• “5 สุดยอดแกดเจ็ตแห่งปี 2025 — บางชิ้นไม่ใหม่ แต่ ‘สมบูรณ์แบบ’ จนต้องยกนิ้วให้”

    ปี 2025 เป็นปีที่เทคโนโลยีไม่ได้แค่ “ใหม่” แต่หลายแบรนด์เลือกที่จะ “ปรับปรุงของเดิมให้ดีที่สุด” และผลลัพธ์คือแกดเจ็ตที่ทั้งคุ้นเคยและน่าทึ่ง SlashGear ได้คัดเลือก 5 แกดเจ็ตที่โดดเด่นที่สุดแห่งปี ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องนวัตกรรม แต่คือการออกแบบที่เข้าใจผู้ใช้จริง ๆ

    เริ่มจาก Nintendo Switch 2 ที่แม้จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากรุ่นแรก แต่กลับขายได้ถึง 6 ล้านเครื่องภายในไม่กี่เดือน เพราะมันแก้ปัญหาเดิมได้หมด — เล่นเกม AAA ได้ลื่นขึ้น, Joy-Con แน่นขึ้นและใช้เป็นเมาส์ได้, แม้จะยังมี Joy-Con drift และต้องซื้อ microSD Express เพิ่ม แต่ก็ถือว่า “สมบูรณ์แบบในสิ่งที่มันเป็น”

    ต่อมา iPhone Air ที่บางเฉียบจนหลายคนคิดว่าเป็นแค่โชว์ดีไซน์ แต่กลับทนทานเกินคาด — ทดสอบแรงกดถึง 215 ปอนด์ถึงจะแตก และรอดจากการตก 200 ฟุตได้แบบหน้าจอไม่พัง แม้จะมีข้อเสียเรื่องกล้องเดียว, ลำโพงเดียว, USB ช้า และ GPU อ่อน แต่ก็เป็นต้นแบบของมือถือยุคใหม่ที่เบาและใช้งานได้นาน

    Sony WH-1000XM6 คือการแก้ไขข้อผิดพลาดจากรุ่น XM5 — กลับมาใช้ดีไซน์พับได้, ปรับคุณภาพเสียงและไมค์ให้ดีขึ้น, เพิ่มปุ่มที่ใช้งานง่ายขึ้น และเปลี่ยนเคสให้ใช้แม่เหล็กแทนซิป แม้แบตยังอยู่ที่ 30 ชั่วโมงเหมือนเดิม แต่คุณภาพโดยรวมถือว่า “พร้อมใช้งานยาว ๆ อีก 10 ปี”

    Legion Go S (SteamOS Edition) คือเครื่องเกมพกพาที่ไม่ใช้ Windows แต่ใช้ SteamOS โดยตรง — ทำให้เล่นเกมลื่นกว่า, ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า และเป็นครั้งแรกที่แบรนด์ใหญ่อย่าง Lenovo ส่งเครื่อง Linux ออกสู่ตลาดโดยตรง ถือเป็นก้าวสำคัญของวงการ handheld gaming

    สุดท้าย 8BitDo Ultimate 2 Wireless Controller ที่แม้จะเป็นรุ่นอัปเกรดเล็ก ๆ แต่กลับใส่ฟีเจอร์มาเต็ม — ปุ่มเสริม, trigger lock, dock ชาร์จแบบ low-latency, joystick แบบ TMR และ Hall-effect ที่แม่นยำและประหยัดพลังงาน ใช้ได้กับทุกแพลตฟอร์ม และราคาลดเหลือเพียง $30 ในบางช่วง

    https://www.slashgear.com/1982586/coolest-gadgets-released-2025/
    🧩 “5 สุดยอดแกดเจ็ตแห่งปี 2025 — บางชิ้นไม่ใหม่ แต่ ‘สมบูรณ์แบบ’ จนต้องยกนิ้วให้” ปี 2025 เป็นปีที่เทคโนโลยีไม่ได้แค่ “ใหม่” แต่หลายแบรนด์เลือกที่จะ “ปรับปรุงของเดิมให้ดีที่สุด” และผลลัพธ์คือแกดเจ็ตที่ทั้งคุ้นเคยและน่าทึ่ง SlashGear ได้คัดเลือก 5 แกดเจ็ตที่โดดเด่นที่สุดแห่งปี ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องนวัตกรรม แต่คือการออกแบบที่เข้าใจผู้ใช้จริง ๆ 🔰 เริ่มจาก Nintendo Switch 2 ที่แม้จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากรุ่นแรก แต่กลับขายได้ถึง 6 ล้านเครื่องภายในไม่กี่เดือน เพราะมันแก้ปัญหาเดิมได้หมด — เล่นเกม AAA ได้ลื่นขึ้น, Joy-Con แน่นขึ้นและใช้เป็นเมาส์ได้, แม้จะยังมี Joy-Con drift และต้องซื้อ microSD Express เพิ่ม แต่ก็ถือว่า “สมบูรณ์แบบในสิ่งที่มันเป็น” 🔰 ต่อมา iPhone Air ที่บางเฉียบจนหลายคนคิดว่าเป็นแค่โชว์ดีไซน์ แต่กลับทนทานเกินคาด — ทดสอบแรงกดถึง 215 ปอนด์ถึงจะแตก และรอดจากการตก 200 ฟุตได้แบบหน้าจอไม่พัง แม้จะมีข้อเสียเรื่องกล้องเดียว, ลำโพงเดียว, USB ช้า และ GPU อ่อน แต่ก็เป็นต้นแบบของมือถือยุคใหม่ที่เบาและใช้งานได้นาน 🔰 Sony WH-1000XM6 คือการแก้ไขข้อผิดพลาดจากรุ่น XM5 — กลับมาใช้ดีไซน์พับได้, ปรับคุณภาพเสียงและไมค์ให้ดีขึ้น, เพิ่มปุ่มที่ใช้งานง่ายขึ้น และเปลี่ยนเคสให้ใช้แม่เหล็กแทนซิป แม้แบตยังอยู่ที่ 30 ชั่วโมงเหมือนเดิม แต่คุณภาพโดยรวมถือว่า “พร้อมใช้งานยาว ๆ อีก 10 ปี” 🔰 Legion Go S (SteamOS Edition) คือเครื่องเกมพกพาที่ไม่ใช้ Windows แต่ใช้ SteamOS โดยตรง — ทำให้เล่นเกมลื่นกว่า, ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า และเป็นครั้งแรกที่แบรนด์ใหญ่อย่าง Lenovo ส่งเครื่อง Linux ออกสู่ตลาดโดยตรง ถือเป็นก้าวสำคัญของวงการ handheld gaming 🔰 สุดท้าย 8BitDo Ultimate 2 Wireless Controller ที่แม้จะเป็นรุ่นอัปเกรดเล็ก ๆ แต่กลับใส่ฟีเจอร์มาเต็ม — ปุ่มเสริม, trigger lock, dock ชาร์จแบบ low-latency, joystick แบบ TMR และ Hall-effect ที่แม่นยำและประหยัดพลังงาน ใช้ได้กับทุกแพลตฟอร์ม และราคาลดเหลือเพียง $30 ในบางช่วง https://www.slashgear.com/1982586/coolest-gadgets-released-2025/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Of The Coolest Gadgets Released In 2025 - SlashGear
    A look at five standout gadgets released in 2025, from powerful handhelds to next-gen audio and ultra-thin phones that push design limits.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Cinnamon 6.6 เตรียมรองรับ Wayland เต็มรูปแบบ พร้อมปรับปรุงระบบคีย์บอร์ดและเมนูแอปใหม่หมด”

    Cinnamon ซึ่งเป็น desktop environment ยอดนิยมจากทีม Linux Mint กำลังจะได้รับการอัปเดตครั้งใหญ่ในเวอร์ชัน 6.6 โดยเน้นการปรับปรุงระบบคีย์บอร์ดและ input method ให้รองรับทั้ง layout แบบดั้งเดิมและระบบ IBus อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงการรองรับ Wayland ซึ่งเป็นระบบแสดงผลที่ทันสมัยและปลอดภัยกว่า X11

    ในอดีต Cinnamon รองรับเฉพาะ layout แบบดั้งเดิมเท่านั้น แต่เวอร์ชันใหม่จะรวมทั้ง layout และ IBus ไว้ในหน้าตั้งค่าเดียวกัน ทำให้ผู้ใช้สามารถสลับและจัดการได้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะใช้ภาษาใดก็ตาม นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง onscreen keyboard ให้รองรับ input method และการสลับ layout ได้ในตัว โดยไม่ต้องพึ่ง libcaribou อีกต่อไป

    อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือเมนูแอปใหม่ที่ถูกออกแบบใหม่หมด โดยเพิ่ม sidebar สำหรับแสดง avatar ผู้ใช้, รายการสถานที่, และแอปโปรด พร้อมย้ายปุ่มระบบ เช่น shutdown ไปไว้ด้านบนขวาใกล้ช่องค้นหา และปรับขนาดหมวดหมู่ให้เล็กลงเพื่อเน้นแอปมากขึ้น

    ผู้ใช้ยังสามารถปรับแต่งเมนูได้ผ่านหน้าตั้งค่าใหม่ เช่น ซ่อนบางส่วนของ sidebar หรือเลือกให้แสดงเฉพาะ bookmarks หรือแอปโปรด นอกจากนี้ยังมีการแสดงคำอธิบายของแอปใต้ชื่อ และใช้ไอคอนสีเต็มสำหรับแต่ละหมวดหมู่

    ทั้งหมดนี้คาดว่าจะพร้อมใช้งานใน Linux Mint 22.3 ซึ่งจะเปิดตัวช่วงปลายปี 2025 และถือเป็นก้าวสำคัญของ Cinnamon ในการเข้าสู่ยุค Wayland อย่างเต็มตัว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Cinnamon 6.6 จะรองรับ Wayland เต็มรูปแบบ ทั้ง layout แบบดั้งเดิมและ IBus
    ระบบคีย์บอร์ดจะรวม layout และ input method ไว้ในหน้าตั้งค่าเดียวกัน
    onscreen keyboard ถูกเขียนใหม่ให้รองรับ input method และ layout switch โดยไม่ใช้ libcaribou
    เมนูแอปใหม่มี sidebar สำหรับ avatar, สถานที่, และแอปโปรด
    ปุ่มระบบถูกย้ายไปด้านบนขวาใกล้ช่องค้นหา
    ผู้ใช้สามารถปรับแต่งเมนูได้ เช่น ซ่อน sidebar หรือเลือกแสดงเฉพาะบางส่วน
    แอปจะแสดงคำอธิบายใต้ชื่อ และใช้ไอคอนสีเต็มสำหรับหมวดหมู่
    คาดว่าจะเปิดตัวพร้อม Linux Mint 22.3 ในช่วงปลายปี 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Wayland เป็นระบบแสดงผลที่ปลอดภัยและทันสมัยกว่า X11 โดยลดปัญหาเกี่ยวกับ input และ security
    IBus (Intelligent Input Bus) เป็นระบบจัดการ input method ที่ใช้กันแพร่หลายในภาษาเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน และไทย
    libcaribou เคยเป็น onscreen keyboard ที่ใช้ใน GNOME แต่มีข้อจำกัดด้านความยืดหยุ่น
    การรวม layout และ input method ช่วยลดความสับสนในการตั้งค่าภาษาสำหรับผู้ใช้หลายภาษา
    การปรับปรุงเมนูแอปช่วยให้ Cinnamon เข้าใกล้แนวทาง UX ของ desktop สมัยใหม่ เช่น GNOME และ KDE

    https://9to5linux.com/cinnamon-desktop-gets-improved-support-for-keyboard-layouts-and-input-methods
    ⌨️ “Cinnamon 6.6 เตรียมรองรับ Wayland เต็มรูปแบบ พร้อมปรับปรุงระบบคีย์บอร์ดและเมนูแอปใหม่หมด” Cinnamon ซึ่งเป็น desktop environment ยอดนิยมจากทีม Linux Mint กำลังจะได้รับการอัปเดตครั้งใหญ่ในเวอร์ชัน 6.6 โดยเน้นการปรับปรุงระบบคีย์บอร์ดและ input method ให้รองรับทั้ง layout แบบดั้งเดิมและระบบ IBus อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงการรองรับ Wayland ซึ่งเป็นระบบแสดงผลที่ทันสมัยและปลอดภัยกว่า X11 ในอดีต Cinnamon รองรับเฉพาะ layout แบบดั้งเดิมเท่านั้น แต่เวอร์ชันใหม่จะรวมทั้ง layout และ IBus ไว้ในหน้าตั้งค่าเดียวกัน ทำให้ผู้ใช้สามารถสลับและจัดการได้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะใช้ภาษาใดก็ตาม นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง onscreen keyboard ให้รองรับ input method และการสลับ layout ได้ในตัว โดยไม่ต้องพึ่ง libcaribou อีกต่อไป อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือเมนูแอปใหม่ที่ถูกออกแบบใหม่หมด โดยเพิ่ม sidebar สำหรับแสดง avatar ผู้ใช้, รายการสถานที่, และแอปโปรด พร้อมย้ายปุ่มระบบ เช่น shutdown ไปไว้ด้านบนขวาใกล้ช่องค้นหา และปรับขนาดหมวดหมู่ให้เล็กลงเพื่อเน้นแอปมากขึ้น ผู้ใช้ยังสามารถปรับแต่งเมนูได้ผ่านหน้าตั้งค่าใหม่ เช่น ซ่อนบางส่วนของ sidebar หรือเลือกให้แสดงเฉพาะ bookmarks หรือแอปโปรด นอกจากนี้ยังมีการแสดงคำอธิบายของแอปใต้ชื่อ และใช้ไอคอนสีเต็มสำหรับแต่ละหมวดหมู่ ทั้งหมดนี้คาดว่าจะพร้อมใช้งานใน Linux Mint 22.3 ซึ่งจะเปิดตัวช่วงปลายปี 2025 และถือเป็นก้าวสำคัญของ Cinnamon ในการเข้าสู่ยุค Wayland อย่างเต็มตัว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Cinnamon 6.6 จะรองรับ Wayland เต็มรูปแบบ ทั้ง layout แบบดั้งเดิมและ IBus ➡️ ระบบคีย์บอร์ดจะรวม layout และ input method ไว้ในหน้าตั้งค่าเดียวกัน ➡️ onscreen keyboard ถูกเขียนใหม่ให้รองรับ input method และ layout switch โดยไม่ใช้ libcaribou ➡️ เมนูแอปใหม่มี sidebar สำหรับ avatar, สถานที่, และแอปโปรด ➡️ ปุ่มระบบถูกย้ายไปด้านบนขวาใกล้ช่องค้นหา ➡️ ผู้ใช้สามารถปรับแต่งเมนูได้ เช่น ซ่อน sidebar หรือเลือกแสดงเฉพาะบางส่วน ➡️ แอปจะแสดงคำอธิบายใต้ชื่อ และใช้ไอคอนสีเต็มสำหรับหมวดหมู่ ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวพร้อม Linux Mint 22.3 ในช่วงปลายปี 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Wayland เป็นระบบแสดงผลที่ปลอดภัยและทันสมัยกว่า X11 โดยลดปัญหาเกี่ยวกับ input และ security ➡️ IBus (Intelligent Input Bus) เป็นระบบจัดการ input method ที่ใช้กันแพร่หลายในภาษาเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน และไทย ➡️ libcaribou เคยเป็น onscreen keyboard ที่ใช้ใน GNOME แต่มีข้อจำกัดด้านความยืดหยุ่น ➡️ การรวม layout และ input method ช่วยลดความสับสนในการตั้งค่าภาษาสำหรับผู้ใช้หลายภาษา ➡️ การปรับปรุงเมนูแอปช่วยให้ Cinnamon เข้าใกล้แนวทาง UX ของ desktop สมัยใหม่ เช่น GNOME และ KDE https://9to5linux.com/cinnamon-desktop-gets-improved-support-for-keyboard-layouts-and-input-methods
    9TO5LINUX.COM
    Cinnamon Desktop Gets Improved Support for Keyboard Layouts and Input Methods - 9to5Linux
    Cinnamon desktop environment is getting improved support for keyboard layouts and input methods, as well as a revamped application menu.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Immich v2.0.0 เปิดตัวเวอร์ชัน Stable อย่างเป็นทางการ — เสถียรขึ้น เร็วขึ้น พร้อมฟีเจอร์ใหม่และแผนบริการสำรองข้อมูลแบบเข้ารหัส”

    Immich คือซอฟต์แวร์แบบ self-hosted สำหรับจัดการรูปภาพและวิดีโอ ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลส่วนตัวของตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องพึ่งพาบริการ Cloud จากผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น Google Photos หรือ iCloud

    หลังจากใช้เวลากว่า 1,337 วันในการพัฒนา ล่าสุดทีมงาน Immich ได้ประกาศเปิดตัวเวอร์ชัน v2.0.0 อย่างเป็นทางการในฐานะ “Stable Release” ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญของโครงการนี้

    การประกาศครั้งนี้มาพร้อมกับการยืนยันว่า Immich ได้แก้ไขปัญหาทางเทคนิคจำนวนมาก และเข้าสู่สถานะที่พร้อมใช้งานในระดับองค์กร โดยจะเน้นการรักษาความเข้ากันได้ระหว่างเวอร์ชัน และลดภาระในการอัปเดตในอนาคต พร้อมทั้งนำระบบ semantic versioning มาใช้เพื่อให้การจัดการเวอร์ชันมีความชัดเจน

    เพื่อเฉลิมฉลอง ทีมงานได้เปิดตัว Immich ในรูปแบบแผ่น DVD ที่สามารถบูตระบบได้ทันที พร้อมภาพตัวอย่างจากทีมงาน และวางจำหน่ายผ่านร้าน merch ที่มีดีไซน์ย้อนยุคให้เลือกซื้อ

    ในแผนงานอนาคต Immich เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ auto-stacking, ปรับปรุงการแชร์, การจัดการกลุ่ม, และระบบ ownership รวมถึงการพัฒนาให้เว็บและแอปมือถือมีฟีเจอร์เท่าเทียมกัน นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดบริการสำรองข้อมูลแบบเข้ารหัส end-to-end ที่สามารถสำรองข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกได้ พร้อมฟีเจอร์ “buddy backup” สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความปลอดภัยเพิ่มขึ้น

    ทีมงานยังเน้นว่าจะไม่มีการล็อกฟีเจอร์ไว้หลัง paywall แต่จะมีบริการเสริมแบบสมัครใจเพื่อสนับสนุนโครงการ และจะเก็บข้อมูลการใช้งานอย่างโปร่งใส โดยเปิดให้ชุมชนร่วมแสดงความคิดเห็นก่อนนำไปใช้จริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Immich v2.0.0 เปิดตัวเป็นเวอร์ชัน Stable อย่างเป็นทางการ
    ใช้ระบบ semantic versioning เพื่อจัดการเวอร์ชันแบบ MAJOR.MINOR.PATCH
    รองรับการทำงานร่วมกันระหว่างแอปมือถือ v2.x.x กับเซิร์ฟเวอร์ v2.x.x ทุกเวอร์ชัน
    แก้ไขปัญหาทางเทคนิคจำนวนมาก และลบแบนเนอร์คำเตือนออกจากเว็บไซต์
    เปิดตัวแผ่น DVD ที่สามารถบูต Immich ได้ พร้อมภาพตัวอย่างจากทีมงาน
    ร้าน merch มีสินค้าดีไซน์ย้อนยุคให้เลือกซื้อ
    แผนงานอนาคตรวมถึง auto-stacking, การแชร์, การจัดการกลุ่ม และ ownership
    เตรียมเปิดบริการสำรองข้อมูลแบบเข้ารหัส end-to-end และ buddy backup
    ไม่มีการล็อกฟีเจอร์ไว้หลัง paywall แต่มีบริการเสริมแบบสมัครใจ
    จะเก็บข้อมูลการใช้งานอย่างโปร่งใส โดยเปิดให้ชุมชนร่วมแสดงความคิดเห็น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Immich เป็นหนึ่งในโครงการ open-source ที่เติบโตเร็วที่สุดในกลุ่ม self-hosted media
    Semantic versioning ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถวางแผนการอัปเดตได้ง่ายขึ้น
    ระบบ buddy backup เป็นแนวคิดที่ใช้ในองค์กรเพื่อเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล
    การใช้ DVD บูตระบบเป็นการสร้างความทรงจำแบบ retro และลดความซับซ้อนในการติดตั้ง
    การเก็บข้อมูลการใช้งานแบบโปร่งใสช่วยลดความกังวลเรื่อง privacy ในชุมชน open-source

    https://github.com/immich-app/immich/discussions/22546
    📸 “Immich v2.0.0 เปิดตัวเวอร์ชัน Stable อย่างเป็นทางการ — เสถียรขึ้น เร็วขึ้น พร้อมฟีเจอร์ใหม่และแผนบริการสำรองข้อมูลแบบเข้ารหัส” Immich คือซอฟต์แวร์แบบ self-hosted สำหรับจัดการรูปภาพและวิดีโอ ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลส่วนตัวของตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องพึ่งพาบริการ Cloud จากผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น Google Photos หรือ iCloud หลังจากใช้เวลากว่า 1,337 วันในการพัฒนา ล่าสุดทีมงาน Immich ได้ประกาศเปิดตัวเวอร์ชัน v2.0.0 อย่างเป็นทางการในฐานะ “Stable Release” ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญของโครงการนี้ การประกาศครั้งนี้มาพร้อมกับการยืนยันว่า Immich ได้แก้ไขปัญหาทางเทคนิคจำนวนมาก และเข้าสู่สถานะที่พร้อมใช้งานในระดับองค์กร โดยจะเน้นการรักษาความเข้ากันได้ระหว่างเวอร์ชัน และลดภาระในการอัปเดตในอนาคต พร้อมทั้งนำระบบ semantic versioning มาใช้เพื่อให้การจัดการเวอร์ชันมีความชัดเจน เพื่อเฉลิมฉลอง ทีมงานได้เปิดตัว Immich ในรูปแบบแผ่น DVD ที่สามารถบูตระบบได้ทันที พร้อมภาพตัวอย่างจากทีมงาน และวางจำหน่ายผ่านร้าน merch ที่มีดีไซน์ย้อนยุคให้เลือกซื้อ ในแผนงานอนาคต Immich เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ auto-stacking, ปรับปรุงการแชร์, การจัดการกลุ่ม, และระบบ ownership รวมถึงการพัฒนาให้เว็บและแอปมือถือมีฟีเจอร์เท่าเทียมกัน นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดบริการสำรองข้อมูลแบบเข้ารหัส end-to-end ที่สามารถสำรองข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกได้ พร้อมฟีเจอร์ “buddy backup” สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ทีมงานยังเน้นว่าจะไม่มีการล็อกฟีเจอร์ไว้หลัง paywall แต่จะมีบริการเสริมแบบสมัครใจเพื่อสนับสนุนโครงการ และจะเก็บข้อมูลการใช้งานอย่างโปร่งใส โดยเปิดให้ชุมชนร่วมแสดงความคิดเห็นก่อนนำไปใช้จริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Immich v2.0.0 เปิดตัวเป็นเวอร์ชัน Stable อย่างเป็นทางการ ➡️ ใช้ระบบ semantic versioning เพื่อจัดการเวอร์ชันแบบ MAJOR.MINOR.PATCH ➡️ รองรับการทำงานร่วมกันระหว่างแอปมือถือ v2.x.x กับเซิร์ฟเวอร์ v2.x.x ทุกเวอร์ชัน ➡️ แก้ไขปัญหาทางเทคนิคจำนวนมาก และลบแบนเนอร์คำเตือนออกจากเว็บไซต์ ➡️ เปิดตัวแผ่น DVD ที่สามารถบูต Immich ได้ พร้อมภาพตัวอย่างจากทีมงาน ➡️ ร้าน merch มีสินค้าดีไซน์ย้อนยุคให้เลือกซื้อ ➡️ แผนงานอนาคตรวมถึง auto-stacking, การแชร์, การจัดการกลุ่ม และ ownership ➡️ เตรียมเปิดบริการสำรองข้อมูลแบบเข้ารหัส end-to-end และ buddy backup ➡️ ไม่มีการล็อกฟีเจอร์ไว้หลัง paywall แต่มีบริการเสริมแบบสมัครใจ ➡️ จะเก็บข้อมูลการใช้งานอย่างโปร่งใส โดยเปิดให้ชุมชนร่วมแสดงความคิดเห็น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Immich เป็นหนึ่งในโครงการ open-source ที่เติบโตเร็วที่สุดในกลุ่ม self-hosted media ➡️ Semantic versioning ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถวางแผนการอัปเดตได้ง่ายขึ้น ➡️ ระบบ buddy backup เป็นแนวคิดที่ใช้ในองค์กรเพื่อเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล ➡️ การใช้ DVD บูตระบบเป็นการสร้างความทรงจำแบบ retro และลดความซับซ้อนในการติดตั้ง ➡️ การเก็บข้อมูลการใช้งานแบบโปร่งใสช่วยลดความกังวลเรื่อง privacy ในชุมชน open-source https://github.com/immich-app/immich/discussions/22546
    GITHUB.COM
    v2.0.0 - Stable Release of Immich · immich-app/immich · Discussion #22546
    v2.0.0 - Stable Release of Immich Watch the video Welcome Hello everyone, After: ~1,337 days, 271 releases, 78,000 stars on GitHub, 1,558 contributors, 31,500 members on Discord, 36,000 members on ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • อัพเกรดโรงงานของคุณด้วยเครื่องขอดเกล็ดปลา 3HP ตัวจริง!
    เครื่องของเราถูกออกแบบมาเพื่อ สู้กับงานหนักต่อเนื่อง ตอบโจทย์ทุกธุรกิจแปรรูปปลา:

    แรงทะลุพิกัด: มอเตอร์ 3 แรงม้า ใช้ไฟ 380V (3 เฟส) มั่นใจได้ว่าขอดเกล็ดปลาจำนวนมากได้ไวและต่อเนื่อง ไม่มีงอแง!
    ระบบลูกกลิ้งขอดเกล็ดปลาทำงานร่วมกันอย่างทรงพลัง ทำให้เกล็ดหลุดมากกว่า 80%
    มาตรฐานระดับโลก: เครื่องจักรผลิตจาก สแตนเลส 304 ทั้งตัว ได้รับการรับรอง CE และรองรับ GMP/HACCP มั่นใจเรื่องความสะอาด ถูกสุขอนามัย
    บำรุงรักษาง่าย: ออกแบบให้ ถอดประกอบทำความสะอาดง่าย และมีช่องเซอร์วิสพร้อมคำแนะนำการหล่อลื่น เพื่ออายุการใช้งานที่ยาวนาน

    สเปคเครื่อง (YFS-700-HBX-S):
    กำลังไฟ: 3 HP
    ขนาด: 1250 x 550 x 850 mm
    น้ำหนัก: 150 KG

    หยุดใช้แรงงานคน แล้วมาใช้ขุมพลังของเครื่องจักรคุณภาพ! ประหยัดเวลา ลดต้นทุน เพิ่มกำลังการผลิตทันที!

    อย่ารอช้า! มาดูเครื่องจริงและปรึกษาเราได้เลย:

    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
    เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.)
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7
    แชท: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com

    #ปลานิล #ขอดเกล็ดปลานิล #เครื่องขอดเกล็ดปลา #เครื่องขอดเกล็ดอัตโนมัติ #Tilapia #TilapiaProcessing #FishScalingMachine #เครื่องแปรรูปปลา #โรงงานแปรรูปปลา #ฟาร์มปลานิล #การเลี้ยงปลานิล #ธุรกิจอาหารทะเล #ตลาดปลา #ร้านอาหารปลา #เตรียมปลา #ทำความสะอาดปลา #วิธีขอดเกล็ดปลา #ปลาสด #อุตสาหกรรมปลา #เครื่องจักรขอดเกล็ด #เครื่องครัวอุตสาหกรรม #ประหยัดแรงงาน #เพิ่มกำลังการผลิต #เครื่องครัวสแตนเลส #ย่งฮะเฮง #SUS304 #เครื่องมือประมง #ลดขั้นตอนการทำปลา #ครัวมืออาชีพ #พร้อมใช้งาน
    ✨ อัพเกรดโรงงานของคุณด้วยเครื่องขอดเกล็ดปลา 3HP ตัวจริง! ✨ เครื่องของเราถูกออกแบบมาเพื่อ สู้กับงานหนักต่อเนื่อง ตอบโจทย์ทุกธุรกิจแปรรูปปลา: ✅ แรงทะลุพิกัด: มอเตอร์ 3 แรงม้า ใช้ไฟ 380V (3 เฟส) มั่นใจได้ว่าขอดเกล็ดปลาจำนวนมากได้ไวและต่อเนื่อง ไม่มีงอแง! ✅ ระบบลูกกลิ้งขอดเกล็ดปลาทำงานร่วมกันอย่างทรงพลัง ทำให้เกล็ดหลุดมากกว่า 80% ✅ มาตรฐานระดับโลก: เครื่องจักรผลิตจาก สแตนเลส 304 ทั้งตัว ได้รับการรับรอง CE และรองรับ GMP/HACCP มั่นใจเรื่องความสะอาด ถูกสุขอนามัย ✅ บำรุงรักษาง่าย: ออกแบบให้ ถอดประกอบทำความสะอาดง่าย และมีช่องเซอร์วิสพร้อมคำแนะนำการหล่อลื่น เพื่ออายุการใช้งานที่ยาวนาน สเปคเครื่อง (YFS-700-HBX-S): กำลังไฟ: 3 HP ขนาด: 1250 x 550 x 850 mm น้ำหนัก: 150 KG หยุดใช้แรงงานคน แล้วมาใช้ขุมพลังของเครื่องจักรคุณภาพ! ประหยัดเวลา ลดต้นทุน เพิ่มกำลังการผลิตทันที! 🛒 อย่ารอช้า! มาดูเครื่องจริงและปรึกษาเราได้เลย: ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.) แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 แชท: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com #ปลานิล #ขอดเกล็ดปลานิล #เครื่องขอดเกล็ดปลา #เครื่องขอดเกล็ดอัตโนมัติ #Tilapia #TilapiaProcessing #FishScalingMachine #เครื่องแปรรูปปลา #โรงงานแปรรูปปลา #ฟาร์มปลานิล #การเลี้ยงปลานิล #ธุรกิจอาหารทะเล #ตลาดปลา #ร้านอาหารปลา #เตรียมปลา #ทำความสะอาดปลา #วิธีขอดเกล็ดปลา #ปลาสด #อุตสาหกรรมปลา #เครื่องจักรขอดเกล็ด #เครื่องครัวอุตสาหกรรม #ประหยัดแรงงาน #เพิ่มกำลังการผลิต #เครื่องครัวสแตนเลส #ย่งฮะเฮง #SUS304 #เครื่องมือประมง #ลดขั้นตอนการทำปลา #ครัวมืออาชีพ #พร้อมใช้งาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Wi-Fi ช้าเพราะต้นไม้ในบ้าน? งานวิจัยล่าสุดชี้ชัด — ดินชื้นและใบหนาอาจดูดสัญญาณจนเน็ตสะดุด”

    ใครจะไปคิดว่า “ต้นไม้ในบ้าน” ที่เราปลูกไว้เพื่อความสดชื่น อาจเป็นตัวการที่ทำให้ Wi-Fi ช้าลงอย่างไม่น่าเชื่อ ล่าสุดงานวิจัยจาก Broadband Genie เผยว่า การย้ายเราเตอร์ออกห่างจากต้นไม้ในบ้านสามารถเพิ่มความเร็วอินเทอร์เน็ตได้มากถึง 36% โดยเฉพาะในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก

    เหตุผลหลักคือ “ดินที่ชื้น” และ “ใบไม้ที่หนาแน่น” สามารถดูดซับหรือสะท้อนคลื่นวิทยุที่ใช้ใน Wi-Fi ได้ ทำให้สัญญาณอ่อนลงหรือกระจายผิดทิศทาง ซึ่งส่งผลให้การเชื่อมต่อไม่เสถียร โดยเฉพาะเมื่อเราเตอร์ถูกวางไว้ใกล้กระถางต้นไม้หรืออยู่ในเส้นทางที่สัญญาณต้องผ่าน

    แม้ผลกระทบอาจไม่รุนแรงในบ้านทั่วไป แต่ในอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก ผลลัพธ์อาจเห็นได้ชัดเจน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ตรวจสอบตำแหน่งของเราเตอร์และพยายามวางไว้ในจุดที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง เช่น ต้นไม้ เฟอร์นิเจอร์ หรือผนังหนา

    อย่างไรก็ตาม ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ผนัง เพดาน หรือสัญญาณรบกวนจาก Wi-Fi ของเพื่อนบ้าน ก็มีผลต่อความเร็วมากกว่าต้นไม้ และการย้ายเราเตอร์ให้ใกล้อุปกรณ์มากขึ้นก็ช่วยเพิ่มความเร็วได้โดยไม่เกี่ยวกับต้นไม้เลย

    สำหรับบ้านที่มีปัญหาสัญญาณไม่ทั่วถึง การใช้ Mesh Wi-Fi หรือ Wi-Fi Extender ก็เป็นทางเลือกที่ดี รวมถึงการใช้ Powerline Adapter หรือสาย Ethernet ก็สามารถให้ความเสถียรได้มากกว่าการพึ่งพาไร้สายเพียงอย่างเดียว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    งานวิจัยจาก Broadband Genie พบว่าการย้ายเราเตอร์ออกจากต้นไม้ช่วยเพิ่มความเร็ว Wi-Fi ได้ถึง 36%
    ดินชื้นและใบไม้หนาแน่นสามารถดูดซับหรือสะท้อนคลื่นวิทยุ ทำให้สัญญาณอ่อนลง
    ผลกระทบเห็นได้ชัดในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก
    การวางเราเตอร์ในจุดเปิดโล่งและอยู่กลางบ้านช่วยให้สัญญาณครอบคลุมดีขึ้น
    การย้ายเราเตอร์ให้ใกล้อุปกรณ์มากขึ้นก็ช่วยเพิ่มความเร็วโดยไม่เกี่ยวกับต้นไม้
    แนะนำให้ใช้ Mesh Wi-Fi หรือ Wi-Fi Extender เพื่อกระจายสัญญาณในบ้าน
    Powerline Adapter และสาย Ethernet เป็นทางเลือกที่เสถียรกว่า Wi-Fi ในบางกรณี
    Wi-Fi 8 จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการส่งสัญญาณ แต่ยังไม่พร้อมใช้งานจนถึงปี 2028

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    คลื่น Wi-Fi เป็นคลื่นวิทยุที่สามารถถูกดูดซับหรือสะท้อนโดยวัตถุที่มีน้ำ เช่น ใบไม้หรือดิน
    Fish tank, ผนังอิฐ และเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ก็สามารถลดคุณภาพสัญญาณได้เช่นกัน
    เทคโนโลยี MIMO และ Beamforming ในเราเตอร์รุ่นใหม่ช่วยลดผลกระทบจากการสะท้อนสัญญาณ
    การวางเราเตอร์ในตำแหน่งสูงและเปิดโล่งช่วยให้คลื่นกระจายได้ดีขึ้น
    บ้านที่มีหลายชั้นหรือผนังหนาอาจต้องใช้ระบบ Mesh เพื่อให้สัญญาณทั่วถึง

    https://www.techradar.com/pro/slow-wi-fi-at-home-believe-it-or-not-your-houseplants-might-be-to-blame-and-yes-were-serious
    🌿 “Wi-Fi ช้าเพราะต้นไม้ในบ้าน? งานวิจัยล่าสุดชี้ชัด — ดินชื้นและใบหนาอาจดูดสัญญาณจนเน็ตสะดุด” ใครจะไปคิดว่า “ต้นไม้ในบ้าน” ที่เราปลูกไว้เพื่อความสดชื่น อาจเป็นตัวการที่ทำให้ Wi-Fi ช้าลงอย่างไม่น่าเชื่อ ล่าสุดงานวิจัยจาก Broadband Genie เผยว่า การย้ายเราเตอร์ออกห่างจากต้นไม้ในบ้านสามารถเพิ่มความเร็วอินเทอร์เน็ตได้มากถึง 36% โดยเฉพาะในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก เหตุผลหลักคือ “ดินที่ชื้น” และ “ใบไม้ที่หนาแน่น” สามารถดูดซับหรือสะท้อนคลื่นวิทยุที่ใช้ใน Wi-Fi ได้ ทำให้สัญญาณอ่อนลงหรือกระจายผิดทิศทาง ซึ่งส่งผลให้การเชื่อมต่อไม่เสถียร โดยเฉพาะเมื่อเราเตอร์ถูกวางไว้ใกล้กระถางต้นไม้หรืออยู่ในเส้นทางที่สัญญาณต้องผ่าน แม้ผลกระทบอาจไม่รุนแรงในบ้านทั่วไป แต่ในอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก ผลลัพธ์อาจเห็นได้ชัดเจน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ตรวจสอบตำแหน่งของเราเตอร์และพยายามวางไว้ในจุดที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง เช่น ต้นไม้ เฟอร์นิเจอร์ หรือผนังหนา อย่างไรก็ตาม ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ผนัง เพดาน หรือสัญญาณรบกวนจาก Wi-Fi ของเพื่อนบ้าน ก็มีผลต่อความเร็วมากกว่าต้นไม้ และการย้ายเราเตอร์ให้ใกล้อุปกรณ์มากขึ้นก็ช่วยเพิ่มความเร็วได้โดยไม่เกี่ยวกับต้นไม้เลย สำหรับบ้านที่มีปัญหาสัญญาณไม่ทั่วถึง การใช้ Mesh Wi-Fi หรือ Wi-Fi Extender ก็เป็นทางเลือกที่ดี รวมถึงการใช้ Powerline Adapter หรือสาย Ethernet ก็สามารถให้ความเสถียรได้มากกว่าการพึ่งพาไร้สายเพียงอย่างเดียว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ งานวิจัยจาก Broadband Genie พบว่าการย้ายเราเตอร์ออกจากต้นไม้ช่วยเพิ่มความเร็ว Wi-Fi ได้ถึง 36% ➡️ ดินชื้นและใบไม้หนาแน่นสามารถดูดซับหรือสะท้อนคลื่นวิทยุ ทำให้สัญญาณอ่อนลง ➡️ ผลกระทบเห็นได้ชัดในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก ➡️ การวางเราเตอร์ในจุดเปิดโล่งและอยู่กลางบ้านช่วยให้สัญญาณครอบคลุมดีขึ้น ➡️ การย้ายเราเตอร์ให้ใกล้อุปกรณ์มากขึ้นก็ช่วยเพิ่มความเร็วโดยไม่เกี่ยวกับต้นไม้ ➡️ แนะนำให้ใช้ Mesh Wi-Fi หรือ Wi-Fi Extender เพื่อกระจายสัญญาณในบ้าน ➡️ Powerline Adapter และสาย Ethernet เป็นทางเลือกที่เสถียรกว่า Wi-Fi ในบางกรณี ➡️ Wi-Fi 8 จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการส่งสัญญาณ แต่ยังไม่พร้อมใช้งานจนถึงปี 2028 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ คลื่น Wi-Fi เป็นคลื่นวิทยุที่สามารถถูกดูดซับหรือสะท้อนโดยวัตถุที่มีน้ำ เช่น ใบไม้หรือดิน ➡️ Fish tank, ผนังอิฐ และเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ก็สามารถลดคุณภาพสัญญาณได้เช่นกัน ➡️ เทคโนโลยี MIMO และ Beamforming ในเราเตอร์รุ่นใหม่ช่วยลดผลกระทบจากการสะท้อนสัญญาณ ➡️ การวางเราเตอร์ในตำแหน่งสูงและเปิดโล่งช่วยให้คลื่นกระจายได้ดีขึ้น ➡️ บ้านที่มีหลายชั้นหรือผนังหนาอาจต้องใช้ระบบ Mesh เพื่อให้สัญญาณทั่วถึง https://www.techradar.com/pro/slow-wi-fi-at-home-believe-it-or-not-your-houseplants-might-be-to-blame-and-yes-were-serious
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • “GNU Linux-Libre 6.17 มาแล้ว — เคอร์เนลสายอิสระที่ล้างโค้ดปิดจากไดรเวอร์รุ่นใหม่ พร้อมรองรับฮาร์ดแวร์น้อยลงแต่เสรีภาพมากขึ้น”

    เคอร์เนล GNU Linux-Libre เวอร์ชัน 6.17 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปลายเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นเวอร์ชันที่พัฒนาต่อจาก Linux 6.17 แต่มีการ “deblob” หรือการลบโค้ดที่ไม่เป็นโอเพ่นซอร์สออกทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างระบบ GNU/Linux ที่ปลอดจากซอฟต์แวร์ปิดได้อย่างแท้จริง

    ในเวอร์ชันนี้ ทีมพัฒนาได้ล้างโค้ดที่เกี่ยวข้องกับไดรเวอร์ใหม่ ๆ เช่น Intel IPU7 ซึ่งใช้ในเว็บแคมของโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่อย่าง Lunar Lake และ Panther Lake รวมถึงไฟล์ devicetree ของ AArch64 ที่มีการฝังเฟิร์มแวร์ปิดไว้ นอกจากนี้ยังมีการปรับการล้างโค้ดในไดรเวอร์ยอดนิยม เช่น AMDGPU, Adreno a6xx, Nova-core (สำหรับ NVIDIA), Intel AVS, iwlwifi, btusb และ pci mhi host

    การเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกอย่างคือการหยุดล้างโค้ดของ QLogic InfiniBand เนื่องจากไดรเวอร์นี้ถูกลบออกจากเคอร์เนลต้นทางแล้ว และมีการปรับการล้างโค้ดของ PCI HDA drivers ที่ถูกย้ายตำแหน่งใน upstream

    แม้ GNU Linux-Libre จะรองรับฮาร์ดแวร์น้อยลง แต่ก็เป็นทางเลือกสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบที่ “เสรี 100%” โดยไม่มีการโหลดเฟิร์มแวร์ปิดแม้แต่บิตเดียว สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งแบบ tarball และแพ็กเกจ DEB/RPM ผ่านโครงการ Freesh และ RPM Freedom

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    GNU Linux-Libre 6.17 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025
    พัฒนาต่อจาก Linux 6.17 โดยลบโค้ดที่ไม่เป็นโอเพ่นซอร์สทั้งหมด
    ล้างโค้ดของไดรเวอร์ Intel IPU7 ที่ใช้ในเว็บแคมของโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่
    ปรับการล้างโค้ดในไฟล์ devicetree ของ AArch64 ที่ฝังเฟิร์มแวร์ปิด
    ปรับ deblob ในไดรเวอร์ AMDGPU, Adreno a6xx, Nova-core, Intel AVS, iwlwifi, btusb, pci mhi host
    หยุด deblob ไดรเวอร์ QLogic InfiniBand ที่ถูกลบออกจาก upstream แล้ว
    ปรับการล้างโค้ดของ PCI HDA drivers ที่ถูกย้ายตำแหน่งใน upstream
    รองรับการติดตั้งในทุกดิสโทร GNU/Linux ทั้งแบบแทนเคอร์เนลหลักหรือเสริม
    มีแพ็กเกจพร้อมใช้งานสำหรับระบบ DEB และ RPM ผ่าน Freesh และ RPM Freedom

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GNU Linux-Libre เป็นโครงการที่เริ่มจาก gNewSense และดูแลโดย FSF Latin America
    เคอร์เนลนี้ลบทั้งโค้ดปิดและคำสั่งที่เรียกใช้เฟิร์มแวร์ปิดใน runtime
    Nova-core เป็นไดรเวอร์ Rust สำหรับ GPU NVIDIA ที่กำลังพัฒนาแบบโอเพ่นซอร์ส
    Adreno a6xx เป็น GPU ของ Qualcomm ที่ฝังเฟิร์มแวร์ปิดไว้ในหลายรุ่น
    การใช้เคอร์เนล GNU Linux-Libre อาจเหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการระบบปลอดจากการติดตามหรือโค้ดลับ

    คำเตือนและข้อจำกัด
    การลบโค้ดปิดออกจากเคอร์เนลทำให้รองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ได้น้อยลง
    ผู้ใช้ที่ต้องการใช้งาน GPU, Wi-Fi หรืออุปกรณ์เสียงบางรุ่นอาจไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ
    เคอร์เนลนี้ไม่โหลดเฟิร์มแวร์ปิดแม้ใน runtime ทำให้บางอุปกรณ์ไม่สามารถใช้งานได้เลย
    การใช้ GNU Linux-Libre ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงเทคนิคในการตั้งค่าระบบ
    ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความสะดวกหรือรองรับฮาร์ดแวร์ทันสมัยแบบครบถ้วน

    https://9to5linux.com/gnu-linux-libre-6-17-kernel-is-now-available-for-software-freedom-lovers
    🐧 “GNU Linux-Libre 6.17 มาแล้ว — เคอร์เนลสายอิสระที่ล้างโค้ดปิดจากไดรเวอร์รุ่นใหม่ พร้อมรองรับฮาร์ดแวร์น้อยลงแต่เสรีภาพมากขึ้น” เคอร์เนล GNU Linux-Libre เวอร์ชัน 6.17 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปลายเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นเวอร์ชันที่พัฒนาต่อจาก Linux 6.17 แต่มีการ “deblob” หรือการลบโค้ดที่ไม่เป็นโอเพ่นซอร์สออกทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างระบบ GNU/Linux ที่ปลอดจากซอฟต์แวร์ปิดได้อย่างแท้จริง ในเวอร์ชันนี้ ทีมพัฒนาได้ล้างโค้ดที่เกี่ยวข้องกับไดรเวอร์ใหม่ ๆ เช่น Intel IPU7 ซึ่งใช้ในเว็บแคมของโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่อย่าง Lunar Lake และ Panther Lake รวมถึงไฟล์ devicetree ของ AArch64 ที่มีการฝังเฟิร์มแวร์ปิดไว้ นอกจากนี้ยังมีการปรับการล้างโค้ดในไดรเวอร์ยอดนิยม เช่น AMDGPU, Adreno a6xx, Nova-core (สำหรับ NVIDIA), Intel AVS, iwlwifi, btusb และ pci mhi host การเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกอย่างคือการหยุดล้างโค้ดของ QLogic InfiniBand เนื่องจากไดรเวอร์นี้ถูกลบออกจากเคอร์เนลต้นทางแล้ว และมีการปรับการล้างโค้ดของ PCI HDA drivers ที่ถูกย้ายตำแหน่งใน upstream แม้ GNU Linux-Libre จะรองรับฮาร์ดแวร์น้อยลง แต่ก็เป็นทางเลือกสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบที่ “เสรี 100%” โดยไม่มีการโหลดเฟิร์มแวร์ปิดแม้แต่บิตเดียว สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งแบบ tarball และแพ็กเกจ DEB/RPM ผ่านโครงการ Freesh และ RPM Freedom ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ GNU Linux-Libre 6.17 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 ➡️ พัฒนาต่อจาก Linux 6.17 โดยลบโค้ดที่ไม่เป็นโอเพ่นซอร์สทั้งหมด ➡️ ล้างโค้ดของไดรเวอร์ Intel IPU7 ที่ใช้ในเว็บแคมของโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ➡️ ปรับการล้างโค้ดในไฟล์ devicetree ของ AArch64 ที่ฝังเฟิร์มแวร์ปิด ➡️ ปรับ deblob ในไดรเวอร์ AMDGPU, Adreno a6xx, Nova-core, Intel AVS, iwlwifi, btusb, pci mhi host ➡️ หยุด deblob ไดรเวอร์ QLogic InfiniBand ที่ถูกลบออกจาก upstream แล้ว ➡️ ปรับการล้างโค้ดของ PCI HDA drivers ที่ถูกย้ายตำแหน่งใน upstream ➡️ รองรับการติดตั้งในทุกดิสโทร GNU/Linux ทั้งแบบแทนเคอร์เนลหลักหรือเสริม ➡️ มีแพ็กเกจพร้อมใช้งานสำหรับระบบ DEB และ RPM ผ่าน Freesh และ RPM Freedom ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GNU Linux-Libre เป็นโครงการที่เริ่มจาก gNewSense และดูแลโดย FSF Latin America ➡️ เคอร์เนลนี้ลบทั้งโค้ดปิดและคำสั่งที่เรียกใช้เฟิร์มแวร์ปิดใน runtime ➡️ Nova-core เป็นไดรเวอร์ Rust สำหรับ GPU NVIDIA ที่กำลังพัฒนาแบบโอเพ่นซอร์ส ➡️ Adreno a6xx เป็น GPU ของ Qualcomm ที่ฝังเฟิร์มแวร์ปิดไว้ในหลายรุ่น ➡️ การใช้เคอร์เนล GNU Linux-Libre อาจเหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการระบบปลอดจากการติดตามหรือโค้ดลับ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ การลบโค้ดปิดออกจากเคอร์เนลทำให้รองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ได้น้อยลง ⛔ ผู้ใช้ที่ต้องการใช้งาน GPU, Wi-Fi หรืออุปกรณ์เสียงบางรุ่นอาจไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ⛔ เคอร์เนลนี้ไม่โหลดเฟิร์มแวร์ปิดแม้ใน runtime ทำให้บางอุปกรณ์ไม่สามารถใช้งานได้เลย ⛔ การใช้ GNU Linux-Libre ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงเทคนิคในการตั้งค่าระบบ ⛔ ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความสะดวกหรือรองรับฮาร์ดแวร์ทันสมัยแบบครบถ้วน https://9to5linux.com/gnu-linux-libre-6-17-kernel-is-now-available-for-software-freedom-lovers
    9TO5LINUX.COM
    GNU Linux-Libre 6.17 Kernel Is Now Available for Software Freedom Lovers - 9to5Linux
    GNU Linux-libre 6.17 kernel is now available for download based on Linux 6.17 and targeted at those who seek 100% freedom for their PCs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Claude Sonnet 4.5 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — โมเดล AI ที่เข้าใจโค้ดลึกที่สุด พร้อมความสามารถ reasoning ระดับมนุษย์”

    Anthropic ประกาศเปิดตัว Claude Sonnet 4.5 ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ได้รับการยกย่องว่า “ดีที่สุดในโลกด้านการเขียนโค้ดและการใช้คอมพิวเตอร์” โดยไม่ใช่แค่เร็วหรือแม่นยำ แต่ยังสามารถทำงานแบบ agentic ได้อย่างเต็มรูปแบบ เช่น การวางแผนงานหลายขั้นตอน, การจัดการเครื่องมือ, และการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนในระดับที่มนุษย์ทำได้ยาก

    Claude Sonnet 4.5 ทำคะแนนสูงสุดในหลาย benchmark เช่น SWE-bench Verified (82.0%), OSWorld (61.4%) และ AIME 2025 ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการ reasoning, คณิตศาสตร์ และการใช้เครื่องมือจริงในโลกการทำงาน โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้ความคิดต่อเนื่องยาวนานกว่า 30 ชั่วโมง

    ในด้านการใช้งานจริง Claude Sonnet 4.5 ถูกนำไปใช้ในหลายองค์กร เช่น Canva, GitHub Copilot, Figma, และ CoCounsel โดยช่วยลดเวลาในการพัฒนา, วิเคราะห์ข้อมูลทางกฎหมาย, และสร้างต้นแบบดีไซน์ได้เร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

    นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Claude Code เช่น ระบบ checkpoint, VS Code extension, context editor, และ Claude Agent SDK ที่เปิดให้ผู้พัฒนาสร้าง agent ของตัวเองได้ โดยใช้โครงสร้างเดียวกับที่ Claude ใช้ในการจัดการหน่วยความจำและการทำงานแบบ sub-agent

    ด้านความปลอดภัย Claude Sonnet 4.5 ได้รับการฝึกด้วยแนวทาง AI Safety Level 3 พร้อมระบบ classifier ที่ตรวจจับคำสั่งอันตราย เช่น CBRN (เคมี ชีวภาพ นิวเคลียร์) และมีการลด false positive ลงถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Claude Sonnet 4.5 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมใช้งานผ่าน API และแอปของ Claude
    เป็นโมเดลที่ดีที่สุดในโลกด้านการเขียนโค้ด, การใช้คอมพิวเตอร์ และ reasoning
    ทำคะแนนสูงสุดใน SWE-bench Verified (82.0%) และ OSWorld (61.4%)
    สามารถทำงานต่อเนื่องได้มากกว่า 30 ชั่วโมงในงานที่ซับซ้อน
    ถูกนำไปใช้งานจริงในองค์กรใหญ่ เช่น Canva, GitHub, Figma, CoCounsel
    Claude Code เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น checkpoint, VS Code extension, context editor
    Claude Agent SDK เปิดให้ผู้พัฒนาสร้าง agent แบบเดียวกับ Claude ได้
    Claude Sonnet 4.5 ใช้ระบบ AI Safety Level 3 พร้อม classifier ป้องกันคำสั่งอันตราย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Claude Sonnet 4.5 ใช้แนวคิด Constitutional AI และ extended thinking เพื่อ reasoning ที่แม่นยำ
    Claude Agent SDK รองรับการจัดการ sub-agent และการทำงานแบบ parallel tool execution
    SWE-bench Verified เป็น benchmark ที่วัดความสามารถในการแก้ปัญหาซอฟต์แวร์จริง
    OSWorld เป็น benchmark ที่วัดการใช้คอมพิวเตอร์ในสถานการณ์จริง เช่น การกรอกฟอร์มหรือจัดการไฟล์
    Claude Sonnet 4.5 มี context window สูงถึง 200K tokens และรองรับการคิดแบบ interleaved

    https://www.anthropic.com/news/claude-sonnet-4-5
    🧠 “Claude Sonnet 4.5 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — โมเดล AI ที่เข้าใจโค้ดลึกที่สุด พร้อมความสามารถ reasoning ระดับมนุษย์” Anthropic ประกาศเปิดตัว Claude Sonnet 4.5 ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ได้รับการยกย่องว่า “ดีที่สุดในโลกด้านการเขียนโค้ดและการใช้คอมพิวเตอร์” โดยไม่ใช่แค่เร็วหรือแม่นยำ แต่ยังสามารถทำงานแบบ agentic ได้อย่างเต็มรูปแบบ เช่น การวางแผนงานหลายขั้นตอน, การจัดการเครื่องมือ, และการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนในระดับที่มนุษย์ทำได้ยาก Claude Sonnet 4.5 ทำคะแนนสูงสุดในหลาย benchmark เช่น SWE-bench Verified (82.0%), OSWorld (61.4%) และ AIME 2025 ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการ reasoning, คณิตศาสตร์ และการใช้เครื่องมือจริงในโลกการทำงาน โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้ความคิดต่อเนื่องยาวนานกว่า 30 ชั่วโมง ในด้านการใช้งานจริง Claude Sonnet 4.5 ถูกนำไปใช้ในหลายองค์กร เช่น Canva, GitHub Copilot, Figma, และ CoCounsel โดยช่วยลดเวลาในการพัฒนา, วิเคราะห์ข้อมูลทางกฎหมาย, และสร้างต้นแบบดีไซน์ได้เร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Claude Code เช่น ระบบ checkpoint, VS Code extension, context editor, และ Claude Agent SDK ที่เปิดให้ผู้พัฒนาสร้าง agent ของตัวเองได้ โดยใช้โครงสร้างเดียวกับที่ Claude ใช้ในการจัดการหน่วยความจำและการทำงานแบบ sub-agent ด้านความปลอดภัย Claude Sonnet 4.5 ได้รับการฝึกด้วยแนวทาง AI Safety Level 3 พร้อมระบบ classifier ที่ตรวจจับคำสั่งอันตราย เช่น CBRN (เคมี ชีวภาพ นิวเคลียร์) และมีการลด false positive ลงถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Claude Sonnet 4.5 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมใช้งานผ่าน API และแอปของ Claude ➡️ เป็นโมเดลที่ดีที่สุดในโลกด้านการเขียนโค้ด, การใช้คอมพิวเตอร์ และ reasoning ➡️ ทำคะแนนสูงสุดใน SWE-bench Verified (82.0%) และ OSWorld (61.4%) ➡️ สามารถทำงานต่อเนื่องได้มากกว่า 30 ชั่วโมงในงานที่ซับซ้อน ➡️ ถูกนำไปใช้งานจริงในองค์กรใหญ่ เช่น Canva, GitHub, Figma, CoCounsel ➡️ Claude Code เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น checkpoint, VS Code extension, context editor ➡️ Claude Agent SDK เปิดให้ผู้พัฒนาสร้าง agent แบบเดียวกับ Claude ได้ ➡️ Claude Sonnet 4.5 ใช้ระบบ AI Safety Level 3 พร้อม classifier ป้องกันคำสั่งอันตราย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Claude Sonnet 4.5 ใช้แนวคิด Constitutional AI และ extended thinking เพื่อ reasoning ที่แม่นยำ ➡️ Claude Agent SDK รองรับการจัดการ sub-agent และการทำงานแบบ parallel tool execution ➡️ SWE-bench Verified เป็น benchmark ที่วัดความสามารถในการแก้ปัญหาซอฟต์แวร์จริง ➡️ OSWorld เป็น benchmark ที่วัดการใช้คอมพิวเตอร์ในสถานการณ์จริง เช่น การกรอกฟอร์มหรือจัดการไฟล์ ➡️ Claude Sonnet 4.5 มี context window สูงถึง 200K tokens และรองรับการคิดแบบ interleaved https://www.anthropic.com/news/claude-sonnet-4-5
    WWW.ANTHROPIC.COM
    Introducing Claude Sonnet 4.5
    Claude Sonnet 4.5 is the best coding model in the world, strongest model for building complex agents, and best model at using computers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Samsung เตรียมเปิดตัว SSD ความจุ 256TB และ 512TB — ยุคใหม่ของการจัดเก็บข้อมูลระดับ AI กำลังมา”

    ในงาน Global Memory Innovation Forum 2025 ที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน Samsung ได้ประกาศแผนการเปิดตัว SSD รุ่นใหม่ที่มีความจุสูงสุดถึง 256TB ในปี 2026 และ 512TB ในปี 2027 โดยใช้เทคโนโลยี PCIe 6.0 และ CXL 3.1 ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในวงการจัดเก็บข้อมูล โดยเฉพาะสำหรับงานด้าน AI และศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่

    SSD รุ่น PM1763 Gen 6 จะเปิดตัวในต้นปี 2026 โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนถึง 2 เท่า แต่ยังคงใช้พลังงานเพียง 25 วัตต์เท่าเดิม ซึ่งเป็นการออกแบบที่เน้นประสิทธิภาพและการระบายความร้อนอย่างชาญฉลาด ด้วยการปรับโครงสร้างตัวเก็บประจุ (capacitor), คอนโทรลเลอร์ และ DRAM layout ใหม่ทั้งหมด

    นอกจากนี้ Samsung ยังเตรียมเปิดตัว Z-NAND รุ่นที่ 7 พร้อมเทคโนโลยี GIDS ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม “memory-class storage” ที่ให้ความเร็วใกล้เคียงกับ DRAM แต่มีความจุสูงกว่าและราคาถูกกว่า เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความเร็วสูง เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่

    SSD ความจุสูงเหล่านี้จะมาในฟอร์แมต EDSFF 1T ซึ่งออกแบบมาเพื่อศูนย์ข้อมูลโดยเฉพาะ และเป็นที่ต้องการอย่างมากในยุคที่ข้อมูลมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในงานฝึกโมเดล LLM และการประมวลผลภาพ/เสียงระดับสูง

    แม้จะยังไม่มีวันเปิดตัวที่แน่นอน แต่ Samsung ยืนยันว่า SSD ความจุ 256TB ใกล้พร้อมสำหรับการวางจำหน่าย และกำลังแก้ไขปัญหาเรื่องพลังงานและความร้อนในรุ่น 512TB เพื่อให้พร้อมใช้งานในปีถัดไป

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Samsung เตรียมเปิดตัว SSD รุ่น PM1763 Gen 6 ความจุ 256TB ในปี 2026
    รุ่น 512TB จะตามมาในปี 2027 โดยใช้เทคโนโลยี PCIe 6.0 และฟอร์แมต EDSFF 1T
    SSD รุ่นใหม่มีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนถึง 2 เท่า แต่ใช้พลังงานเท่าเดิมที่ 25 วัตต์
    มีการปรับโครงสร้าง capacitor, controller และ DRAM layout เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    เตรียมเปิดตัว Z-NAND รุ่นที่ 7 พร้อม GIDS สำหรับงานที่ต้องการความเร็วระดับ DRAM
    SSD เหล่านี้เหมาะสำหรับศูนย์ข้อมูลและงานฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่
    Samsung เคยโชว์ต้นแบบ 256TB SSD ตั้งแต่ปี 2023 และปรับปรุงต่อเนื่องจนใกล้พร้อมขาย
    ความจุระดับนี้ตอบโจทย์ hyperscaler และ AI lab ที่ต้องการจัดเก็บข้อมูลมหาศาล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SSD ความจุสูงช่วยลดจำนวนอุปกรณ์ในแร็ค ทำให้ประหยัดพื้นที่และพลังงาน
    EDSFF เป็นฟอร์แมตที่ออกแบบมาเพื่อศูนย์ข้อมูลโดยเฉพาะ รองรับความจุและความร้อนสูง
    PCIe 6.0 มีแบนด์วิดธ์สูงถึง 64 GT/s ต่อเลน เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูง
    Z-NAND มี latency ต่ำกว่า NAND ปกติถึง 15 เท่า และประหยัดพลังงานกว่า 80%
    คู่แข่งอย่าง Kioxia, Micron และ Western Digital ก็เตรียมเปิดตัว SSD ความจุ 256TB เช่นกัน

    https://www.techpowerup.com/341451/samsung-targets-256-tb-pcie-6-0-ssd-in-2026-512-tb-capacity-in-2027
    💽 “Samsung เตรียมเปิดตัว SSD ความจุ 256TB และ 512TB — ยุคใหม่ของการจัดเก็บข้อมูลระดับ AI กำลังมา” ในงาน Global Memory Innovation Forum 2025 ที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน Samsung ได้ประกาศแผนการเปิดตัว SSD รุ่นใหม่ที่มีความจุสูงสุดถึง 256TB ในปี 2026 และ 512TB ในปี 2027 โดยใช้เทคโนโลยี PCIe 6.0 และ CXL 3.1 ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในวงการจัดเก็บข้อมูล โดยเฉพาะสำหรับงานด้าน AI และศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ SSD รุ่น PM1763 Gen 6 จะเปิดตัวในต้นปี 2026 โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนถึง 2 เท่า แต่ยังคงใช้พลังงานเพียง 25 วัตต์เท่าเดิม ซึ่งเป็นการออกแบบที่เน้นประสิทธิภาพและการระบายความร้อนอย่างชาญฉลาด ด้วยการปรับโครงสร้างตัวเก็บประจุ (capacitor), คอนโทรลเลอร์ และ DRAM layout ใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้ Samsung ยังเตรียมเปิดตัว Z-NAND รุ่นที่ 7 พร้อมเทคโนโลยี GIDS ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม “memory-class storage” ที่ให้ความเร็วใกล้เคียงกับ DRAM แต่มีความจุสูงกว่าและราคาถูกกว่า เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความเร็วสูง เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ SSD ความจุสูงเหล่านี้จะมาในฟอร์แมต EDSFF 1T ซึ่งออกแบบมาเพื่อศูนย์ข้อมูลโดยเฉพาะ และเป็นที่ต้องการอย่างมากในยุคที่ข้อมูลมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในงานฝึกโมเดล LLM และการประมวลผลภาพ/เสียงระดับสูง แม้จะยังไม่มีวันเปิดตัวที่แน่นอน แต่ Samsung ยืนยันว่า SSD ความจุ 256TB ใกล้พร้อมสำหรับการวางจำหน่าย และกำลังแก้ไขปัญหาเรื่องพลังงานและความร้อนในรุ่น 512TB เพื่อให้พร้อมใช้งานในปีถัดไป ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Samsung เตรียมเปิดตัว SSD รุ่น PM1763 Gen 6 ความจุ 256TB ในปี 2026 ➡️ รุ่น 512TB จะตามมาในปี 2027 โดยใช้เทคโนโลยี PCIe 6.0 และฟอร์แมต EDSFF 1T ➡️ SSD รุ่นใหม่มีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนถึง 2 เท่า แต่ใช้พลังงานเท่าเดิมที่ 25 วัตต์ ➡️ มีการปรับโครงสร้าง capacitor, controller และ DRAM layout เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ เตรียมเปิดตัว Z-NAND รุ่นที่ 7 พร้อม GIDS สำหรับงานที่ต้องการความเร็วระดับ DRAM ➡️ SSD เหล่านี้เหมาะสำหรับศูนย์ข้อมูลและงานฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ ➡️ Samsung เคยโชว์ต้นแบบ 256TB SSD ตั้งแต่ปี 2023 และปรับปรุงต่อเนื่องจนใกล้พร้อมขาย ➡️ ความจุระดับนี้ตอบโจทย์ hyperscaler และ AI lab ที่ต้องการจัดเก็บข้อมูลมหาศาล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SSD ความจุสูงช่วยลดจำนวนอุปกรณ์ในแร็ค ทำให้ประหยัดพื้นที่และพลังงาน ➡️ EDSFF เป็นฟอร์แมตที่ออกแบบมาเพื่อศูนย์ข้อมูลโดยเฉพาะ รองรับความจุและความร้อนสูง ➡️ PCIe 6.0 มีแบนด์วิดธ์สูงถึง 64 GT/s ต่อเลน เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูง ➡️ Z-NAND มี latency ต่ำกว่า NAND ปกติถึง 15 เท่า และประหยัดพลังงานกว่า 80% ➡️ คู่แข่งอย่าง Kioxia, Micron และ Western Digital ก็เตรียมเปิดตัว SSD ความจุ 256TB เช่นกัน https://www.techpowerup.com/341451/samsung-targets-256-tb-pcie-6-0-ssd-in-2026-512-tb-capacity-in-2027
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Samsung Targets 256 TB PCIe 6.0 SSD in 2026, 512 TB Capacity in 2027
    At the 2025 Global Memory Innovation Forum in Shenzhen, China, Samsung confirmed it will ship its next-generation CXL 3.1 and PCIe 6.0 CMM-D storage products. Kevin Yoo, Samsung's Memory BU CTO, outlined a practical timeline for the company's upcoming storage solutions. The PM1763 Gen 6 SSD is expec...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทำไมศูนย์ข้อมูล AI ถึงยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิล? — เมื่อความต้องการพลังงานแซงหน้าความเขียว”

    ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวใหญ่ในวงการ AI: Nvidia ประกาศลงทุนกว่า 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานของ OpenAI ตามมาด้วยดีล Stargate Project มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์ระหว่าง OpenAI, SoftBank และ Oracle เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ถึง 5 แห่งในสหรัฐฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องการพลังงานมหาศาลตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน

    แม้เทคโนโลยีจะล้ำหน้า แต่พลังงานที่ใช้กลับยังคงเป็นฟอสซิลเป็นหลัก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่มากกว่าครึ่งของพลังงานศูนย์ข้อมูลมาจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีทรัมป์ที่เรียกพลังงานสะอาดว่า “หลอกลวง” และผลักดันนโยบายสนับสนุนฟอสซิลอย่างเต็มที่

    เหตุผลที่ศูนย์ข้อมูลยังไม่สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้เต็มรูปแบบนั้นมีหลายด้าน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และลมไม่สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่องตลอดวัน หากไฟดับแม้เพียงไม่กี่วินาที อาจทำให้บริษัทสูญเสียเงินมหาศาล การใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่เพื่อเก็บพลังงานก็ยังมีต้นทุนสูง และไม่สามารถรองรับการใช้งานข้ามฤดูกาลได้

    นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ต้องการพลังงานระดับกิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้แผงโซลาร์กว่า 12.5 ล้านแผง หรือกังหันลมจำนวนมหาศาล ซึ่งพื้นที่ใกล้เมืองมักไม่สามารถรองรับได้

    ทางเลือกหนึ่งคือพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งมีข้อดีคือปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์และจ่ายไฟได้ต่อเนื่อง แต่ก็ต้องใช้เวลา 7–8 ปีในการสร้างโรงงานใหม่ และยังมีอุปสรรคด้านต้นทุน ความปลอดภัย และการจัดการกากนิวเคลียร์

    ดังนั้นในระยะสั้น บริษัทเทคโนโลยีจึงยังต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมใช้งานภายใน 1–2 ปี และสามารถตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเติบโตของ AI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Nvidia ลงทุน 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนศูนย์ข้อมูลของ OpenAI
    OpenAI, SoftBank และ Oracle ร่วมกันสร้างศูนย์ข้อมูล Stargate Project มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์
    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังลงทุนรวมกว่า 325 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูลภายในปีนี้
    มากกว่าครึ่งของพลังงานศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ มาจากฟอสซิล เช่น ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ
    พลังงานหมุนเวียนไม่สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่อง และแบตเตอรี่ยังมีต้นทุนสูง
    การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องใช้เวลา 7–8 ปี และมีต้นทุนสูง
    ก๊าซธรรมชาติสามารถสร้างโรงไฟฟ้าได้ภายใน 1–2 ปี และมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อม
    ประธานาธิบดีทรัมป์สนับสนุนฟอสซิลและลดเครดิตภาษีสำหรับพลังงานสะอาด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Goldman Sachs คาดว่าความต้องการพลังงานจากศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้น 160% ภายในปี 2030
    หากใช้ฟอสซิลเป็นหลัก อาจเพิ่มการปล่อยคาร์บอนถึง 220 ล้านตันทั่วโลกภายในปี 2030
    พลังงานนิวเคลียร์มีศักยภาพสูง แต่ยังมีข้อจำกัดด้านแรงงานและการขออนุญาต
    การใช้พลังงานหมุนเวียนร่วมกับระบบจัดการข้อมูลและซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพสามารถลดการใช้พลังงานได้มาก
    การออกแบบโมเดล AI ที่เหมาะสมและใช้ข้อมูลคุณภาพสูงช่วยลดการใช้พลังงานในการฝึกและใช้งานโมเดล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/29/why-dont-data-centres-use-more-green-energy
    ⚡ “ทำไมศูนย์ข้อมูล AI ถึงยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิล? — เมื่อความต้องการพลังงานแซงหน้าความเขียว” ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวใหญ่ในวงการ AI: Nvidia ประกาศลงทุนกว่า 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานของ OpenAI ตามมาด้วยดีล Stargate Project มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์ระหว่าง OpenAI, SoftBank และ Oracle เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ถึง 5 แห่งในสหรัฐฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องการพลังงานมหาศาลตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน แม้เทคโนโลยีจะล้ำหน้า แต่พลังงานที่ใช้กลับยังคงเป็นฟอสซิลเป็นหลัก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่มากกว่าครึ่งของพลังงานศูนย์ข้อมูลมาจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีทรัมป์ที่เรียกพลังงานสะอาดว่า “หลอกลวง” และผลักดันนโยบายสนับสนุนฟอสซิลอย่างเต็มที่ เหตุผลที่ศูนย์ข้อมูลยังไม่สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้เต็มรูปแบบนั้นมีหลายด้าน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และลมไม่สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่องตลอดวัน หากไฟดับแม้เพียงไม่กี่วินาที อาจทำให้บริษัทสูญเสียเงินมหาศาล การใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่เพื่อเก็บพลังงานก็ยังมีต้นทุนสูง และไม่สามารถรองรับการใช้งานข้ามฤดูกาลได้ นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ต้องการพลังงานระดับกิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้แผงโซลาร์กว่า 12.5 ล้านแผง หรือกังหันลมจำนวนมหาศาล ซึ่งพื้นที่ใกล้เมืองมักไม่สามารถรองรับได้ ทางเลือกหนึ่งคือพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งมีข้อดีคือปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์และจ่ายไฟได้ต่อเนื่อง แต่ก็ต้องใช้เวลา 7–8 ปีในการสร้างโรงงานใหม่ และยังมีอุปสรรคด้านต้นทุน ความปลอดภัย และการจัดการกากนิวเคลียร์ ดังนั้นในระยะสั้น บริษัทเทคโนโลยีจึงยังต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมใช้งานภายใน 1–2 ปี และสามารถตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเติบโตของ AI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Nvidia ลงทุน 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนศูนย์ข้อมูลของ OpenAI ➡️ OpenAI, SoftBank และ Oracle ร่วมกันสร้างศูนย์ข้อมูล Stargate Project มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์ ➡️ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังลงทุนรวมกว่า 325 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูลภายในปีนี้ ➡️ มากกว่าครึ่งของพลังงานศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ มาจากฟอสซิล เช่น ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ➡️ พลังงานหมุนเวียนไม่สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่อง และแบตเตอรี่ยังมีต้นทุนสูง ➡️ การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องใช้เวลา 7–8 ปี และมีต้นทุนสูง ➡️ ก๊าซธรรมชาติสามารถสร้างโรงไฟฟ้าได้ภายใน 1–2 ปี และมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อม ➡️ ประธานาธิบดีทรัมป์สนับสนุนฟอสซิลและลดเครดิตภาษีสำหรับพลังงานสะอาด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Goldman Sachs คาดว่าความต้องการพลังงานจากศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้น 160% ภายในปี 2030 ➡️ หากใช้ฟอสซิลเป็นหลัก อาจเพิ่มการปล่อยคาร์บอนถึง 220 ล้านตันทั่วโลกภายในปี 2030 ➡️ พลังงานนิวเคลียร์มีศักยภาพสูง แต่ยังมีข้อจำกัดด้านแรงงานและการขออนุญาต ➡️ การใช้พลังงานหมุนเวียนร่วมกับระบบจัดการข้อมูลและซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพสามารถลดการใช้พลังงานได้มาก ➡️ การออกแบบโมเดล AI ที่เหมาะสมและใช้ข้อมูลคุณภาพสูงช่วยลดการใช้พลังงานในการฝึกและใช้งานโมเดล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/29/why-dont-data-centres-use-more-green-energy
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Why don't data centres use more green energy?
    Reliance on fossil fuels is almost unavoidable — at least for now.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Leonidas: อาวุธไมโครเวฟพลังสูงที่ล้มโดรน 49 ลำในครั้งเดียว — จุดเปลี่ยนของสงครามยุคฝูงบินอัตโนมัติ”

    ในยุคที่โดรนกลายเป็นอาวุธหลักของสงครามแบบอสมมาตร ระบบป้องกันที่สามารถรับมือกับฝูงบินจำนวนมากได้ในทันทีจึงเป็นสิ่งจำเป็น และนั่นคือสิ่งที่ “Leonidas” จากบริษัท Epirus ได้แสดงให้เห็นในการสาธิตยิงจริงที่ Camp Atterbury รัฐอินดีแอนา สหรัฐอเมริกา เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2025

    Leonidas เป็นอาวุธไมโครเวฟพลังสูง (High-Power Microwave: HPM) ที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการรบกวนระบบอิเล็กทรอนิกส์ของโดรน ทำให้หยุดทำงานทันที โดยในการสาธิตครั้งล่าสุด Leonidas สามารถล้มโดรนได้ถึง 61 ลำจาก 61 ลำที่ปล่อยขึ้นฟ้า และที่น่าทึ่งที่สุดคือสามารถล้มโดรน 49 ลำได้ใน “การยิงเพียงครั้งเดียว” ด้วยคลื่นไมโครเวฟที่ออกแบบมาเฉพาะ

    ระบบนี้สามารถเลือกเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ เช่น ยิงโดรนที่ถูกเลือกโดยผู้ชมโดยไม่กระทบโดรนที่อยู่ใกล้เคียง หรือแม้แต่ยิงให้โดรนตกลงใน “โซนปลอดภัย” ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยการควบคุมผ่านซอฟต์แวร์ที่กำหนด waveform ได้ตามสถานการณ์

    Leonidas รุ่นล่าสุดมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นแรกถึงสองเท่า ทั้งในด้านระยะยิงและความรุนแรง โดยใช้เทคโนโลยี Gallium Nitride (GaN) แทนหลอดแม่เหล็กแบบเดิม ทำให้ระบบมีขนาดเล็กลง ทนทานขึ้น และใช้พลังงานน้อยลง

    การสาธิตครั้งนี้มีผู้แทนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หน่วยงานรัฐบาล และพันธมิตรจาก 9 ประเทศเข้าร่วมชม และถือเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่ Epirus มองว่า Leonidas คือระบบเดียวที่พร้อมใช้งานจริงในการรับมือกับฝูงโดรนจำนวนมากในสนามรบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Leonidas เป็นอาวุธไมโครเวฟพลังสูงที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการหยุดโดรน
    ในการสาธิตล่าสุด Leonidas ล้มโดรนได้ 61 ลำจาก 61 ลำ และ 49 ลำในครั้งเดียว
    ระบบสามารถเลือกเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย
    ใช้เทคโนโลยี Gallium Nitride (GaN) แทนหลอดแม่เหล็กแบบเดิม
    รุ่นล่าสุดมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นแรกถึงสองเท่า
    สามารถยิงต่อเนื่องโดยไม่ร้อนเกิน และไม่กระทบต่อมนุษย์ในพื้นที่ยิง
    การสาธิตมีผู้แทนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และพันธมิตร 9 ประเทศเข้าร่วม
    Epirus มองว่า Leonidas คือระบบเดียวที่พร้อมใช้งานจริงในการรับมือกับฝูงโดรน
    ระบบสามารถกำหนด “โซนปลอดภัย” ให้โดรนตกลงอย่างมีการควบคุม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    อาวุธไมโครเวฟถูกใช้ในการรบตั้งแต่ยุคสงครามเย็น แต่เพิ่งมีความแม่นยำสูงในยุคปัจจุบัน
    Gallium Nitride เป็นวัสดุที่ใช้ในอุปกรณ์พลังงานสูง เช่น เรดาร์และอาวุธพลังงานตรง
    การโจมตีแบบฝูงโดรนเป็นภัยคุกคามใหม่ที่เกิดขึ้นในสงครามยูเครนและตะวันออกกลาง
    Leonidas สามารถใช้ในยุทธศาสตร์ “no-fly zone” โดยไม่ต้องยิงกระสุนจริง
    ระบบสามารถติดตั้งบนรถบรรทุกหรือฐานยิงเคลื่อนที่ได้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/high-power-microwave-system-downs-49-drones-in-one-shot-weaponized-electromagnetic-interference-erases-drone-swarms-en-masse
    ⚡ “Leonidas: อาวุธไมโครเวฟพลังสูงที่ล้มโดรน 49 ลำในครั้งเดียว — จุดเปลี่ยนของสงครามยุคฝูงบินอัตโนมัติ” ในยุคที่โดรนกลายเป็นอาวุธหลักของสงครามแบบอสมมาตร ระบบป้องกันที่สามารถรับมือกับฝูงบินจำนวนมากได้ในทันทีจึงเป็นสิ่งจำเป็น และนั่นคือสิ่งที่ “Leonidas” จากบริษัท Epirus ได้แสดงให้เห็นในการสาธิตยิงจริงที่ Camp Atterbury รัฐอินดีแอนา สหรัฐอเมริกา เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2025 Leonidas เป็นอาวุธไมโครเวฟพลังสูง (High-Power Microwave: HPM) ที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการรบกวนระบบอิเล็กทรอนิกส์ของโดรน ทำให้หยุดทำงานทันที โดยในการสาธิตครั้งล่าสุด Leonidas สามารถล้มโดรนได้ถึง 61 ลำจาก 61 ลำที่ปล่อยขึ้นฟ้า และที่น่าทึ่งที่สุดคือสามารถล้มโดรน 49 ลำได้ใน “การยิงเพียงครั้งเดียว” ด้วยคลื่นไมโครเวฟที่ออกแบบมาเฉพาะ ระบบนี้สามารถเลือกเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ เช่น ยิงโดรนที่ถูกเลือกโดยผู้ชมโดยไม่กระทบโดรนที่อยู่ใกล้เคียง หรือแม้แต่ยิงให้โดรนตกลงใน “โซนปลอดภัย” ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยการควบคุมผ่านซอฟต์แวร์ที่กำหนด waveform ได้ตามสถานการณ์ Leonidas รุ่นล่าสุดมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นแรกถึงสองเท่า ทั้งในด้านระยะยิงและความรุนแรง โดยใช้เทคโนโลยี Gallium Nitride (GaN) แทนหลอดแม่เหล็กแบบเดิม ทำให้ระบบมีขนาดเล็กลง ทนทานขึ้น และใช้พลังงานน้อยลง การสาธิตครั้งนี้มีผู้แทนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หน่วยงานรัฐบาล และพันธมิตรจาก 9 ประเทศเข้าร่วมชม และถือเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่ Epirus มองว่า Leonidas คือระบบเดียวที่พร้อมใช้งานจริงในการรับมือกับฝูงโดรนจำนวนมากในสนามรบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Leonidas เป็นอาวุธไมโครเวฟพลังสูงที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการหยุดโดรน ➡️ ในการสาธิตล่าสุด Leonidas ล้มโดรนได้ 61 ลำจาก 61 ลำ และ 49 ลำในครั้งเดียว ➡️ ระบบสามารถเลือกเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย ➡️ ใช้เทคโนโลยี Gallium Nitride (GaN) แทนหลอดแม่เหล็กแบบเดิม ➡️ รุ่นล่าสุดมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นแรกถึงสองเท่า ➡️ สามารถยิงต่อเนื่องโดยไม่ร้อนเกิน และไม่กระทบต่อมนุษย์ในพื้นที่ยิง ➡️ การสาธิตมีผู้แทนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และพันธมิตร 9 ประเทศเข้าร่วม ➡️ Epirus มองว่า Leonidas คือระบบเดียวที่พร้อมใช้งานจริงในการรับมือกับฝูงโดรน ➡️ ระบบสามารถกำหนด “โซนปลอดภัย” ให้โดรนตกลงอย่างมีการควบคุม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ อาวุธไมโครเวฟถูกใช้ในการรบตั้งแต่ยุคสงครามเย็น แต่เพิ่งมีความแม่นยำสูงในยุคปัจจุบัน ➡️ Gallium Nitride เป็นวัสดุที่ใช้ในอุปกรณ์พลังงานสูง เช่น เรดาร์และอาวุธพลังงานตรง ➡️ การโจมตีแบบฝูงโดรนเป็นภัยคุกคามใหม่ที่เกิดขึ้นในสงครามยูเครนและตะวันออกกลาง ➡️ Leonidas สามารถใช้ในยุทธศาสตร์ “no-fly zone” โดยไม่ต้องยิงกระสุนจริง ➡️ ระบบสามารถติดตั้งบนรถบรรทุกหรือฐานยิงเคลื่อนที่ได้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/high-power-microwave-system-downs-49-drones-in-one-shot-weaponized-electromagnetic-interference-erases-drone-swarms-en-masse
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    High-power microwave system downs 49 drones in one shot – weaponized electromagnetic interference erases drone swarms en masse
    The Epirus Leonidas weapon ‘neutralized 61-of-61 drones’ during a recent live fire trial in Indiana.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google Gemini vs ChatGPT: ศึก AI ระดับพรีเมียม ใครคุ้มค่ากว่ากันในปี 2025?”

    ในยุคที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของผู้คนทั่วโลก Google Gemini และ ChatGPT คือสองแพลตฟอร์มที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด ทั้งในด้านความสามารถและราคาค่าบริการ โดยแต่ละเจ้ามีจุดแข็งที่แตกต่างกัน — ChatGPT เด่นด้านตรรกะและการให้เหตุผล ส่วน Gemini เหนือกว่าด้านการจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนและการค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์

    หากมองในแง่ของราคาสำหรับผู้ใช้ทั่วไป Gemini Pro เริ่มต้นที่ $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus อยู่ที่ $20/เดือน ซึ่งแทบไม่ต่างกันเลย แต่เมื่อขยับไปยังระดับสูง Gemini Ultra อยู่ที่ $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน ทำให้ Gemini แพงกว่าถึง $49.99

    Gemini Ultra มาพร้อมฟีเจอร์พิเศษ เช่น Gemini 2.5 Deep Think สำหรับงาน reasoning ขั้นสูง และ Project Mariner ที่สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังรวม YouTube Premium และพื้นที่เก็บข้อมูล 30TB บน Google Drive, Photos และ Gmail

    ด้าน ChatGPT Pro แม้ราคาถูกกว่า แต่ก็ให้สิทธิ์เข้าถึง GPT-5 Pro ซึ่งเป็นโมเดลที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดได้มากกว่า GPT-5 รุ่นฟรี พร้อมใช้งานได้ไม่จำกัด และสามารถแชร์ GPTs กับทีมงานได้ ซึ่ง Plus ไม่สามารถทำได้

    สำหรับผู้ใช้เชิงธุรกิจ ChatGPT ยังมีแผน Business ($30/ผู้ใช้) และ Enterprise (ราคาตามตกลง) ที่ให้สิทธิ์ใช้งานโมเดลพิเศษ OpenAI o3 Pro และฟีเจอร์เชิงลึก เช่น deep research, voice agent และ Codex preview

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Gemini Pro ราคา $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus ราคา $20/เดือน
    Gemini Ultra ราคา $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน
    Gemini Ultra มีฟีเจอร์พิเศษ เช่น Deep Think, Project Mariner และ YouTube Premium
    Gemini Ultra ให้พื้นที่เก็บข้อมูล 30TB ส่วน Pro ให้ 2TB
    ChatGPT Pro เข้าถึง GPT-5 Pro ได้แบบไม่จำกัด
    ChatGPT Pro สามารถแชร์ GPTs กับ workspace ได้
    ChatGPT Business และ Enterprise มีฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น deep research และ voice agent
    Gemini ใช้ AI credits สำหรับบริการเสริม เช่น Flow และ Whisk
    Gemini มีข้อจำกัดในการใช้งานใน Google Workspace บางส่วน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gemini พัฒนาโดย Google DeepMind และมีการรีแบรนด์จาก Bard
    Gemini สามารถค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่าน Google Search ได้
    ChatGPT มีระบบปลั๊กอินและ GPTs ที่สามารถปรับแต่งได้ตามผู้ใช้
    GPT-5 Pro มีความแม่นยำสูงกว่า GPT-5 รุ่นฟรี และลดข้อผิดพลาดได้ดี
    Gemini Ultra เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่และฟีเจอร์หลายด้านในระบบ Google

    https://www.slashgear.com/1980135/google-gemini-vs-chatgpt-price-difference/
    🤖 “Google Gemini vs ChatGPT: ศึก AI ระดับพรีเมียม ใครคุ้มค่ากว่ากันในปี 2025?” ในยุคที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของผู้คนทั่วโลก Google Gemini และ ChatGPT คือสองแพลตฟอร์มที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด ทั้งในด้านความสามารถและราคาค่าบริการ โดยแต่ละเจ้ามีจุดแข็งที่แตกต่างกัน — ChatGPT เด่นด้านตรรกะและการให้เหตุผล ส่วน Gemini เหนือกว่าด้านการจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนและการค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์ หากมองในแง่ของราคาสำหรับผู้ใช้ทั่วไป Gemini Pro เริ่มต้นที่ $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus อยู่ที่ $20/เดือน ซึ่งแทบไม่ต่างกันเลย แต่เมื่อขยับไปยังระดับสูง Gemini Ultra อยู่ที่ $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน ทำให้ Gemini แพงกว่าถึง $49.99 Gemini Ultra มาพร้อมฟีเจอร์พิเศษ เช่น Gemini 2.5 Deep Think สำหรับงาน reasoning ขั้นสูง และ Project Mariner ที่สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังรวม YouTube Premium และพื้นที่เก็บข้อมูล 30TB บน Google Drive, Photos และ Gmail ด้าน ChatGPT Pro แม้ราคาถูกกว่า แต่ก็ให้สิทธิ์เข้าถึง GPT-5 Pro ซึ่งเป็นโมเดลที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดได้มากกว่า GPT-5 รุ่นฟรี พร้อมใช้งานได้ไม่จำกัด และสามารถแชร์ GPTs กับทีมงานได้ ซึ่ง Plus ไม่สามารถทำได้ สำหรับผู้ใช้เชิงธุรกิจ ChatGPT ยังมีแผน Business ($30/ผู้ใช้) และ Enterprise (ราคาตามตกลง) ที่ให้สิทธิ์ใช้งานโมเดลพิเศษ OpenAI o3 Pro และฟีเจอร์เชิงลึก เช่น deep research, voice agent และ Codex preview ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Gemini Pro ราคา $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus ราคา $20/เดือน ➡️ Gemini Ultra ราคา $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน ➡️ Gemini Ultra มีฟีเจอร์พิเศษ เช่น Deep Think, Project Mariner และ YouTube Premium ➡️ Gemini Ultra ให้พื้นที่เก็บข้อมูล 30TB ส่วน Pro ให้ 2TB ➡️ ChatGPT Pro เข้าถึง GPT-5 Pro ได้แบบไม่จำกัด ➡️ ChatGPT Pro สามารถแชร์ GPTs กับ workspace ได้ ➡️ ChatGPT Business และ Enterprise มีฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น deep research และ voice agent ➡️ Gemini ใช้ AI credits สำหรับบริการเสริม เช่น Flow และ Whisk ➡️ Gemini มีข้อจำกัดในการใช้งานใน Google Workspace บางส่วน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gemini พัฒนาโดย Google DeepMind และมีการรีแบรนด์จาก Bard ➡️ Gemini สามารถค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่าน Google Search ได้ ➡️ ChatGPT มีระบบปลั๊กอินและ GPTs ที่สามารถปรับแต่งได้ตามผู้ใช้ ➡️ GPT-5 Pro มีความแม่นยำสูงกว่า GPT-5 รุ่นฟรี และลดข้อผิดพลาดได้ดี ➡️ Gemini Ultra เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่และฟีเจอร์หลายด้านในระบบ Google https://www.slashgear.com/1980135/google-gemini-vs-chatgpt-price-difference/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Google Gemini And ChatGPT Price Differences - Here's How Much They Cost - SlashGear
    Gemini costs $19.99/month for the AI Pro plan, while ChatGPT Plus runs $20/month. There are more tiers and plans available for both depending on the usage.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Ubuntu Touch OTA-10 มาแล้ว! รองรับ Rabbit R1, เตรียมอัปเกรดสู่ 24.04 พร้อมฟีเจอร์ใหม่จาก Nix และ Bluetooth ที่ปลอดภัยขึ้น”

    หลังจากห่างหายไปเกือบ 3 เดือน UBports Foundation ได้ปล่อยอัปเดตใหญ่ Ubuntu Touch OTA-10 สำหรับอุปกรณ์ที่รองรับ โดยยังคงใช้พื้นฐานจาก Ubuntu 20.04 LTS (Focal Fossa) แต่มีการเตรียมความพร้อมสำหรับการอัปเกรดสู่ Ubuntu Touch 24.04-1.0 ที่จะใช้ Ubuntu 24.04 LTS เป็นฐานใหม่ในอนาคต

    หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญของ OTA-10 คือการเพิ่มตัวอัปเกรดใหม่ชื่อว่า “Ubuntu Touch Upgrader” ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถอัปเกรดระบบไปยังเวอร์ชัน 24.04 ได้อย่างราบรื่นเมื่อเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยไม่ต้องแฟลชเครื่องใหม่

    อีกหนึ่งไฮไลต์คือการรองรับอุปกรณ์ใหม่ “Rabbit R1” ซึ่งเป็นอุปกรณ์ผู้ช่วยส่วนตัวที่ขับเคลื่อนด้วย AI และได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการระบบปฏิบัติการแบบเปิดและปลอดภัย โดย Ubuntu Touch บน Rabbit R1 ได้รับการพัฒนาโดยชุมชน และพร้อมใช้งานในระดับ daily driver แล้ว

    นอกจากนี้ OTA-10 ยังเพิ่มการรองรับเบื้องต้นสำหรับระบบแพ็กเกจ Nix ซึ่งเป็นระบบจัดการซอฟต์แวร์แบบ declarative ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มนักพัฒนา DevOps และผู้ใช้ Linux ขั้นสูง

    ด้านมัลติมีเดียมีการปรับปรุงการคำนวณ SetBitrate() ในตัวเข้ารหัส H.264 และเพิ่มการรองรับฟอร์แมต UHD รวมถึงการอัปเดตประเภท AVC level เพื่อให้การเล่นวิดีโอมีคุณภาพและเสถียรมากขึ้น

    ในส่วนของ Bluetooth มีการปรับปรุงให้ไม่สามารถจับคู่กับอุปกรณ์ Nissan Connect ได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้จากการเชื่อมต่อที่ไม่พึงประสงค์

    อัปเดตนี้รองรับอุปกรณ์หลากหลายรุ่น เช่น Asus Zenfone Max Pro M1, Fairphone 3–4, Google Pixel 3a, OnePlus 5–Nord N100, Lenovo Tab M10 HD, Sony Xperia X, Volla Phone/Tablet, Xiaomi Poco และ Redmi หลายรุ่น โดยผู้ใช้ในช่อง Stable จะได้รับอัปเดตผ่านหน้าจอ System Settings แบบทยอยปล่อย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Ubuntu Touch OTA-10 ใช้พื้นฐานจาก Ubuntu 20.04 LTS
    เพิ่ม “Ubuntu Touch Upgrader” สำหรับอัปเกรดสู่ Ubuntu Touch 24.04-1.0
    รองรับอุปกรณ์ใหม่ Rabbit R1 ที่ขับเคลื่อนด้วย AI
    เพิ่มการรองรับเบื้องต้นสำหรับระบบแพ็กเกจ Nix
    ปรับปรุงการคำนวณ SetBitrate() ใน H.264 encoder
    เพิ่มการรองรับฟอร์แมต UHD และอัปเดต AVC level types
    ปรับปรุง Bluetooth ไม่ให้ autopair กับ Nissan Connect
    รองรับอุปกรณ์หลากหลายรุ่นจาก Asus, Fairphone, Google, OnePlus, Lenovo, Sony, Volla, Xiaomi
    ผู้ใช้ในช่อง Stable จะได้รับอัปเดตผ่าน System Settings แบบทยอยปล่อย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Ubuntu Touch 24.04-1.0 จะใช้ Ubuntu 24.04 LTS เป็นฐานใหม่ พร้อม Qt 5.15 และธีมใหม่
    Rabbit R1 เป็นอุปกรณ์ผู้ช่วย AI ที่เน้นความเป็นส่วนตัวและการควบคุมข้อมูล
    Nix เป็นระบบจัดการแพ็กเกจที่ใช้แนวคิด declarative และ reproducible builds
    การปรับปรุง Bluetooth ช่วยลดความเสี่ยงจากการเชื่อมต่อโดยไม่ได้รับอนุญาต
    UHD และ AVC level ใหม่ช่วยให้การเล่นวิดีโอมีคุณภาพสูงขึ้นในอุปกรณ์มือถือ

    https://9to5linux.com/ubuntu-touch-ota-10-released-with-ubuntu-touch-upgrader-rabbit-r1-support
    📱 “Ubuntu Touch OTA-10 มาแล้ว! รองรับ Rabbit R1, เตรียมอัปเกรดสู่ 24.04 พร้อมฟีเจอร์ใหม่จาก Nix และ Bluetooth ที่ปลอดภัยขึ้น” หลังจากห่างหายไปเกือบ 3 เดือน UBports Foundation ได้ปล่อยอัปเดตใหญ่ Ubuntu Touch OTA-10 สำหรับอุปกรณ์ที่รองรับ โดยยังคงใช้พื้นฐานจาก Ubuntu 20.04 LTS (Focal Fossa) แต่มีการเตรียมความพร้อมสำหรับการอัปเกรดสู่ Ubuntu Touch 24.04-1.0 ที่จะใช้ Ubuntu 24.04 LTS เป็นฐานใหม่ในอนาคต หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญของ OTA-10 คือการเพิ่มตัวอัปเกรดใหม่ชื่อว่า “Ubuntu Touch Upgrader” ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถอัปเกรดระบบไปยังเวอร์ชัน 24.04 ได้อย่างราบรื่นเมื่อเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยไม่ต้องแฟลชเครื่องใหม่ อีกหนึ่งไฮไลต์คือการรองรับอุปกรณ์ใหม่ “Rabbit R1” ซึ่งเป็นอุปกรณ์ผู้ช่วยส่วนตัวที่ขับเคลื่อนด้วย AI และได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการระบบปฏิบัติการแบบเปิดและปลอดภัย โดย Ubuntu Touch บน Rabbit R1 ได้รับการพัฒนาโดยชุมชน และพร้อมใช้งานในระดับ daily driver แล้ว นอกจากนี้ OTA-10 ยังเพิ่มการรองรับเบื้องต้นสำหรับระบบแพ็กเกจ Nix ซึ่งเป็นระบบจัดการซอฟต์แวร์แบบ declarative ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มนักพัฒนา DevOps และผู้ใช้ Linux ขั้นสูง ด้านมัลติมีเดียมีการปรับปรุงการคำนวณ SetBitrate() ในตัวเข้ารหัส H.264 และเพิ่มการรองรับฟอร์แมต UHD รวมถึงการอัปเดตประเภท AVC level เพื่อให้การเล่นวิดีโอมีคุณภาพและเสถียรมากขึ้น ในส่วนของ Bluetooth มีการปรับปรุงให้ไม่สามารถจับคู่กับอุปกรณ์ Nissan Connect ได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้จากการเชื่อมต่อที่ไม่พึงประสงค์ อัปเดตนี้รองรับอุปกรณ์หลากหลายรุ่น เช่น Asus Zenfone Max Pro M1, Fairphone 3–4, Google Pixel 3a, OnePlus 5–Nord N100, Lenovo Tab M10 HD, Sony Xperia X, Volla Phone/Tablet, Xiaomi Poco และ Redmi หลายรุ่น โดยผู้ใช้ในช่อง Stable จะได้รับอัปเดตผ่านหน้าจอ System Settings แบบทยอยปล่อย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Ubuntu Touch OTA-10 ใช้พื้นฐานจาก Ubuntu 20.04 LTS ➡️ เพิ่ม “Ubuntu Touch Upgrader” สำหรับอัปเกรดสู่ Ubuntu Touch 24.04-1.0 ➡️ รองรับอุปกรณ์ใหม่ Rabbit R1 ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ➡️ เพิ่มการรองรับเบื้องต้นสำหรับระบบแพ็กเกจ Nix ➡️ ปรับปรุงการคำนวณ SetBitrate() ใน H.264 encoder ➡️ เพิ่มการรองรับฟอร์แมต UHD และอัปเดต AVC level types ➡️ ปรับปรุง Bluetooth ไม่ให้ autopair กับ Nissan Connect ➡️ รองรับอุปกรณ์หลากหลายรุ่นจาก Asus, Fairphone, Google, OnePlus, Lenovo, Sony, Volla, Xiaomi ➡️ ผู้ใช้ในช่อง Stable จะได้รับอัปเดตผ่าน System Settings แบบทยอยปล่อย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Ubuntu Touch 24.04-1.0 จะใช้ Ubuntu 24.04 LTS เป็นฐานใหม่ พร้อม Qt 5.15 และธีมใหม่ ➡️ Rabbit R1 เป็นอุปกรณ์ผู้ช่วย AI ที่เน้นความเป็นส่วนตัวและการควบคุมข้อมูล ➡️ Nix เป็นระบบจัดการแพ็กเกจที่ใช้แนวคิด declarative และ reproducible builds ➡️ การปรับปรุง Bluetooth ช่วยลดความเสี่ยงจากการเชื่อมต่อโดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ UHD และ AVC level ใหม่ช่วยให้การเล่นวิดีโอมีคุณภาพสูงขึ้นในอุปกรณ์มือถือ https://9to5linux.com/ubuntu-touch-ota-10-released-with-ubuntu-touch-upgrader-rabbit-r1-support
    9TO5LINUX.COM
    Ubuntu Touch OTA-10 Released with Ubuntu Touch Upgrader, Rabbit R1 Support - 9to5Linux
    Ubuntu Touch OTA-10 is now rolling out to all supported devices with various improvements and fixes. Here’s what’s new!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AMD ปลดล็อก PyTorch บน Windows ด้วย ROCm 6.4.4 — เปิดทางให้ Radeon และ Ryzen AI เข้าสู่โลก AI อย่างเต็มตัว”

    หลังจากรอคอยกันมานาน ในที่สุด AMD ก็ประกาศเปิดตัว ROCm 6.4.4 ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่เพิ่มการรองรับ PyTorch บน Windows สำหรับผู้ใช้ GPU Radeon RX 7000 และ RX 9000 รวมถึง APU ตระกูล Ryzen AI 300 และ Ryzen AI Max “Strix Halo” โดยถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถรันโมเดล AI บนฮาร์ดแวร์ AMD ได้โดยตรงในระบบปฏิบัติการ Windows

    เดิมที ROCm (Radeon Open Compute) เป็นแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สที่เน้นการใช้งานในฝั่ง Linux และกลุ่มเซิร์ฟเวอร์ เช่น Instinct และ EPYC แต่การเปิดตัวครั้งนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนทิศทางของ AMD ที่ต้องการให้ ROCm เป็น “แพลตฟอร์มสำหรับนักพัฒนา” แบบข้ามระบบปฏิบัติการอย่างแท้จริง

    การรองรับ PyTorch บน Windows จะช่วยให้นักพัฒนา AI สามารถใช้ GPU และ APU ของ AMD ในการฝึกและรันโมเดลได้โดยไม่ต้องพึ่ง NVIDIA อีกต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ที่มี Radeon RX 7900, RX 9070 หรือ Ryzen AI Max 395 ซึ่งมีหน่วยประมวลผล AI และ stream processor จำนวนมากที่ยังไม่ได้ถูกใช้งานเต็มประสิทธิภาพ

    AMD ยังระบุว่า ROCm 6.4.4 เป็นเวอร์ชัน “พรีวิว” ที่จะเป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาในอนาคต โดยจะมีการเพิ่มประสิทธิภาพและฟีเจอร์เพิ่มเติมในเวอร์ชันถัดไป เช่น ONNX Runtime Execution Provider (ONNX-EP) ที่จะตามมาในช่วงปลายปีนี้

    นอกจากนี้ ROCm ยังขยายการรองรับในฝั่ง Linux เช่น OpenSuSE, Ubuntu และ Red Hat EPEL ซึ่งจะได้รับการอัปเดตในครึ่งหลังของปี 2025 เพื่อให้การใช้งานในองค์กรและเซิร์ฟเวอร์มีความยืดหยุ่นมากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AMD เปิดตัว ROCm 6.4.4 รองรับ PyTorch บน Windows สำหรับ GPU และ APU รุ่นใหม่
    รองรับ Radeon RX 7000 (RDNA 3), RX 9000 (RDNA 4), Ryzen AI 300 และ Ryzen AI Max “Strix Halo”
    ROCm 6.4.4 เป็นเวอร์ชันพรีวิวที่เปิดให้รันโมเดล AI บน Windows ได้โดยตรง
    AMD ตั้งเป้าให้ ROCm เป็นแพลตฟอร์มข้ามระบบปฏิบัติการสำหรับนักพัฒนา
    Linux distributions ที่รองรับ ได้แก่ OpenSuSE (พร้อมใช้งานแล้ว), Ubuntu และ Red Hat EPEL (จะตามมาในครึ่งปีหลัง)
    ROCm บน Windows จะรองรับทั้ง PyTorch และ ONNX Runtime Execution Provider (ONNX-EP)
    GPU อย่าง RX 9070 XT และ APU Ryzen AI Max 395 มีหน่วย AI accelerator และ stream processor จำนวนมาก
    ROCm 7 สำหรับฝั่งองค์กรได้เปิดตัวแล้วบน Instinct และ EPYC เพื่อเร่งงาน AI และ productivity

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    PyTorch เป็นหนึ่งในเฟรมเวิร์ก AI ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก โดยเฉพาะในงานวิจัยและการพัฒนาโมเดล LLM
    NVIDIA ครองตลาด AI มานานด้วย CUDA แต่ ROCm คือความพยายามของ AMD ที่จะสร้างทางเลือกใหม่
    Ryzen AI Max ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และ RDNA 3.5 พร้อมรองรับ AVX512 และ Matrix ISA สำหรับงาน AI
    RDNA 4 ใน RX 9000 มี tensor-like core ที่ AMD เรียกว่า “Matrix core” เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทด้านสิทธิบัตร
    การรองรับ ROCm บน Windows ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้ฮาร์ดแวร์ AMD ในงาน AI ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนระบบ

    https://wccftech.com/amd-rocm-6-4-4-pytorch-support-windows-radeon-9000-radeon-7000-gpus-ryzen-ai-apus/
    🧠 “AMD ปลดล็อก PyTorch บน Windows ด้วย ROCm 6.4.4 — เปิดทางให้ Radeon และ Ryzen AI เข้าสู่โลก AI อย่างเต็มตัว” หลังจากรอคอยกันมานาน ในที่สุด AMD ก็ประกาศเปิดตัว ROCm 6.4.4 ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่เพิ่มการรองรับ PyTorch บน Windows สำหรับผู้ใช้ GPU Radeon RX 7000 และ RX 9000 รวมถึง APU ตระกูล Ryzen AI 300 และ Ryzen AI Max “Strix Halo” โดยถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถรันโมเดล AI บนฮาร์ดแวร์ AMD ได้โดยตรงในระบบปฏิบัติการ Windows เดิมที ROCm (Radeon Open Compute) เป็นแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สที่เน้นการใช้งานในฝั่ง Linux และกลุ่มเซิร์ฟเวอร์ เช่น Instinct และ EPYC แต่การเปิดตัวครั้งนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนทิศทางของ AMD ที่ต้องการให้ ROCm เป็น “แพลตฟอร์มสำหรับนักพัฒนา” แบบข้ามระบบปฏิบัติการอย่างแท้จริง การรองรับ PyTorch บน Windows จะช่วยให้นักพัฒนา AI สามารถใช้ GPU และ APU ของ AMD ในการฝึกและรันโมเดลได้โดยไม่ต้องพึ่ง NVIDIA อีกต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ที่มี Radeon RX 7900, RX 9070 หรือ Ryzen AI Max 395 ซึ่งมีหน่วยประมวลผล AI และ stream processor จำนวนมากที่ยังไม่ได้ถูกใช้งานเต็มประสิทธิภาพ AMD ยังระบุว่า ROCm 6.4.4 เป็นเวอร์ชัน “พรีวิว” ที่จะเป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาในอนาคต โดยจะมีการเพิ่มประสิทธิภาพและฟีเจอร์เพิ่มเติมในเวอร์ชันถัดไป เช่น ONNX Runtime Execution Provider (ONNX-EP) ที่จะตามมาในช่วงปลายปีนี้ นอกจากนี้ ROCm ยังขยายการรองรับในฝั่ง Linux เช่น OpenSuSE, Ubuntu และ Red Hat EPEL ซึ่งจะได้รับการอัปเดตในครึ่งหลังของปี 2025 เพื่อให้การใช้งานในองค์กรและเซิร์ฟเวอร์มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AMD เปิดตัว ROCm 6.4.4 รองรับ PyTorch บน Windows สำหรับ GPU และ APU รุ่นใหม่ ➡️ รองรับ Radeon RX 7000 (RDNA 3), RX 9000 (RDNA 4), Ryzen AI 300 และ Ryzen AI Max “Strix Halo” ➡️ ROCm 6.4.4 เป็นเวอร์ชันพรีวิวที่เปิดให้รันโมเดล AI บน Windows ได้โดยตรง ➡️ AMD ตั้งเป้าให้ ROCm เป็นแพลตฟอร์มข้ามระบบปฏิบัติการสำหรับนักพัฒนา ➡️ Linux distributions ที่รองรับ ได้แก่ OpenSuSE (พร้อมใช้งานแล้ว), Ubuntu และ Red Hat EPEL (จะตามมาในครึ่งปีหลัง) ➡️ ROCm บน Windows จะรองรับทั้ง PyTorch และ ONNX Runtime Execution Provider (ONNX-EP) ➡️ GPU อย่าง RX 9070 XT และ APU Ryzen AI Max 395 มีหน่วย AI accelerator และ stream processor จำนวนมาก ➡️ ROCm 7 สำหรับฝั่งองค์กรได้เปิดตัวแล้วบน Instinct และ EPYC เพื่อเร่งงาน AI และ productivity ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ PyTorch เป็นหนึ่งในเฟรมเวิร์ก AI ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก โดยเฉพาะในงานวิจัยและการพัฒนาโมเดล LLM ➡️ NVIDIA ครองตลาด AI มานานด้วย CUDA แต่ ROCm คือความพยายามของ AMD ที่จะสร้างทางเลือกใหม่ ➡️ Ryzen AI Max ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และ RDNA 3.5 พร้อมรองรับ AVX512 และ Matrix ISA สำหรับงาน AI ➡️ RDNA 4 ใน RX 9000 มี tensor-like core ที่ AMD เรียกว่า “Matrix core” เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทด้านสิทธิบัตร ➡️ การรองรับ ROCm บน Windows ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้ฮาร์ดแวร์ AMD ในงาน AI ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนระบบ https://wccftech.com/amd-rocm-6-4-4-pytorch-support-windows-radeon-9000-radeon-7000-gpus-ryzen-ai-apus/
    WCCFTECH.COM
    AMD ROCm 6.4.4 Brings PyTorch Support On Windows For Radeon 9000, Radeon 7000 GPUs, & Ryzen AI APUs
    AMD has finally enabled PyTorch support on Windows for Radeon RX 9000, RX 7000 GPUs & Ryzen AI APUs with ROCm 6.4.4.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ครั้งแรกในประวัติศาสตร์: ยีนบำบัดชะลอโรคฮันติงตันได้ถึง 75% — ความหวังใหม่ของครอบครัวที่เคยหมดหวัง”

    โรคฮันติงตัน (Huntington’s disease) เป็นหนึ่งในโรคพันธุกรรมที่โหดร้ายที่สุดในโลก — มันทำลายเซลล์สมองอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการคล้ายอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน และกล้ามเนื้ออ่อนแรงรวมกัน โดยมักเริ่มแสดงอาการในวัย 30–40 ปี และนำไปสู่การเสียชีวิตภายใน 20 ปี

    แต่วันนี้ ความหวังได้ถือกำเนิดขึ้นจริง: นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย University College London (UCL) ร่วมกับบริษัท uniQure ประกาศผลการทดลองยีนบำบัด AMT-130 ที่สามารถชะลอการดำเนินของโรคได้ถึง 75% ภายในระยะเวลา 3 ปีหลังการรักษา ซึ่งหมายความว่าการเสื่อมสภาพที่เคยเกิดขึ้นภายใน 1 ปี จะใช้เวลาถึง 4 ปีหลังการรักษา — มอบคุณภาพชีวิตที่ยืนยาวขึ้นหลายสิบปีให้กับผู้ป่วย

    การรักษานี้ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย โดยฉีดยีนบำบัดเข้าไปในสมองผ่านการผ่าตัดที่ใช้เวลานานถึง 12–18 ชั่วโมง โดยใช้ไวรัสที่ปลอดภัยเป็นพาหะนำ DNA เข้าไปในเซลล์สมอง เพื่อให้เซลล์ผลิต microRNA ที่สามารถปิดกั้นคำสั่งสร้างโปรตีนฮันติงตินที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรค

    ผลลัพธ์ไม่เพียงแค่ชะลอโรค แต่ยังแสดงให้เห็นว่าการตายของเซลล์สมองลดลงจริง โดยวัดจากระดับ neurofilament ในน้ำไขสันหลังที่ลดลงจากเดิม ทั้งที่ควรเพิ่มขึ้นตามการดำเนินของโรค

    หนึ่งในผู้เข้าร่วมการทดลองคือ Jack May-Davis ซึ่งมีประวัติครอบครัวที่เต็มไปด้วยความสูญเสียจากโรคนี้ เขากล่าวว่า “วันนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตอาจยืนยาวขึ้น และอนาคตดูสดใสขึ้นจริง ๆ”

    แม้การรักษานี้จะยังไม่พร้อมใช้งานทั่วไป และมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของการรักษาโรคฮันติงตัน และอาจเปิดทางให้การป้องกันโรคก่อนแสดงอาการในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ยีนบำบัด AMT-130 ชะลอโรคฮันติงตันได้ถึง 75% ภายใน 3 ปีหลังการรักษา
    การรักษาใช้ไวรัสปลอดภัยนำ DNA เข้าเซลล์สมองเพื่อผลิต microRNA
    microRNA ปิดกั้นคำสั่งสร้างโปรตีนฮันติงตินที่ผิดปกติ
    การรักษาใช้เวลาผ่าตัด 12–18 ชั่วโมง โดยใช้ MRI นำทางแบบเรียลไทม์
    ระดับ neurofilament ในไขสันหลังลดลง แสดงว่าเซลล์สมองตายลดลง
    ผู้ป่วยบางรายกลับมาเดินได้และทำงานได้อีกครั้ง
    uniQure เตรียมยื่นขออนุมัติในสหรัฐฯ ปี 2026 และเริ่มเจรจากับยุโรปและอังกฤษ
    การรักษานี้อาจใช้ได้ตลอดชีวิต เพราะเซลล์สมองไม่ถูกแทนที่เหมือนเซลล์อื่น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Huntington’s disease เกิดจากการกลายพันธุ์ในยีน HTT ซึ่งทำให้โปรตีนฮันติงตินกลายเป็นพิษ
    ผู้ที่มีพ่อหรือแม่เป็นโรคนี้มีโอกาส 50% ที่จะได้รับยีนผิดปกติ
    ยีนบำบัด AMT-130 ได้รับ Breakthrough Therapy Designation จาก FDA
    การทดลองใช้กลุ่มควบคุมจากฐานข้อมูล Enroll-HD เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์
    การลดระดับโปรตีนฮันติงตินในสมองเป็นเป้าหมายหลักของการรักษา

    https://www.bbc.com/news/articles/cevz13xkxpro
    🧬 “ครั้งแรกในประวัติศาสตร์: ยีนบำบัดชะลอโรคฮันติงตันได้ถึง 75% — ความหวังใหม่ของครอบครัวที่เคยหมดหวัง” โรคฮันติงตัน (Huntington’s disease) เป็นหนึ่งในโรคพันธุกรรมที่โหดร้ายที่สุดในโลก — มันทำลายเซลล์สมองอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการคล้ายอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน และกล้ามเนื้ออ่อนแรงรวมกัน โดยมักเริ่มแสดงอาการในวัย 30–40 ปี และนำไปสู่การเสียชีวิตภายใน 20 ปี แต่วันนี้ ความหวังได้ถือกำเนิดขึ้นจริง: นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย University College London (UCL) ร่วมกับบริษัท uniQure ประกาศผลการทดลองยีนบำบัด AMT-130 ที่สามารถชะลอการดำเนินของโรคได้ถึง 75% ภายในระยะเวลา 3 ปีหลังการรักษา ซึ่งหมายความว่าการเสื่อมสภาพที่เคยเกิดขึ้นภายใน 1 ปี จะใช้เวลาถึง 4 ปีหลังการรักษา — มอบคุณภาพชีวิตที่ยืนยาวขึ้นหลายสิบปีให้กับผู้ป่วย การรักษานี้ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย โดยฉีดยีนบำบัดเข้าไปในสมองผ่านการผ่าตัดที่ใช้เวลานานถึง 12–18 ชั่วโมง โดยใช้ไวรัสที่ปลอดภัยเป็นพาหะนำ DNA เข้าไปในเซลล์สมอง เพื่อให้เซลล์ผลิต microRNA ที่สามารถปิดกั้นคำสั่งสร้างโปรตีนฮันติงตินที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรค ผลลัพธ์ไม่เพียงแค่ชะลอโรค แต่ยังแสดงให้เห็นว่าการตายของเซลล์สมองลดลงจริง โดยวัดจากระดับ neurofilament ในน้ำไขสันหลังที่ลดลงจากเดิม ทั้งที่ควรเพิ่มขึ้นตามการดำเนินของโรค หนึ่งในผู้เข้าร่วมการทดลองคือ Jack May-Davis ซึ่งมีประวัติครอบครัวที่เต็มไปด้วยความสูญเสียจากโรคนี้ เขากล่าวว่า “วันนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตอาจยืนยาวขึ้น และอนาคตดูสดใสขึ้นจริง ๆ” แม้การรักษานี้จะยังไม่พร้อมใช้งานทั่วไป และมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของการรักษาโรคฮันติงตัน และอาจเปิดทางให้การป้องกันโรคก่อนแสดงอาการในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ยีนบำบัด AMT-130 ชะลอโรคฮันติงตันได้ถึง 75% ภายใน 3 ปีหลังการรักษา ➡️ การรักษาใช้ไวรัสปลอดภัยนำ DNA เข้าเซลล์สมองเพื่อผลิต microRNA ➡️ microRNA ปิดกั้นคำสั่งสร้างโปรตีนฮันติงตินที่ผิดปกติ ➡️ การรักษาใช้เวลาผ่าตัด 12–18 ชั่วโมง โดยใช้ MRI นำทางแบบเรียลไทม์ ➡️ ระดับ neurofilament ในไขสันหลังลดลง แสดงว่าเซลล์สมองตายลดลง ➡️ ผู้ป่วยบางรายกลับมาเดินได้และทำงานได้อีกครั้ง ➡️ uniQure เตรียมยื่นขออนุมัติในสหรัฐฯ ปี 2026 และเริ่มเจรจากับยุโรปและอังกฤษ ➡️ การรักษานี้อาจใช้ได้ตลอดชีวิต เพราะเซลล์สมองไม่ถูกแทนที่เหมือนเซลล์อื่น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Huntington’s disease เกิดจากการกลายพันธุ์ในยีน HTT ซึ่งทำให้โปรตีนฮันติงตินกลายเป็นพิษ ➡️ ผู้ที่มีพ่อหรือแม่เป็นโรคนี้มีโอกาส 50% ที่จะได้รับยีนผิดปกติ ➡️ ยีนบำบัด AMT-130 ได้รับ Breakthrough Therapy Designation จาก FDA ➡️ การทดลองใช้กลุ่มควบคุมจากฐานข้อมูล Enroll-HD เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ ➡️ การลดระดับโปรตีนฮันติงตินในสมองเป็นเป้าหมายหลักของการรักษา https://www.bbc.com/news/articles/cevz13xkxpro
    WWW.BBC.COM
    Huntington's disease successfully treated for first time
    One of the most devastating diseases finally has a treatment that can slow its progression and transform lives, tearful doctors tell BBC.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Apple Silicon ทำให้คนเสียนิสัย — แต่ Framework ก็ยังมีที่ในใจ: บันทึกความรักและความหงุดหงิดจาก Simon Hartcher”

    Simon Hartcher นักพัฒนาและผู้ใช้งานโน้ตบุ๊กสายเทคโนโลยี ได้เขียนบทความสะท้อนความรู้สึกที่มีต่อสองโลกของแล็ปท็อป — ฝั่งหนึ่งคือ MacBook M1 Pro ที่ใช้ Apple Silicon ซึ่งเขายกให้เป็น “เครื่องที่ทำให้เขาเสียนิสัย” เพราะแบตเตอรี่อึดจนลืมชาร์จ อีกฝั่งคือ Framework 13 ที่ใช้ AMD Ryzen 7840HS ซึ่งแม้จะมีอุดมการณ์ที่น่าชื่นชม แต่กลับทำให้เขาหงุดหงิดกับแบตเตอรี่ที่หมดเร็วเกินไป

    Simon เล่าว่า MacBook ของเขาอยู่ในกระเป๋า 3 สัปดาห์โดยไม่เปิดเครื่องเลย แต่เมื่อหยิบออกมา กลับยังมีแบตเหลือถึง 90% ทั้งที่ไม่ได้ปิดเครื่อง แค่พับฝาไว้ ในทางกลับกัน Framework 13 ที่เขาใช้งานไม่บ่อย กลับหมดแบตทุกครั้งที่เปิดใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อปล่อยไว้ในโหมด suspend ซึ่งมีรายงานว่าอาจสูญเสียแบตถึง 3–4% ต่อชั่วโมง

    แม้เขาจะเปลี่ยนระบบปฏิบัติการจาก Fedora Workstation ไปเป็น Arch Linux และสุดท้ายกลับมาใช้ Fedora Silverblue ซึ่งเขาชื่นชอบมาก แต่ปัญหาแบตเตอรี่ก็ยังอยู่ เขายอมรับว่า Framework ไม่ใช่เครื่องเดียวที่มีปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาของโน้ตบุ๊ก x86 ทั่วไปที่ยังไม่สามารถเทียบชั้น Apple Silicon ได้ในเรื่องการจัดการพลังงาน

    Simon ยังตั้งคำถามว่า หาก Framework เปิดตัวเมนบอร์ด ARM64 เขาควรเปลี่ยนเลยหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่า Apple Silicon ที่ใช้ ARM64 คือหัวใจของความอึดของแบตเตอรี่ แต่เขาก็รู้ดีว่าการเปลี่ยนไปใช้ ARM ไม่ใช่เรื่องง่าย และยังมีข้อจำกัดด้านซอฟต์แวร์และความเข้ากันได้

    สุดท้าย เขายืนยันว่าเขายังรัก Framework และจะยังใช้งานต่อไป แม้จะต้องเสียบปลั๊กไว้ตลอดเวลา เพื่อให้พร้อมใช้งานเมื่อเขาต้องการ

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    MacBook M1 Pro ของ Simon อยู่ในโหมดพับฝา 3 สัปดาห์ ยังมีแบตเหลือ 90%
    Framework 13 ที่ใช้ AMD Ryzen 7840HS หมดแบตทุกครั้งที่เปิดใช้งานหลังพักไว้
    โหมด suspend บน Framework อาจสูญเสียแบต 3–4% ต่อชั่วโมง
    Simon ใช้ Fedora Silverblue ซึ่งเขาชื่นชอบมากกว่าระบบอื่น
    เขายังรัก Framework แม้จะมีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Apple Silicon ใช้สถาปัตยกรรม ARM64 ซึ่งมีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูง
    Windows บน ARM เริ่มมีความเสถียรมากขึ้นในปี 2025 โดยรองรับแอปหลักแบบ native
    AMD Ryzen AI 300 series สัญญาว่าจะมีแบตเตอรี่ “หลายวัน” แต่ยังไม่เห็นผลชัดเจนบน Linux
    การจัดการพลังงานบน Linux ยังเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะกับฮาร์ดแวร์ใหม่
    Framework มีแผนเปิดตัวเมนบอร์ด ARM ในอนาคต แต่ยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัด

    https://simonhartcher.com/posts/2025-09-22-why-im-spoiled-by-apple-silicon-but-still-love-framework/
    🔋 “Apple Silicon ทำให้คนเสียนิสัย — แต่ Framework ก็ยังมีที่ในใจ: บันทึกความรักและความหงุดหงิดจาก Simon Hartcher” Simon Hartcher นักพัฒนาและผู้ใช้งานโน้ตบุ๊กสายเทคโนโลยี ได้เขียนบทความสะท้อนความรู้สึกที่มีต่อสองโลกของแล็ปท็อป — ฝั่งหนึ่งคือ MacBook M1 Pro ที่ใช้ Apple Silicon ซึ่งเขายกให้เป็น “เครื่องที่ทำให้เขาเสียนิสัย” เพราะแบตเตอรี่อึดจนลืมชาร์จ อีกฝั่งคือ Framework 13 ที่ใช้ AMD Ryzen 7840HS ซึ่งแม้จะมีอุดมการณ์ที่น่าชื่นชม แต่กลับทำให้เขาหงุดหงิดกับแบตเตอรี่ที่หมดเร็วเกินไป Simon เล่าว่า MacBook ของเขาอยู่ในกระเป๋า 3 สัปดาห์โดยไม่เปิดเครื่องเลย แต่เมื่อหยิบออกมา กลับยังมีแบตเหลือถึง 90% ทั้งที่ไม่ได้ปิดเครื่อง แค่พับฝาไว้ ในทางกลับกัน Framework 13 ที่เขาใช้งานไม่บ่อย กลับหมดแบตทุกครั้งที่เปิดใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อปล่อยไว้ในโหมด suspend ซึ่งมีรายงานว่าอาจสูญเสียแบตถึง 3–4% ต่อชั่วโมง แม้เขาจะเปลี่ยนระบบปฏิบัติการจาก Fedora Workstation ไปเป็น Arch Linux และสุดท้ายกลับมาใช้ Fedora Silverblue ซึ่งเขาชื่นชอบมาก แต่ปัญหาแบตเตอรี่ก็ยังอยู่ เขายอมรับว่า Framework ไม่ใช่เครื่องเดียวที่มีปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาของโน้ตบุ๊ก x86 ทั่วไปที่ยังไม่สามารถเทียบชั้น Apple Silicon ได้ในเรื่องการจัดการพลังงาน Simon ยังตั้งคำถามว่า หาก Framework เปิดตัวเมนบอร์ด ARM64 เขาควรเปลี่ยนเลยหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่า Apple Silicon ที่ใช้ ARM64 คือหัวใจของความอึดของแบตเตอรี่ แต่เขาก็รู้ดีว่าการเปลี่ยนไปใช้ ARM ไม่ใช่เรื่องง่าย และยังมีข้อจำกัดด้านซอฟต์แวร์และความเข้ากันได้ สุดท้าย เขายืนยันว่าเขายังรัก Framework และจะยังใช้งานต่อไป แม้จะต้องเสียบปลั๊กไว้ตลอดเวลา เพื่อให้พร้อมใช้งานเมื่อเขาต้องการ ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ MacBook M1 Pro ของ Simon อยู่ในโหมดพับฝา 3 สัปดาห์ ยังมีแบตเหลือ 90% ➡️ Framework 13 ที่ใช้ AMD Ryzen 7840HS หมดแบตทุกครั้งที่เปิดใช้งานหลังพักไว้ ➡️ โหมด suspend บน Framework อาจสูญเสียแบต 3–4% ต่อชั่วโมง ➡️ Simon ใช้ Fedora Silverblue ซึ่งเขาชื่นชอบมากกว่าระบบอื่น ➡️ เขายังรัก Framework แม้จะมีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Apple Silicon ใช้สถาปัตยกรรม ARM64 ซึ่งมีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูง ➡️ Windows บน ARM เริ่มมีความเสถียรมากขึ้นในปี 2025 โดยรองรับแอปหลักแบบ native ➡️ AMD Ryzen AI 300 series สัญญาว่าจะมีแบตเตอรี่ “หลายวัน” แต่ยังไม่เห็นผลชัดเจนบน Linux ➡️ การจัดการพลังงานบน Linux ยังเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะกับฮาร์ดแวร์ใหม่ ➡️ Framework มีแผนเปิดตัวเมนบอร์ด ARM ในอนาคต แต่ยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัด https://simonhartcher.com/posts/2025-09-22-why-im-spoiled-by-apple-silicon-but-still-love-framework/
    SIMONHARTCHER.COM
    Why I'm Spoiled By Apple Silicon (But Still Love Framework) | Simon Hartcher
    A personal comparison of battery life between my MacBook M1 Pro and Framework 13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • “PlanetScale เปิดตัวบริการ Postgres อย่างเป็นทางการ — พร้อมระบบ sharding ใหม่ ‘Neki’ ที่เขย่าตลาดฐานข้อมูลระดับองค์กร”

    หลังจากอยู่ในช่วง private preview มานาน ในที่สุด PlanetScale ก็เปิดตัวบริการ PlanetScale for Postgres อย่างเป็นทางการ (GA) เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2025 โดยเปิดให้ผู้ใช้สามารถสร้างฐานข้อมูล Postgres ได้ทันทีผ่านแพลตฟอร์ม PlanetScale ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็ว ความเสถียร และประสบการณ์นักพัฒนาที่เหนือระดับ

    PlanetScale ซึ่งเดิมเน้นการให้บริการฐานข้อมูล MySQL ผ่านระบบ sharding ที่ชื่อว่า Vitess ได้ขยายความสามารถมาสู่โลกของ Postgres โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ชื่อว่า “Neki” ซึ่งไม่ใช่การ fork Vitess แต่เป็นการออกแบบใหม่จากศูนย์ เพื่อให้รองรับการทำงานแบบกระจายข้อมูล (sharding) บน Postgres ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    Neki ถูกพัฒนาร่วมกับพันธมิตรด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และมีแผนจะเปิดเป็นโอเพ่นซอร์สในอนาคต เพื่อให้สามารถนำไปใช้กับ workload ที่มีความซับซ้อนสูง เช่น real-time analytics, multi-tenant SaaS, หรือระบบฐานข้อมูลที่ต้องการความพร้อมใช้งานระดับสูง

    PlanetScale for Postgres ยังมาพร้อมระบบ Metal ที่ให้ IOPS ไม่จำกัด และระบบ migration guide สำหรับผู้ที่ต้องการย้ายจากผู้ให้บริการ Postgres รายอื่น โดยมีทีมขายพร้อมช่วยเหลือการย้ายระบบขนาดใหญ่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    PlanetScale เปิดตัวบริการฐานข้อมูล Postgres อย่างเป็นทางการ (GA)
    ผู้ใช้สามารถสร้างฐานข้อมูล Postgres ได้ทันทีผ่านระบบ PlanetScale
    ใช้เทคโนโลยีใหม่ชื่อ “Neki” สำหรับการทำ sharding บน Postgres
    Neki ไม่ใช่ fork ของ Vitess แต่เป็นการออกแบบใหม่จากศูนย์
    มีแผนเปิด Neki เป็นโอเพ่นซอร์สในอนาคต
    รองรับการใช้งานกับ workload ขนาดใหญ่และซับซ้อน
    ระบบ Metal ให้ IOPS ไม่จำกัดสำหรับฐานข้อมูล Postgres
    มี migration guide และทีมขายช่วยเหลือการย้ายระบบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Vitess เป็นระบบ sharding ที่พัฒนาโดย YouTube และใช้กับ MySQL มานาน
    PlanetScale เป็นผู้ให้บริการฐานข้อมูลที่เน้น developer experience และ scalability
    ตลาดฐานข้อมูล Postgres เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
    Supabase และ Neon เป็นคู่แข่งที่เน้น Postgres เช่นกัน แต่ยังไม่มีระบบ sharding ที่เทียบเท่า
    การเปิดตัว Neki อาจเปลี่ยนแนวทางการออกแบบระบบฐานข้อมูลในองค์กรขนาดใหญ่

    https://planetscale.com/blog/planetscale-for-postgres-is-generally-available
    🛠️ “PlanetScale เปิดตัวบริการ Postgres อย่างเป็นทางการ — พร้อมระบบ sharding ใหม่ ‘Neki’ ที่เขย่าตลาดฐานข้อมูลระดับองค์กร” หลังจากอยู่ในช่วง private preview มานาน ในที่สุด PlanetScale ก็เปิดตัวบริการ PlanetScale for Postgres อย่างเป็นทางการ (GA) เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2025 โดยเปิดให้ผู้ใช้สามารถสร้างฐานข้อมูล Postgres ได้ทันทีผ่านแพลตฟอร์ม PlanetScale ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็ว ความเสถียร และประสบการณ์นักพัฒนาที่เหนือระดับ PlanetScale ซึ่งเดิมเน้นการให้บริการฐานข้อมูล MySQL ผ่านระบบ sharding ที่ชื่อว่า Vitess ได้ขยายความสามารถมาสู่โลกของ Postgres โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ชื่อว่า “Neki” ซึ่งไม่ใช่การ fork Vitess แต่เป็นการออกแบบใหม่จากศูนย์ เพื่อให้รองรับการทำงานแบบกระจายข้อมูล (sharding) บน Postgres ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Neki ถูกพัฒนาร่วมกับพันธมิตรด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และมีแผนจะเปิดเป็นโอเพ่นซอร์สในอนาคต เพื่อให้สามารถนำไปใช้กับ workload ที่มีความซับซ้อนสูง เช่น real-time analytics, multi-tenant SaaS, หรือระบบฐานข้อมูลที่ต้องการความพร้อมใช้งานระดับสูง PlanetScale for Postgres ยังมาพร้อมระบบ Metal ที่ให้ IOPS ไม่จำกัด และระบบ migration guide สำหรับผู้ที่ต้องการย้ายจากผู้ให้บริการ Postgres รายอื่น โดยมีทีมขายพร้อมช่วยเหลือการย้ายระบบขนาดใหญ่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ PlanetScale เปิดตัวบริการฐานข้อมูล Postgres อย่างเป็นทางการ (GA) ➡️ ผู้ใช้สามารถสร้างฐานข้อมูล Postgres ได้ทันทีผ่านระบบ PlanetScale ➡️ ใช้เทคโนโลยีใหม่ชื่อ “Neki” สำหรับการทำ sharding บน Postgres ➡️ Neki ไม่ใช่ fork ของ Vitess แต่เป็นการออกแบบใหม่จากศูนย์ ➡️ มีแผนเปิด Neki เป็นโอเพ่นซอร์สในอนาคต ➡️ รองรับการใช้งานกับ workload ขนาดใหญ่และซับซ้อน ➡️ ระบบ Metal ให้ IOPS ไม่จำกัดสำหรับฐานข้อมูล Postgres ➡️ มี migration guide และทีมขายช่วยเหลือการย้ายระบบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Vitess เป็นระบบ sharding ที่พัฒนาโดย YouTube และใช้กับ MySQL มานาน ➡️ PlanetScale เป็นผู้ให้บริการฐานข้อมูลที่เน้น developer experience และ scalability ➡️ ตลาดฐานข้อมูล Postgres เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ➡️ Supabase และ Neon เป็นคู่แข่งที่เน้น Postgres เช่นกัน แต่ยังไม่มีระบบ sharding ที่เทียบเท่า ➡️ การเปิดตัว Neki อาจเปลี่ยนแนวทางการออกแบบระบบฐานข้อมูลในองค์กรขนาดใหญ่ https://planetscale.com/blog/planetscale-for-postgres-is-generally-available
    PLANETSCALE.COM
    PlanetScale for Postgres is now GA — PlanetScale
    PlanetScale for Postgres is now generally available.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Webflow AI เปิดตัวแพลตฟอร์มสร้างเว็บครบวงจร — จากคำสั่งสู่แอปใช้งานจริง พร้อมผู้ช่วยสนทนาและ SEO ยุคใหม่”

    ในงาน Webflow Conf 2025 ที่เพิ่งจัดขึ้น Webflow ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ใหม่ที่เปลี่ยนวิธีการสร้างเว็บไซต์และแอปพลิเคชันให้กลายเป็นกระบวนการที่ “พูดแล้วได้ของจริง” โดยไม่ต้องสลับเครื่องมือหรือเขียนโค้ดเองทุกบรรทัดอีกต่อไป

    หัวใจของแพลตฟอร์มนี้คือ AI Assistant ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสนทนาแบบเรียลไทม์ ช่วยจัดการโปรเจกต์ สร้างคอนเทนต์ และโครงสร้างแอปได้จากคำสั่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง React components บน canvas, การจัดการ CMS, หรือการออกแบบ UI ที่สอดคล้องกับระบบดีไซน์ของแบรนด์

    Webflow AI ยังมาพร้อมฟีเจอร์ AI Code Gen ที่สามารถสร้างแอประดับ production ได้ทันทีจาก prompt เดียว โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอน mockup หรือ prototype แบบเดิม และยังสามารถนำไปใช้งานจริงได้ทันทีในระบบ Webflow ที่มี CMS และ hosting พร้อมใช้งาน

    อีกหนึ่งจุดเด่นคือ Answer Engine Optimization (AEO) ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ของ SEO ที่ไม่เพียงแค่ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับใน Google แต่ยังตอบโจทย์ทั้งมนุษย์และอัลกอริทึม เช่น AI search หรือ voice assistant โดยใช้ schema และโครงสร้างข้อมูลที่เหมาะสม

    นอกจากนี้ Webflow ยังเปิดตัว CMS รุ่นใหม่ที่รองรับข้อมูลขนาดใหญ่, การออกแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น, และ API ที่ทรงพลัง พร้อมระบบวิเคราะห์ใหม่ที่ติดตาม traffic จาก AI และการแสดงผลแบบเรียลไทม์ รวมถึงการลงทุนในชุมชน เช่น Webflow University ที่มีคอร์ส AI, โปรแกรม beta, และรางวัลสำหรับผู้สร้างเทมเพลต

    ฟีเจอร์ใหม่ของ Webflow AI
    เปิดตัว AI Assistant ที่เป็นผู้ช่วยสนทนาในการจัดการโปรเจกต์และสร้างคอนเทนต์
    รองรับการสร้าง React components บน canvas โดยตรง
    ใช้ AI Code Gen สร้างแอประดับ production จาก prompt เดียว
    แอปที่สร้างจะสอดคล้องกับระบบดีไซน์ของแบรนด์และ CMS ของ Webflow
    รองรับการสร้าง UI ที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ และปรับแต่งได้ตามต้องการ

    SEO และการค้นหาแบบใหม่
    เปิดตัว Answer Engine Optimization (AEO) เพื่อเพิ่มการค้นพบทั้งจากมนุษย์และ AI
    ใช้ schema และโครงสร้างข้อมูลที่เหมาะสมกับระบบค้นหาแบบใหม่
    ปรับปรุงการจัดอันดับใน search engine และ voice assistant

    ระบบ CMS และการวิเคราะห์
    CMS รุ่นใหม่รองรับข้อมูลขนาดใหญ่และการออกแบบที่ยืดหยุ่น
    API ใหม่ช่วยให้เชื่อมต่อกับระบบภายนอกได้ง่ายขึ้น
    ระบบ Webflow Analyze ติดตาม traffic จาก AI และรายงานเป้าหมายแบบละเอียด

    การสนับสนุนชุมชน
    Webflow University มีคอร์ส AI และเส้นทางการเรียนรู้ใหม่
    โปรแกรม beta ให้เข้าถึงฟีเจอร์ก่อนใคร
    รางวัล $50,000 สำหรับผู้สร้างเทมเพลต และค่าคอมมิชชั่น 95%
    เปิดตัว Global Leaders Hub สำหรับผู้แทน Webflow ทั่วโลก

    https://www.techradar.com/pro/webflow-jumps-into-the-crowded-vibe-coding-market-with-its-own-all-singing-all-dancing-ai-code-generation-tool
    🧠 “Webflow AI เปิดตัวแพลตฟอร์มสร้างเว็บครบวงจร — จากคำสั่งสู่แอปใช้งานจริง พร้อมผู้ช่วยสนทนาและ SEO ยุคใหม่” ในงาน Webflow Conf 2025 ที่เพิ่งจัดขึ้น Webflow ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ใหม่ที่เปลี่ยนวิธีการสร้างเว็บไซต์และแอปพลิเคชันให้กลายเป็นกระบวนการที่ “พูดแล้วได้ของจริง” โดยไม่ต้องสลับเครื่องมือหรือเขียนโค้ดเองทุกบรรทัดอีกต่อไป หัวใจของแพลตฟอร์มนี้คือ AI Assistant ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสนทนาแบบเรียลไทม์ ช่วยจัดการโปรเจกต์ สร้างคอนเทนต์ และโครงสร้างแอปได้จากคำสั่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง React components บน canvas, การจัดการ CMS, หรือการออกแบบ UI ที่สอดคล้องกับระบบดีไซน์ของแบรนด์ Webflow AI ยังมาพร้อมฟีเจอร์ AI Code Gen ที่สามารถสร้างแอประดับ production ได้ทันทีจาก prompt เดียว โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอน mockup หรือ prototype แบบเดิม และยังสามารถนำไปใช้งานจริงได้ทันทีในระบบ Webflow ที่มี CMS และ hosting พร้อมใช้งาน อีกหนึ่งจุดเด่นคือ Answer Engine Optimization (AEO) ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ของ SEO ที่ไม่เพียงแค่ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับใน Google แต่ยังตอบโจทย์ทั้งมนุษย์และอัลกอริทึม เช่น AI search หรือ voice assistant โดยใช้ schema และโครงสร้างข้อมูลที่เหมาะสม นอกจากนี้ Webflow ยังเปิดตัว CMS รุ่นใหม่ที่รองรับข้อมูลขนาดใหญ่, การออกแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น, และ API ที่ทรงพลัง พร้อมระบบวิเคราะห์ใหม่ที่ติดตาม traffic จาก AI และการแสดงผลแบบเรียลไทม์ รวมถึงการลงทุนในชุมชน เช่น Webflow University ที่มีคอร์ส AI, โปรแกรม beta, และรางวัลสำหรับผู้สร้างเทมเพลต ✅ ฟีเจอร์ใหม่ของ Webflow AI ➡️ เปิดตัว AI Assistant ที่เป็นผู้ช่วยสนทนาในการจัดการโปรเจกต์และสร้างคอนเทนต์ ➡️ รองรับการสร้าง React components บน canvas โดยตรง ➡️ ใช้ AI Code Gen สร้างแอประดับ production จาก prompt เดียว ➡️ แอปที่สร้างจะสอดคล้องกับระบบดีไซน์ของแบรนด์และ CMS ของ Webflow ➡️ รองรับการสร้าง UI ที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ และปรับแต่งได้ตามต้องการ ✅ SEO และการค้นหาแบบใหม่ ➡️ เปิดตัว Answer Engine Optimization (AEO) เพื่อเพิ่มการค้นพบทั้งจากมนุษย์และ AI ➡️ ใช้ schema และโครงสร้างข้อมูลที่เหมาะสมกับระบบค้นหาแบบใหม่ ➡️ ปรับปรุงการจัดอันดับใน search engine และ voice assistant ✅ ระบบ CMS และการวิเคราะห์ ➡️ CMS รุ่นใหม่รองรับข้อมูลขนาดใหญ่และการออกแบบที่ยืดหยุ่น ➡️ API ใหม่ช่วยให้เชื่อมต่อกับระบบภายนอกได้ง่ายขึ้น ➡️ ระบบ Webflow Analyze ติดตาม traffic จาก AI และรายงานเป้าหมายแบบละเอียด ✅ การสนับสนุนชุมชน ➡️ Webflow University มีคอร์ส AI และเส้นทางการเรียนรู้ใหม่ ➡️ โปรแกรม beta ให้เข้าถึงฟีเจอร์ก่อนใคร ➡️ รางวัล $50,000 สำหรับผู้สร้างเทมเพลต และค่าคอมมิชชั่น 95% ➡️ เปิดตัว Global Leaders Hub สำหรับผู้แทน Webflow ทั่วโลก https://www.techradar.com/pro/webflow-jumps-into-the-crowded-vibe-coding-market-with-its-own-all-singing-all-dancing-ai-code-generation-tool
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Cloudflare หนุนอนาคตเว็บเปิด ด้วยการสนับสนุน Ladybird และ Omarchy — สร้างเบราว์เซอร์ใหม่ และ Linux ที่นักพัฒนาควบคุมได้จริง”

    ในยุคที่เบราว์เซอร์ถูกครอบงำโดย Chromium และระบบปฏิบัติการนักพัฒนาถูกจำกัดอยู่ในไม่กี่ตัวเลือก Cloudflare ประกาศสนับสนุนสองโครงการโอเพ่นซอร์สที่กล้าท้าทายสถานการณ์นี้ ได้แก่ Ladybird และ Omarchy เพื่อผลักดันอนาคตของเว็บเปิดให้กลับมามีความหลากหลายอีกครั้ง

    Ladybird คือเบราว์เซอร์ใหม่ที่ไม่ใช้ Chromium เลยแม้แต่นิดเดียว โดยสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ rendering engine (LibWeb) ไปจนถึง JavaScript engine (LibJS) ซึ่งมี parser, interpreter และ bytecode execution engine ของตัวเอง จุดประสงค์คือเพื่อสร้างเบราว์เซอร์ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และประสิทธิภาพ โดยไม่ถูกครอบงำด้วยผลประโยชน์เชิงพาณิชย์

    การสร้างเบราว์เซอร์จากศูนย์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องรองรับมาตรฐานเว็บที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ Ladybird กลับใช้โอกาสนี้ในการ “ทดสอบ” มาตรฐานเหล่านั้นจริง ๆ และรายงานบั๊กกลับไปยังองค์กรกำกับมาตรฐาน เช่น W3C และ WHATWG ซึ่งช่วยให้เว็บโดยรวมดีขึ้นสำหรับทุกคน

    อีกด้านหนึ่ง Omarchy คือระบบ Arch Linux ที่ถูกปรับแต่งมาเพื่อให้นักพัฒนาสามารถใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องตั้งค่าทุกอย่างเองตั้งแต่ต้น มาพร้อมเครื่องมือสำคัญอย่าง Neovim, Docker, Git และอื่น ๆ อีกมากมาย พร้อม UI ที่สวยงามและปรับแต่งได้ง่าย จุดเด่นคือการทำให้ Linux เข้าถึงง่ายขึ้นสำหรับนักพัฒนาที่ไม่เชี่ยวชาญระบบปฏิบัติการ

    Cloudflare สนับสนุนทั้งสองโครงการโดยไม่มีข้อผูกมัด ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีของ Cloudflare และไม่มีเงื่อนไขแอบแฝง เพราะเชื่อว่าการมีตัวเลือกที่หลากหลายคือหัวใจของอินเทอร์เน็ตที่ดี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Cloudflare สนับสนุนโครงการโอเพ่นซอร์ส Ladybird และ Omarchy เพื่อส่งเสริมเว็บเปิด
    Ladybird เป็นเบราว์เซอร์ใหม่ที่ไม่ใช้ Chromium สร้าง engine ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
    Omarchy เป็น Arch Linux ที่ปรับแต่งมาเพื่อให้นักพัฒนาใช้งานได้ทันที
    Cloudflare สนับสนุนโดยไม่มีข้อผูกมัด ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีของตนเอง

    จุดเด่นของ Ladybird
    มี LibWeb เป็น rendering engine และ LibJS เป็น JavaScript engine ที่สร้างเอง
    ใช้โอกาสในการสร้างเบราว์เซอร์เพื่อทดสอบและปรับปรุงมาตรฐานเว็บ
    เน้นความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และประสิทธิภาพโดยไม่พึ่งพาโมเดลธุรกิจ

    จุดเด่นของ Omarchy
    ติดตั้งง่าย มีเครื่องมือพัฒนาให้พร้อมใช้งานทันที เช่น Neovim, Docker, Git
    UI สวยงาม ปรับแต่งได้ง่าย เหมาะกับนักพัฒนาที่ไม่เชี่ยวชาญ Linux
    Omarchy 3.0 รองรับ MacBook ได้ดีขึ้น และติดตั้งเร็วขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Chromium ครองตลาดเบราว์เซอร์กว่า 65% ทำให้เกิดการรวมศูนย์ของเทคโนโลยีเว็บ
    Arch Linux เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นสูง แต่ต้องตั้งค่าด้วยตนเอง
    Ladybird วางแผนเปิดตัวเวอร์ชัน alpha ในปี 2026
    Omarchy ใช้ Cloudflare CDN และ R2 storage เพื่อส่ง ISO และแพ็กเกจได้เร็วทั่วโลก

    https://blog.cloudflare.com/supporting-the-future-of-the-open-web/
    🌐 “Cloudflare หนุนอนาคตเว็บเปิด ด้วยการสนับสนุน Ladybird และ Omarchy — สร้างเบราว์เซอร์ใหม่ และ Linux ที่นักพัฒนาควบคุมได้จริง” ในยุคที่เบราว์เซอร์ถูกครอบงำโดย Chromium และระบบปฏิบัติการนักพัฒนาถูกจำกัดอยู่ในไม่กี่ตัวเลือก Cloudflare ประกาศสนับสนุนสองโครงการโอเพ่นซอร์สที่กล้าท้าทายสถานการณ์นี้ ได้แก่ Ladybird และ Omarchy เพื่อผลักดันอนาคตของเว็บเปิดให้กลับมามีความหลากหลายอีกครั้ง Ladybird คือเบราว์เซอร์ใหม่ที่ไม่ใช้ Chromium เลยแม้แต่นิดเดียว โดยสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ rendering engine (LibWeb) ไปจนถึง JavaScript engine (LibJS) ซึ่งมี parser, interpreter และ bytecode execution engine ของตัวเอง จุดประสงค์คือเพื่อสร้างเบราว์เซอร์ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และประสิทธิภาพ โดยไม่ถูกครอบงำด้วยผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ การสร้างเบราว์เซอร์จากศูนย์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องรองรับมาตรฐานเว็บที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ Ladybird กลับใช้โอกาสนี้ในการ “ทดสอบ” มาตรฐานเหล่านั้นจริง ๆ และรายงานบั๊กกลับไปยังองค์กรกำกับมาตรฐาน เช่น W3C และ WHATWG ซึ่งช่วยให้เว็บโดยรวมดีขึ้นสำหรับทุกคน อีกด้านหนึ่ง Omarchy คือระบบ Arch Linux ที่ถูกปรับแต่งมาเพื่อให้นักพัฒนาสามารถใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องตั้งค่าทุกอย่างเองตั้งแต่ต้น มาพร้อมเครื่องมือสำคัญอย่าง Neovim, Docker, Git และอื่น ๆ อีกมากมาย พร้อม UI ที่สวยงามและปรับแต่งได้ง่าย จุดเด่นคือการทำให้ Linux เข้าถึงง่ายขึ้นสำหรับนักพัฒนาที่ไม่เชี่ยวชาญระบบปฏิบัติการ Cloudflare สนับสนุนทั้งสองโครงการโดยไม่มีข้อผูกมัด ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีของ Cloudflare และไม่มีเงื่อนไขแอบแฝง เพราะเชื่อว่าการมีตัวเลือกที่หลากหลายคือหัวใจของอินเทอร์เน็ตที่ดี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Cloudflare สนับสนุนโครงการโอเพ่นซอร์ส Ladybird และ Omarchy เพื่อส่งเสริมเว็บเปิด ➡️ Ladybird เป็นเบราว์เซอร์ใหม่ที่ไม่ใช้ Chromium สร้าง engine ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ➡️ Omarchy เป็น Arch Linux ที่ปรับแต่งมาเพื่อให้นักพัฒนาใช้งานได้ทันที ➡️ Cloudflare สนับสนุนโดยไม่มีข้อผูกมัด ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีของตนเอง ✅ จุดเด่นของ Ladybird ➡️ มี LibWeb เป็น rendering engine และ LibJS เป็น JavaScript engine ที่สร้างเอง ➡️ ใช้โอกาสในการสร้างเบราว์เซอร์เพื่อทดสอบและปรับปรุงมาตรฐานเว็บ ➡️ เน้นความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และประสิทธิภาพโดยไม่พึ่งพาโมเดลธุรกิจ ✅ จุดเด่นของ Omarchy ➡️ ติดตั้งง่าย มีเครื่องมือพัฒนาให้พร้อมใช้งานทันที เช่น Neovim, Docker, Git ➡️ UI สวยงาม ปรับแต่งได้ง่าย เหมาะกับนักพัฒนาที่ไม่เชี่ยวชาญ Linux ➡️ Omarchy 3.0 รองรับ MacBook ได้ดีขึ้น และติดตั้งเร็วขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Chromium ครองตลาดเบราว์เซอร์กว่า 65% ทำให้เกิดการรวมศูนย์ของเทคโนโลยีเว็บ ➡️ Arch Linux เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นสูง แต่ต้องตั้งค่าด้วยตนเอง ➡️ Ladybird วางแผนเปิดตัวเวอร์ชัน alpha ในปี 2026 ➡️ Omarchy ใช้ Cloudflare CDN และ R2 storage เพื่อส่ง ISO และแพ็กเกจได้เร็วทั่วโลก https://blog.cloudflare.com/supporting-the-future-of-the-open-web/
    BLOG.CLOUDFLARE.COM
    Supporting the future of the open web: Cloudflare is sponsoring Ladybird and Omarchy
    We're excited to announce our support of two independent, open source projects: Ladybird, an ambitious project to build a completely independent browser from the ground up, and Omarchy, an opinionated Arch Linux setup for developers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • “LMDE 7 ‘Gigi’ Beta เปิดตัวแล้ว — พลัง Debian 13 ผสาน Mint 22.2 พร้อมรองรับ Arrow Lake และ Raspberry Pi 5”

    Linux Mint Debian Edition หรือ LMDE 7 รหัส “Gigi” ได้เปิดตัวเวอร์ชัน Beta อย่างเป็นทางการ โดยเป็นการผสานความเสถียรของ Debian 13 “Trixie” เข้ากับความเป็นมิตรของ Linux Mint 22.2 “Zara” เพื่อสร้างระบบปฏิบัติการที่พร้อมใช้งานแม้ในวันที่ Ubuntu หายไปจากโลก

    LMDE ถูกออกแบบมาเพื่อให้ Linux Mint สามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่ง Ubuntu โดยใช้ฐานแพ็กเกจจาก Debian ซึ่งมีความเสถียรสูงและเหมาะกับการใช้งานระยะยาว โดยเวอร์ชันใหม่นี้ใช้ Linux Kernel 6.12 ที่รองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่อย่าง Intel Arrow Lake, Lunar Lake, AMD RDNA 4 และ Raspberry Pi 5 ได้ดีขึ้น

    ในด้านซอฟต์แวร์ LMDE 7 ได้รับการอัปเกรดจาก Mint 22.2 อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น Software Manager ที่แสดงความแตกต่างระหว่าง Flatpak กับแพ็กเกจระบบได้ชัดเจน, แอปใหม่สำหรับสแกนลายนิ้วมือชื่อ Fingwit, Hypnotix ที่มีโหมด Theater และ Borderless, Sticky Notes ที่รองรับ Wayland และหน้าจอล็อกอินที่มีเอฟเฟกต์เบลอ

    นอกจากนี้ยังมีการปรับแต่ง libAdwaita ให้ทำงานร่วมกับธีมของ Mint ได้อย่างกลมกลืน และเพิ่มการรองรับการติดตั้งแบบ OEM สำหรับผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ที่ต้องการพรีโหลด LMDE 7 ลงในเครื่องก่อนส่งถึงลูกค้า

    อย่างไรก็ตาม LMDE 7 Beta ยังไม่เหมาะสำหรับการใช้งานจริงในระบบผลิต เพราะยังอยู่ในช่วงทดสอบ และยังไม่มีประกาศวันเปิดตัวเวอร์ชันเสถียรอย่างเป็นทางการ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    LMDE 7 “Gigi” Beta ใช้ Debian 13 “Trixie” เป็นฐานระบบ
    ใช้ Linux Kernel 6.12 รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น Arrow Lake และ Raspberry Pi 5
    ได้รับฟีเจอร์จาก Mint 22.2 “Zara” อย่างครบถ้วน
    รองรับการติดตั้งแบบ OEM สำหรับผู้ผลิตฮาร์ดแวร์

    ฟีเจอร์ใหม่และการปรับปรุง
    Software Manager แสดงความแตกต่างระหว่าง Flatpak กับแพ็กเกจระบบ
    Fingwit แอปใหม่สำหรับการยืนยันตัวตนด้วยลายนิ้วมือ
    Hypnotix เพิ่มโหมด Theater และ Borderless
    Sticky Notes รองรับ Wayland และมีมุมโค้งสวยงาม
    หน้าจอล็อกอินใหม่มีเอฟเฟกต์เบลอและแสดงรูปโปรไฟล์ผู้ใช้
    libAdwaita ถูกแพตช์ให้รองรับธีม Mint-Y, Mint-X และ Mint-L
    เพิ่มการรองรับ EDID-based color correction ใน XViewer
    WebApp Manager รองรับการแก้ไขคำอธิบายของแอป
    Warpinator มีแอป iOS สำหรับแชร์ไฟล์ข้ามอุปกรณ์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    LMDE มีเป้าหมายเพื่อให้ Mint อยู่รอดได้หาก Ubuntu หยุดพัฒนา
    Debian 13 “Trixie” มาพร้อม APT 3.0 และ Solver3 ที่จัดการ dependency ได้ดีขึ้น
    ระบบ /tmp ถูกปรับให้เก็บไฟล์ชั่วคราวใน RAM เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    Cinnamon 6.4.12 เป็นเดสก์ท็อปหลักของ LMDE 7 Beta
    LMDE 7 รองรับเฉพาะระบบ 64-bit เนื่องจาก Debian 13 ยกเลิกการสนับสนุน i386

    https://news.itsfoss.com/lmde-7-beta/
    🐧 “LMDE 7 ‘Gigi’ Beta เปิดตัวแล้ว — พลัง Debian 13 ผสาน Mint 22.2 พร้อมรองรับ Arrow Lake และ Raspberry Pi 5” Linux Mint Debian Edition หรือ LMDE 7 รหัส “Gigi” ได้เปิดตัวเวอร์ชัน Beta อย่างเป็นทางการ โดยเป็นการผสานความเสถียรของ Debian 13 “Trixie” เข้ากับความเป็นมิตรของ Linux Mint 22.2 “Zara” เพื่อสร้างระบบปฏิบัติการที่พร้อมใช้งานแม้ในวันที่ Ubuntu หายไปจากโลก LMDE ถูกออกแบบมาเพื่อให้ Linux Mint สามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่ง Ubuntu โดยใช้ฐานแพ็กเกจจาก Debian ซึ่งมีความเสถียรสูงและเหมาะกับการใช้งานระยะยาว โดยเวอร์ชันใหม่นี้ใช้ Linux Kernel 6.12 ที่รองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่อย่าง Intel Arrow Lake, Lunar Lake, AMD RDNA 4 และ Raspberry Pi 5 ได้ดีขึ้น ในด้านซอฟต์แวร์ LMDE 7 ได้รับการอัปเกรดจาก Mint 22.2 อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น Software Manager ที่แสดงความแตกต่างระหว่าง Flatpak กับแพ็กเกจระบบได้ชัดเจน, แอปใหม่สำหรับสแกนลายนิ้วมือชื่อ Fingwit, Hypnotix ที่มีโหมด Theater และ Borderless, Sticky Notes ที่รองรับ Wayland และหน้าจอล็อกอินที่มีเอฟเฟกต์เบลอ นอกจากนี้ยังมีการปรับแต่ง libAdwaita ให้ทำงานร่วมกับธีมของ Mint ได้อย่างกลมกลืน และเพิ่มการรองรับการติดตั้งแบบ OEM สำหรับผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ที่ต้องการพรีโหลด LMDE 7 ลงในเครื่องก่อนส่งถึงลูกค้า อย่างไรก็ตาม LMDE 7 Beta ยังไม่เหมาะสำหรับการใช้งานจริงในระบบผลิต เพราะยังอยู่ในช่วงทดสอบ และยังไม่มีประกาศวันเปิดตัวเวอร์ชันเสถียรอย่างเป็นทางการ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ LMDE 7 “Gigi” Beta ใช้ Debian 13 “Trixie” เป็นฐานระบบ ➡️ ใช้ Linux Kernel 6.12 รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น Arrow Lake และ Raspberry Pi 5 ➡️ ได้รับฟีเจอร์จาก Mint 22.2 “Zara” อย่างครบถ้วน ➡️ รองรับการติดตั้งแบบ OEM สำหรับผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ ✅ ฟีเจอร์ใหม่และการปรับปรุง ➡️ Software Manager แสดงความแตกต่างระหว่าง Flatpak กับแพ็กเกจระบบ ➡️ Fingwit แอปใหม่สำหรับการยืนยันตัวตนด้วยลายนิ้วมือ ➡️ Hypnotix เพิ่มโหมด Theater และ Borderless ➡️ Sticky Notes รองรับ Wayland และมีมุมโค้งสวยงาม ➡️ หน้าจอล็อกอินใหม่มีเอฟเฟกต์เบลอและแสดงรูปโปรไฟล์ผู้ใช้ ➡️ libAdwaita ถูกแพตช์ให้รองรับธีม Mint-Y, Mint-X และ Mint-L ➡️ เพิ่มการรองรับ EDID-based color correction ใน XViewer ➡️ WebApp Manager รองรับการแก้ไขคำอธิบายของแอป ➡️ Warpinator มีแอป iOS สำหรับแชร์ไฟล์ข้ามอุปกรณ์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ LMDE มีเป้าหมายเพื่อให้ Mint อยู่รอดได้หาก Ubuntu หยุดพัฒนา ➡️ Debian 13 “Trixie” มาพร้อม APT 3.0 และ Solver3 ที่จัดการ dependency ได้ดีขึ้น ➡️ ระบบ /tmp ถูกปรับให้เก็บไฟล์ชั่วคราวใน RAM เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ Cinnamon 6.4.12 เป็นเดสก์ท็อปหลักของ LMDE 7 Beta ➡️ LMDE 7 รองรับเฉพาะระบบ 64-bit เนื่องจาก Debian 13 ยกเลิกการสนับสนุน i386 https://news.itsfoss.com/lmde-7-beta/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    LMDE 7 "Gigi" Beta Released With Debian 13 Base
    LMDE 7 is shaping up well, but you will need to wait a little longer for the final release.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่าปล่อยให้เศษปลาแซลมอนกลายเป็นของเหลือทิ้ง!

    ในทุกชิ้นส่วนของปลาแซลมอนยังมีเนื้อคุณภาพซ่อนอยู่มากมาย ทั้งก้าง หัว และหนัง... เครื่องแยกก้างปลา Fish Deboner คือคำตอบที่จะช่วยให้คุณดึงเนื้อปลาแซลมอนออกมาใช้ได้คุ้มค่าที่สุด!

    เครื่องนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่แปรรูปปลาแซลมอน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น โรงงานทำแซลมอนรมควัน หรือผู้ค้าส่งปลา เพราะช่วยคุณ:
    เพิ่มกำไร: เปลี่ยน "เศษเหลือ" ให้กลายเป็นวัตถุดิบเนื้อปลาแซลมอนคุณภาพสูง เพิ่มมูลค่าสินค้าและลดการสูญเสีย
    ผลิตง่าย: ได้เนื้อแซลมอนบดพร้อมใช้งานทันที สำหรับทำแซลมอนเบอร์เกอร์ ไส้เกี๊ยว หรือใช้เป็นส่วนผสมในเมนูอื่นๆ ได้อย่างหลากหลาย
    ทำงานรวดเร็ว: ด้วยกำลังผลิตสูงถึง 100-300 กก./ชม. ช่วยประหยัดเวลาและลดต้นทุนแรงงานได้อย่างมหาศาล

    รายละเอียดเครื่อง:

    มอเตอร์: 3 แรงม้า, ไฟ 380V
    กำลังการผลิต: 100-300 กก./ชม.
    ขนาด: 800 x 650 x 900 มม.
    น้ำหนัก: 250 กก.

    ให้ BONNY เป็นตัวช่วยสำคัญในธุรกิจคุณ!

    แฮชแท็กที่เกี่ยวข้อง
    #เครื่องแยกก้างปลา #เครื่องจักรอาหาร #ปลาแซลมอน #แซลมอน #ธุรกิจอาหาร #เครื่องจักรโรงงาน #ฟู้ดโปรเซสซิ่ง #ร้านอาหารญี่ปุ่น #แซลมอนบด #เพิ่มมูลค่า #FishDeboner #SalmonProcessing #FoodMachinery #FoodProduction #Salmon #Seafood #ProcessedFood #FrozenFood #SMEไทย #ผู้ประกอบการ #ลดต้นทุน #เพิ่มผลผลิต #เครื่องครัวร้านอาหาร #เมนูปลา #แซลมอนเบอร์เกอร์ #ไส้เกี๊ยวปลา #เครื่องจักรแปรรูป #ย่งฮะเฮง #BONNY

    สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม:
    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
    เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.)
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7
    แชท: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com
    อย่าปล่อยให้เศษปลาแซลมอนกลายเป็นของเหลือทิ้ง! 😩 ในทุกชิ้นส่วนของปลาแซลมอนยังมีเนื้อคุณภาพซ่อนอยู่มากมาย ทั้งก้าง หัว และหนัง... เครื่องแยกก้างปลา Fish Deboner คือคำตอบที่จะช่วยให้คุณดึงเนื้อปลาแซลมอนออกมาใช้ได้คุ้มค่าที่สุด! 💯 เครื่องนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่แปรรูปปลาแซลมอน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น โรงงานทำแซลมอนรมควัน หรือผู้ค้าส่งปลา เพราะช่วยคุณ: เพิ่มกำไร: 📈 เปลี่ยน "เศษเหลือ" ให้กลายเป็นวัตถุดิบเนื้อปลาแซลมอนคุณภาพสูง เพิ่มมูลค่าสินค้าและลดการสูญเสีย ผลิตง่าย: ✨ ได้เนื้อแซลมอนบดพร้อมใช้งานทันที สำหรับทำแซลมอนเบอร์เกอร์ 🍔 ไส้เกี๊ยว 🥟 หรือใช้เป็นส่วนผสมในเมนูอื่นๆ ได้อย่างหลากหลาย ทำงานรวดเร็ว: ⏱️ ด้วยกำลังผลิตสูงถึง 100-300 กก./ชม. ช่วยประหยัดเวลาและลดต้นทุนแรงงานได้อย่างมหาศาล รายละเอียดเครื่อง: มอเตอร์: 3 แรงม้า, ไฟ 380V 💪 กำลังการผลิต: 100-300 กก./ชม. ⚡ ขนาด: 800 x 650 x 900 มม. น้ำหนัก: 250 กก. ให้ BONNY เป็นตัวช่วยสำคัญในธุรกิจคุณ! 👍 แฮชแท็กที่เกี่ยวข้อง #เครื่องแยกก้างปลา #เครื่องจักรอาหาร #ปลาแซลมอน #แซลมอน #ธุรกิจอาหาร #เครื่องจักรโรงงาน #ฟู้ดโปรเซสซิ่ง #ร้านอาหารญี่ปุ่น #แซลมอนบด #เพิ่มมูลค่า #FishDeboner #SalmonProcessing #FoodMachinery #FoodProduction #Salmon #Seafood #ProcessedFood #FrozenFood #SMEไทย #ผู้ประกอบการ #ลดต้นทุน #เพิ่มผลผลิต #เครื่องครัวร้านอาหาร #เมนูปลา #แซลมอนเบอร์เกอร์ #ไส้เกี๊ยวปลา #เครื่องจักรแปรรูป #ย่งฮะเฮง #BONNY 🛒 สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม: ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.) แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 แชท: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 383 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ubuntu 25.10 กับการเปลี่ยนผ่านสู่ Rust Coreutils — ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น แต่ประสิทธิภาพยังต้องปรับจูน

    Canonical กำลังเดินหน้าครั้งใหญ่ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของ Ubuntu โดยในเวอร์ชัน 25.10 ที่จะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ ได้มีการแทนที่ GNU Coreutils ด้วยเวอร์ชันที่เขียนใหม่ด้วยภาษา Rust ซึ่งมีชื่อว่า “uutils” พร้อมกับการเปลี่ยน sudo เป็น sudo-rs ไปแล้วก่อนหน้านี้

    แนวคิดเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้คือ Rust มีความปลอดภัยด้านหน่วยความจำสูง ลดโอกาสเกิดบั๊กที่ร้ายแรง และมีโค้ดที่สะอาดกว่า C ซึ่งเป็นภาษาหลักของ GNU Coreutils เดิม อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ เพราะพบว่าบางคำสั่งใน uutils ยังมีปัญหาด้านประสิทธิภาพและความเสถียร

    ตัวอย่างเช่นคำสั่ง cksum เคยทำงานช้ากว่า GNU ถึง 17 เท่าในบางกรณี แม้จะได้รับการแก้ไขแล้วในแพตช์ล่าสุด ส่วนคำสั่ง sort ยังมีปัญหาเมื่อใช้กับไฟล์ที่มีบรรทัดเดียวแต่มีขนาดใหญ่มาก ซึ่งยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยทีมพัฒนา

    ในทางกลับกัน คำสั่ง base64 ได้รับการปรับแต่งจนสามารถทำงานได้เร็วกว่าเวอร์ชัน GNU แล้ว แสดงให้เห็นว่า Rust สามารถให้ประสิทธิภาพที่ดีได้ หากมีการปรับจูนอย่างเหมาะสม

    Canonical ยืนยันว่าจะเร่งแก้ไขปัญหาเหล่านี้ก่อนการเปิดตัว Ubuntu 25.10 และวางแผนให้ uutils เป็นส่วนหนึ่งของ Ubuntu 26.04 LTS ที่มีความเสถียรและพร้อมใช้งานในระดับองค์กร

    Ubuntu 25.10 เตรียมเปลี่ยนจาก GNU Coreutils เป็น Rust Coreutils (uutils)
    เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างระบบพื้นฐาน
    Rust มีข้อดีด้านความปลอดภัยและความเสถียรของโค้ด

    sudo ถูกแทนที่ด้วย sudo-rs แล้ว
    เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดัน Rust ในระบบ Ubuntu
    แสดงถึงความตั้งใจในการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง

    พบปัญหาด้านประสิทธิภาพในบางคำสั่งของ uutils
    cksum เคยช้ากว่า GNU ถึง 17 เท่า แต่ได้รับการแก้ไขแล้ว
    sort ยังมีปัญหากับไฟล์บรรทัดเดียวขนาดใหญ่

    base64 ทำงานได้เร็วกว่า GNU หลังปรับแต่ง
    แสดงให้เห็นว่า Rust สามารถให้ประสิทธิภาพสูงได้
    ต้องอาศัยการปรับจูนอย่างละเอียด

    Canonical ตั้งเป้าให้ uutils เป็นส่วนหนึ่งของ Ubuntu 26.04 LTS
    จะเป็นเวอร์ชันที่เสถียรและพร้อมใช้งานในระดับองค์กร
    การแก้ไขปัญหาในเวอร์ชัน 25.10 จะเป็นฐานสำคัญสำหรับ LTS

    https://news.itsfoss.com/ubuntu-uutils-performance-issues/
    📰 Ubuntu 25.10 กับการเปลี่ยนผ่านสู่ Rust Coreutils — ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น แต่ประสิทธิภาพยังต้องปรับจูน Canonical กำลังเดินหน้าครั้งใหญ่ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของ Ubuntu โดยในเวอร์ชัน 25.10 ที่จะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ ได้มีการแทนที่ GNU Coreutils ด้วยเวอร์ชันที่เขียนใหม่ด้วยภาษา Rust ซึ่งมีชื่อว่า “uutils” พร้อมกับการเปลี่ยน sudo เป็น sudo-rs ไปแล้วก่อนหน้านี้ แนวคิดเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้คือ Rust มีความปลอดภัยด้านหน่วยความจำสูง ลดโอกาสเกิดบั๊กที่ร้ายแรง และมีโค้ดที่สะอาดกว่า C ซึ่งเป็นภาษาหลักของ GNU Coreutils เดิม อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ เพราะพบว่าบางคำสั่งใน uutils ยังมีปัญหาด้านประสิทธิภาพและความเสถียร ตัวอย่างเช่นคำสั่ง cksum เคยทำงานช้ากว่า GNU ถึง 17 เท่าในบางกรณี แม้จะได้รับการแก้ไขแล้วในแพตช์ล่าสุด ส่วนคำสั่ง sort ยังมีปัญหาเมื่อใช้กับไฟล์ที่มีบรรทัดเดียวแต่มีขนาดใหญ่มาก ซึ่งยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยทีมพัฒนา ในทางกลับกัน คำสั่ง base64 ได้รับการปรับแต่งจนสามารถทำงานได้เร็วกว่าเวอร์ชัน GNU แล้ว แสดงให้เห็นว่า Rust สามารถให้ประสิทธิภาพที่ดีได้ หากมีการปรับจูนอย่างเหมาะสม Canonical ยืนยันว่าจะเร่งแก้ไขปัญหาเหล่านี้ก่อนการเปิดตัว Ubuntu 25.10 และวางแผนให้ uutils เป็นส่วนหนึ่งของ Ubuntu 26.04 LTS ที่มีความเสถียรและพร้อมใช้งานในระดับองค์กร ✅ Ubuntu 25.10 เตรียมเปลี่ยนจาก GNU Coreutils เป็น Rust Coreutils (uutils) ➡️ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างระบบพื้นฐาน ➡️ Rust มีข้อดีด้านความปลอดภัยและความเสถียรของโค้ด ✅ sudo ถูกแทนที่ด้วย sudo-rs แล้ว ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดัน Rust ในระบบ Ubuntu ➡️ แสดงถึงความตั้งใจในการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ✅ พบปัญหาด้านประสิทธิภาพในบางคำสั่งของ uutils ➡️ cksum เคยช้ากว่า GNU ถึง 17 เท่า แต่ได้รับการแก้ไขแล้ว ➡️ sort ยังมีปัญหากับไฟล์บรรทัดเดียวขนาดใหญ่ ✅ base64 ทำงานได้เร็วกว่า GNU หลังปรับแต่ง ➡️ แสดงให้เห็นว่า Rust สามารถให้ประสิทธิภาพสูงได้ ➡️ ต้องอาศัยการปรับจูนอย่างละเอียด ✅ Canonical ตั้งเป้าให้ uutils เป็นส่วนหนึ่งของ Ubuntu 26.04 LTS ➡️ จะเป็นเวอร์ชันที่เสถียรและพร้อมใช้งานในระดับองค์กร ➡️ การแก้ไขปัญหาในเวอร์ชัน 25.10 จะเป็นฐานสำคัญสำหรับ LTS https://news.itsfoss.com/ubuntu-uutils-performance-issues/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Rust Coreutils Are Performing Worse Than GNU Coreutils in Ubuntu
    Ubuntu’s Rust move shows promise, but questions remain on performance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • Anthropic เปิดเบื้องหลัง 3 บั๊กใหญ่ที่ทำให้ Claude ตอบผิดเพี้ยน — เมื่อ AI ไม่ได้ “เนิร์ฟ” แต่โครงสร้างพื้นฐานพัง

    ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงต้นกันยายน 2025 ผู้ใช้ Claude หลายคนเริ่มสังเกตว่าคุณภาพการตอบกลับของโมเดลลดลงอย่างผิดปกติ บางคนได้รับคำตอบที่แปลกประหลาด เช่นมีตัวอักษรไทยโผล่กลางข้อความภาษาอังกฤษ หรือโค้ดที่ผิดไวยากรณ์อย่างชัดเจน จนเกิดข้อสงสัยว่า Anthropic กำลัง “ลดคุณภาพ” ของโมเดลเพื่อจัดการกับโหลดหรือควบคุมต้นทุน

    แต่ล่าสุด Anthropic ได้ออกมาเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดจาก “บั๊กในโครงสร้างพื้นฐาน” ไม่ใช่การลดคุณภาพโดยเจตนา โดยมีทั้งหมด 3 บั๊กที่เกิดขึ้นพร้อมกันและส่งผลกระทบต่อโมเดล Claude หลายรุ่น ได้แก่ Sonnet 4, Opus 4.1, Haiku 3.5 และ Opus 3

    บั๊กแรกคือการ “ส่งคำขอผิดเซิร์ฟเวอร์” โดยคำขอที่ควรใช้ context window แบบสั้น กลับถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่เตรียมไว้สำหรับ context window ขนาด 1 ล้านโทเคน ซึ่งยังไม่พร้อมใช้งาน ทำให้การตอบกลับผิดเพี้ยนและช้า โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบ load balancing ทำให้คำขอผิดพลาดเพิ่มขึ้นถึง 16%

    บั๊กที่สองคือ “การสร้างโทเคนผิดพลาด” บนเซิร์ฟเวอร์ TPU ซึ่งเกิดจากการปรับแต่งประสิทธิภาพที่ทำให้โมเดลเลือกโทเคนที่ไม่ควรปรากฏ เช่น ตัวอักษรจีนหรือไทยในคำตอบภาษาอังกฤษ หรือโค้ดที่มี syntax ผิดอย่างชัดเจน

    บั๊กสุดท้ายคือ “การคอมไพล์ผิดพลาดใน XLA:TPU” ซึ่งเกิดจากการใช้การคำนวณแบบ approximate top-k ที่ควรช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่กลับทำให้โมเดลเลือกโทเคนผิด โดยเฉพาะเมื่อใช้ precision ที่ไม่ตรงกันระหว่าง bf16 และ fp32 ทำให้โทเคนที่ควรมีโอกาสสูงสุดถูกตัดออกไปโดยไม่ตั้งใจ

    Anthropic ได้แก้ไขบั๊กทั้งหมดแล้ว และประกาศแผนปรับปรุงระบบตรวจสอบคุณภาพให้ละเอียดขึ้น รวมถึงพัฒนาเครื่องมือ debug ที่ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ พร้อมขอความร่วมมือจากผู้ใช้ให้ส่ง feedback เมื่อพบปัญหา เพื่อช่วยให้ทีมงานตรวจสอบได้เร็วขึ้น

    Claude ตอบผิดเพี้ยนจาก 3 บั๊กในโครงสร้างพื้นฐาน
    ไม่ใช่การลดคุณภาพโดยเจตนา
    ส่งผลกระทบต่อหลายรุ่น เช่น Sonnet 4, Opus 4.1, Haiku 3.5

    บั๊กที่ 1: Context window routing error
    คำขอถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ context window 1M โดยผิดพลาด
    ส่งผลให้คำตอบผิดเพี้ยน โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนสิงหาคม

    บั๊กที่ 2: Output corruption บน TPU
    โทเคนที่ไม่ควรปรากฏถูกเลือก เช่น “สวัสดี” ในคำตอบภาษาอังกฤษ
    เกิดจากการปรับแต่งประสิทธิภาพที่ผิดพลาด

    บั๊กที่ 3: XLA:TPU miscompilation
    การใช้ approximate top-k ทำให้โทเคนที่ควรมีโอกาสสูงสุดถูกตัดออก
    เกิดจาก precision mismatch ระหว่าง bf16 และ fp32

    Anthropic แก้ไขบั๊กทั้งหมดแล้ว
    ปรับ routing logic / rollback การเปลี่ยนแปลง / ใช้ exact top-k แทน
    เพิ่มการตรวจสอบคุณภาพและเครื่องมือ debug ใหม่

    ผู้ใช้สามารถช่วยแจ้งปัญหาได้โดยใช้ /bug หรือปุ่ม thumbs down
    Feedback จากผู้ใช้ช่วยให้ทีมงานตรวจสอบได้เร็วขึ้น
    Anthropic ยืนยันความโปร่งใสและขอบคุณชุมชนที่ช่วยเหลือ

    https://www.anthropic.com/engineering/a-postmortem-of-three-recent-issues
    📰 Anthropic เปิดเบื้องหลัง 3 บั๊กใหญ่ที่ทำให้ Claude ตอบผิดเพี้ยน — เมื่อ AI ไม่ได้ “เนิร์ฟ” แต่โครงสร้างพื้นฐานพัง ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงต้นกันยายน 2025 ผู้ใช้ Claude หลายคนเริ่มสังเกตว่าคุณภาพการตอบกลับของโมเดลลดลงอย่างผิดปกติ บางคนได้รับคำตอบที่แปลกประหลาด เช่นมีตัวอักษรไทยโผล่กลางข้อความภาษาอังกฤษ หรือโค้ดที่ผิดไวยากรณ์อย่างชัดเจน จนเกิดข้อสงสัยว่า Anthropic กำลัง “ลดคุณภาพ” ของโมเดลเพื่อจัดการกับโหลดหรือควบคุมต้นทุน แต่ล่าสุด Anthropic ได้ออกมาเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดจาก “บั๊กในโครงสร้างพื้นฐาน” ไม่ใช่การลดคุณภาพโดยเจตนา โดยมีทั้งหมด 3 บั๊กที่เกิดขึ้นพร้อมกันและส่งผลกระทบต่อโมเดล Claude หลายรุ่น ได้แก่ Sonnet 4, Opus 4.1, Haiku 3.5 และ Opus 3 บั๊กแรกคือการ “ส่งคำขอผิดเซิร์ฟเวอร์” โดยคำขอที่ควรใช้ context window แบบสั้น กลับถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่เตรียมไว้สำหรับ context window ขนาด 1 ล้านโทเคน ซึ่งยังไม่พร้อมใช้งาน ทำให้การตอบกลับผิดเพี้ยนและช้า โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบ load balancing ทำให้คำขอผิดพลาดเพิ่มขึ้นถึง 16% บั๊กที่สองคือ “การสร้างโทเคนผิดพลาด” บนเซิร์ฟเวอร์ TPU ซึ่งเกิดจากการปรับแต่งประสิทธิภาพที่ทำให้โมเดลเลือกโทเคนที่ไม่ควรปรากฏ เช่น ตัวอักษรจีนหรือไทยในคำตอบภาษาอังกฤษ หรือโค้ดที่มี syntax ผิดอย่างชัดเจน บั๊กสุดท้ายคือ “การคอมไพล์ผิดพลาดใน XLA:TPU” ซึ่งเกิดจากการใช้การคำนวณแบบ approximate top-k ที่ควรช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่กลับทำให้โมเดลเลือกโทเคนผิด โดยเฉพาะเมื่อใช้ precision ที่ไม่ตรงกันระหว่าง bf16 และ fp32 ทำให้โทเคนที่ควรมีโอกาสสูงสุดถูกตัดออกไปโดยไม่ตั้งใจ Anthropic ได้แก้ไขบั๊กทั้งหมดแล้ว และประกาศแผนปรับปรุงระบบตรวจสอบคุณภาพให้ละเอียดขึ้น รวมถึงพัฒนาเครื่องมือ debug ที่ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ พร้อมขอความร่วมมือจากผู้ใช้ให้ส่ง feedback เมื่อพบปัญหา เพื่อช่วยให้ทีมงานตรวจสอบได้เร็วขึ้น ✅ Claude ตอบผิดเพี้ยนจาก 3 บั๊กในโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ ไม่ใช่การลดคุณภาพโดยเจตนา ➡️ ส่งผลกระทบต่อหลายรุ่น เช่น Sonnet 4, Opus 4.1, Haiku 3.5 ✅ บั๊กที่ 1: Context window routing error ➡️ คำขอถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ context window 1M โดยผิดพลาด ➡️ ส่งผลให้คำตอบผิดเพี้ยน โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนสิงหาคม ✅ บั๊กที่ 2: Output corruption บน TPU ➡️ โทเคนที่ไม่ควรปรากฏถูกเลือก เช่น “สวัสดี” ในคำตอบภาษาอังกฤษ ➡️ เกิดจากการปรับแต่งประสิทธิภาพที่ผิดพลาด ✅ บั๊กที่ 3: XLA:TPU miscompilation ➡️ การใช้ approximate top-k ทำให้โทเคนที่ควรมีโอกาสสูงสุดถูกตัดออก ➡️ เกิดจาก precision mismatch ระหว่าง bf16 และ fp32 ✅ Anthropic แก้ไขบั๊กทั้งหมดแล้ว ➡️ ปรับ routing logic / rollback การเปลี่ยนแปลง / ใช้ exact top-k แทน ➡️ เพิ่มการตรวจสอบคุณภาพและเครื่องมือ debug ใหม่ ✅ ผู้ใช้สามารถช่วยแจ้งปัญหาได้โดยใช้ /bug หรือปุ่ม thumbs down ➡️ Feedback จากผู้ใช้ช่วยให้ทีมงานตรวจสอบได้เร็วขึ้น ➡️ Anthropic ยืนยันความโปร่งใสและขอบคุณชุมชนที่ช่วยเหลือ https://www.anthropic.com/engineering/a-postmortem-of-three-recent-issues
    WWW.ANTHROPIC.COM
    A postmortem of three recent issues
    This is a technical report on three bugs that intermittently degraded responses from Claude. Below we explain what happened, why it took time to fix, and what we're changing.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • Soft X-Ray Lithography กับความหวังใหม่ของการผลิตชิประดับต่ำกว่า 5 นาโนเมตร — เทคโนโลยี B-EUV กำลังท้าทาย EUV รุ่น Hyper-NA

    ในโลกของการผลิตชิปที่เล็กลงเรื่อย ๆ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Johns Hopkins ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ นั่นคือ “Beyond EUV” หรือ B-EUV ซึ่งใช้แสงเลเซอร์ในช่วง Soft X-ray ที่มีความยาวคลื่นสั้นเพียง 6.5–6.7 นาโนเมตร เพื่อสร้างลวดลายบนแผ่นซิลิคอนที่ละเอียดระดับต่ำกว่า 5 นาโนเมตร

    เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการแทนที่ EUV แบบ Hyper-NA ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งแม้จะสามารถผลิตชิปรุ่น 2 นาโนเมตรได้ แต่ก็ต้องใช้ระบบออปติกที่ซับซ้อนและมีราคาสูงถึงหลายร้อยล้านดอลลาร์

    ทีมวิจัยของศาสตราจารย์ Michael Tsapatsis ได้ค้นพบว่าโลหะอย่าง “สังกะสี” สามารถดูดซับแสง Soft X-ray และปล่อยอิเล็กตรอนออกมาเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาเคมีในสารอินทรีย์ที่เรียกว่า “อิมิดาโซล” ซึ่งเป็นวัสดุเรซิสต์ชนิดใหม่ที่สามารถสร้างลวดลายบนแผ่นซิลิคอนได้อย่างแม่นยำ

    นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคนิคใหม่ชื่อว่า “Chemical Liquid Deposition” (CLD) ที่สามารถเคลือบฟิล์มบางระดับนาโนเมตรได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยให้สามารถทดสอบวัสดุเรซิสต์แบบใหม่ได้รวดเร็วขึ้น และอาจนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นนอกเหนือจากเซมิคอนดักเตอร์

    แม้เทคโนโลยี B-EUV จะยังอยู่ในขั้นทดลอง และยังไม่มีเครื่องมือที่พร้อมใช้งานจริง แต่การค้นพบนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาวัสดุเรซิสต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคใหญ่ของการผลิตชิปขนาดเล็กในอนาคต

    นักวิจัยจาก Johns Hopkins พัฒนาเทคโนโลยี B-EUV
    ใช้แสง Soft X-ray ที่มีความยาวคลื่น 6.5–6.7 นาโนเมตร
    สามารถสร้างลวดลายบนชิปที่เล็กกว่า 5 นาโนเมตรได้ในทางทฤษฎี

    ค้นพบวัสดุเรซิสต์ใหม่ที่ตอบสนองต่อแสง Soft X-ray
    ใช้โลหะอย่างสังกะสีร่วมกับสารอินทรีย์อิมิดาโซล
    สังกะสีปล่อยอิเล็กตรอนเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาเคมีที่จำเป็นในการสร้างลวดลาย

    พัฒนาเทคนิค Chemical Liquid Deposition (CLD)
    เคลือบฟิล์มบางระดับนาโนเมตรได้อย่างแม่นยำ
    ช่วยให้ทดสอบวัสดุเรซิสต์ใหม่ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

    B-EUV มีศักยภาพในการแทนที่ Hyper-NA EUV
    ลดความซับซ้อนของระบบออปติก
    อาจช่วยลดต้นทุนการผลิตในอนาคต

    คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดของเทคโนโลยี B-EUV
    แหล่งกำเนิดแสง Soft X-ray ยังไม่มีมาตรฐานอุตสาหกรรม
    กระจกสะท้อนแสงสำหรับช่วงคลื่นนี้ยังไม่สามารถผลิตได้
    วัสดุเรซิสต์ทั่วไปไม่ตอบสนองต่อพลังงานโฟตอนสูงของ Soft X-ray
    ยังไม่มีระบบ ecosystem ที่รองรับการผลิตแบบ B-EUV อย่างเต็มรูปแบบ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/beyond-euv-chipmaking-tech-pushes-soft-x-ray-lithography-closer-to-challenging-hyper-na-euv-b-euv-uses-new-resist-chemistry-to-make-smaller-chips
    📰 Soft X-Ray Lithography กับความหวังใหม่ของการผลิตชิประดับต่ำกว่า 5 นาโนเมตร — เทคโนโลยี B-EUV กำลังท้าทาย EUV รุ่น Hyper-NA ในโลกของการผลิตชิปที่เล็กลงเรื่อย ๆ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Johns Hopkins ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ นั่นคือ “Beyond EUV” หรือ B-EUV ซึ่งใช้แสงเลเซอร์ในช่วง Soft X-ray ที่มีความยาวคลื่นสั้นเพียง 6.5–6.7 นาโนเมตร เพื่อสร้างลวดลายบนแผ่นซิลิคอนที่ละเอียดระดับต่ำกว่า 5 นาโนเมตร เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการแทนที่ EUV แบบ Hyper-NA ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งแม้จะสามารถผลิตชิปรุ่น 2 นาโนเมตรได้ แต่ก็ต้องใช้ระบบออปติกที่ซับซ้อนและมีราคาสูงถึงหลายร้อยล้านดอลลาร์ ทีมวิจัยของศาสตราจารย์ Michael Tsapatsis ได้ค้นพบว่าโลหะอย่าง “สังกะสี” สามารถดูดซับแสง Soft X-ray และปล่อยอิเล็กตรอนออกมาเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาเคมีในสารอินทรีย์ที่เรียกว่า “อิมิดาโซล” ซึ่งเป็นวัสดุเรซิสต์ชนิดใหม่ที่สามารถสร้างลวดลายบนแผ่นซิลิคอนได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคนิคใหม่ชื่อว่า “Chemical Liquid Deposition” (CLD) ที่สามารถเคลือบฟิล์มบางระดับนาโนเมตรได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยให้สามารถทดสอบวัสดุเรซิสต์แบบใหม่ได้รวดเร็วขึ้น และอาจนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นนอกเหนือจากเซมิคอนดักเตอร์ แม้เทคโนโลยี B-EUV จะยังอยู่ในขั้นทดลอง และยังไม่มีเครื่องมือที่พร้อมใช้งานจริง แต่การค้นพบนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาวัสดุเรซิสต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคใหญ่ของการผลิตชิปขนาดเล็กในอนาคต ✅ นักวิจัยจาก Johns Hopkins พัฒนาเทคโนโลยี B-EUV ➡️ ใช้แสง Soft X-ray ที่มีความยาวคลื่น 6.5–6.7 นาโนเมตร ➡️ สามารถสร้างลวดลายบนชิปที่เล็กกว่า 5 นาโนเมตรได้ในทางทฤษฎี ✅ ค้นพบวัสดุเรซิสต์ใหม่ที่ตอบสนองต่อแสง Soft X-ray ➡️ ใช้โลหะอย่างสังกะสีร่วมกับสารอินทรีย์อิมิดาโซล ➡️ สังกะสีปล่อยอิเล็กตรอนเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาเคมีที่จำเป็นในการสร้างลวดลาย ✅ พัฒนาเทคนิค Chemical Liquid Deposition (CLD) ➡️ เคลือบฟิล์มบางระดับนาโนเมตรได้อย่างแม่นยำ ➡️ ช่วยให้ทดสอบวัสดุเรซิสต์ใหม่ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ✅ B-EUV มีศักยภาพในการแทนที่ Hyper-NA EUV ➡️ ลดความซับซ้อนของระบบออปติก ➡️ อาจช่วยลดต้นทุนการผลิตในอนาคต ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดของเทคโนโลยี B-EUV ⛔ แหล่งกำเนิดแสง Soft X-ray ยังไม่มีมาตรฐานอุตสาหกรรม ⛔ กระจกสะท้อนแสงสำหรับช่วงคลื่นนี้ยังไม่สามารถผลิตได้ ⛔ วัสดุเรซิสต์ทั่วไปไม่ตอบสนองต่อพลังงานโฟตอนสูงของ Soft X-ray ⛔ ยังไม่มีระบบ ecosystem ที่รองรับการผลิตแบบ B-EUV อย่างเต็มรูปแบบ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/beyond-euv-chipmaking-tech-pushes-soft-x-ray-lithography-closer-to-challenging-hyper-na-euv-b-euv-uses-new-resist-chemistry-to-make-smaller-chips
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซอสมะขามเนียนขั้นสุด! ด้วยเครื่องบดคอลลอยด์ BONNY
    เคยเจอปัญหาซอสมะขามไม่เนียน มีกากใย ต้องกรองหลายรอบไหมคะ?

    วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดลับความสำเร็จที่ทำให้ซอสมะขามของคุณเนียนละเอียดขึ้นอีกระดับ!

    เบื้องหลังความอร่อยที่เหนือกว่าคือ BONNY เครื่องบดคอลลอยด์ รุ่น YCM-JMF180-SHZ-S นั่นเอง! เครื่องนี้มาพร้อม กำลังการผลิตสูงถึง 5,000 กก./ชม. และมอเตอร์ 30 แรงม้า ที่มีความเร็วรอบ 2,800 RPM ไม่ใช่แค่บดธรรมดา แต่ยังบดได้ละเอียดถึงระดับไมโคร! ทำให้กากใยที่แข็งกระด้างกลายเป็นเนื้อซอสที่เนียนนุ่มจนแทบละลายในปาก

    ไม่ต้องเสียเวลากรองซ้ำอีกต่อไป แค่ผ่านเครื่อง BONNY ครั้งเดียว ก็ได้ซอสมะขามที่เนียนสวยพร้อมใช้งานทันที!

    รายละเอียดเครื่อง:
    กำลังการผลิต: 100–500 กก./ชม.
    กำลังไฟฟ้า: 30 แรงม้า
    ขนาด: 106 x 61 x 110 ซม.
    น้ำหนัก: 381 กก.

    สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม:
    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

    เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.)

    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7

    แชท: m.me/yonghahheng

    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9

    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098

    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com

    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com

    #BONNY #เครื่องบดคอลลอยด์ #เครื่องจักรอาหาร #ซอสมะขาม #เครื่องบด #อาหารแปรรูป #ColloidMill #KitchenEquipment #FoodProcessing #ThaiFood #เครื่องบดละเอียด #โรงงานอาหาร #ธุรกิจอาหาร #FoodMachinery #HomemadeSauce #TamarindSauce #อาหารไทย #ธุรกิจSME #อาหารแปรรูป #Tamarind #น้ําจิ้ม #น้ําพริก #อาหารคลีน #เครื่องปรุงรส #วัตถุดิบอาหาร #แปรรูป #ธุรกิจใหม่ #เมนูสุขภาพ #วัตถุดิบคุณภาพ
    😋 ซอสมะขามเนียนขั้นสุด! ด้วยเครื่องบดคอลลอยด์ BONNY ✨ เคยเจอปัญหาซอสมะขามไม่เนียน มีกากใย ต้องกรองหลายรอบไหมคะ? 😩 วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดลับความสำเร็จที่ทำให้ซอสมะขามของคุณเนียนละเอียดขึ้นอีกระดับ! 🚀 เบื้องหลังความอร่อยที่เหนือกว่าคือ BONNY เครื่องบดคอลลอยด์ รุ่น YCM-JMF180-SHZ-S นั่นเอง! 🔥 เครื่องนี้มาพร้อม กำลังการผลิตสูงถึง 5,000 กก./ชม. และมอเตอร์ 30 แรงม้า ที่มีความเร็วรอบ 2,800 RPM ไม่ใช่แค่บดธรรมดา แต่ยังบดได้ละเอียดถึงระดับไมโคร! 🔬 ทำให้กากใยที่แข็งกระด้างกลายเป็นเนื้อซอสที่เนียนนุ่มจนแทบละลายในปาก 🤤 ไม่ต้องเสียเวลากรองซ้ำอีกต่อไป 🙅‍♀️ แค่ผ่านเครื่อง BONNY ครั้งเดียว ก็ได้ซอสมะขามที่เนียนสวยพร้อมใช้งานทันที! 💯 📌 รายละเอียดเครื่อง: กำลังการผลิต: 100–500 กก./ชม. กำลังไฟฟ้า: 30 แรงม้า ขนาด: 106 x 61 x 110 ซม. น้ำหนัก: 381 กก. 🛒 สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม: ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.) แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 แชท: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com #BONNY #เครื่องบดคอลลอยด์ #เครื่องจักรอาหาร #ซอสมะขาม #เครื่องบด #อาหารแปรรูป #ColloidMill #KitchenEquipment #FoodProcessing #ThaiFood #เครื่องบดละเอียด #โรงงานอาหาร #ธุรกิจอาหาร #FoodMachinery #HomemadeSauce #TamarindSauce #อาหารไทย #ธุรกิจSME #อาหารแปรรูป #Tamarind #น้ําจิ้ม #น้ําพริก #อาหารคลีน #เครื่องปรุงรส #วัตถุดิบอาหาร #แปรรูป #ธุรกิจใหม่ #เมนูสุขภาพ #วัตถุดิบคุณภาพ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 345 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AMD เตรียมปล่อย ROCm 7.0 — ซอฟต์แวร์ AI ที่หวังโค่น CUDA ด้วยประสิทธิภาพทะลุ Blackwell”

    AMD กำลังเตรียมเปิดตัว ROCm 7.0 ซึ่งเป็นเวอร์ชันใหม่ของชุดซอฟต์แวร์สำหรับการประมวลผล AI และ HPC โดยมีเป้าหมายชัดเจน: สร้างทางเลือกที่แท้จริงให้กับนักพัฒนาแทนการพึ่งพา CUDA ของ NVIDIA ที่ครองตลาดมายาวนาน ROCm 7.0 ถูกเพิ่มเข้าใน GitHub แล้ว และคาดว่าจะเปิดตัวภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

    ในงาน Advancing AI ล่าสุด AMD ได้เผยว่า ROCm 7.0 จะมาพร้อมการปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยเฉพาะด้าน inferencing และ training ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 3.5 เท่าเมื่อเทียบกับ ROCm 6 และที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ Instinct MI355X สามารถทำ FP8 throughput ได้สูงกว่า Blackwell B200 ของ NVIDIA ถึง 30% ในโมเดล DeepSeek R1

    ROCm 7.0 ยังรองรับฟีเจอร์ใหม่ เช่น HIP 7.0, การจัดการคลัสเตอร์, และเครื่องมือสำหรับองค์กร พร้อม Docker image ที่ปรับแต่งมาแล้วสำหรับ MI355, MI350, MI325 และ MI300 โดยสามารถใช้งานร่วมกับโมเดลขนาดใหญ่ที่ถูก quantize ด้วย AMD Quark เช่น Llama 3.3 70B และ gpt-oss-120B

    เมื่อเปรียบเทียบกับ CUDA ล่าสุด พบว่า ROCm บน MI325X มีข้อได้เปรียบในหลายด้าน เช่น VRAM ขนาด 256GB ต่อ GPU ที่ช่วยลดความซับซ้อนของ pipeline และรองรับ batch ใหญ่ ๆ ได้ดี รวมถึงการทำงานร่วมกับ Hugging Face และ DeepSpeed ได้แบบ native โดยไม่ต้อง patch เพิ่ม

    แม้ ROCm จะยังตามหลัง CUDA ในบางด้าน เช่น ecosystem ที่ยังไม่สมบูรณ์ และ library เฉพาะบางตัวที่ต้องปรับแต่งเอง แต่ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่จริงจังสำหรับองค์กรที่ต้องการลดต้นทุนและหลีกเลี่ยงการผูกขาดด้านฮาร์ดแวร์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AMD เตรียมเปิดตัว ROCm 7.0 เพื่อเป็นทางเลือกแทน CUDA
    เพิ่มประสิทธิภาพ inferencing และ training สูงถึง 3.5 เท่าเมื่อเทียบกับ ROCm 6
    MI355X ทำ FP8 throughput ได้สูงกว่า Blackwell B200 ถึง 30%
    มี Docker image สำหรับ MI355, MI350, MI325 และ MI300 พร้อมใช้งาน

    ฟีเจอร์ใหม่และการรองรับ
    รองรับ HIP 7.0, การจัดการคลัสเตอร์ และเครื่องมือสำหรับองค์กร
    ใช้งานร่วมกับโมเดล MXFP4 และ FP8 ที่ถูก quantize ด้วย AMD Quark
    รองรับ DeepSeek R1, Llama 3.3 70B, gpt-oss-120B และอื่น ๆ
    ทำงานร่วมกับ Hugging Face และ DeepSpeed ได้แบบ native

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    MI325X มี VRAM 256GB ต่อ GPU — เหนือกว่า H100 ที่ต้องแบ่งโมเดล
    ROCm ไม่ล็อกผู้ใช้กับฮาร์ดแวร์เฉพาะเหมือน CUDA
    TensorWave และ Scimus เริ่มให้บริการคลัสเตอร์ ROCm สำหรับองค์กร
    ROCm เหมาะกับงาน inference ขนาดใหญ่และ training ที่เน้นต้นทุนต่อ TFLOP

    https://wccftech.com/amd-initiates-work-on-rocm-7-compute-stack/
    🚀 “AMD เตรียมปล่อย ROCm 7.0 — ซอฟต์แวร์ AI ที่หวังโค่น CUDA ด้วยประสิทธิภาพทะลุ Blackwell” AMD กำลังเตรียมเปิดตัว ROCm 7.0 ซึ่งเป็นเวอร์ชันใหม่ของชุดซอฟต์แวร์สำหรับการประมวลผล AI และ HPC โดยมีเป้าหมายชัดเจน: สร้างทางเลือกที่แท้จริงให้กับนักพัฒนาแทนการพึ่งพา CUDA ของ NVIDIA ที่ครองตลาดมายาวนาน ROCm 7.0 ถูกเพิ่มเข้าใน GitHub แล้ว และคาดว่าจะเปิดตัวภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ในงาน Advancing AI ล่าสุด AMD ได้เผยว่า ROCm 7.0 จะมาพร้อมการปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยเฉพาะด้าน inferencing และ training ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 3.5 เท่าเมื่อเทียบกับ ROCm 6 และที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ Instinct MI355X สามารถทำ FP8 throughput ได้สูงกว่า Blackwell B200 ของ NVIDIA ถึง 30% ในโมเดล DeepSeek R1 ROCm 7.0 ยังรองรับฟีเจอร์ใหม่ เช่น HIP 7.0, การจัดการคลัสเตอร์, และเครื่องมือสำหรับองค์กร พร้อม Docker image ที่ปรับแต่งมาแล้วสำหรับ MI355, MI350, MI325 และ MI300 โดยสามารถใช้งานร่วมกับโมเดลขนาดใหญ่ที่ถูก quantize ด้วย AMD Quark เช่น Llama 3.3 70B และ gpt-oss-120B เมื่อเปรียบเทียบกับ CUDA ล่าสุด พบว่า ROCm บน MI325X มีข้อได้เปรียบในหลายด้าน เช่น VRAM ขนาด 256GB ต่อ GPU ที่ช่วยลดความซับซ้อนของ pipeline และรองรับ batch ใหญ่ ๆ ได้ดี รวมถึงการทำงานร่วมกับ Hugging Face และ DeepSpeed ได้แบบ native โดยไม่ต้อง patch เพิ่ม แม้ ROCm จะยังตามหลัง CUDA ในบางด้าน เช่น ecosystem ที่ยังไม่สมบูรณ์ และ library เฉพาะบางตัวที่ต้องปรับแต่งเอง แต่ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่จริงจังสำหรับองค์กรที่ต้องการลดต้นทุนและหลีกเลี่ยงการผูกขาดด้านฮาร์ดแวร์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AMD เตรียมเปิดตัว ROCm 7.0 เพื่อเป็นทางเลือกแทน CUDA ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพ inferencing และ training สูงถึง 3.5 เท่าเมื่อเทียบกับ ROCm 6 ➡️ MI355X ทำ FP8 throughput ได้สูงกว่า Blackwell B200 ถึง 30% ➡️ มี Docker image สำหรับ MI355, MI350, MI325 และ MI300 พร้อมใช้งาน ✅ ฟีเจอร์ใหม่และการรองรับ ➡️ รองรับ HIP 7.0, การจัดการคลัสเตอร์ และเครื่องมือสำหรับองค์กร ➡️ ใช้งานร่วมกับโมเดล MXFP4 และ FP8 ที่ถูก quantize ด้วย AMD Quark ➡️ รองรับ DeepSeek R1, Llama 3.3 70B, gpt-oss-120B และอื่น ๆ ➡️ ทำงานร่วมกับ Hugging Face และ DeepSpeed ได้แบบ native ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ MI325X มี VRAM 256GB ต่อ GPU — เหนือกว่า H100 ที่ต้องแบ่งโมเดล ➡️ ROCm ไม่ล็อกผู้ใช้กับฮาร์ดแวร์เฉพาะเหมือน CUDA ➡️ TensorWave และ Scimus เริ่มให้บริการคลัสเตอร์ ROCm สำหรับองค์กร ➡️ ROCm เหมาะกับงาน inference ขนาดใหญ่และ training ที่เน้นต้นทุนต่อ TFLOP https://wccftech.com/amd-initiates-work-on-rocm-7-compute-stack/
    WCCFTECH.COM
    AMD Preps To Release the ROCm 7.0 Compute Stack, Aiming to Position It as a Viable Alternative to NVIDIA's CUDA Ecosystem
    AMD has started working on releasing the ROCm 7 software stack, which was being hyped up as a way to break NVIDIA's CUDA 'lock-in' ecosystem.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts