นิวยอร์กซิตี้ใช้ค่าผ่านทาง ลดรถ ลดมลพิษ
มาตรการ Congestion Pricing ของนิวยอร์กซิตี้ ที่เริ่มใช้ในปี 2025 ทำให้การจราจรลดลงและมลพิษทางอากาศลดลงถึง 22% ในพื้นที่แมนฮัตตัน พร้อมผลพลอยได้เช่นอุบัติเหตุลดลงและเสียงรบกวนลดลงอย่างชัดเจน
ตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 รถยนต์ที่ต้องการเข้าพื้นที่ใจกลางแมนฮัตตันในช่วงเวลาเร่งด่วนต้องจ่ายค่าผ่านทาง 9 ดอลลาร์ ผลลัพธ์ใน 6 เดือนแรกคือการจราจรลดลง 11% และอุบัติเหตุลดลง 14% ขณะเดียวกันเสียงรบกวนจากการบีบแตรหรือเสียงดังอื่น ๆ ลดลงถึง 45%
ผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อม
งานวิจัยจาก Cornell University พบว่า มลพิษฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM) ลดลงถึง 22% ในพื้นที่ที่มีการบังคับใช้มาตรการ ซึ่งถือว่ามากกว่าผลลัพธ์ที่เคยเห็นในเมืองอื่น เช่น สตอกโฮล์มและลอนดอน มลพิษเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญของโรคหอบหืด โรคหัวใจ และมะเร็งปอด
พฤติกรรมการเดินทางเปลี่ยนไป
นักวิจัยระบุว่ามาตรการนี้ไม่ได้เพียงแค่ผลักภาระไปยังชานเมือง แต่ช่วยให้ทั้งมหานครนิวยอร์กมีอากาศดีขึ้น เพราะผู้คนเลือกใช้ ขนส่งสาธารณะ หรือปรับเวลาเดินทาง เช่น ส่งสินค้าในเวลากลางคืน ทำให้การจราจรเบาบางลงและลดการสะสมของหมอกควัน
ความหมายต่อเมืองใหญ่ทั่วโลก
ผลลัพธ์นี้สะท้อนว่า Congestion Pricing ไม่ใช่แค่เรื่องการจัดการจราจร แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตและสุขภาพประชาชน หากเมืองใหญ่ทั่วโลกนำไปปรับใช้ อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากมลพิษทางอากาศได้อย่างมีนัยสำคัญ
สรุปสาระสำคัญ
มาตรการ Congestion Pricing เริ่มใช้ในนิวยอร์กปี 2025
รถยนต์ต้องจ่าย $9 เพื่อเข้าพื้นที่แมนฮัตตันช่วงเร่งด่วน
ผลลัพธ์ใน 6 เดือนแรก
การจราจรลดลง 11%, อุบัติเหตุลดลง 14%, เสียงรบกวนลดลง 45%
มลพิษฝุ่นละออง PM ลดลง 22%
ลดความเสี่ยงโรคหอบหืด, โรคหัวใจ, มะเร็งปอด
พฤติกรรมผู้คนเปลี่ยนไป
ใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น, ส่งสินค้าเวลากลางคืน
หากไม่มีมาตรการต่อเนื่อง มลพิษอาจกลับมาเพิ่มขึ้น
การพึ่งพารถยนต์ส่วนตัวจะทำให้ผลลัพธ์ถดถอย
เมืองที่ไม่ปรับใช้มาตรการคล้ายกันเสี่ยงต่อสุขภาพประชาชน
มลพิษทางอากาศยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรทั่วโลก
https://e360.yale.edu/digest/new-york-congestion-pricing-pollution
มาตรการ Congestion Pricing ของนิวยอร์กซิตี้ ที่เริ่มใช้ในปี 2025 ทำให้การจราจรลดลงและมลพิษทางอากาศลดลงถึง 22% ในพื้นที่แมนฮัตตัน พร้อมผลพลอยได้เช่นอุบัติเหตุลดลงและเสียงรบกวนลดลงอย่างชัดเจน
ตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 รถยนต์ที่ต้องการเข้าพื้นที่ใจกลางแมนฮัตตันในช่วงเวลาเร่งด่วนต้องจ่ายค่าผ่านทาง 9 ดอลลาร์ ผลลัพธ์ใน 6 เดือนแรกคือการจราจรลดลง 11% และอุบัติเหตุลดลง 14% ขณะเดียวกันเสียงรบกวนจากการบีบแตรหรือเสียงดังอื่น ๆ ลดลงถึง 45%
ผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อม
งานวิจัยจาก Cornell University พบว่า มลพิษฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM) ลดลงถึง 22% ในพื้นที่ที่มีการบังคับใช้มาตรการ ซึ่งถือว่ามากกว่าผลลัพธ์ที่เคยเห็นในเมืองอื่น เช่น สตอกโฮล์มและลอนดอน มลพิษเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญของโรคหอบหืด โรคหัวใจ และมะเร็งปอด
พฤติกรรมการเดินทางเปลี่ยนไป
นักวิจัยระบุว่ามาตรการนี้ไม่ได้เพียงแค่ผลักภาระไปยังชานเมือง แต่ช่วยให้ทั้งมหานครนิวยอร์กมีอากาศดีขึ้น เพราะผู้คนเลือกใช้ ขนส่งสาธารณะ หรือปรับเวลาเดินทาง เช่น ส่งสินค้าในเวลากลางคืน ทำให้การจราจรเบาบางลงและลดการสะสมของหมอกควัน
ความหมายต่อเมืองใหญ่ทั่วโลก
ผลลัพธ์นี้สะท้อนว่า Congestion Pricing ไม่ใช่แค่เรื่องการจัดการจราจร แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตและสุขภาพประชาชน หากเมืองใหญ่ทั่วโลกนำไปปรับใช้ อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากมลพิษทางอากาศได้อย่างมีนัยสำคัญ
สรุปสาระสำคัญ
มาตรการ Congestion Pricing เริ่มใช้ในนิวยอร์กปี 2025
รถยนต์ต้องจ่าย $9 เพื่อเข้าพื้นที่แมนฮัตตันช่วงเร่งด่วน
ผลลัพธ์ใน 6 เดือนแรก
การจราจรลดลง 11%, อุบัติเหตุลดลง 14%, เสียงรบกวนลดลง 45%
มลพิษฝุ่นละออง PM ลดลง 22%
ลดความเสี่ยงโรคหอบหืด, โรคหัวใจ, มะเร็งปอด
พฤติกรรมผู้คนเปลี่ยนไป
ใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น, ส่งสินค้าเวลากลางคืน
หากไม่มีมาตรการต่อเนื่อง มลพิษอาจกลับมาเพิ่มขึ้น
การพึ่งพารถยนต์ส่วนตัวจะทำให้ผลลัพธ์ถดถอย
เมืองที่ไม่ปรับใช้มาตรการคล้ายกันเสี่ยงต่อสุขภาพประชาชน
มลพิษทางอากาศยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรทั่วโลก
https://e360.yale.edu/digest/new-york-congestion-pricing-pollution
🚗 นิวยอร์กซิตี้ใช้ค่าผ่านทาง ลดรถ ลดมลพิษ
มาตรการ Congestion Pricing ของนิวยอร์กซิตี้ ที่เริ่มใช้ในปี 2025 ทำให้การจราจรลดลงและมลพิษทางอากาศลดลงถึง 22% ในพื้นที่แมนฮัตตัน พร้อมผลพลอยได้เช่นอุบัติเหตุลดลงและเสียงรบกวนลดลงอย่างชัดเจน
ตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 รถยนต์ที่ต้องการเข้าพื้นที่ใจกลางแมนฮัตตันในช่วงเวลาเร่งด่วนต้องจ่ายค่าผ่านทาง 9 ดอลลาร์ ผลลัพธ์ใน 6 เดือนแรกคือการจราจรลดลง 11% และอุบัติเหตุลดลง 14% ขณะเดียวกันเสียงรบกวนจากการบีบแตรหรือเสียงดังอื่น ๆ ลดลงถึง 45%
🌫️ ผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อม
งานวิจัยจาก Cornell University พบว่า มลพิษฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM) ลดลงถึง 22% ในพื้นที่ที่มีการบังคับใช้มาตรการ ซึ่งถือว่ามากกว่าผลลัพธ์ที่เคยเห็นในเมืองอื่น เช่น สตอกโฮล์มและลอนดอน มลพิษเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญของโรคหอบหืด โรคหัวใจ และมะเร็งปอด
🚉 พฤติกรรมการเดินทางเปลี่ยนไป
นักวิจัยระบุว่ามาตรการนี้ไม่ได้เพียงแค่ผลักภาระไปยังชานเมือง แต่ช่วยให้ทั้งมหานครนิวยอร์กมีอากาศดีขึ้น เพราะผู้คนเลือกใช้ ขนส่งสาธารณะ หรือปรับเวลาเดินทาง เช่น ส่งสินค้าในเวลากลางคืน ทำให้การจราจรเบาบางลงและลดการสะสมของหมอกควัน
🌍 ความหมายต่อเมืองใหญ่ทั่วโลก
ผลลัพธ์นี้สะท้อนว่า Congestion Pricing ไม่ใช่แค่เรื่องการจัดการจราจร แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตและสุขภาพประชาชน หากเมืองใหญ่ทั่วโลกนำไปปรับใช้ อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากมลพิษทางอากาศได้อย่างมีนัยสำคัญ
📌 สรุปสาระสำคัญ
✅ มาตรการ Congestion Pricing เริ่มใช้ในนิวยอร์กปี 2025
➡️ รถยนต์ต้องจ่าย $9 เพื่อเข้าพื้นที่แมนฮัตตันช่วงเร่งด่วน
✅ ผลลัพธ์ใน 6 เดือนแรก
➡️ การจราจรลดลง 11%, อุบัติเหตุลดลง 14%, เสียงรบกวนลดลง 45%
✅ มลพิษฝุ่นละออง PM ลดลง 22%
➡️ ลดความเสี่ยงโรคหอบหืด, โรคหัวใจ, มะเร็งปอด
✅ พฤติกรรมผู้คนเปลี่ยนไป
➡️ ใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น, ส่งสินค้าเวลากลางคืน
‼️ หากไม่มีมาตรการต่อเนื่อง มลพิษอาจกลับมาเพิ่มขึ้น
⛔ การพึ่งพารถยนต์ส่วนตัวจะทำให้ผลลัพธ์ถดถอย
‼️ เมืองที่ไม่ปรับใช้มาตรการคล้ายกันเสี่ยงต่อสุขภาพประชาชน
⛔ มลพิษทางอากาศยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรทั่วโลก
https://e360.yale.edu/digest/new-york-congestion-pricing-pollution
0 Comments
0 Shares
50 Views
0 Reviews