• นิวยอร์กซิตี้ใช้ค่าผ่านทาง ลดรถ ลดมลพิษ

    มาตรการ Congestion Pricing ของนิวยอร์กซิตี้ ที่เริ่มใช้ในปี 2025 ทำให้การจราจรลดลงและมลพิษทางอากาศลดลงถึง 22% ในพื้นที่แมนฮัตตัน พร้อมผลพลอยได้เช่นอุบัติเหตุลดลงและเสียงรบกวนลดลงอย่างชัดเจน

    ตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 รถยนต์ที่ต้องการเข้าพื้นที่ใจกลางแมนฮัตตันในช่วงเวลาเร่งด่วนต้องจ่ายค่าผ่านทาง 9 ดอลลาร์ ผลลัพธ์ใน 6 เดือนแรกคือการจราจรลดลง 11% และอุบัติเหตุลดลง 14% ขณะเดียวกันเสียงรบกวนจากการบีบแตรหรือเสียงดังอื่น ๆ ลดลงถึง 45%

    ผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อม
    งานวิจัยจาก Cornell University พบว่า มลพิษฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM) ลดลงถึง 22% ในพื้นที่ที่มีการบังคับใช้มาตรการ ซึ่งถือว่ามากกว่าผลลัพธ์ที่เคยเห็นในเมืองอื่น เช่น สตอกโฮล์มและลอนดอน มลพิษเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญของโรคหอบหืด โรคหัวใจ และมะเร็งปอด

    พฤติกรรมการเดินทางเปลี่ยนไป
    นักวิจัยระบุว่ามาตรการนี้ไม่ได้เพียงแค่ผลักภาระไปยังชานเมือง แต่ช่วยให้ทั้งมหานครนิวยอร์กมีอากาศดีขึ้น เพราะผู้คนเลือกใช้ ขนส่งสาธารณะ หรือปรับเวลาเดินทาง เช่น ส่งสินค้าในเวลากลางคืน ทำให้การจราจรเบาบางลงและลดการสะสมของหมอกควัน

    ความหมายต่อเมืองใหญ่ทั่วโลก
    ผลลัพธ์นี้สะท้อนว่า Congestion Pricing ไม่ใช่แค่เรื่องการจัดการจราจร แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตและสุขภาพประชาชน หากเมืองใหญ่ทั่วโลกนำไปปรับใช้ อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากมลพิษทางอากาศได้อย่างมีนัยสำคัญ

    สรุปสาระสำคัญ
    มาตรการ Congestion Pricing เริ่มใช้ในนิวยอร์กปี 2025
    รถยนต์ต้องจ่าย $9 เพื่อเข้าพื้นที่แมนฮัตตันช่วงเร่งด่วน

    ผลลัพธ์ใน 6 เดือนแรก
    การจราจรลดลง 11%, อุบัติเหตุลดลง 14%, เสียงรบกวนลดลง 45%

    มลพิษฝุ่นละออง PM ลดลง 22%
    ลดความเสี่ยงโรคหอบหืด, โรคหัวใจ, มะเร็งปอด

    พฤติกรรมผู้คนเปลี่ยนไป
    ใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น, ส่งสินค้าเวลากลางคืน

    หากไม่มีมาตรการต่อเนื่อง มลพิษอาจกลับมาเพิ่มขึ้น
    การพึ่งพารถยนต์ส่วนตัวจะทำให้ผลลัพธ์ถดถอย

    เมืองที่ไม่ปรับใช้มาตรการคล้ายกันเสี่ยงต่อสุขภาพประชาชน
    มลพิษทางอากาศยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรทั่วโลก

    https://e360.yale.edu/digest/new-york-congestion-pricing-pollution
    🚗 นิวยอร์กซิตี้ใช้ค่าผ่านทาง ลดรถ ลดมลพิษ มาตรการ Congestion Pricing ของนิวยอร์กซิตี้ ที่เริ่มใช้ในปี 2025 ทำให้การจราจรลดลงและมลพิษทางอากาศลดลงถึง 22% ในพื้นที่แมนฮัตตัน พร้อมผลพลอยได้เช่นอุบัติเหตุลดลงและเสียงรบกวนลดลงอย่างชัดเจน ตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 รถยนต์ที่ต้องการเข้าพื้นที่ใจกลางแมนฮัตตันในช่วงเวลาเร่งด่วนต้องจ่ายค่าผ่านทาง 9 ดอลลาร์ ผลลัพธ์ใน 6 เดือนแรกคือการจราจรลดลง 11% และอุบัติเหตุลดลง 14% ขณะเดียวกันเสียงรบกวนจากการบีบแตรหรือเสียงดังอื่น ๆ ลดลงถึง 45% 🌫️ ผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อม งานวิจัยจาก Cornell University พบว่า มลพิษฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM) ลดลงถึง 22% ในพื้นที่ที่มีการบังคับใช้มาตรการ ซึ่งถือว่ามากกว่าผลลัพธ์ที่เคยเห็นในเมืองอื่น เช่น สตอกโฮล์มและลอนดอน มลพิษเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญของโรคหอบหืด โรคหัวใจ และมะเร็งปอด 🚉 พฤติกรรมการเดินทางเปลี่ยนไป นักวิจัยระบุว่ามาตรการนี้ไม่ได้เพียงแค่ผลักภาระไปยังชานเมือง แต่ช่วยให้ทั้งมหานครนิวยอร์กมีอากาศดีขึ้น เพราะผู้คนเลือกใช้ ขนส่งสาธารณะ หรือปรับเวลาเดินทาง เช่น ส่งสินค้าในเวลากลางคืน ทำให้การจราจรเบาบางลงและลดการสะสมของหมอกควัน 🌍 ความหมายต่อเมืองใหญ่ทั่วโลก ผลลัพธ์นี้สะท้อนว่า Congestion Pricing ไม่ใช่แค่เรื่องการจัดการจราจร แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตและสุขภาพประชาชน หากเมืองใหญ่ทั่วโลกนำไปปรับใช้ อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากมลพิษทางอากาศได้อย่างมีนัยสำคัญ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ มาตรการ Congestion Pricing เริ่มใช้ในนิวยอร์กปี 2025 ➡️ รถยนต์ต้องจ่าย $9 เพื่อเข้าพื้นที่แมนฮัตตันช่วงเร่งด่วน ✅ ผลลัพธ์ใน 6 เดือนแรก ➡️ การจราจรลดลง 11%, อุบัติเหตุลดลง 14%, เสียงรบกวนลดลง 45% ✅ มลพิษฝุ่นละออง PM ลดลง 22% ➡️ ลดความเสี่ยงโรคหอบหืด, โรคหัวใจ, มะเร็งปอด ✅ พฤติกรรมผู้คนเปลี่ยนไป ➡️ ใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น, ส่งสินค้าเวลากลางคืน ‼️ หากไม่มีมาตรการต่อเนื่อง มลพิษอาจกลับมาเพิ่มขึ้น ⛔ การพึ่งพารถยนต์ส่วนตัวจะทำให้ผลลัพธ์ถดถอย ‼️ เมืองที่ไม่ปรับใช้มาตรการคล้ายกันเสี่ยงต่อสุขภาพประชาชน ⛔ มลพิษทางอากาศยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรทั่วโลก https://e360.yale.edu/digest/new-york-congestion-pricing-pollution
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเปิดโปงการใช้ Palantir ในปฏิบัติการ

    บทความนี้เปิดเผยว่าอิสราเอลมีการใช้เทคโนโลยีของ Palantir ในการโจมตีด้วยเพจเจอร์ที่เกิดขึ้นในเลบานอน ซึ่งทำให้เกิดข้อถกเถียงเรื่องการใช้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกในปฏิบัติการทางทหารและความมั่นคง

    รายงานจากสำนักข่าวอิสระระบุว่าอิสราเอลได้ใช้แพลตฟอร์มของ Palantir Technologies ในการวิเคราะห์ข้อมูลและประสานงานการโจมตีด้วยเพจเจอร์ที่ถูกฝังระเบิดในเลบานอน เหตุการณ์นี้สร้างความตกใจในระดับนานาชาติ เพราะ Palantir มักถูกมองว่าเป็นเครื่องมือด้านข่าวกรองและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ไม่ใช่เครื่องมือที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการโจมตีทางกายภาพ

    ผลกระทบต่อความมั่นคงและการเมือง
    การเปิดเผยดังกล่าวทำให้เกิดคำถามถึงบทบาทของบริษัทเทคโนโลยีเอกชนในปฏิบัติการทางทหาร โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีถูกนำไปใช้ในสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อพลเรือนและความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลาง นักวิจารณ์บางส่วนชี้ว่าการใช้ซอฟต์แวร์ลักษณะนี้อาจทำให้เส้นแบ่งระหว่างการป้องกันและการโจมตีเลือนรางลง

    มุมมองจากนานาชาติ
    หลายองค์กรสิทธิมนุษยชนและนักวิชาการด้านความมั่นคงได้ออกมาเรียกร้องให้มีการตรวจสอบการใช้เทคโนโลยีของ Palantir ในปฏิบัติการดังกล่าว โดยมองว่าการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการโจมตีอาจเข้าข่ายละเมิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และอาจสร้างบรรทัดฐานที่อันตรายต่อการใช้เทคโนโลยีในสงครามยุคใหม่

    ความหมายต่ออนาคตของเทคโนโลยีและสงคราม
    กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายใหม่ในโลกที่เทคโนโลยีข้อมูลและ AI ถูกนำมาใช้ในปฏิบัติการทางทหาร การขาดกรอบกำกับดูแลที่ชัดเจนอาจทำให้บริษัทเอกชนมีบทบาทมากขึ้นในสงคราม ซึ่งอาจนำไปสู่การถกเถียงระดับโลกเกี่ยวกับจริยธรรมและความรับผิดชอบของผู้พัฒนาเทคโนโลยี

    สรุปสาระสำคัญ
    อิสราเอลถูกเปิดโปงว่าใช้เทคโนโลยี Palantir ในการโจมตีด้วยเพจเจอร์ในเลบานอน
    Palantir เป็นแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกนำไปใช้ในปฏิบัติการทางทหาร

    การเปิดเผยสร้างข้อถกเถียงเรื่องบทบาทบริษัทเทคโนโลยีเอกชน
    เส้นแบ่งระหว่างการป้องกันและการโจมตีเริ่มไม่ชัดเจน

    องค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้ตรวจสอบการใช้เทคโนโลยีนี้
    อาจเข้าข่ายละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

    การใช้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการโจมตีอาจสร้างบรรทัดฐานที่อันตราย
    เสี่ยงต่อการนำเทคโนโลยีไปใช้ในสงครามโดยไม่มีกรอบกำกับดูแล

    หากไม่มีการควบคุม บริษัทเอกชนอาจมีบทบาทมากขึ้นในสงครามยุคใหม่
    อาจนำไปสู่การละเมิดจริยธรรมและความรับผิดชอบของผู้พัฒนาเทคโนโลยี

    https://the307.substack.com/p/revealed-israel-used-palantir-technologies
    🔎 การเปิดโปงการใช้ Palantir ในปฏิบัติการ บทความนี้เปิดเผยว่าอิสราเอลมีการใช้เทคโนโลยีของ Palantir ในการโจมตีด้วยเพจเจอร์ที่เกิดขึ้นในเลบานอน ซึ่งทำให้เกิดข้อถกเถียงเรื่องการใช้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกในปฏิบัติการทางทหารและความมั่นคง รายงานจากสำนักข่าวอิสระระบุว่าอิสราเอลได้ใช้แพลตฟอร์มของ Palantir Technologies ในการวิเคราะห์ข้อมูลและประสานงานการโจมตีด้วยเพจเจอร์ที่ถูกฝังระเบิดในเลบานอน เหตุการณ์นี้สร้างความตกใจในระดับนานาชาติ เพราะ Palantir มักถูกมองว่าเป็นเครื่องมือด้านข่าวกรองและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ไม่ใช่เครื่องมือที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการโจมตีทางกายภาพ ⚔️ ผลกระทบต่อความมั่นคงและการเมือง การเปิดเผยดังกล่าวทำให้เกิดคำถามถึงบทบาทของบริษัทเทคโนโลยีเอกชนในปฏิบัติการทางทหาร โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีถูกนำไปใช้ในสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อพลเรือนและความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลาง นักวิจารณ์บางส่วนชี้ว่าการใช้ซอฟต์แวร์ลักษณะนี้อาจทำให้เส้นแบ่งระหว่างการป้องกันและการโจมตีเลือนรางลง 🌐 มุมมองจากนานาชาติ หลายองค์กรสิทธิมนุษยชนและนักวิชาการด้านความมั่นคงได้ออกมาเรียกร้องให้มีการตรวจสอบการใช้เทคโนโลยีของ Palantir ในปฏิบัติการดังกล่าว โดยมองว่าการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการโจมตีอาจเข้าข่ายละเมิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และอาจสร้างบรรทัดฐานที่อันตรายต่อการใช้เทคโนโลยีในสงครามยุคใหม่ 🧩 ความหมายต่ออนาคตของเทคโนโลยีและสงคราม กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายใหม่ในโลกที่เทคโนโลยีข้อมูลและ AI ถูกนำมาใช้ในปฏิบัติการทางทหาร การขาดกรอบกำกับดูแลที่ชัดเจนอาจทำให้บริษัทเอกชนมีบทบาทมากขึ้นในสงคราม ซึ่งอาจนำไปสู่การถกเถียงระดับโลกเกี่ยวกับจริยธรรมและความรับผิดชอบของผู้พัฒนาเทคโนโลยี 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ อิสราเอลถูกเปิดโปงว่าใช้เทคโนโลยี Palantir ในการโจมตีด้วยเพจเจอร์ในเลบานอน ➡️ Palantir เป็นแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกนำไปใช้ในปฏิบัติการทางทหาร ✅ การเปิดเผยสร้างข้อถกเถียงเรื่องบทบาทบริษัทเทคโนโลยีเอกชน ➡️ เส้นแบ่งระหว่างการป้องกันและการโจมตีเริ่มไม่ชัดเจน ✅ องค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้ตรวจสอบการใช้เทคโนโลยีนี้ ➡️ อาจเข้าข่ายละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ‼️ การใช้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการโจมตีอาจสร้างบรรทัดฐานที่อันตราย ⛔ เสี่ยงต่อการนำเทคโนโลยีไปใช้ในสงครามโดยไม่มีกรอบกำกับดูแล ‼️ หากไม่มีการควบคุม บริษัทเอกชนอาจมีบทบาทมากขึ้นในสงครามยุคใหม่ ⛔ อาจนำไปสู่การละเมิดจริยธรรมและความรับผิดชอบของผู้พัฒนาเทคโนโลยี https://the307.substack.com/p/revealed-israel-used-palantir-technologies
    THE307.SUBSTACK.COM
    Revealed: Israel Used Palantir Technologies In Pager Terrorist Attack In Lebanon.
    A New Book Quietly Reveals That Israel Used Palantir In It's Terrorist Attack On Lebanon.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • เที่ยวญี่ปุ่น นาโกย่า โตเกียว ❄
    เดินทาง ม.ค. - มี.ค. 69 29,999

    🗓 จำนวนวัน 5 วัน 3 คืน
    ✈ XJ-แอร์เอเชียเอ็กซ์
    พักโรงแรม

    หมู่บ้านชิราคาวาโกะ
    ลานสกี FUJI TEN
    ปราสาทมัตสึโมโต้
    เทศกาลประดับไฟหมู่บ้านเยอรมัน

    ปฏิมากรรมน้ำแข็ง LAKE SHIKOTSU ICE FESTIVAL 2026 ริมทะเลสาบ
    Ningle Terrace
    คลองโอตารุ
    สวนสัตว์อาซาฮิยามะ

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์ญี่ปุ่น #japan #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    เที่ยวญี่ปุ่น นาโกย่า โตเกียว ❄ 🗓️ เดินทาง ม.ค. - มี.ค. 69 😍 29,999 🔥🔥 🗓 จำนวนวัน 5 วัน 3 คืน ✈ XJ-แอร์เอเชียเอ็กซ์ 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐ 📍 หมู่บ้านชิราคาวาโกะ 📍 ลานสกี FUJI TEN 📍 ปราสาทมัตสึโมโต้ 📍 เทศกาลประดับไฟหมู่บ้านเยอรมัน 📍 ปฏิมากรรมน้ำแข็ง LAKE SHIKOTSU ICE FESTIVAL 2026 ริมทะเลสาบ 📍 Ningle Terrace 📍 คลองโอตารุ 📍 สวนสัตว์อาซาฮิยามะ รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์ญี่ปุ่น #japan #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • รัฐสภาเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ ตั้งเป้าคลอดฉบับใหม่ใน 2 ปี ชูธงคืนอำนาจที่แท้จริงสู่ประชาชน ย้ำไม่แตะต้องหมวดทั่วไปและหมวดพระมหากษัตริย์
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000118883

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    รัฐสภาเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ ตั้งเป้าคลอดฉบับใหม่ใน 2 ปี ชูธงคืนอำนาจที่แท้จริงสู่ประชาชน ย้ำไม่แตะต้องหมวดทั่วไปและหมวดพระมหากษัตริย์ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000118883 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • Vibe Coding: เมื่อ AI เขียนโค้ดแทนมนุษย์

    บทความ “If You’re Going to Vibe Code, Why Not Do It in C?” โดย Stephen Ramsay พูดถึงการเปลี่ยนแปลงของการเขียนโปรแกรมในยุคที่ AI สามารถสร้างโค้ดได้เอง ผู้เขียนตั้งคำถามว่า หาก “vibe coding” คืออนาคต ทำไมเรายังต้องใช้ภาษาโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อมนุษย์อ่าน ทั้งที่ AI ไม่จำเป็นต้องมีความสะดวกเชิงมนุษย์

    Stephen Ramsay เล่าว่าตนรักการเขียนโปรแกรมมาตั้งแต่ยุค 90 และมองว่าการเขียนโค้ดคือการแก้ปริศนาที่สนุก แต่การใช้ AI เพื่อ “vibe coding” ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกพรากความสุขไป เพราะไม่เข้าใจโค้ดที่ AI สร้างขึ้น อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า AI สามารถสร้างระบบที่ซับซ้อนและทำงานได้จริง แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็มีประสิทธิภาพเกินกว่าที่เขาคิดไว้

    บทเรียนจาก SICP และความหมายของภาษาโปรแกรม
    ผู้เขียนอ้างถึงหนังสือ Structure and Interpretation of Computer Programs ที่สอนว่า ภาษาโปรแกรมคือสื่อสำหรับมนุษย์ในการแสดงแนวคิด ไม่ใช่แค่เครื่องมือให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ดังนั้น Rust, Python, หรือ Haskell ล้วนถูกออกแบบเพื่อให้มนุษย์เข้าใจง่าย แต่สำหรับ AI ที่ทำ vibe coding สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็น เพราะ AI ไม่ต้องการ “ความสะดวกในการอ่าน” แบบมนุษย์

    ทำไมไม่ใช้ C หรือ Assembly
    Ramsay ตั้งคำถามว่า หาก AI เขียนโค้ดได้เอง ทำไมไม่ใช้ภาษาอย่าง C หรือ Assembly ที่ตรงไปตรงมาและเหมาะกับเครื่องจักรมากกว่า เขาชี้ว่า AI ไม่ค่อยผิดพลาดเรื่อง memory leak หรือ off-by-one error และเก่งกว่ามนุษย์ในการจัดการรายละเอียดเชิงเทคนิค ดังนั้นการใช้ภาษาโปรแกรมที่ “เป็นมิตรกับมนุษย์” อาจไม่จำเป็นอีกต่อไป

    แนวคิด VOPL: Vibe-Oriented Programming Language
    ท้ายที่สุด เขาเสนอแนวคิด VOPL (Vibe-Oriented Programming Language) ซึ่งอาจเป็นภาษาที่ออกแบบมาเพื่อ AI โดยเฉพาะ ไม่ใช่เพื่อมนุษย์ อาจอยู่ในรูป pseudocode ที่ AI แปลงเป็น assembly หรือเป็นภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษามนุษย์ แต่มี idiom เฉพาะที่ช่วยให้ AI เข้าใจและสร้างโค้ดได้เร็วขึ้น นี่อาจเป็นวิวัฒนาการใหม่ของการเขียนโปรแกรมในอนาคต

    สรุปสาระสำคัญ
    Vibe coding คือการใช้ AI เขียนโค้ดแทนมนุษย์
    AI สามารถสร้างระบบที่ซับซ้อนและทำงานได้จริง

    ภาษาโปรแกรมถูกออกแบบเพื่อมนุษย์อ่าน
    แต่ AI ไม่ต้องการความสะดวกเชิงมนุษย์

    AI จัดการรายละเอียดเชิงเทคนิคได้ดีกว่ามนุษย์
    เช่น memory management และ off-by-one error

    แนวคิด VOPL เสนอให้มีภาษาใหม่เพื่อ AI โดยเฉพาะ
    อาจเป็น pseudocode หรือภาษาที่ใกล้เคียงภาษามนุษย์

    การพึ่งพา AI อาจทำให้มนุษย์สูญเสียความเข้าใจโค้ด
    เสี่ยงต่อการลดทักษะการเขียนโปรแกรมเชิงลึก

    หากไม่มีกรอบกำกับ อาจเกิดการพัฒนาโค้ดที่มนุษย์ตรวจสอบไม่ได้
    ส่งผลต่อความปลอดภัยและความโปร่งใสของระบบ

    https://stephenramsay.net/posts/vibe-coding.html
    💻 Vibe Coding: เมื่อ AI เขียนโค้ดแทนมนุษย์ บทความ “If You’re Going to Vibe Code, Why Not Do It in C?” โดย Stephen Ramsay พูดถึงการเปลี่ยนแปลงของการเขียนโปรแกรมในยุคที่ AI สามารถสร้างโค้ดได้เอง ผู้เขียนตั้งคำถามว่า หาก “vibe coding” คืออนาคต ทำไมเรายังต้องใช้ภาษาโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อมนุษย์อ่าน ทั้งที่ AI ไม่จำเป็นต้องมีความสะดวกเชิงมนุษย์ Stephen Ramsay เล่าว่าตนรักการเขียนโปรแกรมมาตั้งแต่ยุค 90 และมองว่าการเขียนโค้ดคือการแก้ปริศนาที่สนุก แต่การใช้ AI เพื่อ “vibe coding” ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกพรากความสุขไป เพราะไม่เข้าใจโค้ดที่ AI สร้างขึ้น อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า AI สามารถสร้างระบบที่ซับซ้อนและทำงานได้จริง แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็มีประสิทธิภาพเกินกว่าที่เขาคิดไว้ 📖 บทเรียนจาก SICP และความหมายของภาษาโปรแกรม ผู้เขียนอ้างถึงหนังสือ Structure and Interpretation of Computer Programs ที่สอนว่า ภาษาโปรแกรมคือสื่อสำหรับมนุษย์ในการแสดงแนวคิด ไม่ใช่แค่เครื่องมือให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ดังนั้น Rust, Python, หรือ Haskell ล้วนถูกออกแบบเพื่อให้มนุษย์เข้าใจง่าย แต่สำหรับ AI ที่ทำ vibe coding สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็น เพราะ AI ไม่ต้องการ “ความสะดวกในการอ่าน” แบบมนุษย์ ⚙️ ทำไมไม่ใช้ C หรือ Assembly Ramsay ตั้งคำถามว่า หาก AI เขียนโค้ดได้เอง ทำไมไม่ใช้ภาษาอย่าง C หรือ Assembly ที่ตรงไปตรงมาและเหมาะกับเครื่องจักรมากกว่า เขาชี้ว่า AI ไม่ค่อยผิดพลาดเรื่อง memory leak หรือ off-by-one error และเก่งกว่ามนุษย์ในการจัดการรายละเอียดเชิงเทคนิค ดังนั้นการใช้ภาษาโปรแกรมที่ “เป็นมิตรกับมนุษย์” อาจไม่จำเป็นอีกต่อไป 🌐 แนวคิด VOPL: Vibe-Oriented Programming Language ท้ายที่สุด เขาเสนอแนวคิด VOPL (Vibe-Oriented Programming Language) ซึ่งอาจเป็นภาษาที่ออกแบบมาเพื่อ AI โดยเฉพาะ ไม่ใช่เพื่อมนุษย์ อาจอยู่ในรูป pseudocode ที่ AI แปลงเป็น assembly หรือเป็นภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษามนุษย์ แต่มี idiom เฉพาะที่ช่วยให้ AI เข้าใจและสร้างโค้ดได้เร็วขึ้น นี่อาจเป็นวิวัฒนาการใหม่ของการเขียนโปรแกรมในอนาคต 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Vibe coding คือการใช้ AI เขียนโค้ดแทนมนุษย์ ➡️ AI สามารถสร้างระบบที่ซับซ้อนและทำงานได้จริง ✅ ภาษาโปรแกรมถูกออกแบบเพื่อมนุษย์อ่าน ➡️ แต่ AI ไม่ต้องการความสะดวกเชิงมนุษย์ ✅ AI จัดการรายละเอียดเชิงเทคนิคได้ดีกว่ามนุษย์ ➡️ เช่น memory management และ off-by-one error ✅ แนวคิด VOPL เสนอให้มีภาษาใหม่เพื่อ AI โดยเฉพาะ ➡️ อาจเป็น pseudocode หรือภาษาที่ใกล้เคียงภาษามนุษย์ ‼️ การพึ่งพา AI อาจทำให้มนุษย์สูญเสียความเข้าใจโค้ด ⛔ เสี่ยงต่อการลดทักษะการเขียนโปรแกรมเชิงลึก ‼️ หากไม่มีกรอบกำกับ อาจเกิดการพัฒนาโค้ดที่มนุษย์ตรวจสอบไม่ได้ ⛔ ส่งผลต่อความปลอดภัยและความโปร่งใสของระบบ https://stephenramsay.net/posts/vibe-coding.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • PeerTube: แพลตฟอร์มวิดีโอแบบกระจายศูนย์

    PeerTube ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นทางเลือกแทนแพลตฟอร์มวิดีโอเชิงพาณิชย์ โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบ decentralized ที่ผู้ใช้สามารถโฮสต์เซิร์ฟเวอร์ของตนเองและเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย ทำให้ลดการพึ่งพาบริษัทใหญ่และเพิ่มความเป็นอิสระในการเผยแพร่เนื้อหา

    การใช้งานจริงในองค์กรและสถาบัน
    แพลตฟอร์มนี้ถูกนำไปใช้โดย กระทรวงศึกษาธิการฝรั่งเศส (มีคลิปกว่า 100,000 วิดีโอ), สภาวิจัยแห่งชาติอิตาลี, มหาวิทยาลัยและสถาบันศิลปะในเยอรมนี รวมถึงโครงการโอเพ่นซอร์สชื่อดังอย่าง Blender และ Debian สิ่งนี้สะท้อนว่า PeerTube ไม่ได้เป็นเพียงโครงการทดลอง แต่ถูกใช้จริงในระดับองค์กรและชุมชนโลก

    จุดแข็งด้านโอเพ่นซอร์สและความปลอดภัย
    PeerTube ใช้สัญญาอนุญาต AGPL-3.0 และมีการตรวจสอบตามมาตรฐาน DPG เช่น ความเป็นอิสระของแพลตฟอร์ม, การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล, และการจัดการเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม จุดนี้ทำให้ PeerTube เป็นโซลูชันที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการความมั่นใจด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

    ความหมายต่อระบบนิเวศดิจิทัล
    การที่ PeerTube ได้รับการรับรองเป็น Digital Public Good หมายถึงการยอมรับว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีคุณค่าต่อสาธารณะ สามารถช่วยให้ประเทศและองค์กรต่าง ๆ มีทางเลือกในการสร้างแพลตฟอร์มวิดีโอที่ไม่ขึ้นกับบริษัทเชิงพาณิชย์ และสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลอย่างเท่าเทียม

    สรุปสาระสำคัญ
    PeerTube เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอแบบ decentralized
    ผู้ใช้สามารถโฮสต์เซิร์ฟเวอร์เองและเชื่อมต่อเป็นเครือข่าย

    ใช้งานจริงโดยองค์กรระดับโลก
    เช่น กระทรวงศึกษาธิการฝรั่งเศส, สภาวิจัยแห่งชาติอิตาลี, Blender, Debian

    ได้รับการรับรองเป็น Digital Public Good (DPG) ปี 2025
    ผ่านมาตรฐานด้านความปลอดภัย, ความโปร่งใส, และการปกป้องข้อมูล

    ใช้สัญญาอนุญาต AGPL-3.0
    เปิดให้ตรวจสอบและพัฒนาได้อย่างอิสระ

    หากไม่มีการอัปเดตต่อเนื่อง อาจเสี่ยงต่อช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
    การละเลยการบำรุงรักษาอาจทำให้ระบบไม่เสถียร

    การโฮสต์ PeerTube ต้องใช้ทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์และการจัดการที่เหมาะสม
    หากขาดการดูแล อาจทำให้ประสบการณ์ผู้ใช้ไม่ดี

    https://www.digitalpublicgoods.net/r/peertube
    🎥 PeerTube: แพลตฟอร์มวิดีโอแบบกระจายศูนย์ PeerTube ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นทางเลือกแทนแพลตฟอร์มวิดีโอเชิงพาณิชย์ โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบ decentralized ที่ผู้ใช้สามารถโฮสต์เซิร์ฟเวอร์ของตนเองและเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย ทำให้ลดการพึ่งพาบริษัทใหญ่และเพิ่มความเป็นอิสระในการเผยแพร่เนื้อหา 🌍 การใช้งานจริงในองค์กรและสถาบัน แพลตฟอร์มนี้ถูกนำไปใช้โดย กระทรวงศึกษาธิการฝรั่งเศส (มีคลิปกว่า 100,000 วิดีโอ), สภาวิจัยแห่งชาติอิตาลี, มหาวิทยาลัยและสถาบันศิลปะในเยอรมนี รวมถึงโครงการโอเพ่นซอร์สชื่อดังอย่าง Blender และ Debian สิ่งนี้สะท้อนว่า PeerTube ไม่ได้เป็นเพียงโครงการทดลอง แต่ถูกใช้จริงในระดับองค์กรและชุมชนโลก 🔐 จุดแข็งด้านโอเพ่นซอร์สและความปลอดภัย PeerTube ใช้สัญญาอนุญาต AGPL-3.0 และมีการตรวจสอบตามมาตรฐาน DPG เช่น ความเป็นอิสระของแพลตฟอร์ม, การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล, และการจัดการเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม จุดนี้ทำให้ PeerTube เป็นโซลูชันที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการความมั่นใจด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว 📈 ความหมายต่อระบบนิเวศดิจิทัล การที่ PeerTube ได้รับการรับรองเป็น Digital Public Good หมายถึงการยอมรับว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีคุณค่าต่อสาธารณะ สามารถช่วยให้ประเทศและองค์กรต่าง ๆ มีทางเลือกในการสร้างแพลตฟอร์มวิดีโอที่ไม่ขึ้นกับบริษัทเชิงพาณิชย์ และสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลอย่างเท่าเทียม 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ PeerTube เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอแบบ decentralized ➡️ ผู้ใช้สามารถโฮสต์เซิร์ฟเวอร์เองและเชื่อมต่อเป็นเครือข่าย ✅ ใช้งานจริงโดยองค์กรระดับโลก ➡️ เช่น กระทรวงศึกษาธิการฝรั่งเศส, สภาวิจัยแห่งชาติอิตาลี, Blender, Debian ✅ ได้รับการรับรองเป็น Digital Public Good (DPG) ปี 2025 ➡️ ผ่านมาตรฐานด้านความปลอดภัย, ความโปร่งใส, และการปกป้องข้อมูล ✅ ใช้สัญญาอนุญาต AGPL-3.0 ➡️ เปิดให้ตรวจสอบและพัฒนาได้อย่างอิสระ ‼️ หากไม่มีการอัปเดตต่อเนื่อง อาจเสี่ยงต่อช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ⛔ การละเลยการบำรุงรักษาอาจทำให้ระบบไม่เสถียร ‼️ การโฮสต์ PeerTube ต้องใช้ทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์และการจัดการที่เหมาะสม ⛔ หากขาดการดูแล อาจทำให้ประสบการณ์ผู้ใช้ไม่ดี https://www.digitalpublicgoods.net/r/peertube
    WWW.DIGITALPUBLICGOODS.NET
    PeerTube
    PeerTube is a tool for hosting, managing, and sharing videos or live streams.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • สัญญาณยุบสภามาแรง "อนุทิน" พยักหน้ารับเตรียมพร้อมแล้ว ขณะที่พรรคประชาชนไม่ติดใจ ขอเพียงรัฐธรรมนูญใหม่ยังเดินหน้าตามข้อตกลง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000118884

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    สัญญาณยุบสภามาแรง "อนุทิน" พยักหน้ารับเตรียมพร้อมแล้ว ขณะที่พรรคประชาชนไม่ติดใจ ขอเพียงรัฐธรรมนูญใหม่ยังเดินหน้าตามข้อตกลง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000118884 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • Pebble Index 01: แหวนที่เก็บความคิดแทนสมอง

    Pebble Index 01 คือแหวนอัจฉริยะที่ทำหน้าที่เป็น “external memory for your brain” ช่วยบันทึกความคิดหรือไอเดียทันทีด้วยการกดปุ่มและพูดใส่ไมโครโฟน ข้อมูลจะถูกส่งไปยังมือถือโดยตรง มีความเป็นส่วนตัวสูง ไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่ และออกแบบมาให้ใช้งานง่ายในชีวิตประจำวัน

    Pebble Index 01 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่หลายคนเจอ—ไอเดียดี ๆ มักหลุดลอยไปหากไม่ได้จดทันที ตัวแหวนมีปุ่มกดและไมโครโฟนในตัว เพียงกดปุ่มแล้วพูด ความคิดจะถูกบันทึกและส่งไปยังมือถือเพื่อเก็บเป็นโน้ตหรือเตือนความจำ จุดเด่นคือ ไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและไม่ต้องสมัครสมาชิก ทำให้ใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา

    ดีไซน์เล็กแต่ทรงพลัง
    แหวนทำจากสแตนเลสทนทาน กันน้ำได้ และมีขนาดเล็กเท่ากับแหวนแต่งงาน มีให้เลือก 3 สี (เงิน ทอง ดำ) และ 8 ไซส์ จุดที่น่าสนใจคือ แบตเตอรี่ใช้งานได้หลายปีโดยไม่ต้องชาร์จ เมื่อหมดอายุการใช้งานสามารถส่งคืนเพื่อรีไซเคิลได้ ถือเป็นการออกแบบที่เน้นความยั่งยืนและความสะดวกสบาย

    ฟังก์ชันและการปรับแต่ง
    Pebble Index 01 สามารถทำงานร่วมกับ iOS และ Android โดยใช้แอป Pebble ที่เป็นโอเพ่นซอร์ส ข้อมูลเสียงจะถูกประมวลผลในเครื่องเพื่อความเป็นส่วนตัว ผู้ใช้สามารถปรับแต่งการทำงาน เช่น กดปุ่มเพื่อควบคุมเพลง บันทึกโน้ต ส่งข้อความ หรือแม้แต่เชื่อมต่อกับระบบสมาร์ทโฮม นอกจากนี้ยังรองรับ 99+ ภาษา และสามารถเก็บเสียงบนแหวนได้ถึง 5 นาทีแม้ไม่มีมือถืออยู่ใกล้

    ความหมายต่ออนาคตของ wearable tech
    Pebble Index 01 ไม่ใช่อุปกรณ์เพื่อความบันเทิง แต่ถูกออกแบบมาเพื่อทำสิ่งเดียวให้ดีที่สุด—ช่วยจำสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวัน จุดนี้สะท้อนแนวคิดใหม่ของ wearable tech ที่เน้นความเรียบง่าย ไม่รบกวนผู้ใช้ และให้ความเป็นส่วนตัวสูง หากได้รับการยอมรับในวงกว้าง อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุปกรณ์ช่วยจำในอนาคต

    สรุปสาระสำคัญ
    Pebble Index 01 คือแหวนอัจฉริยะสำหรับบันทึกความคิด
    กดปุ่มแล้วพูด ข้อมูลส่งตรงไปมือถือ

    ไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่ ใช้งานได้หลายปี
    เมื่อหมดอายุสามารถส่งคืนเพื่อรีไซเคิล

    รองรับ iOS และ Android ด้วยแอปโอเพ่นซอร์ส
    ประมวลผลข้อมูลในเครื่องเพื่อความเป็นส่วนตัว

    ปรับแต่งได้หลากหลาย เช่นควบคุมเพลง ส่งข้อความ เชื่อมต่อสมาร์ทโฮม
    รองรับกว่า 99 ภาษา และบันทึกเสียงบนแหวนได้

    หากแบตเตอรี่หมดต้องเปลี่ยนแหวนใหม่
    แม้มีระบบรีไซเคิล แต่ยังเป็นข้อจำกัดด้านการใช้งาน

    ข้อมูลเสียงขึ้นอยู่กับคุณภาพการประมวลผล STT
    เสี่ยงต่อการแปลงข้อความผิดพลาดในสภาพแวดล้อมเสียงดัง

    https://repebble.com/blog/meet-pebble-index-01-external-memory-for-your-brain
    💍 Pebble Index 01: แหวนที่เก็บความคิดแทนสมอง Pebble Index 01 คือแหวนอัจฉริยะที่ทำหน้าที่เป็น “external memory for your brain” ช่วยบันทึกความคิดหรือไอเดียทันทีด้วยการกดปุ่มและพูดใส่ไมโครโฟน ข้อมูลจะถูกส่งไปยังมือถือโดยตรง มีความเป็นส่วนตัวสูง ไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่ และออกแบบมาให้ใช้งานง่ายในชีวิตประจำวัน Pebble Index 01 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่หลายคนเจอ—ไอเดียดี ๆ มักหลุดลอยไปหากไม่ได้จดทันที ตัวแหวนมีปุ่มกดและไมโครโฟนในตัว เพียงกดปุ่มแล้วพูด ความคิดจะถูกบันทึกและส่งไปยังมือถือเพื่อเก็บเป็นโน้ตหรือเตือนความจำ จุดเด่นคือ ไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและไม่ต้องสมัครสมาชิก ทำให้ใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา 🔋 ดีไซน์เล็กแต่ทรงพลัง แหวนทำจากสแตนเลสทนทาน กันน้ำได้ และมีขนาดเล็กเท่ากับแหวนแต่งงาน มีให้เลือก 3 สี (เงิน ทอง ดำ) และ 8 ไซส์ จุดที่น่าสนใจคือ แบตเตอรี่ใช้งานได้หลายปีโดยไม่ต้องชาร์จ เมื่อหมดอายุการใช้งานสามารถส่งคืนเพื่อรีไซเคิลได้ ถือเป็นการออกแบบที่เน้นความยั่งยืนและความสะดวกสบาย 📱 ฟังก์ชันและการปรับแต่ง Pebble Index 01 สามารถทำงานร่วมกับ iOS และ Android โดยใช้แอป Pebble ที่เป็นโอเพ่นซอร์ส ข้อมูลเสียงจะถูกประมวลผลในเครื่องเพื่อความเป็นส่วนตัว ผู้ใช้สามารถปรับแต่งการทำงาน เช่น กดปุ่มเพื่อควบคุมเพลง บันทึกโน้ต ส่งข้อความ หรือแม้แต่เชื่อมต่อกับระบบสมาร์ทโฮม นอกจากนี้ยังรองรับ 99+ ภาษา และสามารถเก็บเสียงบนแหวนได้ถึง 5 นาทีแม้ไม่มีมือถืออยู่ใกล้ 🌐 ความหมายต่ออนาคตของ wearable tech Pebble Index 01 ไม่ใช่อุปกรณ์เพื่อความบันเทิง แต่ถูกออกแบบมาเพื่อทำสิ่งเดียวให้ดีที่สุด—ช่วยจำสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวัน จุดนี้สะท้อนแนวคิดใหม่ของ wearable tech ที่เน้นความเรียบง่าย ไม่รบกวนผู้ใช้ และให้ความเป็นส่วนตัวสูง หากได้รับการยอมรับในวงกว้าง อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุปกรณ์ช่วยจำในอนาคต 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Pebble Index 01 คือแหวนอัจฉริยะสำหรับบันทึกความคิด ➡️ กดปุ่มแล้วพูด ข้อมูลส่งตรงไปมือถือ ✅ ไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่ ใช้งานได้หลายปี ➡️ เมื่อหมดอายุสามารถส่งคืนเพื่อรีไซเคิล ✅ รองรับ iOS และ Android ด้วยแอปโอเพ่นซอร์ส ➡️ ประมวลผลข้อมูลในเครื่องเพื่อความเป็นส่วนตัว ✅ ปรับแต่งได้หลากหลาย เช่นควบคุมเพลง ส่งข้อความ เชื่อมต่อสมาร์ทโฮม ➡️ รองรับกว่า 99 ภาษา และบันทึกเสียงบนแหวนได้ ‼️ หากแบตเตอรี่หมดต้องเปลี่ยนแหวนใหม่ ⛔ แม้มีระบบรีไซเคิล แต่ยังเป็นข้อจำกัดด้านการใช้งาน ‼️ ข้อมูลเสียงขึ้นอยู่กับคุณภาพการประมวลผล STT ⛔ เสี่ยงต่อการแปลงข้อความผิดพลาดในสภาพแวดล้อมเสียงดัง https://repebble.com/blog/meet-pebble-index-01-external-memory-for-your-brain
    REPEBBLE.COM
    Meet Pebble Index 01 - External Memory For Your Brain
    Meet Pebble Index 01 - External Memory For Your Brain
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกาหลีใต้บังคับติดป้ายโฆษณาที่สร้างด้วย AI

    รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศว่าตั้งแต่ต้นปี 2026 เป็นต้นไป ผู้ลงโฆษณาจะต้องติดป้ายกำกับว่าเป็น AI-generated หากโฆษณาถูกสร้างหรือแก้ไขด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ มาตรการนี้เกิดขึ้นหลังพบการใช้ deepfake และผู้เชี่ยวชาญปลอมในการโปรโมตสินค้า เช่น ยาลดน้ำหนัก เครื่องสำอาง และแม้แต่เว็บไซต์การพนันผิดกฎหมาย

    เหตุผลและมาตรการที่เข้มงวด
    เจ้าหน้าที่ระบุว่าการโฆษณาลักษณะนี้กำลัง “ทำลายความเป็นระเบียบของตลาด” และสร้างความเสี่ยงต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่แยกแยะได้ยากว่าเนื้อหานั้นจริงหรือปลอม รัฐบาลจึงเตรียมแก้ไขกฎหมายโทรคมนาคมและกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อบังคับใช้ พร้อมเพิ่มโทษปรับและบทลงโทษทางแพ่งสูงสุดถึง 5 เท่าของความเสียหายที่เกิดขึ้น

    ปัญหาที่พบในอดีต
    กระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยาเกาหลีใต้ตรวจพบโฆษณาผิดกฎหมายกว่า 96,700 ชิ้นในปี 2024 และอีกเกือบ 69,000 ชิ้นในปี 2025 (จนถึงเดือนกันยายน) ตัวเลขนี้สะท้อนว่าการโฆษณาที่ใช้ AI กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและยากต่อการควบคุม

    ความหมายต่ออนาคตของ AI และสังคม
    มาตรการนี้ไม่เพียงแต่ป้องกันการหลอกลวง แต่ยังเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการใช้ AI อย่างโปร่งใส เกาหลีใต้ยังวางแผนใช้ AI เพื่อตรวจสอบและลบโฆษณาที่ผิดกฎหมายให้เร็วขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งอาจกลายเป็นต้นแบบให้ประเทศอื่น ๆ นำไปปรับใช้เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านข้อมูลเท็จและการใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด

    สรุปสาระสำคัญ
    เกาหลีใต้บังคับติดป้ายโฆษณาที่สร้างด้วย AI ตั้งแต่ปี 2026
    เพื่อป้องกันการหลอกลวงและสร้างความโปร่งใส

    รัฐบาลเตรียมแก้กฎหมายโทรคมนาคมและเพิ่มโทษปรับ
    ผู้กระทำผิดอาจถูกปรับสูงสุด 5 เท่าของความเสียหาย

    พบโฆษณาผิดกฎหมายจำนวนมากในช่วงปี 2024–2025
    กว่า 96,700 ชิ้นในปี 2024 และ 68,950 ชิ้นในปี 2025

    รัฐบาลจะใช้ AI ตรวจสอบและลบโฆษณาผิดกฎหมาย
    ตั้งเป้าลบภายใน 24 ชั่วโมงเพื่อป้องกันผลกระทบ

    โฆษณา AI ที่ใช้ deepfake และผู้เชี่ยวชาญปลอมสร้างความเสี่ยงต่อผู้บริโภค
    โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่แยกแยะได้ยาก

    หากไม่มีมาตรการกำกับดูแล อาจเกิดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ
    ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดและสุขภาพประชาชน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/10/south-korea-to-require-advertisers-to-label-ai-generated-ads
    📰 เกาหลีใต้บังคับติดป้ายโฆษณาที่สร้างด้วย AI รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศว่าตั้งแต่ต้นปี 2026 เป็นต้นไป ผู้ลงโฆษณาจะต้องติดป้ายกำกับว่าเป็น AI-generated หากโฆษณาถูกสร้างหรือแก้ไขด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ มาตรการนี้เกิดขึ้นหลังพบการใช้ deepfake และผู้เชี่ยวชาญปลอมในการโปรโมตสินค้า เช่น ยาลดน้ำหนัก เครื่องสำอาง และแม้แต่เว็บไซต์การพนันผิดกฎหมาย ⚖️ เหตุผลและมาตรการที่เข้มงวด เจ้าหน้าที่ระบุว่าการโฆษณาลักษณะนี้กำลัง “ทำลายความเป็นระเบียบของตลาด” และสร้างความเสี่ยงต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่แยกแยะได้ยากว่าเนื้อหานั้นจริงหรือปลอม รัฐบาลจึงเตรียมแก้ไขกฎหมายโทรคมนาคมและกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อบังคับใช้ พร้อมเพิ่มโทษปรับและบทลงโทษทางแพ่งสูงสุดถึง 5 เท่าของความเสียหายที่เกิดขึ้น 📉 ปัญหาที่พบในอดีต กระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยาเกาหลีใต้ตรวจพบโฆษณาผิดกฎหมายกว่า 96,700 ชิ้นในปี 2024 และอีกเกือบ 69,000 ชิ้นในปี 2025 (จนถึงเดือนกันยายน) ตัวเลขนี้สะท้อนว่าการโฆษณาที่ใช้ AI กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและยากต่อการควบคุม 🌐 ความหมายต่ออนาคตของ AI และสังคม มาตรการนี้ไม่เพียงแต่ป้องกันการหลอกลวง แต่ยังเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการใช้ AI อย่างโปร่งใส เกาหลีใต้ยังวางแผนใช้ AI เพื่อตรวจสอบและลบโฆษณาที่ผิดกฎหมายให้เร็วขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งอาจกลายเป็นต้นแบบให้ประเทศอื่น ๆ นำไปปรับใช้เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านข้อมูลเท็จและการใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ เกาหลีใต้บังคับติดป้ายโฆษณาที่สร้างด้วย AI ตั้งแต่ปี 2026 ➡️ เพื่อป้องกันการหลอกลวงและสร้างความโปร่งใส ✅ รัฐบาลเตรียมแก้กฎหมายโทรคมนาคมและเพิ่มโทษปรับ ➡️ ผู้กระทำผิดอาจถูกปรับสูงสุด 5 เท่าของความเสียหาย ✅ พบโฆษณาผิดกฎหมายจำนวนมากในช่วงปี 2024–2025 ➡️ กว่า 96,700 ชิ้นในปี 2024 และ 68,950 ชิ้นในปี 2025 ✅ รัฐบาลจะใช้ AI ตรวจสอบและลบโฆษณาผิดกฎหมาย ➡️ ตั้งเป้าลบภายใน 24 ชั่วโมงเพื่อป้องกันผลกระทบ ‼️ โฆษณา AI ที่ใช้ deepfake และผู้เชี่ยวชาญปลอมสร้างความเสี่ยงต่อผู้บริโภค ⛔ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่แยกแยะได้ยาก ‼️ หากไม่มีมาตรการกำกับดูแล อาจเกิดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ ⛔ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดและสุขภาพประชาชน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/10/south-korea-to-require-advertisers-to-label-ai-generated-ads
    WWW.THESTAR.COM.MY
    South Korea to require advertisers to label AI-generated ads
    South Korea will require advertisers to label their ads made with artificial intelligence technologies from next year as it seeks to curb a surge of deceptive promotions featuring fabricated experts or deep-faked celebrities endorsing food or pharmaceutical products on social media.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • YouTube TV เปิดตัวแพ็กเกจตามประเภทคอนเทนต์ เน้นเจาะตลาดกีฬา

    YouTube TV ประกาศว่าจะเปิดตัว แพ็กเกจสมัครสมาชิกตามประเภท (genre-based plans) ในสหรัฐฯ ต้นปี 2026 โดยมีมากกว่า 10 แพ็กเกจ เช่น กีฬา ข่าว และครอบครัว เพื่อให้ผู้ใช้เลือกตามความสนใจ จุดเด่นคือแพ็กเกจกีฬา ที่รวมช่องดังอย่าง ESPN, FS1 และ NBC Sports Network พร้อมตัวเลือกเสริมอย่าง NFL Sunday Ticket และ RedZone

    กลยุทธ์เจาะตลาดกีฬา
    YouTube TV มองว่ากีฬาเป็นสมรภูมิสำคัญในการแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Netflix และ Disney การเพิ่มแพ็กเกจเฉพาะด้านกีฬา พร้อมฟีเจอร์ multiview (ดูได้ 4 สตรีมพร้อมกัน) และ unlimited DVR จะช่วยดึงดูดแฟนกีฬาและผู้ลงโฆษณาให้มากขึ้น Nielsen รายงานว่า YouTube TV ตอนนี้ครองสัดส่วนการรับชมทีวีในสหรัฐฯ มากที่สุด แซงหน้า Netflix และบริษัทสื่อดั้งเดิม

    ผลกระทบต่อผู้ใช้และตลาด
    ผู้ใช้จะมีอิสระมากขึ้นในการเลือกแพ็กเกจที่ตรงกับความต้องการ เช่น เลือกเฉพาะกีฬา หรือเน้นข่าวและครอบครัว โดยไม่ต้องจ่ายเต็มราคาเหมือนแพ็กเกจหลักเดิม แม้ยังไม่มีการเปิดเผยราคา แต่การปรับโครงสร้างนี้สะท้อนถึงแนวโน้มการทำให้บริการสตรีมมิง “ยืดหยุ่นและเฉพาะกลุ่ม” มากขึ้น

    ความหมายต่ออนาคตสตรีมมิง
    การเปิดตัว genre-based plans ของ YouTube TV อาจเป็นต้นแบบให้แพลตฟอร์มอื่นปรับตาม เพราะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และสร้างรายได้จากโฆษณาได้ตรงเป้าหมายมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่การแข่งขันสตรีมมิงรุนแรงและผู้ใช้ต้องการความคุ้มค่าในการเลือกคอนเทนต์

    สรุปสาระสำคัญ
    YouTube TV เตรียมเปิดแพ็กเกจตามประเภทคอนเทนต์ต้นปี 2026
    มีมากกว่า 10 แพ็กเกจ เช่น กีฬา ข่าว ครอบครัว

    แพ็กเกจกีฬาเป็นจุดขายหลัก
    รวม ESPN, FS1, NBC Sports และเสริม NFL Sunday Ticket

    ฟีเจอร์ multiview และ unlimited DVR ยังคงอยู่
    ดูได้ 4 สตรีมพร้อมกันและบันทึกไม่จำกัด

    Nielsen ระบุ YouTube TV ครองสัดส่วนการรับชมทีวีสูงสุดในสหรัฐฯ
    แซงหน้า Netflix และ Disney

    ราคายังไม่เปิดเผย อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเข้าถึง
    หากแพ็กเกจแพงเกินไป ผู้ใช้บางกลุ่มอาจไม่เลือก

    การแข่งขันสตรีมมิงรุนแรง อาจทำให้ผู้ใช้สับสนกับหลายแพ็กเกจ
    เสี่ยงต่อการกระจายฐานผู้ชมและความภักดีต่อแบรนด์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/11/youtube-tv-to-roll-out-genre-based-plans-deepens-sports-streaming-bet
    📺 YouTube TV เปิดตัวแพ็กเกจตามประเภทคอนเทนต์ เน้นเจาะตลาดกีฬา YouTube TV ประกาศว่าจะเปิดตัว แพ็กเกจสมัครสมาชิกตามประเภท (genre-based plans) ในสหรัฐฯ ต้นปี 2026 โดยมีมากกว่า 10 แพ็กเกจ เช่น กีฬา ข่าว และครอบครัว เพื่อให้ผู้ใช้เลือกตามความสนใจ จุดเด่นคือแพ็กเกจกีฬา ที่รวมช่องดังอย่าง ESPN, FS1 และ NBC Sports Network พร้อมตัวเลือกเสริมอย่าง NFL Sunday Ticket และ RedZone ⚡ กลยุทธ์เจาะตลาดกีฬา YouTube TV มองว่ากีฬาเป็นสมรภูมิสำคัญในการแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Netflix และ Disney การเพิ่มแพ็กเกจเฉพาะด้านกีฬา พร้อมฟีเจอร์ multiview (ดูได้ 4 สตรีมพร้อมกัน) และ unlimited DVR จะช่วยดึงดูดแฟนกีฬาและผู้ลงโฆษณาให้มากขึ้น Nielsen รายงานว่า YouTube TV ตอนนี้ครองสัดส่วนการรับชมทีวีในสหรัฐฯ มากที่สุด แซงหน้า Netflix และบริษัทสื่อดั้งเดิม 🎮 ผลกระทบต่อผู้ใช้และตลาด ผู้ใช้จะมีอิสระมากขึ้นในการเลือกแพ็กเกจที่ตรงกับความต้องการ เช่น เลือกเฉพาะกีฬา หรือเน้นข่าวและครอบครัว โดยไม่ต้องจ่ายเต็มราคาเหมือนแพ็กเกจหลักเดิม แม้ยังไม่มีการเปิดเผยราคา แต่การปรับโครงสร้างนี้สะท้อนถึงแนวโน้มการทำให้บริการสตรีมมิง “ยืดหยุ่นและเฉพาะกลุ่ม” มากขึ้น 🌐 ความหมายต่ออนาคตสตรีมมิง การเปิดตัว genre-based plans ของ YouTube TV อาจเป็นต้นแบบให้แพลตฟอร์มอื่นปรับตาม เพราะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และสร้างรายได้จากโฆษณาได้ตรงเป้าหมายมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่การแข่งขันสตรีมมิงรุนแรงและผู้ใช้ต้องการความคุ้มค่าในการเลือกคอนเทนต์ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ YouTube TV เตรียมเปิดแพ็กเกจตามประเภทคอนเทนต์ต้นปี 2026 ➡️ มีมากกว่า 10 แพ็กเกจ เช่น กีฬา ข่าว ครอบครัว ✅ แพ็กเกจกีฬาเป็นจุดขายหลัก ➡️ รวม ESPN, FS1, NBC Sports และเสริม NFL Sunday Ticket ✅ ฟีเจอร์ multiview และ unlimited DVR ยังคงอยู่ ➡️ ดูได้ 4 สตรีมพร้อมกันและบันทึกไม่จำกัด ✅ Nielsen ระบุ YouTube TV ครองสัดส่วนการรับชมทีวีสูงสุดในสหรัฐฯ ➡️ แซงหน้า Netflix และ Disney ‼️ ราคายังไม่เปิดเผย อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเข้าถึง ⛔ หากแพ็กเกจแพงเกินไป ผู้ใช้บางกลุ่มอาจไม่เลือก ‼️ การแข่งขันสตรีมมิงรุนแรง อาจทำให้ผู้ใช้สับสนกับหลายแพ็กเกจ ⛔ เสี่ยงต่อการกระจายฐานผู้ชมและความภักดีต่อแบรนด์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/11/youtube-tv-to-roll-out-genre-based-plans-deepens-sports-streaming-bet
    WWW.THESTAR.COM.MY
    YouTube TV to roll out genre-based plans, deepens sports streaming bet
    (Corrects to remove reference to number of subscribers in paragraph 5)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักเทรดคริปโตเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย หลังเหตุลักพาตัวพุ่งสูง

    รายงานจาก Bloomberg ผ่าน The Star ระบุว่าในปี 2025 มีเหตุการณ์ลักพาตัวและทำร้ายร่างกายเพื่อบังคับให้เหยื่อส่งมอบคริปโต (“wrench attacks”) เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยมีมากกว่า 60 กรณีที่ถูกบันทึก ซึ่งสูงกว่าปี 2024 ที่มีประมาณ 40 กรณี เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นทั้งในสหรัฐฯ ฝรั่งเศส และอิตาลี สะท้อนว่าการถือครองคริปโตไม่ใช่แค่ความเสี่ยงทางการเงิน แต่ยังเป็นภัยต่อความปลอดภัยส่วนบุคคล

    วิธีการโจมตีและผลกระทบ
    คนร้ายมักใช้วิธีการรุนแรง เช่น บุกบ้าน ปลอมตัวเป็นคนส่งของ หรือแม้แต่ทำร้ายร่างกายเพื่อบังคับให้เหยื่อเปิดเผย private key หรือโอนเงินดิจิทัล ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ในซานฟรานซิสโกที่คนร้ายปลอมเป็นคนส่งของแล้วขโมยคริปโตมูลค่า 11 ล้านดอลลาร์ หรือกรณีในฝรั่งเศสที่ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Ledger ถูกลักพาตัวพร้อมครอบครัว

    การตอบสนองของนักเทรดและบริษัทความปลอดภัย
    นักเทรดคริปโตจำนวนมากเริ่มจ้างบริษัทรักษาความปลอดภัยเพื่อ ลบข้อมูลส่วนตัวจากอินเทอร์เน็ต และลด “attack surface” เช่น การลบข้อมูลบ้าน รถ หรือรูปถ่ายครอบครัวที่อาจถูกใช้เป็นเบาะแส นอกจากนี้ยังมีการใช้ multi-signature wallets และ timelocks เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการโอนเงิน บริษัทอย่าง BlackCloak และ Solace Global กำลังขยายบริการเพื่อรองรับความต้องการนี้

    ความหมายต่อวงการคริปโต
    เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนว่าการถือครองคริปโตในรูปแบบ self-custody แม้จะให้ความเป็นอิสระ แต่ก็ขาดการป้องกันแบบสถาบันการเงินดั้งเดิม หากถูกบังคับโอนเงิน ผู้ใช้แทบไม่มีทางเรียกคืนได้ ต่างจากระบบธนาคารที่อาจชดเชยความเสียหาย กรณีนี้จึงเป็นสัญญาณเตือนว่า ความปลอดภัยทางกายภาพและดิจิทัลต้องเดินคู่กัน ในโลกคริปโต

    สรุปสาระสำคัญ
    จำนวนเหตุการณ์ลักพาตัวเพื่อบังคับโอนคริปโตเพิ่มขึ้นในปี 2025
    มากกว่า 60 กรณีทั่วโลก สูงกว่าปี 2024

    คนร้ายใช้วิธีรุนแรง เช่น บุกบ้าน ปลอมตัว ทำร้ายร่างกาย
    ตัวอย่าง: ซานฟรานซิสโก, ฝรั่งเศส, อิตาลี

    นักเทรดเริ่มจ้างบริษัทความปลอดภัยและใช้เทคนิคใหม่
    ลบข้อมูลส่วนตัว, ใช้ multi-signature wallets และ timelocks

    บริษัทความปลอดภัยอย่าง BlackCloak และ Solace Global ขยายบริการ
    รองรับนักเทรดและผู้ถือคริปโตที่กังวลความปลอดภัย

    การถือครองแบบ self-custody ขาดการป้องกันจากสถาบันการเงิน
    หากถูกบังคับโอนเงิน แทบไม่มีทางเรียกคืนได้

    การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวบนโลกออนไลน์เพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกโจมตี
    แม้เพียงรูปถ่ายหรือข้อมูลบ้านก็อาจถูกใช้เป็นเบาะแส

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/11/crypto-traders-seek-outextra-security-as-kidnappings-rise
    🪙 นักเทรดคริปโตเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย หลังเหตุลักพาตัวพุ่งสูง รายงานจาก Bloomberg ผ่าน The Star ระบุว่าในปี 2025 มีเหตุการณ์ลักพาตัวและทำร้ายร่างกายเพื่อบังคับให้เหยื่อส่งมอบคริปโต (“wrench attacks”) เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยมีมากกว่า 60 กรณีที่ถูกบันทึก ซึ่งสูงกว่าปี 2024 ที่มีประมาณ 40 กรณี เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นทั้งในสหรัฐฯ ฝรั่งเศส และอิตาลี สะท้อนว่าการถือครองคริปโตไม่ใช่แค่ความเสี่ยงทางการเงิน แต่ยังเป็นภัยต่อความปลอดภัยส่วนบุคคล 🕵️‍♂️ วิธีการโจมตีและผลกระทบ คนร้ายมักใช้วิธีการรุนแรง เช่น บุกบ้าน ปลอมตัวเป็นคนส่งของ หรือแม้แต่ทำร้ายร่างกายเพื่อบังคับให้เหยื่อเปิดเผย private key หรือโอนเงินดิจิทัล ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ในซานฟรานซิสโกที่คนร้ายปลอมเป็นคนส่งของแล้วขโมยคริปโตมูลค่า 11 ล้านดอลลาร์ หรือกรณีในฝรั่งเศสที่ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Ledger ถูกลักพาตัวพร้อมครอบครัว 🛡️ การตอบสนองของนักเทรดและบริษัทความปลอดภัย นักเทรดคริปโตจำนวนมากเริ่มจ้างบริษัทรักษาความปลอดภัยเพื่อ ลบข้อมูลส่วนตัวจากอินเทอร์เน็ต และลด “attack surface” เช่น การลบข้อมูลบ้าน รถ หรือรูปถ่ายครอบครัวที่อาจถูกใช้เป็นเบาะแส นอกจากนี้ยังมีการใช้ multi-signature wallets และ timelocks เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการโอนเงิน บริษัทอย่าง BlackCloak และ Solace Global กำลังขยายบริการเพื่อรองรับความต้องการนี้ 🌐 ความหมายต่อวงการคริปโต เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนว่าการถือครองคริปโตในรูปแบบ self-custody แม้จะให้ความเป็นอิสระ แต่ก็ขาดการป้องกันแบบสถาบันการเงินดั้งเดิม หากถูกบังคับโอนเงิน ผู้ใช้แทบไม่มีทางเรียกคืนได้ ต่างจากระบบธนาคารที่อาจชดเชยความเสียหาย กรณีนี้จึงเป็นสัญญาณเตือนว่า ความปลอดภัยทางกายภาพและดิจิทัลต้องเดินคู่กัน ในโลกคริปโต 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ จำนวนเหตุการณ์ลักพาตัวเพื่อบังคับโอนคริปโตเพิ่มขึ้นในปี 2025 ➡️ มากกว่า 60 กรณีทั่วโลก สูงกว่าปี 2024 ✅ คนร้ายใช้วิธีรุนแรง เช่น บุกบ้าน ปลอมตัว ทำร้ายร่างกาย ➡️ ตัวอย่าง: ซานฟรานซิสโก, ฝรั่งเศส, อิตาลี ✅ นักเทรดเริ่มจ้างบริษัทความปลอดภัยและใช้เทคนิคใหม่ ➡️ ลบข้อมูลส่วนตัว, ใช้ multi-signature wallets และ timelocks ✅ บริษัทความปลอดภัยอย่าง BlackCloak และ Solace Global ขยายบริการ ➡️ รองรับนักเทรดและผู้ถือคริปโตที่กังวลความปลอดภัย ‼️ การถือครองแบบ self-custody ขาดการป้องกันจากสถาบันการเงิน ⛔ หากถูกบังคับโอนเงิน แทบไม่มีทางเรียกคืนได้ ‼️ การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวบนโลกออนไลน์เพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกโจมตี ⛔ แม้เพียงรูปถ่ายหรือข้อมูลบ้านก็อาจถูกใช้เป็นเบาะแส https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/11/crypto-traders-seek-outextra-security-as-kidnappings-rise
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Crypto traders seek out extra security as kidnappings rise
    As the price of bitcoin and other cryptocurrencies has surged over the past three years, so too have so-called "wrench attacks" – the violent kidnappings, beatings, and even finger amputations used to coerce victims into surrendering their holdings.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • การ์ดจอเก่า AMD FirePro S10000 ปี 2012 ที่กลับมามีชีวิตใหม่

    AMD FirePro S10000 เปิดตัวครั้งแรกในปี 2012 เป็นการ์ดจอระดับเวิร์กสเตชันที่ใช้ชิป Tahiti สองตัวบนบอร์ดเดียวกัน เดิมทีออกแบบมาเพื่อการประมวลผลเชิงวิชาชีพ เช่น CAD และงานเรนเดอร์ ไม่ใช่สำหรับเล่นเกม แต่ยูทูบเบอร์สายฮาร์ดแวร์ได้ทดลองนำมาปรับแต่งใหม่ในปี 2025 เพื่อดูว่ามันยังพอเล่นเกมได้หรือไม่ ผลคือสามารถรัน Arc Raiders ได้ที่เฟรมเรตประมาณ 40-45 FPS แม้จะใช้เพียง GPU เดียวจากสองตัวที่มีอยู่

    การปรับแต่งเพื่อเล่นเกม
    การ์ดรุ่นนี้ไม่รองรับไดรเวอร์ Adrenalin โดยตรง ทำให้ต้องแฟลช BIOS ให้กลายเป็น Radeon HD 7990 เพื่อเปิดใช้งาน CrossFire และใช้ไดรเวอร์ใหม่กว่า หลังจากปรับแต่งแล้ว ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น Crysis สามารถวิ่งได้เกิน 110 FPS โดยใช้ GPU ทั้งสองตัวพร้อมกัน ถือเป็นการพิสูจน์ว่าฮาร์ดแวร์เก่าหากได้รับการปรับแต่งก็ยังมีศักยภาพซ่อนอยู่

    ข้อจำกัดและความท้าทาย
    แม้จะทำงานได้ แต่การ์ดนี้มีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น ความร้อนสูง การใช้พลังงานมากถึง 375W และไม่รองรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของเกมยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ เกมใหม่ส่วนใหญ่ไม่รองรับระบบ Multi-GPU แล้ว ทำให้ศักยภาพของการ์ดถูกใช้ไม่เต็มที่ ตัวอย่างเช่น Cyberpunk 2077 ทำเฟรมเรตได้เพียง 20-30 FPS แม้จะปรับกราฟิกต่ำสุด

    มุมมองจากเกมยุคใหม่
    เมื่อเทียบกับสเปกขั้นต่ำของ Arc Raiders ที่ต้องการการ์ดระดับ GTX 1050 Ti หรือ RX 580 พร้อม RAM 12GB การ์ด FirePro S10000 แม้จะเก่า แต่ยังพอมีพลังใกล้เคียงกับการ์ดเกมมิ่งรุ่นกลางในอดีต การทดลองนี้จึงสะท้อนว่าเทคโนโลยีเก่าหากถูกปรับแต่งอย่างถูกวิธีก็ยังสามารถใช้งานได้ในโลกเกมยุคใหม่ แม้จะไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็เป็นแรงบันดาลใจให้สายโมดิฟาย

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การ์ดจอ AMD FirePro S10000
    เปิดตัวปี 2012 ใช้ชิป Tahiti สองตัว
    เดิมออกแบบเพื่อเวิร์กสเตชัน ไม่ใช่เล่นเกม

    การปรับแต่งเพื่อเล่นเกม
    แฟลช BIOS ให้กลายเป็น Radeon HD 7990
    ใช้ไดรเวอร์ Adrenalin เพื่อเปิด CrossFire

    ผลลัพธ์การทดสอบ
    Crysis วิ่งได้เกิน 110 FPS
    Arc Raiders รันได้ 40-45 FPS
    CS2 ทำได้ 120-160 FPS

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    ใช้พลังงานสูงถึง 375W
    ความร้อนสูง ต้องจัดการระบบระบายอากาศ
    เกมใหม่ไม่รองรับ Multi-GPU ทำให้ศักยภาพถูกใช้ไม่เต็มที่
    เกมหนักอย่าง Cyberpunk 2077 รันได้เพียง 20-30 FPS

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/2012-amd-firepro-s10000-dual-gpu-card-runs-arc-raiders-at-playable-frame-rates-but-half-of-its-gpu-power-goes-unused-in-the-process
    🖥️ การ์ดจอเก่า AMD FirePro S10000 ปี 2012 ที่กลับมามีชีวิตใหม่ AMD FirePro S10000 เปิดตัวครั้งแรกในปี 2012 เป็นการ์ดจอระดับเวิร์กสเตชันที่ใช้ชิป Tahiti สองตัวบนบอร์ดเดียวกัน เดิมทีออกแบบมาเพื่อการประมวลผลเชิงวิชาชีพ เช่น CAD และงานเรนเดอร์ ไม่ใช่สำหรับเล่นเกม แต่ยูทูบเบอร์สายฮาร์ดแวร์ได้ทดลองนำมาปรับแต่งใหม่ในปี 2025 เพื่อดูว่ามันยังพอเล่นเกมได้หรือไม่ ผลคือสามารถรัน Arc Raiders ได้ที่เฟรมเรตประมาณ 40-45 FPS แม้จะใช้เพียง GPU เดียวจากสองตัวที่มีอยู่ 🎮 การปรับแต่งเพื่อเล่นเกม การ์ดรุ่นนี้ไม่รองรับไดรเวอร์ Adrenalin โดยตรง ทำให้ต้องแฟลช BIOS ให้กลายเป็น Radeon HD 7990 เพื่อเปิดใช้งาน CrossFire และใช้ไดรเวอร์ใหม่กว่า หลังจากปรับแต่งแล้ว ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น Crysis สามารถวิ่งได้เกิน 110 FPS โดยใช้ GPU ทั้งสองตัวพร้อมกัน ถือเป็นการพิสูจน์ว่าฮาร์ดแวร์เก่าหากได้รับการปรับแต่งก็ยังมีศักยภาพซ่อนอยู่ ⚡ ข้อจำกัดและความท้าทาย แม้จะทำงานได้ แต่การ์ดนี้มีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น ความร้อนสูง การใช้พลังงานมากถึง 375W และไม่รองรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของเกมยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ เกมใหม่ส่วนใหญ่ไม่รองรับระบบ Multi-GPU แล้ว ทำให้ศักยภาพของการ์ดถูกใช้ไม่เต็มที่ ตัวอย่างเช่น Cyberpunk 2077 ทำเฟรมเรตได้เพียง 20-30 FPS แม้จะปรับกราฟิกต่ำสุด 🔍 มุมมองจากเกมยุคใหม่ เมื่อเทียบกับสเปกขั้นต่ำของ Arc Raiders ที่ต้องการการ์ดระดับ GTX 1050 Ti หรือ RX 580 พร้อม RAM 12GB การ์ด FirePro S10000 แม้จะเก่า แต่ยังพอมีพลังใกล้เคียงกับการ์ดเกมมิ่งรุ่นกลางในอดีต การทดลองนี้จึงสะท้อนว่าเทคโนโลยีเก่าหากถูกปรับแต่งอย่างถูกวิธีก็ยังสามารถใช้งานได้ในโลกเกมยุคใหม่ แม้จะไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็เป็นแรงบันดาลใจให้สายโมดิฟาย 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การ์ดจอ AMD FirePro S10000 ➡️ เปิดตัวปี 2012 ใช้ชิป Tahiti สองตัว ➡️ เดิมออกแบบเพื่อเวิร์กสเตชัน ไม่ใช่เล่นเกม ✅ การปรับแต่งเพื่อเล่นเกม ➡️ แฟลช BIOS ให้กลายเป็น Radeon HD 7990 ➡️ ใช้ไดรเวอร์ Adrenalin เพื่อเปิด CrossFire ✅ ผลลัพธ์การทดสอบ ➡️ Crysis วิ่งได้เกิน 110 FPS ➡️ Arc Raiders รันได้ 40-45 FPS ➡️ CS2 ทำได้ 120-160 FPS ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ ใช้พลังงานสูงถึง 375W ⛔ ความร้อนสูง ต้องจัดการระบบระบายอากาศ ⛔ เกมใหม่ไม่รองรับ Multi-GPU ทำให้ศักยภาพถูกใช้ไม่เต็มที่ ⛔ เกมหนักอย่าง Cyberpunk 2077 รันได้เพียง 20-30 FPS https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/2012-amd-firepro-s10000-dual-gpu-card-runs-arc-raiders-at-playable-frame-rates-but-half-of-its-gpu-power-goes-unused-in-the-process
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • เครื่องเดโม Nvidia Dawn and Dusk PC ที่ใช้การ์ดจอ GeForce FX5950 Ultra ในตำนานกลับมาอีกครั้ง

    ในปี 2004 Nvidia เคยสร้างเครื่องเดโมพิเศษเพื่อโชว์ศักยภาพกราฟิกของการ์ด GeForce FX5950 Ultra โดยใช้ตัวละครแฟนตาซี “Dawn” และ “Dusk” ที่มีรายละเอียดผิวและเส้นผมสมจริงมากในยุคนั้น ล่าสุดเครื่องเดโมนี้ถูกนำกลับมาโชว์อีกครั้งโดยผู้ใช้ Reddit ทำให้แฟน ๆ สาย PC เกิดความรู้สึกคิดถึงยุคทองของกราฟิกเกม

    ศิลปะดิจิทัลที่ล้ำยุคในสมัยนั้น
    เดโม Dawn และ Dusk ถูกออกแบบมาเพื่อแสดงความสามารถของ DirectX 9 API โดยเน้นการเรนเดอร์ผิวหนังและเส้นผมที่สมจริง ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในเทคโนโลยีกราฟิกปี 2004 การ์ด FX5950 Ultra ที่ใช้ GPU NV38 พร้อมหน่วยความจำ DDR 256MB บัส 256-bit ถูกจัดว่าเป็นสุดยอดฮาร์ดแวร์สำหรับเกมเมอร์ในเวลานั้น

    การเก็บรักษาและการอัปเกรด
    เจ้าของเครื่องเดโมเล่าว่าเขาได้เครื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2005 และแม้จะเปลี่ยนการ์ดเป็น GeForce 7800GS ในภายหลัง แต่ก็ยังเก็บการ์ด FX5950 Ultra ไว้อย่างดี ตัวการ์ดมีเอกลักษณ์คือแผ่น I/O และโครงด้านบนทำจากทองเหลือง ซึ่งไม่เหมือนรุ่นที่วางขายทั่วไป ถือเป็นของสะสมที่หายากในปัจจุบัน

    ความหมายต่อวงการเกม
    การกลับมาของเครื่องเดโมนี้ไม่เพียงแต่ทำให้แฟน ๆ รู้สึกคิดถึง แต่ยังสะท้อนถึงยุคที่ Nvidia มุ่งเน้นการสร้างสรรค์เพื่อเกมเมอร์โดยตรง เดโม Dawn และ Dusk ถูกใช้เป็นเครื่องมือการตลาดที่ทรงพลัง และยังคงถูกพูดถึงในฐานะหนึ่งในเดโมกราฟิกที่มีอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์เกม PC

    สรุปเป็นหัวข้อ
    เครื่องเดโม Dawn and Dusk PC
    เปิดตัวปี 2004 เพื่อโชว์ศักยภาพ GeForce FX5950 Ultra
    ใช้ตัวละครแฟนตาซี Dawn และ Dusk

    คุณสมบัติการ์ด GeForce FX5950 Ultra
    GPU NV38 พร้อมหน่วยความจำ DDR 256MB
    รองรับ DirectX 9 API

    การเก็บรักษาโดยผู้ใช้ Reddit
    ได้เครื่องมาตั้งแต่ปี 2005
    การ์ดมีแผ่น I/O และโครงทองเหลืองหายาก

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    เทคโนโลยีล้าสมัย ไม่รองรับเกมใหม่
    ใช้พลังงานและความร้อนสูงเมื่อเทียบกับการ์ดรุ่นใหม่
    เดโมเป็นเพียงงานโชว์ ไม่สะท้อนประสิทธิภาพจริงในเกมยุคปัจจุบัน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-dawn-and-dusk-demo-pc-resurfaces-alongside-its-original-brass-bracketed-fx5950-ultra-graphics-card-state-of-the-art-dream-machine-hails-from-the-days-when-nvidia-was-a-gaming-first-company
    ✨ เครื่องเดโม Nvidia Dawn and Dusk PC ที่ใช้การ์ดจอ GeForce FX5950 Ultra ในตำนานกลับมาอีกครั้ง ในปี 2004 Nvidia เคยสร้างเครื่องเดโมพิเศษเพื่อโชว์ศักยภาพกราฟิกของการ์ด GeForce FX5950 Ultra โดยใช้ตัวละครแฟนตาซี “Dawn” และ “Dusk” ที่มีรายละเอียดผิวและเส้นผมสมจริงมากในยุคนั้น ล่าสุดเครื่องเดโมนี้ถูกนำกลับมาโชว์อีกครั้งโดยผู้ใช้ Reddit ทำให้แฟน ๆ สาย PC เกิดความรู้สึกคิดถึงยุคทองของกราฟิกเกม 🧚 ศิลปะดิจิทัลที่ล้ำยุคในสมัยนั้น เดโม Dawn และ Dusk ถูกออกแบบมาเพื่อแสดงความสามารถของ DirectX 9 API โดยเน้นการเรนเดอร์ผิวหนังและเส้นผมที่สมจริง ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในเทคโนโลยีกราฟิกปี 2004 การ์ด FX5950 Ultra ที่ใช้ GPU NV38 พร้อมหน่วยความจำ DDR 256MB บัส 256-bit ถูกจัดว่าเป็นสุดยอดฮาร์ดแวร์สำหรับเกมเมอร์ในเวลานั้น 🔧 การเก็บรักษาและการอัปเกรด เจ้าของเครื่องเดโมเล่าว่าเขาได้เครื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2005 และแม้จะเปลี่ยนการ์ดเป็น GeForce 7800GS ในภายหลัง แต่ก็ยังเก็บการ์ด FX5950 Ultra ไว้อย่างดี ตัวการ์ดมีเอกลักษณ์คือแผ่น I/O และโครงด้านบนทำจากทองเหลือง ซึ่งไม่เหมือนรุ่นที่วางขายทั่วไป ถือเป็นของสะสมที่หายากในปัจจุบัน 📜 ความหมายต่อวงการเกม การกลับมาของเครื่องเดโมนี้ไม่เพียงแต่ทำให้แฟน ๆ รู้สึกคิดถึง แต่ยังสะท้อนถึงยุคที่ Nvidia มุ่งเน้นการสร้างสรรค์เพื่อเกมเมอร์โดยตรง เดโม Dawn และ Dusk ถูกใช้เป็นเครื่องมือการตลาดที่ทรงพลัง และยังคงถูกพูดถึงในฐานะหนึ่งในเดโมกราฟิกที่มีอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์เกม PC 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ เครื่องเดโม Dawn and Dusk PC ➡️ เปิดตัวปี 2004 เพื่อโชว์ศักยภาพ GeForce FX5950 Ultra ➡️ ใช้ตัวละครแฟนตาซี Dawn และ Dusk ✅ คุณสมบัติการ์ด GeForce FX5950 Ultra ➡️ GPU NV38 พร้อมหน่วยความจำ DDR 256MB ➡️ รองรับ DirectX 9 API ✅ การเก็บรักษาโดยผู้ใช้ Reddit ➡️ ได้เครื่องมาตั้งแต่ปี 2005 ➡️ การ์ดมีแผ่น I/O และโครงทองเหลืองหายาก ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ เทคโนโลยีล้าสมัย ไม่รองรับเกมใหม่ ⛔ ใช้พลังงานและความร้อนสูงเมื่อเทียบกับการ์ดรุ่นใหม่ ⛔ เดโมเป็นเพียงงานโชว์ ไม่สะท้อนประสิทธิภาพจริงในเกมยุคปัจจุบัน https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-dawn-and-dusk-demo-pc-resurfaces-alongside-its-original-brass-bracketed-fx5950-ultra-graphics-card-state-of-the-art-dream-machine-hails-from-the-days-when-nvidia-was-a-gaming-first-company
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้( 11 ธ.ค.) เพจ “กองทัพภาคที่ 2“ โพสต์ข้อความ ชำแหละแผนโดรนพลีชีพเขมร งามไส้! ทภ.2 พบคนบังคับไม่ใช่ทหารกัมพูชา โดยได้ระบุข้อความว่า
    .
    “#ยุทธวิธีโดรนที่กัมพูชาใช้ในพื้นที่ช่องอานม้า
    .
    ลักษณะโดรนที่ใช้จะเป็น FPV ติดลูก ค.82 มม. และใช้สายไฟเบอร์ออปติกในการบังคับ
    .
    จะมีโดรนชี้เป้าจำนวน 1 ตัว บินคอยดูสังเกตและแจ้งที่หมาย จากการฟังเสียงจะไม่มีรวดเร็วและบินได้นาน
    .
    โดรนพลีชีพจะทิ้งทำลายบริเวณช่องด้านหน้า หรือด้านหลังบังเกอร์ หวังให้สะเก็ดกระเด็นเข้าด้านใน / บางจังหวะมีลงจอดที่พื้นเพื่อประหยัดแบตและรอเป้าหมาย
    .
    สังเกตลักษณะการบินจะไม่ผ่านจุดที่มีสิ่งกีดขวางเยอะและบินเลือกเป้าไปกลับไปมา (ทำให้คาดว่าใช้สายไฟเบอร์ออฟติก)
    .
    การบังคับจากการสอบถามเพื่อนชุดโดรนที่ใช้ FPV จะสามารถควบคุมได้ 2 ลักษณะ
    .
    1 ให้บินตาม gps ขึ้นได้ทีละหลายลำ แต่จะบินมั่ว ชนกิ่งไม้ หรือตาข่ายง่าย

    2 ใช้คนบังคับทีละลำ ลักษณะจะบินหาที่มุดเข้าบังเกอร์ (อานม้าเจอลักษณะนี้)
    .
    ข้อสังเกต :

    คนบังคับน่าจะไม่ใช่ทหาร กพช. เนื่องจากมีสัญญาณเข้ามาวิทยุทางทหารโหมด CRL คำภาษาอังกฤษลงท้ายประโยคว่า finished …. / ประกอบกับจุดตรวจการณ์ จะตรวจพบ จยย. ขับลงไปหลังจากโดรนพลีชีพเงียบไป (ทั้ง 2 วันที่อานม้าโดน)
    .
    คำแนะนำ :

    ตาข่าย และการปิดหลัง รวมถึงช่องยิงช่วยป้องกัน / การยิงปืนทำลายได้ยากเนื่องจากบินเร็วมาก / ปืนแอนตี้โดรนยิงไม่ตก (อยู่ในบังเกอร์ก้มตัวต่ำครับ)”
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000118925

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire

    วันนี้( 11 ธ.ค.) เพจ “กองทัพภาคที่ 2“ โพสต์ข้อความ ชำแหละแผนโดรนพลีชีพเขมร งามไส้! ทภ.2 พบคนบังคับไม่ใช่ทหารกัมพูชา โดยได้ระบุข้อความว่า . “#ยุทธวิธีโดรนที่กัมพูชาใช้ในพื้นที่ช่องอานม้า . ลักษณะโดรนที่ใช้จะเป็น FPV ติดลูก ค.82 มม. และใช้สายไฟเบอร์ออปติกในการบังคับ . จะมีโดรนชี้เป้าจำนวน 1 ตัว บินคอยดูสังเกตและแจ้งที่หมาย จากการฟังเสียงจะไม่มีรวดเร็วและบินได้นาน . โดรนพลีชีพจะทิ้งทำลายบริเวณช่องด้านหน้า หรือด้านหลังบังเกอร์ หวังให้สะเก็ดกระเด็นเข้าด้านใน / บางจังหวะมีลงจอดที่พื้นเพื่อประหยัดแบตและรอเป้าหมาย . สังเกตลักษณะการบินจะไม่ผ่านจุดที่มีสิ่งกีดขวางเยอะและบินเลือกเป้าไปกลับไปมา (ทำให้คาดว่าใช้สายไฟเบอร์ออฟติก) . การบังคับจากการสอบถามเพื่อนชุดโดรนที่ใช้ FPV จะสามารถควบคุมได้ 2 ลักษณะ . 1 ให้บินตาม gps ขึ้นได้ทีละหลายลำ แต่จะบินมั่ว ชนกิ่งไม้ หรือตาข่ายง่าย 2 ใช้คนบังคับทีละลำ ลักษณะจะบินหาที่มุดเข้าบังเกอร์ (อานม้าเจอลักษณะนี้) . ข้อสังเกต : คนบังคับน่าจะไม่ใช่ทหาร กพช. เนื่องจากมีสัญญาณเข้ามาวิทยุทางทหารโหมด CRL คำภาษาอังกฤษลงท้ายประโยคว่า finished …. / ประกอบกับจุดตรวจการณ์ จะตรวจพบ จยย. ขับลงไปหลังจากโดรนพลีชีพเงียบไป (ทั้ง 2 วันที่อานม้าโดน) . คำแนะนำ : ตาข่าย และการปิดหลัง รวมถึงช่องยิงช่วยป้องกัน / การยิงปืนทำลายได้ยากเนื่องจากบินเร็วมาก / ปืนแอนตี้โดรนยิงไม่ตก (อยู่ในบังเกอร์ก้มตัวต่ำครับ)” . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000118925 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • เคสสุดล้ำ Frame 4000D LCD RS ARGB ที่มาพร้อมหน้าจอในตัว

    Corsair เปิดตัวเคสคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ Frame 4000D LCD RS ARGB ที่มาพร้อมหน้าจอสัมผัส Xeneon Edge ในตัว ทำให้ผู้ใช้สามารถแสดงข้อมูล, ควบคุมระบบ, หรือแม้แต่ใช้เป็นหน้าจอเสริมได้ ถือเป็นการยกระดับการตกแต่งและการใช้งานเคส PC ให้ล้ำสมัยกว่าที่เคย

    Corsair Frame 4000D LCD RS ARGB เป็นเคสที่รวมเอาหน้าจอสัมผัส Xeneon Edge ขนาด 2560x720 พิกเซลเข้ามาไว้ใต้ห้องหลักของเคส หน้าจอนี้สามารถทำงานเหมือนจอมอนิเตอร์ทั่วไปใน Windows ทำให้ผู้ใช้สามารถเปิดหน้าต่างใด ๆ ก็ได้ เช่น การแสดงสถานะฮาร์ดแวร์, วิดเจ็ต, หรือแม้แต่สตรีมแชท

    ฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย
    หน้าจอ Xeneon Edge รองรับการสัมผัสแบบ 5 จุด และสามารถเชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์ iCUE ของ Corsair เพื่อปรับแต่งการทำงาน เช่น การเปลี่ยนโหมดพลังงาน, การปรับรอบพัดลม, หรือการควบคุมไฟ RGB ได้ในครั้งเดียว นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือเสริมสำหรับเกมเมอร์ เช่น แสดงสถิติการสตรีม หรือควบคุม Spotify ผ่านวิดเจ็ต

    ราคาและการจัดจำหน่าย
    Corsair ตั้งราคาชุด Frame 4000D LCD RS ARGB ที่ 399.99 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมทั้งเคส, ชุดติดตั้ง, และหน้าจอ Xeneon Edge หากซื้อแยกชิ้นส่วนจะมีราคาใกล้เคียงกันแต่ยุ่งยากกว่าในการติดตั้งเอง เคสมีให้เลือกทั้งสีดำและสีขาวเพื่อให้เข้ากับการจัดธีมของผู้ใช้

    ความหมายต่อวงการ PC
    การเพิ่มหน้าจอสัมผัสในเคสถือเป็นการสร้างมิติใหม่ให้กับการปรับแต่งคอมพิวเตอร์ ไม่เพียงแต่ทำให้เครื่องดูโดดเด่น แต่ยังเพิ่มประโยชน์ใช้สอยจริง เช่น การตรวจสอบอุณหภูมิ, การควบคุมระบบ, หรือการใช้เป็นหน้าจอเสริมสำหรับงานและความบันเทิง แนวคิดนี้สะท้อนถึงการที่ผู้ผลิตเริ่มมองเคสไม่ใช่แค่โครงสร้าง แต่เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ใช้งาน

    สรุปเป็นหัวข้อ
    Corsair Frame 4000D LCD RS ARGB
    เคสคอมพิวเตอร์พร้อมหน้าจอสัมผัส Xeneon Edge
    ความละเอียด 2560x720 พิกเซล

    ฟังก์ชันการใช้งาน
    รองรับการสัมผัส 5 จุด
    ใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ iCUE
    ควบคุมไฟ RGB, พัดลม, โหมดพลังงาน

    ราคาและการจัดจำหน่าย
    ราคา 399.99 ดอลลาร์สหรัฐ
    มีสีดำและสีขาวให้เลือก

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    ราคาสูงเมื่อเทียบกับเคสทั่วไป
    ใช้พลังงานและพื้นที่มากขึ้น
    อาจไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ที่ไม่ได้เน้นการปรับแต่งหรือโชว์เครื่อง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/corsair-builds-multi-function-touchscreen-lcd-into-a-usd400-case-frame-4000d-enclosure-gets-a-modular-xeneon-edge-upgrade
    🖥️ เคสสุดล้ำ Frame 4000D LCD RS ARGB ที่มาพร้อมหน้าจอในตัว Corsair เปิดตัวเคสคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ Frame 4000D LCD RS ARGB ที่มาพร้อมหน้าจอสัมผัส Xeneon Edge ในตัว ทำให้ผู้ใช้สามารถแสดงข้อมูล, ควบคุมระบบ, หรือแม้แต่ใช้เป็นหน้าจอเสริมได้ ถือเป็นการยกระดับการตกแต่งและการใช้งานเคส PC ให้ล้ำสมัยกว่าที่เคย Corsair Frame 4000D LCD RS ARGB เป็นเคสที่รวมเอาหน้าจอสัมผัส Xeneon Edge ขนาด 2560x720 พิกเซลเข้ามาไว้ใต้ห้องหลักของเคส หน้าจอนี้สามารถทำงานเหมือนจอมอนิเตอร์ทั่วไปใน Windows ทำให้ผู้ใช้สามารถเปิดหน้าต่างใด ๆ ก็ได้ เช่น การแสดงสถานะฮาร์ดแวร์, วิดเจ็ต, หรือแม้แต่สตรีมแชท 🎮 ฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย หน้าจอ Xeneon Edge รองรับการสัมผัสแบบ 5 จุด และสามารถเชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์ iCUE ของ Corsair เพื่อปรับแต่งการทำงาน เช่น การเปลี่ยนโหมดพลังงาน, การปรับรอบพัดลม, หรือการควบคุมไฟ RGB ได้ในครั้งเดียว นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือเสริมสำหรับเกมเมอร์ เช่น แสดงสถิติการสตรีม หรือควบคุม Spotify ผ่านวิดเจ็ต ⚡ ราคาและการจัดจำหน่าย Corsair ตั้งราคาชุด Frame 4000D LCD RS ARGB ที่ 399.99 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมทั้งเคส, ชุดติดตั้ง, และหน้าจอ Xeneon Edge หากซื้อแยกชิ้นส่วนจะมีราคาใกล้เคียงกันแต่ยุ่งยากกว่าในการติดตั้งเอง เคสมีให้เลือกทั้งสีดำและสีขาวเพื่อให้เข้ากับการจัดธีมของผู้ใช้ 🔍 ความหมายต่อวงการ PC การเพิ่มหน้าจอสัมผัสในเคสถือเป็นการสร้างมิติใหม่ให้กับการปรับแต่งคอมพิวเตอร์ ไม่เพียงแต่ทำให้เครื่องดูโดดเด่น แต่ยังเพิ่มประโยชน์ใช้สอยจริง เช่น การตรวจสอบอุณหภูมิ, การควบคุมระบบ, หรือการใช้เป็นหน้าจอเสริมสำหรับงานและความบันเทิง แนวคิดนี้สะท้อนถึงการที่ผู้ผลิตเริ่มมองเคสไม่ใช่แค่โครงสร้าง แต่เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ใช้งาน 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ Corsair Frame 4000D LCD RS ARGB ➡️ เคสคอมพิวเตอร์พร้อมหน้าจอสัมผัส Xeneon Edge ➡️ ความละเอียด 2560x720 พิกเซล ✅ ฟังก์ชันการใช้งาน ➡️ รองรับการสัมผัส 5 จุด ➡️ ใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ iCUE ➡️ ควบคุมไฟ RGB, พัดลม, โหมดพลังงาน ✅ ราคาและการจัดจำหน่าย ➡️ ราคา 399.99 ดอลลาร์สหรัฐ ➡️ มีสีดำและสีขาวให้เลือก ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ ราคาสูงเมื่อเทียบกับเคสทั่วไป ⛔ ใช้พลังงานและพื้นที่มากขึ้น ⛔ อาจไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ที่ไม่ได้เน้นการปรับแต่งหรือโชว์เครื่อง https://www.tomshardware.com/tech-industry/corsair-builds-multi-function-touchscreen-lcd-into-a-usd400-case-frame-4000d-enclosure-gets-a-modular-xeneon-edge-upgrade
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • เทคโนโลยีจากเครื่องบินสู่ศูนย์ข้อมูล

    บริษัท Boom ที่พัฒนาเครื่องบินโดยสารความเร็วเหนือเสียง ได้เปิดตัว Superpower Turbine ขนาด 42 เมกะวัตต์ ซึ่งใช้เทคโนโลยีเดียวกับเครื่องยนต์ Symphony ที่ออกแบบมาสำหรับการบิน Mach 1.7 ที่ระดับความสูง 60,000 ฟุต แต่ถูกปรับมาใช้กับศูนย์ข้อมูล AI เพื่อแก้ปัญหาการใช้พลังงานมหาศาล

    Boom นำเทคโนโลยีเครื่องยนต์ Symphony ที่เดิมออกแบบเพื่อเครื่องบินโดยสารความเร็วเหนือเสียง มาปรับใช้เป็นกังหันก๊าซสำหรับศูนย์ข้อมูล AI โดยรุ่น Superpower Turbine สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 42 เมกะวัตต์ด้วยประสิทธิภาพ 39% และยังคงทำงานได้แม้อุณหภูมิสูงถึง 43°C ซึ่งเหนือกว่ากังหันทั่วไปที่มักลดประสิทธิภาพเมื่ออุณหภูมิสูงกว่า 30°C

    จุดเด่นด้านการประหยัดน้ำ
    หนึ่งในจุดขายสำคัญคือการออกแบบที่ “waterless” สำหรับตัวกังหันเอง หมายความว่าไม่ต้องใช้น้ำในการทำความเย็น ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำในระบบศูนย์ข้อมูลที่ปกติสิ้นเปลืองมหาศาล แม้ระบบระบายความร้อนของเซิร์ฟเวอร์ยังต้องใช้น้ำ แต่การลดภาระจากกังหันถือเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ

    แผนการผลิตและลูกค้ารายแรก
    Boom ได้รับคำสั่งซื้อจาก Crusoe AI จำนวน 29 เครื่อง รวมกำลังผลิตกว่า 1.21 กิกะวัตต์ โดยจะเริ่มส่งมอบในปี 2027 และตั้งเป้าผลิตได้ถึง 2 กิกะวัตต์ภายในปี 2029 ทั้งหมดจะผลิตในโรงงานที่ Denver, Colorado ซึ่ง Boom วางแผนสร้าง “Superfactory” เพื่อรองรับการผลิตในระดับอุตสาหกรรม

    ความหมายต่ออนาคตพลังงานและการบิน
    นอกจากตอบโจทย์ศูนย์ข้อมูล AI ที่ใช้พลังงานมหาศาลแล้ว Boom ยังมองว่าโครงการนี้จะช่วยเร่งการพัฒนาเครื่องยนต์ Symphony สำหรับการบินโดยสารจริง เพราะการใช้งานในศูนย์ข้อมูลจะเป็นเหมือนการทดสอบระยะยาวนับแสนชั่วโมง ซึ่งจะช่วยให้เครื่องยนต์พร้อมสำหรับการรับรองในอนาคต

    สรุปเป็นหัวข้อ
    Superpower Turbine ของ Boom
    กำลังผลิต 42 เมกะวัตต์
    ประสิทธิภาพ 39%
    ทำงานได้ที่อุณหภูมิสูงถึง 43°C

    จุดเด่นด้านการใช้น้ำ
    ไม่ต้องใช้น้ำในการทำความเย็นกังหัน
    ลดภาระการใช้น้ำในศูนย์ข้อมูล

    แผนการผลิตและลูกค้า
    Crusoe AI สั่งซื้อ 29 เครื่อง กำลังรวม 1.21 กิกะวัตต์
    เริ่มส่งมอบปี 2027 และตั้งเป้า 2 กิกะวัตต์ในปี 2029

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ไม่ใช่พลังงานสะอาด
    ยังต้องใช้น้ำในการระบายความร้อนเซิร์ฟเวอร์
    พลังงานสูงอาจเพิ่มภาระต่อโครงข่ายไฟฟ้าในบางพื้นที่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/supersonic-airline-outfit-boom-unveils-turbine-for-ai-data-centers-42-mw-superpower-turbine-uses-the-same-tech-designed-to-power-concorde-successor-to-mach-1-7-at-60-000-ft
    ✈️ เทคโนโลยีจากเครื่องบินสู่ศูนย์ข้อมูล บริษัท Boom ที่พัฒนาเครื่องบินโดยสารความเร็วเหนือเสียง ได้เปิดตัว Superpower Turbine ขนาด 42 เมกะวัตต์ ซึ่งใช้เทคโนโลยีเดียวกับเครื่องยนต์ Symphony ที่ออกแบบมาสำหรับการบิน Mach 1.7 ที่ระดับความสูง 60,000 ฟุต แต่ถูกปรับมาใช้กับศูนย์ข้อมูล AI เพื่อแก้ปัญหาการใช้พลังงานมหาศาล Boom นำเทคโนโลยีเครื่องยนต์ Symphony ที่เดิมออกแบบเพื่อเครื่องบินโดยสารความเร็วเหนือเสียง มาปรับใช้เป็นกังหันก๊าซสำหรับศูนย์ข้อมูล AI โดยรุ่น Superpower Turbine สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 42 เมกะวัตต์ด้วยประสิทธิภาพ 39% และยังคงทำงานได้แม้อุณหภูมิสูงถึง 43°C ซึ่งเหนือกว่ากังหันทั่วไปที่มักลดประสิทธิภาพเมื่ออุณหภูมิสูงกว่า 30°C 💧 จุดเด่นด้านการประหยัดน้ำ หนึ่งในจุดขายสำคัญคือการออกแบบที่ “waterless” สำหรับตัวกังหันเอง หมายความว่าไม่ต้องใช้น้ำในการทำความเย็น ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำในระบบศูนย์ข้อมูลที่ปกติสิ้นเปลืองมหาศาล แม้ระบบระบายความร้อนของเซิร์ฟเวอร์ยังต้องใช้น้ำ แต่การลดภาระจากกังหันถือเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ ⚡ แผนการผลิตและลูกค้ารายแรก Boom ได้รับคำสั่งซื้อจาก Crusoe AI จำนวน 29 เครื่อง รวมกำลังผลิตกว่า 1.21 กิกะวัตต์ โดยจะเริ่มส่งมอบในปี 2027 และตั้งเป้าผลิตได้ถึง 2 กิกะวัตต์ภายในปี 2029 ทั้งหมดจะผลิตในโรงงานที่ Denver, Colorado ซึ่ง Boom วางแผนสร้าง “Superfactory” เพื่อรองรับการผลิตในระดับอุตสาหกรรม 🔍 ความหมายต่ออนาคตพลังงานและการบิน นอกจากตอบโจทย์ศูนย์ข้อมูล AI ที่ใช้พลังงานมหาศาลแล้ว Boom ยังมองว่าโครงการนี้จะช่วยเร่งการพัฒนาเครื่องยนต์ Symphony สำหรับการบินโดยสารจริง เพราะการใช้งานในศูนย์ข้อมูลจะเป็นเหมือนการทดสอบระยะยาวนับแสนชั่วโมง ซึ่งจะช่วยให้เครื่องยนต์พร้อมสำหรับการรับรองในอนาคต 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ Superpower Turbine ของ Boom ➡️ กำลังผลิต 42 เมกะวัตต์ ➡️ ประสิทธิภาพ 39% ➡️ ทำงานได้ที่อุณหภูมิสูงถึง 43°C ✅ จุดเด่นด้านการใช้น้ำ ➡️ ไม่ต้องใช้น้ำในการทำความเย็นกังหัน ➡️ ลดภาระการใช้น้ำในศูนย์ข้อมูล ✅ แผนการผลิตและลูกค้า ➡️ Crusoe AI สั่งซื้อ 29 เครื่อง กำลังรวม 1.21 กิกะวัตต์ ➡️ เริ่มส่งมอบปี 2027 และตั้งเป้า 2 กิกะวัตต์ในปี 2029 ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ไม่ใช่พลังงานสะอาด ⛔ ยังต้องใช้น้ำในการระบายความร้อนเซิร์ฟเวอร์ ⛔ พลังงานสูงอาจเพิ่มภาระต่อโครงข่ายไฟฟ้าในบางพื้นที่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/supersonic-airline-outfit-boom-unveils-turbine-for-ai-data-centers-42-mw-superpower-turbine-uses-the-same-tech-designed-to-power-concorde-successor-to-mach-1-7-at-60-000-ft
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • Snapmaker ผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ 3D จากจีน ประกาศระดมทุน Series B ได้

    Snapmaker ยืนยันว่าได้รับเงินลงทุน Series B หลายสิบล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมี Hillhouse Ventures และ Meituan เป็นผู้นำรอบ พร้อมด้วย Shunwei Capital, Longzhu Capital และนักลงทุนรายเดิมอย่าง Cowin Capital และ Orient Securities Capital การเข้ามาของ Shunwei Capital ซึ่งก่อตั้งโดย Lei Jun (CEO ของ Xiaomi) ยิ่งทำให้ดีลนี้น่าสนใจ เพราะสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายใหญ่ในอนาคตของ Snapmaker

    ผลงานและความสำเร็จที่ผ่านมา
    Snapmaker ก่อตั้งในปี 2016 และสร้างชื่อจากการเปิดตัวเครื่องพิมพ์ 3D แบบโมดูลาร์ที่สามารถทำงานได้ทั้งการพิมพ์ 3D, เลเซอร์คัต และ CNC โดยเฉพาะรุ่น Snapmaker 2.0 ที่เคยระดมทุนบน Kickstarter ได้กว่า 7.85 ล้านดอลลาร์ และรุ่น U1 Tool Changer ที่ทำสถิติสูงสุดในวงการ 3D Printing ด้วยยอดระดมทุนกว่า 20 ล้านดอลลาร์จากผู้สนับสนุนกว่า 20,000 คน

    แผนการขยายสู่ระดับโลก
    เงินทุนใหม่จะถูกนำไปใช้ในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีหลัก, การดึงดูดบุคลากรระดับโลก และการสร้าง ecosystem ที่ครบวงจร Snapmaker ตั้งเป้าที่จะลดอุปสรรคในการเข้าถึงเทคโนโลยี 3D Printing และทำให้มันกลายเป็นเครื่องมือที่ทุกคนสามารถใช้ได้ ไม่ใช่แค่กลุ่มนักสร้างสรรค์หรือผู้เชี่ยวชาญ

    ความหมายต่อวงการ 3D Printing
    การลงทุนครั้งนี้สะท้อนว่าตลาด 3D Printing กำลังเข้าสู่ “arms race” ของบริษัทยักษ์ใหญ่จีน เช่น Tencent ที่สนใจ Bambu Lab และ DJI ที่ลงทุนใน Elegoo การแข่งขันนี้จะเร่งให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ และทำให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงเครื่องพิมพ์ที่เร็วขึ้น, ถูกลง และใช้งานง่ายขึ้น

    สรุปเป็นหัวข้อ
    Snapmaker ระดมทุน Series B
    ได้เงินลงทุนหลายสิบล้านดอลลาร์
    Hillhouse Ventures และ Meituan นำรอบ

    นักลงทุนรายสำคัญ
    Shunwei Capital (ก่อตั้งโดย Lei Jun จาก Xiaomi)
    Cowin Capital และ Orient Securities Capital ร่วมลงทุนต่อเนื่อง

    ผลงานเด่นของ Snapmaker
    Snapmaker 2.0 ระดมทุน 7.85 ล้านดอลลาร์
    U1 Tool Changer ระดมทุนกว่า 20 ล้านดอลลาร์

    แผนการใช้เงินทุน
    วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่
    ดึงดูดบุคลากรระดับโลก
    สร้าง ecosystem ครบวงจร

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    ตลาด 3D Printing จีนแข่งขันสูงจากผู้เล่นรายใหญ่
    ความเสี่ยงด้านการพึ่งพานักลงทุนรายใหญ่
    ต้องพิสูจน์ว่าสามารถขยายสู่ตลาดโลกได้จริง

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/snapmaker-raises-millions-as-chinese-big-tech-investors-pile-into-3d-printing
    💰 Snapmaker ผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ 3D จากจีน ประกาศระดมทุน Series B ได้ Snapmaker ยืนยันว่าได้รับเงินลงทุน Series B หลายสิบล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมี Hillhouse Ventures และ Meituan เป็นผู้นำรอบ พร้อมด้วย Shunwei Capital, Longzhu Capital และนักลงทุนรายเดิมอย่าง Cowin Capital และ Orient Securities Capital การเข้ามาของ Shunwei Capital ซึ่งก่อตั้งโดย Lei Jun (CEO ของ Xiaomi) ยิ่งทำให้ดีลนี้น่าสนใจ เพราะสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายใหญ่ในอนาคตของ Snapmaker 🛠️ ผลงานและความสำเร็จที่ผ่านมา Snapmaker ก่อตั้งในปี 2016 และสร้างชื่อจากการเปิดตัวเครื่องพิมพ์ 3D แบบโมดูลาร์ที่สามารถทำงานได้ทั้งการพิมพ์ 3D, เลเซอร์คัต และ CNC โดยเฉพาะรุ่น Snapmaker 2.0 ที่เคยระดมทุนบน Kickstarter ได้กว่า 7.85 ล้านดอลลาร์ และรุ่น U1 Tool Changer ที่ทำสถิติสูงสุดในวงการ 3D Printing ด้วยยอดระดมทุนกว่า 20 ล้านดอลลาร์จากผู้สนับสนุนกว่า 20,000 คน 🌍 แผนการขยายสู่ระดับโลก เงินทุนใหม่จะถูกนำไปใช้ในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีหลัก, การดึงดูดบุคลากรระดับโลก และการสร้าง ecosystem ที่ครบวงจร Snapmaker ตั้งเป้าที่จะลดอุปสรรคในการเข้าถึงเทคโนโลยี 3D Printing และทำให้มันกลายเป็นเครื่องมือที่ทุกคนสามารถใช้ได้ ไม่ใช่แค่กลุ่มนักสร้างสรรค์หรือผู้เชี่ยวชาญ 🔍 ความหมายต่อวงการ 3D Printing การลงทุนครั้งนี้สะท้อนว่าตลาด 3D Printing กำลังเข้าสู่ “arms race” ของบริษัทยักษ์ใหญ่จีน เช่น Tencent ที่สนใจ Bambu Lab และ DJI ที่ลงทุนใน Elegoo การแข่งขันนี้จะเร่งให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ และทำให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงเครื่องพิมพ์ที่เร็วขึ้น, ถูกลง และใช้งานง่ายขึ้น 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ Snapmaker ระดมทุน Series B ➡️ ได้เงินลงทุนหลายสิบล้านดอลลาร์ ➡️ Hillhouse Ventures และ Meituan นำรอบ ✅ นักลงทุนรายสำคัญ ➡️ Shunwei Capital (ก่อตั้งโดย Lei Jun จาก Xiaomi) ➡️ Cowin Capital และ Orient Securities Capital ร่วมลงทุนต่อเนื่อง ✅ ผลงานเด่นของ Snapmaker ➡️ Snapmaker 2.0 ระดมทุน 7.85 ล้านดอลลาร์ ➡️ U1 Tool Changer ระดมทุนกว่า 20 ล้านดอลลาร์ ✅ แผนการใช้เงินทุน ➡️ วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ➡️ ดึงดูดบุคลากรระดับโลก ➡️ สร้าง ecosystem ครบวงจร ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ ตลาด 3D Printing จีนแข่งขันสูงจากผู้เล่นรายใหญ่ ⛔ ความเสี่ยงด้านการพึ่งพานักลงทุนรายใหญ่ ⛔ ต้องพิสูจน์ว่าสามารถขยายสู่ตลาดโลกได้จริง https://www.tomshardware.com/3d-printing/snapmaker-raises-millions-as-chinese-big-tech-investors-pile-into-3d-printing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • การกลับลำของสหรัฐ อนุญาตให้ส่งออกชิป Nvidia H200 ไปยังจีน

    ทำเนียบขาวอนุญาตให้ Nvidia ส่งออกชิป H200 ไปยังจีน แม้ก่อนหน้านี้มีข้อจำกัดเข้มงวด โดยมีการเก็บค่าธรรมเนียม 25% การตัดสินใจนี้มีเป้าหมายเพื่อรักษาความเป็นผู้นำของ “American tech stack” และยังคงควบคุมไม่ให้จีนเข้าถึงสถาปัตยกรรมใหม่ล่าสุดอย่าง Blackwell

    ความท้าทายจาก Huawei
    Huawei เปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 ที่ใช้ชิป Ascend 910C จำนวน 384 ตัว ซึ่งถูกวางตำแหน่งแข่งกับ Nvidia GB200 NVL72 แม้ยังมีข้อด้อยด้านประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้จีนมีทางเลือกนอกเหนือจาก CUDA ของ Nvidia

    กลยุทธ์ของสหรัฐ
    รายงานเผยว่ามีการพิจารณาหลายทางเลือก ตั้งแต่การห้ามส่งออกทั้งหมด ไปจนถึงการ “ท่วมตลาด” ด้วยชิป Nvidia เพื่อกดดัน Huawei สุดท้ายเลือกแนวทางกลาง ๆ คืออนุญาตให้ส่งออก H200 แต่ไม่ใช่ Blackwell เพื่อรักษาความได้เปรียบเชิงสถาปัตยกรรม

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI
    การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในตลาด AI ที่กำลังร้อนแรง Nvidia ยังคงครองความได้เปรียบด้วย CUDA แต่ Huawei กำลังเร่งผลิตชิป 910C ให้ได้ถึง 600,000 ตัวในปีหน้า และอาจแตะระดับ “หลายล้านตัว” ภายในปี 2026 ซึ่งจะเป็นการท้าทายอำนาจผูกขาดของ Nvidia

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การกลับลำของสหรัฐ
    อนุญาตส่งออก Nvidia H200 ไปจีน
    เก็บค่าธรรมเนียม 25%

    ความท้าทายจาก Huawei
    เปิดตัว CloudMatrix 384 ใช้ชิป Ascend 910C
    แข่งกับ Nvidia GB200 NVL72

    กลยุทธ์ของสหรัฐ
    พิจารณาหลายทางเลือก ตั้งแต่ห้ามส่งออกจนถึงท่วมตลาด
    เลือกอนุญาต H200 แต่ห้าม Blackwell

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI
    Nvidia ยังคงครองตลาดด้วย CUDA
    Huawei ตั้งเป้าผลิตชิป 910C หลายล้านตัวในปี 2026

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    การแข่งขันอาจทำให้ตลาด AI แบ่งขั้วชัดเจน
    ความเสี่ยงด้านความมั่นคงหากจีนเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง
    อาจกระทบต่อซัพพลายเชนและราคาชิปทั่วโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/white-house-u-turn-on-nvidia-h200-ai-accelerator-exports-down-to-huaweis-powerful-new-ascend-chips-report-claims-u-s-committed-to-dominance-of-the-american-tech-stack
    🇺🇸 การกลับลำของสหรัฐ อนุญาตให้ส่งออกชิป Nvidia H200 ไปยังจีน ทำเนียบขาวอนุญาตให้ Nvidia ส่งออกชิป H200 ไปยังจีน แม้ก่อนหน้านี้มีข้อจำกัดเข้มงวด โดยมีการเก็บค่าธรรมเนียม 25% การตัดสินใจนี้มีเป้าหมายเพื่อรักษาความเป็นผู้นำของ “American tech stack” และยังคงควบคุมไม่ให้จีนเข้าถึงสถาปัตยกรรมใหม่ล่าสุดอย่าง Blackwell 🇨🇳 ความท้าทายจาก Huawei Huawei เปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 ที่ใช้ชิป Ascend 910C จำนวน 384 ตัว ซึ่งถูกวางตำแหน่งแข่งกับ Nvidia GB200 NVL72 แม้ยังมีข้อด้อยด้านประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้จีนมีทางเลือกนอกเหนือจาก CUDA ของ Nvidia ⚡ กลยุทธ์ของสหรัฐ รายงานเผยว่ามีการพิจารณาหลายทางเลือก ตั้งแต่การห้ามส่งออกทั้งหมด ไปจนถึงการ “ท่วมตลาด” ด้วยชิป Nvidia เพื่อกดดัน Huawei สุดท้ายเลือกแนวทางกลาง ๆ คืออนุญาตให้ส่งออก H200 แต่ไม่ใช่ Blackwell เพื่อรักษาความได้เปรียบเชิงสถาปัตยกรรม 🔍 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในตลาด AI ที่กำลังร้อนแรง Nvidia ยังคงครองความได้เปรียบด้วย CUDA แต่ Huawei กำลังเร่งผลิตชิป 910C ให้ได้ถึง 600,000 ตัวในปีหน้า และอาจแตะระดับ “หลายล้านตัว” ภายในปี 2026 ซึ่งจะเป็นการท้าทายอำนาจผูกขาดของ Nvidia 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การกลับลำของสหรัฐ ➡️ อนุญาตส่งออก Nvidia H200 ไปจีน ➡️ เก็บค่าธรรมเนียม 25% ✅ ความท้าทายจาก Huawei ➡️ เปิดตัว CloudMatrix 384 ใช้ชิป Ascend 910C ➡️ แข่งกับ Nvidia GB200 NVL72 ✅ กลยุทธ์ของสหรัฐ ➡️ พิจารณาหลายทางเลือก ตั้งแต่ห้ามส่งออกจนถึงท่วมตลาด ➡️ เลือกอนุญาต H200 แต่ห้าม Blackwell ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI ➡️ Nvidia ยังคงครองตลาดด้วย CUDA ➡️ Huawei ตั้งเป้าผลิตชิป 910C หลายล้านตัวในปี 2026 ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ การแข่งขันอาจทำให้ตลาด AI แบ่งขั้วชัดเจน ⛔ ความเสี่ยงด้านความมั่นคงหากจีนเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ⛔ อาจกระทบต่อซัพพลายเชนและราคาชิปทั่วโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/white-house-u-turn-on-nvidia-h200-ai-accelerator-exports-down-to-huaweis-powerful-new-ascend-chips-report-claims-u-s-committed-to-dominance-of-the-american-tech-stack
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • เป้าหมายใหม่ของ Microsoft - เป็นระบบปฏิบัติการที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นเกม !!

    Microsoft ประกาศแผนทำให้ Windows 11 เป็นระบบปฏิบัติการที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นเกม โดยเน้นการปรับปรุงการจัดการงานเบื้องหลัง, การใช้พลังงานและการจัดตาราง, การปรับแต่งกราฟิกสแต็ก และการอัปเดตไดรเวอร์ เพื่อยกระดับประสบการณ์เกมเมอร์ในปี 2026

    Microsoft ยืนยันว่าจะเดินหน้าพัฒนา Windows 11 ให้เป็นแพลตฟอร์มเกมที่ดีที่สุด โดยมุ่งเน้นการปรับปรุง การจัดการงานเบื้องหลัง (background workload management) และ การใช้พลังงานและการจัดตาราง (power & scheduling) เพื่อให้เกมทำงานได้ลื่นไหลมากขึ้น ลดการรบกวนจากโปรเซสอื่น ๆ

    ฟีเจอร์ใหม่สำหรับเกมเมอร์
    Windows 11 จะได้รับการปรับปรุง graphics stack และ driver updates เพื่อรองรับเกมรุ่นใหม่ ๆ ได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการขยายฟีเจอร์ Xbox Full Screen Experience (FSE) ไปยัง PC ทุกประเภท และการนำ Auto Super Resolution (Auto SR) มาสู่เครื่องเล่นเกมพกพา เช่น ROG Ally X เพื่อให้ภาพคมชัดและเฟรมเรตสูงขึ้น

    การพัฒนาเทคโนโลยีเสริม
    Microsoft ยังเตรียมขยาย Advanced Shader Delivery (ASD) ไปยังอุปกรณ์ Windows 11 มากขึ้น ฟีเจอร์นี้ช่วยให้เกมโหลดเร็วขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการเล่นเกมบนอุปกรณ์ ARM โดยเพิ่มการรองรับการติดตั้งเกมผ่าน Xbox App และระบบ anti-cheat แบบ native

    แผนการสื่อสารและอนาคต
    Microsoft จะเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในงาน Game Developers Conference (GDC) เดือนมีนาคม 2026 ซึ่งคาดว่าจะมีการโชว์ฟีเจอร์ใหม่และแนวทางการพัฒนา Windows 11 ให้เป็นแพลตฟอร์มเกมที่ครบวงจรที่สุด

    สรุปเป็นหัวข้อ
    เป้าหมายของ Microsoft
    ทำให้ Windows 11 เป็นระบบปฏิบัติการที่ดีที่สุดสำหรับเกม
    ปรับปรุงการจัดการงานเบื้องหลังและการใช้พลังงาน

    ฟีเจอร์ใหม่
    Xbox Full Screen Experience (FSE) บน PC
    Auto Super Resolution (Auto SR) สำหรับเครื่องเล่นเกมพกพา
    Advanced Shader Delivery (ASD) เพื่อโหลดเกมเร็วขึ้น

    การรองรับเพิ่มเติม
    ปรับปรุงการเล่นเกมบน ARM
    เพิ่มการติดตั้งเกมผ่าน Xbox App
    ระบบ anti-cheat แบบ native

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    ฟีเจอร์ใหม่ยังอยู่ในช่วงทดสอบ ต้องอัปเดต Windows 11 build ล่าสุด
    เกมบางส่วนอาจยังไม่รองรับ Auto SR หรือ ASD
    ต้องรอรายละเอียดเพิ่มเติมจากงาน GDC 2026

    https://www.tomshardware.com/software/windows/microsoft-promises-to-make-windows-11-the-best-operating-system-for-gaming-says-it-will-focus-on-background-workloads-power-and-scheduling-graphics-stack-and-drivers
    🎮 เป้าหมายใหม่ของ Microsoft - เป็นระบบปฏิบัติการที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นเกม !! Microsoft ประกาศแผนทำให้ Windows 11 เป็นระบบปฏิบัติการที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นเกม โดยเน้นการปรับปรุงการจัดการงานเบื้องหลัง, การใช้พลังงานและการจัดตาราง, การปรับแต่งกราฟิกสแต็ก และการอัปเดตไดรเวอร์ เพื่อยกระดับประสบการณ์เกมเมอร์ในปี 2026 Microsoft ยืนยันว่าจะเดินหน้าพัฒนา Windows 11 ให้เป็นแพลตฟอร์มเกมที่ดีที่สุด โดยมุ่งเน้นการปรับปรุง การจัดการงานเบื้องหลัง (background workload management) และ การใช้พลังงานและการจัดตาราง (power & scheduling) เพื่อให้เกมทำงานได้ลื่นไหลมากขึ้น ลดการรบกวนจากโปรเซสอื่น ๆ 🖥️ ฟีเจอร์ใหม่สำหรับเกมเมอร์ Windows 11 จะได้รับการปรับปรุง graphics stack และ driver updates เพื่อรองรับเกมรุ่นใหม่ ๆ ได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการขยายฟีเจอร์ Xbox Full Screen Experience (FSE) ไปยัง PC ทุกประเภท และการนำ Auto Super Resolution (Auto SR) มาสู่เครื่องเล่นเกมพกพา เช่น ROG Ally X เพื่อให้ภาพคมชัดและเฟรมเรตสูงขึ้น ⚡ การพัฒนาเทคโนโลยีเสริม Microsoft ยังเตรียมขยาย Advanced Shader Delivery (ASD) ไปยังอุปกรณ์ Windows 11 มากขึ้น ฟีเจอร์นี้ช่วยให้เกมโหลดเร็วขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการเล่นเกมบนอุปกรณ์ ARM โดยเพิ่มการรองรับการติดตั้งเกมผ่าน Xbox App และระบบ anti-cheat แบบ native 🔍 แผนการสื่อสารและอนาคต Microsoft จะเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในงาน Game Developers Conference (GDC) เดือนมีนาคม 2026 ซึ่งคาดว่าจะมีการโชว์ฟีเจอร์ใหม่และแนวทางการพัฒนา Windows 11 ให้เป็นแพลตฟอร์มเกมที่ครบวงจรที่สุด 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ เป้าหมายของ Microsoft ➡️ ทำให้ Windows 11 เป็นระบบปฏิบัติการที่ดีที่สุดสำหรับเกม ➡️ ปรับปรุงการจัดการงานเบื้องหลังและการใช้พลังงาน ✅ ฟีเจอร์ใหม่ ➡️ Xbox Full Screen Experience (FSE) บน PC ➡️ Auto Super Resolution (Auto SR) สำหรับเครื่องเล่นเกมพกพา ➡️ Advanced Shader Delivery (ASD) เพื่อโหลดเกมเร็วขึ้น ✅ การรองรับเพิ่มเติม ➡️ ปรับปรุงการเล่นเกมบน ARM ➡️ เพิ่มการติดตั้งเกมผ่าน Xbox App ➡️ ระบบ anti-cheat แบบ native ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ ฟีเจอร์ใหม่ยังอยู่ในช่วงทดสอบ ต้องอัปเดต Windows 11 build ล่าสุด ⛔ เกมบางส่วนอาจยังไม่รองรับ Auto SR หรือ ASD ⛔ ต้องรอรายละเอียดเพิ่มเติมจากงาน GDC 2026 https://www.tomshardware.com/software/windows/microsoft-promises-to-make-windows-11-the-best-operating-system-for-gaming-says-it-will-focus-on-background-workloads-power-and-scheduling-graphics-stack-and-drivers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia พัฒนาระบบติดตาม GPU แบบซอฟต์แวร์เพื่อแก้ปัญหาการลักลอบนำเข้าชิป AI

    Nvidia เปิดเผยว่ากำลังพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ที่สามารถติดตามตำแหน่งและสถานะของ GPU ได้ โดยใช้ข้อมูล telemetry และการวัดเวลา (latency) ระหว่างเซิร์ฟเวอร์ของลูกค้ากับเซิร์ฟเวอร์ของ Nvidia เพื่อประมาณตำแหน่งของ GPU คล้ายกับการทำงานของระบบ geolocation บนอินเทอร์เน็ต

    จุดประสงค์และการใช้งาน
    แม้จะถูกพัฒนาเพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐ แต่ Nvidia ระบุว่าซอฟต์แวร์นี้ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูล (CSPs) ในการ ตรวจสอบสุขภาพ, ความสมบูรณ์ และการจัดการสินทรัพย์ GPU โดยผู้ใช้ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เอง ไม่ใช่ฟังก์ชันที่ซ่อนอยู่ในฮาร์ดแวร์

    ความกังวลด้านความมั่นคง
    จีนได้เรียก Nvidia เข้าพบเพื่อสอบถามเกี่ยวกับฟังก์ชันการตรวจสอบนี้ เนื่องจากกังวลว่าอาจเป็น “backdoor” ที่เปิดทางให้รัฐบาลสหรัฐเข้าถึงข้อมูล แต่ Nvidia ยืนยันว่าไม่มีการละเมิดความปลอดภัย และระบบนี้ใช้เพียงข้อมูล telemetry ที่ถูกต้องตามมาตรฐานเท่านั้น

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    ฟีเจอร์นี้จะเริ่มใช้กับ GPU รุ่นใหม่ตระกูล Blackwell ซึ่งมีระบบตรวจสอบขั้นสูงกว่า Hopper และ Ampere การพัฒนานี้สะท้อนถึงความพยายามของสหรัฐในการควบคุมการกระจายชิป AI ไปยังประเทศที่ถูกจำกัด เช่น จีน, รัสเซีย และเกาหลีเหนือ

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ระบบติดตาม GPU ของ Nvidia
    ใช้ข้อมูล telemetry และ latency เพื่อระบุตำแหน่ง
    ตรวจสอบสุขภาพและความสมบูรณ์ของ GPU

    จุดประสงค์การใช้งาน
    ช่วยผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลจัดการสินทรัพย์
    ผู้ใช้ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เอง

    ความกังวลจากจีน
    หวั่นว่าเป็น backdoor ให้สหรัฐ
    Nvidia ยืนยันว่าไม่มีการละเมิดความปลอดภัย

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    เริ่มใช้กับ GPU รุ่น Blackwell
    สหรัฐพยายามควบคุมการส่งออกชิป AI

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    ยังไม่ชัดเจนว่าซอฟต์แวร์สามารถปิดการทำงาน GPU ได้จริงหรือไม่
    อาจสร้างความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐและจีน
    ความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่นจากผู้ใช้งานที่กังวลเรื่องข้อมูลส่วนตัว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-develops-software-based-tracking-for-ai-gpus-to-quash-smuggling-concerns-solution-devised-to-prevent-shipments-to-nations-with-export-controls-in-place
    🛰️ Nvidia พัฒนาระบบติดตาม GPU แบบซอฟต์แวร์เพื่อแก้ปัญหาการลักลอบนำเข้าชิป AI Nvidia เปิดเผยว่ากำลังพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ที่สามารถติดตามตำแหน่งและสถานะของ GPU ได้ โดยใช้ข้อมูล telemetry และการวัดเวลา (latency) ระหว่างเซิร์ฟเวอร์ของลูกค้ากับเซิร์ฟเวอร์ของ Nvidia เพื่อประมาณตำแหน่งของ GPU คล้ายกับการทำงานของระบบ geolocation บนอินเทอร์เน็ต 🔧 จุดประสงค์และการใช้งาน แม้จะถูกพัฒนาเพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐ แต่ Nvidia ระบุว่าซอฟต์แวร์นี้ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูล (CSPs) ในการ ตรวจสอบสุขภาพ, ความสมบูรณ์ และการจัดการสินทรัพย์ GPU โดยผู้ใช้ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เอง ไม่ใช่ฟังก์ชันที่ซ่อนอยู่ในฮาร์ดแวร์ ⚡ ความกังวลด้านความมั่นคง จีนได้เรียก Nvidia เข้าพบเพื่อสอบถามเกี่ยวกับฟังก์ชันการตรวจสอบนี้ เนื่องจากกังวลว่าอาจเป็น “backdoor” ที่เปิดทางให้รัฐบาลสหรัฐเข้าถึงข้อมูล แต่ Nvidia ยืนยันว่าไม่มีการละเมิดความปลอดภัย และระบบนี้ใช้เพียงข้อมูล telemetry ที่ถูกต้องตามมาตรฐานเท่านั้น 🔍 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ฟีเจอร์นี้จะเริ่มใช้กับ GPU รุ่นใหม่ตระกูล Blackwell ซึ่งมีระบบตรวจสอบขั้นสูงกว่า Hopper และ Ampere การพัฒนานี้สะท้อนถึงความพยายามของสหรัฐในการควบคุมการกระจายชิป AI ไปยังประเทศที่ถูกจำกัด เช่น จีน, รัสเซีย และเกาหลีเหนือ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ระบบติดตาม GPU ของ Nvidia ➡️ ใช้ข้อมูล telemetry และ latency เพื่อระบุตำแหน่ง ➡️ ตรวจสอบสุขภาพและความสมบูรณ์ของ GPU ✅ จุดประสงค์การใช้งาน ➡️ ช่วยผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลจัดการสินทรัพย์ ➡️ ผู้ใช้ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เอง ✅ ความกังวลจากจีน ➡️ หวั่นว่าเป็น backdoor ให้สหรัฐ ➡️ Nvidia ยืนยันว่าไม่มีการละเมิดความปลอดภัย ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ เริ่มใช้กับ GPU รุ่น Blackwell ➡️ สหรัฐพยายามควบคุมการส่งออกชิป AI ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ ยังไม่ชัดเจนว่าซอฟต์แวร์สามารถปิดการทำงาน GPU ได้จริงหรือไม่ ⛔ อาจสร้างความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐและจีน ⛔ ความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่นจากผู้ใช้งานที่กังวลเรื่องข้อมูลส่วนตัว https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-develops-software-based-tracking-for-ai-gpus-to-quash-smuggling-concerns-solution-devised-to-prevent-shipments-to-nations-with-export-controls-in-place
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • การประชุมฉุกเฉินของรัฐบาลจีน พิจารณาจำกัดการนำเข้าชิป Nvidia H200

    หน่วยงานกำกับดูแลของจีน เช่น National Development and Reform Commission (NDRC) และ Ministry of Industry and Information Technology (MIIT) ได้จัดประชุมกับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ Alibaba, ByteDance และ Tencent เพื่อสอบถามความต้องการชิป H200 หลังสหรัฐอนุญาตให้ส่งออก โดยจีนกำลังพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ซื้อในปริมาณเท่าใด

    ความขัดแย้งระหว่างความต้องการและนโยบาย
    แม้ H200 จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าชิป H20 ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับตลาดจีน แต่รัฐบาลยังคงกดดันให้บริษัทหันไปใช้ชิปในประเทศ เช่น Huawei Ascend การนำเข้า H200 จึงถูกมองว่าเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่เสี่ยงต่อการลดแรงจูงใจในการพัฒนาชิปจีนเอง

    ผลกระทบต่อ Nvidia
    ก่อนหน้านี้ Nvidia สูญเสียรายได้ในจีนกว่า 63% เมื่อไม่สามารถขาย H100 ได้ แต่หากจีนอนุญาตให้ซื้อ H200 ความต้องการคาดว่าจะสูงมาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนอาจใช้มาตรการจำกัด เช่น กำหนดโควตาการซื้อ หรือห้ามใช้ในอุตสาหกรรมที่ถือว่า “มีความอ่อนไหวเชิงกลยุทธ์” เช่น การเงินและพลังงาน

    ความหมายต่อการแข่งขัน AI
    การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามของจีนในการหาจุดสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีต่างชาติและการสร้างความพึ่งพาตนเอง หากจีนจำกัดการนำเข้า H200 จะเป็นแรงผลักดันให้บริษัทหันไปลงทุนในชิปภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งอาจเร่งการพัฒนา ecosystem AI ของจีนในระยะยาว

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การประชุมฉุกเฉินของจีน
    NDRC และ MIIT เรียก Alibaba, ByteDance, Tencent เข้าหารือ
    ประเมินความต้องการชิป H200

    ความขัดแย้งด้านนโยบาย
    H200 มีประสิทธิภาพสูงกว่าชิป H20
    รัฐบาลจีนกดดันให้ใช้ชิปในประเทศ เช่น Huawei Ascend

    ผลกระทบต่อ Nvidia
    สูญเสียรายได้ในจีนกว่า 63% หลังห้ามขาย H100
    หากอนุญาต H200 ความต้องการจะสูง แต่มีโควตาจำกัด

    ความหมายต่อการแข่งขัน AI
    จีนพยายามหาสมดุลระหว่างการนำเข้าและการพึ่งพาตนเอง
    อาจเร่งการพัฒนาชิปและ ecosystem AI ภายในประเทศ

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    อาจห้ามใช้ H200 ในอุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์ เช่น การเงินและพลังงาน
    การนำเข้า H200 มากเกินไปอาจลดแรงจูงใจในการพัฒนาชิปจีน
    ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์จากการพึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-weighs-import-limits-on-nvidias-h200-after-us-export-rules-relaxed
    🇨🇳 การประชุมฉุกเฉินของรัฐบาลจีน พิจารณาจำกัดการนำเข้าชิป Nvidia H200 หน่วยงานกำกับดูแลของจีน เช่น National Development and Reform Commission (NDRC) และ Ministry of Industry and Information Technology (MIIT) ได้จัดประชุมกับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ Alibaba, ByteDance และ Tencent เพื่อสอบถามความต้องการชิป H200 หลังสหรัฐอนุญาตให้ส่งออก โดยจีนกำลังพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ซื้อในปริมาณเท่าใด ⚡ ความขัดแย้งระหว่างความต้องการและนโยบาย แม้ H200 จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าชิป H20 ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับตลาดจีน แต่รัฐบาลยังคงกดดันให้บริษัทหันไปใช้ชิปในประเทศ เช่น Huawei Ascend การนำเข้า H200 จึงถูกมองว่าเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่เสี่ยงต่อการลดแรงจูงใจในการพัฒนาชิปจีนเอง 💹 ผลกระทบต่อ Nvidia ก่อนหน้านี้ Nvidia สูญเสียรายได้ในจีนกว่า 63% เมื่อไม่สามารถขาย H100 ได้ แต่หากจีนอนุญาตให้ซื้อ H200 ความต้องการคาดว่าจะสูงมาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนอาจใช้มาตรการจำกัด เช่น กำหนดโควตาการซื้อ หรือห้ามใช้ในอุตสาหกรรมที่ถือว่า “มีความอ่อนไหวเชิงกลยุทธ์” เช่น การเงินและพลังงาน 🔍 ความหมายต่อการแข่งขัน AI การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามของจีนในการหาจุดสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีต่างชาติและการสร้างความพึ่งพาตนเอง หากจีนจำกัดการนำเข้า H200 จะเป็นแรงผลักดันให้บริษัทหันไปลงทุนในชิปภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งอาจเร่งการพัฒนา ecosystem AI ของจีนในระยะยาว 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การประชุมฉุกเฉินของจีน ➡️ NDRC และ MIIT เรียก Alibaba, ByteDance, Tencent เข้าหารือ ➡️ ประเมินความต้องการชิป H200 ✅ ความขัดแย้งด้านนโยบาย ➡️ H200 มีประสิทธิภาพสูงกว่าชิป H20 ➡️ รัฐบาลจีนกดดันให้ใช้ชิปในประเทศ เช่น Huawei Ascend ✅ ผลกระทบต่อ Nvidia ➡️ สูญเสียรายได้ในจีนกว่า 63% หลังห้ามขาย H100 ➡️ หากอนุญาต H200 ความต้องการจะสูง แต่มีโควตาจำกัด ✅ ความหมายต่อการแข่งขัน AI ➡️ จีนพยายามหาสมดุลระหว่างการนำเข้าและการพึ่งพาตนเอง ➡️ อาจเร่งการพัฒนาชิปและ ecosystem AI ภายในประเทศ ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ อาจห้ามใช้ H200 ในอุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์ เช่น การเงินและพลังงาน ⛔ การนำเข้า H200 มากเกินไปอาจลดแรงจูงใจในการพัฒนาชิปจีน ⛔ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์จากการพึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-weighs-import-limits-on-nvidias-h200-after-us-export-rules-relaxed
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานการลักลอบนำเข้า Blackwell ขแง DeepSeek

    แหล่งข่าวนิรนามหลายรายอ้างว่า DeepSeek ใช้บริษัทเชลล์สร้างศูนย์ข้อมูลปลอมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ผ่านการตรวจสอบจาก Nvidia และพันธมิตร OEM หลังจากนั้นจึงรื้อเครื่องเซิร์ฟเวอร์ออกเป็นชิ้น ๆ และลักลอบนำเข้าไปยังจีน ซึ่งถูกห้ามนำเข้า GPU รุ่นใหม่ตามข้อจำกัดของสหรัฐ

    ความต้องการ GPU ของ DeepSeek
    DeepSeek เคยสร้างชื่อจากโมเดล R1 ที่ใช้เพียง 2,048 Nvidia H800s แต่สามารถฝึกได้ภายในสองเดือน ทำให้บริษัทถูกจับตามองว่ามีความสามารถในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน DeepSeek ยังคงพยายามหาทางเข้าถึง GPU รุ่นใหม่เพื่อพัฒนาโมเดล AI ต่อไป แม้รัฐบาลจีนจะผลักดันให้ใช้ชิปในประเทศ เช่น Huawei Ascend

    ปฏิกิริยาของ Nvidia
    Nvidia ออกแถลงการณ์ว่า “ยังไม่พบหลักฐานหรือได้รับข้อมูลยืนยัน” เกี่ยวกับการสร้างศูนย์ข้อมูลปลอมและการลักลอบนำเข้า พร้อมย้ำว่าบริษัทจะตรวจสอบทุกเบาะแสที่ได้รับ แม้จะมองว่าข่าวนี้เป็นเรื่อง “far-fetched” แต่ก็ไม่ปฏิเสธที่จะติดตามอย่างจริงจัง

    ความหมายต่อสงครามชิป
    เหตุการณ์นี้สะท้อนการแข่งขันที่ดุเดือดในสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐและจีน การที่ DeepSeek ถูกกล่าวหาว่าลักลอบนำเข้า Blackwell แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ GPU ในการพัฒนา AI ขั้นสูง และความพยายามของจีนที่จะหาทางเข้าถึงเทคโนโลยีแม้จะมีข้อจำกัดทางการค้า

    สรุปเป็นหัวข้อ
    รายงานการลักลอบนำเข้า
    DeepSeek ถูกกล่าวหาว่าสร้างศูนย์ข้อมูลปลอม
    รื้อเซิร์ฟเวอร์แล้วลักลอบนำ GPU เข้าจีน

    ความต้องการของ DeepSeek
    โมเดล R1 ใช้เพียง 2,048 H800s
    พยายามเข้าถึง GPU รุ่นใหม่เพื่อพัฒนาโมเดลต่อ

    ปฏิกิริยาของ Nvidia
    ปฏิเสธข่าวว่าเป็น “far-fetched”
    ยืนยันว่าจะตรวจสอบทุกเบาะแส

    ความหมายต่อสงครามชิป
    GPU เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา AI
    จีนพยายามหาทางเข้าถึงเทคโนโลยีแม้ถูกจำกัด

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    ยังไม่มีหลักฐานยืนยันการลักลอบนำเข้า
    ข่าวอาจสร้างความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐและจีน
    ความเสี่ยงต่อซัพพลายเชนและการควบคุมการส่งออก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-decries-far-fetched-reports-of-smuggling-in-face-of-deepseek-training-reports-unnamed-sources-claim-chinese-company-is-involved-in-blackwell-smuggling-ring
    🛰️ รายงานการลักลอบนำเข้า Blackwell ขแง DeepSeek แหล่งข่าวนิรนามหลายรายอ้างว่า DeepSeek ใช้บริษัทเชลล์สร้างศูนย์ข้อมูลปลอมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ผ่านการตรวจสอบจาก Nvidia และพันธมิตร OEM หลังจากนั้นจึงรื้อเครื่องเซิร์ฟเวอร์ออกเป็นชิ้น ๆ และลักลอบนำเข้าไปยังจีน ซึ่งถูกห้ามนำเข้า GPU รุ่นใหม่ตามข้อจำกัดของสหรัฐ ⚡ ความต้องการ GPU ของ DeepSeek DeepSeek เคยสร้างชื่อจากโมเดล R1 ที่ใช้เพียง 2,048 Nvidia H800s แต่สามารถฝึกได้ภายในสองเดือน ทำให้บริษัทถูกจับตามองว่ามีความสามารถในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน DeepSeek ยังคงพยายามหาทางเข้าถึง GPU รุ่นใหม่เพื่อพัฒนาโมเดล AI ต่อไป แม้รัฐบาลจีนจะผลักดันให้ใช้ชิปในประเทศ เช่น Huawei Ascend 🖥️ ปฏิกิริยาของ Nvidia Nvidia ออกแถลงการณ์ว่า “ยังไม่พบหลักฐานหรือได้รับข้อมูลยืนยัน” เกี่ยวกับการสร้างศูนย์ข้อมูลปลอมและการลักลอบนำเข้า พร้อมย้ำว่าบริษัทจะตรวจสอบทุกเบาะแสที่ได้รับ แม้จะมองว่าข่าวนี้เป็นเรื่อง “far-fetched” แต่ก็ไม่ปฏิเสธที่จะติดตามอย่างจริงจัง 🔍 ความหมายต่อสงครามชิป เหตุการณ์นี้สะท้อนการแข่งขันที่ดุเดือดในสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐและจีน การที่ DeepSeek ถูกกล่าวหาว่าลักลอบนำเข้า Blackwell แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ GPU ในการพัฒนา AI ขั้นสูง และความพยายามของจีนที่จะหาทางเข้าถึงเทคโนโลยีแม้จะมีข้อจำกัดทางการค้า 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ รายงานการลักลอบนำเข้า ➡️ DeepSeek ถูกกล่าวหาว่าสร้างศูนย์ข้อมูลปลอม ➡️ รื้อเซิร์ฟเวอร์แล้วลักลอบนำ GPU เข้าจีน ✅ ความต้องการของ DeepSeek ➡️ โมเดล R1 ใช้เพียง 2,048 H800s ➡️ พยายามเข้าถึง GPU รุ่นใหม่เพื่อพัฒนาโมเดลต่อ ✅ ปฏิกิริยาของ Nvidia ➡️ ปฏิเสธข่าวว่าเป็น “far-fetched” ➡️ ยืนยันว่าจะตรวจสอบทุกเบาะแส ✅ ความหมายต่อสงครามชิป ➡️ GPU เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา AI ➡️ จีนพยายามหาทางเข้าถึงเทคโนโลยีแม้ถูกจำกัด ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ ยังไม่มีหลักฐานยืนยันการลักลอบนำเข้า ⛔ ข่าวอาจสร้างความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐและจีน ⛔ ความเสี่ยงต่อซัพพลายเชนและการควบคุมการส่งออก https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-decries-far-fetched-reports-of-smuggling-in-face-of-deepseek-training-reports-unnamed-sources-claim-chinese-company-is-involved-in-blackwell-smuggling-ring
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • Framework ผู้ผลิตโน้ตบุ๊กแบบโมดูลาร์ ออกมาโจมตีคู่แข่งเรื่องราคา RAM

    Framework กล่าวว่าการอัปเกรด RAM บนโน้ตบุ๊ก Dell และ Apple มีราคาสูงเกินจริง เช่น Dell ถูกกล่าวหาว่าเรียกเก็บถึง 550 ดอลลาร์สำหรับการอัปเกรดจาก 16GB เป็น 32GB (แม้ภายหลังจะถูกแก้ไขว่าเป็นความเข้าใจผิด) ขณะที่ Apple เรียกเก็บ 400 ดอลลาร์สำหรับการอัปเกรด 16GB มานานหลายปี

    จุดยืนของ Framework
    Framework ยืนยันว่าการปรับขึ้นราคาที่จะเกิดขึ้นเป็นผลจากต้นทุน DRAM ที่สูงขึ้น แต่จะไม่ใช้เป็นข้ออ้างในการเอาเปรียบลูกค้า โดยปัจจุบันการอัปเกรดจาก 16GB เป็น 32GB บนโน้ตบุ๊ก Framework มีค่าใช้จ่ายเพียง 80 ดอลลาร์ ซึ่งถูกกว่าคู่แข่งอย่างมาก

    สถานการณ์ตลาดหน่วยความจำ
    ตลาด DRAM กำลังเผชิญภาวะขาดแคลน ทำให้ผู้ผลิตหลายราย เช่น CyberPowerPC และ Minisforum ต้องปรับขึ้นราคาสินค้าที่ใช้ RAM และ SSD โดยบางรายเพิ่มราคามากกว่า 100% ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้นทั้งในตลาดโน้ตบุ๊กและพีซี

    ความหมายต่อผู้บริโภค
    การออกมาโจมตีครั้งนี้สะท้อนถึงกลยุทธ์ของ Framework ที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ “เป็นมิตรกับผู้ใช้” และโปร่งใสด้านราคา แม้จะต้องขึ้นราคาตามตลาด แต่ก็ยังพยายามรักษาความยุติธรรมในการขาย ซึ่งอาจช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความแตกต่างจากคู่แข่งรายใหญ่

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การโจมตีคู่แข่ง
    Dell ถูกกล่าวหาว่าเรียกเก็บ 550 ดอลลาร์สำหรับอัปเกรด RAM
    Apple เรียกเก็บ 400 ดอลลาร์สำหรับการอัปเกรด 16GB

    จุดยืนของ Framework
    จะขึ้นราคาตามต้นทุน DRAM ที่สูงขึ้น
    ปัจจุบันอัปเกรด 16GB → 32GB เพียง 80 ดอลลาร์

    สถานการณ์ตลาด DRAM
    ภาวะขาดแคลนทำให้หลายบริษัทขึ้นราคา
    CyberPowerPC และ Minisforum ปรับขึ้นมากกว่า 100%

    ความหมายต่อผู้บริโภค
    Framework สร้างภาพลักษณ์โปร่งใสและยุติธรรม
    แตกต่างจากคู่แข่งรายใหญ่ที่ถูกมองว่า “โก่งราคา”

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    ราคาหน่วยความจำมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง
    ผู้บริโภคอาจต้องจ่ายแพงขึ้นแม้กับแบรนด์ที่โปร่งใส
    ตลาด DRAM ยังมีความเสี่ยงจากการขาดแคลนและการเก็งกำไร

    https://www.tomshardware.com/laptops/framework-puts-dell-and-apple-on-blast-over-egregious-ram-prices-modular-laptop-maker-will-be-forced-to-increase-memory-prices-but-wont-gouge-customers-like-other-vendors
    💻 Framework ผู้ผลิตโน้ตบุ๊กแบบโมดูลาร์ ออกมาโจมตีคู่แข่งเรื่องราคา RAM Framework กล่าวว่าการอัปเกรด RAM บนโน้ตบุ๊ก Dell และ Apple มีราคาสูงเกินจริง เช่น Dell ถูกกล่าวหาว่าเรียกเก็บถึง 550 ดอลลาร์สำหรับการอัปเกรดจาก 16GB เป็น 32GB (แม้ภายหลังจะถูกแก้ไขว่าเป็นความเข้าใจผิด) ขณะที่ Apple เรียกเก็บ 400 ดอลลาร์สำหรับการอัปเกรด 16GB มานานหลายปี 🛠️ จุดยืนของ Framework Framework ยืนยันว่าการปรับขึ้นราคาที่จะเกิดขึ้นเป็นผลจากต้นทุน DRAM ที่สูงขึ้น แต่จะไม่ใช้เป็นข้ออ้างในการเอาเปรียบลูกค้า โดยปัจจุบันการอัปเกรดจาก 16GB เป็น 32GB บนโน้ตบุ๊ก Framework มีค่าใช้จ่ายเพียง 80 ดอลลาร์ ซึ่งถูกกว่าคู่แข่งอย่างมาก ⚡ สถานการณ์ตลาดหน่วยความจำ ตลาด DRAM กำลังเผชิญภาวะขาดแคลน ทำให้ผู้ผลิตหลายราย เช่น CyberPowerPC และ Minisforum ต้องปรับขึ้นราคาสินค้าที่ใช้ RAM และ SSD โดยบางรายเพิ่มราคามากกว่า 100% ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้นทั้งในตลาดโน้ตบุ๊กและพีซี 🔍 ความหมายต่อผู้บริโภค การออกมาโจมตีครั้งนี้สะท้อนถึงกลยุทธ์ของ Framework ที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ “เป็นมิตรกับผู้ใช้” และโปร่งใสด้านราคา แม้จะต้องขึ้นราคาตามตลาด แต่ก็ยังพยายามรักษาความยุติธรรมในการขาย ซึ่งอาจช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความแตกต่างจากคู่แข่งรายใหญ่ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การโจมตีคู่แข่ง ➡️ Dell ถูกกล่าวหาว่าเรียกเก็บ 550 ดอลลาร์สำหรับอัปเกรด RAM ➡️ Apple เรียกเก็บ 400 ดอลลาร์สำหรับการอัปเกรด 16GB ✅ จุดยืนของ Framework ➡️ จะขึ้นราคาตามต้นทุน DRAM ที่สูงขึ้น ➡️ ปัจจุบันอัปเกรด 16GB → 32GB เพียง 80 ดอลลาร์ ✅ สถานการณ์ตลาด DRAM ➡️ ภาวะขาดแคลนทำให้หลายบริษัทขึ้นราคา ➡️ CyberPowerPC และ Minisforum ปรับขึ้นมากกว่า 100% ✅ ความหมายต่อผู้บริโภค ➡️ Framework สร้างภาพลักษณ์โปร่งใสและยุติธรรม ➡️ แตกต่างจากคู่แข่งรายใหญ่ที่ถูกมองว่า “โก่งราคา” ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ ราคาหน่วยความจำมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง ⛔ ผู้บริโภคอาจต้องจ่ายแพงขึ้นแม้กับแบรนด์ที่โปร่งใส ⛔ ตลาด DRAM ยังมีความเสี่ยงจากการขาดแคลนและการเก็งกำไร https://www.tomshardware.com/laptops/framework-puts-dell-and-apple-on-blast-over-egregious-ram-prices-modular-laptop-maker-will-be-forced-to-increase-memory-prices-but-wont-gouge-customers-like-other-vendors
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • Windows 11 December Security Update (KB5070311) ช่วยแก้ปัญหาการ์ดจอ AMD

    ตลอดปีที่ผ่านมา ผู้ใช้การ์ดจอ AMD โดยเฉพาะรุ่น RX 9000 Series รายงานปัญหา GPU ค้างและไดรเวอร์ล่มในหลายเกม เช่น Battlefield 6, Arc Raiders และ BO7 ปัญหานี้คล้ายกับที่ Nvidia เคยเจอหลังอัปเดต Windows 11 ในเดือนตุลาคม ซึ่งทำให้ต้องออกไดรเวอร์ hotfix เพื่อแก้ไข

    การแก้ไขที่มากับอัปเดตเดือนธันวาคม
    ผู้ใช้จำนวนมากระบุว่าอัปเดต KB5070311 ช่วยแก้ปัญหาการค้างและการแครชของ AMD GPU โดยเฉพาะในเกมที่มีการรายงานบ่อย แม้ Microsoft ไม่ได้ระบุรายละเอียดใน patch note แต่มีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ข้อความ “unsupported graphics card detected” ไม่ปรากฏอีกเมื่อใช้การ์ดที่รองรับ

    ความแตกต่างจากไดรเวอร์ AMD
    AMD เองก็ออกไดรเวอร์ Adrenalin รุ่นใหม่ (25.12.1) ที่แก้ไขปัญหาบางเกม แต่ไม่ได้ระบุว่า Windows เป็นสาเหตุหลัก การที่อัปเดต Windows 11 ช่วยแก้ปัญหานี้จึงอาจเป็นผลลัพธ์โดยบังเอิญจากการปรับปรุงระบบความปลอดภัย แต่กลับส่งผลดีต่อผู้ใช้ AMD GPU

    ผลกระทบต่อผู้ใช้เกมเมอร์
    สำหรับผู้ใช้ AMD GPU โดยเฉพาะ RX 9000 Series ที่เจอปัญหามานาน การอัปเดตนี้ถือเป็นข่าวดี เพราะช่วยให้เล่นเกมได้เสถียรมากขึ้น แม้ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่ผู้ใช้จำนวนมากยืนยันว่าประสบการณ์ดีขึ้นหลังอัปเดต

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ปัญหาที่เกิดขึ้น
    AMD GPU ค้างและไดรเวอร์แครชในเกมดังหลายเกม
    คล้ายกับปัญหาที่ Nvidia เคยเจอใน Windows 11

    การแก้ไขในอัปเดตเดือนธันวาคม
    KB5070311 ช่วยแก้ปัญหาการค้างและแครช
    ข้อความ “unsupported graphics card detected” หายไป

    ความแตกต่างจากไดรเวอร์ AMD
    AMD Adrenalin 25.12.1 แก้บางเกม แต่ไม่ชี้ว่า Windows เป็นสาเหตุ
    อัปเดต Windows อาจแก้โดยบังเอิญแต่ส่งผลดี

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    เกมเมอร์ AMD RX 9000 Series เล่นเกมได้เสถียรมากขึ้น
    ผู้ใช้จำนวนมากยืนยันว่าปัญหาลดลงหลังอัปเดต

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    Microsoft และ AMD ยังไม่ยืนยันการแก้ไขอย่างเป็นทางการ
    ไม่รับประกันว่าปัญหาทุกเครื่องจะถูกแก้
    อาจยังมีบั๊กอื่นที่ต้องรอการอัปเดตเพิ่มเติม

    https://www.tomshardware.com/software/windows/user-reports-claim-december-windows-11-security-update-fixes-amd-gpu-hanging-and-driver-crashing
    🖥️ Windows 11 December Security Update (KB5070311) ช่วยแก้ปัญหาการ์ดจอ AMD ตลอดปีที่ผ่านมา ผู้ใช้การ์ดจอ AMD โดยเฉพาะรุ่น RX 9000 Series รายงานปัญหา GPU ค้างและไดรเวอร์ล่มในหลายเกม เช่น Battlefield 6, Arc Raiders และ BO7 ปัญหานี้คล้ายกับที่ Nvidia เคยเจอหลังอัปเดต Windows 11 ในเดือนตุลาคม ซึ่งทำให้ต้องออกไดรเวอร์ hotfix เพื่อแก้ไข ⚡ การแก้ไขที่มากับอัปเดตเดือนธันวาคม ผู้ใช้จำนวนมากระบุว่าอัปเดต KB5070311 ช่วยแก้ปัญหาการค้างและการแครชของ AMD GPU โดยเฉพาะในเกมที่มีการรายงานบ่อย แม้ Microsoft ไม่ได้ระบุรายละเอียดใน patch note แต่มีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ข้อความ “unsupported graphics card detected” ไม่ปรากฏอีกเมื่อใช้การ์ดที่รองรับ 🔍 ความแตกต่างจากไดรเวอร์ AMD AMD เองก็ออกไดรเวอร์ Adrenalin รุ่นใหม่ (25.12.1) ที่แก้ไขปัญหาบางเกม แต่ไม่ได้ระบุว่า Windows เป็นสาเหตุหลัก การที่อัปเดต Windows 11 ช่วยแก้ปัญหานี้จึงอาจเป็นผลลัพธ์โดยบังเอิญจากการปรับปรุงระบบความปลอดภัย แต่กลับส่งผลดีต่อผู้ใช้ AMD GPU 🎮 ผลกระทบต่อผู้ใช้เกมเมอร์ สำหรับผู้ใช้ AMD GPU โดยเฉพาะ RX 9000 Series ที่เจอปัญหามานาน การอัปเดตนี้ถือเป็นข่าวดี เพราะช่วยให้เล่นเกมได้เสถียรมากขึ้น แม้ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่ผู้ใช้จำนวนมากยืนยันว่าประสบการณ์ดีขึ้นหลังอัปเดต 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ปัญหาที่เกิดขึ้น ➡️ AMD GPU ค้างและไดรเวอร์แครชในเกมดังหลายเกม ➡️ คล้ายกับปัญหาที่ Nvidia เคยเจอใน Windows 11 ✅ การแก้ไขในอัปเดตเดือนธันวาคม ➡️ KB5070311 ช่วยแก้ปัญหาการค้างและแครช ➡️ ข้อความ “unsupported graphics card detected” หายไป ✅ ความแตกต่างจากไดรเวอร์ AMD ➡️ AMD Adrenalin 25.12.1 แก้บางเกม แต่ไม่ชี้ว่า Windows เป็นสาเหตุ ➡️ อัปเดต Windows อาจแก้โดยบังเอิญแต่ส่งผลดี ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้ ➡️ เกมเมอร์ AMD RX 9000 Series เล่นเกมได้เสถียรมากขึ้น ➡️ ผู้ใช้จำนวนมากยืนยันว่าปัญหาลดลงหลังอัปเดต ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ Microsoft และ AMD ยังไม่ยืนยันการแก้ไขอย่างเป็นทางการ ⛔ ไม่รับประกันว่าปัญหาทุกเครื่องจะถูกแก้ ⛔ อาจยังมีบั๊กอื่นที่ต้องรอการอัปเดตเพิ่มเติม https://www.tomshardware.com/software/windows/user-reports-claim-december-windows-11-security-update-fixes-amd-gpu-hanging-and-driver-crashing
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    User reports claim December Windows 11 security update fixes AMD GPU hanging and driver crashing
    Nvidia apparently wasn't the only GPU maker affected by previous Windows 11 cumulative updates.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว