• เหยื่อติดคอ ตอนที่ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ”
    ตอนที่ 3

    แล้ว Shah ก็อยู่ในอำนาจนานถึง 25 ปี ในฐานะหุ่นเชิดราคาแพงของอเมริกานักล่าหน้าใหม่ ที่แสดงวิธีการล่าเหยื่ออย่างเด็ดดวง ชนิดนักล่ารุ่นเก่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ต้องจำใจคายเหยื่อให้ครึ่งตัว ศักดิ์ศรีของนักล่าชาวเกาะฯหมองหม่นไปจมหู

    CIA รับหน้าที่ดูแลด้านความมั่นคงภายในให้แก่ Shah โดยตั้งหน่วยงานชื่อ SAVAK ขึ้นมาใหม่ แน่นอน หน่วยงานนี่อยู่ในความดูแลของ Col. Schwazkopt เจ้าพ่อ CIA คนเดิม อเมริกาป้อนกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ให้ Shah อย่างไม่อั้น เงินจำนวน 68 ล้านเหรียญ ส่งให้ Shah วันขึ้นครองบัลลังก์เป็นการปลอบใจ ที่อิหร่านขาดรายได้ในช่วงที่ถูกอังกฤษคว่ำบาตร หลังจากนั้นก็ให้เงินกู้จำนวน 300 ล้านเหรียญ สำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจ และอีก 600 ล้านเหรียญ สำหรับสร้างกองทัพก็ตามมา นับเป็นเหยื่อที่อเมริกาลงทุนสูง สมันน้อยอย่าเอาตัวเองไปเทียบเลยนะ เดี๋ยวจะน้อยใจ ลมใส่กันเป็นแถวๆ

    หลังจากการปฏิวัติในปี ค.ศ.1953 แม้ Shah จะเป็นผู้ครองบัลลังก์ แต่ผู้บริหารประเทศอิหร่านจริงๆ ดูเหมือนจะเป็นบริษัทน้ำมันของอเมริกา อิหร่านยังต้องพึ่งอเมริกาทางด้านเทคนิคการผลิต กลไกการตลาดทุกอย่าง ถึงกับมีสื่อประชดว่า “Ownership Without Control”

    ค.ศ.1963 ภายใต้การชักใยของอเมริกา ซึ่งส่งที่ปรึกษา นักวิชาการเข้ามาล้นแทบขี่คอกันอยู่ในอิหร่าน อิหร่านก็เริ่มทำการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมตามที่อเมริกาสั่ง นโยบายที่เขียนโดยบรรดาอาจารย์จากมหาวิทยาลัย Harvard จัดมามาให้ เรียกว่า “White Revolution” ซึ่งมีเป้าหมายให้อิหร่านกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรม อเมริกาบอกเป็นการสร้างโอกาสให้ชนชั้นกลาง สร้างงานให้ชนชั้นแรงงานไงล่ะ แล้วทุนต่างชาติก็หลั่งไหลเข้ามาในอิหร่าน สังคมอิหร่านกลายเป็นสังคมศิวิไลซ์ตามความคิดของอเมริกา ต่างกันไหมกับเหยื่อชื่อไทยแลนด์แดนสมันน้อย

    White Revolution บอกว่าต้องปฏิรูปที่ดิน บังคับให้เจ้าของที่ดินขายคืนให้รัฐ เพื่อให้รัฐนำไปจัดสรรใหม่ ส่วนหนึ่งเอาไปทำเป็นพื้นที่อุตสาหรรรมเพิ่มเติม อีกส่วนหนึ่งจัดสรรให้ชาวไร่ชาวนา เจ้าของที่ดินส่วนใหญ่เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ให้ชาวบ้านเช่าที่ดินและใช้ทำกิน เงินที่ได้จากการให้เช่าที่ดินก็ส่งไปสนับสนุนกิจกรรมทางศาสนา การยึดที่ดินทั้งหมดไปจากพวกเขา เปลี่ยนวัฒนธรรมประเพณีที่สนับสนุนศาสนาอิสลามที่ดำเนินกันมาเป็นเวลานาน ตามนโยบายของ White Revolution รายการนี้ ดูเหมือนจะไปสะดุดตอใหญ่ ที่รอเวลาการงอกมาขวางทางเดินของ Shah

    อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของอิหร่านงอกงาม ขยายตัว แต่ส่วนใหญ่เป็นการผลิตสินค้าที่เป็นเครื่องอุปโภคบริโภคที่อำนวยความสะดวก เช่น รถยนต์ ในขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ของอิหร่านยังอาศัยอยู่ในเรือนไม้เล็กๆ ชาวเมืองอิหร่านเองก็เริ่มเสพติด “ของนอก” การนำเข้าสินค้าของอิหร่านกระ โดดจาก 400 ล้านเหรียญในปี ค.ศ.1958-1959 เป็น 18.4 พันล้านเหรียญ ในปี ค.ศ.1975-1976 สื่ออังกฤษได้โอกาสเสียดสี “อิหร่านได้แปรสภาพเป็นตะวันตกอย่างผิดที่ผิดทาง มีแต่โรงงานผลิตน้ำอัดลม Pepsi, Coke และ Canada Dry โผล่ขึ้นทั่วไปหมด ในขณะที่ชาวบ้านในเขตยากจนยังดื่มน้ำจากก็อกน้ำหัวถนน ซึ่งอยู่ข้างๆกองขยะ สนามบินเตหะรานหรูหราที่สุดในตะวันออกกลาง แต่ถนนหนทางดูเหมือนจะยังไม่พร้อมจะเชื่อมโยง โรงแรม Hilton ของอเมริกันสูงลิบกำลังสร้างอยู่ แต่ชาวอิหร่านอีกมากมายยังอาศัยนอนอยู่ตามถนน”
    อเมริกาหนุนให้ Shah ทำหน้าที่ตำรวจเฝ้ายามประจำอ่าวเปอร์เซีย คอยกันไม่ให้สหภาพโซเวียตแหลมเข้ามาตามเขตแดนด้านใต้ของสหภาพโซเวียต อเมริกาเริ่มวางแผนด้านกองทัพให้อิหร่าน ตั้งแต่ ค.ศ.1940 กว่า แต่หลังการปฏิวัติ ค.ศ.1953 อเมริกาเหมือนเป็นผู้นำกองทัพของอิหร่านเสียเอง ในปี ค.ศ.1954 มีหน่วยงานด้านกองทัพของอเมริกา 3 หน่วยงานคอยดูแลกำกับกองทัพอิหร่าน ให้ทั้งการฝึกทางอากาศ ทางทะเล และด้วยอาวุธที่นำเข้าจากต่างประเทศ

    ในช่วง ค.ศ.1970 กว่า อิหร่านขึ้นตำแหน่งเป็นลูกรักของอเมริกาในตะวันออกกลาง แน่นอน คงสร้างความขมให้แก่ซาอุดิอารเบียไม่น้อย ประธานาธิบดี Nixon บอกว่า เรากำลังปวดหัวกับเรื่องเวียตนาม ระหว่างนี้เรื่องทางตะวันออกกลางเราขอให้ท่าน พร้อมกับซาอุดิอารเบียและอิสราเอล ถือบังเหียนไปก่อนนะ

    เพื่อให้สมกับเป็นผู้นำตะวันออกกลาง ที่ได้รับความไว้วางใจจากอเมริกา ในปี ค.ศ.1975 อิหร่านใช้เงิน 35 พันล้านเหรียญ (จากรายได้น้ำมัน 62 พันล้านเหรียญ) เพื่อลงทุนสร้างกองทัพอิหร่านให้แข็งแกร่ง ในช่วงนั้นมีที่ปรึกษาด้านการทหารของอเมริกาอยู่ในอิหร่านประมาณ 8,000 คน

    Shah มองตัวเองในกระจก เข้าใจว่าหลังจากได้อาหารดี ร่างกายแข็งแรงพอที่แหกกรงเหยื่อเป็นอิสระจากอเมริกา เขาเริ่มเปลี่ยนนโยบายการต่างประเทศของอิหร่าน มุ่งหน้าไปสู่การเป็นผู้นำของตะวันออกกลาง ตัวจริงไม่ใช่ตัวแทน เขาเร่งสร้างกองทัพให้ใหญ่ขึ้น แข็งแกร่งขึ้น อเมริกาเริ่มคิ้วขมวดมองดู

    Shah มองตัวเองในกระจก เห็นแต่ภาพที่ตัวเองอยากเห็น แต่ไม่เห็นภาพที่ตัวเองเป็น เหยื่อ มักไม่รู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อ เมื่อ Shah เริ่มเบ่งกล้ามใส่อเมริกา อนาคตของ Shah ก็เริ่มสั้นลง แต่ดูเหมือน Shah จะเดินไปไกลเกินกว่าจะถอยหลัง เขาให้สัมภาษณ์ใน US News and World Magazine เมื่อ ค.ศ.1976 เกี่ยวกับอำนาจและอิทธิพลของอเมริกาในอิหร่านว่า “ถ้าอเมริกาพยายามจะสร้างความรู้สึกที่ไม่เป็นมิตรต่อประเทศเรา เราก็สามารถทำให้อเมริกาเจ็บได้ ไม่น้อยกว่าที่อเมริกาจะทำให้เราเจ็บ ไม่ใช่แค่ในด้านของน้ำมัน เราสามารถสร้างปัญหาให้กับอเมริกาได้ในบริเวณนี้ ถ้าอเมริกาบีบให้เราต้องเปลี่ยนจากการเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ผลสะท้อนมันคงเกินจะประมาณได้” อเมริกาควันออกทุกทวาร ความร้อนขึ้นจนปรอทแทบแตก และชะตาชีวิตของ Shah ก็ถูกตัดสินโดยวอชิงตันเรียบร้อย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    23 กันยายน 2557
    เหยื่อติดคอ ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ” ตอนที่ 3 แล้ว Shah ก็อยู่ในอำนาจนานถึง 25 ปี ในฐานะหุ่นเชิดราคาแพงของอเมริกานักล่าหน้าใหม่ ที่แสดงวิธีการล่าเหยื่ออย่างเด็ดดวง ชนิดนักล่ารุ่นเก่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ต้องจำใจคายเหยื่อให้ครึ่งตัว ศักดิ์ศรีของนักล่าชาวเกาะฯหมองหม่นไปจมหู CIA รับหน้าที่ดูแลด้านความมั่นคงภายในให้แก่ Shah โดยตั้งหน่วยงานชื่อ SAVAK ขึ้นมาใหม่ แน่นอน หน่วยงานนี่อยู่ในความดูแลของ Col. Schwazkopt เจ้าพ่อ CIA คนเดิม อเมริกาป้อนกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ให้ Shah อย่างไม่อั้น เงินจำนวน 68 ล้านเหรียญ ส่งให้ Shah วันขึ้นครองบัลลังก์เป็นการปลอบใจ ที่อิหร่านขาดรายได้ในช่วงที่ถูกอังกฤษคว่ำบาตร หลังจากนั้นก็ให้เงินกู้จำนวน 300 ล้านเหรียญ สำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจ และอีก 600 ล้านเหรียญ สำหรับสร้างกองทัพก็ตามมา นับเป็นเหยื่อที่อเมริกาลงทุนสูง สมันน้อยอย่าเอาตัวเองไปเทียบเลยนะ เดี๋ยวจะน้อยใจ ลมใส่กันเป็นแถวๆ หลังจากการปฏิวัติในปี ค.ศ.1953 แม้ Shah จะเป็นผู้ครองบัลลังก์ แต่ผู้บริหารประเทศอิหร่านจริงๆ ดูเหมือนจะเป็นบริษัทน้ำมันของอเมริกา อิหร่านยังต้องพึ่งอเมริกาทางด้านเทคนิคการผลิต กลไกการตลาดทุกอย่าง ถึงกับมีสื่อประชดว่า “Ownership Without Control” ค.ศ.1963 ภายใต้การชักใยของอเมริกา ซึ่งส่งที่ปรึกษา นักวิชาการเข้ามาล้นแทบขี่คอกันอยู่ในอิหร่าน อิหร่านก็เริ่มทำการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมตามที่อเมริกาสั่ง นโยบายที่เขียนโดยบรรดาอาจารย์จากมหาวิทยาลัย Harvard จัดมามาให้ เรียกว่า “White Revolution” ซึ่งมีเป้าหมายให้อิหร่านกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรม อเมริกาบอกเป็นการสร้างโอกาสให้ชนชั้นกลาง สร้างงานให้ชนชั้นแรงงานไงล่ะ แล้วทุนต่างชาติก็หลั่งไหลเข้ามาในอิหร่าน สังคมอิหร่านกลายเป็นสังคมศิวิไลซ์ตามความคิดของอเมริกา ต่างกันไหมกับเหยื่อชื่อไทยแลนด์แดนสมันน้อย White Revolution บอกว่าต้องปฏิรูปที่ดิน บังคับให้เจ้าของที่ดินขายคืนให้รัฐ เพื่อให้รัฐนำไปจัดสรรใหม่ ส่วนหนึ่งเอาไปทำเป็นพื้นที่อุตสาหรรรมเพิ่มเติม อีกส่วนหนึ่งจัดสรรให้ชาวไร่ชาวนา เจ้าของที่ดินส่วนใหญ่เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ให้ชาวบ้านเช่าที่ดินและใช้ทำกิน เงินที่ได้จากการให้เช่าที่ดินก็ส่งไปสนับสนุนกิจกรรมทางศาสนา การยึดที่ดินทั้งหมดไปจากพวกเขา เปลี่ยนวัฒนธรรมประเพณีที่สนับสนุนศาสนาอิสลามที่ดำเนินกันมาเป็นเวลานาน ตามนโยบายของ White Revolution รายการนี้ ดูเหมือนจะไปสะดุดตอใหญ่ ที่รอเวลาการงอกมาขวางทางเดินของ Shah อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของอิหร่านงอกงาม ขยายตัว แต่ส่วนใหญ่เป็นการผลิตสินค้าที่เป็นเครื่องอุปโภคบริโภคที่อำนวยความสะดวก เช่น รถยนต์ ในขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ของอิหร่านยังอาศัยอยู่ในเรือนไม้เล็กๆ ชาวเมืองอิหร่านเองก็เริ่มเสพติด “ของนอก” การนำเข้าสินค้าของอิหร่านกระ โดดจาก 400 ล้านเหรียญในปี ค.ศ.1958-1959 เป็น 18.4 พันล้านเหรียญ ในปี ค.ศ.1975-1976 สื่ออังกฤษได้โอกาสเสียดสี “อิหร่านได้แปรสภาพเป็นตะวันตกอย่างผิดที่ผิดทาง มีแต่โรงงานผลิตน้ำอัดลม Pepsi, Coke และ Canada Dry โผล่ขึ้นทั่วไปหมด ในขณะที่ชาวบ้านในเขตยากจนยังดื่มน้ำจากก็อกน้ำหัวถนน ซึ่งอยู่ข้างๆกองขยะ สนามบินเตหะรานหรูหราที่สุดในตะวันออกกลาง แต่ถนนหนทางดูเหมือนจะยังไม่พร้อมจะเชื่อมโยง โรงแรม Hilton ของอเมริกันสูงลิบกำลังสร้างอยู่ แต่ชาวอิหร่านอีกมากมายยังอาศัยนอนอยู่ตามถนน” อเมริกาหนุนให้ Shah ทำหน้าที่ตำรวจเฝ้ายามประจำอ่าวเปอร์เซีย คอยกันไม่ให้สหภาพโซเวียตแหลมเข้ามาตามเขตแดนด้านใต้ของสหภาพโซเวียต อเมริกาเริ่มวางแผนด้านกองทัพให้อิหร่าน ตั้งแต่ ค.ศ.1940 กว่า แต่หลังการปฏิวัติ ค.ศ.1953 อเมริกาเหมือนเป็นผู้นำกองทัพของอิหร่านเสียเอง ในปี ค.ศ.1954 มีหน่วยงานด้านกองทัพของอเมริกา 3 หน่วยงานคอยดูแลกำกับกองทัพอิหร่าน ให้ทั้งการฝึกทางอากาศ ทางทะเล และด้วยอาวุธที่นำเข้าจากต่างประเทศ ในช่วง ค.ศ.1970 กว่า อิหร่านขึ้นตำแหน่งเป็นลูกรักของอเมริกาในตะวันออกกลาง แน่นอน คงสร้างความขมให้แก่ซาอุดิอารเบียไม่น้อย ประธานาธิบดี Nixon บอกว่า เรากำลังปวดหัวกับเรื่องเวียตนาม ระหว่างนี้เรื่องทางตะวันออกกลางเราขอให้ท่าน พร้อมกับซาอุดิอารเบียและอิสราเอล ถือบังเหียนไปก่อนนะ เพื่อให้สมกับเป็นผู้นำตะวันออกกลาง ที่ได้รับความไว้วางใจจากอเมริกา ในปี ค.ศ.1975 อิหร่านใช้เงิน 35 พันล้านเหรียญ (จากรายได้น้ำมัน 62 พันล้านเหรียญ) เพื่อลงทุนสร้างกองทัพอิหร่านให้แข็งแกร่ง ในช่วงนั้นมีที่ปรึกษาด้านการทหารของอเมริกาอยู่ในอิหร่านประมาณ 8,000 คน Shah มองตัวเองในกระจก เข้าใจว่าหลังจากได้อาหารดี ร่างกายแข็งแรงพอที่แหกกรงเหยื่อเป็นอิสระจากอเมริกา เขาเริ่มเปลี่ยนนโยบายการต่างประเทศของอิหร่าน มุ่งหน้าไปสู่การเป็นผู้นำของตะวันออกกลาง ตัวจริงไม่ใช่ตัวแทน เขาเร่งสร้างกองทัพให้ใหญ่ขึ้น แข็งแกร่งขึ้น อเมริกาเริ่มคิ้วขมวดมองดู Shah มองตัวเองในกระจก เห็นแต่ภาพที่ตัวเองอยากเห็น แต่ไม่เห็นภาพที่ตัวเองเป็น เหยื่อ มักไม่รู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อ เมื่อ Shah เริ่มเบ่งกล้ามใส่อเมริกา อนาคตของ Shah ก็เริ่มสั้นลง แต่ดูเหมือน Shah จะเดินไปไกลเกินกว่าจะถอยหลัง เขาให้สัมภาษณ์ใน US News and World Magazine เมื่อ ค.ศ.1976 เกี่ยวกับอำนาจและอิทธิพลของอเมริกาในอิหร่านว่า “ถ้าอเมริกาพยายามจะสร้างความรู้สึกที่ไม่เป็นมิตรต่อประเทศเรา เราก็สามารถทำให้อเมริกาเจ็บได้ ไม่น้อยกว่าที่อเมริกาจะทำให้เราเจ็บ ไม่ใช่แค่ในด้านของน้ำมัน เราสามารถสร้างปัญหาให้กับอเมริกาได้ในบริเวณนี้ ถ้าอเมริกาบีบให้เราต้องเปลี่ยนจากการเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ผลสะท้อนมันคงเกินจะประมาณได้” อเมริกาควันออกทุกทวาร ความร้อนขึ้นจนปรอทแทบแตก และชะตาชีวิตของ Shah ก็ถูกตัดสินโดยวอชิงตันเรียบร้อย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 23 กันยายน 2557
    0 Comments 0 Shares 58 Views 0 Reviews
  • เหยื่อติดคอ ตอนที่ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ”
    ตอนที่ 2

    อเมริกาเอาจริงเรื่องอิหร่าน ขนเอาเจ้าหน้าที่ของ CIA เข้ามาตั้งหน่วยงานใหญ่อยู่ในอิหร่าน เกาะติดทุกรายการ ทุกเป้าหมาย โดยเฉพาะเอาเข้าไปคลุกคลีอยู่กับนักการเมือง นักการเงิน และพวกอีลิตของอิห ร่าน Dr. Taqi ชาวอิหร่านสาย CIA รับหน้าที่กล่อมมงกุฎราชกุมาร Abdoreza และนายพล Ali Razmara รายหลังแสดงความสนใจที่จะผูกมิตรจับมือร่วมงานกับอเมริกา เขาบอกกับ Dr. Taqiว่า ถ้าอเมริกาจัดการให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรีอิหร่านได้ เขาก็จะตั้งให้ Dr. Taqi เป็นรัฐมนตรีคุมเศรษฐกิจอิหร่าน เราผลัดกันเกาหลังให้กันไงเพื่อน! แล้วเราจะได้วางแผนเขี่ยอังกฤษออกไปจากอิหร่านได้เสียที

    ค.ศ.1950 Shah ก็แต่งตั้งให้นายพล Razmara เป็นนายกรัฐมนตรี

    นายพล Razmara ในฐานะนายกรัฐมนตรี ปลดพวกข้าราชการระดับสูง 400 คนทันที และลงนามในสัญญา “Point Four” กับอเมริกา ซึ่งมีผลให้อเมริกาเข้า ไปมีอิทธิพลในอิหร่านภายใต้เสื้อคลุมการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่ผมเขียนเรื่องอิหร่านนะครับ แม้มันจะดูคล้ายกับเหตุการณ์ในแดนสมันน้อยก็ตาม

    แต่สำหรับเรื่อง Anglo-Persian Oil อะไรคงยังจุกคอท่านนายพล Razmara อยู่ เขาไม่ขยับตามที่อเมริกาต้องการ แถมออกกฏหมายรับรอง Anglo-Persian Oil ให้ควบคุมน้ำมันของอิหร่านต่อ นี่ลองของหรือไง หลังจากนั้นไม่นานท่านนายพล Razmara ก็ถูกฆาตกรรม เก็บลงหีบเรียบร้อย เขาเล่นกันแรงจริง

    สภาผู้แทนอิหร่านหรือที่เรียกว่า Majlis ซึ่ง Col. Schwazkopf มีอิทธิพลครอบอยู่ จึงจับมือ Shah ให้ตั้ง Mohammed Mossadeq เป็นนายกรัฐมนตรีแทนนายพล Razmara

    Mossadeq เป็นนักการเมืองที่มีความสามารถ และเป็นที่นิยมของชาวอิหร่าน เพราะเขาประกาสต่อต้านอิทธิพลของอังกฤษอย่างเปิดเผยมาตลอด จนอังกฤษทนไม่ไหว และขับให้เขาออกนอกประเทศไปตั้งแต่ ปี ค.ศ.1919 แต่ใน ค.ศ.1921 อังกฤษก็สั่งให้ Reza Khan เรียกตัว Mossadeq กลับอิหร่านใหม่ หวังเอาฐานเสียงของ Mossadeq มาสนับสนุน Khan ซึ่งกำลังง่อนแง่น แต่เมื่อ Khan ตั้งตัวเองเป็น Shah ในปี ค.ศ.1925 Mossadeq คัดค้านอย่างรุนแรง และบอกว่า นี่เป็นการยุยงของอังกฤษที่จะทำให้อิหร่านล่ม ความคิดเช่นนี้ของ Mossadeq เข้าทางอเมริกาที่กำลังหาคนไป แซะอังกฤษออกจากอิหร่าน ดังนั้นเมื่อ Mossadeq ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สมใจอเมริกา และปฏิบัติการยึด Anglo-Iranian Oil จากอังกฤษ มาเป็นของอิหร่าน จึงไม่ถูกต้านทานจากอเมริกา อเมริกาน่าจะประเมิน Mossadeq พลาด
    การยึด Anglo-Iranian Oil อังกฤษเต้นเป็นเจ้าเข้า โกรธจนเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ กระเทือนยังกับแผ่นดินไหว เตรียมกองทัพจะมาขยี้อิหร่าน อังกฤษซ้อมค้าง ชวนอเมริกาไปขยี้อิหร่านด้วยกัน อเมริกาบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการจะใช้กำลังกับอิหร่าน (แหม! ไต๋โผล่เร็วจัง) เจรจากับอิหร่านดีกว่าน่าลูกพี่ อังกฤษไม่ยอม วิ่งจนหัวล้านเปียก ใช้ช่องทางของสหประชาชาติประกาศคว่ำบาตรน้ำมันอิหร่าน และสั่งรวบรวมเด็กในคาถาที่อยู่อิหร่านเตรียมตัวปฏิวัติโค่น Mossadeq อเมริกาไม่เล่นด้วย เราเล่นเองก็ได้ ชาวเกาะชักย๊วะ

    การคว่ำบาตรน้ำมันอิหร่าน ทำให้ตลาดโลกน้ำมันปั่นป่วน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือในวอซิงตันว่อนตามโต๊ะทำงานว่า สหภาพโซเวียตฉวยโอกาสนี้ ยุทหารอิหร่านทำการปฏิวัติและส่งเสริมระบอบคอมมิวนิตส์ในอิหร่านเสียเอง ฮื่ม แก้เกมเก่งนะลูกพี่ แบบนี้อเมริกาก็เลิกลั่ก หันไม่ถูกทางเหมือนกัน

    แล้วอเมริกาก็สะดุดกับดักของอังกฤษ หันกลับมากดดัน Mossadeq ให้ประนีประนอมกับอังกฤษ Mossadeq ปฏิเสธ อเมริกาชักไม่ชอบใจที่สั่งขวาหันกับ Mossadeq ไม่ได้ อเมริกายังไม่ตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไรดี ข่าวลือมาอีกรอบ น่าสงสัยว่า Mossadeq จะทำงานร่วมกับสหภาพโซเวียตผ่านพวกคอมมิวนิตส์ในอิหร่าน คราวนี้อเมริกาเป็นฝ่านเต้น เข้าใจเล่นจริงลูกพี่ แล้ว CIA ก็จับมือกับหน่วยราชการลับอังกฤษ MI6 จัดการให้มีการปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาล Mossadeq ในปี ค.ศ.1953 CIA เรียกว่า “Operation Ajax”

    Operation Ajax ทำให้ Shah Mohammud Reza Pahlavi กลับมาสู่อำนาจอีกครั้ง และเขารู้ว่าเขาควรจะขอบคุณใคร บ้าง วงการข่าวเล่ากันว่า ในวันครองบัลลังก์ Shah ได้พูดว่ากับนาย Kermit Roosevelt Jr. หัวหน้า CIA ประจำอิหร่านว่า “ขอบคุณพระเจ้า ประชาชนของเรา กองทัพของเรา และท่าน !”

    หลังจาการปฏิวัติ บริษัทน้ำมันที่อิหร่านยึดมาเป็นของรัฐ ใช้ชื่อว่า National Iranian Oil Company ก็จริง แต่การควบคุมการผลิตและการขายน้ำมันอิหร่าน ตกอยู่ในกำมือของกลุ่มบรรษัทน้ำมันข้ามชาติ ซึ่งแน่นอน พ่วงเอา 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกาเข้าไปด้วย กลุ่มอเมริกาได้รับหุ้นน้ำมัน หอมชื่นใจไป 40% ส่วนของ Anglo-Iranian Oil ของอังกฤษ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น British Petroleum หรือ BP ถูกลดลงมาเหลือ 40% ฝรั่งเศสและดัชท์ในฐานะผู้เข้าร่วมแสดงได้ 20% เหลือ 40% ดีกว่าเหลือแต่ถังน้ำมันเปล่าๆ นักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ คงรำพึงด้วยความซ้ำใจ

    ผลของการยึดบริษัทน้ำมันมาเป็นของรัฐและแรงกดดันของประชาชน ทำให้ส่วนแบ่งรายได้น้ำมันของอิหร่านเพิ่มขึ้นเป็น 50% แต่อิหร่านไม่ได้รับอนุญาตให้ตรวจสอบสมุดบัญชีบริษัท มันเป็นชัยชนะที่จอมปลอม เหมือนชัยชนะของการต่อสู้โดยประชาชนส่วนใหญ่ ที่สุดท้ายแล้วก็โดนหลอกโดนต้มเหมือนเดิม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    22 กันยายน 2557
    เหยื่อติดคอ ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ” ตอนที่ 2 อเมริกาเอาจริงเรื่องอิหร่าน ขนเอาเจ้าหน้าที่ของ CIA เข้ามาตั้งหน่วยงานใหญ่อยู่ในอิหร่าน เกาะติดทุกรายการ ทุกเป้าหมาย โดยเฉพาะเอาเข้าไปคลุกคลีอยู่กับนักการเมือง นักการเงิน และพวกอีลิตของอิห ร่าน Dr. Taqi ชาวอิหร่านสาย CIA รับหน้าที่กล่อมมงกุฎราชกุมาร Abdoreza และนายพล Ali Razmara รายหลังแสดงความสนใจที่จะผูกมิตรจับมือร่วมงานกับอเมริกา เขาบอกกับ Dr. Taqiว่า ถ้าอเมริกาจัดการให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรีอิหร่านได้ เขาก็จะตั้งให้ Dr. Taqi เป็นรัฐมนตรีคุมเศรษฐกิจอิหร่าน เราผลัดกันเกาหลังให้กันไงเพื่อน! แล้วเราจะได้วางแผนเขี่ยอังกฤษออกไปจากอิหร่านได้เสียที ค.ศ.1950 Shah ก็แต่งตั้งให้นายพล Razmara เป็นนายกรัฐมนตรี นายพล Razmara ในฐานะนายกรัฐมนตรี ปลดพวกข้าราชการระดับสูง 400 คนทันที และลงนามในสัญญา “Point Four” กับอเมริกา ซึ่งมีผลให้อเมริกาเข้า ไปมีอิทธิพลในอิหร่านภายใต้เสื้อคลุมการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่ผมเขียนเรื่องอิหร่านนะครับ แม้มันจะดูคล้ายกับเหตุการณ์ในแดนสมันน้อยก็ตาม แต่สำหรับเรื่อง Anglo-Persian Oil อะไรคงยังจุกคอท่านนายพล Razmara อยู่ เขาไม่ขยับตามที่อเมริกาต้องการ แถมออกกฏหมายรับรอง Anglo-Persian Oil ให้ควบคุมน้ำมันของอิหร่านต่อ นี่ลองของหรือไง หลังจากนั้นไม่นานท่านนายพล Razmara ก็ถูกฆาตกรรม เก็บลงหีบเรียบร้อย เขาเล่นกันแรงจริง สภาผู้แทนอิหร่านหรือที่เรียกว่า Majlis ซึ่ง Col. Schwazkopf มีอิทธิพลครอบอยู่ จึงจับมือ Shah ให้ตั้ง Mohammed Mossadeq เป็นนายกรัฐมนตรีแทนนายพล Razmara Mossadeq เป็นนักการเมืองที่มีความสามารถ และเป็นที่นิยมของชาวอิหร่าน เพราะเขาประกาสต่อต้านอิทธิพลของอังกฤษอย่างเปิดเผยมาตลอด จนอังกฤษทนไม่ไหว และขับให้เขาออกนอกประเทศไปตั้งแต่ ปี ค.ศ.1919 แต่ใน ค.ศ.1921 อังกฤษก็สั่งให้ Reza Khan เรียกตัว Mossadeq กลับอิหร่านใหม่ หวังเอาฐานเสียงของ Mossadeq มาสนับสนุน Khan ซึ่งกำลังง่อนแง่น แต่เมื่อ Khan ตั้งตัวเองเป็น Shah ในปี ค.ศ.1925 Mossadeq คัดค้านอย่างรุนแรง และบอกว่า นี่เป็นการยุยงของอังกฤษที่จะทำให้อิหร่านล่ม ความคิดเช่นนี้ของ Mossadeq เข้าทางอเมริกาที่กำลังหาคนไป แซะอังกฤษออกจากอิหร่าน ดังนั้นเมื่อ Mossadeq ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สมใจอเมริกา และปฏิบัติการยึด Anglo-Iranian Oil จากอังกฤษ มาเป็นของอิหร่าน จึงไม่ถูกต้านทานจากอเมริกา อเมริกาน่าจะประเมิน Mossadeq พลาด การยึด Anglo-Iranian Oil อังกฤษเต้นเป็นเจ้าเข้า โกรธจนเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ กระเทือนยังกับแผ่นดินไหว เตรียมกองทัพจะมาขยี้อิหร่าน อังกฤษซ้อมค้าง ชวนอเมริกาไปขยี้อิหร่านด้วยกัน อเมริกาบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการจะใช้กำลังกับอิหร่าน (แหม! ไต๋โผล่เร็วจัง) เจรจากับอิหร่านดีกว่าน่าลูกพี่ อังกฤษไม่ยอม วิ่งจนหัวล้านเปียก ใช้ช่องทางของสหประชาชาติประกาศคว่ำบาตรน้ำมันอิหร่าน และสั่งรวบรวมเด็กในคาถาที่อยู่อิหร่านเตรียมตัวปฏิวัติโค่น Mossadeq อเมริกาไม่เล่นด้วย เราเล่นเองก็ได้ ชาวเกาะชักย๊วะ การคว่ำบาตรน้ำมันอิหร่าน ทำให้ตลาดโลกน้ำมันปั่นป่วน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือในวอซิงตันว่อนตามโต๊ะทำงานว่า สหภาพโซเวียตฉวยโอกาสนี้ ยุทหารอิหร่านทำการปฏิวัติและส่งเสริมระบอบคอมมิวนิตส์ในอิหร่านเสียเอง ฮื่ม แก้เกมเก่งนะลูกพี่ แบบนี้อเมริกาก็เลิกลั่ก หันไม่ถูกทางเหมือนกัน แล้วอเมริกาก็สะดุดกับดักของอังกฤษ หันกลับมากดดัน Mossadeq ให้ประนีประนอมกับอังกฤษ Mossadeq ปฏิเสธ อเมริกาชักไม่ชอบใจที่สั่งขวาหันกับ Mossadeq ไม่ได้ อเมริกายังไม่ตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไรดี ข่าวลือมาอีกรอบ น่าสงสัยว่า Mossadeq จะทำงานร่วมกับสหภาพโซเวียตผ่านพวกคอมมิวนิตส์ในอิหร่าน คราวนี้อเมริกาเป็นฝ่านเต้น เข้าใจเล่นจริงลูกพี่ แล้ว CIA ก็จับมือกับหน่วยราชการลับอังกฤษ MI6 จัดการให้มีการปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาล Mossadeq ในปี ค.ศ.1953 CIA เรียกว่า “Operation Ajax” Operation Ajax ทำให้ Shah Mohammud Reza Pahlavi กลับมาสู่อำนาจอีกครั้ง และเขารู้ว่าเขาควรจะขอบคุณใคร บ้าง วงการข่าวเล่ากันว่า ในวันครองบัลลังก์ Shah ได้พูดว่ากับนาย Kermit Roosevelt Jr. หัวหน้า CIA ประจำอิหร่านว่า “ขอบคุณพระเจ้า ประชาชนของเรา กองทัพของเรา และท่าน !” หลังจาการปฏิวัติ บริษัทน้ำมันที่อิหร่านยึดมาเป็นของรัฐ ใช้ชื่อว่า National Iranian Oil Company ก็จริง แต่การควบคุมการผลิตและการขายน้ำมันอิหร่าน ตกอยู่ในกำมือของกลุ่มบรรษัทน้ำมันข้ามชาติ ซึ่งแน่นอน พ่วงเอา 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกาเข้าไปด้วย กลุ่มอเมริกาได้รับหุ้นน้ำมัน หอมชื่นใจไป 40% ส่วนของ Anglo-Iranian Oil ของอังกฤษ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น British Petroleum หรือ BP ถูกลดลงมาเหลือ 40% ฝรั่งเศสและดัชท์ในฐานะผู้เข้าร่วมแสดงได้ 20% เหลือ 40% ดีกว่าเหลือแต่ถังน้ำมันเปล่าๆ นักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ คงรำพึงด้วยความซ้ำใจ ผลของการยึดบริษัทน้ำมันมาเป็นของรัฐและแรงกดดันของประชาชน ทำให้ส่วนแบ่งรายได้น้ำมันของอิหร่านเพิ่มขึ้นเป็น 50% แต่อิหร่านไม่ได้รับอนุญาตให้ตรวจสอบสมุดบัญชีบริษัท มันเป็นชัยชนะที่จอมปลอม เหมือนชัยชนะของการต่อสู้โดยประชาชนส่วนใหญ่ ที่สุดท้ายแล้วก็โดนหลอกโดนต้มเหมือนเดิม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 22 กันยายน 2557
    0 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • เหยื่อติดคอ ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ”
    ตอนที่ 1

    ปี ค.ศ.1899 Lord Curzon อุปราชของจักรภพอังกฤษ ประจำอินเดีย (British Viceroy of India) เขียนไว้ เมื่อยังเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษว่า อิหร่านและเพื่อนบ้านเป็นหมากที่สำคัญบนกระดานของเกมชิงโลก และอนาคตของจักรภพอังกฤษ ก็ขึ้นอยู่กับบริเวณนั้นแหละไม่ใช่อยู่ที่ยุโรป

    คงด้วยความคิดแบบนี้ การล่าเหยื่อจึงเข้มข้นและแพร่ขยายเหมือนเชื้อโรคร้ายนานกว่า 150 ปี ทำให้อิหร่านและตะวันออกกลางตกเป็นเหยื่อของนักล่าชาวตะวันตกซ้ำแล้วซ้ำอีก การต่อสู้เกิดขึ้นในบริเวณต่างๆ ทางตะวันออกกลางอยู่เสมอ และก็ย้ายบริเวณการต่อสู้ไปเรื่อยๆ ตามการวางไม้เสี้ยม ไม้ขวางของนักล่า ที่ออกอาการหวงรางหญ้าและเหยื่อของตนเอง

    อังกฤษนักล่ารุ่นเก่า ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ โม้ว่า “moment” ของตนในการเคี้ยวเหยื่อแถบตะวันออกกลาง อยู่ในช่วงตั้งแต่ ค.ศ.1914 ถึง 1950

    แต่แค่หลัง ค.ศ.1925 เป็นต้นมา นักล่าหน้าใหม่ของอเมริกาเขี้ยวเริ่มงอก ก็คิดฝันเข้ามาล่าเหยื่อแถวตะวันออกกลางด้วยเหมือนกัน อเมริกาเข้าตะวันออกกลางตั้งแต่ ก่อนเริ่มศตวรรษที่ 19 เล็กน้อย แต่ยังไม่ถึง “เวลา” ที่จะเปิดหน้าเปิดตัว รอจนสงครามโลกครั้งที่ 1 เลิกเล่น การช่วงชิงเหยื่อจากปากนักล่ารุ่นเก่า จึงเริ่มมีลีลาเล่ห์เหลี่ยมอย่างคึกคัก

    ค.ศ.1944 กระทรวงต่างประเทศของอเมริกาลงบันทึกว่า น้ำมันได้กลายเป็นอาวุธสำคัญ สำหรับการจะเป็นมหาอำนาจ เป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เท่าที่เคยมีมาในประวิติศาสตร์

    ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกานักล่าหน้าไหม่ แม้เขี้ยวจะเพิ่งงอก แต่ดูแหลมและแผนลึก เล็งตะวันออกกลางตาเขม็ง ในความเห็นของอเมริกา ตะวันออกกลางอยู่ระหว่างทางแยกระหว่างอาฟริกา เอเซีย และยุโรป และที่สำคัญเป็นบริเวณที่ดกไปด้วยแหล่งน้ำมัน นักยุทธศาสตร์อเมริกัน ก็ทำการบ้านเป็นไม่ต่างกับนักยุทธศาสตร์ของอังกฤษ ต่างก็รู้ดีว่า ใครก็ตามที่ควบคุมบริเวณนี้ ไม่ใช่แค่ชนะสงคราม แต่จะกลายเป็นมหาอำนาจ ผู้นำหมายเลขหนึ่งของโลกเลยทีเดียว จะปล่อยให้พวกนักล่าหน้าเก่าๆครอบครองกันต่อไปหรือ คิดแล้วอเมริกาก็มือไม้สั่น ต้องรีบเร่งสร้างกับดักเหยื่อ

    เมื่อเยอรมัน บุกรัสเซียในปี ค.ศ.1941 อังกฤษจึงหันมาจับมือกับรัสเซียอีกรอบ เพราะมีศัตรูรายเดียวกัน และใช้อิหร่านเป็นเส้นทางในการลำเลียงส่งอาวุธให้รัสเซีย เดือนสิงหาคม ค.ศ.1941 อังกฤษและรัสเซีย ส่งกองทัพเข้าไปในอิหร่าน ทำการควบคุมอิหร่าน เพื่อให้อิหร่านเป็นด่านหน้ารับมือแทนพวกสัมพันธมิตร
    แต่การสั่งงานไม่ค่อยได้ผลเพราะ Shah Reza Pahlavi (Reza Khan) ซึ่งปกครองอิหร่านขณะนั้น ไม่ได้รับความร่วมมือจากชาวอิหร่าน เพราะความเป็นเผด็จการและกดขี่ อังกฤษตั้งได้ ก็ปลดได้ แล้วอังกฤษก็ปลด Shah ออกจากตำแหน่ง และเอาลูกชายของ Shah ชื่อ Mohammud Reza Pahlavi ขึ้นมาครองแทน อังกฤษจำใจต้องใช้ Pahlavi ต่อ เพราะกลัวว่า Pahlavi คนพ่อจะเอาความชั่วของอังกฤษสมัยที่ใช้ให้ไปช่วยวางสาระพัด ไม้เสี้ยม มาปูดให้ชาวโลกรู้

    ในปี ค.ศ.1942 อเมริกาเข้าสู่สงครามอยู่ฝายสัมพันธมิตร และเป็นชาติหนึ่งที่ต้องส่งเสบียงให้รัสเซียผ่านทางอิหร่าน อเมริกาไม่ชอบพวก Pahlavi เพราะเห็นว่าเป็นพวกอังกฤษ ยอมทำทุกอย่างตามที่อังกฤษสั่ง โดยเฉพาะเรื่องการกีดกันบริษัทน้ำมันของอเมริกา ไม่ให้เข้ามาอิหร่านอยู่เป็นเวลาหลายสิบปี แต่ก็จำใจคบพร้อมเริ่มวางแผน

    ในที่สุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ช่วยให้อเมริกามีโอกาสแทรกเข้าไปในอิหร่านและกดดันให้อิหร่านทำสัญญาหลายฉบับกับอเมริกาโดย Shah Mohammud Reza Pahlavi ให้ความร่วมมือ อเมริกาหวังว่าต่อไปสัญญากับดักเหล่านี้จะทำให้ Shah หมดอำนาจหรืออำนาจน้อยลงในอิหร่าน สัญญาเหล่านี้เปิดโอกาสให้ กองทัพ ทหาร ตำรวจ ความมั่นคงภายในประเทศ และการเงินของประเทศอิหร่านอยู่ในกำมือของที่ปรึกษาชาวอเมริกัน

    นาย Wallace Murray ที่ปรึกษาอเมริกัน ทำหนังสือถึงประธานาธิบดี Roosevelt ว่า “ขณะนี้ชัดเจนแล้วว่า จริงๆแล้ว เราอเมริกาเป็นผู้บริหารประเทศอิหร่าน จากการทำงานอย่างเยี่ยมยอดของพวกที่ปรึกษาชาวอเมริกัน”

    อเมริกาจัดการให้อิหร่านตั้งหน่วย งานชื่อ Royal Gendamerie ภายใต้รหัสชื่อ Genmish โดยอเมริกาส่ง Col. Norman H. Schwazkopf มือหนึ่งจากกองทัพ แต่จริงๆสังกัด CIA มาเป็นผู้จัดตั้งและดูแล ขนาดว่า ต่อไปอิหร่านไม่จำเป็นต้องพึ่งกองกำลังของต่างชาติแต่อย่างใด ดูเหมือนอังกฤษจะถูกยันออกจากอิหร่านระยะหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่ารู้ตัวหรือไม่

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง Royal Gendamerie ก็ยังคงอยู่ และอยู่เลยไปถึง ค.ศ.1950 และขยายตัวมากขึ้นภายใต้สัญญา United Security Pact by Iran and American ทำให้กำลังพลเพิ่มจาก 35,000 เป็น 70,000 โดยการอบรมของเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ส่งมาจากอเมริกา ในที่สุด The Gendarmerie ก็มีหน้าที่ดูแลทั้งความมั่นคงภายในอิหร่านและบริเวณนอกอาณาเขตของอิหร่านด้วย

    ทั้งหมดนี้ทำให้ Col. Schwazkopf กลายเป็นผู้มีอำนาจและอิทธิพลสูงอยู่ในอิหร่าน โดยเฉพาะกับหัวหน้าเผ่าต่างๆ ฑูตอเมริกันในอิหร่าน นาย John C. Wiley ส่งโทรเลขรายงานกลับไปที่อเมริกาว่า “ขณะนี้ Schwazkopf สามารถควบคุมเสียงในสภาอิหร่านได้แล้วถึง 88 คน”

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การควบคุมอิหร่านของอังกฤษเริ่มสั่นคลอน แม้อังกฤษจะยังควบคุมกิจการด้าน น้ำมันของอิหร่านผ่าน Anglo-Persian Oil Company (ซึ่งตอนหลังเปลี่ยนเป็น British Petroleum หรือ BP) Anglo-Persian คุมทั้งการผลิต การการกลั่น และการขายน้ำมันของอิหร่าน

    ระหว่าง ค.ศ.1945 ถึง ค.ศ.1950 อังกฤษเก็บเงินค่าน้ำมันในอิหร่านเข้ากระเป๋าไป 250 ล้านปอนด์ ในขณะที่เจ้าของแผ่นดินได้ประมาณ 90 ล้านปอนด์ น้ำมันอิหร่านจึงยังเป็นของยั่วยวนใจ บวกกับโอกาสการเข้าครอบครองตะวันออกกลางโดยใช้อิหร่านเป็นหมาก ทำให้สหภาพโซเวียตและอเมริกาต่างทำงานหนัก ในการแย่งเหยื่อชื่ออิหร่าน มาจากปากของอังกฤษ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    22 กันยายน 2557
    เหยื่อติดคอ ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ” ตอนที่ 1 ปี ค.ศ.1899 Lord Curzon อุปราชของจักรภพอังกฤษ ประจำอินเดีย (British Viceroy of India) เขียนไว้ เมื่อยังเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษว่า อิหร่านและเพื่อนบ้านเป็นหมากที่สำคัญบนกระดานของเกมชิงโลก และอนาคตของจักรภพอังกฤษ ก็ขึ้นอยู่กับบริเวณนั้นแหละไม่ใช่อยู่ที่ยุโรป คงด้วยความคิดแบบนี้ การล่าเหยื่อจึงเข้มข้นและแพร่ขยายเหมือนเชื้อโรคร้ายนานกว่า 150 ปี ทำให้อิหร่านและตะวันออกกลางตกเป็นเหยื่อของนักล่าชาวตะวันตกซ้ำแล้วซ้ำอีก การต่อสู้เกิดขึ้นในบริเวณต่างๆ ทางตะวันออกกลางอยู่เสมอ และก็ย้ายบริเวณการต่อสู้ไปเรื่อยๆ ตามการวางไม้เสี้ยม ไม้ขวางของนักล่า ที่ออกอาการหวงรางหญ้าและเหยื่อของตนเอง อังกฤษนักล่ารุ่นเก่า ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ โม้ว่า “moment” ของตนในการเคี้ยวเหยื่อแถบตะวันออกกลาง อยู่ในช่วงตั้งแต่ ค.ศ.1914 ถึง 1950 แต่แค่หลัง ค.ศ.1925 เป็นต้นมา นักล่าหน้าใหม่ของอเมริกาเขี้ยวเริ่มงอก ก็คิดฝันเข้ามาล่าเหยื่อแถวตะวันออกกลางด้วยเหมือนกัน อเมริกาเข้าตะวันออกกลางตั้งแต่ ก่อนเริ่มศตวรรษที่ 19 เล็กน้อย แต่ยังไม่ถึง “เวลา” ที่จะเปิดหน้าเปิดตัว รอจนสงครามโลกครั้งที่ 1 เลิกเล่น การช่วงชิงเหยื่อจากปากนักล่ารุ่นเก่า จึงเริ่มมีลีลาเล่ห์เหลี่ยมอย่างคึกคัก ค.ศ.1944 กระทรวงต่างประเทศของอเมริกาลงบันทึกว่า น้ำมันได้กลายเป็นอาวุธสำคัญ สำหรับการจะเป็นมหาอำนาจ เป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เท่าที่เคยมีมาในประวิติศาสตร์ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกานักล่าหน้าไหม่ แม้เขี้ยวจะเพิ่งงอก แต่ดูแหลมและแผนลึก เล็งตะวันออกกลางตาเขม็ง ในความเห็นของอเมริกา ตะวันออกกลางอยู่ระหว่างทางแยกระหว่างอาฟริกา เอเซีย และยุโรป และที่สำคัญเป็นบริเวณที่ดกไปด้วยแหล่งน้ำมัน นักยุทธศาสตร์อเมริกัน ก็ทำการบ้านเป็นไม่ต่างกับนักยุทธศาสตร์ของอังกฤษ ต่างก็รู้ดีว่า ใครก็ตามที่ควบคุมบริเวณนี้ ไม่ใช่แค่ชนะสงคราม แต่จะกลายเป็นมหาอำนาจ ผู้นำหมายเลขหนึ่งของโลกเลยทีเดียว จะปล่อยให้พวกนักล่าหน้าเก่าๆครอบครองกันต่อไปหรือ คิดแล้วอเมริกาก็มือไม้สั่น ต้องรีบเร่งสร้างกับดักเหยื่อ เมื่อเยอรมัน บุกรัสเซียในปี ค.ศ.1941 อังกฤษจึงหันมาจับมือกับรัสเซียอีกรอบ เพราะมีศัตรูรายเดียวกัน และใช้อิหร่านเป็นเส้นทางในการลำเลียงส่งอาวุธให้รัสเซีย เดือนสิงหาคม ค.ศ.1941 อังกฤษและรัสเซีย ส่งกองทัพเข้าไปในอิหร่าน ทำการควบคุมอิหร่าน เพื่อให้อิหร่านเป็นด่านหน้ารับมือแทนพวกสัมพันธมิตร แต่การสั่งงานไม่ค่อยได้ผลเพราะ Shah Reza Pahlavi (Reza Khan) ซึ่งปกครองอิหร่านขณะนั้น ไม่ได้รับความร่วมมือจากชาวอิหร่าน เพราะความเป็นเผด็จการและกดขี่ อังกฤษตั้งได้ ก็ปลดได้ แล้วอังกฤษก็ปลด Shah ออกจากตำแหน่ง และเอาลูกชายของ Shah ชื่อ Mohammud Reza Pahlavi ขึ้นมาครองแทน อังกฤษจำใจต้องใช้ Pahlavi ต่อ เพราะกลัวว่า Pahlavi คนพ่อจะเอาความชั่วของอังกฤษสมัยที่ใช้ให้ไปช่วยวางสาระพัด ไม้เสี้ยม มาปูดให้ชาวโลกรู้ ในปี ค.ศ.1942 อเมริกาเข้าสู่สงครามอยู่ฝายสัมพันธมิตร และเป็นชาติหนึ่งที่ต้องส่งเสบียงให้รัสเซียผ่านทางอิหร่าน อเมริกาไม่ชอบพวก Pahlavi เพราะเห็นว่าเป็นพวกอังกฤษ ยอมทำทุกอย่างตามที่อังกฤษสั่ง โดยเฉพาะเรื่องการกีดกันบริษัทน้ำมันของอเมริกา ไม่ให้เข้ามาอิหร่านอยู่เป็นเวลาหลายสิบปี แต่ก็จำใจคบพร้อมเริ่มวางแผน ในที่สุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ช่วยให้อเมริกามีโอกาสแทรกเข้าไปในอิหร่านและกดดันให้อิหร่านทำสัญญาหลายฉบับกับอเมริกาโดย Shah Mohammud Reza Pahlavi ให้ความร่วมมือ อเมริกาหวังว่าต่อไปสัญญากับดักเหล่านี้จะทำให้ Shah หมดอำนาจหรืออำนาจน้อยลงในอิหร่าน สัญญาเหล่านี้เปิดโอกาสให้ กองทัพ ทหาร ตำรวจ ความมั่นคงภายในประเทศ และการเงินของประเทศอิหร่านอยู่ในกำมือของที่ปรึกษาชาวอเมริกัน นาย Wallace Murray ที่ปรึกษาอเมริกัน ทำหนังสือถึงประธานาธิบดี Roosevelt ว่า “ขณะนี้ชัดเจนแล้วว่า จริงๆแล้ว เราอเมริกาเป็นผู้บริหารประเทศอิหร่าน จากการทำงานอย่างเยี่ยมยอดของพวกที่ปรึกษาชาวอเมริกัน” อเมริกาจัดการให้อิหร่านตั้งหน่วย งานชื่อ Royal Gendamerie ภายใต้รหัสชื่อ Genmish โดยอเมริกาส่ง Col. Norman H. Schwazkopf มือหนึ่งจากกองทัพ แต่จริงๆสังกัด CIA มาเป็นผู้จัดตั้งและดูแล ขนาดว่า ต่อไปอิหร่านไม่จำเป็นต้องพึ่งกองกำลังของต่างชาติแต่อย่างใด ดูเหมือนอังกฤษจะถูกยันออกจากอิหร่านระยะหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่ารู้ตัวหรือไม่ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง Royal Gendamerie ก็ยังคงอยู่ และอยู่เลยไปถึง ค.ศ.1950 และขยายตัวมากขึ้นภายใต้สัญญา United Security Pact by Iran and American ทำให้กำลังพลเพิ่มจาก 35,000 เป็น 70,000 โดยการอบรมของเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ส่งมาจากอเมริกา ในที่สุด The Gendarmerie ก็มีหน้าที่ดูแลทั้งความมั่นคงภายในอิหร่านและบริเวณนอกอาณาเขตของอิหร่านด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้ Col. Schwazkopf กลายเป็นผู้มีอำนาจและอิทธิพลสูงอยู่ในอิหร่าน โดยเฉพาะกับหัวหน้าเผ่าต่างๆ ฑูตอเมริกันในอิหร่าน นาย John C. Wiley ส่งโทรเลขรายงานกลับไปที่อเมริกาว่า “ขณะนี้ Schwazkopf สามารถควบคุมเสียงในสภาอิหร่านได้แล้วถึง 88 คน” หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การควบคุมอิหร่านของอังกฤษเริ่มสั่นคลอน แม้อังกฤษจะยังควบคุมกิจการด้าน น้ำมันของอิหร่านผ่าน Anglo-Persian Oil Company (ซึ่งตอนหลังเปลี่ยนเป็น British Petroleum หรือ BP) Anglo-Persian คุมทั้งการผลิต การการกลั่น และการขายน้ำมันของอิหร่าน ระหว่าง ค.ศ.1945 ถึง ค.ศ.1950 อังกฤษเก็บเงินค่าน้ำมันในอิหร่านเข้ากระเป๋าไป 250 ล้านปอนด์ ในขณะที่เจ้าของแผ่นดินได้ประมาณ 90 ล้านปอนด์ น้ำมันอิหร่านจึงยังเป็นของยั่วยวนใจ บวกกับโอกาสการเข้าครอบครองตะวันออกกลางโดยใช้อิหร่านเป็นหมาก ทำให้สหภาพโซเวียตและอเมริกาต่างทำงานหนัก ในการแย่งเหยื่อชื่ออิหร่าน มาจากปากของอังกฤษ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 22 กันยายน 2557
    0 Comments 0 Shares 55 Views 0 Reviews
  • “TSMC เปิดราคาชิป 2nm — แพงขึ้นไม่มาก แต่มีเงื่อนไขซ่อนอยู่ที่ลูกค้าต้องรับมือ”

    หลังจากมีข่าวลือว่าชิป 2nm จาก TSMC จะมีราคาสูงกว่ารุ่น 3nm ถึง 50% ล่าสุดมีรายงานใหม่ระบุว่าราคาจริงของแผ่นเวเฟอร์ 2nm จะเพิ่มขึ้นเพียง 10–20% เท่านั้นเมื่อเทียบกับรุ่น 3nm อย่าง N3P และ N3E แต่ความจริงที่ซ่อนอยู่คือ TSMC กำลังปรับราคาของเวเฟอร์ 3nm ให้สูงขึ้นด้วย ทำให้ช่องว่างระหว่างรุ่นดูแคบลง

    ราคาของเวเฟอร์ 2nm ยังคงอยู่ที่ประมาณ $30,000 ต่อแผ่น ซึ่งเป็นราคาที่สูงมากสำหรับการผลิตชิปในระดับผู้บริโภค โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเวเฟอร์ 3nm ที่เคยอยู่ที่ $25,000–$27,000 แต่กำลังถูกปรับขึ้นเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านไปยัง 2nm ดู “สมเหตุสมผล”

    Qualcomm และ MediaTek เป็นสองบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนไปใช้ N3P โดยต้องจ่ายเพิ่มถึง 16–24% สำหรับชิปรุ่นใหม่ เช่น Snapdragon 8 Elite Gen 5 และ Dimensity 9500 ขณะที่ Qualcomm เตรียมย้ายไปใช้ N2P สำหรับ Snapdragon 8 Elite Gen 6 ในปีหน้า

    แม้ราคาจะไม่พุ่งแรงอย่างที่คาด แต่ผลกระทบต่อราคาสินค้า เช่น สมาร์ตโฟนและแท็บเล็ต ยังคงมีอยู่ เพราะต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจะถูกผลักไปยังผู้บริโภค โดยเฉพาะในยุคที่การผลิตชิปต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Gate-All-Around และ EUV ที่มีต้นทุนสูงมาก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ราคาของเวเฟอร์ 2nm อยู่ที่ประมาณ $30,000 ต่อแผ่น
    เพิ่มขึ้นจากเวเฟอร์ 3nm เพียง 10–20% ไม่ใช่ 50% ตามข่าวลือ
    TSMC ปรับราคาของเวเฟอร์ 3nm เช่น N3E และ N3P ให้สูงขึ้น
    Qualcomm และ MediaTek ได้รับผลกระทบจากราคาที่เพิ่มขึ้น
    Qualcomm เตรียมใช้ N2P สำหรับ Snapdragon 8 Elite Gen 6
    ราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จะเพิ่มขึ้นตามต้นทุนเวเฟอร์
    การผลิตชิป 2nm ใช้เทคโนโลยี Gate-All-Around และ EUV
    TSMC เริ่มผลิต 2nm ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gate-All-Around เป็นเทคโนโลยีทรานซิสเตอร์ที่ลดการรั่วไหลของกระแสไฟ
    EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) เป็นเทคนิคพิมพ์ลวดลายที่ใช้แสงความยาวคลื่นสั้น
    การผลิตเวเฟอร์ในสหรัฐฯ เช่นที่โรงงานใน Arizona มีต้นทุนสูงกว่าที่ไต้หวันถึง 20–30%
    Apple และ AMD เป็นลูกค้าหลักของ TSMC ที่เตรียมใช้ 2nm ในผลิตภัณฑ์ปี 2026
    Chiplet architecture ช่วยลดต้นทุนโดยใช้เวเฟอร์ขั้นสูงเฉพาะในส่วนสำคัญของชิป

    https://wccftech.com/tsmc-2nm-wafers-to-be-10-to-20-percent-more-expensive-than-3nm/
    💰 “TSMC เปิดราคาชิป 2nm — แพงขึ้นไม่มาก แต่มีเงื่อนไขซ่อนอยู่ที่ลูกค้าต้องรับมือ” หลังจากมีข่าวลือว่าชิป 2nm จาก TSMC จะมีราคาสูงกว่ารุ่น 3nm ถึง 50% ล่าสุดมีรายงานใหม่ระบุว่าราคาจริงของแผ่นเวเฟอร์ 2nm จะเพิ่มขึ้นเพียง 10–20% เท่านั้นเมื่อเทียบกับรุ่น 3nm อย่าง N3P และ N3E แต่ความจริงที่ซ่อนอยู่คือ TSMC กำลังปรับราคาของเวเฟอร์ 3nm ให้สูงขึ้นด้วย ทำให้ช่องว่างระหว่างรุ่นดูแคบลง ราคาของเวเฟอร์ 2nm ยังคงอยู่ที่ประมาณ $30,000 ต่อแผ่น ซึ่งเป็นราคาที่สูงมากสำหรับการผลิตชิปในระดับผู้บริโภค โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเวเฟอร์ 3nm ที่เคยอยู่ที่ $25,000–$27,000 แต่กำลังถูกปรับขึ้นเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านไปยัง 2nm ดู “สมเหตุสมผล” Qualcomm และ MediaTek เป็นสองบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนไปใช้ N3P โดยต้องจ่ายเพิ่มถึง 16–24% สำหรับชิปรุ่นใหม่ เช่น Snapdragon 8 Elite Gen 5 และ Dimensity 9500 ขณะที่ Qualcomm เตรียมย้ายไปใช้ N2P สำหรับ Snapdragon 8 Elite Gen 6 ในปีหน้า แม้ราคาจะไม่พุ่งแรงอย่างที่คาด แต่ผลกระทบต่อราคาสินค้า เช่น สมาร์ตโฟนและแท็บเล็ต ยังคงมีอยู่ เพราะต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจะถูกผลักไปยังผู้บริโภค โดยเฉพาะในยุคที่การผลิตชิปต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Gate-All-Around และ EUV ที่มีต้นทุนสูงมาก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ราคาของเวเฟอร์ 2nm อยู่ที่ประมาณ $30,000 ต่อแผ่น ➡️ เพิ่มขึ้นจากเวเฟอร์ 3nm เพียง 10–20% ไม่ใช่ 50% ตามข่าวลือ ➡️ TSMC ปรับราคาของเวเฟอร์ 3nm เช่น N3E และ N3P ให้สูงขึ้น ➡️ Qualcomm และ MediaTek ได้รับผลกระทบจากราคาที่เพิ่มขึ้น ➡️ Qualcomm เตรียมใช้ N2P สำหรับ Snapdragon 8 Elite Gen 6 ➡️ ราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จะเพิ่มขึ้นตามต้นทุนเวเฟอร์ ➡️ การผลิตชิป 2nm ใช้เทคโนโลยี Gate-All-Around และ EUV ➡️ TSMC เริ่มผลิต 2nm ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gate-All-Around เป็นเทคโนโลยีทรานซิสเตอร์ที่ลดการรั่วไหลของกระแสไฟ ➡️ EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) เป็นเทคนิคพิมพ์ลวดลายที่ใช้แสงความยาวคลื่นสั้น ➡️ การผลิตเวเฟอร์ในสหรัฐฯ เช่นที่โรงงานใน Arizona มีต้นทุนสูงกว่าที่ไต้หวันถึง 20–30% ➡️ Apple และ AMD เป็นลูกค้าหลักของ TSMC ที่เตรียมใช้ 2nm ในผลิตภัณฑ์ปี 2026 ➡️ Chiplet architecture ช่วยลดต้นทุนโดยใช้เวเฟอร์ขั้นสูงเฉพาะในส่วนสำคัญของชิป https://wccftech.com/tsmc-2nm-wafers-to-be-10-to-20-percent-more-expensive-than-3nm/
    WCCFTECH.COM
    TSMC’s 2nm Customers Can Take A Breather; Wafers Reportedly Only 10-20 Percent More Expensive Than 3nm But There Is A Catch
    A new report states that instead of TSMC’s 2nm wafers being 50 percent more expensive than 3nm, they will be between 10-20 percent pricier
    0 Comments 0 Shares 52 Views 0 Reviews
  • “Intel Panther Lake มาแน่ต้นปี 2026 — ประสิทธิภาพสูงขึ้น 50% พร้อมประหยัดพลังงานกว่าเดิม 30% ด้วยเทคโนโลยี 18A”

    Intel กำลังเตรียมเปิดตัวชิปตระกูลใหม่ “Panther Lake” สำหรับแพลตฟอร์มพกพาในต้นปี 2026 โดยถือเป็นผลิตภัณฑ์แรกของผู้บริโภคที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 18A ซึ่งเป็นกระบวนการผลิตทรานซิสเตอร์ขั้นสูงที่ Intel พัฒนาขึ้นเอง โดยมีเป้าหมายเพื่อพลิกสถานการณ์ในตลาดที่กำลังถูกคู่แข่งอย่าง AMD และ Apple แย่งส่วนแบ่งไปอย่างต่อเนื่อง

    จากรายงานของ Reuters และ Wccftech ชิป Panther Lake จะมีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงกว่า Lunar Lake รุ่นก่อนถึง 30% และสามารถประมวลผลข้อมูลได้เร็วขึ้นถึง 50% ในงานที่ใช้ทรัพยากรสูง เช่น การประมวลผลกราฟิกและข้อมูล AI

    แม้รายละเอียดเชิงเทคนิคจะยังไม่เปิดเผยทั้งหมด แต่ Intel ยืนยันว่าชิปใหม่นี้จะใช้พลังงานน้อยลง และมีการปรับปรุงทั้งในส่วนของกราฟิกและซีพียู โดยใช้สถาปัตยกรรมใหม่ที่ชื่อว่า Cougar Cove ซึ่งเป็นการต่อยอดจาก Arrow Lake H-series

    Panther Lake ยังถูกวางตำแหน่งให้เป็นชิประดับกลางถึงสูง ไม่ใช่ชิปประหยัดพลังงานแบบ Lunar Lake โดยคาดว่าจะมีค่า TDP อยู่ในช่วง 45W ซึ่งเหมาะกับโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูงและอุปกรณ์พกพาที่ต้องการพลังในการประมวลผลมากขึ้น

    การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ Intel ในการกลับมาแข่งขันกับ TSMC และ Apple โดยเฉพาะในด้านประสิทธิภาพต่อวัตต์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ Intel ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel เตรียมเปิดตัวชิป Panther Lake ต้นปี 2026 สำหรับแพลตฟอร์มพกพา
    ใช้เทคโนโลยีการผลิต 18A เป็นครั้งแรกในผลิตภัณฑ์ผู้บริโภค
    ประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงกว่า Lunar Lake ถึง 30%
    ประสิทธิภาพการประมวลผลสูงขึ้น 50% ในงานข้อมูลหนัก
    ใช้สถาปัตยกรรม Cougar Cove ต่อจาก Arrow Lake H-series
    เหมาะกับโน้ตบุ๊กระดับกลางถึงสูง ไม่ใช่ชิปประหยัดพลังงาน
    คาดว่าจะมีค่า TDP ประมาณ 45W
    เป็นความพยายามของ Intel ในการกลับมาแข่งขันกับ TSMC และ Apple

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    18A เป็นกระบวนการผลิตที่ใช้ RibbonFET และ PowerVia ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ของ Intel
    Lunar Lake ใช้ TSMC N3B node ในการผลิต ทำให้มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูง
    Apple M4 ใช้สถาปัตยกรรม 3nm และมีประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงมาก
    Cougar Cove มีการปรับปรุง branch predictor และ buffer ขนาดใหญ่ขึ้น
    Panther Lake อาจเป็นชิป x86 ที่เข้าใกล้ประสิทธิภาพของ Apple M-series มากที่สุด

    https://wccftech.com/intel-panther-lake-lineup-features-30-higher-power-efficiency-compared-to-lunar-lake/
    ⚙️ “Intel Panther Lake มาแน่ต้นปี 2026 — ประสิทธิภาพสูงขึ้น 50% พร้อมประหยัดพลังงานกว่าเดิม 30% ด้วยเทคโนโลยี 18A” Intel กำลังเตรียมเปิดตัวชิปตระกูลใหม่ “Panther Lake” สำหรับแพลตฟอร์มพกพาในต้นปี 2026 โดยถือเป็นผลิตภัณฑ์แรกของผู้บริโภคที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 18A ซึ่งเป็นกระบวนการผลิตทรานซิสเตอร์ขั้นสูงที่ Intel พัฒนาขึ้นเอง โดยมีเป้าหมายเพื่อพลิกสถานการณ์ในตลาดที่กำลังถูกคู่แข่งอย่าง AMD และ Apple แย่งส่วนแบ่งไปอย่างต่อเนื่อง จากรายงานของ Reuters และ Wccftech ชิป Panther Lake จะมีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงกว่า Lunar Lake รุ่นก่อนถึง 30% และสามารถประมวลผลข้อมูลได้เร็วขึ้นถึง 50% ในงานที่ใช้ทรัพยากรสูง เช่น การประมวลผลกราฟิกและข้อมูล AI แม้รายละเอียดเชิงเทคนิคจะยังไม่เปิดเผยทั้งหมด แต่ Intel ยืนยันว่าชิปใหม่นี้จะใช้พลังงานน้อยลง และมีการปรับปรุงทั้งในส่วนของกราฟิกและซีพียู โดยใช้สถาปัตยกรรมใหม่ที่ชื่อว่า Cougar Cove ซึ่งเป็นการต่อยอดจาก Arrow Lake H-series Panther Lake ยังถูกวางตำแหน่งให้เป็นชิประดับกลางถึงสูง ไม่ใช่ชิปประหยัดพลังงานแบบ Lunar Lake โดยคาดว่าจะมีค่า TDP อยู่ในช่วง 45W ซึ่งเหมาะกับโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูงและอุปกรณ์พกพาที่ต้องการพลังในการประมวลผลมากขึ้น การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ Intel ในการกลับมาแข่งขันกับ TSMC และ Apple โดยเฉพาะในด้านประสิทธิภาพต่อวัตต์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ Intel ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel เตรียมเปิดตัวชิป Panther Lake ต้นปี 2026 สำหรับแพลตฟอร์มพกพา ➡️ ใช้เทคโนโลยีการผลิต 18A เป็นครั้งแรกในผลิตภัณฑ์ผู้บริโภค ➡️ ประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงกว่า Lunar Lake ถึง 30% ➡️ ประสิทธิภาพการประมวลผลสูงขึ้น 50% ในงานข้อมูลหนัก ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Cougar Cove ต่อจาก Arrow Lake H-series ➡️ เหมาะกับโน้ตบุ๊กระดับกลางถึงสูง ไม่ใช่ชิปประหยัดพลังงาน ➡️ คาดว่าจะมีค่า TDP ประมาณ 45W ➡️ เป็นความพยายามของ Intel ในการกลับมาแข่งขันกับ TSMC และ Apple ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 18A เป็นกระบวนการผลิตที่ใช้ RibbonFET และ PowerVia ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ของ Intel ➡️ Lunar Lake ใช้ TSMC N3B node ในการผลิต ทำให้มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูง ➡️ Apple M4 ใช้สถาปัตยกรรม 3nm และมีประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงมาก ➡️ Cougar Cove มีการปรับปรุง branch predictor และ buffer ขนาดใหญ่ขึ้น ➡️ Panther Lake อาจเป็นชิป x86 ที่เข้าใกล้ประสิทธิภาพของ Apple M-series มากที่สุด https://wccftech.com/intel-panther-lake-lineup-features-30-higher-power-efficiency-compared-to-lunar-lake/
    WCCFTECH.COM
    Intel's Next-Gen Panther Lake Lineup Features 30% Higher Power Efficiency Compared to Lunar Lake, Driven By 18A Adoption
    Details around Intel's Panther Lake have started to surface and the mobile platform will feature impressive performance per watt figures.
    0 Comments 0 Shares 54 Views 0 Reviews
  • “T-Glass ขาดแคลนหนัก กระทบการผลิตชิปสมาร์ตโฟน — ผลพวงจากกระแส AI ที่ลามถึงซัพพลายเชน”

    ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 อุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนวัสดุสำคัญอย่าง “T-glass” ซึ่งเป็นไฟเบอร์กลาสชนิดพิเศษที่ใช้ในแผ่นฐาน (substrate) ของชิป SoC โดยเฉพาะในสมาร์ตโฟนระดับสูง ปัญหานี้เกิดจากความต้องการที่พุ่งสูงของชิป AI อย่าง GPU และ ASIC ที่ใช้วัสดุเดียวกันในแผ่น ABF (Ajinomoto Build-up Film) ซึ่งมีความซับซ้อนและต้องใช้ T-glass ในปริมาณมาก

    Goldman Sachs รายงานว่า T-glass สำหรับ BT substrate ซึ่งเป็นวัสดุหลักในชิปสมาร์ตโฟน อาจขาดแคลนในระดับ “สองหลัก” (double-digit percentage) ต่อเนื่องไปอีกหลายเดือนถึงไตรมาสหน้า ส่งผลให้ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนอาจต้องปรับแผนการผลิตหรือหาวัสดุทดแทนที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเทียบเท่า

    T-glass มีคุณสมบัติเด่น เช่น ความเสถียรด้านความร้อน พื้นผิวเรียบสำหรับการเดินสายไฟละเอียด และความทนทานสูง ซึ่งทำให้เป็นวัสดุที่ขาดไม่ได้ในชิปที่มีความหนาแน่นสูงและต้องการความแม่นยำในการผลิต

    ในขณะที่ ABF substrate ถูกใช้ในชิป AI ที่มีจำนวนขา (pin count) สูงและต้องการการเชื่อมต่อที่แม่นยำ ทำให้ซัพพลายของ T-glass ถูกดูดไปใช้ในตลาด AI อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงที่ NVIDIA และ TSMC เร่งผลิตชิปรุ่นใหม่สำหรับแพลตฟอร์ม Windows AI

    สถานการณ์นี้ยิ่งน่ากังวลเมื่อพิจารณาว่า Apple เตรียมเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ถึง 6 รุ่นในปี 2026 รวมถึงรุ่นพับได้ ซึ่งคาดว่าจะมียอดส่งมอบกว่า 250 ล้านเครื่อง หากไม่มีวัสดุเพียงพอ อาจกระทบต่อการเปิดตัวและราคาของสมาร์ตโฟนในวงกว้าง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    T-glass เป็นวัสดุสำคัญใน substrate ของชิปสมาร์ตโฟน โดยเฉพาะ BT substrate
    ความต้องการ T-glass พุ่งสูงจากการผลิต ABF substrate สำหรับชิป AI
    Goldman Sachs คาดการณ์ว่า T-glass จะขาดแคลนในระดับ “สองหลัก” ต่อเนื่องหลายเดือน
    ABF substrate ใช้ใน GPU และ ASIC ที่มีความซับซ้อนสูง
    T-glass มีคุณสมบัติเด่นด้านความร้อน พื้นผิวเรียบ และความทนทาน
    Apple เตรียมเปิดตัว iPhone 6 รุ่นในปี 2026 รวมถึงรุ่นพับได้
    คาดว่าจะมีการส่งมอบ iPhone กว่า 250 ล้านเครื่องในปีหน้า
    การขาดแคลน T-glass อาจกระทบต่อแผนการผลิตและราคาสมาร์ตโฟน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    BT substrate ประกอบด้วยเรซิน Bismaleimide Triazine และ T-glass reinforcement
    ABF substrate มีโครงสร้างหลายชั้นบนแผ่นทองแดง ใช้ในชิปที่มี pin count สูง
    T-glass มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่น โดยผู้ผลิตหลักคือ Nitto Boseki
    ราคาของ T-glass เกรดสูงอาจสูงถึง $80–100 ต่อกิโลกรัม
    ผู้ผลิตชิปอย่าง MediaTek และ Qualcomm อาจต้องปรับสูตรวัสดุเพื่อรับมือ

    https://wccftech.com/a-key-component-for-smartphone-socs-now-faces-prolonged-double-digit-percentage-shortage/
    📱 “T-Glass ขาดแคลนหนัก กระทบการผลิตชิปสมาร์ตโฟน — ผลพวงจากกระแส AI ที่ลามถึงซัพพลายเชน” ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 อุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนวัสดุสำคัญอย่าง “T-glass” ซึ่งเป็นไฟเบอร์กลาสชนิดพิเศษที่ใช้ในแผ่นฐาน (substrate) ของชิป SoC โดยเฉพาะในสมาร์ตโฟนระดับสูง ปัญหานี้เกิดจากความต้องการที่พุ่งสูงของชิป AI อย่าง GPU และ ASIC ที่ใช้วัสดุเดียวกันในแผ่น ABF (Ajinomoto Build-up Film) ซึ่งมีความซับซ้อนและต้องใช้ T-glass ในปริมาณมาก Goldman Sachs รายงานว่า T-glass สำหรับ BT substrate ซึ่งเป็นวัสดุหลักในชิปสมาร์ตโฟน อาจขาดแคลนในระดับ “สองหลัก” (double-digit percentage) ต่อเนื่องไปอีกหลายเดือนถึงไตรมาสหน้า ส่งผลให้ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนอาจต้องปรับแผนการผลิตหรือหาวัสดุทดแทนที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเทียบเท่า T-glass มีคุณสมบัติเด่น เช่น ความเสถียรด้านความร้อน พื้นผิวเรียบสำหรับการเดินสายไฟละเอียด และความทนทานสูง ซึ่งทำให้เป็นวัสดุที่ขาดไม่ได้ในชิปที่มีความหนาแน่นสูงและต้องการความแม่นยำในการผลิต ในขณะที่ ABF substrate ถูกใช้ในชิป AI ที่มีจำนวนขา (pin count) สูงและต้องการการเชื่อมต่อที่แม่นยำ ทำให้ซัพพลายของ T-glass ถูกดูดไปใช้ในตลาด AI อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงที่ NVIDIA และ TSMC เร่งผลิตชิปรุ่นใหม่สำหรับแพลตฟอร์ม Windows AI สถานการณ์นี้ยิ่งน่ากังวลเมื่อพิจารณาว่า Apple เตรียมเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ถึง 6 รุ่นในปี 2026 รวมถึงรุ่นพับได้ ซึ่งคาดว่าจะมียอดส่งมอบกว่า 250 ล้านเครื่อง หากไม่มีวัสดุเพียงพอ อาจกระทบต่อการเปิดตัวและราคาของสมาร์ตโฟนในวงกว้าง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ T-glass เป็นวัสดุสำคัญใน substrate ของชิปสมาร์ตโฟน โดยเฉพาะ BT substrate ➡️ ความต้องการ T-glass พุ่งสูงจากการผลิต ABF substrate สำหรับชิป AI ➡️ Goldman Sachs คาดการณ์ว่า T-glass จะขาดแคลนในระดับ “สองหลัก” ต่อเนื่องหลายเดือน ➡️ ABF substrate ใช้ใน GPU และ ASIC ที่มีความซับซ้อนสูง ➡️ T-glass มีคุณสมบัติเด่นด้านความร้อน พื้นผิวเรียบ และความทนทาน ➡️ Apple เตรียมเปิดตัว iPhone 6 รุ่นในปี 2026 รวมถึงรุ่นพับได้ ➡️ คาดว่าจะมีการส่งมอบ iPhone กว่า 250 ล้านเครื่องในปีหน้า ➡️ การขาดแคลน T-glass อาจกระทบต่อแผนการผลิตและราคาสมาร์ตโฟน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ BT substrate ประกอบด้วยเรซิน Bismaleimide Triazine และ T-glass reinforcement ➡️ ABF substrate มีโครงสร้างหลายชั้นบนแผ่นทองแดง ใช้ในชิปที่มี pin count สูง ➡️ T-glass มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่น โดยผู้ผลิตหลักคือ Nitto Boseki ➡️ ราคาของ T-glass เกรดสูงอาจสูงถึง $80–100 ต่อกิโลกรัม ➡️ ผู้ผลิตชิปอย่าง MediaTek และ Qualcomm อาจต้องปรับสูตรวัสดุเพื่อรับมือ https://wccftech.com/a-key-component-for-smartphone-socs-now-faces-prolonged-double-digit-percentage-shortage/
    WCCFTECH.COM
    A Key Component For Smartphone SoCs Now Faces Prolonged "Double-Digit Percentage Shortage"
    This is a worrying development for the broader smartphone market, especially at a time when the industry is gearing up for a vibrant 2026.
    0 Comments 0 Shares 46 Views 0 Reviews
  • “Zhaoxin เปิดตัว KH-50000 ซีพียู 96 คอร์ — ท้าชน AMD EPYC ด้วยดีไซน์ chiplet และแบนด์วิดธ์ระดับเซิร์ฟเวอร์”

    Zhaoxin ผู้ผลิตชิปจากจีนที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในตลาดโลก ได้เปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ KH-50000 สำหรับเซิร์ฟเวอร์ โดยมีจำนวนคอร์สูงถึง 96 คอร์ ใช้ดีไซน์แบบ chiplet ที่คล้ายกับ AMD EPYC รุ่น Genoa และ Bergamo ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดเซิร์ฟเวอร์ระดับสูง

    KH-50000 ใช้สถาปัตยกรรม “Century Avenue” ที่สืบทอดจาก Centaur Technology โดยประกอบด้วย 12 compute dies ล้อมรอบ I/O die ขนาดใหญ่ รวมเป็น 96 คอร์ และแคช L3 ขนาด 384MB โดยไม่มี simultaneous multithreading ทำให้จำนวนเธรดเท่ากับจำนวนคอร์

    ชิปนี้รองรับหน่วยความจำ DDR5 ECC แบบ 12 ช่อง รวมสูงสุดถึง 3TB และมี PCIe 5.0 ถึง 128 lanes พร้อม PCIe 4.0 อีก 16 lanes ซึ่งถือเป็นการก้าวกระโดดจากรุ่นก่อน KH-40000 ที่รองรับแค่ DDR4 และ PCIe 3.0

    KH-50000 ยังสามารถใช้งานแบบ multi-socket ด้วย interconnect ZPI 5.0 ซึ่งรองรับการติดตั้ง 2S และ 4S ทำให้สามารถรวมได้ถึง 384 คอร์ในเมนบอร์ดเดียว โดยมีขนาดแพ็กเกจ 72 x 76 มม. ใกล้เคียงกับ AMD SP5 socket

    แม้จะมีการเปิดเผยสเปกหลายด้าน แต่ Zhaoxin ยังไม่เปิดเผยค่า TDP (thermal design power) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการประเมินความเหมาะสมของชิปในศูนย์ข้อมูลที่ต้องการประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Zhaoxin เปิดตัว KH-50000 ซีพียูเซิร์ฟเวอร์แบบ 96 คอร์
    ใช้ดีไซน์ chiplet ประกอบด้วย 12 compute dies และ I/O die
    ไม่มี simultaneous multithreading — เธรดเท่ากับจำนวนคอร์
    รองรับ DDR5 ECC แบบ 12 ช่อง รวมสูงสุด 3TB
    มี PCIe 5.0 จำนวน 128 lanes และ PCIe 4.0 อีก 16 lanes
    ใช้ interconnect ZPI 5.0 รองรับ multi-socket สูงสุด 4 ชิป (384 คอร์)
    ขนาดแพ็กเกจ 72 x 76 มม. ใกล้เคียง AMD EPYC SP5
    เหมาะสำหรับงานเซิร์ฟเวอร์ ไม่ใช่สำหรับเดสก์ท็อปหรือเกม
    เปรียบเทียบกับ AMD EPYC Genoa และ Bergamo ในด้านดีไซน์และขนาด
    ยังไม่เปิดเผยค่า TDP ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการใช้งานจริง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Zhaoxin เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง VIA Technologies และรัฐบาลเซี่ยงไฮ้
    AMD EPYC Genoa มี TDP อยู่ที่ประมาณ 300–500W สำหรับ 96 คอร์
    การใช้ chiplet ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิต
    ZPI 5.0 มีแนวคิดคล้าย Infinity Fabric ของ AMD สำหรับการเชื่อมต่อหลายชิป
    KH-50000 อาจเป็นก้าวสำคัญของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตก

    https://www.techradar.com/pro/a-cpu-vendor-youve-never-heard-of-could-launch-a-96-core-x86-cpu-that-is-very-very-similar-to-amds-epyc-but-i-wonder-what-the-tdp-will-be-on-that-one
    🧬 “Zhaoxin เปิดตัว KH-50000 ซีพียู 96 คอร์ — ท้าชน AMD EPYC ด้วยดีไซน์ chiplet และแบนด์วิดธ์ระดับเซิร์ฟเวอร์” Zhaoxin ผู้ผลิตชิปจากจีนที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในตลาดโลก ได้เปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ KH-50000 สำหรับเซิร์ฟเวอร์ โดยมีจำนวนคอร์สูงถึง 96 คอร์ ใช้ดีไซน์แบบ chiplet ที่คล้ายกับ AMD EPYC รุ่น Genoa และ Bergamo ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดเซิร์ฟเวอร์ระดับสูง KH-50000 ใช้สถาปัตยกรรม “Century Avenue” ที่สืบทอดจาก Centaur Technology โดยประกอบด้วย 12 compute dies ล้อมรอบ I/O die ขนาดใหญ่ รวมเป็น 96 คอร์ และแคช L3 ขนาด 384MB โดยไม่มี simultaneous multithreading ทำให้จำนวนเธรดเท่ากับจำนวนคอร์ ชิปนี้รองรับหน่วยความจำ DDR5 ECC แบบ 12 ช่อง รวมสูงสุดถึง 3TB และมี PCIe 5.0 ถึง 128 lanes พร้อม PCIe 4.0 อีก 16 lanes ซึ่งถือเป็นการก้าวกระโดดจากรุ่นก่อน KH-40000 ที่รองรับแค่ DDR4 และ PCIe 3.0 KH-50000 ยังสามารถใช้งานแบบ multi-socket ด้วย interconnect ZPI 5.0 ซึ่งรองรับการติดตั้ง 2S และ 4S ทำให้สามารถรวมได้ถึง 384 คอร์ในเมนบอร์ดเดียว โดยมีขนาดแพ็กเกจ 72 x 76 มม. ใกล้เคียงกับ AMD SP5 socket แม้จะมีการเปิดเผยสเปกหลายด้าน แต่ Zhaoxin ยังไม่เปิดเผยค่า TDP (thermal design power) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการประเมินความเหมาะสมของชิปในศูนย์ข้อมูลที่ต้องการประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Zhaoxin เปิดตัว KH-50000 ซีพียูเซิร์ฟเวอร์แบบ 96 คอร์ ➡️ ใช้ดีไซน์ chiplet ประกอบด้วย 12 compute dies และ I/O die ➡️ ไม่มี simultaneous multithreading — เธรดเท่ากับจำนวนคอร์ ➡️ รองรับ DDR5 ECC แบบ 12 ช่อง รวมสูงสุด 3TB ➡️ มี PCIe 5.0 จำนวน 128 lanes และ PCIe 4.0 อีก 16 lanes ➡️ ใช้ interconnect ZPI 5.0 รองรับ multi-socket สูงสุด 4 ชิป (384 คอร์) ➡️ ขนาดแพ็กเกจ 72 x 76 มม. ใกล้เคียง AMD EPYC SP5 ➡️ เหมาะสำหรับงานเซิร์ฟเวอร์ ไม่ใช่สำหรับเดสก์ท็อปหรือเกม ➡️ เปรียบเทียบกับ AMD EPYC Genoa และ Bergamo ในด้านดีไซน์และขนาด ➡️ ยังไม่เปิดเผยค่า TDP ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการใช้งานจริง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Zhaoxin เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง VIA Technologies และรัฐบาลเซี่ยงไฮ้ ➡️ AMD EPYC Genoa มี TDP อยู่ที่ประมาณ 300–500W สำหรับ 96 คอร์ ➡️ การใช้ chiplet ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิต ➡️ ZPI 5.0 มีแนวคิดคล้าย Infinity Fabric ของ AMD สำหรับการเชื่อมต่อหลายชิป ➡️ KH-50000 อาจเป็นก้าวสำคัญของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตก https://www.techradar.com/pro/a-cpu-vendor-youve-never-heard-of-could-launch-a-96-core-x86-cpu-that-is-very-very-similar-to-amds-epyc-but-i-wonder-what-the-tdp-will-be-on-that-one
    WWW.TECHRADAR.COM
    A server processor from China now rivals AMD with 96 cores
    Processor achieves 96 cores through twelve compute dies and a large cache
    0 Comments 0 Shares 38 Views 0 Reviews
  • “Dell ปรับเป้ารายได้ครั้งใหญ่ รับกระแส AI พุ่งแรง — คาดแตะ 20 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026”

    Dell Technologies ประกาศปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้ระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากความต้องการโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI พุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากลูกค้ารายใหญ่ เช่น CoreWeave และ xAI ของ Elon Musk ที่กำลังเร่งขยายการติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูง

    หลังการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม Dell คาดว่ารายได้ต่อปีจะเติบโตเฉลี่ย 7–9% จนถึงปีงบประมาณ 2030 จากเดิมที่คาดไว้เพียง 3–4% ขณะที่กำไรต่อหุ้นปรับแล้วจะเติบโตอย่างน้อย 15% ต่อปี ซึ่งเกือบสองเท่าจากเป้าหมายเดิมที่ 8%

    ยอดขายเซิร์ฟเวอร์ AI ของ Dell ในไตรมาสล่าสุดอยู่ที่ 8.2 พันล้านดอลลาร์ และมีคำสั่งซื้อค้างส่งอีก 11.7 พันล้านดอลลาร์ โดยบริษัทตั้งเป้าว่าจะมีรายได้จากเซิร์ฟเวอร์ AI ถึง 20 พันล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2026

    กลุ่ม Infrastructure Solutions Group ซึ่งดูแลเซิร์ฟเวอร์ สตอเรจ และเครือข่าย มีอัตราการเติบโตใหม่ที่ 11–14% ต่อปี จากเดิม 6–8% ถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่า Dell กำลังกลายเป็นผู้เล่นหลักในห่วงโซ่อุปทานฮาร์ดแวร์สำหรับ AI

    อย่างไรก็ตาม Dell ยังเผชิญข้อจำกัดด้านการเข้าถึง GPU ระดับสูงจาก Nvidia ซึ่งเป็นหัวใจของเซิร์ฟเวอร์ AI โดยเฉพาะในสาย PowerEdge ที่ออกแบบมาเพื่องาน AI โดยตรง

    ในด้านธุรกิจพีซี Dell ยังคงคาดการณ์การเติบโตเพียง 1% ต่อปี โดยหวังพึ่งการเปลี่ยนเครื่องใหม่หลัง Windows 10 หมดอายุการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มองค์กรที่ยังใช้เครื่องรุ่นเก่า

    Dell ยังยืนยันว่าจะเพิ่มเงินปันผลอย่างน้อย 10% ต่อปีจนถึงปีงบประมาณ 2030 แม้จะมีความเสี่ยงด้าน margin จากต้นทุนการผลิตและการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดเซิร์ฟเวอร์ AI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Dell ปรับเป้ารายได้ระยะยาวเป็น 7–9% ต่อปี จากเดิม 3–4%
    กำไรต่อหุ้นปรับแล้วคาดโต 15% ต่อปี จากเดิม 8%
    ยอดขายเซิร์ฟเวอร์ AI ไตรมาสล่าสุดอยู่ที่ 8.2 พันล้านดอลลาร์
    คำสั่งซื้อค้างส่งรวม 11.7 พันล้านดอลลาร์
    ตั้งเป้ารายได้จากเซิร์ฟเวอร์ AI แตะ 20 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026
    กลุ่ม Infrastructure Solutions Group โต 11–14% ต่อปี
    ลูกค้าหลักคือ CoreWeave และ xAI ของ Elon Musk
    Dell จะเพิ่มเงินปันผลอย่างน้อย 10% ต่อปีจนถึงปี 2030
    ธุรกิจพีซีคาดโตเพียง 1% ต่อปี โดยเน้นกลุ่มองค์กร
    การเปลี่ยนเครื่องใหม่หลัง Windows 10 หมดอายุเป็นแรงขับสำคัญ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    CoreWeave เป็นผู้ให้บริการคลาวด์ที่เน้นงาน AI และ GPU โดยเฉพาะ
    xAI ของ Elon Musk เน้นการพัฒนาโมเดล AI ที่เข้าใจจักรวาล
    PowerEdge เป็นสายเซิร์ฟเวอร์ของ Dell ที่ออกแบบมาเพื่องาน AI และ HPC
    Windows 10 จะหมดการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคม 2025
    ตลาดเซิร์ฟเวอร์ AI คาดว่าจะมีมูลค่ารวมกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/dell-doubles-long-term-growth-expectations-due-to-surging-ai-demands
    📈 “Dell ปรับเป้ารายได้ครั้งใหญ่ รับกระแส AI พุ่งแรง — คาดแตะ 20 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026” Dell Technologies ประกาศปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้ระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากความต้องการโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI พุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากลูกค้ารายใหญ่ เช่น CoreWeave และ xAI ของ Elon Musk ที่กำลังเร่งขยายการติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูง หลังการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม Dell คาดว่ารายได้ต่อปีจะเติบโตเฉลี่ย 7–9% จนถึงปีงบประมาณ 2030 จากเดิมที่คาดไว้เพียง 3–4% ขณะที่กำไรต่อหุ้นปรับแล้วจะเติบโตอย่างน้อย 15% ต่อปี ซึ่งเกือบสองเท่าจากเป้าหมายเดิมที่ 8% ยอดขายเซิร์ฟเวอร์ AI ของ Dell ในไตรมาสล่าสุดอยู่ที่ 8.2 พันล้านดอลลาร์ และมีคำสั่งซื้อค้างส่งอีก 11.7 พันล้านดอลลาร์ โดยบริษัทตั้งเป้าว่าจะมีรายได้จากเซิร์ฟเวอร์ AI ถึง 20 พันล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2026 กลุ่ม Infrastructure Solutions Group ซึ่งดูแลเซิร์ฟเวอร์ สตอเรจ และเครือข่าย มีอัตราการเติบโตใหม่ที่ 11–14% ต่อปี จากเดิม 6–8% ถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่า Dell กำลังกลายเป็นผู้เล่นหลักในห่วงโซ่อุปทานฮาร์ดแวร์สำหรับ AI อย่างไรก็ตาม Dell ยังเผชิญข้อจำกัดด้านการเข้าถึง GPU ระดับสูงจาก Nvidia ซึ่งเป็นหัวใจของเซิร์ฟเวอร์ AI โดยเฉพาะในสาย PowerEdge ที่ออกแบบมาเพื่องาน AI โดยตรง ในด้านธุรกิจพีซี Dell ยังคงคาดการณ์การเติบโตเพียง 1% ต่อปี โดยหวังพึ่งการเปลี่ยนเครื่องใหม่หลัง Windows 10 หมดอายุการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มองค์กรที่ยังใช้เครื่องรุ่นเก่า Dell ยังยืนยันว่าจะเพิ่มเงินปันผลอย่างน้อย 10% ต่อปีจนถึงปีงบประมาณ 2030 แม้จะมีความเสี่ยงด้าน margin จากต้นทุนการผลิตและการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดเซิร์ฟเวอร์ AI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Dell ปรับเป้ารายได้ระยะยาวเป็น 7–9% ต่อปี จากเดิม 3–4% ➡️ กำไรต่อหุ้นปรับแล้วคาดโต 15% ต่อปี จากเดิม 8% ➡️ ยอดขายเซิร์ฟเวอร์ AI ไตรมาสล่าสุดอยู่ที่ 8.2 พันล้านดอลลาร์ ➡️ คำสั่งซื้อค้างส่งรวม 11.7 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ตั้งเป้ารายได้จากเซิร์ฟเวอร์ AI แตะ 20 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026 ➡️ กลุ่ม Infrastructure Solutions Group โต 11–14% ต่อปี ➡️ ลูกค้าหลักคือ CoreWeave และ xAI ของ Elon Musk ➡️ Dell จะเพิ่มเงินปันผลอย่างน้อย 10% ต่อปีจนถึงปี 2030 ➡️ ธุรกิจพีซีคาดโตเพียง 1% ต่อปี โดยเน้นกลุ่มองค์กร ➡️ การเปลี่ยนเครื่องใหม่หลัง Windows 10 หมดอายุเป็นแรงขับสำคัญ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ CoreWeave เป็นผู้ให้บริการคลาวด์ที่เน้นงาน AI และ GPU โดยเฉพาะ ➡️ xAI ของ Elon Musk เน้นการพัฒนาโมเดล AI ที่เข้าใจจักรวาล ➡️ PowerEdge เป็นสายเซิร์ฟเวอร์ของ Dell ที่ออกแบบมาเพื่องาน AI และ HPC ➡️ Windows 10 จะหมดการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ➡️ ตลาดเซิร์ฟเวอร์ AI คาดว่าจะมีมูลค่ารวมกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีในอนาคต https://www.tomshardware.com/tech-industry/dell-doubles-long-term-growth-expectations-due-to-surging-ai-demands
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Dell bets big on an AI infrastructure payoff—new four-year revenue forecast doubles prior guidance
    Dell anticipates strong long-term growth as clients like xAI and CoreWeave ramp up high-performance deployments.
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • “Amazon เปิดตัว Vega OS — ระบบปฏิบัติการใหม่แทน Android บน Fire TV เพื่ออิสระและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า”

    หลังจากใช้ Fire OS ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาต่อจาก Android มานานหลายปี Amazon ได้ประกาศเปิดตัว Vega OS ระบบปฏิบัติการใหม่ที่พัฒนาขึ้นเองโดยใช้ Linux เป็นฐานหลัก โดยเริ่มใช้งานจริงบนอุปกรณ์ Fire TV Stick 4K Select ซึ่งเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025

    Vega OS ถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพสูงและใช้ทรัพยากรน้อย โดยสามารถทำงานได้ลื่นไหลแม้มี RAM เพียง 1 GB ซึ่งน้อยกว่ารุ่นก่อนที่ใช้ Fire OS ถึงครึ่งหนึ่ง จุดเด่นคือการเปิดแอปได้เร็วและการนำทางที่ราบรื่น

    เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแอปบน Vega OS Amazon ได้เปิดตัว Vega Developer Tools ซึ่งรองรับ React Native 0.72 และเทคโนโลยีเว็บผ่าน Vega WebView ทำให้นักพัฒนาสามารถนำโค้ดเดิมจาก Fire OS มาใช้ต่อได้ง่ายขึ้น

    อย่างไรก็ตาม Vega OS มีข้อจำกัดสำคัญคือไม่รองรับการ sideload แอปจากภายนอกอีกต่อไป ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปได้เฉพาะจาก Amazon Appstore เท่านั้น โดย Amazon ระบุว่าเป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัย

    เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ยังสามารถใช้งานแอปที่ยังไม่ถูกพอร์ตมายัง Vega OS ได้ Amazon ได้เปิดตัว Cloud App Program ที่ให้บริการสตรีมแอป Android ผ่านคลาวด์ โดยจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้พัฒนาในช่วง 9 เดือนแรก

    แม้จะมีการเปิดตัว Vega OS แต่ Amazon ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุน Fire OS ต่อไป และจะมีอุปกรณ์ใหม่ที่ใช้ Fire OS วางจำหน่ายควบคู่กันไปในระยะเปลี่ยนผ่าน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Amazon เปิดตัว Vega OS ระบบปฏิบัติการใหม่สำหรับ Fire TV
    ใช้ Linux เป็นฐานหลักแทน Android ที่ใช้ใน Fire OS
    เริ่มใช้งานจริงบน Fire TV Stick 4K Select
    Vega OS ใช้ RAM เพียง 1 GB แต่ยังคงทำงานได้ลื่นไหล
    เปิดตัว Vega Developer Tools รองรับ React Native และ Vega WebView
    ไม่รองรับ sideload แอปจากภายนอกอีกต่อไป
    ติดตั้งแอปได้เฉพาะจาก Amazon Appstore เท่านั้น
    เปิดตัว Cloud App Program สำหรับสตรีมแอป Android ผ่านคลาวด์
    Amazon สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้พัฒนาในช่วง 9 เดือนแรก
    ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุน Fire OS และเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ควบคู่กันไป

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Vega OS ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2023 และใช้ในอุปกรณ์ Echo บางรุ่นแล้ว
    การใช้ Linux ช่วยให้ Amazon มีอิสระจากข้อจำกัดของ Google และ Android
    React Native เป็นเฟรมเวิร์กยอดนิยมที่ช่วยให้พัฒนาแอปข้ามแพลตฟอร์มได้ง่าย
    Fire TV Stick 4K Select รองรับ 4K HDR10+, Dolby Atmos และ Bluetooth 5.0
    Vega OS อาจช่วยลดต้นทุนการผลิต ทำให้อุปกรณ์มีราคาถูกลง

    https://news.itsfoss.com/amazon-vega-os/
    📺 “Amazon เปิดตัว Vega OS — ระบบปฏิบัติการใหม่แทน Android บน Fire TV เพื่ออิสระและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า” หลังจากใช้ Fire OS ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาต่อจาก Android มานานหลายปี Amazon ได้ประกาศเปิดตัว Vega OS ระบบปฏิบัติการใหม่ที่พัฒนาขึ้นเองโดยใช้ Linux เป็นฐานหลัก โดยเริ่มใช้งานจริงบนอุปกรณ์ Fire TV Stick 4K Select ซึ่งเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 Vega OS ถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพสูงและใช้ทรัพยากรน้อย โดยสามารถทำงานได้ลื่นไหลแม้มี RAM เพียง 1 GB ซึ่งน้อยกว่ารุ่นก่อนที่ใช้ Fire OS ถึงครึ่งหนึ่ง จุดเด่นคือการเปิดแอปได้เร็วและการนำทางที่ราบรื่น เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแอปบน Vega OS Amazon ได้เปิดตัว Vega Developer Tools ซึ่งรองรับ React Native 0.72 และเทคโนโลยีเว็บผ่าน Vega WebView ทำให้นักพัฒนาสามารถนำโค้ดเดิมจาก Fire OS มาใช้ต่อได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม Vega OS มีข้อจำกัดสำคัญคือไม่รองรับการ sideload แอปจากภายนอกอีกต่อไป ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปได้เฉพาะจาก Amazon Appstore เท่านั้น โดย Amazon ระบุว่าเป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัย เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ยังสามารถใช้งานแอปที่ยังไม่ถูกพอร์ตมายัง Vega OS ได้ Amazon ได้เปิดตัว Cloud App Program ที่ให้บริการสตรีมแอป Android ผ่านคลาวด์ โดยจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้พัฒนาในช่วง 9 เดือนแรก แม้จะมีการเปิดตัว Vega OS แต่ Amazon ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุน Fire OS ต่อไป และจะมีอุปกรณ์ใหม่ที่ใช้ Fire OS วางจำหน่ายควบคู่กันไปในระยะเปลี่ยนผ่าน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Amazon เปิดตัว Vega OS ระบบปฏิบัติการใหม่สำหรับ Fire TV ➡️ ใช้ Linux เป็นฐานหลักแทน Android ที่ใช้ใน Fire OS ➡️ เริ่มใช้งานจริงบน Fire TV Stick 4K Select ➡️ Vega OS ใช้ RAM เพียง 1 GB แต่ยังคงทำงานได้ลื่นไหล ➡️ เปิดตัว Vega Developer Tools รองรับ React Native และ Vega WebView ➡️ ไม่รองรับ sideload แอปจากภายนอกอีกต่อไป ➡️ ติดตั้งแอปได้เฉพาะจาก Amazon Appstore เท่านั้น ➡️ เปิดตัว Cloud App Program สำหรับสตรีมแอป Android ผ่านคลาวด์ ➡️ Amazon สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้พัฒนาในช่วง 9 เดือนแรก ➡️ ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุน Fire OS และเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ควบคู่กันไป ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Vega OS ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2023 และใช้ในอุปกรณ์ Echo บางรุ่นแล้ว ➡️ การใช้ Linux ช่วยให้ Amazon มีอิสระจากข้อจำกัดของ Google และ Android ➡️ React Native เป็นเฟรมเวิร์กยอดนิยมที่ช่วยให้พัฒนาแอปข้ามแพลตฟอร์มได้ง่าย ➡️ Fire TV Stick 4K Select รองรับ 4K HDR10+, Dolby Atmos และ Bluetooth 5.0 ➡️ Vega OS อาจช่วยลดต้นทุนการผลิต ทำให้อุปกรณ์มีราคาถูกลง https://news.itsfoss.com/amazon-vega-os/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Amazon Ditches Android — Launches 'Linux-Based' Vega OS for Fire TV
    Amazon's new OS has some Linux bits inside. The move aims to stop relying on Google's Android for Amazon devices.
    0 Comments 0 Shares 51 Views 0 Reviews
  • “Applied Materials เปิดตัว 3 ระบบใหม่พลิกโฉมการผลิตชิป — รองรับ AI ยุค 2nm และ 3D อย่างเต็มรูปแบบ”

    Applied Materials บริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก ได้เปิดตัวระบบใหม่ 3 รายการที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับการผลิตชิปให้รองรับความต้องการของยุค AI โดยเน้นที่การเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงาน และรองรับโครงสร้างชิปที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น Gate-All-Around (GAA), DRAM ความเร็วสูง และการแพ็กเกจแบบ 3D

    1️⃣ ระบบแรกคือ Kinex Bonding System ซึ่งเป็นเครื่องไฮบริดบอนเดอร์แบบ die-to-wafer ตัวแรกของอุตสาหกรรม โดยร่วมพัฒนากับบริษัท Besi จากเนเธอร์แลนด์ ระบบนี้รวมขั้นตอนการบอนด์ทั้งหมดไว้ในเครื่องเดียว ทำให้สามารถจัดการแพ็กเกจแบบ multi-die ได้ดีขึ้น ลดระยะเวลาและความคลาดเคลื่อนในการประกอบ และรองรับการเชื่อมต่อแบบ copper-to-copper ที่แม่นยำและประหยัดพลังงาน

    2️⃣ ระบบที่สองคือ Centura Xtera Epi System สำหรับการสร้างทรานซิสเตอร์ GAA ที่ระดับ 2nm และต่ำกว่า โดยใช้กระบวนการ epitaxial deposition แบบใหม่ที่สามารถเติมวัสดุในร่องลึกของทรานซิสเตอร์ได้อย่างสม่ำเสมอ ลดการเกิดช่องว่างและเพิ่มความแม่นยำในการเติบโตของวัสดุถึง 40% พร้อมลดการใช้แก๊สลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับระบบเดิม

    3️⃣ ระบบสุดท้ายคือ PROVision 10 eBeam Metrology System ซึ่งเป็นเครื่องวัดขนาดและภาพแบบอิเล็กตรอนที่ใช้เทคโนโลยี cold field emission (CFE) ทำให้สามารถสร้างภาพระดับ sub-nanometer ได้เร็วขึ้นถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับระบบเดิม รองรับการวัดโครงสร้าง 3D ที่ซับซ้อน เช่น DRAM รุ่นใหม่, 3D NAND และทรานซิสเตอร์แบบ backside power delivery

    ทั้งสามระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการผลิตชิปที่ใช้ในงาน AI โดยเฉพาะ เช่น GPU, HPC และระบบ edge computing ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการจัดการพลังงานที่ดีเยี่ยม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Applied Materials เปิดตัว 3 ระบบใหม่เพื่อการผลิตชิปยุค AI
    Kinex Bonding System เป็น die-to-wafer hybrid bonder ตัวแรกของอุตสาหกรรม
    ระบบ Kinex รวมขั้นตอนการบอนด์ทั้งหมดไว้ในเครื่องเดียว
    รองรับการเชื่อมต่อ copper-to-copper ที่แม่นยำและประหยัดพลังงาน
    Centura Xtera Epi System ใช้กระบวนการใหม่สำหรับทรานซิสเตอร์ GAA
    ลดการเกิดช่องว่างในร่องลึก และเพิ่มความแม่นยำในการเติบโตของวัสดุ 40%
    ลดการใช้แก๊สลง 50% เมื่อเทียบกับระบบเดิม
    PROVision 10 ใช้เทคโนโลยี cold field emission (CFE)
    สร้างภาพระดับ sub-nanometer ได้เร็วขึ้น 10 เท่า
    รองรับการวัดโครงสร้าง 3D เช่น DRAM, 3D NAND และ GAA

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GAA ทรานซิสเตอร์เป็นเทคโนโลยีหลักในชิประดับ 2nm ที่ใช้ใน AI และ HPC
    Hybrid bonding เป็นเทคนิคที่ใช้ในการเชื่อมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันแบบ 3D
    Cold field emission ให้ความละเอียดสูงกว่า thermal field emission ที่ใช้ทั่วไป
    การวัดแบบ eBeam ช่วยตรวจสอบความคลาดเคลื่อนในระดับนาโนได้แม่นยำ
    Applied Materials เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ในโรงงานชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    https://www.techpowerup.com/341672/applied-materials-unveils-next-gen-chipmaking-products
    🔬 “Applied Materials เปิดตัว 3 ระบบใหม่พลิกโฉมการผลิตชิป — รองรับ AI ยุค 2nm และ 3D อย่างเต็มรูปแบบ” Applied Materials บริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก ได้เปิดตัวระบบใหม่ 3 รายการที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับการผลิตชิปให้รองรับความต้องการของยุค AI โดยเน้นที่การเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงาน และรองรับโครงสร้างชิปที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น Gate-All-Around (GAA), DRAM ความเร็วสูง และการแพ็กเกจแบบ 3D 1️⃣ ระบบแรกคือ Kinex Bonding System ซึ่งเป็นเครื่องไฮบริดบอนเดอร์แบบ die-to-wafer ตัวแรกของอุตสาหกรรม โดยร่วมพัฒนากับบริษัท Besi จากเนเธอร์แลนด์ ระบบนี้รวมขั้นตอนการบอนด์ทั้งหมดไว้ในเครื่องเดียว ทำให้สามารถจัดการแพ็กเกจแบบ multi-die ได้ดีขึ้น ลดระยะเวลาและความคลาดเคลื่อนในการประกอบ และรองรับการเชื่อมต่อแบบ copper-to-copper ที่แม่นยำและประหยัดพลังงาน 2️⃣ ระบบที่สองคือ Centura Xtera Epi System สำหรับการสร้างทรานซิสเตอร์ GAA ที่ระดับ 2nm และต่ำกว่า โดยใช้กระบวนการ epitaxial deposition แบบใหม่ที่สามารถเติมวัสดุในร่องลึกของทรานซิสเตอร์ได้อย่างสม่ำเสมอ ลดการเกิดช่องว่างและเพิ่มความแม่นยำในการเติบโตของวัสดุถึง 40% พร้อมลดการใช้แก๊สลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับระบบเดิม 3️⃣ ระบบสุดท้ายคือ PROVision 10 eBeam Metrology System ซึ่งเป็นเครื่องวัดขนาดและภาพแบบอิเล็กตรอนที่ใช้เทคโนโลยี cold field emission (CFE) ทำให้สามารถสร้างภาพระดับ sub-nanometer ได้เร็วขึ้นถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับระบบเดิม รองรับการวัดโครงสร้าง 3D ที่ซับซ้อน เช่น DRAM รุ่นใหม่, 3D NAND และทรานซิสเตอร์แบบ backside power delivery ทั้งสามระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการผลิตชิปที่ใช้ในงาน AI โดยเฉพาะ เช่น GPU, HPC และระบบ edge computing ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการจัดการพลังงานที่ดีเยี่ยม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Applied Materials เปิดตัว 3 ระบบใหม่เพื่อการผลิตชิปยุค AI ➡️ Kinex Bonding System เป็น die-to-wafer hybrid bonder ตัวแรกของอุตสาหกรรม ➡️ ระบบ Kinex รวมขั้นตอนการบอนด์ทั้งหมดไว้ในเครื่องเดียว ➡️ รองรับการเชื่อมต่อ copper-to-copper ที่แม่นยำและประหยัดพลังงาน ➡️ Centura Xtera Epi System ใช้กระบวนการใหม่สำหรับทรานซิสเตอร์ GAA ➡️ ลดการเกิดช่องว่างในร่องลึก และเพิ่มความแม่นยำในการเติบโตของวัสดุ 40% ➡️ ลดการใช้แก๊สลง 50% เมื่อเทียบกับระบบเดิม ➡️ PROVision 10 ใช้เทคโนโลยี cold field emission (CFE) ➡️ สร้างภาพระดับ sub-nanometer ได้เร็วขึ้น 10 เท่า ➡️ รองรับการวัดโครงสร้าง 3D เช่น DRAM, 3D NAND และ GAA ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GAA ทรานซิสเตอร์เป็นเทคโนโลยีหลักในชิประดับ 2nm ที่ใช้ใน AI และ HPC ➡️ Hybrid bonding เป็นเทคนิคที่ใช้ในการเชื่อมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันแบบ 3D ➡️ Cold field emission ให้ความละเอียดสูงกว่า thermal field emission ที่ใช้ทั่วไป ➡️ การวัดแบบ eBeam ช่วยตรวจสอบความคลาดเคลื่อนในระดับนาโนได้แม่นยำ ➡️ Applied Materials เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ในโรงงานชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก https://www.techpowerup.com/341672/applied-materials-unveils-next-gen-chipmaking-products
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Applied Materials Unveils Next-Gen Chipmaking Products
    Applied Materials, Inc. today introduced new semiconductor manufacturing systems that boost the performance of advanced logic and memory chips foundational to AI computing. The new products target three critical areas in the race to deliver ever more powerful AI chips: leading-edge logic including G...
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
  • “Asus เผยเบื้องหลังการสร้าง ROG Astral RTX 5090D — การ์ดจอทองคำหนัก 5 กิโล มูลค่าครึ่งล้านดอลลาร์”

    ในโลกของฮาร์ดแวร์ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันด้านประสิทธิภาพและดีไซน์ Asus ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการเปิดตัว ROG Astral RTX 5090D รุ่นพิเศษที่ถือเป็น “การ์ดจอที่แพงที่สุดในโลก” ด้วยมูลค่ากว่า $500,000 หรือราว 18 ล้านบาท โดยการ์ดใบนี้ถูกสร้างขึ้นจากทองคำแท้หนักถึง 5 กิโลกรัม และมีน้ำหนักรวมกว่า 7.6 กิโลกรัม

    เบื้องหลังการสร้างมาจากโปรเจกต์ร่วมระหว่าง Asus ROG China และอินฟลูเอนเซอร์ชื่อ Uncle Tony ซึ่งเผยขั้นตอนการผลิตผ่านวิดีโอที่แสดงให้เห็นการหลอมทอง การหล่อแม่พิมพ์ และการประกอบชิ้นส่วนอย่างละเอียด โดยใช้เวลาหลายเดือนและผ่านความล้มเหลวหลายครั้งก่อนจะสำเร็จ

    การ์ดรุ่นนี้ใช้โครงสร้างของ ROG Astral รุ่นปกติเป็นต้นแบบ ก่อนจะเปลี่ยนทุกชิ้นส่วนภายนอกให้เป็นทองคำแท้ รวมถึงการชุบทองในระบบระบายความร้อนด้วยฟินจำนวนมาก ผลลัพธ์คือการ์ดจอที่ทั้งหรูหราและหนักแน่น พร้อมลวดลายมงคลและโลโก้ ROG ที่ลงอีนาเมลอย่างประณีต

    เดิมทีการ์ดใบนี้ตั้งใจจะนำไปประมูลเพื่อการกุศล แต่สุดท้ายถูกซื้อโดยนักสะสมส่วนตัว โดยรายได้บางส่วนจะนำไปบริจาคให้กับโครงการเพื่อการศึกษาของเด็กในพื้นที่ชนบทผ่าน Bilibili Charity

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Asus สร้าง ROG Astral RTX 5090D รุ่นพิเศษจากทองคำแท้หนัก 5 กิโลกรัม
    น้ำหนักรวมของการ์ดอยู่ที่ 7.6 กิโลกรัม
    มูลค่ารวมของการ์ดประมาณ $500,000 หรือราว 18 ล้านบาท
    ใช้โครงสร้างจาก ROG Astral รุ่นปกติ แล้วเปลี่ยนชิ้นส่วนภายนอกเป็นทองคำ
    ระบบระบายความร้อนถูกชุบทอง และมีฟินจำนวนมาก
    ลวดลายบนการ์ดเป็นลายมงคล พร้อมโลโก้ ROG ที่ลงอีนาเมล
    โปรเจกต์ใช้เวลาหลายเดือนและผ่านการหล่อผิดพลาดหลายครั้ง
    เดิมตั้งใจนำไปประมูลเพื่อการกุศล แต่ถูกซื้อโดยนักสะสมส่วนตัว
    รายได้บางส่วนจะบริจาคให้ Bilibili Charity เพื่อช่วยเหลือเด็กในพื้นที่ชนบท

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Asus เคยเปิดตัวรุ่น Dhahab Edition ที่ใช้ทองคำเพียง 6.5 กรัม มูลค่าราว $700
    รุ่น Dhahab เคยถูกนำไปประมูลได้สูงถึง $24,200
    การ์ดรุ่นทองคำนี้ใช้เทคนิค sand-mold casting ซึ่งให้พื้นผิวหยาบแบบศิลป์
    RTX 5090D รุ่นปกติใช้สถาปัตยกรรม Blackwell และรองรับ DLSS 4
    การ์ดรุ่นนี้ไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป เน้นสำหรับนักสะสมและโชว์ตัว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/asus-reveals-how-usd500-000-rog-astral-rtx-5090d-was-made-worlds-most-expensive-gpu-is-hewn-from-5kg-of-pure-gold
    💰 “Asus เผยเบื้องหลังการสร้าง ROG Astral RTX 5090D — การ์ดจอทองคำหนัก 5 กิโล มูลค่าครึ่งล้านดอลลาร์” ในโลกของฮาร์ดแวร์ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันด้านประสิทธิภาพและดีไซน์ Asus ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการเปิดตัว ROG Astral RTX 5090D รุ่นพิเศษที่ถือเป็น “การ์ดจอที่แพงที่สุดในโลก” ด้วยมูลค่ากว่า $500,000 หรือราว 18 ล้านบาท โดยการ์ดใบนี้ถูกสร้างขึ้นจากทองคำแท้หนักถึง 5 กิโลกรัม และมีน้ำหนักรวมกว่า 7.6 กิโลกรัม เบื้องหลังการสร้างมาจากโปรเจกต์ร่วมระหว่าง Asus ROG China และอินฟลูเอนเซอร์ชื่อ Uncle Tony ซึ่งเผยขั้นตอนการผลิตผ่านวิดีโอที่แสดงให้เห็นการหลอมทอง การหล่อแม่พิมพ์ และการประกอบชิ้นส่วนอย่างละเอียด โดยใช้เวลาหลายเดือนและผ่านความล้มเหลวหลายครั้งก่อนจะสำเร็จ การ์ดรุ่นนี้ใช้โครงสร้างของ ROG Astral รุ่นปกติเป็นต้นแบบ ก่อนจะเปลี่ยนทุกชิ้นส่วนภายนอกให้เป็นทองคำแท้ รวมถึงการชุบทองในระบบระบายความร้อนด้วยฟินจำนวนมาก ผลลัพธ์คือการ์ดจอที่ทั้งหรูหราและหนักแน่น พร้อมลวดลายมงคลและโลโก้ ROG ที่ลงอีนาเมลอย่างประณีต เดิมทีการ์ดใบนี้ตั้งใจจะนำไปประมูลเพื่อการกุศล แต่สุดท้ายถูกซื้อโดยนักสะสมส่วนตัว โดยรายได้บางส่วนจะนำไปบริจาคให้กับโครงการเพื่อการศึกษาของเด็กในพื้นที่ชนบทผ่าน Bilibili Charity ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Asus สร้าง ROG Astral RTX 5090D รุ่นพิเศษจากทองคำแท้หนัก 5 กิโลกรัม ➡️ น้ำหนักรวมของการ์ดอยู่ที่ 7.6 กิโลกรัม ➡️ มูลค่ารวมของการ์ดประมาณ $500,000 หรือราว 18 ล้านบาท ➡️ ใช้โครงสร้างจาก ROG Astral รุ่นปกติ แล้วเปลี่ยนชิ้นส่วนภายนอกเป็นทองคำ ➡️ ระบบระบายความร้อนถูกชุบทอง และมีฟินจำนวนมาก ➡️ ลวดลายบนการ์ดเป็นลายมงคล พร้อมโลโก้ ROG ที่ลงอีนาเมล ➡️ โปรเจกต์ใช้เวลาหลายเดือนและผ่านการหล่อผิดพลาดหลายครั้ง ➡️ เดิมตั้งใจนำไปประมูลเพื่อการกุศล แต่ถูกซื้อโดยนักสะสมส่วนตัว ➡️ รายได้บางส่วนจะบริจาคให้ Bilibili Charity เพื่อช่วยเหลือเด็กในพื้นที่ชนบท ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Asus เคยเปิดตัวรุ่น Dhahab Edition ที่ใช้ทองคำเพียง 6.5 กรัม มูลค่าราว $700 ➡️ รุ่น Dhahab เคยถูกนำไปประมูลได้สูงถึง $24,200 ➡️ การ์ดรุ่นทองคำนี้ใช้เทคนิค sand-mold casting ซึ่งให้พื้นผิวหยาบแบบศิลป์ ➡️ RTX 5090D รุ่นปกติใช้สถาปัตยกรรม Blackwell และรองรับ DLSS 4 ➡️ การ์ดรุ่นนี้ไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป เน้นสำหรับนักสะสมและโชว์ตัว https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/asus-reveals-how-usd500-000-rog-astral-rtx-5090d-was-made-worlds-most-expensive-gpu-is-hewn-from-5kg-of-pure-gold
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Asus reveals how $500,000 ROG Astral RTX 5090D was made — world's most expensive GPU is hewn from 5KG of pure gold
    Asus influencer Uncle Tony built it, and a private collector has already bought it, with proceeds going to charity.
    0 Comments 0 Shares 79 Views 0 Reviews
  • “Bruno Le Maire ยุติบทบาทที่ ASML หลังรัฐบาลฝรั่งเศสล่ม — สะเทือนวงการชิปยุโรป”

    Bruno Le Maire อดีตรัฐมนตรีคลังของฝรั่งเศส ได้ยุติบทบาทที่ปรึกษาพิเศษของบริษัท ASML ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจาก Le Maire ถูกเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาลใหม่ของฝรั่งเศส แต่รัฐบาลดังกล่าวกลับล่มภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการแต่งตั้ง

    Le Maire ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษของคณะกรรมการบริหาร ASML ตั้งแต่ปี 2024 โดยมีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำด้านการลงทุนเพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมชิปในยุโรป ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของสหภาพยุโรปในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ และจีน

    ASML เพิ่งลงทุนกว่า 1.3 พันล้านยูโรในบริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ของฝรั่งเศสชื่อ Mistral AI ซึ่งเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ในรอบปี และสะท้อนถึงความพยายามของยุโรปในการผลักดันเทคโนโลยีล้ำหน้าให้เติบโตภายในภูมิภาค

    แม้ ASML จะปฏิเสธให้ความเห็นว่า Le Maire จะกลับมารับตำแหน่งอีกหรือไม่หลังจากการล่มของรัฐบาล แต่การถอนตัวครั้งนี้ก็สร้างคำถามถึงเสถียรภาพของการผลักดันนโยบายเทคโนโลยีในยุโรป และบทบาทของนักการเมืองระดับสูงในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงระดับโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Bruno Le Maire ยุติบทบาทที่ปรึกษาพิเศษของ ASML
    เขาเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังของฝรั่งเศส และถูกเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีกลาโหม
    รัฐบาลฝรั่งเศสชุดใหม่ล่มภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการแต่งตั้ง
    Le Maire ได้รับตำแหน่งที่ ASML ตั้งแต่ปี 2024 เพื่อให้คำแนะนำด้านการลงทุน
    ASML เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก
    ASML ลงทุน 1.3 พันล้านยูโรในบริษัท Mistral AI ของฝรั่งเศส
    การลงทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์เสริมสร้างระบบชิปในยุโรป
    ASML ปฏิเสธให้ความเห็นว่า Le Maire จะกลับมารับตำแหน่งอีกหรือไม่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ASML เป็นบริษัทเดียวในโลกที่ผลิตเครื่อง EUV lithography ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตชิประดับ 3 นาโนเมตร
    Mistral AI เป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลฝรั่งเศสเพื่อแข่งขันกับ OpenAI และ Anthropic
    การพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศทำให้ยุโรปต้องเร่งสร้างความมั่นคงด้านชิป
    Le Maire เคยผลักดันโครงการ European Chips Act เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปภายในภูมิภาค
    การล่มของรัฐบาลฝรั่งเศสอาจส่งผลต่อความต่อเนื่องของนโยบายเทคโนโลยีระดับชาติ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/06/bruno-le-maire-no-longer-advising-asml-company-says
    🇪🇺 “Bruno Le Maire ยุติบทบาทที่ ASML หลังรัฐบาลฝรั่งเศสล่ม — สะเทือนวงการชิปยุโรป” Bruno Le Maire อดีตรัฐมนตรีคลังของฝรั่งเศส ได้ยุติบทบาทที่ปรึกษาพิเศษของบริษัท ASML ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจาก Le Maire ถูกเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาลใหม่ของฝรั่งเศส แต่รัฐบาลดังกล่าวกลับล่มภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการแต่งตั้ง Le Maire ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษของคณะกรรมการบริหาร ASML ตั้งแต่ปี 2024 โดยมีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำด้านการลงทุนเพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมชิปในยุโรป ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของสหภาพยุโรปในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ และจีน ASML เพิ่งลงทุนกว่า 1.3 พันล้านยูโรในบริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ของฝรั่งเศสชื่อ Mistral AI ซึ่งเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ในรอบปี และสะท้อนถึงความพยายามของยุโรปในการผลักดันเทคโนโลยีล้ำหน้าให้เติบโตภายในภูมิภาค แม้ ASML จะปฏิเสธให้ความเห็นว่า Le Maire จะกลับมารับตำแหน่งอีกหรือไม่หลังจากการล่มของรัฐบาล แต่การถอนตัวครั้งนี้ก็สร้างคำถามถึงเสถียรภาพของการผลักดันนโยบายเทคโนโลยีในยุโรป และบทบาทของนักการเมืองระดับสูงในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงระดับโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Bruno Le Maire ยุติบทบาทที่ปรึกษาพิเศษของ ASML ➡️ เขาเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังของฝรั่งเศส และถูกเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีกลาโหม ➡️ รัฐบาลฝรั่งเศสชุดใหม่ล่มภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการแต่งตั้ง ➡️ Le Maire ได้รับตำแหน่งที่ ASML ตั้งแต่ปี 2024 เพื่อให้คำแนะนำด้านการลงทุน ➡️ ASML เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก ➡️ ASML ลงทุน 1.3 พันล้านยูโรในบริษัท Mistral AI ของฝรั่งเศส ➡️ การลงทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์เสริมสร้างระบบชิปในยุโรป ➡️ ASML ปฏิเสธให้ความเห็นว่า Le Maire จะกลับมารับตำแหน่งอีกหรือไม่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ASML เป็นบริษัทเดียวในโลกที่ผลิตเครื่อง EUV lithography ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตชิประดับ 3 นาโนเมตร ➡️ Mistral AI เป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลฝรั่งเศสเพื่อแข่งขันกับ OpenAI และ Anthropic ➡️ การพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศทำให้ยุโรปต้องเร่งสร้างความมั่นคงด้านชิป ➡️ Le Maire เคยผลักดันโครงการ European Chips Act เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปภายในภูมิภาค ➡️ การล่มของรัฐบาลฝรั่งเศสอาจส่งผลต่อความต่อเนื่องของนโยบายเทคโนโลยีระดับชาติ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/06/bruno-le-maire-no-longer-advising-asml-company-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Bruno Le Maire no longer advising ASML, company says
    (Reuters) -France's former finance minister Bruno Le Maire is no longer an advisor at ASML, a spokesperson for the Dutch chip equipment maker told Reuters on Monday.
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • “อุตสาหกรรมสิ่งทอในบังกลาเทศพลิกวิกฤตขยะด้วยเทคโนโลยี — เมื่อเศษผ้ากลายเป็นโอกาสระดับพันล้าน”

    บังกลาเทศ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกเสื้อผ้าอันดับสองของโลก กำลังเผชิญกับปัญหาขยะสิ่งทอจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะเศษผ้าจากการผลิตที่ยังไม่ได้ถูกนำกลับมาใช้ใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันประเทศสามารถรีไซเคิลเศษผ้าก่อนการบริโภคได้เพียง 5–7% เท่านั้น และมีเพียงไม่ถึง 5% ที่ถูกนำไปอัปไซเคิลเป็นสินค้าต่าง ๆ เช่น พรมตุ๊กตาและผ้าห่ม

    เพื่อแก้ปัญหานี้ บริษัท Reverse Resources ได้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ช่วยติดตามและจัดการขยะสิ่งทอแบบเรียลไทม์ โดยระบบจะช่วยให้โรงงานสามารถแยกประเภทเศษผ้า ติดป้ายกำกับ และลงทะเบียนข้อมูลบนคลาวด์ พร้อมติดตามการเคลื่อนย้ายระหว่างโรงงาน ผู้จัดการขยะ และผู้รีไซเคิล

    ระบบนี้ช่วยให้โรงงานได้รับราคาที่ดีขึ้นสำหรับเศษผ้า และแบรนด์สามารถตรวจสอบเส้นทางของขยะที่เกิดจากซัพพลายเออร์ได้อย่างโปร่งใส ปัจจุบันมีโรงงานกว่า 410 แห่งและแบรนด์ระดับโลกกว่า 60 รายเข้าร่วมแพลตฟอร์มนี้ แม้จะยังครอบคลุมเพียง 1% ของตลาด แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างมาตรฐานใหม่

    รายงานจาก GIZ และ H&M ระบุว่า ขยะสิ่งทอมากกว่า 55% ถูกส่งออกไปยังประเทศที่มีศูนย์รีไซเคิลพัฒนาแล้ว เช่น เวียดนาม ฟินแลนด์ สวีเดน อินเดีย และจีน ส่วนที่เหลือถูกนำไปใช้เป็นวัสดุยัดไส้ เผาเพื่อผลิตไฟฟ้า หรือฝังกลบ

    การติดตามขยะด้วยข้อมูลดิจิทัลไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้จัดการขยะรายเล็กในบังกลาเทศสามารถเข้าถึงตลาดรีไซเคิลระดับโลกได้โดยตรง ลดการพึ่งพาผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นที่เคยควบคุมการจัดการขยะแบบไม่เป็นทางการ

    นอกจากนี้ กฎหมายใหม่ของสหภาพยุโรปที่บังคับให้ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเก็บและรีไซเคิลสิ่งทอ จะยิ่งผลักดันให้แบรนด์แฟชั่นใช้วัสดุรีไซเคิลมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าโรงงานในบังกลาเทศต้องปรับตัวให้สามารถจัดการขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    บังกลาเทศสามารถรีไซเคิลขยะสิ่งทอได้เพียง 5–7% และอัปไซเคิลไม่ถึง 5%
    ขยะมากกว่า 55% ถูกส่งออกไปยังประเทศที่มีศูนย์รีไซเคิลพัฒนาแล้ว
    Reverse Resources พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อจัดการขยะสิ่งทอ
    ระบบช่วยแยกประเภทเศษผ้า ติดป้าย และติดตามการเคลื่อนย้าย
    โรงงานได้รับราคาที่ดีขึ้นเมื่อแยกและติดตามเศษผ้า
    แบรนด์สามารถตรวจสอบเส้นทางของขยะจากซัพพลายเออร์ได้
    ปัจจุบันมีโรงงานกว่า 410 แห่งและแบรนด์กว่า 60 รายเข้าร่วม
    การจัดการขยะแบบดิจิทัลช่วยลดการพึ่งพาผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น
    กฎหมายใหม่ของ EU บังคับให้ผู้ผลิตรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรีไซเคิล
    การรีไซเคิลในประเทศอาจเพิ่มมูลค่าการส่งออกได้ถึง 5 พันล้านดอลลาร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Reverse Resources ตั้งเป้าติดตามขยะสิ่งทอทั่วโลก 2.5 ล้านตันต่อปีภายในปี 2030
    การรีไซเคิลแบบ textile-to-textile ช่วยลดการใช้วัสดุใหม่และลดการปล่อย CO₂
    การใช้แพลตฟอร์ม SaaS ช่วยสร้างห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ
    การแยกขยะตามชนิดเส้นใยตั้งแต่ต้นทางช่วยเพิ่มมูลค่าและลดขั้นตอน
    การจัดการขยะอย่างมีข้อมูลช่วยให้โรงงานเข้าถึงตลาดรีไซเคิลระดับโลกได้ง่ายขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/07/bangladesh039s-textile-firms-turn-to-technology-to-sort-waste-crisis
    🧵 “อุตสาหกรรมสิ่งทอในบังกลาเทศพลิกวิกฤตขยะด้วยเทคโนโลยี — เมื่อเศษผ้ากลายเป็นโอกาสระดับพันล้าน” บังกลาเทศ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกเสื้อผ้าอันดับสองของโลก กำลังเผชิญกับปัญหาขยะสิ่งทอจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะเศษผ้าจากการผลิตที่ยังไม่ได้ถูกนำกลับมาใช้ใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันประเทศสามารถรีไซเคิลเศษผ้าก่อนการบริโภคได้เพียง 5–7% เท่านั้น และมีเพียงไม่ถึง 5% ที่ถูกนำไปอัปไซเคิลเป็นสินค้าต่าง ๆ เช่น พรมตุ๊กตาและผ้าห่ม เพื่อแก้ปัญหานี้ บริษัท Reverse Resources ได้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ช่วยติดตามและจัดการขยะสิ่งทอแบบเรียลไทม์ โดยระบบจะช่วยให้โรงงานสามารถแยกประเภทเศษผ้า ติดป้ายกำกับ และลงทะเบียนข้อมูลบนคลาวด์ พร้อมติดตามการเคลื่อนย้ายระหว่างโรงงาน ผู้จัดการขยะ และผู้รีไซเคิล ระบบนี้ช่วยให้โรงงานได้รับราคาที่ดีขึ้นสำหรับเศษผ้า และแบรนด์สามารถตรวจสอบเส้นทางของขยะที่เกิดจากซัพพลายเออร์ได้อย่างโปร่งใส ปัจจุบันมีโรงงานกว่า 410 แห่งและแบรนด์ระดับโลกกว่า 60 รายเข้าร่วมแพลตฟอร์มนี้ แม้จะยังครอบคลุมเพียง 1% ของตลาด แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างมาตรฐานใหม่ รายงานจาก GIZ และ H&M ระบุว่า ขยะสิ่งทอมากกว่า 55% ถูกส่งออกไปยังประเทศที่มีศูนย์รีไซเคิลพัฒนาแล้ว เช่น เวียดนาม ฟินแลนด์ สวีเดน อินเดีย และจีน ส่วนที่เหลือถูกนำไปใช้เป็นวัสดุยัดไส้ เผาเพื่อผลิตไฟฟ้า หรือฝังกลบ การติดตามขยะด้วยข้อมูลดิจิทัลไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้จัดการขยะรายเล็กในบังกลาเทศสามารถเข้าถึงตลาดรีไซเคิลระดับโลกได้โดยตรง ลดการพึ่งพาผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นที่เคยควบคุมการจัดการขยะแบบไม่เป็นทางการ นอกจากนี้ กฎหมายใหม่ของสหภาพยุโรปที่บังคับให้ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเก็บและรีไซเคิลสิ่งทอ จะยิ่งผลักดันให้แบรนด์แฟชั่นใช้วัสดุรีไซเคิลมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าโรงงานในบังกลาเทศต้องปรับตัวให้สามารถจัดการขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ บังกลาเทศสามารถรีไซเคิลขยะสิ่งทอได้เพียง 5–7% และอัปไซเคิลไม่ถึง 5% ➡️ ขยะมากกว่า 55% ถูกส่งออกไปยังประเทศที่มีศูนย์รีไซเคิลพัฒนาแล้ว ➡️ Reverse Resources พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อจัดการขยะสิ่งทอ ➡️ ระบบช่วยแยกประเภทเศษผ้า ติดป้าย และติดตามการเคลื่อนย้าย ➡️ โรงงานได้รับราคาที่ดีขึ้นเมื่อแยกและติดตามเศษผ้า ➡️ แบรนด์สามารถตรวจสอบเส้นทางของขยะจากซัพพลายเออร์ได้ ➡️ ปัจจุบันมีโรงงานกว่า 410 แห่งและแบรนด์กว่า 60 รายเข้าร่วม ➡️ การจัดการขยะแบบดิจิทัลช่วยลดการพึ่งพาผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ➡️ กฎหมายใหม่ของ EU บังคับให้ผู้ผลิตรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรีไซเคิล ➡️ การรีไซเคิลในประเทศอาจเพิ่มมูลค่าการส่งออกได้ถึง 5 พันล้านดอลลาร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Reverse Resources ตั้งเป้าติดตามขยะสิ่งทอทั่วโลก 2.5 ล้านตันต่อปีภายในปี 2030 ➡️ การรีไซเคิลแบบ textile-to-textile ช่วยลดการใช้วัสดุใหม่และลดการปล่อย CO₂ ➡️ การใช้แพลตฟอร์ม SaaS ช่วยสร้างห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ ➡️ การแยกขยะตามชนิดเส้นใยตั้งแต่ต้นทางช่วยเพิ่มมูลค่าและลดขั้นตอน ➡️ การจัดการขยะอย่างมีข้อมูลช่วยให้โรงงานเข้าถึงตลาดรีไซเคิลระดับโลกได้ง่ายขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/07/bangladesh039s-textile-firms-turn-to-technology-to-sort-waste-crisis
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Bangladesh's textile firms turn to technology to sort waste crisis
    Digital tracing helps Bangladesh sort management of textile waste and could boost exports.
    0 Comments 0 Shares 89 Views 0 Reviews
  • “เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงกว่า 500,000 จุด — พลังงานสะอาดที่ใครก็เข้าถึงได้”

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เยอรมนีได้พลิกโฉมการใช้พลังงานสะอาดด้วยการผลักดัน “Balkonkraftwerk” หรือระบบโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กที่ติดตั้งบนระเบียง ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับปลั๊กไฟภายในบ้านได้โดยตรง โดยไม่ต้องมีการติดตั้งซับซ้อนหรือเป็นเจ้าของบ้านเอง

    ระบบนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2023 เพียงปีเดียวมีการติดตั้งมากกว่า 275,000 จุด และในปี 2024 ตัวเลขรวมทะลุ 550,000 จุดทั่วประเทศ โดยแต่ละชุดมีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการชาร์จแล็ปท็อปหรือใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก

    ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่เรียบง่าย ราคาที่เข้าถึงได้ (ประมาณ 500–700 ยูโรต่อชุด) และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนอย่างจริงจัง เช่น การลดขั้นตอนการขออนุญาต การอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน และการออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกเจ้าของบ้านขัดขวางการติดตั้ง

    แม้ระบบจะผลิตไฟฟ้าได้ไม่มากนัก — เฉลี่ยประมาณ 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี — แต่ผู้ใช้งานจำนวนมากมองว่าเป็น “การกระทำเล็ก ๆ ที่มีความหมาย” ทั้งในแง่ของการลดค่าไฟ และการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ

    ผู้ใช้งานหลายคนยังกล่าวว่า การติดตั้งโซลาร์ระเบียงทำให้พวกเขาเริ่มตระหนักถึงการใช้พลังงานมากขึ้น เช่น การเลือกเวลาซักผ้าให้ตรงกับช่วงแดดจัด หรือการติดตามปริมาณพลังงานที่ผลิตผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมที่สร้างความภูมิใจและแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้าง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงมากกว่า 550,000 จุดทั่วประเทศ
    ระบบ Balkonkraftwerk มีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ และเชื่อมต่อผ่านปลั๊กไฟบ้าน
    ราคาต่อชุดประมาณ 500–700 ยูโร และติดตั้งได้เองโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของบ้าน
    รัฐบาลออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกขัดขวางการติดตั้ง
    มีการลดขั้นตอนการขออนุญาตและอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน
    ระบบผลิตไฟฟ้าเฉลี่ย 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี
    ผู้ใช้งานสามารถติดตามการผลิตพลังงานผ่านแอปพลิเคชัน
    การติดตั้งช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงการใช้พลังงานและวางแผนการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
    เป็นการมีส่วนร่วมเล็ก ๆ ที่ช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ในปี 2024 เยอรมนีผ่าน “Solarpaket 1” เพื่อสนับสนุนโซลาร์ระเบียงอย่างเป็นระบบ
    ระบบโซลาร์ระเบียงสามารถคืนทุนได้ภายใน 3–5 ปี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและทิศทางของแสง
    ประเทศอื่นในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย และเบลเยียม กำลังนำแนวทางนี้ไปใช้
    ระบบแบบ plug-and-play ช่วยลดความซับซ้อนในการติดตั้งและเพิ่มการเข้าถึง
    การผลิตพลังงานในระดับครัวเรือนช่วยลดภาระของโครงข่ายไฟฟ้ากลาง

    https://grist.org/buildings/how-germany-outfitted-half-a-million-balconies-with-solar-panels/
    ☀️ “เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงกว่า 500,000 จุด — พลังงานสะอาดที่ใครก็เข้าถึงได้” ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เยอรมนีได้พลิกโฉมการใช้พลังงานสะอาดด้วยการผลักดัน “Balkonkraftwerk” หรือระบบโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กที่ติดตั้งบนระเบียง ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับปลั๊กไฟภายในบ้านได้โดยตรง โดยไม่ต้องมีการติดตั้งซับซ้อนหรือเป็นเจ้าของบ้านเอง ระบบนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2023 เพียงปีเดียวมีการติดตั้งมากกว่า 275,000 จุด และในปี 2024 ตัวเลขรวมทะลุ 550,000 จุดทั่วประเทศ โดยแต่ละชุดมีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการชาร์จแล็ปท็อปหรือใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่เรียบง่าย ราคาที่เข้าถึงได้ (ประมาณ 500–700 ยูโรต่อชุด) และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนอย่างจริงจัง เช่น การลดขั้นตอนการขออนุญาต การอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน และการออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกเจ้าของบ้านขัดขวางการติดตั้ง แม้ระบบจะผลิตไฟฟ้าได้ไม่มากนัก — เฉลี่ยประมาณ 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี — แต่ผู้ใช้งานจำนวนมากมองว่าเป็น “การกระทำเล็ก ๆ ที่มีความหมาย” ทั้งในแง่ของการลดค่าไฟ และการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ ผู้ใช้งานหลายคนยังกล่าวว่า การติดตั้งโซลาร์ระเบียงทำให้พวกเขาเริ่มตระหนักถึงการใช้พลังงานมากขึ้น เช่น การเลือกเวลาซักผ้าให้ตรงกับช่วงแดดจัด หรือการติดตามปริมาณพลังงานที่ผลิตผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมที่สร้างความภูมิใจและแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้าง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงมากกว่า 550,000 จุดทั่วประเทศ ➡️ ระบบ Balkonkraftwerk มีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ และเชื่อมต่อผ่านปลั๊กไฟบ้าน ➡️ ราคาต่อชุดประมาณ 500–700 ยูโร และติดตั้งได้เองโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของบ้าน ➡️ รัฐบาลออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกขัดขวางการติดตั้ง ➡️ มีการลดขั้นตอนการขออนุญาตและอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน ➡️ ระบบผลิตไฟฟ้าเฉลี่ย 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ➡️ ผู้ใช้งานสามารถติดตามการผลิตพลังงานผ่านแอปพลิเคชัน ➡️ การติดตั้งช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงการใช้พลังงานและวางแผนการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ เป็นการมีส่วนร่วมเล็ก ๆ ที่ช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ในปี 2024 เยอรมนีผ่าน “Solarpaket 1” เพื่อสนับสนุนโซลาร์ระเบียงอย่างเป็นระบบ ➡️ ระบบโซลาร์ระเบียงสามารถคืนทุนได้ภายใน 3–5 ปี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและทิศทางของแสง ➡️ ประเทศอื่นในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย และเบลเยียม กำลังนำแนวทางนี้ไปใช้ ➡️ ระบบแบบ plug-and-play ช่วยลดความซับซ้อนในการติดตั้งและเพิ่มการเข้าถึง ➡️ การผลิตพลังงานในระดับครัวเรือนช่วยลดภาระของโครงข่ายไฟฟ้ากลาง https://grist.org/buildings/how-germany-outfitted-half-a-million-balconies-with-solar-panels/
    GRIST.ORG
    How Germany outfitted half a million balconies with solar panels
    Meet balkonkraftwerk, the simple technology putting solar power in the hands of renters and nudging Germany toward its clean energy goals.
    0 Comments 0 Shares 104 Views 0 Reviews
  • “Acer เตือนดีล Nvidia–Intel อาจทำให้ซัพพลายเชน PC ยุ่งยากขึ้น — ขณะที่แผนผลิตชิป 50/50 ระหว่างสหรัฐฯ–ไต้หวันอาจใช้เวลาถึง 50 ปี”

    ในงาน Long Time Smile Awards ของ Acer ที่จัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2025 Jason Chen ซีอีโอของ Acer ได้แสดงความกังวลต่อดีลระหว่าง Nvidia และ Intel ที่ร่วมกันพัฒนาชิป x86 รุ่นใหม่ โดยระบุว่าการมีผู้ผลิตชิปเพิ่มขึ้นจากสองรายหลัก (Intel และ AMD) เป็นสามราย จะทำให้ซัพพลายเชนของอุตสาหกรรม PC ยุ่งยากขึ้นอย่างมาก

    Chen ชี้ว่าในปัจจุบัน ผู้ผลิตต้องจัดการกับหลายเจเนอเรชันของชิปจาก Intel และ AMD ที่มีความแตกต่างทั้งด้านราคา ประสิทธิภาพ และการใช้พลังงาน การเพิ่ม Nvidia เข้ามาในฐานะผู้ผลิต CPU จะทำให้การเลือกจับคู่ CPU, GPU, RAM และ PSU ยิ่งซับซ้อนขึ้น และอาจทำให้ผู้บริโภคเกิด “decision fatigue” จนเลือกซื้อจากแบรนด์ที่คุ้นเคยแทน

    ในงานเดียวกัน Stan Shih ผู้ก่อตั้ง Acer ยังได้แสดงความเห็นต่อข้อเสนอของ Howard Lutnick รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ที่เสนอให้แบ่งการผลิตชิปสำหรับตลาดสหรัฐฯ ระหว่างไต้หวันและสหรัฐฯ แบบ 50/50 โดย Shih มองว่าแนวคิดนี้เป็นไปได้ในระยะยาว แต่ต้องใช้เวลาถึง 50 ปีในการปรับโครงสร้างซัพพลายเชนให้รองรับ

    Acer ได้เริ่มปรับกระบวนการผลิตสำหรับสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายของทำเนียบขาว และอาจต้องปรับเพิ่มอีก หากผลการสอบสวนตามมาตรา 232 นำไปสู่การเก็บภาษีชิปสูงถึง 200–300%

    สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากดีลพันธมิตรใหม่ ภาษี การขาดแคลน และแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งทุกบริษัทต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Acer เตือนว่าดีล Nvidia–Intel จะทำให้ซัพพลายเชน PC ซับซ้อนขึ้น
    ผู้ผลิตต้องจัดการกับหลายเจเนอเรชันของชิปจาก Intel และ AMD
    การเพิ่ม Nvidia เป็นผู้ผลิต CPU จะทำให้การเลือกอุปกรณ์ยิ่งยุ่งยาก
    ผู้บริโภคอาจเกิด decision fatigue และเลือกแบรนด์ที่คุ้นเคย
    Stan Shih มองว่าแผนผลิตชิป 50/50 ระหว่างไต้หวัน–สหรัฐฯ อาจใช้เวลาถึง 50 ปี
    Acer ปรับกระบวนการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีจากนโยบายของสหรัฐฯ
    อาจต้องปรับเพิ่มอีก หากผลสอบสวนตามมาตรา 232 นำไปสู่ภาษีชิป 200–300%
    อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Nvidia และ Intel ร่วมพัฒนาชิป x86 เพื่อแข่งขันกับ AMD
    Intel เพิ่งขึ้นราคาชิป Raptor Lake แม้จะเป็นเจเนอเรชันเก่า
    AMD เปิดตัว Ryzen 3 5100 บนแพลตฟอร์ม AM4 ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 3
    Lutnick เสนอแผน 50/50 เพื่อให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาไต้หวันด้านชิป
    การผลิตชิปในไต้หวันคิดเป็นกว่า 90% ของชิปขั้นสูงทั่วโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/acer-chief-says-nvidias-intel-investment-will-complicate-pc-supply-chains-says-lutnicks-50-50-proposal-could-take-50-years-to-realize
    🔧 “Acer เตือนดีล Nvidia–Intel อาจทำให้ซัพพลายเชน PC ยุ่งยากขึ้น — ขณะที่แผนผลิตชิป 50/50 ระหว่างสหรัฐฯ–ไต้หวันอาจใช้เวลาถึง 50 ปี” ในงาน Long Time Smile Awards ของ Acer ที่จัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2025 Jason Chen ซีอีโอของ Acer ได้แสดงความกังวลต่อดีลระหว่าง Nvidia และ Intel ที่ร่วมกันพัฒนาชิป x86 รุ่นใหม่ โดยระบุว่าการมีผู้ผลิตชิปเพิ่มขึ้นจากสองรายหลัก (Intel และ AMD) เป็นสามราย จะทำให้ซัพพลายเชนของอุตสาหกรรม PC ยุ่งยากขึ้นอย่างมาก Chen ชี้ว่าในปัจจุบัน ผู้ผลิตต้องจัดการกับหลายเจเนอเรชันของชิปจาก Intel และ AMD ที่มีความแตกต่างทั้งด้านราคา ประสิทธิภาพ และการใช้พลังงาน การเพิ่ม Nvidia เข้ามาในฐานะผู้ผลิต CPU จะทำให้การเลือกจับคู่ CPU, GPU, RAM และ PSU ยิ่งซับซ้อนขึ้น และอาจทำให้ผู้บริโภคเกิด “decision fatigue” จนเลือกซื้อจากแบรนด์ที่คุ้นเคยแทน ในงานเดียวกัน Stan Shih ผู้ก่อตั้ง Acer ยังได้แสดงความเห็นต่อข้อเสนอของ Howard Lutnick รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ที่เสนอให้แบ่งการผลิตชิปสำหรับตลาดสหรัฐฯ ระหว่างไต้หวันและสหรัฐฯ แบบ 50/50 โดย Shih มองว่าแนวคิดนี้เป็นไปได้ในระยะยาว แต่ต้องใช้เวลาถึง 50 ปีในการปรับโครงสร้างซัพพลายเชนให้รองรับ Acer ได้เริ่มปรับกระบวนการผลิตสำหรับสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายของทำเนียบขาว และอาจต้องปรับเพิ่มอีก หากผลการสอบสวนตามมาตรา 232 นำไปสู่การเก็บภาษีชิปสูงถึง 200–300% สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากดีลพันธมิตรใหม่ ภาษี การขาดแคลน และแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งทุกบริษัทต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Acer เตือนว่าดีล Nvidia–Intel จะทำให้ซัพพลายเชน PC ซับซ้อนขึ้น ➡️ ผู้ผลิตต้องจัดการกับหลายเจเนอเรชันของชิปจาก Intel และ AMD ➡️ การเพิ่ม Nvidia เป็นผู้ผลิต CPU จะทำให้การเลือกอุปกรณ์ยิ่งยุ่งยาก ➡️ ผู้บริโภคอาจเกิด decision fatigue และเลือกแบรนด์ที่คุ้นเคย ➡️ Stan Shih มองว่าแผนผลิตชิป 50/50 ระหว่างไต้หวัน–สหรัฐฯ อาจใช้เวลาถึง 50 ปี ➡️ Acer ปรับกระบวนการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีจากนโยบายของสหรัฐฯ ➡️ อาจต้องปรับเพิ่มอีก หากผลสอบสวนตามมาตรา 232 นำไปสู่ภาษีชิป 200–300% ➡️ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Nvidia และ Intel ร่วมพัฒนาชิป x86 เพื่อแข่งขันกับ AMD ➡️ Intel เพิ่งขึ้นราคาชิป Raptor Lake แม้จะเป็นเจเนอเรชันเก่า ➡️ AMD เปิดตัว Ryzen 3 5100 บนแพลตฟอร์ม AM4 ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 3 ➡️ Lutnick เสนอแผน 50/50 เพื่อให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาไต้หวันด้านชิป ➡️ การผลิตชิปในไต้หวันคิดเป็นกว่า 90% ของชิปขั้นสูงทั่วโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/acer-chief-says-nvidias-intel-investment-will-complicate-pc-supply-chains-says-lutnicks-50-50-proposal-could-take-50-years-to-realize
    0 Comments 0 Shares 136 Views 0 Reviews
  • ดอกไม้ป่า—ร่องรอยแห่งชนบทในสำเนียงเมือง

    คณะดอกไม้ป่า ก้าวเข้ามาสู่ฉากดนตรีไทยในช่วงต้นทศวรรษ 2520 (ค.ศ. 1980s) ซึ่งถือเป็น ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของรสนิยมและการผลิตดนตรีในประเทศไทย พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มนักร้องที่รวมตัวกันตามธรรมชาติ แต่เป็นโครงการทางดนตรีที่ถูกกำหนดและออกแบบอย่างพิถีพิถันจากผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมเพลงมืออาชีพ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองต่อตลาดชนชั้นกลางในเมืองที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว

    สิ่งที่ทำให้วงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งคือความสามารถในการนำ "แก่นเรื่องแบบลูกทุ่ง" มาผสมผสานกับการเรียบเรียงและคุณภาพการผลิตแบบ "ดนตรีสตริงหรือป๊อป" อันนำไปสู่การก่อกำเนิดของแนวทางใหม่ที่เรียกว่า "ลูกทุ่งประยุกต์" ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานให้กับรูปแบบดนตรีป๊อปที่ครองตลาดในทศวรรษต่อมา

    ดอกไม้ป่าประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในช่วงปี พ.ศ. 2525–2526 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมหลังเหตุการณ์ทางการเมืองในทศวรรษก่อนหน้า วงนี้ถูกวางตำแหน่งทางการตลาดให้เป็นนักร้องคู่ดูโอหญิงที่เน้นทักษะการประสานเสียง (Harmonizing Duo) พวกเขาสามารถดึงดูดผู้ฟังได้อย่างกว้างขวางด้วยการรักษาความรู้สึกและแก่นเรื่องของความเป็นไทยไว้ ในขณะที่นำเสนอผ่านสำเนียงป๊อปสมัยใหม่

    ในเชิงสังคมวิทยา ความสำเร็จของวงมีความสัมพันธ์กับการถอยห่างจากเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองที่รุนแรงของยุค 1970s ดนตรีป๊อปที่ได้รับความนิยมในช่วงนี้มักหลีกเลี่ยงสารทางการเมือง และหันไปให้ความสำคัญกับเรื่องราวส่วนตัว ความรัก และการมอบความบันเทิง ดอกไม้ป่าได้ปรับใช้แก่นเรื่องลูกทุ่งให้มีความอ่อนโยนและโรแมนติกในรูปแบบป๊อป ซึ่งทำให้บทเพลงของพวกเขากลายเป็นผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมที่ผู้บริโภคในเมืองสามารถยอมรับและเพลิดเพลินได้

    คณะดอกไม้ป่าถือกำเนิดขึ้นจากแนวคิดทางธุรกิจที่ชัดเจน โดยไม่ได้เกิดจากการรวมตัวกันของนักดนตรีตามธรรมชาติ การก่อตั้งมีรากฐานมาจากความต้องการขยายตลาดและรูปแบบความสำเร็จที่เคยมีมาก่อน โดยผู้ริเริ่มแนวคิดต้องการที่จะสรรหานักร้องหญิงคู่ประสานเสียงเป็นคู่ที่สอง เพื่อต่อยอดความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับวง The Hot Pepper Singers การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นว่า รูปแบบของ "นักร้องคู่ประสานเสียง" ที่มีภาพลักษณ์สุภาพและเน้นทักษะการร้องถือเป็นกลยุทธ์เชิงพาณิชย์ที่มีศักยภาพสูง

    การเน้นที่ "นักร้องคู่ประสานเสียง" แสดงให้เห็นว่าคุณภาพเสียงและการจัดวางเสียงประสานถูกกำหนดให้เป็นหัวใจหลักของแบรนด์ตั้งแต่เริ่มต้น แนวคิดนี้เป็นความพยายามที่จะยกระดับรูปแบบการร้องเพลงให้แตกต่างจากดนตรีลูกทุ่งทั่วไป การประสานเสียงที่ซับซ้อนนี้ถูกมองว่าเป็นคุณสมบัติของดนตรีแนวลูกกรุงและป๊อปที่มีความประณีตและมีรสนิยมสูง ซึ่งสามารถดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคในเมืองได้

    วงดอกไม้ป่าประกอบด้วยนักร้องดูโอหญิงสองคน: โชติมา ช่วงวิทย์ (ตุ้ม) และ ปัทมา มนต์รังสี (อ้อม) คุณโชติมาถือเป็นสมาชิกหลักที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเธอเป็นบุตรสาวของ ชวลีย์ ช่วงวิทย์ นักร้องชื่อดังของวงสุนทราภรณ์ สายเลือดจากสุนทราภรณ์นี้มอบความน่าเชื่อถือทางวัฒนธรรมและ "ความเป็นลูกกรุง" ให้กับวงโดยอัตโนมัติ ทำให้ดอกไม้ป่าสามารถวางตำแหน่งตัวเองอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นลูกทุ่งและความเป็นลูกกรุง/คลาสสิก

    ในช่วงเวลาที่ดนตรีลูกทุ่งกำลังถูกกลุ่มรสนิยมใหม่ของคนเมืองมองว่าเป็น "ดนตรีบ้านนอก" การมีโชติมาได้ทำหน้าที่เป็น "การสร้างแบรนด์ทางวัฒนธรรม" ที่สำคัญยิ่ง การเชื่อมโยงนี้รับประกันว่าเพลงของดอกไม้ป่า แม้จะมีกลิ่นอายของลูกทุ่ง แต่ก็มีความสุภาพและมีคุณค่าในเชิงศิลปะแบบลูกกรุงสูง

    "ดอกไม้ป่าซาวด์" คือการผสมผสานทางดนตรี ที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจในการนำองค์ประกอบทางทำนองเพลงพื้นบ้านหรือลูกทุ่ง มารวมเข้ากับการเรียบเรียงดนตรีและเครื่องดนตรีสมัยใหม่ตามแบบฉบับดนตรีสตริง/ป๊อปในยุค 80s

    แก่นเรื่องแบบลูกทุ่งยังคงเป็นหัวใจหลักในการเล่าเรื่อง ตัวอย่างเช่น เพลง "ทุยใจดำ" ที่สื่อถึงคนรักที่ไม่ซื่อสัตย์ และเพลง "สาวชนบท" ที่หยิบยกเรื่องราวความรักและชีวิตในท้องถิ่นมานำเสนอ แต่สิ่งที่ทำให้ดนตรีมีความแตกต่างคือการเรียบเรียงแบบป๊อปสมัยใหม่ การใช้เครื่องดนตรีที่ซับซ้อน เช่น เปียโน กีตาร์ไฟฟ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เครื่องเป่า (Brass Section) ที่สร้างความหนาแน่นและพลังเสียงที่ทันสมัย นอกจากนี้ยังมีการนำจังหวะที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีตะวันตกมาใช้ เช่น จังหวะช่าช่าช่า หรือฟังก์กี้ดิสโก้ในเพลงสนุกสนานอย่าง "ระบำยอดหญ้า" ทั้งหมดนี้ถูกขับร้องด้วยการประสานเสียงที่ไพเราะและสะอาดตา ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของดนตรีป๊อปในช่วงนั้น

    การวิเคราะห์เนื้อหาและแก่นหลักของบทเพลง
    1️⃣ ความรักที่ถูกทรยศในบริบทกึ่งชนบท: เพลงอย่าง "ทุยใจดำ" และ "ช้ำ" นำเสนอความผิดหวังในความรักจากมุมมองของผู้หญิง เมื่อเนื้อหาเหล่านี้ถูกขับร้องด้วยคุณภาพเสียงที่สะอาดและการเรียบเรียงแบบป๊อปสมัยใหม่ ความดิบหรือความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับความยากจนในเพลงลูกทุ่งแบบดั้งเดิมก็ถูกลดทอนลง เนื้อหาจึงถูก "ทำให้สะอาด" ให้เหลือเพียงความเศร้าแบบโรแมนติกที่เข้ากับมาตรฐานของเพลงป๊อปในเมือง

    2️⃣ ความปรารถนาในชีวิตชนบทและความหวนคิดถึง: เพลง "สาวชนบท" และ "ระบำยอดหญ้า" นำเสนอภาพความสดใสและรื่นเริงของชีวิตในท้องถิ่น ผู้ฟังในเขตเมืองหลายคนซึ่งส่วนใหญ่อพยพมาจากชนบท ต่างให้การตอบรับต่อเพลงเหล่านี้อย่างดีเยี่ยม ดอกไม้ป่าจึงทำหน้าที่เป็นตัวแทนของ "การหวนคิดถึงอย่างมีรสนิยม" (Aesthetic Nostalgia)

    ความสำเร็จอย่างสูงในตลาดเพลงสตริง/ป๊อป แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการ "เชื่อมรอยแยกทางวัฒนธรรม" ระหว่างรสนิยมของคนเมือง (ที่แสวงหาความทันสมัย) กับความผูกพันของกลุ่มผู้ฟังต่อชนบท

    ปี พ.ศ. 2525 เป็นปีแห่งความรุ่งโรจน์ของคณะดอกไม้ป่าจากการเปิดตัวอัลบั้ม ทุยใจดำ ซึ่งได้กำหนดทิศทางและลักษณะเฉพาะของวงอย่างชัดเจน เพลงเอก "ทุยใจดำ" เป็นตัวอย่างชั้นยอดของการผสมผสานระหว่าง Luk Thung และ Pop ผนวกกับการเรียบเรียงที่ใช้เครื่องดนตรีครบวงและจังหวะที่เร้าใจ ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงเต้นรำที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง

    วงยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วในปี พ.ศ. 2526 โดยมีผลงานเพลงจากชุดต่อมา เช่น "สาวชนบท," "หนาวลมขมรัก," และ "รักทรมาน" การออกผลงานหลายชุดภายในเวลาอันสั้น เป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อมั่นของค่ายเพลงในศักยภาพเชิงพาณิชย์และกระแสความนิยมที่แข็งแกร่งในช่วงเวลานั้น การที่เพลงของพวกเขาถูกรวมอยู่ในอัลบั้มรวมเพลงฮิตเงินล้าน ร่วมกับศิลปินใหญ่แห่งยุค แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นวงชั้นนำในตลาดเพลงเทปคาสเซ็ตต์อย่างแท้จริง

    นอกจากคุณภาพทางดนตรีแล้ว ภาพลักษณ์ของคณะดอกไม้ป่ามีความสำคัญต่อการตลาดไม่น้อยไปกว่ากัน ภาพลักษณ์ที่ถูกนำเสนอมีความเป็นมืออาชีพสูงและสอดคล้องกับแฟชั่นยุค 80s การปรากฏตัวทั้งในสตูดิโอและภาพคอนเสิร์ต แสดงให้เห็นถึงการลงทุนในการผลิต และการแต่งกายที่ดูทันสมัยและสะอาดตา ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนจากภาพลักษณ์ลูกทุ่งแบบดั้งเดิม

    คณะดอกไม้ป่าทำหน้าที่เป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญสองประการในต้นทศวรรษ 1980s นั่นคือพลวัตของการอพยพย้ายถิ่นฐาน และการเปลี่ยนแปลงของบทบาททางเพศ

    ในช่วงหลังปี 2520 สังคมไทยเข้าสู่ยุคของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการขยายตัวของชนชั้นกลางในเขตเมืองอย่างชัดเจน ผู้คนจำนวนมากอพยพจากชนบทเข้าสู่กรุงเทพฯ ทำให้เกิดความตึงเครียดทางวัฒนธรรมระหว่างวิถีชีวิตแบบเมืองกับรากเหง้าที่ยังคงผูกพันกับชนบท

    กลุ่มผู้ฟังที่ย้ายถิ่นฐานเหล่านี้ยังคงมีความผูกพันทางอารมณ์กับเนื้อหาและทำนองแบบลูกทุ่ง แต่รสนิยมทางเสียงของพวกเขาได้ถูกหล่อหลอมด้วยดนตรีป๊อปและสตริงที่ทันสมัย ดอกไม้ป่าจึงเข้ามาตอบโจทย์นี้ด้วยการนำเสนอ "ลูกทุ่งในแพ็คเกจป๊อป" เพลงที่มีธีมเกี่ยวกับ "สาวชนบท" ซึ่งถูกถ่ายทอดโดยนักร้องที่ดูทันสมัยในบริบทเมือง จึงสามารถสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับผู้ฟังกลุ่มย้ายถิ่นฐานได้อย่างลึกซึ้ง บทเพลงของดอกไม้ป่าเปรียบเสมือน "ซาวด์แทร็กของการปรับตัว" ของคนชนบทเข้าสู่สังคมเมือง

    การที่คณะดอกไม้ป่าเป็นนักร้องดูโอหญิงในแนว Pop/Fusion แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงบทบาททางเพศในสื่อและสังคมในช่วงเวลานั้น ภาพลักษณ์ของ โชติมา และ ปัทมา เป็นตัวแทนของ ผู้หญิงในยุคสมัยใหม่ ที่สามารถเป็นทั้งผู้รักษามรดกทางวัฒนธรรมและเป็นผู้หญิงที่มีความทันสมัย (ผ่านสไตล์การแต่งกายและการนำเสนอแบบป๊อป)

    นอกจากนี้ เพลงที่กล้าแสดงออกถึงความผิดหวังในความรักและความช้ำ เป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกส่วนตัวในที่สาธารณะได้มากขึ้น โดยที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์ที่ดูดีและไม่ฉีกกรอบทางสังคมมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับยุคสมัยที่บทบาทของผู้หญิงเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น

    ในช่วงปี พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมกำลังฟื้นตัวหลังความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่ ดนตรีที่ได้รับความนิยมสูงมักจะไม่มีวาระทางการเมืองที่ชัดเจน คณะดอกไม้ป่าเองก็เน้นที่ความบันเทิงและเรื่องราวส่วนตัว การหลีกเลี่ยงข้อความที่อาจสร้างความขัดแย้งทางการเมืองในบทเพลง ส่งผลให้ดอกไม้ป่าสามารถเข้าถึงผู้ชมหลักได้อย่างง่ายดาย

    ดอกไม้ป่าประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์อย่างสูงในช่วงยุครุ่งเรือง ดังที่ปรากฏหลักฐานจากการออกอัลบั้ม Longplay เต็มรูปแบบหลายชุด และการมีอัลบั้มรวมเพลงฮิต การที่เพลงของวงถูกนำไปรวมอยู่ในอัลบั้มที่ทำยอดขายสูงร่วมกับศิลปินสำคัญแห่งยุค ตอกย้ำสถานะของพวกเขาในฐานะวงชั้นนำของตลาดเทปคาสเซ็ตต์ ซึ่งเป็นรูปแบบการบริโภคหลักในยุคนั้น

    ดอกไม้ป่าไม่ได้เป็นเพียงวงดนตรีที่ขายดี แต่ยังได้สร้างต้นแบบ ให้กับแนวเพลงผสมผสานที่ทรงอิทธิพล พวกเขาเป็นตัวอย่างสำคัญที่พิสูจน์ให้เห็นว่าดนตรีที่มีรากฐานลูกทุ่งสามารถนำเสนอในรูปแบบป๊อปสตริงที่มีคุณภาพสูงและประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ การเปิดทางนี้มีอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังจำนวนมากที่พยายามนำเสนอ "ลูกทุ่งสมัยใหม่" ซึ่งช่วยยืดอายุและปรับโฉมให้ดนตรีลูกทุ่งยังคงอยู่รอดในยุคที่ดนตรี String ครองตลาด

    การที่ดอกไม้ป่าสามารถนำเอาองค์ประกอบของลูกทุ่งและป๊อปมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวและได้รับความนิยมอย่างสูง ทำให้ผู้ผลิตเพลงเห็นว่า "สูตรผสม" นี้เป็นช่องทางที่มั่นคงในการขยายตลาดไปยังผู้ฟังที่มีรสนิยมหลากหลาย ถือเป็นการเร่งกระบวนการที่ทำให้ดนตรีสตริงได้ครอบครองความโดดเด่นในที่สุด

    มรดกทางดนตรีของดอกไม้ป่ายังคงยืนยง เพลงของพวกเขายังคงถูกค้นหาและรับฟังในปัจจุบันผ่านช่องทางดิจิทัล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความทนทานของทำนองและเนื้อหาที่เข้าถึงง่าย การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลยังเห็นได้จากการที่สมาชิกหลักของวงยังคงมีความเคลื่อนไหวในการกลับมาทำเพลงใหม่ในนามดอกไม้ป่า ("พลังรัก") และมีการสร้างช่องทาง YouTube เฉพาะ การเคลื่อนไหวนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าศิลปินยุคบุกเบิกสามารถใช้แพลตฟอร์มสมัยใหม่เพื่อรักษาและขยายฐานแฟนคลับให้เข้าถึงผู้ฟังรุ่นใหม่ได้

    สรุป: มรดกของดอกไม้ป่า
    คณะดอกไม้ป่าจัดเป็นปรากฏการณ์ทางดนตรีและวัฒนธรรมที่มีความซับซ้อนในช่วงรอยต่อของสังคมไทย พวกเขาประสบความสำเร็จในการสร้างความสมดุลระหว่างมรดกทางดนตรีคลาสสิก (ผ่านสายเลือดสุนทราภรณ์) กับความต้องการของตลาดป๊อปที่เน้นความทันสมัยและคุณภาพการผลิตสูง

    บทเพลงของดอกไม้ป่าทำหน้าที่เป็นกลไกทางวัฒนธรรมที่ช่วยบรรเทาความตึงเครียดทางสังคมภายหลังวิกฤตการณ์ทางการเมือง ด้วยการนำเสนอความบันเทิงที่ปลอดภัยและเป็นทางออกทางวัฒนธรรมสำหรับกลุ่มผู้ย้ายถิ่นฐานที่ต้องการรักษาความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับชนบท ในขณะที่ปรับตัวเข้าสู่ความเป็นเมืองอย่างเต็มตัว

    มรดกที่สำคัญที่สุดของคณะดอกไม้ป่าคือการเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่แข็งแกร่งที่สุดของ "ดนตรีลูกทุ่งประยุกต์" พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าความทันสมัยทางดนตรีไม่จำเป็นต้องตัดขาดจากรากฐานทางวัฒนธรรมดั้งเดิม และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเพลงป๊อปไทยในทศวรรษต่อมาให้ยอมรับและผสมผสานแนวเพลงที่มีรากฐานมาจาก Luk Thung เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเพลงกระแสหลักได้อย่างลงตัว

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/NnrS7BYpRRc
    🌼 ดอกไม้ป่า—ร่องรอยแห่งชนบทในสำเนียงเมือง คณะดอกไม้ป่า 🌸 ก้าวเข้ามาสู่ฉากดนตรีไทยในช่วงต้นทศวรรษ 2520 (ค.ศ. 1980s) ซึ่งถือเป็น 🔄 ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของรสนิยมและการผลิตดนตรีในประเทศไทย พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มนักร้องที่รวมตัวกันตามธรรมชาติ แต่เป็นโครงการทางดนตรีที่ถูกกำหนดและออกแบบอย่างพิถีพิถันจากผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมเพลงมืออาชีพ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองต่อตลาดชนชั้นกลางในเมืองที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ทำให้วงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งคือความสามารถในการนำ "แก่นเรื่องแบบลูกทุ่ง" 🧬🌾 มาผสมผสานกับการเรียบเรียงและคุณภาพการผลิตแบบ "ดนตรีสตริงหรือป๊อป" 🎧 อันนำไปสู่การก่อกำเนิดของแนวทางใหม่ที่เรียกว่า "ลูกทุ่งประยุกต์" ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานให้กับรูปแบบดนตรีป๊อปที่ครองตลาดในทศวรรษต่อมา ดอกไม้ป่าประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในช่วงปี พ.ศ. 2525–2526 🌟 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมหลังเหตุการณ์ทางการเมืองในทศวรรษก่อนหน้า วงนี้ถูกวางตำแหน่งทางการตลาดให้เป็นนักร้องคู่ดูโอหญิงที่เน้นทักษะการประสานเสียง (Harmonizing Duo) พวกเขาสามารถดึงดูดผู้ฟังได้อย่างกว้างขวางด้วยการรักษาความรู้สึกและแก่นเรื่องของความเป็นไทยไว้ ในขณะที่นำเสนอผ่านสำเนียงป๊อปสมัยใหม่ ในเชิงสังคมวิทยา ความสำเร็จของวงมีความสัมพันธ์กับการถอยห่างจากเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองที่รุนแรงของยุค 1970s ดนตรีป๊อปที่ได้รับความนิยมในช่วงนี้มักหลีกเลี่ยงสารทางการเมือง และหันไปให้ความสำคัญกับเรื่องราวส่วนตัว ความรัก ❤️ และการมอบความบันเทิง ดอกไม้ป่าได้ปรับใช้แก่นเรื่องลูกทุ่งให้มีความอ่อนโยนและโรแมนติกในรูปแบบป๊อป ซึ่งทำให้บทเพลงของพวกเขากลายเป็นผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมที่ผู้บริโภคในเมืองสามารถยอมรับและเพลิดเพลินได้ คณะดอกไม้ป่าถือกำเนิดขึ้นจากแนวคิดทางธุรกิจที่ชัดเจน 💡 โดยไม่ได้เกิดจากการรวมตัวกันของนักดนตรีตามธรรมชาติ การก่อตั้งมีรากฐานมาจากความต้องการขยายตลาดและรูปแบบความสำเร็จที่เคยมีมาก่อน โดยผู้ริเริ่มแนวคิดต้องการที่จะสรรหานักร้องหญิงคู่ประสานเสียงเป็นคู่ที่สอง เพื่อต่อยอดความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับวง The Hot Pepper Singers การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นว่า รูปแบบของ "นักร้องคู่ประสานเสียง" 🎤🤝 ที่มีภาพลักษณ์สุภาพและเน้นทักษะการร้องถือเป็นกลยุทธ์เชิงพาณิชย์ที่มีศักยภาพสูง การเน้นที่ "นักร้องคู่ประสานเสียง" แสดงให้เห็นว่าคุณภาพเสียงและการจัดวางเสียงประสานถูกกำหนดให้เป็นหัวใจหลักของแบรนด์ตั้งแต่เริ่มต้น แนวคิดนี้เป็นความพยายามที่จะยกระดับรูปแบบการร้องเพลงให้แตกต่างจากดนตรีลูกทุ่งทั่วไป การประสานเสียงที่ซับซ้อนนี้ถูกมองว่าเป็นคุณสมบัติของดนตรีแนวลูกกรุงและป๊อปที่มีความประณีตและมีรสนิยมสูง ซึ่งสามารถดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคในเมืองได้ วงดอกไม้ป่าประกอบด้วยนักร้องดูโอหญิงสองคน: โชติมา ช่วงวิทย์ (ตุ้ม) และ ปัทมา มนต์รังสี (อ้อม) คุณโชติมาถือเป็นสมาชิกหลักที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเธอเป็นบุตรสาวของ ชวลีย์ ช่วงวิทย์ นักร้องชื่อดังของวงสุนทราภรณ์ 👑 สายเลือดจากสุนทราภรณ์นี้มอบความน่าเชื่อถือทางวัฒนธรรมและ "ความเป็นลูกกรุง" ให้กับวงโดยอัตโนมัติ ทำให้ดอกไม้ป่าสามารถวางตำแหน่งตัวเองอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นลูกทุ่งและความเป็นลูกกรุง/คลาสสิก ในช่วงเวลาที่ดนตรีลูกทุ่งกำลังถูกกลุ่มรสนิยมใหม่ของคนเมืองมองว่าเป็น "ดนตรีบ้านนอก" การมีโชติมาได้ทำหน้าที่เป็น "การสร้างแบรนด์ทางวัฒนธรรม" ที่สำคัญยิ่ง การเชื่อมโยงนี้รับประกันว่าเพลงของดอกไม้ป่า แม้จะมีกลิ่นอายของลูกทุ่ง แต่ก็มีความสุภาพและมีคุณค่าในเชิงศิลปะแบบลูกกรุงสูง "ดอกไม้ป่าซาวด์" คือการผสมผสานทางดนตรี 🔥 ที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจในการนำองค์ประกอบทางทำนองเพลงพื้นบ้านหรือลูกทุ่ง มารวมเข้ากับการเรียบเรียงดนตรีและเครื่องดนตรีสมัยใหม่ตามแบบฉบับดนตรีสตริง/ป๊อปในยุค 80s แก่นเรื่องแบบลูกทุ่งยังคงเป็นหัวใจหลักในการเล่าเรื่อง ตัวอย่างเช่น เพลง "ทุยใจดำ" 💔 ที่สื่อถึงคนรักที่ไม่ซื่อสัตย์ และเพลง "สาวชนบท" 🏡 ที่หยิบยกเรื่องราวความรักและชีวิตในท้องถิ่นมานำเสนอ แต่สิ่งที่ทำให้ดนตรีมีความแตกต่างคือการเรียบเรียงแบบป๊อปสมัยใหม่ การใช้เครื่องดนตรีที่ซับซ้อน เช่น เปียโน กีตาร์ไฟฟ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เครื่องเป่า (Brass Section) 🎺🎷 ที่สร้างความหนาแน่นและพลังเสียงที่ทันสมัย นอกจากนี้ยังมีการนำจังหวะที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีตะวันตกมาใช้ เช่น จังหวะช่าช่าช่า หรือฟังก์กี้ดิสโก้ในเพลงสนุกสนานอย่าง "ระบำยอดหญ้า" 💃 ทั้งหมดนี้ถูกขับร้องด้วยการประสานเสียงที่ไพเราะและสะอาดตา ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของดนตรีป๊อปในช่วงนั้น การวิเคราะห์เนื้อหาและแก่นหลักของบทเพลง 1️⃣ ความรักที่ถูกทรยศในบริบทกึ่งชนบท: เพลงอย่าง "ทุยใจดำ" และ "ช้ำ" นำเสนอความผิดหวังในความรักจากมุมมองของผู้หญิง เมื่อเนื้อหาเหล่านี้ถูกขับร้องด้วยคุณภาพเสียงที่สะอาดและการเรียบเรียงแบบป๊อปสมัยใหม่ ความดิบหรือความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับความยากจนในเพลงลูกทุ่งแบบดั้งเดิมก็ถูกลดทอนลง เนื้อหาจึงถูก "ทำให้สะอาด" ให้เหลือเพียงความเศร้าแบบโรแมนติกที่เข้ากับมาตรฐานของเพลงป๊อปในเมือง 2️⃣ ความปรารถนาในชีวิตชนบทและความหวนคิดถึง: เพลง "สาวชนบท" และ "ระบำยอดหญ้า" นำเสนอภาพความสดใสและรื่นเริงของชีวิตในท้องถิ่น ผู้ฟังในเขตเมืองหลายคนซึ่งส่วนใหญ่อพยพมาจากชนบท ต่างให้การตอบรับต่อเพลงเหล่านี้อย่างดีเยี่ยม ดอกไม้ป่าจึงทำหน้าที่เป็นตัวแทนของ "การหวนคิดถึงอย่างมีรสนิยม" (Aesthetic Nostalgia) 💖 ความสำเร็จอย่างสูงในตลาดเพลงสตริง/ป๊อป แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการ "เชื่อมรอยแยกทางวัฒนธรรม" 🔗 ระหว่างรสนิยมของคนเมือง (ที่แสวงหาความทันสมัย) กับความผูกพันของกลุ่มผู้ฟังต่อชนบท ปี พ.ศ. 2525 เป็นปีแห่งความรุ่งโรจน์ของคณะดอกไม้ป่าจากการเปิดตัวอัลบั้ม ทุยใจดำ 💿 ซึ่งได้กำหนดทิศทางและลักษณะเฉพาะของวงอย่างชัดเจน เพลงเอก "ทุยใจดำ" เป็นตัวอย่างชั้นยอดของการผสมผสานระหว่าง Luk Thung และ Pop ผนวกกับการเรียบเรียงที่ใช้เครื่องดนตรีครบวงและจังหวะที่เร้าใจ ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงเต้นรำที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง วงยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วในปี พ.ศ. 2526 โดยมีผลงานเพลงจากชุดต่อมา เช่น "สาวชนบท," "หนาวลมขมรัก," และ "รักทรมาน" การออกผลงานหลายชุดภายในเวลาอันสั้น เป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อมั่นของค่ายเพลงในศักยภาพเชิงพาณิชย์และกระแสความนิยมที่แข็งแกร่งในช่วงเวลานั้น การที่เพลงของพวกเขาถูกรวมอยู่ในอัลบั้มรวมเพลงฮิตเงินล้าน 💰 ร่วมกับศิลปินใหญ่แห่งยุค แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นวงชั้นนำในตลาดเพลงเทปคาสเซ็ตต์อย่างแท้จริง นอกจากคุณภาพทางดนตรีแล้ว ภาพลักษณ์ของคณะดอกไม้ป่ามีความสำคัญต่อการตลาดไม่น้อยไปกว่ากัน ภาพลักษณ์ที่ถูกนำเสนอมีความเป็นมืออาชีพสูงและสอดคล้องกับแฟชั่นยุค 80s การปรากฏตัวทั้งในสตูดิโอและภาพคอนเสิร์ต 🎙️ แสดงให้เห็นถึงการลงทุนในการผลิต และการแต่งกายที่ดูทันสมัยและสะอาดตา ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนจากภาพลักษณ์ลูกทุ่งแบบดั้งเดิม คณะดอกไม้ป่าทำหน้าที่เป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญสองประการในต้นทศวรรษ 1980s นั่นคือพลวัตของการอพยพย้ายถิ่นฐาน 🚚 และการเปลี่ยนแปลงของบทบาททางเพศ ในช่วงหลังปี 2520 สังคมไทยเข้าสู่ยุคของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการขยายตัวของชนชั้นกลางในเขตเมืองอย่างชัดเจน ผู้คนจำนวนมากอพยพจากชนบทเข้าสู่กรุงเทพฯ 🏙️ ทำให้เกิดความตึงเครียดทางวัฒนธรรมระหว่างวิถีชีวิตแบบเมืองกับรากเหง้าที่ยังคงผูกพันกับชนบท กลุ่มผู้ฟังที่ย้ายถิ่นฐานเหล่านี้ยังคงมีความผูกพันทางอารมณ์กับเนื้อหาและทำนองแบบลูกทุ่ง แต่รสนิยมทางเสียงของพวกเขาได้ถูกหล่อหลอมด้วยดนตรีป๊อปและสตริงที่ทันสมัย ดอกไม้ป่าจึงเข้ามาตอบโจทย์นี้ด้วยการนำเสนอ "ลูกทุ่งในแพ็คเกจป๊อป" เพลงที่มีธีมเกี่ยวกับ "สาวชนบท" ซึ่งถูกถ่ายทอดโดยนักร้องที่ดูทันสมัยในบริบทเมือง จึงสามารถสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับผู้ฟังกลุ่มย้ายถิ่นฐานได้อย่างลึกซึ้ง บทเพลงของดอกไม้ป่าเปรียบเสมือน "ซาวด์แทร็กของการปรับตัว" ของคนชนบทเข้าสู่สังคมเมือง การที่คณะดอกไม้ป่าเป็นนักร้องดูโอหญิงในแนว Pop/Fusion แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงบทบาททางเพศในสื่อและสังคมในช่วงเวลานั้น ภาพลักษณ์ของ โชติมา และ ปัทมา เป็นตัวแทนของ ผู้หญิงในยุคสมัยใหม่ 👩‍🎤 ที่สามารถเป็นทั้งผู้รักษามรดกทางวัฒนธรรมและเป็นผู้หญิงที่มีความทันสมัย (ผ่านสไตล์การแต่งกายและการนำเสนอแบบป๊อป) นอกจากนี้ เพลงที่กล้าแสดงออกถึงความผิดหวังในความรักและความช้ำ 💔 เป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกส่วนตัวในที่สาธารณะได้มากขึ้น โดยที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์ที่ดูดีและไม่ฉีกกรอบทางสังคมมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับยุคสมัยที่บทบาทของผู้หญิงเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น ในช่วงปี พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมกำลังฟื้นตัวหลังความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่ ดนตรีที่ได้รับความนิยมสูงมักจะไม่มีวาระทางการเมืองที่ชัดเจน คณะดอกไม้ป่าเองก็เน้นที่ความบันเทิงและเรื่องราวส่วนตัว การหลีกเลี่ยงข้อความที่อาจสร้างความขัดแย้งทางการเมืองในบทเพลง ส่งผลให้ดอกไม้ป่าสามารถเข้าถึงผู้ชมหลักได้อย่างง่ายดาย ดอกไม้ป่าประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์อย่างสูงในช่วงยุครุ่งเรือง 💵💶💷 ดังที่ปรากฏหลักฐานจากการออกอัลบั้ม Longplay เต็มรูปแบบหลายชุด และการมีอัลบั้มรวมเพลงฮิต การที่เพลงของวงถูกนำไปรวมอยู่ในอัลบั้มที่ทำยอดขายสูงร่วมกับศิลปินสำคัญแห่งยุค ตอกย้ำสถานะของพวกเขาในฐานะวงชั้นนำของตลาดเทปคาสเซ็ตต์ 📼 ซึ่งเป็นรูปแบบการบริโภคหลักในยุคนั้น ดอกไม้ป่าไม่ได้เป็นเพียงวงดนตรีที่ขายดี แต่ยังได้สร้างต้นแบบ 🏗️ ให้กับแนวเพลงผสมผสานที่ทรงอิทธิพล พวกเขาเป็นตัวอย่างสำคัญที่พิสูจน์ให้เห็นว่าดนตรีที่มีรากฐานลูกทุ่งสามารถนำเสนอในรูปแบบป๊อปสตริงที่มีคุณภาพสูงและประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ การเปิดทางนี้มีอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังจำนวนมากที่พยายามนำเสนอ "ลูกทุ่งสมัยใหม่" ซึ่งช่วยยืดอายุและปรับโฉมให้ดนตรีลูกทุ่งยังคงอยู่รอดในยุคที่ดนตรี String ครองตลาด การที่ดอกไม้ป่าสามารถนำเอาองค์ประกอบของลูกทุ่งและป๊อปมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวและได้รับความนิยมอย่างสูง ทำให้ผู้ผลิตเพลงเห็นว่า "สูตรผสม" นี้เป็นช่องทางที่มั่นคงในการขยายตลาดไปยังผู้ฟังที่มีรสนิยมหลากหลาย ถือเป็นการเร่งกระบวนการที่ทำให้ดนตรีสตริงได้ครอบครองความโดดเด่นในที่สุด มรดกทางดนตรีของดอกไม้ป่ายังคงยืนยง ⏳ เพลงของพวกเขายังคงถูกค้นหาและรับฟังในปัจจุบันผ่านช่องทางดิจิทัล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความทนทานของทำนองและเนื้อหาที่เข้าถึงง่าย การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลยังเห็นได้จากการที่สมาชิกหลักของวงยังคงมีความเคลื่อนไหวในการกลับมาทำเพลงใหม่ในนามดอกไม้ป่า ("พลังรัก") และมีการสร้างช่องทาง YouTube เฉพาะ 🎥 การเคลื่อนไหวนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าศิลปินยุคบุกเบิกสามารถใช้แพลตฟอร์มสมัยใหม่เพื่อรักษาและขยายฐานแฟนคลับให้เข้าถึงผู้ฟังรุ่นใหม่ได้ ✨ ✅✅ สรุป: มรดกของดอกไม้ป่า ✅✅ คณะดอกไม้ป่าจัดเป็นปรากฏการณ์ทางดนตรีและวัฒนธรรมที่มีความซับซ้อนในช่วงรอยต่อของสังคมไทย พวกเขาประสบความสำเร็จในการสร้างความสมดุลระหว่างมรดกทางดนตรีคลาสสิก (ผ่านสายเลือดสุนทราภรณ์) กับความต้องการของตลาดป๊อปที่เน้นความทันสมัยและคุณภาพการผลิตสูง บทเพลงของดอกไม้ป่าทำหน้าที่เป็นกลไกทางวัฒนธรรมที่ช่วยบรรเทาความตึงเครียดทางสังคมภายหลังวิกฤตการณ์ทางการเมือง ด้วยการนำเสนอความบันเทิงที่ปลอดภัยและเป็นทางออกทางวัฒนธรรมสำหรับกลุ่มผู้ย้ายถิ่นฐานที่ต้องการรักษาความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับชนบท ในขณะที่ปรับตัวเข้าสู่ความเป็นเมืองอย่างเต็มตัว มรดกที่สำคัญที่สุดของคณะดอกไม้ป่าคือการเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่แข็งแกร่งที่สุดของ "ดนตรีลูกทุ่งประยุกต์" 🎶 พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าความทันสมัยทางดนตรีไม่จำเป็นต้องตัดขาดจากรากฐานทางวัฒนธรรมดั้งเดิม และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเพลงป๊อปไทยในทศวรรษต่อมาให้ยอมรับและผสมผสานแนวเพลงที่มีรากฐานมาจาก Luk Thung เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเพลงกระแสหลักได้อย่างลงตัว 💯 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/NnrS7BYpRRc
    0 Comments 0 Shares 276 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 4 – อิยิปต์ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 4 ”
    อิยิปต์ 2
อังกฤษเมื่อแรกเข้ามาใช้อียิปต์นั้น นอกจากใช้เป็นที่วางไม้ขวางฝรั่งเศส ไม่ให้เดินเลยไปถึงอินเดียแล้ว อังกฤษสนใจ ที่จะใช้อียิปต์เป็นแหล่งผลิตผ้าฝ้าย เดิมอังกฤษอาศัยฝ้ายจากทางใต้ของอเมริกา ซึ่งผลิตฝ้ายดีราคาถูกจากแรงงานทาสผิวดำ แต่เมื่ออเมริกาเกิดสงครามกลางเมือง การผลิตฝ้ายของทางใต้ของอเมริกากันหยุดชะงัก อังกฤษต้องมองหาตลาดใหม่ อียิปต์มีภูมิอากาศเหมาะสำหรับปลูกฝ่ายอย่างยิ่ง
    หลังจาก ค.ศ. 1882 เป็นต้นมา อังกฤษเอาจริงกับการใช้อียิปต์เป็นแหล่งปลูกฝ้าย จะปลูกฝ้ายก็ต้องมีน้ำ โครงการสร้างคลองชลประทาน จึงเกิดขึ้นในอียิปต์ ไม่ใช่เพราะอยากให้ชาวอียิปต์มีน้ำใช้ทั่วถึงหรอกนะ อังกฤษไม่เคยใจดีอย่างนั้น แต่น้ำจากคลองชลประทานก็ยังไม่ พอ เพราะเมื่อปลูกฝ้ายแล้ว อังกฤษก็ตั้งโรงงานทอผ้า ทำเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ อุตสาหกรรมก็ต้องมีพลังงาน น้ำมันยังไม่มีให้ใช้ ดังนั้นต้องใช้พลังน้ำจากเขื่อน เขื่อนอัสวาน (Aswan) จึงจำเป็นต้องสร้างขึ้น
    ช่วงปี ค.ศ. 1890 – 1914 อียิปต์สร้างเขื่อนหลายเขื่อน และระบบชลประทานทั่วประเทศ เขื่อนอัสวาน 1 เสร็จไปแล้ว แต่ยังไม่ได้พลังงานพอใช้ อัสวาน 2 จึงต้องสร้างเพิ่มในปี ค.ศ.1912 เพื่อให้มีน้ำเลี้ยงทั้งปีทุกบริเวณ ตั้งแต่อียิปต์กลางและอียิปต์ใต้ ทำให้อียิปต์เพิ่มเนื้อที่จากการปลูกฝ้าย จาก 4.4 ล้าน เฟดดาน (feddan) ในปี ค.ศ. 1877 เป็น 5.5 ล้าน เฟดดาน ในปี ค.ศ. 1913
    อังกฤษกลายเป็นผู้ผูกขาด การปลูก การผลิต การขาย ฝ้ายในอียิปต์ ระบบชลประทานเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการปลูกฝ้าย อังกฤษส่งคนมาคุมทำการขุด และสร้างระบบ บริษัทอังกฤษเป็นผู้ก่อสร้างระบบชลประทาน ทั่วประเทศอียิปต์ มันไม่ใช่ควบคุมเฉพาะการปลูกเท่านั้น เมื่อต้องขนส่งฝ้ายทางรถไฟ ทางเรือตามแม่น้ำ ลำคลอง เรือกลไฟของอังกฤษก็มาเทียบท่าเมือง Alexandria แม้รถไฟจะเป็นของรัฐ แต่คนอังกฤษเป็นผู้ควบคุม
    การปลูก ผลิต ขาย ฝ้าย อยู่ในมือของคนอังกฤษ รวมทั้งธนาคารของคนอังกฤษ คนอียิปต์มีส่วนเป็นเพียงเจ้าของแผ่นดิน และได้ค่าตอบแทน เป็นแรงงานราคาถูก
    ที่สำคัญ อังกฤษเปลี่ยนเนื้อที่ ที่ชาวอียิปต์เคยปลูกพืชอื่น ในการยังชีพของพวกเขา เช่น ข้าวบาเลย์ แป้งสาลี น้ำตาล ให้ไปปลูกฝ้ายเกือบหมด ในที่สุดพืชเหล่านี้ ก็ถูกกินเนื้อที่ ชาวอียิปต์ นอกจากไม่ได้ร่ำรวยจากการปลูกฝ้ายแล้ว ยังอดอยากอีกด้วย แถมตอนหลังอังกฤษเห็นว่ายาสูบไม่ใชสิ่งจำเป็น อังกฤษออกประกาศให้ยาสูบเป็นพืชต้องห้าม คนอียิปต์ที่ส่วนใหญ่ติดยาดูดเป็นชีวิต ถ้าไม่อยากลงแดง ก็ต้องไปอาศัยดูดยาของตุรกีซึ่งมีราคาแพงแทน
    ข้อมูลภูมิศาสตร์โลกที่ระบุว่า อียิปต์เป็นประเทศที่ปลูกฝ้ายดีที่สุดในโลก เป็นผู้ผลิตฝ้ายเป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นดินแดนแห่งฝ้ายดีมีคุณภาพ ฯลฯ สาระพัดจะเขียนกัน แต่อียิปต์ไม่ได้เป็นเจ้าของโรงงานทอผ้าฝ้าย แม้แต่โรงงานเดียว และส่งออกฝ้ายเนื้อดีนี้ทั้งหมดไปที่อังกฤษ
    คนอียิปต์ยังใช้ฝ้ายราคาถูกคุณภาพต่ำเหมือนเดิม อียิปต์ผลิตผ้าฝ้าย 1 ใน 3 ของความต้องการฝ้ายทั้งหมดของอังกฤษ และในปี ค.ศ. 1914 สินค้าออกของอียิปต์เป็นฝ้ายเสีย 85%
    ตั้งแต่อียิปต์สร้างคลองสุเอช อียิปต์เริ่มมีหนี้ติดตัวไปทุกแห่ง แต่หนี้ของอียิปต์งอกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่อังกฤษเข้ามายึด อียิปต์ในปี ค.ศ. 1882 การแปลงอียิปต์เป็นแดนฝ้าย สร้างหนี้ให้อียิปต์อีกมหาศาล จากการสร้างระบบชลประทาน สร้างเขื่อน ทางรถไฟ ระบบขนส่ง ด้วยเงินของรัฐบาลอียิปต์ ที่อังกฤษเป็นดูแล
ในปี ค.ศ. 1898 อังกฤษตั้งธนาคารชาติแห่งอียิปต์ ชื่อเป็นอียิปต์ นอกจากไม่ได้เป็นธนาคารของชาติอียิปต์แล้ว ยังเป็นธนาคารของเอกชนอีกด้วย และเอกชนนั้น ก็ไม่ใช่คนอียิปต์ แต่เป็นคนอังกฤษ แต่ธนาคารชาตินี้มีสิทธิในการพิมพ์ธนบัตรอียิปต์ เหยื่ออย่างสมบูณ์แบบจริงๆ
    เมื่ออียิปต์มีรายได้ ฝรั่งก็ตั้งหน่วยงาน เรียกว่าสำนักบริหารหนี้ของอียิปต์ เพื่อมาจัดเก็บรายได้นำไปชำระหนี้ ที่อียิปต์มีต่อผู้ให้กู้ต่างประเทศก่อน ถ้าออตโมมานเป็นคนป่วยของยุโรป อียิปต์น่าจะเป็นคนใกล้ตาย หรือตายซาก ในภูมิภาคนั้น
    เห็นฝีมือเถือหนังแทะกระดูกเหยื่อต่าง ๆ ของนักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯแล้ว คงเข้าใจว่าทำไมผมเรียกมันอย่าง รังเกียจ เหยียดหยามเช่นนี้
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 4 – อิยิปต์ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 4 ” อิยิปต์ 2
อังกฤษเมื่อแรกเข้ามาใช้อียิปต์นั้น นอกจากใช้เป็นที่วางไม้ขวางฝรั่งเศส ไม่ให้เดินเลยไปถึงอินเดียแล้ว อังกฤษสนใจ ที่จะใช้อียิปต์เป็นแหล่งผลิตผ้าฝ้าย เดิมอังกฤษอาศัยฝ้ายจากทางใต้ของอเมริกา ซึ่งผลิตฝ้ายดีราคาถูกจากแรงงานทาสผิวดำ แต่เมื่ออเมริกาเกิดสงครามกลางเมือง การผลิตฝ้ายของทางใต้ของอเมริกากันหยุดชะงัก อังกฤษต้องมองหาตลาดใหม่ อียิปต์มีภูมิอากาศเหมาะสำหรับปลูกฝ่ายอย่างยิ่ง หลังจาก ค.ศ. 1882 เป็นต้นมา อังกฤษเอาจริงกับการใช้อียิปต์เป็นแหล่งปลูกฝ้าย จะปลูกฝ้ายก็ต้องมีน้ำ โครงการสร้างคลองชลประทาน จึงเกิดขึ้นในอียิปต์ ไม่ใช่เพราะอยากให้ชาวอียิปต์มีน้ำใช้ทั่วถึงหรอกนะ อังกฤษไม่เคยใจดีอย่างนั้น แต่น้ำจากคลองชลประทานก็ยังไม่ พอ เพราะเมื่อปลูกฝ้ายแล้ว อังกฤษก็ตั้งโรงงานทอผ้า ทำเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ อุตสาหกรรมก็ต้องมีพลังงาน น้ำมันยังไม่มีให้ใช้ ดังนั้นต้องใช้พลังน้ำจากเขื่อน เขื่อนอัสวาน (Aswan) จึงจำเป็นต้องสร้างขึ้น ช่วงปี ค.ศ. 1890 – 1914 อียิปต์สร้างเขื่อนหลายเขื่อน และระบบชลประทานทั่วประเทศ เขื่อนอัสวาน 1 เสร็จไปแล้ว แต่ยังไม่ได้พลังงานพอใช้ อัสวาน 2 จึงต้องสร้างเพิ่มในปี ค.ศ.1912 เพื่อให้มีน้ำเลี้ยงทั้งปีทุกบริเวณ ตั้งแต่อียิปต์กลางและอียิปต์ใต้ ทำให้อียิปต์เพิ่มเนื้อที่จากการปลูกฝ้าย จาก 4.4 ล้าน เฟดดาน (feddan) ในปี ค.ศ. 1877 เป็น 5.5 ล้าน เฟดดาน ในปี ค.ศ. 1913 อังกฤษกลายเป็นผู้ผูกขาด การปลูก การผลิต การขาย ฝ้ายในอียิปต์ ระบบชลประทานเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการปลูกฝ้าย อังกฤษส่งคนมาคุมทำการขุด และสร้างระบบ บริษัทอังกฤษเป็นผู้ก่อสร้างระบบชลประทาน ทั่วประเทศอียิปต์ มันไม่ใช่ควบคุมเฉพาะการปลูกเท่านั้น เมื่อต้องขนส่งฝ้ายทางรถไฟ ทางเรือตามแม่น้ำ ลำคลอง เรือกลไฟของอังกฤษก็มาเทียบท่าเมือง Alexandria แม้รถไฟจะเป็นของรัฐ แต่คนอังกฤษเป็นผู้ควบคุม การปลูก ผลิต ขาย ฝ้าย อยู่ในมือของคนอังกฤษ รวมทั้งธนาคารของคนอังกฤษ คนอียิปต์มีส่วนเป็นเพียงเจ้าของแผ่นดิน และได้ค่าตอบแทน เป็นแรงงานราคาถูก ที่สำคัญ อังกฤษเปลี่ยนเนื้อที่ ที่ชาวอียิปต์เคยปลูกพืชอื่น ในการยังชีพของพวกเขา เช่น ข้าวบาเลย์ แป้งสาลี น้ำตาล ให้ไปปลูกฝ้ายเกือบหมด ในที่สุดพืชเหล่านี้ ก็ถูกกินเนื้อที่ ชาวอียิปต์ นอกจากไม่ได้ร่ำรวยจากการปลูกฝ้ายแล้ว ยังอดอยากอีกด้วย แถมตอนหลังอังกฤษเห็นว่ายาสูบไม่ใชสิ่งจำเป็น อังกฤษออกประกาศให้ยาสูบเป็นพืชต้องห้าม คนอียิปต์ที่ส่วนใหญ่ติดยาดูดเป็นชีวิต ถ้าไม่อยากลงแดง ก็ต้องไปอาศัยดูดยาของตุรกีซึ่งมีราคาแพงแทน ข้อมูลภูมิศาสตร์โลกที่ระบุว่า อียิปต์เป็นประเทศที่ปลูกฝ้ายดีที่สุดในโลก เป็นผู้ผลิตฝ้ายเป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นดินแดนแห่งฝ้ายดีมีคุณภาพ ฯลฯ สาระพัดจะเขียนกัน แต่อียิปต์ไม่ได้เป็นเจ้าของโรงงานทอผ้าฝ้าย แม้แต่โรงงานเดียว และส่งออกฝ้ายเนื้อดีนี้ทั้งหมดไปที่อังกฤษ คนอียิปต์ยังใช้ฝ้ายราคาถูกคุณภาพต่ำเหมือนเดิม อียิปต์ผลิตผ้าฝ้าย 1 ใน 3 ของความต้องการฝ้ายทั้งหมดของอังกฤษ และในปี ค.ศ. 1914 สินค้าออกของอียิปต์เป็นฝ้ายเสีย 85% ตั้งแต่อียิปต์สร้างคลองสุเอช อียิปต์เริ่มมีหนี้ติดตัวไปทุกแห่ง แต่หนี้ของอียิปต์งอกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่อังกฤษเข้ามายึด อียิปต์ในปี ค.ศ. 1882 การแปลงอียิปต์เป็นแดนฝ้าย สร้างหนี้ให้อียิปต์อีกมหาศาล จากการสร้างระบบชลประทาน สร้างเขื่อน ทางรถไฟ ระบบขนส่ง ด้วยเงินของรัฐบาลอียิปต์ ที่อังกฤษเป็นดูแล
ในปี ค.ศ. 1898 อังกฤษตั้งธนาคารชาติแห่งอียิปต์ ชื่อเป็นอียิปต์ นอกจากไม่ได้เป็นธนาคารของชาติอียิปต์แล้ว ยังเป็นธนาคารของเอกชนอีกด้วย และเอกชนนั้น ก็ไม่ใช่คนอียิปต์ แต่เป็นคนอังกฤษ แต่ธนาคารชาตินี้มีสิทธิในการพิมพ์ธนบัตรอียิปต์ เหยื่ออย่างสมบูณ์แบบจริงๆ เมื่ออียิปต์มีรายได้ ฝรั่งก็ตั้งหน่วยงาน เรียกว่าสำนักบริหารหนี้ของอียิปต์ เพื่อมาจัดเก็บรายได้นำไปชำระหนี้ ที่อียิปต์มีต่อผู้ให้กู้ต่างประเทศก่อน ถ้าออตโมมานเป็นคนป่วยของยุโรป อียิปต์น่าจะเป็นคนใกล้ตาย หรือตายซาก ในภูมิภาคนั้น เห็นฝีมือเถือหนังแทะกระดูกเหยื่อต่าง ๆ ของนักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯแล้ว คงเข้าใจว่าทำไมผมเรียกมันอย่าง รังเกียจ เหยียดหยามเช่นนี้ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 ก.ย. 57
    0 Comments 0 Shares 174 Views 0 Reviews
  • “Xbox อาจเลิกผลิตคอนโซล — เปลี่ยนทิศสู่แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์เต็มตัวในยุค Cloud Gaming”

    ข่าวลือที่กำลังร้อนแรงในวงการเกมคือ Microsoft อาจตัดสินใจ “เลิกผลิตคอนโซล Xbox รุ่นใหม่” และเปลี่ยนทิศทางไปสู่การเป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เต็มรูปแบบ คล้ายกับที่ SEGA เคยทำในอดีต โดยเน้นการเผยแพร่เกมบนทุกแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น PlayStation, Switch, PC หรือมือถือ

    แหล่งข่าวจาก SneakersSO ซึ่งเคยปล่อยข้อมูลแม่นยำเกี่ยวกับ Xbox มาก่อน ระบุว่าแผนการผลิตคอนโซลรุ่นถัดไปที่เดิมจะเริ่มในปี 2026 เพื่อเปิดตัวในปี 2027 ตอนนี้ “ไม่แน่นอนแล้ว” เพราะ Microsoft กำลังพิจารณาแนวทางใหม่ที่เน้น Cloud Gaming และ IP ที่ทำกำไรสูง เช่น Call of Duty, Minecraft, Candy Crush และ Forza Horizon

    เป้าหมายคือการเปลี่ยน Game Pass ให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าถึง xCloud โดยไม่จำกัดเฉพาะฮาร์ดแวร์ Xbox อีกต่อไป และอาจมีการเปิดให้เล่นเกม Xbox บนอุปกรณ์ใดก็ได้ที่มี marketplace และผู้ใช้พร้อมจ่ายเงิน

    อย่างไรก็ตาม Microsoft เคยให้คำมั่นว่าจะมีคอนโซลรุ่นใหม่ที่ “ก้าวกระโดดทางเทคนิคมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา” และเพิ่งเซ็นสัญญาร่วมมือกับ AMD เพื่อพัฒนาชิปสำหรับอุปกรณ์รุ่นถัดไป ทั้งคอนโซล, เครื่องพกพา และระบบ Cloud ซึ่งทำให้ข่าวลือนี้ขัดแย้งกับทิศทางที่ประกาศไว้ก่อนหน้า

    หาก Microsoft ตัดสินใจเลิกผลิตคอนโซลจริง อาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ที่ลงทุนในระบบ Xbox มานาน โดยเฉพาะเรื่อง backward compatibility และคลังเกมที่สะสมไว้หลายรุ่น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    มีข่าวลือว่า Microsoft อาจเลิกผลิตคอนโซล Xbox รุ่นถัดไป
    แหล่งข่าว SneakersSO ระบุว่าแผนการผลิตในปี 2026 ถูก “แขวนไว้”
    Microsoft อาจเปลี่ยนทิศทางไปสู่การเผยแพร่ซอฟต์แวร์บนทุกแพลตฟอร์ม
    เน้น IP ที่ทำกำไรสูง เช่น CoD, Minecraft, Candy Crush, Forza Horizon
    เปลี่ยน Game Pass ให้เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าถึง xCloud
    Microsoft เคยให้คำมั่นว่าจะมีคอนโซลรุ่นใหม่ที่ก้าวกระโดดทางเทคนิค
    เพิ่งเซ็นสัญญาร่วมกับ AMD เพื่อพัฒนาชิปสำหรับอุปกรณ์รุ่นถัดไป
    หากเลิกผลิตคอนโซลจริง อาจกระทบผู้ใช้ที่สะสมเกมไว้หลายรุ่น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Microsoft และ AMD ประกาศความร่วมมือหลายปีในการพัฒนาชิปสำหรับ Xbox รุ่นใหม่
    Xbox Series X|S มียอดขายลดลงต่อเนื่อง แม้ Game Pass จะเติบโต
    Cloud Gaming ของ Microsoft มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ
    SEGA เคยเลิกผลิตคอนโซลหลังยุค Dreamcast และเปลี่ยนเป็นผู้เผยแพร่เกม
    Xbox Play Anywhere และการรองรับเกมข้ามแพลตฟอร์มเป็นแนวทางที่ Microsoft ผลักดัน

    https://wccftech.com/xbox-might-go-full-third-party-leaving-hardware-for-good-rumor/
    🎮 “Xbox อาจเลิกผลิตคอนโซล — เปลี่ยนทิศสู่แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์เต็มตัวในยุค Cloud Gaming” ข่าวลือที่กำลังร้อนแรงในวงการเกมคือ Microsoft อาจตัดสินใจ “เลิกผลิตคอนโซล Xbox รุ่นใหม่” และเปลี่ยนทิศทางไปสู่การเป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เต็มรูปแบบ คล้ายกับที่ SEGA เคยทำในอดีต โดยเน้นการเผยแพร่เกมบนทุกแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น PlayStation, Switch, PC หรือมือถือ แหล่งข่าวจาก SneakersSO ซึ่งเคยปล่อยข้อมูลแม่นยำเกี่ยวกับ Xbox มาก่อน ระบุว่าแผนการผลิตคอนโซลรุ่นถัดไปที่เดิมจะเริ่มในปี 2026 เพื่อเปิดตัวในปี 2027 ตอนนี้ “ไม่แน่นอนแล้ว” เพราะ Microsoft กำลังพิจารณาแนวทางใหม่ที่เน้น Cloud Gaming และ IP ที่ทำกำไรสูง เช่น Call of Duty, Minecraft, Candy Crush และ Forza Horizon เป้าหมายคือการเปลี่ยน Game Pass ให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าถึง xCloud โดยไม่จำกัดเฉพาะฮาร์ดแวร์ Xbox อีกต่อไป และอาจมีการเปิดให้เล่นเกม Xbox บนอุปกรณ์ใดก็ได้ที่มี marketplace และผู้ใช้พร้อมจ่ายเงิน อย่างไรก็ตาม Microsoft เคยให้คำมั่นว่าจะมีคอนโซลรุ่นใหม่ที่ “ก้าวกระโดดทางเทคนิคมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา” และเพิ่งเซ็นสัญญาร่วมมือกับ AMD เพื่อพัฒนาชิปสำหรับอุปกรณ์รุ่นถัดไป ทั้งคอนโซล, เครื่องพกพา และระบบ Cloud ซึ่งทำให้ข่าวลือนี้ขัดแย้งกับทิศทางที่ประกาศไว้ก่อนหน้า หาก Microsoft ตัดสินใจเลิกผลิตคอนโซลจริง อาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ที่ลงทุนในระบบ Xbox มานาน โดยเฉพาะเรื่อง backward compatibility และคลังเกมที่สะสมไว้หลายรุ่น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ มีข่าวลือว่า Microsoft อาจเลิกผลิตคอนโซล Xbox รุ่นถัดไป ➡️ แหล่งข่าว SneakersSO ระบุว่าแผนการผลิตในปี 2026 ถูก “แขวนไว้” ➡️ Microsoft อาจเปลี่ยนทิศทางไปสู่การเผยแพร่ซอฟต์แวร์บนทุกแพลตฟอร์ม ➡️ เน้น IP ที่ทำกำไรสูง เช่น CoD, Minecraft, Candy Crush, Forza Horizon ➡️ เปลี่ยน Game Pass ให้เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าถึง xCloud ➡️ Microsoft เคยให้คำมั่นว่าจะมีคอนโซลรุ่นใหม่ที่ก้าวกระโดดทางเทคนิค ➡️ เพิ่งเซ็นสัญญาร่วมกับ AMD เพื่อพัฒนาชิปสำหรับอุปกรณ์รุ่นถัดไป ➡️ หากเลิกผลิตคอนโซลจริง อาจกระทบผู้ใช้ที่สะสมเกมไว้หลายรุ่น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Microsoft และ AMD ประกาศความร่วมมือหลายปีในการพัฒนาชิปสำหรับ Xbox รุ่นใหม่ ➡️ Xbox Series X|S มียอดขายลดลงต่อเนื่อง แม้ Game Pass จะเติบโต ➡️ Cloud Gaming ของ Microsoft มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ ➡️ SEGA เคยเลิกผลิตคอนโซลหลังยุค Dreamcast และเปลี่ยนเป็นผู้เผยแพร่เกม ➡️ Xbox Play Anywhere และการรองรับเกมข้ามแพลตฟอร์มเป็นแนวทางที่ Microsoft ผลักดัน https://wccftech.com/xbox-might-go-full-third-party-leaving-hardware-for-good-rumor/
    WCCFTECH.COM
    Xbox Might Be Going Full Third Party and Leaving Hardware for Good - Rumor
    According to a new rumor, Microsoft might be stopping its plans for a new Xbox consoles and opting to go full third-party like SEGA instead.
    0 Comments 0 Shares 193 Views 0 Reviews
  • “Intel กลายเป็น ‘ประกันภัย’ ของวงการชิปสหรัฐฯ — เมื่อ TSMC อาจไม่ใช่คำตอบเดียวอีกต่อไป”

    ในโลกที่การผลิตชิปขั้นสูงเกือบทั้งหมดพึ่งพา TSMC จากไต้หวัน นักวิเคราะห์ชื่อดัง Ben Bajarin ได้เปรียบ Intel ว่าเป็น “กรมธรรม์ประกันภัย” สำหรับบริษัทออกแบบชิปแบบไร้โรงงาน (fabless) ของสหรัฐฯ เช่น Apple, NVIDIA, AMD และ Qualcomm เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับ TSMC — เช่น ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ — Intel อาจเป็นทางรอดเดียวที่เหลืออยู่

    แม้ในสถานการณ์ปกติ บริษัทเหล่านี้จะไม่เลือก Intel เพราะ TSMC มีเทคโนโลยีล้ำหน้าและความน่าเชื่อถือสูงกว่า แต่ Bajarin ชี้ว่า “คุณไม่ต้องการประกัน จนกว่าคุณจะต้องใช้มัน” และหาก TSMC ไม่สามารถส่งมอบชิปได้ Intel จะกลายเป็นผู้ผลิตที่สำคัญที่สุดในประเทศทันที

    ปัจจุบัน TSMC ผลิตชิปขั้นสูงกว่า 90% ของโลก และกำลังเร่งขยายโรงงานในสหรัฐฯ โดยเฉพาะเทคโนโลยี 2nm และ A16 node เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการผลิตในไต้หวันเพียงแห่งเดียว อย่างไรก็ตาม การย้ายฐานการผลิตต้องใช้เวลาหลายปี และยังต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ

    Intel เองก็พยายามพลิกฟื้นธุรกิจด้วยการเปิดบริการ Intel Foundry Services (IFS) เพื่อรับผลิตชิปให้บริษัทอื่น โดยมีแผนเปิดตัวเทคโนโลยี 18A และ 14A ที่จะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถแข่งขันกับ TSMC ได้จริง ทั้งในด้านคุณภาพ ปริมาณ และต้นทุน

    นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า Intel ยังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกมาก และอาจต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากรัฐบาล เช่น เงินอุดหนุนหรือการกำหนดให้บริษัทในประเทศต้องใช้บริการของ Intel เพื่อรักษาอธิปไตยด้านเทคโนโลยี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel ถูกเปรียบเป็น “ประกันภัย” สำหรับบริษัทออกแบบชิปของสหรัฐฯ เช่น Apple, NVIDIA, AMD
    หาก TSMC ไม่สามารถผลิตชิปได้ Intel จะกลายเป็นผู้ผลิตสำคัญในประเทศ
    TSMC ผลิตชิปขั้นสูงกว่า 90% ของโลก และกำลังขยายโรงงานในสหรัฐฯ
    การย้ายฐานการผลิตจากไต้หวันไปสหรัฐฯ ต้องใช้เวลาหลายปี
    Intel เปิดบริการ Intel Foundry Services เพื่อรับผลิตชิปให้บริษัทอื่น
    Intel เตรียมเปิดตัวเทคโนโลยี 18A และ 14A เพื่อแข่งขันกับ TSMC
    นักวิเคราะห์ชี้ว่า Intel ต้องพิสูจน์ตัวเองในด้านคุณภาพและความน่าเชื่อถือ
    รัฐบาลสหรัฐฯ อาจต้องสนับสนุน Intel เพื่อรักษาอธิปไตยด้านเทคโนโลยี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Apple, AMD และ NVIDIA ใช้ TSMC ในการผลิตชิปเรือธงทั้งหมด
    Intel เคยเสียความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีจากการล่าช้าและ roadmap ที่ไม่ชัดเจน
    การผลิตชิปขั้นสูงต้องใช้ปริมาณมากเพื่อให้คุ้มทุนและมี yield ที่ดี
    การสนับสนุนจากรัฐบาล เช่น CHIPS Act เป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟู Intel
    TSMC มีแผนลงทุนในสหรัฐฯ มากกว่า $300 พันล้าน เพื่อขยายกำลังการผลิต

    https://wccftech.com/intel-is-the-insurance-policy-for-every-us-fabless-chip/
    🇺🇸 “Intel กลายเป็น ‘ประกันภัย’ ของวงการชิปสหรัฐฯ — เมื่อ TSMC อาจไม่ใช่คำตอบเดียวอีกต่อไป” ในโลกที่การผลิตชิปขั้นสูงเกือบทั้งหมดพึ่งพา TSMC จากไต้หวัน นักวิเคราะห์ชื่อดัง Ben Bajarin ได้เปรียบ Intel ว่าเป็น “กรมธรรม์ประกันภัย” สำหรับบริษัทออกแบบชิปแบบไร้โรงงาน (fabless) ของสหรัฐฯ เช่น Apple, NVIDIA, AMD และ Qualcomm เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับ TSMC — เช่น ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ — Intel อาจเป็นทางรอดเดียวที่เหลืออยู่ แม้ในสถานการณ์ปกติ บริษัทเหล่านี้จะไม่เลือก Intel เพราะ TSMC มีเทคโนโลยีล้ำหน้าและความน่าเชื่อถือสูงกว่า แต่ Bajarin ชี้ว่า “คุณไม่ต้องการประกัน จนกว่าคุณจะต้องใช้มัน” และหาก TSMC ไม่สามารถส่งมอบชิปได้ Intel จะกลายเป็นผู้ผลิตที่สำคัญที่สุดในประเทศทันที ปัจจุบัน TSMC ผลิตชิปขั้นสูงกว่า 90% ของโลก และกำลังเร่งขยายโรงงานในสหรัฐฯ โดยเฉพาะเทคโนโลยี 2nm และ A16 node เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการผลิตในไต้หวันเพียงแห่งเดียว อย่างไรก็ตาม การย้ายฐานการผลิตต้องใช้เวลาหลายปี และยังต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ Intel เองก็พยายามพลิกฟื้นธุรกิจด้วยการเปิดบริการ Intel Foundry Services (IFS) เพื่อรับผลิตชิปให้บริษัทอื่น โดยมีแผนเปิดตัวเทคโนโลยี 18A และ 14A ที่จะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถแข่งขันกับ TSMC ได้จริง ทั้งในด้านคุณภาพ ปริมาณ และต้นทุน นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า Intel ยังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกมาก และอาจต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากรัฐบาล เช่น เงินอุดหนุนหรือการกำหนดให้บริษัทในประเทศต้องใช้บริการของ Intel เพื่อรักษาอธิปไตยด้านเทคโนโลยี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel ถูกเปรียบเป็น “ประกันภัย” สำหรับบริษัทออกแบบชิปของสหรัฐฯ เช่น Apple, NVIDIA, AMD ➡️ หาก TSMC ไม่สามารถผลิตชิปได้ Intel จะกลายเป็นผู้ผลิตสำคัญในประเทศ ➡️ TSMC ผลิตชิปขั้นสูงกว่า 90% ของโลก และกำลังขยายโรงงานในสหรัฐฯ ➡️ การย้ายฐานการผลิตจากไต้หวันไปสหรัฐฯ ต้องใช้เวลาหลายปี ➡️ Intel เปิดบริการ Intel Foundry Services เพื่อรับผลิตชิปให้บริษัทอื่น ➡️ Intel เตรียมเปิดตัวเทคโนโลยี 18A และ 14A เพื่อแข่งขันกับ TSMC ➡️ นักวิเคราะห์ชี้ว่า Intel ต้องพิสูจน์ตัวเองในด้านคุณภาพและความน่าเชื่อถือ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ อาจต้องสนับสนุน Intel เพื่อรักษาอธิปไตยด้านเทคโนโลยี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Apple, AMD และ NVIDIA ใช้ TSMC ในการผลิตชิปเรือธงทั้งหมด ➡️ Intel เคยเสียความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีจากการล่าช้าและ roadmap ที่ไม่ชัดเจน ➡️ การผลิตชิปขั้นสูงต้องใช้ปริมาณมากเพื่อให้คุ้มทุนและมี yield ที่ดี ➡️ การสนับสนุนจากรัฐบาล เช่น CHIPS Act เป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟู Intel ➡️ TSMC มีแผนลงทุนในสหรัฐฯ มากกว่า $300 พันล้าน เพื่อขยายกำลังการผลิต https://wccftech.com/intel-is-the-insurance-policy-for-every-us-fabless-chip/
    WCCFTECH.COM
    Intel Is the "Insurance Policy" For Every US Fabless Chip Firms Like Apple, NVIDIA & AMD Against Supply Risks Around TSMC, Says Renowned Analyst
    Intel is the 'hedge' against geopolitical and supply risks associated with depending upon TSMC, according to an analyst.
    0 Comments 0 Shares 199 Views 0 Reviews
  • “Intel อาจผลิตชิปให้ AMD — เมื่อคู่แข่งตลอดกาลเริ่มเปิดใจร่วมมือในยุคที่อุตสาหกรรมต้องปรับตัว”

    ในสิ่งที่หลายคนเรียกว่า “นรกยังต้องหยุดแช่แข็ง” Intel และ AMD ซึ่งเป็นคู่แข่งกันมายาวนานในตลาด x86 กำลังอยู่ในช่วงเจรจาเบื้องต้นเพื่อให้ Intel รับหน้าที่ผลิตชิปบางรุ่นให้ AMD ผ่านบริการ Intel Foundry Services (IFS) ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

    รายงานจาก Semafor และ TechRadar ระบุว่า AMD กำลังพิจารณาใช้โรงงานของ Intel สำหรับผลิตชิปรุ่นที่ไม่ใช่เรือธง เช่น Embedded APU หรือชิปด้านเครือข่าย (Pensando) เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพา TSMC เพียงรายเดียว โดยเฉพาะในช่วงที่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และปัญหาซัพพลายเชนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ

    Intel เองก็อยู่ในช่วงพลิกฟื้นธุรกิจ โดยได้รับเงินลงทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ, Nvidia และ SoftBank รวมกว่า $15.9 พันล้าน เพื่อผลักดันให้ IFS กลายเป็นผู้ผลิตชิปแบบรับจ้างที่แข็งแกร่ง และลดการพึ่งพาตลาดยุโรปที่กำลังชะลอการลงทุน

    แม้ AMD จะยังไม่ยืนยันข้อตกลงใด ๆ และยังไม่มีการเปิดเผยว่าชิปรุ่นใดจะถูกผลิตโดย Intel แต่การเจรจานี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในยุทธศาสตร์ของทั้งสองบริษัท ที่เริ่มมองข้ามการแข่งขันระยะยาวเพื่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน

    หากข้อตกลงเกิดขึ้นจริง จะเป็นการยืนยันว่า Intel สามารถผลิตชิปให้กับคู่แข่งโดยไม่กระทบต่อความลับทางเทคโนโลยี และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมมือในระดับอุตสาหกรรมที่กว้างขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel และ AMD กำลังเจรจาเบื้องต้นเพื่อให้ Intel ผลิตชิปรุ่นบางส่วนให้ AMD
    AMD ต้องการลดการพึ่งพา TSMC และกระจายความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน
    ชิปรุ่นที่อาจถูกผลิตโดย Intel ได้แก่ Embedded APU และชิปเครือข่าย (Pensando)
    Intel ได้รับเงินลงทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ, Nvidia และ SoftBank รวมกว่า $15.9 พันล้าน
    Intel Foundry Services (IFS) เป็นหน่วยงานที่รับผลิตชิปให้ลูกค้าภายนอก
    AMD ยังไม่ยืนยันข้อตกลง และยังไม่มีการเปิดเผยว่าชิปรุ่นใดจะถูกผลิต
    การร่วมมือครั้งนี้อาจช่วยให้ AMD มีความยืดหยุ่นในการผลิตมากขึ้น
    Intel ต้องการพิสูจน์ว่าโรงงานของตนสามารถแข่งขันกับ TSMC ได้

    https://www.techradar.com/pro/hell-freezes-over-amd-may-team-up-with-intel-to-produce-chips-but-i-dont-expect-intel-foundries-to-push-out-ryzen-cpus-anytime-soon
    🤝 “Intel อาจผลิตชิปให้ AMD — เมื่อคู่แข่งตลอดกาลเริ่มเปิดใจร่วมมือในยุคที่อุตสาหกรรมต้องปรับตัว” ในสิ่งที่หลายคนเรียกว่า “นรกยังต้องหยุดแช่แข็ง” Intel และ AMD ซึ่งเป็นคู่แข่งกันมายาวนานในตลาด x86 กำลังอยู่ในช่วงเจรจาเบื้องต้นเพื่อให้ Intel รับหน้าที่ผลิตชิปบางรุ่นให้ AMD ผ่านบริการ Intel Foundry Services (IFS) ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ รายงานจาก Semafor และ TechRadar ระบุว่า AMD กำลังพิจารณาใช้โรงงานของ Intel สำหรับผลิตชิปรุ่นที่ไม่ใช่เรือธง เช่น Embedded APU หรือชิปด้านเครือข่าย (Pensando) เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพา TSMC เพียงรายเดียว โดยเฉพาะในช่วงที่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และปัญหาซัพพลายเชนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ Intel เองก็อยู่ในช่วงพลิกฟื้นธุรกิจ โดยได้รับเงินลงทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ, Nvidia และ SoftBank รวมกว่า $15.9 พันล้าน เพื่อผลักดันให้ IFS กลายเป็นผู้ผลิตชิปแบบรับจ้างที่แข็งแกร่ง และลดการพึ่งพาตลาดยุโรปที่กำลังชะลอการลงทุน แม้ AMD จะยังไม่ยืนยันข้อตกลงใด ๆ และยังไม่มีการเปิดเผยว่าชิปรุ่นใดจะถูกผลิตโดย Intel แต่การเจรจานี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในยุทธศาสตร์ของทั้งสองบริษัท ที่เริ่มมองข้ามการแข่งขันระยะยาวเพื่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน หากข้อตกลงเกิดขึ้นจริง จะเป็นการยืนยันว่า Intel สามารถผลิตชิปให้กับคู่แข่งโดยไม่กระทบต่อความลับทางเทคโนโลยี และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมมือในระดับอุตสาหกรรมที่กว้างขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel และ AMD กำลังเจรจาเบื้องต้นเพื่อให้ Intel ผลิตชิปรุ่นบางส่วนให้ AMD ➡️ AMD ต้องการลดการพึ่งพา TSMC และกระจายความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน ➡️ ชิปรุ่นที่อาจถูกผลิตโดย Intel ได้แก่ Embedded APU และชิปเครือข่าย (Pensando) ➡️ Intel ได้รับเงินลงทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ, Nvidia และ SoftBank รวมกว่า $15.9 พันล้าน ➡️ Intel Foundry Services (IFS) เป็นหน่วยงานที่รับผลิตชิปให้ลูกค้าภายนอก ➡️ AMD ยังไม่ยืนยันข้อตกลง และยังไม่มีการเปิดเผยว่าชิปรุ่นใดจะถูกผลิต ➡️ การร่วมมือครั้งนี้อาจช่วยให้ AMD มีความยืดหยุ่นในการผลิตมากขึ้น ➡️ Intel ต้องการพิสูจน์ว่าโรงงานของตนสามารถแข่งขันกับ TSMC ได้ https://www.techradar.com/pro/hell-freezes-over-amd-may-team-up-with-intel-to-produce-chips-but-i-dont-expect-intel-foundries-to-push-out-ryzen-cpus-anytime-soon
    WWW.TECHRADAR.COM
    Reports suggest Intel could manufacture processors for AMD
    Intel's turnaround continues to surprise, who will be next to express an interest?
    0 Comments 0 Shares 191 Views 0 Reviews
  • “Gboard Dial Edition — คีย์บอร์ดหมุนสุดแหวกจาก Google Japan ที่เปิดให้ทุกคนสร้างเองได้”

    ทุกวันที่ 1 ตุลาคม Google Japan จะเปิดตัวคีย์บอร์ดต้นแบบสุดแหวกแนวเพื่อโชว์ความคิดสร้างสรรค์ของทีม Gboard ที่ปกติเน้นพัฒนาแอปคีย์บอร์ดบนมือถือ ปีนี้พวกเขาเปิดตัว “Gboard Dial Edition” — คีย์บอร์ดที่ไม่มีปุ่ม แต่ใช้การหมุนแบบโทรศัพท์บ้านยุคโบราณแทน

    Gboard Dial Edition ใช้หลักการหมุนวงแหวนเพื่อเลือกตัวอักษร โดยมีวงแหวนหลักสำหรับ QWERTY และวงแหวนย่อยสำหรับปุ่มฟังก์ชัน เช่น Enter, ตัวเลข และปุ่มลูกศร การหมุนแต่ละครั้งจะมีเสียง “วืด” แบบกลไกที่ให้ความรู้สึกย้อนยุคและผ่อนคลาย ซึ่งทีมงานเชื่อว่าจะช่วยลดความเครียดจากการพิมพ์และลดโอกาสพิมพ์ผิด

    ดีไซน์นี้ยังมีการแบ่งวงแหวนเป็น 3 ชั้นซ้อนกัน เพื่อประหยัดพื้นที่และเพิ่มความเร็วในการพิมพ์แบบขนาน โดยผู้ใช้สามารถหมุนหลายวงแหวนพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชันตกแต่งด้วยผ้าหุ้มและสีสันหลากหลาย เพื่อให้เข้ากับการตกแต่งบ้าน

    แม้จะไม่วางขายจริง แต่ Google Japan ได้เปิดซอร์สทั้งหมดบน GitHub ทั้งไฟล์ 3D สำหรับพิมพ์, แผงวงจร PCB, เฟิร์มแวร์ และคู่มือประกอบ โดยใช้ Raspberry Pi Pico เป็นสมองหลักของระบบ พร้อมเซนเซอร์และมอเตอร์ควบคุมการหมุน

    Gboard Dial Edition เป็นหนึ่งในซีรีส์คีย์บอร์ดต้นแบบที่ Google Japan เคยทำ เช่น คีย์บอร์ดช้อนงอ, คีย์บอร์ดรหัสมอร์ส, และคีย์บอร์ดแถบวัดแนวแกน X ซึ่งทั้งหมดเน้นการทดลองแนวคิดใหม่ ๆ มากกว่าการผลิตเพื่อขายจริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Gboard Dial Edition เป็นคีย์บอร์ดต้นแบบจาก Google Japan ที่ใช้การหมุนแทนการกดปุ่ม
    วงแหวนหลักใช้สำหรับ QWERTY และมีวงแหวนย่อยสำหรับปุ่มฟังก์ชัน
    เสียงกลไกขณะหมุนช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและลดโอกาสพิมพ์ผิด
    วงแหวนแบ่งเป็น 3 ชั้นเพื่อเพิ่มความเร็วและลดขนาด
    มีเวอร์ชันตกแต่งด้วยผ้าหุ้มและสีสันให้เข้ากับบ้าน
    เปิดซอร์สทั้งหมดบน GitHub ภายใต้ Apache License 2.0
    ใช้ Raspberry Pi Pico เป็นหน่วยประมวลผล พร้อมเซนเซอร์และมอเตอร์
    เป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมประจำปีของทีม Gboard ในการโชว์ไอเดียใหม่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Rotary dial เคยใช้ในโทรศัพท์บ้านยุค 1950–1980 ก่อนถูกแทนที่ด้วยปุ่มกด
    Raspberry Pi Pico เป็นไมโครคอนโทรลเลอร์ราคาประหยัดที่นิยมใช้ในงาน DIY
    การใช้ photo sensor และ stepper motor ช่วยให้การหมุนแม่นยำและตอบสนองเร็ว
    คีย์บอร์ดต้นแบบของ Google Japan ไม่เคยวางขายจริง แต่เปิดให้ผู้ใช้สร้างเอง
    การออกแบบแบบ modular ช่วยให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้ตามความต้องการ

    https://www.tomshardware.com/peripherals/keyboards/crazy-google-japan-keyboard-design-switches-keys-for-dials-the-gboard-dial-edition-shows-why-the-software-team-isnt-allowed-to-design-hardware
    🎛️ “Gboard Dial Edition — คีย์บอร์ดหมุนสุดแหวกจาก Google Japan ที่เปิดให้ทุกคนสร้างเองได้” ทุกวันที่ 1 ตุลาคม Google Japan จะเปิดตัวคีย์บอร์ดต้นแบบสุดแหวกแนวเพื่อโชว์ความคิดสร้างสรรค์ของทีม Gboard ที่ปกติเน้นพัฒนาแอปคีย์บอร์ดบนมือถือ ปีนี้พวกเขาเปิดตัว “Gboard Dial Edition” — คีย์บอร์ดที่ไม่มีปุ่ม แต่ใช้การหมุนแบบโทรศัพท์บ้านยุคโบราณแทน Gboard Dial Edition ใช้หลักการหมุนวงแหวนเพื่อเลือกตัวอักษร โดยมีวงแหวนหลักสำหรับ QWERTY และวงแหวนย่อยสำหรับปุ่มฟังก์ชัน เช่น Enter, ตัวเลข และปุ่มลูกศร การหมุนแต่ละครั้งจะมีเสียง “วืด” แบบกลไกที่ให้ความรู้สึกย้อนยุคและผ่อนคลาย ซึ่งทีมงานเชื่อว่าจะช่วยลดความเครียดจากการพิมพ์และลดโอกาสพิมพ์ผิด ดีไซน์นี้ยังมีการแบ่งวงแหวนเป็น 3 ชั้นซ้อนกัน เพื่อประหยัดพื้นที่และเพิ่มความเร็วในการพิมพ์แบบขนาน โดยผู้ใช้สามารถหมุนหลายวงแหวนพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชันตกแต่งด้วยผ้าหุ้มและสีสันหลากหลาย เพื่อให้เข้ากับการตกแต่งบ้าน แม้จะไม่วางขายจริง แต่ Google Japan ได้เปิดซอร์สทั้งหมดบน GitHub ทั้งไฟล์ 3D สำหรับพิมพ์, แผงวงจร PCB, เฟิร์มแวร์ และคู่มือประกอบ โดยใช้ Raspberry Pi Pico เป็นสมองหลักของระบบ พร้อมเซนเซอร์และมอเตอร์ควบคุมการหมุน Gboard Dial Edition เป็นหนึ่งในซีรีส์คีย์บอร์ดต้นแบบที่ Google Japan เคยทำ เช่น คีย์บอร์ดช้อนงอ, คีย์บอร์ดรหัสมอร์ส, และคีย์บอร์ดแถบวัดแนวแกน X ซึ่งทั้งหมดเน้นการทดลองแนวคิดใหม่ ๆ มากกว่าการผลิตเพื่อขายจริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Gboard Dial Edition เป็นคีย์บอร์ดต้นแบบจาก Google Japan ที่ใช้การหมุนแทนการกดปุ่ม ➡️ วงแหวนหลักใช้สำหรับ QWERTY และมีวงแหวนย่อยสำหรับปุ่มฟังก์ชัน ➡️ เสียงกลไกขณะหมุนช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและลดโอกาสพิมพ์ผิด ➡️ วงแหวนแบ่งเป็น 3 ชั้นเพื่อเพิ่มความเร็วและลดขนาด ➡️ มีเวอร์ชันตกแต่งด้วยผ้าหุ้มและสีสันให้เข้ากับบ้าน ➡️ เปิดซอร์สทั้งหมดบน GitHub ภายใต้ Apache License 2.0 ➡️ ใช้ Raspberry Pi Pico เป็นหน่วยประมวลผล พร้อมเซนเซอร์และมอเตอร์ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมประจำปีของทีม Gboard ในการโชว์ไอเดียใหม่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Rotary dial เคยใช้ในโทรศัพท์บ้านยุค 1950–1980 ก่อนถูกแทนที่ด้วยปุ่มกด ➡️ Raspberry Pi Pico เป็นไมโครคอนโทรลเลอร์ราคาประหยัดที่นิยมใช้ในงาน DIY ➡️ การใช้ photo sensor และ stepper motor ช่วยให้การหมุนแม่นยำและตอบสนองเร็ว ➡️ คีย์บอร์ดต้นแบบของ Google Japan ไม่เคยวางขายจริง แต่เปิดให้ผู้ใช้สร้างเอง ➡️ การออกแบบแบบ modular ช่วยให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้ตามความต้องการ https://www.tomshardware.com/peripherals/keyboards/crazy-google-japan-keyboard-design-switches-keys-for-dials-the-gboard-dial-edition-shows-why-the-software-team-isnt-allowed-to-design-hardware
    0 Comments 0 Shares 178 Views 0 Reviews
  • “Ivanpah: โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ในแคลิฟอร์เนีย เตรียมปิดตัวในปี 2026 — บทเรียนจากเทคโนโลยีที่ล้าสมัยเร็วเกินไป”

    หากคุณเคยขับรถผ่าน Interstate 15 ระหว่างลอสแอนเจลิสกับลาสเวกัส คุณอาจเคยเห็นแสงสะท้อนจากหอคอยสูง 459 ฟุต 3 ต้นกลางทะเลทรายโมฮาวี นั่นคือ Ivanpah Solar Electric Generating System — โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดมหึมาที่เคยเป็นความหวังของวงการพลังงานสะอาดในสหรัฐฯ

    เปิดใช้งานในปี 2014 ด้วยงบประมาณกว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์ Ivanpah ใช้เทคโนโลยี “solar thermal” ที่แตกต่างจากแผงโซลาร์เซลล์ทั่วไป โดยใช้กระจกกว่า 173,500 แผ่นสะท้อนแสงอาทิตย์ไปยังหอคอยเพื่อสร้างไอน้ำหมุนกังหันผลิตไฟฟ้า

    แม้จะเคยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เทคโนโลยีนี้กลับกลายเป็น “ล้าสมัย” อย่างรวดเร็ว เมื่อแผงโซลาร์เซลล์แบบ photovoltaic มีราคาถูกลงและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้ PG&E ซึ่งเป็นผู้ซื้อไฟฟ้าหลัก ประกาศยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าก่อนกำหนดในปี 2025 ทั้งที่เดิมจะซื้อถึงปี 2039

    นอกจากปัญหาด้านต้นทุนและประสิทธิภาพ Ivanpah ยังเผชิญกับข้อวิจารณ์ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การฆ่านกกว่า 6,000 ตัวต่อปีจากความร้อนของแสงสะท้อน และการรบกวนสายตาผู้ขับขี่บนทางหลวงจากแสงสะท้อนของกระจก

    แม้ยังไม่มีแผนการใช้พื้นที่หลังการปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่เจ้าของโครงการ NRG Energy เสนอว่าอาจเปลี่ยนมาใช้ระบบแผงโซลาร์เซลล์แทน ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ในปัจจุบัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Ivanpah Solar Plant ตั้งอยู่ในทะเลทรายโมฮาวี เปิดใช้งานในปี 2014
    ใช้เทคโนโลยี solar thermal โดยสะท้อนแสงไปยังหอคอยเพื่อผลิตไอน้ำ
    มีงบประมาณก่อสร้าง 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับเงินกู้จากรัฐบาล 1.6 พันล้าน
    ใช้กระจกสะท้อนแสงกว่า 173,500 แผ่น เรียกว่า heliostats
    PG&E ประกาศยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าในปี 2025 เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
    Ivanpah เคยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    มีข้อเสนอให้เปลี่ยนมาใช้ระบบ photovoltaic ที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกกว่า
    คาดว่าจะปิดตัวในปี 2026 ก่อนกำหนดเดิมถึง 13 ปี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เทคโนโลยี solar thermal มีข้อดีด้านการผลิตพลังงานต่อเนื่อง แต่ต้นทุนสูง
    photovoltaic panels มีราคาลดลงกว่า 80% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
    ระบบ solar thermal ต้องพึ่งพาแก๊สธรรมชาติเพื่อเริ่มต้นการทำงานในบางช่วง
    โครงการ Project Nexus ในแคลิฟอร์เนียทดลองติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองชลประทาน
    Ivanpah เป็นตัวอย่างของความเสี่ยงในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนเร็ว

    https://www.slashgear.com/1986261/california-ivanpah-solar-plant-shut-down-reason/
    ☀️ “Ivanpah: โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ในแคลิฟอร์เนีย เตรียมปิดตัวในปี 2026 — บทเรียนจากเทคโนโลยีที่ล้าสมัยเร็วเกินไป” หากคุณเคยขับรถผ่าน Interstate 15 ระหว่างลอสแอนเจลิสกับลาสเวกัส คุณอาจเคยเห็นแสงสะท้อนจากหอคอยสูง 459 ฟุต 3 ต้นกลางทะเลทรายโมฮาวี นั่นคือ Ivanpah Solar Electric Generating System — โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดมหึมาที่เคยเป็นความหวังของวงการพลังงานสะอาดในสหรัฐฯ เปิดใช้งานในปี 2014 ด้วยงบประมาณกว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์ Ivanpah ใช้เทคโนโลยี “solar thermal” ที่แตกต่างจากแผงโซลาร์เซลล์ทั่วไป โดยใช้กระจกกว่า 173,500 แผ่นสะท้อนแสงอาทิตย์ไปยังหอคอยเพื่อสร้างไอน้ำหมุนกังหันผลิตไฟฟ้า แม้จะเคยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เทคโนโลยีนี้กลับกลายเป็น “ล้าสมัย” อย่างรวดเร็ว เมื่อแผงโซลาร์เซลล์แบบ photovoltaic มีราคาถูกลงและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้ PG&E ซึ่งเป็นผู้ซื้อไฟฟ้าหลัก ประกาศยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าก่อนกำหนดในปี 2025 ทั้งที่เดิมจะซื้อถึงปี 2039 นอกจากปัญหาด้านต้นทุนและประสิทธิภาพ Ivanpah ยังเผชิญกับข้อวิจารณ์ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การฆ่านกกว่า 6,000 ตัวต่อปีจากความร้อนของแสงสะท้อน และการรบกวนสายตาผู้ขับขี่บนทางหลวงจากแสงสะท้อนของกระจก แม้ยังไม่มีแผนการใช้พื้นที่หลังการปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่เจ้าของโครงการ NRG Energy เสนอว่าอาจเปลี่ยนมาใช้ระบบแผงโซลาร์เซลล์แทน ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ในปัจจุบัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Ivanpah Solar Plant ตั้งอยู่ในทะเลทรายโมฮาวี เปิดใช้งานในปี 2014 ➡️ ใช้เทคโนโลยี solar thermal โดยสะท้อนแสงไปยังหอคอยเพื่อผลิตไอน้ำ ➡️ มีงบประมาณก่อสร้าง 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับเงินกู้จากรัฐบาล 1.6 พันล้าน ➡️ ใช้กระจกสะท้อนแสงกว่า 173,500 แผ่น เรียกว่า heliostats ➡️ PG&E ประกาศยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าในปี 2025 เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ➡️ Ivanpah เคยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ➡️ มีข้อเสนอให้เปลี่ยนมาใช้ระบบ photovoltaic ที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกกว่า ➡️ คาดว่าจะปิดตัวในปี 2026 ก่อนกำหนดเดิมถึง 13 ปี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เทคโนโลยี solar thermal มีข้อดีด้านการผลิตพลังงานต่อเนื่อง แต่ต้นทุนสูง ➡️ photovoltaic panels มีราคาลดลงกว่า 80% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ➡️ ระบบ solar thermal ต้องพึ่งพาแก๊สธรรมชาติเพื่อเริ่มต้นการทำงานในบางช่วง ➡️ โครงการ Project Nexus ในแคลิฟอร์เนียทดลองติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองชลประทาน ➡️ Ivanpah เป็นตัวอย่างของความเสี่ยงในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนเร็ว https://www.slashgear.com/1986261/california-ivanpah-solar-plant-shut-down-reason/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    $2B California Solar Plant To Shut Down After A Decade For The Most Frustrating Reason - SlashGear
    The Ivanpah facility's decommissioning comes from its use of a now-obsolete solar technology that's both more expensive and less efficient in generating energy.
    0 Comments 0 Shares 193 Views 0 Reviews
  • “ทำไมเครื่องบินยังใช้หมุดย้ำเป็นล้านตัว — ในวันที่รถยนต์เชื่อมด้วยการเชื่อมโลหะ”

    หากคุณเคยสังเกตเครื่องบินโดยสารอย่าง Airbus A320 จะเห็นว่าลำตัวและปีกของมันเต็มไปด้วยหมุดย้ำ (rivets) นับล้านตัว ต่างจากรถยนต์ที่ใช้การเชื่อมโลหะ (welding) เพื่อประกอบโครงสร้างให้เรียบเนียนและแข็งแรง แล้วทำไมอุตสาหกรรมการบินยังคงใช้เทคนิคที่เก่าแก่กว่า 5,000 ปีนี้อยู่?

    คำตอบคือ “ความเหมาะสมกับวัสดุและความปลอดภัย” — เครื่องบินส่วนใหญ่ใช้แผ่นอลูมิเนียมเป็นโครงสร้างหลัก ซึ่งมีคุณสมบัติเบา แข็งแรง ทนต่อการกัดกร่อน และราคาถูก แต่อลูมิเนียมกลับมีข้อเสียคือ “เชื่อมยาก” เพราะเมื่อโดนความร้อนจะสูญเสียความแข็งแรง และบางครั้งแผ่นอลูมิเนียมก็หนาเกินกว่าจะเชื่อมได้อย่างปลอดภัย

    หมุดย้ำจึงกลายเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะสามารถเชื่อมวัสดุจากด้านใน ไม่ใช่แค่ผิวภายนอก ทำให้โครงสร้างแข็งแรงกว่า และยังตรวจสอบได้ง่ายด้วยสายตา ต่างจากรอยเชื่อมที่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษในการตรวจสอบ นอกจากนี้หมุดย้ำยังช่วยให้การซ่อมบำรุงง่ายขึ้น เพราะสามารถถอดและเปลี่ยนเฉพาะจุดได้โดยไม่กระทบโครงสร้างทั้งหมด

    แม้เทคโนโลยีการผลิตจะพัฒนาไปมาก แต่พื้นฐานของการใช้หมุดย้ำยังคงเหมือนเดิม — หัวหมุดและแกนเรียบที่เชื่อมวัสดุสองชิ้นเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา และยังคงเป็นหัวใจของความปลอดภัยในการบินที่สถิติยังยืนยันว่า “เครื่องบินคือวิธีเดินทางที่ปลอดภัยที่สุด”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เครื่องบินโดยสารยังใช้หมุดย้ำในการประกอบโครงสร้าง เช่น Airbus A320
    รถยนต์ใช้การเชื่อมโลหะเพื่อสร้างโครงสร้างแบบ unibody ที่เรียบและแข็งแรง
    หมุดย้ำเชื่อมวัสดุจากด้านใน ทำให้แข็งแรงกว่าการเชื่อมภายนอก
    อลูมิเนียมเป็นวัสดุหลักของเครื่องบิน เพราะเบา ทน และราคาถูก
    อลูมิเนียมมีข้อเสียคือเชื่อมยาก และสูญเสียความแข็งแรงเมื่อโดนความร้อน
    หมุดย้ำช่วยให้ตรวจสอบและซ่อมบำรุงได้ง่ายกว่ารอยเชื่อม
    การใช้หมุดย้ำยังคงเป็นมาตรฐานในอุตสาหกรรมการบิน
    เครื่องบินยังคงเป็นวิธีเดินทางที่ปลอดภัยที่สุดตามสถิติ

    https://www.slashgear.com/1983629/why-airplanes-use-rivets-but-cars-are-welded/
    ✈️ “ทำไมเครื่องบินยังใช้หมุดย้ำเป็นล้านตัว — ในวันที่รถยนต์เชื่อมด้วยการเชื่อมโลหะ” หากคุณเคยสังเกตเครื่องบินโดยสารอย่าง Airbus A320 จะเห็นว่าลำตัวและปีกของมันเต็มไปด้วยหมุดย้ำ (rivets) นับล้านตัว ต่างจากรถยนต์ที่ใช้การเชื่อมโลหะ (welding) เพื่อประกอบโครงสร้างให้เรียบเนียนและแข็งแรง แล้วทำไมอุตสาหกรรมการบินยังคงใช้เทคนิคที่เก่าแก่กว่า 5,000 ปีนี้อยู่? คำตอบคือ “ความเหมาะสมกับวัสดุและความปลอดภัย” — เครื่องบินส่วนใหญ่ใช้แผ่นอลูมิเนียมเป็นโครงสร้างหลัก ซึ่งมีคุณสมบัติเบา แข็งแรง ทนต่อการกัดกร่อน และราคาถูก แต่อลูมิเนียมกลับมีข้อเสียคือ “เชื่อมยาก” เพราะเมื่อโดนความร้อนจะสูญเสียความแข็งแรง และบางครั้งแผ่นอลูมิเนียมก็หนาเกินกว่าจะเชื่อมได้อย่างปลอดภัย หมุดย้ำจึงกลายเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะสามารถเชื่อมวัสดุจากด้านใน ไม่ใช่แค่ผิวภายนอก ทำให้โครงสร้างแข็งแรงกว่า และยังตรวจสอบได้ง่ายด้วยสายตา ต่างจากรอยเชื่อมที่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษในการตรวจสอบ นอกจากนี้หมุดย้ำยังช่วยให้การซ่อมบำรุงง่ายขึ้น เพราะสามารถถอดและเปลี่ยนเฉพาะจุดได้โดยไม่กระทบโครงสร้างทั้งหมด แม้เทคโนโลยีการผลิตจะพัฒนาไปมาก แต่พื้นฐานของการใช้หมุดย้ำยังคงเหมือนเดิม — หัวหมุดและแกนเรียบที่เชื่อมวัสดุสองชิ้นเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา และยังคงเป็นหัวใจของความปลอดภัยในการบินที่สถิติยังยืนยันว่า “เครื่องบินคือวิธีเดินทางที่ปลอดภัยที่สุด” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เครื่องบินโดยสารยังใช้หมุดย้ำในการประกอบโครงสร้าง เช่น Airbus A320 ➡️ รถยนต์ใช้การเชื่อมโลหะเพื่อสร้างโครงสร้างแบบ unibody ที่เรียบและแข็งแรง ➡️ หมุดย้ำเชื่อมวัสดุจากด้านใน ทำให้แข็งแรงกว่าการเชื่อมภายนอก ➡️ อลูมิเนียมเป็นวัสดุหลักของเครื่องบิน เพราะเบา ทน และราคาถูก ➡️ อลูมิเนียมมีข้อเสียคือเชื่อมยาก และสูญเสียความแข็งแรงเมื่อโดนความร้อน ➡️ หมุดย้ำช่วยให้ตรวจสอบและซ่อมบำรุงได้ง่ายกว่ารอยเชื่อม ➡️ การใช้หมุดย้ำยังคงเป็นมาตรฐานในอุตสาหกรรมการบิน ➡️ เครื่องบินยังคงเป็นวิธีเดินทางที่ปลอดภัยที่สุดตามสถิติ https://www.slashgear.com/1983629/why-airplanes-use-rivets-but-cars-are-welded/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Why Airplanes Still Use Millions Of Rivets (But Cars Are Welded) - SlashGear
    Modern commercial aircraft still use rivets for assembly because they're more suitable for the aluminum panels that planes use.
    0 Comments 0 Shares 125 Views 0 Reviews
  • แบงค์ชาติมีทั้งจังหวะฝ่ายดีบริหารจัดการ,มีทั้งฝ่ายไม่ดีอำนวยประโยชน์ให้แบงค์เอกชน,แต่สุดท้ายเอาเข้าจริงๆแบงค์ชาติคือจุดเปลี่ยนทั้งหมดของเศรษฐกิจไทย ,จุดเปลี่ยนทั้งหมดที่จะทำให้คนไทยร่ำรวยหรือยากจนเพราะดูแลเรื่องเงินเรื่องตังของจริง,ธุรกรรมชั่วเลวใดที่เข้าไทย จะออกจากไทย แบงค์ชาติสั่งอายัดและตรวจสอบก่อนได้ทั้งหมด ยกเว้นกรณีพวกมาเหนือกฎหมาย ใช้อำนาจเหนือกฎหมายกระทำการผ่านช่องทางออกอื่นๆ เช่นหลบหนีการตรวจสอบจากตม.ไทยได้ ขนเงินขนทองคำออกนอกประเทศผ่านเครื่องบิน บินไปฝากไปฟอกตังที่สิงคโปร์เป็นต้น หรือทั่วประเทศ โดยอาศัยชนชั้นศักดินาอำมาตย์พิเศษตน เจ้าสัวพิเศษตน ผู้ดีเก่าตน เจ้าขุนมูลนายเก่าตน มันผ่านระบบตรวจสอบได้แน่นอนจากแบงค์ชาติ แม้แต่เกาะฟอกเงินต่างประเทศแบงค์ชาติไม่รู้ไม่เชื่อมโยงระบบก็อาจเป็นไปไม่ได้,เกาะฟอกเงินอาจโอนเข้าไทยผ่านแบงค์ชาตินี้ล่ะ,เอกชนไทยและเอกชนแบงค์ต่างประเทศใดรับโอนมาแบงค์ชาติก็เห็นหมดล่ะ สั่งยึดอายัดได้หมด,แต่ความจริงเนื้องานไส้ในเราก็ไม่รู้ได้นั้นเอง.
    ..เงินทุนมากมายมาโจมตีไทย เข้าไทย ออกจากไทย ดูดจากไทย แบงค์ชาติรู้ภาพรวมยอดรวมต้นทางปลายทางหมดล่ะ,อำนาจทางการเงินของแบงค์ชาตินั้นเด็ดขาดได้,แต่จะเด็ดขาดกับอีลิทdeep stateนายตนเองคงยาก.
    ..แบงค์ชาติสามารถช่วยประชาชนคนไทยอยู่ดีมีสุขทางการเงินที่ใช้เงินจับจ่ายใช้สอยจริงได้ สามารถสร้างกลไกกองทุนหมู่บ้านที่มีประสิทธิภาพเสมือนสถาบันการเงินประจำหมู่บ้านนั้นๆได้ ตังจะหมุนเวียนในชุมชนแบงค์ชาติก็กำหนดเงื่อนไขกติกาได้,เชื่อมโยงระบบการตลาดกับแหล่งตลาดชุมชนแบบกองทุนร้านค้าชุมชนในหมู่บ้านได้,ประสานรัฐบาลได้ มิให้แบงค์เอกชนมายุ่งเกี่ยวเป็นอิสระได้,สังกัดทางตรงกับแบงค์ชาติได้,ฟรีดอกเบี้ยแก่ประชาชนในหมู่บ้านก็ได้อีก สร้างกฎกติกาเงื่อนไขพิเศษช่วยชุมชนได้ หรือง่ายๆ เอากำไรที่ได้จากทองคำ มาแบ่งช่วยหมู่บ้านชุมชนให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนแบบพิเศษฟรีดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ สามารถใช้จ่ายผ่านกองทุนร้านค้าหมู่บ้านตนเท่านั้นหากมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐเกิดขึ้น เช่นคนละครึ่งแบบนี้ ใช้จ่ายได้แค่ในตลาดชุมชน ในร้านค้ากองทุนหมู่บ้านที่ลงทะเบียนกับทางรัฐบาล ตังจะหมุนเวียนในประเทศในชุมชนทันที,ไม่มีตลาดกองทุนชุมชนก็ก่อตั้งขึ้นโดยผู้นำหมู่บ้านตำบลอำ้ภอจังหวัดสิ,ใช้เป็นตลาดกระจายสินค้าก็ได้ ตลาดแบบตลาดเทศบาลนั้นล่ะแต่ปลอดภาษี,ประชาชนสามารถเอาสินค้าตนเองทางการเกษตรมาขายอิสระเสรีได้ มีแหล่งตลาดเป็นของตนเองจริง ตลาดระดับชุมชนขนาดอำเภอ จังหวัดก็ว่าไป สร้างระบบบริการจัดการแบบตลาดเทศบาลอำเภอเมืองไป,เกษตรมีแบงค์ชาติปล่อยเงินกู้หมู่บ้านละ1ล้านบาทก่อนเพื่อเป็นปฐมชัยมี80,000หมู่บ้านชุมชนก็80,000ล้านบาท ประชาชนมากู้คนละ10,000บาทแค่นั้นก่อน,ปลูกผักสวนครัวได้,ฟรีดอกเบี้ย ชำระเงินต้นในสองปีข้างหน้า,ก็ช่วยชาวบ้านได้100คนเลยนะไม่น้อยเลย,คืนแค่เงินต้น,บางคนทำขนมเอาไปขายในตลาดชุมชนตน ปลูกพืชผักสวนครัว สัมมาอาชีพสาระพัด มาแลกเปลี่ยนค้าขายในตลาดชุมชนตน,รวมกลุ่มส่งออกได้อีก,เช่นคนละ10,000รวมกลุ่มใหญ่ ปลูกนั้นนี้ ส่งออกได้กำไรมาอาจเกินล้านบาท,เช่นกัญชาเสรี,อาจไม่ต่ำกว่า10ล้านบาทต่อรอบการผลิตแบบไทบ้าน,ฝิ่นเสรีขายให้โรงพยาบาลสกัดยาแก้ปวดเองเป็นต้น555,คือมีสาระพัดวิธีทำให้ประชาชนยืนด้วยขาตนเองได้ไม่เอาเปรียบสถานะชิงฐานะร่ำรวยของประชาชนไปแบบยกสัมปทานบ่อปิโตรเลียมทั่วประเทศทั้งบนบกและในทะเลสองฝั่งให้ต่างชาติ,เราทำเอง ขายน้ำมันราคาลิตร1-2บาทแบบอิหร่านนะ,วิกฤติเศรษฐกิจในปัจจุบันที่เรากำลังเจออยู่จะเป็นเรื่องขี้หมาทันที,ปากก็บอกชาติบ้านเมืองพบเจอวิกฤติเศรษฐกิจนะ วิกฤตินี้อันตรายมากพะนะ กระทบไทยแล้วมันมาจากยุโรปทางการเงินที่ล้มสลาย มุกจะก่อสงครามตัวแทนสู่สงครามโลกอีก.
    ..รัฐบาลชุดปัจจุบันสั่งกิจการในไทยทั้งหมดลดราคาน้ำมันลงเหลือลิตรละ10บาททุกๆชนิดดูสิ มีผลในพรุ่งนี้,เพราะต้นทุนผลิตจริงๆไม่กี่บาท,เช่นนั้นจะยกเลิกสัมปทานทั้งหมดจะเอกชนไทยหรือต่างประเทศเพราะไม่เคยนำเข้าสภาสส.สว.ไทยแม้แต่เคสสัมปทานเดียวและมันคือความมั่นคงทางอธิปไตยไทยด้านพลังงานชัดเจนด้วยที่ปล้นประเทศไทย,ยึดครองประเทศไทยผ่านmouสัญญาสัมปทานนี้นานกว่าเขมรยึด11จุดอีสานใต้อีก,ตั้งแต่ปี2522-23ไทยสมควรร่ำรวยนานแล้วโดยสามารถกระจายความร่ำรวยนี้แก่ภาคประชาชนคนไทยเราทุกๆคนไทยจนถึงปัจจุบัน,มันสามารถยกเลิกฝ่ายเดียวได้ทันทีเป็นเรื่องภายในอธิปไตยความมั่นคงภายในเราชัดเจนด้วย.,mouสัมปทานบ่อน้ำมัน นานกฯอนุทินยกเลิกทั้งหมดได้เพราะไม่ผ่านสภาผู้แทนราษฎรเรา,สส.สว.เราเลย,เป็นmouสัญญาที่ทุจริตปล้นประเทศไทยด้านทรัพยากรชาติไทยผ่านกระบวนกฎหมายไทยที่ทุจริตไม่ซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อประเทศตนเองโดยราชการไทยที่ไม่ซื่อสัตย์ดำเนินการเองให้เกิดขึ้น จะด้วยคณะครม.ชุดอดีตที่ผ่านมาก็ตามในรัฐบาลในอดีตรวมอธิบดีพลังงานต้นเรื่องด้วยที่ไม่เสนอเรื่องใหญ่โตระดับชาติภัยความมั่นคงทางด้านพลังงานที่เป็นกลไกที่แท้จริงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งระบบและกระทบทุกๆมิติด้วย แต่ข้าราชการเลวชั่วไม่สุจริตจึงก่อการวางแผนสร้างเงื่อนไขสัญญาเลวชั่วนี้ขึ้นให้เป็นภัยต่อแผ่นดินไทยตนจนถูกครอบงำผูกขาดการตลาดน้ำมันสิ้น,จึงต้องโมฆะทั้งหมดทันทีที่ชอบธรรม,นายกฯอนุทินเซ็นต์อนุมัติสั่งการผ่านคณะครม.ได้ทันที,มีผลอย่างเป็นทางการในสิ้นเดือนตุลา.68นี้ก็ได้ให้อีกฝ่ายเก็บของออกจากประเทศไทยไป,อย่าหยาบจึงใช้กำลังผลักดันขับไล่ออกนอกประเทศไทยไป,นี้คือแผ่นดินไทย คืออธิปไตยไทย ต่างชาติจะมาปล้นทรัพยากรไทยไม่ใช่ทำง่ายๆแบบอดีตอีกแล้ว มันคือการปลดแอกปลดปล่อยและกอบกู้ประเทศไทยที่แท้จริง,เรื่องเขมรฮุนเซนเป็นเรื่องขี้หมาปลีกย่อย เพราะไอ้สารเลวห่านี้ก็อยากได้บ่อน้ำมันในอ่าวไทยเราอันเดียวกัน บ่อทองคำด้วย,จึงตีมูลค่ากว่า20ล้านล้านบาทได้สบายมิใช่10ล้านล้านหรอก เผลอๆ100ล้านล้านบาทเลยเพราะคือส่วนหัวบ่อใหญ่เลย.

    https://youtube.com/shorts/MPch22srWUg?si=Z3hLWLwQ9iyzg1c3
    แบงค์ชาติมีทั้งจังหวะฝ่ายดีบริหารจัดการ,มีทั้งฝ่ายไม่ดีอำนวยประโยชน์ให้แบงค์เอกชน,แต่สุดท้ายเอาเข้าจริงๆแบงค์ชาติคือจุดเปลี่ยนทั้งหมดของเศรษฐกิจไทย ,จุดเปลี่ยนทั้งหมดที่จะทำให้คนไทยร่ำรวยหรือยากจนเพราะดูแลเรื่องเงินเรื่องตังของจริง,ธุรกรรมชั่วเลวใดที่เข้าไทย จะออกจากไทย แบงค์ชาติสั่งอายัดและตรวจสอบก่อนได้ทั้งหมด ยกเว้นกรณีพวกมาเหนือกฎหมาย ใช้อำนาจเหนือกฎหมายกระทำการผ่านช่องทางออกอื่นๆ เช่นหลบหนีการตรวจสอบจากตม.ไทยได้ ขนเงินขนทองคำออกนอกประเทศผ่านเครื่องบิน บินไปฝากไปฟอกตังที่สิงคโปร์เป็นต้น หรือทั่วประเทศ โดยอาศัยชนชั้นศักดินาอำมาตย์พิเศษตน เจ้าสัวพิเศษตน ผู้ดีเก่าตน เจ้าขุนมูลนายเก่าตน มันผ่านระบบตรวจสอบได้แน่นอนจากแบงค์ชาติ แม้แต่เกาะฟอกเงินต่างประเทศแบงค์ชาติไม่รู้ไม่เชื่อมโยงระบบก็อาจเป็นไปไม่ได้,เกาะฟอกเงินอาจโอนเข้าไทยผ่านแบงค์ชาตินี้ล่ะ,เอกชนไทยและเอกชนแบงค์ต่างประเทศใดรับโอนมาแบงค์ชาติก็เห็นหมดล่ะ สั่งยึดอายัดได้หมด,แต่ความจริงเนื้องานไส้ในเราก็ไม่รู้ได้นั้นเอง. ..เงินทุนมากมายมาโจมตีไทย เข้าไทย ออกจากไทย ดูดจากไทย แบงค์ชาติรู้ภาพรวมยอดรวมต้นทางปลายทางหมดล่ะ,อำนาจทางการเงินของแบงค์ชาตินั้นเด็ดขาดได้,แต่จะเด็ดขาดกับอีลิทdeep stateนายตนเองคงยาก. ..แบงค์ชาติสามารถช่วยประชาชนคนไทยอยู่ดีมีสุขทางการเงินที่ใช้เงินจับจ่ายใช้สอยจริงได้ สามารถสร้างกลไกกองทุนหมู่บ้านที่มีประสิทธิภาพเสมือนสถาบันการเงินประจำหมู่บ้านนั้นๆได้ ตังจะหมุนเวียนในชุมชนแบงค์ชาติก็กำหนดเงื่อนไขกติกาได้,เชื่อมโยงระบบการตลาดกับแหล่งตลาดชุมชนแบบกองทุนร้านค้าชุมชนในหมู่บ้านได้,ประสานรัฐบาลได้ มิให้แบงค์เอกชนมายุ่งเกี่ยวเป็นอิสระได้,สังกัดทางตรงกับแบงค์ชาติได้,ฟรีดอกเบี้ยแก่ประชาชนในหมู่บ้านก็ได้อีก สร้างกฎกติกาเงื่อนไขพิเศษช่วยชุมชนได้ หรือง่ายๆ เอากำไรที่ได้จากทองคำ มาแบ่งช่วยหมู่บ้านชุมชนให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนแบบพิเศษฟรีดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ สามารถใช้จ่ายผ่านกองทุนร้านค้าหมู่บ้านตนเท่านั้นหากมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐเกิดขึ้น เช่นคนละครึ่งแบบนี้ ใช้จ่ายได้แค่ในตลาดชุมชน ในร้านค้ากองทุนหมู่บ้านที่ลงทะเบียนกับทางรัฐบาล ตังจะหมุนเวียนในประเทศในชุมชนทันที,ไม่มีตลาดกองทุนชุมชนก็ก่อตั้งขึ้นโดยผู้นำหมู่บ้านตำบลอำ้ภอจังหวัดสิ,ใช้เป็นตลาดกระจายสินค้าก็ได้ ตลาดแบบตลาดเทศบาลนั้นล่ะแต่ปลอดภาษี,ประชาชนสามารถเอาสินค้าตนเองทางการเกษตรมาขายอิสระเสรีได้ มีแหล่งตลาดเป็นของตนเองจริง ตลาดระดับชุมชนขนาดอำเภอ จังหวัดก็ว่าไป สร้างระบบบริการจัดการแบบตลาดเทศบาลอำเภอเมืองไป,เกษตรมีแบงค์ชาติปล่อยเงินกู้หมู่บ้านละ1ล้านบาทก่อนเพื่อเป็นปฐมชัยมี80,000หมู่บ้านชุมชนก็80,000ล้านบาท ประชาชนมากู้คนละ10,000บาทแค่นั้นก่อน,ปลูกผักสวนครัวได้,ฟรีดอกเบี้ย ชำระเงินต้นในสองปีข้างหน้า,ก็ช่วยชาวบ้านได้100คนเลยนะไม่น้อยเลย,คืนแค่เงินต้น,บางคนทำขนมเอาไปขายในตลาดชุมชนตน ปลูกพืชผักสวนครัว สัมมาอาชีพสาระพัด มาแลกเปลี่ยนค้าขายในตลาดชุมชนตน,รวมกลุ่มส่งออกได้อีก,เช่นคนละ10,000รวมกลุ่มใหญ่ ปลูกนั้นนี้ ส่งออกได้กำไรมาอาจเกินล้านบาท,เช่นกัญชาเสรี,อาจไม่ต่ำกว่า10ล้านบาทต่อรอบการผลิตแบบไทบ้าน,ฝิ่นเสรีขายให้โรงพยาบาลสกัดยาแก้ปวดเองเป็นต้น555,คือมีสาระพัดวิธีทำให้ประชาชนยืนด้วยขาตนเองได้ไม่เอาเปรียบสถานะชิงฐานะร่ำรวยของประชาชนไปแบบยกสัมปทานบ่อปิโตรเลียมทั่วประเทศทั้งบนบกและในทะเลสองฝั่งให้ต่างชาติ,เราทำเอง ขายน้ำมันราคาลิตร1-2บาทแบบอิหร่านนะ,วิกฤติเศรษฐกิจในปัจจุบันที่เรากำลังเจออยู่จะเป็นเรื่องขี้หมาทันที,ปากก็บอกชาติบ้านเมืองพบเจอวิกฤติเศรษฐกิจนะ วิกฤตินี้อันตรายมากพะนะ กระทบไทยแล้วมันมาจากยุโรปทางการเงินที่ล้มสลาย มุกจะก่อสงครามตัวแทนสู่สงครามโลกอีก. ..รัฐบาลชุดปัจจุบันสั่งกิจการในไทยทั้งหมดลดราคาน้ำมันลงเหลือลิตรละ10บาททุกๆชนิดดูสิ มีผลในพรุ่งนี้,เพราะต้นทุนผลิตจริงๆไม่กี่บาท,เช่นนั้นจะยกเลิกสัมปทานทั้งหมดจะเอกชนไทยหรือต่างประเทศเพราะไม่เคยนำเข้าสภาสส.สว.ไทยแม้แต่เคสสัมปทานเดียวและมันคือความมั่นคงทางอธิปไตยไทยด้านพลังงานชัดเจนด้วยที่ปล้นประเทศไทย,ยึดครองประเทศไทยผ่านmouสัญญาสัมปทานนี้นานกว่าเขมรยึด11จุดอีสานใต้อีก,ตั้งแต่ปี2522-23ไทยสมควรร่ำรวยนานแล้วโดยสามารถกระจายความร่ำรวยนี้แก่ภาคประชาชนคนไทยเราทุกๆคนไทยจนถึงปัจจุบัน,มันสามารถยกเลิกฝ่ายเดียวได้ทันทีเป็นเรื่องภายในอธิปไตยความมั่นคงภายในเราชัดเจนด้วย.,mouสัมปทานบ่อน้ำมัน นานกฯอนุทินยกเลิกทั้งหมดได้เพราะไม่ผ่านสภาผู้แทนราษฎรเรา,สส.สว.เราเลย,เป็นmouสัญญาที่ทุจริตปล้นประเทศไทยด้านทรัพยากรชาติไทยผ่านกระบวนกฎหมายไทยที่ทุจริตไม่ซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อประเทศตนเองโดยราชการไทยที่ไม่ซื่อสัตย์ดำเนินการเองให้เกิดขึ้น จะด้วยคณะครม.ชุดอดีตที่ผ่านมาก็ตามในรัฐบาลในอดีตรวมอธิบดีพลังงานต้นเรื่องด้วยที่ไม่เสนอเรื่องใหญ่โตระดับชาติภัยความมั่นคงทางด้านพลังงานที่เป็นกลไกที่แท้จริงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งระบบและกระทบทุกๆมิติด้วย แต่ข้าราชการเลวชั่วไม่สุจริตจึงก่อการวางแผนสร้างเงื่อนไขสัญญาเลวชั่วนี้ขึ้นให้เป็นภัยต่อแผ่นดินไทยตนจนถูกครอบงำผูกขาดการตลาดน้ำมันสิ้น,จึงต้องโมฆะทั้งหมดทันทีที่ชอบธรรม,นายกฯอนุทินเซ็นต์อนุมัติสั่งการผ่านคณะครม.ได้ทันที,มีผลอย่างเป็นทางการในสิ้นเดือนตุลา.68นี้ก็ได้ให้อีกฝ่ายเก็บของออกจากประเทศไทยไป,อย่าหยาบจึงใช้กำลังผลักดันขับไล่ออกนอกประเทศไทยไป,นี้คือแผ่นดินไทย คืออธิปไตยไทย ต่างชาติจะมาปล้นทรัพยากรไทยไม่ใช่ทำง่ายๆแบบอดีตอีกแล้ว มันคือการปลดแอกปลดปล่อยและกอบกู้ประเทศไทยที่แท้จริง,เรื่องเขมรฮุนเซนเป็นเรื่องขี้หมาปลีกย่อย เพราะไอ้สารเลวห่านี้ก็อยากได้บ่อน้ำมันในอ่าวไทยเราอันเดียวกัน บ่อทองคำด้วย,จึงตีมูลค่ากว่า20ล้านล้านบาทได้สบายมิใช่10ล้านล้านหรอก เผลอๆ100ล้านล้านบาทเลยเพราะคือส่วนหัวบ่อใหญ่เลย. https://youtube.com/shorts/MPch22srWUg?si=Z3hLWLwQ9iyzg1c3
    0 Comments 0 Shares 225 Views 0 Reviews
  • เผือกเส้นสวยเป๊ะ! หากคุณกำลังมองหาเครื่องจักรที่สามารถหั่น เผือก ให้ออกมาเป็น เส้นยาวเรียว ได้มาตรฐานสม่ำเสมอ เหมือนที่คุณเห็นในภาพนี้ (เน้นความสม่ำเสมอของเส้น) คุณมาถูกที่แล้ว!

    เครื่องหั่นมันฝรั่ง (Potato Slicer) Model YPS-J300-606-Z-S จาก ย.ย่งฮะเฮง คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ ร้านขนม โรงงานแปรรูป และผู้ค้าส่ง ได้ชิ้นงานคุณภาพสูงเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็น:

    เผือกเส้นทอด/อบ: ได้เส้นสวยเท่ากันหมด ทอดแล้วสุกพร้อมกัน กรอบนาน

    เผือกเส้นสำหรับขนม: หรือส่วนผสมอาหารอื่น ๆ ที่ต้องการความประณีต

    สเปคเครื่องจักรที่สร้างสรรค์คุณภาพ:
    สร้างชิ้นงานสวยเป๊ะ: เครื่องนี้สามารถหั่นเผือกเป็นเส้นได้สวยงามตามภาพที่คุณเห็น และสามารถ ปรับความหนาบางได้ อย่างแม่นยำ เพื่อให้ได้ขนาดที่ต้องการทุกล็อตการผลิต
    ความเร็วเหนือกว่าแรงงานคน: ทำงานต่อเนื่องด้วยกำลังการผลิตสูง 100 – 300 กิโลกรัมต่อชั่วโมง! (มอเตอร์ 1 HP, 220 V.)

    หยุดพึ่งพาการหั่นด้วยมือ! ลงทุนกับเครื่องจักรที่สร้างสรรค์ชิ้นงานคุณภาพและความสม่ำเสมอ เหมือนที่คุณต้องการ เพื่อขยายตลาดได้อย่างมั่นใจ

    สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม:
    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

    เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.)
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7
    แชท: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com

    #เครื่องหั่นเผือก #เผือกเส้น #เผือกทอด #เผือกแปรรูป #เครื่องหั่นผัก #เครื่องหั่นมันฝรั่ง #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #เครื่องจักรอุตสาหกรรม #เครื่องครัวเชิงพาณิชย์ #ยงฮะเฮง #Yoryonghahheng #เครื่องหั่นสแตนเลส #โรงงานอาหาร #ธุรกิจร้านขนม #ผู้ค้าส่ง #ลดต้นทุน #เพิ่มผลผลิต #กำลังการผลิตสูง #มาตรฐานการผลิต #อาหารแช่แข็ง #วัตถุดิบ #อุปกรณ์ครัว #ครัวมืออาชีพ #เครื่องจักร1HP #ลงทุนธุรกิจ #สินค้าอุตสาหกรรม #ทำกำไร #เผือก #มืออาชีพ #เทคนิคการผลิต
    ✨ เผือกเส้นสวยเป๊ะ! หากคุณกำลังมองหาเครื่องจักรที่สามารถหั่น เผือก ให้ออกมาเป็น เส้นยาวเรียว ได้มาตรฐานสม่ำเสมอ เหมือนที่คุณเห็นในภาพนี้ (เน้นความสม่ำเสมอของเส้น) คุณมาถูกที่แล้ว! เครื่องหั่นมันฝรั่ง (Potato Slicer) Model YPS-J300-606-Z-S จาก ย.ย่งฮะเฮง คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ ร้านขนม โรงงานแปรรูป และผู้ค้าส่ง ได้ชิ้นงานคุณภาพสูงเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็น: เผือกเส้นทอด/อบ: ได้เส้นสวยเท่ากันหมด ทอดแล้วสุกพร้อมกัน กรอบนาน เผือกเส้นสำหรับขนม: หรือส่วนผสมอาหารอื่น ๆ ที่ต้องการความประณีต ⚙️ สเปคเครื่องจักรที่สร้างสรรค์คุณภาพ: 📌สร้างชิ้นงานสวยเป๊ะ: เครื่องนี้สามารถหั่นเผือกเป็นเส้นได้สวยงามตามภาพที่คุณเห็น และสามารถ ปรับความหนาบางได้ อย่างแม่นยำ เพื่อให้ได้ขนาดที่ต้องการทุกล็อตการผลิต 📌ความเร็วเหนือกว่าแรงงานคน: ทำงานต่อเนื่องด้วยกำลังการผลิตสูง 100 – 300 กิโลกรัมต่อชั่วโมง! (มอเตอร์ 1 HP, 220 V.) 🔥 หยุดพึ่งพาการหั่นด้วยมือ! ลงทุนกับเครื่องจักรที่สร้างสรรค์ชิ้นงานคุณภาพและความสม่ำเสมอ เหมือนที่คุณต้องการ เพื่อขยายตลาดได้อย่างมั่นใจ 🛒 สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม: ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.) แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 แชท: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com #เครื่องหั่นเผือก #เผือกเส้น #เผือกทอด #เผือกแปรรูป #เครื่องหั่นผัก #เครื่องหั่นมันฝรั่ง #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #เครื่องจักรอุตสาหกรรม #เครื่องครัวเชิงพาณิชย์ #ยงฮะเฮง #Yoryonghahheng #เครื่องหั่นสแตนเลส #โรงงานอาหาร #ธุรกิจร้านขนม #ผู้ค้าส่ง #ลดต้นทุน #เพิ่มผลผลิต #กำลังการผลิตสูง #มาตรฐานการผลิต #อาหารแช่แข็ง #วัตถุดิบ #อุปกรณ์ครัว #ครัวมืออาชีพ #เครื่องจักร1HP #ลงทุนธุรกิจ #สินค้าอุตสาหกรรม #ทำกำไร #เผือก #มืออาชีพ #เทคนิคการผลิต
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 262 Views 0 Reviews
More Results