อัปเดตล่าสุด
  • **แมวป่าเซอลี่ สินสอดที่มอบให้เสี่ยวเฉียว**

    สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูซี่รีส์เรื่อง <ปรปักษ์จำนน> คงจำได้ว่าตั้งแต่ต้นเรื่องมีการกล่าวถึงสินสอดที่หลิวเหยี่ยนนำมามอบให้นางเอกว่าใช้เพียงพอนมาแทนแมวป่า และเชื่อว่าหลายท่านอาจเกิดความ ‘เอ๊ะ’ เหมือน Storyฯ ว่าจริงๆ แล้วมันมีความหมายอย่างไร

    จริงๆ แล้วรายการสินสอดผันแปรไปตามยุคสมัย นอกจากจะปฏิบัติตามธรรมเนียมโบราณแล้ว ในบางยุคสมัยยังมีกฎหมายกำหนด เช่นในสมัยถังเริ่มมีบทกฎหมายระบุเกณฑ์ขั้นสูงสุดของสินสอดสำหรับชาวบ้านทั่วไป ทั้งนี้เพื่อจำกัดพฤติกรรมการซื้อสะใภ้หรือขายลูกสาว

    <ปรปักษ์จำนน> เป็นยุคสมัยในจินตนาการแต่ดูองค์ประกอบคล้ายคลึงตอนปลายของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (แถวๆ ช่วงปีค.ศ. 180-220) ซึ่งพิธีการและธรรมเนียมส่วนใหญ่สืบทอดมาจากราชวงศ์ก่อนๆ

    หากเราดูตามบันทึกพิธีการหลี่จี้จะพบว่าสินสอดสำหรับขุนนางในสมัยก่อนราชวงศ์ฮั่นนั้น ประกอบด้วยผ้าสีดำแดงห้าพับและหนังกวางเต็มตัวสองผืน ฟังดูไม่มากแต่ล้วนสะท้อนความนัย โดยสีดำแดงสะท้อนหยินหยางและฟ้าดินคู่กัน ผ้าผืนห้าพับจับปลายชนกันแสดงถึงห้าธาตุห้าวง และหนังกวางเป็นสัญลักษณ์ของการล่าสัตว์ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการทำมาหาเลี้ยงชีพของชาย ทั้งนี้ ในทางปฏิบัติชาวบ้านทั่วไปอาจใช้ห่านป่ามาทดแทนหนังกวางที่หายากและแพง

    ต่อมาในสมัยฮั่น รายการสินสอดถูกเพิ่มขึ้นเป็นสามสิบรายการโดยให้ความสำคัญกับทองคำ ทั้งนี้ รายการอื่นประกอบด้วยสัตว์ (ซึ่งอาจแตกออกมาเป็นสัตว์สี่เท้าและสัตว์สองเท้า) ผ้าไหมหรือผ้าผืน สุรา และธัญพืชหลากชนิด ซึ่งอาจไม่ได้มีมูลค่าสูงนักแต่เน้นที่ความหมายมงคลและความตั้งใจในการคัดสรร

    แมวป่าที่พูดถึงใน ซีรีส์ <ปรปักษ์จำนน> นี้คือสัตว์สี่เท้าที่ถูกนำมาใช้เป็น ‘สัตว์หมั้นหมาย’ ((聘兽/พิ่นโซ่ว) ซึ่งในบริบทของสินสอดมันเป็นสัญลักษณ์ของการล่าสัตว์หรือความสามารถในการทำมาหาเลี้ยงชีพของฝ่ายชายนั่นเอง (อนึ่ง หากใช้สัตว์สี่เท้าชนิดอื่นก็อาจมีความหมายอื่น)

    แมวป่าดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า ‘เซอลี่’ (หรือ Lynx ในภาษาอังกฤษ) ซึ่งเป็นสัตว์นักล่าชนิดหนึ่งในตระกูลแมว มีขนาดเล็กกว่าเสือแต่ใหญ่กว่าแมว ลายจุดหางสั้น ลำตัวยาวประมาณ 0.8-1.3 เมตรเมื่อโตเต็มที่ โดยมีเอกลักษณ์คือหูที่เรียวและมีขนสีดำยาวงอนขึ้น (ดูรูปประกอบ) ปัจจุบันมีอยู่สี่สายพันธ์ด้วยกันโดยที่พบเห็นในจีนถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Eurasian Lynx และเป็นหนึ่งในสัตว์สงวน

    เท่าที่ Storyฯ ทำการบ้านมา ยังไม่เห็นความหมายเชิงมงคลเป็นพิเศษของแมวป่าเซอลี่ แต่มันถูกยกย่องให้เป็นเจ้าแห่งภูเขาด้วยความว่องไวของมันทั้งบนพื้นและบนต้นไม้ มีอีกชื่อเรียกว่า ‘โบยบินเหนือหญ้า’ (草上飞/เฉ่าซ่างเฟย) และคนที่มีฐานะอันจะกินในสมัยโบราณนิยมใช้เซอลี่เป็นตัวช่วยในการล่าสัตว์ โดยเฉพาะในสมัยถัง จัดเป็นสัตว์ที่มีค่าหายากชนิดหนึ่ง

    และด้วยความที่แมวป่าเซอลี่เป็นสัตว์ที่ว่องไวล่าได้ยาก มันจึงถูกนำมาใช้ในซีรีส์ <ปรปักษ์จำนน> เป็นสัตว์หมั้นหมายที่แสดงถึงความตั้งใจอย่างยิ่งยวดของฝ่ายชาย โดยพระเอกตั้งใจออกไปล่ามาด้วยตนเองเพื่อใช้เป็นสินสอด ในขณะที่หลิวเหยี่ยนใช้เพียงพอนมาเป็นตัวแทน นอกจากนี้ รายการสินสอดอื่นที่หลิวเหยี่ยนมอบให้นางเอกนั้นยังตกๆ หล่นๆ ไม่ว่าจะจำนวนรายการที่ไม่มากและผ้าผืนที่มีเพียงผ้าสีดำ (ไม่ใช่สีดำแดงตามพิธีการโบราณ) สะท้อนถึงความไม่ใส่ใจของหลิวเหยี่ยนซึ่งนางเอกก็รู้ดี

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.upmedia.mg/news_info.php?Type=196&SerialNo=230176 https://www.sohu.com/a/571225018_121392910
    https://www.toutiao.com/article/7327926416916775465/
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_10502786
    https://www.163.com/dy/article/HTQM9DMC0552XHZR.html
    https://culture.ycwb.com/2020-05/02/content_796281.htm
    https://www.napaidd.com/news/c6036/d93278

    #ปรปักษ์จำนน #สินสอดจีนโบราณ #แมวป่า #เซอลี่ #สาระจีน
    **แมวป่าเซอลี่ สินสอดที่มอบให้เสี่ยวเฉียว** สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูซี่รีส์เรื่อง <ปรปักษ์จำนน> คงจำได้ว่าตั้งแต่ต้นเรื่องมีการกล่าวถึงสินสอดที่หลิวเหยี่ยนนำมามอบให้นางเอกว่าใช้เพียงพอนมาแทนแมวป่า และเชื่อว่าหลายท่านอาจเกิดความ ‘เอ๊ะ’ เหมือน Storyฯ ว่าจริงๆ แล้วมันมีความหมายอย่างไร จริงๆ แล้วรายการสินสอดผันแปรไปตามยุคสมัย นอกจากจะปฏิบัติตามธรรมเนียมโบราณแล้ว ในบางยุคสมัยยังมีกฎหมายกำหนด เช่นในสมัยถังเริ่มมีบทกฎหมายระบุเกณฑ์ขั้นสูงสุดของสินสอดสำหรับชาวบ้านทั่วไป ทั้งนี้เพื่อจำกัดพฤติกรรมการซื้อสะใภ้หรือขายลูกสาว <ปรปักษ์จำนน> เป็นยุคสมัยในจินตนาการแต่ดูองค์ประกอบคล้ายคลึงตอนปลายของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (แถวๆ ช่วงปีค.ศ. 180-220) ซึ่งพิธีการและธรรมเนียมส่วนใหญ่สืบทอดมาจากราชวงศ์ก่อนๆ หากเราดูตามบันทึกพิธีการหลี่จี้จะพบว่าสินสอดสำหรับขุนนางในสมัยก่อนราชวงศ์ฮั่นนั้น ประกอบด้วยผ้าสีดำแดงห้าพับและหนังกวางเต็มตัวสองผืน ฟังดูไม่มากแต่ล้วนสะท้อนความนัย โดยสีดำแดงสะท้อนหยินหยางและฟ้าดินคู่กัน ผ้าผืนห้าพับจับปลายชนกันแสดงถึงห้าธาตุห้าวง และหนังกวางเป็นสัญลักษณ์ของการล่าสัตว์ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการทำมาหาเลี้ยงชีพของชาย ทั้งนี้ ในทางปฏิบัติชาวบ้านทั่วไปอาจใช้ห่านป่ามาทดแทนหนังกวางที่หายากและแพง ต่อมาในสมัยฮั่น รายการสินสอดถูกเพิ่มขึ้นเป็นสามสิบรายการโดยให้ความสำคัญกับทองคำ ทั้งนี้ รายการอื่นประกอบด้วยสัตว์ (ซึ่งอาจแตกออกมาเป็นสัตว์สี่เท้าและสัตว์สองเท้า) ผ้าไหมหรือผ้าผืน สุรา และธัญพืชหลากชนิด ซึ่งอาจไม่ได้มีมูลค่าสูงนักแต่เน้นที่ความหมายมงคลและความตั้งใจในการคัดสรร แมวป่าที่พูดถึงใน ซีรีส์ <ปรปักษ์จำนน> นี้คือสัตว์สี่เท้าที่ถูกนำมาใช้เป็น ‘สัตว์หมั้นหมาย’ ((聘兽/พิ่นโซ่ว) ซึ่งในบริบทของสินสอดมันเป็นสัญลักษณ์ของการล่าสัตว์หรือความสามารถในการทำมาหาเลี้ยงชีพของฝ่ายชายนั่นเอง (อนึ่ง หากใช้สัตว์สี่เท้าชนิดอื่นก็อาจมีความหมายอื่น) แมวป่าดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า ‘เซอลี่’ (หรือ Lynx ในภาษาอังกฤษ) ซึ่งเป็นสัตว์นักล่าชนิดหนึ่งในตระกูลแมว มีขนาดเล็กกว่าเสือแต่ใหญ่กว่าแมว ลายจุดหางสั้น ลำตัวยาวประมาณ 0.8-1.3 เมตรเมื่อโตเต็มที่ โดยมีเอกลักษณ์คือหูที่เรียวและมีขนสีดำยาวงอนขึ้น (ดูรูปประกอบ) ปัจจุบันมีอยู่สี่สายพันธ์ด้วยกันโดยที่พบเห็นในจีนถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Eurasian Lynx และเป็นหนึ่งในสัตว์สงวน เท่าที่ Storyฯ ทำการบ้านมา ยังไม่เห็นความหมายเชิงมงคลเป็นพิเศษของแมวป่าเซอลี่ แต่มันถูกยกย่องให้เป็นเจ้าแห่งภูเขาด้วยความว่องไวของมันทั้งบนพื้นและบนต้นไม้ มีอีกชื่อเรียกว่า ‘โบยบินเหนือหญ้า’ (草上飞/เฉ่าซ่างเฟย) และคนที่มีฐานะอันจะกินในสมัยโบราณนิยมใช้เซอลี่เป็นตัวช่วยในการล่าสัตว์ โดยเฉพาะในสมัยถัง จัดเป็นสัตว์ที่มีค่าหายากชนิดหนึ่ง และด้วยความที่แมวป่าเซอลี่เป็นสัตว์ที่ว่องไวล่าได้ยาก มันจึงถูกนำมาใช้ในซีรีส์ <ปรปักษ์จำนน> เป็นสัตว์หมั้นหมายที่แสดงถึงความตั้งใจอย่างยิ่งยวดของฝ่ายชาย โดยพระเอกตั้งใจออกไปล่ามาด้วยตนเองเพื่อใช้เป็นสินสอด ในขณะที่หลิวเหยี่ยนใช้เพียงพอนมาเป็นตัวแทน นอกจากนี้ รายการสินสอดอื่นที่หลิวเหยี่ยนมอบให้นางเอกนั้นยังตกๆ หล่นๆ ไม่ว่าจะจำนวนรายการที่ไม่มากและผ้าผืนที่มีเพียงผ้าสีดำ (ไม่ใช่สีดำแดงตามพิธีการโบราณ) สะท้อนถึงความไม่ใส่ใจของหลิวเหยี่ยนซึ่งนางเอกก็รู้ดี (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.upmedia.mg/news_info.php?Type=196&SerialNo=230176 https://www.sohu.com/a/571225018_121392910 https://www.toutiao.com/article/7327926416916775465/ Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_10502786 https://www.163.com/dy/article/HTQM9DMC0552XHZR.html https://culture.ycwb.com/2020-05/02/content_796281.htm https://www.napaidd.com/news/c6036/d93278 #ปรปักษ์จำนน #สินสอดจีนโบราณ #แมวป่า #เซอลี่ #สาระจีน
    WWW.UPMEDIA.MG
    劉宇寧、宋祖兒新劇《折腰》首播熱度奪冠 來自台灣的「他」與她上演祖孫訣別逼哭全網--上報
    (以下內容涉及劇透,請斟酌閱讀)陸劇女星宋祖兒因逃稅慘遭冷藏2年,近期順利解禁,她主演的多部新劇傳出......
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว

  • คราวที่แล้วเขียนเรื่องธรรมเนียมวันรับตัวเจ้าสาว วันนี้เลยมาคุยกันต่ออีกสักนิดถึงอีกหนึ่งธรรมเนียมจีนเกี่ยวกับประเพณีที่มีมาแต่โบราณคือการหวีผมให้เจ้าสาว ภาพประกอบอาจจะเก่านิดนึง แต่มาดูธรรมเนียมการหวีผมนี้กันโดยถอดบทสนทนาจากเรื่อง <เซียนกระบี่พิชิตมาร>

    ความมีอยู่ว่า
    ... “มา นั่งลง เหล่าเล้าจะหวีผมให้เจ้า” เหล่าเล้ากล่าว “หวีครั้งแรก หวีถึงปลาย หวีครั้งที่สอง ผมขาวบรรจบคิ้ว หวีครั้งที่สาม บุตรหลานเต็มบ้าน”...
    (หมายเหตุ Storyฯ ขอแปลความหมายเพิ่มเติมของ “ผมขาวบรรจบคิ้ว” ให้ว่า ชีวิตคู่ยืนยาวมีความสุขจากต้นจนปลาย อยู่คู่กันยืดยาวจนผมขาว)

    เพื่อนเพจอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วว่า ในวันที่แต่งงาน แม่หรือญาติอาวุโสของเจ้าสาวจะหวีผมให้เจ้าสาวการหวีก็ต้องหวีด้านหน้าขึ้นบน แล้วหวีจากบนลงไปด้านหลังจนสุดปลาย พร้อมกับกล่าวคำมงคลดังๆ ในระหว่างที่หวี เช่นที่เหล่าเล้าหรือยายของนางเอกกล่าวตามความข้างต้น ประเพณีนี้ยังคงปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน และย่อสั้นเหลือเพียงสามประโยคข้างต้น (คำพูดอาจแตกต่างเล็กน้อยตามธรรมเนียมท้องถิ่น บางที่อาจมีประโยคที่สี่อวยพรให้ร่ำรวย) จากเดิมที่เคยต้องพูดกันยาวถึงสิบประโยค

    แต่สำหรับคนที่เคร่งครัดจริงๆ นั้น คนที่จะมาหวีผมให้เจ้าสาวนั้นต้องคัดสรรกันพอสมควร ไม่ใช่แค่ว่าเป็นแม่หรือญาติผู้ใหญ่คนไหนก็ทำได้ เพราะต้องเป็นคนที่มีชีวิตสมบูรณ์พูนสุข ซึ่งในที่นี่หมายถึง บิดามารดาพี่น้องสามีภรรยามีชีวิตอยู่ครบ บุตรหลานมากมาย และดวงไม่ชงกับบ่าวสาว เป็นเคล็ดว่าหากให้คนเช่นนี้หวีผมให้กับเจ้าสาว ดวงส่วนตัวของคนๆ นั้นจะสามารถนำพาให้เจ้าสาวได้พบความสมบูรณ์พูนสุขเหล่านี้เช่นกัน

    แต่ชีวิตใครจะเพอร์เฟ็ค? คนที่มีคุณสมบัติอย่างนี้หาได้ไม่ง่าย อีกทั้งสมัยโบราณการเกล้าผมเจ้าสาวไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปกติคุณหนูคุณนายไม่เคยต้องทำเอง มักมีสาวใช้ทำให้ ดังนั้น ถ้าเจ้าสาวมาจากตระกูลผู้ดี การหาคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและมีฝีมือเกล้าผมด้วยย่อมหายากเป็นธรรมดา (ก็เพราะว่าเครือญาติและเพื่อนฝูงด้วยกันล้วนแต่เป็นผู้ดีหรือคหบดีเช่นกัน ไม่ต้องทำผมเอง ดังนั้นอาจไม่มีฝีมือด้านนี้เหมือนกัน 555)

    ต่อมาจึงเกิดการว่าจ้างผู้ที่มาหวีและเกล้าผมมืออาชีพ (ใช่ค่ะ สมัยโบราณมีช่างทำผมค่ะ!... เท่าที่หาข้อมูลเจอกล่าวแต่ว่า “สมัยโบราณ” แต่เท่าที่ดูจากรูปภาพน่าจะเป็นในยุคสมัยราชวงศ์ชิง) สมัยโบราณเรียกกันว่า ซูโถวอี๋เหนียง (梳头姨娘) ต่อมาพัฒนาเป็นช่างทำผมทั่วไปเรียกกันว่า ซูโถวมา (梳头妈)

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจากในละครและ: https://www.sohu.com/a/456348733_100129097
    Credit ข้อมูลจาก:
    https://m.hunliji.com/bai_ke/detail_18650
    https://m.bxhyw.com/hunjia/41035.html
    https://www.163.com/dy/article/F9OQP5L00543A2C5.html

    #เซียนกระบี่พิชิตมาร #ประเพณีจีน #ประเพณีแต่งงานจีน #หวีผมเจ้าสาว
    คราวที่แล้วเขียนเรื่องธรรมเนียมวันรับตัวเจ้าสาว วันนี้เลยมาคุยกันต่ออีกสักนิดถึงอีกหนึ่งธรรมเนียมจีนเกี่ยวกับประเพณีที่มีมาแต่โบราณคือการหวีผมให้เจ้าสาว ภาพประกอบอาจจะเก่านิดนึง แต่มาดูธรรมเนียมการหวีผมนี้กันโดยถอดบทสนทนาจากเรื่อง <เซียนกระบี่พิชิตมาร> ความมีอยู่ว่า ... “มา นั่งลง เหล่าเล้าจะหวีผมให้เจ้า” เหล่าเล้ากล่าว “หวีครั้งแรก หวีถึงปลาย หวีครั้งที่สอง ผมขาวบรรจบคิ้ว หวีครั้งที่สาม บุตรหลานเต็มบ้าน”... (หมายเหตุ Storyฯ ขอแปลความหมายเพิ่มเติมของ “ผมขาวบรรจบคิ้ว” ให้ว่า ชีวิตคู่ยืนยาวมีความสุขจากต้นจนปลาย อยู่คู่กันยืดยาวจนผมขาว) เพื่อนเพจอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วว่า ในวันที่แต่งงาน แม่หรือญาติอาวุโสของเจ้าสาวจะหวีผมให้เจ้าสาวการหวีก็ต้องหวีด้านหน้าขึ้นบน แล้วหวีจากบนลงไปด้านหลังจนสุดปลาย พร้อมกับกล่าวคำมงคลดังๆ ในระหว่างที่หวี เช่นที่เหล่าเล้าหรือยายของนางเอกกล่าวตามความข้างต้น ประเพณีนี้ยังคงปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน และย่อสั้นเหลือเพียงสามประโยคข้างต้น (คำพูดอาจแตกต่างเล็กน้อยตามธรรมเนียมท้องถิ่น บางที่อาจมีประโยคที่สี่อวยพรให้ร่ำรวย) จากเดิมที่เคยต้องพูดกันยาวถึงสิบประโยค แต่สำหรับคนที่เคร่งครัดจริงๆ นั้น คนที่จะมาหวีผมให้เจ้าสาวนั้นต้องคัดสรรกันพอสมควร ไม่ใช่แค่ว่าเป็นแม่หรือญาติผู้ใหญ่คนไหนก็ทำได้ เพราะต้องเป็นคนที่มีชีวิตสมบูรณ์พูนสุข ซึ่งในที่นี่หมายถึง บิดามารดาพี่น้องสามีภรรยามีชีวิตอยู่ครบ บุตรหลานมากมาย และดวงไม่ชงกับบ่าวสาว เป็นเคล็ดว่าหากให้คนเช่นนี้หวีผมให้กับเจ้าสาว ดวงส่วนตัวของคนๆ นั้นจะสามารถนำพาให้เจ้าสาวได้พบความสมบูรณ์พูนสุขเหล่านี้เช่นกัน แต่ชีวิตใครจะเพอร์เฟ็ค? คนที่มีคุณสมบัติอย่างนี้หาได้ไม่ง่าย อีกทั้งสมัยโบราณการเกล้าผมเจ้าสาวไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปกติคุณหนูคุณนายไม่เคยต้องทำเอง มักมีสาวใช้ทำให้ ดังนั้น ถ้าเจ้าสาวมาจากตระกูลผู้ดี การหาคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและมีฝีมือเกล้าผมด้วยย่อมหายากเป็นธรรมดา (ก็เพราะว่าเครือญาติและเพื่อนฝูงด้วยกันล้วนแต่เป็นผู้ดีหรือคหบดีเช่นกัน ไม่ต้องทำผมเอง ดังนั้นอาจไม่มีฝีมือด้านนี้เหมือนกัน 555) ต่อมาจึงเกิดการว่าจ้างผู้ที่มาหวีและเกล้าผมมืออาชีพ (ใช่ค่ะ สมัยโบราณมีช่างทำผมค่ะ!... เท่าที่หาข้อมูลเจอกล่าวแต่ว่า “สมัยโบราณ” แต่เท่าที่ดูจากรูปภาพน่าจะเป็นในยุคสมัยราชวงศ์ชิง) สมัยโบราณเรียกกันว่า ซูโถวอี๋เหนียง (梳头姨娘) ต่อมาพัฒนาเป็นช่างทำผมทั่วไปเรียกกันว่า ซูโถวมา (梳头妈) (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจากในละครและ: https://www.sohu.com/a/456348733_100129097 Credit ข้อมูลจาก: https://m.hunliji.com/bai_ke/detail_18650 https://m.bxhyw.com/hunjia/41035.html https://www.163.com/dy/article/F9OQP5L00543A2C5.html #เซียนกระบี่พิชิตมาร #ประเพณีจีน #ประเพณีแต่งงานจีน #หวีผมเจ้าสาว
    WWW.SOHU.COM
    《仙剑奇侠传》将被翻拍,网友:谁能超越刘亦菲版啊!_年胡歌
    随着新消息的公开,该剧与2005年胡歌、刘亦菲主演的《仙剑奇侠传》角色所吻合,确认为第一部的翻拍。另外那时候电视剧也没后来出的那么频繁,玄幻剧占比也不多,《仙剑奇侠传》则凭借着强悍的演员阵容征服了大家的心。 …
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าจะพูดเรื่องประเพณีแต่งงานจีนโบราณ แน่นอนมีหลายเรื่องให้คุยกันได้ วันนี้มีเกร็ดเล็กๆ ที่แฟนละคร <ตำนานหยุนซี> อาจเคยผ่านหูผ่านตา ลองมาดูกันจากบทสนทนาที่ถอดคำพูดมาจากละครเรื่องนี้

    ความมีอยู่ว่า
    ... “ฉินอ๋องเล่า? ฉินอ๋องอยู่ที่ใด? ธรรมเนียมแต่โบราณมา ไม่มีสะใภ้ใหม่กลับมาเยี่ยมบ้านหลังแต่งงานแต่เพียงผู้เดียว เจ้ากลับมาเพียงลำพัง หากมิใช่โดนปลดจากตำแหน่งชายาอ๋องแล้ว ยังมีเหตุผลใด? โอ้ว... ข้ากล่าวผิดไป มีแต่งจึงมีปลด ท่านฉินอ๋องมิเคยแม้แต่จะเตะเกี้ยวเจ้าสาวของเจ้า คงมิอาจนับได้ว่าแต่งเจ้าเข้าจวนอ๋องไปแล้วกระมัง?” หานรั่วเสวี่ยกล่าว

    บทสนทนาจากในละครข้างต้น เห็นได้ว่าหนึ่งในขั้นตอนสำคัญในประเพณีแต่งงานคือการ ‘เตะเกี้ยวเจ้าสาว’ ทำไมจึงมีธรรมเนียมนี้และมันมีความหมายอย่างใด?

    จริงแล้วการเตะคานเกี้ยวเจ้าสาวเป็นหนึ่งในขั้นตอนสุดท้ายว่าด้วยเรื่องการรับตัวเจ้าสาวใน ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ (三书六礼) ซึ่งเป็นพิธีการว่าด้วยงานแต่งงานที่สืบทอดมาจากยุคสมัยราชวงศ์โจว (1,100-771 ปีก่อนคริสต์ศักราช) แต่ในบทความภาษาไทยเกี่ยวกับพิธีการนี้ไม่ค่อยมีกล่าวถึงการเตะคานเกี้ยว
    แต่พิธีการรับเจ้าสาวมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างตามธรรมเนียมท้องถิ่น ในเรื่องการเตะคานเกี้ยวนี้ บางที่เตะคานเกี้ยวเจ้าสาวหนึ่งครั้ง แต่ส่วนใหญ่เตะสามครั้ง

    พิธีการเต็มๆ เท่าที่ Storyฯ เรียบเรียงข้อมูลมาได้ก็คือ... เมื่อเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงหน้าประตูใหญ่บ้านเจ้าบ่าว เจ้าบ่าวจะเตะคานประตูเกี้ยวเจ้าสาวหนึ่งครั้ง และเจ้าสาวก็จะเตะคานประตูตอบจากภายในหนึ่งครั้ง มีความหมายว่าชายมิกลัวภรรยาและสตรีมิอ่อนแอ (男不惧内,女不示弱) จากนั้นเจ้าสาวก็จะโยนกุญแจหีบสมบัติ (สินสมรสที่ฝ่ายเจ้าสาวนำติดตัวมาด้วย) ออกมา เจ้าบ่าวรับมาแล้วก็ต้องชูกุญแจขึ้น นัยว่าให้ฟ้าเป็นสักขีพยาน เป็นเคล็ดขอให้ได้ลูกชายหลายๆ คน

    พอได้ฤกษ์ก็จะมีการหามเกี้ยวเข้าไปที่หน้าโถงพิธีการ จากนั้นเจ้าบ่าวใช้พัดเคาะหลังคาเกี้ยวสามครั้งและเตะคานเกี้ยวสามครั้ง เป็นการแสดงอำนาจ เพื่อว่าต่อไปภรรยาจะได้เชื่อฟังผู้เป็นสามี จากนั้นจึงเข้าสู่พิธีกราบไหว้ฟ้าดิน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจาก: https://www.jintjint.com/series/legend-of-yun-xi-%E8%8A%B8%E6%B1%90%E4%BC%A0-ep-1-48-end-eng-sub/
    Credit ข้อมูลจาก:
    https://www.xiaozhishi.net/zhishi/1042699.html
    https://zh.wikipedia.org/wiki/%E8%BF%87%E9%97%A8_(%E4%B8%AD%E5%BC%8F%E5%A9%9A%E7%A4%BC)

    (หมายเหตุ บทความภาษาไทยเกี่ยวกับ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ อ่านได้ที่ http://www.ue-wedding.com/culture/)

    #ตำนานหยุนซี #ประเพณีแต่งงานจีน #ประเพณีจีน #เกี้ยวเจ้าสาว
    ถ้าจะพูดเรื่องประเพณีแต่งงานจีนโบราณ แน่นอนมีหลายเรื่องให้คุยกันได้ วันนี้มีเกร็ดเล็กๆ ที่แฟนละคร <ตำนานหยุนซี> อาจเคยผ่านหูผ่านตา ลองมาดูกันจากบทสนทนาที่ถอดคำพูดมาจากละครเรื่องนี้ ความมีอยู่ว่า ... “ฉินอ๋องเล่า? ฉินอ๋องอยู่ที่ใด? ธรรมเนียมแต่โบราณมา ไม่มีสะใภ้ใหม่กลับมาเยี่ยมบ้านหลังแต่งงานแต่เพียงผู้เดียว เจ้ากลับมาเพียงลำพัง หากมิใช่โดนปลดจากตำแหน่งชายาอ๋องแล้ว ยังมีเหตุผลใด? โอ้ว... ข้ากล่าวผิดไป มีแต่งจึงมีปลด ท่านฉินอ๋องมิเคยแม้แต่จะเตะเกี้ยวเจ้าสาวของเจ้า คงมิอาจนับได้ว่าแต่งเจ้าเข้าจวนอ๋องไปแล้วกระมัง?” หานรั่วเสวี่ยกล่าว บทสนทนาจากในละครข้างต้น เห็นได้ว่าหนึ่งในขั้นตอนสำคัญในประเพณีแต่งงานคือการ ‘เตะเกี้ยวเจ้าสาว’ ทำไมจึงมีธรรมเนียมนี้และมันมีความหมายอย่างใด? จริงแล้วการเตะคานเกี้ยวเจ้าสาวเป็นหนึ่งในขั้นตอนสุดท้ายว่าด้วยเรื่องการรับตัวเจ้าสาวใน ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ (三书六礼) ซึ่งเป็นพิธีการว่าด้วยงานแต่งงานที่สืบทอดมาจากยุคสมัยราชวงศ์โจว (1,100-771 ปีก่อนคริสต์ศักราช) แต่ในบทความภาษาไทยเกี่ยวกับพิธีการนี้ไม่ค่อยมีกล่าวถึงการเตะคานเกี้ยว แต่พิธีการรับเจ้าสาวมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างตามธรรมเนียมท้องถิ่น ในเรื่องการเตะคานเกี้ยวนี้ บางที่เตะคานเกี้ยวเจ้าสาวหนึ่งครั้ง แต่ส่วนใหญ่เตะสามครั้ง พิธีการเต็มๆ เท่าที่ Storyฯ เรียบเรียงข้อมูลมาได้ก็คือ... เมื่อเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงหน้าประตูใหญ่บ้านเจ้าบ่าว เจ้าบ่าวจะเตะคานประตูเกี้ยวเจ้าสาวหนึ่งครั้ง และเจ้าสาวก็จะเตะคานประตูตอบจากภายในหนึ่งครั้ง มีความหมายว่าชายมิกลัวภรรยาและสตรีมิอ่อนแอ (男不惧内,女不示弱) จากนั้นเจ้าสาวก็จะโยนกุญแจหีบสมบัติ (สินสมรสที่ฝ่ายเจ้าสาวนำติดตัวมาด้วย) ออกมา เจ้าบ่าวรับมาแล้วก็ต้องชูกุญแจขึ้น นัยว่าให้ฟ้าเป็นสักขีพยาน เป็นเคล็ดขอให้ได้ลูกชายหลายๆ คน พอได้ฤกษ์ก็จะมีการหามเกี้ยวเข้าไปที่หน้าโถงพิธีการ จากนั้นเจ้าบ่าวใช้พัดเคาะหลังคาเกี้ยวสามครั้งและเตะคานเกี้ยวสามครั้ง เป็นการแสดงอำนาจ เพื่อว่าต่อไปภรรยาจะได้เชื่อฟังผู้เป็นสามี จากนั้นจึงเข้าสู่พิธีกราบไหว้ฟ้าดิน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจาก: https://www.jintjint.com/series/legend-of-yun-xi-%E8%8A%B8%E6%B1%90%E4%BC%A0-ep-1-48-end-eng-sub/ Credit ข้อมูลจาก: https://www.xiaozhishi.net/zhishi/1042699.html https://zh.wikipedia.org/wiki/%E8%BF%87%E9%97%A8_(%E4%B8%AD%E5%BC%8F%E5%A9%9A%E7%A4%BC) (หมายเหตุ บทความภาษาไทยเกี่ยวกับ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ อ่านได้ที่ http://www.ue-wedding.com/culture/) #ตำนานหยุนซี #ประเพณีแต่งงานจีน #ประเพณีจีน #เกี้ยวเจ้าสาว
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • แฟชั่นทรงผมของจีนโบราณนั้นหลากหลาย โดยเฉพาะที่เพื่อนเพจได้เคยเห็นในละคร/หนังจีนพีเรียดที่ดูอลังการงานสร้างมาก (รูปประกอบจากเรื่อง <หงส์ขังรัก>) ทำให้ Storyฯ คิดสงสัยว่าเป็นไปได้หรือที่ทุกคนจะใช้ผมจริงทั้งหมด จึงเป็นคำถามว่า สมัยโบราณนั้นมีใช้วิกผมหรือผมปลอมหรือไม่?

    หาคำตอบมาแล้ว คือมีแน่นอนจ้า

    ว่ากันว่าการใช้ผมปลอมมีมาแต่ยุคสมัยจ้านกั๋ว (ประมาณ 475-403 ก่อนคริสต์ศักราช) แต่ไม่ใช่ใครๆ จะมีผมปลอมใส่เพราะเป็นของแพง เริ่มแรกจึงมีใช้กันเฉพาะในวัง ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์จิ้น (ค.ศ. 265–420) จึงมีการใช้กันในระดับสามัญชนในแวดวงคนมีอันจะกิน และมาเฟื่องฟูเป็นอย่างมากในยุคสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618–907)

    ผมปลอมที่ใช้กันนี้ก็มีทั้งที่ทำมาจากขนสัตว์ย้อมสีดำ หรือถ้าแพงหน่อยก็จะทำจากผมจากคนจริงๆ โดยมีที่มาจากสามแหล่งหลักคือ ก) นักโทษที่โดนลงทัณฑ์อย่างรุนแรงจะถูกโกนหัว ข) ผู้ที่ปลงผมเพื่อบวช และ ค) คนที่สิ้นไร้ไม้ตอกประกาศตัดผมขายเพื่อเอาเงินมาใช้

    เดิมวิธีใช้ผมปลอมก็คือเอามาทอรวมกับผมจริงตอนเกล้าผม ต่อมาเมื่อแฟชั่นทรงผมสตรีมีลูกเล่นมากขึ้น จึงเริ่มมีวิกผมสำเร็จรูปเกล้าเป็นทรงต่างๆ โดยใช้มวยปลอมสอดไส้ ซึ่งมวยปลอมก็จะทำจากวัสดุอื่นๆ เช่นไม้หรือหมอนผ้า จากนั้นก็ใช้ผมปลอมถักคลุมปกปิดให้ดูเนียน

    แต่เพื่อนเพจทราบหรือไม่ว่า คนที่ใช้ผมปลอมจำนวนไม่น้อยเป็นผู้ชาย!

    กวีชื่อดังสมัยราชวงศ์ถังนามว่าหลี่ไป๋เคยประพันธ์ไว้ถึงตนเองยามท้อแท้ว่า “ยามเมื่อชีวิตคนเราล้มเหลวมิได้ดั่งใจ จะทำอันใดได้นอกจากปล่อยผมรุงรังล่องเรือตามยถากรรม” เห็นได้ว่าการปล่อยผมสยายเป็นการแสดงออกถึงความไม่สำรวม ไม่สุภาพ

    ดังนั้น สุภาพชนชายชาตรีสมัยโบราณต้องเกล้าผมปักปิ่นหรือครอบมงกุฎผมให้เนี๊ยบ ตอนหนุ่มๆ คงไม่เป็นปัญหา แต่เมื่ออายุมากขึ้นและผมน้อยลงตามการเวลา การมีผมไม่พอเกล้าจึงเป็นเรื่องชวนทุกข์ใจนัก เลยต้องพึ่งพาผมปลอมเพื่อภาพลักษณ์ที่ดี

    ต่อมา สมัยราชวงศ์ชิงมีชายจีนไปเรียนต่างประเทศจำนวนไม่น้อย ล้วนแต่ตัดหางเปียออกเพื่อให้เข้ากับธรรมเนียมชาติตะวันตก เมื่อกลับมาจีนแผ่นดินใหญ่จึงต้องหาวิกหางเปียมาสวม บางคนใช้สวมหมวกที่มีหางเปียถักติดไว้เพื่อความสะดวก แบบที่เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยเห็นในหนังเรื่องหวงเฟยหงนั่นเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.jianshu.com/p/a042b95ee3ec
    https://www.163.com/ent/article/DD0TB8JN000380EO.html
    https://y.qichejiashi.com/tupian/1926174.html

    Credit ข้อมูลจาก:
    http://m.qulishi.com/article/201910/367225.html
    http://www.qulishi.com/article/202002/391814.html
    http://xn--fiq4m90j.com/Index/detail/catid/10/artid/04eb9650-68c6-44a2-897a-da8ebf712a5e/userid/bd2f4e82-9f87-452c-9f2d-7b290b6b006d
    https://www.guhanfu.com/60933.html

    #ทรงผมจีนโบราณ #ผมปลอม #วัฒนธรรมจีน
    แฟชั่นทรงผมของจีนโบราณนั้นหลากหลาย โดยเฉพาะที่เพื่อนเพจได้เคยเห็นในละคร/หนังจีนพีเรียดที่ดูอลังการงานสร้างมาก (รูปประกอบจากเรื่อง <หงส์ขังรัก>) ทำให้ Storyฯ คิดสงสัยว่าเป็นไปได้หรือที่ทุกคนจะใช้ผมจริงทั้งหมด จึงเป็นคำถามว่า สมัยโบราณนั้นมีใช้วิกผมหรือผมปลอมหรือไม่? หาคำตอบมาแล้ว คือมีแน่นอนจ้า ว่ากันว่าการใช้ผมปลอมมีมาแต่ยุคสมัยจ้านกั๋ว (ประมาณ 475-403 ก่อนคริสต์ศักราช) แต่ไม่ใช่ใครๆ จะมีผมปลอมใส่เพราะเป็นของแพง เริ่มแรกจึงมีใช้กันเฉพาะในวัง ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์จิ้น (ค.ศ. 265–420) จึงมีการใช้กันในระดับสามัญชนในแวดวงคนมีอันจะกิน และมาเฟื่องฟูเป็นอย่างมากในยุคสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618–907) ผมปลอมที่ใช้กันนี้ก็มีทั้งที่ทำมาจากขนสัตว์ย้อมสีดำ หรือถ้าแพงหน่อยก็จะทำจากผมจากคนจริงๆ โดยมีที่มาจากสามแหล่งหลักคือ ก) นักโทษที่โดนลงทัณฑ์อย่างรุนแรงจะถูกโกนหัว ข) ผู้ที่ปลงผมเพื่อบวช และ ค) คนที่สิ้นไร้ไม้ตอกประกาศตัดผมขายเพื่อเอาเงินมาใช้ เดิมวิธีใช้ผมปลอมก็คือเอามาทอรวมกับผมจริงตอนเกล้าผม ต่อมาเมื่อแฟชั่นทรงผมสตรีมีลูกเล่นมากขึ้น จึงเริ่มมีวิกผมสำเร็จรูปเกล้าเป็นทรงต่างๆ โดยใช้มวยปลอมสอดไส้ ซึ่งมวยปลอมก็จะทำจากวัสดุอื่นๆ เช่นไม้หรือหมอนผ้า จากนั้นก็ใช้ผมปลอมถักคลุมปกปิดให้ดูเนียน แต่เพื่อนเพจทราบหรือไม่ว่า คนที่ใช้ผมปลอมจำนวนไม่น้อยเป็นผู้ชาย! กวีชื่อดังสมัยราชวงศ์ถังนามว่าหลี่ไป๋เคยประพันธ์ไว้ถึงตนเองยามท้อแท้ว่า “ยามเมื่อชีวิตคนเราล้มเหลวมิได้ดั่งใจ จะทำอันใดได้นอกจากปล่อยผมรุงรังล่องเรือตามยถากรรม” เห็นได้ว่าการปล่อยผมสยายเป็นการแสดงออกถึงความไม่สำรวม ไม่สุภาพ ดังนั้น สุภาพชนชายชาตรีสมัยโบราณต้องเกล้าผมปักปิ่นหรือครอบมงกุฎผมให้เนี๊ยบ ตอนหนุ่มๆ คงไม่เป็นปัญหา แต่เมื่ออายุมากขึ้นและผมน้อยลงตามการเวลา การมีผมไม่พอเกล้าจึงเป็นเรื่องชวนทุกข์ใจนัก เลยต้องพึ่งพาผมปลอมเพื่อภาพลักษณ์ที่ดี ต่อมา สมัยราชวงศ์ชิงมีชายจีนไปเรียนต่างประเทศจำนวนไม่น้อย ล้วนแต่ตัดหางเปียออกเพื่อให้เข้ากับธรรมเนียมชาติตะวันตก เมื่อกลับมาจีนแผ่นดินใหญ่จึงต้องหาวิกหางเปียมาสวม บางคนใช้สวมหมวกที่มีหางเปียถักติดไว้เพื่อความสะดวก แบบที่เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยเห็นในหนังเรื่องหวงเฟยหงนั่นเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจาก: https://www.jianshu.com/p/a042b95ee3ec https://www.163.com/ent/article/DD0TB8JN000380EO.html https://y.qichejiashi.com/tupian/1926174.html Credit ข้อมูลจาก: http://m.qulishi.com/article/201910/367225.html http://www.qulishi.com/article/202002/391814.html http://xn--fiq4m90j.com/Index/detail/catid/10/artid/04eb9650-68c6-44a2-897a-da8ebf712a5e/userid/bd2f4e82-9f87-452c-9f2d-7b290b6b006d https://www.guhanfu.com/60933.html #ทรงผมจีนโบราณ #ผมปลอม #วัฒนธรรมจีน
    WWW.JIANSHU.COM
    电视剧《凤囚凰》观看第一集和第二集之后的说说
    在看《凤囚凰》这部电视剧的之前。我是带着挑剔的眼光去看的。看看于正到底有多么烂。网上吐槽凤囚凰被于正拍槽点很多,好先来看一看有那些被吐槽的点。 第一点,缝纫机头。 网上说的缝...
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้คุยกันเรื่องสำนวนจีน พร้อมกับลงรูปรวมฮิตนางร้าย/นางรองในหลายละครจีนที่มีฝีไม้ลายมือประทับใจ Storyฯ เพราะเราจะคุยกันเรื่องวลีที่บรรยายถึงความอกหักรักคุด เป็นวลียอดนิยมในนิยายจีนที่อาจไม่มีการแปลตรงตัวออกมาเป็นบทพูดในละครนัก

    “ลั่วฮวาโหย่วอี้ หลิวสุ่ยอู๋ฉิง / 落花有意 流水无情” เพื่อนเพจแฟนนิยายจีนอาจเคยอ่านคำแปลหลากหลาย แต่ Storyฯ ขอแปลและเรียบเรียงเองว่า “บุปผาโปรยร่วงด้วยมีใจ สายนทีไหลผ่านไร้ไมตรี” วลีนี้มีความหมายว่าหลงรักเขาข้างเดียว ทอดสะพานให้ก็แล้ว ทำทุกสิ่งอย่างเพื่อเขาก็แล้ว แต่เขายังไม่เหลียวแลไม่เห็นคุณค่า

    เป็นประโยคที่นิยมใช้ในนิยายจีนมากมาย เพียงหลับตาก็เห็นภาพทิวทัศน์ แต่เพื่อนเพจรู้หรือไม่ว่า จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงวรรคย่อของบทประพันธ์โดยกวีเอกสมัยราชวงศ์หมิงนามว่าเฝิงเมิ่งหลง (ค.ศ. 1574-1646) โดยมีวรรคเต็มแปลได้ว่า “บุปผาโปรยร่วงด้วยมีใจติดตามวารี สายนทีไหลผ่านไร้ไมตรีเมินรักบุษบา” (落花有意随流水,流水无情恋落花)

    ด้วยคำบรรยายกล่าวถึงดอกไม้พยายามเข้าหาสายน้ำ ฟังดูได้อารมณ์ฝ่ายหญิงอกหักจากการหลงรักชายฝ่ายเดียว แล้วถ้าเป็นฝ่ายชายหลงรักฝ่ายหญิงแต่ข้างเดียวล่ะ? จริงๆ แล้วใช้วลีนี้ก็ไม่ผิดและใช้กันค่อนข้างแพร่หลาย แต่แฟนนิยายจีนทั้งหลายทราบหรือไม่ว่ายังมีอีกวลีที่มีใจความคล้ายคลึงแต่ฟังดู “แมน” มากกว่า?

    เป็นวลีจากบทกวีจากสมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1271-1368) โดยกวีเอกเกาหมิง ใจความว่า “อั๋วเปิ่นเจียงซินเซี่ยงหมิงเยวี่ย ไน่เหอหมิงเยวี่ยเจ้าโกวฉวี / 我本将心向明月,奈何明月照沟渠" แปลได้ว่า “เดิมข้าฝากใจใฝ่จันทรา แต่จนใจจันทิราทอแสงส่องคูน้ำ” ความเดิมหมายถึงความรักความใส่ใจของพ่อแม่ที่มีต่อลูกแต่ลูกไม่ใยดี แต่กาลเวลาผ่านไปวลีนี้กลับถูกนำมาใช้ในบทประพันธ์หลากหลายจนกลายเป็นคำบรรยายถึงชายที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อหญิงที่ตนรัก แต่หญิงกลับเพิกเฉยไม่ใส่ใจ

    แต่ไม่ว่าจะเป็นวลีใด Storyฯ รู้สึกว่า บทกวีจีนโบราณมีความโรแมนติกเพราะมักอาศัยคำบรรยายถึงทิวทัศน์ธรรมชาติอันงดงามมาเปรียบเปรย ทีแรกที่อ่านถึงสองวลีนี้ ก็นึกถึงบทกลอนของบ้านเราที่ว่า “รักเขาข้างเดียวเหมือนเกลียวเชือก ต้องนอนกลิ้งนอนเกลือกจนเหงือกแห้ง...” แต่ก็รู้สึกว่าเปรียบเทียบกันตรงๆ ไม่ได้เพราะมันคนละอรรถรสกันเลย เพื่อนเพจว่าไหม?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://kknews.cc/culture/5ab4ezk.html
    http://en.linkeddb.com/movie/59f3095d198c38001385e9ef/
    https://dramapearls.com/2019/03/23/princess-agents-chinese-drama-review-episode-guide/
    https://dramapanda.com/2016/12/character-posters-for-three-lives-three.html
    Credit ข้อมูลจาก:
    https://zhidao.baidu.com/question/539564315.html
    https://www.guwenxuexi.com/classical/21912.html
    https://www.163.com/dy/article/EEQV7LO70544511W.html
    วันนี้คุยกันเรื่องสำนวนจีน พร้อมกับลงรูปรวมฮิตนางร้าย/นางรองในหลายละครจีนที่มีฝีไม้ลายมือประทับใจ Storyฯ เพราะเราจะคุยกันเรื่องวลีที่บรรยายถึงความอกหักรักคุด เป็นวลียอดนิยมในนิยายจีนที่อาจไม่มีการแปลตรงตัวออกมาเป็นบทพูดในละครนัก “ลั่วฮวาโหย่วอี้ หลิวสุ่ยอู๋ฉิง / 落花有意 流水无情” เพื่อนเพจแฟนนิยายจีนอาจเคยอ่านคำแปลหลากหลาย แต่ Storyฯ ขอแปลและเรียบเรียงเองว่า “บุปผาโปรยร่วงด้วยมีใจ สายนทีไหลผ่านไร้ไมตรี” วลีนี้มีความหมายว่าหลงรักเขาข้างเดียว ทอดสะพานให้ก็แล้ว ทำทุกสิ่งอย่างเพื่อเขาก็แล้ว แต่เขายังไม่เหลียวแลไม่เห็นคุณค่า เป็นประโยคที่นิยมใช้ในนิยายจีนมากมาย เพียงหลับตาก็เห็นภาพทิวทัศน์ แต่เพื่อนเพจรู้หรือไม่ว่า จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงวรรคย่อของบทประพันธ์โดยกวีเอกสมัยราชวงศ์หมิงนามว่าเฝิงเมิ่งหลง (ค.ศ. 1574-1646) โดยมีวรรคเต็มแปลได้ว่า “บุปผาโปรยร่วงด้วยมีใจติดตามวารี สายนทีไหลผ่านไร้ไมตรีเมินรักบุษบา” (落花有意随流水,流水无情恋落花) ด้วยคำบรรยายกล่าวถึงดอกไม้พยายามเข้าหาสายน้ำ ฟังดูได้อารมณ์ฝ่ายหญิงอกหักจากการหลงรักชายฝ่ายเดียว แล้วถ้าเป็นฝ่ายชายหลงรักฝ่ายหญิงแต่ข้างเดียวล่ะ? จริงๆ แล้วใช้วลีนี้ก็ไม่ผิดและใช้กันค่อนข้างแพร่หลาย แต่แฟนนิยายจีนทั้งหลายทราบหรือไม่ว่ายังมีอีกวลีที่มีใจความคล้ายคลึงแต่ฟังดู “แมน” มากกว่า? เป็นวลีจากบทกวีจากสมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1271-1368) โดยกวีเอกเกาหมิง ใจความว่า “อั๋วเปิ่นเจียงซินเซี่ยงหมิงเยวี่ย ไน่เหอหมิงเยวี่ยเจ้าโกวฉวี / 我本将心向明月,奈何明月照沟渠" แปลได้ว่า “เดิมข้าฝากใจใฝ่จันทรา แต่จนใจจันทิราทอแสงส่องคูน้ำ” ความเดิมหมายถึงความรักความใส่ใจของพ่อแม่ที่มีต่อลูกแต่ลูกไม่ใยดี แต่กาลเวลาผ่านไปวลีนี้กลับถูกนำมาใช้ในบทประพันธ์หลากหลายจนกลายเป็นคำบรรยายถึงชายที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อหญิงที่ตนรัก แต่หญิงกลับเพิกเฉยไม่ใส่ใจ แต่ไม่ว่าจะเป็นวลีใด Storyฯ รู้สึกว่า บทกวีจีนโบราณมีความโรแมนติกเพราะมักอาศัยคำบรรยายถึงทิวทัศน์ธรรมชาติอันงดงามมาเปรียบเปรย ทีแรกที่อ่านถึงสองวลีนี้ ก็นึกถึงบทกลอนของบ้านเราที่ว่า “รักเขาข้างเดียวเหมือนเกลียวเชือก ต้องนอนกลิ้งนอนเกลือกจนเหงือกแห้ง...” แต่ก็รู้สึกว่าเปรียบเทียบกันตรงๆ ไม่ได้เพราะมันคนละอรรถรสกันเลย เพื่อนเพจว่าไหม? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจาก: https://kknews.cc/culture/5ab4ezk.html http://en.linkeddb.com/movie/59f3095d198c38001385e9ef/ https://dramapearls.com/2019/03/23/princess-agents-chinese-drama-review-episode-guide/ https://dramapanda.com/2016/12/character-posters-for-three-lives-three.html Credit ข้อมูลจาก: https://zhidao.baidu.com/question/539564315.html https://www.guwenxuexi.com/classical/21912.html https://www.163.com/dy/article/EEQV7LO70544511W.html
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ Storyฯ ขอกล่าวถึงสำนวนจีนที่เตะตาเมื่ออ่านถึงบทความด้านล่างในนิยายจีน

    ความมีอยู่ว่า
    ... “เขาไม่กลัวทำให้ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายขุ่นเคือง?” ปันฮว่านึกถึงประเด็นสำคัญ “เขารับราชการมีตำแหน่ง ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะให้เขาใส่รองเท้าเล็กหรือไม่?” ...
    - จากเรื่อง <ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้> ผู้แต่ง เยวี่ยเซี่ยเตี๋ยอิ่ง
    (หมายเหตุ ละครเรื่อง <ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    การ ‘ให้ (ใคร) ใส่รองเท้าเล็ก’ (ชวนเสี่ยวเสีย หรือ 穿小鞋) เพื่อนเพจบางคนอาจเคยอ่านเจอ ความหมายของสำนวนนี้แปลว่า ใช้อำนาจที่มี กลั่นแกล้งหรือสร้างความลำบากให้คนอื่น หรือบีบบังคับคนอื่นให้ฝืนทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ

    แล้วสำนวนนี้มีที่มาอย่างไร?

    เบื้องหลังของสำนวนนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมจีนโบราณ นับแต่สมัยองค์หลี่อวี้แห่งถังใต้ (สมัยห้าราชวงศ์สิบแคว้น ค.ศ. 907-960) พระองค์ทรงมีความนิยมชมชอบสตรีเท้าเล็ก เกิดเป็นต้นฉบับของธรรมเนียมการรัดเท้าสตรี หลายคนเข้าใจว่าสำนวนนี้มาจากการบีบบังคับให้สตรีรัดเท้า

    แต่จริงๆ แล้วเรื่องราวที่กล่าวขานมีที่มาจากประเพณีการแต่งงาน ซึ่งแม่สื่อจะส่งมอบแบบขนาดเท้าของฝ่ายหญิงให้กับฝ่ายชาย หากเล็กสวยงามเป็นที่พอใจก็จะหมั้นหมายกันและฝ่ายเจ้าบ่าวจะตัดเย็บรองเท้าตามแบบขนาดนั้นให้เจ้าสาวไว้ก่อนงานวันแต่งงาน เมื่อถึงวันแต่งงาน เจ้าสาวก็จะต้องสวมใส่รองเท้าที่ฝ่ายเจ้าบ่าวส่งมาให้ ทั้งนี้เพื่อว่าฝ่ายเจ้าบ่าวจะได้ไม่โดนหลอกลวงตบแต่งเจ้าสาวเท้าใหญ่เข้าบ้าน

    มีเรื่องเล่าต่อมาว่า ในสมัยราชวงศ์ซ่ง มีสตรีนามว่าเฉี่ยวอวี้ ถูกแม่เลี้ยงใจร้ายกลั่นแกล้ง ส่งแบบขนาดรองเท้าที่เล็กเกินไปให้กับว่าที่เจ้าบ่าว พอถึงวันแต่งงาน นางพยายามบีบเท้าอย่างไรก็ใส่รองเท้าคู่นั้นไม่ลง จึงรู้สึกอับอายจนแขวนคอตาย แต่ก็มีที่เล่าว่าเฉี่ยวอวี้ไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่ทนบีบเท้าใส่รองเท้าที่เล็กไปจนเท้าบาดเจ็บ ต่อมาบิดานางทราบความจริงก็ทำโทษแม่เลี้ยงใจร้าย จบแบบสวยๆ

    แต่ไม่ว่าเรื่องราวที่แท้จริงจบลงอย่างไร เรื่องของเฉี่ยวอวี้นี้กลายเป็นที่มาของสำนวนที่ว่า ‘ให้ (ใคร) ใส่รองเท้าเล็ก’ สำนวนนี้ยังคงมีการใช้อยู่ในปัจจุบัน มักใช้ในสถานการณ์ที่ผู้ใหญ่ใช้อำนาจกลั่นแกล้งผู้น้อย

    มีเพื่อนเพจท่านใดพอจะทราบไหมคะว่ามีสำนวนไทยที่มีความหมายคล้ายคลึงกันหรือเปล่า Storyฯ นึกไม่ออกจริงๆ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจากภาพโฆษณาละครและหน้าปกหนังสือ:
    http://www.peoplezzs.com/yule/2021/0112/53833.html
    https://readmoo.com/book/210027627000101
    Credit ข้อมูลจาก:
    https://zhidao.baidu.com/question/4655693
    https://kknews.cc/history/8mmrpll.html
    http://xh.5156edu.com/page/z4417m6469j20897.html

    #ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้ #เท้าบัวทอง #ใส่รองเท้าเล็ก #สำนวนจีน #วลีจีน #วัฒนธรรมจีนโบราณ
    วันนี้ Storyฯ ขอกล่าวถึงสำนวนจีนที่เตะตาเมื่ออ่านถึงบทความด้านล่างในนิยายจีน ความมีอยู่ว่า ... “เขาไม่กลัวทำให้ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายขุ่นเคือง?” ปันฮว่านึกถึงประเด็นสำคัญ “เขารับราชการมีตำแหน่ง ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะให้เขาใส่รองเท้าเล็กหรือไม่?” ... - จากเรื่อง <ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้> ผู้แต่ง เยวี่ยเซี่ยเตี๋ยอิ่ง (หมายเหตุ ละครเรื่อง <ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) การ ‘ให้ (ใคร) ใส่รองเท้าเล็ก’ (ชวนเสี่ยวเสีย หรือ 穿小鞋) เพื่อนเพจบางคนอาจเคยอ่านเจอ ความหมายของสำนวนนี้แปลว่า ใช้อำนาจที่มี กลั่นแกล้งหรือสร้างความลำบากให้คนอื่น หรือบีบบังคับคนอื่นให้ฝืนทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ แล้วสำนวนนี้มีที่มาอย่างไร? เบื้องหลังของสำนวนนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมจีนโบราณ นับแต่สมัยองค์หลี่อวี้แห่งถังใต้ (สมัยห้าราชวงศ์สิบแคว้น ค.ศ. 907-960) พระองค์ทรงมีความนิยมชมชอบสตรีเท้าเล็ก เกิดเป็นต้นฉบับของธรรมเนียมการรัดเท้าสตรี หลายคนเข้าใจว่าสำนวนนี้มาจากการบีบบังคับให้สตรีรัดเท้า แต่จริงๆ แล้วเรื่องราวที่กล่าวขานมีที่มาจากประเพณีการแต่งงาน ซึ่งแม่สื่อจะส่งมอบแบบขนาดเท้าของฝ่ายหญิงให้กับฝ่ายชาย หากเล็กสวยงามเป็นที่พอใจก็จะหมั้นหมายกันและฝ่ายเจ้าบ่าวจะตัดเย็บรองเท้าตามแบบขนาดนั้นให้เจ้าสาวไว้ก่อนงานวันแต่งงาน เมื่อถึงวันแต่งงาน เจ้าสาวก็จะต้องสวมใส่รองเท้าที่ฝ่ายเจ้าบ่าวส่งมาให้ ทั้งนี้เพื่อว่าฝ่ายเจ้าบ่าวจะได้ไม่โดนหลอกลวงตบแต่งเจ้าสาวเท้าใหญ่เข้าบ้าน มีเรื่องเล่าต่อมาว่า ในสมัยราชวงศ์ซ่ง มีสตรีนามว่าเฉี่ยวอวี้ ถูกแม่เลี้ยงใจร้ายกลั่นแกล้ง ส่งแบบขนาดรองเท้าที่เล็กเกินไปให้กับว่าที่เจ้าบ่าว พอถึงวันแต่งงาน นางพยายามบีบเท้าอย่างไรก็ใส่รองเท้าคู่นั้นไม่ลง จึงรู้สึกอับอายจนแขวนคอตาย แต่ก็มีที่เล่าว่าเฉี่ยวอวี้ไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่ทนบีบเท้าใส่รองเท้าที่เล็กไปจนเท้าบาดเจ็บ ต่อมาบิดานางทราบความจริงก็ทำโทษแม่เลี้ยงใจร้าย จบแบบสวยๆ แต่ไม่ว่าเรื่องราวที่แท้จริงจบลงอย่างไร เรื่องของเฉี่ยวอวี้นี้กลายเป็นที่มาของสำนวนที่ว่า ‘ให้ (ใคร) ใส่รองเท้าเล็ก’ สำนวนนี้ยังคงมีการใช้อยู่ในปัจจุบัน มักใช้ในสถานการณ์ที่ผู้ใหญ่ใช้อำนาจกลั่นแกล้งผู้น้อย มีเพื่อนเพจท่านใดพอจะทราบไหมคะว่ามีสำนวนไทยที่มีความหมายคล้ายคลึงกันหรือเปล่า Storyฯ นึกไม่ออกจริงๆ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจากภาพโฆษณาละครและหน้าปกหนังสือ: http://www.peoplezzs.com/yule/2021/0112/53833.html https://readmoo.com/book/210027627000101 Credit ข้อมูลจาก: https://zhidao.baidu.com/question/4655693 https://kknews.cc/history/8mmrpll.html http://xh.5156edu.com/page/z4417m6469j20897.html #ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้ #เท้าบัวทอง #ใส่รองเท้าเล็ก #สำนวนจีน #วลีจีน #วัฒนธรรมจีนโบราณ
    《我就是这般女子》“关”方定档1月18日 关晓彤侯明昊甜辣互撩_人民在线
    由企鹅影视、谷元(上海)文化科技共同出品,陈伟祥、杨小波执导,关晓彤、侯明昊等主演,改编自月下蝶影同名小说的古装甜爽轻喜剧《我就是这般女子》正式定档1月18日,关晓彤下场 关方
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • เก่าไปนิด แต่ Storyฯ เพิ่งได้มีโอกาสอ่านนิยายจีนเรื่อง <ตงกง ตำนานรักตำหนักบูรพา> จบไป สะดุดตากับสิ่งที่เรียกว่า ‘เยี่ยจื่อไผ’

    ความมีอยู่ว่า
    ...ปัญหาคือว่าหลี่เฉิงอิ๋นไม่เคยมายามวิกาล ... ดังนั้น เมื่อเขาก้าวเข้ามาในห้อง จึงมีเพียงข้าและอาตู้นั่งอยู่หน้าโต๊ะ กำลังเพลิดเพลินสนุกสนานกับการเล่นเยี่ยจื่อไผ ข้าจับได้ไพ่สวยทั้งมือ...
    จากเรื่อง <ตงกง ตำนานตำหนักบูรพา> ผู้แต่ง เฟยอั่วซือฉุน
    (หมายเหตุ ชื่อเรื่องใช้ตามชื่อละครที่สร้างมาจากนิยายเรื่องนี้)

    ‘เยี่ยจื่อไผ’ ที่กล่าวถึงข้างต้น ในละครจะเห็นว่ามันคือไพ่ที่ทำจากไม้ พอพูดถึงเรื่องไพ่ แม้แต่ฝรั่งยังบันทึกไว้ว่าไพ่ถือกำเนิดมาจากจีนโบราณ และเนื่องด้วยวิธีการเล่นไพ่แตกแขนงไปมากมาย การรวบรวมข้อมูลนั้นไม่ง่าย

    Storyฯ พอจะเรียบเรียงได้ว่า เยี่ยจื่อไผเดิมคือ ‘เยี่ยจื่อซี่’ (เกมใบไม้ หรือ 叶子戏 หรือที่มีฝรั่งไปเขียนถึงว่า Leaf Game) เป็นการละเล่นที่เริ่มขึ้นในยุคสมัยปลายราชวงศ์ถัง เป็นที่นิยมในวังและในกลุ่มนักวิชาการไว้เล่นยามสังสรรค์ ใน <บันทึกแห่งองค์หญิงถงชาง> ในสมัยราชวงศ์ถัง เคยบันทึกไว้ว่าองค์หญิงถงชาง (พระราชธิดาในฮ่องเต้อี้จง) ทรงโปรดปรานเกมนี้ถึงขนาดใช้ของล้ำค่าหายากอย่างไข่มุกราตรีมาให้แสงสว่างเพื่อจะได้เล่นจนดึกดื่น จากข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ฟากตะวันตก ว่ากันว่าเยี่ยจื่อซี่เดิมเป็นเกมทอยลูกเต๋าขนาดใหญ่ ต่อมาจึงนำมาวาดลงเป็นไม้แผ่นเล็กเพื่อสะดวกในการพกพายามเดินทาง เรียกว่าเยี่ยจื่อไผ ต่อมาจึงพัฒนาเป็นใช้กระดาษ มีการเขียนกำหนดกติกาการเล่นชัดเจนเป็นบันทึกเรียกว่า ‘เยี่ยจื่อเก๋อ’

    เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป กฎกติกาการเล่นก็พัฒนามากขึ้นไปหลากหลายจวบจนถึงยุคสมัยราชวงศ์ชิงจึง ‘นิ่ง’ หรือ ‘เข้าที่’

    แต่กว่าจะถึงวันนั้น ลวดลายของไพ่มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย จากเดิมเป็นเพียงตัวเลขจากเล็กไปใหญ่แบบที่เห็นในรูปที่เป็นป้ายไม้จากละคร (ไพ่เบอร์ใหญ่ชนะไพ่เบอร์เล็ก) ก็มีการใช้ชุดตัวเลขหลักหมื่น (ตามรูปไพ่กระดาษที่มีลวดลายหน้าคน) ต่อมามีการเพิ่มเป็นชุดเรียงจำนวนเงินจากครึ่งอีแปะไปเป็นเก้าเฉียน (เข้าใจว่าหนึ่งเฉียนคือหนึ่งร้อยอีแปะ) เป็นต้น

    นอกจากตัวเลขที่เปลี่ยนไปยังมีการวาดลวดลายเพิ่มเติม เช่น ในยุคสมัยราชวงศ์หมิงมีการนิยมเอาตัวละครจากบทประพันธ์ชื่อดังมาวาดเป็นลายไพ่ อย่างตัวละครจากเรื่อง <ซ้องกั๋ง> เป็นต้น ว่ากันว่าลวดลายเหล่านี้เป็นต้นแบบของหน้าไพ่แจ็คเกอร์ของไพ่ป๊อก

    นอกจากนี้ยังมีการคงไว้ซึ่งรูปแบบของการใช้ไม้หรือวัสดุอื่น เป็นที่มาของไพ่โดมิโน (Domino Tiles) อันเป็นต้นแบบของ Mahjong หรือไพ่นกกระจอกนั่นเอง

    Storyฯ ไม่สันทัดการเล่นไพ่ ไม่เข้าใจกติกาของไพ่ประเภทต่างๆ อาจอธิบายไม่ได้ดีนัก ลองทำการบ้านเพิ่มดู เห็นในเว็บสามเกลอมีการคุยเรื่องไพ่ผ่องของไทยเปรียบเทียบกับไพ่จีนไว้ตามนี้ เพื่อนเพจที่สนใจลองอ่านดูนะคะ http://www.samgler.org/archives/card3.htm

    ยังมีละครจีนอีกหลายเรื่องที่พูดถึงเยี่ยจื่อไผ เพื่อนเพจพอจะจำกันได้บ้างไหม?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ ติดตามได้ที่ @StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://dramapanda.com/2018/12/goodbye-my-princess-2018.html
    http://www.chinawenhua.com.cn/zyanjiu/2018/4894.html
    Credit ข้อมูลจาก:
    https://theplayingcardfactory.com/history
    https://www.parlettgames.uk/histocs/leafgame.html
    http://www.qulishi.com/article/202010/448890.html
    https://zh.wikipedia.org/wiki/%E8%91%89%E5%AD%90%E6%88%B2

    #ตงกง #ไพ่จีน #วัฒนธรรมจีนโบราณ StoryfromStory
    เก่าไปนิด แต่ Storyฯ เพิ่งได้มีโอกาสอ่านนิยายจีนเรื่อง <ตงกง ตำนานรักตำหนักบูรพา> จบไป สะดุดตากับสิ่งที่เรียกว่า ‘เยี่ยจื่อไผ’ ความมีอยู่ว่า ...ปัญหาคือว่าหลี่เฉิงอิ๋นไม่เคยมายามวิกาล ... ดังนั้น เมื่อเขาก้าวเข้ามาในห้อง จึงมีเพียงข้าและอาตู้นั่งอยู่หน้าโต๊ะ กำลังเพลิดเพลินสนุกสนานกับการเล่นเยี่ยจื่อไผ ข้าจับได้ไพ่สวยทั้งมือ... จากเรื่อง <ตงกง ตำนานตำหนักบูรพา> ผู้แต่ง เฟยอั่วซือฉุน (หมายเหตุ ชื่อเรื่องใช้ตามชื่อละครที่สร้างมาจากนิยายเรื่องนี้) ‘เยี่ยจื่อไผ’ ที่กล่าวถึงข้างต้น ในละครจะเห็นว่ามันคือไพ่ที่ทำจากไม้ พอพูดถึงเรื่องไพ่ แม้แต่ฝรั่งยังบันทึกไว้ว่าไพ่ถือกำเนิดมาจากจีนโบราณ และเนื่องด้วยวิธีการเล่นไพ่แตกแขนงไปมากมาย การรวบรวมข้อมูลนั้นไม่ง่าย Storyฯ พอจะเรียบเรียงได้ว่า เยี่ยจื่อไผเดิมคือ ‘เยี่ยจื่อซี่’ (เกมใบไม้ หรือ 叶子戏 หรือที่มีฝรั่งไปเขียนถึงว่า Leaf Game) เป็นการละเล่นที่เริ่มขึ้นในยุคสมัยปลายราชวงศ์ถัง เป็นที่นิยมในวังและในกลุ่มนักวิชาการไว้เล่นยามสังสรรค์ ใน <บันทึกแห่งองค์หญิงถงชาง> ในสมัยราชวงศ์ถัง เคยบันทึกไว้ว่าองค์หญิงถงชาง (พระราชธิดาในฮ่องเต้อี้จง) ทรงโปรดปรานเกมนี้ถึงขนาดใช้ของล้ำค่าหายากอย่างไข่มุกราตรีมาให้แสงสว่างเพื่อจะได้เล่นจนดึกดื่น จากข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ฟากตะวันตก ว่ากันว่าเยี่ยจื่อซี่เดิมเป็นเกมทอยลูกเต๋าขนาดใหญ่ ต่อมาจึงนำมาวาดลงเป็นไม้แผ่นเล็กเพื่อสะดวกในการพกพายามเดินทาง เรียกว่าเยี่ยจื่อไผ ต่อมาจึงพัฒนาเป็นใช้กระดาษ มีการเขียนกำหนดกติกาการเล่นชัดเจนเป็นบันทึกเรียกว่า ‘เยี่ยจื่อเก๋อ’ เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป กฎกติกาการเล่นก็พัฒนามากขึ้นไปหลากหลายจวบจนถึงยุคสมัยราชวงศ์ชิงจึง ‘นิ่ง’ หรือ ‘เข้าที่’ แต่กว่าจะถึงวันนั้น ลวดลายของไพ่มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย จากเดิมเป็นเพียงตัวเลขจากเล็กไปใหญ่แบบที่เห็นในรูปที่เป็นป้ายไม้จากละคร (ไพ่เบอร์ใหญ่ชนะไพ่เบอร์เล็ก) ก็มีการใช้ชุดตัวเลขหลักหมื่น (ตามรูปไพ่กระดาษที่มีลวดลายหน้าคน) ต่อมามีการเพิ่มเป็นชุดเรียงจำนวนเงินจากครึ่งอีแปะไปเป็นเก้าเฉียน (เข้าใจว่าหนึ่งเฉียนคือหนึ่งร้อยอีแปะ) เป็นต้น นอกจากตัวเลขที่เปลี่ยนไปยังมีการวาดลวดลายเพิ่มเติม เช่น ในยุคสมัยราชวงศ์หมิงมีการนิยมเอาตัวละครจากบทประพันธ์ชื่อดังมาวาดเป็นลายไพ่ อย่างตัวละครจากเรื่อง <ซ้องกั๋ง> เป็นต้น ว่ากันว่าลวดลายเหล่านี้เป็นต้นแบบของหน้าไพ่แจ็คเกอร์ของไพ่ป๊อก นอกจากนี้ยังมีการคงไว้ซึ่งรูปแบบของการใช้ไม้หรือวัสดุอื่น เป็นที่มาของไพ่โดมิโน (Domino Tiles) อันเป็นต้นแบบของ Mahjong หรือไพ่นกกระจอกนั่นเอง Storyฯ ไม่สันทัดการเล่นไพ่ ไม่เข้าใจกติกาของไพ่ประเภทต่างๆ อาจอธิบายไม่ได้ดีนัก ลองทำการบ้านเพิ่มดู เห็นในเว็บสามเกลอมีการคุยเรื่องไพ่ผ่องของไทยเปรียบเทียบกับไพ่จีนไว้ตามนี้ เพื่อนเพจที่สนใจลองอ่านดูนะคะ http://www.samgler.org/archives/card3.htm ยังมีละครจีนอีกหลายเรื่องที่พูดถึงเยี่ยจื่อไผ เพื่อนเพจพอจะจำกันได้บ้างไหม? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ ติดตามได้ที่ @StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://dramapanda.com/2018/12/goodbye-my-princess-2018.html http://www.chinawenhua.com.cn/zyanjiu/2018/4894.html Credit ข้อมูลจาก: https://theplayingcardfactory.com/history https://www.parlettgames.uk/histocs/leafgame.html http://www.qulishi.com/article/202010/448890.html https://zh.wikipedia.org/wiki/%E8%91%89%E5%AD%90%E6%88%B2 #ตงกง #ไพ่จีน #วัฒนธรรมจีนโบราณ StoryfromStory
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • **ชื่อเรื่อง <ปรปักษ์จำนน> กับวลีจีนโบราณ**

    สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันเรื่องชื่อนิยายและซีรีส์ <ปรปักษ์จำนน> ที่ Storyฯ รู้สึกว่าชื่อไทยแปลได้อรรถรสของชื่อจีนดีมาก

    ชื่อจีนของเรื่องนี้คือ ‘เจ๋อเยา’ (折腰) แปลตรงตัวว่าหักเอว ซึ่งมาจากการโค้งคำนับต่ำมากเพื่อแสดงถึงความเคารพอย่างยิ่งยวด แต่คำว่า ‘เจ๋อเยา’ ไม่ได้เป็นชื่อเรียกท่าโค้งคำนับ หากแต่มีความหมายว่ายอมจำนนหรือยอมสยบต่ออำนาจหรืออิทธิพลที่เหนือกว่า และมันมีที่มาจากวลีจีนโบราณ ‘ไม่ยอมสยบ (หักเอว) เพื่อข้าวสารห้าโต่ว’

    วลีนี้ปรากฏอยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์จิ้น (晋书) ส่วนที่บันทึกเรื่องราวบุคคลสำคัญในบรรพที่ชื่อว่า ‘เถาเฉียนจ้วน’ (陶潜传 / ตำนานเถาเฉียน) และเจ้าของวลีคือเถายวนหมิง หรืออีกชื่อหนึ่งว่า เถาเฉียน เขาเป็นกวีและนักประพันธ์ชื่อดังในสมัยจิ้นตะวันออก (ค.ศ. 317-420) มีผลงานเลื่องชื่อมากมาย เช่น วรรณกรรมเรื่อง ‘บันทึกดินแดนดอกท้อ’ เกี่ยวกับดินแดนดอกท้ออันเป็นตัวแทนของดินแดนหรือสังคมในอุดมคติหรือที่ฝรั่งเรียกว่า Utopia ที่มนุษย์แสวงหา (หมายเหตุ Storyฯ เคยเขียนถึงแล้ว ย้อนอ่านได้ที่ลิ้งค์ใต้บทความ)

    เถายวนหมิงมีพื้นเพมาจากตระกูลขุนนางเก่าซึ่งมีฐานะค่อนข้างดี ปู่ทวดเป็นมหาเสนาบดีกลาโหม ปู่เป็นผู้ว่าราชการมณฑล เขาจึงได้รับการศึกษาอย่างดีมาแต่เด็ก ต่อมาฐานะครอบครัวตกต่ำลงจนถึงขั้นยากจนหลังจากบิดาเสียชีวิตไปเมื่อเขาอายุได้แปดขวบ แต่เขาก็ยังหมั่นเพียรขยันศึกษาจนต่อมาได้รับอิทธิพลทางความคิดจากลัทธิเต๋า

    ในช่วงอายุ 29 – 40 ปี เถายวนหมิงเคยเข้ารับราชการเพื่อหาเลี้ยงชีพแต่ก็ต้องลาออกเพราะไม่ชอบการพินอบพิเทาเจ้านายและไม่ชอบการแก่งแย่งชิงดีทางการเมือง แต่แล้วก็เข้ารับราชการใหม่ เป็นเช่นนี้หลายครั้งครา ทั้งนี้เพราะเขามีใจใฝ่ความสงบของธรรมชาติ รักมัธยัสถ์ ไม่ชอบการแก่งแย่งชิงดี ต่อมาจึงตัดสินใจลาออกจากราชการอย่างถาวรและหันไปทำไร่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่ก็สุขใจสามารถร่ำสุราแต่งกลอนตามใจอยากและได้สร้างผลงานวรรณกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยผลงานของเขาล้วนแฝงด้วยจิตวิญญาณของธรรมชาติ ความเรียบง่าย และพลังแห่งชีวิต และต่อมาเถายวนหมิงได้ถูกยกย่องเป็นต้นแบบของการละทิ้งลาภยศชื่อเสียงและการใช้ชีวิตอย่างสมถะตามหลักปรัชญาแห่งเต๋า

    วลี ‘ไม่ยอมสยบ (หักเอว) เพื่อข้าวสารห้าโต่ว’ นี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเถายวนหมิงอายุสี่สิบปี เข้ารับราชการในตำแหน่งผู้ว่าการเขตเผิงเจ๋อ (ตั้งอยู่ทางเหนือของมณฑลเจียงซี) อยู่มาวันหนึ่งมีผู้ตรวจการมาตรวจงาน เสมียนหลวงบอกเขาว่าควรแต่งตัวให้เรียบร้อยอย่างเป็นทางการไปต้อนรับผู้ตรวจการ เขาถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายและกล่าววลีนี้ออกมา และเมื่อกล่าวเสร็จเขาก็ยื่นใบลาออกหลังจากรับราชการมาได้เพียงแปดสิบเอ็ดวัน และหลังจากนั้นก็ไม่เข้ารับราชการอีกเลย

    แล้วทำไมต้อง ‘ข้าวสารห้าโต่ว’ ?

    ประเด็นนี้มีการตีความกันหลากหลาย แต่โดยส่วนใหญ่จะตีความว่า ข้าวสารห้าโต่วคือค่าจ้างของขุนนางระดับผู้ว่าการเขตในสมัยนั้น (หนึ่งโต่วในสมัยนั้นคือประมาณเจ็ดลิตร) ซึ่งฟังดูน้อยนิดเมื่อคำนวณเทียบกับบันทึกโบราณว่าด้วยเงินเดือนข้าราชการ บ้างก็ว่าเป็นเงินเดือนแต่ยังไม่รวมค่าตอบแทนอื่น เช่นผ้าไหม บ้างก็ว่าคิดได้เป็นค่าจ้างรายวันเท่านั้น บ้างก็ว่าเป็นปริมาณข้าวสารที่พอเพียงสำหรับหนึ่งคนในหนึ่งเดือน

    แต่ไม่ว่า ‘ข้าวสารห้าโต่ว’ จะมีความหมายที่แท้จริงอย่างไร เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกไว้และกล่าวถึงอย่างยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการละทิ้งยศศักดิ์ และวลีนี้ได้กลายมาเป็นสำนวนจีนที่ถูกใช้ผ่านกาลเวลาหลายยุคสมัยเพื่อแปลว่า ไม่ยอมละทิ้งจิตวิญญาณของตนเพื่อยอมสยบให้กับอำนาจหรืออิทธิพล

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    บทความเก่า:
    ดินแดนดอกท้อ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/525898876205076

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.yangtse.com/news/wy/202506/t20250603_215987.html
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_2197713
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/陶渊明/53944
    https://baike.baidu.com/item/陶潜传/75756
    https://k.sina.cn/article_5044281310_12ca99fde020004fcq.html

    #ปรปักษ์จำนน #เจ๋อเยา #เถาเฉียน #เถายวนหมิง #สาระจีน
    **ชื่อเรื่อง <ปรปักษ์จำนน> กับวลีจีนโบราณ** สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันเรื่องชื่อนิยายและซีรีส์ <ปรปักษ์จำนน> ที่ Storyฯ รู้สึกว่าชื่อไทยแปลได้อรรถรสของชื่อจีนดีมาก ชื่อจีนของเรื่องนี้คือ ‘เจ๋อเยา’ (折腰) แปลตรงตัวว่าหักเอว ซึ่งมาจากการโค้งคำนับต่ำมากเพื่อแสดงถึงความเคารพอย่างยิ่งยวด แต่คำว่า ‘เจ๋อเยา’ ไม่ได้เป็นชื่อเรียกท่าโค้งคำนับ หากแต่มีความหมายว่ายอมจำนนหรือยอมสยบต่ออำนาจหรืออิทธิพลที่เหนือกว่า และมันมีที่มาจากวลีจีนโบราณ ‘ไม่ยอมสยบ (หักเอว) เพื่อข้าวสารห้าโต่ว’ วลีนี้ปรากฏอยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์จิ้น (晋书) ส่วนที่บันทึกเรื่องราวบุคคลสำคัญในบรรพที่ชื่อว่า ‘เถาเฉียนจ้วน’ (陶潜传 / ตำนานเถาเฉียน) และเจ้าของวลีคือเถายวนหมิง หรืออีกชื่อหนึ่งว่า เถาเฉียน เขาเป็นกวีและนักประพันธ์ชื่อดังในสมัยจิ้นตะวันออก (ค.ศ. 317-420) มีผลงานเลื่องชื่อมากมาย เช่น วรรณกรรมเรื่อง ‘บันทึกดินแดนดอกท้อ’ เกี่ยวกับดินแดนดอกท้ออันเป็นตัวแทนของดินแดนหรือสังคมในอุดมคติหรือที่ฝรั่งเรียกว่า Utopia ที่มนุษย์แสวงหา (หมายเหตุ Storyฯ เคยเขียนถึงแล้ว ย้อนอ่านได้ที่ลิ้งค์ใต้บทความ) เถายวนหมิงมีพื้นเพมาจากตระกูลขุนนางเก่าซึ่งมีฐานะค่อนข้างดี ปู่ทวดเป็นมหาเสนาบดีกลาโหม ปู่เป็นผู้ว่าราชการมณฑล เขาจึงได้รับการศึกษาอย่างดีมาแต่เด็ก ต่อมาฐานะครอบครัวตกต่ำลงจนถึงขั้นยากจนหลังจากบิดาเสียชีวิตไปเมื่อเขาอายุได้แปดขวบ แต่เขาก็ยังหมั่นเพียรขยันศึกษาจนต่อมาได้รับอิทธิพลทางความคิดจากลัทธิเต๋า ในช่วงอายุ 29 – 40 ปี เถายวนหมิงเคยเข้ารับราชการเพื่อหาเลี้ยงชีพแต่ก็ต้องลาออกเพราะไม่ชอบการพินอบพิเทาเจ้านายและไม่ชอบการแก่งแย่งชิงดีทางการเมือง แต่แล้วก็เข้ารับราชการใหม่ เป็นเช่นนี้หลายครั้งครา ทั้งนี้เพราะเขามีใจใฝ่ความสงบของธรรมชาติ รักมัธยัสถ์ ไม่ชอบการแก่งแย่งชิงดี ต่อมาจึงตัดสินใจลาออกจากราชการอย่างถาวรและหันไปทำไร่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่ก็สุขใจสามารถร่ำสุราแต่งกลอนตามใจอยากและได้สร้างผลงานวรรณกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยผลงานของเขาล้วนแฝงด้วยจิตวิญญาณของธรรมชาติ ความเรียบง่าย และพลังแห่งชีวิต และต่อมาเถายวนหมิงได้ถูกยกย่องเป็นต้นแบบของการละทิ้งลาภยศชื่อเสียงและการใช้ชีวิตอย่างสมถะตามหลักปรัชญาแห่งเต๋า วลี ‘ไม่ยอมสยบ (หักเอว) เพื่อข้าวสารห้าโต่ว’ นี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเถายวนหมิงอายุสี่สิบปี เข้ารับราชการในตำแหน่งผู้ว่าการเขตเผิงเจ๋อ (ตั้งอยู่ทางเหนือของมณฑลเจียงซี) อยู่มาวันหนึ่งมีผู้ตรวจการมาตรวจงาน เสมียนหลวงบอกเขาว่าควรแต่งตัวให้เรียบร้อยอย่างเป็นทางการไปต้อนรับผู้ตรวจการ เขาถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายและกล่าววลีนี้ออกมา และเมื่อกล่าวเสร็จเขาก็ยื่นใบลาออกหลังจากรับราชการมาได้เพียงแปดสิบเอ็ดวัน และหลังจากนั้นก็ไม่เข้ารับราชการอีกเลย แล้วทำไมต้อง ‘ข้าวสารห้าโต่ว’ ? ประเด็นนี้มีการตีความกันหลากหลาย แต่โดยส่วนใหญ่จะตีความว่า ข้าวสารห้าโต่วคือค่าจ้างของขุนนางระดับผู้ว่าการเขตในสมัยนั้น (หนึ่งโต่วในสมัยนั้นคือประมาณเจ็ดลิตร) ซึ่งฟังดูน้อยนิดเมื่อคำนวณเทียบกับบันทึกโบราณว่าด้วยเงินเดือนข้าราชการ บ้างก็ว่าเป็นเงินเดือนแต่ยังไม่รวมค่าตอบแทนอื่น เช่นผ้าไหม บ้างก็ว่าคิดได้เป็นค่าจ้างรายวันเท่านั้น บ้างก็ว่าเป็นปริมาณข้าวสารที่พอเพียงสำหรับหนึ่งคนในหนึ่งเดือน แต่ไม่ว่า ‘ข้าวสารห้าโต่ว’ จะมีความหมายที่แท้จริงอย่างไร เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกไว้และกล่าวถึงอย่างยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการละทิ้งยศศักดิ์ และวลีนี้ได้กลายมาเป็นสำนวนจีนที่ถูกใช้ผ่านกาลเวลาหลายยุคสมัยเพื่อแปลว่า ไม่ยอมละทิ้งจิตวิญญาณของตนเพื่อยอมสยบให้กับอำนาจหรืออิทธิพล (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) บทความเก่า: ดินแดนดอกท้อ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/525898876205076 Credit รูปภาพจาก: https://www.yangtse.com/news/wy/202506/t20250603_215987.html https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_2197713 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/陶渊明/53944 https://baike.baidu.com/item/陶潜传/75756 https://k.sina.cn/article_5044281310_12ca99fde020004fcq.html #ปรปักษ์จำนน #เจ๋อเยา #เถาเฉียน #เถายวนหมิง #สาระจีน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว
  • Storyฯ เพิ่งดูละครเรื่อง <สตรีหาญ ฉางเกอ> ตอนที่หนึ่งเปิดตัวพระนางด้วยการแข่งขันอันเร้าใจของเกมกีฬาที่เรียกว่า ‘ชู่จวี’ (蹴鞠 หรือที่ BBC เขาเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Kickball) เป็นศัพท์จีนที่จำตัวเขียนได้ยากมาก ไปทำการบ้านมาจึงพบว่าในเว็บจีนต่างพูดถึงเกมชู่จวีนี้ว่าเป็นต้นกำเนิดของฟุตบอล

    แต่เนื่องจากเพื่อนชาวอังกฤษของ Storyฯ พูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าฟุตบอลเป็นกีฬาของอังกฤษ Storyฯ จึงต้องไปหาข้อมูลเพิ่ม ปรากฏว่านาย Kevin Moore ผู้อำนวยการของ National Football Museum แห่งอังกฤษกล่าวไว้หลายปีแล้วดังนี้ค่ะ “While England is the birthplace of the modern game as we know it, we have always acknowledged that the origins of the game lie in China” ซึ่งหมายความว่า วิธีการเล่น/แข่งฟุตบอลในรูปแบบปัจจุบันนั้นถือกำเนิดจากอังกฤษก็จริง แต่ฟุตบอลมีรากฐานมาจากจีน

    กลับมาที่ชู่จวีกันดีกว่า

    ความ ‘เอ๊ะ’ เกิดขึ้นเมื่อเห็นในละครเรื่อง <สตรีหาญ ฉางเกอ> ที่รูปร่างหน้าตาของ ‘บอล’ มันเหมือนตะกร้อมากเลย คือดูจะเป็นหวายสาน (ตามรูปขวาบนจากในละคร) แต่ Storyฯ เคยเห็นในละครเรื่องอื่นดูวัสดุคล้ายผ้าก็มี ก็เลยต้องไปทำการบ้านอีก

    เลยมีรูปจากพิพิธภัณฑ์กีฬาส่านซีมาฝาก (รูปขวาล่าง) เป็นรูปของลูกบอลที่ใช้ในสมัยราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล – ปีค.ศ. 220, คือลูกซ้าย) และราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907, คือลูกขวา) สังเกตได้ว่าการตัดเย็บไม่เหมือนกัน แต่สรุปว่าทั้งคู่ทำมาจากหนังนะจ๊ะ ส่วนไส้ในนั้นจะเป็นขนเป็ดขนไก่

    ในสมัยราชวงศ์ฮั่น การเล่นชู่จวีสามารถเล่นแบบโชว์เดี่ยว เป็นการแสดงทักษะและลีลาของผู้เล่น ต่อมาในสมัยราชวงศ์ถังจึงมีการเล่นแข่งเป็นทีม ซึ่งวิธีเล่นโดยหลักคือแข่งกันเตะลูกเข้าโกล โกลเป็นห่วงทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งฟุต ตั้งอยู่ตรงกลางสนาม เรียกว่า เฟิงหลิวเหยี่ยน (Eye of the Flowing Wind) สูงเหนือพื้นประมาณสิบเมตร มีเอกสารทางประวัติศาสตร์จากสมัยราชวงศ์ซ่งไม่น้อยที่บรรยายถึงกฎกติกาการเล่นชู่จวีอย่างชัดเจน

    ชู่จวีเป็นกิจกรรมกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น แต่ว่ากันว่ายุคเฟื่องฟูของมันจริงๆ คือสมัยราชวงศ์ถัง-ซ่ง เพราะงานเลี้ยงในวังหรืองานเลี้ยงฉลองต้อนรับทูตสัมพันธไมตรีจากแคว้นต่างๆ มักจัดให้มีการเล่นชู่จวี นอกจากนี้ยังมีการเล่นกันอย่างแพร่หลายในสังคมเมืองใหญ่อีกด้วย ผู้เล่นเดิมเป็นลูกหลานตระกูลผู้ดี เป็นผู้หญิงก็เล่นได้ (ในสมัยราชวงศ์ถัง) ต่อมาจึงมีนักเล่นมืออาชีพมาร่วมทีมด้วย แต่เมื่อผ่านยุคสมัยราชวงศ์ซ่งก็ค่อยๆ คลายความนิยมลง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ ติดตามได้ที่ @StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://mydramalist.com/photos/eN5EY_3
    https://14th.xiancn.com/2021-04/22/content_6220692.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.bbc.com/news/magazine-35409594
    https://14th.xiancn.com/2021-04/22/content_6220692.html
    https://www.epochtimes.com/gb/16/6/18/n8010456.htm
    http://view.inews.qq.com/a/20200915A0HSBN00?tbkt=B3&uid=

    #สตรีหาญฉางเกอ #ชู่จวี #ราชวงศ์ถัง #วัฒนธรรมจีนโบราณ StoryfromStory
    Storyฯ เพิ่งดูละครเรื่อง <สตรีหาญ ฉางเกอ> ตอนที่หนึ่งเปิดตัวพระนางด้วยการแข่งขันอันเร้าใจของเกมกีฬาที่เรียกว่า ‘ชู่จวี’ (蹴鞠 หรือที่ BBC เขาเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Kickball) เป็นศัพท์จีนที่จำตัวเขียนได้ยากมาก ไปทำการบ้านมาจึงพบว่าในเว็บจีนต่างพูดถึงเกมชู่จวีนี้ว่าเป็นต้นกำเนิดของฟุตบอล แต่เนื่องจากเพื่อนชาวอังกฤษของ Storyฯ พูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าฟุตบอลเป็นกีฬาของอังกฤษ Storyฯ จึงต้องไปหาข้อมูลเพิ่ม ปรากฏว่านาย Kevin Moore ผู้อำนวยการของ National Football Museum แห่งอังกฤษกล่าวไว้หลายปีแล้วดังนี้ค่ะ “While England is the birthplace of the modern game as we know it, we have always acknowledged that the origins of the game lie in China” ซึ่งหมายความว่า วิธีการเล่น/แข่งฟุตบอลในรูปแบบปัจจุบันนั้นถือกำเนิดจากอังกฤษก็จริง แต่ฟุตบอลมีรากฐานมาจากจีน กลับมาที่ชู่จวีกันดีกว่า ความ ‘เอ๊ะ’ เกิดขึ้นเมื่อเห็นในละครเรื่อง <สตรีหาญ ฉางเกอ> ที่รูปร่างหน้าตาของ ‘บอล’ มันเหมือนตะกร้อมากเลย คือดูจะเป็นหวายสาน (ตามรูปขวาบนจากในละคร) แต่ Storyฯ เคยเห็นในละครเรื่องอื่นดูวัสดุคล้ายผ้าก็มี ก็เลยต้องไปทำการบ้านอีก เลยมีรูปจากพิพิธภัณฑ์กีฬาส่านซีมาฝาก (รูปขวาล่าง) เป็นรูปของลูกบอลที่ใช้ในสมัยราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล – ปีค.ศ. 220, คือลูกซ้าย) และราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907, คือลูกขวา) สังเกตได้ว่าการตัดเย็บไม่เหมือนกัน แต่สรุปว่าทั้งคู่ทำมาจากหนังนะจ๊ะ ส่วนไส้ในนั้นจะเป็นขนเป็ดขนไก่ ในสมัยราชวงศ์ฮั่น การเล่นชู่จวีสามารถเล่นแบบโชว์เดี่ยว เป็นการแสดงทักษะและลีลาของผู้เล่น ต่อมาในสมัยราชวงศ์ถังจึงมีการเล่นแข่งเป็นทีม ซึ่งวิธีเล่นโดยหลักคือแข่งกันเตะลูกเข้าโกล โกลเป็นห่วงทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งฟุต ตั้งอยู่ตรงกลางสนาม เรียกว่า เฟิงหลิวเหยี่ยน (Eye of the Flowing Wind) สูงเหนือพื้นประมาณสิบเมตร มีเอกสารทางประวัติศาสตร์จากสมัยราชวงศ์ซ่งไม่น้อยที่บรรยายถึงกฎกติกาการเล่นชู่จวีอย่างชัดเจน ชู่จวีเป็นกิจกรรมกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น แต่ว่ากันว่ายุคเฟื่องฟูของมันจริงๆ คือสมัยราชวงศ์ถัง-ซ่ง เพราะงานเลี้ยงในวังหรืองานเลี้ยงฉลองต้อนรับทูตสัมพันธไมตรีจากแคว้นต่างๆ มักจัดให้มีการเล่นชู่จวี นอกจากนี้ยังมีการเล่นกันอย่างแพร่หลายในสังคมเมืองใหญ่อีกด้วย ผู้เล่นเดิมเป็นลูกหลานตระกูลผู้ดี เป็นผู้หญิงก็เล่นได้ (ในสมัยราชวงศ์ถัง) ต่อมาจึงมีนักเล่นมืออาชีพมาร่วมทีมด้วย แต่เมื่อผ่านยุคสมัยราชวงศ์ซ่งก็ค่อยๆ คลายความนิยมลง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ ติดตามได้ที่ @StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://mydramalist.com/photos/eN5EY_3 https://14th.xiancn.com/2021-04/22/content_6220692.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.bbc.com/news/magazine-35409594 https://14th.xiancn.com/2021-04/22/content_6220692.html https://www.epochtimes.com/gb/16/6/18/n8010456.htm http://view.inews.qq.com/a/20200915A0HSBN00?tbkt=B3&uid= #สตรีหาญฉางเกอ #ชู่จวี #ราชวงศ์ถัง #วัฒนธรรมจีนโบราณ StoryfromStory
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว
  • แฟนคลับละครจีนย้อนยุคกำลังภายในจะเห็นว่ามียาผงชนิดหนึ่งที่ตัวละครส่วนใหญ่มีพกติดตัวไว้โรยแผล เพื่อนเพจสงสัยกันบ้างหรือไม่ มันคือยาอะไร? ทำไมมีแผลอะไรก็เอาออกมาโรย? ไม่แน่ใจว่านิยายจีนฉบับแปลไทยมีชื่อเรียกยานี้หรือไม่ แต่ฉบับภาษาจีนจะเรียกยานี้ว่า จินชวงเย่า (金疮药)

    ความมีอยู่ว่า
    ... “ท่านหัวหน้ากองเฉิง ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” จินเซี่ยถาม
    “ไม่เป็นไร ได้ยินมาว่าท่านมือปราบหยวนได้รับบาดเจ็บ นี้คือยาจินชวงเย่าที่ในวังทำขึ้นเพื่อหน่วยองครักษ์โดยเฉพาะ ดีกว่าข้างนอก ทาแล้วแผลจะสมานได้สมบูรณ์” เฉิงฝูกล่าวพลางวางขวดยาไว้บนโต๊ะ....

    - ถอดบทสนทนาจากละครเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร>

    จินชวงเย่าเป็นผงยาที่ใช้สำหรับบาดแผล มีสรรพคุณห้ามเลือด แก้อักเสบและสมานแผล สูตรยาอาจมีส่วนผสมแตกต่างกันไป แต่เรียกโดยรวมว่าจินชวงเย่า และจินชวงเย่าที่มีชื่อที่สุดในสมัยราชวงศ์ชิง เพราะว่ากันว่าระงับเลือดได้ชะงัดทันใจที่สุด มีชื่อเรียกว่า “เตาเจียนเย่า” (刀尖药)

    จินชวงเย่ามีตัวยาที่สำคัญมากคือ “หลงกู่” (龙骨 แปลว่ากระดูกมังกร) แต่มันไม่ใช่กระดูกของมังกรจริงๆ “หลงกู่” เป็นการเรียกรวมซากกระดูกโบราณที่ขุดพบ เช่นกระดองเต่า กระดูกวัว เป็นต้น (ดูภาพประกอบขวาล่าง) ว่ากันว่า ตอนที่ค้นพบซากกระดูกโบราณเหล่านี้ คนที่ค้นพบพยายามใช้มีดขูดลวดลายบนกระดูกออกด้วยความสงสัย แต่โดนมีดบาดมือ แต่ผงที่ขูดออกจากซากกระดูกกลับทำให้เลือดหยุดไหลได้ทันที จึงเอากระดูกเหล่านี้ไปขายให้ร้านยา จึงเป็นที่มาของการค้นพบว่าผงของหลงกู่บดละเอียดคือตัวยาสำคัญที่มีสรรพคุณห้ามเลือดและลดการอักเสบของจินชวงเย่านั่นเอง

    ประวัติของจินชวงเย่ามีมานานตั้งแต่เมื่อใด Storyฯ ก็หาข้อมูลไม่พบ แต่ที่แน่ๆ คือมีบันทึกถึงจินชวงเย่าไว้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960–1279) และใช้กันอย่างแพร่หลายในสมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1636-1912) สาเหตุที่ใช้กันมากในสมัยราชวงศ์ชิงนั้น เป็นเพราะในสมัยชิงต้องมีการโกนหัวจึงมักมีบาดแผลจากมีดโกน จินชวงเย่าจึงกลายเป็นยาสามัญประจำบ้าน

    และในยุคสมัยราชวงศ์ชิงนั้นเองที่จินชวงเย่าสาบสูญไป เหตุเพราะมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้ดูแลงานอักษรนามว่า หวางอี้หรง สังเกตเห็นว่าเทียบยาของตนนั้นมียาหลงกู่ แต่เขาไม่รู้จักมัน จึงเรียกเอามาดู และสังเกตเห็นว่าลวดลายบนหลงกู่ที่แท้เป็นอักขระโบราณ แม้เขาอ่านไม่ออกแต่เชื่อว่ามันเป็นโบราณวัตถุอันทรงคุณค่า จึงออกกว้านซื้อเพื่อเก็บรักษาและใช้ศึกษาประวัติศาสตร์ ต่อมาในราชสำนักมีการทำอย่างนี้อย่างเป็นทางการ หลงกู่จึงมีราคาสูงมากและขาดตลาดไป ไม่สามารถนำมาใช้ทำจินชวงเย่าอีกต่อไป และด้วยตอนนั้นมีวิวัฒนาการด้านการแพทย์มากขึ้น จึงมีการคิดค้นตัวยาอื่นๆ มาทดแทน จึงเลิกใช้ผงยาจินชวงเย่าที่มีแก่นยามาจากหลงกู่จนมันสาบสูญไป (Storyฯ สงสัยว่าแล้วใช้กระดูกทั่วไปแทนไม่ได้หรืออย่างไร แต่หาคำตอบไม่ได้)

    ปัจจุบันมีการยืนยันแล้วว่าอักขระบนหลงกู่ ก็คืออักษรโบราณสมัยราชวงศ์ซาง (ประมาณปี1200–1050 ก่อนคริสตกาล) กระดูกเหล่านี้ถูกใช้บันทึกพิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญในยุคสมัยนั้น รวมถึงผลของพิธีทำนายต่างๆ และเหตุการณ์ทางด้านดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ ฝรั่งเรียกกระดูกเหล่านี้ว่า Oracle Bones

    ที่บ้าน Storyฯ มีผงยาห้ามเลือดของจีน แต่ไม่รู้ชื่อและส่วนผสม แต่หน้าตาให้ความรู้สึกเหมือนจินชวงเย่ามาก เวลาดูหนังจีนมักมโนว่ามันคือยาเดียวกัน แต่วันนี้รู้แล้วว่ามันคงทำมาจากส่วนผสมอื่น เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายๆ คนคงมียาที่ว่านี้ที่บ้านเหมือนกัน ใครมีข้อมูลว่ามันคืออะไรก็มาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ ติดตามได้ที่ @StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    http://siaoyin.com/Info/8157030203451210773
    https://www.sohu.com/a/458843590_120172967
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.youtube.com/watch?v=U5NtRnOis9Y
    https://www.163.com/dy/article/G6S7ODGT05439D1U.html
    https://www.bilibili.com/read/cv10911896
    https://www.nms.ac.uk/explore-our-collections/stories/world-cultures/oracle-bones/

    #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #ยาจีนโบราณ #ยาห้ามเลือดจีน #วัฒนธรรมจีนโบราณ #หลงกู่ #ราชวงศ์ชิง #จินเซี่ย #ใต้เท้าลู่ #จินชวงเย่า
    แฟนคลับละครจีนย้อนยุคกำลังภายในจะเห็นว่ามียาผงชนิดหนึ่งที่ตัวละครส่วนใหญ่มีพกติดตัวไว้โรยแผล เพื่อนเพจสงสัยกันบ้างหรือไม่ มันคือยาอะไร? ทำไมมีแผลอะไรก็เอาออกมาโรย? ไม่แน่ใจว่านิยายจีนฉบับแปลไทยมีชื่อเรียกยานี้หรือไม่ แต่ฉบับภาษาจีนจะเรียกยานี้ว่า จินชวงเย่า (金疮药) ความมีอยู่ว่า ... “ท่านหัวหน้ากองเฉิง ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” จินเซี่ยถาม “ไม่เป็นไร ได้ยินมาว่าท่านมือปราบหยวนได้รับบาดเจ็บ นี้คือยาจินชวงเย่าที่ในวังทำขึ้นเพื่อหน่วยองครักษ์โดยเฉพาะ ดีกว่าข้างนอก ทาแล้วแผลจะสมานได้สมบูรณ์” เฉิงฝูกล่าวพลางวางขวดยาไว้บนโต๊ะ.... - ถอดบทสนทนาจากละครเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> จินชวงเย่าเป็นผงยาที่ใช้สำหรับบาดแผล มีสรรพคุณห้ามเลือด แก้อักเสบและสมานแผล สูตรยาอาจมีส่วนผสมแตกต่างกันไป แต่เรียกโดยรวมว่าจินชวงเย่า และจินชวงเย่าที่มีชื่อที่สุดในสมัยราชวงศ์ชิง เพราะว่ากันว่าระงับเลือดได้ชะงัดทันใจที่สุด มีชื่อเรียกว่า “เตาเจียนเย่า” (刀尖药) จินชวงเย่ามีตัวยาที่สำคัญมากคือ “หลงกู่” (龙骨 แปลว่ากระดูกมังกร) แต่มันไม่ใช่กระดูกของมังกรจริงๆ “หลงกู่” เป็นการเรียกรวมซากกระดูกโบราณที่ขุดพบ เช่นกระดองเต่า กระดูกวัว เป็นต้น (ดูภาพประกอบขวาล่าง) ว่ากันว่า ตอนที่ค้นพบซากกระดูกโบราณเหล่านี้ คนที่ค้นพบพยายามใช้มีดขูดลวดลายบนกระดูกออกด้วยความสงสัย แต่โดนมีดบาดมือ แต่ผงที่ขูดออกจากซากกระดูกกลับทำให้เลือดหยุดไหลได้ทันที จึงเอากระดูกเหล่านี้ไปขายให้ร้านยา จึงเป็นที่มาของการค้นพบว่าผงของหลงกู่บดละเอียดคือตัวยาสำคัญที่มีสรรพคุณห้ามเลือดและลดการอักเสบของจินชวงเย่านั่นเอง ประวัติของจินชวงเย่ามีมานานตั้งแต่เมื่อใด Storyฯ ก็หาข้อมูลไม่พบ แต่ที่แน่ๆ คือมีบันทึกถึงจินชวงเย่าไว้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960–1279) และใช้กันอย่างแพร่หลายในสมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1636-1912) สาเหตุที่ใช้กันมากในสมัยราชวงศ์ชิงนั้น เป็นเพราะในสมัยชิงต้องมีการโกนหัวจึงมักมีบาดแผลจากมีดโกน จินชวงเย่าจึงกลายเป็นยาสามัญประจำบ้าน และในยุคสมัยราชวงศ์ชิงนั้นเองที่จินชวงเย่าสาบสูญไป เหตุเพราะมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้ดูแลงานอักษรนามว่า หวางอี้หรง สังเกตเห็นว่าเทียบยาของตนนั้นมียาหลงกู่ แต่เขาไม่รู้จักมัน จึงเรียกเอามาดู และสังเกตเห็นว่าลวดลายบนหลงกู่ที่แท้เป็นอักขระโบราณ แม้เขาอ่านไม่ออกแต่เชื่อว่ามันเป็นโบราณวัตถุอันทรงคุณค่า จึงออกกว้านซื้อเพื่อเก็บรักษาและใช้ศึกษาประวัติศาสตร์ ต่อมาในราชสำนักมีการทำอย่างนี้อย่างเป็นทางการ หลงกู่จึงมีราคาสูงมากและขาดตลาดไป ไม่สามารถนำมาใช้ทำจินชวงเย่าอีกต่อไป และด้วยตอนนั้นมีวิวัฒนาการด้านการแพทย์มากขึ้น จึงมีการคิดค้นตัวยาอื่นๆ มาทดแทน จึงเลิกใช้ผงยาจินชวงเย่าที่มีแก่นยามาจากหลงกู่จนมันสาบสูญไป (Storyฯ สงสัยว่าแล้วใช้กระดูกทั่วไปแทนไม่ได้หรืออย่างไร แต่หาคำตอบไม่ได้) ปัจจุบันมีการยืนยันแล้วว่าอักขระบนหลงกู่ ก็คืออักษรโบราณสมัยราชวงศ์ซาง (ประมาณปี1200–1050 ก่อนคริสตกาล) กระดูกเหล่านี้ถูกใช้บันทึกพิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญในยุคสมัยนั้น รวมถึงผลของพิธีทำนายต่างๆ และเหตุการณ์ทางด้านดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ ฝรั่งเรียกกระดูกเหล่านี้ว่า Oracle Bones ที่บ้าน Storyฯ มีผงยาห้ามเลือดของจีน แต่ไม่รู้ชื่อและส่วนผสม แต่หน้าตาให้ความรู้สึกเหมือนจินชวงเย่ามาก เวลาดูหนังจีนมักมโนว่ามันคือยาเดียวกัน แต่วันนี้รู้แล้วว่ามันคงทำมาจากส่วนผสมอื่น เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายๆ คนคงมียาที่ว่านี้ที่บ้านเหมือนกัน ใครมีข้อมูลว่ามันคืออะไรก็มาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ ติดตามได้ที่ @StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: http://siaoyin.com/Info/8157030203451210773 https://www.sohu.com/a/458843590_120172967 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.youtube.com/watch?v=U5NtRnOis9Y https://www.163.com/dy/article/G6S7ODGT05439D1U.html https://www.bilibili.com/read/cv10911896 https://www.nms.ac.uk/explore-our-collections/stories/world-cultures/oracle-bones/ #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #ยาจีนโบราณ #ยาห้ามเลือดจีน #วัฒนธรรมจีนโบราณ #หลงกู่ #ราชวงศ์ชิง #จินเซี่ย #ใต้เท้าลู่ #จินชวงเย่า
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 0 รีวิว
  • สัปดาห์ที่แล้วพูดเรื่องยาโรยแผล วันนี้เลยมาคุยเรื่องอาวุธ
    Storyฯ เคยเล่าถึงชุดมัจฉาบินขององครักษ์เสื้อแพรไปแล้ว วันนี้คุยกันเรื่องสัญลักษณ์ประจำตัวอีกอย่างหนึ่งขององครักษ์เสื้อแพรอันเลื่องชื่อแห่งราชวงศ์หมิง ซึ่งก็คือดาบซิ่วชุน (绣春刀) ซึ่งเป็นดาบพระราชทาน

    ความมีอยู่ว่า
    ... ผู้ตรวจราชการเฝิงมิกล่าวกระไร เพียงหยิบดาบที่วางอยู่ข้างหน้าขึ้นมา มันเป็นดาบเรียวยาวปลายโค้งเล็กน้อย เบาแต่แข็งแกร่งคล่องมือ สะดวกต่อการใช้ประมือในระยะใกล้ เขาจ้องมองมันคล้ายกำลังรำลึกถึงความหลัง ดวงตาเริ่มทอประกายความพลุ่งพล่านในใจ เพียงสะกิดตรงคอดาบ เสียงครืดก็ดังขึ้นพร้อมกับใบดาบอันคมกริบโผล่ขึ้นมาครึ่งศอก ผู้ตรวจราชการเฝิงใช้นิ้วไล้ไปบนใบดาบพร้อมกับเอ่ยเบาๆ กับตนเอง “ดาบซิ่วชุน... อา... ดาบซิ่วชุน ต้องรออีกนานเท่าใด ความงดงามอหังการ์ของเจ้าจึงจะได้ปรากฎต่อสายตาผู้คนอีกครา?” ...

    - จากเรื่อง <เสื้อแพรเหินราตรี> ผู้แต่ง เยวี่ยกวน
    (หมายเหตุ ละครเรื่อง Braveness of The Ming ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้ เข้าใจว่ายังไม่เข้าฉาย)

    ว่ากันว่า ดาบซิ่วชุนทำจากเหล็กกล้าและอาจมีส่วนผสมอื่น ผ่านการ ‘ตีพันครั้งเผาร้อยครั้ง’ ขึ้นชื่อเรื่องความคมกริบ สามารถใช้บั่นหัวม้าได้ เหมาะกับการต่อสู้แบบประชิดตัวทั้งมือเดียวและสองมือ และยังสะดวกต่อการสู้รบบนหลังม้า ผู้ที่ตำแหน่งยิ่งสูงเนื้อดาบยิ่งบริสุทธิ์และลวดลายบนดาบยิ่งวิจิตร (เป็นที่มาของคำว่า ‘ซิ่วชุน’ แปลว่า ‘ลายปักวสันต์’) ลักษณะของดาบเป็นไปตามคำบรรยายในนิยายข้างต้น

    เห็นรูปดาบซิ่วชุนบนเน็ตมากมาย แต่เพื่อนเพจทราบหรือไม่ว่า จริงๆ แล้วไม่เคยมีการค้นพบของจริง เป็นเพียงการจำลองขึ้นตามคำบรรยายที่มีการจารึกไว้ ดังนั้นในความเห็นของ Storyฯ ดาบซิ่วชุนเป็นอาวุธที่ทั้งไม่ลึกลับและลึกลับ ที่ว่าไม่ลึกลับเพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง แต่ที่ว่าลึกลับก็เพราะว่าไม่มีใครเคยเห็นของจริงนั่นเอง

    แล้วใครกันล่ะที่มีสิทธิ์ใช้? บางบันทึกบอกว่า เนื่องจากเป็นดาบพระราชทานจึงต้องเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงในหน่วยองครักษ์เสื้อแพรเท่านั้นจึงจะมีใช้ และบางบันทึกกล่าวว่ากองทหารรักษาพระองค์อวี้หลิน (御林军) ก็มีใช้ดาบซิ่วชุน นอกจากนี้ยังเคยมีบันทึกว่ามีแพทย์หลวงผู้หนึ่งนามว่าอู๋เจี๋ยในรัชสมัยขององค์จูโฮ่วเจ้า (ฮ่องเต้เจิ้งเต๋อแห่งราชวงศ์หมิง ค.ศ. 1491-1521) มีผลงานโดดเด่นจนได้รับพระราชทานชุดลายพยัคฆ์พร้อมดาบซิ่วชุน

    ดาบซิ่วชุนที่แท้จริงหน้าตาเป็นอย่างไร? ใครนอกเหนือจากองครักษ์เสื้อแพรใช้ได้บ้าง? ไม่มีใครรู้แน่ชัด เพียงแต่กล่าวขานกันว่าเป็นดาบที่งามวิจิตรและมีอานุภาพร้ายแรง สมศักดิ์ศรีองครักษ์เสื้อแพรอันน่าเกรงขามแห่งราชวงศ์หมิง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ ติดตามได้ที่ @StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.163.com/dy/article/EIJJNHRH05377G1M.html, https://kknews.cc/zh-my/history/zr5b99p.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://ishare.ifeng.com/c/s/7jdz4ruaDa2
    https://baike.baidu.com/item/%E7%BB%A3%E6%98%A5%E5%88%80/75656
    https://zh.wikipedia.org/wiki/%E7%B9%A1%E6%98%A5%E5%88%80

    #องครักษ์เสื้อแพร #ดาบซิ่วชุน #ราชวงศ์หมิง StoryfromStory
    สัปดาห์ที่แล้วพูดเรื่องยาโรยแผล วันนี้เลยมาคุยเรื่องอาวุธ Storyฯ เคยเล่าถึงชุดมัจฉาบินขององครักษ์เสื้อแพรไปแล้ว วันนี้คุยกันเรื่องสัญลักษณ์ประจำตัวอีกอย่างหนึ่งขององครักษ์เสื้อแพรอันเลื่องชื่อแห่งราชวงศ์หมิง ซึ่งก็คือดาบซิ่วชุน (绣春刀) ซึ่งเป็นดาบพระราชทาน ความมีอยู่ว่า ... ผู้ตรวจราชการเฝิงมิกล่าวกระไร เพียงหยิบดาบที่วางอยู่ข้างหน้าขึ้นมา มันเป็นดาบเรียวยาวปลายโค้งเล็กน้อย เบาแต่แข็งแกร่งคล่องมือ สะดวกต่อการใช้ประมือในระยะใกล้ เขาจ้องมองมันคล้ายกำลังรำลึกถึงความหลัง ดวงตาเริ่มทอประกายความพลุ่งพล่านในใจ เพียงสะกิดตรงคอดาบ เสียงครืดก็ดังขึ้นพร้อมกับใบดาบอันคมกริบโผล่ขึ้นมาครึ่งศอก ผู้ตรวจราชการเฝิงใช้นิ้วไล้ไปบนใบดาบพร้อมกับเอ่ยเบาๆ กับตนเอง “ดาบซิ่วชุน... อา... ดาบซิ่วชุน ต้องรออีกนานเท่าใด ความงดงามอหังการ์ของเจ้าจึงจะได้ปรากฎต่อสายตาผู้คนอีกครา?” ... - จากเรื่อง <เสื้อแพรเหินราตรี> ผู้แต่ง เยวี่ยกวน (หมายเหตุ ละครเรื่อง Braveness of The Ming ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้ เข้าใจว่ายังไม่เข้าฉาย) ว่ากันว่า ดาบซิ่วชุนทำจากเหล็กกล้าและอาจมีส่วนผสมอื่น ผ่านการ ‘ตีพันครั้งเผาร้อยครั้ง’ ขึ้นชื่อเรื่องความคมกริบ สามารถใช้บั่นหัวม้าได้ เหมาะกับการต่อสู้แบบประชิดตัวทั้งมือเดียวและสองมือ และยังสะดวกต่อการสู้รบบนหลังม้า ผู้ที่ตำแหน่งยิ่งสูงเนื้อดาบยิ่งบริสุทธิ์และลวดลายบนดาบยิ่งวิจิตร (เป็นที่มาของคำว่า ‘ซิ่วชุน’ แปลว่า ‘ลายปักวสันต์’) ลักษณะของดาบเป็นไปตามคำบรรยายในนิยายข้างต้น เห็นรูปดาบซิ่วชุนบนเน็ตมากมาย แต่เพื่อนเพจทราบหรือไม่ว่า จริงๆ แล้วไม่เคยมีการค้นพบของจริง เป็นเพียงการจำลองขึ้นตามคำบรรยายที่มีการจารึกไว้ ดังนั้นในความเห็นของ Storyฯ ดาบซิ่วชุนเป็นอาวุธที่ทั้งไม่ลึกลับและลึกลับ ที่ว่าไม่ลึกลับเพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง แต่ที่ว่าลึกลับก็เพราะว่าไม่มีใครเคยเห็นของจริงนั่นเอง แล้วใครกันล่ะที่มีสิทธิ์ใช้? บางบันทึกบอกว่า เนื่องจากเป็นดาบพระราชทานจึงต้องเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงในหน่วยองครักษ์เสื้อแพรเท่านั้นจึงจะมีใช้ และบางบันทึกกล่าวว่ากองทหารรักษาพระองค์อวี้หลิน (御林军) ก็มีใช้ดาบซิ่วชุน นอกจากนี้ยังเคยมีบันทึกว่ามีแพทย์หลวงผู้หนึ่งนามว่าอู๋เจี๋ยในรัชสมัยขององค์จูโฮ่วเจ้า (ฮ่องเต้เจิ้งเต๋อแห่งราชวงศ์หมิง ค.ศ. 1491-1521) มีผลงานโดดเด่นจนได้รับพระราชทานชุดลายพยัคฆ์พร้อมดาบซิ่วชุน ดาบซิ่วชุนที่แท้จริงหน้าตาเป็นอย่างไร? ใครนอกเหนือจากองครักษ์เสื้อแพรใช้ได้บ้าง? ไม่มีใครรู้แน่ชัด เพียงแต่กล่าวขานกันว่าเป็นดาบที่งามวิจิตรและมีอานุภาพร้ายแรง สมศักดิ์ศรีองครักษ์เสื้อแพรอันน่าเกรงขามแห่งราชวงศ์หมิง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ ติดตามได้ที่ @StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.163.com/dy/article/EIJJNHRH05377G1M.html, https://kknews.cc/zh-my/history/zr5b99p.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://ishare.ifeng.com/c/s/7jdz4ruaDa2 https://baike.baidu.com/item/%E7%BB%A3%E6%98%A5%E5%88%80/75656 https://zh.wikipedia.org/wiki/%E7%B9%A1%E6%98%A5%E5%88%80 #องครักษ์เสื้อแพร #ดาบซิ่วชุน #ราชวงศ์หมิง StoryfromStory
    张翰《锦衣夜行》帅出新高度!徐正溪、魏千翔、吴倩,你最期待谁
    张翰《锦衣夜行》帅出新高度!徐正溪、魏千翔、吴倩,你最期待谁,
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพื่อนเพจที่ได้อ่านนิยาย/ดูละครเรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> คงจำได้ว่า เป็นเรื่องราวแนวสืบสวนที่พูดถึงการใช้ข้อมูลจากบันทึกและทะเบียนต่างๆ มาใช้ในการแกะรอยคนร้าย มีหลายประเด็นที่ทำให้ Storyฯ สงสัยเลยต้องไปหาข้อมูลมาเพิ่ม

    เรื่องที่จะเล่าวันนี้มีความ ‘เอ๊ะ’ ตรงไหน เรามาดูจากคำพูดข้างล่างจากในละครเรื่องนี้
    ... สวีปินกล่าว “จากบันทึกทะเบียนบ้านของคนผู้นี้ เขาย้ายมาฉางอันเมื่อปีที่ยี่สิบหกในรัชศกก่อน จดทะเบียนในนามหลงปอ ต่อมาย้ายบ้านหลายครา เมื่อปีที่แล้วย้ายเข้าหวยหย่วนฟาง ที่ดูน่าสงสัยคือ เมื่อปลายปีรัชศกเทียนเป่าปีที่สอง มีการจัดทำสมุดทะเบียนใหม่ กำหนดให้ใส่รายละเอียดใบหน้าให้ชัดเจน แต่ทะเบียนของหลงปอยังคงเป็นทะเบียนเก่าสมัยรัชศกก่อน ไม่เคยระบุรายละเอียดหน้าตา”...

    เพื่อนเพจสงสัยเหมือนกันไหมว่า ทะเบียนราษฎร์ในสมัยราชวงศ์ถัง (รัชศกเทียนเป่าคือช่วงปีค.ศ. 742-756) ถึงขนาดมีรายละเอียดใบหน้าชัดเจนเชียวหรือ?

    ไปค้นข้อมูลมาจึงพบว่า การนับจำนวนประชากรในจีนโบราณมีมาตั้งแต่กว่าสองพันปีก่อนคริสตกาล เดิมเป็นการจัดเก็บข้อมูลเพื่อไว้เพื่อช่วยเหลือคนในยามเกิดอุทกภัยน้ำท่วม ไม่ปรากฏข้อมูลเพิ่มเติมว่าเป็นเพียงการนับจำนวนประชากรหรือมีการบันทึกรายละเอียดมากกว่านั้น แต่ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก (ปี 1045-771 ก่อนคริสตกาล) มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์ทุกสามปี รายละเอียดที่บันทึกไว้รวมถึงวันเกิด วันตาย เพศ และที่อยู่ของประชาชน

    ในสมัยฉิน มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์อย่างเข้มงวด นอกจากรายละเอียดข้างต้นยังมีการระบุเจ้าบ้าน ชื่อสามี-ภรรยา โดยวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อใช้ในการเก็บภาษีและเกณฑ์ทหาร

    ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 221) ประชาชนมีหน้าที่รายงานข้อมูลและการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกในครอบครัวทุกปี โดยข้อมูลจะถูกตรวจสอบโดยทางการท้องถิ่นอีกครั้งก่อนจะรวบรวมส่งทางการส่วนกลาง รายละเอียดที่บันทึกรวมถึงชื่อแซ่ อายุ ภูมิลำเนาเดิม สถานะสมรส รายละเอียดหน้าตา รายได้ และจำนวนพื้นที่ของที่ดินที่ถือครอง หากจะย้ายบ้าน ต้องทำการรายงานกับที่ว่าการท้องถิ่นก่อนจึงจะย้ายออกได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนพเนจร ซึ่งไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย (คือโดนฆ่าตายก็ไม่มีการสืบสวนเอาผิดคนฆ่า) ว่ากันว่าทะเบียนราษฏร์สมัยราชวงศ์ฮั่นนี้ละเอียดถูกต้องเชื่อถือได้มากกว่าครั้งใดที่จีนเคยทำมาในอดีต

    การจัดทำทะเบียนราษฎร์มีต่อมาเรื่อยๆ และมีการลงรายละเอียดมากขึ้นในยุคสมัยราชวงศ์ถัง (ซึ่งเรื่องราวของ <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> เกิดขึ้นในสมัยนี้) ในสมัยนั้น ทะเบียนราษฎร์คือการสรุปรวมข้อมูลของทะเบียนบ้านหรือที่เรียกว่า ‘โส่วสือ’ (手实) มีการจัดแยกหมวดหมู่ตามสถานะ กล่าวคือเป็นเจ้าบ้าน เป็นสมาชิกของตระกูล หรือเป็นผู้อยู่อาศัยในเรือนเช่นทาส บ่าว นักดนตรี ฯลฯ และมีการบันทึกรายละเอียดเพิ่มเติมของรูปพรรณสัณฐาน เช่นส่วนสูง สีผิว เป็นต้น โดยมีเพียงสมาชิกของตระกูลเท่านั้นที่จะมีสิทธิแยกออกมาจัดตั้งครัวเรือนใหม่ได้ (Storyฯ เพิ่งเข้าใจบริบทที่ว่าบางนิยายจีนโบราณกล่าวถึงการ ‘แยกบ้าน’ ของคนในตระกูลเดียวกันที่ฟังดูเป็นเรื่องราวใหญ่โต) สำหรับชาวไร่ชาวนา ข้อมูลจากโส่วสือยังถูกใช้ในการจัดสรรที่ดินทำกิน โดยอิงตามจำนวนสมาชิกในบ้าน

    ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิง มีการลงรายละเอียดเพิ่มเติมอีกคืออาชีพของคนในบ้าน เช่น นายช่าง ทหาร หรือข้าราชการ ฯลฯ และมีรายละเอียดรายรับและสินทรัพย์ของแต่ละคนเพิ่มเติม เช่นจำนวนที่ดิน บ้าน ร้านค้า รถม้า เรือ ฯลฯ ทะเบียนราษฎร์นี้เรียกว่า ‘หวงเช่อ’ (黄册) แปลตรงตัวว่าสมุดเหลือง เพราะมักใช้ปกสีเหลือง (โนว์... ไม่ใช่สมุดโทรศัพท์ Yellow Pages จ้า) อีกทั้งการนำข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์มาใช้เพิ่มดีกรีความเข้มข้น ใครจะเดินทางต้องพกเอกสารใบอนุญาตที่มีข้อมูลประจำตัวและบ้าน (Storyฯ นึกถึงในละครที่จะผ่านประตูเมืองแต่ละครั้งต้องควักเอกสารออกมาฉบับหนึ่ง)

    Storyฯ รู้สึกทึ่งว่า แบบแผนการบริหารงานบ้านเมืองในโลกปัจจุบัน จริงๆ แล้วไม่ได้หนีจากของโบราณที่มีมาหลายพันปีแล้วเลย คนโบราณช่างคิดช่างทำ เก่งจริง เพื่อนๆ ว่าไหม?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://luvasianseries.blogspot.com/2020/10/longest-day-in-changan.html
    https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/113664748
    http://www.naradafoundation.org/content/6526
    https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html

    #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #ประวัติศาสตร์จีน #ทะเบียนราษฎร์จีน #ราชวงศ์ถัง
    เพื่อนเพจที่ได้อ่านนิยาย/ดูละครเรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> คงจำได้ว่า เป็นเรื่องราวแนวสืบสวนที่พูดถึงการใช้ข้อมูลจากบันทึกและทะเบียนต่างๆ มาใช้ในการแกะรอยคนร้าย มีหลายประเด็นที่ทำให้ Storyฯ สงสัยเลยต้องไปหาข้อมูลมาเพิ่ม เรื่องที่จะเล่าวันนี้มีความ ‘เอ๊ะ’ ตรงไหน เรามาดูจากคำพูดข้างล่างจากในละครเรื่องนี้ ... สวีปินกล่าว “จากบันทึกทะเบียนบ้านของคนผู้นี้ เขาย้ายมาฉางอันเมื่อปีที่ยี่สิบหกในรัชศกก่อน จดทะเบียนในนามหลงปอ ต่อมาย้ายบ้านหลายครา เมื่อปีที่แล้วย้ายเข้าหวยหย่วนฟาง ที่ดูน่าสงสัยคือ เมื่อปลายปีรัชศกเทียนเป่าปีที่สอง มีการจัดทำสมุดทะเบียนใหม่ กำหนดให้ใส่รายละเอียดใบหน้าให้ชัดเจน แต่ทะเบียนของหลงปอยังคงเป็นทะเบียนเก่าสมัยรัชศกก่อน ไม่เคยระบุรายละเอียดหน้าตา”... เพื่อนเพจสงสัยเหมือนกันไหมว่า ทะเบียนราษฎร์ในสมัยราชวงศ์ถัง (รัชศกเทียนเป่าคือช่วงปีค.ศ. 742-756) ถึงขนาดมีรายละเอียดใบหน้าชัดเจนเชียวหรือ? ไปค้นข้อมูลมาจึงพบว่า การนับจำนวนประชากรในจีนโบราณมีมาตั้งแต่กว่าสองพันปีก่อนคริสตกาล เดิมเป็นการจัดเก็บข้อมูลเพื่อไว้เพื่อช่วยเหลือคนในยามเกิดอุทกภัยน้ำท่วม ไม่ปรากฏข้อมูลเพิ่มเติมว่าเป็นเพียงการนับจำนวนประชากรหรือมีการบันทึกรายละเอียดมากกว่านั้น แต่ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก (ปี 1045-771 ก่อนคริสตกาล) มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์ทุกสามปี รายละเอียดที่บันทึกไว้รวมถึงวันเกิด วันตาย เพศ และที่อยู่ของประชาชน ในสมัยฉิน มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์อย่างเข้มงวด นอกจากรายละเอียดข้างต้นยังมีการระบุเจ้าบ้าน ชื่อสามี-ภรรยา โดยวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อใช้ในการเก็บภาษีและเกณฑ์ทหาร ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 221) ประชาชนมีหน้าที่รายงานข้อมูลและการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกในครอบครัวทุกปี โดยข้อมูลจะถูกตรวจสอบโดยทางการท้องถิ่นอีกครั้งก่อนจะรวบรวมส่งทางการส่วนกลาง รายละเอียดที่บันทึกรวมถึงชื่อแซ่ อายุ ภูมิลำเนาเดิม สถานะสมรส รายละเอียดหน้าตา รายได้ และจำนวนพื้นที่ของที่ดินที่ถือครอง หากจะย้ายบ้าน ต้องทำการรายงานกับที่ว่าการท้องถิ่นก่อนจึงจะย้ายออกได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนพเนจร ซึ่งไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย (คือโดนฆ่าตายก็ไม่มีการสืบสวนเอาผิดคนฆ่า) ว่ากันว่าทะเบียนราษฏร์สมัยราชวงศ์ฮั่นนี้ละเอียดถูกต้องเชื่อถือได้มากกว่าครั้งใดที่จีนเคยทำมาในอดีต การจัดทำทะเบียนราษฎร์มีต่อมาเรื่อยๆ และมีการลงรายละเอียดมากขึ้นในยุคสมัยราชวงศ์ถัง (ซึ่งเรื่องราวของ <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> เกิดขึ้นในสมัยนี้) ในสมัยนั้น ทะเบียนราษฎร์คือการสรุปรวมข้อมูลของทะเบียนบ้านหรือที่เรียกว่า ‘โส่วสือ’ (手实) มีการจัดแยกหมวดหมู่ตามสถานะ กล่าวคือเป็นเจ้าบ้าน เป็นสมาชิกของตระกูล หรือเป็นผู้อยู่อาศัยในเรือนเช่นทาส บ่าว นักดนตรี ฯลฯ และมีการบันทึกรายละเอียดเพิ่มเติมของรูปพรรณสัณฐาน เช่นส่วนสูง สีผิว เป็นต้น โดยมีเพียงสมาชิกของตระกูลเท่านั้นที่จะมีสิทธิแยกออกมาจัดตั้งครัวเรือนใหม่ได้ (Storyฯ เพิ่งเข้าใจบริบทที่ว่าบางนิยายจีนโบราณกล่าวถึงการ ‘แยกบ้าน’ ของคนในตระกูลเดียวกันที่ฟังดูเป็นเรื่องราวใหญ่โต) สำหรับชาวไร่ชาวนา ข้อมูลจากโส่วสือยังถูกใช้ในการจัดสรรที่ดินทำกิน โดยอิงตามจำนวนสมาชิกในบ้าน ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิง มีการลงรายละเอียดเพิ่มเติมอีกคืออาชีพของคนในบ้าน เช่น นายช่าง ทหาร หรือข้าราชการ ฯลฯ และมีรายละเอียดรายรับและสินทรัพย์ของแต่ละคนเพิ่มเติม เช่นจำนวนที่ดิน บ้าน ร้านค้า รถม้า เรือ ฯลฯ ทะเบียนราษฎร์นี้เรียกว่า ‘หวงเช่อ’ (黄册) แปลตรงตัวว่าสมุดเหลือง เพราะมักใช้ปกสีเหลือง (โนว์... ไม่ใช่สมุดโทรศัพท์ Yellow Pages จ้า) อีกทั้งการนำข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์มาใช้เพิ่มดีกรีความเข้มข้น ใครจะเดินทางต้องพกเอกสารใบอนุญาตที่มีข้อมูลประจำตัวและบ้าน (Storyฯ นึกถึงในละครที่จะผ่านประตูเมืองแต่ละครั้งต้องควักเอกสารออกมาฉบับหนึ่ง) Storyฯ รู้สึกทึ่งว่า แบบแผนการบริหารงานบ้านเมืองในโลกปัจจุบัน จริงๆ แล้วไม่ได้หนีจากของโบราณที่มีมาหลายพันปีแล้วเลย คนโบราณช่างคิดช่างทำ เก่งจริง เพื่อนๆ ว่าไหม? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://luvasianseries.blogspot.com/2020/10/longest-day-in-changan.html https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/113664748 http://www.naradafoundation.org/content/6526 https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #ประวัติศาสตร์จีน #ทะเบียนราษฎร์จีน #ราชวงศ์ถัง
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> เป็นเรื่องที่ใส่รายละเอียดทางประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ถังไว้มากพอสมควร แต่ Storyฯ รู้สึกสะดุดตาอย่างมากกับลักษณะการเสียบปิ่นมงกฎครอบมวยผมของตัวละครเอกคนหนึ่งคือ หลี่ปี้

    ความ ‘เอ๊ะ’ คือว่า ทำไมเขาถึงเสียบปิ่นของมงกฎครอบมวยผมในแนวตรง คือจากหลังมาหน้า (ดูรูปกลางสี่เหลี่ยม) ในขณะที่ตัวละครอื่นเสียบปิ่นในแนวขวางจากขวาไปซ้ายเหมือนกับที่เราเห็นในละครจีนโบราณเรื่องอื่นๆ (ดูเปรียบเทียบตัวละครจากเรื่องเดียวกันในรูปวงกลม)

    ไปทำการบ้านมาค่ะ เลยพบว่ามีคนเขียนชมละครเรื่องนี้ว่ามีความพยายามทำให้ใกล้เคียงประวัติศาสตร์จริงมากในเรื่องการแต่งกาย ซึ่งสาเหตุที่หลี่ปี้เสียบปิ่นมงกฎครอบมวยผมในแนวตรงนั้น เป็นเพราะว่าเขาเป็นนักพรต

    แต่มันแตกต่างจากเรื่องอื่นที่เราเห็นนักพรตปักปิ่นในแนวขวาง Storyฯ เลยเอารูปวาดโบราณมาเปรียบเทียบให้ดู (ดูภาพเปรียบเทียบในรูปสี่เหลี่ยมที่แปะมา) ก็จะเห็นว่านักพรตในลัทธิเต๋าในช่วงยุคสมัยรัชวงศ์ถังนั้นปักปิ่นในแนวตรงจริงๆ โดยวิธีเสียบปิ่นคือจากข้างหลังมาข้างหน้า หรือที่เรียกว่า ‘จื๋ออู่จ๊าน’ (子午簪)

    ดูภาพจากละครจะเห็นว่ามงกฎครอบผมของหลี่ปี้มีสองแบบ มันคือแบบลายดอกพุดตานที่มีกลีบใหญ่ชูเด่น และแบบลายดอกบัว เดิมเรียกแยกสองแบบอย่างนี้ ต่อมาการเวลาผ่านไปถูกเรียกรวมเป็นลายดอกบัว มีเฉพาะนักพรตที่มีระดับสูงจึงจะใช้ได้

    จากข้อมูลที่หาได้ ในสมัยราชวงศ์ถังนั้น นักพรตเต๋ามีเจ็ดระดับ สูงสุดคือระดับเจ็ด มีระเบียบกำหนดเรื่องการแต่งกายไว้อย่างเคร่งครัด แตกต่างกันไปทั้งเนื้อผ้าสีผ้าของชุดและมงกุฎครอบผมตามแต่ละระดับ ตัวอย่างเช่น นักพรตระดับที่ห้า มงกฎครอบผมสีน้ำตาลเข้มรูปทรงดอกบัวกลีบสองชั้นทั้งสี่ด้าน ชุดสีเหลือง ฯลฯ นักพรตระดับที่หก มงกฎครอบผมรูปทรงดอกบัวกลีบสามชั้นทั้งสี่ด้าน ชุดสีเขียวฟ้ากระจ่าง ผ้าพาดบ่าสีม่วง ฯลฯ

    ในเนื้อเรื่องของละคร <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> Storyฯ ไม่เห็นมีข้อมูลว่าหลี่ปี้เป็นนักพรตระดับใด Storyฯ เองก็ไม่แน่ใจว่ารายละเอียดการแต่งกายในละครถูกต้องหรือไม่ มีบางเพจเขียนว่าปิ่นของหลี่ปี้สั้นไป แต่ที่ดูจะถูกต้องแน่นอนคือวิธีการเสียบปิ่นของหลี่ปี้

    แล้วที่เราเห็นในละครเรื่องอื่นที่นักพรตเสียบปิ่นมงกฎครอบมวยผมแนวขวางล่ะ?

    จากข้อมูลที่ Storyฯ หาเจอ วิธีเสียบปิ่นตามแนวตรงข้างต้นเป็นไปจนสมัยราชวงศ์ซ่ง แต่จากสมัยราชวงศ์หมิงจนถึงราชวงศ์ชิง มีนักพรตเสียบปิ่นมงกฎครอบมวยผมแนวขวาง แต่มีจุดสังเกตคือจะต้องเป็นการเสียบจากซ้ายไปขวา ไม่ใช่ขวาไปซ้ายแบบคนทั่วไป และแบบแนวตรงก็ยังคงมีใช้อยู่ ซึ่งที่มาคือแนวคิดที่ว่า แนวตรงคือการแบ่งแยกหยินหยาง แนวขวางจากซ้ายคือการเกิดไปสู่ขวาคือความตาย

    แต่คนธรรมดาทั่วไปจะปักปิ่นจากขวาไปซ้ายเป็นส่วนใหญ่เพราะหลายคนถนัดขวา มีเพจหนึ่งที่อ่านเจอเขียนว่า หากคนธรรมดาปักปิ่นจากซ้ายไปขวาแสดงว่าอยู่ในระหว่างไว้ทุกข์ แต่ข้อมูลนี้ Storyฯ ไม่ได้ไปค้นหาต่อว่าใช่หรือไม่

    ต่อมามงกฎทรงดอกบัวถูกนำมาใช้สำหรับสตรีสูงศักดิ์ในวังด้วย แต่ความแตกต่างอยู่ที่ขนาดใหญ่ขึ้นเป็นมงกุฎ เป็นทองคำลวดลายวิจิตรและมีการประดับหินและพลอยให้ดูอลังการ และไม่มีปิ่นปักกลางไว้ยึดผมเหมือนมงกุฎครอบมวยผมนักพรต

    ท่านใดที่ชอบละครเรื่องนี้ ลองดูลิ้งค์ที่แปะมาบางลิ้งค์ด้านล่างจะเห็นการเปรียบเทียบว่ามีการอิงประวัติศาสตร์จริงอย่างไร (อ่านไม่ออกก็ดูรูปได้) อย่างเช่นการวาดคิ้วสมัยราชวงศ์ถังแบบต่างๆ ที่ Storyฯ เคยเขียนถึงเมื่อหลายเดือนก่อน ก็มีปรากฎให้เห็นในบรรดาชาวบ้านที่แต่งตัวกันออกมาเที่ยวเทศกาลในเรื่องนี้ด้วย

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจากในละครและจาก:
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/72817310
    https://new.qq.com/omn/20190716/20190716A0SOED00.html?pc
    https://www.behance.net/gallery/84983593/The-Longest-Day-In-Changan-Posters
    http://www.xinhuanet.com/ent/2019-07/02/c_1124697419.htm

    #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #หลี่ปี้ #ปิ่นปักผมจีน #วัฒนธรรมจีนโบราณ StoryfromStory
    เรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> เป็นเรื่องที่ใส่รายละเอียดทางประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ถังไว้มากพอสมควร แต่ Storyฯ รู้สึกสะดุดตาอย่างมากกับลักษณะการเสียบปิ่นมงกฎครอบมวยผมของตัวละครเอกคนหนึ่งคือ หลี่ปี้ ความ ‘เอ๊ะ’ คือว่า ทำไมเขาถึงเสียบปิ่นของมงกฎครอบมวยผมในแนวตรง คือจากหลังมาหน้า (ดูรูปกลางสี่เหลี่ยม) ในขณะที่ตัวละครอื่นเสียบปิ่นในแนวขวางจากขวาไปซ้ายเหมือนกับที่เราเห็นในละครจีนโบราณเรื่องอื่นๆ (ดูเปรียบเทียบตัวละครจากเรื่องเดียวกันในรูปวงกลม) ไปทำการบ้านมาค่ะ เลยพบว่ามีคนเขียนชมละครเรื่องนี้ว่ามีความพยายามทำให้ใกล้เคียงประวัติศาสตร์จริงมากในเรื่องการแต่งกาย ซึ่งสาเหตุที่หลี่ปี้เสียบปิ่นมงกฎครอบมวยผมในแนวตรงนั้น เป็นเพราะว่าเขาเป็นนักพรต แต่มันแตกต่างจากเรื่องอื่นที่เราเห็นนักพรตปักปิ่นในแนวขวาง Storyฯ เลยเอารูปวาดโบราณมาเปรียบเทียบให้ดู (ดูภาพเปรียบเทียบในรูปสี่เหลี่ยมที่แปะมา) ก็จะเห็นว่านักพรตในลัทธิเต๋าในช่วงยุคสมัยรัชวงศ์ถังนั้นปักปิ่นในแนวตรงจริงๆ โดยวิธีเสียบปิ่นคือจากข้างหลังมาข้างหน้า หรือที่เรียกว่า ‘จื๋ออู่จ๊าน’ (子午簪) ดูภาพจากละครจะเห็นว่ามงกฎครอบผมของหลี่ปี้มีสองแบบ มันคือแบบลายดอกพุดตานที่มีกลีบใหญ่ชูเด่น และแบบลายดอกบัว เดิมเรียกแยกสองแบบอย่างนี้ ต่อมาการเวลาผ่านไปถูกเรียกรวมเป็นลายดอกบัว มีเฉพาะนักพรตที่มีระดับสูงจึงจะใช้ได้ จากข้อมูลที่หาได้ ในสมัยราชวงศ์ถังนั้น นักพรตเต๋ามีเจ็ดระดับ สูงสุดคือระดับเจ็ด มีระเบียบกำหนดเรื่องการแต่งกายไว้อย่างเคร่งครัด แตกต่างกันไปทั้งเนื้อผ้าสีผ้าของชุดและมงกุฎครอบผมตามแต่ละระดับ ตัวอย่างเช่น นักพรตระดับที่ห้า มงกฎครอบผมสีน้ำตาลเข้มรูปทรงดอกบัวกลีบสองชั้นทั้งสี่ด้าน ชุดสีเหลือง ฯลฯ นักพรตระดับที่หก มงกฎครอบผมรูปทรงดอกบัวกลีบสามชั้นทั้งสี่ด้าน ชุดสีเขียวฟ้ากระจ่าง ผ้าพาดบ่าสีม่วง ฯลฯ ในเนื้อเรื่องของละคร <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> Storyฯ ไม่เห็นมีข้อมูลว่าหลี่ปี้เป็นนักพรตระดับใด Storyฯ เองก็ไม่แน่ใจว่ารายละเอียดการแต่งกายในละครถูกต้องหรือไม่ มีบางเพจเขียนว่าปิ่นของหลี่ปี้สั้นไป แต่ที่ดูจะถูกต้องแน่นอนคือวิธีการเสียบปิ่นของหลี่ปี้ แล้วที่เราเห็นในละครเรื่องอื่นที่นักพรตเสียบปิ่นมงกฎครอบมวยผมแนวขวางล่ะ? จากข้อมูลที่ Storyฯ หาเจอ วิธีเสียบปิ่นตามแนวตรงข้างต้นเป็นไปจนสมัยราชวงศ์ซ่ง แต่จากสมัยราชวงศ์หมิงจนถึงราชวงศ์ชิง มีนักพรตเสียบปิ่นมงกฎครอบมวยผมแนวขวาง แต่มีจุดสังเกตคือจะต้องเป็นการเสียบจากซ้ายไปขวา ไม่ใช่ขวาไปซ้ายแบบคนทั่วไป และแบบแนวตรงก็ยังคงมีใช้อยู่ ซึ่งที่มาคือแนวคิดที่ว่า แนวตรงคือการแบ่งแยกหยินหยาง แนวขวางจากซ้ายคือการเกิดไปสู่ขวาคือความตาย แต่คนธรรมดาทั่วไปจะปักปิ่นจากขวาไปซ้ายเป็นส่วนใหญ่เพราะหลายคนถนัดขวา มีเพจหนึ่งที่อ่านเจอเขียนว่า หากคนธรรมดาปักปิ่นจากซ้ายไปขวาแสดงว่าอยู่ในระหว่างไว้ทุกข์ แต่ข้อมูลนี้ Storyฯ ไม่ได้ไปค้นหาต่อว่าใช่หรือไม่ ต่อมามงกฎทรงดอกบัวถูกนำมาใช้สำหรับสตรีสูงศักดิ์ในวังด้วย แต่ความแตกต่างอยู่ที่ขนาดใหญ่ขึ้นเป็นมงกุฎ เป็นทองคำลวดลายวิจิตรและมีการประดับหินและพลอยให้ดูอลังการ และไม่มีปิ่นปักกลางไว้ยึดผมเหมือนมงกุฎครอบมวยผมนักพรต ท่านใดที่ชอบละครเรื่องนี้ ลองดูลิ้งค์ที่แปะมาบางลิ้งค์ด้านล่างจะเห็นการเปรียบเทียบว่ามีการอิงประวัติศาสตร์จริงอย่างไร (อ่านไม่ออกก็ดูรูปได้) อย่างเช่นการวาดคิ้วสมัยราชวงศ์ถังแบบต่างๆ ที่ Storyฯ เคยเขียนถึงเมื่อหลายเดือนก่อน ก็มีปรากฎให้เห็นในบรรดาชาวบ้านที่แต่งตัวกันออกมาเที่ยวเทศกาลในเรื่องนี้ด้วย (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจากในละครและจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/72817310 https://new.qq.com/omn/20190716/20190716A0SOED00.html?pc https://www.behance.net/gallery/84983593/The-Longest-Day-In-Changan-Posters http://www.xinhuanet.com/ent/2019-07/02/c_1124697419.htm #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #หลี่ปี้ #ปิ่นปักผมจีน #วัฒนธรรมจีนโบราณ StoryfromStory
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 279 มุมมอง 0 รีวิว
  • สัปดาห์ที่แล้วพูดถึงปิ่นปักมงกฎครอบผมของนักพรตเต๋า Storyฯ เลยนึกขึ้นได้ว่าในภาษาจีนมีชื่อเรียกปิ่นสามแบบหลักด้วยกันคือ ‘จ๊าน’ (簪) ‘ไช้’ (钗) และ ‘ปู้เหยา’(步摇) ไม่แน่ใจว่าในนิยายจีนแปลไทยจะมีจำแนกประเภทตามนี้ด้วยหรือไม่ แต่ในละครแปลไทยเราจะได้ยินการเรียกทั้งสามชนิดว่า ปิ่น ปิ่น และปิ่น

    วันนี้เลยมาเล่าให้เพื่อนเพจที่ไม่ทราบภาษาจีนฟังคร่าวๆ ถึงความแตกต่างระหว่างปิ่นสามแบบนี้ ซึ่งทั้งสามแบบมีมาตั้งแต่ก่อนสมัยราชวงศ์ถัง

    ปิ่นที่เห็นส่วนใหญ่เป็นปิ่นก้านเดียว ซึ่งปิ่นลักษณะนี้เรียกว่า ‘จ๊าน’ เดิมเรียกว่า ‘จี’ (笄) อันเป็นที่มาของคำว่า ‘จีหลี่’ ซึ่งก็คือพิธีปักปิ่นของสตรีเมื่ออายุครบสิบห้า เป็นสัญลักษณ์ว่านางโตเป็นผู้ใหญ่พร้อมที่จะแต่งงานออกเรือนแล้ว ซึ่งปิ่นจ๊านเป็นปิ่นหลักที่ใช้ยึดมวยผมให้เข้าที่ (แบบที่เห็นนางเอกปิ่นหลุดที ผมก็สยายให้พระเอกตะลึงมองดั่งต้องมนต์) สำหรับผู้ชายจะมีแต่ปิ่นจ๊านอย่างเดียวเท่านั้น

    ‘ไช้’ เป็นปิ่นที่มีสองก้าน (ดูในรูปกลาง) พัฒนามาจากปิ่นจ๊าน แต่จะเห็นว่าก้านสั้นกว่าปิ่นจ๊านมาก เอาไว้ใช้ติดประดับเพิ่มเติม หรือบางทีก้านเล็กละเอียด เอาไว้ช่วยยึดทรงผมที่ซับซ้อนหรือยึดหมวก (คล้ายๆ กิ๊บผมแบบเสียบที่เราใช้กันในปัจจุบัน) เป็นปิ่นที่มีแต่สตรีใช้เท่านั้น

    ส่วน ‘ปู้เหยา’ นั้น แปลตรงตัวว่า ก้าวเดิน + แกว่งไสว ซึ่งก็คือปิ่นที่มีอะไรห้อยตุ้งติ้งหรือเป็นระย้านั่นเอง อาจเป็นแบบก้านเดียวหรือสองก้านก็ได้ มีการบรรยายแฟชั่นจีนโบราณตามค่านิยมไว้ว่า สุภาพสตรียามก้าวย่างชดช้อย มีระย้าปิ่นปู้เหยาแกว่งไกวดึงดูดสายตา ส่วนสุภาพบุรุษยามก้าวย่างเนิบนาบ มีชายพู่ยาวของหยกห้อยเอวแกว่งไกว

    แล้วนัยของการมอบปิ่นล่ะ มีความหมายแตกต่างกันหรือไม่?

    เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยอ่านเจอว่า ฝ่ายหญิงเอาปิ่นของตัวเองหักเป็นครึ่ง ครึ่งหนึ่งให้ฝ่ายชายเก็บไว้ดูต่างหน้ายามต้องร้างลาจากกันไปไกล อีกครึ่งหนึ่งฝ่ายหญิงเก็บไว้เอง ซึ่งการเอาปิ่นมาหักครึ่งมันจะต้องเป็นปิ่นไช้เท่านั้น การหักครึ่งคือหักเหลือข้างละหนึ่งก้านแยกกันเก็บ เป็นนัยว่าปิ่นจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง (ไม่ใช่หักก้านเหลือครึ่งท่อน อย่างนั้นความหมายไม่ดี เป็นการแตกหัก)

    ซึ่งกรณีการมอบปิ่นไช้ในลักษณะข้างต้นนั้น เป็นการให้กันระหว่างคู่รักหรือสามีภรรยา และเป็นกรณีเดียวที่การมอบปิ่นไช้เป็นการสื่อถึงความรัก (แต่มันก็จะเศร้าๆ เพราะเป็นการให้ยามต้องพรากจากกัน)

    แต่หากยังไม่ได้เป็นคู่รักหรือสามีภรรยากัน การมอบปิ่นจ๊านระหว่างชายหญิงไม่ได้ให้กันทั่วไป แต่เป็นการบอกรัก เป็นนัยว่าฉันต้องการแต่งงานกับเธอนะ (เป็นที่มาว่าทำไมในละครหลายเรื่องที่นางเอกยังเด็กไม่ประสีประสา ได้รับปิ่นมาไม่คิดอะไร แต่คนรอบข้างรู้หมดว่าฝ่ายชายบอกรัก) ฝ่ายที่ได้รับปิ่นจ๊านแล้ว หากนำมาเสียบใช้ ก็แสดงว่าเธอ/เขาพึงพอใจอีกฝ่ายเช่นกัน นอกจากนี้ ตอนหมั้นหมายกัน ฝ่ายหญิงอาจให้ปิ่นจ๊านเป็นของแทนใจ เมื่อเข้าหอแล้วเจ้าบ่าวจึงจะนำมาคืนให้เจ้าสาว

    เพื่อนเพจท่านใดที่ยังจำได้ถึงฉากใดในละครหรือหนังสือที่มีการมอบปิ่น ปักปิ่น หักปิ่น ที่ดูจะสื่อความหมายลึกซึ้ง มาเม้นท์แชร์กันได้เลยค่ะ Storyฯ นึกขึ้นได้หลายเรื่องเลย

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.tspweb.com/key/清朝花钿头饰.html
    https://www.chinadaily.com.cn/entertainment/2013-06/25/content_16655730_3.htm
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://m.bala.iask.sina.com.cn/p/302GbyenIWN
    https://www.kpfans.com/article/dVWMM3wpW1.html
    https://www.chinafetching.com/tradition-of-china-hair-ornament

    #ปิ่นปักผมจีน #เครื่องประดับจีน #การแต่งกายจีนโบราณ #วัฒนธรรมจีนโบราณ StoryfromStory
    สัปดาห์ที่แล้วพูดถึงปิ่นปักมงกฎครอบผมของนักพรตเต๋า Storyฯ เลยนึกขึ้นได้ว่าในภาษาจีนมีชื่อเรียกปิ่นสามแบบหลักด้วยกันคือ ‘จ๊าน’ (簪) ‘ไช้’ (钗) และ ‘ปู้เหยา’(步摇) ไม่แน่ใจว่าในนิยายจีนแปลไทยจะมีจำแนกประเภทตามนี้ด้วยหรือไม่ แต่ในละครแปลไทยเราจะได้ยินการเรียกทั้งสามชนิดว่า ปิ่น ปิ่น และปิ่น วันนี้เลยมาเล่าให้เพื่อนเพจที่ไม่ทราบภาษาจีนฟังคร่าวๆ ถึงความแตกต่างระหว่างปิ่นสามแบบนี้ ซึ่งทั้งสามแบบมีมาตั้งแต่ก่อนสมัยราชวงศ์ถัง ปิ่นที่เห็นส่วนใหญ่เป็นปิ่นก้านเดียว ซึ่งปิ่นลักษณะนี้เรียกว่า ‘จ๊าน’ เดิมเรียกว่า ‘จี’ (笄) อันเป็นที่มาของคำว่า ‘จีหลี่’ ซึ่งก็คือพิธีปักปิ่นของสตรีเมื่ออายุครบสิบห้า เป็นสัญลักษณ์ว่านางโตเป็นผู้ใหญ่พร้อมที่จะแต่งงานออกเรือนแล้ว ซึ่งปิ่นจ๊านเป็นปิ่นหลักที่ใช้ยึดมวยผมให้เข้าที่ (แบบที่เห็นนางเอกปิ่นหลุดที ผมก็สยายให้พระเอกตะลึงมองดั่งต้องมนต์) สำหรับผู้ชายจะมีแต่ปิ่นจ๊านอย่างเดียวเท่านั้น ‘ไช้’ เป็นปิ่นที่มีสองก้าน (ดูในรูปกลาง) พัฒนามาจากปิ่นจ๊าน แต่จะเห็นว่าก้านสั้นกว่าปิ่นจ๊านมาก เอาไว้ใช้ติดประดับเพิ่มเติม หรือบางทีก้านเล็กละเอียด เอาไว้ช่วยยึดทรงผมที่ซับซ้อนหรือยึดหมวก (คล้ายๆ กิ๊บผมแบบเสียบที่เราใช้กันในปัจจุบัน) เป็นปิ่นที่มีแต่สตรีใช้เท่านั้น ส่วน ‘ปู้เหยา’ นั้น แปลตรงตัวว่า ก้าวเดิน + แกว่งไสว ซึ่งก็คือปิ่นที่มีอะไรห้อยตุ้งติ้งหรือเป็นระย้านั่นเอง อาจเป็นแบบก้านเดียวหรือสองก้านก็ได้ มีการบรรยายแฟชั่นจีนโบราณตามค่านิยมไว้ว่า สุภาพสตรียามก้าวย่างชดช้อย มีระย้าปิ่นปู้เหยาแกว่งไกวดึงดูดสายตา ส่วนสุภาพบุรุษยามก้าวย่างเนิบนาบ มีชายพู่ยาวของหยกห้อยเอวแกว่งไกว แล้วนัยของการมอบปิ่นล่ะ มีความหมายแตกต่างกันหรือไม่? เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยอ่านเจอว่า ฝ่ายหญิงเอาปิ่นของตัวเองหักเป็นครึ่ง ครึ่งหนึ่งให้ฝ่ายชายเก็บไว้ดูต่างหน้ายามต้องร้างลาจากกันไปไกล อีกครึ่งหนึ่งฝ่ายหญิงเก็บไว้เอง ซึ่งการเอาปิ่นมาหักครึ่งมันจะต้องเป็นปิ่นไช้เท่านั้น การหักครึ่งคือหักเหลือข้างละหนึ่งก้านแยกกันเก็บ เป็นนัยว่าปิ่นจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง (ไม่ใช่หักก้านเหลือครึ่งท่อน อย่างนั้นความหมายไม่ดี เป็นการแตกหัก) ซึ่งกรณีการมอบปิ่นไช้ในลักษณะข้างต้นนั้น เป็นการให้กันระหว่างคู่รักหรือสามีภรรยา และเป็นกรณีเดียวที่การมอบปิ่นไช้เป็นการสื่อถึงความรัก (แต่มันก็จะเศร้าๆ เพราะเป็นการให้ยามต้องพรากจากกัน) แต่หากยังไม่ได้เป็นคู่รักหรือสามีภรรยากัน การมอบปิ่นจ๊านระหว่างชายหญิงไม่ได้ให้กันทั่วไป แต่เป็นการบอกรัก เป็นนัยว่าฉันต้องการแต่งงานกับเธอนะ (เป็นที่มาว่าทำไมในละครหลายเรื่องที่นางเอกยังเด็กไม่ประสีประสา ได้รับปิ่นมาไม่คิดอะไร แต่คนรอบข้างรู้หมดว่าฝ่ายชายบอกรัก) ฝ่ายที่ได้รับปิ่นจ๊านแล้ว หากนำมาเสียบใช้ ก็แสดงว่าเธอ/เขาพึงพอใจอีกฝ่ายเช่นกัน นอกจากนี้ ตอนหมั้นหมายกัน ฝ่ายหญิงอาจให้ปิ่นจ๊านเป็นของแทนใจ เมื่อเข้าหอแล้วเจ้าบ่าวจึงจะนำมาคืนให้เจ้าสาว เพื่อนเพจท่านใดที่ยังจำได้ถึงฉากใดในละครหรือหนังสือที่มีการมอบปิ่น ปักปิ่น หักปิ่น ที่ดูจะสื่อความหมายลึกซึ้ง มาเม้นท์แชร์กันได้เลยค่ะ Storyฯ นึกขึ้นได้หลายเรื่องเลย (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.tspweb.com/key/清朝花钿头饰.html https://www.chinadaily.com.cn/entertainment/2013-06/25/content_16655730_3.htm Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://m.bala.iask.sina.com.cn/p/302GbyenIWN https://www.kpfans.com/article/dVWMM3wpW1.html https://www.chinafetching.com/tradition-of-china-hair-ornament #ปิ่นปักผมจีน #เครื่องประดับจีน #การแต่งกายจีนโบราณ #วัฒนธรรมจีนโบราณ StoryfromStory
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • **วลีจีน ‘นักล่ากวางไม่ยี่หระกระต่าย’**

    สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันสั้นๆ เรื่อง ‘วลีเด็ด’

    เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> คงจำได้ว่าตอนท้ายเรื่องพระเอกขอลาออกจากราชการ เหตุผลของเขานั้นหากอ่านจากซับไทยอาจไม่ค่อยเข้าใจความหมาย Storyฯ จึงขอแปลใหม่โดยมีความแตกต่างจากซับไทยเล็กน้อยว่า “จนเมื่อมาพบกับโต้วเจา นางทำให้กระหม่อมรู้ว่า นักล่ากวางเมื่อเจอกระต่ายต้องยับยั้งชั่งใจ นักล่าสัตว์เจอภูเขาต้องมองให้กว้าง” (หมายเหตุ ในซับไทยใช้คำว่า ‘นายพราน’ ซึ่งไม่ผิดแต่ทำให้บริบทที่มาของวลีนี้ขาดหายไป)

    ยังฟังดูงงๆ ใช่ไหม? จะเข้าใจความหมายของมันก็ต้องเข้าใจบริบทและที่มาของมันค่ะ สองประโยค “นักล่ากวาง.... ต้องมองให้กว้าง” นี้ไม่ใช่วลีจีนโบราณ แต่มันมีรากฐานมาจากวรรณกรรมโบราณที่ชื่อว่า ‘หวยหนานจื่อ’ (淮南子 / บุรุษเมืองหวยหนาน) ถูกยกมาจากบรรพที่มีชื่อว่า ‘ซัวหลินซุ่น’ (说林训/ คำสอนจากป่าไม้)

    หวยหนานจื่อเป็นผลงานในยุคสมัยฮั่นตะวันตกของอ๋องหวยหนาน (หลิวอัน) และบัณฑิตในสังกัด ต่อมาถูกนำถวายให้แก่องค์ฮั่นอู่ตี้ (ปี 138 ก่อนคริสตกาล) เดิมมีทั้งหมด 3 บทรวม 62 บรรพ: บทใน 21 บรรพยาวกว่าสองแสนอักษร (ปัจจุบันเหลือเพียงหนึ่งแสนสามหมื่นอักษร); บทกลาง 8 บรรพ (สูญหายไปแล้ว); และบทนอก 33 บรรพ (สูญหายไปแล้ว) โดยเนื้อหาของหวยหนานจื่อครอบคลุมเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ตำนานเล่าขาน (เช่นเรื่องหนี่ว์วาซ่อมแซมฟ้า โฮ่วอี้ยิงตะวัน) ข้อมูลทางธรรมชาติ (เช่นฤดูกาล) หลักหยินหยาง คำสอนขงจื๊อ คำสอนลัทธิเต๋า กลยุทธ์การศึกการทหาร ฯลฯ เรียบเรียงเป็นคำกล่าวสอนชี้ชวนให้คิดและสะท้อนปรัชญาชีวิต จัดเป็นหนึ่งในวรรณกรรมที่อ่านยากมากที่สุดของจีน ทั้งด้วยภาษาที่ใช้และเนื้อหาที่ลึกซึ้งแอบแฝง โดยมีหลายวรรคหลายประโยคที่ถูกยกย่องเป็น ‘วลีเด็ด’ ข้ามกาลเวลาจวบจนปัจจุบัน

    ประโยค “นักล่ากวางเมื่อเจอกระต่ายต้องยับยั้งชั่งใจ” แปลงมาจากหนึ่งในวรรคเด็ดของ ‘หวยหนานจื่อ-ซัวหลินซุ่น’ ที่อ่านเต็มๆ ว่า “นักล่ากวางไม่ยี่หระกระต่าย คนเจรจาสินค้าพันตำลึงทองไม่ถกเถียงเงินจำนวนเล็กน้อย” (逐鹿者不顾兔,决千金之货者不争铢两之价。) ความหมายก็คือว่า คนเราเมื่อมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ก็ไม่ควรวอกแวกไปกับเรื่องเล็กน้อยที่ผ่านเข้ามา เหมือนกับนักล่ากวางที่มีเป้าหมายคือกวาง ก็ไม่ควรเสียสมาธิและพลังงานไปกับการล่ากระต่ายที่ผ่านเข้ามา

    ส่วนประโยคหลัง “นักล่าสัตว์เจอภูเขาต้องมองให้กว้าง” แปลงมาจากอีกหนึ่งในวรรคเด็ดของ ‘หวยหนานจื่อ-ซัวหลินซุ่น’ ที่อ่านเต็มๆ ว่า “นักล่าสัตว์มองไม่เห็นภูเขาไท่ซาน ความกระหายภายนอกบดบังความกระจ่างภายในใจ” (逐兽者目不见太山,嗜欲在外,则明所蔽矣。) ความหมายก็คือว่า เมื่อเราใจจดจ่ออยู่กับบางอย่างเราจะมองไม่เห็นภาพใหญ่ เหมือนกับนายพรานที่มัวแต่มองเหยื่อจนไม่เห็นความสวยงามของภูเขา และความต้องการบางอย่างอาจรุนแรงจนบดบังสติความคิดที่ควรมี

    เมื่อเข้าใจบริบทที่มาของประโยคทั้งสองแล้ว เพื่อนเพจคงเข้าใจได้ไม่ยากถึงความนัยที่แท้จริง... พระเอกบอกว่า นางเอกสอนให้เขามองข้ามความสะใจชั่ววูบของการแก้แค้น แต่ให้มองการพลิกคดีของติ้งกั๋วกงและตระกูลเจี่ยงเป็นเป้าหมายใหญ่ และไม่ให้ความแค้นมาบดบังความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและภาระหน้าที่ในการผดุงธรรมเพื่อบ้านเมือง มองข้ามความรู้สึกส่วนตัวไปยังภาพที่ใหญ่กว่าซึ่งก็คือความเดือดร้อนหรือความสุขสงบของประชาชน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.cosmopolitan.com/tw/entertainment/movies/g63261255/blossom-ending/
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_27370559
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.ihchina.cn/details/7011.html
    https://paper.people.com.cn/fcyym/html/2024-08/02/content_26075300.htm
    https://ctext.org/huainanzi/shuo-lin-xun/zhs
    https://www.xinfajia.net/4835.html
    https://www.gushiwen.cn/mingju/juv_2e11ccdf0840.aspx
    https://www.shidianguji.com/zh/mingju/7474306868938162226

    #จิ่วฉงจื่อ #วลีจีน #หวยหนานจื่อ #นายพรานกับกระต่าย #สาระจีน
    **วลีจีน ‘นักล่ากวางไม่ยี่หระกระต่าย’** สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันสั้นๆ เรื่อง ‘วลีเด็ด’ เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> คงจำได้ว่าตอนท้ายเรื่องพระเอกขอลาออกจากราชการ เหตุผลของเขานั้นหากอ่านจากซับไทยอาจไม่ค่อยเข้าใจความหมาย Storyฯ จึงขอแปลใหม่โดยมีความแตกต่างจากซับไทยเล็กน้อยว่า “จนเมื่อมาพบกับโต้วเจา นางทำให้กระหม่อมรู้ว่า นักล่ากวางเมื่อเจอกระต่ายต้องยับยั้งชั่งใจ นักล่าสัตว์เจอภูเขาต้องมองให้กว้าง” (หมายเหตุ ในซับไทยใช้คำว่า ‘นายพราน’ ซึ่งไม่ผิดแต่ทำให้บริบทที่มาของวลีนี้ขาดหายไป) ยังฟังดูงงๆ ใช่ไหม? จะเข้าใจความหมายของมันก็ต้องเข้าใจบริบทและที่มาของมันค่ะ สองประโยค “นักล่ากวาง.... ต้องมองให้กว้าง” นี้ไม่ใช่วลีจีนโบราณ แต่มันมีรากฐานมาจากวรรณกรรมโบราณที่ชื่อว่า ‘หวยหนานจื่อ’ (淮南子 / บุรุษเมืองหวยหนาน) ถูกยกมาจากบรรพที่มีชื่อว่า ‘ซัวหลินซุ่น’ (说林训/ คำสอนจากป่าไม้) หวยหนานจื่อเป็นผลงานในยุคสมัยฮั่นตะวันตกของอ๋องหวยหนาน (หลิวอัน) และบัณฑิตในสังกัด ต่อมาถูกนำถวายให้แก่องค์ฮั่นอู่ตี้ (ปี 138 ก่อนคริสตกาล) เดิมมีทั้งหมด 3 บทรวม 62 บรรพ: บทใน 21 บรรพยาวกว่าสองแสนอักษร (ปัจจุบันเหลือเพียงหนึ่งแสนสามหมื่นอักษร); บทกลาง 8 บรรพ (สูญหายไปแล้ว); และบทนอก 33 บรรพ (สูญหายไปแล้ว) โดยเนื้อหาของหวยหนานจื่อครอบคลุมเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ตำนานเล่าขาน (เช่นเรื่องหนี่ว์วาซ่อมแซมฟ้า โฮ่วอี้ยิงตะวัน) ข้อมูลทางธรรมชาติ (เช่นฤดูกาล) หลักหยินหยาง คำสอนขงจื๊อ คำสอนลัทธิเต๋า กลยุทธ์การศึกการทหาร ฯลฯ เรียบเรียงเป็นคำกล่าวสอนชี้ชวนให้คิดและสะท้อนปรัชญาชีวิต จัดเป็นหนึ่งในวรรณกรรมที่อ่านยากมากที่สุดของจีน ทั้งด้วยภาษาที่ใช้และเนื้อหาที่ลึกซึ้งแอบแฝง โดยมีหลายวรรคหลายประโยคที่ถูกยกย่องเป็น ‘วลีเด็ด’ ข้ามกาลเวลาจวบจนปัจจุบัน ประโยค “นักล่ากวางเมื่อเจอกระต่ายต้องยับยั้งชั่งใจ” แปลงมาจากหนึ่งในวรรคเด็ดของ ‘หวยหนานจื่อ-ซัวหลินซุ่น’ ที่อ่านเต็มๆ ว่า “นักล่ากวางไม่ยี่หระกระต่าย คนเจรจาสินค้าพันตำลึงทองไม่ถกเถียงเงินจำนวนเล็กน้อย” (逐鹿者不顾兔,决千金之货者不争铢两之价。) ความหมายก็คือว่า คนเราเมื่อมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ก็ไม่ควรวอกแวกไปกับเรื่องเล็กน้อยที่ผ่านเข้ามา เหมือนกับนักล่ากวางที่มีเป้าหมายคือกวาง ก็ไม่ควรเสียสมาธิและพลังงานไปกับการล่ากระต่ายที่ผ่านเข้ามา ส่วนประโยคหลัง “นักล่าสัตว์เจอภูเขาต้องมองให้กว้าง” แปลงมาจากอีกหนึ่งในวรรคเด็ดของ ‘หวยหนานจื่อ-ซัวหลินซุ่น’ ที่อ่านเต็มๆ ว่า “นักล่าสัตว์มองไม่เห็นภูเขาไท่ซาน ความกระหายภายนอกบดบังความกระจ่างภายในใจ” (逐兽者目不见太山,嗜欲在外,则明所蔽矣。) ความหมายก็คือว่า เมื่อเราใจจดจ่ออยู่กับบางอย่างเราจะมองไม่เห็นภาพใหญ่ เหมือนกับนายพรานที่มัวแต่มองเหยื่อจนไม่เห็นความสวยงามของภูเขา และความต้องการบางอย่างอาจรุนแรงจนบดบังสติความคิดที่ควรมี เมื่อเข้าใจบริบทที่มาของประโยคทั้งสองแล้ว เพื่อนเพจคงเข้าใจได้ไม่ยากถึงความนัยที่แท้จริง... พระเอกบอกว่า นางเอกสอนให้เขามองข้ามความสะใจชั่ววูบของการแก้แค้น แต่ให้มองการพลิกคดีของติ้งกั๋วกงและตระกูลเจี่ยงเป็นเป้าหมายใหญ่ และไม่ให้ความแค้นมาบดบังความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและภาระหน้าที่ในการผดุงธรรมเพื่อบ้านเมือง มองข้ามความรู้สึกส่วนตัวไปยังภาพที่ใหญ่กว่าซึ่งก็คือความเดือดร้อนหรือความสุขสงบของประชาชน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.cosmopolitan.com/tw/entertainment/movies/g63261255/blossom-ending/ https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_27370559 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.ihchina.cn/details/7011.html https://paper.people.com.cn/fcyym/html/2024-08/02/content_26075300.htm https://ctext.org/huainanzi/shuo-lin-xun/zhs https://www.xinfajia.net/4835.html https://www.gushiwen.cn/mingju/juv_2e11ccdf0840.aspx https://www.shidianguji.com/zh/mingju/7474306868938162226 #จิ่วฉงจื่อ #วลีจีน #หวยหนานจื่อ #นายพรานกับกระต่าย #สาระจีน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องนี้เขียนไว้แล้วก่อนหน้านี้แต่ยังไม่ได้อัพขึ้นเฟซ เลยเห็นว่ามีในเพจอื่นมีคนเพิ่งเขียนถึงไปวันนี้ แต่อ่านดูแล้วไม่ขัดแต่ก็ไม่ตรงกันเสียหมด เลยคิดว่ายังคงลงเพจตามเดิมเพื่อเป็นความรู้เพิ่มเติมให้เพื่อนเพจ เพียงแต่เลื่อนกำหนดมาอัพขึ้นเพจเร็วขึ้น

    เพื่อนเพจที่ได้ดูซีรีส์จีนเรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> นี้จะทราบว่าในภาคอดีตนั้น นางเอกเป็นลูกศิษย์ของพระเอก Storyฯ เห็นพิธีกราบอาจารย์ของนางเอกก็เกิดความ ‘เอ๊ะ’ ทันที

    Storyฯ เคยเห็นแต่ศิษย์ยกน้ำชาโขกศีรษะคำนับอาจารย์ แต่ในละครนางเอกถือถาดเข้ามามอบให้อาจารย์ หน้าตาสิ่งของบนถาดคือตามรูป (ขวากลาง) จึงเกิดความสงสัย... ถาดนี้คือ? ในหนังสือนิยายไม่มีพูดถึงรายละเอียดของฉากนี้ Storyฯ เลยไปทำการบ้านมา

    จีนโบราณมีธรรมเนียมการมอบของให้อาจารย์เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์เรียกว่า ‘ลิ่วหลี่ซู่ซิว’ (六礼束脩 ซึ่งลิ่วหลี่แปลว่าหกพิธีการ ส่วนซู่ซิ่วหมายถึงเนื้อตากแห้งมัดเป็นพวงใช้แทนค่าเล่าเรียน ซึ่งจะเล่าต่อด้านล่าง)

    ลิ่วหลี่ซู่ซิวประกอบด้วยของหกอย่าง (ดูรูปประกอบขวาล่าง) ดังนี้
    1. ผักขึ้นฉ่าย – ภาษาจีนออกเสียงว่า ‘ฉินช่าย’ ซึ่งคำว่า ‘ฉิน’ พ้องเสียงกับคำว่าขยัน/ตั้งใจ หมายความว่า ลูกศิษย์จะขยันตั้งใจเรียน
    2. เมล็ดบัว - ซึ่งที่มาคือไส้เมล็ดบัวมีรสขม คำว่าไส้กับคำว่าใจคืออักษรเดียวกัน และ ‘ขมใจ’ ในภาษาจีนแปลได้ว่า เอาใจใส่/ตั้งใจ แม้จะยากลำบาก หมายความว่า ลูกศิษย์ทราบถึงความใส่ใจและความเพียรของอาจารย์ที่จะสั่งสอน
    3. ถั่วแดง - ซึ่งคำว่าแดงในภาษาจีนอ่านว่า ‘หง’ เป็นคำพ้องเสียงมาจากวลีที่ว่า หงอวิ้นเกาเจ้า (鸿运高照 แปลว่าโชคดีมาเยือน รุ่งเรืองเฉิดฉาย) เป็นการอวยพรให้ลูกศิษย์ประสบความสำเร็จ
    4. พุทราจีน - ภาษาจีนออกเสียงว่า ‘หงเจ่า’ ซึ่งคำว่า ‘เจ่า’ พ้องเสียงกับคำว่าเช้า/เร็ว ความหมายในที่นี้คือให้ลูกศิษย์สำเร็จวิชาอย่างรวดเร็ว (早早高中)
    5. ลำไย – ภาษาจีนเรียกว่า ‘หลงเหยี่ยน’ หรือชื่อเก่ากว่านั้นคือ ‘กุ้ยหยวน’ และ ‘หยวน’ แปลว่ากลมหรือบริบูรณ์ หมายถึงให้ลูกศิษย์มีครบบริบูรณ์ทั้งผลงานและคุณธรรม (功德圆满)
    6. เนื้อหมูตากแห้ง – (อยากจะเรียกว่า ‘แดดเดียว’ แต่เดี๋ยวจะนึกถึงอาหารบ้านเรา) การให้เนื้อตากแห้งมีที่มาจากคำเล่าขานว่า ขงจื้อเคยกล่าวว่าหากใครนำเนื้อตากแห้งมามอบให้ เขาจะไม่ปฏิเสธการรับคนผู้นั้นเป็นศิษย์ ดังนั้นการมอบเนื้อตากแห้งจึงเป็นการแสดงถึงความตั้งใจและความเคารพของลูกศิษย์ เป็นของขวัญ ‘แรกพบ’ ที่มอบให้อาจารย์ และต่อมากลายเป็นสัญลักษณ์ของค่าเล่าเรียน

    แต่ภาพในละครไม่เหมือนเป๊ะกับข้อมูลข้างต้น? (ดูรูปขวากลาง) Storyฯ เลยต้องไปทำการบ้านเพิ่ม

    เลยพบว่าเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับขงจื้อนั้น มีการวิเคราะห์กันแพร่หลายว่า ขงจื้อหมายความเรื่องเนื้อตากแห้งอย่างนั้นจริงหรือไม่? เพราะจีนโบราณประโยคสั้นอักษรน้อย อาจตีความได้หลากหลาย จึงมีอีกการวิเคราะห์ว่า เนื่องด้วยขงจื้อไม่เคยแบ่งแยกฐานะและชนชั้น ดังนั้นความหมายจริงๆ ของขงจื้อคือว่า ใครก็ตามที่มากราบขอเป็นศิษย์ย่อมรับไว้ Storyฯ เลยไม่แน่ใจว่าเพราะอย่างนี้หรือไม่ ถาดไหว้อาจารย์ในละครจึงขาดรายการนี้ไป

    และถ้าเพื่อนเพจสังเกตดีๆ จะเห็นว่าในละครไม่มีถั่วแดง แต่เป็นลูกเกาลัด Storyฯ ลองไปหาข้อมูลดู ไม่ปรากฎว่า ‘ลิ่วหลี่ซู่ซิว’ ให้ใช้เกาลัดแทนถั่วแดง แต่คำว่าลูกเกาลัดหรือ ‘ลี่’ นั้นภาษาจีนพ้องเสียงกับคำที่แปลว่าตั้งขึ้น ในหลายโอกาสใช้แทนความหมายว่าสร้างรากฐานได้มั่นคง Storyฯ เลยสันนิษฐานว่าในละครคงมีความหมายนี้

    หากใครมีข้อมูลเพิ่มเติมมาเล่าสู่กันฟังเพิ่มเติมได้นะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.163.com/dy/article/GIB87TR80524M8IF.html
    https://k.sina.cn/article_6897601262_19b210aee00100omuu.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.douban.com/group/topic/169323296/
    https://m.sohu.com/n/468143035/
    https://k.sina.cn/article_6897601262_19b210aee00100omuu.html
    https://wenda.huabaike.com/hywd/34686.html

    #ทุกชาติภพกระดูกงดงาม #สืออี๋ #ธรรมเนียมจีนโบราณ #ประเพณีจีน #กราบอาจารย์ #ลิ่วหลี่ซู่ซิว #ความหมายผักคึ่นฉ่าย #ความหมายถั่วแดง #ความหมายเมล็ดบัว #ความหมายพุทราจีน #ความหมายลำไย #ฉินช่าย #หงโต้ว #เหลียนจื่อ #กุ้ยหยวน #หงเจ่า
    เรื่องนี้เขียนไว้แล้วก่อนหน้านี้แต่ยังไม่ได้อัพขึ้นเฟซ เลยเห็นว่ามีในเพจอื่นมีคนเพิ่งเขียนถึงไปวันนี้ แต่อ่านดูแล้วไม่ขัดแต่ก็ไม่ตรงกันเสียหมด เลยคิดว่ายังคงลงเพจตามเดิมเพื่อเป็นความรู้เพิ่มเติมให้เพื่อนเพจ เพียงแต่เลื่อนกำหนดมาอัพขึ้นเพจเร็วขึ้น เพื่อนเพจที่ได้ดูซีรีส์จีนเรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> นี้จะทราบว่าในภาคอดีตนั้น นางเอกเป็นลูกศิษย์ของพระเอก Storyฯ เห็นพิธีกราบอาจารย์ของนางเอกก็เกิดความ ‘เอ๊ะ’ ทันที Storyฯ เคยเห็นแต่ศิษย์ยกน้ำชาโขกศีรษะคำนับอาจารย์ แต่ในละครนางเอกถือถาดเข้ามามอบให้อาจารย์ หน้าตาสิ่งของบนถาดคือตามรูป (ขวากลาง) จึงเกิดความสงสัย... ถาดนี้คือ? ในหนังสือนิยายไม่มีพูดถึงรายละเอียดของฉากนี้ Storyฯ เลยไปทำการบ้านมา จีนโบราณมีธรรมเนียมการมอบของให้อาจารย์เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์เรียกว่า ‘ลิ่วหลี่ซู่ซิว’ (六礼束脩 ซึ่งลิ่วหลี่แปลว่าหกพิธีการ ส่วนซู่ซิ่วหมายถึงเนื้อตากแห้งมัดเป็นพวงใช้แทนค่าเล่าเรียน ซึ่งจะเล่าต่อด้านล่าง) ลิ่วหลี่ซู่ซิวประกอบด้วยของหกอย่าง (ดูรูปประกอบขวาล่าง) ดังนี้ 1. ผักขึ้นฉ่าย – ภาษาจีนออกเสียงว่า ‘ฉินช่าย’ ซึ่งคำว่า ‘ฉิน’ พ้องเสียงกับคำว่าขยัน/ตั้งใจ หมายความว่า ลูกศิษย์จะขยันตั้งใจเรียน 2. เมล็ดบัว - ซึ่งที่มาคือไส้เมล็ดบัวมีรสขม คำว่าไส้กับคำว่าใจคืออักษรเดียวกัน และ ‘ขมใจ’ ในภาษาจีนแปลได้ว่า เอาใจใส่/ตั้งใจ แม้จะยากลำบาก หมายความว่า ลูกศิษย์ทราบถึงความใส่ใจและความเพียรของอาจารย์ที่จะสั่งสอน 3. ถั่วแดง - ซึ่งคำว่าแดงในภาษาจีนอ่านว่า ‘หง’ เป็นคำพ้องเสียงมาจากวลีที่ว่า หงอวิ้นเกาเจ้า (鸿运高照 แปลว่าโชคดีมาเยือน รุ่งเรืองเฉิดฉาย) เป็นการอวยพรให้ลูกศิษย์ประสบความสำเร็จ 4. พุทราจีน - ภาษาจีนออกเสียงว่า ‘หงเจ่า’ ซึ่งคำว่า ‘เจ่า’ พ้องเสียงกับคำว่าเช้า/เร็ว ความหมายในที่นี้คือให้ลูกศิษย์สำเร็จวิชาอย่างรวดเร็ว (早早高中) 5. ลำไย – ภาษาจีนเรียกว่า ‘หลงเหยี่ยน’ หรือชื่อเก่ากว่านั้นคือ ‘กุ้ยหยวน’ และ ‘หยวน’ แปลว่ากลมหรือบริบูรณ์ หมายถึงให้ลูกศิษย์มีครบบริบูรณ์ทั้งผลงานและคุณธรรม (功德圆满) 6. เนื้อหมูตากแห้ง – (อยากจะเรียกว่า ‘แดดเดียว’ แต่เดี๋ยวจะนึกถึงอาหารบ้านเรา) การให้เนื้อตากแห้งมีที่มาจากคำเล่าขานว่า ขงจื้อเคยกล่าวว่าหากใครนำเนื้อตากแห้งมามอบให้ เขาจะไม่ปฏิเสธการรับคนผู้นั้นเป็นศิษย์ ดังนั้นการมอบเนื้อตากแห้งจึงเป็นการแสดงถึงความตั้งใจและความเคารพของลูกศิษย์ เป็นของขวัญ ‘แรกพบ’ ที่มอบให้อาจารย์ และต่อมากลายเป็นสัญลักษณ์ของค่าเล่าเรียน แต่ภาพในละครไม่เหมือนเป๊ะกับข้อมูลข้างต้น? (ดูรูปขวากลาง) Storyฯ เลยต้องไปทำการบ้านเพิ่ม เลยพบว่าเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับขงจื้อนั้น มีการวิเคราะห์กันแพร่หลายว่า ขงจื้อหมายความเรื่องเนื้อตากแห้งอย่างนั้นจริงหรือไม่? เพราะจีนโบราณประโยคสั้นอักษรน้อย อาจตีความได้หลากหลาย จึงมีอีกการวิเคราะห์ว่า เนื่องด้วยขงจื้อไม่เคยแบ่งแยกฐานะและชนชั้น ดังนั้นความหมายจริงๆ ของขงจื้อคือว่า ใครก็ตามที่มากราบขอเป็นศิษย์ย่อมรับไว้ Storyฯ เลยไม่แน่ใจว่าเพราะอย่างนี้หรือไม่ ถาดไหว้อาจารย์ในละครจึงขาดรายการนี้ไป และถ้าเพื่อนเพจสังเกตดีๆ จะเห็นว่าในละครไม่มีถั่วแดง แต่เป็นลูกเกาลัด Storyฯ ลองไปหาข้อมูลดู ไม่ปรากฎว่า ‘ลิ่วหลี่ซู่ซิว’ ให้ใช้เกาลัดแทนถั่วแดง แต่คำว่าลูกเกาลัดหรือ ‘ลี่’ นั้นภาษาจีนพ้องเสียงกับคำที่แปลว่าตั้งขึ้น ในหลายโอกาสใช้แทนความหมายว่าสร้างรากฐานได้มั่นคง Storyฯ เลยสันนิษฐานว่าในละครคงมีความหมายนี้ หากใครมีข้อมูลเพิ่มเติมมาเล่าสู่กันฟังเพิ่มเติมได้นะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.163.com/dy/article/GIB87TR80524M8IF.html https://k.sina.cn/article_6897601262_19b210aee00100omuu.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.douban.com/group/topic/169323296/ https://m.sohu.com/n/468143035/ https://k.sina.cn/article_6897601262_19b210aee00100omuu.html https://wenda.huabaike.com/hywd/34686.html #ทุกชาติภพกระดูกงดงาม #สืออี๋ #ธรรมเนียมจีนโบราณ #ประเพณีจีน #กราบอาจารย์ #ลิ่วหลี่ซู่ซิว #ความหมายผักคึ่นฉ่าย #ความหมายถั่วแดง #ความหมายเมล็ดบัว #ความหมายพุทราจีน #ความหมายลำไย #ฉินช่าย #หงโต้ว #เหลียนจื่อ #กุ้ยหยวน #หงเจ่า
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 340 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความมีอยู่ว่า
    ...กว่าโจวเซิงเฉินจะกลับมาถึง สองผนังของหออักษรก็ถูกนางเขียนจนเต็ม... โจวเซิงเฉินเดินหาทั่วจวนหวาง จนกระทั่งเดินถึงชั้นบนของหออักษร จึงเห็นดรุณีที่ก่อนหน้านี้ยกน้ำชาอย่างเรียบร้อยเพื่อกราบตนเป็นอาจารย์ บัดนี้กลับเขียนบท “ซ่างหลินฟู่” ของซือหม่าเซียงหรูอยู่บนผนัง
    ชัดเจนต่อเนื่อง ไม่ตกหล่นแม้เพียงอักษรเดียว
    เพียงแต่ชะงักหยุดตรงวรรคที่เกี่ยวกับความรักหญิงชาย: คิ้วยาวเรียวงาม เบาบางดุจฝ้าย...
    ...เขายิ้มเอ่ย “วรรคต่อคือ: นัยน์ตาสื่อรัก ใจประสานใจ”...
    - จากเรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> ผู้แต่ง โม่เป่าเฟยเป่า
    (หมายเหตุ บทความ Storyฯ แปลเอง ยกเว้นวรรคสุดท้ายยกมาจากซับไทยในละครจ้า)

    เพื่อนเพจที่ได้ดูละคร/อ่านนิยาย <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> จะคุ้นตากับบทประพันธ์ชื่อว่า “ซ่างหลินฟู่” ที่ดูจะมีบทบาทช่วยเดินเรื่อง เคยมีคนเขียนเกี่ยวกับบทประพันธ์นี้ไปบ้างแล้ว แต่ Storyฯ ยังหวังว่าบทความนี้จะให้ความรู้ได้ในอีกแง่มุม

    “ซ่างหลินฟู่” (上林赋) เป็นบทประพันธ์โดยซือหม่าเซียงหรู (779 – 117 ปีก่อนคริสตกาล) ศิลปินเอกในยุคสมัยองค์ฮั่นอู่ตี้แห่งราชวงศ์ฮั่น ที่เรียกเขาว่า ‘ศิลปิน’ เพราะเชี่ยวชาญทั้งด้านอักษรและการดนตรี เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยได้ยินชื่อของเขาจากเรื่องราวเกี่ยวกับเพลงพิณ “หงส์ตามหาคู่”

    “ซ่างหลินฟู่” เป็นหนึ่งในสองวรรณกรรมที่ถูกยกย่องว่าเป็น ‘ที่สุด’ ของซือหม่าเซียงหรูและเป็นหนึ่งในบทประพันธ์ที่มีคุณค่าทางการศึกษามาตลอดทุกยุคสมัย ตั้งแต่ฮั่น ผ่านถัง ซ่ง หมิง ฯลฯ จวบจนปัจจุบัน จัดเป็นหนึ่งในวรรณกรรมที่อ่านยากที่สุดของจีน ยาวประมาณสี่พันอักษร (ภาพประกอบเป็นฉบับแปลเป็นภาษาปัจจุบันแล้ว)

    ทีแรก Storyฯ เข้าใจจากเนื้อเรื่องละครว่า “ซ่างหลินฟู่” คงเป็นกลอนรัก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ค่ะ

    “ซ่างหลินฟู่” เป็นเรื่องราวประพาสล่าสัตว์ของฮ่องเต้และบรรยายถึงความอลังการของอุทยานซ่างหลิน (ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของนครฉางอัน) เล่าผ่านเรื่องราวและตัวละครที่ไม่มีตัวตนจริงเช่น กษัตริย์แห่งแคว้นฉู่ เป็นบทความที่องค์ฮั่นอู่ตี้ทรงขอและซือหม่าเซียงหรูใช้เวลา 10 ปีกว่าจะนำบทประพันธ์นี้ถวาย

    เพราะอะไรจึงเป็นบทประพันธ์ที่มีคุณค่าทางการศึกษา? Storyฯ สรุปสั้นๆ ได้ดังนี้ค่ะ
    1. รูปแบบ - “ฟู่” เป็นวรรณกรรมซึ่งไม่มีรูปแบบตายตัวเหมือนโคลงกลอน ลักษณะเหมือนการเขียนเรื่องสั้น หากแต่ภาษาสวยงามผสมผสานคำคล้องจองลงไปเป็นช่วงๆ ซ่างหลินฟู่เป็นต้นแบบของวรรณกรรมจีนโบราณที่โด่งดังอีกหลายบทในรูปแบบ “ฟู่” นี้
    2. ภาษา - ดีกรีความ ‘เข้มข้น’ สูงมาก ไพเราะสละสลวย วรรคสั้นแต่มีนัยแฝงลึกซึ้ง ใช้คำที่แปลก (คำหลายคำไม่มีในพจนานุกรมจีนปัจจุบันแล้ว) Storyฯ เห็นในเพจต่างๆ ต้องมีการตีความและอธิบายความหมายจากจีนเป็นจีนเกือบทุกวรรค (วรรคละ3-4 อักษร) เพื่อนๆ ลองนึกภาพเอาแล้วกันว่ายากแค่ไหน
    3. สาระ - สอดแทรกปรัชญาและคุณธรรมการปกครองบ้านเมืองผ่านบทสนทนาโต้ตอบกันของตัวละครในเรื่อง ชนรุ่นหลังถึงกับมีคนวิเคราะห์ว่าเป็นการเสียดสีการปกครองในเวลานั้นหรือไม่

    ประโยคที่กล่าวถึงความรักลึกซึ้งในข้อความที่ยกมาจากนิยายนั้น จริงๆ แล้วเป็นวรรคที่ยกมาจากตอนที่กล่าวเตือนใจให้ผู้ที่ปกครองบ้านเมืองอย่ามัวเมาในเรื่องของหญิงชายจนลืมกิจการบ้านเมือง (ขออภัยหากข้อมูลนี้ทำให้ลดทอนความโรแมนติคของละคร/นิยายเรื่องนี้ไป)

    ทำให้ Storyฯ อดรู้สึกไม่ได้ว่า ละครเรื่องนี้ไม่เพียงเล่าถึงความรักลึกซึ้งระหว่างพระนาง แต่ยังสอดแทรกความรักอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อประเทศชาติที่สะท้อนผ่านปรัชญาชีวิตของตัวละครเอกโจวเซิงเฉิน เพื่อนเพจที่เคยดู/อ่านเรื่องนี้ คิดเหมือนกันบ้างไหม?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.163.com/dy/article/GIB87TR80524M8IF.html
    https://m.cngwzj.com/gushitp/LiangHan/68357/
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.jianshu.com/p/4437a2086012
    https://www.liuxue86.com/a/3552681.html
    https://www.kekeshici.com/shiciwenzhang/shicirumen/2093.html

    #ทุกชาติภพกระดูกงดงาม #สืออี๋ #โจวเซินเฉิน #กวีจีน #ซ่างหลินฟู่ #ซือหม่าเซียงหรู
    ความมีอยู่ว่า ...กว่าโจวเซิงเฉินจะกลับมาถึง สองผนังของหออักษรก็ถูกนางเขียนจนเต็ม... โจวเซิงเฉินเดินหาทั่วจวนหวาง จนกระทั่งเดินถึงชั้นบนของหออักษร จึงเห็นดรุณีที่ก่อนหน้านี้ยกน้ำชาอย่างเรียบร้อยเพื่อกราบตนเป็นอาจารย์ บัดนี้กลับเขียนบท “ซ่างหลินฟู่” ของซือหม่าเซียงหรูอยู่บนผนัง ชัดเจนต่อเนื่อง ไม่ตกหล่นแม้เพียงอักษรเดียว เพียงแต่ชะงักหยุดตรงวรรคที่เกี่ยวกับความรักหญิงชาย: คิ้วยาวเรียวงาม เบาบางดุจฝ้าย... ...เขายิ้มเอ่ย “วรรคต่อคือ: นัยน์ตาสื่อรัก ใจประสานใจ”... - จากเรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> ผู้แต่ง โม่เป่าเฟยเป่า (หมายเหตุ บทความ Storyฯ แปลเอง ยกเว้นวรรคสุดท้ายยกมาจากซับไทยในละครจ้า) เพื่อนเพจที่ได้ดูละคร/อ่านนิยาย <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> จะคุ้นตากับบทประพันธ์ชื่อว่า “ซ่างหลินฟู่” ที่ดูจะมีบทบาทช่วยเดินเรื่อง เคยมีคนเขียนเกี่ยวกับบทประพันธ์นี้ไปบ้างแล้ว แต่ Storyฯ ยังหวังว่าบทความนี้จะให้ความรู้ได้ในอีกแง่มุม “ซ่างหลินฟู่” (上林赋) เป็นบทประพันธ์โดยซือหม่าเซียงหรู (779 – 117 ปีก่อนคริสตกาล) ศิลปินเอกในยุคสมัยองค์ฮั่นอู่ตี้แห่งราชวงศ์ฮั่น ที่เรียกเขาว่า ‘ศิลปิน’ เพราะเชี่ยวชาญทั้งด้านอักษรและการดนตรี เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยได้ยินชื่อของเขาจากเรื่องราวเกี่ยวกับเพลงพิณ “หงส์ตามหาคู่” “ซ่างหลินฟู่” เป็นหนึ่งในสองวรรณกรรมที่ถูกยกย่องว่าเป็น ‘ที่สุด’ ของซือหม่าเซียงหรูและเป็นหนึ่งในบทประพันธ์ที่มีคุณค่าทางการศึกษามาตลอดทุกยุคสมัย ตั้งแต่ฮั่น ผ่านถัง ซ่ง หมิง ฯลฯ จวบจนปัจจุบัน จัดเป็นหนึ่งในวรรณกรรมที่อ่านยากที่สุดของจีน ยาวประมาณสี่พันอักษร (ภาพประกอบเป็นฉบับแปลเป็นภาษาปัจจุบันแล้ว) ทีแรก Storyฯ เข้าใจจากเนื้อเรื่องละครว่า “ซ่างหลินฟู่” คงเป็นกลอนรัก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ค่ะ “ซ่างหลินฟู่” เป็นเรื่องราวประพาสล่าสัตว์ของฮ่องเต้และบรรยายถึงความอลังการของอุทยานซ่างหลิน (ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของนครฉางอัน) เล่าผ่านเรื่องราวและตัวละครที่ไม่มีตัวตนจริงเช่น กษัตริย์แห่งแคว้นฉู่ เป็นบทความที่องค์ฮั่นอู่ตี้ทรงขอและซือหม่าเซียงหรูใช้เวลา 10 ปีกว่าจะนำบทประพันธ์นี้ถวาย เพราะอะไรจึงเป็นบทประพันธ์ที่มีคุณค่าทางการศึกษา? Storyฯ สรุปสั้นๆ ได้ดังนี้ค่ะ 1. รูปแบบ - “ฟู่” เป็นวรรณกรรมซึ่งไม่มีรูปแบบตายตัวเหมือนโคลงกลอน ลักษณะเหมือนการเขียนเรื่องสั้น หากแต่ภาษาสวยงามผสมผสานคำคล้องจองลงไปเป็นช่วงๆ ซ่างหลินฟู่เป็นต้นแบบของวรรณกรรมจีนโบราณที่โด่งดังอีกหลายบทในรูปแบบ “ฟู่” นี้ 2. ภาษา - ดีกรีความ ‘เข้มข้น’ สูงมาก ไพเราะสละสลวย วรรคสั้นแต่มีนัยแฝงลึกซึ้ง ใช้คำที่แปลก (คำหลายคำไม่มีในพจนานุกรมจีนปัจจุบันแล้ว) Storyฯ เห็นในเพจต่างๆ ต้องมีการตีความและอธิบายความหมายจากจีนเป็นจีนเกือบทุกวรรค (วรรคละ3-4 อักษร) เพื่อนๆ ลองนึกภาพเอาแล้วกันว่ายากแค่ไหน 3. สาระ - สอดแทรกปรัชญาและคุณธรรมการปกครองบ้านเมืองผ่านบทสนทนาโต้ตอบกันของตัวละครในเรื่อง ชนรุ่นหลังถึงกับมีคนวิเคราะห์ว่าเป็นการเสียดสีการปกครองในเวลานั้นหรือไม่ ประโยคที่กล่าวถึงความรักลึกซึ้งในข้อความที่ยกมาจากนิยายนั้น จริงๆ แล้วเป็นวรรคที่ยกมาจากตอนที่กล่าวเตือนใจให้ผู้ที่ปกครองบ้านเมืองอย่ามัวเมาในเรื่องของหญิงชายจนลืมกิจการบ้านเมือง (ขออภัยหากข้อมูลนี้ทำให้ลดทอนความโรแมนติคของละคร/นิยายเรื่องนี้ไป) ทำให้ Storyฯ อดรู้สึกไม่ได้ว่า ละครเรื่องนี้ไม่เพียงเล่าถึงความรักลึกซึ้งระหว่างพระนาง แต่ยังสอดแทรกความรักอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อประเทศชาติที่สะท้อนผ่านปรัชญาชีวิตของตัวละครเอกโจวเซิงเฉิน เพื่อนเพจที่เคยดู/อ่านเรื่องนี้ คิดเหมือนกันบ้างไหม? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.163.com/dy/article/GIB87TR80524M8IF.html https://m.cngwzj.com/gushitp/LiangHan/68357/ Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.jianshu.com/p/4437a2086012 https://www.liuxue86.com/a/3552681.html https://www.kekeshici.com/shiciwenzhang/shicirumen/2093.html #ทุกชาติภพกระดูกงดงาม #สืออี๋ #โจวเซินเฉิน #กวีจีน #ซ่างหลินฟู่ #ซือหม่าเซียงหรู
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 335 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีเพื่อนเพจเคยขอให้เขียนถึงองครักษ์เสื้อแพรนอกเหนือจากที่มีในซีรีส์ ข้อมูลหาไม่ง่าย วันนี้เริ่มด้วยเรื่องเงินๆ ทองๆ ยาวหน่อยนะคะ แต่เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายคนต้องเคยสงสัยเกี่ยวกับเรื่องค่าเงิน

    ความมีอยู่ว่า
    ...เกาชิ่งมาเรียกหาจินเซี่ยแล้วถาม: “ใต้เท้าลู่มีคำถาม วันนี้เช่าเรือทั้งหมดสองเหลี่ยง รวมค่าชาและขนมบนเรืออีก คิดเป็นประมาณสามเฉียนแล้วกัน ท่านใต้เท้าออกเงินไปให้ก่อน แต่ถามว่าเมื่อใดพวกเจ้าจึงจะใช้คืน?”....
    - จากเรื่อง <เบื้องล่างของเสื้อแพร> ผู้แต่ง หลานเส้อซือ
    (หมายเหตุ ละครเรื่องยอดองค์รักษ์เสื้อแพรดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    ก่อนอื่นเทียบมูลค่าเงิน: 1 ตำลึงเงิน (เหลี่ยง) = 1,000 เฉียน (คือ เหวิน หรือ อีแปะ) = 1 ก้วน (พวงเหรียญเฉียน)

    ก่อนจะพูดถึงรายรับ เราดูค่าครองชีพกันหน่อย ราชวงศ์หมิงยาวนานเกือบ 300 ปี แต่ลู่ปิ่งและลู่อี้มีตัวตนจริงอยู่ในรัชสมัยขององค์หมิงสื้อจง (ค.ศ. 1521-1567) (Storyฯ เคยเขียนถึงมาหลายเดือนก่อน) ในยุคสมัยนั้น เนื้อหมูหนึ่งชั่งราคา 7-8 เฉียน เนื้อไก่หนึ่งชั่งราคา 3-4 เฉียน (เทียบเท่าน้ำหนักปัจจุบัน 595 กรัม) ดังนั้นราคาขนมและชาที่ยกข้อความมาจากในนิยายข้างต้นก็พอจะฟังดูสมเหตุสมผล

    คำถามต่อมาคือ องครักษ์เสื้อแพรมีรายรับเท่าไหร่เมื่อเทียบกับค่าครองชีพตามข้างต้น?

    มีตารางข้อมูลจาก “หมิงสื่อ /明史” หรือบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงมาให้ดู (ดูรูปประกอบ) เป็นอัตราเงินเดือนของขุนนางที่กำหนดไว้โดยปฐมกษัตริย์จูหยวนจาง จ่ายเป็นเดือน แต่กำหนดอัตราไว้เป็นรายปี วงให้ดูว่าเงินเดือนของใต้เท้าลู่อี้และพ่อของเขาคือ:
    ลู่ถิง (ในนิยายชื่อลู่ปิ่ง) เป็นผู้บัญชาการสูงสุดขององครักษ์เสื้อแพร ยศขุนนางขั้นที่สามเต็ม ได้เงินเดือนเป็นข้าวสาร 420 ตาน/ปี (เขียนหน่วยเป็นสือ ต่อมาเรียกเป็นตาน) ส่วนใต้เท้าลู่อี้ของเราในนิยายกล่าวไว้ว่าตอนที่แรกพบกับนางเอก เขาเป็นเพียงขุนนางขั้นที่เจ็ดล่าง ได้เงินเดือนเป็นข้าวสาร 84 ตาน/ปี หรือ 7 ตาน/เดือน

    ท่านอ่านไม่ผิดค่ะ เงินเดือนของข้าราชการสมัยนั้นปกติจ่ายเป็นข้าวสาร

    ข้าวสารหนึ่งตานสมัยนั้นหน้าตาเป็นกระบุงหาบ เทียบเท่าน้ำหนักปัจจุบันประมาณ 60 กก. เชื่อว่าขุนนางระดับสูงเวลารับเงินเดือนต้องใช้รถเข็นเลยทีเดียว

    แล้วถ้าคิดเป็นเงินล่ะ? อันนี้ผันแปรตามเงินเฟ้อ ข้าวสารหนึ่งตานในสมัยของใต้เท้าลู่นั้นราคา 0.584 ตำลึงเงิน ดังนั้นใต้เท้าลู่มีเงินเดือนเพียงประมาณ 4 ตำลึงเงิน/เดือน หรือ 4,000 เฉียนเท่านั้น! (ภาพการควักเงินหยวนเป่าออกมาวางให้เสี่ยวเอ้อตาโต หายแวบไปจากมโนของ Storyฯ ทันที)

    แล้วถ้าเปรียบเทียบวิชาชีพอื่น? สรุปโดยประมาณได้ดังนี้: ค่าจ้าง 600-1,700 เฉียน/เดือนขึ้นอยู่กับระดับงาน แผงขายอาหารในเมืองใหญ่ 1,300-1,600 เฉียน/เดือน ที่ดูจะรายได้ดีมากคือคนขับรถม้าที่ 3,000 เฉียน/เดือนเลยทีเดียว (หาไม่พบว่าเป็นเพราะอะไร) ส่วนเกษตรกรรายได้เฉลี่ย 750-1,200 เฉียน/เดือน

    แต่ขุนนางมี ‘สวัสดิการ’ อย่างอื่นด้วยคือผ้า เงินค่าน้ำชา ฟืน ชุดประจำตำแหน่ง จวนประจำตำแหน่ง เป็นต้น และยังไม่ต้องเสียภาษีเหมือนชาวนาหรือพ่อค้า แน่นอนว่าการต้องเลี้ยงบ่าวไพร่ทั้งเรือนก็มีค่าใช้จ่ายสูงอยู่ แต่เทียบกับวิชาชีพอื่นแล้ว หากได้เป็นขุนนางติดยศชีวิตความเป็นอยู่จะดีมาก

    สมัยนั้นตำแหน่งจอหงวนคือลำดับหกเต็ม Storyฯ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมคนถึงขวนขวายเข้าเมืองหลวงสอบจอหงวนกัน ยศสูงกว่าใต้เท้าลู่อี้เสียอีก! (วันนี้คุยเรื่องเงินทอง ไม่คุยเรื่องอุดมการณ์ค่ะ)

    เขียนเพิ่มเติมหลังจากอัพเพจครั้งแรก:
    ในช่วงเวลาที่ไม่ปกติ เช่นแล้ง หรือเกิดสงคราม ข้าวในคลังมีน้อย หรือในฤดูที่ไม่มีการเก็บเกี่ยว มีการแก้ไขการจ่ายเงินเดือนข้าราชการ โดยกำหนดมูลค่าของข้าวเทียบเท่าของอย่างอื่น เช่น ผ้าผืน พริกไทย ใบชา เป็นต้น (อะไรก็ได้ที่มีมากในคลังหลวง) ต่อมาจึงมีแบ่งจ่ายเป็นตั๋วเงินด้วย ต่อมาในช่วงปลายราชวงศ์หมิงจึงเปลี่ยนมากำหนดให้จ่ายเป็นข้าว ตั๋วเงินและเงิน แต่ยังคงเทียบอัตราเงินเดือนเป็นข้าวสารอยู่

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากและข้อมูลเรียบเรียงจาก:
    https://www.sohu.com/a/360665261_162238
    https://www.bilibili.com/read/cv9844919
    https://www.zmkm8.com/artdata-94382.html
    https://www.sohu.com/a/273067566_559864
    http://www.gushizhuan.com/gdws/284082.html

    #ใต้เท้าลู่ #องครักษ์เสื้อแพร #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #ราชวงศ์หมิง #วัฒนธรรมจีนโบราณ #เงินจีนโบราณ #เงินเดือนข้าราชการจีน
    มีเพื่อนเพจเคยขอให้เขียนถึงองครักษ์เสื้อแพรนอกเหนือจากที่มีในซีรีส์ ข้อมูลหาไม่ง่าย วันนี้เริ่มด้วยเรื่องเงินๆ ทองๆ ยาวหน่อยนะคะ แต่เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายคนต้องเคยสงสัยเกี่ยวกับเรื่องค่าเงิน ความมีอยู่ว่า ...เกาชิ่งมาเรียกหาจินเซี่ยแล้วถาม: “ใต้เท้าลู่มีคำถาม วันนี้เช่าเรือทั้งหมดสองเหลี่ยง รวมค่าชาและขนมบนเรืออีก คิดเป็นประมาณสามเฉียนแล้วกัน ท่านใต้เท้าออกเงินไปให้ก่อน แต่ถามว่าเมื่อใดพวกเจ้าจึงจะใช้คืน?”.... - จากเรื่อง <เบื้องล่างของเสื้อแพร> ผู้แต่ง หลานเส้อซือ (หมายเหตุ ละครเรื่องยอดองค์รักษ์เสื้อแพรดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) ก่อนอื่นเทียบมูลค่าเงิน: 1 ตำลึงเงิน (เหลี่ยง) = 1,000 เฉียน (คือ เหวิน หรือ อีแปะ) = 1 ก้วน (พวงเหรียญเฉียน) ก่อนจะพูดถึงรายรับ เราดูค่าครองชีพกันหน่อย ราชวงศ์หมิงยาวนานเกือบ 300 ปี แต่ลู่ปิ่งและลู่อี้มีตัวตนจริงอยู่ในรัชสมัยขององค์หมิงสื้อจง (ค.ศ. 1521-1567) (Storyฯ เคยเขียนถึงมาหลายเดือนก่อน) ในยุคสมัยนั้น เนื้อหมูหนึ่งชั่งราคา 7-8 เฉียน เนื้อไก่หนึ่งชั่งราคา 3-4 เฉียน (เทียบเท่าน้ำหนักปัจจุบัน 595 กรัม) ดังนั้นราคาขนมและชาที่ยกข้อความมาจากในนิยายข้างต้นก็พอจะฟังดูสมเหตุสมผล คำถามต่อมาคือ องครักษ์เสื้อแพรมีรายรับเท่าไหร่เมื่อเทียบกับค่าครองชีพตามข้างต้น? มีตารางข้อมูลจาก “หมิงสื่อ /明史” หรือบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงมาให้ดู (ดูรูปประกอบ) เป็นอัตราเงินเดือนของขุนนางที่กำหนดไว้โดยปฐมกษัตริย์จูหยวนจาง จ่ายเป็นเดือน แต่กำหนดอัตราไว้เป็นรายปี วงให้ดูว่าเงินเดือนของใต้เท้าลู่อี้และพ่อของเขาคือ: ลู่ถิง (ในนิยายชื่อลู่ปิ่ง) เป็นผู้บัญชาการสูงสุดขององครักษ์เสื้อแพร ยศขุนนางขั้นที่สามเต็ม ได้เงินเดือนเป็นข้าวสาร 420 ตาน/ปี (เขียนหน่วยเป็นสือ ต่อมาเรียกเป็นตาน) ส่วนใต้เท้าลู่อี้ของเราในนิยายกล่าวไว้ว่าตอนที่แรกพบกับนางเอก เขาเป็นเพียงขุนนางขั้นที่เจ็ดล่าง ได้เงินเดือนเป็นข้าวสาร 84 ตาน/ปี หรือ 7 ตาน/เดือน ท่านอ่านไม่ผิดค่ะ เงินเดือนของข้าราชการสมัยนั้นปกติจ่ายเป็นข้าวสาร ข้าวสารหนึ่งตานสมัยนั้นหน้าตาเป็นกระบุงหาบ เทียบเท่าน้ำหนักปัจจุบันประมาณ 60 กก. เชื่อว่าขุนนางระดับสูงเวลารับเงินเดือนต้องใช้รถเข็นเลยทีเดียว แล้วถ้าคิดเป็นเงินล่ะ? อันนี้ผันแปรตามเงินเฟ้อ ข้าวสารหนึ่งตานในสมัยของใต้เท้าลู่นั้นราคา 0.584 ตำลึงเงิน ดังนั้นใต้เท้าลู่มีเงินเดือนเพียงประมาณ 4 ตำลึงเงิน/เดือน หรือ 4,000 เฉียนเท่านั้น! (ภาพการควักเงินหยวนเป่าออกมาวางให้เสี่ยวเอ้อตาโต หายแวบไปจากมโนของ Storyฯ ทันที) แล้วถ้าเปรียบเทียบวิชาชีพอื่น? สรุปโดยประมาณได้ดังนี้: ค่าจ้าง 600-1,700 เฉียน/เดือนขึ้นอยู่กับระดับงาน แผงขายอาหารในเมืองใหญ่ 1,300-1,600 เฉียน/เดือน ที่ดูจะรายได้ดีมากคือคนขับรถม้าที่ 3,000 เฉียน/เดือนเลยทีเดียว (หาไม่พบว่าเป็นเพราะอะไร) ส่วนเกษตรกรรายได้เฉลี่ย 750-1,200 เฉียน/เดือน แต่ขุนนางมี ‘สวัสดิการ’ อย่างอื่นด้วยคือผ้า เงินค่าน้ำชา ฟืน ชุดประจำตำแหน่ง จวนประจำตำแหน่ง เป็นต้น และยังไม่ต้องเสียภาษีเหมือนชาวนาหรือพ่อค้า แน่นอนว่าการต้องเลี้ยงบ่าวไพร่ทั้งเรือนก็มีค่าใช้จ่ายสูงอยู่ แต่เทียบกับวิชาชีพอื่นแล้ว หากได้เป็นขุนนางติดยศชีวิตความเป็นอยู่จะดีมาก สมัยนั้นตำแหน่งจอหงวนคือลำดับหกเต็ม Storyฯ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมคนถึงขวนขวายเข้าเมืองหลวงสอบจอหงวนกัน ยศสูงกว่าใต้เท้าลู่อี้เสียอีก! (วันนี้คุยเรื่องเงินทอง ไม่คุยเรื่องอุดมการณ์ค่ะ) เขียนเพิ่มเติมหลังจากอัพเพจครั้งแรก: ในช่วงเวลาที่ไม่ปกติ เช่นแล้ง หรือเกิดสงคราม ข้าวในคลังมีน้อย หรือในฤดูที่ไม่มีการเก็บเกี่ยว มีการแก้ไขการจ่ายเงินเดือนข้าราชการ โดยกำหนดมูลค่าของข้าวเทียบเท่าของอย่างอื่น เช่น ผ้าผืน พริกไทย ใบชา เป็นต้น (อะไรก็ได้ที่มีมากในคลังหลวง) ต่อมาจึงมีแบ่งจ่ายเป็นตั๋วเงินด้วย ต่อมาในช่วงปลายราชวงศ์หมิงจึงเปลี่ยนมากำหนดให้จ่ายเป็นข้าว ตั๋วเงินและเงิน แต่ยังคงเทียบอัตราเงินเดือนเป็นข้าวสารอยู่ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากและข้อมูลเรียบเรียงจาก: https://www.sohu.com/a/360665261_162238 https://www.bilibili.com/read/cv9844919 https://www.zmkm8.com/artdata-94382.html https://www.sohu.com/a/273067566_559864 http://www.gushizhuan.com/gdws/284082.html #ใต้เท้าลู่ #องครักษ์เสื้อแพร #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #ราชวงศ์หมิง #วัฒนธรรมจีนโบราณ #เงินจีนโบราณ #เงินเดือนข้าราชการจีน
    《锦衣之下》即将上线 任嘉伦谭松韵“猫鼠游戏“甜酥来袭_悬疑
    此次曝光的海报中,锦衣卫经历陆绎(任嘉伦饰)一身大红炽金飞鱼服,手握绣春刀伫立,眼神凌厉气势十足;六扇门小捕快袁今夏(谭松韵饰)侧抱花猫,明眸善睐、笑容明媚极具少女感;严世蕃(韩栋饰)执扇侧立,神思沉稳…
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้คุยต่อเรื่องเกี่ยวกับองครักษ์เสื้อแพรตามคำขอจากเพื่อนเพจ
    ความมีอยู่ว่า
    ...แขนของถงอวี่ถูกจินเซี่ยขวางไว้ สีหน้าจึงเครียดขึ้น “ข้าบอกกล่าวต่อเจ้า มันผู้นี้เป็นคนที่องครักษ์เสื้อแพรต้องการ ผู้ใดตั้งใจขัดขวางเหนี่ยวรั้ง นับเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด เจ้ามีอำนาจขัดขวาง?”...
    - จากเรื่อง <เบื้องล่างของเสื้อแพร> ผู้แต่ง หลานเส้อซือ
    (หมายเหตุ ละครเรื่องยอดองค์รักษ์เสื้อแพรดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    เวลาดูละครเรามักจะเห็นภาพขององครักษ์เสื้อแพรที่มีอำนาจสูง อยากทำอะไรก็ได้ เป็นอย่างนั้นจริงหรือ? วันนี้เราคุยเรื่องหน้าที่ขององครักษ์เสื้อแพร

    ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักองค์รักษ์เสื้อแพรโดยคร่าว มันเป็นหน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นโดยปฐมกษัตริย์จูหยวนจางแห่งราชวงศ์หมิงเมื่อประมาณปีค.ศ. 1368 เป็นการรวมสองหน่วยงานเข้าด้วยกันคือ ‘ชิงจวินตูเว่ยฝู่’ (亲军都尉府) คือหน่วยราชองครักษ์และ ‘อี๋หลวนซือ’ (仪鸾司) ที่รับผิดชอบงานขบวนราชพิธี ก่อนที่จะมาเป็นที่รู้จักในนาม ‘จิ่นอีเว่ย’ หรือองครักษ์เสื้อแพรที่เรารู้จักกันดี

    สองชื่อนี้บ่งบอกถึงสองหน้าที่หลักเมื่อตอนก่อตั้งหน่วยงาน ซึ่งก็คือเป็นราชองรักษ์ และยามที่ฮ่องเต้เสด็จไปยังที่ต่างๆ (ดูจากรูป ในชุดมัจฉาบินสีแดง) พวกเขาเป็นทั้งผู้ดูแลพิธีการและความถูกต้องของขบวนเสด็จและเป็นผู้ตามเสด็จ

    เพราะได้รับความไว้วางพระทัยและเพราะฮ่องเต้ในเกือบทุกรัชสมัยมีความระแวงสูง ต่อมาจึงมีการขยายขอบเขตหน้าที่ขององครักษ์เสื้อแพรให้รวมถึงสอดแนมและสืบสวนขุนนาง ขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้ไม่ผ่านกรมกระทรวงใด มีคุกหลวงใต้อาณัติ จึงเป็นที่มาของหน้าที่สืบสวนสอบสวนที่เราเห็นในนิยายหลายเรื่อง

    แต่จริงๆ แล้วองครักษ์เสื้อแพรไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้อย่างที่เห็นจากภาพลักษณ์ในละคร

    จากข้อมูลในบันทึกเกร็ดประวัติศาสตร์รัชสมัยองค์ว่านลี่ (万历野获编) การจับกุมคนต้องมีหมายจับที่ออกตามพระราชโองการของฮ่องเต้เท่านั้น การเสนอให้ออกหมายจับต้องผ่านการลงนามเห็นชอบโดยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองสืบสวนสอบสวนซึ่งเป็นอีกหน่วยงานหนึ่ง และหมายจับต้องระบุชื่อคนที่จะจับอย่างชัดเจน หนึ่งหมายจับต่อหนึ่งคน และหากต้องนำจับนอกพื้นที่ยังต้องมีการประทับตราจากหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเช่นกันเพื่อป้องกันการปลอมแปลงเอกสาร นอกจากนี้การลงทัณฑ์นักโทษก็ต้องได้รับพระบรมราชานุญาตก่อน เพียงแต่มีอิสระในวิธีและรูปแบบการสอบสวน (เป็นที่ล่ำลือว่าคุกหลวงในอาณัติขององครักษ์เสื้อแพรมีวิธีการที่โหดร้ายที่สุด)

    หน่วยงานนี้มีฐานประจำการอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น หากมีคดีที่ต้องติดตามนอกเมืองหลวงต้องมีคำสั่งปฏิบัติงานนอกพื้นที่ มีการขออนุมัติและเบิกค่าใช้จ่ายล่วงหน้าชัดเจน แต่โดยปกติจะว่าจ้างคนหาข่าวในพื้นที่ต่างๆ ไม่ต้องทำเองทั้งหมด

    ดังนั้น สำหรับหน่วยงานที่มีคนหลายหมื่น (ในบางยุคสมัยมีเจ้าหน้าที่รวมเกือบหกหมื่นคน) โดยปกติจึงมีคนมากกว่างานหลักที่กล่าวมาข้างต้น เลยต้องมีงานอย่างอื่นทำนอกเหนือจากสามหน้าที่หลักที่กล่าวมาแล้ว ทั้งหน้าที่ประจำและงานสัพเพเหระตามแต่ฮ่องเต้จะมีพระบัญชา เท่าที่อ่านเจอมีดังนี้
     หาข่าวสารในช่วงสงคราม: อันนี้เป็นการเฉพาะกิจ เคยถูกใช้เป็นหน่วยสอดแนมให้กองทัพ
     เฝ้าประตูวัง: รับผิดชอบดูแลเฉพาะประตูหลักของวังหลวงหรือที่เรียกว่า ‘อู่เหมิน’ (คือประตูที่ใช้โดยฮ่องเต้เท่านั้น หรือเฉพาะคนที่ได้รับพระบรมราชานุญาตในโอกาสพิเศษ) ถือว่าเป็นหน่วยราชองครักษ์ที่มี ‘หน้าตา’ กว่าราชองครักษ์กองอื่น
     ดูแลความสะอาด: อันนี้แปลก แต่เนื่องจากมีระดับชั้นผู้น้อยที่ไม่ได้เป็นขุนนางติดยศเป็นจำนวนมากและไม่มีหน้าที่ลาดตระเวน จึงถูกใช้ดูแลความสะอาดของเมืองหลวง เช่นกวาดถนนและคูน้ำต่างๆ ฯลฯ
     เลี้ยงช้าง: อันนี้ยิ่งแปลก แต่ในสมัยโบราณมีการใช้ช้างในขบวนราชพิธี ตัวอย่างจาก “หมิงสื่อ /明史” หรือบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง มีพูดถึงขบวนเสด็จราชพิธีบวงสรวงว่าที่มีเสือและช้างเดินนำ การดูแลทำความสะอาดและเลี้ยงช้างเป็นอีกหนึ่งหน้าที่ขององครักษ์เสื้อแพร

    ขออภัยหากข้อมูลข้างต้นลดทอนภาพลักษณ์อันหน้าเกรงขามของเหล่าองครักษ์เสื้อแพร

    และด้วยหน้าที่ที่หลากหลายขององครักษ์เสื้อแพร Storyฯ เลยอยากจะเตือนความทรงจำของเพื่อนเพจถึงบทความที่ Storyฯ เคยเขียนไปก่อนหน้านี้ว่า ไม่ใช่องครักษ์เสื้อแพรทุกคนที่ใส่ชุดมัจฉาบินและติดดาบซิ่วชุนได้ เนื่องจากทั้งสองสิ่งเป็นของพระราชทานสำหรับขุนนางติดยศเท่านั้น

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://k.sina.cn/article_1229799315_494d3f9300100l3br.html

    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.52shijing.com/zgls/123948.html
    http://www.360doc.com/content/17/1108/21/18848094_702172237.shtml
    https://ppfocus.com/sg/0/hi2ce1da4.html
    http://www.manyanu.com/new/c67503edffe34e4eb5fa46ac96bc834e

    #ใต้เท้าลู่ #องครักษ์เสื้อแพร #จิ่นอีเว่ย #ราชวงศ์หมิง #ประวัติศาสตร์จีน
    วันนี้คุยต่อเรื่องเกี่ยวกับองครักษ์เสื้อแพรตามคำขอจากเพื่อนเพจ ความมีอยู่ว่า ...แขนของถงอวี่ถูกจินเซี่ยขวางไว้ สีหน้าจึงเครียดขึ้น “ข้าบอกกล่าวต่อเจ้า มันผู้นี้เป็นคนที่องครักษ์เสื้อแพรต้องการ ผู้ใดตั้งใจขัดขวางเหนี่ยวรั้ง นับเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด เจ้ามีอำนาจขัดขวาง?”... - จากเรื่อง <เบื้องล่างของเสื้อแพร> ผู้แต่ง หลานเส้อซือ (หมายเหตุ ละครเรื่องยอดองค์รักษ์เสื้อแพรดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) เวลาดูละครเรามักจะเห็นภาพขององครักษ์เสื้อแพรที่มีอำนาจสูง อยากทำอะไรก็ได้ เป็นอย่างนั้นจริงหรือ? วันนี้เราคุยเรื่องหน้าที่ขององครักษ์เสื้อแพร ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักองค์รักษ์เสื้อแพรโดยคร่าว มันเป็นหน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นโดยปฐมกษัตริย์จูหยวนจางแห่งราชวงศ์หมิงเมื่อประมาณปีค.ศ. 1368 เป็นการรวมสองหน่วยงานเข้าด้วยกันคือ ‘ชิงจวินตูเว่ยฝู่’ (亲军都尉府) คือหน่วยราชองครักษ์และ ‘อี๋หลวนซือ’ (仪鸾司) ที่รับผิดชอบงานขบวนราชพิธี ก่อนที่จะมาเป็นที่รู้จักในนาม ‘จิ่นอีเว่ย’ หรือองครักษ์เสื้อแพรที่เรารู้จักกันดี สองชื่อนี้บ่งบอกถึงสองหน้าที่หลักเมื่อตอนก่อตั้งหน่วยงาน ซึ่งก็คือเป็นราชองรักษ์ และยามที่ฮ่องเต้เสด็จไปยังที่ต่างๆ (ดูจากรูป ในชุดมัจฉาบินสีแดง) พวกเขาเป็นทั้งผู้ดูแลพิธีการและความถูกต้องของขบวนเสด็จและเป็นผู้ตามเสด็จ เพราะได้รับความไว้วางพระทัยและเพราะฮ่องเต้ในเกือบทุกรัชสมัยมีความระแวงสูง ต่อมาจึงมีการขยายขอบเขตหน้าที่ขององครักษ์เสื้อแพรให้รวมถึงสอดแนมและสืบสวนขุนนาง ขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้ไม่ผ่านกรมกระทรวงใด มีคุกหลวงใต้อาณัติ จึงเป็นที่มาของหน้าที่สืบสวนสอบสวนที่เราเห็นในนิยายหลายเรื่อง แต่จริงๆ แล้วองครักษ์เสื้อแพรไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้อย่างที่เห็นจากภาพลักษณ์ในละคร จากข้อมูลในบันทึกเกร็ดประวัติศาสตร์รัชสมัยองค์ว่านลี่ (万历野获编) การจับกุมคนต้องมีหมายจับที่ออกตามพระราชโองการของฮ่องเต้เท่านั้น การเสนอให้ออกหมายจับต้องผ่านการลงนามเห็นชอบโดยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองสืบสวนสอบสวนซึ่งเป็นอีกหน่วยงานหนึ่ง และหมายจับต้องระบุชื่อคนที่จะจับอย่างชัดเจน หนึ่งหมายจับต่อหนึ่งคน และหากต้องนำจับนอกพื้นที่ยังต้องมีการประทับตราจากหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเช่นกันเพื่อป้องกันการปลอมแปลงเอกสาร นอกจากนี้การลงทัณฑ์นักโทษก็ต้องได้รับพระบรมราชานุญาตก่อน เพียงแต่มีอิสระในวิธีและรูปแบบการสอบสวน (เป็นที่ล่ำลือว่าคุกหลวงในอาณัติขององครักษ์เสื้อแพรมีวิธีการที่โหดร้ายที่สุด) หน่วยงานนี้มีฐานประจำการอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น หากมีคดีที่ต้องติดตามนอกเมืองหลวงต้องมีคำสั่งปฏิบัติงานนอกพื้นที่ มีการขออนุมัติและเบิกค่าใช้จ่ายล่วงหน้าชัดเจน แต่โดยปกติจะว่าจ้างคนหาข่าวในพื้นที่ต่างๆ ไม่ต้องทำเองทั้งหมด ดังนั้น สำหรับหน่วยงานที่มีคนหลายหมื่น (ในบางยุคสมัยมีเจ้าหน้าที่รวมเกือบหกหมื่นคน) โดยปกติจึงมีคนมากกว่างานหลักที่กล่าวมาข้างต้น เลยต้องมีงานอย่างอื่นทำนอกเหนือจากสามหน้าที่หลักที่กล่าวมาแล้ว ทั้งหน้าที่ประจำและงานสัพเพเหระตามแต่ฮ่องเต้จะมีพระบัญชา เท่าที่อ่านเจอมีดังนี้  หาข่าวสารในช่วงสงคราม: อันนี้เป็นการเฉพาะกิจ เคยถูกใช้เป็นหน่วยสอดแนมให้กองทัพ  เฝ้าประตูวัง: รับผิดชอบดูแลเฉพาะประตูหลักของวังหลวงหรือที่เรียกว่า ‘อู่เหมิน’ (คือประตูที่ใช้โดยฮ่องเต้เท่านั้น หรือเฉพาะคนที่ได้รับพระบรมราชานุญาตในโอกาสพิเศษ) ถือว่าเป็นหน่วยราชองครักษ์ที่มี ‘หน้าตา’ กว่าราชองครักษ์กองอื่น  ดูแลความสะอาด: อันนี้แปลก แต่เนื่องจากมีระดับชั้นผู้น้อยที่ไม่ได้เป็นขุนนางติดยศเป็นจำนวนมากและไม่มีหน้าที่ลาดตระเวน จึงถูกใช้ดูแลความสะอาดของเมืองหลวง เช่นกวาดถนนและคูน้ำต่างๆ ฯลฯ  เลี้ยงช้าง: อันนี้ยิ่งแปลก แต่ในสมัยโบราณมีการใช้ช้างในขบวนราชพิธี ตัวอย่างจาก “หมิงสื่อ /明史” หรือบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง มีพูดถึงขบวนเสด็จราชพิธีบวงสรวงว่าที่มีเสือและช้างเดินนำ การดูแลทำความสะอาดและเลี้ยงช้างเป็นอีกหนึ่งหน้าที่ขององครักษ์เสื้อแพร ขออภัยหากข้อมูลข้างต้นลดทอนภาพลักษณ์อันหน้าเกรงขามของเหล่าองครักษ์เสื้อแพร และด้วยหน้าที่ที่หลากหลายขององครักษ์เสื้อแพร Storyฯ เลยอยากจะเตือนความทรงจำของเพื่อนเพจถึงบทความที่ Storyฯ เคยเขียนไปก่อนหน้านี้ว่า ไม่ใช่องครักษ์เสื้อแพรทุกคนที่ใส่ชุดมัจฉาบินและติดดาบซิ่วชุนได้ เนื่องจากทั้งสองสิ่งเป็นของพระราชทานสำหรับขุนนางติดยศเท่านั้น (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://k.sina.cn/article_1229799315_494d3f9300100l3br.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.52shijing.com/zgls/123948.html http://www.360doc.com/content/17/1108/21/18848094_702172237.shtml https://ppfocus.com/sg/0/hi2ce1da4.html http://www.manyanu.com/new/c67503edffe34e4eb5fa46ac96bc834e #ใต้เท้าลู่ #องครักษ์เสื้อแพร #จิ่นอีเว่ย #ราชวงศ์หมิง #ประวัติศาสตร์จีน
    同样是锦衣卫造型,朱亚文“厂里厂气”,任嘉伦却赞苏断腿
    近期的古装剧一部接着一部,不知大家注意了没有,有两部戏都是以明朝为背景的。这两部戏就是汤唯、朱亚文主演的《大明风华》以及谭松韵、任嘉伦主演的《锦衣之下》。而且剧
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 311 มุมมอง 0 รีวิว
  • พูดถึงองครักษ์เสื้อแพรไปมากพอสมควร วันนี้เราเลยมาคุยกันถึงอีกหน่วยงานหนึ่งที่ปรากฎให้เห็นในละครจีนโบราณหลายเรื่อง ซึ่งก็คือ ‘ลิ่วซ่านเหมิน’ (六扇门)

    ความมีอยู่ว่า
    ...จินเซี่ยคอตกหมุนกายกลับมา ชำเลืองมองหยางเฉิงว่าน “หัวหน้า ท่านยอมมันเกินไปแล้ว ท่านว่ามันเป็นคนของใคร? คดีของลิ่วซ่านเหมินไม่เหลียวแล แต่กลับส่งมอบคนออกไป ใครบ้างไม่รู้ว่ามันกำลังพยายามประจบองครักษ์เสื้อแพร?”... “โอรสสวรรค์ปราบปรามลงทัณฑ์คนผิด มีซานฝ่าซึก็เพียงพอแล้ว ยังต้องตั้งองครักษ์เสื้อแพรมาทำให้วุ่นวายเป็นอุปสรรค แล้วยังจะมีซานฝ่าซึไว้ทำอันใด มีเหมือนไม่มี!”
    - จากเรื่อง <เบื้องล่างของเสื้อแพร> ผู้แต่ง หลานเส้อซือ
    (หมายเหตุ ละครเรื่องยอดองค์รักษ์เสื้อแพรดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    ลิ่วซ่านเหมินฟังดูเป็นหน่วยมือปราบ แต่เพื่อนเพจทราบหรือไม่ว่า จริงๆ แล้วลิ่วซ่านเหมินไม่ใช่องค์กรใดองค์กรหนึ่ง (!?)

    ชื่อเรียกที่ถูกต้องเป็นทางการของมันคือ ‘ซานฝ่าซึ’ (三法司) ที่เกริ่นถึงในบทความข้างต้น เป็นการเรียกรวมของสามหน่วยงานที่เกี่ยวกับกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย เริ่มปรากฎในสมัยราชวงศ์ฉิน (221-206 ก่อนคริสตกาล) เมื่อจิ๋นซีฮ่องเต้ทรงตั้งตำแหน่งสำคัญมากขึ้นสามตำแหน่งเรียกรวมว่า ‘ซานกง’ หรือสามพระยา คือเฉิงเซี่ยง (อำมาตย์ผู้ช่วย บริหารงานราชการทั่วไป) ไท่เว่ย (มหาเสนาบดี ดูแลฝ่ายทหาร) และอวี้สื่อต้าฟู (ตุลาการสูงสุด เป็นผู้ตรวจสอบ)
    ต่อมาในแต่ละสมัยมีการเปลี่ยนแปลงหน้าที่และชื่อเรียกของหน่วยงานต่างๆ แต่ยังคงหลักการเดิมว่ามีสามหน่วยงานหลักที่ร่วมผดุงกฎหมาย เรียกรวมว่า ‘ซันฝ่าซึ’

    ในสมัยราชวงศ์หมิง สามหน่วยงานนี้คือ สิงปู้ (刑部 รับผิดชอบงานสืบสวนสอบสวน) ต้าหลี่ซึ (大理寺 ไว้พิพากษา) ตูฉาย่วน (都察院 ไว้กำกับตรวจสอบ) หากมีคดีใหญ่จะไต่สวนและพิพากษาร่วมกัน

    แล้วทำไมจึงเรียกว่า ลิ่วซ่านเหมิน’?

    แฟนละครจีนโบราณคงคุ้นเคยว่าเวลาเกิดเรื่องอะไร ชาวบ้านจะวิ่งไปฟ้องร้องที่สถานที่หนึ่ง ศาลก็ไม่ใช่ สำนักมือปราบก็ไม่เชิง หน้าตาคล้ายที่ว่าการอำเภอ สถานที่นี้เรียกว่า ‘หยาเหมิน’ (衙门) ไม่แน่ใจว่าในนิยาย/ละครแปลไทยว่าอย่างไร แต่มันก็คือที่ว่าการท้องถิ่น ว่าการโดยข้าราชการสูงสุดผู้ดูแลพื้นที่ ไม่ระบุตายตัวว่าต้องสังกัดหน่วยงานใด

    ‘ลิ่วซ่านเหมิน’ ก็คือชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการของหยาเหมิน แปลชื่อตรงตัวว่า ‘ประตูหกบาน’ ที่มาก็คือว่า ไม่ว่าจะเป็นเมืองเล็กหรือเมืองใหญ่ หยาเหมินจะมีรูปทรงอาคารเดียวกัน คือมีช่องประตูเพียงสามช่อง หันหน้าทิศใต้ ตะวันออกและตะวันตก หนึ่งทิศหนึ่งช่อง ประตูหลักที่ใช้เข้าออกทั่วไปจะหันหน้าทิศใต้ ช่องประตูที่ว่านี้ก่อตั้งขึ้นเป็นอาคารประตูใหญ่มีหลังคา (ดูรูปขวาล่าง) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ชาวบ้านทั่วไปใช้ไม่ได้ ต้องเป็นที่ทำการของหลวงเท่านั้นจึงจะใช้ได้ แต่ละช่องประตูจะมีสองบาน รวมเป็นประตูหกบาน

    ดังนั้น จริงๆ แล้ว คนของลิ่วซ่านเหมินจะหมายรวมถึงทุกคนที่ทำงานในหยาเหมิน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานด้านสอบสวน ดูแลคุก เสมียนกฎหมาย ฯลฯ และมาจากหน่วยงานต่างๆ ที่เรียกรวมว่าซานฝ่าซึนั่นเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.twoeggz.com/news/8249892.html
    https://www.wenshigu.com/shbt/lishiju/221015.html
    https://www.52lishi.com/article/40895.html
    https://k.sina.cn/article_1346138855_503c72e700100tjeb.html
    https://m.52lishi.com/article/64869.html

    #จินเซี่ย #ลิ่วซ่านเหมิน #มือปราบจีนโบราณ #ราชวงศ์หมิง #หยาเหมิน #ซันฝ่าซึ #ซานฝ่าซึ
    พูดถึงองครักษ์เสื้อแพรไปมากพอสมควร วันนี้เราเลยมาคุยกันถึงอีกหน่วยงานหนึ่งที่ปรากฎให้เห็นในละครจีนโบราณหลายเรื่อง ซึ่งก็คือ ‘ลิ่วซ่านเหมิน’ (六扇门) ความมีอยู่ว่า ...จินเซี่ยคอตกหมุนกายกลับมา ชำเลืองมองหยางเฉิงว่าน “หัวหน้า ท่านยอมมันเกินไปแล้ว ท่านว่ามันเป็นคนของใคร? คดีของลิ่วซ่านเหมินไม่เหลียวแล แต่กลับส่งมอบคนออกไป ใครบ้างไม่รู้ว่ามันกำลังพยายามประจบองครักษ์เสื้อแพร?”... “โอรสสวรรค์ปราบปรามลงทัณฑ์คนผิด มีซานฝ่าซึก็เพียงพอแล้ว ยังต้องตั้งองครักษ์เสื้อแพรมาทำให้วุ่นวายเป็นอุปสรรค แล้วยังจะมีซานฝ่าซึไว้ทำอันใด มีเหมือนไม่มี!” - จากเรื่อง <เบื้องล่างของเสื้อแพร> ผู้แต่ง หลานเส้อซือ (หมายเหตุ ละครเรื่องยอดองค์รักษ์เสื้อแพรดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) ลิ่วซ่านเหมินฟังดูเป็นหน่วยมือปราบ แต่เพื่อนเพจทราบหรือไม่ว่า จริงๆ แล้วลิ่วซ่านเหมินไม่ใช่องค์กรใดองค์กรหนึ่ง (!?) ชื่อเรียกที่ถูกต้องเป็นทางการของมันคือ ‘ซานฝ่าซึ’ (三法司) ที่เกริ่นถึงในบทความข้างต้น เป็นการเรียกรวมของสามหน่วยงานที่เกี่ยวกับกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย เริ่มปรากฎในสมัยราชวงศ์ฉิน (221-206 ก่อนคริสตกาล) เมื่อจิ๋นซีฮ่องเต้ทรงตั้งตำแหน่งสำคัญมากขึ้นสามตำแหน่งเรียกรวมว่า ‘ซานกง’ หรือสามพระยา คือเฉิงเซี่ยง (อำมาตย์ผู้ช่วย บริหารงานราชการทั่วไป) ไท่เว่ย (มหาเสนาบดี ดูแลฝ่ายทหาร) และอวี้สื่อต้าฟู (ตุลาการสูงสุด เป็นผู้ตรวจสอบ) ต่อมาในแต่ละสมัยมีการเปลี่ยนแปลงหน้าที่และชื่อเรียกของหน่วยงานต่างๆ แต่ยังคงหลักการเดิมว่ามีสามหน่วยงานหลักที่ร่วมผดุงกฎหมาย เรียกรวมว่า ‘ซันฝ่าซึ’ ในสมัยราชวงศ์หมิง สามหน่วยงานนี้คือ สิงปู้ (刑部 รับผิดชอบงานสืบสวนสอบสวน) ต้าหลี่ซึ (大理寺 ไว้พิพากษา) ตูฉาย่วน (都察院 ไว้กำกับตรวจสอบ) หากมีคดีใหญ่จะไต่สวนและพิพากษาร่วมกัน แล้วทำไมจึงเรียกว่า ลิ่วซ่านเหมิน’? แฟนละครจีนโบราณคงคุ้นเคยว่าเวลาเกิดเรื่องอะไร ชาวบ้านจะวิ่งไปฟ้องร้องที่สถานที่หนึ่ง ศาลก็ไม่ใช่ สำนักมือปราบก็ไม่เชิง หน้าตาคล้ายที่ว่าการอำเภอ สถานที่นี้เรียกว่า ‘หยาเหมิน’ (衙门) ไม่แน่ใจว่าในนิยาย/ละครแปลไทยว่าอย่างไร แต่มันก็คือที่ว่าการท้องถิ่น ว่าการโดยข้าราชการสูงสุดผู้ดูแลพื้นที่ ไม่ระบุตายตัวว่าต้องสังกัดหน่วยงานใด ‘ลิ่วซ่านเหมิน’ ก็คือชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการของหยาเหมิน แปลชื่อตรงตัวว่า ‘ประตูหกบาน’ ที่มาก็คือว่า ไม่ว่าจะเป็นเมืองเล็กหรือเมืองใหญ่ หยาเหมินจะมีรูปทรงอาคารเดียวกัน คือมีช่องประตูเพียงสามช่อง หันหน้าทิศใต้ ตะวันออกและตะวันตก หนึ่งทิศหนึ่งช่อง ประตูหลักที่ใช้เข้าออกทั่วไปจะหันหน้าทิศใต้ ช่องประตูที่ว่านี้ก่อตั้งขึ้นเป็นอาคารประตูใหญ่มีหลังคา (ดูรูปขวาล่าง) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ชาวบ้านทั่วไปใช้ไม่ได้ ต้องเป็นที่ทำการของหลวงเท่านั้นจึงจะใช้ได้ แต่ละช่องประตูจะมีสองบาน รวมเป็นประตูหกบาน ดังนั้น จริงๆ แล้ว คนของลิ่วซ่านเหมินจะหมายรวมถึงทุกคนที่ทำงานในหยาเหมิน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานด้านสอบสวน ดูแลคุก เสมียนกฎหมาย ฯลฯ และมาจากหน่วยงานต่างๆ ที่เรียกรวมว่าซานฝ่าซึนั่นเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.twoeggz.com/news/8249892.html https://www.wenshigu.com/shbt/lishiju/221015.html https://www.52lishi.com/article/40895.html https://k.sina.cn/article_1346138855_503c72e700100tjeb.html https://m.52lishi.com/article/64869.html #จินเซี่ย #ลิ่วซ่านเหมิน #มือปราบจีนโบราณ #ราชวงศ์หมิง #หยาเหมิน #ซันฝ่าซึ #ซานฝ่าซึ
    PPnix - Watch TV Shows Online, Watch Movies Online
    Watch PPnix movies & TV shows online or stream right to your smart TV, game console, PC, Mac, mobile, tablet and more.
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้พักเรื่องมือปราบ เรามาคุยกันเรื่องบทกวีที่มีคติสอนใจ เป็นบทกวีอีกหนึ่งบทที่ปรากฎในนิยาย/ละคร <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> ในตอนที่พระเอกวาดภาพดอกบัว

    ความมีอยู่ว่า
    ...โจวเซิงเฉินมองเธอเช่นกัน ยิ้มเล็กน้อย เปลี่ยนพู่กันแล้วเขียนลงตรงข้างๆ ภาพวาด: “ยามมองปทุมสะอาดหมดจด พึงหยั่งรู้ถึงใจที่ไม่แปดเปื้อน”
    นี่เป็นวลีของเมิ่งฮ่าวหรัน
    เธอจำวลีนี้ได้ ย่อมเข้าใจถึงความหมายของมัน: เจ้าเห็นดอกบัวนี้โผล่พ้นโคลนตมออกมาแต่ไม่เปรอะเปื้อน ควรเป็นคติเตือนใจ อย่าให้โลกแห่งกิเลสมาครอบงำ รักษาจิตใจของตนให้ดี...
    - จากเรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> ผู้แต่ง โม่เป่าเฟยเป่า (แต่ Storyฯ แปลเองจ้า)

    วลี “ยามมองปทุมสะอาดหมดจด พึงหยั่งรู้ถึงใจที่ไม่แปดเปื้อน” (看取莲花净,应知不染心) นี้ ในละครตีความหมายผ่านบทสนทนาของตัวละครว่า โจวเซิงเฉินใช้วลีนี้สื่อถึงความรักที่มั่นคงต่อสืออี๋ ไม่ยอมให้ประเพณีนิยมมากวนใจ

    ขออภัยหากทำลายความโรแมนติกลง แต่จริงๆ แล้ววลีนี้ไม่ได้หมายถึงการยึดมั่นในความคิดของตน หากแต่เป็นบทกวีที่มีพื้นฐานจากคำสอนของศาสนาพุทธจึงมีการเปรียบเปรยถึงดอกบัวอันบริสุทธิ์ และความหมายเป็นไปตามที่บรรยายในนิยายข้างต้น ซึ่งก็คือการดำรงให้ ‘ใจไร้รอยแปดเปื้อน’ (ปู้หร่านซิน / 不染心)

    บทกวีนี้มีชื่อเต็มว่า “เรื่องกุฏิของอี้กง” (ถีอี้กงฉานฝาง / 题义公禅房) มีทั้งหมดแปดวรรค เป็นหนึ่งในบทกวีเลื่องชื่อของเมิ่งฮ่าวหรัน (ค.ศ. 689 – 740) กวีเอกสมัยราชวงศ์ถัง สรุปใจความเป็นการบรรยายถึง นักบวชขั้นสูงนามว่าอี้กงผู้บำเพ็ญศีลในกุฏิที่สร้างอยู่ในป่าเงียบสงบและศึกษาจบบทที่เรียกว่า ‘คัมภีร์ดอกบัว’ ด้วยใจสงบนิ่งไม่ถูกสิ่งแวดล้อมทำให้ไขว้เขว สะท้อนถึงใจที่บริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนด้วยกิเลส

    บทกวีนี้จัดอยู่ในประเภทที่เรียกว่า ‘กลอนทิวทัศน์ภูผาวารี’ หรือ ‘ซานสุ่ยซือ’ มีลักษณะเป็นโคลงห้า (五言律诗) ซึ่งเป็นสไตล์ที่เมิ่งฮ่าวหรันชอบใช้ โคลงห้าของจีนในแต่ละวรรคมีห้าอักษร นอกจากคำคล้องจองแล้ว อักษรที่ใช้ต้องมีจังหวะเสียงประมาณนี้ (อาจสลับเรียงวรรคก่อนหลังได้ แต่จังหวะในแต่ละวรรคไม่เปลี่ยน)
    เข้ม เข้ม - เบา เบา เข้ม / เข้ม เข้ม - เข้ม เบา เบา
    เบา เบา - เบา เข้ม เข้ม / เบา เบา - เข้ม เข้ม เบา

    สำหรับท่านที่ต้องการสำนวนที่สื่อถึงการยึดมั่นในเจตนารมณ์ Storyฯ อยากแนะนำอีกวลีหนึ่งแทน เป็นวลีสั้นๆ ว่า “ไม่ลืมใจเดิม” (ปู้ว่างชูซิน / 不忘初心) เป็นวลีที่ยกมาจากงานเขียนสมัยราชวงศ์ถังเช่นกัน มาจากวรรคเต็มที่เขียนไว้ว่า หากคนเราไม่ลืมความคิดและใจที่ตั้งต้น ย่อมสามารถเดินถึงจุดหมายปลายทางตามเจตนารมณ์เดิมได้

    มันเป็นวลีที่มีคุณค่าทางจิตใจต่อ Storyฯ เพราะเพจนี้เกิดจากความ ‘ไม่ลืมใจเดิม’ ที่อยากจะเป็นนักเขียน หลังจากเส้นทางชีวิตนำพาให้ Storyฯ ไปทำอะไรอย่างอื่นมากมาย ตอนนี้จึงอยากกลับมาตามฝันตั้งต้นของตัวเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://3g.163.com/dy/article/GHPHHJRU05527S2X.html
    http://huamenglianyuan.blog.epochtimes.com/article/show?articleid=75762
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.xiaogushi.cn/shici/mingju/414146.html
    https://so.gushiwen.cn/mingju/juv_44e80087e9b5.aspx
    https://baike.baidu.com/item/五言律诗/10294694
    https://www.chinacourt.org/article/detail/2019/09/id/4425543.shtml

    #กระดูกงดงาม #โจวเซิงเฉิน #สืออี๋ #เมิ่งฮ่าวหรัน #บทกวีจีนโบราณ #วลีจีนโบราณ #วัฒนธรรมจีนโบราณ #ราชวงศ์ถัง
    วันนี้พักเรื่องมือปราบ เรามาคุยกันเรื่องบทกวีที่มีคติสอนใจ เป็นบทกวีอีกหนึ่งบทที่ปรากฎในนิยาย/ละคร <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> ในตอนที่พระเอกวาดภาพดอกบัว ความมีอยู่ว่า ...โจวเซิงเฉินมองเธอเช่นกัน ยิ้มเล็กน้อย เปลี่ยนพู่กันแล้วเขียนลงตรงข้างๆ ภาพวาด: “ยามมองปทุมสะอาดหมดจด พึงหยั่งรู้ถึงใจที่ไม่แปดเปื้อน” นี่เป็นวลีของเมิ่งฮ่าวหรัน เธอจำวลีนี้ได้ ย่อมเข้าใจถึงความหมายของมัน: เจ้าเห็นดอกบัวนี้โผล่พ้นโคลนตมออกมาแต่ไม่เปรอะเปื้อน ควรเป็นคติเตือนใจ อย่าให้โลกแห่งกิเลสมาครอบงำ รักษาจิตใจของตนให้ดี... - จากเรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> ผู้แต่ง โม่เป่าเฟยเป่า (แต่ Storyฯ แปลเองจ้า) วลี “ยามมองปทุมสะอาดหมดจด พึงหยั่งรู้ถึงใจที่ไม่แปดเปื้อน” (看取莲花净,应知不染心) นี้ ในละครตีความหมายผ่านบทสนทนาของตัวละครว่า โจวเซิงเฉินใช้วลีนี้สื่อถึงความรักที่มั่นคงต่อสืออี๋ ไม่ยอมให้ประเพณีนิยมมากวนใจ ขออภัยหากทำลายความโรแมนติกลง แต่จริงๆ แล้ววลีนี้ไม่ได้หมายถึงการยึดมั่นในความคิดของตน หากแต่เป็นบทกวีที่มีพื้นฐานจากคำสอนของศาสนาพุทธจึงมีการเปรียบเปรยถึงดอกบัวอันบริสุทธิ์ และความหมายเป็นไปตามที่บรรยายในนิยายข้างต้น ซึ่งก็คือการดำรงให้ ‘ใจไร้รอยแปดเปื้อน’ (ปู้หร่านซิน / 不染心) บทกวีนี้มีชื่อเต็มว่า “เรื่องกุฏิของอี้กง” (ถีอี้กงฉานฝาง / 题义公禅房) มีทั้งหมดแปดวรรค เป็นหนึ่งในบทกวีเลื่องชื่อของเมิ่งฮ่าวหรัน (ค.ศ. 689 – 740) กวีเอกสมัยราชวงศ์ถัง สรุปใจความเป็นการบรรยายถึง นักบวชขั้นสูงนามว่าอี้กงผู้บำเพ็ญศีลในกุฏิที่สร้างอยู่ในป่าเงียบสงบและศึกษาจบบทที่เรียกว่า ‘คัมภีร์ดอกบัว’ ด้วยใจสงบนิ่งไม่ถูกสิ่งแวดล้อมทำให้ไขว้เขว สะท้อนถึงใจที่บริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนด้วยกิเลส บทกวีนี้จัดอยู่ในประเภทที่เรียกว่า ‘กลอนทิวทัศน์ภูผาวารี’ หรือ ‘ซานสุ่ยซือ’ มีลักษณะเป็นโคลงห้า (五言律诗) ซึ่งเป็นสไตล์ที่เมิ่งฮ่าวหรันชอบใช้ โคลงห้าของจีนในแต่ละวรรคมีห้าอักษร นอกจากคำคล้องจองแล้ว อักษรที่ใช้ต้องมีจังหวะเสียงประมาณนี้ (อาจสลับเรียงวรรคก่อนหลังได้ แต่จังหวะในแต่ละวรรคไม่เปลี่ยน) เข้ม เข้ม - เบา เบา เข้ม / เข้ม เข้ม - เข้ม เบา เบา เบา เบา - เบา เข้ม เข้ม / เบา เบา - เข้ม เข้ม เบา สำหรับท่านที่ต้องการสำนวนที่สื่อถึงการยึดมั่นในเจตนารมณ์ Storyฯ อยากแนะนำอีกวลีหนึ่งแทน เป็นวลีสั้นๆ ว่า “ไม่ลืมใจเดิม” (ปู้ว่างชูซิน / 不忘初心) เป็นวลีที่ยกมาจากงานเขียนสมัยราชวงศ์ถังเช่นกัน มาจากวรรคเต็มที่เขียนไว้ว่า หากคนเราไม่ลืมความคิดและใจที่ตั้งต้น ย่อมสามารถเดินถึงจุดหมายปลายทางตามเจตนารมณ์เดิมได้ มันเป็นวลีที่มีคุณค่าทางจิตใจต่อ Storyฯ เพราะเพจนี้เกิดจากความ ‘ไม่ลืมใจเดิม’ ที่อยากจะเป็นนักเขียน หลังจากเส้นทางชีวิตนำพาให้ Storyฯ ไปทำอะไรอย่างอื่นมากมาย ตอนนี้จึงอยากกลับมาตามฝันตั้งต้นของตัวเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://3g.163.com/dy/article/GHPHHJRU05527S2X.html http://huamenglianyuan.blog.epochtimes.com/article/show?articleid=75762 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.xiaogushi.cn/shici/mingju/414146.html https://so.gushiwen.cn/mingju/juv_44e80087e9b5.aspx https://baike.baidu.com/item/五言律诗/10294694 https://www.chinacourt.org/article/detail/2019/09/id/4425543.shtml #กระดูกงดงาม #โจวเซิงเฉิน #สืออี๋ #เมิ่งฮ่าวหรัน #บทกวีจีนโบราณ #วลีจีนโบราณ #วัฒนธรรมจีนโบราณ #ราชวงศ์ถัง
    3G.163.COM
    任嘉伦白鹿新戏《周生如故》,朝堂线太过儿戏,剧情偏平淡_手机网易网
    任嘉伦,白鹿的新戏《周生如故》开播了。任嘉伦出演周生辰,坐拥数十万兵马的小南辰王,驻守西州的不败将军。白鹿出演漼时宜,世家大族漼家的嫡女,指腹为婚的未来太子妃。无论是周生辰还是漼时宜他们的事业线、感情线都和朝堂线有密切的联系,甚至是决定性作用。
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 349 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้เรามาคุยกันเกี่ยวกับหนึ่งในสรรพนามเรียกขานฮ่องเต้จีน
    ความมีอยู่ว่า
    ...หวางซู่เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หม่อมฉันเกรงว่าปี้เซี่ยจะทรงใกล้ชิดกับพวกนาง จึงต้องกราบทูลรายงาน แต่กวนเจียมิทรงตรัสอันใด กลับทรงมีพระบัญชาให้หม่อมฉันนำพระราชดำรัสมาประกาศ ให้พระสนมทั้งสองออกจากวังโดยพลัน พระองค์ตรัสเสร็จพระอัสสุชลก็รินไหล”...
    - จากเรื่อง <จองจำเดียวดายในนคร> ผู้แต่ง หมี่หลานเลดี้ (แต่ Storyฯ แปลเองจ้า)
    (หมายเหตุ ละครเรื่อง <วังเดียวดาย> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    เพื่อความง่ายในการเข้าใจ Storyฯ ขอไม่เน้นราชาศัพท์ในบทความข้างล่างนะคะ

    เพื่อนเพจที่ดูละครจีนโบราณเสียงภาษาจีนต้องเคยได้ยินสรรพนามเรียกขานฮ่องเต้ที่แตกต่างกันไป เช่น ปี้เซี่ย หวงตี้ จินซ่าง เทียนจื่อ ฯลฯ ซึ่งคำเหล่านี้มักมีความหมายเกี่ยวโยงราชบัลลังก์ ความศักดิ์สิทธิ์ หรือสวรรค์ ที่ฟังดูสูงเกินเอื้อมของปุถุชนคนธรรมดา

    แต่หากใครได้ดูละครเรื่อง <วังเดียวดาย> จะได้ยินการเรียกขานฮ่องเต้ว่า ‘กวนเจีย’ ซึ่งเป็นคำเรียกที่แปลกในความรู้สึกของ Storyฯ เพราะแปลความหมายได้ประมาณว่า ‘สำนักราชการ’ (กวน = ขุนนาง เจีย = บ้านหรือกลุ่มองค์กร) Storyฯ จึงต้องไปหาข้อมูลทำความเข้าใจ

    คำว่า ‘กวนเจีย’ มีมาแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น (202 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 220) เพียงแต่ในสมัยนั้น ไม่ได้เป็นการเรียกเจ้าผู้ปกครองประเทศ หากแต่เป็นการเรียกรวมหมายถึงเหล่าขุนนางและหน่วยงานข้าราชการ หรือเป็นการเรียกขานผู้ที่เป็นขุนนางอย่างยกย่อง

    ว่ากันว่ามีการใช้สรรพนามนี้ขานเรียกฮ่องเต้ตั้งแต่ยุคสมัยราชวงศ์เหนือใต้ (ค.ศ. 420-589) แต่ไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากฟังดูไม่สูงศักดิ์และอาจทำให้สับสนเพราะยังหมายถึงเหล่าข้าราชการได้อีกด้วย จวบจนเริ่มยุคสมัยราชวงศ์ซ่งจึงใช้คำว่า ‘กวนเจีย’ เรียกฮ่องเต้อย่างเป็นทางการ

    เพราะอะไร?

    ท่านที่พอจะทราบประวัติศาสตร์จีนจะทราบว่า เมื่อสิ้นสุดราชวงศ์ถังก็เข้าสู่ยุคที่แตกเป็นห้าราชวงศ์สิบแคว้น จากนั้นจึงเกิดเป็นราชวงศ์ซ่ง ซึ่งเหตุการณ์การก่อตั้งราชวงศ์ซ่งเกิดขึ้นในปีค.ศ. 960 เมื่อเจ้าผู้ปกครองราชวงศ์โฮ่วโจว (โจวยุคหลัง หนึ่งในห้าราชวงศ์) สวรรคตลง ทำให้เกิดความระส่ำระสายในสายทหารเพราะผู้สืบทอดราชบัลลังก์เป็นเด็ก อยู่มาวันหนึ่งผู้นำเหล่าทัพทั้งหลายพร้อมใจกันเอาชุดเหลืองลายมังกรแบบเฉพาะของฮ่องเต้มาคลุมกายให้แก่จอมทัพเจ้าควงอิ้น เพื่อขอให้เขาขึ้นเป็นผู้ปกครองอาณาจักรโฮ่วโจวแทน (ดูรูปขวาบนและล่าง และอ่านเรื่องราวเหตุการณ์นี้ได้เพิ่มเติมที่เพจศิลปวัฒนธรรมตามลิ้งค์ข้างล่าง)

    เจ้าควงอิ้นเมื่อขึ้นครองราชย์ก็สถานปนาราชวงศ์ใหม่คือราชวงศ์ซ่ง และตั้งใจคัดเฟ้นสรรพนามเรียกขานตนที่เหมาะสมขึ้นใหม่ เพราะเขาตระหนักว่าตนเองเป็นเชื้อสายตระกูลทหาร ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ จึงเกรงว่าหากใช้คำที่เกี่ยวข้องกับการสืบราชสันตติวงศ์ จะทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าเขาขึ้นครองราชย์อย่างไม่ชอบธรรม

    จึงมาลงเอยที่คำว่า ‘กวนเจีย’ นี้ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากปรัชญาคำสอนการปกครองจากยุคสมัยชุนชิว และถูกยกมาจากวรรคที่ว่า ‘สามราชาดูแลทั่วหล้า ห้าจักรพรรดิมีใต้นภาเป็นครอบครัว’ (ซานหวงกวนเทียเซี่ย อู่ตี้เจียเทียนเซี่ย / 三皇官天下,五帝家天下) ซึ่งเป็นการเท้าความถึง ‘สามราชาห้าจักรพรรดิ’ ในตำนานปรำปราที่ปกครองดูแลประชาชนอย่าง ‘เข้าถึง’ และมีคุณธรรม โดยในบริบทนี้คำว่า ‘กวนเจีย’ ถูกเลือกมาใช้เพื่อให้สะท้อนความนัยว่า เป็นการปกครองโดยคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน ทำโดยหน้าที่ที่รับผิดชอบดูแลและเป็นที่พึ่งให้แก่ประชาชน

    ดังนั้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง ประชาชนจะเรียกข้าราชการว่า ‘กวนเจีย’ ไม่ได้อีกต่อไป และมีการกำหนดให้คำนี้มีเพียงความหมายเดียวคือแปลว่าฮ่องเต้ (แต่จะใช้คำอื่นเช่น ปี้เซี่ย เรียกฮ่องเต้ก็ยังได้อยู่) ไม่ได้หมายรวมถึงเหล่าข้าราชการอีกต่อไป

    นอกจากคำที่พูดถึงมาข้างต้นแล้ว เพื่อนเพจยังเคยผ่านหูคำเรียกขานฮ่องเต้ว่าอย่างอื่นอีกไหมคะ? Storyฯ นึกได้อีกหลายคำเลย

    หมายเหตุ 1: ‘สามราชา’ บ้างว่าหมายถึงเทพเจ้าผู้สร้างและดูแลมนุษย์ในตำนานคือฟู่ซี หนี่ว์วา และเหยียนตี้ และบ้างว่าหมายถึงราชาแห่งแผ่นฟ้า ผืนดินและมนุษย์ชาติ ส่วน ‘ห้าจักรพรรดิ’ นั้นหมายถึงองค์หวงตี้ (จักรพรรดิเหลือง) และฮ่องเต้ผู้สืบทอดบัลลังก์ต่อมาอีกสี่พระองค์
    หมายเหตุ 2: ในเรื่อง <วังเดียวดาย> เป็นยุคสมัยของฮ่องเต้เหรินจง เป็นฮ่องเต้องค์ที่สี่แห่งราชวงศ์ซ่ง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://kknews.cc/zh-my/history/2vgm4n9.html
    https://dramakaffe.wordpress.com/2020/05/16/serenade-of-peaceful-joy/
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/133862973
    https://www.thehour.cn/news/363118.html
    https://www.gugong.net/zhongguo/songchao/18033.html
    https://kknews.cc/history/g48mr58.html

    #ราชวงศ์ซ่ง #ฮ่องเต้จีน #เจ้าควงอิ้น #ชิงผิงเยวี่ย #กวนเจีย #ประวัติศาสตร์จีน
    วันนี้เรามาคุยกันเกี่ยวกับหนึ่งในสรรพนามเรียกขานฮ่องเต้จีน ความมีอยู่ว่า ...หวางซู่เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หม่อมฉันเกรงว่าปี้เซี่ยจะทรงใกล้ชิดกับพวกนาง จึงต้องกราบทูลรายงาน แต่กวนเจียมิทรงตรัสอันใด กลับทรงมีพระบัญชาให้หม่อมฉันนำพระราชดำรัสมาประกาศ ให้พระสนมทั้งสองออกจากวังโดยพลัน พระองค์ตรัสเสร็จพระอัสสุชลก็รินไหล”... - จากเรื่อง <จองจำเดียวดายในนคร> ผู้แต่ง หมี่หลานเลดี้ (แต่ Storyฯ แปลเองจ้า) (หมายเหตุ ละครเรื่อง <วังเดียวดาย> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) เพื่อความง่ายในการเข้าใจ Storyฯ ขอไม่เน้นราชาศัพท์ในบทความข้างล่างนะคะ เพื่อนเพจที่ดูละครจีนโบราณเสียงภาษาจีนต้องเคยได้ยินสรรพนามเรียกขานฮ่องเต้ที่แตกต่างกันไป เช่น ปี้เซี่ย หวงตี้ จินซ่าง เทียนจื่อ ฯลฯ ซึ่งคำเหล่านี้มักมีความหมายเกี่ยวโยงราชบัลลังก์ ความศักดิ์สิทธิ์ หรือสวรรค์ ที่ฟังดูสูงเกินเอื้อมของปุถุชนคนธรรมดา แต่หากใครได้ดูละครเรื่อง <วังเดียวดาย> จะได้ยินการเรียกขานฮ่องเต้ว่า ‘กวนเจีย’ ซึ่งเป็นคำเรียกที่แปลกในความรู้สึกของ Storyฯ เพราะแปลความหมายได้ประมาณว่า ‘สำนักราชการ’ (กวน = ขุนนาง เจีย = บ้านหรือกลุ่มองค์กร) Storyฯ จึงต้องไปหาข้อมูลทำความเข้าใจ คำว่า ‘กวนเจีย’ มีมาแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น (202 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 220) เพียงแต่ในสมัยนั้น ไม่ได้เป็นการเรียกเจ้าผู้ปกครองประเทศ หากแต่เป็นการเรียกรวมหมายถึงเหล่าขุนนางและหน่วยงานข้าราชการ หรือเป็นการเรียกขานผู้ที่เป็นขุนนางอย่างยกย่อง ว่ากันว่ามีการใช้สรรพนามนี้ขานเรียกฮ่องเต้ตั้งแต่ยุคสมัยราชวงศ์เหนือใต้ (ค.ศ. 420-589) แต่ไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากฟังดูไม่สูงศักดิ์และอาจทำให้สับสนเพราะยังหมายถึงเหล่าข้าราชการได้อีกด้วย จวบจนเริ่มยุคสมัยราชวงศ์ซ่งจึงใช้คำว่า ‘กวนเจีย’ เรียกฮ่องเต้อย่างเป็นทางการ เพราะอะไร? ท่านที่พอจะทราบประวัติศาสตร์จีนจะทราบว่า เมื่อสิ้นสุดราชวงศ์ถังก็เข้าสู่ยุคที่แตกเป็นห้าราชวงศ์สิบแคว้น จากนั้นจึงเกิดเป็นราชวงศ์ซ่ง ซึ่งเหตุการณ์การก่อตั้งราชวงศ์ซ่งเกิดขึ้นในปีค.ศ. 960 เมื่อเจ้าผู้ปกครองราชวงศ์โฮ่วโจว (โจวยุคหลัง หนึ่งในห้าราชวงศ์) สวรรคตลง ทำให้เกิดความระส่ำระสายในสายทหารเพราะผู้สืบทอดราชบัลลังก์เป็นเด็ก อยู่มาวันหนึ่งผู้นำเหล่าทัพทั้งหลายพร้อมใจกันเอาชุดเหลืองลายมังกรแบบเฉพาะของฮ่องเต้มาคลุมกายให้แก่จอมทัพเจ้าควงอิ้น เพื่อขอให้เขาขึ้นเป็นผู้ปกครองอาณาจักรโฮ่วโจวแทน (ดูรูปขวาบนและล่าง และอ่านเรื่องราวเหตุการณ์นี้ได้เพิ่มเติมที่เพจศิลปวัฒนธรรมตามลิ้งค์ข้างล่าง) เจ้าควงอิ้นเมื่อขึ้นครองราชย์ก็สถานปนาราชวงศ์ใหม่คือราชวงศ์ซ่ง และตั้งใจคัดเฟ้นสรรพนามเรียกขานตนที่เหมาะสมขึ้นใหม่ เพราะเขาตระหนักว่าตนเองเป็นเชื้อสายตระกูลทหาร ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ จึงเกรงว่าหากใช้คำที่เกี่ยวข้องกับการสืบราชสันตติวงศ์ จะทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าเขาขึ้นครองราชย์อย่างไม่ชอบธรรม จึงมาลงเอยที่คำว่า ‘กวนเจีย’ นี้ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากปรัชญาคำสอนการปกครองจากยุคสมัยชุนชิว และถูกยกมาจากวรรคที่ว่า ‘สามราชาดูแลทั่วหล้า ห้าจักรพรรดิมีใต้นภาเป็นครอบครัว’ (ซานหวงกวนเทียเซี่ย อู่ตี้เจียเทียนเซี่ย / 三皇官天下,五帝家天下) ซึ่งเป็นการเท้าความถึง ‘สามราชาห้าจักรพรรดิ’ ในตำนานปรำปราที่ปกครองดูแลประชาชนอย่าง ‘เข้าถึง’ และมีคุณธรรม โดยในบริบทนี้คำว่า ‘กวนเจีย’ ถูกเลือกมาใช้เพื่อให้สะท้อนความนัยว่า เป็นการปกครองโดยคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน ทำโดยหน้าที่ที่รับผิดชอบดูแลและเป็นที่พึ่งให้แก่ประชาชน ดังนั้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง ประชาชนจะเรียกข้าราชการว่า ‘กวนเจีย’ ไม่ได้อีกต่อไป และมีการกำหนดให้คำนี้มีเพียงความหมายเดียวคือแปลว่าฮ่องเต้ (แต่จะใช้คำอื่นเช่น ปี้เซี่ย เรียกฮ่องเต้ก็ยังได้อยู่) ไม่ได้หมายรวมถึงเหล่าข้าราชการอีกต่อไป นอกจากคำที่พูดถึงมาข้างต้นแล้ว เพื่อนเพจยังเคยผ่านหูคำเรียกขานฮ่องเต้ว่าอย่างอื่นอีกไหมคะ? Storyฯ นึกได้อีกหลายคำเลย หมายเหตุ 1: ‘สามราชา’ บ้างว่าหมายถึงเทพเจ้าผู้สร้างและดูแลมนุษย์ในตำนานคือฟู่ซี หนี่ว์วา และเหยียนตี้ และบ้างว่าหมายถึงราชาแห่งแผ่นฟ้า ผืนดินและมนุษย์ชาติ ส่วน ‘ห้าจักรพรรดิ’ นั้นหมายถึงองค์หวงตี้ (จักรพรรดิเหลือง) และฮ่องเต้ผู้สืบทอดบัลลังก์ต่อมาอีกสี่พระองค์ หมายเหตุ 2: ในเรื่อง <วังเดียวดาย> เป็นยุคสมัยของฮ่องเต้เหรินจง เป็นฮ่องเต้องค์ที่สี่แห่งราชวงศ์ซ่ง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://kknews.cc/zh-my/history/2vgm4n9.html https://dramakaffe.wordpress.com/2020/05/16/serenade-of-peaceful-joy/ Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/133862973 https://www.thehour.cn/news/363118.html https://www.gugong.net/zhongguo/songchao/18033.html https://kknews.cc/history/g48mr58.html #ราชวงศ์ซ่ง #ฮ่องเต้จีน #เจ้าควงอิ้น #ชิงผิงเยวี่ย #กวนเจีย #ประวัติศาสตร์จีน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 378 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพื่อนเพจที่ดูละครจีนโบราณต้องเคยเห็นตราอาญาสิทธิ์ของทหารที่เป็นตัวเสือผ่าครึ่ง และดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะไม่สามารถควบคุมกองทัพได้เลยถ้าไม่มีมัน มันก็คือ ‘ตราพยัคฆ์’ หรือ ‘หู่ฝู’ นั่นเอง

    ความมีอยู่ว่า
    ...ครานั้นตราอาญาสิทธิ์หู่ฝูสามทัพอยู่ในมือของจอมทัพปัน ต่อมาจอมทัพปันได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ชายแดน เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวงก็วางเกราะลง ทำตัวเป็นกั๋วกงอยู่อย่างเรียบง่ายไร้กังวล ต่อมาเมื่อองค์หวินชิ่งขึ้นครองราชย์ ชายแดนสงบไร้ศึก ตราอาญาสิทธิ์หู่ฝูสามทัพก็ไม่เคยปรากฏให้เห็นอีกเลย...
    - จากเรื่อง <ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้> ผู้แต่ง เยวี่ยเซี่ยเตี๋ยอิ่ง (แต่ Storyฯ แปลเองจ้า)
    (หมายเหตุ ละครเรื่อง <ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    ตราหู่ฝูนี้ฟังดูยิ่งใหญ่ และแฟนละคร/นิยายจีนโบราณต้องเคยผ่านตาเรื่องราวที่ว่าทหารเชื่อฟังหู่ฝูมากกว่าราชโองการจากฮ่องเต้ Storyฯ มีข้อข้องใจเกี่ยวกับหู่ฝูจึงไปทำการบ้านและมาเล่าสู่กันฟังในสามประเด็น: 1) ตราหู่ฝูมีอำนาจเคลื่อนย้ายกองทัพได้ทั้งหมดหรือไม่? 2) ทำไมฮ่องเต้ทำหู่ฝูซีกเดียวขึ้นใหม่ไม่ได้? 3) ตราอาญาสิทธิ์ทางทหารมีหู่ฝูอย่างเดียวหรือ?

    ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจตราหู่ฝู ตราอาญาสิทธิ์ทางการทหารลักษณะนี้ปรากฏครั้งแรกในยุคสมัยชุนชิว (ปี 771-476 ก่อนคริสตกาล) แรกเริ่มทำจากไม้ไผ่ ต่อมาจึงทำจากสำริด ทองคำ และหยก

    หู่ฝูจะแบ่งเป็นสองซีก ซีกขวาเก็บไว้ที่ฮ่องเต้ ซีกซ้ายมอบไว้ให้แม่ทัพใหญ่ผู้กุมกำลังกองทัพ ยามจะออกคำสั่งเคลื่อนพล ฮ่องเต้จะมอบตราอาญาสิทธิ์ส่วนของพระองค์ให้กับผู้แทนพระองค์ที่เดินทางนำคำสั่งไปส่งให้แก่แม่ทัพใหญ่ เมื่อนำทั้งสองซีกมาประกบกันได้ถูกต้องสมบูรณ์จึงจะถือว่าคำสั่งนั้นมีผล ในบางยุคสมัยนอกจากตราอาญาสิทธิ์แล้วยังต้องมีพระราชโองการประกอบด้วยจึงจะถือว่าสมบูรณ์

    ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะในสมัยโบราณการสื่อสารยากลำบาก อีกทั้งไม่มีวิธีพิสูจน์ว่าเอกสารหรือราชโองการนั้นจริงหรือเท็จ ตราอาญาสิทธิ์นี้เป็นหลักฐานสูงสุด จึงเป็นที่มาว่าหากฮ่องเต้ไม่มีตราหู่ฝูก็สั่งเคลื่อนกำลังพลไม่ได้

    ทำไมมันจึงเป็นหลักฐานสูงสุด? ก็เพราะว่ามันปลอมแปลงไม่ได้ (หรือยากมาก) เนื่องจากมันมีรูปร่างและใช้วัสดุที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ และตัวหู่ฝูจะมีการสลัก/เขียนรายละเอียดไว้เต็มตัว (ดูภาพประกอบ) อย่างเช่นตราตู้หู่ฝูมีถึง 40 อักษรด้วยกัน มีทั้งกรณีที่ต้องเอาสองซีกมาประกบกันจึงจะอ่านได้ครบ (อย่างเช่นในสมัยราชวงศ์ฮั่น) หรืออีกกรณีคือข้อความสองซีกเหมือนกันแต่ตรงกลางจะมีลายตราที่ถูกผ่าครึ่ง ต้องนำสองซีกมาประกบกันจึงจะเห็นรูปครบ (อย่างเช่นในสมัยฉิน) เพราะฉนั้นผู้ที่มีเพียงซีกเดียวจึงไม่สามารถทำอีกซีกขึ้นใหม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าอีกซีกเขียนหรือวาดอะไรไว้บ้าง (ในบางสมัยแกนในยังมีรูให้ทำเหมือนตัวยื่นเข้าไปประกบด้วย...เพิ่มความยากอีกหนึ่งขั้น) ทั้งนี้ ข้อความที่สมบูรณ์จะระบุขอบเขตอำนาจชัดเจนว่าไว้ใช้สำหรับกองทัพใดและพื้นที่ใด

    ดังนั้น ไขข้อข้องใจไปสองเปลาะว่า ตราอาญาสิทธิ์ทำขึ้นใหม่เองเฉพาะซีกเดียวไม่ได้ และตราแต่ละตัวมีอำนาจควบคุมกองทัพจากพื้นที่เดียวตามที่กำหนดไว้เท่านั้น โยกย้ายกองกำลังอื่นไม่ได้

    ปัจจุบันมีการค้นพบของจริงจากยุคสมัยราชวงศ์ฉินได้ 3 ตัว คือซินกัวหู่ฝู หยางหลิงหู่ฝู และตู้หู่ฝู (รูปประกอบยกมาสองตัว) จะเห็นว่ารูปร่างลวดลายแตกต่างกัน และขนาดของจริงก็แตกต่างกันไปเล็กน้อย จากภาษาที่ใช้ นักโบราณคดีพบว่าทั้งสามตัวนี้ไม่ได้จัดทำขึ้นพร้อมกันแม้จะมาจากยุคสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้เหมือนกัน

    ตราหู่ฝูคือตราพยัคฆ์ แต่จริงๆ แล้วตราอาญาสิทธิ์ทางทหารเรียกว่า ‘จวินฝู’ และอาจทำเป็นรูปแบบใดก็ได้ ในสมัยราชวงศ์ถัง ตราอาญาสิทธิ์มีทั้งรูปปลา กระต่าย และเต่า และเมื่อถึงยุคสมัยราชวงศ์หยวนก็มีการปรับเปลี่ยนเป็นใช้ป้ายอาญาสิทธิ์แทน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.sohu.com/a/403266963_427962
    https://www.xuehua.us/a/5eb7de1b86ec4d0bd8de2c68
    https://baike.baidu.com/item/%E8%99%8E%E7%AC%A6/5191
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/%E8%99%8E%E7%AC%A6/5191
    https://www.xuehua.us/a/5eb7de1b86ec4d0bd8de2c68
    https://m.52lishi.com/article/45237.html

    #ตราอาญาสิทธิ์ทหาร #หู่ฝู #ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้ #ประวัติศาสตร์จีน #ราชวงศ์ฉิน
    เพื่อนเพจที่ดูละครจีนโบราณต้องเคยเห็นตราอาญาสิทธิ์ของทหารที่เป็นตัวเสือผ่าครึ่ง และดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะไม่สามารถควบคุมกองทัพได้เลยถ้าไม่มีมัน มันก็คือ ‘ตราพยัคฆ์’ หรือ ‘หู่ฝู’ นั่นเอง ความมีอยู่ว่า ...ครานั้นตราอาญาสิทธิ์หู่ฝูสามทัพอยู่ในมือของจอมทัพปัน ต่อมาจอมทัพปันได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ชายแดน เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวงก็วางเกราะลง ทำตัวเป็นกั๋วกงอยู่อย่างเรียบง่ายไร้กังวล ต่อมาเมื่อองค์หวินชิ่งขึ้นครองราชย์ ชายแดนสงบไร้ศึก ตราอาญาสิทธิ์หู่ฝูสามทัพก็ไม่เคยปรากฏให้เห็นอีกเลย... - จากเรื่อง <ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้> ผู้แต่ง เยวี่ยเซี่ยเตี๋ยอิ่ง (แต่ Storyฯ แปลเองจ้า) (หมายเหตุ ละครเรื่อง <ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) ตราหู่ฝูนี้ฟังดูยิ่งใหญ่ และแฟนละคร/นิยายจีนโบราณต้องเคยผ่านตาเรื่องราวที่ว่าทหารเชื่อฟังหู่ฝูมากกว่าราชโองการจากฮ่องเต้ Storyฯ มีข้อข้องใจเกี่ยวกับหู่ฝูจึงไปทำการบ้านและมาเล่าสู่กันฟังในสามประเด็น: 1) ตราหู่ฝูมีอำนาจเคลื่อนย้ายกองทัพได้ทั้งหมดหรือไม่? 2) ทำไมฮ่องเต้ทำหู่ฝูซีกเดียวขึ้นใหม่ไม่ได้? 3) ตราอาญาสิทธิ์ทางทหารมีหู่ฝูอย่างเดียวหรือ? ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจตราหู่ฝู ตราอาญาสิทธิ์ทางการทหารลักษณะนี้ปรากฏครั้งแรกในยุคสมัยชุนชิว (ปี 771-476 ก่อนคริสตกาล) แรกเริ่มทำจากไม้ไผ่ ต่อมาจึงทำจากสำริด ทองคำ และหยก หู่ฝูจะแบ่งเป็นสองซีก ซีกขวาเก็บไว้ที่ฮ่องเต้ ซีกซ้ายมอบไว้ให้แม่ทัพใหญ่ผู้กุมกำลังกองทัพ ยามจะออกคำสั่งเคลื่อนพล ฮ่องเต้จะมอบตราอาญาสิทธิ์ส่วนของพระองค์ให้กับผู้แทนพระองค์ที่เดินทางนำคำสั่งไปส่งให้แก่แม่ทัพใหญ่ เมื่อนำทั้งสองซีกมาประกบกันได้ถูกต้องสมบูรณ์จึงจะถือว่าคำสั่งนั้นมีผล ในบางยุคสมัยนอกจากตราอาญาสิทธิ์แล้วยังต้องมีพระราชโองการประกอบด้วยจึงจะถือว่าสมบูรณ์ ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะในสมัยโบราณการสื่อสารยากลำบาก อีกทั้งไม่มีวิธีพิสูจน์ว่าเอกสารหรือราชโองการนั้นจริงหรือเท็จ ตราอาญาสิทธิ์นี้เป็นหลักฐานสูงสุด จึงเป็นที่มาว่าหากฮ่องเต้ไม่มีตราหู่ฝูก็สั่งเคลื่อนกำลังพลไม่ได้ ทำไมมันจึงเป็นหลักฐานสูงสุด? ก็เพราะว่ามันปลอมแปลงไม่ได้ (หรือยากมาก) เนื่องจากมันมีรูปร่างและใช้วัสดุที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ และตัวหู่ฝูจะมีการสลัก/เขียนรายละเอียดไว้เต็มตัว (ดูภาพประกอบ) อย่างเช่นตราตู้หู่ฝูมีถึง 40 อักษรด้วยกัน มีทั้งกรณีที่ต้องเอาสองซีกมาประกบกันจึงจะอ่านได้ครบ (อย่างเช่นในสมัยราชวงศ์ฮั่น) หรืออีกกรณีคือข้อความสองซีกเหมือนกันแต่ตรงกลางจะมีลายตราที่ถูกผ่าครึ่ง ต้องนำสองซีกมาประกบกันจึงจะเห็นรูปครบ (อย่างเช่นในสมัยฉิน) เพราะฉนั้นผู้ที่มีเพียงซีกเดียวจึงไม่สามารถทำอีกซีกขึ้นใหม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าอีกซีกเขียนหรือวาดอะไรไว้บ้าง (ในบางสมัยแกนในยังมีรูให้ทำเหมือนตัวยื่นเข้าไปประกบด้วย...เพิ่มความยากอีกหนึ่งขั้น) ทั้งนี้ ข้อความที่สมบูรณ์จะระบุขอบเขตอำนาจชัดเจนว่าไว้ใช้สำหรับกองทัพใดและพื้นที่ใด ดังนั้น ไขข้อข้องใจไปสองเปลาะว่า ตราอาญาสิทธิ์ทำขึ้นใหม่เองเฉพาะซีกเดียวไม่ได้ และตราแต่ละตัวมีอำนาจควบคุมกองทัพจากพื้นที่เดียวตามที่กำหนดไว้เท่านั้น โยกย้ายกองกำลังอื่นไม่ได้ ปัจจุบันมีการค้นพบของจริงจากยุคสมัยราชวงศ์ฉินได้ 3 ตัว คือซินกัวหู่ฝู หยางหลิงหู่ฝู และตู้หู่ฝู (รูปประกอบยกมาสองตัว) จะเห็นว่ารูปร่างลวดลายแตกต่างกัน และขนาดของจริงก็แตกต่างกันไปเล็กน้อย จากภาษาที่ใช้ นักโบราณคดีพบว่าทั้งสามตัวนี้ไม่ได้จัดทำขึ้นพร้อมกันแม้จะมาจากยุคสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้เหมือนกัน ตราหู่ฝูคือตราพยัคฆ์ แต่จริงๆ แล้วตราอาญาสิทธิ์ทางทหารเรียกว่า ‘จวินฝู’ และอาจทำเป็นรูปแบบใดก็ได้ ในสมัยราชวงศ์ถัง ตราอาญาสิทธิ์มีทั้งรูปปลา กระต่าย และเต่า และเมื่อถึงยุคสมัยราชวงศ์หยวนก็มีการปรับเปลี่ยนเป็นใช้ป้ายอาญาสิทธิ์แทน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.sohu.com/a/403266963_427962 https://www.xuehua.us/a/5eb7de1b86ec4d0bd8de2c68 https://baike.baidu.com/item/%E8%99%8E%E7%AC%A6/5191 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/%E8%99%8E%E7%AC%A6/5191 https://www.xuehua.us/a/5eb7de1b86ec4d0bd8de2c68 https://m.52lishi.com/article/45237.html #ตราอาญาสิทธิ์ทหาร #หู่ฝู #ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้ #ประวัติศาสตร์จีน #ราชวงศ์ฉิน
    WWW.SOHU.COM
    关晓彤新剧未播先被群嘲,《我就是这般女子》为何“差评预定”?_演技
    《凤囚凰》是其主演的第一部爱情题材偶像剧,但在这部剧中,她在大众的好演技形象直接滑铁卢,后来的《极光之恋》、《甜蜜暴击》更是一步步加深了观众对其演技的负面印象,她所主演的三部言情剧均是嘲讽居多,接二…
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
  • ควันหลงจากการที่ Storyฯ ได้ดูหนังเรื่อง ชางชี แล้วเห็นสัตว์เทพในตำนาน วันนี้เลยกลับมาอีกครั้งกับคัมภีร์ซานไห่จิง (คัมภีร์ขุนเขาและท้องทะเล) ซึ่งเป็นหนังสือโบราณสมัยก่อนราชวงศ์ฉินที่บันทึกเรื่องราวของเทพนิยาย ปีศาจ สัตว์ประหลาด นิทานปรัมปรา และวัฒนธรรม ฯลฯ ในยุคโบราณของจีน วันนี้เรามาคุยกันถึงสัตว์ในเทพนิยายที่เชื่อว่าทุกคนต้องรู้สึกคุ้นเคย --- เฟิ่งหวง หรือ หงส์ฟ้า

    ความมีอยู่ว่า
    ... “ราชันแห่งเผ่าพันธ์เฟิ่งหวงสืบทอดพระบัญชาจากปฐมเทพให้เป็นพาหนะของข้า... เฟิ่งหวงห้าสีแม้เป็นสัตว์เทพหายาก แต่มิใช่เหมาะสมที่สุดในการฝึกฝนพลังเทพ.... เฟิ่งหวงอัคคีสามารถตายดับแล้วเกิดใหม่เป็นอมตะ เป็นราชันแห่งเผ่าพันธุ์เฟิ่งหวงทั้งหมด เฟิ่งหวงอัคคีในรุ่นหนึ่งเมื่อยอมสละสังขาร ราชันเฟิ่งหวงรุ่นถัดไปต้องรอนานถึงหนึ่งแสนปีจึงจะเกิดใหม่...” ซ่างกู่ตอบ
    - จากเรื่อง <ซ่างกู่ ตำนานบรรพกาล> ผู้แต่ง ซิงหลิง (แต่ Storyฯ แปลเองจ้า)
    (หมายเหตุ ละครเรื่อง <ตำนานรักสองสวรรค์> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    เรามักจะคุ้นเคยจากละครหลายเรื่องว่าเฟิ่งหวงเป็นหงส์เพลิง และนิยายข้างต้นดูจะเกริ่นว่าเฟิ่งหวงมีหลายชนิด

    ในคัมภีร์ซานไห่จิงมีการพูดถึงเฟิ่งหวง (ดูรูปขวาล่าง) ไว้ว่า รูปร่างเหมือนไก่ ขนเป็นลายห้าสี ลายบนหัวเป็นอักษร ‘เต๋อ’ (คุณธรรม) ลายบนปีกเป็นอักษร ‘อี้’ (ความถูกต้อง) ลายบนหลังเป็นอักษร ‘หลี่’ (พิธีการ) ลายบนอกเป็นอักษร ‘เหริน’ (ความเมตตา) และลายบนท้องเป็นอักษร ‘ซิ่น’ (ความเชื่อใจ) นกนี้ร้องรำทำเพลงอิสระ กินอาหารได้ตามใจ มีฝูงนกบินตามเป็นหมื่น ยามปรากฏกายแผ่นดินจะบังเกิดสันติสุข นอกจากนี้ยังพูดถึงว่าเป็นนกห้าสีที่อาศัยอยู่ในหลายดินแดน รวมถึงเขาคุนลุ้น และยังกล่าวถึงว่าเป็นพาหนะของกษัตริย์เทพบรรพกาลแห่งดินแดนทุรกันดารด้วยด้วย

    ดังนั้น นกเฟิ่งหวงตามคัมภีร์ซานไห่จิงเป็นนกที่มีขนห้าเฉดสี และเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามและสันติสุข ไม่มีการพูดถึงนกเพลิงหรือการตายแล้วเกิดใหม่จากขี้เถ้า ซึ่งอย่างหลังนี้ จริงๆ แล้วได้รับอิทธิพลมาจากตำนานของฝรั่งเรื่องนกฟีนิกซ์ แต่ในตำนานปรัมปราจีนมีการยกย่องนับถือสัตว์เทพสี่องค์ หนึ่งในนั้นคือ หงส์แดง (จูเชวี่ย 朱雀) เป็นเทพอัคคี และว่ากันว่านกเฟิ่งหวงเป็นสัตว์ที่สืบทอดมาจากหงส์แดงนั่นเอง

    ในหนังสือบันทึกเกร็ดความรู้โบราณในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ที่มีชื่อว่า “อวี้ไห่” (玉海 มีทั้งหมด 204 บท) มีสรุปไว้ว่า นกในตระกูลเฟิ่งหวงมี 5 ชนิดคือ มีสีแดงมากหน่อยคือเฟิ่งหวง; สีเหลืองมากหน่อยคือยวนฉู (鹓鶵); สีเขียวฟ้ามากหน่อยคือหลวน (鸾); สีม่วงมากหน่อยคือเยวี่ยจั๋ว (鸑鷟); และสีขาวคือหงหู (鸿鹄) แต่ไม่ได้มีการบรรยายไว้ถึงรูปพรรณสัณฐานที่ขัดเจนว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่ ดังนั้นในรูปภาพแนวแฟนตาซีจีนทั้งหลายจะเห็นลักษณะใกล้เคียงกัน ต่างกันเพียงสี

    จริงๆ แล้ว ‘เฟิ่ง’ คือหงส์ตัวผู้ ‘หวง’ เป็นหงส์ตัวเมีย เมื่อเรียกรวมกันเป็น ‘เฟิ่งหวง’ หมายถึงเผ่าพันธุ์หงส์โดยรวม และเป็นสัญลักษณ์แห่งสมดุลของหยินหยาง เกิดเป็นลวดลายของเฟิ่งและหวงมาบรรจบกัน ต่อมาเมื่อมังกรถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของเพศชายและฮ่องเต้ เฟิ่งซึ่งเป็นการเรียกย่อของเฟิ่งหวงจึงกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของเพศหญิงและฮองเฮาแทน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://m.1905.com/m/news/zaker/1531311.shtml?__hz=1fc214004c9481e4&api_source=zaker_news_add
    https://m.52lishi.com/article/78597.html
    http://www.gd.chinanews.com.cn/2019/2019-05-28/403356.shtml
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.guoxue.com/book/shanhaijing/0001.htm
    https://baike.baidu.com/item/%E5%87%A4%E5%87%B0/5433
    https://baike.baidu.com/item/%E6%9C%B1%E9%9B%80/2305467
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/45506725
    #เฟิ่งหวง #ซานไห่จิง #คัมภีร์แห่งขุนเขาและทะเล #ตำนานจีน #สัตว์เทพจีน #วัฒนธรรมจีน
    ควันหลงจากการที่ Storyฯ ได้ดูหนังเรื่อง ชางชี แล้วเห็นสัตว์เทพในตำนาน วันนี้เลยกลับมาอีกครั้งกับคัมภีร์ซานไห่จิง (คัมภีร์ขุนเขาและท้องทะเล) ซึ่งเป็นหนังสือโบราณสมัยก่อนราชวงศ์ฉินที่บันทึกเรื่องราวของเทพนิยาย ปีศาจ สัตว์ประหลาด นิทานปรัมปรา และวัฒนธรรม ฯลฯ ในยุคโบราณของจีน วันนี้เรามาคุยกันถึงสัตว์ในเทพนิยายที่เชื่อว่าทุกคนต้องรู้สึกคุ้นเคย --- เฟิ่งหวง หรือ หงส์ฟ้า ความมีอยู่ว่า ... “ราชันแห่งเผ่าพันธ์เฟิ่งหวงสืบทอดพระบัญชาจากปฐมเทพให้เป็นพาหนะของข้า... เฟิ่งหวงห้าสีแม้เป็นสัตว์เทพหายาก แต่มิใช่เหมาะสมที่สุดในการฝึกฝนพลังเทพ.... เฟิ่งหวงอัคคีสามารถตายดับแล้วเกิดใหม่เป็นอมตะ เป็นราชันแห่งเผ่าพันธุ์เฟิ่งหวงทั้งหมด เฟิ่งหวงอัคคีในรุ่นหนึ่งเมื่อยอมสละสังขาร ราชันเฟิ่งหวงรุ่นถัดไปต้องรอนานถึงหนึ่งแสนปีจึงจะเกิดใหม่...” ซ่างกู่ตอบ - จากเรื่อง <ซ่างกู่ ตำนานบรรพกาล> ผู้แต่ง ซิงหลิง (แต่ Storyฯ แปลเองจ้า) (หมายเหตุ ละครเรื่อง <ตำนานรักสองสวรรค์> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) เรามักจะคุ้นเคยจากละครหลายเรื่องว่าเฟิ่งหวงเป็นหงส์เพลิง และนิยายข้างต้นดูจะเกริ่นว่าเฟิ่งหวงมีหลายชนิด ในคัมภีร์ซานไห่จิงมีการพูดถึงเฟิ่งหวง (ดูรูปขวาล่าง) ไว้ว่า รูปร่างเหมือนไก่ ขนเป็นลายห้าสี ลายบนหัวเป็นอักษร ‘เต๋อ’ (คุณธรรม) ลายบนปีกเป็นอักษร ‘อี้’ (ความถูกต้อง) ลายบนหลังเป็นอักษร ‘หลี่’ (พิธีการ) ลายบนอกเป็นอักษร ‘เหริน’ (ความเมตตา) และลายบนท้องเป็นอักษร ‘ซิ่น’ (ความเชื่อใจ) นกนี้ร้องรำทำเพลงอิสระ กินอาหารได้ตามใจ มีฝูงนกบินตามเป็นหมื่น ยามปรากฏกายแผ่นดินจะบังเกิดสันติสุข นอกจากนี้ยังพูดถึงว่าเป็นนกห้าสีที่อาศัยอยู่ในหลายดินแดน รวมถึงเขาคุนลุ้น และยังกล่าวถึงว่าเป็นพาหนะของกษัตริย์เทพบรรพกาลแห่งดินแดนทุรกันดารด้วยด้วย ดังนั้น นกเฟิ่งหวงตามคัมภีร์ซานไห่จิงเป็นนกที่มีขนห้าเฉดสี และเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามและสันติสุข ไม่มีการพูดถึงนกเพลิงหรือการตายแล้วเกิดใหม่จากขี้เถ้า ซึ่งอย่างหลังนี้ จริงๆ แล้วได้รับอิทธิพลมาจากตำนานของฝรั่งเรื่องนกฟีนิกซ์ แต่ในตำนานปรัมปราจีนมีการยกย่องนับถือสัตว์เทพสี่องค์ หนึ่งในนั้นคือ หงส์แดง (จูเชวี่ย 朱雀) เป็นเทพอัคคี และว่ากันว่านกเฟิ่งหวงเป็นสัตว์ที่สืบทอดมาจากหงส์แดงนั่นเอง ในหนังสือบันทึกเกร็ดความรู้โบราณในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ที่มีชื่อว่า “อวี้ไห่” (玉海 มีทั้งหมด 204 บท) มีสรุปไว้ว่า นกในตระกูลเฟิ่งหวงมี 5 ชนิดคือ มีสีแดงมากหน่อยคือเฟิ่งหวง; สีเหลืองมากหน่อยคือยวนฉู (鹓鶵); สีเขียวฟ้ามากหน่อยคือหลวน (鸾); สีม่วงมากหน่อยคือเยวี่ยจั๋ว (鸑鷟); และสีขาวคือหงหู (鸿鹄) แต่ไม่ได้มีการบรรยายไว้ถึงรูปพรรณสัณฐานที่ขัดเจนว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่ ดังนั้นในรูปภาพแนวแฟนตาซีจีนทั้งหลายจะเห็นลักษณะใกล้เคียงกัน ต่างกันเพียงสี จริงๆ แล้ว ‘เฟิ่ง’ คือหงส์ตัวผู้ ‘หวง’ เป็นหงส์ตัวเมีย เมื่อเรียกรวมกันเป็น ‘เฟิ่งหวง’ หมายถึงเผ่าพันธุ์หงส์โดยรวม และเป็นสัญลักษณ์แห่งสมดุลของหยินหยาง เกิดเป็นลวดลายของเฟิ่งและหวงมาบรรจบกัน ต่อมาเมื่อมังกรถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของเพศชายและฮ่องเต้ เฟิ่งซึ่งเป็นการเรียกย่อของเฟิ่งหวงจึงกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของเพศหญิงและฮองเฮาแทน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://m.1905.com/m/news/zaker/1531311.shtml?__hz=1fc214004c9481e4&api_source=zaker_news_add https://m.52lishi.com/article/78597.html http://www.gd.chinanews.com.cn/2019/2019-05-28/403356.shtml Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.guoxue.com/book/shanhaijing/0001.htm https://baike.baidu.com/item/%E5%87%A4%E5%87%B0/5433 https://baike.baidu.com/item/%E6%9C%B1%E9%9B%80/2305467 https://zhuanlan.zhihu.com/p/45506725 #เฟิ่งหวง #ซานไห่จิง #คัมภีร์แห่งขุนเขาและทะเล #ตำนานจีน #สัตว์เทพจีน #วัฒนธรรมจีน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 400 มุมมอง 0 รีวิว
  • ละครสมัยราชวงศ์ชิงที่ออกฉายในช่วงไม่กี่ปีมานี้ มีหลายเรื่องที่ดูจะมีความเนี้ยบด้านเสื้อผ้าหน้าผม วันนี้เลยเอารูปมาเปรียบเทียบให้ดู เพราะทุกเรื่องมีทั้งส่วนที่สมจริงและที่ไม่สมจริง แต่ความ ‘เอ๊ะ’ ของ Storyฯ ที่จะพูดถึงในวันนี้คือการทาปากของสาวๆ ในละครเหล่านี้ที่ดูจะเข้มข้นแตกต่างกันไป

    เพื่อนเพจหลายท่านอาจทราบอยู่แล้วว่า วัฒนธรรมจีนโบราณมีค่านิยมว่า ปากที่สวยต้องเล็ก ดังบทความข้างล่างว่า
    ...เว่ยอิงหลัวอยู่ในชุดแต่งงานสีแดงสด แป้งผัดเบาบางดุจสายลมมาลูบไล้ด้วยหิมะ แก้มแดงระเรื่อดุจท้องฟ้าถูกเกลี่ยด้วยแสงอัสดง ส่วนริมฝีปากนั้นเล่า แต้มแดงชาดเพียงจุดเดียว โดดเด่นไม่อาจมองข้าม หากบุรุษบ้านใดได้แต่งเจ้าสาวงดงามเยี่ยงนี้ คงดีใจจนบ้าคลั่ง...
    - จากเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ผู้แต่ง เซี่ยวเหลี่ยนเม้า
    (หมายเหตุ ชื่อเรื่องตามชื่อแปลอย่างเป็นทางการโดยช่อง 3 ของละครที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้ แต่บทความ Storyฯ แปลเองจ้า)

    แฟชั่นทาปากแบบไม่เต็มริมฝีปากหรือที่เรียกว่า “เตี่ยนฉุน” (点唇 หรือริมฝีปากแต้มจุดเดียว) นั้น มีมาแต่ยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น (เห็นได้จากภาพที่แปะมาให้ดู) พอถึงยุคสมัยราชวงศ์ถังนิยมวาดเป็นดอกไม้ ถูกเปรียบเปรยในบทกวีในสมัยนั้นด้วยวลีที่ว่า “อิงเถาเสียวโข่ว” (樱桃小口) หรือปากเล็กดุจเชอร์รี่

    มีบันทึกเกร็ดชีวิตประจำวันโบราณสมัยปลายหมิงถึงชิง “เสียนฉิงโอ่วจี้” (闲情偶记) โดยหลี่อวี๋ (ค.ศ. 1611-1680) บรรยายถึงวิธีการทาปากไว้ว่า “การแต้มปากนั้น ใช้เพียงแตะเป็นจุดเดียว คล้ายผลเชอร์รี่ หากยังวาดต่อทำได้อีกเพียงสองสามแต้ม สลับยาวสั้นกว้างแคบ ประกอบเป็นพวงดอกเชอร์รี่ มิใช่เป็นรูปก้อนกลม”

    แต่อย่างที่เห็นจากรูปประกอบ รูปทรงของการทาปากเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ในสมัยราชวงศ์ชิงมีสามแบบหลักด้วยกัน คือ 1) ทาริมฝีปากบน ส่วนริมฝีปากล่างแต้มเพียงเล็กน้อย หรือ 2) วาดเป็นรูปกลีบดอกเชอรี่ (ห้ากลีบ) หรือ 3) เป็นแบบในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> คือทาริมฝีปากล่างแต่ไม่ทาริมฝีปากบน เรียกว่า “เตี่ยนเจี้ยงฉุน” (点绛唇) แบบหลังนี้มีหลักฐานเห็นชัดในรูปภาพวาดต่างๆ เช่นที่นำมาแปะให้ดูคือภาพของซูเฟย หนึ่งในพระชายาของเฉียนหลงฮ่องเต้ (ภาพแรกขวาบน)

    เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายคนอาจเหมือน Storyฯ ที่เข้าใจตามละครสมัยราชวงศ์ชิงหลายเรื่องว่าสมัยนั้นเน้นการแต่งหน้าเข้มควบคู่ไปกับการแต่งองค์ทรงเครื่องที่หรูหรา โดยเฉพาะสาวในวัง แต่จริงๆ แล้วนิยามความงามสตรีในยุคสมัยนั้นคือ คิ้วโก่งบาง ไม่แต่งหน้าเข้ม และทาปากอ่อนๆ จึงนับว่าละครเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> เป็นเรื่องที่แต่งหน้าได้ค่อนข้างตรงกับประวัติศาสตร์จริงพอสมควร (เฉพาะเรื่องแต่งหน้านะคะ เรื่องอื่นมีคนเคยวิจารณ์เปรียบเทียบว่ามีผิดเพี้ยนบ้างเหมือนกัน)

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.elle.com/tw/entertainment/drama/g35859439/china-drama-the-legend-of-zhenhuan/
    https://www.baobuzz.com/info/621726.html
    https://www.sohu.com/a/253010194_100213042
    https://new.qq.com/omn/20200203/20200203A0MHAR00.html
    https://imod-fms.csu.edu.tw/sysdata/doc/7/716d03a5b1b4e483/pdf.pdf
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_9398854
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://new.qq.com/omn/20200203/20200203A0MHAR00.html
    https://kknews.cc/fashion/qy55rgb.html
    http://www.guoxue123.com/biji/qing2/xqoj/014.htm
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/29773775

    #ตำหนักเหยียนสี่ #เว่ยอิงหลัว #หรูอี้ #เจินหวน #ราชวงศ์ชิง #แต่งหน้าจีนโบราณ #วัฒนธรรมจีนโบราณ
    ละครสมัยราชวงศ์ชิงที่ออกฉายในช่วงไม่กี่ปีมานี้ มีหลายเรื่องที่ดูจะมีความเนี้ยบด้านเสื้อผ้าหน้าผม วันนี้เลยเอารูปมาเปรียบเทียบให้ดู เพราะทุกเรื่องมีทั้งส่วนที่สมจริงและที่ไม่สมจริง แต่ความ ‘เอ๊ะ’ ของ Storyฯ ที่จะพูดถึงในวันนี้คือการทาปากของสาวๆ ในละครเหล่านี้ที่ดูจะเข้มข้นแตกต่างกันไป เพื่อนเพจหลายท่านอาจทราบอยู่แล้วว่า วัฒนธรรมจีนโบราณมีค่านิยมว่า ปากที่สวยต้องเล็ก ดังบทความข้างล่างว่า ...เว่ยอิงหลัวอยู่ในชุดแต่งงานสีแดงสด แป้งผัดเบาบางดุจสายลมมาลูบไล้ด้วยหิมะ แก้มแดงระเรื่อดุจท้องฟ้าถูกเกลี่ยด้วยแสงอัสดง ส่วนริมฝีปากนั้นเล่า แต้มแดงชาดเพียงจุดเดียว โดดเด่นไม่อาจมองข้าม หากบุรุษบ้านใดได้แต่งเจ้าสาวงดงามเยี่ยงนี้ คงดีใจจนบ้าคลั่ง... - จากเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ผู้แต่ง เซี่ยวเหลี่ยนเม้า (หมายเหตุ ชื่อเรื่องตามชื่อแปลอย่างเป็นทางการโดยช่อง 3 ของละครที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้ แต่บทความ Storyฯ แปลเองจ้า) แฟชั่นทาปากแบบไม่เต็มริมฝีปากหรือที่เรียกว่า “เตี่ยนฉุน” (点唇 หรือริมฝีปากแต้มจุดเดียว) นั้น มีมาแต่ยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น (เห็นได้จากภาพที่แปะมาให้ดู) พอถึงยุคสมัยราชวงศ์ถังนิยมวาดเป็นดอกไม้ ถูกเปรียบเปรยในบทกวีในสมัยนั้นด้วยวลีที่ว่า “อิงเถาเสียวโข่ว” (樱桃小口) หรือปากเล็กดุจเชอร์รี่ มีบันทึกเกร็ดชีวิตประจำวันโบราณสมัยปลายหมิงถึงชิง “เสียนฉิงโอ่วจี้” (闲情偶记) โดยหลี่อวี๋ (ค.ศ. 1611-1680) บรรยายถึงวิธีการทาปากไว้ว่า “การแต้มปากนั้น ใช้เพียงแตะเป็นจุดเดียว คล้ายผลเชอร์รี่ หากยังวาดต่อทำได้อีกเพียงสองสามแต้ม สลับยาวสั้นกว้างแคบ ประกอบเป็นพวงดอกเชอร์รี่ มิใช่เป็นรูปก้อนกลม” แต่อย่างที่เห็นจากรูปประกอบ รูปทรงของการทาปากเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ในสมัยราชวงศ์ชิงมีสามแบบหลักด้วยกัน คือ 1) ทาริมฝีปากบน ส่วนริมฝีปากล่างแต้มเพียงเล็กน้อย หรือ 2) วาดเป็นรูปกลีบดอกเชอรี่ (ห้ากลีบ) หรือ 3) เป็นแบบในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> คือทาริมฝีปากล่างแต่ไม่ทาริมฝีปากบน เรียกว่า “เตี่ยนเจี้ยงฉุน” (点绛唇) แบบหลังนี้มีหลักฐานเห็นชัดในรูปภาพวาดต่างๆ เช่นที่นำมาแปะให้ดูคือภาพของซูเฟย หนึ่งในพระชายาของเฉียนหลงฮ่องเต้ (ภาพแรกขวาบน) เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายคนอาจเหมือน Storyฯ ที่เข้าใจตามละครสมัยราชวงศ์ชิงหลายเรื่องว่าสมัยนั้นเน้นการแต่งหน้าเข้มควบคู่ไปกับการแต่งองค์ทรงเครื่องที่หรูหรา โดยเฉพาะสาวในวัง แต่จริงๆ แล้วนิยามความงามสตรีในยุคสมัยนั้นคือ คิ้วโก่งบาง ไม่แต่งหน้าเข้ม และทาปากอ่อนๆ จึงนับว่าละครเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> เป็นเรื่องที่แต่งหน้าได้ค่อนข้างตรงกับประวัติศาสตร์จริงพอสมควร (เฉพาะเรื่องแต่งหน้านะคะ เรื่องอื่นมีคนเคยวิจารณ์เปรียบเทียบว่ามีผิดเพี้ยนบ้างเหมือนกัน) (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.elle.com/tw/entertainment/drama/g35859439/china-drama-the-legend-of-zhenhuan/ https://www.baobuzz.com/info/621726.html https://www.sohu.com/a/253010194_100213042 https://new.qq.com/omn/20200203/20200203A0MHAR00.html https://imod-fms.csu.edu.tw/sysdata/doc/7/716d03a5b1b4e483/pdf.pdf https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_9398854 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://new.qq.com/omn/20200203/20200203A0MHAR00.html https://kknews.cc/fashion/qy55rgb.html http://www.guoxue123.com/biji/qing2/xqoj/014.htm https://zhuanlan.zhihu.com/p/29773775 #ตำหนักเหยียนสี่ #เว่ยอิงหลัว #หรูอี้ #เจินหวน #ราชวงศ์ชิง #แต่งหน้าจีนโบราณ #วัฒนธรรมจีนโบราณ
    WWW.ELLE.COM
    《後宮甄嬛傳》前傳確定開拍!作者親揭《德妃傳》5大看點,比《如懿傳》更值得期待
    繼孫儷《甄嬛傳》、周迅《如懿傳》之後,同系列宮鬥劇又有一部衍生作品啦!
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 430 มุมมอง 0 รีวิว
เรื่องราวเพิ่มเติม