อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาอัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของกาม
สัทธรรมลำดับที่ : 736
ชื่อบทธรรม :- อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของกาม 
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=736
เนื้อความทั้งหมด :-
--อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของกาม
(ธรรมลักษณะ ๓ ประการของกาม : วัตถุแห่งสัมมาทิฏฐิ) 
--ภิกษุ ท. ! 
#อะไรเป็นอัสสาทะ (รสอร่อย) ของกามทั้งหลาย ? 
+--ภิกษุ ท. ! กามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่. ห้าอย่าง อย่างไรเล่า? 
ห้าอย่าง คือ 
๑.รูป อันจะพึงรู้แจ้งด้วยตา 
๒.เสียงอันจะพึงรู้แจ้งด้วยหู 
๓.กลิ่นอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก 
๔.รสอันจะพึงรู้แจ้งด้วยลิ้น 
๕.โผฏฐัพพะอันจะพึงรู้แจ้งด้วยผิวกาย (แต่ละอย่าง ๆ) 
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก 
เป็นที่เข้าไปอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด มีอยู่ 
+--ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แลชื่อว่า กามคุณ (คุณค่าสำหรับกาม) ห้าอย่าง. 
+--ภิกษุ ท. ! สุขโสมนัสใด อาศัยกามคุณห้าเหล่านี้แล้วเกิดขึ้น , 
นี้เป็น อัสสาทะของกาม ทั้งหลาย. 
--ภิกษุ ท. ! 
#อะไรเป็นอาทีนวะ (โทษอันต่ำทราม) ของกามทั้งหลาย ?
(ก) ภิกษุ ท. ! 
กุลบุตรในโลกนี้ สำเร็จการเป็นอยู่ด้วยความพากเพียรในศิลปะ คือ 
ด้วยศิลปะแห่งการใช้สัญญาด้วยมือ ศิลปแห่งการคำนวณ ศิลปะแห่งการนับ 
ด้วยกสิกรรม ด้วยวาณิชกรรม ด้วยโครักขกรรม ด้วยศิลปะแห่งการใช้ศาตรา 
ด้วยการเป็นราชบุรุษ หรือด้วยศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง, 
+‐-ต้องเผชิญกับความหนาว เผชิญกับความร้อน ต้องลำบากอยู่ 
ด้วยสัมผัสอันเกิดจากเหลือบยุงลมแดดและสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย อ่อนแรงอยู่ 
ด้วยความหิว กระหายเพราะการไม่ได้บริโภคตามเวลา. 
+--ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นโทษแห่งกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ 
+‐-มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. 
(ข) ภิกษุ ท. ! 
แม้เมื่อกุลบุตรนั้นพากเพียรอยู่อย่างนั้น สืบต่อ พยายามอยู่อย่างนั้น 
โภคะก็ยังไม่สำเร็จแก่เขา ; 
+--เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมลำบากใจ ร่ำไรรำพัน ตีอกร่ำไห้ ถึงความคลั่งเพ้อว่า 
“ความพากเพียรของเราเป็นโมฆะเสียแล้วหนอ ความพยายามของเราไม่มีผลหนอ” 
ดังนี้ เป็นต้น. 
+--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ 
+--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. 
(ค) ภิกษุ ท. ! 
ถึงแม้ว่าเมื่อกุลบุตรนั้น พากเพียรอยู่อย่างนั้นสืบ ต่อพยายามอยู่อย่างนั้น 
โภคะเกิดสำเร็จผลแก่เขาขึ้นมา. 
+--เขาก็ยังเสวยทุกขโทมนัสเพราะการอารักขาโภคะเหล่านั้น โดยวิตกอยู่ว่า 
“ทำอย่างไรพระราชาจึงจะไม่ริบทรัพย์ของเราไป 
โจรจะไม่ปล้นทรัพย์ของเราไป 
ไฟจะไม่ไหม้ น้ำจะไม่พัดพาเอาไป 
ทายาทอันไม่เป็นที่รักจะไม่เยื้อแย่งเอาไป” ดังนี้ เป็นต้น. 
+‐-เมื่อเขาอารักขาคุ้มครองอยู่อย่างนี้ 
พระราชาริบทรัพย์ของเขาไปบ้าง 
โจรปล้นเอาไปบ้าง ไฟไหม้เสียบ้าง 
น้ำพัดพาไปเสียบ้าง ทายาทไม่เป็นที่รักเยื้อแย่งไปเสียบ้าง, 
+--เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมลำบากใจ ร่ำไรรำพัน ตีอกร่ำไห้ ถึงความคลั่งเพ้อว่า 
“สิ่งที่เคยมีแก่เรา ฉิบหายไปหมดแล้วหนอ” ดังนี้ เป็นต้น. 
+--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษแห่งกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ 
+‐-มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. 
(ง) ภิกษุ ท. ! โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า 
มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง; คือ 
ข้อที่ราชาวิวาทกับราชาบ้าง กษัตริย์วิวาทกับกษัตริย์บ้าง 
พราหมณ์วิวาทกับพราหมณ์บ้าง คหบดีวิวาทกับคหบดีบ้าง 
มารดาวิวาทแม้กับบุตร บุตรวิวาทแม้กับมารดา 
บิดาวิวาทแม้กับบุตร บุตรวิวาทแม้กับบิดา 
พี่น้องชายกับพี่น้องชาย พี่น้องหญิงกับพี่น้องหญิง 
แม้สหายกับสหายก็ยังวิวาทกัน, 
+‐-เขาเหล่านั้น ถึงการทะเลาะแก่งแย่งวิวาทกัน ในที่นั้นๆ, 
ทำร้ายกันและกันด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนดินบ้าง ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยศาตราบ้าง 
ถึงความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้างในที่นั้น ๆ 
+--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ 
+--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. 
(จ) ภิกษุ ท. ! 
โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า 
+‐-มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง ; คือ 
ข้อคนที่คนทั้งหลายถือดาบและโล่หนัง ผูกสอดธนูและแล่งศร 
แล่นเข้าไปสู่สงครามอันตั้งขึ้นเป็นกองทัพสองฝ่าย 
ยิงศรอยู่บ้าง ซัดหอกอยู่บ้าง กวัดแกว่งดาบอยู่บ้าง, 
คนเหล่านั้น ถูกศรแทงบ้าง ถูกหอกแทงบ้าง ถูกดาบตัดศีรษะบ้าง
ถึงความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้าง อยู่ในที่นั้นๆ. 
+--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ 
อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ 
+--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. 
(ฉ) ภิกษุ ท. ! 
โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า 
มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง ; คือ 
ข้อที่คนทั้งหลายถือดาบและโล่หนัง ผูกสอดธนูและแล่งศร 
แล่นเข้าประชิดเชิงเทินอันกระทำขึ้นด้วยวิธีที่เรียกว่า อัฏฏาวเลปนา*--๑ 
เมื่อมีการยิงลูกศรอยู่บ้าง ซัดหอกอยู่บ้าง กวัดแกว่งดาบอยู่บ้าง 
คนเหล่านั้นก็ถูกลูกศรแทงบ้าง ถูกหอกแทงบ้าง 
ถูกรดอยู่ด้วยเถ้าถ่านโคมัยอันร้อนบ้าง 
ปล่อยของหนักให้ตกลงทับทีเดียวตายทั้งหมู่บ้าง 
ถูกตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง ถึงความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้าง อยู่ในที่นั้นๆ. 
+--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์
อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ 
+--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.
-----
*--๑. ตีนกำแพงที่ทำให้ขรุขระไว้ด้วยของมีคม ยากแก่การที่ข้าศึกจะเข้าไป 
หรือปีนกำแพงได้. 
(ช) ภิกษุ ท. ! 
โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า 
มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง; คือ 
ข้อที่คนบางพวก ย่อมตัดช่อง ย่องเบา ปล้นสะดมในเรือนหลังเดียว 
คอยดักทำร้ายในที่เปลี่ยว และล่วงภรรยาผู้อื่น. 
พระราชาจับคนเหล่านั้นมาแล้ว ให้กระทำกรรมกรณ์วิธีการลงโทษหลายวิธีด้วยกัน เช่น 
เฆี่ยนด้วยหวายบ้าง หวดด้วยเชือกหนังบ้าง ทุบด้วยท่อนไม้บ้าง 
ตัดมือเสียบ้าง ตัดเท้าเสียบ้าง ตัดเสียทั้งมือและเท้าบ้าง 
ตัดหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดเสียทั้งหูและจมูกบ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “หม้อเคี่ยวน้ำส้ม”*--๑ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ขอดสังข์”*--๒ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ปากราหู”*--๓ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “มาลัยไฟ”*--๔ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “มือคบเพลิงบ้าง”*--๕ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ริ้วส่าย”*--๖ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “นุ่งเปลือกไม้”*--๗ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ยืนกวาง”*--๘ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เกี่ยวเหยื่อเบ็ด”*--๙ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เหรียญกษาปณ์”*--๑๐ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ทาเกลือ” บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “แปรงแสบ”*--๑๑ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เวียนหลัก”*--๑๒ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ตั่งฟาง”*--๑๓ บ้าง 
ย่อมราดด้วยน้ำมันร้อน ๆ บ้าง 
ย่อมปล่อยให้ “สุนัขทึ้ง”*--๑๔ บ้าง 
ย่อมให้นอนหงายบนหลาวทั้งเป็น ๆ บ้าง 
ย่อมตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง ; 
เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้าง อยู่ในที่นั้น ๆ. 
+--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ 
อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ 
+--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.
-----
*--๑. “หม้อเคี่ยวน้ำส้ม” คือต่อยหัวขมองแยกออก แล้วใช้คีมคีบก้อนเหล็กที่ลุกแดงใส่ลงไป ให้มันสมองเดือดพลุ่งขึ้นเหมือนน้ำส้มเดือดล้นหม้อ.
*--๒. “ขอดสังข์” คือตัดหนังควั่นไปให้รอบจอนหูทั้งสองข้าง และหลุมคอ แล้วรวบผมทั้งหมดขมวดไว้ ใช้ไม้สอดหมุนยกขึ้น ให้หนังหลุดติดขึ้นมาพร้อมกับผมแล้วใช้ทรายหยาบขัดกะโหลกศีรษะล้างให้ขาว ดั่งสังข์.
*--๓. “ปากราหู” คือใช้ขอเหล็กง้างปากให้อ้าแล้วจุดไฟในปาก. อีกอย่างหนึ่ง ใช้สิ่วตอกเจาะตั้งแต่จอนหูเข้าไปจนถึงปาก ให้โลหิตไหลออกมาเต็มปาก ดูปากอ้า ดั่งปากราหู.
*--๔. “มาลัยไฟ” คือใช้ผาชุบน้ำมันพันจนทั่วตัวแล้วจุดไฟ.
*--๕. “มือคบเพลิง” คือใช้ผ้าชุบน้ำมันพันมือทั้งสองข้างจนทั่ว แล้วจุดไฟ.
*--๖. “ริ้วส่าย” คือเชือดหนังลอกออกเป็นริ้วๆ ตั้งแต่ใต้คอไปจนถึงข้อเท้า แล้วเอาเชือกผูกฉุดคร่าไป นักโทษเดินเหยียบหนังคัวล้มลุกคลุกคลานไปจนกว่าจะตาย.
*--๗. “นุ่งเปลือกไม้” คือเชือดหนังเป็นริ้วๆอย่างบทก่อน แต่ทำเป็นสองตอน ตั้งแต่ใต้คอจนถึงเอวตอนหนึ่ง ตั้งแต่เอวจนถึงข้อเท้าตอนหนึ่ง ริ้วหนังตอนบนห้อยคลุมลงมาปิดกายตอนล่าง ดูดั่งนุ่งเปลือกไม้.
*--๘. “ยืนกวาง” คือใช้ห่วงเหล็กรัดข้อศอกทั้งสอง และเข่าทั้งสอง ตรึงติดไว้กับหลักเหล็กสี่หลักบนพื้นดิน ดูดั่ง กวางถูกตรึง แล้วก่อไฟล้อมลนจนกว่าจะตาย.
*--๙. “เกี่ยวเหยื่อเบ็ด” คือใช้เบ็ดมีเงี่ยงสองข้าง เกี่ยวตัวดึงเอาหนังเนื้อและเอ็นออกมาให้หมด.
*--๑๐. “เหรียญกษาปณ์” คือใช้มีดคมเชือดหนังออกเป็นแว่นๆ ขนาดเท่าเงินเหรียญจนกว่าจะตาย.
*--๑๑. “แปรงแสบ” คือฟันสับเสียให้ยับทั่วกาย แล้วใช้แปรงชุบน้ำแสบ (มีน้ำเกลือเป็นต้น) ถูครูดสีไปมาให้เนื้อเอ็นขาดหลุดออกมา เหลือแต่กระดูก.
*--๑๒. “เวียนหลัก” คือให้นอนตะแคง แล้วใช้หลาวเหล็กตอกเข้าช่องหูให้ทะลุ ลงไปตรึงแน่นอยู่กับดิน แล้วจับเท้าทั้งสองเดินเวียน.
*--๑๓. “ตั่งฟาง” คือใช้ลูกหินบดทับตัว บดให้กระดูกแตกละเอียด แต่ไม่ให้หนังขาด แล้วจับผมรวบขึ้นเขย่าๆ ให้เนื้อรวมเข้าเป็นกอง แล้วใช้ผมนั่นแหละพันตะล่อมวางไว้ เหมือนตั่งที่ทำด้วยฟางสำหรับเช็ดเท้า.
*--๑๔. “ให้สุนัขทึ้ง” คือขังฝูงสุนัขให้อดหิวโซหลายวัน แล้วปล่อยให้ออกมารุมทึ้ง พักเดียวเหลือแต่กระดูก. 
--*-- นัยแห่งอรรถกถาและพระไตรปิฎกแปลของ ม . อำไพจริต.--*-- 
(ญ) ภิกษุ ท. ! 
โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า 
มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง ; 
คือข้อที่คนทั้งหลายประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ, 
ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจแล้ว, 
เขาเหล่านั้น ย่อม เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เบื้องหน้าแต่การตาย 
เพราะการแตกสลายแห่งกาย. 
+--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ 
อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ 
+--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. 
--ภิกษุ ท. ! 
#อะไรเป็นนิสสรณะ (อุบายเป็นเครื่องออก) จากกามทั้งหลาย ? 
+--ภิกษุ ท. ! 
การนำออกเสียได้ซึ่งฉันทราคะ 
#การละเสียได้ซึ่งฉันทราคะ ในกามทั้งหลาย อันใด, 
อันนั้น เป็นนิสสรณะจากกามทั้งหลาย. 
http://etipitaka.com/read/pali/12/168/?keywords=ฉนฺทราคปฺปหานํ
+--ภิกษุ ท. ! สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด 
#ไม่รู้ชัดตามเป็นจริง 
ซึ่ง อัสสาทะแห่งกามทั้งหลาย โดยความเป็นอัสสาทะด้วย 
ซึ่ง อาทีนวะ โดยความเป็นอาทีนวะด้วย 
ซึ่ง นิสสรณะ โดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการเหล่านี้ อยู่; 
สมณะพราหมณ์เหล่านั้นน่ะหรือ จักรู้รอบซึ่งกามทั้งหลายด้วยตนเอง 
หรือว่าจักชักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งกามเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว 
ดังนี้นั้น : นั่นไม่เป็นฐานะที่มีได้.
+--ภิกษุ ท. ! ส่วน สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด 
#รู้ชัดตามเป็นจริง 
ซึ่ง อัสสาทะแห่งกามทั้งหลาย โดยความเป็นอัสสาทะด้วย 
ซึ่ง อาทีนวะ โดยความเป็นอาทีนวะด้วย 
ซึ่ง นิสสรณะ โดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้อยู่ ; 
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นนั่นแหละ จักรอบรู้ซึ่งกามทั้งหลายด้วยตนเอง 
หรือว่าจักชักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งกามเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว 
ดังนี้นั้น : นั่นเป็นฐานะที่มีได้.-  
#ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู.ม. 12/115-120/197-200. 
http://etipitaka.com/read/thai/12/115/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%97
อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู.ม. ๑๒/๑๖๘-๑๗๓/๑๙๗-๒๐๐. 
http://etipitaka.com/read/pali/12/168/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%97
ศึกษาเพิ่มเติม...  
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=55&id=736 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=55
ลำดับสาธยายธรรม : 55 ฟังเสียงอ่าน.. 
http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_55.mp3  อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาอัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของกาม
สัทธรรมลำดับที่ : 736
ชื่อบทธรรม :- อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของกาม
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=736
เนื้อความทั้งหมด :-
--อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของกาม
(ธรรมลักษณะ ๓ ประการของกาม : วัตถุแห่งสัมมาทิฏฐิ)
--ภิกษุ ท. ! #อะไรเป็นอัสสาทะ (รสอร่อย) ของกามทั้งหลาย ? 
+--ภิกษุ ท. ! กามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่. ห้าอย่าง อย่างไรเล่า? 
ห้าอย่าง คือ 
๑.รูป อันจะพึงรู้แจ้งด้วยตา 
๒.เสียงอันจะพึงรู้แจ้งด้วยหู 
๓.กลิ่นอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก 
๔.รสอันจะพึงรู้แจ้งด้วยลิ้น 
๕.โผฏฐัพพะอันจะพึงรู้แจ้งด้วยผิวกาย (แต่ละอย่าง ๆ) 
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก 
เป็นที่เข้าไปอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด มีอยู่ 
+--ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แลชื่อว่า กามคุณ (คุณค่าสำหรับกาม) ห้าอย่าง. 
+--ภิกษุ ท. ! สุขโสมนัสใด อาศัยกามคุณห้าเหล่านี้แล้วเกิดขึ้น , 
นี้เป็น อัสสาทะของกาม ทั้งหลาย.
--ภิกษุ ท. ! #อะไรเป็นอาทีนวะ (โทษอันต่ำทราม) ของกามทั้งหลาย ?
(ก) ภิกษุ ท. ! 
กุลบุตรในโลกนี้ สำเร็จการเป็นอยู่ด้วยความพากเพียรในศิลปะ คือ 
ด้วยศิลปะแห่งการใช้สัญญาด้วยมือ ศิลปแห่งการคำนวณ ศิลปะแห่งการนับ 
ด้วยกสิกรรม ด้วยวาณิชกรรม ด้วยโครักขกรรม ด้วยศิลปะแห่งการใช้ศาตรา 
ด้วยการเป็นราชบุรุษ หรือด้วยศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง, 
+‐-ต้องเผชิญกับความหนาว เผชิญกับความร้อน ต้องลำบากอยู่ 
ด้วยสัมผัสอันเกิดจากเหลือบยุงลมแดดและสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย อ่อนแรงอยู่ 
ด้วยความหิว กระหายเพราะการไม่ได้บริโภคตามเวลา. 
+--ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นโทษแห่งกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ 
+‐-มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.
(ข) ภิกษุ ท. ! 
แม้เมื่อกุลบุตรนั้นพากเพียรอยู่อย่างนั้น สืบต่อ พยายามอยู่อย่างนั้น 
โภคะก็ยังไม่สำเร็จแก่เขา ; 
+--เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมลำบากใจ ร่ำไรรำพัน ตีอกร่ำไห้ ถึงความคลั่งเพ้อว่า 
“ความพากเพียรของเราเป็นโมฆะเสียแล้วหนอ ความพยายามของเราไม่มีผลหนอ” 
ดังนี้ เป็นต้น. 
+--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ 
+--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.
(ค) ภิกษุ ท. ! 
ถึงแม้ว่าเมื่อกุลบุตรนั้น พากเพียรอยู่อย่างนั้นสืบ ต่อพยายามอยู่อย่างนั้น 
โภคะเกิดสำเร็จผลแก่เขาขึ้นมา. 
+--เขาก็ยังเสวยทุกขโทมนัสเพราะการอารักขาโภคะเหล่านั้น โดยวิตกอยู่ว่า 
“ทำอย่างไรพระราชาจึงจะไม่ริบทรัพย์ของเราไป 
โจรจะไม่ปล้นทรัพย์ของเราไป 
ไฟจะไม่ไหม้ น้ำจะไม่พัดพาเอาไป 
ทายาทอันไม่เป็นที่รักจะไม่เยื้อแย่งเอาไป” ดังนี้ เป็นต้น. 
+‐-เมื่อเขาอารักขาคุ้มครองอยู่อย่างนี้ 
พระราชาริบทรัพย์ของเขาไปบ้าง 
โจรปล้นเอาไปบ้าง ไฟไหม้เสียบ้าง 
น้ำพัดพาไปเสียบ้าง ทายาทไม่เป็นที่รักเยื้อแย่งไปเสียบ้าง, 
+--เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมลำบากใจ ร่ำไรรำพัน ตีอกร่ำไห้ ถึงความคลั่งเพ้อว่า 
“สิ่งที่เคยมีแก่เรา ฉิบหายไปหมดแล้วหนอ” ดังนี้ เป็นต้น. 
+--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษแห่งกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ 
+‐-มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.
(ง) ภิกษุ ท. ! โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า 
มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง; คือ 
ข้อที่ราชาวิวาทกับราชาบ้าง กษัตริย์วิวาทกับกษัตริย์บ้าง 
พราหมณ์วิวาทกับพราหมณ์บ้าง คหบดีวิวาทกับคหบดีบ้าง 
มารดาวิวาทแม้กับบุตร บุตรวิวาทแม้กับมารดา 
บิดาวิวาทแม้กับบุตร บุตรวิวาทแม้กับบิดา 
พี่น้องชายกับพี่น้องชาย พี่น้องหญิงกับพี่น้องหญิง 
แม้สหายกับสหายก็ยังวิวาทกัน, 
+‐-เขาเหล่านั้น ถึงการทะเลาะแก่งแย่งวิวาทกัน ในที่นั้นๆ, 
ทำร้ายกันและกันด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนดินบ้าง ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยศาตราบ้าง 
ถึงความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้างในที่นั้น ๆ 
+--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ 
+--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.
(จ) ภิกษุ ท. ! 
โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า 
+‐-มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง ; คือ 
ข้อคนที่คนทั้งหลายถือดาบและโล่หนัง ผูกสอดธนูและแล่งศร 
แล่นเข้าไปสู่สงครามอันตั้งขึ้นเป็นกองทัพสองฝ่าย 
ยิงศรอยู่บ้าง ซัดหอกอยู่บ้าง กวัดแกว่งดาบอยู่บ้าง, 
คนเหล่านั้น ถูกศรแทงบ้าง ถูกหอกแทงบ้าง ถูกดาบตัดศีรษะบ้าง
ถึงความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้าง อยู่ในที่นั้นๆ. 
+--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ 
อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ 
+--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.
(ฉ) ภิกษุ ท. ! 
โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า 
มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง ; คือ 
ข้อที่คนทั้งหลายถือดาบและโล่หนัง ผูกสอดธนูและแล่งศร 
แล่นเข้าประชิดเชิงเทินอันกระทำขึ้นด้วยวิธีที่เรียกว่า อัฏฏาวเลปนา*--๑ 
เมื่อมีการยิงลูกศรอยู่บ้าง ซัดหอกอยู่บ้าง กวัดแกว่งดาบอยู่บ้าง 
คนเหล่านั้นก็ถูกลูกศรแทงบ้าง ถูกหอกแทงบ้าง 
ถูกรดอยู่ด้วยเถ้าถ่านโคมัยอันร้อนบ้าง 
ปล่อยของหนักให้ตกลงทับทีเดียวตายทั้งหมู่บ้าง 
ถูกตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง ถึงความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้าง อยู่ในที่นั้นๆ. 
+--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์
อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ 
+--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.
-----
*--๑. ตีนกำแพงที่ทำให้ขรุขระไว้ด้วยของมีคม ยากแก่การที่ข้าศึกจะเข้าไป 
หรือปีนกำแพงได้.
(ช) ภิกษุ ท. ! 
โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า 
มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง; คือ 
ข้อที่คนบางพวก ย่อมตัดช่อง ย่องเบา ปล้นสะดมในเรือนหลังเดียว 
คอยดักทำร้ายในที่เปลี่ยว และล่วงภรรยาผู้อื่น. 
พระราชาจับคนเหล่านั้นมาแล้ว ให้กระทำกรรมกรณ์วิธีการลงโทษหลายวิธีด้วยกัน เช่น 
เฆี่ยนด้วยหวายบ้าง หวดด้วยเชือกหนังบ้าง ทุบด้วยท่อนไม้บ้าง 
ตัดมือเสียบ้าง ตัดเท้าเสียบ้าง ตัดเสียทั้งมือและเท้าบ้าง 
ตัดหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดเสียทั้งหูและจมูกบ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “หม้อเคี่ยวน้ำส้ม”*--๑ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ขอดสังข์”*--๒ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ปากราหู”*--๓ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “มาลัยไฟ”*--๔ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “มือคบเพลิงบ้าง”*--๕ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ริ้วส่าย”*--๖ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “นุ่งเปลือกไม้”*--๗ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ยืนกวาง”*--๘ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เกี่ยวเหยื่อเบ็ด”*--๙ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เหรียญกษาปณ์”*--๑๐ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ทาเกลือ” บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “แปรงแสบ”*--๑๑ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เวียนหลัก”*--๑๒ บ้าง 
ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ตั่งฟาง”*--๑๓ บ้าง 
ย่อมราดด้วยน้ำมันร้อน ๆ บ้าง 
ย่อมปล่อยให้ “สุนัขทึ้ง”*--๑๔ บ้าง 
ย่อมให้นอนหงายบนหลาวทั้งเป็น ๆ บ้าง 
ย่อมตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง ; 
เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้าง อยู่ในที่นั้น ๆ. 
+--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ 
อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ 
+--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.
-----
*--๑. “หม้อเคี่ยวน้ำส้ม” คือต่อยหัวขมองแยกออก แล้วใช้คีมคีบก้อนเหล็กที่ลุกแดงใส่ลงไป ให้มันสมองเดือดพลุ่งขึ้นเหมือนน้ำส้มเดือดล้นหม้อ.
*--๒. “ขอดสังข์” คือตัดหนังควั่นไปให้รอบจอนหูทั้งสองข้าง และหลุมคอ แล้วรวบผมทั้งหมดขมวดไว้ ใช้ไม้สอดหมุนยกขึ้น ให้หนังหลุดติดขึ้นมาพร้อมกับผมแล้วใช้ทรายหยาบขัดกะโหลกศีรษะล้างให้ขาว ดั่งสังข์.
*--๓. “ปากราหู” คือใช้ขอเหล็กง้างปากให้อ้าแล้วจุดไฟในปาก. อีกอย่างหนึ่ง ใช้สิ่วตอกเจาะตั้งแต่จอนหูเข้าไปจนถึงปาก ให้โลหิตไหลออกมาเต็มปาก ดูปากอ้า ดั่งปากราหู.
*--๔. “มาลัยไฟ” คือใช้ผาชุบน้ำมันพันจนทั่วตัวแล้วจุดไฟ.
*--๕. “มือคบเพลิง” คือใช้ผ้าชุบน้ำมันพันมือทั้งสองข้างจนทั่ว แล้วจุดไฟ.
*--๖. “ริ้วส่าย” คือเชือดหนังลอกออกเป็นริ้วๆ ตั้งแต่ใต้คอไปจนถึงข้อเท้า แล้วเอาเชือกผูกฉุดคร่าไป นักโทษเดินเหยียบหนังคัวล้มลุกคลุกคลานไปจนกว่าจะตาย.
*--๗. “นุ่งเปลือกไม้” คือเชือดหนังเป็นริ้วๆอย่างบทก่อน แต่ทำเป็นสองตอน ตั้งแต่ใต้คอจนถึงเอวตอนหนึ่ง ตั้งแต่เอวจนถึงข้อเท้าตอนหนึ่ง ริ้วหนังตอนบนห้อยคลุมลงมาปิดกายตอนล่าง ดูดั่งนุ่งเปลือกไม้.
*--๘. “ยืนกวาง” คือใช้ห่วงเหล็กรัดข้อศอกทั้งสอง และเข่าทั้งสอง ตรึงติดไว้กับหลักเหล็กสี่หลักบนพื้นดิน ดูดั่ง กวางถูกตรึง แล้วก่อไฟล้อมลนจนกว่าจะตาย.
*--๙. “เกี่ยวเหยื่อเบ็ด” คือใช้เบ็ดมีเงี่ยงสองข้าง เกี่ยวตัวดึงเอาหนังเนื้อและเอ็นออกมาให้หมด.
*--๑๐. “เหรียญกษาปณ์” คือใช้มีดคมเชือดหนังออกเป็นแว่นๆ ขนาดเท่าเงินเหรียญจนกว่าจะตาย.
*--๑๑. “แปรงแสบ” คือฟันสับเสียให้ยับทั่วกาย แล้วใช้แปรงชุบน้ำแสบ (มีน้ำเกลือเป็นต้น) ถูครูดสีไปมาให้เนื้อเอ็นขาดหลุดออกมา เหลือแต่กระดูก.
*--๑๒. “เวียนหลัก” คือให้นอนตะแคง แล้วใช้หลาวเหล็กตอกเข้าช่องหูให้ทะลุ ลงไปตรึงแน่นอยู่กับดิน แล้วจับเท้าทั้งสองเดินเวียน.
*--๑๓. “ตั่งฟาง” คือใช้ลูกหินบดทับตัว บดให้กระดูกแตกละเอียด แต่ไม่ให้หนังขาด แล้วจับผมรวบขึ้นเขย่าๆ ให้เนื้อรวมเข้าเป็นกอง แล้วใช้ผมนั่นแหละพันตะล่อมวางไว้ เหมือนตั่งที่ทำด้วยฟางสำหรับเช็ดเท้า.
*--๑๔. “ให้สุนัขทึ้ง” คือขังฝูงสุนัขให้อดหิวโซหลายวัน แล้วปล่อยให้ออกมารุมทึ้ง พักเดียวเหลือแต่กระดูก. 
--*-- นัยแห่งอรรถกถาและพระไตรปิฎกแปลของ ม . อำไพจริต.--*--
(ญ) ภิกษุ ท. ! 
โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า 
มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง ; 
คือข้อที่คนทั้งหลายประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ, 
ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจแล้ว, 
เขาเหล่านั้น ย่อม เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เบื้องหน้าแต่การตาย 
เพราะการแตกสลายแห่งกาย. 
+--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ 
อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ 
+--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.
--ภิกษุ ท. ! #อะไรเป็นนิสสรณะ (อุบายเป็นเครื่องออก) จากกามทั้งหลาย ? 
+--ภิกษุ ท. ! 
การนำออกเสียได้ซึ่งฉันทราคะ #การละเสียได้ซึ่งฉันทราคะ ในกามทั้งหลาย อันใด, 
อันนั้น เป็นนิสสรณะจากกามทั้งหลาย.
http://etipitaka.com/read/pali/12/168/?keywords=ฉนฺทราคปฺปหานํ
+--ภิกษุ ท. ! สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด #ไม่รู้ชัดตามเป็นจริง 
ซึ่ง อัสสาทะแห่งกามทั้งหลาย โดยความเป็นอัสสาทะด้วย 
ซึ่ง อาทีนวะ โดยความเป็นอาทีนวะด้วย 
ซึ่ง นิสสรณะ โดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการเหล่านี้ อยู่; 
สมณะพราหมณ์เหล่านั้นน่ะหรือ จักรู้รอบซึ่งกามทั้งหลายด้วยตนเอง 
หรือว่าจักชักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งกามเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว 
ดังนี้นั้น : นั่นไม่เป็นฐานะที่มีได้.
+--ภิกษุ ท. ! ส่วน สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด #รู้ชัดตามเป็นจริง 
ซึ่ง อัสสาทะแห่งกามทั้งหลาย โดยความเป็นอัสสาทะด้วย 
ซึ่ง อาทีนวะ โดยความเป็นอาทีนวะด้วย 
ซึ่ง นิสสรณะ โดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้อยู่ ; 
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นนั่นแหละ จักรอบรู้ซึ่งกามทั้งหลายด้วยตนเอง 
หรือว่าจักชักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งกามเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว 
ดังนี้นั้น : นั่นเป็นฐานะที่มีได้.-
#ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู.ม. 12/115-120/197-200.
http://etipitaka.com/read/thai/12/115/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%97
อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู.ม. ๑๒/๑๖๘-๑๗๓/๑๙๗-๒๐๐.
http://etipitaka.com/read/pali/12/168/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%97
ศึกษาเพิ่มเติม... 
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=55&id=736
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=55
ลำดับสาธยายธรรม : 55 ฟังเสียงอ่าน..
http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_55.mp3