• ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 19

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 19
    นาย Hoover อดีตประธานาธิบดีอเมริกา คนที่แม้ตอนนั้นอกจะยังกลัดหนอง จากโดนบี้เสียเละ ในช่วงที่เป็นประธานาธิบดีสมัย Great Depression ของอเมริกา เขาเป็นประธานาธิบดีอเมริกันที่ถูกประชาชน ประท้วงรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ แถมมีคนซ้ำเติม เขาคงไม่ลืม เขาจึงนั่ง (รับใบสั่ง) เป็นผู้บัญชาการเงาของ SCAP อยู่ที่อพาทเม้นต์ข้างบนโรงแรมหรู ในนิวยอร์ค โดยมีอดีตทูต Grew และ Harry F Kern ร่วมนั่งรับการบัญชา
    หลังจากฝ่ายบัญชาการปล่อยข่าวออกไป จนน่าจะได้ที่ และได้ที เจ้าหน้าที่ของทางวังก็เริ่มมาหารือกับ Grew ถึงทางออกของจักรพรรดิ ที่คงจะเสียหน้ามาก ถ้าจะต้องออกมาเป็นผู้พูด รับผิดในการสั่งทหารญี่ปุ่นเข้าทำสงครามโลก ผลของการปรึกษา เจรจากันหลายรอบ ระหว่างตัวแทนของวังกับฝั่งของ ฝ่ายบัญชาการ ในที่สุดจักรพรรดิ ก็ตกลงยอมที่จะไปพบ นายพลแมค ที่สำนักงานใหญ่ของ SCAP ปิดห้องเจรจากัน 2 คน มันเป็นเรื่องที่จักรพรรดิไม่เคยต้องทำ แต่จักรพรรดิยอมเดินทางไปพบนายพลแมค มีแค่ องคมนตรีติดไปด้วย เพื่อทำหน้าที่เป็นล่าม โดยสาบานตนว่าจะไม่เปิดเผยต่อ ไม่ว่ากับใครทั้งสิ้น ไม่มีใครรู้ว่าทั้ง 2 เจรจาอะไรบ้าง
    แล้วคำแถลงของจักรพรรดิ ที่ใช้เวลาร่างและแก้อยู่หลายสิบ รอบ ก็ออกวิทยุที่ญี่ปุ่น ในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ.1945 ไม่มีการพูดถึง การสั่งเข้าทำสงคราม ไม่มีคำขอโทษ แต่ให้คนฟังเข้าใจเอาเองว่า จักรพรรดิเสียใจสุดซึ้ง มันเป็นคำแถลงที่สุดยอดญี่ปุ่น แปลว่า เข้าใจยากครับ ผมพยายามอ่านอยู่หลายเที่ยว เป็นฉบับภาษาอังกฤษ ที่แปลมาจากภาษาญี่ปุ่นอีกที สงสัยภาษาอังกฤษผมอ่อนมาก ผมชักไม่แน่ใจว่า ตกลงจักรพรรดิเสียใจสุดซึ้งเรื่องอะไรกันแน่ (ท่านใดที่สนใจว่าจักรพรรดิพูดว่าอะไร กดดูในกูเกิล emperor speech ได้เลยครับ)
    หลังจากนั้นก็มาถึงคิวบรรดาหัวกะทิ นักธุรกิจนักการเงินใหญ่ ที่ SCAP สั่งดำเนินดคี เนื่องจากมีส่วนพัวพัน สนับสนุน รวมทั้งค้าขาย ทำกำไรจากการทำสงครามอันโหดร้ายของญี่ปุ่น บริษัทเหล่านี้จะมีสิทธิถูกพิจารณาลงโทษ ให้ปรับปรุงกิจการ เลิกการผูกขาด ลดขนาดบริษัท ไปจนถึง ต้องเลิกกิจการ
    Harry F Kern บรรณาธิการข่าวต่างประเทศของนิตยสาร Newsweek ซึ่งมีเสียงดังมากในสมัยนั้น เป็นหัวเรือใหญ่ ตั้งสำนักล้อบบี้รุ่นแรก American Council on Japan (ACJ) หรือบางทีเรียกกันว่า Japan Lobby ร่วมกับสื่อใหญ่อีกคน Compton Pakenham ประจำสำนักงานในโตเกียว และ James Lee Kauffman ทนายจากนิวยอร์ค ที่มาสอนหนังสือ อยู่ที่ มหาวิทยาลัยโตเกียว ในช่วงปี ค.ศ.1913 – 1919 และเป็นที่ปรึกษากฏหมาย ให้ธุรกิจใหญ่อเมริกันในโตเกียว เช่น บริษัท General Electric , Standard Oil, Westing House, Ford, Otis Elevator และ Dillion Reed ร่วมในขบวนการล้อบบี้ด้วย
    Kern เป็นสื่อ ที่จบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาด สนใจด้านการเมืองแถบเอเซียมานานแล้วเป็นเพื่อนสนิทกับพวก Harriman คู่หูของร้อกกี้ the great ในจีน ส่วน Pakenham เกิดและโตมาในญี่ปุ่น และเป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าพ่อ ในญี่ปุ่นเกือบทุกคน
    Grew อดีตทูตอเมริกันประจำญี่ปุ่น รับหน้าที่เป็นประธานของสำนักล้อบบี้ AJC ร่วมกับ Wiiliam Castle เจ้าของไร่ใหญ่ในฮาวาย และเคยเป็นปลัดกระทรวงต่างประเทศสมัย Hoover เป็นประธานาธิบดี
    ปี ค.ศ.1947 Kuaffman ในฐานะตัวแทนของ Dillion Reed บริษัทการเงินในวอลสตรีท ที่มีความใกล้ชิดกับร้อกกี้มากกว่ามอร์แกน เดินทางมาโตเกียวเพื่อประเมินนโยบาย FEC-230 ของวอชิงตัน ที่ให้ตอนพันธ์ุพวกหัวกะทิ นักธุรกิจใหญ่ ที่เรียกว่า zaibatsu จากต้นใหญ่ เหลือเป็นบอนไซในกระถางน่าเอ็น ดู เมื่อเขากลับไปอเมริกา เขารีบส่งการบ้าน หลังจากนั้นนโยบาย FEC-230 ก็ถูกส่งไปให้ Newsweek โดย William Draper หุ้นส่วนใหญ่ ของ Dillion Reed ที่ขอลาชั่วคราวมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม
    Newsweek เขียนบทความ แบบด่าไม่เลี้ยงว่า การลงโทษธุรกิจญี่ปุ่น ตามนโยบายดังกล่าว จะทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นพังพินาศ จะทำให้ชาวญี่ปุ่นที่ทำงานในภาคธุรกิจ ตกงานเป็นหมื่นๆคน มันเป็นการลงโทษนักธุรกิจญี่ปุ่น แต่สร้างความเสียหายให้แก่ชาวอเมริกันที่เสียภาษีอย่างแสนสาหัส เพราะจะต้องไปรับภาระนั้นแทนญี่ปุ่น
    มันเป็นช่วงที่ นายพลแมค กำลังเริ่มหาเสียงจะลงเลือกตั้ง มาโดนสื่อใหญ่ถล่มเละ แถมพวกลิพับลิกันก็ช่วยกันด่าซ้ำ เพราะทำให้พรรคเสียคะแนน ท่านนายพลแมค จึงรีบสั่งระงับการเอาบอนไซพันธ์ุ zaibatsu ลงกระถางไว้ชั่วคราวก่อน แต่มีคนใจร้อนขี้เกียจคอย
    คราวนี้นาย William Draper มาญี่ปุ่นเอง ในฐานะตัวแทนรัฐบาลอเมริกัน แถมพ่วงเอานายธนาคารใหญ่ อีกคน Percy Johnson มาด้วย Johnson เป็นประธาน Chemical Bank ในนิวยอร์ค ซึ่งเป็นคู่ค้ากับ Mitsui Bank ยักษ์ใหญ่มากของญี่ปุ่น พวกเขาสอบถามซักไซ้ผู้ที่เกี่ยว ข้องอย่างรวดเร็ว แล้วรีบกลับไปทำรายงาน Draper-Johnson สรุปว่า พวก zaibatsu ไม่สมควรที่จะรับโทษ ในการทำสงคราม แต่ควรให้พวกเขารีบมาฟื้นฟูเศรษฐกิจของญี่ปุ่น จะได้ไม่เป็นภาระกับอเมรืกา ในการ(ควักกระเป๋า) ดูแลเลี้ยงดูญี่ปุ่น ด้วยภาษีของคนอเมริกัน เยี่ยมจริงๆ
    สรุปแบบนี้ วอชิงตันก็โกลาหล มีทั้งฝ่ายค้าน และฝ่ายเชียร์ ในที่สุด การเมืองอเมริกัน ที่ว่าเป็นประชาธิปไตย ก็ (ถูกสั่งให้) ตัดสินใจยกเลิกการตอนพันธ์ zaibatsu และบริษัทญี่ปุ่น ที่อยู่ในข่ายว่าจะต้องถูกตอนจำนวน 325 บริษัท ก็ลดลงเหลือเพียง 20 บริษัท ส่วนพวก zaibatsu ที่รอดมา เปลี่ยนชื่อใหม่ชั่วคราว พอให้ควันจาง ก็กลับไปใช้ชื่อเดิม
    ส่วนเรื่อง จักรพรรดิ ทหาร และนักการเมือง อเมริกา หลังจากขู่เข้ม จนราดเต็มกางเกงกันไปหมดแล้ว ก็สรุปว่า ให้ไประบุให้ชัดเจนว่า จักรพรรดิอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ต่อไปใครจะมากล่าวหาว่าจักรพรรดินำรบไม่ได้แล้วนะ และ ให้แน่ใจว่า ทหารเลิกบ้าเลือด ก็ยุบกองทัพ เหลือแค่เป็นกองกำลังป้องกันตัวเอง ทั้งหมดนี้ ให้กำหนดอยู่ในรัฐธรรมนูญใหม่ ที่นายพลแมคให้จัดร่างขึ้นมาใหม่
    พอถึงปี ค.ศ.1951 ทั้งสองแสนสองหมื่นคน ก็หลุดจากคุกหมด ยกเว้นพวกที่หลุดมาก่อนหน้านั้นแล้ว ก็พวกหัวกะทิไง ให้ออกมาก่อน เก็บไว้แต่หางกะทิ
    ในปี ค.ศ.1952 นายพลแมค ก็จัดให้มีการเลือกตั้งในญี่ปุ่น และนายโยชิดะ จากพรรค Liberal Democrat Party (LDP) ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนายพลแมค
    ส่วนความฝันของนายพลแมคเอง ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ในปี ค.ศ.1948 เขาหาเสียงโดยตรงไม่ได้ เพราะกำลังวุ่นเรื่อง SCAP อยู่ แต่เขาประกาศผ่านพวกรีพับลิกัน โดยเฉพาะกับ Hoover ที่กำกับเขามาตลอด ว่าเขาพร้อมแล้ว แต่ดูเหมือนท่านนายพลห้าดาวจะไม่ผ่านแม้แต่การเลือกตั้งตัวแทนภายในพรรครอบแรก แต่คงไม่ช้ำใจมาก ได้ของปลอบใจไปแยะ เรียงกันหลายหลักมาก
    ทั้งหมดนี่ น่าจะเป็นผลงานการทำงานหนักของ ACJ ใครจะว่าอย่างไรก็ตาม ภายหลังจักรพรรดิให้เหรียญตราสูงสุดกับ Kern และ Pakenham ทั้ง 2 ก็คนแล้วกัน
    ACJ เป็นหน่วยงานทำอะไรกันแน่ เห็นไม่ชัดเจนในช่วงนั้น เช่นเดียวกับ หน่วยงาน MRA แต่ต่อมาภายหลัง มีเอกสารเป็นหลักฐานว่า 2 หน่วยงานนี้ คือหน่วยงานหน้าฉากของ CIA และทำงานภายใต้ใบกำกับ เช่นเดียวกัน
    เรื่องของ ACJ นี้ เป็นตำนานของการใช้สื่อ และการล้อบบี้ที่บันลือโลกมาก เป็นตัวอย่างว่า ปากและปากกานั่น ใช้ให้ถูกที่ ถูกเวลา ถูกคน ก็ล้มรัฐบาล หรือ ครอบครองประเทศได้ โดยไม่ต้องใช้กำลังทหาร และแม้แต่ทหารใหญ่อย่าง นายพลแมค ที่มีหน้าที่ปกครองญี่ปุ่นในตอนนั้น ยังต้องรีบเปลี่ยนบท
    เฮ้ย ทำไมมันขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อน พอแตกใบอ่อนดันกลายเป็นบ้องกัญ ชาอย่างนึ้ ทำเป็นฮึดฮัดโกรธจัดเรื่อง Pearl Habour ถึงขนาดต้องเอาคืน ด้วยการป้อนดอกเห็ดยักษ์ ให้พวกชอบปลาดิบกิน จนตายกันเป็นเบื่อ แล้วจบกันง่ายๆ อย่างนี้นะหรือ ที่บางประเทศ แค่ปฏิวัติบ่อยหน่อย ยังไม่ได้ถล่มกองเรือของใครเลย ทำไมด่าซ้ำด่าซาก ไม่ด่าเปล่า เสือกมีของแถมมาขู่อีก แบบนี้ ก็ยังจบเรื่องไม่ได้ แค่จบตอนครับ
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    30 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 19 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 19 นาย Hoover อดีตประธานาธิบดีอเมริกา คนที่แม้ตอนนั้นอกจะยังกลัดหนอง จากโดนบี้เสียเละ ในช่วงที่เป็นประธานาธิบดีสมัย Great Depression ของอเมริกา เขาเป็นประธานาธิบดีอเมริกันที่ถูกประชาชน ประท้วงรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ แถมมีคนซ้ำเติม เขาคงไม่ลืม เขาจึงนั่ง (รับใบสั่ง) เป็นผู้บัญชาการเงาของ SCAP อยู่ที่อพาทเม้นต์ข้างบนโรงแรมหรู ในนิวยอร์ค โดยมีอดีตทูต Grew และ Harry F Kern ร่วมนั่งรับการบัญชา หลังจากฝ่ายบัญชาการปล่อยข่าวออกไป จนน่าจะได้ที่ และได้ที เจ้าหน้าที่ของทางวังก็เริ่มมาหารือกับ Grew ถึงทางออกของจักรพรรดิ ที่คงจะเสียหน้ามาก ถ้าจะต้องออกมาเป็นผู้พูด รับผิดในการสั่งทหารญี่ปุ่นเข้าทำสงครามโลก ผลของการปรึกษา เจรจากันหลายรอบ ระหว่างตัวแทนของวังกับฝั่งของ ฝ่ายบัญชาการ ในที่สุดจักรพรรดิ ก็ตกลงยอมที่จะไปพบ นายพลแมค ที่สำนักงานใหญ่ของ SCAP ปิดห้องเจรจากัน 2 คน มันเป็นเรื่องที่จักรพรรดิไม่เคยต้องทำ แต่จักรพรรดิยอมเดินทางไปพบนายพลแมค มีแค่ องคมนตรีติดไปด้วย เพื่อทำหน้าที่เป็นล่าม โดยสาบานตนว่าจะไม่เปิดเผยต่อ ไม่ว่ากับใครทั้งสิ้น ไม่มีใครรู้ว่าทั้ง 2 เจรจาอะไรบ้าง แล้วคำแถลงของจักรพรรดิ ที่ใช้เวลาร่างและแก้อยู่หลายสิบ รอบ ก็ออกวิทยุที่ญี่ปุ่น ในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ.1945 ไม่มีการพูดถึง การสั่งเข้าทำสงคราม ไม่มีคำขอโทษ แต่ให้คนฟังเข้าใจเอาเองว่า จักรพรรดิเสียใจสุดซึ้ง มันเป็นคำแถลงที่สุดยอดญี่ปุ่น แปลว่า เข้าใจยากครับ ผมพยายามอ่านอยู่หลายเที่ยว เป็นฉบับภาษาอังกฤษ ที่แปลมาจากภาษาญี่ปุ่นอีกที สงสัยภาษาอังกฤษผมอ่อนมาก ผมชักไม่แน่ใจว่า ตกลงจักรพรรดิเสียใจสุดซึ้งเรื่องอะไรกันแน่ (ท่านใดที่สนใจว่าจักรพรรดิพูดว่าอะไร กดดูในกูเกิล emperor speech ได้เลยครับ) หลังจากนั้นก็มาถึงคิวบรรดาหัวกะทิ นักธุรกิจนักการเงินใหญ่ ที่ SCAP สั่งดำเนินดคี เนื่องจากมีส่วนพัวพัน สนับสนุน รวมทั้งค้าขาย ทำกำไรจากการทำสงครามอันโหดร้ายของญี่ปุ่น บริษัทเหล่านี้จะมีสิทธิถูกพิจารณาลงโทษ ให้ปรับปรุงกิจการ เลิกการผูกขาด ลดขนาดบริษัท ไปจนถึง ต้องเลิกกิจการ Harry F Kern บรรณาธิการข่าวต่างประเทศของนิตยสาร Newsweek ซึ่งมีเสียงดังมากในสมัยนั้น เป็นหัวเรือใหญ่ ตั้งสำนักล้อบบี้รุ่นแรก American Council on Japan (ACJ) หรือบางทีเรียกกันว่า Japan Lobby ร่วมกับสื่อใหญ่อีกคน Compton Pakenham ประจำสำนักงานในโตเกียว และ James Lee Kauffman ทนายจากนิวยอร์ค ที่มาสอนหนังสือ อยู่ที่ มหาวิทยาลัยโตเกียว ในช่วงปี ค.ศ.1913 – 1919 และเป็นที่ปรึกษากฏหมาย ให้ธุรกิจใหญ่อเมริกันในโตเกียว เช่น บริษัท General Electric , Standard Oil, Westing House, Ford, Otis Elevator และ Dillion Reed ร่วมในขบวนการล้อบบี้ด้วย Kern เป็นสื่อ ที่จบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาด สนใจด้านการเมืองแถบเอเซียมานานแล้วเป็นเพื่อนสนิทกับพวก Harriman คู่หูของร้อกกี้ the great ในจีน ส่วน Pakenham เกิดและโตมาในญี่ปุ่น และเป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าพ่อ ในญี่ปุ่นเกือบทุกคน Grew อดีตทูตอเมริกันประจำญี่ปุ่น รับหน้าที่เป็นประธานของสำนักล้อบบี้ AJC ร่วมกับ Wiiliam Castle เจ้าของไร่ใหญ่ในฮาวาย และเคยเป็นปลัดกระทรวงต่างประเทศสมัย Hoover เป็นประธานาธิบดี ปี ค.ศ.1947 Kuaffman ในฐานะตัวแทนของ Dillion Reed บริษัทการเงินในวอลสตรีท ที่มีความใกล้ชิดกับร้อกกี้มากกว่ามอร์แกน เดินทางมาโตเกียวเพื่อประเมินนโยบาย FEC-230 ของวอชิงตัน ที่ให้ตอนพันธ์ุพวกหัวกะทิ นักธุรกิจใหญ่ ที่เรียกว่า zaibatsu จากต้นใหญ่ เหลือเป็นบอนไซในกระถางน่าเอ็น ดู เมื่อเขากลับไปอเมริกา เขารีบส่งการบ้าน หลังจากนั้นนโยบาย FEC-230 ก็ถูกส่งไปให้ Newsweek โดย William Draper หุ้นส่วนใหญ่ ของ Dillion Reed ที่ขอลาชั่วคราวมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม Newsweek เขียนบทความ แบบด่าไม่เลี้ยงว่า การลงโทษธุรกิจญี่ปุ่น ตามนโยบายดังกล่าว จะทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นพังพินาศ จะทำให้ชาวญี่ปุ่นที่ทำงานในภาคธุรกิจ ตกงานเป็นหมื่นๆคน มันเป็นการลงโทษนักธุรกิจญี่ปุ่น แต่สร้างความเสียหายให้แก่ชาวอเมริกันที่เสียภาษีอย่างแสนสาหัส เพราะจะต้องไปรับภาระนั้นแทนญี่ปุ่น มันเป็นช่วงที่ นายพลแมค กำลังเริ่มหาเสียงจะลงเลือกตั้ง มาโดนสื่อใหญ่ถล่มเละ แถมพวกลิพับลิกันก็ช่วยกันด่าซ้ำ เพราะทำให้พรรคเสียคะแนน ท่านนายพลแมค จึงรีบสั่งระงับการเอาบอนไซพันธ์ุ zaibatsu ลงกระถางไว้ชั่วคราวก่อน แต่มีคนใจร้อนขี้เกียจคอย คราวนี้นาย William Draper มาญี่ปุ่นเอง ในฐานะตัวแทนรัฐบาลอเมริกัน แถมพ่วงเอานายธนาคารใหญ่ อีกคน Percy Johnson มาด้วย Johnson เป็นประธาน Chemical Bank ในนิวยอร์ค ซึ่งเป็นคู่ค้ากับ Mitsui Bank ยักษ์ใหญ่มากของญี่ปุ่น พวกเขาสอบถามซักไซ้ผู้ที่เกี่ยว ข้องอย่างรวดเร็ว แล้วรีบกลับไปทำรายงาน Draper-Johnson สรุปว่า พวก zaibatsu ไม่สมควรที่จะรับโทษ ในการทำสงคราม แต่ควรให้พวกเขารีบมาฟื้นฟูเศรษฐกิจของญี่ปุ่น จะได้ไม่เป็นภาระกับอเมรืกา ในการ(ควักกระเป๋า) ดูแลเลี้ยงดูญี่ปุ่น ด้วยภาษีของคนอเมริกัน เยี่ยมจริงๆ สรุปแบบนี้ วอชิงตันก็โกลาหล มีทั้งฝ่ายค้าน และฝ่ายเชียร์ ในที่สุด การเมืองอเมริกัน ที่ว่าเป็นประชาธิปไตย ก็ (ถูกสั่งให้) ตัดสินใจยกเลิกการตอนพันธ์ zaibatsu และบริษัทญี่ปุ่น ที่อยู่ในข่ายว่าจะต้องถูกตอนจำนวน 325 บริษัท ก็ลดลงเหลือเพียง 20 บริษัท ส่วนพวก zaibatsu ที่รอดมา เปลี่ยนชื่อใหม่ชั่วคราว พอให้ควันจาง ก็กลับไปใช้ชื่อเดิม ส่วนเรื่อง จักรพรรดิ ทหาร และนักการเมือง อเมริกา หลังจากขู่เข้ม จนราดเต็มกางเกงกันไปหมดแล้ว ก็สรุปว่า ให้ไประบุให้ชัดเจนว่า จักรพรรดิอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ต่อไปใครจะมากล่าวหาว่าจักรพรรดินำรบไม่ได้แล้วนะ และ ให้แน่ใจว่า ทหารเลิกบ้าเลือด ก็ยุบกองทัพ เหลือแค่เป็นกองกำลังป้องกันตัวเอง ทั้งหมดนี้ ให้กำหนดอยู่ในรัฐธรรมนูญใหม่ ที่นายพลแมคให้จัดร่างขึ้นมาใหม่ พอถึงปี ค.ศ.1951 ทั้งสองแสนสองหมื่นคน ก็หลุดจากคุกหมด ยกเว้นพวกที่หลุดมาก่อนหน้านั้นแล้ว ก็พวกหัวกะทิไง ให้ออกมาก่อน เก็บไว้แต่หางกะทิ ในปี ค.ศ.1952 นายพลแมค ก็จัดให้มีการเลือกตั้งในญี่ปุ่น และนายโยชิดะ จากพรรค Liberal Democrat Party (LDP) ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนายพลแมค ส่วนความฝันของนายพลแมคเอง ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ในปี ค.ศ.1948 เขาหาเสียงโดยตรงไม่ได้ เพราะกำลังวุ่นเรื่อง SCAP อยู่ แต่เขาประกาศผ่านพวกรีพับลิกัน โดยเฉพาะกับ Hoover ที่กำกับเขามาตลอด ว่าเขาพร้อมแล้ว แต่ดูเหมือนท่านนายพลห้าดาวจะไม่ผ่านแม้แต่การเลือกตั้งตัวแทนภายในพรรครอบแรก แต่คงไม่ช้ำใจมาก ได้ของปลอบใจไปแยะ เรียงกันหลายหลักมาก ทั้งหมดนี่ น่าจะเป็นผลงานการทำงานหนักของ ACJ ใครจะว่าอย่างไรก็ตาม ภายหลังจักรพรรดิให้เหรียญตราสูงสุดกับ Kern และ Pakenham ทั้ง 2 ก็คนแล้วกัน ACJ เป็นหน่วยงานทำอะไรกันแน่ เห็นไม่ชัดเจนในช่วงนั้น เช่นเดียวกับ หน่วยงาน MRA แต่ต่อมาภายหลัง มีเอกสารเป็นหลักฐานว่า 2 หน่วยงานนี้ คือหน่วยงานหน้าฉากของ CIA และทำงานภายใต้ใบกำกับ เช่นเดียวกัน เรื่องของ ACJ นี้ เป็นตำนานของการใช้สื่อ และการล้อบบี้ที่บันลือโลกมาก เป็นตัวอย่างว่า ปากและปากกานั่น ใช้ให้ถูกที่ ถูกเวลา ถูกคน ก็ล้มรัฐบาล หรือ ครอบครองประเทศได้ โดยไม่ต้องใช้กำลังทหาร และแม้แต่ทหารใหญ่อย่าง นายพลแมค ที่มีหน้าที่ปกครองญี่ปุ่นในตอนนั้น ยังต้องรีบเปลี่ยนบท เฮ้ย ทำไมมันขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อน พอแตกใบอ่อนดันกลายเป็นบ้องกัญ ชาอย่างนึ้ ทำเป็นฮึดฮัดโกรธจัดเรื่อง Pearl Habour ถึงขนาดต้องเอาคืน ด้วยการป้อนดอกเห็ดยักษ์ ให้พวกชอบปลาดิบกิน จนตายกันเป็นเบื่อ แล้วจบกันง่ายๆ อย่างนี้นะหรือ ที่บางประเทศ แค่ปฏิวัติบ่อยหน่อย ยังไม่ได้ถล่มกองเรือของใครเลย ทำไมด่าซ้ำด่าซาก ไม่ด่าเปล่า เสือกมีของแถมมาขู่อีก แบบนี้ ก็ยังจบเรื่องไม่ได้ แค่จบตอนครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 30 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายกแป้น ทำหาดใหญ่พังคามือ

    เหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ปี 2568 เป็นบทพิสูจน์การทำงานของนายกแป้น ณรงค์พร ณ พัทลุง นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ จ.สงขลา จากความประมาทและความมั่นหน้ามั่นใจในตัวเอง คิดว่าการบริหารจัดการน้ำท่วมของตัวเองนั้น "เอาอยู่" แต่สุดท้ายมวลน้ำจำนวนมหาศาล พัดพาเมืองเศรษฐกิจหลักภาคใต้ ให้พังทลายราวกับวันสิ้นโลก ผู้เสียชีวิตมากกว่า 110 ศพ การบริหารจัดการที่ย่ำแย่ของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ประชาชนต้องดูแลกันเอง ท่ามกลางกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก และความป่าเถื่อนของชาวบ้านบางคนในเขต 8 ยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่กู้ภัยจนล่าถอย ความวุ่นวายจากการที่ชาวบ้านบางคนลักทรัพย์ร้านสะดวกซื้อ ขบวนรถไฟ คลังสินค้าเหล้าเบียร์ และคนทำมาหากินจำนวนมากสิ้นเนื้อประดาตัว จากข้าวของเครื่องใช้ถูกน้ำพัดพังเสียหาย

    จากความฉิบหายของเมืองหาดใหญ่ในวันนั้น เขาหายไปจากพื้นที่โซเชียลมีเดีย ของเทศบาลนครหาดใหญ่ ที่เขาคุ้นเคยในการทำคอนเทนต์วีดีโอ 3 วัน ก่อนกลับมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนด้วยสารพัดข้ออ้าง ระบุว่า ผมเพิ่งเข้ามาแค่ 4 เดือน เรือสภาพเก่าและพังหมด ไม่ได้ซื้อมาเป็นสิบปี มีอยู่แค่ 4-5 ลำ ก็เลยต้องสู้เท่าที่สู้ได้ ส่วนการแจ้งเตือนที่ว่ายังปักธงเขียว อ้างว่ามีคนดึงธงไป ตนประกาศยกธงเองไม่ได้ ต้องมีคณะกรรมการอนุมัติ อีกทั้งชลประทานมั่นใจว่ามวลน้ำจาก อ.สะเดา (คลองอู่ตะเภา) ห่างจากตลิ่งกว่า 3 เมตร แต่กลับมีน้ำจากเขาคอหงส์มาด้วย ก่อนจะขอโทษและจะฟื้นฟูบ้านเมืองให้กลับมาเหมือนเดิมเร็วที่สุด

    แต่เสียงสะท้อนจากชาวหาดใหญ่ ส่วนใหญ่ไม่ต้องการข้ออ้างและคำแก้ตัว แต่ต้องการสปิริตทางการเมือง เรียกร้องให้เขาลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อผู้เสียชีวิต และความสูญเสียแบบประเมินค่าไม่ได้ พร้อมขุดดิจิทัลฟุตพรินท์เก่าๆ ที่เคยหาเสียงไว้ อ้างว่าการทำงานของนักปกครอง ระหว่างเกิดเหตุต้องเตรียมรถ เตรียมเรือ อุปกรณ์ เตรียมของกินให้พี่น้องประชาชน ... แต่สุดท้ายทำไม่ได้จริง

    ในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่เมื่อเดือน พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา นายกแป้นเอาชนะ "พี่หลวงคร" พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี นายกเทศมนตรีคนก่อนหน้า ด้วยคะแนน 23,595 ต่อ 21,577 คะแนน หรือห่างกันแค่ 2,000 คะแนนเศษ โดยมีรายงานว่า ปลัดแป้น ถือเป็นข้าราชการนักปกครอง เคยเป็นนายอำเภอในหลายพื้นที่ของจังหวัดสงขลา และปลัดจังหวัดอีกหลายจังหวัด อีกทั้งมีความใกล้ชิดกับเครือข่ายพรรคสีน้ำเงิน ซึ่งเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้ พี่หลวงครยังคงช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมตามกำลังที่มี แม้บ้านพี่หลวงครจะถูกน้ำท่วม และรถยนต์พังขณะแจกถุงยังชีพ กลายเป็นผู้ประสบภัยพร้อมกับชาวบ้านก็ตาม

    #Newskit
    นายกแป้น ทำหาดใหญ่พังคามือ เหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ปี 2568 เป็นบทพิสูจน์การทำงานของนายกแป้น ณรงค์พร ณ พัทลุง นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ จ.สงขลา จากความประมาทและความมั่นหน้ามั่นใจในตัวเอง คิดว่าการบริหารจัดการน้ำท่วมของตัวเองนั้น "เอาอยู่" แต่สุดท้ายมวลน้ำจำนวนมหาศาล พัดพาเมืองเศรษฐกิจหลักภาคใต้ ให้พังทลายราวกับวันสิ้นโลก ผู้เสียชีวิตมากกว่า 110 ศพ การบริหารจัดการที่ย่ำแย่ของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ประชาชนต้องดูแลกันเอง ท่ามกลางกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก และความป่าเถื่อนของชาวบ้านบางคนในเขต 8 ยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่กู้ภัยจนล่าถอย ความวุ่นวายจากการที่ชาวบ้านบางคนลักทรัพย์ร้านสะดวกซื้อ ขบวนรถไฟ คลังสินค้าเหล้าเบียร์ และคนทำมาหากินจำนวนมากสิ้นเนื้อประดาตัว จากข้าวของเครื่องใช้ถูกน้ำพัดพังเสียหาย จากความฉิบหายของเมืองหาดใหญ่ในวันนั้น เขาหายไปจากพื้นที่โซเชียลมีเดีย ของเทศบาลนครหาดใหญ่ ที่เขาคุ้นเคยในการทำคอนเทนต์วีดีโอ 3 วัน ก่อนกลับมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนด้วยสารพัดข้ออ้าง ระบุว่า ผมเพิ่งเข้ามาแค่ 4 เดือน เรือสภาพเก่าและพังหมด ไม่ได้ซื้อมาเป็นสิบปี มีอยู่แค่ 4-5 ลำ ก็เลยต้องสู้เท่าที่สู้ได้ ส่วนการแจ้งเตือนที่ว่ายังปักธงเขียว อ้างว่ามีคนดึงธงไป ตนประกาศยกธงเองไม่ได้ ต้องมีคณะกรรมการอนุมัติ อีกทั้งชลประทานมั่นใจว่ามวลน้ำจาก อ.สะเดา (คลองอู่ตะเภา) ห่างจากตลิ่งกว่า 3 เมตร แต่กลับมีน้ำจากเขาคอหงส์มาด้วย ก่อนจะขอโทษและจะฟื้นฟูบ้านเมืองให้กลับมาเหมือนเดิมเร็วที่สุด แต่เสียงสะท้อนจากชาวหาดใหญ่ ส่วนใหญ่ไม่ต้องการข้ออ้างและคำแก้ตัว แต่ต้องการสปิริตทางการเมือง เรียกร้องให้เขาลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อผู้เสียชีวิต และความสูญเสียแบบประเมินค่าไม่ได้ พร้อมขุดดิจิทัลฟุตพรินท์เก่าๆ ที่เคยหาเสียงไว้ อ้างว่าการทำงานของนักปกครอง ระหว่างเกิดเหตุต้องเตรียมรถ เตรียมเรือ อุปกรณ์ เตรียมของกินให้พี่น้องประชาชน ... แต่สุดท้ายทำไม่ได้จริง ในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่เมื่อเดือน พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา นายกแป้นเอาชนะ "พี่หลวงคร" พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี นายกเทศมนตรีคนก่อนหน้า ด้วยคะแนน 23,595 ต่อ 21,577 คะแนน หรือห่างกันแค่ 2,000 คะแนนเศษ โดยมีรายงานว่า ปลัดแป้น ถือเป็นข้าราชการนักปกครอง เคยเป็นนายอำเภอในหลายพื้นที่ของจังหวัดสงขลา และปลัดจังหวัดอีกหลายจังหวัด อีกทั้งมีความใกล้ชิดกับเครือข่ายพรรคสีน้ำเงิน ซึ่งเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้ พี่หลวงครยังคงช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมตามกำลังที่มี แม้บ้านพี่หลวงครจะถูกน้ำท่วม และรถยนต์พังขณะแจกถุงยังชีพ กลายเป็นผู้ประสบภัยพร้อมกับชาวบ้านก็ตาม #Newskit
    Like
    2
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 12

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 12
    เล่าเรื่องซุนยัดเซน เสียยาว เพราะเขาเป็นตัวสำคัญ ในการโยงเรื่องของจีน กับเรื่องของญี่ปุ่น และเรื่องของเขา น่าจะทำให้เราเห็นชัดขึ้น เกี่ยวกับ การวางแผน และลงมือล่าเหยื่อของอังกฤษ และอเมริกา ที่วางแผนล่าข้ามศตวรรษเหมือนกัน และดูเหมือนตอนนี้ก็ยังล่าไม่ได้อย่างใจ เรื่องยังไม่จบ…
    ขณะที่ ซุนยัดเซ็น ยังวิ่งหาเงินเพื่อมาทำปฏิวัติอยู่ที่อเมริกา ในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ.1911 ก็เกิดการระเบิดขึ้นที่เมืองหวูชาง มณทลหูไบ่ ทางการเตรียมกวาดล้างพวกก่อเหตุ เหตุการณ์ระเบิดจึงยกระดับ เป็นการลุกขึ้นของประชาชน แล้วก็กลายเป็นการปฏิวัติของประชาชน ฝ่ายทหารของมณทลย้ายข้าง มาอยู่กับพวกปฏิวัติด้วย หลังจากนั้น การปฏิวัติก็ลุกลามไปตามเมืองต่างๆ ซุนยัดเซ็นได้ข่าว จึงรีบเดินทางกลับมาจากอเมริกา
    ก็น่าสนใจว่า ปฏิวัติเริ่มโดยคนคิดทำปฏิวัตื ยังอยู่อีกฝั่งของโลก ตกลงใครทำปฏิวัติกันแน่
    หลังจากนั้นอีก 2 เดือน ฝ่ายปฏิวัติก็ยึดครองจีนได้กว่าครึ่งประเทศ และ ราชวงศ์ชิงก็ล่มลง พวกปฏิวัติจึงพร้อมใจกันเลือกให้ ซุนยัดเซ็น เป็น ประธานาธิบดีคนแรก พร้อมกับการสถาปนา เป็นสาธารณรัฐจีน ในต้นปี ค.ศ.1912
    อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ได้ข่าวปฏิวัติจีน ก็โกรธจนคลั่ง บอกว่า อังกฤษจะไม่ทนกับการมีอเมริกา อีกแห่ง อยู่ในสนามหลังบ้าน ที่เอเซียอย่างเด็ดขาด เอะ พูดแบบนี้หมายความว่าอะไร ว่าแล้ว อังกฤษก็เรียกระดมกำลัง ทั้งพวกบนดิน ใต้ดิน และฝ่ายการเมืองมาวางแผนแก้เกม ซุนยัดเซ็น (หรือเกมอเมริกา?!) แล้วยวนชีไข่ Yuan Shi-kai ขุนนางใหญ่ ฝ่ายทหารของราชวงค์แมนจู จอมทะเยอทะยาน ที่อยากใหญ่เทียมฟ้ามานาน ก็ได้รับใบสั่งจากอังกฤษ ให้เข้ามาเป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ
    แม้พวกปฏิวัติ จะยึดทางใต้ได้หมด แต่ทางเหนือ และกองทหารทางนั้น ยังไม่ยอมเข้ากับพวกปฏิวัติ ซุนยัดเซ็นคงมองเห็นเงาอังกฤษยังค้างอยู่ จึงถอยกลับมาหนึ่งก้าว และยกตำแหน่งประธานาธิบดีให้ ยวนชีไข่ คนใส่ปลอกคอยี่ห้ออังกฤษไปก่อน แล้วตัวเขาก็ไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการรถไฟ เพื่อวางแผนสร้างทางรถไฟแทน เออ งง จริง หมากจีน นี่เล่นแปลก
    แล้วรายการขย่มขวัญก็เกิดขึ้น ในเดือนมีนาคม ค.ศ.1913 ซ้ง เจียวเรน (Song Jiaoren) เพื่อนคู่คิดของซุนยัดเซ็น ตั้งแต่นั่งฝันเฟื่องด้วยกันที่ฮาวาย ถูกฆ่าตาย
    ซ้ง เจียวเรน เป็นเจ้าของร้านอาหารที่ฮาวายที่ ซุน ฝากท้อง และปากเอาไว้ ทุกวัน ซุนจะไปนั่งกินข้าว (ฟรี) ที่ร้านของ ซ้ง และคุยให้ฟัง ถึงความฝันของเขา ที่จะไล่ฝรั่งออกไปให้พ้นจากจีน ซ้งฟังจนเคลิ้ม ในที่สุดก็ปิดร้านอาหาร และติดตามซุนไปทุกแห่ง และเป็น ซ้ง ที่เป็นคนคิดและจัดการตั้งสมาคม Teng Meng Hui และนำพรรคก๊กมินตั๋ง เข้าไปสู่การเลือกตั้ง จนได้ชัยชนะในปี ค.ศ.1912-1913
    การตายของ ซ้ง เจียวเรน ทำให้ ซุนยัดเซ็น ต้องหันกลับมาเดินหน้าใหม่ และถามหาผู้รับผิดชอบ แต่ยวนชีไข่ ไม่ให้ราคาซุนยัดเซ็น แรงกระเพื่อมจึงเกิดขึ้นมาใหม่จากฝ่ายปฏิวัติ
    ยวนชีไข่ แน่ใจว่า ตนเองมีแรงหนุนเต็มที่จากนายท่าน จึงสั่งจับซุนยัดเซ็น แล้วซุนยัดเซ็นก็เลยต้องเปิดแนบ หนีไปอยู่ญี่ปุ่นอีกรอบ ส่วน ยวนชีไข่ ก็ได้รางวัล นายท่านอนุญาตให้ตั้งตัวเองเป็นประธานาธิบดี ซุนยัดเซ็นไม่กลับเข้ามาในจีนอีกเลย จนยวนสีไข่ ตายในปี ค.ศ.1916
    แม้ตัวจะไม่กลับเข้ามา แต่ ในปี ค.ศ.1915 จีนก็ได้รับหนังสือขู่จากญี่ปุ่น ข้อเรียกร้อง 21 ข้อ ที่ตั้งญี่ปุ่นเป็นที่ปรึกษาทุกเรื่อง ไม่รู้จะเกี่ยวกันไหม และเกี่ยวแบบไหน
    ระหว่างที่อยู่ญี่ปุ่น ดูเหมือนรัศมี และอำนาจของซุนยัดเซ็นจะลดลงไปแยะ เมื่อเขาพยายามจะฟื้นพรรคปฏิวั ติ พรรคพวกเก่าๆ ก็ไม่กลับมา เมื่อ ยวนชีไข่ตาย ในปี ค.ศ.1916 ซุนยัดเซ็น จึงกลับเข้าในจีน ในปี ค.ศ.1917 เขาพยายามตั้งรัฐบาลแข่ง ที่กวางสู และเจียงไคเช็ค ก็เริ่มเข้ามาร่วมวงด้วย แต่ก็ยังไปไม่รอด ซุนยัดเซ็น ก็ต้องหนีไปตั้งหลักที่ เซี่ยงไฮ้
    ซุนยัดเซ็น ยังไม่ถอดใจ ในปี ค.ศ.1919 เขาตั้ง ก๊กมินตั๋งจีนขึ้นมาใหม่ ใช้ชื่อพรรคชาตินิยม Nationalist Party แต่ก็ไม่ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม ช่วงปี ค.ศ.1922 การต่อสู้ระหว่างเจ้าพ่อก๊กต่างๆ กลับเกิดขึ้นอย่างมากมาย รบกันไปทุกหัวระแหง และซุนยัดเซ็น ก็กลับไปตั้งหลัก ไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ที่เซี่ยงไฮ้ เขาเห็นแล้วว่า ถ้าจะเดินหน้าต่อ จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากโซเวียต…
    ปี ค.ศ.1923 ซุนยัดเซ็น จึงทำความตกลงกับโซเวียต และโซเวียต ก็ส่งที่ปรึกษา Mikail Boroden มาจัดระบบพรรคก๊กมินตั่ง หรือพรรคชาตินิยมให้ใหม่ ตั้งสถาบันทางการเมือง เพื่อให้ความรู้ และอบรม ด้านการระดมพล เคลื่อนพล และการโฆษณาชวนเชื่อ ขณะเดียวกัน ซุนยัดเซ็น ก็ส่งเจียงไคเช็ค ไปโซเวียต เพื่อเข้าหลักสูตรการทหาร เมื่อเจียงไคเช็ค กลับมาถึงจีน ซุนยัดเซ็น ก็ให้ตั้งสถาบันการทหารวัมเปา Wampao Academy เพื่อให้การอบรมด้านการทหาร ให้แก่ทั้งก๊กมินตั๋ง และพรรคคอมมิวนิสต์ ให้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ขณะเดียวกัน เจียงไคเช็ค ก็เริ่มสร้างอำนาจให้ตัวเอง
    หลังจากได้โซเวียตมาช่วยจัดระบบให้ และพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็เริ่มเข้ามาร่วมกับพรรคจีนก๊กมินตั๋ง แต่จำนวนสมาชิกของทั้ง 2 พรรคต่างกันมาก ขณะที่ ก๊กมินตั๋งมีสมาชิกเป็นแสน พรรคคอมมิวนิสต์ มีแค่เป็นพัน (ในขณะนั้น)
    แล้วซุนยัดเซ็นก็ล้มป่วย และเสียชีวิตในปี ค.ศ.1925 เจียงไคเช็ค ขึ้นมาเป็นหัวหน้าแทน แล้วทุกอย่างก็ค่อยๆเปลี่ยนไป
    ตกลงซุนยัดเซ็น เป็นนักปฏิวัติ ที่มีอุดมการณ์น่านับถือ หรือเป็นเด็กสร้างของฝรั่ง หรือเขาเป็นเพียงหมาก ที่ฝรั่งใช้เดิน เพื่อผลประโชน์ของฝรั่งโดย เขาไม่รู้ตัว หรือรู้ตัว แต่คิดว่า เพื่อให้ถึงจุดหมายอุดมการณ์ของตัว ในขณะที่ปัจจัยยังไม่พร้อม ก็ต้องยอม หรือหลอก (ฝรั่ง) ไปพลางๆ ก่อน เป็นเรื่องที่น่าคิดอย่างยิ่ง
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    23 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 12 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 12 เล่าเรื่องซุนยัดเซน เสียยาว เพราะเขาเป็นตัวสำคัญ ในการโยงเรื่องของจีน กับเรื่องของญี่ปุ่น และเรื่องของเขา น่าจะทำให้เราเห็นชัดขึ้น เกี่ยวกับ การวางแผน และลงมือล่าเหยื่อของอังกฤษ และอเมริกา ที่วางแผนล่าข้ามศตวรรษเหมือนกัน และดูเหมือนตอนนี้ก็ยังล่าไม่ได้อย่างใจ เรื่องยังไม่จบ… ขณะที่ ซุนยัดเซ็น ยังวิ่งหาเงินเพื่อมาทำปฏิวัติอยู่ที่อเมริกา ในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ.1911 ก็เกิดการระเบิดขึ้นที่เมืองหวูชาง มณทลหูไบ่ ทางการเตรียมกวาดล้างพวกก่อเหตุ เหตุการณ์ระเบิดจึงยกระดับ เป็นการลุกขึ้นของประชาชน แล้วก็กลายเป็นการปฏิวัติของประชาชน ฝ่ายทหารของมณทลย้ายข้าง มาอยู่กับพวกปฏิวัติด้วย หลังจากนั้น การปฏิวัติก็ลุกลามไปตามเมืองต่างๆ ซุนยัดเซ็นได้ข่าว จึงรีบเดินทางกลับมาจากอเมริกา ก็น่าสนใจว่า ปฏิวัติเริ่มโดยคนคิดทำปฏิวัตื ยังอยู่อีกฝั่งของโลก ตกลงใครทำปฏิวัติกันแน่ หลังจากนั้นอีก 2 เดือน ฝ่ายปฏิวัติก็ยึดครองจีนได้กว่าครึ่งประเทศ และ ราชวงศ์ชิงก็ล่มลง พวกปฏิวัติจึงพร้อมใจกันเลือกให้ ซุนยัดเซ็น เป็น ประธานาธิบดีคนแรก พร้อมกับการสถาปนา เป็นสาธารณรัฐจีน ในต้นปี ค.ศ.1912 อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ได้ข่าวปฏิวัติจีน ก็โกรธจนคลั่ง บอกว่า อังกฤษจะไม่ทนกับการมีอเมริกา อีกแห่ง อยู่ในสนามหลังบ้าน ที่เอเซียอย่างเด็ดขาด เอะ พูดแบบนี้หมายความว่าอะไร ว่าแล้ว อังกฤษก็เรียกระดมกำลัง ทั้งพวกบนดิน ใต้ดิน และฝ่ายการเมืองมาวางแผนแก้เกม ซุนยัดเซ็น (หรือเกมอเมริกา?!) แล้วยวนชีไข่ Yuan Shi-kai ขุนนางใหญ่ ฝ่ายทหารของราชวงค์แมนจู จอมทะเยอทะยาน ที่อยากใหญ่เทียมฟ้ามานาน ก็ได้รับใบสั่งจากอังกฤษ ให้เข้ามาเป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ แม้พวกปฏิวัติ จะยึดทางใต้ได้หมด แต่ทางเหนือ และกองทหารทางนั้น ยังไม่ยอมเข้ากับพวกปฏิวัติ ซุนยัดเซ็นคงมองเห็นเงาอังกฤษยังค้างอยู่ จึงถอยกลับมาหนึ่งก้าว และยกตำแหน่งประธานาธิบดีให้ ยวนชีไข่ คนใส่ปลอกคอยี่ห้ออังกฤษไปก่อน แล้วตัวเขาก็ไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการรถไฟ เพื่อวางแผนสร้างทางรถไฟแทน เออ งง จริง หมากจีน นี่เล่นแปลก แล้วรายการขย่มขวัญก็เกิดขึ้น ในเดือนมีนาคม ค.ศ.1913 ซ้ง เจียวเรน (Song Jiaoren) เพื่อนคู่คิดของซุนยัดเซ็น ตั้งแต่นั่งฝันเฟื่องด้วยกันที่ฮาวาย ถูกฆ่าตาย ซ้ง เจียวเรน เป็นเจ้าของร้านอาหารที่ฮาวายที่ ซุน ฝากท้อง และปากเอาไว้ ทุกวัน ซุนจะไปนั่งกินข้าว (ฟรี) ที่ร้านของ ซ้ง และคุยให้ฟัง ถึงความฝันของเขา ที่จะไล่ฝรั่งออกไปให้พ้นจากจีน ซ้งฟังจนเคลิ้ม ในที่สุดก็ปิดร้านอาหาร และติดตามซุนไปทุกแห่ง และเป็น ซ้ง ที่เป็นคนคิดและจัดการตั้งสมาคม Teng Meng Hui และนำพรรคก๊กมินตั๋ง เข้าไปสู่การเลือกตั้ง จนได้ชัยชนะในปี ค.ศ.1912-1913 การตายของ ซ้ง เจียวเรน ทำให้ ซุนยัดเซ็น ต้องหันกลับมาเดินหน้าใหม่ และถามหาผู้รับผิดชอบ แต่ยวนชีไข่ ไม่ให้ราคาซุนยัดเซ็น แรงกระเพื่อมจึงเกิดขึ้นมาใหม่จากฝ่ายปฏิวัติ ยวนชีไข่ แน่ใจว่า ตนเองมีแรงหนุนเต็มที่จากนายท่าน จึงสั่งจับซุนยัดเซ็น แล้วซุนยัดเซ็นก็เลยต้องเปิดแนบ หนีไปอยู่ญี่ปุ่นอีกรอบ ส่วน ยวนชีไข่ ก็ได้รางวัล นายท่านอนุญาตให้ตั้งตัวเองเป็นประธานาธิบดี ซุนยัดเซ็นไม่กลับเข้ามาในจีนอีกเลย จนยวนสีไข่ ตายในปี ค.ศ.1916 แม้ตัวจะไม่กลับเข้ามา แต่ ในปี ค.ศ.1915 จีนก็ได้รับหนังสือขู่จากญี่ปุ่น ข้อเรียกร้อง 21 ข้อ ที่ตั้งญี่ปุ่นเป็นที่ปรึกษาทุกเรื่อง ไม่รู้จะเกี่ยวกันไหม และเกี่ยวแบบไหน ระหว่างที่อยู่ญี่ปุ่น ดูเหมือนรัศมี และอำนาจของซุนยัดเซ็นจะลดลงไปแยะ เมื่อเขาพยายามจะฟื้นพรรคปฏิวั ติ พรรคพวกเก่าๆ ก็ไม่กลับมา เมื่อ ยวนชีไข่ตาย ในปี ค.ศ.1916 ซุนยัดเซ็น จึงกลับเข้าในจีน ในปี ค.ศ.1917 เขาพยายามตั้งรัฐบาลแข่ง ที่กวางสู และเจียงไคเช็ค ก็เริ่มเข้ามาร่วมวงด้วย แต่ก็ยังไปไม่รอด ซุนยัดเซ็น ก็ต้องหนีไปตั้งหลักที่ เซี่ยงไฮ้ ซุนยัดเซ็น ยังไม่ถอดใจ ในปี ค.ศ.1919 เขาตั้ง ก๊กมินตั๋งจีนขึ้นมาใหม่ ใช้ชื่อพรรคชาตินิยม Nationalist Party แต่ก็ไม่ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม ช่วงปี ค.ศ.1922 การต่อสู้ระหว่างเจ้าพ่อก๊กต่างๆ กลับเกิดขึ้นอย่างมากมาย รบกันไปทุกหัวระแหง และซุนยัดเซ็น ก็กลับไปตั้งหลัก ไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ที่เซี่ยงไฮ้ เขาเห็นแล้วว่า ถ้าจะเดินหน้าต่อ จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากโซเวียต… ปี ค.ศ.1923 ซุนยัดเซ็น จึงทำความตกลงกับโซเวียต และโซเวียต ก็ส่งที่ปรึกษา Mikail Boroden มาจัดระบบพรรคก๊กมินตั่ง หรือพรรคชาตินิยมให้ใหม่ ตั้งสถาบันทางการเมือง เพื่อให้ความรู้ และอบรม ด้านการระดมพล เคลื่อนพล และการโฆษณาชวนเชื่อ ขณะเดียวกัน ซุนยัดเซ็น ก็ส่งเจียงไคเช็ค ไปโซเวียต เพื่อเข้าหลักสูตรการทหาร เมื่อเจียงไคเช็ค กลับมาถึงจีน ซุนยัดเซ็น ก็ให้ตั้งสถาบันการทหารวัมเปา Wampao Academy เพื่อให้การอบรมด้านการทหาร ให้แก่ทั้งก๊กมินตั๋ง และพรรคคอมมิวนิสต์ ให้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ขณะเดียวกัน เจียงไคเช็ค ก็เริ่มสร้างอำนาจให้ตัวเอง หลังจากได้โซเวียตมาช่วยจัดระบบให้ และพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็เริ่มเข้ามาร่วมกับพรรคจีนก๊กมินตั๋ง แต่จำนวนสมาชิกของทั้ง 2 พรรคต่างกันมาก ขณะที่ ก๊กมินตั๋งมีสมาชิกเป็นแสน พรรคคอมมิวนิสต์ มีแค่เป็นพัน (ในขณะนั้น) แล้วซุนยัดเซ็นก็ล้มป่วย และเสียชีวิตในปี ค.ศ.1925 เจียงไคเช็ค ขึ้นมาเป็นหัวหน้าแทน แล้วทุกอย่างก็ค่อยๆเปลี่ยนไป ตกลงซุนยัดเซ็น เป็นนักปฏิวัติ ที่มีอุดมการณ์น่านับถือ หรือเป็นเด็กสร้างของฝรั่ง หรือเขาเป็นเพียงหมาก ที่ฝรั่งใช้เดิน เพื่อผลประโชน์ของฝรั่งโดย เขาไม่รู้ตัว หรือรู้ตัว แต่คิดว่า เพื่อให้ถึงจุดหมายอุดมการณ์ของตัว ในขณะที่ปัจจัยยังไม่พร้อม ก็ต้องยอม หรือหลอก (ฝรั่ง) ไปพลางๆ ก่อน เป็นเรื่องที่น่าคิดอย่างยิ่ง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 23 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ ประเทศไทยโชคดีปลอดภัยมาสองรอบการเลือกตั้ง ไม่ได้พรรคอนาคตหมด กับก้าวกาม มาบริหารประเทศ และจะโชคดีอีกครั้งในการเลือกตั้งปีหน้า ไม่ต้องเอาคนสิ้นคิดมาพาชาติล่มจม
    #7ดอกจิก
    ♣ ประเทศไทยโชคดีปลอดภัยมาสองรอบการเลือกตั้ง ไม่ได้พรรคอนาคตหมด กับก้าวกาม มาบริหารประเทศ และจะโชคดีอีกครั้งในการเลือกตั้งปีหน้า ไม่ต้องเอาคนสิ้นคิดมาพาชาติล่มจม #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปชน.เปิดตัว 3 แคนดิเดตนายกฯ “เท้ง-วีระยุทธ-ไหม”, ตั้งเป้าขอความไว้วางใจจากประชาชน 20 ล้านเสียง เพื่อให้ได้ ส.ส.เกินครึ่งและตั้งรัฐบาลพรรคเดียว พร้อมประกาศความพร้อมด้านนโยบายและทีมบริหารประเทศ ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000112060

    #การเมืองไทย #พรรคประชาชน #เลือกตั้ง #แคนดิเดตนายกฯ #News1live #News1
    ปชน.เปิดตัว 3 แคนดิเดตนายกฯ “เท้ง-วีระยุทธ-ไหม”, ตั้งเป้าขอความไว้วางใจจากประชาชน 20 ล้านเสียง เพื่อให้ได้ ส.ส.เกินครึ่งและตั้งรัฐบาลพรรคเดียว พร้อมประกาศความพร้อมด้านนโยบายและทีมบริหารประเทศ ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000112060 • #การเมืองไทย #พรรคประชาชน #เลือกตั้ง #แคนดิเดตนายกฯ #News1live #News1
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 331 มุมมอง 0 รีวิว
  • จับตายุบสภา! “อนุทิน” สั่งสมาชิกพรรครอฟังสัญญาณ 12 ธ.ค., หลังประชุมใหญ่วิสามัญเลือกคณะกรรมการสรรหา เตรียมพร้อมทำไพรมารีโหวต รองรับการเลือกตั้งที่อาจมาถึงเร็วกว่าคาด ขณะเดียวกันยังขับเคลื่อนประเด็นประชามติแก้รัฐธรรมนูญ และเตรียมขอเปิดประชุมวิสามัญวันที่ 10–11 ธ.ค. เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000112046

    #การเมืองไทย #อนุทิน #ภูมิใจไทย #เลือกตั้ง #News1live #News1
    จับตายุบสภา! “อนุทิน” สั่งสมาชิกพรรครอฟังสัญญาณ 12 ธ.ค., หลังประชุมใหญ่วิสามัญเลือกคณะกรรมการสรรหา เตรียมพร้อมทำไพรมารีโหวต รองรับการเลือกตั้งที่อาจมาถึงเร็วกว่าคาด ขณะเดียวกันยังขับเคลื่อนประเด็นประชามติแก้รัฐธรรมนูญ และเตรียมขอเปิดประชุมวิสามัญวันที่ 10–11 ธ.ค. เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2 • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000112046 • #การเมืองไทย #อนุทิน #ภูมิใจไทย #เลือกตั้ง #News1live #News1
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 339 มุมมอง 1 รีวิว
  • เรื่อง ใครมาเยือนถึงเรือนชาน

    “ใครมาเยือนถึงเรือนชาน….“
    เมื่อวาน มีท่านผู้อ่านนิทานส่งข่าวบอกผมว่า นายทูตอเมรืกันคนใหม่ เขาจะมาแล้วนะ แล้วเราจะทำอย่างไร ผมรู้ข่าวแล้ว แต่บังเอิญผมกำลังติดพันกับการเขียนนิทานเรื่องใหม่อย่างขมักเขม้น เลยยังไม่อยากเขียนรับนายทูตนั่น ตอนบ่าย ตื่นมาไล่อ่านข่าว แหม อดไม่ได้ เจอบทความของสื่อใหญ่มาก ที่เคารพท่านหนึ่ง ท่านเขียนบทความเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม นี้ เรื่อง … สหรัฐที่ ” กำลังจะเปลี่ยนไป” …
    ฮะ… นี่ผมตกข่าวอะไรหรือ ไอ้นักล่าใบตองแห้ง มันจะเปลี่ยนเป็นอะไร จากนักล่า จะเป็นนักล้วง หรือนักรัก หรือไง นักล้วงก็เป็นตลอดอยู่แล้วนี่หว่า สงสัยเป็น จะอย่างหลัง นักรัก … เพราะทน (หึง) ไม่ไหว เจอทหารไทยเบอร์ใหญ่มาก บอกรักจีนกลางเวทีอาเซียน เมื่อต้นเดือนสิงหาคมนี้ เล่นเอาสื่อฝรั่งช็อก ออกข่าวว่าไทยบอกรักจีนกลางเวทีอาเซียน ข่าวนี้ ทำให้ผมความครื้นเครงใจอย่างยิ่ง
    ผมเลยต้องแว๊บไปอ่านบทบทความของท่านสื่อใหญ่ ซึ่งผมก็เป็นแฟนท่านเหมือนกันนะ
    บทความท่านสื่อใหญ่เริ่มต้นซะ ผมนึกว่าท่านเอานิทานจิ๊กโก๋ปากซอยของผม มาช่วยโปรโมทให้ อ่านๆ ไป อ้าว แล้วกัน กลายเป็นคนละซอย ฮา…ไปหาอ่านกันเองแล้วกันครับ
    ผมแค่ติดใจ ตอนท่านจะจบบทความนั่นแหละ ท่านว่าสังคมไทยดูเหมือนจะวิพากษ์วิจารณ์ทูตอเมริกันคนใหม่ที่กำลังจะมา ด้วย”ทัศนคติลบ” มากอยู่ ในความเห็นของท่าน เอกลักษณ์แข็งของไทย เมื่อมีแขกไปใครมาเยือนถึงเรือ นชาน จะยิ้มแย้ม ยินดี ต้อนรับ… ดังนั้น เราอย่าใช่ “ใจขุ่น” สรุปการมาของเขาในแง่ร้าย ทันที่ทันใด จะดีไหม ท่านว่า ท่าทีของสหรัฐต่อไทยกำลังจะเปลี่ยนไป…?
    เอาละครับ ท่านเป็นสื่อใหญ่ที่ผมเคารพ ท่านจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน แต่ผมก็มีความเห็นของผม แถมให้เหมือนกัน
    ตามรายงานความประพฤติของเด็กชาย สยาม ที่ครูประจำชั้น ที่ดูแลแดนสยาม ต้องทำส่งครูใหญ่ คือสภาสูงของอเมริกา ทุกปี หรือที่เรียกว่า Congressional Sevice Report เรื่อง Thailand: Background and U.S. Relations ซึ่งออกมาเมื่อวันที่ 29 กรกฏาคม ที่ผ่านมานี้ นั้น ผมมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของอเมริกา… ในทางที่เป็นคุณ หรือเป็นบวกกับประเทศไทยแต่อย่างใดเลย
    เอกสารยาว 19 หน้า อ้างความสัมพันธ์ที่มีมาช้านาน ตั้งแต่ ปี ค.ศ.1954 รักกันจัง รวมมือกันจริง แต่ความรักมาสะดุดก็ตอนที่ แดนสยามมีปฏิวัติถี่หน่อย 2 ครั้ง ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา
    ข้อความอื่นๆ ก็เป็นไปตามแบบฟอร์มเดิม รวมทั้งเรื่องการเสือก เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ซึ่งเป็นที่เคารพอย่างสูงสุดของเรา และเรื่องการสืบสันตติวงศ์ของพระราชวงศ์ ซึ่งเป็นเรื่องภายในและละเอียดอ่อนของเรา มันก็ยังเสือกเหมือนเดิม ผมยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของไอ้ใบตองแห้งเลยนะ
    ที่มีพิเศษเพิ่มเติม คือ เรื่องการปฏิวัติของลุงตู่ คุณครูประจำชั้น ที่ทำรายงานบอกว่า การที่ทหารไทยทำการปฏิวัติ ในปี ค.ศ.2014 ไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นเรื่องใหญ่สำหรับอเมริกา เป็นการท้าทายความสัมพันธ์ ระหว่างอเมริกากับไทยว่า จะยังอยู่ในราง หรือจะตกราง ในหลายๆทาง ความสัมพันธ์ด้านกองทัพ กับกองทัพ military – to – military ระหว่างอเมริกากับไทย เป็นเสาหลักที่แข็งแรงที่สุด ในด้านความสัมพันธ์ ระหว่างอเมริกากับไทย….
    ….นอกจากนี้ มีนักวิเคราะห์บอกว่า สัมพันธ์ไทย-อเมริกา เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องรักษาไว้ เพราะจะทำให้ อเมริกาอาจเสียโอกาส ในการเข้ามาใช้ฐานและเครื่องมือเครื่องใช้ทางทหารที่สำคัญในไทย โดยเฉพาะอู่ตะเภา ที่สามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ ( ซึ่งรวมถึง C-17s และ C-130s) ได้ และอยู่ติดกับท่าเรือน้ำลึก และมีสาธารญูปโภคพร้อม ในการใช้บริหารและควบคุมระบบ เมื่อตอนอเมริกามีปฏิบัติการณ์อิรัค และอาฟกานิสถานกองทัพอมริกัน ใช้อู่ตะเภาเป็นที่แวะเติมน้ำมัน…….การเสียโอกาสนี้ จะทำให้ อิทธิพลของจีนในภูมิภาค เพิ่มสูงขึ้น….
    ….นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานหลายสิบหน่วย ของอเมริกา ที่ใช้ไทยเป็นสำนักงานใหญ่ (ปฏิบัติการ) ในภูมิภาค เจ้าหน้าที่เหล่านั้น ไม่สบายใจว่า การเมืองไทยที่ไม่สงบ จะทำให้การทำงานของพวกเขาสะดุด….
    เอาละครับ ไปอ่านส่วนที่เป็นน้ำกันเองต่อ ผมแกะส่วนที่เป็นเนื้อมาให้แล้ว ลองพิจารณากันดูนะครับ ไอ้ใบตองแห้ง มันมองเราอย่างไร และมันเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง หรือถ้ามันจะเปลี่ยน เปลี่ยนตรงไหน เพราะอะไร
    มันอาจจะเพิ่งสำนึก ว่า กูโง่ กูบ้า ขนาดไหน ที่มาทำกร่างใส่สมันน้อย นึกไม่ถึงว่าสมันน้อย จะเปลี่ยนเป็นช้างไทยสู้ศึก แล้วนี่ กูจะบุกจีน ผ่านรูไหนดีวู้ย ไม่มีอะไรดีกว่า หน้าด้าน ด่าแล้ว ก็กลับมาตบหัวได้ เดี๋ยวคนไทยใจดี ใครมาเยือนถึงเรือนชาน ก็ต้อนรับเอง เหมียนเดิม
    ถ้าไม่แน่ใจ ว่าจะต้อนรับนายทูตตนใหม่ของไอ้ใบตองแห้งอย่างไรดี จะเอาพวกมาลัยไปคอยยืนคล้องคอ แถมโบกธงอเมริกัน ตะโกนร้อง พ่อกูมาแล้ว หรือ จะด่ามันต่อไปว่า กูรู้นะ ว่ามึงกำลังคิดจะทำอะไร หรือจะเฉยๆ ดูท่าทีกันไปก่อน
    ถ้าไม่แน่ใจนะครับ ก็โปรดอดใจ รออีกไม่กี่วัน ผมกำลังปั่นนิทานเรื่องใหม่ เกี่ยวกับความสัมพันธ์อันซับซ้อน ระหว่างจีน ญี่ปุ่น อังกฤษ อเมริกา และ มันอาจจะมาเกี่ยวกับแดนสยามของเรา อ่านนิทานเรื่องนั้นแล้ว น่าจะได้คำตอบ ว่าจะรับนายทูตใบตองแห้งคนใหม่อย่างไร
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    8 ส.ค. 2558
    เรื่อง ใครมาเยือนถึงเรือนชาน “ใครมาเยือนถึงเรือนชาน….“ เมื่อวาน มีท่านผู้อ่านนิทานส่งข่าวบอกผมว่า นายทูตอเมรืกันคนใหม่ เขาจะมาแล้วนะ แล้วเราจะทำอย่างไร ผมรู้ข่าวแล้ว แต่บังเอิญผมกำลังติดพันกับการเขียนนิทานเรื่องใหม่อย่างขมักเขม้น เลยยังไม่อยากเขียนรับนายทูตนั่น ตอนบ่าย ตื่นมาไล่อ่านข่าว แหม อดไม่ได้ เจอบทความของสื่อใหญ่มาก ที่เคารพท่านหนึ่ง ท่านเขียนบทความเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม นี้ เรื่อง … สหรัฐที่ ” กำลังจะเปลี่ยนไป” … ฮะ… นี่ผมตกข่าวอะไรหรือ ไอ้นักล่าใบตองแห้ง มันจะเปลี่ยนเป็นอะไร จากนักล่า จะเป็นนักล้วง หรือนักรัก หรือไง นักล้วงก็เป็นตลอดอยู่แล้วนี่หว่า สงสัยเป็น จะอย่างหลัง นักรัก … เพราะทน (หึง) ไม่ไหว เจอทหารไทยเบอร์ใหญ่มาก บอกรักจีนกลางเวทีอาเซียน เมื่อต้นเดือนสิงหาคมนี้ เล่นเอาสื่อฝรั่งช็อก ออกข่าวว่าไทยบอกรักจีนกลางเวทีอาเซียน ข่าวนี้ ทำให้ผมความครื้นเครงใจอย่างยิ่ง ผมเลยต้องแว๊บไปอ่านบทบทความของท่านสื่อใหญ่ ซึ่งผมก็เป็นแฟนท่านเหมือนกันนะ บทความท่านสื่อใหญ่เริ่มต้นซะ ผมนึกว่าท่านเอานิทานจิ๊กโก๋ปากซอยของผม มาช่วยโปรโมทให้ อ่านๆ ไป อ้าว แล้วกัน กลายเป็นคนละซอย ฮา…ไปหาอ่านกันเองแล้วกันครับ ผมแค่ติดใจ ตอนท่านจะจบบทความนั่นแหละ ท่านว่าสังคมไทยดูเหมือนจะวิพากษ์วิจารณ์ทูตอเมริกันคนใหม่ที่กำลังจะมา ด้วย”ทัศนคติลบ” มากอยู่ ในความเห็นของท่าน เอกลักษณ์แข็งของไทย เมื่อมีแขกไปใครมาเยือนถึงเรือ นชาน จะยิ้มแย้ม ยินดี ต้อนรับ… ดังนั้น เราอย่าใช่ “ใจขุ่น” สรุปการมาของเขาในแง่ร้าย ทันที่ทันใด จะดีไหม ท่านว่า ท่าทีของสหรัฐต่อไทยกำลังจะเปลี่ยนไป…? เอาละครับ ท่านเป็นสื่อใหญ่ที่ผมเคารพ ท่านจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน แต่ผมก็มีความเห็นของผม แถมให้เหมือนกัน ตามรายงานความประพฤติของเด็กชาย สยาม ที่ครูประจำชั้น ที่ดูแลแดนสยาม ต้องทำส่งครูใหญ่ คือสภาสูงของอเมริกา ทุกปี หรือที่เรียกว่า Congressional Sevice Report เรื่อง Thailand: Background and U.S. Relations ซึ่งออกมาเมื่อวันที่ 29 กรกฏาคม ที่ผ่านมานี้ นั้น ผมมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของอเมริกา… ในทางที่เป็นคุณ หรือเป็นบวกกับประเทศไทยแต่อย่างใดเลย เอกสารยาว 19 หน้า อ้างความสัมพันธ์ที่มีมาช้านาน ตั้งแต่ ปี ค.ศ.1954 รักกันจัง รวมมือกันจริง แต่ความรักมาสะดุดก็ตอนที่ แดนสยามมีปฏิวัติถี่หน่อย 2 ครั้ง ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ข้อความอื่นๆ ก็เป็นไปตามแบบฟอร์มเดิม รวมทั้งเรื่องการเสือก เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ซึ่งเป็นที่เคารพอย่างสูงสุดของเรา และเรื่องการสืบสันตติวงศ์ของพระราชวงศ์ ซึ่งเป็นเรื่องภายในและละเอียดอ่อนของเรา มันก็ยังเสือกเหมือนเดิม ผมยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของไอ้ใบตองแห้งเลยนะ ที่มีพิเศษเพิ่มเติม คือ เรื่องการปฏิวัติของลุงตู่ คุณครูประจำชั้น ที่ทำรายงานบอกว่า การที่ทหารไทยทำการปฏิวัติ ในปี ค.ศ.2014 ไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นเรื่องใหญ่สำหรับอเมริกา เป็นการท้าทายความสัมพันธ์ ระหว่างอเมริกากับไทยว่า จะยังอยู่ในราง หรือจะตกราง ในหลายๆทาง ความสัมพันธ์ด้านกองทัพ กับกองทัพ military – to – military ระหว่างอเมริกากับไทย เป็นเสาหลักที่แข็งแรงที่สุด ในด้านความสัมพันธ์ ระหว่างอเมริกากับไทย…. ….นอกจากนี้ มีนักวิเคราะห์บอกว่า สัมพันธ์ไทย-อเมริกา เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องรักษาไว้ เพราะจะทำให้ อเมริกาอาจเสียโอกาส ในการเข้ามาใช้ฐานและเครื่องมือเครื่องใช้ทางทหารที่สำคัญในไทย โดยเฉพาะอู่ตะเภา ที่สามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ ( ซึ่งรวมถึง C-17s และ C-130s) ได้ และอยู่ติดกับท่าเรือน้ำลึก และมีสาธารญูปโภคพร้อม ในการใช้บริหารและควบคุมระบบ เมื่อตอนอเมริกามีปฏิบัติการณ์อิรัค และอาฟกานิสถานกองทัพอมริกัน ใช้อู่ตะเภาเป็นที่แวะเติมน้ำมัน…….การเสียโอกาสนี้ จะทำให้ อิทธิพลของจีนในภูมิภาค เพิ่มสูงขึ้น…. ….นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานหลายสิบหน่วย ของอเมริกา ที่ใช้ไทยเป็นสำนักงานใหญ่ (ปฏิบัติการ) ในภูมิภาค เจ้าหน้าที่เหล่านั้น ไม่สบายใจว่า การเมืองไทยที่ไม่สงบ จะทำให้การทำงานของพวกเขาสะดุด…. เอาละครับ ไปอ่านส่วนที่เป็นน้ำกันเองต่อ ผมแกะส่วนที่เป็นเนื้อมาให้แล้ว ลองพิจารณากันดูนะครับ ไอ้ใบตองแห้ง มันมองเราอย่างไร และมันเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง หรือถ้ามันจะเปลี่ยน เปลี่ยนตรงไหน เพราะอะไร มันอาจจะเพิ่งสำนึก ว่า กูโง่ กูบ้า ขนาดไหน ที่มาทำกร่างใส่สมันน้อย นึกไม่ถึงว่าสมันน้อย จะเปลี่ยนเป็นช้างไทยสู้ศึก แล้วนี่ กูจะบุกจีน ผ่านรูไหนดีวู้ย ไม่มีอะไรดีกว่า หน้าด้าน ด่าแล้ว ก็กลับมาตบหัวได้ เดี๋ยวคนไทยใจดี ใครมาเยือนถึงเรือนชาน ก็ต้อนรับเอง เหมียนเดิม ถ้าไม่แน่ใจ ว่าจะต้อนรับนายทูตตนใหม่ของไอ้ใบตองแห้งอย่างไรดี จะเอาพวกมาลัยไปคอยยืนคล้องคอ แถมโบกธงอเมริกัน ตะโกนร้อง พ่อกูมาแล้ว หรือ จะด่ามันต่อไปว่า กูรู้นะ ว่ามึงกำลังคิดจะทำอะไร หรือจะเฉยๆ ดูท่าทีกันไปก่อน ถ้าไม่แน่ใจนะครับ ก็โปรดอดใจ รออีกไม่กี่วัน ผมกำลังปั่นนิทานเรื่องใหม่ เกี่ยวกับความสัมพันธ์อันซับซ้อน ระหว่างจีน ญี่ปุ่น อังกฤษ อเมริกา และ มันอาจจะมาเกี่ยวกับแดนสยามของเรา อ่านนิทานเรื่องนั้นแล้ว น่าจะได้คำตอบ ว่าจะรับนายทูตใบตองแห้งคนใหม่อย่างไร สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 8 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 425 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่อง สู่ทางน้ำเชี่ยว 1 – 2

    “สู่ทางน้ำเชี่ยว”
    (1)
    วันนี้ขอคุยกับท่านผู้อ่าน แบบตรงไปตรงมา จากความรู้สึกในใจของผมหน่อยเถิด ไม่ชอบใจ ก็ปิดเครื่อง หรือเปลี่ยนไปอ่านเพจอื่น ไม่พอใจ อยากจะด่า ก็เชิญตามสบาย
    แต่อย่าแรงนักแล้วกัน คนแก่ตกใจง่าย
    ผมเขียนนิทานเรื่องจริงให้อ่านกันมาเกือบ 2 ปีแล้ว เอาข้อมูลเรื่องราวที่มองมาจากอีกมุมหนึ่ง รวมทั้งที่มองจากมุมเดิม ที่เห็นๆกันอยู่ซ้ำซาก แต่ผมมองลึกไปอีกแบบ มาเล่าสู่กันฟัง เป็นเรื่องราวที่สื่อฟอกย้อม ทั้งในบ้านและนอกบ้าน แทบไม่เคยพูดถึง หรือพูดแบบใส่สีเข้มตามใบสั่งของ เจ้าของสื่อ จนไม่รู้ว่า มีความจริงน้อยมากแค่ไหน หรือพูดแบบ มั่ว คลุมเคลือ ไม่รู้ที่มาและที่จะไปต่อ หรือพูดแบบครึ่งใบ ที่เหลือให้เดาเอา หรือแต่งกันเองสนุกดี
    จากการอ่านและการวิเคราะห์ของผมเอง ผมเชื่อว่า อีกไม่เกิน 2 ถึง 3 ปี จากที่ผมเริ่มเขียนนิทานเรื่อง แรก เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2556 ก็แปลว่า จากนี้ไป ไม่เกิน 1 ปี โลกเราจะเริ่มเข้าสู่อาการ ถ้าเปรียบกันคน ก็เป็นคนต้องเกณท์เปลี่ยนชะตานั่นแหละ มันจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงจากสิ่งเล็ก สิ่งน้อย ซึ่งถ้าเราไม่ทันสังเกต หรือไม่สนใจติดตาม เราก็จะไม่รู้ว่า มันมีการเปลี่ยนไปแล้ว และการเปลี่ยนนั้น จะเปลี่ยนมากขึ้น ด้วยอัตราที่เร็วขึ้น จนเราเริ่มรู้สึก แต่ก็อาจจะยังไม่รู้เรื่อง รู้เหตุ รู้ผล อยู่ดี กว่าจะรู้เรื่อง ก็อาจจะทำอะไรไม่ทันแล้ว
    เราเคยชินกับการมีอเมริกา ที่ทำตัวเหมือนเป็นจิ๊กโก๋ปากซอยตัวแสบ เบ่งกล้าม คุมทั้งซอยอยู่คนเดียว มาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นานถึง 70 ปี เชียวนะครับ ที่ไอ้จิ๊กโก๋มันคุมโลก จนตัวมันก็ “ชิน” กับการที่ไม่ใครมากล้าหือกับมัน และเราๆ ก็ดัน “ชิน” กับการคุมของมัน แถมบางพวก ก็ชอบที่จะอยู่ใต้อุ้งมืออุ้งตีนของไอ้จิ๊กโก๋ ก็ของมันเคย มันชิน แต่สำหรับพวกที่ไม่ชอบ ก็ต้องทนยอมมันไป (ก่อน) ก็มันวางกฏเกณท์ของทั้งโลกทั้ง ใบ หันไปทางไหน จะทำอะไร ก็เจอกฏ เจอระบบ ที่มันวางไว้ทั้งนั้น ขนาดจะแต่งตัว ตัดผม ดูหนัง ฟังเพลง บันเทิงใจ ชอบ ไม่ชอบอะไร ยังต้องเป็นแบบที่มันจัดยัดใส่หัวมาให้เลย ใครที่ไม่อยู่ในระบบ ในรูปแบบที่มันเห็นชอบ มันก็จัดการเก็บกวาดจนเหี้ยน ในที่สุด ชาวโลกส่วนใหญ่ ก็เลยจำยอมอยู่ในกำมือ ในกฏ กติกา ความเห็น ที่ไอ้จิ๊กโก๋มันสร้าง มันวางเอาไว้ น่าสมเพชไหมครับ ที่ต้องมีใครมาจูงเราทุกเรื่อง หรือชอบใจกัน ที่ไม่ต้องคิดมาก จูงไปทางไหน ก็ไปทางนั้น…
    แต่ประมาณ 15 ปี มานี้ เริ่มมีพวกที่อยากดำเนินชีวิต ตามระบบ ตามแบบของตัวเอง อยากกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองบ้าง ไม่ใช่ทุกอย่างต้องขึ้นกับจิ๊กโก๋ปากซอยสั่ง กูจะหิว กูจะกิน กูจะนอน ฯลฯ ให้มันเป็นไปตามใจกูบ้างได้มั้ย กูเบื่อที่จะถูกจูงแล้ว….
    จิ๊กโก๋ บอก ไม่ได้ กูไม่เชื่อว่าพวกมึงตัดสินใจเป็น และตัดสินใจถูก ขอโทษนะครับ ต้องเขียนด้วยสรรพนาม เช่นนี้ เพราะลักษณะที่เขาออกอาการกัน มันดูจะไม่ใช่เป็นการพูดแบบคุณครับขอรับกระผมกัน ที่นี้ เรื่องมันก็เลยเริ่มวุ่น และบานไปเรื่อยๆ
    มาถึงวันนี้ โลกแบ่งชัดเจนแล้ว อำนาจของโลก ที่เคยมีขั้วอำนาจขั้วเดียว ที่คุมโดย ไอ้จิ๊กโก๋ปากซอย อเมริกาและพวกลูกกระเป๋ง กำลังเปลี่ยนไป ขั้วอำนาจอีกขั้ว ที่นำโดยรัสเซียและจีน กำลังรวมตัว และปรากฏตัวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีจำนวนประเทศน้อยกว่า แต่ถ้านับเนื้อที่ของประเทศ กับจำนวนรวมของพลเมือง คงไม่ต่างกันมาก และขณะนี้ ทั้งสองขั้ว ต่างกำลังจ้องตาใส่กันอย่างไม่กระพริบ เพื่อค้นหา รวมไปถึงทดสอบ ศักยภาพทางเศรษฐกิจ และศักยภาพทางอาวุธ ของขั้วที่ต่างกัน ว่าใครจะเหนือกว่าใคร
    เศรษฐกิจเป็นเกมที่ทางขั้วอำนา จอเมริกาถนัดนัก เล่นกลอยู่เสมอ เล่นมา 100 ปีแล้วนี่ ปั่นขึ้น ปั่นลง ได้ทุกอย่าง ก็เป็นคนคุมระบบทั้งหมด มันก็เหมือนเป็นเจ้ามือคุมบ่อน นั่นแหล่ะ แจกไพ่เอง ทำเครื่องหมายไพ่ ให้ยืมเงินมาเล่น ใครทำอะไรไม่ถูกใจ ก็ไล่ออกจากวง คว่ำบาตรเสีย แบบนี้ เจ้ามือก็ไม่มีทางแพ้อยู่แล้ว (มีแต่ถูกเผาบ่อน หรือถูกยิง) เรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นเหมือนตัววัดตัวหนึ่ง เมื่อไหร่ที่เจ้ามือออกอาการ มีการใกล้จะล้มโต๊ะ เพราะเจ้ามือเล่นกลไม่ออก จะเพราะลูกมือเกิดดวงดี ดวงแข็ง หรือถูกลูกมือจับกลโกงของเจ้ามือได้ นั่นก็เป็นอาการที่เราๆ จะต้องระวัง แปลว่า เรื่องใหญ่ใกล้จะมา ดวงชะตาของโลกใกล้จะมีการเปลี่ยน
    เหตุการณ์ตลาดหุ้นจีน ที่เริ่มถูกปั่นลงดิ่ง ตั้งแต่เดือนมิถุนา กรกฏาคม จนแมงเม่าตาตี่ปีกหัก ร่วงผล่อยหล่นลงพื้นเต็มไปหมด แต่จีนก็ปล่อยให้เจ้ามือตาน้ำข้าวเล่นให้เพลิน ด้วยการปล่อยให้หล่นถึงพื้น และจีนก็ซื้อกลับ ส่วนเงินกองทุนของเจ้ามือตาน้ำข้าว รวมทั้งกำไรที่รวยมาจากเด็ดปีกแมงเม่าตาตี่ เจ้ามือตาน้ำข้าวเตรียมโอนกลับ บ้าน แต่จีนบอกรอแป๊บนึง อย่าเพิ่งใจร้อน รีบโอนกลับ ขอเราตรวจสอบก่อนว่า ทำผิดกฏอะไรบ้างหรือเปล่า ทำได้ไม่ไม่ใช่หรือ ก็ดันไปเปิดบ่อนเต๋าถ่วงที่บ้านคนอื่น โง่หรือฉลาด(วะ) ทุนก้อนใหญ่ เอาออกมาไม่ได้ ตลาดอื่นๆ ก็ค่อยๆร่วง ชาวบ้านนึกว่าร่วงเรื่องกรีซ ก็เพราะสื่อย้อมสีกับกองทุนตาน้ำข้าว มันบอกอย่างนั้น ก็เลยเชื่อกันอย่างนั้น…นี่การตรวจสอบจะนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้…. สื่อฟอกย้อม เรื่องนี้ ไม่ออกข่าวเลยนะ
    อเมริกาบอก โลกนี้หมุนด้วยน้ำมัน และมันต้องเป็นน้ำมัน ที่ค้าขายกันด้วยดอลล่าร์ (เปโตรดอลล่าร์) เท่านั้น โลกถึงจะหมุน วันนี้ จีนกับรัสเซียบอก ไม่จำเป็นนะ เปโตรหยวน หรือเปโตรรูเบิล ก็หมุนโลกได้เหมือนกัน
    อเมริกาบอก ระบบการเงินในโลก ต้องคุมด้วยระบบธนาคารกลางของอเมริกา จีนกับรัสเซียบอก ไม่จำเป็นนะ ถ้าเราสร้างระบบที่พวกเราเห็นพ้องกันว่ามันยุติธรรมได้ และตอนนี้ จีนกับรัสเซีย ก็กำลังค้าขายกันด้วยการแลกเปลี่ยนเงินสกุลของพวกเขา ตามค่าของเงินที่พวกเขาตกลงกันเอง อ้าว พวกเอ็งตกลงกันเองได้ พวกผมก็ตกลงกันได้เหมือนกัน มีปัญหาไหม
    อเมริกากับพวกสร้าง World Bank, IMF มาเป็นกลไกด้านการเงิน คุมโลกจนกระดิกแทบไม่ออก วันนี้ จีนกับรัสเซียและพวกสร้าง AIIB ขึ้นมาเป็นทางเลือก
    อเมริกาสร้างใอ้ 3 หมาไน เป็นตัววัดเครดิตเรตติ้งของธุรกิจ ของประเทศต่างๆ ตามหลักเกณท์ที่มีผู้ค้านมากมาย ว่าไม่เป็นธรรม วันนี้ จีนกับรัสเซีย ก็กำลังสร้างบริษัทวัดเครดิตเช่นนั้นเหมือนกัน และบอกว่าเป็นธรรมกว่า
    เราจะได้ยินเรื่องทำนองนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อันที่จริง มันควรจะเป็นเรื่องน่ายินดี ที่มีการเพิ่มทางเลือกให้แก่มนุษยชาติ แต่ดูเหมือนอเมริกาไม่ยินดี นอกจากไม่ยินดีแล้ว อเมริกายังแสดงอาการ ทั้งทางตรงและทางอ้อมอีกด้วยว่า อเมริกาไม่พอใจอย่างยิ่ง อเมริกามองว่า การที่อีกฝ่าย และมนุษยชาติ มีทางเลือก มันเป็นการคุกคาม การเป็นผู้ครอบครองโลกใบนี้แต่ผู้เดียวของอเมริกา( America World Dominence) และ อเมริกาเท่านั้นนะ ที่จะเป็นผู้กำหนดชะตาของโลก มันต้องเป็นไปตามเส้นทาง วิธีการ ระบบ ที่อเมริกาเลือก และเห็นชอบสิ เข้าใจไหม
    และเพราะอเมริกา มีแนวคิด และแนวปฏิบัติเข่นนี้ โลกนี้ถึงได้ยุ่งเหยิงอย่างไม่ควรจะเป็น เมื่อใดที่เรื่องอะไร ที่ไหน ที่ไม่เป็นไปตามแนวที่อเมริกาเห็นชอบ หรือเมื่ออเมริกาอยากได้สมบัติของเขา ประเทศเหล่านั้นก็ถูกสื่อที่เป็นมือตีนของอเมริกา ฟอกย้อมให้เป็นคนเลว เป็นเผด็จการ เป็นผู้ร้าย เป็นโจร เมื่อสื่อย้อมจนได้ที่ อเมริกาก็ยาตราใช้อำนาจของอาวุธของตัวเองเข้าไปตัดสิน และประเทศเหล่านั้น ก็ถึงแก่การกาลวิบัติ ฉิบหาย จนถึงสิ้นชาติ โลกนี้จึงอยู่ในกำมือของอเมริกา ที่ใช้มาตรฐานของตน ที่มีหลายระดับ หลายแบบ ตามสันดานจิ๊กโก๋เป็นเครื่องตัดสิน

    (2)
    แดนสยามของสมันน้อย กำลังถูกอเมริกาจับตามองอย่างไม่พอใจอย่างยิ่ง ตั้งแต่สมันน้อยเริ่มไม่ว่าง่าย เมื่อสมันน้อยทนมีรัฐบาลโคตรโกง ไม่ไหว ออกมาขับไล่ อเมริกายื่นหน้ามาถาม ไล่เขาทำไม เขามาจากการเลือกตั้ง เสือกไหม เสือกสิ ในความเห็นของผม ทำไมเอ็งต้องมาออกความเห็นเรื่องบ้านผมทุกเรื่อง วันนี้แดนสยาม มีทหารเป็นผู้ใช้อำนาจในการบริหาร โดยยังไม่มีการลือกตั้ง อเมริกาจะลงแดงตายเสียให้ได้ เมื่อไหร่ ไทยแลนด์จะมีการเลือกตั้ง อเมริการับไม่ได้กับการปฏิวัติ รับไม่ได้กับการไม่เลือกตั้ง รับไม่ได้กับการไม่เป็นประชาธิปไตย อเมริกาไม่ชอบ ไม่ชอบ และไม่ชอบ ทำไมไม่ลงไปดื้นเร่าๆกลิ้งกับพื้น ตอนด่าไทยแลนด์เลยละ (วะ) จะได้สมกับเป็นชาติมหาอำนาจใหญ่ยิ่งที่สุดในโลก
    Wall Street Journal ลงบทความ เมื่อวันที่ 23 กรกฏาคมนี้ เขียนโดย นาย Desmond Dalton ซึ่งเป็นนายทหารอเมริกัน ที่เกษียณแล้ว และเคยเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของอเมริกาในประเทศไทย บทความนั้นชื่อว่า ” Saving America’s Ties With Thailand” หลายท่านคงเห็นแล้ว และเข้าใจว่าสื่อไทยก็น่าจะลงแล้ว แต่ผมมีมุมมองของผม ที่อาจจะต่างไปบ้าง
    บทความดังกล่าว สรุปว่า อเมริกาไม่พอใจไทย ตั้งแต่มีการปฏิวัติเมื่อปี ค.ศ.2014 (ก็ปฏิวัติของลุงตู่นั่นแหละ) และความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับไทย ก็เสื่อมลงมากมายอย่างน่าใจหาย อเมริกาหันหลังให้กับรัฐบาลทหาร อย่างไม่ไว้หน้า แถมขู่ให้ไทยรีบมีการเลือกตั้งอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้น สัมพันธ์อเมริกาไทยก็จะยิ่งเสื่อมลงไปอีกเรื่อยๆ (จะให้เสื่อมลงถึงไหน นี่ยังไม่ถึงดินหรือไง สงสัยอยากได้สัมพันธ์แบบใต้ดิน แบบนั้น ต้องไปแถวประเทศที่ถนัดแบกถาด ฮา)
    คุณทหารอดีตที่ปรึกษา บอกว่า การที่อเมริกาปฏิบัติต่อไทยเช่นนี้ ทำให้อเมริกาเสียโอกาสในไทยอย่างยิ่ง และทำให้นโยบายของรัฐบาลโอบามา ที่คิดจะมาถ่วงดุลอำนาจ ในเอเซียแปซิฟิกจะกลายเป็นแค่ราคาคุย ไม่ใช่ว่า อเมริกาควรจะหลับหู หลับตา กับสิ่งที่ไทยทำ แต่เพื่อรักษาโอกาสของอเมริกา อเมริกาก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีที่สร้างศัตรูกับไทย ด้วยการด่าว่าทหารไทยอย่างเอิกเกริก ไปพูด (ด่า) กันเงียบๆก็ได้นะ แถมการที่อเมริกาตัดงบอาวุธ ตัดงบการอบรม สาระพัดกับไทย กลายเป็นการผลักให้ไทยหันไปสร้างสัมพันธ์กับชาติอื่น เช่นจีนแทน…
    ….และไทย ก็เลยปิดประตูทางเข้า ที่อเมริกาเคยเข้ามาใช้ไทยอย่างอิสระ สะดวกสบายไปเรียบร้อย และจากการตัดสินใจซื้ออาวุธล่าสุดของไทย แสดงให้เห็นว่า ไทยไม่คิดจะพึ่งพาอเมริกาด้านอาวุธเพียงรายเดียว นี่เป็นก้าวที่พลาดอย่างยิ่งของอเมริกา แม้ไทยจะเป็นเพียงประเทศขนาดกลาง มีพลเมือง ประมาณ 70 ล้านคน มีเศรษฐกิจเพียงอันดับที่ 22 ของโลก … แต่ไทย มีความหมายในเชิงยุทธศาสตร์อย่างยิ่งกับอเมริกา ……
    ….เส้นทางจากไทย เป็นเส้นทางเดียว ที่กองทัพอเมริกันเชื่อถือ ที่จะใช้เป็นจุดผ่านเข้าไปสู่แผ่นดินใหญ่ของเอเซีย…
    …It offers U.S forces the only reliable access point to mainland Asia…
    นอกจากนี้ อุตสาหกรรมด้านการผลิตอาวุธของอเมริกา ได้รับการอุดหนุนจากงบประมาณด้านความมั่นคงก้อนใหญ่ ของไทยทุกปี
    บทความที่เหลือ ก็เป็นการสรรเสริญ ถึงความเก่งกล้าสามารถด้านการทหารของไทย รวมทั้งด้านการเป็นผู้นำในภูมิภาคของไทย พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ ให้อเมริกากลับมาเจรจาโดยใช้คำหวานกับไทยเสียใหม่ ให้ไทยกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตย และเพื่อที่อเมริกาจะได้ใช้ประโยชน์จากการมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันให้มากที่สุด…โดยทำผ่านการพูดคุยกับผู้นำทหาร นักวิชาการ และราษฎรที่มีชื่อเสียง….อืม..
    พอเห็นไหมครับ ว่าบทความนี้มันสื่ออะไรกับเราบ้าง
    มันไม่มีส่วนไหนเลย ที่แสดงถึงความเข้าใจ และเห็นใจประเทศไทย มันมีแต่ว่า เขาจะใช้ประโยชน์จากเราได้อย่างไรบ้าง และจะ “ทำอย่างไร” ที่จะกลับมาจิกหัวเรา ได้อย่างเดิม
    บทความนี้ เป็นการโยนหินถามทางที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะ คำแนะนำ ว่า อเมริกาควร “ทำอย่างไร” เพื่อจะกลับมา
    อเมริกา น่าจะรู้ตัวแล้วว่า อเมริกากำลังเดินหมากผิดจนน่าโขกหัวตัวเอง ในยามที่โลกแบ่งชัดเป็น 2 ขั้ว เมื่อจีนและรัสเซียอยู่คนละขั้วกับอเมริกา แต่อเมริกาดันถีบหมากชื่อไทยแลนด์ กระเด็นออกไปนอกกระดานของอเมริกา และก็เป็นการถีบทิ้งอย่างเอิกเกริก เล่นงานกันทุกทาง ไม่ว่าจะโดยแสดงด้วยกริยา อาการ หรือการแสดงด้วยวาจา การด่า การเขียน ทั้งทางตรง ทางอ้อม แม้กระทั่งในบทความของถังขยะความคิด ไม่ว่าถังไหน เมื่อพูดถึงอเมริกาและพวก จะไม่ปรากฏชื่อไทยแลนด์ แดนสยามของสมันน้อยแม้แต่ครั้งเดียว คบกันมา กว่า 70 ปี บทจะถีบทิ้ง ก็ไม่เหลือใย เหลือหน้ากันไว้ อย่างนี้จะกลับมาเป็นเพื่อนกันใหม่ จะให้มองกันติดสนิทใจ จะใช้กาวยี่ห้อไหนดี(วะ)
    อเมริกา กำลังทดสอบไทย ตามสันดานจิ๊กโก๋ปากซอย ด้วยการบีบคั้นทุกรูปแบบ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาใช้ hard power (อาวุธ) อเมริกาจึงใช้ soft power (อำนาจที่ไม่ต้องใช้อาวุธ เช่น การคว่ำบาตร การกีดกัน การระงับ โดยอ้างว่าไม่ได้มาตรฐานการ และใช้มากที่สุดคือ ใช้สื่อโจมตี) เราจึงได้เห็นตั้งแต่ การโจมตีเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ การเลื่อนการเลือกตั้ง เรื่องการไม่มีมนุษยธรรม ตั้งแต่โรฮิงญา มาจนถึงอุยกูร์ การที่บริษักการบินไทยไม่ได้มาตรฐาน เรื่องส่งออกอาหารไม่ผ่านมาตรฐาน ใช้แรงงานผิดมาตรฐาน ข่าวเรื่องอียู คว่ำบาตรไทย การจ่าหน้าซองผิด ฯลฯ ยังจะมีสาระพัด ตะหวักตะบวยเลวไปกว่านี้อีกมากมาย ที่มันจะสรรหา ยกขึ้นตามมาอีก การก่อกวนในรูปแบบต่างๆ ก็ยังจะเกิดขึ้นอีก และอาจจะรุนแรงขึ้น เป้าหมายก็เพื่อสั่นคลอนเรา พยายามทุกอย่างให้สมันน้อยปอดแหก จะได้ไม่กล้า แหกคอก
    มาถึงวันนี้ วันที่ต่างก็เริ่มเห็นชัดแล้ว ว่าอะไรคอยอยู่ข้างหน้า อเมริกา คิดตกหรือยัง ว่า จะตบหน้าเพื่อนเก่า 70 ปีต่อไปอีก โทษฐานคิดแหกคอก หรือ อเมริกาจะทำไม่รู้ไม่ชี้ เดินกลับมา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะชักสำนึกได้ว่า ถ้าจะใช้ไอ้พวกลูกกระเป๋ง มาแบกถาดถือปืน อาจจะไม่ได้ผลอย่างที่คิด
    จิ๊กโก๋ทำได้ไหม ทำได้สบายมาก ถ้าจำเป็นจริงๆ อเมริกาก็หาวิธีกลับเข้ามาตบหลังลูบหัวไทยได้ ถ้าเดินเข้ามาตรงๆไม่ได้ หนอนในบ้าน ที่ยังเห็นอเมริกาเป็นพ่อ ยังมีอีกแยะ คงหาทางให้ สมันน้อยเดินจ๋อยๆกลับเข้าคอกเอง โดยนึกว่าอเมริกาไม่เกี่ยว แล้วเราจะว่ายังไงครับ….
    ตอนนี้ ลุงตู่กำลังทำหน้าที่เป็นกัปตัน พาเรือใหญ่ขนาดกลาง ขนคนประมาณ 70 ล้านคน มุ่งหน้าไปตามลำน้ำใหญ่ สายน้ำเริ่มเชี่ยวขึ้นทุกที แถมข้างหน้า มีวังน้ำวนเห็นอยู่ชัดๆ เรือจะผ่านวังน้ำวน ไปได้หรือเปล่ายังไม่รู้ ลุงตู่จะคัดท้าย นำเรือขนาดกลางนี้ ไปรอดไหม ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับฝีมือคัด ท้ายของลุงตู่เอง แต่อีกส่วน ก็ขึ้นอยู่กับผู้โดยสาร 70 ล้านคนนั่นด้วย จะเอาอย่างไรล่ะ จะให้กัปตันพาเรือเดินหน้า หรือเปลี่ยนใจ ไม่ไปต่อแล้ว กลัวน้ำวน กลัวโจรปล้น กลัวจิ๊กโก๋ขู่ ให้กัปตันทิ้งสมอ จอดมันริมฝั่งนั่นแหละ ใครจะมาเอาเรือก็เอาไป แล้วจะจอดฝั่งไหนล่ะ ฝั่งที่คุ้นๆกันมา 70 ปี เดี๋ยวดี เดียวด่า ทำเหมือนสมันน้อยเป็นขี้ข้า หรือจะจอดอีกฝั่ง จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่เท่าที่ดู เขาว่าเป็นประเภทไม่ชอบเป็นขี้ข้าใคร แต่จะทิ้งสมอจอดเรือ ยามน้ำเชี่ยว ก็ใช่ว่าจะทำง่าย เผลอๆ ล่มตอนจอดนี่แหละ สมันน้อย ได้เป็นสมันน้ำ ลอยคอกันเป็นแถว
    เออ..แล้ว อยู่ๆ จะจอดเรือ ยกประเทศให้เขาเลยงั้นหรือ จะมีคนไม่ยอม หรือ จะมีคนอยากให้เขาจูงกลับเข้าคอก ผมตอบไม่ได้ รู้แต่ว่า หนอนในที่ชอบอยู่คอก และชอบถูกจูงยังมีอยู่
    แต่ถ้าเราจะเลือกเดินหน้า ผู้โดยสารก็ต้องทำความเข้าใจ และปรับชีวิตตัวเองบ้าง ต้องรับรู้ว่า กำลังนั่งเรือไปในทางน้ำเชี่ยว ก็ต้องนั่งให้มีสติ เตรียมอุปกรณ์ทั้งด้านส่วนตัวและ ด้านสติปัญญาให้พร้อม เริ่มฝึกตัวเองให้มีวินัย ช่วยเหลือตัวเองได้ นั่งเรือไป ไม่ใช่วีดว้าย กระตู้วู้ ไปตลอดทาง อะไรนิดก็โวย อะไรหน่อยก็ด่า ฟังอะไรมาไม่ได้ยังไม่ทันกรอง ก็แชร์กัน ไลน์กัน เหมือนคนมีแต่นิ้ว แต่ไม่มีสมอง เป็นมนุษย์พันธ์ใหม่ และอย่าเป็นประเภทชอบเอามือราน้ำ แบบนี้ ต่อให้กัปตันเก่งยังไง เรือก็อาจล่ม…
    บ้านเมืองมาถึงจุดสำคัญ ตื่นกันได้แล้วครับ ลดเรื่องไร้สาระลงเสียบ้าง เอาใจใส่บ้านเมืองกันหน่อย อย่างที่ผมเคยบอก ความเข้าใจและเห็นพ้องกัน ระหว่างผู้บริหารบ้านเมืองกับพลเมือง เป็นความมั่นคงของชาติอย่างหนึ่ง ปิดทางไม่ให้ศัตรูทั้งภายนอกและภายในเข้ามาทำร้าย และทำลายบ้านเมืองเราได้ เราจะได้ช่วยกัน พาเรือผ่านน้ำเชี่ยวไปได้ เป็นสิ่งที่เราทำให้บ้านเมืองของเราได้นะครับ
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    29 ก.ค. 2558
    เรื่อง สู่ทางน้ำเชี่ยว 1 – 2 “สู่ทางน้ำเชี่ยว” (1) วันนี้ขอคุยกับท่านผู้อ่าน แบบตรงไปตรงมา จากความรู้สึกในใจของผมหน่อยเถิด ไม่ชอบใจ ก็ปิดเครื่อง หรือเปลี่ยนไปอ่านเพจอื่น ไม่พอใจ อยากจะด่า ก็เชิญตามสบาย แต่อย่าแรงนักแล้วกัน คนแก่ตกใจง่าย ผมเขียนนิทานเรื่องจริงให้อ่านกันมาเกือบ 2 ปีแล้ว เอาข้อมูลเรื่องราวที่มองมาจากอีกมุมหนึ่ง รวมทั้งที่มองจากมุมเดิม ที่เห็นๆกันอยู่ซ้ำซาก แต่ผมมองลึกไปอีกแบบ มาเล่าสู่กันฟัง เป็นเรื่องราวที่สื่อฟอกย้อม ทั้งในบ้านและนอกบ้าน แทบไม่เคยพูดถึง หรือพูดแบบใส่สีเข้มตามใบสั่งของ เจ้าของสื่อ จนไม่รู้ว่า มีความจริงน้อยมากแค่ไหน หรือพูดแบบ มั่ว คลุมเคลือ ไม่รู้ที่มาและที่จะไปต่อ หรือพูดแบบครึ่งใบ ที่เหลือให้เดาเอา หรือแต่งกันเองสนุกดี จากการอ่านและการวิเคราะห์ของผมเอง ผมเชื่อว่า อีกไม่เกิน 2 ถึง 3 ปี จากที่ผมเริ่มเขียนนิทานเรื่อง แรก เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2556 ก็แปลว่า จากนี้ไป ไม่เกิน 1 ปี โลกเราจะเริ่มเข้าสู่อาการ ถ้าเปรียบกันคน ก็เป็นคนต้องเกณท์เปลี่ยนชะตานั่นแหละ มันจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงจากสิ่งเล็ก สิ่งน้อย ซึ่งถ้าเราไม่ทันสังเกต หรือไม่สนใจติดตาม เราก็จะไม่รู้ว่า มันมีการเปลี่ยนไปแล้ว และการเปลี่ยนนั้น จะเปลี่ยนมากขึ้น ด้วยอัตราที่เร็วขึ้น จนเราเริ่มรู้สึก แต่ก็อาจจะยังไม่รู้เรื่อง รู้เหตุ รู้ผล อยู่ดี กว่าจะรู้เรื่อง ก็อาจจะทำอะไรไม่ทันแล้ว เราเคยชินกับการมีอเมริกา ที่ทำตัวเหมือนเป็นจิ๊กโก๋ปากซอยตัวแสบ เบ่งกล้าม คุมทั้งซอยอยู่คนเดียว มาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นานถึง 70 ปี เชียวนะครับ ที่ไอ้จิ๊กโก๋มันคุมโลก จนตัวมันก็ “ชิน” กับการที่ไม่ใครมากล้าหือกับมัน และเราๆ ก็ดัน “ชิน” กับการคุมของมัน แถมบางพวก ก็ชอบที่จะอยู่ใต้อุ้งมืออุ้งตีนของไอ้จิ๊กโก๋ ก็ของมันเคย มันชิน แต่สำหรับพวกที่ไม่ชอบ ก็ต้องทนยอมมันไป (ก่อน) ก็มันวางกฏเกณท์ของทั้งโลกทั้ง ใบ หันไปทางไหน จะทำอะไร ก็เจอกฏ เจอระบบ ที่มันวางไว้ทั้งนั้น ขนาดจะแต่งตัว ตัดผม ดูหนัง ฟังเพลง บันเทิงใจ ชอบ ไม่ชอบอะไร ยังต้องเป็นแบบที่มันจัดยัดใส่หัวมาให้เลย ใครที่ไม่อยู่ในระบบ ในรูปแบบที่มันเห็นชอบ มันก็จัดการเก็บกวาดจนเหี้ยน ในที่สุด ชาวโลกส่วนใหญ่ ก็เลยจำยอมอยู่ในกำมือ ในกฏ กติกา ความเห็น ที่ไอ้จิ๊กโก๋มันสร้าง มันวางเอาไว้ น่าสมเพชไหมครับ ที่ต้องมีใครมาจูงเราทุกเรื่อง หรือชอบใจกัน ที่ไม่ต้องคิดมาก จูงไปทางไหน ก็ไปทางนั้น… แต่ประมาณ 15 ปี มานี้ เริ่มมีพวกที่อยากดำเนินชีวิต ตามระบบ ตามแบบของตัวเอง อยากกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองบ้าง ไม่ใช่ทุกอย่างต้องขึ้นกับจิ๊กโก๋ปากซอยสั่ง กูจะหิว กูจะกิน กูจะนอน ฯลฯ ให้มันเป็นไปตามใจกูบ้างได้มั้ย กูเบื่อที่จะถูกจูงแล้ว…. จิ๊กโก๋ บอก ไม่ได้ กูไม่เชื่อว่าพวกมึงตัดสินใจเป็น และตัดสินใจถูก ขอโทษนะครับ ต้องเขียนด้วยสรรพนาม เช่นนี้ เพราะลักษณะที่เขาออกอาการกัน มันดูจะไม่ใช่เป็นการพูดแบบคุณครับขอรับกระผมกัน ที่นี้ เรื่องมันก็เลยเริ่มวุ่น และบานไปเรื่อยๆ มาถึงวันนี้ โลกแบ่งชัดเจนแล้ว อำนาจของโลก ที่เคยมีขั้วอำนาจขั้วเดียว ที่คุมโดย ไอ้จิ๊กโก๋ปากซอย อเมริกาและพวกลูกกระเป๋ง กำลังเปลี่ยนไป ขั้วอำนาจอีกขั้ว ที่นำโดยรัสเซียและจีน กำลังรวมตัว และปรากฏตัวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีจำนวนประเทศน้อยกว่า แต่ถ้านับเนื้อที่ของประเทศ กับจำนวนรวมของพลเมือง คงไม่ต่างกันมาก และขณะนี้ ทั้งสองขั้ว ต่างกำลังจ้องตาใส่กันอย่างไม่กระพริบ เพื่อค้นหา รวมไปถึงทดสอบ ศักยภาพทางเศรษฐกิจ และศักยภาพทางอาวุธ ของขั้วที่ต่างกัน ว่าใครจะเหนือกว่าใคร เศรษฐกิจเป็นเกมที่ทางขั้วอำนา จอเมริกาถนัดนัก เล่นกลอยู่เสมอ เล่นมา 100 ปีแล้วนี่ ปั่นขึ้น ปั่นลง ได้ทุกอย่าง ก็เป็นคนคุมระบบทั้งหมด มันก็เหมือนเป็นเจ้ามือคุมบ่อน นั่นแหล่ะ แจกไพ่เอง ทำเครื่องหมายไพ่ ให้ยืมเงินมาเล่น ใครทำอะไรไม่ถูกใจ ก็ไล่ออกจากวง คว่ำบาตรเสีย แบบนี้ เจ้ามือก็ไม่มีทางแพ้อยู่แล้ว (มีแต่ถูกเผาบ่อน หรือถูกยิง) เรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นเหมือนตัววัดตัวหนึ่ง เมื่อไหร่ที่เจ้ามือออกอาการ มีการใกล้จะล้มโต๊ะ เพราะเจ้ามือเล่นกลไม่ออก จะเพราะลูกมือเกิดดวงดี ดวงแข็ง หรือถูกลูกมือจับกลโกงของเจ้ามือได้ นั่นก็เป็นอาการที่เราๆ จะต้องระวัง แปลว่า เรื่องใหญ่ใกล้จะมา ดวงชะตาของโลกใกล้จะมีการเปลี่ยน เหตุการณ์ตลาดหุ้นจีน ที่เริ่มถูกปั่นลงดิ่ง ตั้งแต่เดือนมิถุนา กรกฏาคม จนแมงเม่าตาตี่ปีกหัก ร่วงผล่อยหล่นลงพื้นเต็มไปหมด แต่จีนก็ปล่อยให้เจ้ามือตาน้ำข้าวเล่นให้เพลิน ด้วยการปล่อยให้หล่นถึงพื้น และจีนก็ซื้อกลับ ส่วนเงินกองทุนของเจ้ามือตาน้ำข้าว รวมทั้งกำไรที่รวยมาจากเด็ดปีกแมงเม่าตาตี่ เจ้ามือตาน้ำข้าวเตรียมโอนกลับ บ้าน แต่จีนบอกรอแป๊บนึง อย่าเพิ่งใจร้อน รีบโอนกลับ ขอเราตรวจสอบก่อนว่า ทำผิดกฏอะไรบ้างหรือเปล่า ทำได้ไม่ไม่ใช่หรือ ก็ดันไปเปิดบ่อนเต๋าถ่วงที่บ้านคนอื่น โง่หรือฉลาด(วะ) ทุนก้อนใหญ่ เอาออกมาไม่ได้ ตลาดอื่นๆ ก็ค่อยๆร่วง ชาวบ้านนึกว่าร่วงเรื่องกรีซ ก็เพราะสื่อย้อมสีกับกองทุนตาน้ำข้าว มันบอกอย่างนั้น ก็เลยเชื่อกันอย่างนั้น…นี่การตรวจสอบจะนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้…. สื่อฟอกย้อม เรื่องนี้ ไม่ออกข่าวเลยนะ อเมริกาบอก โลกนี้หมุนด้วยน้ำมัน และมันต้องเป็นน้ำมัน ที่ค้าขายกันด้วยดอลล่าร์ (เปโตรดอลล่าร์) เท่านั้น โลกถึงจะหมุน วันนี้ จีนกับรัสเซียบอก ไม่จำเป็นนะ เปโตรหยวน หรือเปโตรรูเบิล ก็หมุนโลกได้เหมือนกัน อเมริกาบอก ระบบการเงินในโลก ต้องคุมด้วยระบบธนาคารกลางของอเมริกา จีนกับรัสเซียบอก ไม่จำเป็นนะ ถ้าเราสร้างระบบที่พวกเราเห็นพ้องกันว่ามันยุติธรรมได้ และตอนนี้ จีนกับรัสเซีย ก็กำลังค้าขายกันด้วยการแลกเปลี่ยนเงินสกุลของพวกเขา ตามค่าของเงินที่พวกเขาตกลงกันเอง อ้าว พวกเอ็งตกลงกันเองได้ พวกผมก็ตกลงกันได้เหมือนกัน มีปัญหาไหม อเมริกากับพวกสร้าง World Bank, IMF มาเป็นกลไกด้านการเงิน คุมโลกจนกระดิกแทบไม่ออก วันนี้ จีนกับรัสเซียและพวกสร้าง AIIB ขึ้นมาเป็นทางเลือก อเมริกาสร้างใอ้ 3 หมาไน เป็นตัววัดเครดิตเรตติ้งของธุรกิจ ของประเทศต่างๆ ตามหลักเกณท์ที่มีผู้ค้านมากมาย ว่าไม่เป็นธรรม วันนี้ จีนกับรัสเซีย ก็กำลังสร้างบริษัทวัดเครดิตเช่นนั้นเหมือนกัน และบอกว่าเป็นธรรมกว่า เราจะได้ยินเรื่องทำนองนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อันที่จริง มันควรจะเป็นเรื่องน่ายินดี ที่มีการเพิ่มทางเลือกให้แก่มนุษยชาติ แต่ดูเหมือนอเมริกาไม่ยินดี นอกจากไม่ยินดีแล้ว อเมริกายังแสดงอาการ ทั้งทางตรงและทางอ้อมอีกด้วยว่า อเมริกาไม่พอใจอย่างยิ่ง อเมริกามองว่า การที่อีกฝ่าย และมนุษยชาติ มีทางเลือก มันเป็นการคุกคาม การเป็นผู้ครอบครองโลกใบนี้แต่ผู้เดียวของอเมริกา( America World Dominence) และ อเมริกาเท่านั้นนะ ที่จะเป็นผู้กำหนดชะตาของโลก มันต้องเป็นไปตามเส้นทาง วิธีการ ระบบ ที่อเมริกาเลือก และเห็นชอบสิ เข้าใจไหม และเพราะอเมริกา มีแนวคิด และแนวปฏิบัติเข่นนี้ โลกนี้ถึงได้ยุ่งเหยิงอย่างไม่ควรจะเป็น เมื่อใดที่เรื่องอะไร ที่ไหน ที่ไม่เป็นไปตามแนวที่อเมริกาเห็นชอบ หรือเมื่ออเมริกาอยากได้สมบัติของเขา ประเทศเหล่านั้นก็ถูกสื่อที่เป็นมือตีนของอเมริกา ฟอกย้อมให้เป็นคนเลว เป็นเผด็จการ เป็นผู้ร้าย เป็นโจร เมื่อสื่อย้อมจนได้ที่ อเมริกาก็ยาตราใช้อำนาจของอาวุธของตัวเองเข้าไปตัดสิน และประเทศเหล่านั้น ก็ถึงแก่การกาลวิบัติ ฉิบหาย จนถึงสิ้นชาติ โลกนี้จึงอยู่ในกำมือของอเมริกา ที่ใช้มาตรฐานของตน ที่มีหลายระดับ หลายแบบ ตามสันดานจิ๊กโก๋เป็นเครื่องตัดสิน (2) แดนสยามของสมันน้อย กำลังถูกอเมริกาจับตามองอย่างไม่พอใจอย่างยิ่ง ตั้งแต่สมันน้อยเริ่มไม่ว่าง่าย เมื่อสมันน้อยทนมีรัฐบาลโคตรโกง ไม่ไหว ออกมาขับไล่ อเมริกายื่นหน้ามาถาม ไล่เขาทำไม เขามาจากการเลือกตั้ง เสือกไหม เสือกสิ ในความเห็นของผม ทำไมเอ็งต้องมาออกความเห็นเรื่องบ้านผมทุกเรื่อง วันนี้แดนสยาม มีทหารเป็นผู้ใช้อำนาจในการบริหาร โดยยังไม่มีการลือกตั้ง อเมริกาจะลงแดงตายเสียให้ได้ เมื่อไหร่ ไทยแลนด์จะมีการเลือกตั้ง อเมริการับไม่ได้กับการปฏิวัติ รับไม่ได้กับการไม่เลือกตั้ง รับไม่ได้กับการไม่เป็นประชาธิปไตย อเมริกาไม่ชอบ ไม่ชอบ และไม่ชอบ ทำไมไม่ลงไปดื้นเร่าๆกลิ้งกับพื้น ตอนด่าไทยแลนด์เลยละ (วะ) จะได้สมกับเป็นชาติมหาอำนาจใหญ่ยิ่งที่สุดในโลก Wall Street Journal ลงบทความ เมื่อวันที่ 23 กรกฏาคมนี้ เขียนโดย นาย Desmond Dalton ซึ่งเป็นนายทหารอเมริกัน ที่เกษียณแล้ว และเคยเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของอเมริกาในประเทศไทย บทความนั้นชื่อว่า ” Saving America’s Ties With Thailand” หลายท่านคงเห็นแล้ว และเข้าใจว่าสื่อไทยก็น่าจะลงแล้ว แต่ผมมีมุมมองของผม ที่อาจจะต่างไปบ้าง บทความดังกล่าว สรุปว่า อเมริกาไม่พอใจไทย ตั้งแต่มีการปฏิวัติเมื่อปี ค.ศ.2014 (ก็ปฏิวัติของลุงตู่นั่นแหละ) และความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับไทย ก็เสื่อมลงมากมายอย่างน่าใจหาย อเมริกาหันหลังให้กับรัฐบาลทหาร อย่างไม่ไว้หน้า แถมขู่ให้ไทยรีบมีการเลือกตั้งอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้น สัมพันธ์อเมริกาไทยก็จะยิ่งเสื่อมลงไปอีกเรื่อยๆ (จะให้เสื่อมลงถึงไหน นี่ยังไม่ถึงดินหรือไง สงสัยอยากได้สัมพันธ์แบบใต้ดิน แบบนั้น ต้องไปแถวประเทศที่ถนัดแบกถาด ฮา) คุณทหารอดีตที่ปรึกษา บอกว่า การที่อเมริกาปฏิบัติต่อไทยเช่นนี้ ทำให้อเมริกาเสียโอกาสในไทยอย่างยิ่ง และทำให้นโยบายของรัฐบาลโอบามา ที่คิดจะมาถ่วงดุลอำนาจ ในเอเซียแปซิฟิกจะกลายเป็นแค่ราคาคุย ไม่ใช่ว่า อเมริกาควรจะหลับหู หลับตา กับสิ่งที่ไทยทำ แต่เพื่อรักษาโอกาสของอเมริกา อเมริกาก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีที่สร้างศัตรูกับไทย ด้วยการด่าว่าทหารไทยอย่างเอิกเกริก ไปพูด (ด่า) กันเงียบๆก็ได้นะ แถมการที่อเมริกาตัดงบอาวุธ ตัดงบการอบรม สาระพัดกับไทย กลายเป็นการผลักให้ไทยหันไปสร้างสัมพันธ์กับชาติอื่น เช่นจีนแทน… ….และไทย ก็เลยปิดประตูทางเข้า ที่อเมริกาเคยเข้ามาใช้ไทยอย่างอิสระ สะดวกสบายไปเรียบร้อย และจากการตัดสินใจซื้ออาวุธล่าสุดของไทย แสดงให้เห็นว่า ไทยไม่คิดจะพึ่งพาอเมริกาด้านอาวุธเพียงรายเดียว นี่เป็นก้าวที่พลาดอย่างยิ่งของอเมริกา แม้ไทยจะเป็นเพียงประเทศขนาดกลาง มีพลเมือง ประมาณ 70 ล้านคน มีเศรษฐกิจเพียงอันดับที่ 22 ของโลก … แต่ไทย มีความหมายในเชิงยุทธศาสตร์อย่างยิ่งกับอเมริกา …… ….เส้นทางจากไทย เป็นเส้นทางเดียว ที่กองทัพอเมริกันเชื่อถือ ที่จะใช้เป็นจุดผ่านเข้าไปสู่แผ่นดินใหญ่ของเอเซีย… …It offers U.S forces the only reliable access point to mainland Asia… นอกจากนี้ อุตสาหกรรมด้านการผลิตอาวุธของอเมริกา ได้รับการอุดหนุนจากงบประมาณด้านความมั่นคงก้อนใหญ่ ของไทยทุกปี บทความที่เหลือ ก็เป็นการสรรเสริญ ถึงความเก่งกล้าสามารถด้านการทหารของไทย รวมทั้งด้านการเป็นผู้นำในภูมิภาคของไทย พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ ให้อเมริกากลับมาเจรจาโดยใช้คำหวานกับไทยเสียใหม่ ให้ไทยกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตย และเพื่อที่อเมริกาจะได้ใช้ประโยชน์จากการมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันให้มากที่สุด…โดยทำผ่านการพูดคุยกับผู้นำทหาร นักวิชาการ และราษฎรที่มีชื่อเสียง….อืม.. พอเห็นไหมครับ ว่าบทความนี้มันสื่ออะไรกับเราบ้าง มันไม่มีส่วนไหนเลย ที่แสดงถึงความเข้าใจ และเห็นใจประเทศไทย มันมีแต่ว่า เขาจะใช้ประโยชน์จากเราได้อย่างไรบ้าง และจะ “ทำอย่างไร” ที่จะกลับมาจิกหัวเรา ได้อย่างเดิม บทความนี้ เป็นการโยนหินถามทางที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะ คำแนะนำ ว่า อเมริกาควร “ทำอย่างไร” เพื่อจะกลับมา อเมริกา น่าจะรู้ตัวแล้วว่า อเมริกากำลังเดินหมากผิดจนน่าโขกหัวตัวเอง ในยามที่โลกแบ่งชัดเป็น 2 ขั้ว เมื่อจีนและรัสเซียอยู่คนละขั้วกับอเมริกา แต่อเมริกาดันถีบหมากชื่อไทยแลนด์ กระเด็นออกไปนอกกระดานของอเมริกา และก็เป็นการถีบทิ้งอย่างเอิกเกริก เล่นงานกันทุกทาง ไม่ว่าจะโดยแสดงด้วยกริยา อาการ หรือการแสดงด้วยวาจา การด่า การเขียน ทั้งทางตรง ทางอ้อม แม้กระทั่งในบทความของถังขยะความคิด ไม่ว่าถังไหน เมื่อพูดถึงอเมริกาและพวก จะไม่ปรากฏชื่อไทยแลนด์ แดนสยามของสมันน้อยแม้แต่ครั้งเดียว คบกันมา กว่า 70 ปี บทจะถีบทิ้ง ก็ไม่เหลือใย เหลือหน้ากันไว้ อย่างนี้จะกลับมาเป็นเพื่อนกันใหม่ จะให้มองกันติดสนิทใจ จะใช้กาวยี่ห้อไหนดี(วะ) อเมริกา กำลังทดสอบไทย ตามสันดานจิ๊กโก๋ปากซอย ด้วยการบีบคั้นทุกรูปแบบ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาใช้ hard power (อาวุธ) อเมริกาจึงใช้ soft power (อำนาจที่ไม่ต้องใช้อาวุธ เช่น การคว่ำบาตร การกีดกัน การระงับ โดยอ้างว่าไม่ได้มาตรฐานการ และใช้มากที่สุดคือ ใช้สื่อโจมตี) เราจึงได้เห็นตั้งแต่ การโจมตีเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ การเลื่อนการเลือกตั้ง เรื่องการไม่มีมนุษยธรรม ตั้งแต่โรฮิงญา มาจนถึงอุยกูร์ การที่บริษักการบินไทยไม่ได้มาตรฐาน เรื่องส่งออกอาหารไม่ผ่านมาตรฐาน ใช้แรงงานผิดมาตรฐาน ข่าวเรื่องอียู คว่ำบาตรไทย การจ่าหน้าซองผิด ฯลฯ ยังจะมีสาระพัด ตะหวักตะบวยเลวไปกว่านี้อีกมากมาย ที่มันจะสรรหา ยกขึ้นตามมาอีก การก่อกวนในรูปแบบต่างๆ ก็ยังจะเกิดขึ้นอีก และอาจจะรุนแรงขึ้น เป้าหมายก็เพื่อสั่นคลอนเรา พยายามทุกอย่างให้สมันน้อยปอดแหก จะได้ไม่กล้า แหกคอก มาถึงวันนี้ วันที่ต่างก็เริ่มเห็นชัดแล้ว ว่าอะไรคอยอยู่ข้างหน้า อเมริกา คิดตกหรือยัง ว่า จะตบหน้าเพื่อนเก่า 70 ปีต่อไปอีก โทษฐานคิดแหกคอก หรือ อเมริกาจะทำไม่รู้ไม่ชี้ เดินกลับมา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะชักสำนึกได้ว่า ถ้าจะใช้ไอ้พวกลูกกระเป๋ง มาแบกถาดถือปืน อาจจะไม่ได้ผลอย่างที่คิด จิ๊กโก๋ทำได้ไหม ทำได้สบายมาก ถ้าจำเป็นจริงๆ อเมริกาก็หาวิธีกลับเข้ามาตบหลังลูบหัวไทยได้ ถ้าเดินเข้ามาตรงๆไม่ได้ หนอนในบ้าน ที่ยังเห็นอเมริกาเป็นพ่อ ยังมีอีกแยะ คงหาทางให้ สมันน้อยเดินจ๋อยๆกลับเข้าคอกเอง โดยนึกว่าอเมริกาไม่เกี่ยว แล้วเราจะว่ายังไงครับ…. ตอนนี้ ลุงตู่กำลังทำหน้าที่เป็นกัปตัน พาเรือใหญ่ขนาดกลาง ขนคนประมาณ 70 ล้านคน มุ่งหน้าไปตามลำน้ำใหญ่ สายน้ำเริ่มเชี่ยวขึ้นทุกที แถมข้างหน้า มีวังน้ำวนเห็นอยู่ชัดๆ เรือจะผ่านวังน้ำวน ไปได้หรือเปล่ายังไม่รู้ ลุงตู่จะคัดท้าย นำเรือขนาดกลางนี้ ไปรอดไหม ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับฝีมือคัด ท้ายของลุงตู่เอง แต่อีกส่วน ก็ขึ้นอยู่กับผู้โดยสาร 70 ล้านคนนั่นด้วย จะเอาอย่างไรล่ะ จะให้กัปตันพาเรือเดินหน้า หรือเปลี่ยนใจ ไม่ไปต่อแล้ว กลัวน้ำวน กลัวโจรปล้น กลัวจิ๊กโก๋ขู่ ให้กัปตันทิ้งสมอ จอดมันริมฝั่งนั่นแหละ ใครจะมาเอาเรือก็เอาไป แล้วจะจอดฝั่งไหนล่ะ ฝั่งที่คุ้นๆกันมา 70 ปี เดี๋ยวดี เดียวด่า ทำเหมือนสมันน้อยเป็นขี้ข้า หรือจะจอดอีกฝั่ง จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่เท่าที่ดู เขาว่าเป็นประเภทไม่ชอบเป็นขี้ข้าใคร แต่จะทิ้งสมอจอดเรือ ยามน้ำเชี่ยว ก็ใช่ว่าจะทำง่าย เผลอๆ ล่มตอนจอดนี่แหละ สมันน้อย ได้เป็นสมันน้ำ ลอยคอกันเป็นแถว เออ..แล้ว อยู่ๆ จะจอดเรือ ยกประเทศให้เขาเลยงั้นหรือ จะมีคนไม่ยอม หรือ จะมีคนอยากให้เขาจูงกลับเข้าคอก ผมตอบไม่ได้ รู้แต่ว่า หนอนในที่ชอบอยู่คอก และชอบถูกจูงยังมีอยู่ แต่ถ้าเราจะเลือกเดินหน้า ผู้โดยสารก็ต้องทำความเข้าใจ และปรับชีวิตตัวเองบ้าง ต้องรับรู้ว่า กำลังนั่งเรือไปในทางน้ำเชี่ยว ก็ต้องนั่งให้มีสติ เตรียมอุปกรณ์ทั้งด้านส่วนตัวและ ด้านสติปัญญาให้พร้อม เริ่มฝึกตัวเองให้มีวินัย ช่วยเหลือตัวเองได้ นั่งเรือไป ไม่ใช่วีดว้าย กระตู้วู้ ไปตลอดทาง อะไรนิดก็โวย อะไรหน่อยก็ด่า ฟังอะไรมาไม่ได้ยังไม่ทันกรอง ก็แชร์กัน ไลน์กัน เหมือนคนมีแต่นิ้ว แต่ไม่มีสมอง เป็นมนุษย์พันธ์ใหม่ และอย่าเป็นประเภทชอบเอามือราน้ำ แบบนี้ ต่อให้กัปตันเก่งยังไง เรือก็อาจล่ม… บ้านเมืองมาถึงจุดสำคัญ ตื่นกันได้แล้วครับ ลดเรื่องไร้สาระลงเสียบ้าง เอาใจใส่บ้านเมืองกันหน่อย อย่างที่ผมเคยบอก ความเข้าใจและเห็นพ้องกัน ระหว่างผู้บริหารบ้านเมืองกับพลเมือง เป็นความมั่นคงของชาติอย่างหนึ่ง ปิดทางไม่ให้ศัตรูทั้งภายนอกและภายในเข้ามาทำร้าย และทำลายบ้านเมืองเราได้ เราจะได้ช่วยกัน พาเรือผ่านน้ำเชี่ยวไปได้ เป็นสิ่งที่เราทำให้บ้านเมืองของเราได้นะครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 29 ก.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 789 มุมมอง 0 รีวิว
  • ระหว่างที่คนมัวแต่สนใจเรื่องเขมร แม้ว โจ๊ก แจ๊ค เสี่ยเนก็ใกล้กุมอำนาจประธาน กกต. คนใหม่ ผ่านนายณรงค์ รักร้อย อดีตผู้ว่าฯ อุทัยธานี คนสนิทตระกูลไทยเศรษฐ์ เพื่อล้มคดีฮั้ว สว. และเอื้ออำนวยพรรคน้ำเงินในการเลือกตั้งปีหน้า
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คดีฮั้วสว
    ระหว่างที่คนมัวแต่สนใจเรื่องเขมร แม้ว โจ๊ก แจ๊ค เสี่ยเนก็ใกล้กุมอำนาจประธาน กกต. คนใหม่ ผ่านนายณรงค์ รักร้อย อดีตผู้ว่าฯ อุทัยธานี คนสนิทตระกูลไทยเศรษฐ์ เพื่อล้มคดีฮั้ว สว. และเอื้ออำนวยพรรคน้ำเงินในการเลือกตั้งปีหน้า #คิงส์โพธิ์แดง #คดีฮั้วสว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 รีวิว
  • พบคลังเทป VHS จำนวนมหาศาลที่บันทึกข่าวโทรทัศน์สหรัฐฯ ระหว่างปี 2004–2009

    มีผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งเปิดเผยว่าเขามีเทป VHS จำนวนหลายพันม้วนที่บันทึกข่าวจากช่อง CNN, MSNBC และ Fox News ระหว่างปี 2004–2009 เทปเหล่านี้ถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบในกล่อง McDonald’s และตอนนี้เจ้าของต้องการมอบให้ผู้ที่สามารถเก็บรักษาและดิจิไทซ์ได้ โดย Internet Archive ถูกเสนอชื่อเป็นผู้รับที่เหมาะสมที่สุด.

    เหตุการณ์สำคัญที่ถูกบันทึก
    ภายในคลังเทปนี้มีการบันทึกข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญมากมาย เช่น
    การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2004 และ 2008
    เหตุการณ์สึนามิปี 2004 และเหตุระเบิดลอนดอนปี 2005
    การเปิดตัว iPhone รุ่นแรกในปี 2007
    วิกฤตการเงินโลกปี 2008
    การเสียชีวิตของ Michael Jackson และการแจ้งเกิดของ Lady Gaga ในปี 2009

    นอกจากข่าวแล้ว ยังมีโฆษณาและรายการบันเทิงที่สะท้อนวัฒนธรรมยุคนั้น ซึ่งอาจมีคุณค่ามากกว่าตัวข่าวเอง.

    บทบาทของ Internet Archive
    Internet Archive เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มีภารกิจเก็บรักษาเนื้อหาดิจิทัลและสื่อเก่า การได้รับคลังเทปนี้จะช่วยให้พวกเขาสามารถดิจิไทซ์และเผยแพร่สู่สาธารณะ ทำให้ผู้คนเข้าถึงบันทึกข่าวและวัฒนธรรมในช่วงปี 2004–2009 ได้อย่างสะดวกและปลอดภัยในระยะยาว.

    ความท้าทายและข้อกังวล
    แม้หลายคนสนับสนุนให้ Internet Archive รับเทปเหล่านี้ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าพวกเขามีเนื้อหาที่รอการดิจิไทซ์อยู่แล้วจำนวนมาก และอาจไม่สามารถเผยแพร่ได้เร็วตามที่สาธารณะคาดหวัง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านการเก็บรักษาเทปที่อาจเสื่อมสภาพหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม.

    สรุปสาระสำคัญ
    คลังเทป VHS จำนวนมหาศาลถูกค้นพบ
    บันทึกข่าวสหรัฐฯ ระหว่างปี 2004–2009
    เก็บไว้ในกล่อง McDonald’s และแจกฟรี

    เหตุการณ์สำคัญที่ถูกบันทึก
    การเลือกตั้ง, สึนามิ, เหตุระเบิดลอนดอน
    การเปิดตัว iPhone, วิกฤตการเงิน, การเสียชีวิตของ Michael Jackson

    Internet Archive มีแนวโน้มรับเทป
    เพื่อดิจิไทซ์และเผยแพร่สู่สาธารณะ
    สร้างบันทึกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

    ความท้าทายและข้อกังวล
    Internet Archive มีเนื้อหาที่รอดิจิไทซ์อยู่แล้วจำนวนมาก
    เทป VHS เสี่ยงเสื่อมสภาพหากไม่ได้รับการดูแลทันเวลา

    https://www.tomshardware.com/software/video-editing-graphic-design/gigantic-vhs-videotape-hoard-of-thousands-of-videos-stored-in-mcdonalds-boxes-being-given-away-for-free-internet-archive-looks-set-to-claim-the-tapes-of-u-s-news-output-spanning-2004-09
    📼 พบคลังเทป VHS จำนวนมหาศาลที่บันทึกข่าวโทรทัศน์สหรัฐฯ ระหว่างปี 2004–2009 มีผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งเปิดเผยว่าเขามีเทป VHS จำนวนหลายพันม้วนที่บันทึกข่าวจากช่อง CNN, MSNBC และ Fox News ระหว่างปี 2004–2009 เทปเหล่านี้ถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบในกล่อง McDonald’s และตอนนี้เจ้าของต้องการมอบให้ผู้ที่สามารถเก็บรักษาและดิจิไทซ์ได้ โดย Internet Archive ถูกเสนอชื่อเป็นผู้รับที่เหมาะสมที่สุด. 📰 เหตุการณ์สำคัญที่ถูกบันทึก ภายในคลังเทปนี้มีการบันทึกข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญมากมาย เช่น 🎗️ การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2004 และ 2008 🎗️ เหตุการณ์สึนามิปี 2004 และเหตุระเบิดลอนดอนปี 2005 🎗️ การเปิดตัว iPhone รุ่นแรกในปี 2007 🎗️ วิกฤตการเงินโลกปี 2008 🎗️ การเสียชีวิตของ Michael Jackson และการแจ้งเกิดของ Lady Gaga ในปี 2009 นอกจากข่าวแล้ว ยังมีโฆษณาและรายการบันเทิงที่สะท้อนวัฒนธรรมยุคนั้น ซึ่งอาจมีคุณค่ามากกว่าตัวข่าวเอง. 🏛️ บทบาทของ Internet Archive Internet Archive เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มีภารกิจเก็บรักษาเนื้อหาดิจิทัลและสื่อเก่า การได้รับคลังเทปนี้จะช่วยให้พวกเขาสามารถดิจิไทซ์และเผยแพร่สู่สาธารณะ ทำให้ผู้คนเข้าถึงบันทึกข่าวและวัฒนธรรมในช่วงปี 2004–2009 ได้อย่างสะดวกและปลอดภัยในระยะยาว. ⚠️ ความท้าทายและข้อกังวล แม้หลายคนสนับสนุนให้ Internet Archive รับเทปเหล่านี้ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าพวกเขามีเนื้อหาที่รอการดิจิไทซ์อยู่แล้วจำนวนมาก และอาจไม่สามารถเผยแพร่ได้เร็วตามที่สาธารณะคาดหวัง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านการเก็บรักษาเทปที่อาจเสื่อมสภาพหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ คลังเทป VHS จำนวนมหาศาลถูกค้นพบ ➡️ บันทึกข่าวสหรัฐฯ ระหว่างปี 2004–2009 ➡️ เก็บไว้ในกล่อง McDonald’s และแจกฟรี ✅ เหตุการณ์สำคัญที่ถูกบันทึก ➡️ การเลือกตั้ง, สึนามิ, เหตุระเบิดลอนดอน ➡️ การเปิดตัว iPhone, วิกฤตการเงิน, การเสียชีวิตของ Michael Jackson ✅ Internet Archive มีแนวโน้มรับเทป ➡️ เพื่อดิจิไทซ์และเผยแพร่สู่สาธารณะ ➡️ สร้างบันทึกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ‼️ ความท้าทายและข้อกังวล ⛔ Internet Archive มีเนื้อหาที่รอดิจิไทซ์อยู่แล้วจำนวนมาก ⛔ เทป VHS เสี่ยงเสื่อมสภาพหากไม่ได้รับการดูแลทันเวลา https://www.tomshardware.com/software/video-editing-graphic-design/gigantic-vhs-videotape-hoard-of-thousands-of-videos-stored-in-mcdonalds-boxes-being-given-away-for-free-internet-archive-looks-set-to-claim-the-tapes-of-u-s-news-output-spanning-2004-09
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • เบื้องหลังอัยการสูงสุดเล่นงานแม้วคดี112 เพราะเสี่ยเน เป็นคนไฟเขียวให้สว.สีน้ำเงินตั้งอิทธิพร แก้วทิพย์ เป็นอัยการสูงสุด จึงต้องตอบแทนเสี่ยเน ตามแผนบดขยี้กระทืบซ้ำเสี่ยแม้วและเพื่อไทยก่อนการเลือกตั้ง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เบื้องหลังอัยการสูงสุดเล่นงานแม้วคดี112 เพราะเสี่ยเน เป็นคนไฟเขียวให้สว.สีน้ำเงินตั้งอิทธิพร แก้วทิพย์ เป็นอัยการสูงสุด จึงต้องตอบแทนเสี่ยเน ตามแผนบดขยี้กระทืบซ้ำเสี่ยแม้วและเพื่อไทยก่อนการเลือกตั้ง #คิงส์โพธิ์แดง
    Yay
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลุม ตอนที่ 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หลุม”

    ตอน 3

    คุณช๊อกโกแลต ไปได้ยาโด๊ปมาจากไหนไม่ทราบแน่ แต่ต้องถอยหลังไปเล่าบางเรื่องของยูเครน เมื่อปลายปี ค.ศ.2014 เสียหน่อย เผื่อจะหาแหล่งขายยาโด๊ปเจอ

    ปลายเดือนตุลาคม 2014 คุณช๊อกโกแลต ประธานาธืบดียูเครน จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อคัดเด็กในคาถาเข้าสภาตามใจนายใหญ่ เพราะว่าสมาชิกสภาชุดที่มีอยู่ มันสั่งให้ยกมือกางแขนนอนกลิ้งยาก และกว่าจะหมดวาระ ว่าเข้าไปถึงปี 2017 โน่น ไม่ทันการแน่ ข่าวว่าการให้จัดเลือกตั้งใหม่ เป็นใบสั่งของนางเหยี่ยว Victoria Nuland เจ้าของวลีอันโด่งดัง **** the EU แห่งกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา (อ่านรายละเอียดของสาเหตุการให้ F ของนางเหยี่ยวได้ในนิทานเรื่อง หักหน้าหักหลัง )

    เขาสั่งได้ จัดได้กันจริงๆ แล้วยูเครนก็ได้สมาชิกสภาใหม่ ที่อยู่ในแถว ภายใต้การควบคุมของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่หน้าเก่า เด็กในกระเป๋าใส่เศษสตางค์ของนางเหยี่ยว ชื่อนาย Arseniy Yatsenyuk หนุ่มยิวหน้ามน อดีตนายกรัฐมนตรียูเครนสมัยหนึ่ง ที่นางเหยี่ยวเป็นผู้เลือกกับมือ ตัดหน้าอียู และเป็นอดีตรัฐมนตรีคลังอีกสมัย เรียกว่าเป็นตัวโปรดตัวจริงของนางเหยี่ยว ซึ่งข่าวบอกว่า เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงาน ชื่อ “Church of Scientology” ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรอง แขนงหนึ่งของอเมริกา อีกด้วย

    นาย Yats ไม่มาคนเดียว เขาเสนอชื่อรัฐมนตรีน่าสนใจ 3 คน

    คนแรก ชื่อ นาง Natalie Jaresko ให้เป็นรัฐมนตรีการคลัง

    คุณนาย Ja แม้จะพูดภาษายูเครนคล่องปรื้อ เพราะมาอยู่เมืองเคียฟ ( Kyiv) ต้ังแต่ปี 1992 ในฐานะเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกัน ใช่ครับสถานทูตอเมริกัน ก็คุณนายเป็นคนอเมริกัน แม้จะอ้างว่ามีรากเหง้างอกจากยูเครน แต่คุณนาย Ja ก็ถือสัญชาติอเมริกัน เรียนจบ ป โท จาก ฮาร์วาด
    ปี 1995 คุณนาย Ja ลาออกจากสถานทูต ไปคุมกองทุนชื่อ Western NIS Enterprise Fund (WNISEF) ซึ่งเป็นของรัฐบาลอเมริกัน ตั้งโดยสภาสูงของอเมริกัน และเป็นเงินทุนอุดหนุนผ่าน USAID มีขนาดเงินกองทุน จำนวน 150 ล้านเหรียญ
    นอกจากนี้ คุณนาย Ja ยังบริหารกองทุน ชื่อ Horizon Capital Associates, LLC. (ไม่รู้ขนาดของกองทุน)

    ทั้ง 2 กองทุน มีวัตถุประสงค์ที่จะลงทุนในธุรกิจบริการ ธุรกิจอุตสาหกรรม ธุรกิจด้านของกินของใช้ โดยจะลงทุนในบริษัทขนาดกลาง ทั้งในยูเครน เบลาลุส และมอนโดวา เรียกว่า เป็นรายการกวาดกิจการ แถบยูเครนเข้ากระเป๋า ดูๆ ก็ไม่ต่างกับการบังคับให้แปรรูปรัฐวิสากิจ แต่ยูเครนไม่ค่อยมีรัฐวิสาหกิจจะให้แปร เลยต้องใช้กองทุนเข้าไปซื้อบริษัทแบบดื้อๆ ด้านๆ ง่ายกว่าแยะ

    เมื่อคุณนาย Ja แถลงรับตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง คุณนายบอกว่า ทีมเราต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ ให้มีความโปร่งใส และขจัดทุจริต ฟังคุ้นหูดีไหมครับ สงสัยพวกโพยนี่ เขาอัดโรเนียวแจกทั่วโลก และไอ้พฤติกรรมที่ทำ กับคำพูดนี่ มันก็สับปรับเหมือนกันหมด

    ผู้คนสงสัย แล้วคนอเมริกันไปเป็นรัฐมนตรีที่ยูเครนได้ยังไง เขียนมั่วหรือเปล่า ไม่มั่วครับ

    1 วันก่อนการสาบานตัวเข้ารับตำแหน่ง คุณช๊อกโกแลต ก็จัดการออกสัญชาติยูเครนให้คุณนาย Ja ก็แค่นั้นเอง คุณนายก็ถือ 2 สัญชาติควบ มีปัญหาอะไรไหม

    โปรดเชื่อมั่นในความเป็นประชาธิปไตย ของอเมริกา ที่จะเข้าไปล้วง ไปขุด ไปออกเสียง สั่งการที่ไหน แม้แต่ไปอยู่ในรัฐบาลประเทศอื่น ก็ได้ในโลก เยี่ยมจังพี่ ผมไม่เคยเห็นใครตวัดได้เก่งอย่างนี้เลย เขียนชมขนาดนี้แล้วจะเลิกป่วน เพจผมไหมครับ ไอ้เรื่องทำให้เครื่องค้าง กดอะไรไม่ได้เลย สลับข้อความ ข้อความหายนี่ ฯลฯ เล่นแบบนี้มานานแล้วนะ เบื่อฉิบหายเลย ให้มันสร้างสรรกว่านี้ได้ไหมครับ

    ส่งคุณนาย Ja มาคนเดียว คงกลัวจ่ายตลาดไม่ทัน นาย Yats เลยเสนอชื่อ นาย Aviras Abromavicius นักการเงินชาวลิทัวเนีย ให้มารับตำแหน่งรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ นาย Ab นี่ เป็นหุ้นส่วนและผู้จัดการกองทุน ชื่อ East Capital ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในสวีเดน มีกองทุนอยู่ใน ประเทศตลาดเกิดใหม่ 25 ประเทศ ขนาดของแต่กองทุน ประมาณ 100 ล้านเหรียญขึ้นไป

    ถ้าผมเป็นชาวยูเครน ผมจะยุให้มีการอารยะขัดขืน (ฮา) ไม่จ่ายภาษีจนกว่า บรรดารัฐมนตรีต่างชาตินี่ จะออกไปให้พ้นจากคณะรัฐบาล เพราะมันเป็นการดูหมิ่นประชาชนในชาติมาก ที่เอาคนต่างชาติมาบริหารชาติตนเองน่ะ ชาวยูเครนทนได้ยังไงครับ

    แล้วคุณช๊อกโกแลต ก็ออกสัญชาติยูเครนให้ นาย Ab พร้อมๆกับ คุณนาย Ja ไม่มีปัญหากับประชาธิปไตยของยูเครน แม้แต่น้อย และไม่มีไอ้พวกใบตองแห้ง มาด่าวันละ 3 เวลาหลังอาหาร เพราะมันเป็นคนจัดมาให้ (ฮา และ โห่) ต้องการประชาธิปไตยอย่างนี้ใช่ไหม ใช่ไหม ใช่ไหม

    ยังครับ ยัง ยังไม่เป็นประชาธิปไตยพอ นาย Yats เลยไปสรรหามาอีกหนึ่ง คราวนี้ได้ชาวจอร์เจีย ชื่อ Alexander Kvitashvili เขาเป็นอดีตรัฐมนตรีสาธารณะสุข ของจอร์เจีย สมัยที่ นาย Saak, Mikheil Saakashvili เป็นประธานาธิบดี ของ จอร์เจีย ( Georgia)
    นาย Kvit นี่น่าชื่นชมที่สุด ถือว่าเป็นผู้กล้าหาญจริง เป็นคนต่างชาติ ยังไม่พอ พูดภาษายูเครนไม่ได้ ฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว แต่รับหน้าที่จะมาปราบการทุจริต ในวงการสาธารณสุขของยูเครน ถ้าทำงานนี้สำเร็จ ควรต้องตกรางวัล ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี แทนนาย Yats เสียเลย ถ้านางเหยี่ยว Nuland ยอม

    อ้อ ตกความไปหน่อย นายKvit นี่ก็เรียนจบ ป โทที่อเมริกา และทำงานที่ Atlanta Medical Center ในอเมริกาอยู่พักหนึ่ง ก่อนกลับมาทำงานกับ United Nations Development Program ที่จอร์เจีย และทำงานร่วมกับหลายองค์กรทางด้านสาธารณสุขของอเมริกา

    ช่างเลือกกันดีนะครับ

    ##############
    ตอน 4

    เห็นแหล่งส่งยาโด๊ปของคุณช๊อกโกแลตแวบแวบ แต่ มันยังไม่ชัดเจน

    Loli Kantor เป็นนักข่าวประเภท ทั้งถ่าย(รูป)ทั้งเล่า ชาวอิสราเอล/อเมริกัน เล่าว่า เธอเดินทางไปโปแลนด์ เมื่อปี ค.ศ.2004 เพื่อไปค้นหาด้วยตัวเอง ว่าเกิดอะไรกับครอบครัวของตัวบ้างระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2

    Kantor บอกว่า พ่อแม่ของเธอรอดตายจาก Holocaust แต่ก็เห็นชื่อปู่ยาตายาย ลุงป้า ตายเกลี้ยง ตามรายชื่อที่พวกนาซีรวบรวมไว้ เธอบอกว่า ชื่อคนตาย มีแต่ ยิว ยิว ยิว ฉันเดินไปถ่ายรูปสถานที่ฆ่าหมู่ชาวยิวทั้งหลาย ฉันถามตัวเองว่า แล้วชาวยิว ที่ยังเป็นๆอยู่ในยุโรปตะวันออกมีไหม เขาอยู่ที่ไหนกัน แล้วฉันก็พบพวกเขาที่ยูเครน หลังจากน้ันเจ้าตัวก็เทียวไปเทียวมายูเครนต่อมาอีก 8 ปี และเขียนหนังสือ ชื่อ Beyond the Forest ที่มีรูปภาพเกี่ยวกับชีวิตชาวยิวรุ่นเก่า

    ระหว่างที่ถ่ายรูปทำหนังสือ Kantor ก็ได้เห็นการเกิดใหม่ของชุมชน ชาวยิว rebirth of Jewish communities ในยูเครน Kantor ตื่นเต้น เธอกลับไปคุยกับ David Fisherman ศาสตราจารย์ชาวยิว ที่ Theological Seminary of America ซึ่งก็สอนที่มหาวิทยาลัย Kiew ของยูเครนด้วย
    ท่าน ศจ บอกว่า ตอนนี้ เหมือนเป็นช่วงเวลาของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ของชาวยิวกับยูเครน ไม่เคยมีช่วงไหนที่ดีอย่างนี้มาก่อนเลย มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ Kantor ถ้าจะตกข่าวแยะ

    ท่าน ศจ บอกว่า มันคงมีส่วน มาจากการพุ่งเป็นพลุ ของนาย Ihor Kolomoyski มหาเศรษฐีใหญ่ชาวยิวนั่นแหละ ซึ่งได้รับเลือก ตั้งแต่ปีก่อน ให้เป็นผู้ว่าการเมือง Dnipropetrovsk (ถ้าสะกดผิดก็ขออำไพนะครับ เขียนยากชะมัด) ซึ่งเป็นเสมือนเมือง ศูนย์กลางของยูเครนเลยนะ ก่อนหน้านั้น นาย มอยสกี้ (Kolomoyski) สร้างศูนย์สันทนาการ มูลค่าหลายร้อยล้านเหรียญ ขึ้นที่กลางเมือง ต้ังชื่อว่า Menorah Center (menorah คือเชิงเทียน 7 กิ่ง ที่ใช้ในพิธีของชาวยิว และเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาชาวยิว) มีของทุกอย่างเกี่ยวกับชาวยิว รวมทั้ง Holocaust Museum เรียกว่า เป็นศูนย์สันทนาการของชาวยิว ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เข้าใจไหม… อ้อ อย่างนี้นี่เอง อันนี้ผมรำพึง

    นายมอยสกี้นี่ เป็นคนพูดจาไม่อ้อมค้อม เสียงดังฟังชัด ก็ทั้งรวย ทั้งเป็นผู้ว่าฯ เราๆก็น่าจะคุ้นกับการพูดแบบนี้ของคนอย่างนี้นะครับ เขาบอกว่า เมืองนี้ ไม่มีที่ให้สำหรับพวกที่อยากไปอยู่กับรัสเซีย …เด็ดขาดจริง

    ท่าน ศจ บอก เขาพูดแบบนี้ มันเลยทำให้ภาพพจน์ของรัฐบาลใหม่ ออกกลิ่นยิวแรงไปหน่อย ไม่หน่อยหรอก ท่าน ศจ คุณประธานาธิบดี ช๊อกโกแลต เองก็เพิ่งจัดงานรำลึก 70 ปี ของ Auschwitz แถมตั้งนาย Vladimir Grossman ซึ่งเป็นชาวยิว ให้เป็นประธานสภาใหม่เอี่ยมนี่ด้วย

    Kantor ยังไม่แน่ใจ เธอไปถาม Igor Shchupak หัวหน้าพิพิธภัณฑ์ Holocaust ว่า ตกลงตอนนี้ พวกยิวที่นี่มีความสุขมากเลยใช่ไหม หัวหน้า บอก ใช่แล้ว มันเป็น golden age ของชาวยิวในยูเครนเชียวล่ะ มันเป็นฝีมือเขาละ ฝีมือของนายมอยสกี้

    นายมอยสกี้ เป็นใครมาจากไหน ข่าวบอกเขารวยมาจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันใหญ่ที่สุดในแถบนั้น เป็นเจ้าของสื่อ เจ้าของโรงแรม สาระพัด ฯลฯ แต่เรื่องรวย สำหรับบางคนมันอาจจะน่าตื่นเต้น แต่สำหรับชาวยิว เรื่องรวย คงไม่ใช่เป็นเรื่องต้องตื่นเต้น รวยและมีอำนาจต่างหาก ที่เป็นเรื่องจำเป็น เป็นสูตรบังคับ นายมอยสกี้จึงตั้งตัวเป็นมาเฟียใหญ่ประจำยูเครน ถนัดในการเก็บกวาดฝ่ายตรงกันข้าม ธุรกิจสีเทาอยู่ในมือเขาทั้งนั้น นายกเล็กของเมืองที่อยู่ฝั่งที่เชียร์รัสเซีย อีก 2 คน ที่ชาวบ้านเรียกชื่อว่า Dopa กับ Gepa ซึ่งแม้จะเป็นชาวยิวด้วยกัน แต่เมื่ออุดมการณ์ต่างกับเจ้าพ่อมอยสกี้ ผลปรากฏว่า คนหนึ่งจึงถูกยิง และอีกคนถูกจับติดคุก ยิวด้วยกัน ยังเล่นดุขนาดนี้
    เรื่องของนายมอยสกี้ ยังมีที่น่าสนใจ เกี่ยวพันกับสถานการณ์ปัจจุบันของยูเครนคือ นอกจากเป็นผู้ว่าการนครที่เป็นศูนย์กลางของยูเครน เป็นผู้ก่อตั้งสหภาพชาวยิวยุโรป (European Jewish Union) และประกาศชัดเจนว่าไม่เอารัสเซียแล้ว ยังมีข่าวว่า เขามีกองกำลังของตัวเอง จัดตั้งแบบพวกนาซีเยอรมัน (แต่ไม่เกี่ยวกับนาซีเยอรมัน) จำนวนประมาณ 2 หมื่นคน มีนโยบายชัดเจนว่า ถ้าอยู่คนละฝ่าย หรือไม่พอใจ ก็อย่าอยู่ร่วมกัน และนโยบายของเขาคือไม่เอารัสเซียแค่นั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเตรียมกองกำลังนี้ไว้ทำอะไร

    ยาโด๊ป ยี่ห้อ นาย Saak นายYats นายมอยสกี้ นี่เองหรือ ที่ทำให้ คุณช๊อกโกแลต เกิดฟิตจัด คิดขุดหลุมล่อรัสเซีย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    14 มิ.ย. 2558
    หลุม ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หลุม” ตอน 3 คุณช๊อกโกแลต ไปได้ยาโด๊ปมาจากไหนไม่ทราบแน่ แต่ต้องถอยหลังไปเล่าบางเรื่องของยูเครน เมื่อปลายปี ค.ศ.2014 เสียหน่อย เผื่อจะหาแหล่งขายยาโด๊ปเจอ ปลายเดือนตุลาคม 2014 คุณช๊อกโกแลต ประธานาธืบดียูเครน จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อคัดเด็กในคาถาเข้าสภาตามใจนายใหญ่ เพราะว่าสมาชิกสภาชุดที่มีอยู่ มันสั่งให้ยกมือกางแขนนอนกลิ้งยาก และกว่าจะหมดวาระ ว่าเข้าไปถึงปี 2017 โน่น ไม่ทันการแน่ ข่าวว่าการให้จัดเลือกตั้งใหม่ เป็นใบสั่งของนางเหยี่ยว Victoria Nuland เจ้าของวลีอันโด่งดัง Fuck the EU แห่งกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา (อ่านรายละเอียดของสาเหตุการให้ F ของนางเหยี่ยวได้ในนิทานเรื่อง หักหน้าหักหลัง ) เขาสั่งได้ จัดได้กันจริงๆ แล้วยูเครนก็ได้สมาชิกสภาใหม่ ที่อยู่ในแถว ภายใต้การควบคุมของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่หน้าเก่า เด็กในกระเป๋าใส่เศษสตางค์ของนางเหยี่ยว ชื่อนาย Arseniy Yatsenyuk หนุ่มยิวหน้ามน อดีตนายกรัฐมนตรียูเครนสมัยหนึ่ง ที่นางเหยี่ยวเป็นผู้เลือกกับมือ ตัดหน้าอียู และเป็นอดีตรัฐมนตรีคลังอีกสมัย เรียกว่าเป็นตัวโปรดตัวจริงของนางเหยี่ยว ซึ่งข่าวบอกว่า เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงาน ชื่อ “Church of Scientology” ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรอง แขนงหนึ่งของอเมริกา อีกด้วย นาย Yats ไม่มาคนเดียว เขาเสนอชื่อรัฐมนตรีน่าสนใจ 3 คน คนแรก ชื่อ นาง Natalie Jaresko ให้เป็นรัฐมนตรีการคลัง คุณนาย Ja แม้จะพูดภาษายูเครนคล่องปรื้อ เพราะมาอยู่เมืองเคียฟ ( Kyiv) ต้ังแต่ปี 1992 ในฐานะเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกัน ใช่ครับสถานทูตอเมริกัน ก็คุณนายเป็นคนอเมริกัน แม้จะอ้างว่ามีรากเหง้างอกจากยูเครน แต่คุณนาย Ja ก็ถือสัญชาติอเมริกัน เรียนจบ ป โท จาก ฮาร์วาด ปี 1995 คุณนาย Ja ลาออกจากสถานทูต ไปคุมกองทุนชื่อ Western NIS Enterprise Fund (WNISEF) ซึ่งเป็นของรัฐบาลอเมริกัน ตั้งโดยสภาสูงของอเมริกัน และเป็นเงินทุนอุดหนุนผ่าน USAID มีขนาดเงินกองทุน จำนวน 150 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ คุณนาย Ja ยังบริหารกองทุน ชื่อ Horizon Capital Associates, LLC. (ไม่รู้ขนาดของกองทุน) ทั้ง 2 กองทุน มีวัตถุประสงค์ที่จะลงทุนในธุรกิจบริการ ธุรกิจอุตสาหกรรม ธุรกิจด้านของกินของใช้ โดยจะลงทุนในบริษัทขนาดกลาง ทั้งในยูเครน เบลาลุส และมอนโดวา เรียกว่า เป็นรายการกวาดกิจการ แถบยูเครนเข้ากระเป๋า ดูๆ ก็ไม่ต่างกับการบังคับให้แปรรูปรัฐวิสากิจ แต่ยูเครนไม่ค่อยมีรัฐวิสาหกิจจะให้แปร เลยต้องใช้กองทุนเข้าไปซื้อบริษัทแบบดื้อๆ ด้านๆ ง่ายกว่าแยะ เมื่อคุณนาย Ja แถลงรับตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง คุณนายบอกว่า ทีมเราต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ ให้มีความโปร่งใส และขจัดทุจริต ฟังคุ้นหูดีไหมครับ สงสัยพวกโพยนี่ เขาอัดโรเนียวแจกทั่วโลก และไอ้พฤติกรรมที่ทำ กับคำพูดนี่ มันก็สับปรับเหมือนกันหมด ผู้คนสงสัย แล้วคนอเมริกันไปเป็นรัฐมนตรีที่ยูเครนได้ยังไง เขียนมั่วหรือเปล่า ไม่มั่วครับ 1 วันก่อนการสาบานตัวเข้ารับตำแหน่ง คุณช๊อกโกแลต ก็จัดการออกสัญชาติยูเครนให้คุณนาย Ja ก็แค่นั้นเอง คุณนายก็ถือ 2 สัญชาติควบ มีปัญหาอะไรไหม โปรดเชื่อมั่นในความเป็นประชาธิปไตย ของอเมริกา ที่จะเข้าไปล้วง ไปขุด ไปออกเสียง สั่งการที่ไหน แม้แต่ไปอยู่ในรัฐบาลประเทศอื่น ก็ได้ในโลก เยี่ยมจังพี่ ผมไม่เคยเห็นใครตวัดได้เก่งอย่างนี้เลย เขียนชมขนาดนี้แล้วจะเลิกป่วน เพจผมไหมครับ ไอ้เรื่องทำให้เครื่องค้าง กดอะไรไม่ได้เลย สลับข้อความ ข้อความหายนี่ ฯลฯ เล่นแบบนี้มานานแล้วนะ เบื่อฉิบหายเลย ให้มันสร้างสรรกว่านี้ได้ไหมครับ ส่งคุณนาย Ja มาคนเดียว คงกลัวจ่ายตลาดไม่ทัน นาย Yats เลยเสนอชื่อ นาย Aviras Abromavicius นักการเงินชาวลิทัวเนีย ให้มารับตำแหน่งรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ นาย Ab นี่ เป็นหุ้นส่วนและผู้จัดการกองทุน ชื่อ East Capital ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในสวีเดน มีกองทุนอยู่ใน ประเทศตลาดเกิดใหม่ 25 ประเทศ ขนาดของแต่กองทุน ประมาณ 100 ล้านเหรียญขึ้นไป ถ้าผมเป็นชาวยูเครน ผมจะยุให้มีการอารยะขัดขืน (ฮา) ไม่จ่ายภาษีจนกว่า บรรดารัฐมนตรีต่างชาตินี่ จะออกไปให้พ้นจากคณะรัฐบาล เพราะมันเป็นการดูหมิ่นประชาชนในชาติมาก ที่เอาคนต่างชาติมาบริหารชาติตนเองน่ะ ชาวยูเครนทนได้ยังไงครับ แล้วคุณช๊อกโกแลต ก็ออกสัญชาติยูเครนให้ นาย Ab พร้อมๆกับ คุณนาย Ja ไม่มีปัญหากับประชาธิปไตยของยูเครน แม้แต่น้อย และไม่มีไอ้พวกใบตองแห้ง มาด่าวันละ 3 เวลาหลังอาหาร เพราะมันเป็นคนจัดมาให้ (ฮา และ โห่) ต้องการประชาธิปไตยอย่างนี้ใช่ไหม ใช่ไหม ใช่ไหม ยังครับ ยัง ยังไม่เป็นประชาธิปไตยพอ นาย Yats เลยไปสรรหามาอีกหนึ่ง คราวนี้ได้ชาวจอร์เจีย ชื่อ Alexander Kvitashvili เขาเป็นอดีตรัฐมนตรีสาธารณะสุข ของจอร์เจีย สมัยที่ นาย Saak, Mikheil Saakashvili เป็นประธานาธิบดี ของ จอร์เจีย ( Georgia) นาย Kvit นี่น่าชื่นชมที่สุด ถือว่าเป็นผู้กล้าหาญจริง เป็นคนต่างชาติ ยังไม่พอ พูดภาษายูเครนไม่ได้ ฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว แต่รับหน้าที่จะมาปราบการทุจริต ในวงการสาธารณสุขของยูเครน ถ้าทำงานนี้สำเร็จ ควรต้องตกรางวัล ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี แทนนาย Yats เสียเลย ถ้านางเหยี่ยว Nuland ยอม อ้อ ตกความไปหน่อย นายKvit นี่ก็เรียนจบ ป โทที่อเมริกา และทำงานที่ Atlanta Medical Center ในอเมริกาอยู่พักหนึ่ง ก่อนกลับมาทำงานกับ United Nations Development Program ที่จอร์เจีย และทำงานร่วมกับหลายองค์กรทางด้านสาธารณสุขของอเมริกา ช่างเลือกกันดีนะครับ ############## ตอน 4 เห็นแหล่งส่งยาโด๊ปของคุณช๊อกโกแลตแวบแวบ แต่ มันยังไม่ชัดเจน Loli Kantor เป็นนักข่าวประเภท ทั้งถ่าย(รูป)ทั้งเล่า ชาวอิสราเอล/อเมริกัน เล่าว่า เธอเดินทางไปโปแลนด์ เมื่อปี ค.ศ.2004 เพื่อไปค้นหาด้วยตัวเอง ว่าเกิดอะไรกับครอบครัวของตัวบ้างระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 Kantor บอกว่า พ่อแม่ของเธอรอดตายจาก Holocaust แต่ก็เห็นชื่อปู่ยาตายาย ลุงป้า ตายเกลี้ยง ตามรายชื่อที่พวกนาซีรวบรวมไว้ เธอบอกว่า ชื่อคนตาย มีแต่ ยิว ยิว ยิว ฉันเดินไปถ่ายรูปสถานที่ฆ่าหมู่ชาวยิวทั้งหลาย ฉันถามตัวเองว่า แล้วชาวยิว ที่ยังเป็นๆอยู่ในยุโรปตะวันออกมีไหม เขาอยู่ที่ไหนกัน แล้วฉันก็พบพวกเขาที่ยูเครน หลังจากน้ันเจ้าตัวก็เทียวไปเทียวมายูเครนต่อมาอีก 8 ปี และเขียนหนังสือ ชื่อ Beyond the Forest ที่มีรูปภาพเกี่ยวกับชีวิตชาวยิวรุ่นเก่า ระหว่างที่ถ่ายรูปทำหนังสือ Kantor ก็ได้เห็นการเกิดใหม่ของชุมชน ชาวยิว rebirth of Jewish communities ในยูเครน Kantor ตื่นเต้น เธอกลับไปคุยกับ David Fisherman ศาสตราจารย์ชาวยิว ที่ Theological Seminary of America ซึ่งก็สอนที่มหาวิทยาลัย Kiew ของยูเครนด้วย ท่าน ศจ บอกว่า ตอนนี้ เหมือนเป็นช่วงเวลาของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ของชาวยิวกับยูเครน ไม่เคยมีช่วงไหนที่ดีอย่างนี้มาก่อนเลย มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ Kantor ถ้าจะตกข่าวแยะ ท่าน ศจ บอกว่า มันคงมีส่วน มาจากการพุ่งเป็นพลุ ของนาย Ihor Kolomoyski มหาเศรษฐีใหญ่ชาวยิวนั่นแหละ ซึ่งได้รับเลือก ตั้งแต่ปีก่อน ให้เป็นผู้ว่าการเมือง Dnipropetrovsk (ถ้าสะกดผิดก็ขออำไพนะครับ เขียนยากชะมัด) ซึ่งเป็นเสมือนเมือง ศูนย์กลางของยูเครนเลยนะ ก่อนหน้านั้น นาย มอยสกี้ (Kolomoyski) สร้างศูนย์สันทนาการ มูลค่าหลายร้อยล้านเหรียญ ขึ้นที่กลางเมือง ต้ังชื่อว่า Menorah Center (menorah คือเชิงเทียน 7 กิ่ง ที่ใช้ในพิธีของชาวยิว และเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาชาวยิว) มีของทุกอย่างเกี่ยวกับชาวยิว รวมทั้ง Holocaust Museum เรียกว่า เป็นศูนย์สันทนาการของชาวยิว ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เข้าใจไหม… อ้อ อย่างนี้นี่เอง อันนี้ผมรำพึง นายมอยสกี้นี่ เป็นคนพูดจาไม่อ้อมค้อม เสียงดังฟังชัด ก็ทั้งรวย ทั้งเป็นผู้ว่าฯ เราๆก็น่าจะคุ้นกับการพูดแบบนี้ของคนอย่างนี้นะครับ เขาบอกว่า เมืองนี้ ไม่มีที่ให้สำหรับพวกที่อยากไปอยู่กับรัสเซีย …เด็ดขาดจริง ท่าน ศจ บอก เขาพูดแบบนี้ มันเลยทำให้ภาพพจน์ของรัฐบาลใหม่ ออกกลิ่นยิวแรงไปหน่อย ไม่หน่อยหรอก ท่าน ศจ คุณประธานาธิบดี ช๊อกโกแลต เองก็เพิ่งจัดงานรำลึก 70 ปี ของ Auschwitz แถมตั้งนาย Vladimir Grossman ซึ่งเป็นชาวยิว ให้เป็นประธานสภาใหม่เอี่ยมนี่ด้วย Kantor ยังไม่แน่ใจ เธอไปถาม Igor Shchupak หัวหน้าพิพิธภัณฑ์ Holocaust ว่า ตกลงตอนนี้ พวกยิวที่นี่มีความสุขมากเลยใช่ไหม หัวหน้า บอก ใช่แล้ว มันเป็น golden age ของชาวยิวในยูเครนเชียวล่ะ มันเป็นฝีมือเขาละ ฝีมือของนายมอยสกี้ นายมอยสกี้ เป็นใครมาจากไหน ข่าวบอกเขารวยมาจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันใหญ่ที่สุดในแถบนั้น เป็นเจ้าของสื่อ เจ้าของโรงแรม สาระพัด ฯลฯ แต่เรื่องรวย สำหรับบางคนมันอาจจะน่าตื่นเต้น แต่สำหรับชาวยิว เรื่องรวย คงไม่ใช่เป็นเรื่องต้องตื่นเต้น รวยและมีอำนาจต่างหาก ที่เป็นเรื่องจำเป็น เป็นสูตรบังคับ นายมอยสกี้จึงตั้งตัวเป็นมาเฟียใหญ่ประจำยูเครน ถนัดในการเก็บกวาดฝ่ายตรงกันข้าม ธุรกิจสีเทาอยู่ในมือเขาทั้งนั้น นายกเล็กของเมืองที่อยู่ฝั่งที่เชียร์รัสเซีย อีก 2 คน ที่ชาวบ้านเรียกชื่อว่า Dopa กับ Gepa ซึ่งแม้จะเป็นชาวยิวด้วยกัน แต่เมื่ออุดมการณ์ต่างกับเจ้าพ่อมอยสกี้ ผลปรากฏว่า คนหนึ่งจึงถูกยิง และอีกคนถูกจับติดคุก ยิวด้วยกัน ยังเล่นดุขนาดนี้ เรื่องของนายมอยสกี้ ยังมีที่น่าสนใจ เกี่ยวพันกับสถานการณ์ปัจจุบันของยูเครนคือ นอกจากเป็นผู้ว่าการนครที่เป็นศูนย์กลางของยูเครน เป็นผู้ก่อตั้งสหภาพชาวยิวยุโรป (European Jewish Union) และประกาศชัดเจนว่าไม่เอารัสเซียแล้ว ยังมีข่าวว่า เขามีกองกำลังของตัวเอง จัดตั้งแบบพวกนาซีเยอรมัน (แต่ไม่เกี่ยวกับนาซีเยอรมัน) จำนวนประมาณ 2 หมื่นคน มีนโยบายชัดเจนว่า ถ้าอยู่คนละฝ่าย หรือไม่พอใจ ก็อย่าอยู่ร่วมกัน และนโยบายของเขาคือไม่เอารัสเซียแค่นั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเตรียมกองกำลังนี้ไว้ทำอะไร ยาโด๊ป ยี่ห้อ นาย Saak นายYats นายมอยสกี้ นี่เองหรือ ที่ทำให้ คุณช๊อกโกแลต เกิดฟิตจัด คิดขุดหลุมล่อรัสเซีย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 14 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1031 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทแถม
    “ฤทธิ์ยิว”

    (5)

    นี่เล่ามา เป็นการเจริญเติบโตของอิทธิพลยิว ก่อนอเมริกาจะมีประธานาธิบดี ชื่อ Woodlow Wilson ที่ได้รับสมญาว่า “สุดยอดตัวสำรอง” รองจากประธานาธิบดี Franklin D Roosevelt ที่ได้รับขนานนามว่า “เป็นสุดยอดขวัญใจ” ของอเมริกันยิว Wilson นั้น เป็นที่รู้กันว่าเขาใกล้ชิดกับพวกยิว และรัฐบาลของเขาอยู่ในมือพวกยิว Wilson รู้สึกจะเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาคนแรก ที่ยิวให้การสนับสนุนเต็มที่ ดันเต็มหลัง ทั้งด้านการเงิน และการอื่น นับเป็นม้าแข่ง ที่พวกยิวบอกว่า นำถ้วยรางวัลมาให้พวกเขาอย่างคุ้มการลงทุน

    พวกยิวมีจำนวนไม่กี่หยิบมือ แต่ไม่กี่หยิบมือนี้ ได้หยิบชิ้นปลามัน สร้างฐานอำนาจในปี 1912 เรียบร้อย Herzl อายุสั้น เลยไม่ได้นั่งบัลลังก์ใด แต่ผู้ที่เดินตามเจตนารมย์ของเขาดูเหมือนจะดำเนินการไม่พลาดเป้าหมาย ที่ Herzl กำหนดไว้

    – Oscar Straus ยิวเยอรมัน เป็นยิวคนแรก ที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีในอเมริกา เขาได้ในสมัยประธานาธิบดี Roosevelt และต่อมาได้ไปเป็นทูต ประจำออตโตมาน ในสมัยของ Taft
    – Jacob Schiff หัวหน้าใหญ่ ของบริษัทการเงิน Kuhn, Loeb รายนี้คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ
    – Louis Marshall ไซออนนิสต์ ผู้ก่อตั้ง AJC
    – พี่น้องตระกูล Warburg: Paul, Felix และ Max ตระกูลนี้ก็คงไม่ต้องบรรยาย
    – Henry Morgenthau, Sr. ทนายความ พ่อของ Henry ซึ่งต่อมามีอิทธิพลมากกว่าพ่อ
    – Louis Brandeis ทนายความ ไซออนนิสต์ชนิดเข้ม ซึ่งต่อมามีอิทธิพลสูงยิ่ง
    – Samuel Untermyer ทนายความเขี้ยวยาว
    – Bernard Baruch นักการเงินจาก วอลสตรีท สุดยอดนักชักใย
    – Stephen Wise นักบวชยิวออสเตรียนและ ไซออนนิสต์อย่างเข้มข้น
    – Richard Gottheil นักบวชยิวอังกฤษ และ ไซออนนิสต์

    นี่เป็นตาข่ายยิวตัวสำคัญ เฉพาะฝั่งอเมริกาเท่านั้น ยังมีทางฝั่งอังกฤษ และยุโรปที่ทำงานกันเป็นเครือข่ายอีกไม่น้อย

    พวกที่ใช้อำนาจอันร้ายกาจของก ระเป๋าเงิน รายใหญ่ที่สำแดงเดชช่วย Wilson คือ Henry Morgenthau, Jacob Schiff, Samuel Untermyer และหน้าใหม่แต่มาแรง คือ Bernard Baruch ส่วนบทบาทของ Warburg นั้นน่าสนใจ เขาน่าจะเป็นมันสมองให้ยิว ทั้งฝั่งอเมริกา ยุโรป โดยเฉพาะเยอรมัน และ Federal Reserve System ของอเมริกา เป็นผลงานของ Paul Warburg ล้วนๆ

    Morgenthau สนับสนุน ม้าชื่อ Wilson ตั้งแต่ Wilson ยังเป็นผู้ว่าการนิวเจอร์ซี เขาจ่ายเงินดูแล Wilson เป็นรายเดือน เป็นที่รู้กันว่า Morgenthau สนับสนุน Wilson แบบไม่มีอั้น และเมื่อ Wilson ได้เป็นประธานาธิบดี ในปี 1912 เขาก็ตอบแทน Morgenthau แบบไม่อั้นเช่นเดียวกัน Morgenthau ได้ไปเป็นทูตอเมริกา ประจำที่ออตโตมานตามคาด เพื่อดูแลปาเลสไตน์

    ส่วน Louise Brandis ได้รับเสนอชื่อให้เป็นผู้พิพากษาศาลสูง เป็นยิวคนแรกในวงการยุติธรรม เขาเป็นอยู่ 23 ปีและมีบทบาทสำคัญในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง แต่ที่มาของการได้ตำแหน่งของเขา ค่อนข้างพิเศษกว่าใคร

    มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อ Wilson ได้นั่งเก้าอี้ตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี 1914 ไม่กี่วัน เขามียิวรุ่นใหญ่ ที่อยู่ในกลุ่มเจ้าของกระเป๋าที่ สนับสนุน Wilson มาขอพบ คือ Samuel Untermeyer ซึ่งเป็นทนาย ของสำนักงาน Guggemheim, Untermeyer & Marshall ที่ดูแลด้านกฏหมายให้แก่ Kuhn, Loeb & Co
    Untermeyer บอกกับ Wilson ว่า เขามีลูกความที่เป็นภรรยา ของอาจารย์ ที่สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Princton ช่วงเดียวกับที่ Wilson สอน และลูกความของเขาขอให้แจ้งกับ Wilson ว่า เธอยินดีที่จะรับเงิน 40,000 เหรียญ แทนการฟ้องร้อง Wilson เรื่องการผิดสัญญา แล้ว Untermeyer ก็ควักจดหมายมัดใหญ่ ยื่นให้ Wilson มันเป็นจดหมายที่ Wilson เขียนถึงเมียของเพื่อนร่วมงาน Wilson จำลายมือตัวเองได้ แต่เขาบอกว่า เขาไม่มีเงิน 40,000 เหรียญที่จะจ่ายให้กับคนที่แบล๊กเมล์เขา Untermeyer บอกไม่เป็นไรหรอก ท่านประธานาธิบดี เรื่องเงินจำนวนนี้ ผมจะเป็นคนจัดการแทนท่านเอง แต่ผมขอให้ท่านรับปากว่า เมื่อมีตำแหน่งในศาลสูงว่างเมื่อ ไหร่ ขอให้แต่งตั้ง ไซออนนิสต์ ยิวเคร่ง ชื่อ Louise Dembitz Brandeis ก็แล้วกัน Wilson ก็รับปาก หลังจากนั้น ไม่ถึงปี วันที่ 5 มิถุนายน 1915 Louise Brandeis ก็ได้รับเลือกเป็นผู้พิพากษาศาลสูง

    แต่คนที่ได้ตำแหน่ง และมีบทบาทโดดเด่นที่สุด คือ Bernard Baruch ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 Baruch โผล่มาจากไหนไม่มีใครรู้ อยู่ดีๆ ก็หยิบชิ้นปลามัน ในปี คศ 1915 อังกฤษทำสงครามกับเยอรมันแล้ว แต่อเมริกายังเป็นกลาง Baruch เตือนให้อเมริกาเตรียมพร้อมสำหรับเข้าสงคราม เขาหงุดหงิดว่า อเมริกาไม่เตรียมอะไรเลย เขาเชื่อว่าอเมริกาต้องถูกลากเข้าไปทำสงครามแน่นอน และจะมาเร็วกว่าที่คิด และคงเป็นเรื่องของนางฟ้าเศก Baruch ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า สภากลาโหม Council of National Defense ในต้นปี คศ 1916 เขาเข้าไปควบคุม หน่วยงานน่าสนใจคือ คณกรรมการสำหรับกิจการสงคราม War Industries Board (WIB) ซึ่งในเวลาสงคราม หน่วยงานนี้จะมีอำนาจล้นฟ้า และ Baruch คนเดียวโดดๆ เป็นคนคุม และกุมแน่นหน่วยงานนี้ตลอดช่วงเวลาสงคราม

    ในคำให้การของ Baruch ต่อวุฒิสมาชิก Albert Jefferies เขาสรุป บทบาทของเขาดังนี้:

    ” ผมเป็นคนดูแลตัดสินใจ ว่า จะให้ใคร หน่วยงานไหน ได้อะไร การตัดสินใจอยู่ที่ผม ท่านประธานาธิบดี มอบหมายให้ผมเป็นคนตัดสินใจ ว่า กองทัพบก หรือ กองทัพเรือ ควรจะได้อะไร หรือ การรถไฟ ควรมีอะไร หรือ ฝ่ายสัมพันธมิตร หรือ ท่านนายพล Allenby ควรมีรถไฟหรือไม่ หรือควรเอาไปใช้ที่รัสเซีย หรือใช้ที่ฝรั่งเศส ใช่ ผมมีอำนาจมาก ผมอาจมีอำนาจมากกว่าที่ใครๆเคยมีในสงคราม มันน่าสงสัย แต่มันเป็นเรื่องจริง”
    ก็น่าสงสัยจริงอยู่หรอก ว่า คนหนุ่มชาวยิว ที่ไม่เคยได้ลงเลือกตั้งอะไรเลย ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองแม้แต่น้อย แต่ในยามวิกฤติ เขากลายเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในรัฐบาล รองมาจากประธานาธิบดี บทบาทของเขาตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 ว่าใหญ่แล้ว แต่นั่นมันเป็นแค่การซ้อมใหญ่ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ Franklin D Roosevelt เป็นประธานาธิบดี Baruch ในฐานะ หัวหน้า สำนักงาน War Mobilization ดูเหมือนจะใหญ่มากกว่า และในฐานะที่เขาได้กลายเป็นเพื่อนสนิทของท่านหลอด Winston Churchill ของอังกฤษด้วย “Barney” ก็กลายเป็นชื่อ ที่ใครๆ ก็ต้องเรียกหา

    ####################
    “ฤทธิ์ยิว”

    (6)

    สงครามโลกครั้งที่ 1 ตีระฆังเริ่ม ในเดือนสิงหาคม 1914 เมื่อกองทัพเยอรมันเคลื่อนพลผ่านเข้าไปในเขตแดนของเบลเยี่ยม ที่ประกาศตัวเป็นกลาง โดยมีเป้าหมายปลายทางคือฝรั่งเศส หลังจากนั้นหลายประเทศก็ทยอยกันเข้าสู่สงคราม ถึงปลายปี 1914 ประมาณ 10 ประเทศ ก็อยู่ในสภาวะสงคราม แต่อเมริกา ยังใช้ยโนบายเป็นกลางอยู่ต่อไป อีกเกือบ 2 ปีครึ่ง สุนทรพจน์ของ Wilson เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม คศ 1914 หลังจากสงครามเริ่มหมาดๆ ประกาศชัดหูคนอเมริกัน ว่า”…เรามีหน้าที่ ที่จะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ ที่มีความสงบ…” และเมื่อตอนหาเสียง ที่จะเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 ในปี 1916 คำขวัญของ Wilson ที่บอกว่า เขาไม่พาเราเข้าสงคราม he kept us out of war ยังก้องหูคนอเมริกันอยู่

    แต่แล้วในวันที่ 2 เมษายน 1917 Wilson ก็เลี้ยวออกนอกเส้นทางกระทันหัน ประกาศสงครามกับเยอรมัน ชาวบ้านอเมริกันตามไม่ทันหัวทิ่มกันเป็นแถว โผคำอธิบาย ที่วงในรัฐบาลสั่งให้สื่อกระป๋องสีตรายิว ช่วยกันโหม คือ เนื่องมาจากการกระทำอันป่าเถื่อนของเยอรมัน ที่ใช้ตอร์ปิโดยิงเรือโดยสารและเรือบรรทุกสินค้าของอเมริกัน และเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออีกแล้ว นอกจากทำสงครามกับไอ้พวกเถื่อนนั้น ทั้งข่าว ทั้งภาพ ดุเดือดถึงใจ
    อันที่จริงเมื่อเริ่มสงครามใหม่ๆ เยอรมันยิงตอร์ปิโดร์ใส่เรือบรรทุกสินค้าของฝ่ายสัมพันธมิตรจริง แต่เมื่อ Wilson ทำการประท้วงเมื่อเดือนสิงหาคม 1915 เยอรมันก็หยุดยิง เยอรมันหยุดยิงไปนานพอสมควร จนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 1917 และตลอดเวลาที่เยอรมันหยุดยิง อเมริกาก็ค้าขายกับอังกฤษ ศัตรูของเยอรมัน อย่างสบายใจ ส่งสินค้าเพื่อสงครามให้อังกฤษ แถมช่วยอังกฤษ บล๊อกเส้นทางเดินเรือส่งสินค้าของเยอรมันอีกด้วย ก็ไม่น่าแปลกใจ ที่ในที่สุดเยอรมัน ก็กลับมายิงเรือทุกลำไม่ว่าของชาติไหน ที่ผ่านมาในเขต war zone

    แล้วตกลงสาเหตุ ของการประกาศเข้าสู่สงครามของอเมริกา จริงๆมันคืออะไรกันแน่

    วุฒิสมาชิก George Norris บอกว่า คนอเมริกัน ถูกทำให้เข้วจากประวัติศาสตร์ และจากความจริงที่มาจากการที่พวกนักการเงินวอลสตรีท ให้เงินกู้จำนวนมหึมากับพวกสัมพันธมิตร และแน่นอนพวกนี้กลัวหนี้สูญ ทั้งๆที่พวกเขาก็ทำกำไรได้มากมายจากการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ กลุ่มพวกนี้แหละ ที่ใช้ให้พวกสื่อกระป๋องสี ละเลงเสียจนคนอเมริกัน เปลี่ยนใจ อยากจะทำสงครามกันไปหมด ทุกสงครามมีแต่ความหายนะ…. เรา เข้าสู่สงครามเพราะคำสั่งของทอง และใครล่ะที่มีทอง …

    อำนาจ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ บางทีการสร้างภาพว่า มีอำนาจ ก็ทำให้กลายเป็นมีอำนาจจริงไปได้ ถ้ามีคนเชื่อ พวกยิวขณะนั้น ไม่มีกองทัพของตนเอง ไม่มีประเทศของตนเอง แถม มีเรื่องขัดแย้งเกิดอยู่ในหลายประเทศ และในหลายประเทศนั้น มีชาวยิว อยู่จำนวนน้อยมาก ไม่เกิน 1 หรือ 2 % ของจำนวนพลเมืองในประเทศนั้นๆ แต่คนจำนวนเท่าหยิบมือนี้ สามารถบงการนโยบายต่างประเทศได้ สามารถจุดชนวนสงครามได้ และสามารถชี้นำ หรือคัดท้ายผลของสงครามนั้นได้อีกด้วย ตัวอย่างที่เห็น คือ การที่อเมริกายกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ในปี 1911, การเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกา ในปี 1912 และอีกหลายเรื่องที่จะเล่าต่อไป

    แต่สิ่งสำคัญ ที่ทำให้คน “เชื่อ” ในภาพที่สร้างนั้น เป็นผลงานของสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทใด พวกยิวซื้อ ครอบครอง และควบคุมไว้หมดสิ้น และใช้อย่างได้ผลเลิศ เป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้าม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    8 มิ.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทแถม “ฤทธิ์ยิว” (5) นี่เล่ามา เป็นการเจริญเติบโตของอิทธิพลยิว ก่อนอเมริกาจะมีประธานาธิบดี ชื่อ Woodlow Wilson ที่ได้รับสมญาว่า “สุดยอดตัวสำรอง” รองจากประธานาธิบดี Franklin D Roosevelt ที่ได้รับขนานนามว่า “เป็นสุดยอดขวัญใจ” ของอเมริกันยิว Wilson นั้น เป็นที่รู้กันว่าเขาใกล้ชิดกับพวกยิว และรัฐบาลของเขาอยู่ในมือพวกยิว Wilson รู้สึกจะเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาคนแรก ที่ยิวให้การสนับสนุนเต็มที่ ดันเต็มหลัง ทั้งด้านการเงิน และการอื่น นับเป็นม้าแข่ง ที่พวกยิวบอกว่า นำถ้วยรางวัลมาให้พวกเขาอย่างคุ้มการลงทุน พวกยิวมีจำนวนไม่กี่หยิบมือ แต่ไม่กี่หยิบมือนี้ ได้หยิบชิ้นปลามัน สร้างฐานอำนาจในปี 1912 เรียบร้อย Herzl อายุสั้น เลยไม่ได้นั่งบัลลังก์ใด แต่ผู้ที่เดินตามเจตนารมย์ของเขาดูเหมือนจะดำเนินการไม่พลาดเป้าหมาย ที่ Herzl กำหนดไว้ – Oscar Straus ยิวเยอรมัน เป็นยิวคนแรก ที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีในอเมริกา เขาได้ในสมัยประธานาธิบดี Roosevelt และต่อมาได้ไปเป็นทูต ประจำออตโตมาน ในสมัยของ Taft – Jacob Schiff หัวหน้าใหญ่ ของบริษัทการเงิน Kuhn, Loeb รายนี้คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ – Louis Marshall ไซออนนิสต์ ผู้ก่อตั้ง AJC – พี่น้องตระกูล Warburg: Paul, Felix และ Max ตระกูลนี้ก็คงไม่ต้องบรรยาย – Henry Morgenthau, Sr. ทนายความ พ่อของ Henry ซึ่งต่อมามีอิทธิพลมากกว่าพ่อ – Louis Brandeis ทนายความ ไซออนนิสต์ชนิดเข้ม ซึ่งต่อมามีอิทธิพลสูงยิ่ง – Samuel Untermyer ทนายความเขี้ยวยาว – Bernard Baruch นักการเงินจาก วอลสตรีท สุดยอดนักชักใย – Stephen Wise นักบวชยิวออสเตรียนและ ไซออนนิสต์อย่างเข้มข้น – Richard Gottheil นักบวชยิวอังกฤษ และ ไซออนนิสต์ นี่เป็นตาข่ายยิวตัวสำคัญ เฉพาะฝั่งอเมริกาเท่านั้น ยังมีทางฝั่งอังกฤษ และยุโรปที่ทำงานกันเป็นเครือข่ายอีกไม่น้อย พวกที่ใช้อำนาจอันร้ายกาจของก ระเป๋าเงิน รายใหญ่ที่สำแดงเดชช่วย Wilson คือ Henry Morgenthau, Jacob Schiff, Samuel Untermyer และหน้าใหม่แต่มาแรง คือ Bernard Baruch ส่วนบทบาทของ Warburg นั้นน่าสนใจ เขาน่าจะเป็นมันสมองให้ยิว ทั้งฝั่งอเมริกา ยุโรป โดยเฉพาะเยอรมัน และ Federal Reserve System ของอเมริกา เป็นผลงานของ Paul Warburg ล้วนๆ Morgenthau สนับสนุน ม้าชื่อ Wilson ตั้งแต่ Wilson ยังเป็นผู้ว่าการนิวเจอร์ซี เขาจ่ายเงินดูแล Wilson เป็นรายเดือน เป็นที่รู้กันว่า Morgenthau สนับสนุน Wilson แบบไม่มีอั้น และเมื่อ Wilson ได้เป็นประธานาธิบดี ในปี 1912 เขาก็ตอบแทน Morgenthau แบบไม่อั้นเช่นเดียวกัน Morgenthau ได้ไปเป็นทูตอเมริกา ประจำที่ออตโตมานตามคาด เพื่อดูแลปาเลสไตน์ ส่วน Louise Brandis ได้รับเสนอชื่อให้เป็นผู้พิพากษาศาลสูง เป็นยิวคนแรกในวงการยุติธรรม เขาเป็นอยู่ 23 ปีและมีบทบาทสำคัญในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง แต่ที่มาของการได้ตำแหน่งของเขา ค่อนข้างพิเศษกว่าใคร มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อ Wilson ได้นั่งเก้าอี้ตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี 1914 ไม่กี่วัน เขามียิวรุ่นใหญ่ ที่อยู่ในกลุ่มเจ้าของกระเป๋าที่ สนับสนุน Wilson มาขอพบ คือ Samuel Untermeyer ซึ่งเป็นทนาย ของสำนักงาน Guggemheim, Untermeyer & Marshall ที่ดูแลด้านกฏหมายให้แก่ Kuhn, Loeb & Co Untermeyer บอกกับ Wilson ว่า เขามีลูกความที่เป็นภรรยา ของอาจารย์ ที่สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Princton ช่วงเดียวกับที่ Wilson สอน และลูกความของเขาขอให้แจ้งกับ Wilson ว่า เธอยินดีที่จะรับเงิน 40,000 เหรียญ แทนการฟ้องร้อง Wilson เรื่องการผิดสัญญา แล้ว Untermeyer ก็ควักจดหมายมัดใหญ่ ยื่นให้ Wilson มันเป็นจดหมายที่ Wilson เขียนถึงเมียของเพื่อนร่วมงาน Wilson จำลายมือตัวเองได้ แต่เขาบอกว่า เขาไม่มีเงิน 40,000 เหรียญที่จะจ่ายให้กับคนที่แบล๊กเมล์เขา Untermeyer บอกไม่เป็นไรหรอก ท่านประธานาธิบดี เรื่องเงินจำนวนนี้ ผมจะเป็นคนจัดการแทนท่านเอง แต่ผมขอให้ท่านรับปากว่า เมื่อมีตำแหน่งในศาลสูงว่างเมื่อ ไหร่ ขอให้แต่งตั้ง ไซออนนิสต์ ยิวเคร่ง ชื่อ Louise Dembitz Brandeis ก็แล้วกัน Wilson ก็รับปาก หลังจากนั้น ไม่ถึงปี วันที่ 5 มิถุนายน 1915 Louise Brandeis ก็ได้รับเลือกเป็นผู้พิพากษาศาลสูง แต่คนที่ได้ตำแหน่ง และมีบทบาทโดดเด่นที่สุด คือ Bernard Baruch ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 Baruch โผล่มาจากไหนไม่มีใครรู้ อยู่ดีๆ ก็หยิบชิ้นปลามัน ในปี คศ 1915 อังกฤษทำสงครามกับเยอรมันแล้ว แต่อเมริกายังเป็นกลาง Baruch เตือนให้อเมริกาเตรียมพร้อมสำหรับเข้าสงคราม เขาหงุดหงิดว่า อเมริกาไม่เตรียมอะไรเลย เขาเชื่อว่าอเมริกาต้องถูกลากเข้าไปทำสงครามแน่นอน และจะมาเร็วกว่าที่คิด และคงเป็นเรื่องของนางฟ้าเศก Baruch ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า สภากลาโหม Council of National Defense ในต้นปี คศ 1916 เขาเข้าไปควบคุม หน่วยงานน่าสนใจคือ คณกรรมการสำหรับกิจการสงคราม War Industries Board (WIB) ซึ่งในเวลาสงคราม หน่วยงานนี้จะมีอำนาจล้นฟ้า และ Baruch คนเดียวโดดๆ เป็นคนคุม และกุมแน่นหน่วยงานนี้ตลอดช่วงเวลาสงคราม ในคำให้การของ Baruch ต่อวุฒิสมาชิก Albert Jefferies เขาสรุป บทบาทของเขาดังนี้: ” ผมเป็นคนดูแลตัดสินใจ ว่า จะให้ใคร หน่วยงานไหน ได้อะไร การตัดสินใจอยู่ที่ผม ท่านประธานาธิบดี มอบหมายให้ผมเป็นคนตัดสินใจ ว่า กองทัพบก หรือ กองทัพเรือ ควรจะได้อะไร หรือ การรถไฟ ควรมีอะไร หรือ ฝ่ายสัมพันธมิตร หรือ ท่านนายพล Allenby ควรมีรถไฟหรือไม่ หรือควรเอาไปใช้ที่รัสเซีย หรือใช้ที่ฝรั่งเศส ใช่ ผมมีอำนาจมาก ผมอาจมีอำนาจมากกว่าที่ใครๆเคยมีในสงคราม มันน่าสงสัย แต่มันเป็นเรื่องจริง” ก็น่าสงสัยจริงอยู่หรอก ว่า คนหนุ่มชาวยิว ที่ไม่เคยได้ลงเลือกตั้งอะไรเลย ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองแม้แต่น้อย แต่ในยามวิกฤติ เขากลายเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในรัฐบาล รองมาจากประธานาธิบดี บทบาทของเขาตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 ว่าใหญ่แล้ว แต่นั่นมันเป็นแค่การซ้อมใหญ่ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ Franklin D Roosevelt เป็นประธานาธิบดี Baruch ในฐานะ หัวหน้า สำนักงาน War Mobilization ดูเหมือนจะใหญ่มากกว่า และในฐานะที่เขาได้กลายเป็นเพื่อนสนิทของท่านหลอด Winston Churchill ของอังกฤษด้วย “Barney” ก็กลายเป็นชื่อ ที่ใครๆ ก็ต้องเรียกหา #################### “ฤทธิ์ยิว” (6) สงครามโลกครั้งที่ 1 ตีระฆังเริ่ม ในเดือนสิงหาคม 1914 เมื่อกองทัพเยอรมันเคลื่อนพลผ่านเข้าไปในเขตแดนของเบลเยี่ยม ที่ประกาศตัวเป็นกลาง โดยมีเป้าหมายปลายทางคือฝรั่งเศส หลังจากนั้นหลายประเทศก็ทยอยกันเข้าสู่สงคราม ถึงปลายปี 1914 ประมาณ 10 ประเทศ ก็อยู่ในสภาวะสงคราม แต่อเมริกา ยังใช้ยโนบายเป็นกลางอยู่ต่อไป อีกเกือบ 2 ปีครึ่ง สุนทรพจน์ของ Wilson เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม คศ 1914 หลังจากสงครามเริ่มหมาดๆ ประกาศชัดหูคนอเมริกัน ว่า”…เรามีหน้าที่ ที่จะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ ที่มีความสงบ…” และเมื่อตอนหาเสียง ที่จะเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 ในปี 1916 คำขวัญของ Wilson ที่บอกว่า เขาไม่พาเราเข้าสงคราม he kept us out of war ยังก้องหูคนอเมริกันอยู่ แต่แล้วในวันที่ 2 เมษายน 1917 Wilson ก็เลี้ยวออกนอกเส้นทางกระทันหัน ประกาศสงครามกับเยอรมัน ชาวบ้านอเมริกันตามไม่ทันหัวทิ่มกันเป็นแถว โผคำอธิบาย ที่วงในรัฐบาลสั่งให้สื่อกระป๋องสีตรายิว ช่วยกันโหม คือ เนื่องมาจากการกระทำอันป่าเถื่อนของเยอรมัน ที่ใช้ตอร์ปิโดยิงเรือโดยสารและเรือบรรทุกสินค้าของอเมริกัน และเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออีกแล้ว นอกจากทำสงครามกับไอ้พวกเถื่อนนั้น ทั้งข่าว ทั้งภาพ ดุเดือดถึงใจ อันที่จริงเมื่อเริ่มสงครามใหม่ๆ เยอรมันยิงตอร์ปิโดร์ใส่เรือบรรทุกสินค้าของฝ่ายสัมพันธมิตรจริง แต่เมื่อ Wilson ทำการประท้วงเมื่อเดือนสิงหาคม 1915 เยอรมันก็หยุดยิง เยอรมันหยุดยิงไปนานพอสมควร จนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 1917 และตลอดเวลาที่เยอรมันหยุดยิง อเมริกาก็ค้าขายกับอังกฤษ ศัตรูของเยอรมัน อย่างสบายใจ ส่งสินค้าเพื่อสงครามให้อังกฤษ แถมช่วยอังกฤษ บล๊อกเส้นทางเดินเรือส่งสินค้าของเยอรมันอีกด้วย ก็ไม่น่าแปลกใจ ที่ในที่สุดเยอรมัน ก็กลับมายิงเรือทุกลำไม่ว่าของชาติไหน ที่ผ่านมาในเขต war zone แล้วตกลงสาเหตุ ของการประกาศเข้าสู่สงครามของอเมริกา จริงๆมันคืออะไรกันแน่ วุฒิสมาชิก George Norris บอกว่า คนอเมริกัน ถูกทำให้เข้วจากประวัติศาสตร์ และจากความจริงที่มาจากการที่พวกนักการเงินวอลสตรีท ให้เงินกู้จำนวนมหึมากับพวกสัมพันธมิตร และแน่นอนพวกนี้กลัวหนี้สูญ ทั้งๆที่พวกเขาก็ทำกำไรได้มากมายจากการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ กลุ่มพวกนี้แหละ ที่ใช้ให้พวกสื่อกระป๋องสี ละเลงเสียจนคนอเมริกัน เปลี่ยนใจ อยากจะทำสงครามกันไปหมด ทุกสงครามมีแต่ความหายนะ…. เรา เข้าสู่สงครามเพราะคำสั่งของทอง และใครล่ะที่มีทอง … อำนาจ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ บางทีการสร้างภาพว่า มีอำนาจ ก็ทำให้กลายเป็นมีอำนาจจริงไปได้ ถ้ามีคนเชื่อ พวกยิวขณะนั้น ไม่มีกองทัพของตนเอง ไม่มีประเทศของตนเอง แถม มีเรื่องขัดแย้งเกิดอยู่ในหลายประเทศ และในหลายประเทศนั้น มีชาวยิว อยู่จำนวนน้อยมาก ไม่เกิน 1 หรือ 2 % ของจำนวนพลเมืองในประเทศนั้นๆ แต่คนจำนวนเท่าหยิบมือนี้ สามารถบงการนโยบายต่างประเทศได้ สามารถจุดชนวนสงครามได้ และสามารถชี้นำ หรือคัดท้ายผลของสงครามนั้นได้อีกด้วย ตัวอย่างที่เห็น คือ การที่อเมริกายกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ในปี 1911, การเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกา ในปี 1912 และอีกหลายเรื่องที่จะเล่าต่อไป แต่สิ่งสำคัญ ที่ทำให้คน “เชื่อ” ในภาพที่สร้างนั้น เป็นผลงานของสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทใด พวกยิวซื้อ ครอบครอง และควบคุมไว้หมดสิ้น และใช้อย่างได้ผลเลิศ เป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้าม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 8 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 679 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิถีปกครองไทย ปกครองแบบทำให้ประชาชนยากจนและลำบาก กดขี่ประชาชนชัดเจน ไม่สนับสนุนประชาชนจริง,แย่งชิงสมบัติชาติสมบัติส่วนรวม ทรัพยากรมีค่าของชาติส่วนกลางแบบพลังงาน แบบคลื่นเน็ต ปล้นชิงปัจจัยชีวิตต้นทุนพื้นฐานไปจากประชาชน รัฐบาลไทยและเอกชนสร้างตนเองให้ร่ำรวยฝ่ายเดียว เอาเปรียบประชาชนชัดเจนมาก ,รัฐบาลปัจจุบันถึงอดีตที่ผ่านๆมามิใช่รัฐบาลประเทศไทยแต่เป็นรัฐบาลของต่างประเทศ มาปกครองประเทศไทย ควบคุมเบ็ดเสร็จแม้มาจากระบบเลือกตั้งจริงจากภาคประชาชนคนไทยภายในประเทศ แต่เมื่อมาใช้ระบบปกครองตน มันก็จะเป็นพวกเดียวกันทันทีในระบบมัน,การล้างสมองผ่านระบบนั้นเอง,คนไทยหากมองกันจริงๆ มันรัฐบาลไทยไม่สนใจใส่ใจจริงอะไรเพราะคนสั่งงานคือคนต่างชาติ จะเอาน้ำมันบ่อน้ำมันไทย มันก็สั่ง มันก็เข้ามายึด มาผูกขาด จากนั้นขายน้ำมันแพงๆคืนแก่คนไทยภายในประเทศเสีย หลอกลวงโกหกระดับชาติผ่านระบบรัฐบาลไทยตนเอง จงเชื่อกู กูคือคนปกครอง กูเป็นรัฐบาลประเทศไทยมรึงและมาจากการเลือกตั้งมรึงเองนะ,
    ..เพราะเป็นรัฐบาลไทยจริงๆมันจะเป็นเจ้าของบ่อน้ำมันเอง ผู้ปกครองผู้นำประเทศนั้นๆจะไม่ให้ต่างชาติมายึดบ่อน้ำมันตนเองหรอก,ผู้ปกครองเราขี้ขลาด โง่ และใจกากนั้นเอง จึงนำพาประชาชนคนไทยยากจนเต็มประเทศ ร่ำรวยในชนชั้นโคตรเหง้าบรมโคตรมันไม่กี่ตระกูล เด็กอุปถัมภ์เด็กฝากเด็กเส้น คนของใครตรึม,นี้คือการปกครองอุบาทก์เลวชั่วที่สุด,
    ..เราต้องเปลี่ยนแปลงมัน ทหารฝ่ายดีแบบใจรักษ์ชาติแบบบิ๊กกุ้งต้องร่วมกันยึดอำนาจ ขึ้นปกครองโดยทหารฝ่ายดีนี้ทันที,เราจะมาใช้ระบบปกติไม่ได้ คนตกเหว ต้องโยนเชือกให้มันจับขึ้นมาให้ได้ก่อน มิใช่สร้างบันไดลงไป,คนรอความช่วยเหลือเขามิอาจช่วยเหลือตนเองได้,เราต้องปล่อยน้ำทิ้งอย่างเดียวจากบ่อจากเขื่อนเลวชั่วนี้เมื่อเรามองเห็นทางช่วยนั้นเจอก่อนแล้วเฉพาะหน้า เขาปีนขึ้นเองไม่ได้ เหมือนคนโง่ถูกปิดตา ต้องตบหัวให้จับเชือกออกจากนั้นเดินตามเชือกนั้น ไม่ฟัง..ตบเลย บอกทางดีทางรอดได้ทำตาม ,การยึดอำนาจก็เช่นกัน อันเดียวกัน เพราะฝ่ายดีลงมือยึดอำนาจย่อมดีแน่นอน.,อย่าทำเสียของแบบยุคลุงผีบ้านะจ๊ะแบบนั้นมันพวกฝ่ายไม่ดี.ล้มระบบเลวชั่วก็ต้องล้ม,คณะกบฎ2475มันสร้างจะล้มไม่ได้เหรอผิดใคร,นี้คือประเทศไทยเรา.

    https://vm.tiktok.com/ZSH3eSm6cU6nS-CcPBJ/
    วิถีปกครองไทย ปกครองแบบทำให้ประชาชนยากจนและลำบาก กดขี่ประชาชนชัดเจน ไม่สนับสนุนประชาชนจริง,แย่งชิงสมบัติชาติสมบัติส่วนรวม ทรัพยากรมีค่าของชาติส่วนกลางแบบพลังงาน แบบคลื่นเน็ต ปล้นชิงปัจจัยชีวิตต้นทุนพื้นฐานไปจากประชาชน รัฐบาลไทยและเอกชนสร้างตนเองให้ร่ำรวยฝ่ายเดียว เอาเปรียบประชาชนชัดเจนมาก ,รัฐบาลปัจจุบันถึงอดีตที่ผ่านๆมามิใช่รัฐบาลประเทศไทยแต่เป็นรัฐบาลของต่างประเทศ มาปกครองประเทศไทย ควบคุมเบ็ดเสร็จแม้มาจากระบบเลือกตั้งจริงจากภาคประชาชนคนไทยภายในประเทศ แต่เมื่อมาใช้ระบบปกครองตน มันก็จะเป็นพวกเดียวกันทันทีในระบบมัน,การล้างสมองผ่านระบบนั้นเอง,คนไทยหากมองกันจริงๆ มันรัฐบาลไทยไม่สนใจใส่ใจจริงอะไรเพราะคนสั่งงานคือคนต่างชาติ จะเอาน้ำมันบ่อน้ำมันไทย มันก็สั่ง มันก็เข้ามายึด มาผูกขาด จากนั้นขายน้ำมันแพงๆคืนแก่คนไทยภายในประเทศเสีย หลอกลวงโกหกระดับชาติผ่านระบบรัฐบาลไทยตนเอง จงเชื่อกู กูคือคนปกครอง กูเป็นรัฐบาลประเทศไทยมรึงและมาจากการเลือกตั้งมรึงเองนะ, ..เพราะเป็นรัฐบาลไทยจริงๆมันจะเป็นเจ้าของบ่อน้ำมันเอง ผู้ปกครองผู้นำประเทศนั้นๆจะไม่ให้ต่างชาติมายึดบ่อน้ำมันตนเองหรอก,ผู้ปกครองเราขี้ขลาด โง่ และใจกากนั้นเอง จึงนำพาประชาชนคนไทยยากจนเต็มประเทศ ร่ำรวยในชนชั้นโคตรเหง้าบรมโคตรมันไม่กี่ตระกูล เด็กอุปถัมภ์เด็กฝากเด็กเส้น คนของใครตรึม,นี้คือการปกครองอุบาทก์เลวชั่วที่สุด, ..เราต้องเปลี่ยนแปลงมัน ทหารฝ่ายดีแบบใจรักษ์ชาติแบบบิ๊กกุ้งต้องร่วมกันยึดอำนาจ ขึ้นปกครองโดยทหารฝ่ายดีนี้ทันที,เราจะมาใช้ระบบปกติไม่ได้ คนตกเหว ต้องโยนเชือกให้มันจับขึ้นมาให้ได้ก่อน มิใช่สร้างบันไดลงไป,คนรอความช่วยเหลือเขามิอาจช่วยเหลือตนเองได้,เราต้องปล่อยน้ำทิ้งอย่างเดียวจากบ่อจากเขื่อนเลวชั่วนี้เมื่อเรามองเห็นทางช่วยนั้นเจอก่อนแล้วเฉพาะหน้า เขาปีนขึ้นเองไม่ได้ เหมือนคนโง่ถูกปิดตา ต้องตบหัวให้จับเชือกออกจากนั้นเดินตามเชือกนั้น ไม่ฟัง..ตบเลย บอกทางดีทางรอดได้ทำตาม ,การยึดอำนาจก็เช่นกัน อันเดียวกัน เพราะฝ่ายดีลงมือยึดอำนาจย่อมดีแน่นอน.,อย่าทำเสียของแบบยุคลุงผีบ้านะจ๊ะแบบนั้นมันพวกฝ่ายไม่ดี.ล้มระบบเลวชั่วก็ต้องล้ม,คณะกบฎ2475มันสร้างจะล้มไม่ได้เหรอผิดใคร,นี้คือประเทศไทยเรา. https://vm.tiktok.com/ZSH3eSm6cU6nS-CcPBJ/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 353 มุมมอง 0 รีวิว
  • สันดานคนเขมรเหมือนกันกับฮุนเซนฮุนมาเนตนั้นล่ะ จิตใจประชาชนของมันเขมรต้องการฆ่าสังหารประชาชนคนไทยแน่นอน มันสะใจที่เห็นประชาชนคนไทยเราตายหรือพื้นที่เราเสียหายถูกทำลาย ทรัพย์สินไทยถูกระเบิดมันยิ่งสะใจ เขมรจึงสมมุติฐานไว้ก่อนว่า คือภัยคือศัตรูทางอธิปไตยทางตรงเรา,การคว่ำบาตรทุกๆมิติจึงต้องทำทั้งหมด แต่รัฐบาลตั้งแต่อุ๊งอิ๊งมันกากจนถึงปัจจุบัน มันไม่ตัดทั้งหมดจริง ไฟฟ้า น้ำมัน เน็ต เสบียงอาหาร มันชัดเจนว่าไส้ศึกช่วยเขมรอยู่ มาตราฐานปิดด่าน สร้างรั้วลวดหนามยังไม่พอในการแหกตาสร้างให้คนไทยเชื่อใจการบริหารปกป้องแผ่นดินไทย,รัฐบาลนี้จริงๆต้องจบทั้งหมดตั้งแต่เข้ามา,แต่ไม่ทำ ยังปล่อยปละละเลยตรึม อ่อนแอ ไม่ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินไทยในหน้าที่,ยังใฝ่ช่วยเขมรนั่นเอง.
    ..ทหารยึดอำนาจจบเลย ระงับการเลือกตั้งการใช้เงินซื้อเสียงในอนาคตได้ด้วย และเชื่อเลยว่าเงินเทาเงินมืดเงินชั่วๆที่ฟอกแล้วทั้งนั้นจะยึดประเทศให้จริงจังผ่านการเลือกตั้งสมัยหน้านี้.ทหารยึดอำนาจตัดตอนเลย,ควบคุมทางให้ดีงามก่อน สร้างทางให้เดินที่ถูกต้องก่อนจึงปล่อยให้มีการเลือกตั้ง,เพราะระหว่างนี้นักการเมืองเอย ข้าราชการชั่วเลวเอย เจ้าของกิจการชั่วเลวต่างๆในไทยเอยและต่างชาติมีถูกยึดถูกอายัดทรัพย์สินแน่นอน ตรวจสอบกระแสเงินจะเห็นหมดล่ะ ตามอายัดยึดทรัพย์อาจกว่า100ล้านล้านบาทเข้าประเทศไทยส่วนกลางได้สบาย,ไอ้ปั่นๆเหรียญต่างๆอื่น ใครถือใครครองเหรียญโทเคนคริปโตฯผิดกฎหมาย ถูกอายัดยึดหมด,ตลอดทหารไทยเราเห็นภันอันตรายในตังดิจิดัลในภายหน้า ฉีกกฎหมายเงินดิจิดัลทิ้งทั้งหมด,ใครครอบครองในประเทศหรือนำเข้ามาจากต่างประเทศจะถือยึดทรัพย์หมด แบบซาอุฯมันห้ามแขวนพระเครื่องไทยเราเข้าประเทศมันนั้นล่ะ,ยกเลิกการใช้ไบโอเมทิกซ์ด้วย ใครฝ่าฝืนยังก้าวล่วงสิทธิมนุษย์คนไทยเก็บรวบรวมข้อมูลไบโอเมทริกซ์ประชาชนคนไทยไม่ว่าทางตรงทางอ้อมจะถูกจับดำเนินคดีทั้งหมด,
    ..ต่างชาติใดๆจะเดินทางเข้าไทยต้องมีวีซ่าพิเศษคัดกรองคุณสมบัติก่อนผ่านเกณฑ์เท่านั้น.



    https://youtu.be/rV8CBwDgXB8?si=SnfKxD3_OmBWjmy-
    สันดานคนเขมรเหมือนกันกับฮุนเซนฮุนมาเนตนั้นล่ะ จิตใจประชาชนของมันเขมรต้องการฆ่าสังหารประชาชนคนไทยแน่นอน มันสะใจที่เห็นประชาชนคนไทยเราตายหรือพื้นที่เราเสียหายถูกทำลาย ทรัพย์สินไทยถูกระเบิดมันยิ่งสะใจ เขมรจึงสมมุติฐานไว้ก่อนว่า คือภัยคือศัตรูทางอธิปไตยทางตรงเรา,การคว่ำบาตรทุกๆมิติจึงต้องทำทั้งหมด แต่รัฐบาลตั้งแต่อุ๊งอิ๊งมันกากจนถึงปัจจุบัน มันไม่ตัดทั้งหมดจริง ไฟฟ้า น้ำมัน เน็ต เสบียงอาหาร มันชัดเจนว่าไส้ศึกช่วยเขมรอยู่ มาตราฐานปิดด่าน สร้างรั้วลวดหนามยังไม่พอในการแหกตาสร้างให้คนไทยเชื่อใจการบริหารปกป้องแผ่นดินไทย,รัฐบาลนี้จริงๆต้องจบทั้งหมดตั้งแต่เข้ามา,แต่ไม่ทำ ยังปล่อยปละละเลยตรึม อ่อนแอ ไม่ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินไทยในหน้าที่,ยังใฝ่ช่วยเขมรนั่นเอง. ..ทหารยึดอำนาจจบเลย ระงับการเลือกตั้งการใช้เงินซื้อเสียงในอนาคตได้ด้วย และเชื่อเลยว่าเงินเทาเงินมืดเงินชั่วๆที่ฟอกแล้วทั้งนั้นจะยึดประเทศให้จริงจังผ่านการเลือกตั้งสมัยหน้านี้.ทหารยึดอำนาจตัดตอนเลย,ควบคุมทางให้ดีงามก่อน สร้างทางให้เดินที่ถูกต้องก่อนจึงปล่อยให้มีการเลือกตั้ง,เพราะระหว่างนี้นักการเมืองเอย ข้าราชการชั่วเลวเอย เจ้าของกิจการชั่วเลวต่างๆในไทยเอยและต่างชาติมีถูกยึดถูกอายัดทรัพย์สินแน่นอน ตรวจสอบกระแสเงินจะเห็นหมดล่ะ ตามอายัดยึดทรัพย์อาจกว่า100ล้านล้านบาทเข้าประเทศไทยส่วนกลางได้สบาย,ไอ้ปั่นๆเหรียญต่างๆอื่น ใครถือใครครองเหรียญโทเคนคริปโตฯผิดกฎหมาย ถูกอายัดยึดหมด,ตลอดทหารไทยเราเห็นภันอันตรายในตังดิจิดัลในภายหน้า ฉีกกฎหมายเงินดิจิดัลทิ้งทั้งหมด,ใครครอบครองในประเทศหรือนำเข้ามาจากต่างประเทศจะถือยึดทรัพย์หมด แบบซาอุฯมันห้ามแขวนพระเครื่องไทยเราเข้าประเทศมันนั้นล่ะ,ยกเลิกการใช้ไบโอเมทิกซ์ด้วย ใครฝ่าฝืนยังก้าวล่วงสิทธิมนุษย์คนไทยเก็บรวบรวมข้อมูลไบโอเมทริกซ์ประชาชนคนไทยไม่ว่าทางตรงทางอ้อมจะถูกจับดำเนินคดีทั้งหมด, ..ต่างชาติใดๆจะเดินทางเข้าไทยต้องมีวีซ่าพิเศษคัดกรองคุณสมบัติก่อนผ่านเกณฑ์เท่านั้น. https://youtu.be/rV8CBwDgXB8?si=SnfKxD3_OmBWjmy-
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 468 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทแถม
    “ฤทธิ์ยิว”

    (3)

    ในปี ค.ศ.1880 มีชาวยิวในอเมริกาประมาณ 250,000 คน ( 0.5%) แต่พอถึงปี 1900 เพียง 20 ปี ต่อมา ตัวเลขเพิ่มเป็น 1.5 ล้านคน และในปี 1918 เพิ่มเป็น 3 ล้านคน และอิทธิพลทางการเมืองของชาวยิว ก็เพิ่มขึ้นในอเมริกา อย่างมากมายเช่นเดียวกัน

    ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นช่วงที่ยิวเร่งลดน้ำพรวนดิน แผ่อิทธิพลในอเมริกา ปี ค.ศ.1901 ประธานาธิบดี William McKinley ถูกยิงตาย โดยชาวโปลหัวรุนแรง ชื่อ Leon Czolgosz ซึ่งถูกปั่นหัว โดยชาวยิวที่ชอบก่อเรื่องวุ่นวาย 2 คน คือ Emma Goldman และ Alexander Berkman และผู้ที่ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน คือรองประธานาธิบดี Theodore Roosevelt ซึ่งขณะนั้น อายุเพียง 42 ปี นับเป็นประธานาธิบดี ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เรื่องนี้น่าสนใจ

    Roosevelt ชื่อดังขึ้นมาจากบทบาทของทหารเรือหนุ่ม ที่ไปรบชนะสเปนที่คิวบา ในปี 1898 และด้วยแรงสนับสนุนสุดตัวของกลุ่มชาวยิว ในปี 1900 เขาได้รับเลือกตั้งเป็น ผู้ว่าการนครนิวยอร์ค และในปีเดียวกันนั้น ก็ได้รับเลือกเป็นรองประธานาธิบดี น่าสนในหนักขึ้นไปอีก

    Roosevelt เป็นยิวหรือเปล่า เจ้าตัวไม่เคยตอบรับ หรือตอบปฏิเสธ แต่น่าสนใจว่า Roosevelt อาจเป็นเด็กสร้างของยิวคือ หลังเขาได้เป็นขึ้นประธานาธิบดี ในปี 1901 โดยเหตุการณ์บังคับหรือจัดตั้งก็ตาม ในปี 1904 เขาลงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ด้วยความสมัครใจ และก็ได้รับเลือกตั้งสมใจ และประวัติศาสตร์ ก็ได้จารึกชื่อ Oscar Straus เป็นชาวยิวคนแรก ที่ได้รับแต่งตั้งให้เข้าร่วมรัฐบาลในอเมริกา จากการสนับสนุนเต็มตัวของ Roosevelt และในฐานะเป็นรัฐมนตรีดูแลด้านแรงงานและพาณิชย์ Straus เอาหน่วยงานด้านคนเข้าเมือง มาดูแลเอง และช่วงนั้นก็กลายเป็นช่วงที่จำนวนชาวยิวอพยพ มายังอเมริกาเพิ่มขึ้นสูงสุด หลังจากนั้น Straus ก็ได้ไปเป็นทูตอเมริกา ประจำออตโตมาน เหมือนไปดูปาเลสไตน์ทุกซอกมุม ก่อนแผนยึดเอามาครองของชาวยิว
    อำนาจเงินอันร้ายกาจของชาวยิว แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัด ในปี 1912 เมื่อ Roosevelt ปฏิเสธที่จะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีอีกรอบ แต่สนับสนุนให้ William Taft รัฐมนตรีกลาโหม สมัยรัฐบาลเขา และเป็นได้เป็นประธานาธิบดี ในปี 1908 ลงสมัครต่ออีกวาระ แต่ปรากฎว่ามีพวกลิพับลิกันเรียกร้องให้ Roosevelt ลงสมัครด้วย ตามธรรมเนียม ก็ต้องเสนอชื่อประธานาธิบดีในตำแหน่ง คือ Taft ต่อไป แต่ Roosevelt ก็ดันเล่นตลก ลงสมัครในนามพรรคที่ 3 ปี 1912 ด้วย จึงกลายเป็นเรื่องที่พิลึกมาก ของประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของอเมริกา ที่มีประธานาธิบดี Taft ลงสมัครเป็นสมัยที่ 2 ส่วน Roosevelt ลงสมัคร เป็นคู่แข่งจากพรรคที่ 3 และ มี Woodlow Wilson สมัครสมัยแรก ในนามพรรค ดีโมแครต

    สำหรับชาวบ้านคงงง ที่ได้เห็นอดีตประธานาธิบดีกับ ประธานาธิบดี ที่อยู่ในตำแหน่งแข่งกับ Wilson ตัวแทนของ เดโมแครตสมัยแรก และผลก็เป็นที่รู้กันว่า Wilson ชนะเลือกตั้งครั้งนั้น และครั้งต่อไปในปี 1916 อีกสมัย เพื่อทำหน้าที่ครบถ้วนเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 คือ ก่อนระหว่าง และหลัง สงคราม

    ชาวบ้านคงไม่รู้ว่า ผู้สมัครทั้ง 3 คน ได้รับการสนับสนุน จากกระเป๋าเงินอันมีอำนาจร้ายกาจ ของพวกยิวทั้งหมด เพราะฉนั้น ใครได้เป็นประธานาธิบดีคงไม่สำคัญ สำคัญว่าจะต้องมาจัดการทำหน้าที่เกี่ยวกับสงครามโลกให้ครบถ้วนตามใบสั่ง มากกว่า

    เรื่องนี้อยู่ในรายงานของ Henry Ford ชื่อ Dearborn Independent ซึ่งบันทึกเกี่ยวกับคำให้การใน รัฐสภา เมื่อ ปี 1914 ของ Paul Warburg นายธนาคารชาวยิว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “เจ้าพ่อ Federal Reserve” หุ้นส่วนของ Kuhn, Loeb & Co ซึ่งสรุปว่า Paul Warburg ให้การว่า หุ้นส่วนคนหนึ่งของ Kuhn Loeb ให้เงินสนับสนุน Roosevelt ส่วน Felix น้องของ Paul (ซึ่งก็เป็นหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งเช่นกัน) ให้เงินสนับสนุน Taft ส่วน Jacob Schiff หุ้นส่วนใหญ่ตัวแสบ ให้เงินสนับสนุน Wilson
    คำให้การนี้ทำให้เห็นการทำงานของยิว เหนือผู้สมัครทั้ง 3 คน คนใดชนะเลือกตั้ง ยิวก็ชนะด้วย พวกเขาแทงม้าทุกตัวจริงๆ

    แม้ ในขณะนั้นเรายังไม่เห็นหลักฐานกันชัดเจนว่า ยิวสนับสนุน Roosevelt อย่างไร แต่การแต่งตั้ง Straus ให้คุมเรื่องการเข้าเมือง และพวกยิวก็ทะลักเข้าไปเต็มอเมริกาในช่วงนั้น ก็พอทำให้เราเห็นภาพได้พอสมควร

    ส่วนกรณีของ Taft ซึ่งเป็นผู้ส่งออก Straus ไปเป็นทูตที่ออตโตมาน และแม้ยิวก็ยังไหลเข้ามาในอเมริกาอย่างมากมายต่อเนื่อง แต่ Taft ก็ยังเล่นบทไม่สมใจนายทุน ในเรื่องของชาวยิวที่อยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับชาวยิวที่อยู่ในรัสเซีย

    สื่ออเมริกัน ซึ่งแน่นอนอยู่ในมือของพวกยิว พากันลงข่าวใส่สีเข้มข้น เช่น Time รายงานว่า ชาวยิวถูกเชือดยังกับเชือดแกะ, เด็กยิวถูกรุมทิ้งโดยกลุ่มชนกระหายเลือด, จำนวนชาวยิวที่ถูกฆ่าสูงขึ้นทุก วัน ฯลฯ ในที่สุด นายกรัฐมนตรีรัสเซีย นาย Pyotr Stolypin ก็ถูกยิงตาย โดยชาวยิวชื่อ Mordekhai Gershkovich หรือที่รู้จักกันในชื่อ Dmitri Bogrov ยิ่งทำให้การตอบโต้ ระหว่าง ยิว/รัสเซีย เลวร้ายลงไปกว่าเดิม

    ####################
    ” ฤทธิ์ยิว”

    (4)

    แม้จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงในรัสเสียเพิ่มขึ้น แต่พวกยิวในอเมริกาเห็นว่ายังแรงไม่พอ ยิวไซออนนิสต์อ้างว่า มีการปิดกั้นไม่ให้ชาวยิวที่อยู่ในอเมริกา เดินทางเข้าไปในรัสเซีย การปิดกั้นนี่เริ่มมาพักใหญ่แล้วนะ และก็เข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคประธานาธิบดี Taft นี่แหละ Taft ควรทำอะไรเสียบ้าง เสียงนายทุนยิวฟ่อใส่ แต่ Taft คงจัดการไม่ได้ง่ายๆ เพราะอเมริกากับรัสเซีย มีสนธิสัญญาต่างตอบแทนระหว่างกัน เรื่องการพาณิชย์และการเดินเรืออย่างเสรี ตั้งแตปี 1832 ซึ่งแต่ละประเทศมีสิทธิเสรีในการกำหนดการเข้าออกประเทศ แก่พลเมืองของทั้ง 2 ประเทศ
    ไซออนนิสต์ เห็นโอกาสกดดันรัสเซียจากภายนอก ถ้างั้น อเมริกาก็ยกเลิกสนธิสัญญานี้เลยซิ แล้วไซออนนิสต์ก็ทำสำเร็จ โดยการจัดการของพวกยิวกลุ่มเล็กๆ ไม่กี่คน ที่นำโดยทนายชาวยิว Louis Marshall นักการเงินชาวยิว Jacob Schiff และพรรคพวก จาก American Jewish Committee ซึ่งมีพลังอย่างยิ่งในตอนนั้น และ มีมาถึงตอนนี้

    พวกเขายกประเด็นเรื่องยกเลิกสนธิสัญญานี้ ตั้งแต่ปี 1908 แต่ มาจับขาบีบเข่าถาม Taft เอาจริงจังในปี 1910 เมื่อตอนที่ Taft เตรียมตัวจะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 เราสามารถจัดให้ชาวยิวลงคะแนนเสียงให้ท่านได้นะ แต่ท่านจะมีอะไรมาแลกเปลี่ยนกับเรา (quid pro quo)

    Taft เห็นว่าข้อเสนอของพวกยิว ที่จะให้ยกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับอเมริกาเลย เขาทำท่าไม่รับลูกที่ยิวโยนมา

    พวกยิวไม่ยอมหยุด ปี 1911 Marshall เริ่มโหมประเด็นนี้ใหม่ คราวนี้เขาบอกว่า การที่อเมริกายอมให้รัสเซีย ห้ามยิวอเมริกาเข้าประเทศ ไม่ใช่เป็นการดูหมิ่นคนยิวหรอกนะ แต่มันเป็นการดูหมิ่นคนอเมริกัน แล้วสื่อกระป๋องสี ยี่ห้อยิว ก็ช่วยกันประโคมข่าว โดยมี Samuel Straus เป็นหัวหอก ออกนำล่ารายชื่อ ทำหนังสือกดดันไปถึงรัฐสภา ยอดเยี่ยมจริงๆ

    แต่ Taft ก็ยังไม่ยอมอ่อนอยู่ในมือยิวง่ายๆ เขาบอกว่า มีอเมริกันยิวอยู่ในรัสเซีย เพียง 28 คนเท่านั้น และมีคนอเมริกันยิว ที่ถูกรัสเซียปฏิเสธการเข้าเมืองแค่ 4 คน ใน 5 ปี! แต่พวกยิวก็ไม่ยอมเลิกรา เดินหน้าลุยไม่หยุด เหมือนต้องการทดสอบอำนาจของตัว แล้วก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ว่าในที่สุด พวกยิวก็ทำสำเร็จ
    เป็น Schiff ที่ไปจูง Taft เดินมาที่ทางออก เขาบอก Taft ว่า ท่านก็แค่ลงชื่อในคำขอมติจากรัฐสภา ที่เหลือเป็นเรื่องของเรา แล้ววันที่ 13 ธันวาคม 1911 รัฐสภาก็เห็นชอบให้อเมริกาบอกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ด้วยคะแนนเสียง 301 ต่อ 1 เสียงค้าน และเมื่อเรื่องส่งถึงวุฒิสภา มีการแก้ไขเล็กน้อย และวุฒิสมาชิกก็ลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ ในวันที่ 19 ธันวาคม1911 ให้ดำเนินการตามที่รัฐสภาเสนอ (ผมอ่านบทความนี้ แล้วก็แปลกใจมาก ว่า Taft ถูกบีบจากอะไร และบีบตรงไหน แต่ยังหาข้อมูลเพิ่มเติมไม่เจอ)

    รัสเซียถึงกับอึ้ง พูดไม่ออกกับการตัดสินใจของอเมริกา รัสเซียรู้ว่าเรื่องมาจากการผลักดันของพวกยิว แต่รัสเซียนึกไม่ถึงว่าอเมริกา “อยู่มือ” พวกยิวถึงขนาดนั้นแล้ว และการปฏิวัติรัสเซีย โดยพวกบอลเชวิก ที่นำโดยชาวยิว ก็เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นประมาณ 6 ปี หลังจากการทดสอบ แสดงให้เห็นว่า “ผ่าน”

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    7 มิ.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทแถม “ฤทธิ์ยิว” (3) ในปี ค.ศ.1880 มีชาวยิวในอเมริกาประมาณ 250,000 คน ( 0.5%) แต่พอถึงปี 1900 เพียง 20 ปี ต่อมา ตัวเลขเพิ่มเป็น 1.5 ล้านคน และในปี 1918 เพิ่มเป็น 3 ล้านคน และอิทธิพลทางการเมืองของชาวยิว ก็เพิ่มขึ้นในอเมริกา อย่างมากมายเช่นเดียวกัน ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นช่วงที่ยิวเร่งลดน้ำพรวนดิน แผ่อิทธิพลในอเมริกา ปี ค.ศ.1901 ประธานาธิบดี William McKinley ถูกยิงตาย โดยชาวโปลหัวรุนแรง ชื่อ Leon Czolgosz ซึ่งถูกปั่นหัว โดยชาวยิวที่ชอบก่อเรื่องวุ่นวาย 2 คน คือ Emma Goldman และ Alexander Berkman และผู้ที่ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน คือรองประธานาธิบดี Theodore Roosevelt ซึ่งขณะนั้น อายุเพียง 42 ปี นับเป็นประธานาธิบดี ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เรื่องนี้น่าสนใจ Roosevelt ชื่อดังขึ้นมาจากบทบาทของทหารเรือหนุ่ม ที่ไปรบชนะสเปนที่คิวบา ในปี 1898 และด้วยแรงสนับสนุนสุดตัวของกลุ่มชาวยิว ในปี 1900 เขาได้รับเลือกตั้งเป็น ผู้ว่าการนครนิวยอร์ค และในปีเดียวกันนั้น ก็ได้รับเลือกเป็นรองประธานาธิบดี น่าสนในหนักขึ้นไปอีก Roosevelt เป็นยิวหรือเปล่า เจ้าตัวไม่เคยตอบรับ หรือตอบปฏิเสธ แต่น่าสนใจว่า Roosevelt อาจเป็นเด็กสร้างของยิวคือ หลังเขาได้เป็นขึ้นประธานาธิบดี ในปี 1901 โดยเหตุการณ์บังคับหรือจัดตั้งก็ตาม ในปี 1904 เขาลงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ด้วยความสมัครใจ และก็ได้รับเลือกตั้งสมใจ และประวัติศาสตร์ ก็ได้จารึกชื่อ Oscar Straus เป็นชาวยิวคนแรก ที่ได้รับแต่งตั้งให้เข้าร่วมรัฐบาลในอเมริกา จากการสนับสนุนเต็มตัวของ Roosevelt และในฐานะเป็นรัฐมนตรีดูแลด้านแรงงานและพาณิชย์ Straus เอาหน่วยงานด้านคนเข้าเมือง มาดูแลเอง และช่วงนั้นก็กลายเป็นช่วงที่จำนวนชาวยิวอพยพ มายังอเมริกาเพิ่มขึ้นสูงสุด หลังจากนั้น Straus ก็ได้ไปเป็นทูตอเมริกา ประจำออตโตมาน เหมือนไปดูปาเลสไตน์ทุกซอกมุม ก่อนแผนยึดเอามาครองของชาวยิว อำนาจเงินอันร้ายกาจของชาวยิว แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัด ในปี 1912 เมื่อ Roosevelt ปฏิเสธที่จะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีอีกรอบ แต่สนับสนุนให้ William Taft รัฐมนตรีกลาโหม สมัยรัฐบาลเขา และเป็นได้เป็นประธานาธิบดี ในปี 1908 ลงสมัครต่ออีกวาระ แต่ปรากฎว่ามีพวกลิพับลิกันเรียกร้องให้ Roosevelt ลงสมัครด้วย ตามธรรมเนียม ก็ต้องเสนอชื่อประธานาธิบดีในตำแหน่ง คือ Taft ต่อไป แต่ Roosevelt ก็ดันเล่นตลก ลงสมัครในนามพรรคที่ 3 ปี 1912 ด้วย จึงกลายเป็นเรื่องที่พิลึกมาก ของประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของอเมริกา ที่มีประธานาธิบดี Taft ลงสมัครเป็นสมัยที่ 2 ส่วน Roosevelt ลงสมัคร เป็นคู่แข่งจากพรรคที่ 3 และ มี Woodlow Wilson สมัครสมัยแรก ในนามพรรค ดีโมแครต สำหรับชาวบ้านคงงง ที่ได้เห็นอดีตประธานาธิบดีกับ ประธานาธิบดี ที่อยู่ในตำแหน่งแข่งกับ Wilson ตัวแทนของ เดโมแครตสมัยแรก และผลก็เป็นที่รู้กันว่า Wilson ชนะเลือกตั้งครั้งนั้น และครั้งต่อไปในปี 1916 อีกสมัย เพื่อทำหน้าที่ครบถ้วนเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 คือ ก่อนระหว่าง และหลัง สงคราม ชาวบ้านคงไม่รู้ว่า ผู้สมัครทั้ง 3 คน ได้รับการสนับสนุน จากกระเป๋าเงินอันมีอำนาจร้ายกาจ ของพวกยิวทั้งหมด เพราะฉนั้น ใครได้เป็นประธานาธิบดีคงไม่สำคัญ สำคัญว่าจะต้องมาจัดการทำหน้าที่เกี่ยวกับสงครามโลกให้ครบถ้วนตามใบสั่ง มากกว่า เรื่องนี้อยู่ในรายงานของ Henry Ford ชื่อ Dearborn Independent ซึ่งบันทึกเกี่ยวกับคำให้การใน รัฐสภา เมื่อ ปี 1914 ของ Paul Warburg นายธนาคารชาวยิว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “เจ้าพ่อ Federal Reserve” หุ้นส่วนของ Kuhn, Loeb & Co ซึ่งสรุปว่า Paul Warburg ให้การว่า หุ้นส่วนคนหนึ่งของ Kuhn Loeb ให้เงินสนับสนุน Roosevelt ส่วน Felix น้องของ Paul (ซึ่งก็เป็นหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งเช่นกัน) ให้เงินสนับสนุน Taft ส่วน Jacob Schiff หุ้นส่วนใหญ่ตัวแสบ ให้เงินสนับสนุน Wilson คำให้การนี้ทำให้เห็นการทำงานของยิว เหนือผู้สมัครทั้ง 3 คน คนใดชนะเลือกตั้ง ยิวก็ชนะด้วย พวกเขาแทงม้าทุกตัวจริงๆ แม้ ในขณะนั้นเรายังไม่เห็นหลักฐานกันชัดเจนว่า ยิวสนับสนุน Roosevelt อย่างไร แต่การแต่งตั้ง Straus ให้คุมเรื่องการเข้าเมือง และพวกยิวก็ทะลักเข้าไปเต็มอเมริกาในช่วงนั้น ก็พอทำให้เราเห็นภาพได้พอสมควร ส่วนกรณีของ Taft ซึ่งเป็นผู้ส่งออก Straus ไปเป็นทูตที่ออตโตมาน และแม้ยิวก็ยังไหลเข้ามาในอเมริกาอย่างมากมายต่อเนื่อง แต่ Taft ก็ยังเล่นบทไม่สมใจนายทุน ในเรื่องของชาวยิวที่อยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับชาวยิวที่อยู่ในรัสเซีย สื่ออเมริกัน ซึ่งแน่นอนอยู่ในมือของพวกยิว พากันลงข่าวใส่สีเข้มข้น เช่น Time รายงานว่า ชาวยิวถูกเชือดยังกับเชือดแกะ, เด็กยิวถูกรุมทิ้งโดยกลุ่มชนกระหายเลือด, จำนวนชาวยิวที่ถูกฆ่าสูงขึ้นทุก วัน ฯลฯ ในที่สุด นายกรัฐมนตรีรัสเซีย นาย Pyotr Stolypin ก็ถูกยิงตาย โดยชาวยิวชื่อ Mordekhai Gershkovich หรือที่รู้จักกันในชื่อ Dmitri Bogrov ยิ่งทำให้การตอบโต้ ระหว่าง ยิว/รัสเซีย เลวร้ายลงไปกว่าเดิม #################### ” ฤทธิ์ยิว” (4) แม้จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงในรัสเสียเพิ่มขึ้น แต่พวกยิวในอเมริกาเห็นว่ายังแรงไม่พอ ยิวไซออนนิสต์อ้างว่า มีการปิดกั้นไม่ให้ชาวยิวที่อยู่ในอเมริกา เดินทางเข้าไปในรัสเซีย การปิดกั้นนี่เริ่มมาพักใหญ่แล้วนะ และก็เข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคประธานาธิบดี Taft นี่แหละ Taft ควรทำอะไรเสียบ้าง เสียงนายทุนยิวฟ่อใส่ แต่ Taft คงจัดการไม่ได้ง่ายๆ เพราะอเมริกากับรัสเซีย มีสนธิสัญญาต่างตอบแทนระหว่างกัน เรื่องการพาณิชย์และการเดินเรืออย่างเสรี ตั้งแตปี 1832 ซึ่งแต่ละประเทศมีสิทธิเสรีในการกำหนดการเข้าออกประเทศ แก่พลเมืองของทั้ง 2 ประเทศ ไซออนนิสต์ เห็นโอกาสกดดันรัสเซียจากภายนอก ถ้างั้น อเมริกาก็ยกเลิกสนธิสัญญานี้เลยซิ แล้วไซออนนิสต์ก็ทำสำเร็จ โดยการจัดการของพวกยิวกลุ่มเล็กๆ ไม่กี่คน ที่นำโดยทนายชาวยิว Louis Marshall นักการเงินชาวยิว Jacob Schiff และพรรคพวก จาก American Jewish Committee ซึ่งมีพลังอย่างยิ่งในตอนนั้น และ มีมาถึงตอนนี้ พวกเขายกประเด็นเรื่องยกเลิกสนธิสัญญานี้ ตั้งแต่ปี 1908 แต่ มาจับขาบีบเข่าถาม Taft เอาจริงจังในปี 1910 เมื่อตอนที่ Taft เตรียมตัวจะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 เราสามารถจัดให้ชาวยิวลงคะแนนเสียงให้ท่านได้นะ แต่ท่านจะมีอะไรมาแลกเปลี่ยนกับเรา (quid pro quo) Taft เห็นว่าข้อเสนอของพวกยิว ที่จะให้ยกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับอเมริกาเลย เขาทำท่าไม่รับลูกที่ยิวโยนมา พวกยิวไม่ยอมหยุด ปี 1911 Marshall เริ่มโหมประเด็นนี้ใหม่ คราวนี้เขาบอกว่า การที่อเมริกายอมให้รัสเซีย ห้ามยิวอเมริกาเข้าประเทศ ไม่ใช่เป็นการดูหมิ่นคนยิวหรอกนะ แต่มันเป็นการดูหมิ่นคนอเมริกัน แล้วสื่อกระป๋องสี ยี่ห้อยิว ก็ช่วยกันประโคมข่าว โดยมี Samuel Straus เป็นหัวหอก ออกนำล่ารายชื่อ ทำหนังสือกดดันไปถึงรัฐสภา ยอดเยี่ยมจริงๆ แต่ Taft ก็ยังไม่ยอมอ่อนอยู่ในมือยิวง่ายๆ เขาบอกว่า มีอเมริกันยิวอยู่ในรัสเซีย เพียง 28 คนเท่านั้น และมีคนอเมริกันยิว ที่ถูกรัสเซียปฏิเสธการเข้าเมืองแค่ 4 คน ใน 5 ปี! แต่พวกยิวก็ไม่ยอมเลิกรา เดินหน้าลุยไม่หยุด เหมือนต้องการทดสอบอำนาจของตัว แล้วก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ว่าในที่สุด พวกยิวก็ทำสำเร็จ เป็น Schiff ที่ไปจูง Taft เดินมาที่ทางออก เขาบอก Taft ว่า ท่านก็แค่ลงชื่อในคำขอมติจากรัฐสภา ที่เหลือเป็นเรื่องของเรา แล้ววันที่ 13 ธันวาคม 1911 รัฐสภาก็เห็นชอบให้อเมริกาบอกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ด้วยคะแนนเสียง 301 ต่อ 1 เสียงค้าน และเมื่อเรื่องส่งถึงวุฒิสภา มีการแก้ไขเล็กน้อย และวุฒิสมาชิกก็ลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ ในวันที่ 19 ธันวาคม1911 ให้ดำเนินการตามที่รัฐสภาเสนอ (ผมอ่านบทความนี้ แล้วก็แปลกใจมาก ว่า Taft ถูกบีบจากอะไร และบีบตรงไหน แต่ยังหาข้อมูลเพิ่มเติมไม่เจอ) รัสเซียถึงกับอึ้ง พูดไม่ออกกับการตัดสินใจของอเมริกา รัสเซียรู้ว่าเรื่องมาจากการผลักดันของพวกยิว แต่รัสเซียนึกไม่ถึงว่าอเมริกา “อยู่มือ” พวกยิวถึงขนาดนั้นแล้ว และการปฏิวัติรัสเซีย โดยพวกบอลเชวิก ที่นำโดยชาวยิว ก็เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นประมาณ 6 ปี หลังจากการทดสอบ แสดงให้เห็นว่า “ผ่าน” สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 7 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 599 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 4
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 4

    อังกฤษ ซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่นมานานกว่าร้อยปี Anglo-Japanese Alliance มีมาตั้งแต่ ค.ศ.1902 ถ้าจำกันได้ การที่ญี่ปุ่นลุกขึ้นทำสงครามกับรัสเซีย ในปี ค.ศ.1904 ส่วนหนึ่งก็มาจากแรงยุของอังกฤษ ทำให้อังกฤษยังชื่นชมญี่ปุ่นอยู่จนทุกวันนี้ สัมพันธ์อังกฤษ-ญี่ปุ่นสะดุดชั่วคราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ไม่ได้ทำให้อังกฤษตัดจนขาดกับญี่ปุ่นอย่างจริงจัง

    ล่าสุด เมื่ออังกฤษจะมีการเลือกตั้งทั่ว ไป ในต้นเดือนพฤษาคม และผลของการเลือกต้ัง ทำให้ได้นายเดวิด แคมารอน คนชอบจีบปากเวลาพูด กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อีกรอบหนึ่ง Chatham House ถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่ง ของอังกฤษ แฝดตัวพี่ของไอ้สุดกร่าง CFR เจ้าของแผนสอยมังกร ซึ่งก็มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอังกฤษ ไม่ต่างกับที่ CFR มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอเมริกา ก็ได้เขียนบทความ ออกมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2015 เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ ไอ้สุดกร่าง เขียนแผนสอยมังกร ออกมาตบหน้าอาเฮีย ยังกับนัดกัน…

    รายงานของ Chatham House เป็นข้อเสนอต่อรัฐบาลอังกฤษ ชุดใหม่ ที่จะได้มาจากการเลือกตั้ง สรุปว่า

    …ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงของประเทศ โดยพยายามจัดทำนโยบายในแนวทางรุกมากขึ้น โดยมีเป้าหมายทั้งระดับภูมิภาค และระดับโลก นโยบายนี้น่าจะสอดคล้องกับความต้องการของอังกฤษ …

    …ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ยอมรับว่า ตนเองมี (หรือ หวัง?!) ผลประโยชน์มากมายในเอเซีย เช่นที่อินโดนีเซีย เกี่ยวกับธุรกิจการเงิน และการประกันภัย หรือเกี่ยวกับเรื่องน้ำมัน และแก๊ส ในส่วนอื่นของภูมิภาค ที่อยู่ทั้งในระยะสำรวจและขุดเจาะ และธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย ความมั่นคงของภูมิภาคเอเซีย จึงเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นเรื่องหนึ่ง ที่อังกฤษให้ความสำคัญ โดยเฉพาะ จะต้องพยายามรักษาเส้นทางเดินเรือ จากอังกฤษไปถึงเอเซีย ในบริเวณต่างๆเอาไว้ แต่นโยบายของจีน เกี่ยวกับข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ และตะวันออก การไม่สามัคคีกันในเอเซียอาคเณย์ และการถูกข่มขู่จากผู้ก่อการร้าย และสลัดทะเล ทำให้ผลประโยชน์ของอังกฤษมีความ เสี่ยงเพิ่มขึ้น … พูดภาษาชาวบ้าน ก็หมายความว่า อังกฤษ ทำท่าจะไม่รวยขึ้น หรือจะจนลงด้วยซ้ำ จากการที่ควบคุม ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเด็กแถวเอเซีย ไม่อยู่หมัด เหมือนสมัยเป็นนายท่านของพวกอาณานิคม
    แต่มันติดปัญหา … ชาวเกาะใหญ่ฯ สารภาพอย่างหมดท่า แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็คงจะส่งกองกำลังของตนเอง ไปดูแลอย่างเดิมไม่ได้ เพราะงบด้านความมั่นคง ถูกตัดเสียเหลือสั้นกว่านิ้วก้อย และถ้าพรรคอนุรักษ์นิยม เจ้าของนโยบายการตัดงบด้านความมั่นคง กลับมาเป็นรัฐบาล (ซึ่งก็กลับมาจริงๆ) งบนี้ก็คงถูกตัดเหมือนเดิม ทางออกที่ดีที่สุดของรัฐบาลใหม่ คือไปจับมือกับญี่ปุ่นเสียให้แน่น เพราะญี่ปุ่นเองก็ต้องจับตาจ้อง คอยกันท่าไม่ให้จีนแหยมหน้า เข้ามาใกล้ตัวเองอยู่แล้ว...

    ….ข่าวเรื่องญี่ปุ่นต้ังงบด้าน ความมั่นคงสำหรับปี 2015 เสียสูงลิ่วถึง 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ ทำให้ชาวเกาะใหญ่ฯ ตาโตเท่าไข่ห่าน งบขนาดนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ บอก เราไปเอี่ยวกับเขาน่ะ ดีที่สุดแล้ว …..

    นอกจากนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ ได้ยินมาว่า อเมริกากับญี่ปุ่น กำลังร่างยุทธศาสตร์ที่จะใช้ฐานทัพของญี่ปุ่นที่ Djibouti (ที่โซมาเลีย) ซึ่งเป็นฐานทัพนอกบ้านฐานแรกของญี่ปุ่น เพื่อใช้การปราบสลัดแถบนั้น ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์มาก กับเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ของอังกฤษ และดูแลผลประโยชน์ของอังกฤษ ได้ทั้งแถบตะวันออกกลาง และเอเซีย …. ซึ่งนายอาเบะ ก็แบะท่าไว้แล้ว ตั้งแต่มาคารวะอังกฤษในปี 2014 ว่า อยากจะเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงกับอังกฤษมากขึ้น เป็นท่าทีใหม่ของญี่ปุ่นที่มีกับชาวเกาะใหญ่ฯ ในรอบหลายปีเลยทีเดียว…

    Chatham House ฝาแฝดตัวพี่ ของสุดกร่าง CFR บอกว่า เราน่าจะชวน ญี่ปุ่น ชาวเกาะด้วยกัน มาทำสัญญาความร่วมมือสาระพัด แต่ดูๆไปแล้ว มันเป็นการกลบเกลื่อนความต้องการ จริงของชาวเกาะใหญ่ ที่ต้องการให้ญี่ปุ่น เป็นตัวแทน เป็นยาม เป็นหน่วยลาดตะเวน เป็นหน่วยปะทะ ถือถาดบริการชาวเกาะใหญ่ ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ยาวไปถึงโซมาเลียได้ยิ่งดี เหมือนกับที่ญี่ปุ่น กำลังเตรียมตัวทำให้นักล่าใบตองแห้ง แต่ ชาวเกาะใหญ่ฯ ถือไพ่เหนือมือคุณยุ่นเขา เหมือนนักล่าฯ หรือเปล่าล่ะ อาจจะถือไพ่ใต้มือเขาเสียด้วยซ้ำ ถ้าเขารู้ว่า บ้อท่า ถังแตก งบหดสั้นกว่านิ้วก้อยอย่างนั้น

    คิดไปคิดมา Chatham House แนะนำให้ชาวเกาะใหญ่กัดฟัน เสนอให้ร่วมมือด้านข่าวกรองกับญี่ปุ่นไปเลย และจริงๆ ถ้าจะปกป้องผลประโยชน์ของเราได้ดี เราก็น่าจะให้เขารู้ข้อมูลข่าวกรอง ของฝ่ายตรงกันข้ามมากกว่านี้ ….แสดงว่าชาวเกาะฝีมือไม่เบา จารกรรมจนได้ข้อมูลดีๆมาแยะ แต่อมแอบไว้ก่อน
    อืม… นี่มันเรื่องใหญ่มากนะครับ อังกฤษ มีระบบการจารกรรมข้อมูลข่าวสารและสัญญานทั่วโลก เช่นระบบ Echelon ที่โด่งดังมาก และมีระบบอื่นๆอีกมาก เขาว่ามันมีถึง 10 ระบบแล้ว จากหลายหน่วยงานข่าวกรองของอังกฤษ และข้อมูลทั้งหมดที่ไปล้วงได้มา จะถูกส่งไปที่ศูนย์รวม ที่เรียกว่า Government Communications Headquarters (GCHQ) ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับระบบจารก รรมข่าวกรองของ National Security Council (NSC) ของอเมริกา เช่น ระบบ Prism ที่นายEdward Snowden เอามาแฉ เมื่อ 2,3 ปีก่อน จนเป็นเรื่องครึกโครม ด่าทอ ต่อว่า พวกกันเอง แอบดักฟังกันเอง

    ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ มีข้อตกลงให้ความร่วมมือกัน ว่าข้อมูลที่ล้วงมาได้จากการจาร กรรมของ ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ ตกลงที่จะแชร์กัน กับ เฉพาะไม่กี่ประเทศ ที่เรียกว่า 5 ตา 7 ตา (5ตา five eyes มีเฉพาะพวกแองโกลแซกซอน คือ อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ส่วน 7 ตา เพิ่ม สวีเดน กับ เดนมาร์ก เข้าไปด้วย รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง ผลัดกันล้วง)

    ถ้าอังกฤษ และญี่ปุ่นตกลงให้ความร่วมมือกันด้านข่าวกรอง ญี่ปุ่นจะเป็นพันธมิตรข่าวกรองของกลุ่มแองโกลแซกซอน จากเอเซียชาติแรก และมันน่าจะทำให้เห็นชัดเจนว่า ญี่ปุ่นเลือกยืนอยู่ที่ใด และการแบ่งข้างในภูมิภาคเอเซี ยคงยิ่งกว่าชัดเจน และ ผู้ที่จะเป็นเป้าใหญ่ ของการเล่นเป็นทีม ของแฝดพี่น้องตัวแสบของโลก Chatham House และ CFR คงไม่พ้นอาเฮียแห่งแดนมังกร และน่าเป็นห่วงว่า เอเซียคงร้อนระอุไม่แพ้ตะวันออกกลาง สมใจอเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศในเอเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนน่วม ก่อนที่อเมริกา จะยาตราเข้ามาเก็บกวาด
    และถ้าคิดถึงความต่อเนื่อง ของเรื่องราว ระยะเวลาของการปล่อยรายงาน สู่สาธารณะ และสันดานของผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเป็นไปได้ว่า อาจเป็นการสมคบกัน ระหว่างฝาแฝดสุดแสบ ที่ CFR จะวางแผนร่วมกับ Chatham House คิดหาวิธีการที่จะสู้กับระบบป้องกัน A2/AD ของจีน ซึ่งอเมริกากำลังหนักใจอยู่ โดยการเอาระบบการเจาะข่าวกรอง ด้านสัญญาณ ทุกรูปแบบ รวมทั้งด้านไซเบอร์ ของอังกฤษ ร่วมกับของอเมริกา และออกข่าวกดดันจีน และไม่แน่ว่า อังกฤษ จะแอบมาติดต้ังระบบให้ญี่ปุ่น ที่เกาะ Yonaguni เรียบร้อยไปแล้วก็ได้ ป่านนี้คุณพี่อาเบะ อาจจะนับขนจมูกอาเฮียไปหลายรอบ แล้ว เหมือนกับฐานทัพของญี่ปุ่น ที่ Djibuti ที่อังกฤษออกมาปูดว่า ญี่ปุ่นมีแล้ว โดยที่เรื่อง การขยายกองทัพ SDF ของญี่ปุ่นยังไม่ผ่านสภาสูงเลย แต่ญี่ปุ่นก็เดินหน้าทำไปจนเสร็จแล้ว

    ถ้าพวกเขา จับมือเล่นละครกันแบบนี้จริง เรื่อง Grand Strategy แผนสอยมังกร ของอเมริกา ก็ยิ่งน่าจับตามากขึ้น และเราก็คงต้องติดตามดูความเคลื่อนไหว ในภูมิภาคเอเซียของเรา กันอย่างใกล้ชิด เพราะเรื่องมันใกล้บ้านเรามากนะครับ

    (เรื่องระบบ A2/AD นี้ รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง แผนสอยมังกร ครับ)

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    26 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 4 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 4 อังกฤษ ซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่นมานานกว่าร้อยปี Anglo-Japanese Alliance มีมาตั้งแต่ ค.ศ.1902 ถ้าจำกันได้ การที่ญี่ปุ่นลุกขึ้นทำสงครามกับรัสเซีย ในปี ค.ศ.1904 ส่วนหนึ่งก็มาจากแรงยุของอังกฤษ ทำให้อังกฤษยังชื่นชมญี่ปุ่นอยู่จนทุกวันนี้ สัมพันธ์อังกฤษ-ญี่ปุ่นสะดุดชั่วคราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ไม่ได้ทำให้อังกฤษตัดจนขาดกับญี่ปุ่นอย่างจริงจัง ล่าสุด เมื่ออังกฤษจะมีการเลือกตั้งทั่ว ไป ในต้นเดือนพฤษาคม และผลของการเลือกต้ัง ทำให้ได้นายเดวิด แคมารอน คนชอบจีบปากเวลาพูด กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อีกรอบหนึ่ง Chatham House ถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่ง ของอังกฤษ แฝดตัวพี่ของไอ้สุดกร่าง CFR เจ้าของแผนสอยมังกร ซึ่งก็มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอังกฤษ ไม่ต่างกับที่ CFR มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอเมริกา ก็ได้เขียนบทความ ออกมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2015 เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ ไอ้สุดกร่าง เขียนแผนสอยมังกร ออกมาตบหน้าอาเฮีย ยังกับนัดกัน… รายงานของ Chatham House เป็นข้อเสนอต่อรัฐบาลอังกฤษ ชุดใหม่ ที่จะได้มาจากการเลือกตั้ง สรุปว่า …ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงของประเทศ โดยพยายามจัดทำนโยบายในแนวทางรุกมากขึ้น โดยมีเป้าหมายทั้งระดับภูมิภาค และระดับโลก นโยบายนี้น่าจะสอดคล้องกับความต้องการของอังกฤษ … …ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ยอมรับว่า ตนเองมี (หรือ หวัง?!) ผลประโยชน์มากมายในเอเซีย เช่นที่อินโดนีเซีย เกี่ยวกับธุรกิจการเงิน และการประกันภัย หรือเกี่ยวกับเรื่องน้ำมัน และแก๊ส ในส่วนอื่นของภูมิภาค ที่อยู่ทั้งในระยะสำรวจและขุดเจาะ และธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย ความมั่นคงของภูมิภาคเอเซีย จึงเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นเรื่องหนึ่ง ที่อังกฤษให้ความสำคัญ โดยเฉพาะ จะต้องพยายามรักษาเส้นทางเดินเรือ จากอังกฤษไปถึงเอเซีย ในบริเวณต่างๆเอาไว้ แต่นโยบายของจีน เกี่ยวกับข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ และตะวันออก การไม่สามัคคีกันในเอเซียอาคเณย์ และการถูกข่มขู่จากผู้ก่อการร้าย และสลัดทะเล ทำให้ผลประโยชน์ของอังกฤษมีความ เสี่ยงเพิ่มขึ้น … พูดภาษาชาวบ้าน ก็หมายความว่า อังกฤษ ทำท่าจะไม่รวยขึ้น หรือจะจนลงด้วยซ้ำ จากการที่ควบคุม ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเด็กแถวเอเซีย ไม่อยู่หมัด เหมือนสมัยเป็นนายท่านของพวกอาณานิคม แต่มันติดปัญหา … ชาวเกาะใหญ่ฯ สารภาพอย่างหมดท่า แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็คงจะส่งกองกำลังของตนเอง ไปดูแลอย่างเดิมไม่ได้ เพราะงบด้านความมั่นคง ถูกตัดเสียเหลือสั้นกว่านิ้วก้อย และถ้าพรรคอนุรักษ์นิยม เจ้าของนโยบายการตัดงบด้านความมั่นคง กลับมาเป็นรัฐบาล (ซึ่งก็กลับมาจริงๆ) งบนี้ก็คงถูกตัดเหมือนเดิม ทางออกที่ดีที่สุดของรัฐบาลใหม่ คือไปจับมือกับญี่ปุ่นเสียให้แน่น เพราะญี่ปุ่นเองก็ต้องจับตาจ้อง คอยกันท่าไม่ให้จีนแหยมหน้า เข้ามาใกล้ตัวเองอยู่แล้ว... ….ข่าวเรื่องญี่ปุ่นต้ังงบด้าน ความมั่นคงสำหรับปี 2015 เสียสูงลิ่วถึง 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ ทำให้ชาวเกาะใหญ่ฯ ตาโตเท่าไข่ห่าน งบขนาดนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ บอก เราไปเอี่ยวกับเขาน่ะ ดีที่สุดแล้ว ….. นอกจากนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ ได้ยินมาว่า อเมริกากับญี่ปุ่น กำลังร่างยุทธศาสตร์ที่จะใช้ฐานทัพของญี่ปุ่นที่ Djibouti (ที่โซมาเลีย) ซึ่งเป็นฐานทัพนอกบ้านฐานแรกของญี่ปุ่น เพื่อใช้การปราบสลัดแถบนั้น ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์มาก กับเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ของอังกฤษ และดูแลผลประโยชน์ของอังกฤษ ได้ทั้งแถบตะวันออกกลาง และเอเซีย …. ซึ่งนายอาเบะ ก็แบะท่าไว้แล้ว ตั้งแต่มาคารวะอังกฤษในปี 2014 ว่า อยากจะเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงกับอังกฤษมากขึ้น เป็นท่าทีใหม่ของญี่ปุ่นที่มีกับชาวเกาะใหญ่ฯ ในรอบหลายปีเลยทีเดียว… Chatham House ฝาแฝดตัวพี่ ของสุดกร่าง CFR บอกว่า เราน่าจะชวน ญี่ปุ่น ชาวเกาะด้วยกัน มาทำสัญญาความร่วมมือสาระพัด แต่ดูๆไปแล้ว มันเป็นการกลบเกลื่อนความต้องการ จริงของชาวเกาะใหญ่ ที่ต้องการให้ญี่ปุ่น เป็นตัวแทน เป็นยาม เป็นหน่วยลาดตะเวน เป็นหน่วยปะทะ ถือถาดบริการชาวเกาะใหญ่ ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ยาวไปถึงโซมาเลียได้ยิ่งดี เหมือนกับที่ญี่ปุ่น กำลังเตรียมตัวทำให้นักล่าใบตองแห้ง แต่ ชาวเกาะใหญ่ฯ ถือไพ่เหนือมือคุณยุ่นเขา เหมือนนักล่าฯ หรือเปล่าล่ะ อาจจะถือไพ่ใต้มือเขาเสียด้วยซ้ำ ถ้าเขารู้ว่า บ้อท่า ถังแตก งบหดสั้นกว่านิ้วก้อยอย่างนั้น คิดไปคิดมา Chatham House แนะนำให้ชาวเกาะใหญ่กัดฟัน เสนอให้ร่วมมือด้านข่าวกรองกับญี่ปุ่นไปเลย และจริงๆ ถ้าจะปกป้องผลประโยชน์ของเราได้ดี เราก็น่าจะให้เขารู้ข้อมูลข่าวกรอง ของฝ่ายตรงกันข้ามมากกว่านี้ ….แสดงว่าชาวเกาะฝีมือไม่เบา จารกรรมจนได้ข้อมูลดีๆมาแยะ แต่อมแอบไว้ก่อน อืม… นี่มันเรื่องใหญ่มากนะครับ อังกฤษ มีระบบการจารกรรมข้อมูลข่าวสารและสัญญานทั่วโลก เช่นระบบ Echelon ที่โด่งดังมาก และมีระบบอื่นๆอีกมาก เขาว่ามันมีถึง 10 ระบบแล้ว จากหลายหน่วยงานข่าวกรองของอังกฤษ และข้อมูลทั้งหมดที่ไปล้วงได้มา จะถูกส่งไปที่ศูนย์รวม ที่เรียกว่า Government Communications Headquarters (GCHQ) ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับระบบจารก รรมข่าวกรองของ National Security Council (NSC) ของอเมริกา เช่น ระบบ Prism ที่นายEdward Snowden เอามาแฉ เมื่อ 2,3 ปีก่อน จนเป็นเรื่องครึกโครม ด่าทอ ต่อว่า พวกกันเอง แอบดักฟังกันเอง ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ มีข้อตกลงให้ความร่วมมือกัน ว่าข้อมูลที่ล้วงมาได้จากการจาร กรรมของ ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ ตกลงที่จะแชร์กัน กับ เฉพาะไม่กี่ประเทศ ที่เรียกว่า 5 ตา 7 ตา (5ตา five eyes มีเฉพาะพวกแองโกลแซกซอน คือ อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ส่วน 7 ตา เพิ่ม สวีเดน กับ เดนมาร์ก เข้าไปด้วย รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง ผลัดกันล้วง) ถ้าอังกฤษ และญี่ปุ่นตกลงให้ความร่วมมือกันด้านข่าวกรอง ญี่ปุ่นจะเป็นพันธมิตรข่าวกรองของกลุ่มแองโกลแซกซอน จากเอเซียชาติแรก และมันน่าจะทำให้เห็นชัดเจนว่า ญี่ปุ่นเลือกยืนอยู่ที่ใด และการแบ่งข้างในภูมิภาคเอเซี ยคงยิ่งกว่าชัดเจน และ ผู้ที่จะเป็นเป้าใหญ่ ของการเล่นเป็นทีม ของแฝดพี่น้องตัวแสบของโลก Chatham House และ CFR คงไม่พ้นอาเฮียแห่งแดนมังกร และน่าเป็นห่วงว่า เอเซียคงร้อนระอุไม่แพ้ตะวันออกกลาง สมใจอเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศในเอเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนน่วม ก่อนที่อเมริกา จะยาตราเข้ามาเก็บกวาด และถ้าคิดถึงความต่อเนื่อง ของเรื่องราว ระยะเวลาของการปล่อยรายงาน สู่สาธารณะ และสันดานของผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเป็นไปได้ว่า อาจเป็นการสมคบกัน ระหว่างฝาแฝดสุดแสบ ที่ CFR จะวางแผนร่วมกับ Chatham House คิดหาวิธีการที่จะสู้กับระบบป้องกัน A2/AD ของจีน ซึ่งอเมริกากำลังหนักใจอยู่ โดยการเอาระบบการเจาะข่าวกรอง ด้านสัญญาณ ทุกรูปแบบ รวมทั้งด้านไซเบอร์ ของอังกฤษ ร่วมกับของอเมริกา และออกข่าวกดดันจีน และไม่แน่ว่า อังกฤษ จะแอบมาติดต้ังระบบให้ญี่ปุ่น ที่เกาะ Yonaguni เรียบร้อยไปแล้วก็ได้ ป่านนี้คุณพี่อาเบะ อาจจะนับขนจมูกอาเฮียไปหลายรอบ แล้ว เหมือนกับฐานทัพของญี่ปุ่น ที่ Djibuti ที่อังกฤษออกมาปูดว่า ญี่ปุ่นมีแล้ว โดยที่เรื่อง การขยายกองทัพ SDF ของญี่ปุ่นยังไม่ผ่านสภาสูงเลย แต่ญี่ปุ่นก็เดินหน้าทำไปจนเสร็จแล้ว ถ้าพวกเขา จับมือเล่นละครกันแบบนี้จริง เรื่อง Grand Strategy แผนสอยมังกร ของอเมริกา ก็ยิ่งน่าจับตามากขึ้น และเราก็คงต้องติดตามดูความเคลื่อนไหว ในภูมิภาคเอเซียของเรา กันอย่างใกล้ชิด เพราะเรื่องมันใกล้บ้านเรามากนะครับ (เรื่องระบบ A2/AD นี้ รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง แผนสอยมังกร ครับ) สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 26 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 632 มุมมอง 0 รีวิว

  • ประเทศไทยมันเน่าเละหมดแล้ว ระบบปกครองจากนักการเมืองแบบปัจจุบันนี้ล้วนมีปัญหาหมด,ผู้นำไร้น้ำยาทำเพื่อประเทศไทยตนเองและประชาชนคนไทยจริง,ต่างเข้ามามุ่งแสวงหาประโยชน์ตนเองและพรรคตนเองกับทีมคณะตนเองเป็นสำคัญ ต่างปักธงว่า เข้ามาให้ประเทศบนแผ่นดินนี้เท่านั้นของจริง.
    ..ทางแก้ที่เด็ดขาดคือต้องมีคนแบบบิ๊กกุ้งยืนหนึ่งในชาติก่อน,บิ๊กปูและผบ.สส.ยืนสนับสนุนข้างหลังค้ำแผ่นดินไทยเป็นสำคัญ,จากนั้นกระตุ้นคนไทยหวงแหนแผ่นดินไทยตน ดำรงรักษาชาติร่วมกัน สามัคคีกันทั้งชาติร่วมกันปกป้องเป็นยามของชาติทุกๆตารางนิ้วร่วมกัน,แจ้งเตือนภัยระวังหน้าและระวังหลังช่วยกันในยามไม่ปกติของโลกช่วงเวลานี้ และใช้ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อหลวงเราอย่างจริงจัง,พึ่งพาตนเป็นสำคัญก่อน การพึ่งพาคนอื่นบนโลกยุคนี้,การล่าสมัยมีดีในตัวมัน แต่ล้ำสมัยทันโลกต้านการปกป้องตนเองของชาติตน.,เราพึ่งตนเองได้ทั้งพลังงานและความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศเรา,เราก็มั่นคงต้านทานต่อภัยภายนอกและภายในได้สบาย,ปัจจุบันเราผิดหมด พึ่งพาการท่องเที่ยวว่าได้มาโดยไม่ลงทุนอะไร หรือไปทำตลาดที่ต่างประเทศก็ไม่ใช่,เราต้องสไตล์ว่าเหลือกินเหลือใช้จะขายออกก็ได้ไม่ขายออกส่งออกก็ไม่เดือดร้อนอดตายหรือขาดทุนมากมายนักหรือลำบากเดือดร้อนอยู่ไม่ได้ เพราะเราควบคุมต้นทุนต่ำภายในได้สิ้นแล้ว ทั้งประชาชนเรายืนด้วยขาตนเองได้จริง,พึ่งพาตนด้านต่างๆได้สบายแล้ว อดตายไม่มีในคนไทย อดตังก็ไม่เดือดร้อนในภาระค่าใช้จ่ายเพราะเรา รัฐบาลไทยทหารเราดูแลกันเต็มที่ร่วมกับชุมชน ช่วยเหลือเติมเต็มกันมิให้เดือดร้อนจนเป็นช่องว่างให้ศัตรูเข้าตีทำลายเราได้นั้นเอง.

    ...การเมืองการปกครองจึงต้องเปลี่ยนแปลงสถานเดียวจริงๆ,ปฏิวัติยึดอำนาจประเทศแล้วเขียนกฎหมายปกครองใหม่ทั้งหมดเพื่อปลดปบ่อยอิสระภาพประเทศไทย ปลดปล่อยคนไทยจึงสำคัญที่สุด,ทรัพยากรวัตถุดิบมากมายเต็มประเทศไทยเราก็จะกลับคืนสู่ประเทศไทยทั้งหมดจริงอีกครั้ง,มิใช่แบบการปกครองเหี้ยๆในปัจจุบันที่ทรัพยากรวัตถุดิบธรรมชาติประเทศไทยตนเองที่ใช้ในการพัฒนาชาติทุกๆมิติรอบด้านถูกปล้นชิงแย่งชิงไปจนหมดประเทศอย่างหน้าด้านๆของคนต่างประเทศแบบล่าสุดคือแร่เอิร์ธที่อเมริกามาปล้นชิงจากไทยเรานั้นเองแบบหน้าด้านๆกันคนชั่วเลวภาคการเมืองการเลือกตั้งไปสมคบคิดทรยศประเทศไทยอย่างชัดเจนไร้การนำเข้าสภาเพื่ออภิปรายเป็นวงกว้างให้คนไทยทั้งประเทศรับรู้ค่าจริงความจริงไปด้วยแต่สันดานอดีตการปกครองเดิมแบบบ่อน้ำมันไทยเราบ่อทองคำไทยเราจึงเป็นแบบนี้,การยึดอำนาจมันจึงสมควรที่สุด คืิการกอบกู้เอกชนไทยไปด้วยกันทันทีชัดเจนนั้นเองในคราวเดียวกัน.

    ..โดยสถิติdeep stateตระกูลอีลิทโลกครองโลกมันปกครองมันควบคุมองค์กรทหาร ตำรวจ ศาล นักการเมือง สื่อและอีกมากมายในประเทศนั้นๆทั่วโลกก็อาจจริง,แต่สำหรับประเทศไทยอาจพิเศษกว่านั้นคือควบคุมได้บางจังหวะบางช่วงแค่นั้นแบบยุคนายกฯๆในอดีตหรือการยึดอำนาจๆในอดีตๆที่ๆผ่านๆมาอาจใช่ แต่ในเวลานี้อาจไม่ใช่ ทหารไทยที่ดีมากมายบนแผ่นดินไทยเรายังมีอยู่ เช่นกัน ตำรวจ ศาล อาจดีๆยังมีอยู่เช่นกันและกำลังขึ้นนำด้วย,จึงอาจคือโอกาสอันดีที่ทหารไทยเราทุกๆเหล่าทัพ ตำรวจไทยน้ำดีทุกๆท่าน รวมกันยึดอำนาจเอาประเทศไทย เอาสมบัติไทยเราคืน เอาทรัพยากรมีค่ามากมายเราคืนทั้งหมด เอาวัตถุดิบสร้างชาติปรุงแต่งพัฒนาชาติไทยเราคืนมาทั้งหมดหรือคือนี้คือแผ่นดินไทยเราคืนกลับมาทั้งหมดนั้นเอง ,ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะจบมันทั้งหมดที่รุ่นเรานี้ เรามีเวลาไม่มากแล้ว วัคซีนกำลังฆ่าเราทุกๆเวลาจากการลอบสังหารเราผ่านอาวุธเข็มวัคซีนนำพาโดยอดีตผู้นำและคณะก่ออาชญากรรมเลวชั่วหมายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนไทยให้ตายทั้งประเทศแล้วขนคนต่างถิ่นมาอยู่ยึดที่ดินผืนแผ่นดินไทยแทนคนไทยเรานั้นเอง,พวกนี้ต้องจับมาฆ่าทิ้งทุกๆตัวจงได้โดยทหารไทยกองทัพไทยน้ำดีฝ่ายแสงสว่างของประเทศไทยเรา.

    ..เรา..ไปไหน คนไทยเราไปด้วยกันหมด ยืนเคียงข้างทหารไทยที่รักขาติรักบ้านรักเมืองเราทุกๆนาย.

    #การปฏิวัติยึดอำนาจคือหนทางเดียวสำหรับประเทศไทยเพราะคนชั่วเลวเหล่านี้ไม่เคยสำนึกดีใดๆเลยตลอดเวลา

    #การประหารชีวิตนักปกครองชั่วเลวทั้งหมดคือการกวาดล้างที่ถูกต้อง.


    https://youtu.be/XXALSoWmqoY?si=R8XM_rJHfKcRKUEk
    ประเทศไทยมันเน่าเละหมดแล้ว ระบบปกครองจากนักการเมืองแบบปัจจุบันนี้ล้วนมีปัญหาหมด,ผู้นำไร้น้ำยาทำเพื่อประเทศไทยตนเองและประชาชนคนไทยจริง,ต่างเข้ามามุ่งแสวงหาประโยชน์ตนเองและพรรคตนเองกับทีมคณะตนเองเป็นสำคัญ ต่างปักธงว่า เข้ามาให้ประเทศบนแผ่นดินนี้เท่านั้นของจริง. ..ทางแก้ที่เด็ดขาดคือต้องมีคนแบบบิ๊กกุ้งยืนหนึ่งในชาติก่อน,บิ๊กปูและผบ.สส.ยืนสนับสนุนข้างหลังค้ำแผ่นดินไทยเป็นสำคัญ,จากนั้นกระตุ้นคนไทยหวงแหนแผ่นดินไทยตน ดำรงรักษาชาติร่วมกัน สามัคคีกันทั้งชาติร่วมกันปกป้องเป็นยามของชาติทุกๆตารางนิ้วร่วมกัน,แจ้งเตือนภัยระวังหน้าและระวังหลังช่วยกันในยามไม่ปกติของโลกช่วงเวลานี้ และใช้ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อหลวงเราอย่างจริงจัง,พึ่งพาตนเป็นสำคัญก่อน การพึ่งพาคนอื่นบนโลกยุคนี้,การล่าสมัยมีดีในตัวมัน แต่ล้ำสมัยทันโลกต้านการปกป้องตนเองของชาติตน.,เราพึ่งตนเองได้ทั้งพลังงานและความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศเรา,เราก็มั่นคงต้านทานต่อภัยภายนอกและภายในได้สบาย,ปัจจุบันเราผิดหมด พึ่งพาการท่องเที่ยวว่าได้มาโดยไม่ลงทุนอะไร หรือไปทำตลาดที่ต่างประเทศก็ไม่ใช่,เราต้องสไตล์ว่าเหลือกินเหลือใช้จะขายออกก็ได้ไม่ขายออกส่งออกก็ไม่เดือดร้อนอดตายหรือขาดทุนมากมายนักหรือลำบากเดือดร้อนอยู่ไม่ได้ เพราะเราควบคุมต้นทุนต่ำภายในได้สิ้นแล้ว ทั้งประชาชนเรายืนด้วยขาตนเองได้จริง,พึ่งพาตนด้านต่างๆได้สบายแล้ว อดตายไม่มีในคนไทย อดตังก็ไม่เดือดร้อนในภาระค่าใช้จ่ายเพราะเรา รัฐบาลไทยทหารเราดูแลกันเต็มที่ร่วมกับชุมชน ช่วยเหลือเติมเต็มกันมิให้เดือดร้อนจนเป็นช่องว่างให้ศัตรูเข้าตีทำลายเราได้นั้นเอง. ...การเมืองการปกครองจึงต้องเปลี่ยนแปลงสถานเดียวจริงๆ,ปฏิวัติยึดอำนาจประเทศแล้วเขียนกฎหมายปกครองใหม่ทั้งหมดเพื่อปลดปบ่อยอิสระภาพประเทศไทย ปลดปล่อยคนไทยจึงสำคัญที่สุด,ทรัพยากรวัตถุดิบมากมายเต็มประเทศไทยเราก็จะกลับคืนสู่ประเทศไทยทั้งหมดจริงอีกครั้ง,มิใช่แบบการปกครองเหี้ยๆในปัจจุบันที่ทรัพยากรวัตถุดิบธรรมชาติประเทศไทยตนเองที่ใช้ในการพัฒนาชาติทุกๆมิติรอบด้านถูกปล้นชิงแย่งชิงไปจนหมดประเทศอย่างหน้าด้านๆของคนต่างประเทศแบบล่าสุดคือแร่เอิร์ธที่อเมริกามาปล้นชิงจากไทยเรานั้นเองแบบหน้าด้านๆกันคนชั่วเลวภาคการเมืองการเลือกตั้งไปสมคบคิดทรยศประเทศไทยอย่างชัดเจนไร้การนำเข้าสภาเพื่ออภิปรายเป็นวงกว้างให้คนไทยทั้งประเทศรับรู้ค่าจริงความจริงไปด้วยแต่สันดานอดีตการปกครองเดิมแบบบ่อน้ำมันไทยเราบ่อทองคำไทยเราจึงเป็นแบบนี้,การยึดอำนาจมันจึงสมควรที่สุด คืิการกอบกู้เอกชนไทยไปด้วยกันทันทีชัดเจนนั้นเองในคราวเดียวกัน. ..โดยสถิติdeep stateตระกูลอีลิทโลกครองโลกมันปกครองมันควบคุมองค์กรทหาร ตำรวจ ศาล นักการเมือง สื่อและอีกมากมายในประเทศนั้นๆทั่วโลกก็อาจจริง,แต่สำหรับประเทศไทยอาจพิเศษกว่านั้นคือควบคุมได้บางจังหวะบางช่วงแค่นั้นแบบยุคนายกฯๆในอดีตหรือการยึดอำนาจๆในอดีตๆที่ๆผ่านๆมาอาจใช่ แต่ในเวลานี้อาจไม่ใช่ ทหารไทยที่ดีมากมายบนแผ่นดินไทยเรายังมีอยู่ เช่นกัน ตำรวจ ศาล อาจดีๆยังมีอยู่เช่นกันและกำลังขึ้นนำด้วย,จึงอาจคือโอกาสอันดีที่ทหารไทยเราทุกๆเหล่าทัพ ตำรวจไทยน้ำดีทุกๆท่าน รวมกันยึดอำนาจเอาประเทศไทย เอาสมบัติไทยเราคืน เอาทรัพยากรมีค่ามากมายเราคืนทั้งหมด เอาวัตถุดิบสร้างชาติปรุงแต่งพัฒนาชาติไทยเราคืนมาทั้งหมดหรือคือนี้คือแผ่นดินไทยเราคืนกลับมาทั้งหมดนั้นเอง ,ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะจบมันทั้งหมดที่รุ่นเรานี้ เรามีเวลาไม่มากแล้ว วัคซีนกำลังฆ่าเราทุกๆเวลาจากการลอบสังหารเราผ่านอาวุธเข็มวัคซีนนำพาโดยอดีตผู้นำและคณะก่ออาชญากรรมเลวชั่วหมายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนไทยให้ตายทั้งประเทศแล้วขนคนต่างถิ่นมาอยู่ยึดที่ดินผืนแผ่นดินไทยแทนคนไทยเรานั้นเอง,พวกนี้ต้องจับมาฆ่าทิ้งทุกๆตัวจงได้โดยทหารไทยกองทัพไทยน้ำดีฝ่ายแสงสว่างของประเทศไทยเรา. ..เรา..ไปไหน คนไทยเราไปด้วยกันหมด ยืนเคียงข้างทหารไทยที่รักขาติรักบ้านรักเมืองเราทุกๆนาย. #การปฏิวัติยึดอำนาจคือหนทางเดียวสำหรับประเทศไทยเพราะคนชั่วเลวเหล่านี้ไม่เคยสำนึกดีใดๆเลยตลอดเวลา #การประหารชีวิตนักปกครองชั่วเลวทั้งหมดคือการกวาดล้างที่ถูกต้อง. https://youtu.be/XXALSoWmqoY?si=R8XM_rJHfKcRKUEk
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 667 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เผย ยังไม่ได้รับสัญญาณจากรัฐบาลขอเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ แต่มีพูดคุยกับคณะกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าอาจต้องขอให้สภาเปิดประชุมวิสามัญ เพื่อนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญพิจารณาในวาระ 2 ก่อน เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญแตกต่างจากกฎหมายอื่น เมื่อพิจารณาเสร็จวาระ 2 ต้องเว้นระยะ 15 วัน ก่อนลงมติในวาระ 3 อยากให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปด้วยความเรียบร้อยประนีประนอมในข้อคิดเห็นต่างๆ เพื่อไปทำประชามติตามที่รัฐบาล และคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เตรียมไว้ ส่วนกรณีการตรวจสอบประเด็นผู้ช่วย สส. ถ้ามีคนร้องว่ามีการกระทำไม่ถูกต้อง สภาก็ต้องตรวจสอบไม่เช่นนั้นอาจมีความผิดเรื่องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ การแต่งตั้งผู้ชำนาญการหรือผู้ช่วย สส. เปลี่ยนแปลงได้ทุกปี ต้องมีคนร้องเรียนเข้ามาเพื่อจะได้มีข้อมูล ทางสภาจะให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบ
    นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เผย ยังไม่ได้รับสัญญาณจากรัฐบาลขอเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ แต่มีพูดคุยกับคณะกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าอาจต้องขอให้สภาเปิดประชุมวิสามัญ เพื่อนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญพิจารณาในวาระ 2 ก่อน เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญแตกต่างจากกฎหมายอื่น เมื่อพิจารณาเสร็จวาระ 2 ต้องเว้นระยะ 15 วัน ก่อนลงมติในวาระ 3 อยากให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปด้วยความเรียบร้อยประนีประนอมในข้อคิดเห็นต่างๆ เพื่อไปทำประชามติตามที่รัฐบาล และคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เตรียมไว้ ส่วนกรณีการตรวจสอบประเด็นผู้ช่วย สส. ถ้ามีคนร้องว่ามีการกระทำไม่ถูกต้อง สภาก็ต้องตรวจสอบไม่เช่นนั้นอาจมีความผิดเรื่องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ การแต่งตั้งผู้ชำนาญการหรือผู้ช่วย สส. เปลี่ยนแปลงได้ทุกปี ต้องมีคนร้องเรียนเข้ามาเพื่อจะได้มีข้อมูล ทางสภาจะให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 491 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ..ทหารไทยต้องยึดอำนาจ จึงกำหนดทางรอดคนประชาชนคนไทยได้จริง,ถ้านักการเมืองยังปกครองผ่านการเลือกตั้งของระบบอีลิทที่เป็นเจ้าของกลไกการปกครองระบอบที่มันสร้างขึ้นมาควบคุมมนุษย์ ไทยเราเองจะไม่รอดสู่ยุคอนาคตแน่นอน,สถานะทาสAIจะชัดเจนขึ้นแบบทวีคูณ คุณค่าความเป็นมนุษย์จะถูกปกครองให้ด้อยค่าลงจากฝีมือเผด็จการอีลิทเหล่านี้,เรา..คนไทยจะถูกกำจัดทิ้งลงเรื่อยๆแน่นอน พร้อมถูกควบคุมอย่างเป็นระบบภายใต้การปกครองของมันที่ส่งออกมาให้เราใช้แบบปัจจุบัน,ง่าบๆเข้าใจง่ายชัดเจนคือเราถูกปล้นบ่อน้ำมันและทรัพยากรมีค่ามากมายจากแผ่นดินไทยอย่างหน้าด้านๆเหมือนแร่เอิร์ธนั้นล่ะ,ทหารไทย กองทัพไทยต้องปลดแอกชาติไทยเราอย่างจริงจัง.,การปฏิวัติการปกครอง ปฏิวัติยึดอำนาจคืนมาสู่ประเทศไทยจึงสำคัญ.


    การวิเคราะห์: นี่เป็นแนวโน้มสำคัญอย่างยิ่งที่คุณจำเป็นต้องตระหนักถึง:
    - ต้นทุนการรับรู้ของ AI (โทเค็น) กำลังลดลงอย่างมาก
    - ในขณะที่คุณภาพของโทเค็น AI กำลังเพิ่มขึ้น
    - ในขณะเดียวกัน ต้นทุนการรับรู้ของมนุษย์กำลังเพิ่มขึ้น
    - ในขณะที่ผลผลิตจากการรับรู้ของมนุษย์กำลังลดลงอย่างมาก

    นั่นเป็นเพราะ:
    - วัคซีนทำลายสมองมนุษย์และทำให้เกิดการผ่าตัดสมอง (lobotomy) อย่างกว้างขวางในประชากรมนุษย์ (โดยตั้งใจ)
    - อาหารขยะแปรรูปและยาจำนวนมากทำลายประสิทธิภาพการรับรู้ เนื่องจากสมองได้รับพลังงานจากเลือด และเลือดถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่คุณกินและดื่ม
    - ด้วยปัจจัยเหล่านี้ มนุษย์จำนวนมากกำลังประสบกับภาวะเสื่อมถอยของความสามารถในการรับรู้เพื่อทักษะการทำงาน บางคนลืมทักษะการทำงาน
    - ค่าครองชีพ (สำหรับมนุษย์) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้นในสิ่งต่างๆ เช่น อาหารและประกันสุขภาพ
    - เนื่องจากสารเคมีในเทรล โลหะหนัก การปนเปื้อนของยาฆ่าแมลง มลพิษทางอุตสาหกรรม การหลั่งโปรตีนหนาม ฯลฯ สุขภาพของมนุษย์จึงลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดต้นทุนใหม่ ๆ ที่สูงในการรักษามนุษย์ให้อยู่ในระบบเงินเดือน

    ผลที่ตามมา:
    - AI กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่ดีกว่าระบบการรับรู้ของมนุษย์ในหลายๆ งานเท่านั้น แต่ยังมีราคาถูกลงมากอีกด้วย โดยจะมีราคาถูกลง 10 เท่า (ประมาณการ) ทุกๆ 9 เดือน
    - AI ไม่จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพเทียบเท่ามนุษย์อย่างสมบูรณ์เพื่อที่จะมาแทนที่มนุษย์ได้ หากมันราคาถูกกว่า 10 เท่า (ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น) ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี AI จะมีราคาถูกกว่าระบบการรับรู้ของมนุษย์ถึง 100 เท่า (ประมาณการ)
    - การแทนที่มนุษย์ด้วย AI ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ลดความเสี่ยงจากการฟ้องร้อง อุบัติเหตุ ความเสี่ยงจากการจารกรรมขององค์กร และอื่น ๆ ในขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงการลาพักร้อน วันหยุด วันลาป่วย ฯลฯ ของมนุษย์
    - สำหรับบริษัทต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ สมการนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าควรแทนที่มนุษย์ด้วยเอเจนต์ AI ให้ได้มากที่สุด โดยเร็วที่สุด โดยไม่ลังเล

    หลายภาคส่วนงานจะถูก AI เข้ามาแทนที่ 60% - 80% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งน่าจะรวมถึง:
    - ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า
    - ฝ่ายสนับสนุนก่อนการขาย
    - นักเขียน นักตรวจทาน และบรรณาธิการ
    - นักแปลและล่าม
    - ฝ่ายบริหารธุรกิจ (ระดับผู้จัดการระดับกลาง เช่น การประกาศปลดพนักงาน 30,000 คนโดย Amazon)
    - นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล นักฟิสิกส์ นักเคมี
    - ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะสร้างสรรค์ รวมถึงศิลปะกราฟิก ภาพยนตร์ ดนตรี วิศวกรรมเสียง และอื่นๆ

    ผมจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมในพอดแคสต์ใหม่ของผม:
    ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงราคาตกต่ำ ขณะที่ต้นทุนของมนุษย์ยังคงสูงขึ้น
    https://www.brighteon.com/e8b099f0-f018-4640-8764-af08692f6897

    ..ทหารไทยต้องยึดอำนาจ จึงกำหนดทางรอดคนประชาชนคนไทยได้จริง,ถ้านักการเมืองยังปกครองผ่านการเลือกตั้งของระบบอีลิทที่เป็นเจ้าของกลไกการปกครองระบอบที่มันสร้างขึ้นมาควบคุมมนุษย์ ไทยเราเองจะไม่รอดสู่ยุคอนาคตแน่นอน,สถานะทาสAIจะชัดเจนขึ้นแบบทวีคูณ คุณค่าความเป็นมนุษย์จะถูกปกครองให้ด้อยค่าลงจากฝีมือเผด็จการอีลิทเหล่านี้,เรา..คนไทยจะถูกกำจัดทิ้งลงเรื่อยๆแน่นอน พร้อมถูกควบคุมอย่างเป็นระบบภายใต้การปกครองของมันที่ส่งออกมาให้เราใช้แบบปัจจุบัน,ง่าบๆเข้าใจง่ายชัดเจนคือเราถูกปล้นบ่อน้ำมันและทรัพยากรมีค่ามากมายจากแผ่นดินไทยอย่างหน้าด้านๆเหมือนแร่เอิร์ธนั้นล่ะ,ทหารไทย กองทัพไทยต้องปลดแอกชาติไทยเราอย่างจริงจัง.,การปฏิวัติการปกครอง ปฏิวัติยึดอำนาจคืนมาสู่ประเทศไทยจึงสำคัญ. การวิเคราะห์: นี่เป็นแนวโน้มสำคัญอย่างยิ่งที่คุณจำเป็นต้องตระหนักถึง: - ต้นทุนการรับรู้ของ AI (โทเค็น) กำลังลดลงอย่างมาก - ในขณะที่คุณภาพของโทเค็น AI กำลังเพิ่มขึ้น - ในขณะเดียวกัน ต้นทุนการรับรู้ของมนุษย์กำลังเพิ่มขึ้น - ในขณะที่ผลผลิตจากการรับรู้ของมนุษย์กำลังลดลงอย่างมาก นั่นเป็นเพราะ: - วัคซีนทำลายสมองมนุษย์และทำให้เกิดการผ่าตัดสมอง (lobotomy) อย่างกว้างขวางในประชากรมนุษย์ (โดยตั้งใจ) - อาหารขยะแปรรูปและยาจำนวนมากทำลายประสิทธิภาพการรับรู้ เนื่องจากสมองได้รับพลังงานจากเลือด และเลือดถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่คุณกินและดื่ม - ด้วยปัจจัยเหล่านี้ มนุษย์จำนวนมากกำลังประสบกับภาวะเสื่อมถอยของความสามารถในการรับรู้เพื่อทักษะการทำงาน บางคนลืมทักษะการทำงาน - ค่าครองชีพ (สำหรับมนุษย์) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้นในสิ่งต่างๆ เช่น อาหารและประกันสุขภาพ - เนื่องจากสารเคมีในเทรล โลหะหนัก การปนเปื้อนของยาฆ่าแมลง มลพิษทางอุตสาหกรรม การหลั่งโปรตีนหนาม ฯลฯ สุขภาพของมนุษย์จึงลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดต้นทุนใหม่ ๆ ที่สูงในการรักษามนุษย์ให้อยู่ในระบบเงินเดือน ผลที่ตามมา: - AI กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่ดีกว่าระบบการรับรู้ของมนุษย์ในหลายๆ งานเท่านั้น แต่ยังมีราคาถูกลงมากอีกด้วย โดยจะมีราคาถูกลง 10 เท่า (ประมาณการ) ทุกๆ 9 เดือน - AI ไม่จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพเทียบเท่ามนุษย์อย่างสมบูรณ์เพื่อที่จะมาแทนที่มนุษย์ได้ หากมันราคาถูกกว่า 10 เท่า (ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น) ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี AI จะมีราคาถูกกว่าระบบการรับรู้ของมนุษย์ถึง 100 เท่า (ประมาณการ) - การแทนที่มนุษย์ด้วย AI ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ลดความเสี่ยงจากการฟ้องร้อง อุบัติเหตุ ความเสี่ยงจากการจารกรรมขององค์กร และอื่น ๆ ในขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงการลาพักร้อน วันหยุด วันลาป่วย ฯลฯ ของมนุษย์ - สำหรับบริษัทต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ สมการนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าควรแทนที่มนุษย์ด้วยเอเจนต์ AI ให้ได้มากที่สุด โดยเร็วที่สุด โดยไม่ลังเล หลายภาคส่วนงานจะถูก AI เข้ามาแทนที่ 60% - 80% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งน่าจะรวมถึง: - ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า - ฝ่ายสนับสนุนก่อนการขาย - นักเขียน นักตรวจทาน และบรรณาธิการ - นักแปลและล่าม - ฝ่ายบริหารธุรกิจ (ระดับผู้จัดการระดับกลาง เช่น การประกาศปลดพนักงาน 30,000 คนโดย Amazon) - นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล นักฟิสิกส์ นักเคมี - ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะสร้างสรรค์ รวมถึงศิลปะกราฟิก ภาพยนตร์ ดนตรี วิศวกรรมเสียง และอื่นๆ ผมจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมในพอดแคสต์ใหม่ของผม: ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงราคาตกต่ำ ขณะที่ต้นทุนของมนุษย์ยังคงสูงขึ้น https://www.brighteon.com/e8b099f0-f018-4640-8764-af08692f6897
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 539 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 7 – 8
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 7

    Sir Halford Mackinder หรือครู Mac ครูใหญ่ชาวอังกฤษ ด้านภูมิศาสตร์การเมือง (Geopolitics) พูดไว้เมื่อ ปี คศ 1904 ในการสัมมนาของ Royal Geographic Society ที่ลอนดอนว่า ใครก็ตาม ที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นแหละ จะเป็นผู้ตัดสิน หรือควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และหมายความว่า จะเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์ ทฤษฏีครู Mac ได้รับการเชื่อถือ และยกย่อง จากทั้งอังกฤษ และอเมริกา และตั้งแต่ครู Mac ประกาศทฤษฏีของตัวออกมา ก็เหมือนครู Mac ออกใบสั่งประหารรัสเซีย

    อังกฤษลงทุน “สร้าง” สงครามโลก เป้าหมายแรกเพื่อต้องการเขี่ย หรือกันท่าเยอรมันให้พ้นจากแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลาง จากนั้นก็จะบี้เยอรมันให้ตายคาที่ เป้าหมายต่อมาคือ หากตนเป็นผู้ชนะสงคราม ในฐานะผู้ชนะสงคราม อังกฤษจะเขียนแผนที่ตะวันออกกลางเสียใหม่ แบ่งตะวันออกกลางกันกับพรรคพวก เพื่อให้ตัวเองได้ครอบครองประเทศในตะวันออกกลาง ที่มีแหล่งน้ำมัน ตามที่ตัวเองเลือก มันเป็นการต้ังเป้าหมาย จากความเชื่อถือในทฤษฏีครูMac ข้างต้น อังกฤษ จึงวางยุทธศาสตร์ในการทำสงคราม เพื่อครองโลกของอังกฤษ ครั้งนี้ เป็น 2 ขั้นตอน

    ขั้นตอนแรกกวาดเยอรมัน และออตโตมานให้ราบคาบเสียก่อนในช่วงทำสงครามโลก ส่วนรัสเซียนั้น อังกฤษ เตรียมจัดการ ในขั้นตอนต่อไป เนื่องจากรัสเซียอยู่ในภูมิประเทศ ที่ทำลายยากตามทฤษฏีของครู Mac ดังนั้นการทำศึก 2 ด้าน โดยสู้กับเยอรมันด้านหนึ่ง และสู้กับรัสเซียอีกด้านหนึ่ง พร้อมกันไป ย่อมเอาชนะทั้ง 2 ประเทศได้ยาก อังกฤษจึงใช้วิธีหลอกเอารัสเซียมาอยู่ฝ่ายตนเสียก่อน หลังจากนั้น ก็รอเวลา ให้เกิดการปฏิวัติในรัสเซีย หน้าฉากเหมือนอังกฤษไม่เกี่ยวด้วยกับการปฏิวัติรัสเซีย แต่อังกฤษน่าจะรู้ว่าแล้วว่า มีคนจ้องจะปฏิวัติรัสเซีย อังกฤษแค่ปล่อยให้เชื้อโรคปฏิวัติ เป็นผู้จัดการรัสเซียเอง ได้ผลกว่าแยะ และนอกจากนั้น การตกปากของรัสเซีย ที่จะร่วมมือกันทำลายเยอรมัน ยังดูก้ำกึ่งว่า จะเชื่อถือรัสเซียได้แค่ไหน เอาเข้าจริง รัสเซียอาจจะเอนไปทางเยอรมันก็เป็นได้ เมื่อเทียบกับ หลอกให้อเมริกามาร่วมรบเยอรมัน อังกฤษย่อมพอใจเลือก พวกAnglo Saxon ด้วยกัน น่าจะเชื่อใจได้มากกว่า
    ดังนั้น อังกฤษจึงเล่นบทเรื่องปฏิวัติรัสเซียไปตามน้ำ ให้อเมริกาเชื่อว่า อังกฤษไม่มีแผนเกี่ยวกับการตะครุบรัสเซีย ปล่อยให้เป็นเรื่องของอเมริกา กับบรรดาเด็กในคาถาของ Rothschild ออกโรงกันเอง ยังไงก็คนกันเองทั้งนั้น แค่กันเยอรมันออกไปก่อน แต่ระหว่างนั้น อังกฤษ ก็แอบเข้าไปจองที่ในรัสเซียเช่น กัน ดูได้จากพฤติกรรมของ Lord Milner แห่ง Round Table ผู้ซึ่งมีรัศมีอำนาจทำการ กว้างใหญ่ไม่น้อยกว่า นายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ที่ส่งหมาป่าพันธุ์อังกฤษ Bruce Rockhart มาประกบ Raymond Robins หมาป่าพันธ์ุอเมริกัน เอาไว้

    ส่วนอเมริกานั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านรัฐบาล และด้านนักธุรกิจ ต่างมีจุดประสงค์เดียวกัน เกี่ยวกับเรื่องรัสเซีย คือไล่ซาร์ให้พ้นไปจากรัสเซีย ซึ่งเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรน้ำมัน และแร่ธาตุสาระพัด เพื่อพวกเขาจะได้เข้าไปควบคุม และครอบครองทรัพยากรทั้งหมดแทน มันก็น่าจะเป็นความคิด ที่มาจากทฤษฏีของครู Mac ด้วยเช่นกัน แต่จะเข้าไปทำสงครามกับรัสเซียเพื่อไล่ซาร์ ไม่ใช่เรื่องฉลาด สำหรับอเมริกา ไม่มีอะไรดีกว่า ยุให้คนรัสเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนบ้านเมืองฉิบหาย โดยอเมริกาสนับสนุนทุกฝ่าย ฝ่ายไหนชนะ อเมริกาก็ชนะด้วย และเข้าไปครอบงำผู้ชนะอีกต่อหนึ่ง ขณะเดียวกัน ก็ตั้งบริษัทสำหรับปฏิบัติการขูดเนื้อ เถือกระดูกรัสเซียไว้ล่วงหน้า ก่อนที่อังกฤษหรือเยอรมันจะเข้ามาในรัสเซีย เพื่อให้แน่ใจว่ารัสเซียต้องไม่หลุดมือ ไม่ให้ใครมาฉกไปได้ ด้วยยุทธศาสตร์นี้ อุตสาหกรรม และ ธุรกิจใหญ่ของอเมริกา นำโดย Rockefeller/Morgan, Guggenheim ฯลฯ จึงเข้าไปครอบงำรัสเซียอยู่เกือบ 50 ปี ตั้งแต่ ค.ศ.1917

    น่าคิดว่า การปล้น ที่ให้โจรใส่เสื้อคลุมปฏิวัติ หรือเสื้อคลุมสงคราม เมื่อร้อยปีก่อน กับการปล้น ที่ให้โจรใส่เสื้อคลุม กำจัดผู้นำเผด็จการ ตรวจสอบนิวเคลียร์ อย่างที่เกิดขึ้นในอิรัค ลิเบีย ฯลฯ เกือบร้อยปีต่อมา เพื่อปล้นเอาน้ำมันของเขาไป ดูเหมือนไม่แตกต่างกัน และการปล้นแบบนี้ ก็อาจเกิดขึ้นต่อไปอีกเรื่อยๆ ในที่ต่างๆ โดยการใช้เสื้อคลุมตัวเดิมๆ หรือเปลี่ยนเสื้อคลุมตัวใหม่ ถ้าผู้คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศที่เป็นเหยื่อ ไม่รู้เท่าทัน

    สูตรนี้เล่นมาแล้ว 100 ปี เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้อยู่ และก็ยังได้ผลอยู่
    และตอนไหนจะเหมาะที่จะคาบรัสเซียไปกิน ก็ไม่พ้นตอนที่รัสเซีย (ถูกทำให้) อ่อนแอ เป็นยุทธศาสตร์เดียวกับที่อังกฤษคิด และ ใช้กับออตโตมาน แต่ ขณะที่ อังกฤษใช้ยุทธศาสตร์ 2 จังหวะ แต่อเมริกาเลือกใช้ยุทธศาสตร์จังหวะเดียว แต่เล่น 2 ฉากพร้อมกัน อเมริกาเล่นบทปฏิวัติรัสเซีย แล้วก็นั่งคอยเวลาที่จะคาบรัสเซียไปกิน ขณะเดียวกัน อเมริกาก็เล่นบท สนับสนุนทุกอย่างให้อังกฤษ ที่กระสันอยากทำสงครามโลกทั้งที่ถังแตก ให้ไปรบก่อน แล้วอเมริกาก็นั่งคอยเวลาเล่นบทพระเอก ออกไปช่วยอังกฤษรบ เมื่ออังกฤษใกล้เละเต็มที ด้วยการวางยุทธศาสตร์เช่นนี้ อเมริกาจึงได้กินรวบหมดกระดาน อิ่มสมใจ และอิ่มนาน มาตั้งแต่บัดนั้น ถึงบัดนี้

    ต่างกับอังกฤษ ที่แม้จะชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 อิ่มสมใจเหมือนกัน แต่ความอิ่มของอังกฤษ อยู่ไม่นานอย่างที่ฝัน

    ดูเหมือนการลงทุนทำสงครามโลกครั้งที่ 1 ของอังกฤษ จะไม่ได้กำไรอย่างที่คิด และน่าคิดว่า ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลก ทำให้อังกฤษ นอกจากไม่ได้กำไรแล้ว อาจจะกลายเป็นขาดทุนเอาด้วยซ้ำ

    แม้ข้อเสนอของ Col House ต่ออังกฤษ ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี การแสดงละครของวอลสตรีทและกลุ่มนักธุรกิจ ตามมาด้วยการตัดสินใจเข้าสงคราม โลกของอเมริกา การเข้ามากำกับของ Round Table จะทำให้เข้าใจว่า อังกฤษกับอเมริกา น่าจะรู้เห็น และร่วมเขียนบทละครด้วยกัน และแสดงร่วมกันตลอดเกือบทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นบทสงคราม หรือปฏิวัติปล้นรัสเซีย แต่ดูเหมือนอังกฤษและอเมริกา ต่างก็แอบไปสร้างฉากเสริมส่วนตัวเกี่ยวกับรัสเซีย ที่ต่างก็อยากได้ไว้เองโดยไม่แบ่งกับพวก หักหลังหักเหลี่ยมกันเองตามสันดานโจร

    ส่วนเยอรมัน ไม่ได้อยากรบ ไม่ได้อยากเข้าสงครามโลกตั้งแต่ แรก ความต้องการของเยอรมัน คือ ต้องการได้แหล่งน้ำมัน แทนการการใช้ Standard Oil และตกอยู่ในมือบีบของ Rockefeller เจ้าพ่อ Standard Oil เมื่อโอกาสจะเข้าไปเอาน้ำมันของตะวันออกกลางตามเส้นทางรถไฟ Berlin Bagdad ที่เยอรมันวางแผนไว้หลายปี ถูกอังกฤษขวางและถีบเสียจนตกรางอย่างนี้ เยอรมันก็ต้องหาแผนสำรอง
    รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ Baku ที่ทั้ง เจ้าพ่อ Rothschlid และเจ้าพ่อ Rockefeller อยากได้อยู่ทั้งคู่ บวก เยอรมันเข้าไปอีกราย คงแย่งกันฝุ่นตลบ แค่เสียทองไม่กี่ตันสนับสนุน Lenin ทำปฏิวัติ ไล่ซาร์ออกไป โดยมีข้อตกลงแลกเปลี่ยน ปฏิวัติสำเร็จแล้วก็รีบไปถอนตัว เลิกร่วมท้ายจมหัวกับอังกฤษ ไม่ต้องมารบเยอรมัน พวกปฏิวัติบอกไม่มีปัญหา เพราะไม่ได้อยากเล่นบททำสงครามอยู่แล้ว มันเจ็บจริงตายจริงนะโว้ย แค่อยากปฏิวัติเป็นพระเอกเท่านั้น เยอรมันรบกับอังกฤษด้านเดียว โอกาสชนะของเยอรมันมีสูงกว่า หลังจากนั้น การเจรจาเข้าไปใน Baku ไม่น่าจะยากเกินไป เพราะถ้าเยอรมันชนะ อังกฤษคงไม่มีโอกาสมาเสนอหน้าแถว Baku คงวุ่นอยู่กับการเลียแผลมากกว่า

    เยอรมันคิดสูตรนี้เองหรือ หรือมีใครช่วย อย่าลืมรัฐบาลเยอรมันใช้ใครเกือบทั้งตระกูล

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 8 (ตอนจบ)

    ละครเรื่องนี้ คงเล่นสำเร็จถึงขนาดนี้ได้ยาก ถ้าไม่มีนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง ที่วางกลยุทธ์ อย่างลึกซึ้ง เลือดเย็น ยาวนาน และคอยชักใยทุกฝ่ายอย่างแนบเนียน

    น่าจะมีคนที่เขียนและกำกับบท ทั้งทางตรง และทางอ้อม เป็นเวลานาน เพื่อให้เกิดสงคราม เกิดการปฏิวัติ และเป็นผลให้ 3 อาณาจักร หรือจักรวรรดิ์ใหญ่ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี ล่มสลายในเวลาใกล้เคียงกัน ออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย

    ดูเหมือนตระกูล Rothschild จะมีคุณสมบัติพร้อมกว่าเพื่อน ที่จะได้รับเกียรติ เป็นผู้ต้องสงสัย ว่าเป็นนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง โดยพิจารณาจากเรื่องราว ความสามารถ ความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องกับตัวละครสำคัญทุกตัวในละครลวงโลกเรื่องนี้

    ใช่พวก Rothschild หรือไม่ และพวกเขาทำไปเพื่ออะไร เราคงต้องใช้ทฤษฏีเหตุจูงใจ (motive) ทำนองเดียวกับการพิสูจน์ความผิดของจำเลย มาช่วยวิเคราะห์ ในการพิจารณาข้อหาผู้ต้องสงสัยรายนี้
    เหตุจูงใจ ประการแรก คือ ความโกรธแค้นซาร์แห่งรัสเซียและต้องการแก้แค้น
    จากเรื่องราวที่เล่ามา เหตุจูงใจประการนี้ ยากที่ผู้ต้องสงสัย จะปฏิเสธว่าไม่มี

    เหตุจูงใจ ประการที่สอง คือผลประโยชน์ทางธุรกิจ ตามสันดานที่ต้องการสร้างโอกาสทำกำไร จากการทำสงครามของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะโดยวิธีใดและจะทำให้ใครหายนะอย่างไร อันเป็นแนวการทำธุรกิจของตระกูล จากเรื่องราวที่เล่ามา Rothschild น่าจะแค่ยุซ้าย สั่งขวา พยักหน้าไม่กี่ที ก็มีแต่กำไรกับกำไร ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นคนดำเนินการ เพราะเขาจับมือ หรือควบคุมไว้ทุกฝ่าย เล่นไพ่ทุกใบ เหตุจูงใจประการนี้ ก็เช่นเดียวกับประการแรก นอกจากปฏิเสธยากแล้ว น้ำหนักจูงใจในประการนี้ ยังสูงมากด้วย

    แต่เหตุจูงใจที่น่าคิด น่าสนใจ คือเหตุจูงใจ ของความรู้สึกเบื้องลึกของ Rothschild ที่แอบซ่อนไว้ ด้วย อัตตา และตัณหา ของมนุษย์พันธุ์อย่างพวกเขา ที่ต้องการแสดงอิทธิพล และอำนาจ ให้โลกรู้ว่า แม้เขาจะเป็นเพียงพ่อค้าชาวยิว ไม่ได้เป็นเจ้านาย ไม่ได้มีเชื้อสายกษัตริย์ ไม่มีบัลลังค์ให้นั่ง ไม่มีประเทศให้ครอง เขาเป็นเพียงกา ไม่ใช่หงส์ แต่ด้วยความรวยล้นของทุน จึงสร้างอำนาจไว้ได้ทั่วทุกแห่ง ทุกระดับ ที่จะสามารถทำลายอาณาจักร หรือจักรวรรดิ ทั้งโลกได้ และอาณาจักรใหญ่ หรือจักรวรรดิ ที่เหลืออยู่ในโลกขณะนั้น 4 จักรวรรดิ จึงถูกกระทำให้จบสิ้นไปในเวลาใกล้เคียงกัน 3 จักรวรรดิ คือ ออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย

    คงมีคนสงสัยว่า Rothschild ก็เป็นพวกเดียวกับเยอรมันมิใช่หรือ พวกเขาไม่น่าจะใช่คนคิดทำลายเยอรมัน คำตอบคือ ตระกูล Rothschild อาศัยเกิดในเยอรมันก็จริง แต่พวกเขาอาจไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นชาวเยอรมัน ดูจากประวัติการทำธุรกิจของพวกเขา Rothschild น่าจะไม่เคยนึกถึงสัญชาติ และประเทศชาติ เขาคงไม่รู้จักเรื่องพวกนี้ เขาน่าจะรู้จักแต่การทำเงิน ทำกำไร กับการทำลายเท่านั้น เขาคงไม่ได้ผูกพันกับเยอรมัน เขาน่าจะแค่ “ใช้” เยอรมัน
    และก็คงมีคนสงสัยอีกว่า แล้วทำไม จักรวรรดิ หรือจักรภพของอังกฤษยังเหลืออยู่ล่ะ เพราะ Rothschild คิดว่า พวกเขาเป็นคนอังกฤษหรือไง ก็คงไม่ใช่อีก พวกเขาอยู่อังกฤษก็จริง แต่เขาก็คงไม่นับว่าตัวเองเป็นคนอังกฤษ เขาเป็น พวก Rothschild “ที่อยู่” ในอังกฤษเท่านั้น และที่เขาเก็บอังกฤษไว้ ก็ไม่น่าใช่เพราะนึกถึงบุญคุณ ที่อาศัยแผ่นดินชาวเกาะอยู่ ที่ยังเหลือจักรภพอังกฤษอยู่ (ในตอนนั้น) เขาคงแค่เก็บไว้ดูเล่น ให้หงส์เล่นบทตามที่กาเขียน กาน่าจะดูอย่างเพลินใจ แต่หงส์จะคิดอย่างไรคงเกินกว่าที่เราจะรู้ และถ้าดูกันเลยไปอีกนิด จักรภพอังกฤษ ก็ใช่ว่าไม่ย่อยยับ มีวันที่ดวงอาทิตย์ตกในจักรภพอังกฤษได้เหมือนกัน และก็เป็นผลจากสงครามโลก ที่อังกฤษสร้างขึ้นมาเองนั่นแหละ

    “กรรม” ยุติธรรมเสมอ ไม่มีใครหนีผลกรรมของตนเองพ้น

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    11 พ.ค. 2558

    ( หมายเหตุ: มีใครอีกไหม ที่อยากได้ประโยชน์ หรือ อยากแสดงอานุภาพ หรือ อยากได้ความสะใจ และแอบมาร่วมเขียนบท และร่วมแสดงในละครลวงโลกแสนบัดซบนี้ น่าจะมี รออ่านตอนบทแถมแล้วกันครับ)
    ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 7 – 8 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 7 Sir Halford Mackinder หรือครู Mac ครูใหญ่ชาวอังกฤษ ด้านภูมิศาสตร์การเมือง (Geopolitics) พูดไว้เมื่อ ปี คศ 1904 ในการสัมมนาของ Royal Geographic Society ที่ลอนดอนว่า ใครก็ตาม ที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นแหละ จะเป็นผู้ตัดสิน หรือควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และหมายความว่า จะเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์ ทฤษฏีครู Mac ได้รับการเชื่อถือ และยกย่อง จากทั้งอังกฤษ และอเมริกา และตั้งแต่ครู Mac ประกาศทฤษฏีของตัวออกมา ก็เหมือนครู Mac ออกใบสั่งประหารรัสเซีย อังกฤษลงทุน “สร้าง” สงครามโลก เป้าหมายแรกเพื่อต้องการเขี่ย หรือกันท่าเยอรมันให้พ้นจากแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลาง จากนั้นก็จะบี้เยอรมันให้ตายคาที่ เป้าหมายต่อมาคือ หากตนเป็นผู้ชนะสงคราม ในฐานะผู้ชนะสงคราม อังกฤษจะเขียนแผนที่ตะวันออกกลางเสียใหม่ แบ่งตะวันออกกลางกันกับพรรคพวก เพื่อให้ตัวเองได้ครอบครองประเทศในตะวันออกกลาง ที่มีแหล่งน้ำมัน ตามที่ตัวเองเลือก มันเป็นการต้ังเป้าหมาย จากความเชื่อถือในทฤษฏีครูMac ข้างต้น อังกฤษ จึงวางยุทธศาสตร์ในการทำสงคราม เพื่อครองโลกของอังกฤษ ครั้งนี้ เป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนแรกกวาดเยอรมัน และออตโตมานให้ราบคาบเสียก่อนในช่วงทำสงครามโลก ส่วนรัสเซียนั้น อังกฤษ เตรียมจัดการ ในขั้นตอนต่อไป เนื่องจากรัสเซียอยู่ในภูมิประเทศ ที่ทำลายยากตามทฤษฏีของครู Mac ดังนั้นการทำศึก 2 ด้าน โดยสู้กับเยอรมันด้านหนึ่ง และสู้กับรัสเซียอีกด้านหนึ่ง พร้อมกันไป ย่อมเอาชนะทั้ง 2 ประเทศได้ยาก อังกฤษจึงใช้วิธีหลอกเอารัสเซียมาอยู่ฝ่ายตนเสียก่อน หลังจากนั้น ก็รอเวลา ให้เกิดการปฏิวัติในรัสเซีย หน้าฉากเหมือนอังกฤษไม่เกี่ยวด้วยกับการปฏิวัติรัสเซีย แต่อังกฤษน่าจะรู้ว่าแล้วว่า มีคนจ้องจะปฏิวัติรัสเซีย อังกฤษแค่ปล่อยให้เชื้อโรคปฏิวัติ เป็นผู้จัดการรัสเซียเอง ได้ผลกว่าแยะ และนอกจากนั้น การตกปากของรัสเซีย ที่จะร่วมมือกันทำลายเยอรมัน ยังดูก้ำกึ่งว่า จะเชื่อถือรัสเซียได้แค่ไหน เอาเข้าจริง รัสเซียอาจจะเอนไปทางเยอรมันก็เป็นได้ เมื่อเทียบกับ หลอกให้อเมริกามาร่วมรบเยอรมัน อังกฤษย่อมพอใจเลือก พวกAnglo Saxon ด้วยกัน น่าจะเชื่อใจได้มากกว่า ดังนั้น อังกฤษจึงเล่นบทเรื่องปฏิวัติรัสเซียไปตามน้ำ ให้อเมริกาเชื่อว่า อังกฤษไม่มีแผนเกี่ยวกับการตะครุบรัสเซีย ปล่อยให้เป็นเรื่องของอเมริกา กับบรรดาเด็กในคาถาของ Rothschild ออกโรงกันเอง ยังไงก็คนกันเองทั้งนั้น แค่กันเยอรมันออกไปก่อน แต่ระหว่างนั้น อังกฤษ ก็แอบเข้าไปจองที่ในรัสเซียเช่น กัน ดูได้จากพฤติกรรมของ Lord Milner แห่ง Round Table ผู้ซึ่งมีรัศมีอำนาจทำการ กว้างใหญ่ไม่น้อยกว่า นายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ที่ส่งหมาป่าพันธุ์อังกฤษ Bruce Rockhart มาประกบ Raymond Robins หมาป่าพันธ์ุอเมริกัน เอาไว้ ส่วนอเมริกานั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านรัฐบาล และด้านนักธุรกิจ ต่างมีจุดประสงค์เดียวกัน เกี่ยวกับเรื่องรัสเซีย คือไล่ซาร์ให้พ้นไปจากรัสเซีย ซึ่งเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรน้ำมัน และแร่ธาตุสาระพัด เพื่อพวกเขาจะได้เข้าไปควบคุม และครอบครองทรัพยากรทั้งหมดแทน มันก็น่าจะเป็นความคิด ที่มาจากทฤษฏีของครู Mac ด้วยเช่นกัน แต่จะเข้าไปทำสงครามกับรัสเซียเพื่อไล่ซาร์ ไม่ใช่เรื่องฉลาด สำหรับอเมริกา ไม่มีอะไรดีกว่า ยุให้คนรัสเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนบ้านเมืองฉิบหาย โดยอเมริกาสนับสนุนทุกฝ่าย ฝ่ายไหนชนะ อเมริกาก็ชนะด้วย และเข้าไปครอบงำผู้ชนะอีกต่อหนึ่ง ขณะเดียวกัน ก็ตั้งบริษัทสำหรับปฏิบัติการขูดเนื้อ เถือกระดูกรัสเซียไว้ล่วงหน้า ก่อนที่อังกฤษหรือเยอรมันจะเข้ามาในรัสเซีย เพื่อให้แน่ใจว่ารัสเซียต้องไม่หลุดมือ ไม่ให้ใครมาฉกไปได้ ด้วยยุทธศาสตร์นี้ อุตสาหกรรม และ ธุรกิจใหญ่ของอเมริกา นำโดย Rockefeller/Morgan, Guggenheim ฯลฯ จึงเข้าไปครอบงำรัสเซียอยู่เกือบ 50 ปี ตั้งแต่ ค.ศ.1917 น่าคิดว่า การปล้น ที่ให้โจรใส่เสื้อคลุมปฏิวัติ หรือเสื้อคลุมสงคราม เมื่อร้อยปีก่อน กับการปล้น ที่ให้โจรใส่เสื้อคลุม กำจัดผู้นำเผด็จการ ตรวจสอบนิวเคลียร์ อย่างที่เกิดขึ้นในอิรัค ลิเบีย ฯลฯ เกือบร้อยปีต่อมา เพื่อปล้นเอาน้ำมันของเขาไป ดูเหมือนไม่แตกต่างกัน และการปล้นแบบนี้ ก็อาจเกิดขึ้นต่อไปอีกเรื่อยๆ ในที่ต่างๆ โดยการใช้เสื้อคลุมตัวเดิมๆ หรือเปลี่ยนเสื้อคลุมตัวใหม่ ถ้าผู้คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศที่เป็นเหยื่อ ไม่รู้เท่าทัน สูตรนี้เล่นมาแล้ว 100 ปี เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้อยู่ และก็ยังได้ผลอยู่ และตอนไหนจะเหมาะที่จะคาบรัสเซียไปกิน ก็ไม่พ้นตอนที่รัสเซีย (ถูกทำให้) อ่อนแอ เป็นยุทธศาสตร์เดียวกับที่อังกฤษคิด และ ใช้กับออตโตมาน แต่ ขณะที่ อังกฤษใช้ยุทธศาสตร์ 2 จังหวะ แต่อเมริกาเลือกใช้ยุทธศาสตร์จังหวะเดียว แต่เล่น 2 ฉากพร้อมกัน อเมริกาเล่นบทปฏิวัติรัสเซีย แล้วก็นั่งคอยเวลาที่จะคาบรัสเซียไปกิน ขณะเดียวกัน อเมริกาก็เล่นบท สนับสนุนทุกอย่างให้อังกฤษ ที่กระสันอยากทำสงครามโลกทั้งที่ถังแตก ให้ไปรบก่อน แล้วอเมริกาก็นั่งคอยเวลาเล่นบทพระเอก ออกไปช่วยอังกฤษรบ เมื่ออังกฤษใกล้เละเต็มที ด้วยการวางยุทธศาสตร์เช่นนี้ อเมริกาจึงได้กินรวบหมดกระดาน อิ่มสมใจ และอิ่มนาน มาตั้งแต่บัดนั้น ถึงบัดนี้ ต่างกับอังกฤษ ที่แม้จะชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 อิ่มสมใจเหมือนกัน แต่ความอิ่มของอังกฤษ อยู่ไม่นานอย่างที่ฝัน ดูเหมือนการลงทุนทำสงครามโลกครั้งที่ 1 ของอังกฤษ จะไม่ได้กำไรอย่างที่คิด และน่าคิดว่า ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลก ทำให้อังกฤษ นอกจากไม่ได้กำไรแล้ว อาจจะกลายเป็นขาดทุนเอาด้วยซ้ำ แม้ข้อเสนอของ Col House ต่ออังกฤษ ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี การแสดงละครของวอลสตรีทและกลุ่มนักธุรกิจ ตามมาด้วยการตัดสินใจเข้าสงคราม โลกของอเมริกา การเข้ามากำกับของ Round Table จะทำให้เข้าใจว่า อังกฤษกับอเมริกา น่าจะรู้เห็น และร่วมเขียนบทละครด้วยกัน และแสดงร่วมกันตลอดเกือบทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นบทสงคราม หรือปฏิวัติปล้นรัสเซีย แต่ดูเหมือนอังกฤษและอเมริกา ต่างก็แอบไปสร้างฉากเสริมส่วนตัวเกี่ยวกับรัสเซีย ที่ต่างก็อยากได้ไว้เองโดยไม่แบ่งกับพวก หักหลังหักเหลี่ยมกันเองตามสันดานโจร ส่วนเยอรมัน ไม่ได้อยากรบ ไม่ได้อยากเข้าสงครามโลกตั้งแต่ แรก ความต้องการของเยอรมัน คือ ต้องการได้แหล่งน้ำมัน แทนการการใช้ Standard Oil และตกอยู่ในมือบีบของ Rockefeller เจ้าพ่อ Standard Oil เมื่อโอกาสจะเข้าไปเอาน้ำมันของตะวันออกกลางตามเส้นทางรถไฟ Berlin Bagdad ที่เยอรมันวางแผนไว้หลายปี ถูกอังกฤษขวางและถีบเสียจนตกรางอย่างนี้ เยอรมันก็ต้องหาแผนสำรอง รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ Baku ที่ทั้ง เจ้าพ่อ Rothschlid และเจ้าพ่อ Rockefeller อยากได้อยู่ทั้งคู่ บวก เยอรมันเข้าไปอีกราย คงแย่งกันฝุ่นตลบ แค่เสียทองไม่กี่ตันสนับสนุน Lenin ทำปฏิวัติ ไล่ซาร์ออกไป โดยมีข้อตกลงแลกเปลี่ยน ปฏิวัติสำเร็จแล้วก็รีบไปถอนตัว เลิกร่วมท้ายจมหัวกับอังกฤษ ไม่ต้องมารบเยอรมัน พวกปฏิวัติบอกไม่มีปัญหา เพราะไม่ได้อยากเล่นบททำสงครามอยู่แล้ว มันเจ็บจริงตายจริงนะโว้ย แค่อยากปฏิวัติเป็นพระเอกเท่านั้น เยอรมันรบกับอังกฤษด้านเดียว โอกาสชนะของเยอรมันมีสูงกว่า หลังจากนั้น การเจรจาเข้าไปใน Baku ไม่น่าจะยากเกินไป เพราะถ้าเยอรมันชนะ อังกฤษคงไม่มีโอกาสมาเสนอหน้าแถว Baku คงวุ่นอยู่กับการเลียแผลมากกว่า เยอรมันคิดสูตรนี้เองหรือ หรือมีใครช่วย อย่าลืมรัฐบาลเยอรมันใช้ใครเกือบทั้งตระกูล นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 8 (ตอนจบ) ละครเรื่องนี้ คงเล่นสำเร็จถึงขนาดนี้ได้ยาก ถ้าไม่มีนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง ที่วางกลยุทธ์ อย่างลึกซึ้ง เลือดเย็น ยาวนาน และคอยชักใยทุกฝ่ายอย่างแนบเนียน น่าจะมีคนที่เขียนและกำกับบท ทั้งทางตรง และทางอ้อม เป็นเวลานาน เพื่อให้เกิดสงคราม เกิดการปฏิวัติ และเป็นผลให้ 3 อาณาจักร หรือจักรวรรดิ์ใหญ่ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี ล่มสลายในเวลาใกล้เคียงกัน ออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย ดูเหมือนตระกูล Rothschild จะมีคุณสมบัติพร้อมกว่าเพื่อน ที่จะได้รับเกียรติ เป็นผู้ต้องสงสัย ว่าเป็นนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง โดยพิจารณาจากเรื่องราว ความสามารถ ความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องกับตัวละครสำคัญทุกตัวในละครลวงโลกเรื่องนี้ ใช่พวก Rothschild หรือไม่ และพวกเขาทำไปเพื่ออะไร เราคงต้องใช้ทฤษฏีเหตุจูงใจ (motive) ทำนองเดียวกับการพิสูจน์ความผิดของจำเลย มาช่วยวิเคราะห์ ในการพิจารณาข้อหาผู้ต้องสงสัยรายนี้ เหตุจูงใจ ประการแรก คือ ความโกรธแค้นซาร์แห่งรัสเซียและต้องการแก้แค้น จากเรื่องราวที่เล่ามา เหตุจูงใจประการนี้ ยากที่ผู้ต้องสงสัย จะปฏิเสธว่าไม่มี เหตุจูงใจ ประการที่สอง คือผลประโยชน์ทางธุรกิจ ตามสันดานที่ต้องการสร้างโอกาสทำกำไร จากการทำสงครามของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะโดยวิธีใดและจะทำให้ใครหายนะอย่างไร อันเป็นแนวการทำธุรกิจของตระกูล จากเรื่องราวที่เล่ามา Rothschild น่าจะแค่ยุซ้าย สั่งขวา พยักหน้าไม่กี่ที ก็มีแต่กำไรกับกำไร ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นคนดำเนินการ เพราะเขาจับมือ หรือควบคุมไว้ทุกฝ่าย เล่นไพ่ทุกใบ เหตุจูงใจประการนี้ ก็เช่นเดียวกับประการแรก นอกจากปฏิเสธยากแล้ว น้ำหนักจูงใจในประการนี้ ยังสูงมากด้วย แต่เหตุจูงใจที่น่าคิด น่าสนใจ คือเหตุจูงใจ ของความรู้สึกเบื้องลึกของ Rothschild ที่แอบซ่อนไว้ ด้วย อัตตา และตัณหา ของมนุษย์พันธุ์อย่างพวกเขา ที่ต้องการแสดงอิทธิพล และอำนาจ ให้โลกรู้ว่า แม้เขาจะเป็นเพียงพ่อค้าชาวยิว ไม่ได้เป็นเจ้านาย ไม่ได้มีเชื้อสายกษัตริย์ ไม่มีบัลลังค์ให้นั่ง ไม่มีประเทศให้ครอง เขาเป็นเพียงกา ไม่ใช่หงส์ แต่ด้วยความรวยล้นของทุน จึงสร้างอำนาจไว้ได้ทั่วทุกแห่ง ทุกระดับ ที่จะสามารถทำลายอาณาจักร หรือจักรวรรดิ ทั้งโลกได้ และอาณาจักรใหญ่ หรือจักรวรรดิ ที่เหลืออยู่ในโลกขณะนั้น 4 จักรวรรดิ จึงถูกกระทำให้จบสิ้นไปในเวลาใกล้เคียงกัน 3 จักรวรรดิ คือ ออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย คงมีคนสงสัยว่า Rothschild ก็เป็นพวกเดียวกับเยอรมันมิใช่หรือ พวกเขาไม่น่าจะใช่คนคิดทำลายเยอรมัน คำตอบคือ ตระกูล Rothschild อาศัยเกิดในเยอรมันก็จริง แต่พวกเขาอาจไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นชาวเยอรมัน ดูจากประวัติการทำธุรกิจของพวกเขา Rothschild น่าจะไม่เคยนึกถึงสัญชาติ และประเทศชาติ เขาคงไม่รู้จักเรื่องพวกนี้ เขาน่าจะรู้จักแต่การทำเงิน ทำกำไร กับการทำลายเท่านั้น เขาคงไม่ได้ผูกพันกับเยอรมัน เขาน่าจะแค่ “ใช้” เยอรมัน และก็คงมีคนสงสัยอีกว่า แล้วทำไม จักรวรรดิ หรือจักรภพของอังกฤษยังเหลืออยู่ล่ะ เพราะ Rothschild คิดว่า พวกเขาเป็นคนอังกฤษหรือไง ก็คงไม่ใช่อีก พวกเขาอยู่อังกฤษก็จริง แต่เขาก็คงไม่นับว่าตัวเองเป็นคนอังกฤษ เขาเป็น พวก Rothschild “ที่อยู่” ในอังกฤษเท่านั้น และที่เขาเก็บอังกฤษไว้ ก็ไม่น่าใช่เพราะนึกถึงบุญคุณ ที่อาศัยแผ่นดินชาวเกาะอยู่ ที่ยังเหลือจักรภพอังกฤษอยู่ (ในตอนนั้น) เขาคงแค่เก็บไว้ดูเล่น ให้หงส์เล่นบทตามที่กาเขียน กาน่าจะดูอย่างเพลินใจ แต่หงส์จะคิดอย่างไรคงเกินกว่าที่เราจะรู้ และถ้าดูกันเลยไปอีกนิด จักรภพอังกฤษ ก็ใช่ว่าไม่ย่อยยับ มีวันที่ดวงอาทิตย์ตกในจักรภพอังกฤษได้เหมือนกัน และก็เป็นผลจากสงครามโลก ที่อังกฤษสร้างขึ้นมาเองนั่นแหละ “กรรม” ยุติธรรมเสมอ ไม่มีใครหนีผลกรรมของตนเองพ้น สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 11 พ.ค. 2558 ( หมายเหตุ: มีใครอีกไหม ที่อยากได้ประโยชน์ หรือ อยากแสดงอานุภาพ หรือ อยากได้ความสะใจ และแอบมาร่วมเขียนบท และร่วมแสดงในละครลวงโลกแสนบัดซบนี้ น่าจะมี รออ่านตอนบทแถมแล้วกันครับ)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 674 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – หน้าฉาก หลังฉาก 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 9 “หน้าฉาก หลังฉาก”

    ตอน 1

    ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มปะทะกันในยุโรป คนอเมริกัน มากกว่า 1 ใน 3 เป็นพวกต่างชาติ ที่อพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกา และส่วนใหญ่มาจาก เยอรมัน ไอร์แลนด์ และอิตาลี คนส่วนใหญ่ในอเมริกา ไม่รู้เรื่อง ไม่เกี่ยวข้อง และไม่มีผลประโยชน์กับสงครามโลกที่กำลังดำเนินอยู่ในยุโรป ไม่มีทางที่พวกเขาอยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับสงคราม ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเลยนี่นะ และโดยเฉพาะคนเยอรมัน ที่มีอยู่ในอเมริกา ประมาณ 6 ล้านคน คงไม่อยากให้อเมริกาทำสงครามกับเยอรมัน

    มันเป็นความคิด คนละชุดกับของคนอเมริกันอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มีจำนวนเล็กน้อยมาก จนเทียบกับเสียงส่วนใหญ่ของคนอเมริกันไม่ได้ แต่คนพวกนี้ เป็นนักการเงิน นักธุรกิจ พวกอีลิต ที่กำลังทำธุรกิจอยู่กับกับอังกฤษ และฝรั่งเศส และกำลังครอบงำธุรกิจของอเมริกา และรัฐบาลของอเมริกาอยู่

    ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา ซึ่งเป็นหุ่นถูกเชิด หรือสมคบกับกลุ่มนักการเงินวอลสตรีท เพื่อออกกฏหมาย Federal Reserve Act ในปี 1913 ได้รับเลือกเข้ามาเป็นประธานาธิบดีอีก เป็นวาระที่ 2 ในปี 1916

    ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี กลุ่มนักการเงิน นักธุรกิจใหญ่ของอเมริกา ประชุมวางแผนกันที่บ้านของ Elbert Gary เจ้าพ่ออุตสาหกรรมเหล็กของอเม ริกาคนหนึ่ง โดยมีผู้ร่วมประชุม เช่น August Belmont (ตัวแทนของ กลุ่ม Rothschild ซึ่งมีข่าวว่า เป็นลูกนอกสมรสของพวก Rothschild) Jacob Schiff, George F Baker, Cornelius Vanderbilt รวมทั้งอดีตประธานาธิบดี Theodore Roosevelt และ George W Pergins คนถือกระเป๋าบรรจุขนมของ J P Morgan เอาไว้แจกนักการเมืองยามจำเป็น และเป็นอดีตหุ้นส่วนของ J P Morgan ด้วย ที่ประชุมตกลงที่จะสนับสนุน ให้ Woodlow Wilson เป็นประธานาธิบดี อีกสมัยหนึ่ง เป็นการสนับสนุนอย่างลับๆ โดยไม่ไร้วัตถุประสงค์ ในการหาเสียง ทีมงานของ Wilson ใช้คำขวัญประกาศเสียงดังฟังชัดว่า “he kept us out of war” เขาไม่พาเราเข้าสงคราม

    คำขวัญนี้ กำหนดโดยคณะที่ปรึกษาในการหาเสี ยง และที่ปรึกษาคนสำคัญของ Wilson คือ Colonel Edward M. House ก็เห็นด้วย เมื่อได้รับตำแหน่งหมาดๆ Wilson ประกาศว่า เราเป็นรัฐบาลของประชาชน และประชาชนของเราไม่ต้องการทำสงคราม ผ่านไปปีกว่า ประชาชนชาวอเมริกันก็ยังไม่อยากให้อเมริกาเข้าร่วมสงคราม แต่ Wilson กลับลำ ประกาศนำอเมริกาเข้าร่วมสงครามโลก ยกเลิกบทบาทประเทศเป็นกลาง อย่างหน้าตาเฉย
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 9 “หน้าฉาก หลังฉาก”

    ตอน 2

    Col. Edward M House เป็นผู้ที่มีอิทธิพลสูง และเป็นตัวละครสำคัญ ที่ทำหน้าที่ชักใยอยู่หลังฉาก ในละครลวงโลกเรื่องปฏิวิติ Bolsheviks หรือปล้นรัสเซีย

    Col. House ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว ของ ประธานาธิบดี Wilson และประธานาธิบดี Flanklin D Roosevelt ในช่วงต่อจาก Wilson ด้วย เขามีความใกล้ชิดกับ J P Morgan และครอบครัวนักการเงินรุ่นเก๋าของอังกฤษ แม้จะเติบโตมาจากเมือง Houston, Texas แต่เขาก็ไปเรียนหนังสือในโรงเรียนที่อังกฤษอยู่หลายปี

    พ่อของ House , Thomas William House เป็นคนอังกฤษ ที่อพยพมาอยู่ในอเมริกา และทำรายได้จนเรียกได้ว่าเป็นคนรวย จากการเป็นตัวแทนให้สถาบันการเงินอังกฤษ ในช่วงสงครามที่รบกันระหว่างรัฐ ของอเมริกา ข่าวว่า เขาเป็นตัวแทนของตระกูล Rothschild พ่อเขา House ทิ้งมรดกไว้ให้ลูกอยู่อย่างสบาย แค่ต้องการให้ลูก “รู้จัก และ รับใช้” อังกฤษ

    House เป็นคนสนใจการเมือง และชอบที่จะเล่นบทอยู่หลังฉากมากกว่าหน้าฉาก เขาเริ่มหาประสบการณ์ทางการเมือง โดยการเข้าไปสนับสนุนผู้สมัคร เลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐเท็กซัสถึง 4 สมัย หนึ่งในผู้ว่าการรัฐที่เขาหนุนจนได้ตำแหน่ง เป็นคนเรียกเขาว่า ผู้พัน หลังจากนั้นเขาเลยกลายเป็น Col. House ของทุกคน

    ประมาณปี ค.ศ. 1902 เขาย้ายมาอยู่นิวยอร์ค และเข้าสังคมชั้นสูง หลังจากนั้นจึงเข้ามาป้วนเปี้ยน ในการเมืองสนามใหญ่ มองหาม้ามืด มาฝึกเอาถ้วยรางวัล เขาเล็งได้ม้ามืด ชื่อ Woodlow Wilson เขาร่วมวางแผนหาเสียงให้ Wilson จนได้เป็นประธานาธิบดี แต่เขาไม่รับตำแหน่งในรัฐบาล เขาเลือกที่จะเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว และดูแลงานด้านการต่างประเทศให้ Wilson
    ความใหญ่ของ House ในช่วงนั้นเป็นที่เล่าขานกันทั่ว ครั้งหนึ่ง เมื่อมีการตั้งนาย Robert Lansing เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ นักข่าวหน้าใหม่ไม่รู้จัก ตะโกนถามกันว่า Lansing สะกดยังไงนะ นักข่าวรุ่นเก๋าตะโกนตอบว่า สะกดว่า H O U S E

    House ใกล้ชิดสนิทสนม กับประธานาธิบดี Wilson อย่างยิ่ง เรียกว่าเห็นหนังตากระตุก ก็รู้แล้วว่ากำลังคิดอะไร หลายตำแหน่งสำคัญในคณะรัฐมนตรีของ Wilson ที่ปรึกษา House เป็นผู้เลือก Wilson แค่ออกแรงลงชื่อ

    เมื่อการสมัครเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ของ Wilson ในสมัยที่ 2 ใกล้เข้ามา ที่ปรึกษา House ก็เริ่มหารืออย่างลับๆ กับ Sir William Wiseman ซึ่งทำงานที่สถานฑูตอังกฤษ ในอเมริกา Wiseman คือหัวหน้าข่าวกรองของอังกฤษในอเมริกา นั่นแหละ เพื่อให้ Wiseman ไปปูทางกับอังกฤษ ก่อนที่ House จะไปเจรจา

    House เจรจากับรัฐบาลอังกฤษ และฝรั่งเศส ในนามของ Wilson ว่า ถ้า Wilson ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี อเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลกด้วย โดยจะใช้แผนเสนอให้มีการเจรจาสงบศึกกับเยอรมัน ซึ่งอเมริกาจะยื่นเงื่อนไขของการสงบศึกกับทั้ง 2 ฝ่าย ถ้ามีฝ่ายใดไม่รับข้อเสนอ อเมริกาก็จะเข้าทำสงครามด้วย และแผนลับคือ อเมริกาจะเสนอเงื่อนไขกับทางเยอรมัน ชนิดที่จะทำให้เยอรมันไม่มีทางรับได้ และก็จะทำให้เยอรมันกลายเป็นผู้ร้าย และอเมริกาจะได้เข้าสู่สงครามแบบพระเอก บทน้ำเน่าไปหน่อย แต่เขาเสนออย่างนั้นจริงๆ

    ดูอย่างคนนอก มันคงเป็นเรื่องที่ House เล่นนอกบท มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อ Wilson แสดงภาพพจน์ว่าเป็นคนรักสงบ ไม่เอาสงคราม

    แต่จริงๆ แล้ว Wilson รู้ดีว่า การเป็นกลาง และการเข้าสู่สงคราม มันเป็นบทของละครลวงโลกทั้งสิ้น และ Wilson รู้ด้วยว่า ถ้าอเมริกาเข้าสงครามในจังหวะที่เหมาะ จะมีผลกับสงครามอย่างไร และจะทำให้พวกสัมพันธมิตรต้องพึ่ง อเมริกาขนาดไหน ทั้งด้านกองกำลัง และด้านการเงินทุนสนับสนุน และถ้าเงินทุนสนับสนุน มันจำนวนใหญ่พอ เขานั่นแหละ จะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไข และชะตาของสันติภาพ หรือชะตาของโลกหลังสงคราม

    มันก็เป็นความคิดที่ไม่ต่างกับอังกฤษ ที่หวังจะเป็นผู้ตัดสินชะตาโลกหลังสงคราม อเมริการู้เป้าหมายของอังกฤษอย่างดี แต่ไม่แน่ว่าตอนนั้น อังกฤษรู้เป้าหมายของอเมริกาที่แท้จริงของอเมริกา

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    7 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – หน้าฉาก หลังฉาก 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 9 “หน้าฉาก หลังฉาก” ตอน 1 ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มปะทะกันในยุโรป คนอเมริกัน มากกว่า 1 ใน 3 เป็นพวกต่างชาติ ที่อพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกา และส่วนใหญ่มาจาก เยอรมัน ไอร์แลนด์ และอิตาลี คนส่วนใหญ่ในอเมริกา ไม่รู้เรื่อง ไม่เกี่ยวข้อง และไม่มีผลประโยชน์กับสงครามโลกที่กำลังดำเนินอยู่ในยุโรป ไม่มีทางที่พวกเขาอยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับสงคราม ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเลยนี่นะ และโดยเฉพาะคนเยอรมัน ที่มีอยู่ในอเมริกา ประมาณ 6 ล้านคน คงไม่อยากให้อเมริกาทำสงครามกับเยอรมัน มันเป็นความคิด คนละชุดกับของคนอเมริกันอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มีจำนวนเล็กน้อยมาก จนเทียบกับเสียงส่วนใหญ่ของคนอเมริกันไม่ได้ แต่คนพวกนี้ เป็นนักการเงิน นักธุรกิจ พวกอีลิต ที่กำลังทำธุรกิจอยู่กับกับอังกฤษ และฝรั่งเศส และกำลังครอบงำธุรกิจของอเมริกา และรัฐบาลของอเมริกาอยู่ ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา ซึ่งเป็นหุ่นถูกเชิด หรือสมคบกับกลุ่มนักการเงินวอลสตรีท เพื่อออกกฏหมาย Federal Reserve Act ในปี 1913 ได้รับเลือกเข้ามาเป็นประธานาธิบดีอีก เป็นวาระที่ 2 ในปี 1916 ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี กลุ่มนักการเงิน นักธุรกิจใหญ่ของอเมริกา ประชุมวางแผนกันที่บ้านของ Elbert Gary เจ้าพ่ออุตสาหกรรมเหล็กของอเม ริกาคนหนึ่ง โดยมีผู้ร่วมประชุม เช่น August Belmont (ตัวแทนของ กลุ่ม Rothschild ซึ่งมีข่าวว่า เป็นลูกนอกสมรสของพวก Rothschild) Jacob Schiff, George F Baker, Cornelius Vanderbilt รวมทั้งอดีตประธานาธิบดี Theodore Roosevelt และ George W Pergins คนถือกระเป๋าบรรจุขนมของ J P Morgan เอาไว้แจกนักการเมืองยามจำเป็น และเป็นอดีตหุ้นส่วนของ J P Morgan ด้วย ที่ประชุมตกลงที่จะสนับสนุน ให้ Woodlow Wilson เป็นประธานาธิบดี อีกสมัยหนึ่ง เป็นการสนับสนุนอย่างลับๆ โดยไม่ไร้วัตถุประสงค์ ในการหาเสียง ทีมงานของ Wilson ใช้คำขวัญประกาศเสียงดังฟังชัดว่า “he kept us out of war” เขาไม่พาเราเข้าสงคราม คำขวัญนี้ กำหนดโดยคณะที่ปรึกษาในการหาเสี ยง และที่ปรึกษาคนสำคัญของ Wilson คือ Colonel Edward M. House ก็เห็นด้วย เมื่อได้รับตำแหน่งหมาดๆ Wilson ประกาศว่า เราเป็นรัฐบาลของประชาชน และประชาชนของเราไม่ต้องการทำสงคราม ผ่านไปปีกว่า ประชาชนชาวอเมริกันก็ยังไม่อยากให้อเมริกาเข้าร่วมสงคราม แต่ Wilson กลับลำ ประกาศนำอเมริกาเข้าร่วมสงครามโลก ยกเลิกบทบาทประเทศเป็นกลาง อย่างหน้าตาเฉย นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 9 “หน้าฉาก หลังฉาก” ตอน 2 Col. Edward M House เป็นผู้ที่มีอิทธิพลสูง และเป็นตัวละครสำคัญ ที่ทำหน้าที่ชักใยอยู่หลังฉาก ในละครลวงโลกเรื่องปฏิวิติ Bolsheviks หรือปล้นรัสเซีย Col. House ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว ของ ประธานาธิบดี Wilson และประธานาธิบดี Flanklin D Roosevelt ในช่วงต่อจาก Wilson ด้วย เขามีความใกล้ชิดกับ J P Morgan และครอบครัวนักการเงินรุ่นเก๋าของอังกฤษ แม้จะเติบโตมาจากเมือง Houston, Texas แต่เขาก็ไปเรียนหนังสือในโรงเรียนที่อังกฤษอยู่หลายปี พ่อของ House , Thomas William House เป็นคนอังกฤษ ที่อพยพมาอยู่ในอเมริกา และทำรายได้จนเรียกได้ว่าเป็นคนรวย จากการเป็นตัวแทนให้สถาบันการเงินอังกฤษ ในช่วงสงครามที่รบกันระหว่างรัฐ ของอเมริกา ข่าวว่า เขาเป็นตัวแทนของตระกูล Rothschild พ่อเขา House ทิ้งมรดกไว้ให้ลูกอยู่อย่างสบาย แค่ต้องการให้ลูก “รู้จัก และ รับใช้” อังกฤษ House เป็นคนสนใจการเมือง และชอบที่จะเล่นบทอยู่หลังฉากมากกว่าหน้าฉาก เขาเริ่มหาประสบการณ์ทางการเมือง โดยการเข้าไปสนับสนุนผู้สมัคร เลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐเท็กซัสถึง 4 สมัย หนึ่งในผู้ว่าการรัฐที่เขาหนุนจนได้ตำแหน่ง เป็นคนเรียกเขาว่า ผู้พัน หลังจากนั้นเขาเลยกลายเป็น Col. House ของทุกคน ประมาณปี ค.ศ. 1902 เขาย้ายมาอยู่นิวยอร์ค และเข้าสังคมชั้นสูง หลังจากนั้นจึงเข้ามาป้วนเปี้ยน ในการเมืองสนามใหญ่ มองหาม้ามืด มาฝึกเอาถ้วยรางวัล เขาเล็งได้ม้ามืด ชื่อ Woodlow Wilson เขาร่วมวางแผนหาเสียงให้ Wilson จนได้เป็นประธานาธิบดี แต่เขาไม่รับตำแหน่งในรัฐบาล เขาเลือกที่จะเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว และดูแลงานด้านการต่างประเทศให้ Wilson ความใหญ่ของ House ในช่วงนั้นเป็นที่เล่าขานกันทั่ว ครั้งหนึ่ง เมื่อมีการตั้งนาย Robert Lansing เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ นักข่าวหน้าใหม่ไม่รู้จัก ตะโกนถามกันว่า Lansing สะกดยังไงนะ นักข่าวรุ่นเก๋าตะโกนตอบว่า สะกดว่า H O U S E House ใกล้ชิดสนิทสนม กับประธานาธิบดี Wilson อย่างยิ่ง เรียกว่าเห็นหนังตากระตุก ก็รู้แล้วว่ากำลังคิดอะไร หลายตำแหน่งสำคัญในคณะรัฐมนตรีของ Wilson ที่ปรึกษา House เป็นผู้เลือก Wilson แค่ออกแรงลงชื่อ เมื่อการสมัครเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ของ Wilson ในสมัยที่ 2 ใกล้เข้ามา ที่ปรึกษา House ก็เริ่มหารืออย่างลับๆ กับ Sir William Wiseman ซึ่งทำงานที่สถานฑูตอังกฤษ ในอเมริกา Wiseman คือหัวหน้าข่าวกรองของอังกฤษในอเมริกา นั่นแหละ เพื่อให้ Wiseman ไปปูทางกับอังกฤษ ก่อนที่ House จะไปเจรจา House เจรจากับรัฐบาลอังกฤษ และฝรั่งเศส ในนามของ Wilson ว่า ถ้า Wilson ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี อเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลกด้วย โดยจะใช้แผนเสนอให้มีการเจรจาสงบศึกกับเยอรมัน ซึ่งอเมริกาจะยื่นเงื่อนไขของการสงบศึกกับทั้ง 2 ฝ่าย ถ้ามีฝ่ายใดไม่รับข้อเสนอ อเมริกาก็จะเข้าทำสงครามด้วย และแผนลับคือ อเมริกาจะเสนอเงื่อนไขกับทางเยอรมัน ชนิดที่จะทำให้เยอรมันไม่มีทางรับได้ และก็จะทำให้เยอรมันกลายเป็นผู้ร้าย และอเมริกาจะได้เข้าสู่สงครามแบบพระเอก บทน้ำเน่าไปหน่อย แต่เขาเสนออย่างนั้นจริงๆ ดูอย่างคนนอก มันคงเป็นเรื่องที่ House เล่นนอกบท มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อ Wilson แสดงภาพพจน์ว่าเป็นคนรักสงบ ไม่เอาสงคราม แต่จริงๆ แล้ว Wilson รู้ดีว่า การเป็นกลาง และการเข้าสู่สงคราม มันเป็นบทของละครลวงโลกทั้งสิ้น และ Wilson รู้ด้วยว่า ถ้าอเมริกาเข้าสงครามในจังหวะที่เหมาะ จะมีผลกับสงครามอย่างไร และจะทำให้พวกสัมพันธมิตรต้องพึ่ง อเมริกาขนาดไหน ทั้งด้านกองกำลัง และด้านการเงินทุนสนับสนุน และถ้าเงินทุนสนับสนุน มันจำนวนใหญ่พอ เขานั่นแหละ จะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไข และชะตาของสันติภาพ หรือชะตาของโลกหลังสงคราม มันก็เป็นความคิดที่ไม่ต่างกับอังกฤษ ที่หวังจะเป็นผู้ตัดสินชะตาโลกหลังสงคราม อเมริการู้เป้าหมายของอังกฤษอย่างดี แต่ไม่แน่ว่าตอนนั้น อังกฤษรู้เป้าหมายของอเมริกาที่แท้จริงของอเมริกา สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 7 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 596 มุมมอง 0 รีวิว
  • มนุษย์อยู่ปกติดีๆกับธรรมชาติของโลกไม่เป็น,ต่างดาวมากมายก็ด้วยทั้งอยู่ในโลกและมาเยือนโลก,ร่วมกันกำจัดสิ่งไม่ดีสิ่งชั่วเลวได้ก็ไม่ทำ,เพราะดำรงรักษาธรรมชาติของโลกไว้ปกติ ให้สงบร่มเย็นบนธรรมชาติโลกของอารยะธรรมใบนี้,มุ่งไม่สู่จุดจบแน่นอน,หากยังไม่หยุดพอใจตนเองเท่านี้แล้วหันไปสร้างความเจริญทางจิตวิญญาณของธรรมะจักรวาลแทน อารยะธรรมจักรวาลของแท้ ห้องสมุดจักรวาลก็ว่าเพื่อเปิดตาชาวโลกเราสู่ค่าจริงที่แท้จริง.,หากอนาคตหุ่นยนต์และAIควบคุมมนุษย์จริงคงอนาถอเน็จสิ้นดีเลย ทาสมนุษย์ภายใต้การปกครองของกฎหมายAI.
    ..กองทัพไทยต้องยึดอำนาจสถานเดียวจึงเป็นทางออกของประเทศไทยได้จริง,อย่าพึ่งพานักการเมืองระบบการเมืองการเลือกตั้งในยุคสมัยนี้,พระราชาผู้ทรงธรรมจะนำเรา..ประเทศไทย.



    https://vm.tiktok.com/ZSHcMpaBkrWkb-SjKTN/
    มนุษย์อยู่ปกติดีๆกับธรรมชาติของโลกไม่เป็น,ต่างดาวมากมายก็ด้วยทั้งอยู่ในโลกและมาเยือนโลก,ร่วมกันกำจัดสิ่งไม่ดีสิ่งชั่วเลวได้ก็ไม่ทำ,เพราะดำรงรักษาธรรมชาติของโลกไว้ปกติ ให้สงบร่มเย็นบนธรรมชาติโลกของอารยะธรรมใบนี้,มุ่งไม่สู่จุดจบแน่นอน,หากยังไม่หยุดพอใจตนเองเท่านี้แล้วหันไปสร้างความเจริญทางจิตวิญญาณของธรรมะจักรวาลแทน อารยะธรรมจักรวาลของแท้ ห้องสมุดจักรวาลก็ว่าเพื่อเปิดตาชาวโลกเราสู่ค่าจริงที่แท้จริง.,หากอนาคตหุ่นยนต์และAIควบคุมมนุษย์จริงคงอนาถอเน็จสิ้นดีเลย ทาสมนุษย์ภายใต้การปกครองของกฎหมายAI. ..กองทัพไทยต้องยึดอำนาจสถานเดียวจึงเป็นทางออกของประเทศไทยได้จริง,อย่าพึ่งพานักการเมืองระบบการเมืองการเลือกตั้งในยุคสมัยนี้,พระราชาผู้ทรงธรรมจะนำเรา..ประเทศไทย. https://vm.tiktok.com/ZSHcMpaBkrWkb-SjKTN/
    @gakneversitup

    เบรกด่วน! 🚨 คนสร้าง AI กำลังเหยียบเบรก โดยผู้เชี่ยวชาญกว่า 800 คนอเตือน "Superintelligence" อาจคือหายนะ ดูคลิปนี้ให้จบ แล้วบอกเราที คุณว่าไง? #superintelligence #AI #technews #gakneversitup #ไม่เคยกั๊ก

    ♬ original sound - A7mdmc
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมื่อการคาดการณ์กลายเป็นธุรกิจ: Truth Predict กำลังจะมา!”

    Trump Media and Technology Group ประกาศเปิดตัว “Truth Predict” — ตลาดทำนายเหตุการณ์ (Prediction Markets) บนแพลตฟอร์ม Truth Social โดยร่วมมือกับ Crypto.com เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถลงทุนจากการคาดการณ์เหตุการณ์ต่างๆ เช่น กีฬา การเมือง บันเทิง และเศรษฐกิจ

    ระบบนี้จะเริ่มทดลองใช้งาน (Beta) เร็วๆ นี้ ก่อนเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในสหรัฐฯ และมีแผนขยายสู่ระดับโลกในอนาคต โดยใช้แพลตฟอร์ม Truth+ สำหรับสตรีมมิ่ง และ Truth.Fi สำหรับบริการด้านการเงิน

    Prediction Markets เป็นตลาดที่ให้ผู้คนซื้อขาย “สัญญา” ตามผลลัพธ์ของเหตุการณ์ในอนาคต เช่น การเลือกตั้ง หรือผลการแข่งขันกีฬา ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2024 และถูกมองว่าอาจแม่นยำกว่าการสำรวจความคิดเห็นแบบดั้งเดิมในบางกรณี

    Devin Nunes ซีอีโอของ Trump Media กล่าวว่า “Truth Predict จะเปลี่ยนเสรีภาพในการพูดให้กลายเป็นพลังแห่งการคาดการณ์” โดยเน้นการกระจายอำนาจจากกลุ่มทุนใหญ่สู่ประชาชนทั่วไป

    สาระเพิ่มเติม: ตลาดทำนายเหตุการณ์มีความคล้ายคลึงกับการลงทุนในหุ้น แต่แทนที่จะลงทุนในบริษัท นักลงทุนจะลงทุนใน “ความน่าจะเป็น” ของเหตุการณ์ เช่น “ใครจะชนะเลือกตั้ง” หรือ “ราคาน้ำมันจะเกิน $100 ในเดือนหน้า”

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/29/trump-media-to-enter-prediction-markets-business
    📊🔮 “เมื่อการคาดการณ์กลายเป็นธุรกิจ: Truth Predict กำลังจะมา!” Trump Media and Technology Group ประกาศเปิดตัว “Truth Predict” — ตลาดทำนายเหตุการณ์ (Prediction Markets) บนแพลตฟอร์ม Truth Social โดยร่วมมือกับ Crypto.com เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถลงทุนจากการคาดการณ์เหตุการณ์ต่างๆ เช่น กีฬา การเมือง บันเทิง และเศรษฐกิจ ระบบนี้จะเริ่มทดลองใช้งาน (Beta) เร็วๆ นี้ ก่อนเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในสหรัฐฯ และมีแผนขยายสู่ระดับโลกในอนาคต โดยใช้แพลตฟอร์ม Truth+ สำหรับสตรีมมิ่ง และ Truth.Fi สำหรับบริการด้านการเงิน Prediction Markets เป็นตลาดที่ให้ผู้คนซื้อขาย “สัญญา” ตามผลลัพธ์ของเหตุการณ์ในอนาคต เช่น การเลือกตั้ง หรือผลการแข่งขันกีฬา ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2024 และถูกมองว่าอาจแม่นยำกว่าการสำรวจความคิดเห็นแบบดั้งเดิมในบางกรณี Devin Nunes ซีอีโอของ Trump Media กล่าวว่า “Truth Predict จะเปลี่ยนเสรีภาพในการพูดให้กลายเป็นพลังแห่งการคาดการณ์” โดยเน้นการกระจายอำนาจจากกลุ่มทุนใหญ่สู่ประชาชนทั่วไป 💡 สาระเพิ่มเติม: ตลาดทำนายเหตุการณ์มีความคล้ายคลึงกับการลงทุนในหุ้น แต่แทนที่จะลงทุนในบริษัท นักลงทุนจะลงทุนใน “ความน่าจะเป็น” ของเหตุการณ์ เช่น “ใครจะชนะเลือกตั้ง” หรือ “ราคาน้ำมันจะเกิน $100 ในเดือนหน้า” https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/29/trump-media-to-enter-prediction-markets-business
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Trump Media to enter prediction markets business
    (Reuters) -Trump Media and Technology Group said on Tuesday it will introduce prediction markets on its social media platform Truth Social through a partnership with Crypto.com, as event-driven markets continue to make inroads into mainstream finance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่อง เสื้อหนังกับเข็มขัดเหล็ก
    ” เสื้อหนัง กับ เข็มขัดเหล็ก”

    (1)

    รายการท้าชิงของมวยรุ่นเล็ก แต่ท่าทางจะเป็นพวกหมูตายไม่กลัวน้ำร้อน ดูเหมือนจะมีพวกแฟนๆรุ่นเก๋า เกาะเชือกเชียร์ไม่น้อย รวมทั้งผม

    พรรค Syriza ซ้ายจัดของกรีซ เพิ่งชนะเลือกตั้งเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2015 แม้ไม่ได้คะแนนเสียงข้างมาก ต้องมีพรรคร่วม แต่ก็ได้เป็นรัฐบาลใหม่เอี่ยมของกรีก ที่นำโดยพรรค Syriza ก็ทำท่าจะ ซ่าสมชื่อโดยเฉพาะ ท่านรัฐมนตรีคลังหน้าใหม่มาดเซอร์ คุณน้อง Yanis Varoufakis ของผม

    พรรค Syriza หาเสียงกับชาวกรีกว่า เลือกพวกผมนะพี่น้อง แล้วพี่น้องจะไม่ต้องถูกกดขี่จากนโยบายของสหภาพยุโรปอีกต่อไป มันโหดกับเราขนาดไหน มันหั่นงบของกินของใช้เราขนาดไหน มากไปแล้ว… คงจะทำนองนี้นะครับ ผมไม่ได้แปลคำต่อคำ

    แล้วชาวกรีกก็ได้ Syriza มาเป็นรัฐบาล งานแรกที่ Syriza ต้องทำคือ วิ่งรอกหาพวกสนับสนุน เนื่องจากเงินกู้จำนวนประมาณ 350 พันล้านยูโร ของกรีซจะถึงกำหนดชำระสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ ถ้าไม่มีการต่ออายุ และแน่นอน เศรษฐกิจของกรีซคงล้มระเนระนาด ล้มคราวนี้อาจจะหนักกว่า เมื่อปี 2011-2012 แต่ Syriza ก็ยังใจกล้า เข้ามาเป็นรัฐบาล มีของดีแอบอยู่หรือไง

    นายกรัฐมนตรี Alexis Tsipras กับรัฐมนตรีคลัง Yanis Varoufakis แยกกันเดินสาย ไปจับมือกับพวกพี่เบิ้มอียู ท่านนายกรัฐมนตรีมุ่งหน้าไปเยอรมัน ส่วนรัฐมนตรีคลังขอไปอังกฤษ มันกว่า

    ที่เยอรมัน นายกรัฐมนตรี Tsipras แวะไปคารวะอนุสาวรีย์สงครามโลกครั้งที่ 2 สื่อเยอรมันตีข่าวว่า กรีกกำลังมาทวงความจำว่า เยอรมันยังจำได้ไหม คนกรีกเคยช่วยพวกคนเยอรมันจากพวกกางเขนเหล็กของฮิตเลอร์ ตีข่าวกันแบบนี้ คุณป้าแมร์เคิลก็คงไม่ชอบใจ หาว่าฉันเป็นพวกนาซีหรือไงยะ ฉันไม่ใช่กางเขนเหล็กนะ ฉันแค่เข็มขัดเหล็ก

    ข่าวบอกว่า คุณป้าพยายามเลี่ยงการเจรจาแบบสองต่อสอง กับนายTsipras เป็นการทำโทษให้รู้ว่า ฉันไม่พอใจ อืม ป้าแมร์เคิลไม่เบานะ

    คุณเจ๊ Barbara Wesel ผู้สื่อข่าวเยอรมันของ Deutsche Welle ประจำกรุงบรัสเซลบอกว่า ไม่ฉลาดเลยนะ ที่คุณแสดงการดูถูกคนที่คุณจะต้องเจรจาง้องอนด้วย Angela Merkel ไม่สมควรจะได้รับการเปรียบเทียบกับฮิตเลอร์ ….เมื่อคุณเลือกที่จะปฎิบัติกับแมร์เคิลอย่างฝ่ายตรงข้าม คุณจะรู้เองว่า เธอจะเป็นฝ่ายตรงข้ามที่ร้ายขนาด ไหน…. จำไม่ได้เหรอว่า นายเดวิด แคมารอน ก็เคยโดนมาแล้ว เมื่อตอนงัดข้อกับคุณป้า เรื่องจะไม่เอานาย Jean-Claude Juncker เป็นประธานอียู ตามที่คุณป้าเสนอ แล้วเป็นยังไง ต้องลี้กาย หายหน้าไปจากอียูพักใหญ่ ดีว่าไม่ต้องไปแบบถาวร
    โอ้โห พวกเจ๊กางเขนเหล็ก เข็มขัดเหล็ก นี่ดุจัง

    แล้วจำเรื่องบุลกาเรียได้มั้ย ซ่าดีนัก นายกรัฐมนตรีตอนนั้น นาย Plamen Oresshaski เสนอหน้ามาเชียร์เส้นทางท่อแก๊ส South Stream ของรัสเซีย รู้อยู่แล้วว่าป้าเขาไม่เอาด้วย เพราะมันขัดกับกฏของอียู (กฏอะไรจ๊ะเจ๊ เรื่องแซงชั่นน่ะ พูดมันชัดๆไปเลย) แล้วเป็นไง เงินกู้ก้อนใหญ่ถูกตัด ฉับ ฉับเลย ยังไม่พอ ถึงตอนเลือกตั้ง นายปลาเมน หงายท้องผลึ่งไปเลย ฝ่ายค้าน ชื่อ Boyko Borisov ขึ้นมาเป็นแทน และนายปูติน ก็ต้องยกเลิกโครงการไง เห็นฤทธิ์ป้าเข็มขัดเหล็กแล้วซีนะ

    คราวนี้พวกกรีก ที่คิดจะมาต่อรองอียู จะเหลืออะไร ถึงกรีซจะเป็นสมาชิกเก่า ไม่ใช่เด็กใหม่อย่างบุลกาเรีย แถมคนเชียร์ก็ประเภทน้ำหนักเกินกระสอบข้าวทั้งนั้น เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี แต่ก็ยังมีหลายอีกประเทศสมาชิก ที่จนกว่ากรีซ ฉนั้น ไม่เหลือบ่ากว่าแรงป้าหรอกน่า ถ้าป้าอยากจะแผลงฤทธิ์ให้ดู

    เซียนมวย อย่าพลาดรายการนี้เชียว เดี๋ยวจะว่ามีดีไม่บอก น้ำหนักมันต่างกันหลายเท่าตัว แต่ทะลึ่งไปท้าเขา ไอ้ตัวเล็ก ฝ่ายท้าชิง มันบ้า หรือ มันไปได้ยาดีมากันแน่…

    (2)

    ฝ่ายผู้ท้าชิง รัฐมนตรีคลังมาดเซอร์ คุณน้อง Yanis Varoufakis ของผม นี่ไม่ธรรมดานะ จบเศรษฐศาสตร์จาก มหาวิทยาล้ย Exter ของอังกฤษ แกมีนัดกับรัฐมนตรีคลังผู้ดีอังกฤษ George Osborne ไอ้หมอนี่ดีกว่าลูกพี่หน่อย เวลาพูดไม่จีบปาก คุณน้องYanis ไปพบรัฐมนตรีผู้ดี ที่บ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิ่ง ก็ทำเนียบนายกนั่นแหละ คุณน้องใส่เสื้อหนัง เท่ สุดขีดไปเลย ข้างในเป็นเสื้อเชิร์ตสีฟ้า และไม่ผูกเนคไท!

    นี่ มันต้องอย่างนี้ ลุงนิทานเชียร์หมดกระเป๋าเลย

    คุณน้องเสื้อหนังบอกว่า เราไม่ได้จะเบี้ยวหนี้นะ เฮียหวัด แห่งไทยแลนด์แดนสมันน้อย เขาฝากมาสอนผม ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ก็แค่นั้น ผมกำลังเตรียมจะออกพันธบัตรใหม่ ไปแลกกับพันธบัตรชุดเดิม ที่พวก IMF กับ ECB จอมโหดมันบังคับให้ประเทศผมออกไว้ แต่ผมจะขอยืดเวลา เขาอยากได้หนี้คืนหรือเปล่าล่ะ หรือเขาอยากกำจัดเรา ประโยคท้ายนี่ ลุงนิทานแถมให้ครับ

    นาย Osbourne บอกว่า เรื่องหนี้กรีซ ที่รัฐบาลแถวยูโรโซน คุยกับเจ้าหนี้ไม่รู้เรื่องนี่ จะเป็นเรื่องที่กระทบต่อเศรษฐกิจโลก ยิ่งกว่าเรื่องตะวันออกกลาง หรือเรื่องเผชิญหน้าระหว่างรัสเซียกับพวกตะวันตกอีกนะ ไอ้หมอนี่ ถ้าจะตอแหลเก่ง ไม่น้อยกว่าลูกพี่จอมจีบปาก

    นอกจากนี้ นาย Mark Carney ผู้ว่าการของธนาคารชาติอังกฤษ ยังออกมาวิจารณ์ว่า นโยบายเข้มงวด เรื่องหนี้ของยูโรโซน จะยิ่งบีบให้จำนวนหนี้เพิ่ม แล้วก็ลากยาวกันไปอีก แปลกนะทำไมอังกฤษ สุ้มเสียงเหมือนกันเห็นใจกรีซ ผิดสันดานนักล่า

    อังกฤษกลัวใจคุณน้องเสื้อหนัง ว่าแกจะใช้นโยบายเบี้ยวหนี้ แล้วเดินออกจากอียูง่ายๆอย่างนั้น หรือไม่ก็ ถูกถีบออกจากอียู โดยไม่มีการต่ออายุ ไม่มีการผ่อนปรน เพราะไปลองดีกับพวกเข็มขัดเหล็ก เข้า หรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้ามันเกิดขึ้น อังกฤษบอกว่า มันไม่ใช่กระทบแค่กรีซ มันกระแทกทั้งยุโรป และอังกฤษ ซึ่งอาศัยยุโรปเป็นตลาดส่งออกประมาณ 50 % ก็อ่วมตามด้วย
    ถ้ากรีซเจ๊ง มีข้อดีกับรัฐบาลอังกฤษอย่างเดียว อังกฤษกำลังจะมีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคมที่จะถึง ถ้าแพ้เลือกตั้ง จะได้อ้างว่ามาจากเรื่องกรีซ ฮา

    ดูแล้ว เรื่องการห่วงกรีซของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เป็นของปลอมไงไม่รู้ คงต้องตามไปคุ้ยต่อ

    แต่ก็มีเรื่องน่าคิด หนี้กรีซจำนวนมหึมา กำลังจะถึงกำหนด รู้หมู่รู้จ่าสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ พรรคของคุณน้องเสื้อหนังใจกล้า แอ่นอกเข้าเป็นรัฐบาล ส่วนสิ้นเดือนมีนาคม ก็ถึงกำหนดที่อียูต้องพิจารณาว่า จะต่ออายุการแซงชั่นรัสเซียหรือไม่ คุณป้าเข็มขัดเหล็กบอกว่าไว้แล้วว่า ยังไง เราก็ไม่มีวันผ่อนปรนให้นายปูติน ยกเว้น รัสเซียต้องถอยออกไปจากยูเครนให้หมดจด

    การลงมติ ที่จะต่ออายุการแซงชั่นรัสเซีย จะต้องได้คะแนนเสียงเอกฉันท์ ตอนนี้คุณป้าเข็มขัดเหล็กเลยออกเดินสาย ทำหน้าเข้มใส่ทุกคนเหมือนกัน ล่าสุดนี่ เห็นไปยืนบีบ นายVictor Orban นายกรัฐมนตรีฮังการี เสียหน้าเขียว ก็นาย Orban ดันบอกว่า เขาชอบรูปแบบการปกครองของนายปูติน แบบนี้เดี๋ยวได้โดนเข็มขัดแน่

    มติเอกฉันท์นี่ ไม่ได้กันง่ายๆนะครับ ใครไม่เอาด้วยรายเดียวก็จบ ผมเป็นคุณพี่ปูติน ก็เลิกเครียด ส่วนกรีซก็ไม่น่าเครียดเช่นเดียว กัน ทางออกมีให้เดินหลายทาง แต่ทางคุณป้าเข็มขัดเหล็ก และพวก คุณพี่ชาวเกาะนะซิ น่าจะเครียด ถ้ากรีซเลือกเดินทางนั้น อ้อ มิน่า ถึงได้ตาเหลือกกัน แหมคิดช้าจังลุง

    หมู่เกาะของกรีซ ใกล้กับตุรกีนิดเดียว ตุรกีก็ ไม่ไกลจากรัสเซีย รู้สึกคุณพี่ปูตินของผมนี่ แกชอบสะสม ชอบกินขนมชั้นนะ เอามาเรียงๆกันไว้ โดยเฉพาะกรีซนี่ อยู่กลางเมดิเตอร์เรเนียนเลย ช่างเหมาะจริงๆ แบบนี้กองทัพเรือของใคร ที่เพิ่งจัดงบปรับปรุงก้อนใหญ่ ก็คงเหนื่อยหน่อย จะเข้าไปได้ถึงไหน อย่างนี้ใส่เสื้อหนังไปคุยก็คงได้ คงเบ่งไม่ค่อยไหวแล้ว เอะ แล้วลูกพี่ใหญ่นักล่าใบตองแห้งว่าไงคร้าบ จะเสียหมากให้เขาอีกแล้วเหรอคร้าบ ฮา

    หมายเหตุ: อย่าลืมดูเวทียูเครนบ้างนะครับ ที่ตะวันออกกลางก็เหมือนกัน ตอนนี้เร่งเครื่องกันจัง เดี๋ยวจะว่าลุงไม่เตือน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    4 กพ. 2558
    เรื่อง เสื้อหนังกับเข็มขัดเหล็ก ” เสื้อหนัง กับ เข็มขัดเหล็ก” (1) รายการท้าชิงของมวยรุ่นเล็ก แต่ท่าทางจะเป็นพวกหมูตายไม่กลัวน้ำร้อน ดูเหมือนจะมีพวกแฟนๆรุ่นเก๋า เกาะเชือกเชียร์ไม่น้อย รวมทั้งผม พรรค Syriza ซ้ายจัดของกรีซ เพิ่งชนะเลือกตั้งเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2015 แม้ไม่ได้คะแนนเสียงข้างมาก ต้องมีพรรคร่วม แต่ก็ได้เป็นรัฐบาลใหม่เอี่ยมของกรีก ที่นำโดยพรรค Syriza ก็ทำท่าจะ ซ่าสมชื่อโดยเฉพาะ ท่านรัฐมนตรีคลังหน้าใหม่มาดเซอร์ คุณน้อง Yanis Varoufakis ของผม พรรค Syriza หาเสียงกับชาวกรีกว่า เลือกพวกผมนะพี่น้อง แล้วพี่น้องจะไม่ต้องถูกกดขี่จากนโยบายของสหภาพยุโรปอีกต่อไป มันโหดกับเราขนาดไหน มันหั่นงบของกินของใช้เราขนาดไหน มากไปแล้ว… คงจะทำนองนี้นะครับ ผมไม่ได้แปลคำต่อคำ แล้วชาวกรีกก็ได้ Syriza มาเป็นรัฐบาล งานแรกที่ Syriza ต้องทำคือ วิ่งรอกหาพวกสนับสนุน เนื่องจากเงินกู้จำนวนประมาณ 350 พันล้านยูโร ของกรีซจะถึงกำหนดชำระสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ ถ้าไม่มีการต่ออายุ และแน่นอน เศรษฐกิจของกรีซคงล้มระเนระนาด ล้มคราวนี้อาจจะหนักกว่า เมื่อปี 2011-2012 แต่ Syriza ก็ยังใจกล้า เข้ามาเป็นรัฐบาล มีของดีแอบอยู่หรือไง นายกรัฐมนตรี Alexis Tsipras กับรัฐมนตรีคลัง Yanis Varoufakis แยกกันเดินสาย ไปจับมือกับพวกพี่เบิ้มอียู ท่านนายกรัฐมนตรีมุ่งหน้าไปเยอรมัน ส่วนรัฐมนตรีคลังขอไปอังกฤษ มันกว่า ที่เยอรมัน นายกรัฐมนตรี Tsipras แวะไปคารวะอนุสาวรีย์สงครามโลกครั้งที่ 2 สื่อเยอรมันตีข่าวว่า กรีกกำลังมาทวงความจำว่า เยอรมันยังจำได้ไหม คนกรีกเคยช่วยพวกคนเยอรมันจากพวกกางเขนเหล็กของฮิตเลอร์ ตีข่าวกันแบบนี้ คุณป้าแมร์เคิลก็คงไม่ชอบใจ หาว่าฉันเป็นพวกนาซีหรือไงยะ ฉันไม่ใช่กางเขนเหล็กนะ ฉันแค่เข็มขัดเหล็ก ข่าวบอกว่า คุณป้าพยายามเลี่ยงการเจรจาแบบสองต่อสอง กับนายTsipras เป็นการทำโทษให้รู้ว่า ฉันไม่พอใจ อืม ป้าแมร์เคิลไม่เบานะ คุณเจ๊ Barbara Wesel ผู้สื่อข่าวเยอรมันของ Deutsche Welle ประจำกรุงบรัสเซลบอกว่า ไม่ฉลาดเลยนะ ที่คุณแสดงการดูถูกคนที่คุณจะต้องเจรจาง้องอนด้วย Angela Merkel ไม่สมควรจะได้รับการเปรียบเทียบกับฮิตเลอร์ ….เมื่อคุณเลือกที่จะปฎิบัติกับแมร์เคิลอย่างฝ่ายตรงข้าม คุณจะรู้เองว่า เธอจะเป็นฝ่ายตรงข้ามที่ร้ายขนาด ไหน…. จำไม่ได้เหรอว่า นายเดวิด แคมารอน ก็เคยโดนมาแล้ว เมื่อตอนงัดข้อกับคุณป้า เรื่องจะไม่เอานาย Jean-Claude Juncker เป็นประธานอียู ตามที่คุณป้าเสนอ แล้วเป็นยังไง ต้องลี้กาย หายหน้าไปจากอียูพักใหญ่ ดีว่าไม่ต้องไปแบบถาวร โอ้โห พวกเจ๊กางเขนเหล็ก เข็มขัดเหล็ก นี่ดุจัง แล้วจำเรื่องบุลกาเรียได้มั้ย ซ่าดีนัก นายกรัฐมนตรีตอนนั้น นาย Plamen Oresshaski เสนอหน้ามาเชียร์เส้นทางท่อแก๊ส South Stream ของรัสเซีย รู้อยู่แล้วว่าป้าเขาไม่เอาด้วย เพราะมันขัดกับกฏของอียู (กฏอะไรจ๊ะเจ๊ เรื่องแซงชั่นน่ะ พูดมันชัดๆไปเลย) แล้วเป็นไง เงินกู้ก้อนใหญ่ถูกตัด ฉับ ฉับเลย ยังไม่พอ ถึงตอนเลือกตั้ง นายปลาเมน หงายท้องผลึ่งไปเลย ฝ่ายค้าน ชื่อ Boyko Borisov ขึ้นมาเป็นแทน และนายปูติน ก็ต้องยกเลิกโครงการไง เห็นฤทธิ์ป้าเข็มขัดเหล็กแล้วซีนะ คราวนี้พวกกรีก ที่คิดจะมาต่อรองอียู จะเหลืออะไร ถึงกรีซจะเป็นสมาชิกเก่า ไม่ใช่เด็กใหม่อย่างบุลกาเรีย แถมคนเชียร์ก็ประเภทน้ำหนักเกินกระสอบข้าวทั้งนั้น เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี แต่ก็ยังมีหลายอีกประเทศสมาชิก ที่จนกว่ากรีซ ฉนั้น ไม่เหลือบ่ากว่าแรงป้าหรอกน่า ถ้าป้าอยากจะแผลงฤทธิ์ให้ดู เซียนมวย อย่าพลาดรายการนี้เชียว เดี๋ยวจะว่ามีดีไม่บอก น้ำหนักมันต่างกันหลายเท่าตัว แต่ทะลึ่งไปท้าเขา ไอ้ตัวเล็ก ฝ่ายท้าชิง มันบ้า หรือ มันไปได้ยาดีมากันแน่… (2) ฝ่ายผู้ท้าชิง รัฐมนตรีคลังมาดเซอร์ คุณน้อง Yanis Varoufakis ของผม นี่ไม่ธรรมดานะ จบเศรษฐศาสตร์จาก มหาวิทยาล้ย Exter ของอังกฤษ แกมีนัดกับรัฐมนตรีคลังผู้ดีอังกฤษ George Osborne ไอ้หมอนี่ดีกว่าลูกพี่หน่อย เวลาพูดไม่จีบปาก คุณน้องYanis ไปพบรัฐมนตรีผู้ดี ที่บ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิ่ง ก็ทำเนียบนายกนั่นแหละ คุณน้องใส่เสื้อหนัง เท่ สุดขีดไปเลย ข้างในเป็นเสื้อเชิร์ตสีฟ้า และไม่ผูกเนคไท! นี่ มันต้องอย่างนี้ ลุงนิทานเชียร์หมดกระเป๋าเลย คุณน้องเสื้อหนังบอกว่า เราไม่ได้จะเบี้ยวหนี้นะ เฮียหวัด แห่งไทยแลนด์แดนสมันน้อย เขาฝากมาสอนผม ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ก็แค่นั้น ผมกำลังเตรียมจะออกพันธบัตรใหม่ ไปแลกกับพันธบัตรชุดเดิม ที่พวก IMF กับ ECB จอมโหดมันบังคับให้ประเทศผมออกไว้ แต่ผมจะขอยืดเวลา เขาอยากได้หนี้คืนหรือเปล่าล่ะ หรือเขาอยากกำจัดเรา ประโยคท้ายนี่ ลุงนิทานแถมให้ครับ นาย Osbourne บอกว่า เรื่องหนี้กรีซ ที่รัฐบาลแถวยูโรโซน คุยกับเจ้าหนี้ไม่รู้เรื่องนี่ จะเป็นเรื่องที่กระทบต่อเศรษฐกิจโลก ยิ่งกว่าเรื่องตะวันออกกลาง หรือเรื่องเผชิญหน้าระหว่างรัสเซียกับพวกตะวันตกอีกนะ ไอ้หมอนี่ ถ้าจะตอแหลเก่ง ไม่น้อยกว่าลูกพี่จอมจีบปาก นอกจากนี้ นาย Mark Carney ผู้ว่าการของธนาคารชาติอังกฤษ ยังออกมาวิจารณ์ว่า นโยบายเข้มงวด เรื่องหนี้ของยูโรโซน จะยิ่งบีบให้จำนวนหนี้เพิ่ม แล้วก็ลากยาวกันไปอีก แปลกนะทำไมอังกฤษ สุ้มเสียงเหมือนกันเห็นใจกรีซ ผิดสันดานนักล่า อังกฤษกลัวใจคุณน้องเสื้อหนัง ว่าแกจะใช้นโยบายเบี้ยวหนี้ แล้วเดินออกจากอียูง่ายๆอย่างนั้น หรือไม่ก็ ถูกถีบออกจากอียู โดยไม่มีการต่ออายุ ไม่มีการผ่อนปรน เพราะไปลองดีกับพวกเข็มขัดเหล็ก เข้า หรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้ามันเกิดขึ้น อังกฤษบอกว่า มันไม่ใช่กระทบแค่กรีซ มันกระแทกทั้งยุโรป และอังกฤษ ซึ่งอาศัยยุโรปเป็นตลาดส่งออกประมาณ 50 % ก็อ่วมตามด้วย ถ้ากรีซเจ๊ง มีข้อดีกับรัฐบาลอังกฤษอย่างเดียว อังกฤษกำลังจะมีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคมที่จะถึง ถ้าแพ้เลือกตั้ง จะได้อ้างว่ามาจากเรื่องกรีซ ฮา ดูแล้ว เรื่องการห่วงกรีซของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เป็นของปลอมไงไม่รู้ คงต้องตามไปคุ้ยต่อ แต่ก็มีเรื่องน่าคิด หนี้กรีซจำนวนมหึมา กำลังจะถึงกำหนด รู้หมู่รู้จ่าสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ พรรคของคุณน้องเสื้อหนังใจกล้า แอ่นอกเข้าเป็นรัฐบาล ส่วนสิ้นเดือนมีนาคม ก็ถึงกำหนดที่อียูต้องพิจารณาว่า จะต่ออายุการแซงชั่นรัสเซียหรือไม่ คุณป้าเข็มขัดเหล็กบอกว่าไว้แล้วว่า ยังไง เราก็ไม่มีวันผ่อนปรนให้นายปูติน ยกเว้น รัสเซียต้องถอยออกไปจากยูเครนให้หมดจด การลงมติ ที่จะต่ออายุการแซงชั่นรัสเซีย จะต้องได้คะแนนเสียงเอกฉันท์ ตอนนี้คุณป้าเข็มขัดเหล็กเลยออกเดินสาย ทำหน้าเข้มใส่ทุกคนเหมือนกัน ล่าสุดนี่ เห็นไปยืนบีบ นายVictor Orban นายกรัฐมนตรีฮังการี เสียหน้าเขียว ก็นาย Orban ดันบอกว่า เขาชอบรูปแบบการปกครองของนายปูติน แบบนี้เดี๋ยวได้โดนเข็มขัดแน่ มติเอกฉันท์นี่ ไม่ได้กันง่ายๆนะครับ ใครไม่เอาด้วยรายเดียวก็จบ ผมเป็นคุณพี่ปูติน ก็เลิกเครียด ส่วนกรีซก็ไม่น่าเครียดเช่นเดียว กัน ทางออกมีให้เดินหลายทาง แต่ทางคุณป้าเข็มขัดเหล็ก และพวก คุณพี่ชาวเกาะนะซิ น่าจะเครียด ถ้ากรีซเลือกเดินทางนั้น อ้อ มิน่า ถึงได้ตาเหลือกกัน แหมคิดช้าจังลุง หมู่เกาะของกรีซ ใกล้กับตุรกีนิดเดียว ตุรกีก็ ไม่ไกลจากรัสเซีย รู้สึกคุณพี่ปูตินของผมนี่ แกชอบสะสม ชอบกินขนมชั้นนะ เอามาเรียงๆกันไว้ โดยเฉพาะกรีซนี่ อยู่กลางเมดิเตอร์เรเนียนเลย ช่างเหมาะจริงๆ แบบนี้กองทัพเรือของใคร ที่เพิ่งจัดงบปรับปรุงก้อนใหญ่ ก็คงเหนื่อยหน่อย จะเข้าไปได้ถึงไหน อย่างนี้ใส่เสื้อหนังไปคุยก็คงได้ คงเบ่งไม่ค่อยไหวแล้ว เอะ แล้วลูกพี่ใหญ่นักล่าใบตองแห้งว่าไงคร้าบ จะเสียหมากให้เขาอีกแล้วเหรอคร้าบ ฮา หมายเหตุ: อย่าลืมดูเวทียูเครนบ้างนะครับ ที่ตะวันออกกลางก็เหมือนกัน ตอนนี้เร่งเครื่องกันจัง เดี๋ยวจะว่าลุงไม่เตือน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 4 กพ. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 689 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts