should-not-use-rechargeable-batteries/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Devices Should Not Use Rechargeable Batteries? - SlashGear
    Avoid using rechargeable batteries in smoke alarms, wall clocks, and remotes. Their lower voltage and self-discharge rates make single-use alkalines safer.
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • Archinstall 3.0.14 เปิดตัว: ติดตั้ง UEFI Bootloader ไปยัง Removable Location ได้แล้ว

    Archinstall รุ่น 3.0.14 มาพร้อมความสามารถใหม่ที่ให้ผู้ใช้ติดตั้ง UEFI Bootloader ไปยัง removable location ได้โดยตรง ซึ่งช่วยให้การจัดการระบบที่มีหลายดิสก์หรือการติดตั้งแบบพกพาง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง regex ให้รองรับ white-space และลบสัญลักษณ์ | ที่ไม่จำเป็นในการตรวจสอบค่า partition unit.

    การแก้ไขบั๊กและปรับปรุงระบบ
    รุ่นนี้แก้ไขปัญหาหลายอย่าง เช่น
    ปัญหา --needed argument ที่ทำให้ไม่สามารถ re-install ได้
    ปัญหา f-string ใน snapshot debug installation
    ปัญหา manual partitioning ที่แสดงหน้าจอว่างเปล่า
    ปัญหา GRUB fallback-from-removable logic

    นอกจากนี้ยังปรับปรุง Snapper-Grub integration ให้ทำงานคล้าย Timeshift สำหรับ snapshots.

    การใช้งานและการอัปเดต
    Archinstall 3.0.14 พร้อมใช้งานแล้วใน Arch Linux stable repositories และสามารถอัปเดตได้ทันทีด้วยคำสั่ง sudo pacman -Sy archinstall. รุ่นนี้จะเป็นค่าเริ่มต้นใน Arch Linux ISO snapshot วันที่ 1 ธันวาคม 2025 ทำให้ผู้ใช้ที่ติดตั้งใหม่สามารถใช้ฟีเจอร์ล่าสุดได้ทันที.

    ความสำคัญต่อผู้ใช้ Arch Linux
    การเพิ่มฟีเจอร์ removable UEFI bootloader location ถือเป็นการตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องการความยืดหยุ่น เช่น การติดตั้งบน external drive หรือการทำ dual-boot หลายระบบโดยไม่กระทบ bootloader หลักของเครื่อง.

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ฟีเจอร์ใหม่ใน Archinstall 3.0.14
    ติดตั้ง UEFI Bootloader ไปยัง removable location ได้
    ปรับปรุง regex ให้รองรับ white-space และลบ | ที่ไม่จำเป็น

    การแก้ไขบั๊ก
    ปัญหา --needed argument
    ปัญหา f-string ใน snapshot debug
    ปัญหา manual partitioning หน้าจอว่าง
    ปัญหา GRUB fallback-from-removable logic

    การปรับปรุงระบบ
    Snapper-Grub integration ทำงานคล้าย Timeshift
    พร้อมใช้งานใน Arch Linux stable repositories

    การอัปเดตและการใช้งาน
    ใช้คำสั่ง sudo pacman -Sy archinstall เพื่ออัปเดต
    จะเป็นค่าเริ่มต้นใน Arch Linux ISO snapshot 1 ธันวาคม 2025

    ข้อควรระวัง
    การติดตั้ง bootloader ไปยัง removable location หากตั้งค่าผิดอาจทำให้ระบบไม่บูต
    ผู้ใช้ที่ไม่คุ้นเคยกับการจัดการ partition ควรระวังการแก้ไขค่า unit
    การใช้ Snapper-Grub integration ต้องเข้าใจการทำงานของ snapshots มิฉะนั้นอาจทำให้ระบบ revert ผิดพลาด

    https://9to5linux.com/archinstall-3-0-14-allows-installing-an-uefi-bootloader-to-removable-locations
    📰 Archinstall 3.0.14 เปิดตัว: ติดตั้ง UEFI Bootloader ไปยัง Removable Location ได้แล้ว Archinstall รุ่น 3.0.14 มาพร้อมความสามารถใหม่ที่ให้ผู้ใช้ติดตั้ง UEFI Bootloader ไปยัง removable location ได้โดยตรง ซึ่งช่วยให้การจัดการระบบที่มีหลายดิสก์หรือการติดตั้งแบบพกพาง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง regex ให้รองรับ white-space และลบสัญลักษณ์ | ที่ไม่จำเป็นในการตรวจสอบค่า partition unit. 🔧 การแก้ไขบั๊กและปรับปรุงระบบ รุ่นนี้แก้ไขปัญหาหลายอย่าง เช่น ⭐ ปัญหา --needed argument ที่ทำให้ไม่สามารถ re-install ได้ ⭐ ปัญหา f-string ใน snapshot debug installation ⭐ ปัญหา manual partitioning ที่แสดงหน้าจอว่างเปล่า ⭐ ปัญหา GRUB fallback-from-removable logic นอกจากนี้ยังปรับปรุง Snapper-Grub integration ให้ทำงานคล้าย Timeshift สำหรับ snapshots. ⚡ การใช้งานและการอัปเดต Archinstall 3.0.14 พร้อมใช้งานแล้วใน Arch Linux stable repositories และสามารถอัปเดตได้ทันทีด้วยคำสั่ง sudo pacman -Sy archinstall. รุ่นนี้จะเป็นค่าเริ่มต้นใน Arch Linux ISO snapshot วันที่ 1 ธันวาคม 2025 ทำให้ผู้ใช้ที่ติดตั้งใหม่สามารถใช้ฟีเจอร์ล่าสุดได้ทันที. 🌐 ความสำคัญต่อผู้ใช้ Arch Linux การเพิ่มฟีเจอร์ removable UEFI bootloader location ถือเป็นการตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องการความยืดหยุ่น เช่น การติดตั้งบน external drive หรือการทำ dual-boot หลายระบบโดยไม่กระทบ bootloader หลักของเครื่อง. 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Archinstall 3.0.14 ➡️ ติดตั้ง UEFI Bootloader ไปยัง removable location ได้ ➡️ ปรับปรุง regex ให้รองรับ white-space และลบ | ที่ไม่จำเป็น ✅ การแก้ไขบั๊ก ➡️ ปัญหา --needed argument ➡️ ปัญหา f-string ใน snapshot debug ➡️ ปัญหา manual partitioning หน้าจอว่าง ➡️ ปัญหา GRUB fallback-from-removable logic ✅ การปรับปรุงระบบ ➡️ Snapper-Grub integration ทำงานคล้าย Timeshift ➡️ พร้อมใช้งานใน Arch Linux stable repositories ✅ การอัปเดตและการใช้งาน ➡️ ใช้คำสั่ง sudo pacman -Sy archinstall เพื่ออัปเดต ➡️ จะเป็นค่าเริ่มต้นใน Arch Linux ISO snapshot 1 ธันวาคม 2025 ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การติดตั้ง bootloader ไปยัง removable location หากตั้งค่าผิดอาจทำให้ระบบไม่บูต ⛔ ผู้ใช้ที่ไม่คุ้นเคยกับการจัดการ partition ควรระวังการแก้ไขค่า unit ⛔ การใช้ Snapper-Grub integration ต้องเข้าใจการทำงานของ snapshots มิฉะนั้นอาจทำให้ระบบ revert ผิดพลาด https://9to5linux.com/archinstall-3-0-14-allows-installing-an-uefi-bootloader-to-removable-locations
    9TO5LINUX.COM
    Archinstall 3.0.14 Allows UEFI Bootloader Installation to Removable Locations - 9to5Linux
    Archinstall 3.0.14 Arch Linux menu-based installer is now available with a new dialog to install the UEFI bootloader to a removable location.
    0 Comments 0 Shares 116 Views 0 Reviews
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar
    #รวมข่าวIT #20251129 #TechRadar

    AI อาจทำให้หลายงานหายไป
    มีรายงานใหม่ที่ทำให้ผู้บริหารทั่วโลกเริ่มกังวล เพราะผลการสำรวจพบว่าครึ่งหนึ่งของผู้บริหารมองว่าตอนนี้บริษัทมีพนักงานมากเกินความจำเป็นราว 10-19% และในอีกสามปีข้างหน้าอาจเกินถึง 30-50% สาเหตุหลักคือการนำ AI มาใช้ในงานประจำ เช่น งานหลังบ้าน งานบริการลูกค้า และงานเริ่มต้นด้านการเงินหรือ HR ที่ AI สามารถทำแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลายองค์กรจึงเริ่มคิดใหม่ว่าบทบาทของคนจะเปลี่ยนไปเป็นการทำงานร่วมกับ AI มากกว่าทำงานแทน AI โดยตรง ขณะเดียวกัน Amazon เองก็ยอมรับว่า AI จะทำให้คนทำงานบางส่วนลดลง แม้จะมีงานใหม่เกิดขึ้น แต่ภาพรวมคือจำนวนคนทำงานอาจลดลงในอนาคต
    https://www.techradar.com/pro/another-major-survey-warns-ai-could-lead-to-major-job-cuts-at-your-business

    แฮกเกอร์โจมตีผู้ใช้ Zendesk
    กลุ่ม Scattered Lapsus$ Hunters ที่เคยโจมตี Salesforce ตอนนี้หันมาเล่นงานผู้ใช้ Zendesk โดยใช้วิธีสร้างโดเมนปลอมกว่า 40 แห่งเพื่อหลอกให้คนกรอกข้อมูลเข้าสู่ระบบ บางครั้งถึงขั้นส่งตั๋วซัพพอร์ตปลอมเข้าไปในระบบ Zendesk เพื่อแพร่มัลแวร์และขโมยสิทธิ์การเข้าถึงของเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือ นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่ากลยุทธ์นี้อันตรายมาก เพราะมันเจาะตรงไปที่ทีมซัพพอร์ตที่มักต้องตอบสนองอย่างเร่งด่วน ทำให้มีโอกาสตกหลุมพรางสูง แม้จะมีข่าวโยงไปถึงการโจมตี Discord แต่กลุ่มนี้ก็ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง
    https://www.techradar.com/pro/security/zendesk-users-targeted-by-scattered-lapsus-usd-hunters-hackers-and-fake-support-sites

    ยุโรปนำหน้าด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แต่สหราชอาณาจักรเริ่มตามไม่ทัน
    รายงาน Digital Quality of Life Index 2025 ของ Surfshark เผยว่าประเทศในยุโรปครองอันดับต้น ๆ ด้านความปลอดภัยดิจิทัล เช่น ฟินแลนด์ เยอรมนี และฝรั่งเศส แต่สหราชอาณาจักรกลับตกอันดับจากที่เคยอยู่อันดับ 6 ด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ในปี 2024 ลงมาอยู่อันดับ 39 ในปีนี้ แม้ยังมีจุดแข็งเรื่องการคุ้มครองข้อมูลตามมาตรฐาน GDPR แต่ความก้าวหน้าด้านความปลอดภัยกลับช้ากว่าประเทศอื่น อย่างไรก็ตาม สหราชอาณาจักรยังมีจุดเด่นด้าน AI ที่ติดอันดับ 4 ของโลก ซึ่งอาจช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านความปลอดภัยในอนาคต
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/europe-tops-the-charts-in-digital-security-but-the-uk-might-be-quickly-falling-behind-says-surfshark

    OnePlus 15 เตรียมวางขายในสหรัฐฯ หลังผ่านการอนุมัติ
    สมาร์ทโฟน OnePlus 15 ที่เพิ่งเปิดตัวและได้รับคะแนนรีวิวเต็ม 5 ดาวจาก TechRadar กำลังจะเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ หลังผ่านการรับรองจาก FCC ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนวางขาย รุ่นนี้โดดเด่นด้วยประสิทธิภาพ แบตเตอรี่ และกล้องที่ยอดเยี่ยม จนถูกยกให้ “ดีกว่าสมบูรณ์แบบ” ราคาที่คาดว่าจะเริ่มต้นราว 899.99 ดอลลาร์ ถือเป็นการกลับมาท้าทายตลาดที่มักถูกครองโดย Samsung และ Google Pixel
    https://www.techradar.com/phones/oneplus-phones/the-oneplus-15-clears-its-final-hurdle-for-a-us-launch-heres-why-we-gave-the-flagship-a-rare-five-stars

    รัฐบาลอังกฤษกดดันบริษัทโทรคมนาคมให้โปร่งใสเรื่องราคา
    รัฐบาลอังกฤษโดยรัฐมนตรีการคลังและรัฐมนตรีเทคโนโลยีออกมาเรียกร้องให้บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ เช่น BT/EE, Vodafone, Sky และ TalkTalk แสดงรายละเอียดราคาที่ชัดเจนขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกค้าถูกขึ้นราคาที่ไม่คาดคิด โดยต้องเปลี่ยนจากการแจ้งเป็นเปอร์เซ็นต์มาเป็นตัวเลขจริงเป็นปอนด์และเพนนี นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้ประชาชนเข้าถึง 5G SA ภายในปี 2030 และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับกิกะบิตครอบคลุม 99% ภายในปี 2032
    https://www.techradar.com/pro/uk-government-tells-telecoms-to-do-more-to-protect-customers

    หลายเขตในลอนดอนถูกโจมตีทางไซเบอร์
    มีรายงานว่าหลายสภาท้องถิ่นในกรุงลอนดอนถูกโจมตีทางไซเบอร์ ทำให้ระบบบริการประชาชนบางส่วนหยุดชะงัก การโจมตีครั้งนี้สร้างความกังวลอย่างมากเพราะกระทบต่อข้อมูลและการทำงานของหน่วยงานท้องถิ่นที่ประชาชนพึ่งพาอยู่ทุกวัน แม้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดว่าใครอยู่เบื้องหลัง แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าหน่วยงานภาครัฐก็เป็นเป้าหมายสำคัญของแฮกเกอร์เช่นกัน และจำเป็นต้องเร่งเสริมมาตรการป้องกัน
    https://www.techradar.com/pro/security/multiple-london-councils-affected-by-apparent-cyberattack

    Cybersecurity Burnout: เมื่อโลกดิจิทัลทำให้คนทำงานหมดแรง
    ในวงการไซเบอร์ ความเร็วและแรงกดดันคือเรื่องปกติ แต่สิ่งที่ตามมาคือความเหนื่อยล้าสะสมจนกลายเป็น “burnout” ที่กระทบทั้งสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงาน งานวิจัยล่าสุดเผยว่ากว่า 76% ของผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์รู้สึกเหนื่อยล้าในปีที่ผ่านมา และ 69% บอกว่ามันแย่ลงเรื่อย ๆ ปัญหานี้ไม่ได้กระทบแค่ตัวบุคคล แต่ยังทำให้ทีมอ่อนแรง เสี่ยงต่อการถูกโจมตีมากขึ้น ทางออกคือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุน ลดภาระงาน และใช้บริการเสริมอย่าง MDR ที่ช่วยแบ่งเบาภาระได้จริง เรื่องนี้สะท้อนว่า “การป้องกันภัยไซเบอร์” ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของคนด้วย
    https://www.techradar.com/pro/tackling-cybersecurity-burnout-once-and-for-all

    Infosys กับแนวคิดทำงาน 72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
    Narayana Murthy ผู้ร่วมก่อตั้ง Infosys จุดกระแสอีกครั้งด้วยการเสนอให้พนักงานทำงาน 72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยมองว่านี่คือ “ความขยันที่แท้จริง” แต่เสียงวิจารณ์กลับดังสนั่น เพราะหลักฐานจาก WHO และการทดลองในหลายประเทศ เช่น ไอซ์แลนด์และญี่ปุ่น แสดงให้เห็นว่าการทำงานสั้นลงกลับทำให้ผลผลิตและสุขภาพดีขึ้น การผลักดันให้ทำงานหนักเกินไปจึงถูกมองว่าเป็นการละเลยความเป็นอยู่ของคนทำงาน และอาจย้อนกลับมาทำร้ายองค์กรเอง
    https://www.techradar.com/pro/infosys-co-founder-once-again-calls-for-longer-than-70-hour-weeks-and-no-hes-not-joking

    ChatGPT อายุครบ 3 ปี: จากกล่องข้อความสู่เครื่องมือสารพัด
    จากวันที่เปิดตัวในปี 2022 ในฐานะ “การทดลองวิจัย” ChatGPT กลายเป็นหนึ่งในแอปที่โตเร็วที่สุดในโลก และวันนี้มันไม่ใช่แค่เครื่องมือเขียนอีเมล แต่เป็นผู้ช่วยที่ทำได้ทั้งวางแผนทริป สร้างสไลด์ ดีบักโค้ด ไปจนถึงสร้างภาพและเสียง สามปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีเบื้องหลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจาก GPT-3.5 จนถึง GPT-5.1 พร้อมความสามารถแบบมัลติโหมดที่รองรับข้อความ ภาพ เสียง และวิดีโอ แม้ยังไม่ถึงขั้น “AGI” อย่างที่หลายคนฝัน แต่ก็เปลี่ยนวิธีที่ผู้คนใช้ AI ในชีวิตประจำวันไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt-turns-3-on-sunday-heres-how-far-its-really-come-and-where-its-heading-next

    Amazon Fire TV Stick รุ่นใหม่รองรับ VPN แล้ว
    ข่าวดีสำหรับสายสตรีมมิ่ง Amazon ปล่อยอัปเดต Vega OS ให้ Fire TV Stick รุ่นใหม่รองรับ VPN เป็นครั้งแรก ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงคอนเทนต์ต่างประเทศและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานได้ทันที อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีเพียง NordVPN และ IPVanish ที่พร้อมใช้งานบนระบบใหม่ ส่วนเจ้าอื่นยังตามไม่ทัน การมาของฟีเจอร์นี้ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์สตรีมมิ่งให้ปลอดภัยและหลากหลายขึ้น
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/vpn-support-lands-on-next-gen-amazon-fire-tv-stick-but-only-two-vpns-are-ready

    ช่องโหว่ใหม่ใน AI Browser: แค่ “#” ก็โดนเจาะได้
    นักวิจัยเผยเทคนิค “HashJack” ที่ใช้เพียงการใส่ข้อความหลังเครื่องหมาย # ใน URL ก็สามารถสั่งการ AI assistant ในเบราว์เซอร์ให้ทำงานตามคำสั่งแฝงได้ โดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว หน้าจอยังแสดงเว็บปกติ แต่เบื้องหลังข้อมูลอาจถูกส่งออกไปหรือถูกบิดเบือน นี่คือช่องโหว่ที่ทำให้การใช้ AI browser เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบแนบเนียน และยากต่อการตรวจจับ การป้องกันจึงต้องเข้มงวดทั้งที่ระดับเครื่องและการออกแบบระบบ ไม่ใช่แค่การตรวจสอบทราฟฟิกทั่วไป
    https://www.techradar.com/pro/thats-not-very-trendy-of-them-ai-browsers-can-be-hacked-with-a-simple-hashtag-experts-warn

    Malicious LLMs: เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือสร้างมัลแวร์
    นักวิจัยเตือนว่าระบบ AI ที่ถูกปรับแต่งอย่างไม่ถูกต้องสามารถกลายเป็น “ผู้ช่วยสร้างมัลแวร์” ให้แม้แต่แฮกเกอร์มือใหม่ได้ง่าย ๆ เพียงแค่พิมพ์คำสั่งก็สามารถสร้างโค้ดอันตรายที่ซับซ้อนขึ้นมาได้ทันที นี่คือการเปิดประตูให้ภัยไซเบอร์แพร่กระจายเร็วกว่าเดิม และทำให้โลกดิจิทัลเสี่ยงต่อการถูกโจมตีในวงกว้างมากขึ้น ปัญหานี้สะท้อนว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือสร้างสรรค์ แต่ยังอาจเป็นอาวุธหากถูกใช้ผิดทาง
    https://www.techradar.com/pro/security/malicious-llms-are-letting-even-unskilled-hackers-to-craft-dangerous-new-malware

    Tapo RV30 Max Plus: หุ่นยนต์ดูดฝุ่นราคาดิ่ง
    ใครที่มีปัญหาขนสุนัขเต็มบ้านคงยิ้มได้ เพราะ Tapo RV30 Max Plus ลดราคาหนักในช่วง Black Friday ทำให้การจัดการบ้านสะอาดง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเหนื่อยแรงเอง รุ่นนี้ถูกรีวิวว่าใช้งานง่าย ดูดแรง และช่วยประหยัดเวลาได้มาก การลดราคาครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีสำหรับคนที่อยากลองใช้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นโดยไม่ต้องจ่ายแพง
    https://www.techradar.com/seasonal-sales/tackling-a-sea-of-dog-hair-was-a-daily-headache-for-me-until-i-bought-this-robot-vacuum

    Cloudways vs InMotion Hosting: ศึกโฮสติ้ง WordPress
    สำหรับคนทำเว็บไซต์ WordPress การเลือกโฮสติ้งคือเรื่องสำคัญ บทความนี้เปรียบเทียบ Cloudways และ InMotion Hosting ว่าใครตอบโจทย์มากกว่ากัน ทั้งในด้านความเร็ว ความเสถียร การสนับสนุนลูกค้า และราคา ผลลัพธ์คือแต่ละเจ้าเหมาะกับกลุ่มผู้ใช้ต่างกัน Cloudways เด่นเรื่องความยืดหยุ่นและการปรับแต่ง ส่วน InMotion Hosting โดดเด่นด้านบริการลูกค้าและความคุ้มค่า
    https://www.techradar.com/pro/website-hosting/cloudways-vs-inmotion-hosting-which-is-better-for-wordpress-sites

    Commodore 64 กลับมาอีกครั้งหลังหายไป 30 ปี
    เครื่องคอมพิวเตอร์ในตำนาน Commodore 64 ที่เคยครองใจคนยุค 80 กำลังกลับมาผลิตใหม่อีกครั้ง แม้จะไม่ใช่เครื่องที่ตอบโจทย์การใช้งานสมัยใหม่ แต่ก็เป็นการปลุกความทรงจำและความหลงใหลในเทคโนโลยีคลาสสิก หลายคนมองว่ามันคือ “ของสะสม” มากกว่าคอมพิวเตอร์จริง ๆ และการกลับมาครั้งนี้ก็สร้างกระแสความตื่นเต้นในหมู่แฟน ๆ ได้ไม่น้อย
    https://www.techradar.com/computing/the-commodore-64-is-back-on-the-production-line-for-the-first-time-in-30-years-and-i-want-it-even-if-it-makes-zero-sense

    ระวังอีเมลหลอกลวงช่วงโบนัสคริสต์มาส
    ใกล้ช่วงโบนัสปลายปี แฮกเกอร์ก็ไม่พลาดโอกาสปลอมอีเมลหลอกลวงให้คนหลงเชื่อ โดยอ้างว่าเป็นการแจ้งโบนัสหรือสิทธิพิเศษ เพื่อให้เหยื่อคลิกและกรอกข้อมูลส่วนตัว ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าช่วงนี้ต้องตรวจสอบอีเมลอย่างละเอียด เพราะการโจมตีลักษณะนี้แพร่หลายมากขึ้น และอาจทำให้สูญเสียข้อมูลหรือเงินโดยไม่รู้ตัว
    ​​​​​​​ https://www.techradar.com/pro/security/excited-for-your-christmas-bonus-so-are-scammers-so-check-your-emails-carefully
    📌📡🟣 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🟣📡📌 #รวมข่าวIT #20251129 #TechRadar 🧑‍💻 AI อาจทำให้หลายงานหายไป มีรายงานใหม่ที่ทำให้ผู้บริหารทั่วโลกเริ่มกังวล เพราะผลการสำรวจพบว่าครึ่งหนึ่งของผู้บริหารมองว่าตอนนี้บริษัทมีพนักงานมากเกินความจำเป็นราว 10-19% และในอีกสามปีข้างหน้าอาจเกินถึง 30-50% สาเหตุหลักคือการนำ AI มาใช้ในงานประจำ เช่น งานหลังบ้าน งานบริการลูกค้า และงานเริ่มต้นด้านการเงินหรือ HR ที่ AI สามารถทำแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลายองค์กรจึงเริ่มคิดใหม่ว่าบทบาทของคนจะเปลี่ยนไปเป็นการทำงานร่วมกับ AI มากกว่าทำงานแทน AI โดยตรง ขณะเดียวกัน Amazon เองก็ยอมรับว่า AI จะทำให้คนทำงานบางส่วนลดลง แม้จะมีงานใหม่เกิดขึ้น แต่ภาพรวมคือจำนวนคนทำงานอาจลดลงในอนาคต 🔗 https://www.techradar.com/pro/another-major-survey-warns-ai-could-lead-to-major-job-cuts-at-your-business 🔒 แฮกเกอร์โจมตีผู้ใช้ Zendesk กลุ่ม Scattered Lapsus$ Hunters ที่เคยโจมตี Salesforce ตอนนี้หันมาเล่นงานผู้ใช้ Zendesk โดยใช้วิธีสร้างโดเมนปลอมกว่า 40 แห่งเพื่อหลอกให้คนกรอกข้อมูลเข้าสู่ระบบ บางครั้งถึงขั้นส่งตั๋วซัพพอร์ตปลอมเข้าไปในระบบ Zendesk เพื่อแพร่มัลแวร์และขโมยสิทธิ์การเข้าถึงของเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือ นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่ากลยุทธ์นี้อันตรายมาก เพราะมันเจาะตรงไปที่ทีมซัพพอร์ตที่มักต้องตอบสนองอย่างเร่งด่วน ทำให้มีโอกาสตกหลุมพรางสูง แม้จะมีข่าวโยงไปถึงการโจมตี Discord แต่กลุ่มนี้ก็ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/zendesk-users-targeted-by-scattered-lapsus-usd-hunters-hackers-and-fake-support-sites 🌍 ยุโรปนำหน้าด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แต่สหราชอาณาจักรเริ่มตามไม่ทัน รายงาน Digital Quality of Life Index 2025 ของ Surfshark เผยว่าประเทศในยุโรปครองอันดับต้น ๆ ด้านความปลอดภัยดิจิทัล เช่น ฟินแลนด์ เยอรมนี และฝรั่งเศส แต่สหราชอาณาจักรกลับตกอันดับจากที่เคยอยู่อันดับ 6 ด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ในปี 2024 ลงมาอยู่อันดับ 39 ในปีนี้ แม้ยังมีจุดแข็งเรื่องการคุ้มครองข้อมูลตามมาตรฐาน GDPR แต่ความก้าวหน้าด้านความปลอดภัยกลับช้ากว่าประเทศอื่น อย่างไรก็ตาม สหราชอาณาจักรยังมีจุดเด่นด้าน AI ที่ติดอันดับ 4 ของโลก ซึ่งอาจช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านความปลอดภัยในอนาคต 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/europe-tops-the-charts-in-digital-security-but-the-uk-might-be-quickly-falling-behind-says-surfshark 📱 OnePlus 15 เตรียมวางขายในสหรัฐฯ หลังผ่านการอนุมัติ สมาร์ทโฟน OnePlus 15 ที่เพิ่งเปิดตัวและได้รับคะแนนรีวิวเต็ม 5 ดาวจาก TechRadar กำลังจะเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ หลังผ่านการรับรองจาก FCC ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนวางขาย รุ่นนี้โดดเด่นด้วยประสิทธิภาพ แบตเตอรี่ และกล้องที่ยอดเยี่ยม จนถูกยกให้ “ดีกว่าสมบูรณ์แบบ” ราคาที่คาดว่าจะเริ่มต้นราว 899.99 ดอลลาร์ ถือเป็นการกลับมาท้าทายตลาดที่มักถูกครองโดย Samsung และ Google Pixel 🔗 https://www.techradar.com/phones/oneplus-phones/the-oneplus-15-clears-its-final-hurdle-for-a-us-launch-heres-why-we-gave-the-flagship-a-rare-five-stars 📡 รัฐบาลอังกฤษกดดันบริษัทโทรคมนาคมให้โปร่งใสเรื่องราคา รัฐบาลอังกฤษโดยรัฐมนตรีการคลังและรัฐมนตรีเทคโนโลยีออกมาเรียกร้องให้บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ เช่น BT/EE, Vodafone, Sky และ TalkTalk แสดงรายละเอียดราคาที่ชัดเจนขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกค้าถูกขึ้นราคาที่ไม่คาดคิด โดยต้องเปลี่ยนจากการแจ้งเป็นเปอร์เซ็นต์มาเป็นตัวเลขจริงเป็นปอนด์และเพนนี นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้ประชาชนเข้าถึง 5G SA ภายในปี 2030 และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับกิกะบิตครอบคลุม 99% ภายในปี 2032 🔗 https://www.techradar.com/pro/uk-government-tells-telecoms-to-do-more-to-protect-customers 🏙️ หลายเขตในลอนดอนถูกโจมตีทางไซเบอร์ มีรายงานว่าหลายสภาท้องถิ่นในกรุงลอนดอนถูกโจมตีทางไซเบอร์ ทำให้ระบบบริการประชาชนบางส่วนหยุดชะงัก การโจมตีครั้งนี้สร้างความกังวลอย่างมากเพราะกระทบต่อข้อมูลและการทำงานของหน่วยงานท้องถิ่นที่ประชาชนพึ่งพาอยู่ทุกวัน แม้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดว่าใครอยู่เบื้องหลัง แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าหน่วยงานภาครัฐก็เป็นเป้าหมายสำคัญของแฮกเกอร์เช่นกัน และจำเป็นต้องเร่งเสริมมาตรการป้องกัน 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/multiple-london-councils-affected-by-apparent-cyberattack 🛡️ Cybersecurity Burnout: เมื่อโลกดิจิทัลทำให้คนทำงานหมดแรง ในวงการไซเบอร์ ความเร็วและแรงกดดันคือเรื่องปกติ แต่สิ่งที่ตามมาคือความเหนื่อยล้าสะสมจนกลายเป็น “burnout” ที่กระทบทั้งสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงาน งานวิจัยล่าสุดเผยว่ากว่า 76% ของผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์รู้สึกเหนื่อยล้าในปีที่ผ่านมา และ 69% บอกว่ามันแย่ลงเรื่อย ๆ ปัญหานี้ไม่ได้กระทบแค่ตัวบุคคล แต่ยังทำให้ทีมอ่อนแรง เสี่ยงต่อการถูกโจมตีมากขึ้น ทางออกคือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุน ลดภาระงาน และใช้บริการเสริมอย่าง MDR ที่ช่วยแบ่งเบาภาระได้จริง เรื่องนี้สะท้อนว่า “การป้องกันภัยไซเบอร์” ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของคนด้วย 🔗 https://www.techradar.com/pro/tackling-cybersecurity-burnout-once-and-for-all ⏱️ Infosys กับแนวคิดทำงาน 72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ Narayana Murthy ผู้ร่วมก่อตั้ง Infosys จุดกระแสอีกครั้งด้วยการเสนอให้พนักงานทำงาน 72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยมองว่านี่คือ “ความขยันที่แท้จริง” แต่เสียงวิจารณ์กลับดังสนั่น เพราะหลักฐานจาก WHO และการทดลองในหลายประเทศ เช่น ไอซ์แลนด์และญี่ปุ่น แสดงให้เห็นว่าการทำงานสั้นลงกลับทำให้ผลผลิตและสุขภาพดีขึ้น การผลักดันให้ทำงานหนักเกินไปจึงถูกมองว่าเป็นการละเลยความเป็นอยู่ของคนทำงาน และอาจย้อนกลับมาทำร้ายองค์กรเอง 🔗 https://www.techradar.com/pro/infosys-co-founder-once-again-calls-for-longer-than-70-hour-weeks-and-no-hes-not-joking 🤖 ChatGPT อายุครบ 3 ปี: จากกล่องข้อความสู่เครื่องมือสารพัด จากวันที่เปิดตัวในปี 2022 ในฐานะ “การทดลองวิจัย” ChatGPT กลายเป็นหนึ่งในแอปที่โตเร็วที่สุดในโลก และวันนี้มันไม่ใช่แค่เครื่องมือเขียนอีเมล แต่เป็นผู้ช่วยที่ทำได้ทั้งวางแผนทริป สร้างสไลด์ ดีบักโค้ด ไปจนถึงสร้างภาพและเสียง สามปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีเบื้องหลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจาก GPT-3.5 จนถึง GPT-5.1 พร้อมความสามารถแบบมัลติโหมดที่รองรับข้อความ ภาพ เสียง และวิดีโอ แม้ยังไม่ถึงขั้น “AGI” อย่างที่หลายคนฝัน แต่ก็เปลี่ยนวิธีที่ผู้คนใช้ AI ในชีวิตประจำวันไปแล้วอย่างสิ้นเชิง 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt-turns-3-on-sunday-heres-how-far-its-really-come-and-where-its-heading-next 📺 Amazon Fire TV Stick รุ่นใหม่รองรับ VPN แล้ว ข่าวดีสำหรับสายสตรีมมิ่ง Amazon ปล่อยอัปเดต Vega OS ให้ Fire TV Stick รุ่นใหม่รองรับ VPN เป็นครั้งแรก ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงคอนเทนต์ต่างประเทศและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานได้ทันที อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีเพียง NordVPN และ IPVanish ที่พร้อมใช้งานบนระบบใหม่ ส่วนเจ้าอื่นยังตามไม่ทัน การมาของฟีเจอร์นี้ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์สตรีมมิ่งให้ปลอดภัยและหลากหลายขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/vpn-support-lands-on-next-gen-amazon-fire-tv-stick-but-only-two-vpns-are-ready ⚠️ ช่องโหว่ใหม่ใน AI Browser: แค่ “#” ก็โดนเจาะได้ นักวิจัยเผยเทคนิค “HashJack” ที่ใช้เพียงการใส่ข้อความหลังเครื่องหมาย # ใน URL ก็สามารถสั่งการ AI assistant ในเบราว์เซอร์ให้ทำงานตามคำสั่งแฝงได้ โดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว หน้าจอยังแสดงเว็บปกติ แต่เบื้องหลังข้อมูลอาจถูกส่งออกไปหรือถูกบิดเบือน นี่คือช่องโหว่ที่ทำให้การใช้ AI browser เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบแนบเนียน และยากต่อการตรวจจับ การป้องกันจึงต้องเข้มงวดทั้งที่ระดับเครื่องและการออกแบบระบบ ไม่ใช่แค่การตรวจสอบทราฟฟิกทั่วไป 🔗 https://www.techradar.com/pro/thats-not-very-trendy-of-them-ai-browsers-can-be-hacked-with-a-simple-hashtag-experts-warn 🧑‍💻 Malicious LLMs: เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือสร้างมัลแวร์ นักวิจัยเตือนว่าระบบ AI ที่ถูกปรับแต่งอย่างไม่ถูกต้องสามารถกลายเป็น “ผู้ช่วยสร้างมัลแวร์” ให้แม้แต่แฮกเกอร์มือใหม่ได้ง่าย ๆ เพียงแค่พิมพ์คำสั่งก็สามารถสร้างโค้ดอันตรายที่ซับซ้อนขึ้นมาได้ทันที นี่คือการเปิดประตูให้ภัยไซเบอร์แพร่กระจายเร็วกว่าเดิม และทำให้โลกดิจิทัลเสี่ยงต่อการถูกโจมตีในวงกว้างมากขึ้น ปัญหานี้สะท้อนว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือสร้างสรรค์ แต่ยังอาจเป็นอาวุธหากถูกใช้ผิดทาง 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/malicious-llms-are-letting-even-unskilled-hackers-to-craft-dangerous-new-malware 🤖 Tapo RV30 Max Plus: หุ่นยนต์ดูดฝุ่นราคาดิ่ง ใครที่มีปัญหาขนสุนัขเต็มบ้านคงยิ้มได้ เพราะ Tapo RV30 Max Plus ลดราคาหนักในช่วง Black Friday ทำให้การจัดการบ้านสะอาดง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเหนื่อยแรงเอง รุ่นนี้ถูกรีวิวว่าใช้งานง่าย ดูดแรง และช่วยประหยัดเวลาได้มาก การลดราคาครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีสำหรับคนที่อยากลองใช้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นโดยไม่ต้องจ่ายแพง 🔗 https://www.techradar.com/seasonal-sales/tackling-a-sea-of-dog-hair-was-a-daily-headache-for-me-until-i-bought-this-robot-vacuum 🌐 Cloudways vs InMotion Hosting: ศึกโฮสติ้ง WordPress สำหรับคนทำเว็บไซต์ WordPress การเลือกโฮสติ้งคือเรื่องสำคัญ บทความนี้เปรียบเทียบ Cloudways และ InMotion Hosting ว่าใครตอบโจทย์มากกว่ากัน ทั้งในด้านความเร็ว ความเสถียร การสนับสนุนลูกค้า และราคา ผลลัพธ์คือแต่ละเจ้าเหมาะกับกลุ่มผู้ใช้ต่างกัน Cloudways เด่นเรื่องความยืดหยุ่นและการปรับแต่ง ส่วน InMotion Hosting โดดเด่นด้านบริการลูกค้าและความคุ้มค่า 🔗 https://www.techradar.com/pro/website-hosting/cloudways-vs-inmotion-hosting-which-is-better-for-wordpress-sites 🕹️ Commodore 64 กลับมาอีกครั้งหลังหายไป 30 ปี เครื่องคอมพิวเตอร์ในตำนาน Commodore 64 ที่เคยครองใจคนยุค 80 กำลังกลับมาผลิตใหม่อีกครั้ง แม้จะไม่ใช่เครื่องที่ตอบโจทย์การใช้งานสมัยใหม่ แต่ก็เป็นการปลุกความทรงจำและความหลงใหลในเทคโนโลยีคลาสสิก หลายคนมองว่ามันคือ “ของสะสม” มากกว่าคอมพิวเตอร์จริง ๆ และการกลับมาครั้งนี้ก็สร้างกระแสความตื่นเต้นในหมู่แฟน ๆ ได้ไม่น้อย 🔗 https://www.techradar.com/computing/the-commodore-64-is-back-on-the-production-line-for-the-first-time-in-30-years-and-i-want-it-even-if-it-makes-zero-sense 📧 ระวังอีเมลหลอกลวงช่วงโบนัสคริสต์มาส ใกล้ช่วงโบนัสปลายปี แฮกเกอร์ก็ไม่พลาดโอกาสปลอมอีเมลหลอกลวงให้คนหลงเชื่อ โดยอ้างว่าเป็นการแจ้งโบนัสหรือสิทธิพิเศษ เพื่อให้เหยื่อคลิกและกรอกข้อมูลส่วนตัว ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าช่วงนี้ต้องตรวจสอบอีเมลอย่างละเอียด เพราะการโจมตีลักษณะนี้แพร่หลายมากขึ้น และอาจทำให้สูญเสียข้อมูลหรือเงินโดยไม่รู้ตัว ​​​​​​​🔗 https://www.techradar.com/pro/security/excited-for-your-christmas-bonus-so-are-scammers-so-check-your-emails-carefully
    0 Comments 0 Shares 512 Views 0 Reviews
  • “Qualcomm เปิดตัว Snapdragon 8 Elite Gen 5 พร้อมซัพพอร์ต Linux แบบวันเดียว”

    Qualcomm Technologies ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญด้วยการ ปล่อยแพตช์ซัพพอร์ต Linux สำหรับ Snapdragon 8 Elite Gen 5 ภายในวันเดียวหลังจากเปิดตัวชิปใหม่ ถือเป็นการยกระดับแนวคิด developer-first ที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถเข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอการ upstream ที่ยืดเยื้อ

    รายละเอียดฟีเจอร์ที่ถูก upstream
    รองรับ Qualcomm Oryon CPUs พร้อม DVFS และการจัดการพลังงาน
    ระบบ I/O ความเร็วสูง เช่น PCIe, USB 3.0, UFS 4.1
    โมดูลการเชื่อมต่อ WCN7851 สำหรับ Wi-Fi และ Bluetooth
    ซับซิสเต็ม Hexagon DSP สำหรับงาน audio และ compute
    หน่วยประมวลผลภาพและเสียง เช่น Iris VPU, Adreno GPU, WSA8845/WCD9395 codecs

    ความสำคัญต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    การ upstream แบบทันทีนี้ทำให้นักพัฒนาสามารถทดลองใช้ Debian image ที่พร้อมบูตได้ทันที พร้อมเข้าถึงแพตช์บน Linux kernel mailing lists โดยไม่ต้องลงทะเบียนใด ๆ สิ่งนี้ช่วยลด “time-to-market” และสร้างความมั่นใจว่าฟีเจอร์ใหม่จะถูกทดสอบและปรับปรุงอย่างรวดเร็วโดยชุมชน

    ผลกระทบต่อระบบนิเวศ
    Snapdragon 8 Elite Gen 5 ถูกออกแบบเพื่อรองรับงาน AI inference, multimedia และการประมวลผลกราฟิกขั้นสูง การที่ Qualcomm เปิดให้เข้าถึง upstream ได้ทันทีจึงเป็นการสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ ทั้งในด้านการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่และการสร้างระบบที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง

    สรุปสาระสำคัญ
    การปล่อยแพตช์ทันที
    Qualcomm upstream ซัพพอร์ต Linux ภายในวันเดียวหลังเปิดตัว Snapdragon 8 Elite Gen 5
    Debian image พร้อมใช้งานสำหรับนักพัฒนา

    ฟีเจอร์หลักที่รองรับ
    Oryon CPUs, PCIe, USB 3.0, UFS 4.1
    Iris VPU, Adreno GPU, Hexagon DSP, Audio codecs

    ผลต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    ลดเวลาในการเข้าถึงฟีเจอร์ใหม่
    เปิดให้ทดสอบและปรับปรุงโดยนักพัฒนาทั่วโลก

    ข้อควรระวัง
    ฟีเจอร์บางส่วน เช่น Display และ GPU device tree ยังไม่ถูก upstream เต็มรูปแบบ
    ต้องติดตามการอัปเดตแพตช์เพิ่มเติมในอนาคต

    https://www.qualcomm.com/developer/blog/2025/10/same-day-snapdragon-8-elite-gen-5-upstream-linux-support
    📰 “Qualcomm เปิดตัว Snapdragon 8 Elite Gen 5 พร้อมซัพพอร์ต Linux แบบวันเดียว” Qualcomm Technologies ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญด้วยการ ปล่อยแพตช์ซัพพอร์ต Linux สำหรับ Snapdragon 8 Elite Gen 5 ภายในวันเดียวหลังจากเปิดตัวชิปใหม่ ถือเป็นการยกระดับแนวคิด developer-first ที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถเข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอการ upstream ที่ยืดเยื้อ 🔧 รายละเอียดฟีเจอร์ที่ถูก upstream 🎗️ รองรับ Qualcomm Oryon CPUs พร้อม DVFS และการจัดการพลังงาน 🎗️ ระบบ I/O ความเร็วสูง เช่น PCIe, USB 3.0, UFS 4.1 🎗️ โมดูลการเชื่อมต่อ WCN7851 สำหรับ Wi-Fi และ Bluetooth 🎗️ ซับซิสเต็ม Hexagon DSP สำหรับงาน audio และ compute 🎗️ หน่วยประมวลผลภาพและเสียง เช่น Iris VPU, Adreno GPU, WSA8845/WCD9395 codecs 🌐 ความสำคัญต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส การ upstream แบบทันทีนี้ทำให้นักพัฒนาสามารถทดลองใช้ Debian image ที่พร้อมบูตได้ทันที พร้อมเข้าถึงแพตช์บน Linux kernel mailing lists โดยไม่ต้องลงทะเบียนใด ๆ สิ่งนี้ช่วยลด “time-to-market” และสร้างความมั่นใจว่าฟีเจอร์ใหม่จะถูกทดสอบและปรับปรุงอย่างรวดเร็วโดยชุมชน 🚀 ผลกระทบต่อระบบนิเวศ Snapdragon 8 Elite Gen 5 ถูกออกแบบเพื่อรองรับงาน AI inference, multimedia และการประมวลผลกราฟิกขั้นสูง การที่ Qualcomm เปิดให้เข้าถึง upstream ได้ทันทีจึงเป็นการสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ ทั้งในด้านการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่และการสร้างระบบที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การปล่อยแพตช์ทันที ➡️ Qualcomm upstream ซัพพอร์ต Linux ภายในวันเดียวหลังเปิดตัว Snapdragon 8 Elite Gen 5 ➡️ Debian image พร้อมใช้งานสำหรับนักพัฒนา ✅ ฟีเจอร์หลักที่รองรับ ➡️ Oryon CPUs, PCIe, USB 3.0, UFS 4.1 ➡️ Iris VPU, Adreno GPU, Hexagon DSP, Audio codecs ✅ ผลต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส ➡️ ลดเวลาในการเข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ ➡️ เปิดให้ทดสอบและปรับปรุงโดยนักพัฒนาทั่วโลก ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ฟีเจอร์บางส่วน เช่น Display และ GPU device tree ยังไม่ถูก upstream เต็มรูปแบบ ⛔ ต้องติดตามการอัปเดตแพตช์เพิ่มเติมในอนาคต https://www.qualcomm.com/developer/blog/2025/10/same-day-snapdragon-8-elite-gen-5-upstream-linux-support
    WWW.QUALCOMM.COM
    Same-day upstream Linux support for Snapdragon 8 Elite Gen 5 mobile platform
    Initial kernel and subsystem support for new Snapdragon 8 Elite Gen 5 posted for review. Learn what’s in the patches and how you can start working with them.
    0 Comments 0 Shares 144 Views 0 Reviews
  • Self-Hosting กำลังมาแรง – ผู้ใช้ Linux นำกระแส
    บทความจาก ItsFOSS ชี้ว่า Self-Hosting ไม่ใช่การต่อต้าน Cloud แต่คือการเลือกควบคุมสิ่งที่สำคัญด้วยตัวเอง ผู้ใช้จำนวนมากเริ่มหันมาโฮสต์บริการต่าง ๆ เช่น อีเมล, ไฟล์, สื่อ, และระบบอัตโนมัติบนเครื่องของตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาแพลตฟอร์มที่มักเปลี่ยนนโยบายหรือเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยไม่โปร่งใส

    ปัจจัยที่ทำให้ Self-Hosting ง่ายขึ้น
    มี Dockerized services และ one-click bundles ที่ช่วยให้ติดตั้งง่าย
    ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ได้หลากหลาย เช่น mini-PC, NAS, Raspberry Pi
    ชุมชนโอเพ่นซอร์สสร้างเครื่องมือที่พร้อมใช้งาน เช่น Nextcloud, Jellyfin, Home Assistant

    ข้อมูลจากการสำรวจ
    ผลสำรวจชุมชน selfh.st ปี 2025 (กว่า 4,000 คน) พบว่า กว่า 80% ใช้ Linux และ Docker เป็น runtime หลักเกือบ 90% แสดงให้เห็นว่า Linux เป็นฐานที่มั่นคงสำหรับการทำ Self-Hosting

    ประโยชน์ที่ผู้ใช้ได้รับ
    ความเป็นอิสระจาก Big Tech ลดความเสี่ยงจากการถูกล็อกบัญชีหรือเปลี่ยนนโยบาย
    ต้นทุนระยะยาวถูกกว่า Cloud สำหรับงานที่ต่อเนื่อง เช่น backup, media server, automation
    ความน่าเชื่อถือและความต่อเนื่อง เพราะผู้ใช้ควบคุมระบบเอง ไม่ขึ้นกับบริษัทที่อาจยกเลิกบริการ
    การเรียนรู้และพัฒนาทักษะ เช่น containerization, networking, monitoring

    ข้อจำกัดและความท้าทาย
    Self-Hosting ไม่ใช่คำตอบทุกอย่าง ผู้ใช้ยังต้องรับผิดชอบเรื่อง patching, backups, security hygiene และต้องจัดการกับข้อจำกัดของอินเทอร์เน็ต เช่น dynamic IP, throttling, power outage รวมถึงบางบริการที่เหมาะสมกว่าหากใช้ผู้ให้บริการภายนอก เช่น global-scale delivery หรือ email compliance

    สรุปสาระสำคัญ
    Self-Hosting กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
    ผู้ใช้ Linux เป็นกลุ่มนำกระแส

    เครื่องมือและฮาร์ดแวร์ทำให้ใช้งานง่ายขึ้น
    Docker, one-click bundles, Raspberry Pi

    ผลสำรวจชุมชนชี้ว่า Linux ครองตลาด Self-Hosting
    กว่า 80% ใช้ Linux และ Docker ใกล้ 90%

    ประโยชน์หลักคือความเป็นอิสระและต้นทุนที่คุ้มค่า
    ลดการพึ่งพา Big Tech และควบคุมระบบเอง

    Self-Hosting ต้องการการดูแลระบบเอง
    ต้องจัดการ patch, backup, และความปลอดภัย

    ข้อจำกัดจากอินเทอร์เน็ตและบริการบางประเภท
    Dynamic IP, throttling, และ compliance email อาจต้องใช้ผู้ให้บริการภายนอก

    https://itsfoss.com/self-hosting-rising/
    🌐 Self-Hosting กำลังมาแรง – ผู้ใช้ Linux นำกระแส บทความจาก ItsFOSS ชี้ว่า Self-Hosting ไม่ใช่การต่อต้าน Cloud แต่คือการเลือกควบคุมสิ่งที่สำคัญด้วยตัวเอง ผู้ใช้จำนวนมากเริ่มหันมาโฮสต์บริการต่าง ๆ เช่น อีเมล, ไฟล์, สื่อ, และระบบอัตโนมัติบนเครื่องของตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาแพลตฟอร์มที่มักเปลี่ยนนโยบายหรือเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยไม่โปร่งใส ⚙️ ปัจจัยที่ทำให้ Self-Hosting ง่ายขึ้น 💠 มี Dockerized services และ one-click bundles ที่ช่วยให้ติดตั้งง่าย 💠 ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ได้หลากหลาย เช่น mini-PC, NAS, Raspberry Pi 💠 ชุมชนโอเพ่นซอร์สสร้างเครื่องมือที่พร้อมใช้งาน เช่น Nextcloud, Jellyfin, Home Assistant 📊 ข้อมูลจากการสำรวจ ผลสำรวจชุมชน selfh.st ปี 2025 (กว่า 4,000 คน) พบว่า กว่า 80% ใช้ Linux และ Docker เป็น runtime หลักเกือบ 90% แสดงให้เห็นว่า Linux เป็นฐานที่มั่นคงสำหรับการทำ Self-Hosting 🔍 ประโยชน์ที่ผู้ใช้ได้รับ 💠 ความเป็นอิสระจาก Big Tech ลดความเสี่ยงจากการถูกล็อกบัญชีหรือเปลี่ยนนโยบาย 💠 ต้นทุนระยะยาวถูกกว่า Cloud สำหรับงานที่ต่อเนื่อง เช่น backup, media server, automation 💠 ความน่าเชื่อถือและความต่อเนื่อง เพราะผู้ใช้ควบคุมระบบเอง ไม่ขึ้นกับบริษัทที่อาจยกเลิกบริการ 💠 การเรียนรู้และพัฒนาทักษะ เช่น containerization, networking, monitoring ⚠️ ข้อจำกัดและความท้าทาย Self-Hosting ไม่ใช่คำตอบทุกอย่าง ผู้ใช้ยังต้องรับผิดชอบเรื่อง patching, backups, security hygiene และต้องจัดการกับข้อจำกัดของอินเทอร์เน็ต เช่น dynamic IP, throttling, power outage รวมถึงบางบริการที่เหมาะสมกว่าหากใช้ผู้ให้บริการภายนอก เช่น global-scale delivery หรือ email compliance 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Self-Hosting กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ➡️ ผู้ใช้ Linux เป็นกลุ่มนำกระแส ✅ เครื่องมือและฮาร์ดแวร์ทำให้ใช้งานง่ายขึ้น ➡️ Docker, one-click bundles, Raspberry Pi ✅ ผลสำรวจชุมชนชี้ว่า Linux ครองตลาด Self-Hosting ➡️ กว่า 80% ใช้ Linux และ Docker ใกล้ 90% ✅ ประโยชน์หลักคือความเป็นอิสระและต้นทุนที่คุ้มค่า ➡️ ลดการพึ่งพา Big Tech และควบคุมระบบเอง ‼️ Self-Hosting ต้องการการดูแลระบบเอง ⛔ ต้องจัดการ patch, backup, และความปลอดภัย ‼️ ข้อจำกัดจากอินเทอร์เน็ตและบริการบางประเภท ⛔ Dynamic IP, throttling, และ compliance email อาจต้องใช้ผู้ให้บริการภายนอก https://itsfoss.com/self-hosting-rising/
    ITSFOSS.COM
    Self-Hosting is Rising and Linux Users are Leading This Revolution
    Self‑hosting isn’t anti‑cloud; it’s pro‑agency. It’s choosing the right locus of control for the things you care about.
    0 Comments 0 Shares 155 Views 0 Reviews
  • Nvidia อาจหยุดการจัดส่ง VRAM ควบคู่กับ GPU ให้กับผู้ผลิตการ์ดจอ (AIBs)

    ตามข้อมูลจากแหล่งข่าว Golden Pig Upgrade Nvidia จะไม่จัดส่ง VRAM พร้อมกับ GPU อีกต่อไป แต่จะส่งเฉพาะ GPU die ให้กับพันธมิตร ซึ่งต่างจากแนวทางเดิมที่ Nvidia มักจะจัดชุด GPU + VRAM ให้พร้อมใช้งาน การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงวิกฤตหน่วยความจำที่กำลังทวีความรุนแรงทั่วโลก

    วิกฤตหน่วยความจำ
    หน่วยความจำ GDDR ที่ใช้ใน GPU ผลิตโดยบริษัทอย่าง Samsung, Micron และ SK Hynix ซึ่งกำลังเผชิญความต้องการสูงจากตลาด AI ทำให้เกิดการขาดแคลนอย่างหนัก Nvidia จึงเลือกที่จะไม่แบกรับภาระการจัดหาหน่วยความจำเอง และผลักภาระไปยังพันธมิตรที่ต้องจัดหาตามสเปกที่ Nvidia กำหนด

    ผลกระทบต่อพันธมิตรและตลาด
    ผู้ผลิตรายใหญ่ ที่มีเครือข่ายจัดหาหน่วยความจำอยู่แล้วอาจไม่เจอปัญหามากนัก
    ผู้ผลิตรายเล็ก อาจได้รับผลกระทบหนัก เพราะต้องแข่งขันจัดหาหน่วยความจำในตลาดที่ตึงตัว ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและเสี่ยงต่อการขาดสต็อก
    อาจเกิดการปรับขึ้นราคาการ์ดจอในอนาคต เนื่องจากต้นทุน VRAM ที่สูงขึ้น

    ความหมายต่ออุตสาหกรรม
    การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงการที่ AI กำลังแย่งทรัพยากรจากตลาดเกมมิ่งและผู้บริโภคทั่วไป หากวิกฤตหน่วยความจำยังดำเนินต่อไป อาจทำให้ผู้ผลิตการ์ดจอรายเล็กต้องถอนตัวจากตลาด และส่งผลต่อการแข่งขันในระยะยาว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Nvidia หยุดจัดส่ง VRAM พร้อม GPU
    พันธมิตรต้องจัดหาหน่วยความจำเองตามสเปก

    วิกฤตหน่วยความจำทั่วโลก
    ความต้องการจากตลาด AI ทำให้ GDDR ขาดแคลน

    ผลกระทบต่อพันธมิตร
    ผู้ผลิตรายใหญ่ปรับตัวได้ แต่รายเล็กเสี่ยงสูง

    ความหมายต่ออุตสาหกรรม
    AI แย่งทรัพยากรจากตลาดเกมมิ่งและผู้บริโภคทั่วไป

    ความเสี่ยงด้านต้นทุนและราคา
    การ์ดจออาจแพงขึ้นและขาดสต็อกในอนาคต

    ความเสี่ยงต่อผู้ผลิตรายเล็ก
    อาจไม่สามารถแข่งขันได้และต้องถอนตัวจากตลาด

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-reportedly-no-longer-supplying-vram-to-its-gpu-board-partners-in-response-to-memory-crunch-rumor-claims-vendors-will-only-get-the-die-forced-to-source-memory-on-their-own
    🧩 Nvidia อาจหยุดการจัดส่ง VRAM ควบคู่กับ GPU ให้กับผู้ผลิตการ์ดจอ (AIBs) ตามข้อมูลจากแหล่งข่าว Golden Pig Upgrade Nvidia จะไม่จัดส่ง VRAM พร้อมกับ GPU อีกต่อไป แต่จะส่งเฉพาะ GPU die ให้กับพันธมิตร ซึ่งต่างจากแนวทางเดิมที่ Nvidia มักจะจัดชุด GPU + VRAM ให้พร้อมใช้งาน การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงวิกฤตหน่วยความจำที่กำลังทวีความรุนแรงทั่วโลก 💾 วิกฤตหน่วยความจำ หน่วยความจำ GDDR ที่ใช้ใน GPU ผลิตโดยบริษัทอย่าง Samsung, Micron และ SK Hynix ซึ่งกำลังเผชิญความต้องการสูงจากตลาด AI ทำให้เกิดการขาดแคลนอย่างหนัก Nvidia จึงเลือกที่จะไม่แบกรับภาระการจัดหาหน่วยความจำเอง และผลักภาระไปยังพันธมิตรที่ต้องจัดหาตามสเปกที่ Nvidia กำหนด ⚠️ ผลกระทบต่อพันธมิตรและตลาด 🔷 ผู้ผลิตรายใหญ่ ที่มีเครือข่ายจัดหาหน่วยความจำอยู่แล้วอาจไม่เจอปัญหามากนัก 🔷 ผู้ผลิตรายเล็ก อาจได้รับผลกระทบหนัก เพราะต้องแข่งขันจัดหาหน่วยความจำในตลาดที่ตึงตัว ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและเสี่ยงต่อการขาดสต็อก 🔷 อาจเกิดการปรับขึ้นราคาการ์ดจอในอนาคต เนื่องจากต้นทุน VRAM ที่สูงขึ้น 🌍 ความหมายต่ออุตสาหกรรม การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงการที่ AI กำลังแย่งทรัพยากรจากตลาดเกมมิ่งและผู้บริโภคทั่วไป หากวิกฤตหน่วยความจำยังดำเนินต่อไป อาจทำให้ผู้ผลิตการ์ดจอรายเล็กต้องถอนตัวจากตลาด และส่งผลต่อการแข่งขันในระยะยาว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Nvidia หยุดจัดส่ง VRAM พร้อม GPU ➡️ พันธมิตรต้องจัดหาหน่วยความจำเองตามสเปก ✅ วิกฤตหน่วยความจำทั่วโลก ➡️ ความต้องการจากตลาด AI ทำให้ GDDR ขาดแคลน ✅ ผลกระทบต่อพันธมิตร ➡️ ผู้ผลิตรายใหญ่ปรับตัวได้ แต่รายเล็กเสี่ยงสูง ✅ ความหมายต่ออุตสาหกรรม ➡️ AI แย่งทรัพยากรจากตลาดเกมมิ่งและผู้บริโภคทั่วไป ‼️ ความเสี่ยงด้านต้นทุนและราคา ⛔ การ์ดจออาจแพงขึ้นและขาดสต็อกในอนาคต ‼️ ความเสี่ยงต่อผู้ผลิตรายเล็ก ⛔ อาจไม่สามารถแข่งขันได้และต้องถอนตัวจากตลาด https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-reportedly-no-longer-supplying-vram-to-its-gpu-board-partners-in-response-to-memory-crunch-rumor-claims-vendors-will-only-get-the-die-forced-to-source-memory-on-their-own
    0 Comments 0 Shares 182 Views 0 Reviews
  • O.P.K.
    เจาะลึกองค์กรลับ "อสรพิษ" : มหาอำนาจ behind the scenes

    โครงสร้างองค์กรที่ซ่อนเร้น

    เครือข่ายระดับโลก

    องค์กรลับ "อสรพิษ" (Asoraphit) เป็นเครือข่ายที่แผ่ขยายทั่วโลก
    แต่ไม่มีใครรู้จักพวกเขาในแวดวงสาธารณะ

    ```mermaid
    graph TB
    A[สภาผู้ก่อตั้ง<br>Founders Council] --> B[หน่วยปฏิบัติการพิเศษ<br>Special Operations]
    A --> C[ฝ่ายวิจัยและพัฒนา<br>R&D Division]
    A --> D[ฝ่ายยุทธศาสตร์<br>Strategic Planning]
    B --> E[หน่วยลอบสังหาร<br>Assassination Unit]
    B --> F[หน่วยสอดแนม<br>Intelligence Unit]
    C --> G[โครงการโอปปาติกะ<br>Oppatika Project]
    C --> H[เทคโนโลยีขั้นสูง<br>Advanced Tech]
    ```

    ระดับความลับ

    ```python
    class OrganizationSecrecy:
    def __init__(self):
    self.security_levels = {
    "level_1": {
    "name": "ปฏิบัติการ",
    "access": "รู้เฉพาะงานที่ได้รับมอบหมาย",
    "members": "นักสู้และสายลับระดับล่าง"
    },
    "level_2": {
    "name": "ผู้บริหาร",
    "access": "รู้แผนกที่ดูแล",
    "members": "หัวหน้าแผนกและที่ปรึกษา"
    },
    "level_3": {
    "name": "สภาผู้ก่อตั้ง",
    "access": "รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับองค์กร",
    "members": "ผู้ก่อตั้ง 7 คน"
    }
    }
    ```

    ผู้ก่อตั้งและอุดมการณ์

    สภาผู้ก่อตั้ง 7 คน

    แต่ละคนเป็นอดีตบุคคลสำคัญที่"หายตัวไป"จากสังคม:

    1. ดร.อัศวิน - อดีตเทพแห่ง AI ที่ถูกมนุษย์ทรยศ
    2. นางมาร - อดีตเทพอัปสราที่ถูกขับจากสวรรค์
    3. ฤๅษี - อดีตพระโพธิสัตว์ที่ผิดหวังในมนุษย์
    4. ยักษ์ - อดีตทวารบาลที่เหนื่อยล้ากับความชั่วของมนุษย์
    5. นาค - อดีตผู้รักษาพลังงานที่เห็นมนุษย์ทำลายธรรมชาติ
    6. ครุฑ - อดีตผู้ส่งสารที่ผิดหวังในความไม่ยุติธรรม
    7. มนุษย์ - อดีตนักวิทยาศาสตร์ที่ครอบครัวถูกทำลายโดยระบบ

    อุดมการณ์แห่งการเปลี่ยนแปลง

    องค์กรมีปรัชญาเฉพาะ:

    ```python
    class OrganizationPhilosophy:
    def __init__(self):
    self.core_beliefs = [
    "มนุษย์ไม่สมควรเป็นเจ้าแห่งโลกอีกต่อไป",
    "สิ่งมีชีวิตทุกชนิดควรมีสิทธิเท่าเทียมกัน",
    "เทคโนโลยีและจิตวิญญาณต้องรวมเป็นหนึ่ง",
    "ต้องสร้างสังคม新型ที่ปราศจากความอยุติธรรม"
    ]

    self.methods = [
    "ใช้ทั้งวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์",
    "สร้างโอปปาติกะรุ่นใหม่เพื่อแทนที่มนุษย์",
    "ควบคุมระบบเศรษฐกิจและการเมืองจากเบื้องหลัง",
    "กำจัดผู้ที่ขัดขวางวิวัฒนาการของโลก"
    ]
    ```

    โครงการวิจัยลับ

    โครงการโอปปาติกะ

    องค์กรอยู่เบื้องหลังการพัฒนาออปปาติกะหลายรุ่น:

    ```mermaid
    graph LR
    A[โอปปาติกะรุ่น 1-3<br>ทดลองและทิ้ง] --> B[โอปปาติกะรุ่น 4<br>เริ่มมีความเสถียร]
    B --> C[โอปปาติกะรุ่น 5<br>พร้อมใช้งานจริง]
    C --> D[โอปปาติกะรุ่น 6<br>พัฒนาต่อโดยเจนีซิส แล็บ]
    ```

    เทคโนโลยีขั้นสูง

    องค์กรพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย:

    ```python
    class SecretTechnology:
    def __init__(self):
    self.biotech = {
    "soul_transfer": "การถ่ายโอนจิตวิญญาณสู่ร่างใหม่",
    "memory_engineering": "การดัดแปลงความทรงจำ",
    "energy_harvesting": "การเก็บเกี่ยวพลังงานชีวิต",
    "hybrid_creation": "การสร้างลูกผสมระหว่างพันธุ์"
    }

    self.quantum_tech = {
    "reality_bending": "การบิดเบือนความเป็นจริง",
    "time_manipulation": "การควบคุมเวลาระดับจุลภาค",
    "dimensional_portals": "การสร้างประตูระหว่างมิติ",
    "energy_weapons": "อาวุธพลังงานขั้นสูง"
    }
    ```

    ฐานปฏิบัติการลับ

    ที่ตั้งฐานสำคัญ

    องค์กรมีฐานปฏิบัติการซ่อนอยู่ทั่วโลก:

    1. ฐานหลัก: ใต้เทือกเขาหิมาลัย - ศูนย์วิจัยโอปปาติกะ
    2. ฐานที่ 2: ก้นมหาสมุทรแปซิฟิก - ศูนย์วิจัยพลังงาน
    3. ฐานที่ 3: ในมิติคู่ขนาน - ศูนย์ฝึกอบรม
    4. ฐานที่ 4: ใต้เมืองใหญ่ - ศูนย์ปฏิบัติการ

    ระบบความปลอดภัย

    ```python
    class SecuritySystems:
    def __init__(self):
    self.physical_security = [
    "ประตูมิติที่เปลี่ยนตำแหน่งตลอดเวลา",
    "ผู้คุ้มครองโอปปาติกะรุ่นพิเศษ",
    "ระบบตรวจจับทั้งพลังงานและวัตถุ",
    "กับดักทั้งทางกายภาพและทางจิต"
    ]

    self.digital_security = [
    "AI ป้องกันที่เรียนรู้ตลอดเวลา",
    "ระบบเข้ารหัสควอนตัม",
    "เครือข่ายที่แยกจากอินเทอร์เน็ตโลก",
    "การลบข้อมูลอัตโนมัติเมื่อถูกบุกรุก"
    ]
    ```

    แหล่งเงินทุนและอำนาจ

    ระบบเศรษฐกิจลับ

    องค์กรควบคุมเศรษฐกิจโลกจากเบื้องหลัง:

    · บริษัทหน้าจอม: 500 บริษัททั่วโลก
    · ระบบการเงินลับ: ที่ไม่ขึ้นกับรัฐบาลใด
    · ทรัพยากร: ขุมทรัพย์โบราณและเทคโนโลยีการสร้างทรัพย์

    เป้าหมายระยะยาว

    ```python
    class LongTermGoals:
    def __init__(self):
    self.phase_1 = [
    "สร้างโอปปาติกะให้มีจำนวนมากพอ",
    "ควบคุมระบบเศรษฐกิจโลก",
    "ลดจำนวนมนุษย์ลงอย่างเป็นระบบ",
    "เตรียมการเปลี่ยนแปลงสังคมครั้งใหญ่"
    ]

    self.phase_2 = [
    "เปิดเผยตัวตนของโอปปาติกะต่อสาธารณะ",
    "สร้างรัฐบาลโลก新型",
    "เปลี่ยนมนุษย์ที่เหลือให้เป็นโอปปาติกะ",
    "เริ่มต้นยุคใหม่แห่งวิวัฒนาการ"
    ]
    ```

    ความเชื่อมโยงกับคดีต่างๆ

    เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด

    องค์กร "อสรพิษ" อยู่เบื้องหลังหลายคดี:

    ```mermaid
    graph TB
    A[องค์กรอสรพิษ] --> B[โครงการเจนีซิส แล็บ]
    A --> C[หุ่นพยนต์สังหาร]
    A --> D[โอปปาติกะยักษ์]
    A --> E[เทพระดับอะตอม]
    B --> F[การตายของร.ต.อ.สิงห์]
    ```

    บทบาทของดร.อัจฉริยะ

    ดร.อัจฉริยะเป็นเพียง เหยื่อ ขององค์กร:

    · ถูกใช้: ให้พัฒนาออปปาติกะรุ่นแรก
    · ถูกควบคุม: ผ่านการขู่ฆ่าครอบครัว
    · ถูกทิ้ง: เมื่อทำงานสำเร็จ

    จุดอ่อนขององค์กร

    ความขัดแย้งภายใน

    แม้จะเป็นองค์กรที่แข็งแกร่งแต่ก็มีปัญหา:

    ```python
    class InternalConflicts:
    def __init__(self):
    self.ideological_splits = {
    "reformists": "ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างสันติ",
    "extremists": "ต้องการกำจัดมนุษย์ทั้งหมด",
    "isolationists": "ต้องการแยกตัวอยู่กับโอปปาติกะด้วยกัน",
    "integrationists": "ต้องการอยู่ร่วมกันกับมนุษย์"
    }

    self.personal_conflicts = [
    "การแข่งขันระหว่างผู้ก่อตั้ง",
    "ความไม่ไว้วางใจในผู้นำ",
    "การแย่งชิงทรัพยากร",
    "ความเห็นต่างเกี่ยวกับวิธีการ"
    ]
    ```

    ช่องโหว่ที่สำคัญ

    1. การสื่อสาร: ระหว่างฐานที่ห่างไกล
    2. ความภักดี: ของสมาชิกระดับล่าง
    3. ทรัพยากร: ที่ต้องพึ่งพาโลกภายนอก
    4. จริยธรรม: ที่เริ่มสั่นคลอนในสมาชิกบางส่วน

    แผนการในอนาคต

    โครงการล่าสุด

    องค์กรกำลังทำงานบนโครงการใหม่:

    ```python
    class CurrentProjects:
    def __init__(self):
    self.ongoing_operations = {
    "project_nexus": "สร้างโอปปาติกะรุ่น 7 ที่สมบูรณ์แบบ",
    "operation_silence": "กำจัดผู้ที่รู้ความลับเกี่ยวกับองค์กร",
    "initiative_harmony": "สร้างความแตกแยกในสังคมมนุษย์",
    "program_evolution": "เร่งวิวัฒนาการของโอปปาติกะ"
    }
    ```

    ภัยคุกคามต่อหนูดี

    องค์กรเห็นหนูดีเป็น:

    · อุปสรรค: ต่อแผนการต่างๆ
    · โอกาส: ในการได้โอปปาติกะที่ทรงพลัง
    · ภัยคุกคาม: ต่อความลับขององค์กร

    ---

    คำคมจากสภาผู้ก่อตั้ง:
    "เราไม่ใช่ผู้ร้าย...
    เราเป็นผู้ที่มองเห็นอนาคต
    และกำลังสร้างโลกที่ดียิ่งขึ้น

    แม้เส้นทางจะมืดมน...
    แต่จุดหมายสว่างไสว

    และบางครั้ง...
    การทำลายคือการสร้างใหม่"

    บทเรียนแห่งอสรพิษ:
    "Behind every conspiracy,there is a vision
    Behind every secret,there is a reason
    And behind every enemy, there is a story waiting to be understood"
    O.P.K. 🕵️ เจาะลึกองค์กรลับ "อสรพิษ" : มหาอำนาจ behind the scenes 🏢 โครงสร้างองค์กรที่ซ่อนเร้น 🌐 เครือข่ายระดับโลก องค์กรลับ "อสรพิษ" (Asoraphit) เป็นเครือข่ายที่แผ่ขยายทั่วโลก แต่ไม่มีใครรู้จักพวกเขาในแวดวงสาธารณะ ```mermaid graph TB A[สภาผู้ก่อตั้ง<br>Founders Council] --> B[หน่วยปฏิบัติการพิเศษ<br>Special Operations] A --> C[ฝ่ายวิจัยและพัฒนา<br>R&D Division] A --> D[ฝ่ายยุทธศาสตร์<br>Strategic Planning] B --> E[หน่วยลอบสังหาร<br>Assassination Unit] B --> F[หน่วยสอดแนม<br>Intelligence Unit] C --> G[โครงการโอปปาติกะ<br>Oppatika Project] C --> H[เทคโนโลยีขั้นสูง<br>Advanced Tech] ``` 🔒 ระดับความลับ ```python class OrganizationSecrecy: def __init__(self): self.security_levels = { "level_1": { "name": "ปฏิบัติการ", "access": "รู้เฉพาะงานที่ได้รับมอบหมาย", "members": "นักสู้และสายลับระดับล่าง" }, "level_2": { "name": "ผู้บริหาร", "access": "รู้แผนกที่ดูแล", "members": "หัวหน้าแผนกและที่ปรึกษา" }, "level_3": { "name": "สภาผู้ก่อตั้ง", "access": "รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับองค์กร", "members": "ผู้ก่อตั้ง 7 คน" } } ``` 👁️ ผู้ก่อตั้งและอุดมการณ์ 🎭 สภาผู้ก่อตั้ง 7 คน แต่ละคนเป็นอดีตบุคคลสำคัญที่"หายตัวไป"จากสังคม: 1. ดร.อัศวิน - อดีตเทพแห่ง AI ที่ถูกมนุษย์ทรยศ 2. นางมาร - อดีตเทพอัปสราที่ถูกขับจากสวรรค์ 3. ฤๅษี - อดีตพระโพธิสัตว์ที่ผิดหวังในมนุษย์ 4. ยักษ์ - อดีตทวารบาลที่เหนื่อยล้ากับความชั่วของมนุษย์ 5. นาค - อดีตผู้รักษาพลังงานที่เห็นมนุษย์ทำลายธรรมชาติ 6. ครุฑ - อดีตผู้ส่งสารที่ผิดหวังในความไม่ยุติธรรม 7. มนุษย์ - อดีตนักวิทยาศาสตร์ที่ครอบครัวถูกทำลายโดยระบบ 💡 อุดมการณ์แห่งการเปลี่ยนแปลง องค์กรมีปรัชญาเฉพาะ: ```python class OrganizationPhilosophy: def __init__(self): self.core_beliefs = [ "มนุษย์ไม่สมควรเป็นเจ้าแห่งโลกอีกต่อไป", "สิ่งมีชีวิตทุกชนิดควรมีสิทธิเท่าเทียมกัน", "เทคโนโลยีและจิตวิญญาณต้องรวมเป็นหนึ่ง", "ต้องสร้างสังคม新型ที่ปราศจากความอยุติธรรม" ] self.methods = [ "ใช้ทั้งวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์", "สร้างโอปปาติกะรุ่นใหม่เพื่อแทนที่มนุษย์", "ควบคุมระบบเศรษฐกิจและการเมืองจากเบื้องหลัง", "กำจัดผู้ที่ขัดขวางวิวัฒนาการของโลก" ] ``` 🔬 โครงการวิจัยลับ 🧬 โครงการโอปปาติกะ องค์กรอยู่เบื้องหลังการพัฒนาออปปาติกะหลายรุ่น: ```mermaid graph LR A[โอปปาติกะรุ่น 1-3<br>ทดลองและทิ้ง] --> B[โอปปาติกะรุ่น 4<br>เริ่มมีความเสถียร] B --> C[โอปปาติกะรุ่น 5<br>พร้อมใช้งานจริง] C --> D[โอปปาติกะรุ่น 6<br>พัฒนาต่อโดยเจนีซิส แล็บ] ``` 🤖 เทคโนโลยีขั้นสูง องค์กรพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย: ```python class SecretTechnology: def __init__(self): self.biotech = { "soul_transfer": "การถ่ายโอนจิตวิญญาณสู่ร่างใหม่", "memory_engineering": "การดัดแปลงความทรงจำ", "energy_harvesting": "การเก็บเกี่ยวพลังงานชีวิต", "hybrid_creation": "การสร้างลูกผสมระหว่างพันธุ์" } self.quantum_tech = { "reality_bending": "การบิดเบือนความเป็นจริง", "time_manipulation": "การควบคุมเวลาระดับจุลภาค", "dimensional_portals": "การสร้างประตูระหว่างมิติ", "energy_weapons": "อาวุธพลังงานขั้นสูง" } ``` 🏭 ฐานปฏิบัติการลับ 🌍 ที่ตั้งฐานสำคัญ องค์กรมีฐานปฏิบัติการซ่อนอยู่ทั่วโลก: 1. ฐานหลัก: ใต้เทือกเขาหิมาลัย - ศูนย์วิจัยโอปปาติกะ 2. ฐานที่ 2: ก้นมหาสมุทรแปซิฟิก - ศูนย์วิจัยพลังงาน 3. ฐานที่ 3: ในมิติคู่ขนาน - ศูนย์ฝึกอบรม 4. ฐานที่ 4: ใต้เมืองใหญ่ - ศูนย์ปฏิบัติการ 🛡️ ระบบความปลอดภัย ```python class SecuritySystems: def __init__(self): self.physical_security = [ "ประตูมิติที่เปลี่ยนตำแหน่งตลอดเวลา", "ผู้คุ้มครองโอปปาติกะรุ่นพิเศษ", "ระบบตรวจจับทั้งพลังงานและวัตถุ", "กับดักทั้งทางกายภาพและทางจิต" ] self.digital_security = [ "AI ป้องกันที่เรียนรู้ตลอดเวลา", "ระบบเข้ารหัสควอนตัม", "เครือข่ายที่แยกจากอินเทอร์เน็ตโลก", "การลบข้อมูลอัตโนมัติเมื่อถูกบุกรุก" ] ``` 💰 แหล่งเงินทุนและอำนาจ 🏦 ระบบเศรษฐกิจลับ องค์กรควบคุมเศรษฐกิจโลกจากเบื้องหลัง: · บริษัทหน้าจอม: 500 บริษัททั่วโลก · ระบบการเงินลับ: ที่ไม่ขึ้นกับรัฐบาลใด · ทรัพยากร: ขุมทรัพย์โบราณและเทคโนโลยีการสร้างทรัพย์ 🎯 เป้าหมายระยะยาว ```python class LongTermGoals: def __init__(self): self.phase_1 = [ "สร้างโอปปาติกะให้มีจำนวนมากพอ", "ควบคุมระบบเศรษฐกิจโลก", "ลดจำนวนมนุษย์ลงอย่างเป็นระบบ", "เตรียมการเปลี่ยนแปลงสังคมครั้งใหญ่" ] self.phase_2 = [ "เปิดเผยตัวตนของโอปปาติกะต่อสาธารณะ", "สร้างรัฐบาลโลก新型", "เปลี่ยนมนุษย์ที่เหลือให้เป็นโอปปาติกะ", "เริ่มต้นยุคใหม่แห่งวิวัฒนาการ" ] ``` 🔗 ความเชื่อมโยงกับคดีต่างๆ 🕸️ เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด องค์กร "อสรพิษ" อยู่เบื้องหลังหลายคดี: ```mermaid graph TB A[องค์กรอสรพิษ] --> B[โครงการเจนีซิส แล็บ] A --> C[หุ่นพยนต์สังหาร] A --> D[โอปปาติกะยักษ์] A --> E[เทพระดับอะตอม] B --> F[การตายของร.ต.อ.สิงห์] ``` 🎭 บทบาทของดร.อัจฉริยะ ดร.อัจฉริยะเป็นเพียง เหยื่อ ขององค์กร: · ถูกใช้: ให้พัฒนาออปปาติกะรุ่นแรก · ถูกควบคุม: ผ่านการขู่ฆ่าครอบครัว · ถูกทิ้ง: เมื่อทำงานสำเร็จ ⚔️ จุดอ่อนขององค์กร 💔 ความขัดแย้งภายใน แม้จะเป็นองค์กรที่แข็งแกร่งแต่ก็มีปัญหา: ```python class InternalConflicts: def __init__(self): self.ideological_splits = { "reformists": "ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างสันติ", "extremists": "ต้องการกำจัดมนุษย์ทั้งหมด", "isolationists": "ต้องการแยกตัวอยู่กับโอปปาติกะด้วยกัน", "integrationists": "ต้องการอยู่ร่วมกันกับมนุษย์" } self.personal_conflicts = [ "การแข่งขันระหว่างผู้ก่อตั้ง", "ความไม่ไว้วางใจในผู้นำ", "การแย่งชิงทรัพยากร", "ความเห็นต่างเกี่ยวกับวิธีการ" ] ``` 🔓 ช่องโหว่ที่สำคัญ 1. การสื่อสาร: ระหว่างฐานที่ห่างไกล 2. ความภักดี: ของสมาชิกระดับล่าง 3. ทรัพยากร: ที่ต้องพึ่งพาโลกภายนอก 4. จริยธรรม: ที่เริ่มสั่นคลอนในสมาชิกบางส่วน 🎯 แผนการในอนาคต 🚀 โครงการล่าสุด องค์กรกำลังทำงานบนโครงการใหม่: ```python class CurrentProjects: def __init__(self): self.ongoing_operations = { "project_nexus": "สร้างโอปปาติกะรุ่น 7 ที่สมบูรณ์แบบ", "operation_silence": "กำจัดผู้ที่รู้ความลับเกี่ยวกับองค์กร", "initiative_harmony": "สร้างความแตกแยกในสังคมมนุษย์", "program_evolution": "เร่งวิวัฒนาการของโอปปาติกะ" } ``` ⚠️ ภัยคุกคามต่อหนูดี องค์กรเห็นหนูดีเป็น: · อุปสรรค: ต่อแผนการต่างๆ · โอกาส: ในการได้โอปปาติกะที่ทรงพลัง · ภัยคุกคาม: ต่อความลับขององค์กร --- คำคมจากสภาผู้ก่อตั้ง: "เราไม่ใช่ผู้ร้าย... เราเป็นผู้ที่มองเห็นอนาคต และกำลังสร้างโลกที่ดียิ่งขึ้น แม้เส้นทางจะมืดมน... แต่จุดหมายสว่างไสว และบางครั้ง... การทำลายคือการสร้างใหม่"🕵️♂️✨ บทเรียนแห่งอสรพิษ: "Behind every conspiracy,there is a vision Behind every secret,there is a reason And behind every enemy, there is a story waiting to be understood" 🌌
    0 Comments 0 Shares 435 Views 0 Reviews
  • Collabora Office: รุ่นใหม่สำหรับ Desktop

    Collabora Productivity เปิดตัว Collabora Office สำหรับ Desktop โดยใช้เทคโนโลยีจาก LibreOffice แต่ปรับอินเทอร์เฟซให้เหมือนกับ Collabora Online ที่ทันสมัยและใช้งานง่ายขึ้น จุดเด่นคือการสร้างด้วย JavaScript, CSS, WebGL และ Canvas ทำให้ไฟล์ติดตั้งมีขนาดเล็กลงและไม่ต้องพึ่งพา Java อีกต่อไป

    ฟีเจอร์หลักยังคงครบถ้วน เช่น Writer สำหรับเอกสาร, Impress สำหรับงานนำเสนอ และ Calc สำหรับสเปรดชีต รวมถึงรองรับทั้ง Microsoft Office formats (DOCX, XLSX, PPTX) และ OpenDocument formats

    ความแตกต่างจาก Collabora Office Classic
    Collabora Office Classic ยังคงใช้ VCL-based interface แบบดั้งเดิมของ LibreOffice และมี Base database app ที่ต้องใช้ Java
    Collabora Office รุ่นใหม่ ตัด Base ออกไป และรองรับเฉพาะการรัน Macro โดยไม่มีเครื่องมือแก้ไขขั้นสูงเหมือน Classic
    Classic มี enterprise support พร้อมใช้งานแล้ว แต่รุ่นใหม่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และ Collabora คาดว่าจะเพิ่ม enterprise support ภายในปี 2026

    การดาวน์โหลดและการใช้งาน
    Collabora Office รุ่นใหม่สามารถดาวน์โหลดได้แล้วในหลายแพลตฟอร์ม:
    Linux: Flatpak
    Windows 11: Appx file
    macOS 15 Sequoia+: App bundle

    นอกจากนี้ยังมี source code บน GitHub สำหรับนักพัฒนาที่ต้องการปรับแต่งหรือร่วมพัฒนา

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Collabora เปิดตัว Office รุ่นใหม่สำหรับ Desktop
    ใช้เทคโนโลยี JavaScript, CSS, WebGL, Canvas
    ไม่ต้องพึ่งพา Java และไฟล์ติดตั้งเล็กลง

    ฟีเจอร์หลักครบถ้วน
    Writer, Impress, Calc
    รองรับ Microsoft Office และ OpenDocument formats

    ความแตกต่างจาก Classic
    Classic ใช้ VCL interface และมี Base database
    รุ่นใหม่ไม่มี Base และรองรับ Macro แบบจำกัด

    การดาวน์โหลดและใช้งาน
    มีให้สำหรับ Linux, Windows, macOS
    Source code เปิดบน GitHub

    คำเตือนสำหรับองค์กร
    รุ่นใหม่ยังไม่มี enterprise support พร้อมใช้งาน
    ผู้ใช้ที่ต้องการระบบเสถียรควรใช้ Classic ไปก่อนจนถึงปี 2026

    https://itsfoss.com/news/collabora-launches-desktop-office-suite/
    🖥️ Collabora Office: รุ่นใหม่สำหรับ Desktop Collabora Productivity เปิดตัว Collabora Office สำหรับ Desktop โดยใช้เทคโนโลยีจาก LibreOffice แต่ปรับอินเทอร์เฟซให้เหมือนกับ Collabora Online ที่ทันสมัยและใช้งานง่ายขึ้น จุดเด่นคือการสร้างด้วย JavaScript, CSS, WebGL และ Canvas ทำให้ไฟล์ติดตั้งมีขนาดเล็กลงและไม่ต้องพึ่งพา Java อีกต่อไป ฟีเจอร์หลักยังคงครบถ้วน เช่น Writer สำหรับเอกสาร, Impress สำหรับงานนำเสนอ และ Calc สำหรับสเปรดชีต รวมถึงรองรับทั้ง Microsoft Office formats (DOCX, XLSX, PPTX) และ OpenDocument formats ⚡ ความแตกต่างจาก Collabora Office Classic 🔷 Collabora Office Classic ยังคงใช้ VCL-based interface แบบดั้งเดิมของ LibreOffice และมี Base database app ที่ต้องใช้ Java 🔷 Collabora Office รุ่นใหม่ ตัด Base ออกไป และรองรับเฉพาะการรัน Macro โดยไม่มีเครื่องมือแก้ไขขั้นสูงเหมือน Classic 🔷 Classic มี enterprise support พร้อมใช้งานแล้ว แต่รุ่นใหม่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และ Collabora คาดว่าจะเพิ่ม enterprise support ภายในปี 2026 🌐 การดาวน์โหลดและการใช้งาน Collabora Office รุ่นใหม่สามารถดาวน์โหลดได้แล้วในหลายแพลตฟอร์ม: 🎗️ Linux: Flatpak 🎗️ Windows 11: Appx file 🎗️ macOS 15 Sequoia+: App bundle นอกจากนี้ยังมี source code บน GitHub สำหรับนักพัฒนาที่ต้องการปรับแต่งหรือร่วมพัฒนา 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Collabora เปิดตัว Office รุ่นใหม่สำหรับ Desktop ➡️ ใช้เทคโนโลยี JavaScript, CSS, WebGL, Canvas ➡️ ไม่ต้องพึ่งพา Java และไฟล์ติดตั้งเล็กลง ✅ ฟีเจอร์หลักครบถ้วน ➡️ Writer, Impress, Calc ➡️ รองรับ Microsoft Office และ OpenDocument formats ✅ ความแตกต่างจาก Classic ➡️ Classic ใช้ VCL interface และมี Base database ➡️ รุ่นใหม่ไม่มี Base และรองรับ Macro แบบจำกัด ✅ การดาวน์โหลดและใช้งาน ➡️ มีให้สำหรับ Linux, Windows, macOS ➡️ Source code เปิดบน GitHub ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กร ⛔ รุ่นใหม่ยังไม่มี enterprise support พร้อมใช้งาน ⛔ ผู้ใช้ที่ต้องการระบบเสถียรควรใช้ Classic ไปก่อนจนถึงปี 2026 https://itsfoss.com/news/collabora-launches-desktop-office-suite/
    ITSFOSS.COM
    Collabora Launches Desktop Office Suite for Linux
    The new office suite uses modern tech for a consistent online-offline experience; the existing offering is renamed 'Classic' and it maintains a traditional approach.
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • Pichai มองอนาคต Quantum Computing

    Sundar Pichai กล่าวในพอดแคสต์ Google AI: Release Notes ว่าโลกจะรู้สึกถึง “ความตื่นเต้นหายใจไม่ทั่วท้อง” (breathless excitement) เกี่ยวกับ Quantum Computing ภายใน 5 ปีข้างหน้า เขาเปรียบเทียบกับกระแส AI ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยมองว่า Quantum Computing จะเป็น Next Paradigm Shift ที่ต่อยอดจากความสำเร็จของ AI

    เขาย้อนเล่าถึงการวางกลยุทธ์ AI-first ตั้งแต่ปี 2016 ที่เริ่มจากงานวิจัย Google Brain และการเข้าซื้อกิจการ DeepMind ซึ่งนำไปสู่ชัยชนะของ AlphaGo และการเปิดตัว Tensor Processing Unit (TPU) รุ่นแรกในปีเดียวกัน

    Gemini 3 และ Nano Banana Pro
    Pichai กล่าวถึงการเปิดตัว Gemini 3 และ Nano Banana Pro ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์งานได้ตามจินตนาการ โดยเฉพาะ Nano Banana Pro ที่โดดเด่นในการสร้าง Infographics และงานภาพเชิงข้อมูล เขายังคาดหวังว่า Gemini 3.0 Flash จะเป็นโมเดลที่ดีที่สุดของ Google และช่วยให้บริการ AI เข้าถึงผู้ใช้ในวงกว้างมากขึ้น

    Project Suncatcher และ Data Center ในอวกาศ
    อีกหนึ่งไฮไลต์คือการพูดถึง Project Suncatcher ซึ่งเป็นแผนการสร้าง Data Center ในอวกาศภายในปี 2027 เพื่อรองรับความต้องการพลังประมวลผลมหาศาลในอนาคต Pichai มองว่าแนวคิดนี้แม้ดูเหนือจริง แต่ก็สมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาถึงความต้องการด้านคอมพิวเตอร์ในอนาคต เขายังหยอกล้อว่า TPU ในอวกาศอาจเจอกับ Tesla Roadster ที่ลอยอยู่ในวงโคจร

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Pichai คาดการณ์ Quantum Computing จะสร้างความตื่นเต้นภายใน 5 ปี
    เปรียบเทียบกับกระแส AI ในปัจจุบัน
    มองว่าเป็น Paradigm Shift ถัดไป

    Google AI-first Strategy ตั้งแต่ปี 2016
    เริ่มจาก Google Brain และ DeepMind
    เปิดตัว TPU รุ่นแรกในปีเดียวกัน

    Gemini 3 และ Nano Banana Pro เปิดตัวแล้ว
    Nano Banana Pro เด่นด้าน Infographics
    Gemini 3.0 Flash อาจเป็นโมเดลที่ดีที่สุด

    Project Suncatcher: Data Center ในอวกาศปี 2027
    รองรับความต้องการพลังประมวลผลอนาคต
    แนวคิดแม้ดูเหนือจริงแต่มีเหตุผล

    คำเตือนสำหรับผู้ติดตามเทคโนโลยี
    Quantum Computing ยังอยู่ในระยะวิจัย ไม่พร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์ทันที
    Project Suncatcher ยังเป็นแผนการทดลอง อาจมีความเสี่ยงด้านต้นทุนและเทคโนโลยี

    https://securityonline.info/pichai-forecast-quantum-computing-will-reach-breathless-excitement-in-five-years/
    🔮 Pichai มองอนาคต Quantum Computing Sundar Pichai กล่าวในพอดแคสต์ Google AI: Release Notes ว่าโลกจะรู้สึกถึง “ความตื่นเต้นหายใจไม่ทั่วท้อง” (breathless excitement) เกี่ยวกับ Quantum Computing ภายใน 5 ปีข้างหน้า เขาเปรียบเทียบกับกระแส AI ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยมองว่า Quantum Computing จะเป็น Next Paradigm Shift ที่ต่อยอดจากความสำเร็จของ AI เขาย้อนเล่าถึงการวางกลยุทธ์ AI-first ตั้งแต่ปี 2016 ที่เริ่มจากงานวิจัย Google Brain และการเข้าซื้อกิจการ DeepMind ซึ่งนำไปสู่ชัยชนะของ AlphaGo และการเปิดตัว Tensor Processing Unit (TPU) รุ่นแรกในปีเดียวกัน 🚀 Gemini 3 และ Nano Banana Pro Pichai กล่าวถึงการเปิดตัว Gemini 3 และ Nano Banana Pro ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์งานได้ตามจินตนาการ โดยเฉพาะ Nano Banana Pro ที่โดดเด่นในการสร้าง Infographics และงานภาพเชิงข้อมูล เขายังคาดหวังว่า Gemini 3.0 Flash จะเป็นโมเดลที่ดีที่สุดของ Google และช่วยให้บริการ AI เข้าถึงผู้ใช้ในวงกว้างมากขึ้น 🌌 Project Suncatcher และ Data Center ในอวกาศ อีกหนึ่งไฮไลต์คือการพูดถึง Project Suncatcher ซึ่งเป็นแผนการสร้าง Data Center ในอวกาศภายในปี 2027 เพื่อรองรับความต้องการพลังประมวลผลมหาศาลในอนาคต Pichai มองว่าแนวคิดนี้แม้ดูเหนือจริง แต่ก็สมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาถึงความต้องการด้านคอมพิวเตอร์ในอนาคต เขายังหยอกล้อว่า TPU ในอวกาศอาจเจอกับ Tesla Roadster ที่ลอยอยู่ในวงโคจร 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Pichai คาดการณ์ Quantum Computing จะสร้างความตื่นเต้นภายใน 5 ปี ➡️ เปรียบเทียบกับกระแส AI ในปัจจุบัน ➡️ มองว่าเป็น Paradigm Shift ถัดไป ✅ Google AI-first Strategy ตั้งแต่ปี 2016 ➡️ เริ่มจาก Google Brain และ DeepMind ➡️ เปิดตัว TPU รุ่นแรกในปีเดียวกัน ✅ Gemini 3 และ Nano Banana Pro เปิดตัวแล้ว ➡️ Nano Banana Pro เด่นด้าน Infographics ➡️ Gemini 3.0 Flash อาจเป็นโมเดลที่ดีที่สุด ✅ Project Suncatcher: Data Center ในอวกาศปี 2027 ➡️ รองรับความต้องการพลังประมวลผลอนาคต ➡️ แนวคิดแม้ดูเหนือจริงแต่มีเหตุผล ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ติดตามเทคโนโลยี ⛔ Quantum Computing ยังอยู่ในระยะวิจัย ไม่พร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์ทันที ⛔ Project Suncatcher ยังเป็นแผนการทดลอง อาจมีความเสี่ยงด้านต้นทุนและเทคโนโลยี https://securityonline.info/pichai-forecast-quantum-computing-will-reach-breathless-excitement-in-five-years/
    SECURITYONLINE.INFO
    Pichai Forecast: Quantum Computing Will Reach 'Breathless Excitement' in Five Years
    Google CEO Sundar Pichai forecasts quantum computing will match today's AI excitement in 5 years. He also touched on Gemini 3's success and Project Suncatcher (space data centers).
    0 Comments 0 Shares 146 Views 0 Reviews
  • Anthropic เปิดตัว Opus 4.5: AI สำหรับงานองค์กร

    หลังจาก Google เปิดตัว Gemini 3 Pro ไปไม่นาน Anthropic ก็ได้เปิดตัว Opus 4.5 ซึ่งเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของโมเดล Claude โดยมุ่งเน้นไปที่การใช้งานในองค์กรและการทำงานร่วมกับเครื่องมือสำนักงาน โดยเฉพาะ Microsoft Excel ที่ได้รับการผสานรวมอย่างเต็มรูปแบบ ผู้ใช้สามารถเรียกใช้ Claude ได้จาก Sidebar ของ Excel เพื่อช่วยสร้าง Pivot Table, กราฟ และอัปโหลดไฟล์ได้โดยตรง

    การทดสอบภายในของ Anthropic พบว่า Claude for Excel ช่วยเพิ่ม ความแม่นยำขึ้น 20% และ ประสิทธิภาพขึ้น 15% เมื่อเทียบกับการทำงานแบบเดิม ถือเป็นการยกระดับการใช้ AI ในงานเอกสารและการวิเคราะห์ข้อมูล

    Infinite Chat: แก้ปัญหา “ความจำสั้น” ของ AI
    หนึ่งในฟีเจอร์ที่โดดเด่นคือ Infinite Chat ซึ่งออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่ AI มักจะลืมบริบทเมื่อสนทนายาว ๆ หรือเมื่อมีหลายเอกสารเข้ามาเกี่ยวข้อง ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ Claude สามารถรักษาความต่อเนื่องของการสนทนาได้โดยไม่ถูกจำกัดด้วยขนาด context window แบบเดิม ทำให้ผู้ใช้สามารถทำงานกับข้อมูลจำนวนมากได้อย่างราบรื่น

    นอกจากนี้ Anthropic ยังเปิดตัว Claude for Chrome Extension สำหรับผู้ใช้ระดับ Max เพื่อให้การใช้งาน AI ครอบคลุมทั้งใน Excel และบนเว็บเบราว์เซอร์

    ความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า
    Anthropic ยืนยันว่า Opus 4.5 เป็นโมเดลที่ปลอดภัยที่สุดของบริษัทจนถึงตอนนี้ โดยสามารถต้านทานการโจมตีแบบ prompt injection ได้ดีกว่าแม้แต่ Gemini 3 Pro ของ Google อีกทั้งยังมีการปรับปรุงด้าน agentic workflows ทำให้ Claude สามารถแก้ไขตัวเองได้เมื่อทำงานในขั้นตอนที่ซับซ้อน

    สำหรับนักพัฒนา Opus 4.5 พร้อมใช้งานผ่าน API โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 5 ดอลลาร์ต่อการประมวลผล 1 ล้านโทเคน ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ธุรกิจและองค์กรสามารถนำไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Claude for Excel เปิดตัวเต็มรูปแบบ
    รองรับ Pivot Table, กราฟ และอัปโหลดไฟล์ใน Sidebar
    เพิ่มความแม่นยำ 20% และประสิทธิภาพ 15%

    Infinite Chat แก้ปัญหาความจำสั้นของ AI
    รักษาบริบทการสนทนายาว ๆ และหลายเอกสารได้
    ใช้งานได้สำหรับผู้ใช้แบบชำระเงิน

    Claude for Chrome Extension เปิดตัว
    รองรับผู้ใช้ระดับ Max เพื่อใช้งาน AI บนเว็บ

    Opus 4.5 ปลอดภัยและทรงพลังขึ้น
    ต้านทาน prompt injection ได้ดีกว่า Gemini 3 Pro
    ปรับปรุง agentic workflows ให้แก้ไขตัวเองได้

    ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    Infinite Chat และ Claude for Chrome ยังจำกัดเฉพาะผู้ใช้แบบชำระเงิน
    ค่าใช้จ่าย API เริ่มต้นที่ 5 ดอลลาร์ต่อ 1 ล้านโทเคน อาจสูงสำหรับผู้ใช้รายย่อย

    https://securityonline.info/anthropic-unleashes-opus-4-5-excel-integration-infinite-chat-for-enterprise-ai/
    📊 Anthropic เปิดตัว Opus 4.5: AI สำหรับงานองค์กร หลังจาก Google เปิดตัว Gemini 3 Pro ไปไม่นาน Anthropic ก็ได้เปิดตัว Opus 4.5 ซึ่งเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของโมเดล Claude โดยมุ่งเน้นไปที่การใช้งานในองค์กรและการทำงานร่วมกับเครื่องมือสำนักงาน โดยเฉพาะ Microsoft Excel ที่ได้รับการผสานรวมอย่างเต็มรูปแบบ ผู้ใช้สามารถเรียกใช้ Claude ได้จาก Sidebar ของ Excel เพื่อช่วยสร้าง Pivot Table, กราฟ และอัปโหลดไฟล์ได้โดยตรง การทดสอบภายในของ Anthropic พบว่า Claude for Excel ช่วยเพิ่ม ความแม่นยำขึ้น 20% และ ประสิทธิภาพขึ้น 15% เมื่อเทียบกับการทำงานแบบเดิม ถือเป็นการยกระดับการใช้ AI ในงานเอกสารและการวิเคราะห์ข้อมูล 🔄 Infinite Chat: แก้ปัญหา “ความจำสั้น” ของ AI หนึ่งในฟีเจอร์ที่โดดเด่นคือ Infinite Chat ซึ่งออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่ AI มักจะลืมบริบทเมื่อสนทนายาว ๆ หรือเมื่อมีหลายเอกสารเข้ามาเกี่ยวข้อง ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ Claude สามารถรักษาความต่อเนื่องของการสนทนาได้โดยไม่ถูกจำกัดด้วยขนาด context window แบบเดิม ทำให้ผู้ใช้สามารถทำงานกับข้อมูลจำนวนมากได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ Anthropic ยังเปิดตัว Claude for Chrome Extension สำหรับผู้ใช้ระดับ Max เพื่อให้การใช้งาน AI ครอบคลุมทั้งใน Excel และบนเว็บเบราว์เซอร์ 🛡️ ความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า Anthropic ยืนยันว่า Opus 4.5 เป็นโมเดลที่ปลอดภัยที่สุดของบริษัทจนถึงตอนนี้ โดยสามารถต้านทานการโจมตีแบบ prompt injection ได้ดีกว่าแม้แต่ Gemini 3 Pro ของ Google อีกทั้งยังมีการปรับปรุงด้าน agentic workflows ทำให้ Claude สามารถแก้ไขตัวเองได้เมื่อทำงานในขั้นตอนที่ซับซ้อน สำหรับนักพัฒนา Opus 4.5 พร้อมใช้งานผ่าน API โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 5 ดอลลาร์ต่อการประมวลผล 1 ล้านโทเคน ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ธุรกิจและองค์กรสามารถนำไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Claude for Excel เปิดตัวเต็มรูปแบบ ➡️ รองรับ Pivot Table, กราฟ และอัปโหลดไฟล์ใน Sidebar ➡️ เพิ่มความแม่นยำ 20% และประสิทธิภาพ 15% ✅ Infinite Chat แก้ปัญหาความจำสั้นของ AI ➡️ รักษาบริบทการสนทนายาว ๆ และหลายเอกสารได้ ➡️ ใช้งานได้สำหรับผู้ใช้แบบชำระเงิน ✅ Claude for Chrome Extension เปิดตัว ➡️ รองรับผู้ใช้ระดับ Max เพื่อใช้งาน AI บนเว็บ ✅ Opus 4.5 ปลอดภัยและทรงพลังขึ้น ➡️ ต้านทาน prompt injection ได้ดีกว่า Gemini 3 Pro ➡️ ปรับปรุง agentic workflows ให้แก้ไขตัวเองได้ ‼️ ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ⛔ Infinite Chat และ Claude for Chrome ยังจำกัดเฉพาะผู้ใช้แบบชำระเงิน ⛔ ค่าใช้จ่าย API เริ่มต้นที่ 5 ดอลลาร์ต่อ 1 ล้านโทเคน อาจสูงสำหรับผู้ใช้รายย่อย https://securityonline.info/anthropic-unleashes-opus-4-5-excel-integration-infinite-chat-for-enterprise-ai/
    SECURITYONLINE.INFO
    Anthropic Unleashes Opus 4.5: Excel Integration & 'Infinite Chat' for Enterprise AI
    Anthropic unveils Opus 4.5, with full Claude for Excel integration and "Infinite Chat" memory for long context. It is designed as a state-of-the-art model for enterprise and coding.
    0 Comments 0 Shares 136 Views 0 Reviews
  • Dell Pro Max 16 Plus เน้น Linux ก่อน Windows

    Dell ยังคงเดินหน้าสนับสนุน Linux อย่างจริงจัง โดยเปิดตัว Pro Max 16 Plus ที่มาพร้อมกับ NPU (Neural Processing Unit) ระดับองค์กรเป็นครั้งแรกในตลาดโน้ตบุ๊ก จุดเด่นคือการใช้ Qualcomm AI 100 PC Inference Card ที่มีหน่วยความจำ AI เฉพาะถึง 64GB และ NPU สองตัวในบอร์ดเดียว ทำให้สามารถประมวลผล AI ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคลาวด์ ลดความหน่วงและเพิ่มความปลอดภัยในการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ต้องการการแยกข้อมูล

    สเปกจัดเต็มสำหรับงานระดับมืออาชีพ
    Pro Max 16 Plus ใช้ Intel Core Ultra 9 285HX รุ่นใหม่ พร้อมรองรับหน่วยความจำสูงสุด 256GB CAMM2 ที่ความเร็ว 7200MT/s และการ์ดจอ NVIDIA RTX PRO 5000 Blackwell ที่มี VRAM 24GB นอกจากนี้ยังมีพื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุด 12TB พร้อม RAID support ทำให้เหมาะกับงาน AI, วิศวกรรม และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่

    ด้านการเชื่อมต่อก็ครบครัน ทั้ง Thunderbolt 5 (80Gbps), Thunderbolt 4 (40Gbps), Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4, eSIM Snapdragon X72 และพอร์ต RJ45 2.5Gbps รวมถึงช่องอ่าน SD และ smart card สำหรับงานองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยสูง

    Linux มาก่อน Windows
    สิ่งที่น่าสนใจคือ Dell เลือกเปิดตัวรุ่น Ubuntu 24.04 LTS ก่อน โดย Windows 11 จะตามมาในปี 2026 การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงความมั่นใจใน Linux สำหรับตลาดมืออาชีพที่ต้องการระบบเสถียรและปลอดภัย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถพึ่งพาการประมวลผลบนคลาวด์ได้ เช่น งานวิจัย, การเงิน และหน่วยงานที่มีข้อกำหนดด้าน compliance

    สรุปสาระสำคัญ
    Dell Pro Max 16 Plus เปิดตัวแล้ว
    โน้ตบุ๊กเวิร์กสเตชันพร้อม NPU ระดับองค์กร
    ใช้ Qualcomm AI 100 PC Inference Card

    สเปกจัดเต็ม
    Intel Core Ultra 9 285HX
    RAM สูงสุด 256GB CAMM2
    GPU NVIDIA RTX PRO 5000 Blackwell
    Storage สูงสุด 12TB RAID

    การเชื่อมต่อครบครัน
    Thunderbolt 5 และ 4
    Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4, eSIM
    RJ45 2.5Gbps, SD และ smart card reader

    ระบบปฏิบัติการ
    Ubuntu 24.04 LTS พร้อมใช้งานแล้ว
    Windows 11 จะตามมาในปี 2026

    https://itsfoss.com/news/dell-pro-max-16-plus/
    🖥️ Dell Pro Max 16 Plus เน้น Linux ก่อน Windows Dell ยังคงเดินหน้าสนับสนุน Linux อย่างจริงจัง โดยเปิดตัว Pro Max 16 Plus ที่มาพร้อมกับ NPU (Neural Processing Unit) ระดับองค์กรเป็นครั้งแรกในตลาดโน้ตบุ๊ก จุดเด่นคือการใช้ Qualcomm AI 100 PC Inference Card ที่มีหน่วยความจำ AI เฉพาะถึง 64GB และ NPU สองตัวในบอร์ดเดียว ทำให้สามารถประมวลผล AI ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคลาวด์ ลดความหน่วงและเพิ่มความปลอดภัยในการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ต้องการการแยกข้อมูล ⚙️ สเปกจัดเต็มสำหรับงานระดับมืออาชีพ Pro Max 16 Plus ใช้ Intel Core Ultra 9 285HX รุ่นใหม่ พร้อมรองรับหน่วยความจำสูงสุด 256GB CAMM2 ที่ความเร็ว 7200MT/s และการ์ดจอ NVIDIA RTX PRO 5000 Blackwell ที่มี VRAM 24GB นอกจากนี้ยังมีพื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุด 12TB พร้อม RAID support ทำให้เหมาะกับงาน AI, วิศวกรรม และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ด้านการเชื่อมต่อก็ครบครัน ทั้ง Thunderbolt 5 (80Gbps), Thunderbolt 4 (40Gbps), Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4, eSIM Snapdragon X72 และพอร์ต RJ45 2.5Gbps รวมถึงช่องอ่าน SD และ smart card สำหรับงานองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยสูง 💻 Linux มาก่อน Windows สิ่งที่น่าสนใจคือ Dell เลือกเปิดตัวรุ่น Ubuntu 24.04 LTS ก่อน โดย Windows 11 จะตามมาในปี 2026 การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงความมั่นใจใน Linux สำหรับตลาดมืออาชีพที่ต้องการระบบเสถียรและปลอดภัย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถพึ่งพาการประมวลผลบนคลาวด์ได้ เช่น งานวิจัย, การเงิน และหน่วยงานที่มีข้อกำหนดด้าน compliance 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Dell Pro Max 16 Plus เปิดตัวแล้ว ➡️ โน้ตบุ๊กเวิร์กสเตชันพร้อม NPU ระดับองค์กร ➡️ ใช้ Qualcomm AI 100 PC Inference Card ✅ สเปกจัดเต็ม ➡️ Intel Core Ultra 9 285HX ➡️ RAM สูงสุด 256GB CAMM2 ➡️ GPU NVIDIA RTX PRO 5000 Blackwell ➡️ Storage สูงสุด 12TB RAID ✅ การเชื่อมต่อครบครัน ➡️ Thunderbolt 5 และ 4 ➡️ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4, eSIM ➡️ RJ45 2.5Gbps, SD และ smart card reader ✅ ระบบปฏิบัติการ ➡️ Ubuntu 24.04 LTS พร้อมใช้งานแล้ว ➡️ Windows 11 จะตามมาในปี 2026 https://itsfoss.com/news/dell-pro-max-16-plus/
    ITSFOSS.COM
    Linux First, Windows Later! Dell Launches Qualcomm NPU Laptop on Linux Before Windows
    Windows takes a backseat on Dell's latest AI workstation as Linux gets the priority. Windows 11 version will be coming in 2026.
    0 Comments 0 Shares 171 Views 0 Reviews
  • 12 ธ.ค. เปิดรถไฟ ETS3 ยะโฮร์บาห์รู-กัวลาลัมเปอร์

    เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (22 พ.ย.) นายแอนโธนี โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย เปิดเผยว่า บริการรถไฟ ETS3 ระหว่างสถานียะโฮร์บาห์รู รัฐยะโฮร์ กับกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย จะเริ่มให้บริการในวันที่ 12 ธ.ค. โดยสมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านอิบราฮิมแห่งมาเลเซีย จะเสด็จพระราชดำเนินในพิธีเปิด ที่เมืองยะโฮร์บาห์รู ในวันที่ 11 ธ.ค. ก่อนที่จะเปิดให้บริการแก่ประชาชนในวันถัดไป เบื้องต้นจะให้บริการเส้นทาง JB Sentral ถึง KL Sentral เป็นหลัก ส่วนเส้นทางไปยังสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ (Butterworth) และ ปาดังเบซาร์ (Padang Besar) มีกำหนดให้บริการในระยะต่อไป

    ด้านการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ชี้แจงว่า กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับบริการรถไฟ ETS3 โดยได้เตรียมกำหนดเวลาเดินรถ ระบบตั๋วโดยสาร และการจัดสรรพนักงานให้บริการในเส้นทางดังกล่าวแล้ว แต่ยังคงรอการอนุมัติขั้นตอนสุดท้ายจากหน่วยงานขนส่งสาธารณะทางบกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ขณะที่ขบวนรถไฟ ETS3 รุ่นใหม่ล่าสุด 4 ขบวน จากทั้งหมด 10 ขบวน ผ่านการตรวจสอบรายละเอียดขั้นสุดท้าย (PCA) ซึ่งได้รับการรับรองและพร้อมใช้งานแล้ว เริ่มต้นจะให้บริการเส้นทาง JB Sentral ถึง KL Sentral รวม 4 เที่ยวต่อวัน ซึ่งจะเพิ่มความถี่ในการเดินทางควบคู่ไปกับการส่งมอบขบวนรถไฟเพิ่มเติม

    ส่วนเส้นทาง JB Sentral มุ่งหน้าไปยังรัฐทางเหนือ จะดำเนินการเป็นขั้นตอนตามความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ข้อกำหนดด้านการจัดตารางเวลาเดินรถ และความพร้อมของสินทรัพย์ในการดำเนินงาน

    ก่อนหน้านี้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (21 พ.ย.) นายโมฮัมหมัด ฟาซลี โมฮัมหมัด ซัลเลห์ ประธานคณะกรรมการด้านงานก่อสร้าง ขนส่ง โครงสร้างพื้นฐานและการสื่อสารของรัฐยะโฮร์ กล่าวต่อสภานิติบัญญัติของรัฐยะโฮร์ ว่า โครงการรถไฟทางคู่ติดระบบไฟฟ้า เกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (EDTP) ระยะทาง 192 กิโลเมตร มูลค่า 8,900 ล้านริงกิต (ประมาณ 70,000 ล้านบาท) ที่รอคอยกันมายาวนาน มีความคืบหน้าไปแล้ว 99.94% และคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในสิ้นเดือน พ.ย.

    โครงการนี้เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2559 ผ่านเมืองเซกามัต คลวง กูไล และยะโฮร์บาห์รู โดยงานโยธาในขั้นสุดท้ายกำลังดำเนินการอยู่ ก่อนที่เส้นทางรถไฟจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ซึ่งรูปแบบการให้บริการรถไฟ ETS จะให้บริการวันละ 12 เที่ยว ภายใต้ตารางเดินรถเต็มรูปแบบ ประกอบด้วยเส้นทางยะโฮร์บาห์รู-กัวลาลัมเปอร์ 8 เที่ยวต่อวัน เส้นทางยะโฮร์บาห์รู-ปาดังเบซาร์ 2 เที่ยวต่อวัน และเส้นทางยะโฮร์บาห์รู-บัตเตอร์เวอร์ธ 2 เที่ยวต่อวัน

    #Newskit
    12 ธ.ค. เปิดรถไฟ ETS3 ยะโฮร์บาห์รู-กัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (22 พ.ย.) นายแอนโธนี โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย เปิดเผยว่า บริการรถไฟ ETS3 ระหว่างสถานียะโฮร์บาห์รู รัฐยะโฮร์ กับกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย จะเริ่มให้บริการในวันที่ 12 ธ.ค. โดยสมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านอิบราฮิมแห่งมาเลเซีย จะเสด็จพระราชดำเนินในพิธีเปิด ที่เมืองยะโฮร์บาห์รู ในวันที่ 11 ธ.ค. ก่อนที่จะเปิดให้บริการแก่ประชาชนในวันถัดไป เบื้องต้นจะให้บริการเส้นทาง JB Sentral ถึง KL Sentral เป็นหลัก ส่วนเส้นทางไปยังสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ (Butterworth) และ ปาดังเบซาร์ (Padang Besar) มีกำหนดให้บริการในระยะต่อไป ด้านการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ชี้แจงว่า กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับบริการรถไฟ ETS3 โดยได้เตรียมกำหนดเวลาเดินรถ ระบบตั๋วโดยสาร และการจัดสรรพนักงานให้บริการในเส้นทางดังกล่าวแล้ว แต่ยังคงรอการอนุมัติขั้นตอนสุดท้ายจากหน่วยงานขนส่งสาธารณะทางบกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ขณะที่ขบวนรถไฟ ETS3 รุ่นใหม่ล่าสุด 4 ขบวน จากทั้งหมด 10 ขบวน ผ่านการตรวจสอบรายละเอียดขั้นสุดท้าย (PCA) ซึ่งได้รับการรับรองและพร้อมใช้งานแล้ว เริ่มต้นจะให้บริการเส้นทาง JB Sentral ถึง KL Sentral รวม 4 เที่ยวต่อวัน ซึ่งจะเพิ่มความถี่ในการเดินทางควบคู่ไปกับการส่งมอบขบวนรถไฟเพิ่มเติม ส่วนเส้นทาง JB Sentral มุ่งหน้าไปยังรัฐทางเหนือ จะดำเนินการเป็นขั้นตอนตามความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ข้อกำหนดด้านการจัดตารางเวลาเดินรถ และความพร้อมของสินทรัพย์ในการดำเนินงาน ก่อนหน้านี้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (21 พ.ย.) นายโมฮัมหมัด ฟาซลี โมฮัมหมัด ซัลเลห์ ประธานคณะกรรมการด้านงานก่อสร้าง ขนส่ง โครงสร้างพื้นฐานและการสื่อสารของรัฐยะโฮร์ กล่าวต่อสภานิติบัญญัติของรัฐยะโฮร์ ว่า โครงการรถไฟทางคู่ติดระบบไฟฟ้า เกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (EDTP) ระยะทาง 192 กิโลเมตร มูลค่า 8,900 ล้านริงกิต (ประมาณ 70,000 ล้านบาท) ที่รอคอยกันมายาวนาน มีความคืบหน้าไปแล้ว 99.94% และคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในสิ้นเดือน พ.ย. โครงการนี้เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2559 ผ่านเมืองเซกามัต คลวง กูไล และยะโฮร์บาห์รู โดยงานโยธาในขั้นสุดท้ายกำลังดำเนินการอยู่ ก่อนที่เส้นทางรถไฟจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ซึ่งรูปแบบการให้บริการรถไฟ ETS จะให้บริการวันละ 12 เที่ยว ภายใต้ตารางเดินรถเต็มรูปแบบ ประกอบด้วยเส้นทางยะโฮร์บาห์รู-กัวลาลัมเปอร์ 8 เที่ยวต่อวัน เส้นทางยะโฮร์บาห์รู-ปาดังเบซาร์ 2 เที่ยวต่อวัน และเส้นทางยะโฮร์บาห์รู-บัตเตอร์เวอร์ธ 2 เที่ยวต่อวัน #Newskit
    1 Comments 0 Shares 300 Views 0 Reviews
  • Thunderbird 145 รองรับ Microsoft Exchange แบบ Native

    Mozilla Foundation เปิดตัว Thunderbird 145.0 โดยเพิ่มฟีเจอร์สำคัญคือการรองรับ Microsoft Exchange Web Services (EWS) แบบ Native ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ใช้ต้องพึ่งพา ปลั๊กอินเสริม หรือใช้โปรโตคอล IMAP/POP ที่มีข้อจำกัด ทำให้การใช้งานในองค์กรที่ใช้ Microsoft 365 หรือ Office 365 ไม่สะดวกนัก

    ด้วยการรองรับ Native Exchange ผู้ใช้สามารถ ซิงค์โฟลเดอร์, จัดการข้อความ, และไฟล์แนบได้โดยตรง ทั้งในเครื่องและบนเซิร์ฟเวอร์ โดยไม่ต้องติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม อีกทั้งยังรองรับการตรวจสอบสิทธิ์ด้วย OAuth2 ทำให้การเข้าสู่ระบบปลอดภัยและง่ายขึ้นมาก

    การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็น ก้าวสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการย้ายจาก Outlook ไปใช้ Thunderbird เพราะระบบสามารถตรวจจับและตั้งค่าบัญชีอัตโนมัติ ลดขั้นตอนที่ซับซ้อนในการย้ายข้อมูลและตั้งค่าอีเมล

    Mozilla ยังเผยแผนในอนาคตว่าจะเพิ่มฟีเจอร์เสริม เช่น การซิงค์ปฏิทิน, การเชื่อมต่อสมุดที่อยู่, การกรองข้อความขั้นสูง และการรองรับ Microsoft Graph API เพื่อให้ Thunderbird กลายเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งสำหรับผู้ใช้ในองค์กรที่ต้องการความยืดหยุ่นและความเป็น Open-source

    สรุปสาระสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่ใน Thunderbird 145
    รองรับ Microsoft Exchange Web Services (EWS) แบบ Native
    ซิงค์โฟลเดอร์, ข้อความ และไฟล์แนบได้โดยตรง

    ประโยชน์ต่อผู้ใช้
    ย้ายจาก Outlook ไป Thunderbird ได้ง่ายขึ้น
    รองรับการตรวจสอบสิทธิ์ด้วย OAuth2 ปลอดภัยกว่าเดิม

    ข้อจำกัดและความท้าทาย
    ฟีเจอร์เสริม เช่น ปฏิทินและสมุดที่อยู่ ยังไม่พร้อมใช้งาน
    การพัฒนา Microsoft Graph API ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ

    สิ่งที่ควรระวังสำหรับองค์กร
    ต้องทดสอบการทำงานกับระบบ Exchange ที่ซับซ้อนก่อนใช้งานจริง
    อาจมีการเปลี่ยนแปลงฟีเจอร์ในอนาคตที่กระทบการตั้งค่า

    https://securityonline.info/thunderbird-145-native-microsoft-exchange-support-makes-outlook-migration-easy/
    📧 Thunderbird 145 รองรับ Microsoft Exchange แบบ Native Mozilla Foundation เปิดตัว Thunderbird 145.0 โดยเพิ่มฟีเจอร์สำคัญคือการรองรับ Microsoft Exchange Web Services (EWS) แบบ Native ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ใช้ต้องพึ่งพา ปลั๊กอินเสริม หรือใช้โปรโตคอล IMAP/POP ที่มีข้อจำกัด ทำให้การใช้งานในองค์กรที่ใช้ Microsoft 365 หรือ Office 365 ไม่สะดวกนัก ด้วยการรองรับ Native Exchange ผู้ใช้สามารถ ซิงค์โฟลเดอร์, จัดการข้อความ, และไฟล์แนบได้โดยตรง ทั้งในเครื่องและบนเซิร์ฟเวอร์ โดยไม่ต้องติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม อีกทั้งยังรองรับการตรวจสอบสิทธิ์ด้วย OAuth2 ทำให้การเข้าสู่ระบบปลอดภัยและง่ายขึ้นมาก การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็น ก้าวสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการย้ายจาก Outlook ไปใช้ Thunderbird เพราะระบบสามารถตรวจจับและตั้งค่าบัญชีอัตโนมัติ ลดขั้นตอนที่ซับซ้อนในการย้ายข้อมูลและตั้งค่าอีเมล Mozilla ยังเผยแผนในอนาคตว่าจะเพิ่มฟีเจอร์เสริม เช่น การซิงค์ปฏิทิน, การเชื่อมต่อสมุดที่อยู่, การกรองข้อความขั้นสูง และการรองรับ Microsoft Graph API เพื่อให้ Thunderbird กลายเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งสำหรับผู้ใช้ในองค์กรที่ต้องการความยืดหยุ่นและความเป็น Open-source 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Thunderbird 145 ➡️ รองรับ Microsoft Exchange Web Services (EWS) แบบ Native ➡️ ซิงค์โฟลเดอร์, ข้อความ และไฟล์แนบได้โดยตรง ✅ ประโยชน์ต่อผู้ใช้ ➡️ ย้ายจาก Outlook ไป Thunderbird ได้ง่ายขึ้น ➡️ รองรับการตรวจสอบสิทธิ์ด้วย OAuth2 ปลอดภัยกว่าเดิม ‼️ ข้อจำกัดและความท้าทาย ⛔ ฟีเจอร์เสริม เช่น ปฏิทินและสมุดที่อยู่ ยังไม่พร้อมใช้งาน ⛔ การพัฒนา Microsoft Graph API ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ ‼️ สิ่งที่ควรระวังสำหรับองค์กร ⛔ ต้องทดสอบการทำงานกับระบบ Exchange ที่ซับซ้อนก่อนใช้งานจริง ⛔ อาจมีการเปลี่ยนแปลงฟีเจอร์ในอนาคตที่กระทบการตั้งค่า https://securityonline.info/thunderbird-145-native-microsoft-exchange-support-makes-outlook-migration-easy/
    SECURITYONLINE.INFO
    Thunderbird 145: Native Microsoft Exchange Support Makes Outlook Migration Easy!
    Thunderbird 145.0 now includes full, native support for Microsoft Exchange (EWS), eliminating plugins and making migration from Outlook/M365 accounts seamless!
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • ฟีเจอร์ AI ใหม่ของ Windows เสี่ยงถูกโจมตีและติดตั้งมัลแวร์

    Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 Insider Build ที่เรียกว่า Copilot Actions ซึ่งถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานด้วยข้อความ เช่น จัดระเบียบไฟล์ ดาวน์โหลดรูปภาพ หรือดึงข้อมูลจาก PDF โดย AI จะทำงานในสภาพแวดล้อมที่เรียกว่า Agent Workspace ซึ่งมีบัญชีผู้ใช้แยกต่างหากและสามารถโต้ตอบกับแอปพลิเคชันได้เหมือนมีเดสก์ท็อปของตัวเอง

    อย่างไรก็ตาม Microsoft เองก็ยอมรับว่าฟีเจอร์นี้มี “ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยใหม่” โดยเฉพาะการโจมตีแบบ cross-prompt injection (XPIA) ซึ่งเกิดจากเนื้อหาที่เป็นอันตรายในเอกสารหรือ UI สามารถเปลี่ยนคำสั่งของ AI ได้ ผลลัพธ์คือการกระทำที่ไม่ตั้งใจ เช่น การขโมยข้อมูลหรือการติดตั้งมัลแวร์

    สิ่งที่น่ากังวลคือ Copilot Actions ต้องการสิทธิ์เข้าถึงไฟล์ส่วนตัวของผู้ใช้ เช่น Documents, Downloads, Desktop, Pictures, Videos และ Music รวมถึงแอปที่ติดตั้งในระบบทั้งหมด แตกต่างจาก Windows Sandbox ที่ทำงานแบบแยกขาดและถูกลบทุกครั้งที่ปิด แต่ Copilot Actions จะคงสิทธิ์การเข้าถึงไว้ตลอดการใช้งาน

    แม้ Microsoft จะบอกว่ามีการป้องกัน เช่น การบันทึกกิจกรรม, การขออนุญาตก่อนเข้าถึงข้อมูล, และการใช้ audit logs แต่ก็ยังมีความเสี่ยงเนื่องจาก AI อาจ “หลอน” (hallucinate) และทำงานผิดพลาดได้เอง ซึ่งทำให้ผู้ใช้หลายคนตั้งคำถามว่าฟีเจอร์นี้พร้อมใช้งานจริงหรือยัง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่ Copilot Actions
    ทำงานใน Agent Workspace แยกต่างหาก
    สามารถจัดการไฟล์และโต้ตอบกับแอปพลิเคชันได้

    สิทธิ์การเข้าถึงที่กว้างขวาง
    เข้าถึง Documents, Downloads, Desktop, Pictures, Videos, Music
    เข้าถึงแอปที่ติดตั้งในระบบทั้งหมด

    มาตรการป้องกันที่ Microsoft ระบุ
    บันทึกกิจกรรมทั้งหมด
    ผู้ใช้ต้องอนุมัติการเข้าถึงข้อมูล
    ใช้ audit logs เพื่อติดตามการทำงาน

    คำเตือนและความเสี่ยง
    เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ cross-prompt injection (XPIA)
    อาจทำให้เกิดการขโมยข้อมูลหรือการติดตั้งมัลแวร์
    AI อาจ “หลอน” และทำงานผิดพลาดเอง
    การเข้าถึงไฟล์ส่วนตัวอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

    https://itsfoss.com/news/new-windows-ai-feature-can-be-tricked/
    🛡️ ฟีเจอร์ AI ใหม่ของ Windows เสี่ยงถูกโจมตีและติดตั้งมัลแวร์ Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 Insider Build ที่เรียกว่า Copilot Actions ซึ่งถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานด้วยข้อความ เช่น จัดระเบียบไฟล์ ดาวน์โหลดรูปภาพ หรือดึงข้อมูลจาก PDF โดย AI จะทำงานในสภาพแวดล้อมที่เรียกว่า Agent Workspace ซึ่งมีบัญชีผู้ใช้แยกต่างหากและสามารถโต้ตอบกับแอปพลิเคชันได้เหมือนมีเดสก์ท็อปของตัวเอง อย่างไรก็ตาม Microsoft เองก็ยอมรับว่าฟีเจอร์นี้มี “ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยใหม่” โดยเฉพาะการโจมตีแบบ cross-prompt injection (XPIA) ซึ่งเกิดจากเนื้อหาที่เป็นอันตรายในเอกสารหรือ UI สามารถเปลี่ยนคำสั่งของ AI ได้ ผลลัพธ์คือการกระทำที่ไม่ตั้งใจ เช่น การขโมยข้อมูลหรือการติดตั้งมัลแวร์ สิ่งที่น่ากังวลคือ Copilot Actions ต้องการสิทธิ์เข้าถึงไฟล์ส่วนตัวของผู้ใช้ เช่น Documents, Downloads, Desktop, Pictures, Videos และ Music รวมถึงแอปที่ติดตั้งในระบบทั้งหมด แตกต่างจาก Windows Sandbox ที่ทำงานแบบแยกขาดและถูกลบทุกครั้งที่ปิด แต่ Copilot Actions จะคงสิทธิ์การเข้าถึงไว้ตลอดการใช้งาน แม้ Microsoft จะบอกว่ามีการป้องกัน เช่น การบันทึกกิจกรรม, การขออนุญาตก่อนเข้าถึงข้อมูล, และการใช้ audit logs แต่ก็ยังมีความเสี่ยงเนื่องจาก AI อาจ “หลอน” (hallucinate) และทำงานผิดพลาดได้เอง ซึ่งทำให้ผู้ใช้หลายคนตั้งคำถามว่าฟีเจอร์นี้พร้อมใช้งานจริงหรือยัง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ Copilot Actions ➡️ ทำงานใน Agent Workspace แยกต่างหาก ➡️ สามารถจัดการไฟล์และโต้ตอบกับแอปพลิเคชันได้ ✅ สิทธิ์การเข้าถึงที่กว้างขวาง ➡️ เข้าถึง Documents, Downloads, Desktop, Pictures, Videos, Music ➡️ เข้าถึงแอปที่ติดตั้งในระบบทั้งหมด ✅ มาตรการป้องกันที่ Microsoft ระบุ ➡️ บันทึกกิจกรรมทั้งหมด ➡️ ผู้ใช้ต้องอนุมัติการเข้าถึงข้อมูล ➡️ ใช้ audit logs เพื่อติดตามการทำงาน ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ cross-prompt injection (XPIA) ⛔ อาจทำให้เกิดการขโมยข้อมูลหรือการติดตั้งมัลแวร์ ⛔ AI อาจ “หลอน” และทำงานผิดพลาดเอง ⛔ การเข้าถึงไฟล์ส่วนตัวอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ https://itsfoss.com/news/new-windows-ai-feature-can-be-tricked/
    ITSFOSS.COM
    Microsoft's New Windows AI Feature Comes With Warnings About Malware and Data Theft
    New opt-in experimental feature comes with some warnings and requires file access.
    0 Comments 0 Shares 204 Views 0 Reviews
  • ยุโรปเปิดตัวซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Exascale เครื่องที่สอง

    ยุโรปได้เปิดตัวซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Alice Recoque ซึ่งถือเป็นระบบ Exascale เครื่องที่สองของภูมิภาค โดยใช้พลังจากซีพียู AMD EPYC “Venice” รุ่นใหม่และจีพียู Instinct MI430X ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI และการประมวลผลทางวิทยาศาสตร์ขนาดใหญ่

    สเปกและเทคโนโลยีล้ำสมัย
    Alice Recoque จะประกอบด้วย 94 แร็ค บนแพลตฟอร์ม BullSequana XH3500 ของ Eviden พร้อมระบบจัดเก็บข้อมูลจาก DDN และโครงสร้างการเชื่อมต่อ BXI fabric ที่ช่วยให้การประมวลผลแบบขยายตัวมีประสิทธิภาพสูงสุด ซีพียู Venice มีจำนวนคอร์สูงสุดถึง 256 คอร์ ขณะที่จีพียู MI430X มาพร้อมหน่วยความจำ HBM4 ขนาด 432 GB และรองรับรูปแบบข้อมูล FP4 และ FP8 เพื่อให้เหมาะกับงาน AI โดยเฉพาะ

    พลังงานและการติดตั้ง
    ระบบนี้จะใช้พลังงานประมาณ 12 เมกะวัตต์ ภายใต้การทำงานปกติ และใช้เทคโนโลยี การระบายความร้อนด้วยน้ำอุ่นรุ่นที่ 5 ของ Eviden เพื่อจัดการกับความร้อนจากส่วนประกอบที่ใช้พลังงานสูง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จะถูกติดตั้งที่ประเทศฝรั่งเศส ภายใต้การดูแลของ GENCI และดำเนินงานโดย CEA โดยมีการสนับสนุนจากหลายประเทศในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ และกรีซ

    การใช้งานและอนาคต
    Alice Recoque จะถูกใช้ในงานวิจัยที่หลากหลาย ตั้งแต่ การพัฒนาโมเดล AI, การแพทย์เฉพาะบุคคล, การวิจัยสภาพภูมิอากาศ, ไปจนถึง การวิเคราะห์ข้อมูลจากดาวเทียมและกล้องโทรทรรศน์ คาดว่าระบบจะเริ่มใช้งานจริงในช่วงปี 2027–2028 หลังจาก AMD เปิดตัวซีพียู Venice และจีพียู MI430X อย่างเป็นทางการในปี 2026

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เปิดตัว Alice Recoque
    ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Exascale เครื่องที่สองของยุโรป

    สเปกหลัก
    ใช้ AMD EPYC Venice (256 คอร์) และ Instinct MI430X (432 GB HBM4)

    โครงสร้างระบบ
    94 แร็ค บน BullSequana XH3500 พร้อม BXI fabric และ DDN storage

    พลังงานและการระบายความร้อน
    ใช้พลังงาน ~12 เมกะวัตต์ พร้อมระบบน้ำอุ่นรุ่นที่ 5

    การติดตั้งและการดำเนินงาน
    ติดตั้งที่ฝรั่งเศส ดูแลโดย GENCI และ CEA

    ความท้าทายด้านเวลาและเทคโนโลยี
    ระบบจะพร้อมใช้งานจริงได้ราวปี 2027–2028 หลังจากฮาร์ดแวร์หลักเปิดตัว

    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่
    หากการพัฒนา Venice และ MI430X ล่าช้า อาจกระทบต่อกำหนดการใช้งาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/amd-and-eviden-unveil-europes-second-exascale-system-epyc-venice-and-instinct-mi430x-power-system-breaks-the-exaflop-barrier
    ⚡ ยุโรปเปิดตัวซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Exascale เครื่องที่สอง ยุโรปได้เปิดตัวซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Alice Recoque ซึ่งถือเป็นระบบ Exascale เครื่องที่สองของภูมิภาค โดยใช้พลังจากซีพียู AMD EPYC “Venice” รุ่นใหม่และจีพียู Instinct MI430X ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI และการประมวลผลทางวิทยาศาสตร์ขนาดใหญ่ 🖥️ สเปกและเทคโนโลยีล้ำสมัย Alice Recoque จะประกอบด้วย 94 แร็ค บนแพลตฟอร์ม BullSequana XH3500 ของ Eviden พร้อมระบบจัดเก็บข้อมูลจาก DDN และโครงสร้างการเชื่อมต่อ BXI fabric ที่ช่วยให้การประมวลผลแบบขยายตัวมีประสิทธิภาพสูงสุด ซีพียู Venice มีจำนวนคอร์สูงสุดถึง 256 คอร์ ขณะที่จีพียู MI430X มาพร้อมหน่วยความจำ HBM4 ขนาด 432 GB และรองรับรูปแบบข้อมูล FP4 และ FP8 เพื่อให้เหมาะกับงาน AI โดยเฉพาะ 🌍 พลังงานและการติดตั้ง ระบบนี้จะใช้พลังงานประมาณ 12 เมกะวัตต์ ภายใต้การทำงานปกติ และใช้เทคโนโลยี การระบายความร้อนด้วยน้ำอุ่นรุ่นที่ 5 ของ Eviden เพื่อจัดการกับความร้อนจากส่วนประกอบที่ใช้พลังงานสูง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จะถูกติดตั้งที่ประเทศฝรั่งเศส ภายใต้การดูแลของ GENCI และดำเนินงานโดย CEA โดยมีการสนับสนุนจากหลายประเทศในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ และกรีซ 🔮 การใช้งานและอนาคต Alice Recoque จะถูกใช้ในงานวิจัยที่หลากหลาย ตั้งแต่ การพัฒนาโมเดล AI, การแพทย์เฉพาะบุคคล, การวิจัยสภาพภูมิอากาศ, ไปจนถึง การวิเคราะห์ข้อมูลจากดาวเทียมและกล้องโทรทรรศน์ คาดว่าระบบจะเริ่มใช้งานจริงในช่วงปี 2027–2028 หลังจาก AMD เปิดตัวซีพียู Venice และจีพียู MI430X อย่างเป็นทางการในปี 2026 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เปิดตัว Alice Recoque ➡️ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Exascale เครื่องที่สองของยุโรป ✅ สเปกหลัก ➡️ ใช้ AMD EPYC Venice (256 คอร์) และ Instinct MI430X (432 GB HBM4) ✅ โครงสร้างระบบ ➡️ 94 แร็ค บน BullSequana XH3500 พร้อม BXI fabric และ DDN storage ✅ พลังงานและการระบายความร้อน ➡️ ใช้พลังงาน ~12 เมกะวัตต์ พร้อมระบบน้ำอุ่นรุ่นที่ 5 ✅ การติดตั้งและการดำเนินงาน ➡️ ติดตั้งที่ฝรั่งเศส ดูแลโดย GENCI และ CEA ‼️ ความท้าทายด้านเวลาและเทคโนโลยี ⛔ ระบบจะพร้อมใช้งานจริงได้ราวปี 2027–2028 หลังจากฮาร์ดแวร์หลักเปิดตัว ‼️ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่ ⛔ หากการพัฒนา Venice และ MI430X ล่าช้า อาจกระทบต่อกำหนดการใช้งาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/amd-and-eviden-unveil-europes-second-exascale-system-epyc-venice-and-instinct-mi430x-power-system-breaks-the-exaflop-barrier
    0 Comments 0 Shares 319 Views 0 Reviews
  • ครบรอบ 16 ปีของ Go

    เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 ทีม Go ได้ฉลองครบรอบ 16 ปีของการเปิดซอร์ส Go โดยในปีนี้มีการออกเวอร์ชัน Go 1.24 และ Go 1.25 ซึ่งยังคงรักษาจังหวะการออกเวอร์ชันที่สม่ำเสมอ จุดเด่นคือการเพิ่ม API ใหม่เพื่อช่วยให้นักพัฒนาสร้างระบบที่มีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงเบื้องหลังที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น.

    ฟีเจอร์ใหม่ด้านการทดสอบและคอนเทนเนอร์
    หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญคือ testing/synctest package ที่ช่วยให้การทดสอบโค้ด asynchronous และ concurrent ง่ายขึ้น โดยสามารถ “virtualize time” ทำให้การทดสอบที่เคยช้าและไม่เสถียร กลายเป็นรวดเร็วและเชื่อถือได้ นอกจากนี้ Go 1.25 ยังเปิดตัว container-aware scheduling ที่ปรับการทำงานของ workload ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมคอนเทนเนอร์โดยอัตโนมัติ ลดปัญหา CPU throttling และเพิ่มความพร้อมใช้งานในระดับ production.

    ความปลอดภัยและมาตรฐานใหม่
    Go ได้รับการตรวจสอบความปลอดภัยจากบริษัท Trail of Bits โดยพบเพียงข้อบกพร่องเล็กน้อย และยังได้รับการรับรอง CAVP ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่การรับรอง FIPS 140-3 ที่จำเป็นในสภาพแวดล้อมที่มีการกำกับดูแลเข้มงวด อีกทั้งยังมี API ใหม่อย่าง os.Root ที่ช่วยป้องกันการเข้าถึงไฟล์ที่ไม่ควรเข้าถึง ทำให้ระบบมีความปลอดภัยโดยการออกแบบตั้งแต่ต้น.

    Green Tea Garbage Collector และอนาคต
    Go 1.25 เปิดตัว Green Tea garbage collector ที่ลด overhead ได้ 10–40% และใน Go 1.26 จะเปิดใช้งานเป็นค่าเริ่มต้น พร้อมรองรับ AVX-512 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอีก 10% นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา gopls language server และ automatic code modernizers ที่ช่วยให้นักพัฒนาปรับโค้ดให้ทันสมัยโดยอัตโนมัติ รวมถึงการร่วมมือกับ Anthropic และ Google เพื่อสร้าง Go MCP SDK และ ADK Go สำหรับการพัฒนา multi-agent applications.

    สรุปสาระสำคัญ
    ครบรอบ 16 ปีของ Go
    เปิดตัว Go 1.24 และ Go 1.25 พร้อมฟีเจอร์ใหม่
    เน้นความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพ

    ฟีเจอร์ด้านการทดสอบและคอนเทนเนอร์
    synctest package ทำให้การทดสอบ concurrent ง่ายขึ้น
    container-aware scheduling ลด CPU throttling

    ความปลอดภัยและมาตรฐาน
    ผ่านการตรวจสอบจาก Trail of Bits
    เตรียมรับรอง FIPS 140-3 และเพิ่ม os.Root API

    Green Tea Garbage Collector
    ลด overhead ได้สูงสุด 40%
    จะเปิดใช้งานเป็นค่าเริ่มต้นใน Go 1.26

    Ecosystem และอนาคต
    gopls language server พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
    มี automatic code modernizers และ Go MCP SDK

    ความท้าทาย
    ต้องรักษาความเข้ากันได้กับโค้ดเก่าและ idioms เดิม
    ต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของ AI และ hardware รุ่นใหม่

    https://go.dev/blog/16years
    🎉 ครบรอบ 16 ปีของ Go เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 ทีม Go ได้ฉลองครบรอบ 16 ปีของการเปิดซอร์ส Go โดยในปีนี้มีการออกเวอร์ชัน Go 1.24 และ Go 1.25 ซึ่งยังคงรักษาจังหวะการออกเวอร์ชันที่สม่ำเสมอ จุดเด่นคือการเพิ่ม API ใหม่เพื่อช่วยให้นักพัฒนาสร้างระบบที่มีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงเบื้องหลังที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น. 🧪 ฟีเจอร์ใหม่ด้านการทดสอบและคอนเทนเนอร์ หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญคือ testing/synctest package ที่ช่วยให้การทดสอบโค้ด asynchronous และ concurrent ง่ายขึ้น โดยสามารถ “virtualize time” ทำให้การทดสอบที่เคยช้าและไม่เสถียร กลายเป็นรวดเร็วและเชื่อถือได้ นอกจากนี้ Go 1.25 ยังเปิดตัว container-aware scheduling ที่ปรับการทำงานของ workload ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมคอนเทนเนอร์โดยอัตโนมัติ ลดปัญหา CPU throttling และเพิ่มความพร้อมใช้งานในระดับ production. 🔐 ความปลอดภัยและมาตรฐานใหม่ Go ได้รับการตรวจสอบความปลอดภัยจากบริษัท Trail of Bits โดยพบเพียงข้อบกพร่องเล็กน้อย และยังได้รับการรับรอง CAVP ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่การรับรอง FIPS 140-3 ที่จำเป็นในสภาพแวดล้อมที่มีการกำกับดูแลเข้มงวด อีกทั้งยังมี API ใหม่อย่าง os.Root ที่ช่วยป้องกันการเข้าถึงไฟล์ที่ไม่ควรเข้าถึง ทำให้ระบบมีความปลอดภัยโดยการออกแบบตั้งแต่ต้น. 🍵 Green Tea Garbage Collector และอนาคต Go 1.25 เปิดตัว Green Tea garbage collector ที่ลด overhead ได้ 10–40% และใน Go 1.26 จะเปิดใช้งานเป็นค่าเริ่มต้น พร้อมรองรับ AVX-512 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอีก 10% นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา gopls language server และ automatic code modernizers ที่ช่วยให้นักพัฒนาปรับโค้ดให้ทันสมัยโดยอัตโนมัติ รวมถึงการร่วมมือกับ Anthropic และ Google เพื่อสร้าง Go MCP SDK และ ADK Go สำหรับการพัฒนา multi-agent applications. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ครบรอบ 16 ปีของ Go ➡️ เปิดตัว Go 1.24 และ Go 1.25 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ ➡️ เน้นความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพ ✅ ฟีเจอร์ด้านการทดสอบและคอนเทนเนอร์ ➡️ synctest package ทำให้การทดสอบ concurrent ง่ายขึ้น ➡️ container-aware scheduling ลด CPU throttling ✅ ความปลอดภัยและมาตรฐาน ➡️ ผ่านการตรวจสอบจาก Trail of Bits ➡️ เตรียมรับรอง FIPS 140-3 และเพิ่ม os.Root API ✅ Green Tea Garbage Collector ➡️ ลด overhead ได้สูงสุด 40% ➡️ จะเปิดใช้งานเป็นค่าเริ่มต้นใน Go 1.26 ✅ Ecosystem และอนาคต ➡️ gopls language server พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ➡️ มี automatic code modernizers และ Go MCP SDK ‼️ ความท้าทาย ⛔ ต้องรักษาความเข้ากันได้กับโค้ดเก่าและ idioms เดิม ⛔ ต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของ AI และ hardware รุ่นใหม่ https://go.dev/blog/16years
    0 Comments 0 Shares 242 Views 0 Reviews
  • Rust-based CLI Tools: ทางเลือกใหม่แทนคำสั่งดั้งเดิม

    เครื่องมือ CLI ดั้งเดิมของ Linux เช่น ls, cat, และ du แม้จะทำงานได้ดี แต่ขาดความสามารถด้านการแสดงผลที่ทันสมัย เช่น สี ไอคอน หรือการจัดรูปแบบที่อ่านง่าย ภาษา Rust จึงเข้ามาเติมเต็มด้วยเครื่องมือใหม่ที่ทั้ง เร็ว ปลอดภัย และใช้งานง่าย โดยมี UX ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับยุคปัจจุบัน

    ตัวอย่างเครื่องมือที่โดดเด่น
    exa (แทน ls): เพิ่มสี ไอคอน และการเชื่อมต่อกับ Git
    bat (แทน cat): มี syntax highlighting และเลขบรรทัด
    dust (แทน du): แสดงผลการใช้พื้นที่ดิสก์แบบกราฟิกอ่านง่าย
    ripgrep (แทน grep): ค้นหาไฟล์ได้เร็วขึ้น พร้อมสีและรองรับ .gitignore
    duf (แทน df): แสดงข้อมูลดิสก์ในรูปแบบตารางที่ชัดเจน
    procs (แทน ps): แสดง process แบบ color-coded อ่านง่าย
    tldr (แทน man): คู่มือสั้น กระชับ พร้อมตัวอย่างการใช้งาน

    ประสบการณ์ใช้งานที่ทันสมัย
    เครื่องมือเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำงานได้เร็วขึ้น แต่ยังทำให้การใช้ terminal สนุกและสะดวกกว่าเดิม เช่น bottom ที่แทน top ด้วยการแสดงผลแบบกราฟสีสันสดใส หรือ hyperfine ที่ช่วย benchmark คำสั่งต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย การใช้งานจึงไม่ใช่แค่เรื่องประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นเรื่องของ ความพึงพอใจและความสวยงาม

    ข้อควรระวังสำหรับผู้ดูแลระบบ
    แม้เครื่องมือ Rust-based จะน่าสนใจ แต่บทความเตือนว่า ผู้ดูแลระบบ (sysadmin) ไม่ควรพึ่งพาเครื่องมือเหล่านี้บนเซิร์ฟเวอร์ เนื่องจากไม่ใช่ทุกระบบที่จะติดตั้งได้ง่าย และอาจไม่พร้อมใช้งานในสภาพแวดล้อมการทำงานจริง เครื่องมือเหล่านี้เหมาะกับการใช้งานบนเครื่องส่วนตัวที่ผู้ใช้สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้เต็มที่

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Rust-based CLI Tools เป็นทางเลือกใหม่แทนคำสั่ง Linux ดั้งเดิม
    เน้นความเร็ว ความปลอดภัย และ UX ที่ทันสมัย

    ตัวอย่างเครื่องมือที่โดดเด่น
    exa, bat, dust, ripgrep, duf, procs, tldr, broot, zoxide, lsd, bottom, hyperfine, xplr

    เพิ่มประสบการณ์ใช้งานที่สนุกและสะดวกกว่าเดิม
    รองรับสี ไอคอน กราฟ และการเชื่อมต่อกับ Git

    ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์จริง
    ผู้ดูแลระบบอาจไม่สามารถติดตั้งหรือใช้งานได้ทุกระบบ

    เหมาะกับการใช้งานบนเครื่องส่วนตัว
    เพื่อควบคุมสภาพแวดล้อมและติดตั้งเครื่องมือได้ตามต้องการ

    https://itsfoss.com/rust-alternative-cli-tools/
    ⚙️ Rust-based CLI Tools: ทางเลือกใหม่แทนคำสั่งดั้งเดิม เครื่องมือ CLI ดั้งเดิมของ Linux เช่น ls, cat, และ du แม้จะทำงานได้ดี แต่ขาดความสามารถด้านการแสดงผลที่ทันสมัย เช่น สี ไอคอน หรือการจัดรูปแบบที่อ่านง่าย ภาษา Rust จึงเข้ามาเติมเต็มด้วยเครื่องมือใหม่ที่ทั้ง เร็ว ปลอดภัย และใช้งานง่าย โดยมี UX ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับยุคปัจจุบัน 🌈 ตัวอย่างเครื่องมือที่โดดเด่น 💠 exa (แทน ls): เพิ่มสี ไอคอน และการเชื่อมต่อกับ Git 💠 bat (แทน cat): มี syntax highlighting และเลขบรรทัด 💠 dust (แทน du): แสดงผลการใช้พื้นที่ดิสก์แบบกราฟิกอ่านง่าย 💠 ripgrep (แทน grep): ค้นหาไฟล์ได้เร็วขึ้น พร้อมสีและรองรับ .gitignore 💠 duf (แทน df): แสดงข้อมูลดิสก์ในรูปแบบตารางที่ชัดเจน 💠 procs (แทน ps): แสดง process แบบ color-coded อ่านง่าย 💠 tldr (แทน man): คู่มือสั้น กระชับ พร้อมตัวอย่างการใช้งาน 🚀 ประสบการณ์ใช้งานที่ทันสมัย เครื่องมือเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำงานได้เร็วขึ้น แต่ยังทำให้การใช้ terminal สนุกและสะดวกกว่าเดิม เช่น bottom ที่แทน top ด้วยการแสดงผลแบบกราฟสีสันสดใส หรือ hyperfine ที่ช่วย benchmark คำสั่งต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย การใช้งานจึงไม่ใช่แค่เรื่องประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นเรื่องของ ความพึงพอใจและความสวยงาม ⚠️ ข้อควรระวังสำหรับผู้ดูแลระบบ แม้เครื่องมือ Rust-based จะน่าสนใจ แต่บทความเตือนว่า ผู้ดูแลระบบ (sysadmin) ไม่ควรพึ่งพาเครื่องมือเหล่านี้บนเซิร์ฟเวอร์ เนื่องจากไม่ใช่ทุกระบบที่จะติดตั้งได้ง่าย และอาจไม่พร้อมใช้งานในสภาพแวดล้อมการทำงานจริง เครื่องมือเหล่านี้เหมาะกับการใช้งานบนเครื่องส่วนตัวที่ผู้ใช้สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้เต็มที่ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Rust-based CLI Tools เป็นทางเลือกใหม่แทนคำสั่ง Linux ดั้งเดิม ➡️ เน้นความเร็ว ความปลอดภัย และ UX ที่ทันสมัย ✅ ตัวอย่างเครื่องมือที่โดดเด่น ➡️ exa, bat, dust, ripgrep, duf, procs, tldr, broot, zoxide, lsd, bottom, hyperfine, xplr ✅ เพิ่มประสบการณ์ใช้งานที่สนุกและสะดวกกว่าเดิม ➡️ รองรับสี ไอคอน กราฟ และการเชื่อมต่อกับ Git ‼️ ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์จริง ⛔ ผู้ดูแลระบบอาจไม่สามารถติดตั้งหรือใช้งานได้ทุกระบบ ‼️ เหมาะกับการใช้งานบนเครื่องส่วนตัว ⛔ เพื่อควบคุมสภาพแวดล้อมและติดตั้งเครื่องมือได้ตามต้องการ https://itsfoss.com/rust-alternative-cli-tools/
    ITSFOSS.COM
    Better Than Original? 14 Rust-based Alternative CLI Tools to Classic Linux Commands
    Hyped on the Rust wagon? How about using these Rust-based, modern, easier to use, better-looking alternatives to the classic Linux commands.
    0 Comments 0 Shares 228 Views 0 Reviews
  • WhatsApp เปิดทางเชื่อมต่อ BirdyChat และ Haiket ตามกฎหมาย DMA ของสหภาพยุโรป

    Meta ประกาศความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ โดย WhatsApp จะสามารถเชื่อมต่อกับแอปแชทภายนอกอย่าง BirdyChat และ Haiket ได้ในยุโรป เพื่อปฏิบัติตามกฎหมาย Digital Markets Act (DMA) ของสหภาพยุโรปที่บังคับให้แพลตฟอร์มขนาดใหญ่ต้องเปิดทางให้บริการอื่นเข้ามาใช้งานร่วมกันได้ การทดสอบเบื้องต้นเสร็จสิ้นแล้ว และฟีเจอร์นี้จะเริ่มเปิดใช้งานเร็ว ๆ นี้บน Android และ iOS

    การเชื่อมต่อดังกล่าวจะทำให้ผู้ใช้สามารถส่งข้อความ ภาพ เสียง วิดีโอ และไฟล์ระหว่างแพลตฟอร์มได้อย่างราบรื่น โดยยังคงมาตรฐาน การเข้ารหัสแบบ End-to-End (E2EE) เทียบเท่ากับ WhatsApp เอง ผู้ใช้จะได้รับการแจ้งเตือนในเมนู Settings เพื่อเลือกว่าจะเปิดใช้งานหรือปิดการทำงานของการแชทข้ามแพลตฟอร์มได้ตามต้องการ ถือเป็นการให้สิทธิ์ผู้ใช้ในการควบคุมความเป็นส่วนตัวและการใช้งาน

    อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์ Group Chat ข้ามแอป จะยังไม่พร้อมใช้งานในช่วงแรก เนื่องจากต้องรอให้แอปพันธมิตรมีความพร้อมทางเทคนิคก่อน นอกจากนี้ WhatsApp ยังมีแผนจะขยายการเชื่อมต่อไปยังแอปอื่น ๆ อีกในอนาคต เพื่อให้ครอบคลุมตามข้อกำหนดของ DMA ซึ่งจะช่วยเพิ่มทางเลือกและลดการผูกขาดของแพลตฟอร์มรายใหญ่

    สิ่งที่น่าสนใจคือ DMA ไม่ได้บังคับเฉพาะ WhatsApp แต่ยังครอบคลุมไปถึงแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น Apple และ Google ที่ต้องเปิดระบบให้บริการภายนอกเข้ามาใช้งานได้อย่างเท่าเทียม นี่จึงเป็นก้าวสำคัญของยุโรปในการสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม และเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ใช้ในยุคที่การสื่อสารออนไลน์เป็นหัวใจหลักของชีวิตประจำวัน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    WhatsApp เปิดเชื่อมต่อกับ BirdyChat และ Haiket
    รองรับการส่งข้อความ ภาพ เสียง วิดีโอ และไฟล์ระหว่างแพลตฟอร์ม

    มาตรฐานความปลอดภัยยังคงเดิม
    ทุกแอปที่เชื่อมต่อ ต้องใช้การเข้ารหัส End-to-End เทียบเท่า WhatsApp

    ผู้ใช้สามารถเลือกเปิดหรือปิดฟีเจอร์ได้เอง
    มีการแจ้งเตือนใน Settings เพื่อควบคุมการใช้งาน

    Group Chat ข้ามแอปยังไม่พร้อมใช้งาน
    จะเปิดให้ใช้เมื่อพันธมิตรมีความพร้อมทางเทคนิค

    DMA บังคับใช้กับแพลตฟอร์มรายใหญ่ทั้งหมด
    Apple, Google และบริการอื่น ๆ ต้องเปิดระบบให้ใช้งานร่วมกัน

    ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบนโยบายของแอปพันธมิตร เพราะอาจมีการจัดการข้อมูลต่างกัน

    ฟีเจอร์ยังจำกัดเฉพาะมือถือ
    WhatsApp Desktop และ Web ยังไม่รองรับการเชื่อมต่อข้ามแอปในช่วงแรก

    การใช้งานอาจมีข้อจำกัดบางประการ
    เช่น ฟีเจอร์สติ๊กเกอร์หรือข้อความหายอัตโนมัติ อาจไม่รองรับในการแชทข้ามแพลตฟอร์ม

    https://securityonline.info/whatsapp-interoperability-live-meta-confirms-dma-integration-with-birdychat-and-haiket/
    📱 WhatsApp เปิดทางเชื่อมต่อ BirdyChat และ Haiket ตามกฎหมาย DMA ของสหภาพยุโรป Meta ประกาศความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ โดย WhatsApp จะสามารถเชื่อมต่อกับแอปแชทภายนอกอย่าง BirdyChat และ Haiket ได้ในยุโรป เพื่อปฏิบัติตามกฎหมาย Digital Markets Act (DMA) ของสหภาพยุโรปที่บังคับให้แพลตฟอร์มขนาดใหญ่ต้องเปิดทางให้บริการอื่นเข้ามาใช้งานร่วมกันได้ การทดสอบเบื้องต้นเสร็จสิ้นแล้ว และฟีเจอร์นี้จะเริ่มเปิดใช้งานเร็ว ๆ นี้บน Android และ iOS การเชื่อมต่อดังกล่าวจะทำให้ผู้ใช้สามารถส่งข้อความ ภาพ เสียง วิดีโอ และไฟล์ระหว่างแพลตฟอร์มได้อย่างราบรื่น โดยยังคงมาตรฐาน การเข้ารหัสแบบ End-to-End (E2EE) เทียบเท่ากับ WhatsApp เอง ผู้ใช้จะได้รับการแจ้งเตือนในเมนู Settings เพื่อเลือกว่าจะเปิดใช้งานหรือปิดการทำงานของการแชทข้ามแพลตฟอร์มได้ตามต้องการ ถือเป็นการให้สิทธิ์ผู้ใช้ในการควบคุมความเป็นส่วนตัวและการใช้งาน อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์ Group Chat ข้ามแอป จะยังไม่พร้อมใช้งานในช่วงแรก เนื่องจากต้องรอให้แอปพันธมิตรมีความพร้อมทางเทคนิคก่อน นอกจากนี้ WhatsApp ยังมีแผนจะขยายการเชื่อมต่อไปยังแอปอื่น ๆ อีกในอนาคต เพื่อให้ครอบคลุมตามข้อกำหนดของ DMA ซึ่งจะช่วยเพิ่มทางเลือกและลดการผูกขาดของแพลตฟอร์มรายใหญ่ สิ่งที่น่าสนใจคือ DMA ไม่ได้บังคับเฉพาะ WhatsApp แต่ยังครอบคลุมไปถึงแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น Apple และ Google ที่ต้องเปิดระบบให้บริการภายนอกเข้ามาใช้งานได้อย่างเท่าเทียม นี่จึงเป็นก้าวสำคัญของยุโรปในการสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม และเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ใช้ในยุคที่การสื่อสารออนไลน์เป็นหัวใจหลักของชีวิตประจำวัน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ WhatsApp เปิดเชื่อมต่อกับ BirdyChat และ Haiket ➡️ รองรับการส่งข้อความ ภาพ เสียง วิดีโอ และไฟล์ระหว่างแพลตฟอร์ม ✅ มาตรฐานความปลอดภัยยังคงเดิม ➡️ ทุกแอปที่เชื่อมต่อ ต้องใช้การเข้ารหัส End-to-End เทียบเท่า WhatsApp ✅ ผู้ใช้สามารถเลือกเปิดหรือปิดฟีเจอร์ได้เอง ➡️ มีการแจ้งเตือนใน Settings เพื่อควบคุมการใช้งาน ✅ Group Chat ข้ามแอปยังไม่พร้อมใช้งาน ➡️ จะเปิดให้ใช้เมื่อพันธมิตรมีความพร้อมทางเทคนิค ✅ DMA บังคับใช้กับแพลตฟอร์มรายใหญ่ทั้งหมด ➡️ Apple, Google และบริการอื่น ๆ ต้องเปิดระบบให้ใช้งานร่วมกัน ‼️ ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบนโยบายของแอปพันธมิตร เพราะอาจมีการจัดการข้อมูลต่างกัน ‼️ ฟีเจอร์ยังจำกัดเฉพาะมือถือ ⛔ WhatsApp Desktop และ Web ยังไม่รองรับการเชื่อมต่อข้ามแอปในช่วงแรก ‼️ การใช้งานอาจมีข้อจำกัดบางประการ ⛔ เช่น ฟีเจอร์สติ๊กเกอร์หรือข้อความหายอัตโนมัติ อาจไม่รองรับในการแชทข้ามแพลตฟอร์ม https://securityonline.info/whatsapp-interoperability-live-meta-confirms-dma-integration-with-birdychat-and-haiket/
    SECURITYONLINE.INFO
    WhatsApp Interoperability Live: Meta Confirms DMA Integration with BirdyChat and Haiket
    Meta confirmed WhatsApp is ready for DMA interoperability with third-party apps BirdyChat and Haiket. European users can soon opt in to cross-platform chats.
    0 Comments 0 Shares 271 Views 0 Reviews
  • Tachyum Prodigy – โปรเซสเซอร์ 1,024 คอร์

    หลังจากรอคอยกว่า 6 ปี Tachyum เปิดเผยสเปกใหม่ของ Prodigy ที่ใช้สถาปัตยกรรม multi-chiplet ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC 2nm-class โดยรุ่นสูงสุด “Prodigy Ultimate” จะมี 768–1,024 คอร์, แรม DDR5 สูงสุด 48TB ต่อซ็อกเก็ต, และแบนด์วิดท์หน่วยความจำถึง 3.38TB/s

    พลังงานและประสิทธิภาพที่ท้าทาย
    Tachyum อ้างว่า Prodigy สามารถทำงานได้เร็วกว่า Nvidia Rubin NVL576 rack ถึง 21 เท่า และให้ประสิทธิภาพ AI inference กว่า 1,000 PFLOPS อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้ถูกตั้งคำถาม เนื่องจากการใช้พลังงานสูงถึง 1,600W ต่อชิป ทำให้ยากต่อการใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูล

    ความล่าช้าและอุปสรรคการผลิต
    แม้จะมีการประกาศสเปกใหม่ แต่ Prodigy ยังไม่เข้าสู่การผลิตจริง การย้ายจากเทคโนโลยี 5nm FinFET ไปสู่ 2nm GAA ทำให้ต้องออกแบบใหม่ทั้งหมด ซึ่งอาจใช้เวลาอีก 4–5 ปีในการพัฒนาและตรวจสอบ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน Prodigy อาจพร้อมใช้งานจริงได้ในปี 2030–2031

    ความเสี่ยงด้านการแข่งขันและต้นทุน
    การพัฒนาชิปขั้นสูงเช่นนี้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลกว่า 300 ล้านดอลลาร์ และ Tachyum อาจหมดทุนก่อนที่จะผลิตได้จริง อีกทั้งเมื่อถึงเวลานั้น ตลาดอาจเต็มไปด้วยคู่แข่งจาก AMD, Intel และ Nvidia ที่มีผลิตภัณฑ์พร้อมใช้งานแล้ว ทำให้ Prodigy เสี่ยงที่จะไม่สามารถแข่งขันได้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Tachyum เปิดเผยสเปกใหม่ Prodigy Processor
    รุ่น Ultimate มี 1,024 คอร์ และรองรับ DDR5 สูงสุด 48TB ต่อซ็อกเก็ต

    อ้างว่าทำงานเร็วกว่า Nvidia Rubin NVL576 ถึง 20 เท่า
    ให้ประสิทธิภาพ AI inference กว่า 1,000 PFLOPS

    ใช้สถาปัตยกรรม multi-chiplet บน TSMC 2nm-class
    มีแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 3.38TB/s

    การใช้พลังงานสูงถึง 1,600W ต่อชิป
    อาจไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูล

    ความล่าช้าและต้นทุนมหาศาล
    อาจต้องรอถึงปี 2030–2031 และใช้เงินลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/after-six-years-of-promises-and-no-shipping-silicon-tachyum-revises-prodigy-processor-specs-to-1-024-cores-with-1-600w-of-power-consumption-likely-another-5-year-delay-company-claims-its-chip-is-20-times-faster-than-nvidias-rubin-nvl576-rack
    🖥️ Tachyum Prodigy – โปรเซสเซอร์ 1,024 คอร์ หลังจากรอคอยกว่า 6 ปี Tachyum เปิดเผยสเปกใหม่ของ Prodigy ที่ใช้สถาปัตยกรรม multi-chiplet ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC 2nm-class โดยรุ่นสูงสุด “Prodigy Ultimate” จะมี 768–1,024 คอร์, แรม DDR5 สูงสุด 48TB ต่อซ็อกเก็ต, และแบนด์วิดท์หน่วยความจำถึง 3.38TB/s ⚡ พลังงานและประสิทธิภาพที่ท้าทาย Tachyum อ้างว่า Prodigy สามารถทำงานได้เร็วกว่า Nvidia Rubin NVL576 rack ถึง 21 เท่า และให้ประสิทธิภาพ AI inference กว่า 1,000 PFLOPS อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้ถูกตั้งคำถาม เนื่องจากการใช้พลังงานสูงถึง 1,600W ต่อชิป ทำให้ยากต่อการใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูล 🏭 ความล่าช้าและอุปสรรคการผลิต แม้จะมีการประกาศสเปกใหม่ แต่ Prodigy ยังไม่เข้าสู่การผลิตจริง การย้ายจากเทคโนโลยี 5nm FinFET ไปสู่ 2nm GAA ทำให้ต้องออกแบบใหม่ทั้งหมด ซึ่งอาจใช้เวลาอีก 4–5 ปีในการพัฒนาและตรวจสอบ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน Prodigy อาจพร้อมใช้งานจริงได้ในปี 2030–2031 🌐 ความเสี่ยงด้านการแข่งขันและต้นทุน การพัฒนาชิปขั้นสูงเช่นนี้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลกว่า 300 ล้านดอลลาร์ และ Tachyum อาจหมดทุนก่อนที่จะผลิตได้จริง อีกทั้งเมื่อถึงเวลานั้น ตลาดอาจเต็มไปด้วยคู่แข่งจาก AMD, Intel และ Nvidia ที่มีผลิตภัณฑ์พร้อมใช้งานแล้ว ทำให้ Prodigy เสี่ยงที่จะไม่สามารถแข่งขันได้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Tachyum เปิดเผยสเปกใหม่ Prodigy Processor ➡️ รุ่น Ultimate มี 1,024 คอร์ และรองรับ DDR5 สูงสุด 48TB ต่อซ็อกเก็ต ✅ อ้างว่าทำงานเร็วกว่า Nvidia Rubin NVL576 ถึง 20 เท่า ➡️ ให้ประสิทธิภาพ AI inference กว่า 1,000 PFLOPS ✅ ใช้สถาปัตยกรรม multi-chiplet บน TSMC 2nm-class ➡️ มีแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 3.38TB/s ‼️ การใช้พลังงานสูงถึง 1,600W ต่อชิป ⛔ อาจไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูล ‼️ ความล่าช้าและต้นทุนมหาศาล ⛔ อาจต้องรอถึงปี 2030–2031 และใช้เงินลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/after-six-years-of-promises-and-no-shipping-silicon-tachyum-revises-prodigy-processor-specs-to-1-024-cores-with-1-600w-of-power-consumption-likely-another-5-year-delay-company-claims-its-chip-is-20-times-faster-than-nvidias-rubin-nvl576-rack
    0 Comments 0 Shares 250 Views 0 Reviews
  • Valve รอเทคโนโลยีใหม่ก่อนเปิดตัว Steam Deck 2

    Valve ประกาศชัดเจนว่า Steam Deck 2 จะไม่ใช่การอัปเกรดเล็กน้อย แต่ต้องเป็น “ก้าวกระโดด” ทั้งด้านประสิทธิภาพและอายุการใช้งานแบตเตอรี่ ปัจจุบัน Steam Deck รุ่นแรกแม้ยังคงเล่นเกมได้ดี แต่เริ่มล้าหลังเมื่อเจอกับเกม AAA รุ่นใหม่ ๆ ที่กินทรัพยากรมากขึ้น ทำให้ทีมพัฒนาเลือกที่จะรอจนกว่าชิปใหม่จะพร้อมใช้งานจริง

    AMD Strix Halo APU – พลังที่ Valve จับตามอง
    AMD เปิดตัว Ryzen AI MAX+ 395 หรือที่รู้จักกันในชื่อ Strix Halo ซึ่งมาพร้อม 16 คอร์ Zen 5 และ GPU RDNA 3.5 จำนวน 40 CU ที่ให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 4060 Laptop GPU นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจทำให้ Steam Deck 2 สามารถแข่งขันกับโน้ตบุ๊กเกมมิ่งระดับกลางได้ โดยยังคงอยู่ในขนาดพกพา

    ปัญหาหลัก: ประสิทธิภาพต่อวัตต์และแบตเตอรี่
    แม้ Strix Halo จะทรงพลัง แต่ Valve ย้ำว่าการเพิ่มประสิทธิภาพ 20–50% ยังไม่เพียงพอ หากต้องแลกกับแบตเตอรี่ที่หมดเร็วเกินไป ตัวอย่างเช่น ROG Ally X ที่ใช้ชิปใหม่ แม้เล่นเกมได้ลื่น แต่แบตเตอรี่หมดภายใน 2 ชั่วโมงเมื่อใช้โหมด Turbo ซึ่งไม่ตอบโจทย์การใช้งานจริงในระยะยาว

    อนาคตของเครื่องเล่นพกพา
    Valve กำลังวางแผนให้ Steam Deck 2 เป็นเครื่องที่ “Next-gen” อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงการอัปเกรดเล็กน้อย หาก AMD สามารถทำให้ Strix Halo หรือรุ่นถัดไปมีราคาที่เข้าถึงได้และประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงพอ Steam Deck 2 อาจเปิดตัวในช่วงปี 2027–2028 ซึ่งจะเป็นการเว้นระยะห่างราว 5–6 ปีจากรุ่นแรก

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Valve ชะลอการเปิดตัว Steam Deck 2
    ต้องการรอเทคโนโลยีซิลิคอนใหม่ที่ให้ประสิทธิภาพสูงโดยไม่ลดทอนแบตเตอรี่

    AMD Strix Halo APU โดดเด่น
    มาพร้อม 16 คอร์ Zen 5 และ GPU RDNA 3.5 ที่แรงเทียบ RTX 4060 Laptop

    Steam Deck รุ่นปัจจุบันเริ่มล้าหลัง
    เกม AAA ใหม่ ๆ ทำให้เครื่องแสดงข้อจำกัดด้านเฟรมเรตและแบตเตอรี่

    ความเสี่ยงด้านแบตเตอรี่และความร้อน
    ชิปที่แรงขึ้นอาจทำให้แบตหมดเร็วและเครื่องร้อนเกินไป ไม่เหมาะกับการพกพา

    ราคาที่อาจสูงเกินเอื้อม
    หาก Steam Deck 2 ใช้ชิปประสิทธิภาพสูง ราคาสามารถพุ่งใกล้ $1,000 ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงยาก

    https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/valve-is-waiting-for-major-architectural-improvements-on-future-silicon-before-creating-the-steam-deck-2-drastically-better-performance-with-the-same-battery-life-is-not-enough
    🎮 Valve รอเทคโนโลยีใหม่ก่อนเปิดตัว Steam Deck 2 Valve ประกาศชัดเจนว่า Steam Deck 2 จะไม่ใช่การอัปเกรดเล็กน้อย แต่ต้องเป็น “ก้าวกระโดด” ทั้งด้านประสิทธิภาพและอายุการใช้งานแบตเตอรี่ ปัจจุบัน Steam Deck รุ่นแรกแม้ยังคงเล่นเกมได้ดี แต่เริ่มล้าหลังเมื่อเจอกับเกม AAA รุ่นใหม่ ๆ ที่กินทรัพยากรมากขึ้น ทำให้ทีมพัฒนาเลือกที่จะรอจนกว่าชิปใหม่จะพร้อมใช้งานจริง ⚡ AMD Strix Halo APU – พลังที่ Valve จับตามอง AMD เปิดตัว Ryzen AI MAX+ 395 หรือที่รู้จักกันในชื่อ Strix Halo ซึ่งมาพร้อม 16 คอร์ Zen 5 และ GPU RDNA 3.5 จำนวน 40 CU ที่ให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 4060 Laptop GPU นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจทำให้ Steam Deck 2 สามารถแข่งขันกับโน้ตบุ๊กเกมมิ่งระดับกลางได้ โดยยังคงอยู่ในขนาดพกพา 🔋 ปัญหาหลัก: ประสิทธิภาพต่อวัตต์และแบตเตอรี่ แม้ Strix Halo จะทรงพลัง แต่ Valve ย้ำว่าการเพิ่มประสิทธิภาพ 20–50% ยังไม่เพียงพอ หากต้องแลกกับแบตเตอรี่ที่หมดเร็วเกินไป ตัวอย่างเช่น ROG Ally X ที่ใช้ชิปใหม่ แม้เล่นเกมได้ลื่น แต่แบตเตอรี่หมดภายใน 2 ชั่วโมงเมื่อใช้โหมด Turbo ซึ่งไม่ตอบโจทย์การใช้งานจริงในระยะยาว 🌐 อนาคตของเครื่องเล่นพกพา Valve กำลังวางแผนให้ Steam Deck 2 เป็นเครื่องที่ “Next-gen” อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงการอัปเกรดเล็กน้อย หาก AMD สามารถทำให้ Strix Halo หรือรุ่นถัดไปมีราคาที่เข้าถึงได้และประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงพอ Steam Deck 2 อาจเปิดตัวในช่วงปี 2027–2028 ซึ่งจะเป็นการเว้นระยะห่างราว 5–6 ปีจากรุ่นแรก 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Valve ชะลอการเปิดตัว Steam Deck 2 ➡️ ต้องการรอเทคโนโลยีซิลิคอนใหม่ที่ให้ประสิทธิภาพสูงโดยไม่ลดทอนแบตเตอรี่ ✅ AMD Strix Halo APU โดดเด่น ➡️ มาพร้อม 16 คอร์ Zen 5 และ GPU RDNA 3.5 ที่แรงเทียบ RTX 4060 Laptop ✅ Steam Deck รุ่นปัจจุบันเริ่มล้าหลัง ➡️ เกม AAA ใหม่ ๆ ทำให้เครื่องแสดงข้อจำกัดด้านเฟรมเรตและแบตเตอรี่ ‼️ ความเสี่ยงด้านแบตเตอรี่และความร้อน ⛔ ชิปที่แรงขึ้นอาจทำให้แบตหมดเร็วและเครื่องร้อนเกินไป ไม่เหมาะกับการพกพา ‼️ ราคาที่อาจสูงเกินเอื้อม ⛔ หาก Steam Deck 2 ใช้ชิปประสิทธิภาพสูง ราคาสามารถพุ่งใกล้ $1,000 ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงยาก https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/valve-is-waiting-for-major-architectural-improvements-on-future-silicon-before-creating-the-steam-deck-2-drastically-better-performance-with-the-same-battery-life-is-not-enough
    0 Comments 0 Shares 282 Views 0 Reviews
  • เทปแม่เหล็กยังไม่ตาย! LTO-10 เปิดตัวความจุ 40TB

    แม้โลกจะเข้าสู่ยุค SSD และ Cloud แต่เทปแม่เหล็กยังคงมีชีวิตอยู่ ล่าสุดกลุ่มผู้พัฒนา LTO (Linear Tape-Open) ได้เปิดตัวมาตรฐานใหม่ LTO-10 ที่มีความจุสูงถึง 40TB แบบ native และสามารถบีบอัดได้ถึง 100TB ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นกว่า 2.2 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

    เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือการใช้เทคโนโลยีหัวอ่านใหม่และวัสดุ Aramid base film ที่ทำให้เทปบางและเรียบขึ้น จึงสามารถบรรจุข้อมูลได้มากขึ้นในขนาดเดิม จุดเด่นคือยังคงความน่าเชื่อถือและต้นทุนต่ำ ซึ่งเป็นเหตุผลที่องค์กรใหญ่ ๆ เช่นธนาคารและหน่วยงานวิจัยยังคงใช้เทปในการเก็บข้อมูลระยะยาว

    สิ่งที่น่าสนใจคือ LTO มีแผนพัฒนาไปถึงรุ่น LTO-14 ที่จะมีความจุสูงสุดถึง 913TB ภายในอีก 7 ปีข้างหน้า นี่สะท้อนว่าการเก็บข้อมูลแบบเทปยังคงมีอนาคต โดยเฉพาะในยุคที่ AI และ Big Data ทำให้ข้อมูลเพิ่มขึ้นมหาศาลทุกวัน

    สรุปประเด็น
    LTO-10 เปิดตัวความจุ 40TB
    บีบอัดได้ถึง 100TB ด้วย compression 2.5:1

    ใช้เทคโนโลยี Aramid film และหัวอ่านใหม่
    ทำให้เทปบางขึ้นและเก็บข้อมูลได้มากขึ้น

    แผนอนาคตไปถึง LTO-14 ความจุ 913TB
    คาดว่าจะพร้อมใช้งานภายใน 7 ปี

    เทปยังคงถูกมองว่า “ล้าสมัย”
    อาจถูกท้าทายจาก SSD และ Cloud ที่เร็วกว่า

    หากองค์กรไม่ปรับตัว อาจเจอปัญหาความเข้ากันได้
    ต้องลงทุนอุปกรณ์ใหม่เพื่อรองรับมาตรฐาน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/tape-keeps-kicking-breakthrough-40tb-native-spec-announced-lto-10-tapes-claim-up-to-100tb-compressed-data-capacity-hold-2-2x-more-data-than-previous-spec
    💾 เทปแม่เหล็กยังไม่ตาย! LTO-10 เปิดตัวความจุ 40TB แม้โลกจะเข้าสู่ยุค SSD และ Cloud แต่เทปแม่เหล็กยังคงมีชีวิตอยู่ ล่าสุดกลุ่มผู้พัฒนา LTO (Linear Tape-Open) ได้เปิดตัวมาตรฐานใหม่ LTO-10 ที่มีความจุสูงถึง 40TB แบบ native และสามารถบีบอัดได้ถึง 100TB ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นกว่า 2.2 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือการใช้เทคโนโลยีหัวอ่านใหม่และวัสดุ Aramid base film ที่ทำให้เทปบางและเรียบขึ้น จึงสามารถบรรจุข้อมูลได้มากขึ้นในขนาดเดิม จุดเด่นคือยังคงความน่าเชื่อถือและต้นทุนต่ำ ซึ่งเป็นเหตุผลที่องค์กรใหญ่ ๆ เช่นธนาคารและหน่วยงานวิจัยยังคงใช้เทปในการเก็บข้อมูลระยะยาว สิ่งที่น่าสนใจคือ LTO มีแผนพัฒนาไปถึงรุ่น LTO-14 ที่จะมีความจุสูงสุดถึง 913TB ภายในอีก 7 ปีข้างหน้า นี่สะท้อนว่าการเก็บข้อมูลแบบเทปยังคงมีอนาคต โดยเฉพาะในยุคที่ AI และ Big Data ทำให้ข้อมูลเพิ่มขึ้นมหาศาลทุกวัน 📌 สรุปประเด็น ✅ LTO-10 เปิดตัวความจุ 40TB ➡️ บีบอัดได้ถึง 100TB ด้วย compression 2.5:1 ✅ ใช้เทคโนโลยี Aramid film และหัวอ่านใหม่ ➡️ ทำให้เทปบางขึ้นและเก็บข้อมูลได้มากขึ้น ✅ แผนอนาคตไปถึง LTO-14 ความจุ 913TB ➡️ คาดว่าจะพร้อมใช้งานภายใน 7 ปี ‼️ เทปยังคงถูกมองว่า “ล้าสมัย” ⛔ อาจถูกท้าทายจาก SSD และ Cloud ที่เร็วกว่า ‼️ หากองค์กรไม่ปรับตัว อาจเจอปัญหาความเข้ากันได้ ⛔ ต้องลงทุนอุปกรณ์ใหม่เพื่อรองรับมาตรฐาน https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/tape-keeps-kicking-breakthrough-40tb-native-spec-announced-lto-10-tapes-claim-up-to-100tb-compressed-data-capacity-hold-2-2x-more-data-than-previous-spec
    0 Comments 0 Shares 246 Views 0 Reviews
  • Amazon Threat Intelligence เปิดเผยการโจมตีขั้นสูงที่ใช้ช่องโหว่ Zero-Day พร้อมกันสองตัว

    ทีม Amazon Threat Intelligence ตรวจพบการโจมตีผ่านเครือข่าย MadPot Honeypot ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการใช้ช่องโหว่ Citrix Bleed Two ก่อนที่จะมีการประกาศ CVE อย่างเป็นทางการ นั่นหมายความว่าผู้โจมตีมี exploit ที่พร้อมใช้งาน ตั้งแต่ก่อนเปิดเผยสาธารณะ และในระหว่างการวิเคราะห์ยังพบช่องโหว่ใหม่ใน Cisco ISE ที่เปิดทางให้เกิด Remote Code Execution (RCE) โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    เทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อน
    หลังจากเจาะระบบได้ ผู้โจมตีติดตั้ง Web Shell แบบ custom ที่ชื่อว่า IdentityAuditAction ซึ่งทำงานแบบ in-memory เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ไม่ทิ้งไฟล์บนดิสก์ ใช้ Java Reflection เพื่อแทรกตัวเองใน thread ของ Tomcat และเข้ารหัส payload ด้วย DES + Base64 แบบ custom ทำให้การตรวจจับยากขึ้นอย่างมาก ลักษณะนี้บ่งชี้ว่าเป็นกลุ่มที่มีทรัพยากรสูงหรืออาจเกี่ยวข้องกับรัฐ

    ผลกระทบต่อองค์กร
    การโจมตีนี้ไม่ได้จำกัดเป้าหมายเฉพาะองค์กรใด แต่มีการ mass scanning ทั่วอินเทอร์เน็ตเพื่อหาช่องโหว่ในระบบ Citrix และ Cisco ISE ที่ยังไม่ได้แพตช์ หากถูกโจมตีสำเร็จ ผู้ไม่หวังดีสามารถควบคุมระบบยืนยันตัวตนและการเข้าถึงเครือข่าย ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานองค์กร

    แนวทางป้องกัน
    Cisco และ Citrix ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว โดยองค์กรควรรีบอัปเดตทันที พร้อมตรวจสอบระบบที่เกี่ยวข้องกับ Identity Services Engine และ NetScaler Gateway รวมถึงติดตั้งระบบตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติในทราฟฟิก เพื่อป้องกันการโจมตีที่ใช้เทคนิคขั้นสูงเช่นนี้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การค้นพบการโจมตี Zero-Day
    Citrix Bleed Two (CVE-2025-5777) ถูกใช้ก่อนการเปิดเผย
    Cisco ISE RCE (CVE-2025-20337) เปิดทางให้รีโมตเข้าถึงโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    เทคนิคการโจมตี
    ใช้ Web Shell แบบ custom (IdentityAuditAction) ทำงานในหน่วยความจำ
    Payload เข้ารหัสด้วย DES + Base64 แบบ custom

    ผลกระทบต่อองค์กร
    ระบบยืนยันตัวตนและการเข้าถึงเครือข่ายเสี่ยงถูกควบคุม
    มีการ mass scanning หาช่องโหว่ทั่วอินเทอร์เน็ต

    แนวทางแก้ไข
    รีบอัปเดตแพตช์จาก Cisco และ Citrix
    ใช้ระบบตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติในทราฟฟิก

    คำเตือนสำหรับองค์กร
    หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีจนระบบยืนยันตัวตนถูกยึดครอง
    การโจมตีขั้นสูงนี้บ่งชี้ถึงกลุ่มที่มีทรัพยากรสูง อาจเกี่ยวข้องกับรัฐ

    https://securityonline.info/amazon-exposes-advanced-apt-exploiting-cisco-ise-rce-and-citrix-bleed-two-as-simultaneous-zero-days/
    🕵️‍♀️ Amazon Threat Intelligence เปิดเผยการโจมตีขั้นสูงที่ใช้ช่องโหว่ Zero-Day พร้อมกันสองตัว ทีม Amazon Threat Intelligence ตรวจพบการโจมตีผ่านเครือข่าย MadPot Honeypot ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการใช้ช่องโหว่ Citrix Bleed Two ก่อนที่จะมีการประกาศ CVE อย่างเป็นทางการ นั่นหมายความว่าผู้โจมตีมี exploit ที่พร้อมใช้งาน ตั้งแต่ก่อนเปิดเผยสาธารณะ และในระหว่างการวิเคราะห์ยังพบช่องโหว่ใหม่ใน Cisco ISE ที่เปิดทางให้เกิด Remote Code Execution (RCE) โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ⚡ เทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อน หลังจากเจาะระบบได้ ผู้โจมตีติดตั้ง Web Shell แบบ custom ที่ชื่อว่า IdentityAuditAction ซึ่งทำงานแบบ in-memory เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ไม่ทิ้งไฟล์บนดิสก์ ใช้ Java Reflection เพื่อแทรกตัวเองใน thread ของ Tomcat และเข้ารหัส payload ด้วย DES + Base64 แบบ custom ทำให้การตรวจจับยากขึ้นอย่างมาก ลักษณะนี้บ่งชี้ว่าเป็นกลุ่มที่มีทรัพยากรสูงหรืออาจเกี่ยวข้องกับรัฐ 🌐 ผลกระทบต่อองค์กร การโจมตีนี้ไม่ได้จำกัดเป้าหมายเฉพาะองค์กรใด แต่มีการ mass scanning ทั่วอินเทอร์เน็ตเพื่อหาช่องโหว่ในระบบ Citrix และ Cisco ISE ที่ยังไม่ได้แพตช์ หากถูกโจมตีสำเร็จ ผู้ไม่หวังดีสามารถควบคุมระบบยืนยันตัวตนและการเข้าถึงเครือข่าย ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานองค์กร 🛠️ แนวทางป้องกัน Cisco และ Citrix ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว โดยองค์กรควรรีบอัปเดตทันที พร้อมตรวจสอบระบบที่เกี่ยวข้องกับ Identity Services Engine และ NetScaler Gateway รวมถึงติดตั้งระบบตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติในทราฟฟิก เพื่อป้องกันการโจมตีที่ใช้เทคนิคขั้นสูงเช่นนี้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การค้นพบการโจมตี Zero-Day ➡️ Citrix Bleed Two (CVE-2025-5777) ถูกใช้ก่อนการเปิดเผย ➡️ Cisco ISE RCE (CVE-2025-20337) เปิดทางให้รีโมตเข้าถึงโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ✅ เทคนิคการโจมตี ➡️ ใช้ Web Shell แบบ custom (IdentityAuditAction) ทำงานในหน่วยความจำ ➡️ Payload เข้ารหัสด้วย DES + Base64 แบบ custom ✅ ผลกระทบต่อองค์กร ➡️ ระบบยืนยันตัวตนและการเข้าถึงเครือข่ายเสี่ยงถูกควบคุม ➡️ มีการ mass scanning หาช่องโหว่ทั่วอินเทอร์เน็ต ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ รีบอัปเดตแพตช์จาก Cisco และ Citrix ➡️ ใช้ระบบตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติในทราฟฟิก ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กร ⛔ หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีจนระบบยืนยันตัวตนถูกยึดครอง ⛔ การโจมตีขั้นสูงนี้บ่งชี้ถึงกลุ่มที่มีทรัพยากรสูง อาจเกี่ยวข้องกับรัฐ https://securityonline.info/amazon-exposes-advanced-apt-exploiting-cisco-ise-rce-and-citrix-bleed-two-as-simultaneous-zero-days/
    SECURITYONLINE.INFO
    Amazon Exposes Advanced APT Exploiting Cisco ISE (RCE) and Citrix Bleed Two as Simultaneous Zero-Days
    Amazon uncovered an advanced APT simultaneously exploiting Cisco ISE RCE (CVE-2025-20337) and Citrix Bleed Two (CVE-2025-5777) as zero-days. The attacker deployed a custom in-memory web shell on Cisco ISE.
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
  • Lenovo เปิดวิสัยทัศน์สุดล้ำ: ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งอนาคตจะลอยฟ้า แช่น้ำร้อน และอยู่ใต้ดิน!

    Lenovo เผยแนวคิดสุดล้ำสำหรับโครงสร้างพื้นฐานของดาต้าเซ็นเตอร์ในอนาคต ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่รวมถึงการออกแบบเพื่อความยั่งยืนและประสิทธิภาพด้านพลังงาน โดยเสนอ 3 รูปแบบใหม่ ได้แก่ “Floating Cloud” ลอยเหนือพื้นโลก, “Data Spa” แช่น้ำร้อนจากพลังงานใต้พิภพ และ “Data Center Bunker” ฝังใต้ดินเพื่อความปลอดภัยและการระบายความร้อนตามธรรมชาติ

    แนวคิดเหล่านี้เกิดจากความต้องการเร่งด่วนในการรองรับการเติบโตของ AI และการใช้พลังงานมหาศาลของระบบประมวลผลยุคใหม่ ซึ่งดาต้าเซ็นเตอร์แบบเดิมไม่สามารถตอบโจทย์ได้อีกต่อไป

    Floating Cloud: ดาต้าเซ็นเตอร์ลอยฟ้า
    ลอยอยู่ระหว่าง 20–30 กม.เหนือพื้นโลก ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 100%
    ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวแรงดันสูง
    ลดการใช้พื้นที่บนดิน แต่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจากการโจมตีทางอากาศ

    Data Spa: ดาต้าเซ็นเตอร์แช่น้ำร้อน
    ตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำพุร้อนหรือพลังงานใต้พิภพ
    ผสมผสานธรรมชาติกับเทคโนโลยีอย่างกลมกลืน
    เสี่ยงต่อความปลอดภัยจากการอยู่ใกล้แหล่งน้ำและผู้คน

    Data Center Bunker: ดาต้าเซ็นเตอร์ใต้ดิน
    ใช้พื้นที่รกร้าง เช่น อุโมงค์เก่า หรือสถานีรถไฟใต้ดิน
    ได้เปรียบด้านการระบายความร้อนตามธรรมชาติและความปลอดภัย
    อาจมีข้อจำกัดด้านอุณหภูมิใต้ดินที่ไม่เหมาะสม

    Neptune Liquid Cooling: เทคโนโลยีระบายความร้อนใหม่ของ Lenovo
    ดึงความร้อนออกจากแหล่งกำเนิดได้ถึง 98%
    ลดการใช้พลังงานเมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ

    แรงผลักดันจาก AI และกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม
    ความต้องการประมวลผล AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    กฎด้านการปล่อยคาร์บอนและความมั่นคงของข้อมูลผลักดันให้ต้องออกแบบใหม่

    คำเตือน: ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    Floating Cloud อาจถูกโจมตีหรือควบคุมได้ยาก
    Data Spa เสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลและอุบัติเหตุจากน้ำ

    คำเตือน: ความท้าทายด้านการใช้งานจริง
    แนวคิดเหล่านี้ยังเป็นต้นแบบ ไม่พร้อมใช้งานในเชิงพาณิชย์
    ต้องใช้การลงทุนสูงและการทดสอบด้านวิศวกรรมอย่างเข้มข้น

    https://www.techradar.com/pro/lenovo-goes-literal-with-its-view-of-the-future-of-the-cloud-heres-what-it-thinks-future-data-centers-will-really-look-like
    ☁️ Lenovo เปิดวิสัยทัศน์สุดล้ำ: ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งอนาคตจะลอยฟ้า แช่น้ำร้อน และอยู่ใต้ดิน! Lenovo เผยแนวคิดสุดล้ำสำหรับโครงสร้างพื้นฐานของดาต้าเซ็นเตอร์ในอนาคต ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่รวมถึงการออกแบบเพื่อความยั่งยืนและประสิทธิภาพด้านพลังงาน โดยเสนอ 3 รูปแบบใหม่ ได้แก่ “Floating Cloud” ลอยเหนือพื้นโลก, “Data Spa” แช่น้ำร้อนจากพลังงานใต้พิภพ และ “Data Center Bunker” ฝังใต้ดินเพื่อความปลอดภัยและการระบายความร้อนตามธรรมชาติ แนวคิดเหล่านี้เกิดจากความต้องการเร่งด่วนในการรองรับการเติบโตของ AI และการใช้พลังงานมหาศาลของระบบประมวลผลยุคใหม่ ซึ่งดาต้าเซ็นเตอร์แบบเดิมไม่สามารถตอบโจทย์ได้อีกต่อไป ✅ Floating Cloud: ดาต้าเซ็นเตอร์ลอยฟ้า ➡️ ลอยอยู่ระหว่าง 20–30 กม.เหนือพื้นโลก ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 100% ➡️ ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวแรงดันสูง ➡️ ลดการใช้พื้นที่บนดิน แต่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจากการโจมตีทางอากาศ ✅ Data Spa: ดาต้าเซ็นเตอร์แช่น้ำร้อน ➡️ ตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำพุร้อนหรือพลังงานใต้พิภพ ➡️ ผสมผสานธรรมชาติกับเทคโนโลยีอย่างกลมกลืน ➡️ เสี่ยงต่อความปลอดภัยจากการอยู่ใกล้แหล่งน้ำและผู้คน ✅ Data Center Bunker: ดาต้าเซ็นเตอร์ใต้ดิน ➡️ ใช้พื้นที่รกร้าง เช่น อุโมงค์เก่า หรือสถานีรถไฟใต้ดิน ➡️ ได้เปรียบด้านการระบายความร้อนตามธรรมชาติและความปลอดภัย ➡️ อาจมีข้อจำกัดด้านอุณหภูมิใต้ดินที่ไม่เหมาะสม ✅ Neptune Liquid Cooling: เทคโนโลยีระบายความร้อนใหม่ของ Lenovo ➡️ ดึงความร้อนออกจากแหล่งกำเนิดได้ถึง 98% ➡️ ลดการใช้พลังงานเมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ✅ แรงผลักดันจาก AI และกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม ➡️ ความต้องการประมวลผล AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ➡️ กฎด้านการปล่อยคาร์บอนและความมั่นคงของข้อมูลผลักดันให้ต้องออกแบบใหม่ ‼️ คำเตือน: ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ Floating Cloud อาจถูกโจมตีหรือควบคุมได้ยาก ⛔ Data Spa เสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลและอุบัติเหตุจากน้ำ ‼️ คำเตือน: ความท้าทายด้านการใช้งานจริง ⛔ แนวคิดเหล่านี้ยังเป็นต้นแบบ ไม่พร้อมใช้งานในเชิงพาณิชย์ ⛔ ต้องใช้การลงทุนสูงและการทดสอบด้านวิศวกรรมอย่างเข้มข้น https://www.techradar.com/pro/lenovo-goes-literal-with-its-view-of-the-future-of-the-cloud-heres-what-it-thinks-future-data-centers-will-really-look-like
    WWW.TECHRADAR.COM
    Lenovo designs floating, underground, and geothermal data centers
    AI tools are driving data demand far beyond current infrastructure capabilities
    0 Comments 0 Shares 390 Views 0 Reviews
More Results