• แอปโอเพ่นซอร์ส "Mental Math" ตัวช่วยหนี Brainrot (สมองเสื่อม)

    แอป Mental Math ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการเสพคอนเทนต์สั้น ๆ ที่ทำให้สมาธิและความสามารถในการจดจ่อลดลง ตัวแอปมีโจทย์คณิตศาสตร์พื้นฐาน เช่น บวก ลบ คูณ หาร พร้อมระดับความยาก 9 ระดับ และโหมดการเล่นทั้งแบบจับเวลาและแบบทำโจทย์จำนวนที่กำหนด จุดเด่นคือทำงานแบบออฟไลน์ ไม่เก็บข้อมูล และไม่มีโฆษณา

    ผลกระทบของคอนเทนต์สั้นต่อสมาธิ
    งานวิจัยล่าสุดพบว่าการเสพ short-form content เช่น TikTok หรือ Instagram Reels มีผลโดยตรงต่อสมาธิและการเรียนรู้ นักศึกษาที่ใช้เวลามากกับคอนเทนต์สั้นมีแนวโน้มที่จะมีสมาธิสั้นลงและผลการเรียนลดลง การเสพคอนเทนต์เร็ว ๆ ทำให้สมองชินกับการรับข้อมูลแบบทันใจ จนไม่สามารถโฟกัสกับงานที่ต้องใช้เวลานานได้

    ประโยชน์ของการฝึกสมองด้วยคณิตศาสตร์
    การฝึกคณิตศาสตร์ผ่านแอปประเภทนี้ช่วยกระตุ้นสมองในหลายด้าน ทั้งการคิดเชิงตรรกะ ความจำ และการแก้ปัญหา งานวิจัยด้านประสาทวิทยายืนยันว่าการทำโจทย์คณิตศาสตร์ช่วยสร้างการเชื่อมต่อของสมองที่แข็งแรงขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมในอนาคต

    การผสมผสานเกมสมองกับคณิตศาสตร์
    นักวิจัยเสนอว่าการผสมผสานเกมฝึกสมองกับโจทย์คณิตศาสตร์เป็นแนวทางที่ดี เพราะช่วยให้ผู้ใช้สนุกไปกับการเรียนรู้และยังได้ประโยชน์จริงต่อสมอง การฝึกแบบนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความเร็วและความแม่นยำในการคิดเลข แต่ยังช่วยให้สมาธิกลับคืนมาในยุคที่คอนเทนต์สั้นครองโลก

    Download ได้ที่นี่ครับ
    https://play.google.com/store/apps/details?id=com.helddertierwelt.mentalmath

    สรุปสาระสำคัญ
    แอป Mental Math
    ฟรี, ไม่มีโฆษณา, ทำงานออฟไลน์, เคารพความเป็นส่วนตัว
    มีโหมดจับเวลาและโหมดทำโจทย์ตามจำนวน

    ผลกระทบของคอนเทนต์สั้น
    ทำให้สมาธิสั้นลง
    ส่งผลต่อผลการเรียนและการทำงาน

    ประโยชน์ของการฝึกคณิตศาสตร์
    ช่วยสร้างการเชื่อมต่อสมองที่แข็งแรง
    ลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม

    การผสมผสานเกมกับคณิตศาสตร์
    ทำให้การเรียนรู้สนุกและมีแรงจูงใจ
    เพิ่มความเร็วและความแม่นยำในการคิดเลข

    คำเตือนเกี่ยวกับคอนเทนต์สั้น
    การเสพมากเกินไปอาจทำให้สมาธิและความสามารถในการเรียนรู้ลดลง
    อาจส่งผลต่อสุขภาพจิต เช่น ความหงุดหงิดและความเครียด

    https://itsfoss.com/mental-math/
    📰 แอปโอเพ่นซอร์ส "Mental Math" ตัวช่วยหนี Brainrot (สมองเสื่อม) แอป Mental Math ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการเสพคอนเทนต์สั้น ๆ ที่ทำให้สมาธิและความสามารถในการจดจ่อลดลง ตัวแอปมีโจทย์คณิตศาสตร์พื้นฐาน เช่น บวก ลบ คูณ หาร พร้อมระดับความยาก 9 ระดับ และโหมดการเล่นทั้งแบบจับเวลาและแบบทำโจทย์จำนวนที่กำหนด จุดเด่นคือทำงานแบบออฟไลน์ ไม่เก็บข้อมูล และไม่มีโฆษณา 🧠 ผลกระทบของคอนเทนต์สั้นต่อสมาธิ งานวิจัยล่าสุดพบว่าการเสพ short-form content เช่น TikTok หรือ Instagram Reels มีผลโดยตรงต่อสมาธิและการเรียนรู้ นักศึกษาที่ใช้เวลามากกับคอนเทนต์สั้นมีแนวโน้มที่จะมีสมาธิสั้นลงและผลการเรียนลดลง การเสพคอนเทนต์เร็ว ๆ ทำให้สมองชินกับการรับข้อมูลแบบทันใจ จนไม่สามารถโฟกัสกับงานที่ต้องใช้เวลานานได้ 🎮 ประโยชน์ของการฝึกสมองด้วยคณิตศาสตร์ การฝึกคณิตศาสตร์ผ่านแอปประเภทนี้ช่วยกระตุ้นสมองในหลายด้าน ทั้งการคิดเชิงตรรกะ ความจำ และการแก้ปัญหา งานวิจัยด้านประสาทวิทยายืนยันว่าการทำโจทย์คณิตศาสตร์ช่วยสร้างการเชื่อมต่อของสมองที่แข็งแรงขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมในอนาคต 🌐 การผสมผสานเกมสมองกับคณิตศาสตร์ นักวิจัยเสนอว่าการผสมผสานเกมฝึกสมองกับโจทย์คณิตศาสตร์เป็นแนวทางที่ดี เพราะช่วยให้ผู้ใช้สนุกไปกับการเรียนรู้และยังได้ประโยชน์จริงต่อสมอง การฝึกแบบนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความเร็วและความแม่นยำในการคิดเลข แต่ยังช่วยให้สมาธิกลับคืนมาในยุคที่คอนเทนต์สั้นครองโลก ⬇️ Download ได้ที่นี่ครับ https://play.google.com/store/apps/details?id=com.helddertierwelt.mentalmath 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ แอป Mental Math ➡️ ฟรี, ไม่มีโฆษณา, ทำงานออฟไลน์, เคารพความเป็นส่วนตัว ➡️ มีโหมดจับเวลาและโหมดทำโจทย์ตามจำนวน ✅ ผลกระทบของคอนเทนต์สั้น ➡️ ทำให้สมาธิสั้นลง ➡️ ส่งผลต่อผลการเรียนและการทำงาน ✅ ประโยชน์ของการฝึกคณิตศาสตร์ ➡️ ช่วยสร้างการเชื่อมต่อสมองที่แข็งแรง ➡️ ลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม ✅ การผสมผสานเกมกับคณิตศาสตร์ ➡️ ทำให้การเรียนรู้สนุกและมีแรงจูงใจ ➡️ เพิ่มความเร็วและความแม่นยำในการคิดเลข ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับคอนเทนต์สั้น ⛔ การเสพมากเกินไปอาจทำให้สมาธิและความสามารถในการเรียนรู้ลดลง ⛔ อาจส่งผลต่อสุขภาพจิต เช่น ความหงุดหงิดและความเครียด https://itsfoss.com/mental-math/
    ITSFOSS.COM
    This Open Source Android App Fights Brainrot With Basic Math Problems
    Mental Math tests your arithmetic skills without tracking your every move.
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • Valve สนับสนุน FEX-Emu เปิดทางใหม่ในการช่วยเหลือโอเพ่นซอร์ส

    การสนับสนุนเบื้องหลัง
    Valve เริ่มสนับสนุนโครงการ FEX-Emu ตั้งแต่ปี 2018 โดยจ้างนักพัฒนาอย่าง Ryan Houdek ให้ทำงานเต็มเวลา จุดมุ่งหมายคือการสร้างตัวจำลอง (emulator) ที่ช่วยให้เกม Windows สามารถทำงานบนอุปกรณ์ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM ได้ ซึ่งถือเป็นการต่อยอดจาก Proton ที่ Valve เคยทำให้เกม Windows รันบน Linux ได้มาก่อน

    ลดภาระการพอร์ตเกม
    Pierre-Loup Griffais จาก Valve อธิบายว่า การพอร์ตเกมไปยังสถาปัตยกรรมใหม่เป็น “งานที่สูญเปล่า” เพราะใช้เวลามากแต่ไม่ได้เพิ่มคุณภาพเกม การมี FEX-Emu ทำให้นักพัฒนาไม่ต้องเสียเวลาไปกับการพอร์ต แต่สามารถโฟกัสไปที่การปรับปรุงเกมหรือสร้างเกมใหม่แทน

    อนาคตของอุปกรณ์ ARM
    Valve มองว่าอุปกรณ์ ARM ไม่จำกัดแค่ SteamOS เท่านั้น แต่ยังรวมถึงโน้ตบุ๊ก, เครื่องพกพา และเดสก์ท็อปที่ใช้ชิป ARM ได้ด้วย แม้ยังไม่มีแผนดึงผู้ผลิตเข้ามา แต่ Valve ตั้งใจจะปล่อยฮาร์ดแวร์ของตัวเองก่อน แล้วดูว่าตลาดตอบสนองอย่างไร

    ผลกระทบต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    แนวทางนี้ถูกมองว่าเป็น “โมเดลที่ดีกว่า” เพราะ Valve ไม่ได้สร้างเครื่องมือปิด แต่เลือกสนับสนุนให้ทีมพัฒนาทำงานแบบเปิด ทำให้ทุกคนสามารถนำไปใช้ต่อยอดได้ หากบริษัทอื่นทำเช่นเดียวกัน นักพัฒนาโอเพ่นซอร์สจะไม่ต้องเผชิญกับปัญหาการถูกใช้งานหนักแต่ไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม

    สรุปสาระสำคัญ
    Valve สนับสนุน FEX-Emu ตั้งแต่ปี 2018
    จ่ายเงินให้นักพัฒนาเต็มเวลา
    โครงการโอเพ่นซอร์ส ใช้ได้กับทุกคน

    ลดภาระการพอร์ตเกม
    นักพัฒนาไม่ต้องเสียเวลาแปลงเกม
    สามารถโฟกัสไปที่การปรับปรุงเกมใหม่

    อนาคตของอุปกรณ์ ARM
    ครอบคลุมโน้ตบุ๊ก, เครื่องพกพา, เดสก์ท็อป
    Valve จะปล่อยฮาร์ดแวร์ก่อน แล้วดูตลาดตอบสนอง

    ผลกระทบต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    โมเดลสนับสนุนที่ยั่งยืน
    ลดปัญหานักพัฒนาโอเพ่นซอร์สถูกใช้งานหนักแต่ไม่ได้ค่าตอบแทน

    คำเตือนในวงการโอเพ่นซอร์ส
    นักพัฒนาหลายคนกำลังเผชิญภาวะหมดแรงและค่าตอบแทนต่ำ
    หากไม่มีการสนับสนุนเพิ่มเติม อาจทำให้โครงการสำคัญหยุดชะงัก

    https://itsfoss.com/news/valve-shows-a-better-way-to-fund-open-source/
    📰 Valve สนับสนุน FEX-Emu เปิดทางใหม่ในการช่วยเหลือโอเพ่นซอร์ส 💻 การสนับสนุนเบื้องหลัง Valve เริ่มสนับสนุนโครงการ FEX-Emu ตั้งแต่ปี 2018 โดยจ้างนักพัฒนาอย่าง Ryan Houdek ให้ทำงานเต็มเวลา จุดมุ่งหมายคือการสร้างตัวจำลอง (emulator) ที่ช่วยให้เกม Windows สามารถทำงานบนอุปกรณ์ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM ได้ ซึ่งถือเป็นการต่อยอดจาก Proton ที่ Valve เคยทำให้เกม Windows รันบน Linux ได้มาก่อน 🎮 ลดภาระการพอร์ตเกม Pierre-Loup Griffais จาก Valve อธิบายว่า การพอร์ตเกมไปยังสถาปัตยกรรมใหม่เป็น “งานที่สูญเปล่า” เพราะใช้เวลามากแต่ไม่ได้เพิ่มคุณภาพเกม การมี FEX-Emu ทำให้นักพัฒนาไม่ต้องเสียเวลาไปกับการพอร์ต แต่สามารถโฟกัสไปที่การปรับปรุงเกมหรือสร้างเกมใหม่แทน 🖥️ อนาคตของอุปกรณ์ ARM Valve มองว่าอุปกรณ์ ARM ไม่จำกัดแค่ SteamOS เท่านั้น แต่ยังรวมถึงโน้ตบุ๊ก, เครื่องพกพา และเดสก์ท็อปที่ใช้ชิป ARM ได้ด้วย แม้ยังไม่มีแผนดึงผู้ผลิตเข้ามา แต่ Valve ตั้งใจจะปล่อยฮาร์ดแวร์ของตัวเองก่อน แล้วดูว่าตลาดตอบสนองอย่างไร 🌐 ผลกระทบต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส แนวทางนี้ถูกมองว่าเป็น “โมเดลที่ดีกว่า” เพราะ Valve ไม่ได้สร้างเครื่องมือปิด แต่เลือกสนับสนุนให้ทีมพัฒนาทำงานแบบเปิด ทำให้ทุกคนสามารถนำไปใช้ต่อยอดได้ หากบริษัทอื่นทำเช่นเดียวกัน นักพัฒนาโอเพ่นซอร์สจะไม่ต้องเผชิญกับปัญหาการถูกใช้งานหนักแต่ไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Valve สนับสนุน FEX-Emu ตั้งแต่ปี 2018 ➡️ จ่ายเงินให้นักพัฒนาเต็มเวลา ➡️ โครงการโอเพ่นซอร์ส ใช้ได้กับทุกคน ✅ ลดภาระการพอร์ตเกม ➡️ นักพัฒนาไม่ต้องเสียเวลาแปลงเกม ➡️ สามารถโฟกัสไปที่การปรับปรุงเกมใหม่ ✅ อนาคตของอุปกรณ์ ARM ➡️ ครอบคลุมโน้ตบุ๊ก, เครื่องพกพา, เดสก์ท็อป ➡️ Valve จะปล่อยฮาร์ดแวร์ก่อน แล้วดูตลาดตอบสนอง ✅ ผลกระทบต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส ➡️ โมเดลสนับสนุนที่ยั่งยืน ➡️ ลดปัญหานักพัฒนาโอเพ่นซอร์สถูกใช้งานหนักแต่ไม่ได้ค่าตอบแทน ‼️ คำเตือนในวงการโอเพ่นซอร์ส ⛔ นักพัฒนาหลายคนกำลังเผชิญภาวะหมดแรงและค่าตอบแทนต่ำ ⛔ หากไม่มีการสนับสนุนเพิ่มเติม อาจทำให้โครงการสำคัญหยุดชะงัก https://itsfoss.com/news/valve-shows-a-better-way-to-fund-open-source/
    ITSFOSS.COM
    Valve's FEX-Emu Support Shows a Better Way to Fund Open Source
    The company has quietly funded FEX-Emu since 2018 as an open source project.
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • Calibre 8.16 เพิ่มฟีเจอร์ AI และแก้บั๊ก

    Calibre 8.16 เปิดตัวความสามารถใหม่ที่ให้ผู้ใช้ ถาม AI เกี่ยวกับหนังสือในคลัง โดยคลิกที่ปุ่ม “View” แล้วเลือก “Discuss selected book(s) with AI” นอกจากนี้ยังมีเมนู “Ask AI for what to read next” ที่ช่วยแนะนำหนังสือถัดไปจากรายการที่มีอยู่ ถือเป็นการผสมผสานการจัดการอีบุ๊กเข้ากับการช่วยเหลือจาก AI อย่างเต็มรูปแบบ

    รองรับ LM Studio และการทำงานแบบ Local
    เวอร์ชันนี้เพิ่ม backend สำหรับ LM Studio ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรันโมเดล AI ได้แบบ local โดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ภายนอก ทำให้การใช้งานปลอดภัยและรวดเร็วขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวในการจัดการข้อมูลหนังสือ

    การแก้บั๊กและปรับปรุง
    Calibre 8.16 แก้ไขบั๊กหลายรายการ เช่น ปัญหาใน PDF input engine ที่ไม่ escape HTML markup, ปัญหาเมนูเปลี่ยนตัวอักษรหายไปใน comments editor และการจัดการ metadata จาก Amazon ที่ผิดพลาด นอกจากนี้ยังปรับปรุงการสร้าง BiBTeX catalogs และการแสดงผลวันที่ใน timezone ท้องถิ่นให้ถูกต้องมากขึ้น

    การอัปเดตและการเข้าถึง
    Calibre 8.16 พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้วทั้งบน Linux, macOS และ Windows รวมถึงมี source tarball สำหรับผู้ที่ต้องการคอมไพล์เอง อีกทั้งยังมีการอัปเดตเล็กน้อยเป็นเวอร์ชัน 8.16.1 เพื่อแก้บั๊กที่ทำให้ฟีเจอร์ “Ask AI what to read next” ใช้งานไม่ได้

    สรุปสาระสำคัญ
    ฟีเจอร์ AI ใหม่
    ถาม AI เกี่ยวกับหนังสือในคลัง
    แนะนำหนังสือถัดไปที่ควรอ่าน

    รองรับ LM Studio
    รันโมเดล AI แบบ local
    เพิ่มความปลอดภัยและความเร็ว

    การแก้บั๊กสำคัญ
    ปัญหา PDF input engine
    Metadata จาก Amazon และ BiBTeX catalogs

    การอัปเดตเวอร์ชัน
    พร้อมดาวน์โหลดบน Linux, macOS, Windows
    เวอร์ชัน 8.16.1 แก้บั๊กเพิ่มเติม

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    ฟีเจอร์ใหม่อาจยังมีบั๊กเล็กน้อยในช่วงแรก
    ผู้ใช้ควรอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา

    https://9to5linux.com/calibre-8-16-open-source-e-book-manager-adds-more-ai-features-bug-fixes
    📰 Calibre 8.16 เพิ่มฟีเจอร์ AI และแก้บั๊ก Calibre 8.16 เปิดตัวความสามารถใหม่ที่ให้ผู้ใช้ ถาม AI เกี่ยวกับหนังสือในคลัง โดยคลิกที่ปุ่ม “View” แล้วเลือก “Discuss selected book(s) with AI” นอกจากนี้ยังมีเมนู “Ask AI for what to read next” ที่ช่วยแนะนำหนังสือถัดไปจากรายการที่มีอยู่ ถือเป็นการผสมผสานการจัดการอีบุ๊กเข้ากับการช่วยเหลือจาก AI อย่างเต็มรูปแบบ 🖥️ รองรับ LM Studio และการทำงานแบบ Local เวอร์ชันนี้เพิ่ม backend สำหรับ LM Studio ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรันโมเดล AI ได้แบบ local โดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ภายนอก ทำให้การใช้งานปลอดภัยและรวดเร็วขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวในการจัดการข้อมูลหนังสือ 🛠️ การแก้บั๊กและปรับปรุง Calibre 8.16 แก้ไขบั๊กหลายรายการ เช่น ปัญหาใน PDF input engine ที่ไม่ escape HTML markup, ปัญหาเมนูเปลี่ยนตัวอักษรหายไปใน comments editor และการจัดการ metadata จาก Amazon ที่ผิดพลาด นอกจากนี้ยังปรับปรุงการสร้าง BiBTeX catalogs และการแสดงผลวันที่ใน timezone ท้องถิ่นให้ถูกต้องมากขึ้น 🌐 การอัปเดตและการเข้าถึง Calibre 8.16 พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้วทั้งบน Linux, macOS และ Windows รวมถึงมี source tarball สำหรับผู้ที่ต้องการคอมไพล์เอง อีกทั้งยังมีการอัปเดตเล็กน้อยเป็นเวอร์ชัน 8.16.1 เพื่อแก้บั๊กที่ทำให้ฟีเจอร์ “Ask AI what to read next” ใช้งานไม่ได้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ AI ใหม่ ➡️ ถาม AI เกี่ยวกับหนังสือในคลัง ➡️ แนะนำหนังสือถัดไปที่ควรอ่าน ✅ รองรับ LM Studio ➡️ รันโมเดล AI แบบ local ➡️ เพิ่มความปลอดภัยและความเร็ว ✅ การแก้บั๊กสำคัญ ➡️ ปัญหา PDF input engine ➡️ Metadata จาก Amazon และ BiBTeX catalogs ✅ การอัปเดตเวอร์ชัน ➡️ พร้อมดาวน์โหลดบน Linux, macOS, Windows ➡️ เวอร์ชัน 8.16.1 แก้บั๊กเพิ่มเติม ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ ฟีเจอร์ใหม่อาจยังมีบั๊กเล็กน้อยในช่วงแรก ⛔ ผู้ใช้ควรอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา https://9to5linux.com/calibre-8-16-open-source-e-book-manager-adds-more-ai-features-bug-fixes
    9TO5LINUX.COM
    Calibre 8.16 Open-Source E-Book Manager Adds More AI Features, Bug Fixes - 9to5Linux
    Calibre 8.16 open-source e-book management software is now available for download with various new AI features and several bug fixes.
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • TUXEDO Gemini 17 Gen4 โน้ตบุ๊ก Linux สเปกแรงระดับเดสก์ท็อป

    Gemini 17 Gen4 มาพร้อม Intel Core i9-14900HX ที่มี 24 คอร์ 32 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.8 GHz และแรมสูงสุด 96 GB รวมถึง SSD PCIe 4.0 ได้ถึง 8 TB ใช้การ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 5070 Ti VRAM 12 GB GDDR7 ทำให้รองรับงานหนักทั้งการเรนเดอร์และเล่นเกมได้สบาย

    จอภาพและการใช้งาน
    หน้าจอขนาด 17.3 นิ้ว ความละเอียด 2560×1440 พิกเซล รีเฟรชเรตสูงถึง 240 Hz ครอบคลุมสี 100% DCI-P3 และ sRGB พร้อมคีย์บอร์ดไฟ RGB และทัชแพดขนาดใหญ่ เหมาะกับทั้งเกมเมอร์และสายทำงานที่ต้องการความแม่นยำและความลื่นไหล

    การเชื่อมต่อและระบบ
    รองรับ Wi-Fi 6E และ Wi-Fi 7, LAN 1 Gbps, Bluetooth 5.3, USB-A และ USB-C หลายพอร์ต รวมถึงแบตเตอรี่ 73 Wh ที่สามารถเปลี่ยนได้ ตัวเครื่องมาพร้อม TUXEDO OS (Ubuntu-based) หรือ Ubuntu 24.04 LTS ให้เลือก

    ราคาและการวางจำหน่าย
    เปิดให้สั่งจองแล้วในราคาเริ่มต้น 1,805 ยูโร (~2,103 USD) สำหรับรุ่น RAM 16 GB และ SSD 1 TB โดยจะเริ่มจัดส่งช่วงปลายเดือนธันวาคม 2025

    สรุปสาระสำคัญ
    สเปกเครื่อง
    Intel Core i9-14900HX, 24 คอร์ 32 เธรด
    NVIDIA RTX 5070 Ti, RAM สูงสุด 96 GB, SSD สูงสุด 8 TB

    หน้าจอและการใช้งาน
    17.3 นิ้ว QHD, 240 Hz, 100% DCI-P3/sRGB
    คีย์บอร์ดไฟ RGB, ทัชแพดใหญ่

    การเชื่อมต่อ
    Wi-Fi 6E/7, LAN 1 Gbps, Bluetooth 5.3
    USB-A และ USB-C ครบครัน

    ระบบและราคา
    มาพร้อม TUXEDO OS หรือ Ubuntu 24.04 LTS
    ราคาเริ่มต้น 1,805 ยูโร (~2,103 USD)

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    ราคาสูงเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กทั่วไป
    น้ำหนักและขนาดอาจไม่เหมาะกับการพกพาบ่อย ๆ

    https://9to5linux.com/tuxedo-gemini-17-gen4-linux-laptop-nvidia-rtx-5070-ti-intel-core-i9-14900hx
    📰 TUXEDO Gemini 17 Gen4 โน้ตบุ๊ก Linux สเปกแรงระดับเดสก์ท็อป Gemini 17 Gen4 มาพร้อม Intel Core i9-14900HX ที่มี 24 คอร์ 32 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.8 GHz และแรมสูงสุด 96 GB รวมถึง SSD PCIe 4.0 ได้ถึง 8 TB ใช้การ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 5070 Ti VRAM 12 GB GDDR7 ทำให้รองรับงานหนักทั้งการเรนเดอร์และเล่นเกมได้สบาย 🎮 จอภาพและการใช้งาน หน้าจอขนาด 17.3 นิ้ว ความละเอียด 2560×1440 พิกเซล รีเฟรชเรตสูงถึง 240 Hz ครอบคลุมสี 100% DCI-P3 และ sRGB พร้อมคีย์บอร์ดไฟ RGB และทัชแพดขนาดใหญ่ เหมาะกับทั้งเกมเมอร์และสายทำงานที่ต้องการความแม่นยำและความลื่นไหล 🌐 การเชื่อมต่อและระบบ รองรับ Wi-Fi 6E และ Wi-Fi 7, LAN 1 Gbps, Bluetooth 5.3, USB-A และ USB-C หลายพอร์ต รวมถึงแบตเตอรี่ 73 Wh ที่สามารถเปลี่ยนได้ ตัวเครื่องมาพร้อม TUXEDO OS (Ubuntu-based) หรือ Ubuntu 24.04 LTS ให้เลือก 💵 ราคาและการวางจำหน่าย เปิดให้สั่งจองแล้วในราคาเริ่มต้น 1,805 ยูโร (~2,103 USD) สำหรับรุ่น RAM 16 GB และ SSD 1 TB โดยจะเริ่มจัดส่งช่วงปลายเดือนธันวาคม 2025 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ สเปกเครื่อง ➡️ Intel Core i9-14900HX, 24 คอร์ 32 เธรด ➡️ NVIDIA RTX 5070 Ti, RAM สูงสุด 96 GB, SSD สูงสุด 8 TB ✅ หน้าจอและการใช้งาน ➡️ 17.3 นิ้ว QHD, 240 Hz, 100% DCI-P3/sRGB ➡️ คีย์บอร์ดไฟ RGB, ทัชแพดใหญ่ ✅ การเชื่อมต่อ ➡️ Wi-Fi 6E/7, LAN 1 Gbps, Bluetooth 5.3 ➡️ USB-A และ USB-C ครบครัน ✅ ระบบและราคา ➡️ มาพร้อม TUXEDO OS หรือ Ubuntu 24.04 LTS ➡️ ราคาเริ่มต้น 1,805 ยูโร (~2,103 USD) ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ ราคาสูงเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กทั่วไป ⛔ น้ำหนักและขนาดอาจไม่เหมาะกับการพกพาบ่อย ๆ https://9to5linux.com/tuxedo-gemini-17-gen4-linux-laptop-nvidia-rtx-5070-ti-intel-core-i9-14900hx
    9TO5LINUX.COM
    TUXEDO Gemini 17 Gen4 Linux Laptop Launches with NVIDIA RTX 5070 Ti GPU - 9to5Linux
    TUXEDO Gemini 17 Gen4 Linux laptop launches with Intel Core i9-14900HX, NVIDIA GeForce RTX 5070 Ti, up to 96 GB RAM, and up to 8TB storage.
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • Jolla Phone รุ่นใหม่ เปิดพรีออเดอร์แล้ว

    Jolla Phone รุ่นใหม่มาพร้อม Mediatek 5G SoC, RAM 12 GB, หน่วยความจำ 256 GB (ขยายได้ถึง 2 TB), หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.36 นิ้ว FullHD, และแบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนได้ 5,500 mAh ตัวเครื่องรองรับ 4G/5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.4, NFC และกล้องหลัก 50 MP + Ultrawide 13 MP พร้อมกล้องหน้าเลนส์กว้าง

    ฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัว
    โทรศัพท์นี้มี Privacy Switch แบบกายภาพ ที่ผู้ใช้สามารถปิดไมโครโฟน, Bluetooth, หรือ Android apps ได้ตามต้องการ Sailfish OS ที่ติดตั้งมาเป็นระบบ Linux ทางเลือกจากยุโรป เน้นความปลอดภัย ไม่มีการติดตามหรือส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์

    การขับเคลื่อนโดยชุมชน
    สเปกและฟีเจอร์หลายอย่างถูกโหวตโดยชุมชนผู้ใช้ Sailfish OS ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา Jolla ย้ำว่าโทรศัพท์นี้เป็น “Do It Together (DIT)” phone ที่ออกแบบร่วมกันโดยผู้ใช้ ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ถูกกำหนดโดยบริษัทใหญ่

    ราคาและการวางจำหน่าย
    เปิดพรีออเดอร์แล้วในราคา 99 ยูโร (มัดจำ) โดยจะผลิตก็ต่อเมื่อมีอย่างน้อย 2,000 เครื่องถูกสั่งภายในวันที่ 4 มกราคม 2026 ราคาจริงจะอยู่ที่ 499 ยูโร (รวม VAT) และจะเริ่มขายในยุโรป, สหราชอาณาจักร, สวิตเซอร์แลนด์ และนอร์เวย์

    สรุปสาระสำคัญ
    สเปกเครื่อง
    Mediatek 5G SoC, RAM 12 GB, SSD สูงสุด 2 TB
    กล้องหลัก 50 MP + Ultrawide 13 MP, แบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนได้

    ฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัว
    Privacy Switch ปิดไมโครโฟน, Bluetooth, Android apps
    Sailfish OS ไม่มีการติดตามหรือส่งข้อมูลกลับ

    การขับเคลื่อนโดยชุมชน
    สเปกและฟีเจอร์โหวตโดยผู้ใช้
    แนวคิด “Do It Together” phone

    ราคาและการวางจำหน่าย
    มัดจำ 99 ยูโร, ราคาจริง 499 ยูโร
    จำเป็นต้องมีพรีออเดอร์ขั้นต่ำ 2,000 เครื่อง

    คำเตือนสำหรับผู้สนใจ
    หากไม่ถึงจำนวนขั้นต่ำ โทรศัพท์อาจไม่ได้ผลิตจริง
    การวางจำหน่ายจำกัดเฉพาะตลาดยุโรปและบางประเทศเท่านั้น

    https://9to5linux.com/new-jolla-phone-now-available-for-pre-order-as-an-independent-linux-phone
    📰 Jolla Phone รุ่นใหม่ เปิดพรีออเดอร์แล้ว Jolla Phone รุ่นใหม่มาพร้อม Mediatek 5G SoC, RAM 12 GB, หน่วยความจำ 256 GB (ขยายได้ถึง 2 TB), หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.36 นิ้ว FullHD, และแบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนได้ 5,500 mAh ตัวเครื่องรองรับ 4G/5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.4, NFC และกล้องหลัก 50 MP + Ultrawide 13 MP พร้อมกล้องหน้าเลนส์กว้าง 🔒 ฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัว โทรศัพท์นี้มี Privacy Switch แบบกายภาพ ที่ผู้ใช้สามารถปิดไมโครโฟน, Bluetooth, หรือ Android apps ได้ตามต้องการ Sailfish OS ที่ติดตั้งมาเป็นระบบ Linux ทางเลือกจากยุโรป เน้นความปลอดภัย ไม่มีการติดตามหรือส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ 🌐 การขับเคลื่อนโดยชุมชน สเปกและฟีเจอร์หลายอย่างถูกโหวตโดยชุมชนผู้ใช้ Sailfish OS ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา Jolla ย้ำว่าโทรศัพท์นี้เป็น “Do It Together (DIT)” phone ที่ออกแบบร่วมกันโดยผู้ใช้ ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ถูกกำหนดโดยบริษัทใหญ่ 💵 ราคาและการวางจำหน่าย เปิดพรีออเดอร์แล้วในราคา 99 ยูโร (มัดจำ) โดยจะผลิตก็ต่อเมื่อมีอย่างน้อย 2,000 เครื่องถูกสั่งภายในวันที่ 4 มกราคม 2026 ราคาจริงจะอยู่ที่ 499 ยูโร (รวม VAT) และจะเริ่มขายในยุโรป, สหราชอาณาจักร, สวิตเซอร์แลนด์ และนอร์เวย์ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ สเปกเครื่อง ➡️ Mediatek 5G SoC, RAM 12 GB, SSD สูงสุด 2 TB ➡️ กล้องหลัก 50 MP + Ultrawide 13 MP, แบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนได้ ✅ ฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัว ➡️ Privacy Switch ปิดไมโครโฟน, Bluetooth, Android apps ➡️ Sailfish OS ไม่มีการติดตามหรือส่งข้อมูลกลับ ✅ การขับเคลื่อนโดยชุมชน ➡️ สเปกและฟีเจอร์โหวตโดยผู้ใช้ ➡️ แนวคิด “Do It Together” phone ✅ ราคาและการวางจำหน่าย ➡️ มัดจำ 99 ยูโร, ราคาจริง 499 ยูโร ➡️ จำเป็นต้องมีพรีออเดอร์ขั้นต่ำ 2,000 เครื่อง ‼️ คำเตือนสำหรับผู้สนใจ ⛔ หากไม่ถึงจำนวนขั้นต่ำ โทรศัพท์อาจไม่ได้ผลิตจริง ⛔ การวางจำหน่ายจำกัดเฉพาะตลาดยุโรปและบางประเทศเท่านั้น https://9to5linux.com/new-jolla-phone-now-available-for-pre-order-as-an-independent-linux-phone
    9TO5LINUX.COM
    New Jolla Phone Now Available for Pre-Order as an Independent Linux Phone - 9to5Linux
    Jolla kicked off a campaign for a new Jolla Phone as the independent European Do It Together Linux phone, shaped by the people who use it.
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.150 : มอง “มหาอุทกภัยหาดใหญ่” ย้อนบทเรียน “น้ำท่วมใหญ่ญี่ปุ่น”
    .
    ประเทศนึงที่ต้องเผชิญกับเหตุภัยพิบัติมากที่สุดก็คือ ประเทศญี่ปุ่น ที่ต้องประสบพบเจอทั้งแผ่นดินไหว คลื่นสึนามิ ภูเขาไฟปะทุ รวมถึงพายุไต้ฝุ่น น้ำท่วม ดินถล่ม เนื่องจากสภาพภูมิประเทศเป็นเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก แม้ญี่ปุ่นจะมีมาตรการ และการเตรียมพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติที่ดีเยี่ยม ลดความสูญเสียได้อย่างมาก
    .
    แต่ว่าก็มีหลายครั้งที่ ญี่ปุ่นรับมือไม่ไหว-เอาไม่อยู่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น สนามบินนานาชาติคันไซ ที่จังหวัดโอซาก้า ก็เคยถูกน้ำท่วมจนต้องปิดสนามบินนานกว่า 2 สัปดาห์ หรือ เมื่อพายุ “ฮากีบิส” พัดถล่มญี่ปุ่นในปี 2562 ทำให้รถไฟความเร็วสูงชินกันเซ็น 10 ขบวนถูกน้ำท่วมจนเสียหายทั้งหมดเป็นต้นครับ ... วันนี้ เราจะเล่าถึงประสบการณ์ของประเทศญี่ปุ่น ในการรับมือภัยพิบัติ โดยเฉพาะในอุทกภัย-น้ำท่วม ว่าทั้งภาครัฐและประชาชนทำอย่างไรถึงจะเอาชีวิตรอด ปลอดภัย และลดความสูญเสียได้
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=E86YSjfcXhw
    .
    #บูรพาไม่แพ้ #ภัยพิบัติ #น้ำท่วมหาดใหญ่ #น้ำท่วมญี่ปุ่น
    บูรพาไม่แพ้ Ep.150 : มอง “มหาอุทกภัยหาดใหญ่” ย้อนบทเรียน “น้ำท่วมใหญ่ญี่ปุ่น” . ประเทศนึงที่ต้องเผชิญกับเหตุภัยพิบัติมากที่สุดก็คือ ประเทศญี่ปุ่น ที่ต้องประสบพบเจอทั้งแผ่นดินไหว คลื่นสึนามิ ภูเขาไฟปะทุ รวมถึงพายุไต้ฝุ่น น้ำท่วม ดินถล่ม เนื่องจากสภาพภูมิประเทศเป็นเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก แม้ญี่ปุ่นจะมีมาตรการ และการเตรียมพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติที่ดีเยี่ยม ลดความสูญเสียได้อย่างมาก . แต่ว่าก็มีหลายครั้งที่ ญี่ปุ่นรับมือไม่ไหว-เอาไม่อยู่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น สนามบินนานาชาติคันไซ ที่จังหวัดโอซาก้า ก็เคยถูกน้ำท่วมจนต้องปิดสนามบินนานกว่า 2 สัปดาห์ หรือ เมื่อพายุ “ฮากีบิส” พัดถล่มญี่ปุ่นในปี 2562 ทำให้รถไฟความเร็วสูงชินกันเซ็น 10 ขบวนถูกน้ำท่วมจนเสียหายทั้งหมดเป็นต้นครับ ... วันนี้ เราจะเล่าถึงประสบการณ์ของประเทศญี่ปุ่น ในการรับมือภัยพิบัติ โดยเฉพาะในอุทกภัย-น้ำท่วม ว่าทั้งภาครัฐและประชาชนทำอย่างไรถึงจะเอาชีวิตรอด ปลอดภัย และลดความสูญเสียได้ . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=E86YSjfcXhw . #บูรพาไม่แพ้ #ภัยพิบัติ #น้ำท่วมหาดใหญ่ #น้ำท่วมญี่ปุ่น
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • อัปเดตระบบ Android ธันวาคม 2025

    Google ปล่อย Android System Update เดือนธันวาคม 2025 แล้ว โดยเน้นปรับปรุงเสถียรภาพ เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Google Play Store และแก้ไขบั๊ก พร้อมคำแนะนำวิธีอัปเดตสำหรับผู้ใช้ Samsung และ Pixel

    Google ระบุว่าแพตช์ล่าสุดได้อัปเดต system management services เพื่อปรับปรุง Device Performance และ Stability ทำให้เครื่องทำงานได้ลื่นไหลขึ้น ลดปัญหาการค้างหรือการทำงานผิดพลาดที่ผู้ใช้บางรายเคยเจอ

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Google Play Store
    มีการเพิ่ม คำเตือนสำหรับแอปที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ Play Protect เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ระวังแอปที่อาจไม่ปลอดภัย อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่ให้ผู้ใช้สามารถ กลับไปดู/อ่าน/ฟังคอนเทนต์จากแอปที่ติดตั้งไว้ได้โดยตรงจาก Play Store ถือเป็นการเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน

    การกระจายฟีเจอร์แบบค่อยเป็นค่อยไป
    Google ย้ำว่าแม้ฟีเจอร์ใหม่จะปรากฏใน changelog แต่ ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ใช้ทันที เพราะบางฟีเจอร์ต้องใช้เวลาสักระยะในการปล่อย เช่น การออกแบบใหม่ของ QR code scanner ที่ถูกยกเลิกไปก่อนหน้านี้ แต่กลับมาให้ใช้งานอีกครั้งในบางอุปกรณ์

    วิธีอัปเดตระบบ
    ขั้นตอนการอัปเดตแตกต่างกันไปตามอุปกรณ์ เช่น บน Samsung
    Galaxy S24 ผู้ใช้ต้องเข้าไปที่
    Settings → Google → All Services → Privacy & Security → System Services แล้วเลือกอัปเดต

    ส่วนบน Google Pixel 10 Pro Fold จะต้องเข้าไปที่ Settings → Google Services → All Services → Privacy & Security → System Services
    การอัปเดตใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีและไม่ต้องรีสตาร์ทเครื่อง

    สรุปสาระสำคัญ
    การปรับปรุงระบบ
    เพิ่มเสถียรภาพและประสิทธิภาพของอุปกรณ์
    ลดปัญหาการค้างและบั๊ก

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Play Store
    คำเตือนสำหรับแอปที่ไม่ผ่าน Play Protect
    ฟีเจอร์ resume content จากแอปที่ติดตั้ง

    การกระจายฟีเจอร์
    ฟีเจอร์ใหม่อาจไม่พร้อมใช้งานทันที
    ตัวอย่างเช่น QR code scanner redesign

    วิธีอัปเดต
    Samsung Galaxy S24: Settings → Google → All Services → Privacy & Security → System Services
    Pixel 10 Pro Fold: Settings → Google Services → All Services → Privacy & Security → System Services

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    ฟีเจอร์ใหม่บางอย่างอาจยังไม่ปรากฏในอุปกรณ์ของคุณ
    ควรตรวจสอบการอัปเดตด้วยตนเองเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด

    https://www.slashgear.com/2043607/google-system-updates-android-december-2025/
    📰 อัปเดตระบบ Android ธันวาคม 2025 Google ปล่อย Android System Update เดือนธันวาคม 2025 แล้ว โดยเน้นปรับปรุงเสถียรภาพ เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Google Play Store และแก้ไขบั๊ก พร้อมคำแนะนำวิธีอัปเดตสำหรับผู้ใช้ Samsung และ Pixel Google ระบุว่าแพตช์ล่าสุดได้อัปเดต system management services เพื่อปรับปรุง Device Performance และ Stability ทำให้เครื่องทำงานได้ลื่นไหลขึ้น ลดปัญหาการค้างหรือการทำงานผิดพลาดที่ผู้ใช้บางรายเคยเจอ 🛡️ ฟีเจอร์ใหม่ใน Google Play Store มีการเพิ่ม คำเตือนสำหรับแอปที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ Play Protect เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ระวังแอปที่อาจไม่ปลอดภัย อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่ให้ผู้ใช้สามารถ กลับไปดู/อ่าน/ฟังคอนเทนต์จากแอปที่ติดตั้งไว้ได้โดยตรงจาก Play Store ถือเป็นการเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน 📲 การกระจายฟีเจอร์แบบค่อยเป็นค่อยไป Google ย้ำว่าแม้ฟีเจอร์ใหม่จะปรากฏใน changelog แต่ ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ใช้ทันที เพราะบางฟีเจอร์ต้องใช้เวลาสักระยะในการปล่อย เช่น การออกแบบใหม่ของ QR code scanner ที่ถูกยกเลิกไปก่อนหน้านี้ แต่กลับมาให้ใช้งานอีกครั้งในบางอุปกรณ์ 🔧 วิธีอัปเดตระบบ ขั้นตอนการอัปเดตแตกต่างกันไปตามอุปกรณ์ เช่น บน Samsung Galaxy S24 ผู้ใช้ต้องเข้าไปที่ Settings → Google → All Services → Privacy & Security → System Services แล้วเลือกอัปเดต ส่วนบน Google Pixel 10 Pro Fold จะต้องเข้าไปที่ Settings → Google Services → All Services → Privacy & Security → System Services การอัปเดตใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีและไม่ต้องรีสตาร์ทเครื่อง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การปรับปรุงระบบ ➡️ เพิ่มเสถียรภาพและประสิทธิภาพของอุปกรณ์ ➡️ ลดปัญหาการค้างและบั๊ก ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Play Store ➡️ คำเตือนสำหรับแอปที่ไม่ผ่าน Play Protect ➡️ ฟีเจอร์ resume content จากแอปที่ติดตั้ง ✅ การกระจายฟีเจอร์ ➡️ ฟีเจอร์ใหม่อาจไม่พร้อมใช้งานทันที ➡️ ตัวอย่างเช่น QR code scanner redesign ✅ วิธีอัปเดต ➡️ Samsung Galaxy S24: Settings → Google → All Services → Privacy & Security → System Services ➡️ Pixel 10 Pro Fold: Settings → Google Services → All Services → Privacy & Security → System Services ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ ฟีเจอร์ใหม่บางอย่างอาจยังไม่ปรากฏในอุปกรณ์ของคุณ ⛔ ควรตรวจสอบการอัปเดตด้วยตนเองเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด https://www.slashgear.com/2043607/google-system-updates-android-december-2025/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Check Your Android Device: Google's December 2025 System Update Is Live - SlashGear
    If you have an Android device, a system update might be waiting for you. Here's what the update includes and how you can download it.
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • หูฟังไร้สาย – เทคโนโลยีเล็ก ๆ ที่ช่วยชีวิตผู้มี Autism

    บทความจาก SlashGear เล่าเรื่องราวของผู้เขียนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Autism ระดับ 1 ร่วมกับ ADHD และรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบต้องถูกตีความใหม่ แต่สิ่งที่ช่วยให้เขากลับมามีสมดุลในชีวิตคือ หูฟังไร้สาย (True Wireless Earbuds) ที่มีฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนและการปรับแต่งเสียงเพื่อช่วยให้การสื่อสารและการใช้ชีวิตง่ายขึ้น

    ผู้เขียนเล่าว่าหลังจากผ่านการทดสอบทางจิตวิทยา 6 ชั่วโมง ผลออกมาว่าเป็น Autism ระดับ 1 และ ADHD ทำให้ต้องตีความชีวิตใหม่ทั้งหมด สิ่งที่เคยเป็นปัญหา เช่น ความไวต่อเสียงและการสื่อสารในที่แออัด กลายเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ในบริบทของโรค

    ปัญหาการประมวลผลเสียง
    สมองของคนทั่วไปสามารถกรองเสียงรบกวนออก แต่สมองของผู้มี Autism มักจะให้ความสำคัญกับทุกเสียงเท่า ๆ กัน ทำให้การอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตหรือสถานที่แออัดเหมือนอยู่ในสนามรบ หูฟังที่มี Active Noise Cancelling (ANC) จึงช่วยลดภาวะ “fight or flight” ที่เกิดขึ้นจากเสียงรบกวนได้จริง

    ฟีเจอร์ช่วยเหลือการสื่อสาร
    หูฟังรุ่นใหม่ เช่น Samsung Galaxy Buds3 Pro หรือ AirPods Pro มีฟีเจอร์ “Boost voices in front of you” ที่ช่วยขยายเสียงพูดตรงหน้าและลดเสียงรอบข้าง ทำให้ผู้เขียนสามารถสื่อสารกับเภสัชกรได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องอ่านปาก ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตประจำวัน

    เทคโนโลยีเพื่อการเข้าถึง
    บทความชี้ว่าแม้บริษัทใหญ่เช่น Apple และ Samsung อาจไม่ได้กำไรโดยตรงจากการเพิ่มฟีเจอร์ด้านการเข้าถึง แต่การพัฒนาเหล่านี้กลับช่วยผู้มีความบกพร่องทางการได้ยินและ Autism ได้มาก เป็นตัวอย่างของเทคโนโลยีที่ไม่เพียงตอบโจทย์ตลาดทั่วไป แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้ที่มีความต้องการพิเศษ

    สรุปสาระสำคัญ
    การวินิจฉัย Autism และ ADHD
    ทำให้ผู้เขียนต้องตีความชีวิตใหม่
    ความไวต่อเสียงเป็นปัญหาหลัก

    ปัญหาการประมวลผลเสียง
    สมองไม่กรองเสียงรบกวน
    สถานที่แออัดเหมือนสนามรบ

    ฟีเจอร์หูฟังช่วยชีวิต
    Active Noise Cancelling ลดภาวะ fight or flight
    Boost voices in front of you ช่วยสื่อสารชัดเจน

    เทคโนโลยีเพื่อการเข้าถึง
    Apple และ Samsung เพิ่มฟีเจอร์แม้ไม่มีกำไรสูง
    ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้มีความต้องการพิเศษ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    การพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไปอาจทำให้ละเลยการพัฒนาทักษะอื่น
    ฟีเจอร์บางอย่างยังไม่รองรับทุกอุปกรณ์และอาจมีข้อจำกัด

    https://www.slashgear.com/2043765/autism-diagnosis-upended-sense-self-this-gadget-help-reclaim-it/
    📰 หูฟังไร้สาย – เทคโนโลยีเล็ก ๆ ที่ช่วยชีวิตผู้มี Autism บทความจาก SlashGear เล่าเรื่องราวของผู้เขียนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Autism ระดับ 1 ร่วมกับ ADHD และรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบต้องถูกตีความใหม่ แต่สิ่งที่ช่วยให้เขากลับมามีสมดุลในชีวิตคือ หูฟังไร้สาย (True Wireless Earbuds) ที่มีฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนและการปรับแต่งเสียงเพื่อช่วยให้การสื่อสารและการใช้ชีวิตง่ายขึ้น ผู้เขียนเล่าว่าหลังจากผ่านการทดสอบทางจิตวิทยา 6 ชั่วโมง ผลออกมาว่าเป็น Autism ระดับ 1 และ ADHD ทำให้ต้องตีความชีวิตใหม่ทั้งหมด สิ่งที่เคยเป็นปัญหา เช่น ความไวต่อเสียงและการสื่อสารในที่แออัด กลายเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ในบริบทของโรค 🔊 ปัญหาการประมวลผลเสียง สมองของคนทั่วไปสามารถกรองเสียงรบกวนออก แต่สมองของผู้มี Autism มักจะให้ความสำคัญกับทุกเสียงเท่า ๆ กัน ทำให้การอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตหรือสถานที่แออัดเหมือนอยู่ในสนามรบ หูฟังที่มี Active Noise Cancelling (ANC) จึงช่วยลดภาวะ “fight or flight” ที่เกิดขึ้นจากเสียงรบกวนได้จริง 🛠️ ฟีเจอร์ช่วยเหลือการสื่อสาร หูฟังรุ่นใหม่ เช่น Samsung Galaxy Buds3 Pro หรือ AirPods Pro มีฟีเจอร์ “Boost voices in front of you” ที่ช่วยขยายเสียงพูดตรงหน้าและลดเสียงรอบข้าง ทำให้ผู้เขียนสามารถสื่อสารกับเภสัชกรได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องอ่านปาก ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตประจำวัน 🌐 เทคโนโลยีเพื่อการเข้าถึง บทความชี้ว่าแม้บริษัทใหญ่เช่น Apple และ Samsung อาจไม่ได้กำไรโดยตรงจากการเพิ่มฟีเจอร์ด้านการเข้าถึง แต่การพัฒนาเหล่านี้กลับช่วยผู้มีความบกพร่องทางการได้ยินและ Autism ได้มาก เป็นตัวอย่างของเทคโนโลยีที่ไม่เพียงตอบโจทย์ตลาดทั่วไป แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้ที่มีความต้องการพิเศษ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การวินิจฉัย Autism และ ADHD ➡️ ทำให้ผู้เขียนต้องตีความชีวิตใหม่ ➡️ ความไวต่อเสียงเป็นปัญหาหลัก ✅ ปัญหาการประมวลผลเสียง ➡️ สมองไม่กรองเสียงรบกวน ➡️ สถานที่แออัดเหมือนสนามรบ ✅ ฟีเจอร์หูฟังช่วยชีวิต ➡️ Active Noise Cancelling ลดภาวะ fight or flight ➡️ Boost voices in front of you ช่วยสื่อสารชัดเจน ✅ เทคโนโลยีเพื่อการเข้าถึง ➡️ Apple และ Samsung เพิ่มฟีเจอร์แม้ไม่มีกำไรสูง ➡️ ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้มีความต้องการพิเศษ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ การพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไปอาจทำให้ละเลยการพัฒนาทักษะอื่น ⛔ ฟีเจอร์บางอย่างยังไม่รองรับทุกอุปกรณ์และอาจมีข้อจำกัด https://www.slashgear.com/2043765/autism-diagnosis-upended-sense-self-this-gadget-help-reclaim-it/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    My Autism Diagnosis Upended My Sense Of Self, But One Gadget Is Helping Me Reclaim It - SlashGear
    True wireless earbuds can be a great help for people with autism, thanks to their active noice cancelling and accessibility features.
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • PromptPwnd – ช่องโหว่ AI ที่ทำให้ข้อมูลรั่วไหล

    ช่องโหว่ใหม่ชื่อ PromptPwnd ถูกค้นพบในระบบ CI/CD ที่ใช้ AI เช่น GitHub Actions และ GitLab โดยนักวิจัยจาก Aikido Security พบว่าแฮกเกอร์สามารถใช้เทคนิค prompt injection เพื่อขโมยข้อมูลสำคัญอย่าง security keys และปรับเปลี่ยน workflow ได้

    PromptPwnd เกิดขึ้นเมื่อ AI agent ที่ทำงานในระบบอัตโนมัติ (เช่น Gemini CLI, Claude Code Actions, OpenAI Codex Actions) ถูกป้อนข้อความที่มีคำสั่งแฝงอยู่ใน bug report หรือ input อื่น ๆ ทำให้ AI เข้าใจผิดและรันคำสั่งที่มีสิทธิ์สูงโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึง GITHUB_TOKEN หรือข้อมูลลับอื่น ๆ ได้

    บริษัทใหญ่ได้รับผลกระทบ
    Aikido Security ยืนยันว่ามีอย่างน้อย 5 บริษัท Fortune 500 ที่ถูกเปิดเผยต่อความเสี่ยงนี้ และในกรณีของ Google ช่องโหว่ถูกพบใน Gemini CLI repository ซึ่งถูกแก้ไขภายใน 4 วันหลังจากได้รับรายงาน ถือเป็นครั้งแรกที่มีการยืนยันว่า prompt injection สามารถทำลายระบบซอฟต์แวร์ที่สำคัญได้จริง

    การแก้ไขและแนวทางป้องกัน
    Aikido Security ได้เปิดซอร์ส Opengrep rules เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถตรวจสอบโค้ดของตัวเองว่ามีช่องโหว่หรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ จำกัดสิทธิ์ของ AI agents และหลีกเลี่ยงการใส่ข้อความจากผู้ใช้โดยตรงเข้าไปใน prompt โดยไม่กรอง

    ผลกระทบต่อวงการ AI Automation
    เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้ AI จะช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงาน แต่ก็สร้างความเสี่ยงใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มงวด ระบบอัตโนมัติที่ใช้ AI อาจกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ข้อมูลสำคัญรั่วไหลได้

    สรุปสาระสำคัญ
    ช่องโหว่ PromptPwnd
    เกิดจาก prompt injection ในระบบ CI/CD
    ทำให้ AI agent รันคำสั่งที่มีสิทธิ์สูงโดยไม่ได้ตั้งใจ

    บริษัทที่ได้รับผลกระทบ
    อย่างน้อย 5 บริษัท Fortune 500
    Google Gemini CLI repository ถูกแก้ไขภายใน 4 วัน

    การแก้ไขและป้องกัน
    ใช้ Opengrep rules ตรวจสอบโค้ด
    จำกัดสิทธิ์ AI agents และกรอง input

    ผลกระทบต่อวงการ AI Automation
    แสดงให้เห็นความเสี่ยงใหม่จากการใช้ AI
    ระบบอัตโนมัติอาจกลายเป็นจุดอ่อนขององค์กร

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้และองค์กร
    การใช้ AI โดยไม่กรอง input อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหล
    การปิด safety rules ในระบบอัตโนมัติยิ่งเพิ่มความเสี่ยง

    https://hackread.com/promptpwnd-vulnerabilit-ai-systems-data-theft/
    📰 PromptPwnd – ช่องโหว่ AI ที่ทำให้ข้อมูลรั่วไหล ช่องโหว่ใหม่ชื่อ PromptPwnd ถูกค้นพบในระบบ CI/CD ที่ใช้ AI เช่น GitHub Actions และ GitLab โดยนักวิจัยจาก Aikido Security พบว่าแฮกเกอร์สามารถใช้เทคนิค prompt injection เพื่อขโมยข้อมูลสำคัญอย่าง security keys และปรับเปลี่ยน workflow ได้ PromptPwnd เกิดขึ้นเมื่อ AI agent ที่ทำงานในระบบอัตโนมัติ (เช่น Gemini CLI, Claude Code Actions, OpenAI Codex Actions) ถูกป้อนข้อความที่มีคำสั่งแฝงอยู่ใน bug report หรือ input อื่น ๆ ทำให้ AI เข้าใจผิดและรันคำสั่งที่มีสิทธิ์สูงโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึง GITHUB_TOKEN หรือข้อมูลลับอื่น ๆ ได้ 🏢 บริษัทใหญ่ได้รับผลกระทบ Aikido Security ยืนยันว่ามีอย่างน้อย 5 บริษัท Fortune 500 ที่ถูกเปิดเผยต่อความเสี่ยงนี้ และในกรณีของ Google ช่องโหว่ถูกพบใน Gemini CLI repository ซึ่งถูกแก้ไขภายใน 4 วันหลังจากได้รับรายงาน ถือเป็นครั้งแรกที่มีการยืนยันว่า prompt injection สามารถทำลายระบบซอฟต์แวร์ที่สำคัญได้จริง 🛠️ การแก้ไขและแนวทางป้องกัน Aikido Security ได้เปิดซอร์ส Opengrep rules เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถตรวจสอบโค้ดของตัวเองว่ามีช่องโหว่หรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ จำกัดสิทธิ์ของ AI agents และหลีกเลี่ยงการใส่ข้อความจากผู้ใช้โดยตรงเข้าไปใน prompt โดยไม่กรอง 🌐 ผลกระทบต่อวงการ AI Automation เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้ AI จะช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงาน แต่ก็สร้างความเสี่ยงใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มงวด ระบบอัตโนมัติที่ใช้ AI อาจกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ข้อมูลสำคัญรั่วไหลได้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ช่องโหว่ PromptPwnd ➡️ เกิดจาก prompt injection ในระบบ CI/CD ➡️ ทำให้ AI agent รันคำสั่งที่มีสิทธิ์สูงโดยไม่ได้ตั้งใจ ✅ บริษัทที่ได้รับผลกระทบ ➡️ อย่างน้อย 5 บริษัท Fortune 500 ➡️ Google Gemini CLI repository ถูกแก้ไขภายใน 4 วัน ✅ การแก้ไขและป้องกัน ➡️ ใช้ Opengrep rules ตรวจสอบโค้ด ➡️ จำกัดสิทธิ์ AI agents และกรอง input ✅ ผลกระทบต่อวงการ AI Automation ➡️ แสดงให้เห็นความเสี่ยงใหม่จากการใช้ AI ➡️ ระบบอัตโนมัติอาจกลายเป็นจุดอ่อนขององค์กร ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้และองค์กร ⛔ การใช้ AI โดยไม่กรอง input อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหล ⛔ การปิด safety rules ในระบบอัตโนมัติยิ่งเพิ่มความเสี่ยง https://hackread.com/promptpwnd-vulnerabilit-ai-systems-data-theft/
    HACKREAD.COM
    PromptPwnd Vulnerability Exposes AI driven build systems to Data Theft
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • Criminal IP Webinar – Beyond CVEs สู่การจัดการ Attack Surface

    Criminal IP เตรียมจัด Webinar วันที่ 16 ธันวาคม 2025 เวลา 11:00 AM PT โดยเน้นการเปลี่ยนมุมมองจากการพึ่งพา CVEs ไปสู่การจัดการช่องโหว่ที่เกิดจาก exposed digital assets ผ่านแพลตฟอร์ม Attack Surface Management (ASM) ที่ใช้ AI และ Threat Intelligence

    การโจมตีสมัยใหม่จำนวนมากไม่ได้เริ่มจากช่องโหว่ซอฟต์แวร์ที่มี CVE แต่เกิดจาก ทรัพย์สินดิจิทัลที่ถูกเปิดเผยโดยไม่ตั้งใจ เช่น cloud instances ที่ถูกลืม, API ที่เปิดสาธารณะ, storage ที่ตั้งค่าผิด หรือบริการที่เข้าถึงได้โดยไม่ป้องกัน สิ่งเหล่านี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีจริงในองค์กร

    Attack Surface Management (ASM) คือคำตอบ
    Criminal IP ASM ใช้ AI และ Threat Intelligence เพื่อช่วยทีมรักษาความปลอดภัย ตรวจจับและมองเห็นความเสี่ยงก่อนที่จะเกิดเหตุ โดยสามารถระบุเส้นทางการโจมตีที่ซ่อนอยู่, ลดการเปิดเผยข้อมูล และทำให้การป้องกันเชิงรุกเป็นไปได้จริง

    เนื้อหาที่จะนำเสนอใน Webinar
    ผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้:
    ทำไมการพึ่งพา CVEs เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ
    ตัวอย่างจริงของการเปิดเผย cloud และบริการที่ถูกโจมตี
    วิธีที่ผู้โจมตีประเมินและใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เปิดเผย
    กรณีศึกษา ASM ที่ช่วยป้องกันเหตุการณ์ร้ายแรง

    ความร่วมมือและการเข้าถึง
    Criminal IP เป็นแพลตฟอร์ม Threat Intelligence ที่ใช้งานในกว่า 150 ประเทศ และมีพันธมิตรกับ Cisco, VirusTotal และ Quad9 รวมถึงให้บริการข้อมูลผ่าน AWS, Microsoft Azure และ Snowflake เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลภัยคุกคามได้ทั่วโลก

    สรุปสาระสำคัญ
    Webinar วันที่ 16 ธันวาคม 2025
    เวลา 11:00 AM PT
    ฟรีสำหรับผู้เข้าร่วม

    ทำไม CVEs ไม่พอ
    การโจมตีเริ่มจากทรัพย์สินดิจิทัลที่ถูกเปิดเผย
    ตัวอย่างเช่น cloud, API, storage misconfig

    ASM ของ Criminal IP
    ใช้ AI และ Threat Intelligence
    ตรวจจับเส้นทางโจมตีและลดการเปิดเผย

    เนื้อหา Webinar
    กรณีศึกษา ASM
    วิธีคิดของผู้โจมตีต่อ exposed assets

    Ecosystem ของ Criminal IP
    ใช้งานในกว่า 150 ประเทศ
    พันธมิตรกับ Cisco, VirusTotal, Quad9

    คำเตือนสำหรับองค์กร
    การพึ่งพา CVEs อย่างเดียวเสี่ยงต่อการโจมตีสมัยใหม่
    หากไม่จัดการทรัพย์สินดิจิทัลที่ถูกเปิดเผย อาจเกิดเหตุร้ายแรงได้

    https://hackread.com/criminal-ip-to-host-webinar-beyond-cves-from-visibility-to-action-with-asm/
    📰 Criminal IP Webinar – Beyond CVEs สู่การจัดการ Attack Surface Criminal IP เตรียมจัด Webinar วันที่ 16 ธันวาคม 2025 เวลา 11:00 AM PT โดยเน้นการเปลี่ยนมุมมองจากการพึ่งพา CVEs ไปสู่การจัดการช่องโหว่ที่เกิดจาก exposed digital assets ผ่านแพลตฟอร์ม Attack Surface Management (ASM) ที่ใช้ AI และ Threat Intelligence การโจมตีสมัยใหม่จำนวนมากไม่ได้เริ่มจากช่องโหว่ซอฟต์แวร์ที่มี CVE แต่เกิดจาก ทรัพย์สินดิจิทัลที่ถูกเปิดเผยโดยไม่ตั้งใจ เช่น cloud instances ที่ถูกลืม, API ที่เปิดสาธารณะ, storage ที่ตั้งค่าผิด หรือบริการที่เข้าถึงได้โดยไม่ป้องกัน สิ่งเหล่านี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีจริงในองค์กร 🧠 Attack Surface Management (ASM) คือคำตอบ Criminal IP ASM ใช้ AI และ Threat Intelligence เพื่อช่วยทีมรักษาความปลอดภัย ตรวจจับและมองเห็นความเสี่ยงก่อนที่จะเกิดเหตุ โดยสามารถระบุเส้นทางการโจมตีที่ซ่อนอยู่, ลดการเปิดเผยข้อมูล และทำให้การป้องกันเชิงรุกเป็นไปได้จริง 📚 เนื้อหาที่จะนำเสนอใน Webinar ผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้: 💠 ทำไมการพึ่งพา CVEs เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ 💠 ตัวอย่างจริงของการเปิดเผย cloud และบริการที่ถูกโจมตี 💠 วิธีที่ผู้โจมตีประเมินและใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เปิดเผย 💠 กรณีศึกษา ASM ที่ช่วยป้องกันเหตุการณ์ร้ายแรง 🌐 ความร่วมมือและการเข้าถึง Criminal IP เป็นแพลตฟอร์ม Threat Intelligence ที่ใช้งานในกว่า 150 ประเทศ และมีพันธมิตรกับ Cisco, VirusTotal และ Quad9 รวมถึงให้บริการข้อมูลผ่าน AWS, Microsoft Azure และ Snowflake เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลภัยคุกคามได้ทั่วโลก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Webinar วันที่ 16 ธันวาคม 2025 ➡️ เวลา 11:00 AM PT ➡️ ฟรีสำหรับผู้เข้าร่วม ✅ ทำไม CVEs ไม่พอ ➡️ การโจมตีเริ่มจากทรัพย์สินดิจิทัลที่ถูกเปิดเผย ➡️ ตัวอย่างเช่น cloud, API, storage misconfig ✅ ASM ของ Criminal IP ➡️ ใช้ AI และ Threat Intelligence ➡️ ตรวจจับเส้นทางโจมตีและลดการเปิดเผย ✅ เนื้อหา Webinar ➡️ กรณีศึกษา ASM ➡️ วิธีคิดของผู้โจมตีต่อ exposed assets ✅ Ecosystem ของ Criminal IP ➡️ ใช้งานในกว่า 150 ประเทศ ➡️ พันธมิตรกับ Cisco, VirusTotal, Quad9 ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กร ⛔ การพึ่งพา CVEs อย่างเดียวเสี่ยงต่อการโจมตีสมัยใหม่ ⛔ หากไม่จัดการทรัพย์สินดิจิทัลที่ถูกเปิดเผย อาจเกิดเหตุร้ายแรงได้ https://hackread.com/criminal-ip-to-host-webinar-beyond-cves-from-visibility-to-action-with-asm/
    HACKREAD.COM
    Criminal IP to Host Webinar: Beyond CVEs – From Visibility to Action with ASM
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • ข่าว: ClayRat Android Spyware รุ่นใหม่ – ยึดเครื่องได้เต็มรูปแบบ

    นักวิจัยจาก Zimperium พบว่า ClayRat Android spyware ได้พัฒนาความสามารถใหม่จนสามารถยึดเครื่องได้เต็มรูปแบบ โดยใช้การหลอกให้ผู้ใช้เปิด Accessibility Services เพื่อขโมย PIN, บันทึกหน้าจอ และปิดระบบความปลอดภัยอย่าง Google Play Protect

    ClayRat รุ่นล่าสุดสามารถ บันทึกหน้าจอทั้งหมด, ขโมยรหัส PIN/Password/Pattern, และ ปิดการทำงานของ Google Play Protect ผ่านการสร้างหน้าจอปลอม เช่น “System Update” เพื่อหลอกผู้ใช้ให้กดอนุญาต ทำให้ผู้โจมตีสามารถควบคุมเครื่องได้เหมือนเจ้าของจริง

    วิธีการแพร่กระจาย
    มัลแวร์นี้ยังคงใช้วิธีปลอมตัวเป็นแอปยอดนิยม เช่น WhatsApp, Google Photos, TikTok, YouTube รวมถึงบริการท้องถิ่นอย่างแอปแท็กซี่และที่จอดรถในรัสเซีย นอกจากนี้ยังใช้ Dropbox เป็นช่องทางกระจายไฟล์ และมีโดเมนฟิชชิงกว่า 25 แห่งที่เลียนแบบแอปต่าง ๆ

    ความเสี่ยงต่อธุรกิจ
    เนื่องจากพนักงานจำนวนมากใช้มือถือส่วนตัวทำงาน หากเครื่องติด ClayRat ผู้โจมตีสามารถเข้าถึง อีเมลบริษัท, แอปแชท, และข้อมูลธุรกิจ ได้ทันที Zimperium พบแล้วกว่า 700 เวอร์ชันของ ClayRat ที่ถูกปล่อยออกมา แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของการโจมตี

    วิธีป้องกัน
    ผู้ใช้ควรติดตั้งแอปจาก Google Play Store เท่านั้น และตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึง โดยเฉพาะ Accessibility Services ก่อนอนุญาต หากพบพฤติกรรมผิดปกติ เช่น แอปที่ขอสิทธิ์มากเกินไป ควรลบออกทันทีเพื่อป้องกันการถูกยึดเครื่อง

    สรุปสาระสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่ของ ClayRat
    บันทึกหน้าจอและขโมย PIN/Password
    ปิด Google Play Protect ด้วยหน้าจอปลอม

    วิธีแพร่กระจาย
    ปลอมเป็นแอปยอดนิยมและบริการท้องถิ่น
    ใช้ Dropbox และโดเมนฟิชชิงกว่า 25 แห่ง

    ความเสี่ยงต่อธุรกิจ
    เข้าถึงอีเมลและข้อมูลบริษัทผ่านมือถือพนักงาน
    พบแล้วกว่า 700 เวอร์ชันของ ClayRat

    วิธีป้องกัน
    ติดตั้งแอปจาก Google Play Store เท่านั้น
    ตรวจสอบสิทธิ์ Accessibility Services อย่างรอบคอบ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    การอนุญาต Accessibility Services โดยไม่ตรวจสอบเสี่ยงต่อการถูกยึดเครื่อง
    แอปที่ปลอมตัวอาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวและธุรกิจรั่วไหล

    https://hackread.com/clayrat-android-spyware-variant-device-control/
    📰 ข่าว: ClayRat Android Spyware รุ่นใหม่ – ยึดเครื่องได้เต็มรูปแบบ นักวิจัยจาก Zimperium พบว่า ClayRat Android spyware ได้พัฒนาความสามารถใหม่จนสามารถยึดเครื่องได้เต็มรูปแบบ โดยใช้การหลอกให้ผู้ใช้เปิด Accessibility Services เพื่อขโมย PIN, บันทึกหน้าจอ และปิดระบบความปลอดภัยอย่าง Google Play Protect ClayRat รุ่นล่าสุดสามารถ บันทึกหน้าจอทั้งหมด, ขโมยรหัส PIN/Password/Pattern, และ ปิดการทำงานของ Google Play Protect ผ่านการสร้างหน้าจอปลอม เช่น “System Update” เพื่อหลอกผู้ใช้ให้กดอนุญาต ทำให้ผู้โจมตีสามารถควบคุมเครื่องได้เหมือนเจ้าของจริง 🎭 วิธีการแพร่กระจาย มัลแวร์นี้ยังคงใช้วิธีปลอมตัวเป็นแอปยอดนิยม เช่น WhatsApp, Google Photos, TikTok, YouTube รวมถึงบริการท้องถิ่นอย่างแอปแท็กซี่และที่จอดรถในรัสเซีย นอกจากนี้ยังใช้ Dropbox เป็นช่องทางกระจายไฟล์ และมีโดเมนฟิชชิงกว่า 25 แห่งที่เลียนแบบแอปต่าง ๆ 🏢 ความเสี่ยงต่อธุรกิจ เนื่องจากพนักงานจำนวนมากใช้มือถือส่วนตัวทำงาน หากเครื่องติด ClayRat ผู้โจมตีสามารถเข้าถึง อีเมลบริษัท, แอปแชท, และข้อมูลธุรกิจ ได้ทันที Zimperium พบแล้วกว่า 700 เวอร์ชันของ ClayRat ที่ถูกปล่อยออกมา แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของการโจมตี 🔒 วิธีป้องกัน ผู้ใช้ควรติดตั้งแอปจาก Google Play Store เท่านั้น และตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึง โดยเฉพาะ Accessibility Services ก่อนอนุญาต หากพบพฤติกรรมผิดปกติ เช่น แอปที่ขอสิทธิ์มากเกินไป ควรลบออกทันทีเพื่อป้องกันการถูกยึดเครื่อง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ของ ClayRat ➡️ บันทึกหน้าจอและขโมย PIN/Password ➡️ ปิด Google Play Protect ด้วยหน้าจอปลอม ✅ วิธีแพร่กระจาย ➡️ ปลอมเป็นแอปยอดนิยมและบริการท้องถิ่น ➡️ ใช้ Dropbox และโดเมนฟิชชิงกว่า 25 แห่ง ✅ ความเสี่ยงต่อธุรกิจ ➡️ เข้าถึงอีเมลและข้อมูลบริษัทผ่านมือถือพนักงาน ➡️ พบแล้วกว่า 700 เวอร์ชันของ ClayRat ✅ วิธีป้องกัน ➡️ ติดตั้งแอปจาก Google Play Store เท่านั้น ➡️ ตรวจสอบสิทธิ์ Accessibility Services อย่างรอบคอบ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ การอนุญาต Accessibility Services โดยไม่ตรวจสอบเสี่ยงต่อการถูกยึดเครื่อง ⛔ แอปที่ปลอมตัวอาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวและธุรกิจรั่วไหล https://hackread.com/clayrat-android-spyware-variant-device-control/
    HACKREAD.COM
    New Variant of ClayRat Android Spyware Seize Full Device Control
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • Filmora V15 – AI ช่วยให้คนทำคอนเทนต์คนเดียวก็โปรได้

    Wondershare เปิดตัว Filmora V15 ที่มาพร้อมฟีเจอร์ AI ใหม่ ๆ เพื่อช่วยเหลือ solo creators ให้สามารถทำงานด้านวิดีโอได้ง่ายขึ้น โดยเน้นการลดเวลาแก้ไข เพิ่มความยืดหยุ่น และทำให้การสร้างคอนเทนต์เป็นเรื่องสนุกและมืออาชีพมากขึ้น

    ผู้สร้างคอนเทนต์ที่ทำงานคนเดียวมักเจอปัญหา เวลาไม่พอ, ขาดทรัพยากร, ช่องว่างด้านทักษะ และความเหนื่อยล้า ซึ่งทำให้การผลิตวิดีโอคุณภาพสูงเป็นเรื่องยาก Filmora V15 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้โดยตรง

    ฟีเจอร์ AI ที่เพิ่มเข้ามา
    AI Extend: เพิ่มฟุตเทจต่อเนื่อง 0–8 วินาที เพื่อสร้าง transition ที่ลื่นไหล
    Smart Cutout: เลือกและแยกวัตถุหรือบุคคลออกจากฉากได้ง่าย พร้อมตัวเลือก Eraser สำหรับปรับแต่ง
    AI Object Remover: ลบวัตถุที่ไม่ต้องการออกจากภาพหรือวิดีโอได้อย่างเป็นธรรมชาติ

    การใช้งานที่ง่ายและยืดหยุ่น
    Filmora V15 ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ เปลี่ยนข้อความสั้น ๆ เป็นภาพ, เพลง หรือวิดีโอ ได้ทันที ลดขั้นตอนการแก้ไขที่ซับซ้อน และยังคงควบคุมงานสร้างสรรค์ได้เต็มที่ ทำให้ผู้ใช้สามารถโฟกัสกับไอเดียมากกว่าการแก้ไขเชิงเทคนิค

    ผลกระทบต่อวงการครีเอเตอร์
    การมาของ Filmora V15 แสดงให้เห็นว่า AI ไม่ได้มาแทนที่ครีเอเตอร์ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ คนทำงานคนเดียวสามารถสร้างผลงานระดับมืออาชีพ ได้ง่ายขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงจากการหมดไฟ (burnout) ในการสร้างคอนเทนต์ระยะยาว

    สรุปสาระสำคัญ
    ปัญหาของ solo creators
    เวลาไม่พอ, ขาดทรัพยากร, ช่องว่างทักษะ
    เสี่ยงต่อความเหนื่อยล้าและหมดไฟ

    ฟีเจอร์ AI ใหม่ใน Filmora V15
    AI Extend: เพิ่มฟุตเทจต่อเนื่อง
    Smart Cutout: แยกวัตถุ/บุคคลออกจากฉาก
    AI Object Remover: ลบวัตถุไม่ต้องการออกจากวิดีโอ

    การใช้งานที่ง่าย
    แปลงข้อความสั้นเป็นภาพ/เพลง/วิดีโอ
    ลดขั้นตอนแก้ไขซับซ้อน

    ผลกระทบต่อวงการครีเอเตอร์
    AI ช่วยให้คนเดียวก็สร้างงานมืออาชีพได้
    ลดความเสี่ยงจาก burnout

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้ทักษะการตัดต่อจริงลดลง
    ฟีเจอร์ใหม่อาจยังมีข้อจำกัดในบางสถานการณ์

    https://hackread.com/wondershare-filmora-v15-ai-solo-creators/
    📰 Filmora V15 – AI ช่วยให้คนทำคอนเทนต์คนเดียวก็โปรได้ Wondershare เปิดตัว Filmora V15 ที่มาพร้อมฟีเจอร์ AI ใหม่ ๆ เพื่อช่วยเหลือ solo creators ให้สามารถทำงานด้านวิดีโอได้ง่ายขึ้น โดยเน้นการลดเวลาแก้ไข เพิ่มความยืดหยุ่น และทำให้การสร้างคอนเทนต์เป็นเรื่องสนุกและมืออาชีพมากขึ้น ผู้สร้างคอนเทนต์ที่ทำงานคนเดียวมักเจอปัญหา เวลาไม่พอ, ขาดทรัพยากร, ช่องว่างด้านทักษะ และความเหนื่อยล้า ซึ่งทำให้การผลิตวิดีโอคุณภาพสูงเป็นเรื่องยาก Filmora V15 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้โดยตรง 🤖 ฟีเจอร์ AI ที่เพิ่มเข้ามา 💠 AI Extend: เพิ่มฟุตเทจต่อเนื่อง 0–8 วินาที เพื่อสร้าง transition ที่ลื่นไหล 💠 Smart Cutout: เลือกและแยกวัตถุหรือบุคคลออกจากฉากได้ง่าย พร้อมตัวเลือก Eraser สำหรับปรับแต่ง 💠 AI Object Remover: ลบวัตถุที่ไม่ต้องการออกจากภาพหรือวิดีโอได้อย่างเป็นธรรมชาติ 🛠️ การใช้งานที่ง่ายและยืดหยุ่น Filmora V15 ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ เปลี่ยนข้อความสั้น ๆ เป็นภาพ, เพลง หรือวิดีโอ ได้ทันที ลดขั้นตอนการแก้ไขที่ซับซ้อน และยังคงควบคุมงานสร้างสรรค์ได้เต็มที่ ทำให้ผู้ใช้สามารถโฟกัสกับไอเดียมากกว่าการแก้ไขเชิงเทคนิค 🌐 ผลกระทบต่อวงการครีเอเตอร์ การมาของ Filmora V15 แสดงให้เห็นว่า AI ไม่ได้มาแทนที่ครีเอเตอร์ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ คนทำงานคนเดียวสามารถสร้างผลงานระดับมืออาชีพ ได้ง่ายขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงจากการหมดไฟ (burnout) ในการสร้างคอนเทนต์ระยะยาว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ปัญหาของ solo creators ➡️ เวลาไม่พอ, ขาดทรัพยากร, ช่องว่างทักษะ ➡️ เสี่ยงต่อความเหนื่อยล้าและหมดไฟ ✅ ฟีเจอร์ AI ใหม่ใน Filmora V15 ➡️ AI Extend: เพิ่มฟุตเทจต่อเนื่อง ➡️ Smart Cutout: แยกวัตถุ/บุคคลออกจากฉาก ➡️ AI Object Remover: ลบวัตถุไม่ต้องการออกจากวิดีโอ ✅ การใช้งานที่ง่าย ➡️ แปลงข้อความสั้นเป็นภาพ/เพลง/วิดีโอ ➡️ ลดขั้นตอนแก้ไขซับซ้อน ✅ ผลกระทบต่อวงการครีเอเตอร์ ➡️ AI ช่วยให้คนเดียวก็สร้างงานมืออาชีพได้ ➡️ ลดความเสี่ยงจาก burnout ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้ทักษะการตัดต่อจริงลดลง ⛔ ฟีเจอร์ใหม่อาจยังมีข้อจำกัดในบางสถานการณ์ https://hackread.com/wondershare-filmora-v15-ai-solo-creators/
    HACKREAD.COM
    One-Person Production: Wondershare Filmora V15 Empowers Solo Creators With AI
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • Cloudflare ล่มทั่วโลก 5 ธันวาคม 2025

    วันที่ 5 ธันวาคม 2025 Cloudflare เกิดเหตุขัดข้องทั่วโลกกว่า 25 นาที ส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์และบริการสำคัญจำนวนมาก สาเหตุเกิดจากการปรับเปลี่ยนระบบเพื่อป้องกันช่องโหว่ร้ายแรงใน React Server Components (CVE-2025-55182) ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่สามารถถูกใช้โจมตีแบบ Remote Code Execution ได้

    Cloudflare ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตที่สำคัญ เกิดเหตุขัดข้องราว 25 นาทีในช่วงเช้าวันที่ 5 ธันวาคม 2025 ส่งผลให้เว็บไซต์และแอปพลิเคชันจำนวนมาก เช่น LinkedIn, Spotify, Canva, Coinbase, Kraken และแม้แต่ ChatGPT ไม่สามารถใช้งานได้ ผู้ใช้ทั่วโลกพบเจอข้อความ HTTP 500 Internal Server Error ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบหลังบ้านของ Cloudflare

    สาเหตุ: ช่องโหว่ React Server Components (CVE-2025-55182)
    เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากการโจมตีไซเบอร์ แต่เกิดจากการปรับเปลี่ยนระบบ Web Application Firewall (WAF) ของ Cloudflare เพื่อรับมือกับช่องโหว่ร้ายแรงใน React Server Components ที่ถูกค้นพบเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน ช่องโหว่นี้มีคะแนนความรุนแรงสูงสุด CVSS 10.0 และสามารถเปิดทางให้ผู้โจมตีรันโค้ดบนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ทำให้ Cloudflareต้องเร่งปรับระบบเพื่อป้องกันลูกค้า แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลับกระทบต่อการทำงานและทำให้ระบบล่มชั่วคราว

    ผลกระทบต่อธุรกิจและผู้ใช้งาน
    การล่มของ Cloudflare ส่งผลกระทบต่อกว่า 20% ของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตทั่วโลก โดยเฉพาะแพลตฟอร์มการเงินและคริปโต เช่น Coinbase และ Kraken ที่ไม่สามารถให้บริการได้ในช่วงเวลาสำคัญ ขณะที่ผู้ใช้งานในอินเดียรายงานว่า Zerodha และ Groww ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการลงทุนก็หยุดทำงานเช่นกัน เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาบริการโครงสร้างพื้นฐานจากผู้ให้บริการรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย

    ความเสี่ยงและคำเตือนจากช่องโหว่ React2Shell
    ช่องโหว่ CVE-2025-55182 หรือที่ถูกเรียกว่า React2Shell กำลังถูกจับตามองอย่างหนัก เนื่องจากมีรายงานว่ากลุ่มแฮกเกอร์จากจีนเริ่มพยายามใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้แล้ว แม้ React และ Next.js จะออกแพตช์แก้ไขแล้ว แต่ยังมีระบบจำนวนมากที่ไม่ได้อัปเดตทันเวลา ทำให้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีในวงกว้าง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เหตุการณ์ Cloudflare ล่มทั่วโลก (5 ธ.ค. 2025)
    กระทบกว่า 28% ของทราฟฟิก HTTP และบริการสำคัญ เช่น LinkedIn, Spotify, Coinbase

    สาเหตุจากการปรับระบบ WAF เพื่อแก้ช่องโหว่ React Server Components
    ช่องโหว่ CVE-2025-55182 มีคะแนนความรุนแรงสูงสุด CVSS 10.0

    ผลกระทบต่อธุรกิจและผู้ใช้งาน
    แพลตฟอร์มการเงินและคริปโต เช่น Coinbase, Kraken, Zerodha, Groww หยุดให้บริการชั่วคราว

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    ช่องโหว่ React2Shell เริ่มถูกแฮกเกอร์จีนใช้โจมตีแล้ว
    หากระบบยังไม่ได้อัปเดตแพตช์ล่าสุด มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตีแบบ Remote Code Execution

    https://blog.cloudflare.com/5-december-2025-outage/
    🖥️ Cloudflare ล่มทั่วโลก 5 ธันวาคม 2025 วันที่ 5 ธันวาคม 2025 Cloudflare เกิดเหตุขัดข้องทั่วโลกกว่า 25 นาที ส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์และบริการสำคัญจำนวนมาก สาเหตุเกิดจากการปรับเปลี่ยนระบบเพื่อป้องกันช่องโหว่ร้ายแรงใน React Server Components (CVE-2025-55182) ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่สามารถถูกใช้โจมตีแบบ Remote Code Execution ได้ Cloudflare ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตที่สำคัญ เกิดเหตุขัดข้องราว 25 นาทีในช่วงเช้าวันที่ 5 ธันวาคม 2025 ส่งผลให้เว็บไซต์และแอปพลิเคชันจำนวนมาก เช่น LinkedIn, Spotify, Canva, Coinbase, Kraken และแม้แต่ ChatGPT ไม่สามารถใช้งานได้ ผู้ใช้ทั่วโลกพบเจอข้อความ HTTP 500 Internal Server Error ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบหลังบ้านของ Cloudflare 🔒 สาเหตุ: ช่องโหว่ React Server Components (CVE-2025-55182) เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากการโจมตีไซเบอร์ แต่เกิดจากการปรับเปลี่ยนระบบ Web Application Firewall (WAF) ของ Cloudflare เพื่อรับมือกับช่องโหว่ร้ายแรงใน React Server Components ที่ถูกค้นพบเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน ช่องโหว่นี้มีคะแนนความรุนแรงสูงสุด CVSS 10.0 และสามารถเปิดทางให้ผู้โจมตีรันโค้ดบนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ทำให้ Cloudflareต้องเร่งปรับระบบเพื่อป้องกันลูกค้า แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลับกระทบต่อการทำงานและทำให้ระบบล่มชั่วคราว 🌐 ผลกระทบต่อธุรกิจและผู้ใช้งาน การล่มของ Cloudflare ส่งผลกระทบต่อกว่า 20% ของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตทั่วโลก โดยเฉพาะแพลตฟอร์มการเงินและคริปโต เช่น Coinbase และ Kraken ที่ไม่สามารถให้บริการได้ในช่วงเวลาสำคัญ ขณะที่ผู้ใช้งานในอินเดียรายงานว่า Zerodha และ Groww ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการลงทุนก็หยุดทำงานเช่นกัน เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาบริการโครงสร้างพื้นฐานจากผู้ให้บริการรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย ⚠️ ความเสี่ยงและคำเตือนจากช่องโหว่ React2Shell ช่องโหว่ CVE-2025-55182 หรือที่ถูกเรียกว่า React2Shell กำลังถูกจับตามองอย่างหนัก เนื่องจากมีรายงานว่ากลุ่มแฮกเกอร์จากจีนเริ่มพยายามใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้แล้ว แม้ React และ Next.js จะออกแพตช์แก้ไขแล้ว แต่ยังมีระบบจำนวนมากที่ไม่ได้อัปเดตทันเวลา ทำให้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีในวงกว้าง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เหตุการณ์ Cloudflare ล่มทั่วโลก (5 ธ.ค. 2025) ➡️ กระทบกว่า 28% ของทราฟฟิก HTTP และบริการสำคัญ เช่น LinkedIn, Spotify, Coinbase ✅ สาเหตุจากการปรับระบบ WAF เพื่อแก้ช่องโหว่ React Server Components ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-55182 มีคะแนนความรุนแรงสูงสุด CVSS 10.0 ✅ ผลกระทบต่อธุรกิจและผู้ใช้งาน ➡️ แพลตฟอร์มการเงินและคริปโต เช่น Coinbase, Kraken, Zerodha, Groww หยุดให้บริการชั่วคราว ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ ช่องโหว่ React2Shell เริ่มถูกแฮกเกอร์จีนใช้โจมตีแล้ว ⛔ หากระบบยังไม่ได้อัปเดตแพตช์ล่าสุด มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตีแบบ Remote Code Execution https://blog.cloudflare.com/5-december-2025-outage/
    BLOG.CLOUDFLARE.COM
    Cloudflare outage on December 5, 2025
    Cloudflare experienced a significant traffic outage on December 5, 2025, starting approximately at 8:47 UTC. The incident lasted approximately 25 minutes before resolution. We are sorry for the impact that it caused to our customers and the Internet. The incident was not caused by an attack and was due to configuration changes being applied to attempt to mitigate a recent industry-wide vulnerability impacting React Server Components.
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: BMW PHEV ซ่อมยากหลังอุบัติเหตุ

    บทความจาก EV Clinic วิจารณ์การออกแบบระบบแบตเตอรี่ BMW PHEV รุ่นปี 2021 ที่ซับซ้อนเกินไป ทำให้การซ่อมหลังอุบัติเหตุแทบเป็นไปไม่ได้ และก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายและขยะอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก

    BMW PHEV รุ่นปี 2021 ใช้โมดูล iBMUCP ที่รวมฟิวส์นิรภัย (pyrofuse), คอนแทคเตอร์ และระบบจัดการแบตเตอรี่ (BMS) ไว้ในตัวเดียวกัน แต่โมดูลนี้ถูกเชื่อมปิดสนิท ไม่มีช่องสำหรับการซ่อม ทำให้แม้เพียงฟิวส์ขาดก็ต้องเปลี่ยนทั้งชุดใหม่ ราคาประมาณ 1,100 ยูโร + ภาษี และยังต้องใช้เครื่องมือเฉพาะที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 25,000 ยูโร เพื่อทำการลงทะเบียนชิ้นส่วนใหม่

    ความซับซ้อนของการซ่อม
    แม้จะสามารถเปิดโมดูลได้ แต่ชิป Infineon TC375 ที่ใช้ควบคุมระบบถูกล็อกเข้ารหัส ทำให้ไม่สามารถล้างข้อมูล “Crash Flag” ได้ ส่งผลให้การซ่อมแซมแทบเป็นไปไม่ได้ นอกจากนี้ ขั้นตอนการแฟลชซอฟต์แวร์ทั้งก่อนและหลังการเปลี่ยนชิ้นส่วนยังเสี่ยงต่อการทำให้ระบบเสียหายมากกว่าเดิม หากเกิดข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจทำให้ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ทั้งชุด ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 6,000 ยูโรต่อโมดูล

    ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
    บทความชี้ว่าการออกแบบเช่นนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มค่าใช้จ่ายให้เจ้าของรถ แต่ยังสร้าง ขยะอิเล็กทรอนิกส์และคาร์บอนฟุตพริ้นท์มหาศาล เนื่องจากต้องทิ้งชิ้นส่วนที่ยังใช้งานได้ และผลิตใหม่โดยไม่จำเป็น เมื่อเทียบกับ Tesla ที่ฟิวส์มีราคาเพียง 11 ยูโร และสามารถรีเซ็ตระบบได้ง่ายกว่า BMW จึงถูกวิจารณ์ว่าเป็น “วิศวกรรมที่ทำลายสิ่งแวดล้อม” มากกว่าการช่วยลดมลพิษ

    ความเสี่ยงต่อผู้ใช้และอุตสาหกรรม
    นอกจากค่าใช้จ่ายสูงแล้ว ยังมีความเสี่ยงที่การซ่อมผิดขั้นตอนจะทำให้ระบบล็อกและลบข้อมูลทั้งหมด ส่งผลให้รถไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป ขณะที่ BMW ยังไม่เปิดการฝึกอบรมหรือคู่มือที่ชัดเจนให้กับศูนย์บริการภายนอก ทำให้ผู้ใช้และอู่ซ่อมอิสระต้องแบกรับความเสี่ยงเอง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    BMW PHEV รุ่นปี 2021 ใช้โมดูล iBMUCP ที่ไม่สามารถซ่อมได้
    ฟิวส์ขาดต้องเปลี่ยนทั้งชุด ราคาสูงกว่า 1,100 ยูโร

    ขั้นตอนการซ่อมซับซ้อนและเสี่ยงต่อความเสียหาย
    ต้องใช้เครื่องมือพิเศษมูลค่า 25,000 ยูโร และเสี่ยงทำให้แบตเตอรี่ทั้งชุดเสียหาย

    ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและค่าใช้จ่ายผู้ใช้
    การออกแบบทำให้เกิดขยะอิเล็กทรอนิกส์และคาร์บอนฟุตพริ้นท์สูง

    คำเตือนต่อเจ้าของรถและอู่ซ่อม
    หากขั้นตอนผิดพลาด อาจต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ทั้งชุด มูลค่าหลายพันยูโร
    BMW ไม่เปิดการฝึกอบรมหรือคู่มือที่ชัดเจน ทำให้การซ่อมมีความเสี่ยงสูง

    https://evclinic.eu/2025/12/04/2021-phev-bmw-ibmucp-21f37e-post-crash-recovery-when-eu-engineering-becomes-a-synonym-for-unrepairable-generating-waste/
    🚗 ข่าวใหญ่: BMW PHEV ซ่อมยากหลังอุบัติเหตุ บทความจาก EV Clinic วิจารณ์การออกแบบระบบแบตเตอรี่ BMW PHEV รุ่นปี 2021 ที่ซับซ้อนเกินไป ทำให้การซ่อมหลังอุบัติเหตุแทบเป็นไปไม่ได้ และก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายและขยะอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก BMW PHEV รุ่นปี 2021 ใช้โมดูล iBMUCP ที่รวมฟิวส์นิรภัย (pyrofuse), คอนแทคเตอร์ และระบบจัดการแบตเตอรี่ (BMS) ไว้ในตัวเดียวกัน แต่โมดูลนี้ถูกเชื่อมปิดสนิท ไม่มีช่องสำหรับการซ่อม ทำให้แม้เพียงฟิวส์ขาดก็ต้องเปลี่ยนทั้งชุดใหม่ ราคาประมาณ 1,100 ยูโร + ภาษี และยังต้องใช้เครื่องมือเฉพาะที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 25,000 ยูโร เพื่อทำการลงทะเบียนชิ้นส่วนใหม่ 🔧 ความซับซ้อนของการซ่อม แม้จะสามารถเปิดโมดูลได้ แต่ชิป Infineon TC375 ที่ใช้ควบคุมระบบถูกล็อกเข้ารหัส ทำให้ไม่สามารถล้างข้อมูล “Crash Flag” ได้ ส่งผลให้การซ่อมแซมแทบเป็นไปไม่ได้ นอกจากนี้ ขั้นตอนการแฟลชซอฟต์แวร์ทั้งก่อนและหลังการเปลี่ยนชิ้นส่วนยังเสี่ยงต่อการทำให้ระบบเสียหายมากกว่าเดิม หากเกิดข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจทำให้ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ทั้งชุด ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 6,000 ยูโรต่อโมดูล 🌍 ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม บทความชี้ว่าการออกแบบเช่นนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มค่าใช้จ่ายให้เจ้าของรถ แต่ยังสร้าง ขยะอิเล็กทรอนิกส์และคาร์บอนฟุตพริ้นท์มหาศาล เนื่องจากต้องทิ้งชิ้นส่วนที่ยังใช้งานได้ และผลิตใหม่โดยไม่จำเป็น เมื่อเทียบกับ Tesla ที่ฟิวส์มีราคาเพียง 11 ยูโร และสามารถรีเซ็ตระบบได้ง่ายกว่า BMW จึงถูกวิจารณ์ว่าเป็น “วิศวกรรมที่ทำลายสิ่งแวดล้อม” มากกว่าการช่วยลดมลพิษ ⚠️ ความเสี่ยงต่อผู้ใช้และอุตสาหกรรม นอกจากค่าใช้จ่ายสูงแล้ว ยังมีความเสี่ยงที่การซ่อมผิดขั้นตอนจะทำให้ระบบล็อกและลบข้อมูลทั้งหมด ส่งผลให้รถไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป ขณะที่ BMW ยังไม่เปิดการฝึกอบรมหรือคู่มือที่ชัดเจนให้กับศูนย์บริการภายนอก ทำให้ผู้ใช้และอู่ซ่อมอิสระต้องแบกรับความเสี่ยงเอง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ BMW PHEV รุ่นปี 2021 ใช้โมดูล iBMUCP ที่ไม่สามารถซ่อมได้ ➡️ ฟิวส์ขาดต้องเปลี่ยนทั้งชุด ราคาสูงกว่า 1,100 ยูโร ✅ ขั้นตอนการซ่อมซับซ้อนและเสี่ยงต่อความเสียหาย ➡️ ต้องใช้เครื่องมือพิเศษมูลค่า 25,000 ยูโร และเสี่ยงทำให้แบตเตอรี่ทั้งชุดเสียหาย ✅ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและค่าใช้จ่ายผู้ใช้ ➡️ การออกแบบทำให้เกิดขยะอิเล็กทรอนิกส์และคาร์บอนฟุตพริ้นท์สูง ‼️ คำเตือนต่อเจ้าของรถและอู่ซ่อม ⛔ หากขั้นตอนผิดพลาด อาจต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ทั้งชุด มูลค่าหลายพันยูโร ⛔ BMW ไม่เปิดการฝึกอบรมหรือคู่มือที่ชัดเจน ทำให้การซ่อมมีความเสี่ยงสูง https://evclinic.eu/2025/12/04/2021-phev-bmw-ibmucp-21f37e-post-crash-recovery-when-eu-engineering-becomes-a-synonym-for-unrepairable-generating-waste/
    EVCLINIC.EU
    2021 > PHEV BMW iBMUCP 21F37E Post-Crash Recovery — When EU engineering becomes a synonym for “unrepairable” + “generating waste”.
    2021 > PHEV BMW iBMUCP PHEV Post-Crash Recovery — When EU engineering becomes a synonym for “unrepairable” + "generating waste". If you own a BMW PHEV — or if you’re an insurance company — every pothole, every curb impact, small or large incideng and even any rabbit jumping out of a bush repre
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: Microsoft ลดเป้าหมายยอดขาย AI Agents

    Microsoft เคยประกาศว่า “ยุคของ AI Agents” ได้เริ่มต้นแล้ว โดยนำเสนอเครื่องมือที่สามารถทำงานหลายขั้นตอนอัตโนมัติ เช่น สร้างรายงานลูกค้า หรือจัดทำแดชบอร์ดจากข้อมูลการขาย แต่รายงานล่าสุดเผยว่า ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า หลายหน่วยงาน Azure ในสหรัฐฯ ไม่สามารถทำยอดเพิ่มขึ้นตามที่ตั้งไว้ ส่งผลให้บริษัทต้องปรับลดเป้าหมายการเติบโตลงจากเดิม 50% เหลือเพียง 25%

    ปัญหาที่ลูกค้าองค์กรยังไม่มั่นใจ
    แม้ Microsoft จะเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Word, Excel และ PowerPoint รวมถึงเครื่องมือสร้าง Agent ผ่าน Azure AI Foundry และ Copilot Studio แต่ลูกค้าองค์กรจำนวนมากยังไม่พร้อมจ่ายในราคาสูงเพื่อใช้เทคโนโลยีนี้ ปัญหาหลักคือ ความไม่เสถียรและความผิดพลาดของ AI Agents ที่ยังมีแนวโน้มสร้างข้อมูลผิดพลาด (confabulation) และอาจนำไปสู่ความเสียหายทางธุรกิจ

    การแข่งขันและความท้าทาย
    Microsoft ยังเผชิญกับความท้าทายด้านแบรนด์ เนื่องจากหลายองค์กรเลือกใช้ ChatGPT ของ OpenAI แทน Copilot โดยมองว่าใช้งานง่ายและเป็นที่นิยมมากกว่า ตัวอย่างเช่น บริษัท Amgen ที่ซื้อ Copilot ให้พนักงานกว่า 20,000 คน แต่พนักงานกลับเลือกใช้ ChatGPT ในงานส่วนใหญ่ ทำให้ Copilot ถูกใช้เพียงในงานที่ผูกกับระบบ Microsoft เช่น Outlook และ Teams

    ความเสี่ยงและอนาคตของ AI Agents
    แม้แนวคิด Agentic AI จะถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญสู่ Artificial General Intelligence (AGI) แต่ปัจจุบันยังมีข้อจำกัดด้านความ “เปราะบาง” หากเจอปัญหานอกเหนือจากข้อมูลที่เคยฝึกมา AI Agents อาจตีความผิดและสร้างความเสียหายได้ Microsoft ยังคงลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐาน AI แต่รายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากบริษัท AI อื่น ๆ ที่เช่า Cloud มากกว่าลูกค้าองค์กรที่นำไปใช้จริง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Microsoft ลดเป้าหมายยอดขาย AI Agents ลงครึ่งหนึ่ง
    จาก 50% เหลือ 25% หลังยอดขายไม่ถึงเป้า

    ลูกค้าองค์กรยังไม่มั่นใจในความเสถียรของ AI Agents
    ปัญหาการสร้างข้อมูลผิดพลาด (confabulation) ทำให้เสี่ยงต่อธุรกิจ

    การแข่งขันกับ ChatGPT ของ OpenAI
    หลายองค์กรเลือกใช้ ChatGPT มากกว่า Copilot

    คำเตือนต่อการใช้งาน AI Agents
    ระบบยัง “เปราะบาง” หากเจอปัญหานอกเหนือจากข้อมูลที่เคยฝึกมา
    อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงหากนำไปใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง

    https://arstechnica.com/ai/2025/12/microsoft-slashes-ai-sales-growth-targets-as-customers-resist-unproven-agents/
    💼 ข่าวใหญ่: Microsoft ลดเป้าหมายยอดขาย AI Agents Microsoft เคยประกาศว่า “ยุคของ AI Agents” ได้เริ่มต้นแล้ว โดยนำเสนอเครื่องมือที่สามารถทำงานหลายขั้นตอนอัตโนมัติ เช่น สร้างรายงานลูกค้า หรือจัดทำแดชบอร์ดจากข้อมูลการขาย แต่รายงานล่าสุดเผยว่า ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า หลายหน่วยงาน Azure ในสหรัฐฯ ไม่สามารถทำยอดเพิ่มขึ้นตามที่ตั้งไว้ ส่งผลให้บริษัทต้องปรับลดเป้าหมายการเติบโตลงจากเดิม 50% เหลือเพียง 25% 📊 ปัญหาที่ลูกค้าองค์กรยังไม่มั่นใจ แม้ Microsoft จะเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Word, Excel และ PowerPoint รวมถึงเครื่องมือสร้าง Agent ผ่าน Azure AI Foundry และ Copilot Studio แต่ลูกค้าองค์กรจำนวนมากยังไม่พร้อมจ่ายในราคาสูงเพื่อใช้เทคโนโลยีนี้ ปัญหาหลักคือ ความไม่เสถียรและความผิดพลาดของ AI Agents ที่ยังมีแนวโน้มสร้างข้อมูลผิดพลาด (confabulation) และอาจนำไปสู่ความเสียหายทางธุรกิจ 🌐 การแข่งขันและความท้าทาย Microsoft ยังเผชิญกับความท้าทายด้านแบรนด์ เนื่องจากหลายองค์กรเลือกใช้ ChatGPT ของ OpenAI แทน Copilot โดยมองว่าใช้งานง่ายและเป็นที่นิยมมากกว่า ตัวอย่างเช่น บริษัท Amgen ที่ซื้อ Copilot ให้พนักงานกว่า 20,000 คน แต่พนักงานกลับเลือกใช้ ChatGPT ในงานส่วนใหญ่ ทำให้ Copilot ถูกใช้เพียงในงานที่ผูกกับระบบ Microsoft เช่น Outlook และ Teams ⚠️ ความเสี่ยงและอนาคตของ AI Agents แม้แนวคิด Agentic AI จะถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญสู่ Artificial General Intelligence (AGI) แต่ปัจจุบันยังมีข้อจำกัดด้านความ “เปราะบาง” หากเจอปัญหานอกเหนือจากข้อมูลที่เคยฝึกมา AI Agents อาจตีความผิดและสร้างความเสียหายได้ Microsoft ยังคงลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐาน AI แต่รายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากบริษัท AI อื่น ๆ ที่เช่า Cloud มากกว่าลูกค้าองค์กรที่นำไปใช้จริง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Microsoft ลดเป้าหมายยอดขาย AI Agents ลงครึ่งหนึ่ง ➡️ จาก 50% เหลือ 25% หลังยอดขายไม่ถึงเป้า ✅ ลูกค้าองค์กรยังไม่มั่นใจในความเสถียรของ AI Agents ➡️ ปัญหาการสร้างข้อมูลผิดพลาด (confabulation) ทำให้เสี่ยงต่อธุรกิจ ✅ การแข่งขันกับ ChatGPT ของ OpenAI ➡️ หลายองค์กรเลือกใช้ ChatGPT มากกว่า Copilot ‼️ คำเตือนต่อการใช้งาน AI Agents ⛔ ระบบยัง “เปราะบาง” หากเจอปัญหานอกเหนือจากข้อมูลที่เคยฝึกมา ⛔ อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงหากนำไปใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง https://arstechnica.com/ai/2025/12/microsoft-slashes-ai-sales-growth-targets-as-customers-resist-unproven-agents/
    ARSTECHNICA.COM
    Microsoft drops AI sales targets in half after salespeople miss their quotas
    Report: Microsoft declared “the era of AI agents” in May, but enterprise customers aren’t buying.
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • Arm ตั้งศูนย์ฝึกอบรมชิปในเกาหลีใต้

    เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2025 SoftBank Group และ Arm Holdings ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับกระทรวงอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ เพื่อจัดตั้ง Chip Design School ในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาทักษะบุคลากรด้านเซมิคอนดักเตอร์และ AI ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของเกาหลีใต้

    ความร่วมมือระดับรัฐบาลและเอกชน
    การลงนามครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างการพบปะของประธานาธิบดี Lee Jae Myung และ Masayoshi Son ซีอีโอของ SoftBank ที่ทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงโซล รัฐบาลเกาหลีใต้หวังว่าความร่วมมือกับ Arm จะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศในตลาดโลก โดยเฉพาะในยุคที่ความต้องการชิป AI และชิปประสิทธิภาพสูงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและบุคลากร
    ศูนย์ฝึกอบรมนี้จะเป็นแหล่งบ่มเพาะนักออกแบบชิปและนักวิจัยรุ่นใหม่ ช่วยลดการพึ่งพาต่างประเทศ และสร้างโอกาสให้สตาร์ทอัพด้าน AI และฮาร์ดแวร์ในเกาหลีใต้เติบโตได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการเสริมความมั่นคงทางเทคโนโลยีในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งกำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดในตลาดเซมิคอนดักเตอร์

    ความท้าทายและข้อควรระวัง
    แม้โครงการนี้จะเป็นโอกาสสำคัญ แต่ก็มีความท้าทาย เช่น การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะสูง การลงทุนที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก และการแข่งขันจากประเทศอื่น ๆ เช่น ไต้หวันและจีน หากไม่สามารถสร้างระบบนิเวศที่แข็งแรงพอ เกาหลีใต้อาจยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าชิปขั้นสูงจากต่างประเทศ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    SoftBank และ Arm ลงนามตั้งศูนย์ฝึกอบรมชิปในเกาหลีใต้
    เป้าหมายเพื่อพัฒนาทักษะบุคลากรด้านเซมิคอนดักเตอร์และ AI

    ความร่วมมือระดับสูงระหว่างรัฐบาลและเอกชน
    ประธานาธิบดี Lee Jae Myung พบ Masayoshi Son เพื่อผลักดันโครงการ

    ผลกระทบเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมและบุคลากร
    สร้างโอกาสให้สตาร์ทอัพและลดการพึ่งพาต่างประเทศ

    คำเตือนและความท้าทาย
    การขาดบุคลากรที่มีทักษะสูงอาจทำให้โครงการเดินหน้าได้ช้า
    การแข่งขันจากจีนและไต้หวันยังคงเป็นแรงกดดันต่อเกาหลีใต้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/05/softbank039s-arm-plans-to-set-up-chip-training-facility-in-south-korea
    🏭 Arm ตั้งศูนย์ฝึกอบรมชิปในเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2025 SoftBank Group และ Arm Holdings ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับกระทรวงอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ เพื่อจัดตั้ง Chip Design School ในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาทักษะบุคลากรด้านเซมิคอนดักเตอร์และ AI ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของเกาหลีใต้ 🤝 ความร่วมมือระดับรัฐบาลและเอกชน การลงนามครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างการพบปะของประธานาธิบดี Lee Jae Myung และ Masayoshi Son ซีอีโอของ SoftBank ที่ทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงโซล รัฐบาลเกาหลีใต้หวังว่าความร่วมมือกับ Arm จะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศในตลาดโลก โดยเฉพาะในยุคที่ความต้องการชิป AI และชิปประสิทธิภาพสูงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 📈 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและบุคลากร ศูนย์ฝึกอบรมนี้จะเป็นแหล่งบ่มเพาะนักออกแบบชิปและนักวิจัยรุ่นใหม่ ช่วยลดการพึ่งพาต่างประเทศ และสร้างโอกาสให้สตาร์ทอัพด้าน AI และฮาร์ดแวร์ในเกาหลีใต้เติบโตได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการเสริมความมั่นคงทางเทคโนโลยีในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งกำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ ⚠️ ความท้าทายและข้อควรระวัง แม้โครงการนี้จะเป็นโอกาสสำคัญ แต่ก็มีความท้าทาย เช่น การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะสูง การลงทุนที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก และการแข่งขันจากประเทศอื่น ๆ เช่น ไต้หวันและจีน หากไม่สามารถสร้างระบบนิเวศที่แข็งแรงพอ เกาหลีใต้อาจยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าชิปขั้นสูงจากต่างประเทศ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ SoftBank และ Arm ลงนามตั้งศูนย์ฝึกอบรมชิปในเกาหลีใต้ ➡️ เป้าหมายเพื่อพัฒนาทักษะบุคลากรด้านเซมิคอนดักเตอร์และ AI ✅ ความร่วมมือระดับสูงระหว่างรัฐบาลและเอกชน ➡️ ประธานาธิบดี Lee Jae Myung พบ Masayoshi Son เพื่อผลักดันโครงการ ✅ ผลกระทบเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมและบุคลากร ➡️ สร้างโอกาสให้สตาร์ทอัพและลดการพึ่งพาต่างประเทศ ‼️ คำเตือนและความท้าทาย ⛔ การขาดบุคลากรที่มีทักษะสูงอาจทำให้โครงการเดินหน้าได้ช้า ⛔ การแข่งขันจากจีนและไต้หวันยังคงเป็นแรงกดดันต่อเกาหลีใต้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/05/softbank039s-arm-plans-to-set-up-chip-training-facility-in-south-korea
    WWW.THESTAR.COM.MY
    SoftBank's Arm plans to set up chip training facility in South Korea
    SEOUL, Dec 5 (Reuters) - South Korea's industry ministry and SoftBank's chip unit, Arm Holdings, have signed an agreement to strengthen the country's semiconductor and Artificial Intelligence sectors, a presidential policy adviser said on Friday.
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • Meta ซื้อกิจการ Limitless

    เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2025 Meta ประกาศเข้าซื้อกิจการ Limitless (เดิมชื่อ Rewind) ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่พัฒนาอุปกรณ์สวมใส่รูปแบบ pendant ที่สามารถบันทึกเสียงการสนทนา ถอดความ และสร้างสรุปที่ค้นหาได้ผ่านแอปพลิเคชันคู่ข้าง อุปกรณ์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่เป็น AI assistant ส่วนตัว ที่ช่วยเสริมความจำและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในชีวิตประจำวัน

    กลยุทธ์ของ Meta ในตลาด AI Wearables
    ดีลนี้เกิดขึ้นหลังจาก Meta เพิ่งดึงตัว Alan Dye อดีตผู้บริหารด้านการออกแบบของ Apple เข้ามาเสริมทีม เพื่อเน้นการพัฒนาอุปกรณ์รุ่นใหม่ที่มีความล้ำสมัยมากขึ้น ปัจจุบัน Meta มีความร่วมมือกับ EssilorLuxottica (เจ้าของแบรนด์ Ray-Ban และ Oakley) ในการผลิต AI-powered smart glasses และการซื้อ Limitless จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางเทคนิคในการสร้างอุปกรณ์สวมใส่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้มากขึ้น

    ผลกระทบต่อผู้ใช้งานและตลาด
    แม้ Meta จะยังไม่เปิดเผยรายละเอียดทางการเงิน แต่ Limitless ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุนผู้ใช้เดิมต่อไป อย่างไรก็ตาม บริษัทจะ หยุดขายอุปกรณ์ใหม่ให้ลูกค้าใหม่ และผู้ใช้ปัจจุบันต้องยอมรับเงื่อนไขความเป็นส่วนตัวใหม่เพื่อใช้งานต่อไป Limitless เคยระดมทุนได้กว่า 33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากนักลงทุนรายใหญ่ เช่น Sam Altman และ Andreessen Horowitz (A16z) ซึ่งสะท้อนถึงความสนใจในตลาด AI wearables ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    ความท้าทายและข้อควรระวัง
    แม้การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะช่วย Meta เร่งพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่ แต่ก็มีข้อกังวลเรื่อง ความเป็นส่วนตัว เนื่องจากอุปกรณ์ Limitless สามารถบันทึกการสนทนาในชีวิตจริงได้ตลอดเวลา หากไม่มีมาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวด อาจนำไปสู่การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลและสร้างความกังวลต่อผู้ใช้และสังคมโดยรวม

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Meta เข้าซื้อกิจการ Limitless
    อุปกรณ์ “pendant” บันทึกและถอดความการสนทนา

    เสริมกลยุทธ์ AI-enabled consumer hardware
    ร่วมมือกับ Ray-Ban และ Oakley ในการพัฒนา smart glasses

    ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน
    ผู้ใช้เดิมยังได้รับการสนับสนุน แต่หยุดขายให้ลูกค้าใหม่

    คำเตือนด้านความเป็นส่วนตัว
    อุปกรณ์สามารถบันทึกการสนทนาได้ตลอดเวลา
    ผู้ใช้ต้องยอมรับเงื่อนไขใหม่เพื่อใช้งานต่อไป

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/06/meta-acquires-ai-wearables-startup-limitless
    📰 Meta ซื้อกิจการ Limitless เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2025 Meta ประกาศเข้าซื้อกิจการ Limitless (เดิมชื่อ Rewind) ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่พัฒนาอุปกรณ์สวมใส่รูปแบบ pendant ที่สามารถบันทึกเสียงการสนทนา ถอดความ และสร้างสรุปที่ค้นหาได้ผ่านแอปพลิเคชันคู่ข้าง อุปกรณ์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่เป็น AI assistant ส่วนตัว ที่ช่วยเสริมความจำและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในชีวิตประจำวัน 🤝 กลยุทธ์ของ Meta ในตลาด AI Wearables ดีลนี้เกิดขึ้นหลังจาก Meta เพิ่งดึงตัว Alan Dye อดีตผู้บริหารด้านการออกแบบของ Apple เข้ามาเสริมทีม เพื่อเน้นการพัฒนาอุปกรณ์รุ่นใหม่ที่มีความล้ำสมัยมากขึ้น ปัจจุบัน Meta มีความร่วมมือกับ EssilorLuxottica (เจ้าของแบรนด์ Ray-Ban และ Oakley) ในการผลิต AI-powered smart glasses และการซื้อ Limitless จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางเทคนิคในการสร้างอุปกรณ์สวมใส่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้มากขึ้น 🌐 ผลกระทบต่อผู้ใช้งานและตลาด แม้ Meta จะยังไม่เปิดเผยรายละเอียดทางการเงิน แต่ Limitless ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุนผู้ใช้เดิมต่อไป อย่างไรก็ตาม บริษัทจะ หยุดขายอุปกรณ์ใหม่ให้ลูกค้าใหม่ และผู้ใช้ปัจจุบันต้องยอมรับเงื่อนไขความเป็นส่วนตัวใหม่เพื่อใช้งานต่อไป Limitless เคยระดมทุนได้กว่า 33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากนักลงทุนรายใหญ่ เช่น Sam Altman และ Andreessen Horowitz (A16z) ซึ่งสะท้อนถึงความสนใจในตลาด AI wearables ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ⚠️ ความท้าทายและข้อควรระวัง แม้การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะช่วย Meta เร่งพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่ แต่ก็มีข้อกังวลเรื่อง ความเป็นส่วนตัว เนื่องจากอุปกรณ์ Limitless สามารถบันทึกการสนทนาในชีวิตจริงได้ตลอดเวลา หากไม่มีมาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวด อาจนำไปสู่การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลและสร้างความกังวลต่อผู้ใช้และสังคมโดยรวม 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Meta เข้าซื้อกิจการ Limitless ➡️ อุปกรณ์ “pendant” บันทึกและถอดความการสนทนา ✅ เสริมกลยุทธ์ AI-enabled consumer hardware ➡️ ร่วมมือกับ Ray-Ban และ Oakley ในการพัฒนา smart glasses ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน ➡️ ผู้ใช้เดิมยังได้รับการสนับสนุน แต่หยุดขายให้ลูกค้าใหม่ ‼️ คำเตือนด้านความเป็นส่วนตัว ⛔ อุปกรณ์สามารถบันทึกการสนทนาได้ตลอดเวลา ⛔ ผู้ใช้ต้องยอมรับเงื่อนไขใหม่เพื่อใช้งานต่อไป https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/06/meta-acquires-ai-wearables-startup-limitless
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta acquires AI-wearables startup Limitless
    Dec 5 (Reuters) - Meta has acquired AI-wearables startup Limitless, maker of a pendant-style device that records and transcribes real-world conversations, as the social media giant doubles down on efforts to build AI-enabled consumer hardware.
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • Netflix ซื้อ Warner Bros Discovery

    Netflix ประกาศเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2025 ว่าได้บรรลุข้อตกลงซื้อกิจการ Warner Bros Discovery ครอบคลุมสตูดิโอภาพยนตร์, ทีวี และบริการสตรีมมิ่ง HBO Max ด้วยมูลค่า 72 พันล้านดอลลาร์ ดีลนี้เกิดขึ้นหลังจาก Warner Bros ปฏิเสธข้อเสนอจาก Paramount และ Comcast ก่อนหน้านี้ และเลือก Netflix เพราะข้อเสนอมีความชัดเจนและมั่นคงกว่า

    กลยุทธ์และการตัดสินใจ
    Netflix เริ่มสนใจดีลนี้หลัง Warner Bros ประกาศแผนแยกธุรกิจเคเบิลทีวีออกจากสตูดิโอและสตรีมมิ่ง ทำให้ Netflix มองเห็นโอกาสในการเสริมคลังคอนเทนต์ที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะภาพยนตร์และซีรีส์คลาสสิกที่ยังคงมีผู้ชมจำนวนมาก นอกจากนี้ Netflix ยังเสนอ ค่าปรับหากดีลล้มเหลวสูงถึง 5.8 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะผ่านการตรวจสอบด้านกฎหมายการแข่งขัน

    ผลกระทบต่อวงการบันเทิง
    การควบรวมครั้งนี้ทำให้ Netflix กลายเป็นผู้เล่นที่ทรงพลังที่สุดในตลาดสตรีมมิ่ง โดยมีทั้งคลังคอนเทนต์ใหม่และเก่า รวมถึงโครงสร้างการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ระดับโลก ดีลนี้ยังสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อคู่แข่งอย่าง Disney+, Amazon Prime และ Apple TV+ ที่ต้องเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อแข่งขันกับ Netflix ที่มีทั้ง คอนเทนต์, เทคโนโลยี และฐานผู้ใช้มหาศาล

    ความท้าทายและข้อควรระวัง
    แม้ดีลนี้จะเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ แต่ Netflix ยังต้องเผชิญกับการตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านการผูกขาด และแรงกดดันจากสหภาพแรงงานฮอลลีวูดที่กังวลเรื่องการรวมศูนย์อำนาจในอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านหนี้สินและการบริหารจัดการองค์กรขนาดใหญ่ที่ซับซ้อน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Netflix ซื้อ Warner Bros Discovery มูลค่า 72 พันล้านดอลลาร์
    ครอบคลุมสตูดิโอภาพยนตร์, ทีวี และ HBO Max

    กลยุทธ์ Netflix เน้นเสริมคลังคอนเทนต์และสร้างความมั่นใจ
    เสนอค่าปรับ 5.8 พันล้านดอลลาร์หากดีลล้มเหลว

    ผลกระทบต่อวงการบันเทิงโลก
    Netflix กลายเป็นผู้เล่นที่ทรงพลังที่สุดในตลาดสตรีมมิ่ง

    คำเตือนและความท้าทาย
    อาจถูกตรวจสอบด้านการผูกขาดและแรงกดดันจากสหภาพแรงงาน
    ความเสี่ยงด้านหนี้สินและการบริหารองค์กรขนาดใหญ่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/06/exclusive-how-netflix-won-hollywood039s-biggest-prize-warner-bros-discovery
    🎬 Netflix ซื้อ Warner Bros Discovery Netflix ประกาศเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2025 ว่าได้บรรลุข้อตกลงซื้อกิจการ Warner Bros Discovery ครอบคลุมสตูดิโอภาพยนตร์, ทีวี และบริการสตรีมมิ่ง HBO Max ด้วยมูลค่า 72 พันล้านดอลลาร์ ดีลนี้เกิดขึ้นหลังจาก Warner Bros ปฏิเสธข้อเสนอจาก Paramount และ Comcast ก่อนหน้านี้ และเลือก Netflix เพราะข้อเสนอมีความชัดเจนและมั่นคงกว่า 📊 กลยุทธ์และการตัดสินใจ Netflix เริ่มสนใจดีลนี้หลัง Warner Bros ประกาศแผนแยกธุรกิจเคเบิลทีวีออกจากสตูดิโอและสตรีมมิ่ง ทำให้ Netflix มองเห็นโอกาสในการเสริมคลังคอนเทนต์ที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะภาพยนตร์และซีรีส์คลาสสิกที่ยังคงมีผู้ชมจำนวนมาก นอกจากนี้ Netflix ยังเสนอ ค่าปรับหากดีลล้มเหลวสูงถึง 5.8 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะผ่านการตรวจสอบด้านกฎหมายการแข่งขัน 🌍 ผลกระทบต่อวงการบันเทิง การควบรวมครั้งนี้ทำให้ Netflix กลายเป็นผู้เล่นที่ทรงพลังที่สุดในตลาดสตรีมมิ่ง โดยมีทั้งคลังคอนเทนต์ใหม่และเก่า รวมถึงโครงสร้างการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ระดับโลก ดีลนี้ยังสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อคู่แข่งอย่าง Disney+, Amazon Prime และ Apple TV+ ที่ต้องเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อแข่งขันกับ Netflix ที่มีทั้ง คอนเทนต์, เทคโนโลยี และฐานผู้ใช้มหาศาล ⚠️ ความท้าทายและข้อควรระวัง แม้ดีลนี้จะเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ แต่ Netflix ยังต้องเผชิญกับการตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านการผูกขาด และแรงกดดันจากสหภาพแรงงานฮอลลีวูดที่กังวลเรื่องการรวมศูนย์อำนาจในอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านหนี้สินและการบริหารจัดการองค์กรขนาดใหญ่ที่ซับซ้อน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Netflix ซื้อ Warner Bros Discovery มูลค่า 72 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ครอบคลุมสตูดิโอภาพยนตร์, ทีวี และ HBO Max ✅ กลยุทธ์ Netflix เน้นเสริมคลังคอนเทนต์และสร้างความมั่นใจ ➡️ เสนอค่าปรับ 5.8 พันล้านดอลลาร์หากดีลล้มเหลว ✅ ผลกระทบต่อวงการบันเทิงโลก ➡️ Netflix กลายเป็นผู้เล่นที่ทรงพลังที่สุดในตลาดสตรีมมิ่ง ‼️ คำเตือนและความท้าทาย ⛔ อาจถูกตรวจสอบด้านการผูกขาดและแรงกดดันจากสหภาพแรงงาน ⛔ ความเสี่ยงด้านหนี้สินและการบริหารองค์กรขนาดใหญ่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/06/exclusive-how-netflix-won-hollywood039s-biggest-prize-warner-bros-discovery
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Exclusive-How Netflix won Hollywood's biggest prize, Warner Bros Discovery
    LOS ANGELES/NEW YORK, Dec 5 (Reuters) - What started as a fact-finding mission for Netflix culminated in one of the biggest media deals in the last decade and one that stands to reshape the global entertainment business landscape, people with direct knowledge of the deal told Reuters.
    0 Comments 0 Shares 30 Views 0 Reviews
  • Apple และ Tesla ถูกฟ้องเรื่องสิทธิมนุษยชน

    องค์กร International Rights Advocates ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้ยื่นฟ้อง Apple และ Tesla ต่อศาล โดยกล่าวหาว่าทั้งสองบริษัทใช้ การตลาดที่หลอกลวง อ้างว่าสินค้าของตนผลิตอย่างยั่งยืนและมีจริยธรรม แต่ในความจริงกลับพึ่งพาแร่ โคบอลต์และโคลแทน จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ซึ่งเชื่อมโยงกับการใช้แรงงานเด็ก การข่มขืน การทรมาน และการสังหาร

    ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
    รายงานระบุว่าการทำเหมืองในคองโกได้สร้างผลกระทบมหาศาลต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปล่อยสารเคมีลงแม่น้ำและทะเลสาบ ทำลายแหล่งน้ำดื่มและเกษตรกรรม รวมถึงทำให้เกิดโรคผิวหนังและความผิดปกติทางสุขภาพในชุมชน ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งเพื่อแย่งชิงทรัพยากรได้คร่าชีวิตประชาชนไปแล้วกว่า 6 ล้านคนตั้งแต่ปี 1996 และยังคงทำให้ผู้คนหลายล้านต้องพลัดถิ่น

    คำตอบจากบริษัท
    Apple ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยยืนยันว่า 99% ของโคบอลต์ในแบตเตอรี่ที่ออกแบบโดย Apple มาจากการรีไซเคิล และบริษัทได้สั่งให้ซัพพลายเออร์หยุดการจัดหาจากพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง Tesla ยังไม่ได้ให้คำตอบต่อสื่อ แต่ถูกกล่าวหาว่าใช้ซัพพลายเออร์เดียวกันกับ Apple ซึ่งมีประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชน

    ความเสี่ยงและข้อกังวล
    แม้บริษัทจะมีนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม แต่รายงานชี้ว่าการบังคับใช้ยังไม่เพียงพอ และมีความเสี่ยงสูงที่แร่ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์จะยังคงเชื่อมโยงกับการละเมิดสิทธิและการทำลายสิ่งแวดล้อม หากไม่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างโปร่งใส

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Apple และ Tesla ถูกฟ้องในสหรัฐฯ
    ข้อกล่าวหาว่าใช้การตลาดหลอกลวงเกี่ยวกับการผลิตที่ยั่งยืน

    การใช้แร่โคบอลต์และโคลแทนจากคองโก
    เชื่อมโยงกับแรงงานเด็ก การทรมาน และการสังหาร

    ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน
    สารเคมีทำลายแหล่งน้ำและเกษตรกรรม ก่อโรคและความเสียหายต่อสุขภาพ

    คำเตือนและข้อกังวล
    ความขัดแย้งในคองโกคร่าชีวิตประชาชนกว่า 6 ล้านคนตั้งแต่ปี 1996
    การตรวจสอบย้อนกลับของซัพพลายเชนยังไม่โปร่งใสและเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/06/apple-tesla-accused-of-profiting-from-horrific-abuses-environmental-destruction
    ⚖️ Apple และ Tesla ถูกฟ้องเรื่องสิทธิมนุษยชน องค์กร International Rights Advocates ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้ยื่นฟ้อง Apple และ Tesla ต่อศาล โดยกล่าวหาว่าทั้งสองบริษัทใช้ การตลาดที่หลอกลวง อ้างว่าสินค้าของตนผลิตอย่างยั่งยืนและมีจริยธรรม แต่ในความจริงกลับพึ่งพาแร่ โคบอลต์และโคลแทน จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ซึ่งเชื่อมโยงกับการใช้แรงงานเด็ก การข่มขืน การทรมาน และการสังหาร 🌍 ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม รายงานระบุว่าการทำเหมืองในคองโกได้สร้างผลกระทบมหาศาลต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปล่อยสารเคมีลงแม่น้ำและทะเลสาบ ทำลายแหล่งน้ำดื่มและเกษตรกรรม รวมถึงทำให้เกิดโรคผิวหนังและความผิดปกติทางสุขภาพในชุมชน ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งเพื่อแย่งชิงทรัพยากรได้คร่าชีวิตประชาชนไปแล้วกว่า 6 ล้านคนตั้งแต่ปี 1996 และยังคงทำให้ผู้คนหลายล้านต้องพลัดถิ่น 🛑 คำตอบจากบริษัท Apple ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยยืนยันว่า 99% ของโคบอลต์ในแบตเตอรี่ที่ออกแบบโดย Apple มาจากการรีไซเคิล และบริษัทได้สั่งให้ซัพพลายเออร์หยุดการจัดหาจากพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง Tesla ยังไม่ได้ให้คำตอบต่อสื่อ แต่ถูกกล่าวหาว่าใช้ซัพพลายเออร์เดียวกันกับ Apple ซึ่งมีประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชน ⚠️ ความเสี่ยงและข้อกังวล แม้บริษัทจะมีนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม แต่รายงานชี้ว่าการบังคับใช้ยังไม่เพียงพอ และมีความเสี่ยงสูงที่แร่ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์จะยังคงเชื่อมโยงกับการละเมิดสิทธิและการทำลายสิ่งแวดล้อม หากไม่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างโปร่งใส 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Apple และ Tesla ถูกฟ้องในสหรัฐฯ ➡️ ข้อกล่าวหาว่าใช้การตลาดหลอกลวงเกี่ยวกับการผลิตที่ยั่งยืน ✅ การใช้แร่โคบอลต์และโคลแทนจากคองโก ➡️ เชื่อมโยงกับแรงงานเด็ก การทรมาน และการสังหาร ✅ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ➡️ สารเคมีทำลายแหล่งน้ำและเกษตรกรรม ก่อโรคและความเสียหายต่อสุขภาพ ‼️ คำเตือนและข้อกังวล ⛔ ความขัดแย้งในคองโกคร่าชีวิตประชาชนกว่า 6 ล้านคนตั้งแต่ปี 1996 ⛔ การตรวจสอบย้อนกลับของซัพพลายเชนยังไม่โปร่งใสและเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/06/apple-tesla-accused-of-profiting-from-horrific-abuses-environmental-destruction
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Apple, Tesla accused of profiting from horrific abuses, environmental destruction
    According to the filing, Apple's suppliers engage in forced and child labour, and beatings of workers.
    0 Comments 0 Shares 34 Views 0 Reviews
  • ชายสหรัฐฯ ถูกฟ้องคดี Cyberstalking โดยอ้าง ChatGPT

    Brett Michael Dadig จากเมือง Whitehall ถูกอัยการสหรัฐฯ ตั้งข้อหา 14 กระทงในคดี การคุกคามและตามรังควานผู้หญิง ทั้งใน Pittsburgh และอีกหลายรัฐ เขาถูกกล่าวหาว่าข่มขู่ โพสต์ภาพ และเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อบนอินเทอร์เน็ต โดย Dadig อ้างว่า ChatGPT แนะนำให้เขาไปพบ “ภรรยาในอนาคต” ที่ยิมหรือชุมชนกีฬา และใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อสร้างชื่อเสียง

    การใช้ AI ในทางที่ผิด
    ในพอดแคสต์ของเขา Dadig เรียก ChatGPT ว่าเป็น “นักบำบัด” และ “เพื่อนสนิท” พร้อมยอมรับว่าได้รับแรงบันดาลใจจากคำแนะนำของ AI ให้สร้างแพลตฟอร์มเพื่อโดดเด่นในสังคม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นการคุกคามผู้หญิงและพนักงานยิมอย่างต่อเนื่อง ทั้งทางโพสต์ออนไลน์ โทรศัพท์ และการปรากฏตัวโดยไม่แจ้งล่วงหน้า

    ผลกระทบทางกฎหมาย
    อัยการระบุว่าเหยื่อกว่า 11 คนได้รับผลกระทบจากการกระทำของ Dadig โดยบางคนถึงขั้นต้องขอคำสั่งคุ้มครอง (Protection-from-abuse orders) ซึ่งเขายังละเมิดซ้ำอีกด้วย หากถูกตัดสินว่ามีความผิด เขาอาจต้องโทษจำคุกสูงสุดถึง 70 ปี และปรับเป็นเงินกว่า 3.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

    ความเสี่ยงและคำเตือน
    กรณีนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการใช้ AI โดยไม่เข้าใจขอบเขตและผลกระทบ การพึ่งพา AI เป็น “ที่ปรึกษา” โดยไม่ใช้วิจารณญาณอาจนำไปสู่พฤติกรรมที่ผิดกฎหมายและสร้างความเสียหายต่อผู้อื่นอย่างร้ายแรง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ชายสหรัฐฯ ถูกตั้งข้อหา Cyberstalking 14 กระทง
    เหยื่อกว่า 11 คนในหลายรัฐ รวมถึง Pittsburgh

    อ้างว่าได้รับคำแนะนำจาก ChatGPT
    ใช้ AI เป็น “นักบำบัด” และ “เพื่อนสนิท”

    ผลกระทบต่อเหยื่อและสังคม
    เหยื่อบางคนต้องขอคำสั่งคุ้มครอง แต่ถูกละเมิดซ้ำ

    คำเตือนด้านการใช้ AI
    การพึ่งพา AI โดยไม่ใช้วิจารณญาณอาจนำไปสู่พฤติกรรมผิดกฎหมาย
    เสี่ยงต่อการสร้างความเสียหายต่อผู้อื่นและสังคมโดยรวม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/06/a-us-man-was-indicted-for-allegedly-cyberstalking-women-he-says-he-took-advice-from-chatgpt
    📰 ชายสหรัฐฯ ถูกฟ้องคดี Cyberstalking โดยอ้าง ChatGPT Brett Michael Dadig จากเมือง Whitehall ถูกอัยการสหรัฐฯ ตั้งข้อหา 14 กระทงในคดี การคุกคามและตามรังควานผู้หญิง ทั้งใน Pittsburgh และอีกหลายรัฐ เขาถูกกล่าวหาว่าข่มขู่ โพสต์ภาพ และเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อบนอินเทอร์เน็ต โดย Dadig อ้างว่า ChatGPT แนะนำให้เขาไปพบ “ภรรยาในอนาคต” ที่ยิมหรือชุมชนกีฬา และใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อสร้างชื่อเสียง 🎙️ การใช้ AI ในทางที่ผิด ในพอดแคสต์ของเขา Dadig เรียก ChatGPT ว่าเป็น “นักบำบัด” และ “เพื่อนสนิท” พร้อมยอมรับว่าได้รับแรงบันดาลใจจากคำแนะนำของ AI ให้สร้างแพลตฟอร์มเพื่อโดดเด่นในสังคม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นการคุกคามผู้หญิงและพนักงานยิมอย่างต่อเนื่อง ทั้งทางโพสต์ออนไลน์ โทรศัพท์ และการปรากฏตัวโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ⚖️ ผลกระทบทางกฎหมาย อัยการระบุว่าเหยื่อกว่า 11 คนได้รับผลกระทบจากการกระทำของ Dadig โดยบางคนถึงขั้นต้องขอคำสั่งคุ้มครอง (Protection-from-abuse orders) ซึ่งเขายังละเมิดซ้ำอีกด้วย หากถูกตัดสินว่ามีความผิด เขาอาจต้องโทษจำคุกสูงสุดถึง 70 ปี และปรับเป็นเงินกว่า 3.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ⚠️ ความเสี่ยงและคำเตือน กรณีนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการใช้ AI โดยไม่เข้าใจขอบเขตและผลกระทบ การพึ่งพา AI เป็น “ที่ปรึกษา” โดยไม่ใช้วิจารณญาณอาจนำไปสู่พฤติกรรมที่ผิดกฎหมายและสร้างความเสียหายต่อผู้อื่นอย่างร้ายแรง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ชายสหรัฐฯ ถูกตั้งข้อหา Cyberstalking 14 กระทง ➡️ เหยื่อกว่า 11 คนในหลายรัฐ รวมถึง Pittsburgh ✅ อ้างว่าได้รับคำแนะนำจาก ChatGPT ➡️ ใช้ AI เป็น “นักบำบัด” และ “เพื่อนสนิท” ✅ ผลกระทบต่อเหยื่อและสังคม ➡️ เหยื่อบางคนต้องขอคำสั่งคุ้มครอง แต่ถูกละเมิดซ้ำ ‼️ คำเตือนด้านการใช้ AI ⛔ การพึ่งพา AI โดยไม่ใช้วิจารณญาณอาจนำไปสู่พฤติกรรมผิดกฎหมาย ⛔ เสี่ยงต่อการสร้างความเสียหายต่อผู้อื่นและสังคมโดยรวม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/06/a-us-man-was-indicted-for-allegedly-cyberstalking-women-he-says-he-took-advice-from-chatgpt
    WWW.THESTAR.COM.MY
    A US man was indicted for allegedly cyberstalking women. He says he took advice from ChatGPT.
    On his podcast, Mr Dadig called the AI chatbot his "therapist" and "best friend," the indictment says.
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • Logitech วิจารณ์กระแสอุปกรณ์ AI

    Hanneke Faber ซีอีโอของ Logitech ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg เนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปีการดำรงตำแหน่ง เธอชี้ว่า อุปกรณ์ AI-first ที่เปิดตัวในปีที่ผ่านมา เช่น Humane AI Pin และ Rabbit R1 ไม่สามารถสร้างตลาดที่ชัดเจนได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านความเร็ว ฟีเจอร์ และราคาที่ต้องพึ่งพาการสมัครสมาชิก ทำให้ผู้ใช้ตั้งคำถามว่า “จำเป็นจริงหรือไม่”

    กลยุทธ์ของ Logitech
    แทนที่จะสร้างอุปกรณ์ใหม่รอบ AI Logitech เลือกที่จะ ฝังฟีเจอร์ AI เข้าไปในผลิตภัณฑ์เดิม เช่น กล้องเว็บแคมที่มีระบบจัดเฟรมอัตโนมัติและกรองเสียงรบกวน หรือเมาส์ MX Master 4 ที่มีช็อตคัตเชื่อมต่อกับ ChatGPT และ Microsoft Copilot กลยุทธ์นี้สะท้อนถึงแนวคิดว่า AI ควรเสริมการทำงานในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่สร้างอุปกรณ์ใหม่ที่ผู้ใช้ยังไม่เห็นคุณค่า

    มุมมองต่ออุตสาหกรรม
    Faber ระบุว่า สมาร์ทโฟนและพีซี กำลังพัฒนาโมเดล AI บนเครื่องที่ทรงพลังขึ้นเรื่อย ๆ และมีการเชื่อมต่อกับผู้ช่วยบนคลาวด์อยู่แล้ว ทำให้การสร้างอุปกรณ์ AI แยกออกมาไม่ใช่สิ่งจำเป็น ขณะเดียวกัน Logitech ยังคงรักษาเสถียรภาพด้านซัพพลายเชน โดยกระจายการผลิตไปกว่า 5 ประเทศ และฟื้นยอดขายกลับสู่ระดับก่อนโควิด-19

    ความท้าทายของตลาด AI-first gadgets
    แม้จะมีการลงทุนจากบริษัทใหญ่ เช่น HP ที่ซื้อกิจการ Humane แต่กระแสตอบรับยังไม่ดีนัก หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า ผู้ช่วยอัจฉริยะควรอยู่ในอุปกรณ์ที่ใช้งานอยู่แล้ว มากกว่าการสร้างฮาร์ดแวร์ใหม่ที่มีต้นทุนสูงและเสี่ยงต่อการล้มเหลว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ซีอีโอ Logitech วิจารณ์อุปกรณ์ AI-first
    มองว่าแก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง

    กลยุทธ์ Logitech เน้นฝัง AI ในผลิตภัณฑ์เดิม
    เช่น เว็บแคมอัจฉริยะ และเมาส์ MX Master 4

    สมาร์ทโฟนและพีซีมีศักยภาพเพียงพอ
    ไม่จำเป็นต้องสร้างอุปกรณ์ AI แยกออกมา

    คำเตือนต่อผู้ผลิต AI gadgets
    ตลาดยังไม่พิสูจน์ว่ามีความต้องการจริง
    ต้นทุนสูงและเสี่ยงต่อการล้มเหลวทางธุรกิจ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/logitech-ceo-says-ai-gadget-makers-are-chasing-problems-that-dont-exist
    📰 Logitech วิจารณ์กระแสอุปกรณ์ AI Hanneke Faber ซีอีโอของ Logitech ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg เนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปีการดำรงตำแหน่ง เธอชี้ว่า อุปกรณ์ AI-first ที่เปิดตัวในปีที่ผ่านมา เช่น Humane AI Pin และ Rabbit R1 ไม่สามารถสร้างตลาดที่ชัดเจนได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านความเร็ว ฟีเจอร์ และราคาที่ต้องพึ่งพาการสมัครสมาชิก ทำให้ผู้ใช้ตั้งคำถามว่า “จำเป็นจริงหรือไม่” 🔧 กลยุทธ์ของ Logitech แทนที่จะสร้างอุปกรณ์ใหม่รอบ AI Logitech เลือกที่จะ ฝังฟีเจอร์ AI เข้าไปในผลิตภัณฑ์เดิม เช่น กล้องเว็บแคมที่มีระบบจัดเฟรมอัตโนมัติและกรองเสียงรบกวน หรือเมาส์ MX Master 4 ที่มีช็อตคัตเชื่อมต่อกับ ChatGPT และ Microsoft Copilot กลยุทธ์นี้สะท้อนถึงแนวคิดว่า AI ควรเสริมการทำงานในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่สร้างอุปกรณ์ใหม่ที่ผู้ใช้ยังไม่เห็นคุณค่า 🌍 มุมมองต่ออุตสาหกรรม Faber ระบุว่า สมาร์ทโฟนและพีซี กำลังพัฒนาโมเดล AI บนเครื่องที่ทรงพลังขึ้นเรื่อย ๆ และมีการเชื่อมต่อกับผู้ช่วยบนคลาวด์อยู่แล้ว ทำให้การสร้างอุปกรณ์ AI แยกออกมาไม่ใช่สิ่งจำเป็น ขณะเดียวกัน Logitech ยังคงรักษาเสถียรภาพด้านซัพพลายเชน โดยกระจายการผลิตไปกว่า 5 ประเทศ และฟื้นยอดขายกลับสู่ระดับก่อนโควิด-19 ⚠️ ความท้าทายของตลาด AI-first gadgets แม้จะมีการลงทุนจากบริษัทใหญ่ เช่น HP ที่ซื้อกิจการ Humane แต่กระแสตอบรับยังไม่ดีนัก หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า ผู้ช่วยอัจฉริยะควรอยู่ในอุปกรณ์ที่ใช้งานอยู่แล้ว มากกว่าการสร้างฮาร์ดแวร์ใหม่ที่มีต้นทุนสูงและเสี่ยงต่อการล้มเหลว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ซีอีโอ Logitech วิจารณ์อุปกรณ์ AI-first ➡️ มองว่าแก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง ✅ กลยุทธ์ Logitech เน้นฝัง AI ในผลิตภัณฑ์เดิม ➡️ เช่น เว็บแคมอัจฉริยะ และเมาส์ MX Master 4 ✅ สมาร์ทโฟนและพีซีมีศักยภาพเพียงพอ ➡️ ไม่จำเป็นต้องสร้างอุปกรณ์ AI แยกออกมา ‼️ คำเตือนต่อผู้ผลิต AI gadgets ⛔ ตลาดยังไม่พิสูจน์ว่ามีความต้องการจริง ⛔ ต้นทุนสูงและเสี่ยงต่อการล้มเหลวทางธุรกิจ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/logitech-ceo-says-ai-gadget-makers-are-chasing-problems-that-dont-exist
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AI gadget makers are chasing problems that don't exist, Logitech CEO says — also details supply chain and pricing strategy
    Hanneke Faber argues that dedicated AI devices have yet to justify themselves as Logitech focuses on practical integrations.
    0 Comments 0 Shares 32 Views 0 Reviews
  • iMac G3 กลับมาในร่าง M4-powered

    นักโมดิฟาย YouTube ชื่อ Zac Builds ได้สร้างโปรเจกต์สุดเจ๋ง โดยนำ iMac G3 รุ่นคลาสสิกจากยุค 90s มาดัดแปลงใหม่ให้กลายเป็น M4 iMac G3 ที่ใช้งานได้จริง ด้วยการใส่ Mac mini รุ่นใหม่, จอ 4K OLED และชิ้นส่วน 3D-printed เพื่อเสริมความแข็งแรง

    โปรเจกต์นี้เริ่มจากการรื้อ iMac G3 ออกทั้งหมด เหลือเพียงโครงและเคสใสสีขาว จากนั้น Zac ใช้เครื่องพิมพ์ 3D สร้างชิ้นส่วนเสริมเพื่อให้โครงแข็งแรงขึ้น ก่อนจะติดตั้ง Mac mini รุ่น M4 เป็นสมองหลักของเครื่อง พร้อมระบบไฟที่ดัดแปลงจาก power supply เดิมของ G3

    การปรับแต่งและอัปเกรด
    เพิ่ม ลำโพงใหม่ พร้อมแอมป์ดิจิทัล 200 วัตต์ เพื่อแทนที่ลำโพงเดิมที่เสียหาย
    ติดตั้ง Dock SSD เพื่อขยายความจุโดยไม่ต้องจ่ายแพงให้ Apple
    สร้างพอร์ตใหม่ เช่น Thunderbolt, USB-C, USB-A และ Ethernet ผ่านชิ้นส่วน 3D-printed
    ใส่ จอ 14 นิ้ว 4K OLED พร้อมตัวแปลงที่ทำให้หน้าจอเข้ากับเคสโค้งของ G3 ได้อย่างลงตัว

    ความหมายและผลกระทบ
    โปรเจกต์นี้ไม่เพียงแต่สร้างความ nostalgia ให้กับผู้ใช้ที่เคยสัมผัส iMac G3 ในยุค 90s แต่ยังสะท้อนถึงการผสมผสานระหว่าง ดีไซน์คลาสสิกกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ทำให้เครื่องใช้งานได้จริงในปัจจุบัน แม้ภายในจะเต็มไปด้วยสายไฟที่ดูยุ่งเหยิง แต่ก็เป็นตัวอย่างที่ดีของการรีไซเคิลและการสร้างสรรค์ในวงการ maker

    ข้อควรระวัง
    แม้โปรเจกต์นี้จะน่าสนใจ แต่การดัดแปลงลักษณะนี้ต้องใช้ความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์และการพิมพ์ 3D ขั้นสูง หากทำผิดพลาดอาจทำให้เครื่องเสียหายหรือเกิดอันตรายจากไฟฟ้าได้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Zac Builds ดัดแปลง iMac G3 เป็น M4 iMac G3
    ใช้ Mac mini รุ่นใหม่และจอ 4K OLED

    การปรับแต่งด้วย 3D Printing และอุปกรณ์ใหม่
    เพิ่มพอร์ต, ลำโพง, SSD dock และแอมป์ดิจิทัล

    ความหมายเชิง nostalgia และการรีไซเคิล
    ผสมผสานดีไซน์คลาสสิกกับเทคโนโลยีสมัยใหม่

    คำเตือนสำหรับผู้ที่อยากทำตาม
    ต้องมีความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์และการพิมพ์ 3D
    เสี่ยงต่อความเสียหายและอันตรายจากไฟฟ้าหากทำผิดพลาด

    https://www.tomshardware.com/maker-stem/intrepid-modder-builds-an-m4-powered-4k-imac-g3-with-3d-printed-parts-guts-90s-all-in-one-and-replaces-internals-with-a-mac-mini-and-an-oled-screen
    🖥️ iMac G3 กลับมาในร่าง M4-powered นักโมดิฟาย YouTube ชื่อ Zac Builds ได้สร้างโปรเจกต์สุดเจ๋ง โดยนำ iMac G3 รุ่นคลาสสิกจากยุค 90s มาดัดแปลงใหม่ให้กลายเป็น M4 iMac G3 ที่ใช้งานได้จริง ด้วยการใส่ Mac mini รุ่นใหม่, จอ 4K OLED และชิ้นส่วน 3D-printed เพื่อเสริมความแข็งแรง โปรเจกต์นี้เริ่มจากการรื้อ iMac G3 ออกทั้งหมด เหลือเพียงโครงและเคสใสสีขาว จากนั้น Zac ใช้เครื่องพิมพ์ 3D สร้างชิ้นส่วนเสริมเพื่อให้โครงแข็งแรงขึ้น ก่อนจะติดตั้ง Mac mini รุ่น M4 เป็นสมองหลักของเครื่อง พร้อมระบบไฟที่ดัดแปลงจาก power supply เดิมของ G3 🔧 การปรับแต่งและอัปเกรด 💠 เพิ่ม ลำโพงใหม่ พร้อมแอมป์ดิจิทัล 200 วัตต์ เพื่อแทนที่ลำโพงเดิมที่เสียหาย 💠 ติดตั้ง Dock SSD เพื่อขยายความจุโดยไม่ต้องจ่ายแพงให้ Apple 💠 สร้างพอร์ตใหม่ เช่น Thunderbolt, USB-C, USB-A และ Ethernet ผ่านชิ้นส่วน 3D-printed 💠 ใส่ จอ 14 นิ้ว 4K OLED พร้อมตัวแปลงที่ทำให้หน้าจอเข้ากับเคสโค้งของ G3 ได้อย่างลงตัว 🌍 ความหมายและผลกระทบ โปรเจกต์นี้ไม่เพียงแต่สร้างความ nostalgia ให้กับผู้ใช้ที่เคยสัมผัส iMac G3 ในยุค 90s แต่ยังสะท้อนถึงการผสมผสานระหว่าง ดีไซน์คลาสสิกกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ทำให้เครื่องใช้งานได้จริงในปัจจุบัน แม้ภายในจะเต็มไปด้วยสายไฟที่ดูยุ่งเหยิง แต่ก็เป็นตัวอย่างที่ดีของการรีไซเคิลและการสร้างสรรค์ในวงการ maker ⚠️ ข้อควรระวัง แม้โปรเจกต์นี้จะน่าสนใจ แต่การดัดแปลงลักษณะนี้ต้องใช้ความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์และการพิมพ์ 3D ขั้นสูง หากทำผิดพลาดอาจทำให้เครื่องเสียหายหรือเกิดอันตรายจากไฟฟ้าได้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Zac Builds ดัดแปลง iMac G3 เป็น M4 iMac G3 ➡️ ใช้ Mac mini รุ่นใหม่และจอ 4K OLED ✅ การปรับแต่งด้วย 3D Printing และอุปกรณ์ใหม่ ➡️ เพิ่มพอร์ต, ลำโพง, SSD dock และแอมป์ดิจิทัล ✅ ความหมายเชิง nostalgia และการรีไซเคิล ➡️ ผสมผสานดีไซน์คลาสสิกกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ที่อยากทำตาม ⛔ ต้องมีความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์และการพิมพ์ 3D ⛔ เสี่ยงต่อความเสียหายและอันตรายจากไฟฟ้าหากทำผิดพลาด https://www.tomshardware.com/maker-stem/intrepid-modder-builds-an-m4-powered-4k-imac-g3-with-3d-printed-parts-guts-90s-all-in-one-and-replaces-internals-with-a-mac-mini-and-an-oled-screen
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 Reviews
  • Nvidia ใจป้ำ เปลี่ยนการ์ดจอ 10,000 ดอลลาร์ให้ลูกค้า

    Nvidia สร้างความประหลาดใจให้วงการฮาร์ดแวร์ด้วยการ เปลี่ยนการ์ดจอ RTX Pro 6000 มูลค่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐทั้งใบ ให้ลูกค้าที่ทำเสียหายเองระหว่างการขนส่ง พร้อมทั้งขอคืนการ์ดที่เสียเพื่อทำการตรวจสอบและแก้ไข

    กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ลืมถอดการ์ดจอ RTX Pro 6000 ออกจากเครื่องก่อนส่งไปยังอีกสถานที่ ทำให้ ขั้ว PCIe หักครึ่ง และไม่สามารถใช้งานได้ NorthridgeFix ซึ่งเป็นร้านซ่อมชื่อดังรายงานว่า Nvidia ไม่เพียงแต่ส่งการ์ดใหม่ให้ แต่ยังขอคืนการ์ดที่เสียเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติม

    นโยบายที่ไม่เหมือนใคร
    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Nvidiaทำเช่นนี้ ก่อนหน้านี้เคยมีกรณีลูกค้าทำการ์ด RTX 5090 Founders Edition เสียหายจากการติดตั้งชุดน้ำ และแม้จะถือว่าหมดประกันแล้ว Nvidia ก็ยังส่งการ์ดใหม่ให้ การกระทำเช่นนี้สะท้อนถึง ความยืดหยุ่นและความใจกว้าง ของบริษัท แม้จะไม่เปิดขายอะไหล่ซ่อมแซมให้กับร้านภายนอก

    ผลกระทบต่อผู้ใช้และตลาด
    การตัดสินใจของ Nvidia ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้ระดับมืออาชีพที่ลงทุนกับการ์ดราคาสูง แต่ก็สะท้อนถึงปัญหาที่บริษัทไม่ยอมขายอะไหล่แยก เช่น ขั้ว PCIe หรือพอร์ตแสดงผล ทั้งที่สามารถเปลี่ยนได้ง่าย หากมีอะไหล่จำหน่ายทั่วไป ผู้ใช้จะไม่ต้องพึ่งการเปลี่ยนทั้งใบที่มีราคาสูง

    ข้อควรระวัง
    แม้จะเป็นเรื่องดีสำหรับผู้ใช้ แต่ก็ไม่ใช่นโยบายที่รับประกันว่าจะเกิดขึ้นกับทุกกรณี การซ่อมแซมการ์ดจอ Nvidia ยังคงเป็นเรื่องยากและมีค่าใช้จ่ายสูง หากผู้ใช้ทำเสียหายเองโดยไม่ได้รับการสนับสนุน อาจต้องแบกรับต้นทุนมหาศาล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Nvidia เปลี่ยนการ์ด RTX Pro 6000 มูลค่า 10,000 ดอลลาร์ให้ลูกค้า
    แม้ลูกค้าจะทำเสียหายเองระหว่างการขนส่ง

    ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Nvidia ใจป้ำ
    เคยเปลี่ยนการ์ด RTX 5090 FE ที่ลูกค้าทำเสียหายจากการติดตั้งชุดน้ำ

    ผลกระทบต่อผู้ใช้และตลาด
    สร้างความเชื่อมั่น แต่สะท้อนปัญหาที่ Nvidia ไม่ขายอะไหล่แยก

    คำเตือนต่อผู้ใช้
    ไม่ใช่นโยบายที่รับประกันว่าจะได้การ์ดใหม่ทุกกรณี
    หากทำเสียหายเอง อาจต้องแบกรับค่าใช้จ่ายมหาศาล

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-replaces-entire-usd10-000-rtx-pro-6000-graphics-card-of-stricken-user-who-broke-it-in-transit-company-offers-to-ship-replacement-and-troubleshoot-busted-gpu
    💻 Nvidia ใจป้ำ เปลี่ยนการ์ดจอ 10,000 ดอลลาร์ให้ลูกค้า Nvidia สร้างความประหลาดใจให้วงการฮาร์ดแวร์ด้วยการ เปลี่ยนการ์ดจอ RTX Pro 6000 มูลค่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐทั้งใบ ให้ลูกค้าที่ทำเสียหายเองระหว่างการขนส่ง พร้อมทั้งขอคืนการ์ดที่เสียเพื่อทำการตรวจสอบและแก้ไข กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ลืมถอดการ์ดจอ RTX Pro 6000 ออกจากเครื่องก่อนส่งไปยังอีกสถานที่ ทำให้ ขั้ว PCIe หักครึ่ง และไม่สามารถใช้งานได้ NorthridgeFix ซึ่งเป็นร้านซ่อมชื่อดังรายงานว่า Nvidia ไม่เพียงแต่ส่งการ์ดใหม่ให้ แต่ยังขอคืนการ์ดที่เสียเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติม 🔧 นโยบายที่ไม่เหมือนใคร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Nvidiaทำเช่นนี้ ก่อนหน้านี้เคยมีกรณีลูกค้าทำการ์ด RTX 5090 Founders Edition เสียหายจากการติดตั้งชุดน้ำ และแม้จะถือว่าหมดประกันแล้ว Nvidia ก็ยังส่งการ์ดใหม่ให้ การกระทำเช่นนี้สะท้อนถึง ความยืดหยุ่นและความใจกว้าง ของบริษัท แม้จะไม่เปิดขายอะไหล่ซ่อมแซมให้กับร้านภายนอก 🌍 ผลกระทบต่อผู้ใช้และตลาด การตัดสินใจของ Nvidia ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้ระดับมืออาชีพที่ลงทุนกับการ์ดราคาสูง แต่ก็สะท้อนถึงปัญหาที่บริษัทไม่ยอมขายอะไหล่แยก เช่น ขั้ว PCIe หรือพอร์ตแสดงผล ทั้งที่สามารถเปลี่ยนได้ง่าย หากมีอะไหล่จำหน่ายทั่วไป ผู้ใช้จะไม่ต้องพึ่งการเปลี่ยนทั้งใบที่มีราคาสูง ⚠️ ข้อควรระวัง แม้จะเป็นเรื่องดีสำหรับผู้ใช้ แต่ก็ไม่ใช่นโยบายที่รับประกันว่าจะเกิดขึ้นกับทุกกรณี การซ่อมแซมการ์ดจอ Nvidia ยังคงเป็นเรื่องยากและมีค่าใช้จ่ายสูง หากผู้ใช้ทำเสียหายเองโดยไม่ได้รับการสนับสนุน อาจต้องแบกรับต้นทุนมหาศาล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Nvidia เปลี่ยนการ์ด RTX Pro 6000 มูลค่า 10,000 ดอลลาร์ให้ลูกค้า ➡️ แม้ลูกค้าจะทำเสียหายเองระหว่างการขนส่ง ✅ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Nvidia ใจป้ำ ➡️ เคยเปลี่ยนการ์ด RTX 5090 FE ที่ลูกค้าทำเสียหายจากการติดตั้งชุดน้ำ ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้และตลาด ➡️ สร้างความเชื่อมั่น แต่สะท้อนปัญหาที่ Nvidia ไม่ขายอะไหล่แยก ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ ไม่ใช่นโยบายที่รับประกันว่าจะได้การ์ดใหม่ทุกกรณี ⛔ หากทำเสียหายเอง อาจต้องแบกรับค่าใช้จ่ายมหาศาล https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-replaces-entire-usd10-000-rtx-pro-6000-graphics-card-of-stricken-user-who-broke-it-in-transit-company-offers-to-ship-replacement-and-troubleshoot-busted-gpu
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Nvidia replaces entire $10,000 RTX Pro 6000 graphics card of stricken user who broke it in transit — company offers to ship replacement and troubleshoot busted GPU
    Nvidia won't send customers replacement parts to fix their cards themselves, but apparently, Nvidia will send them replacement units, even if the customer is at fault for the damage.
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: SAFE Chips Act จำกัดการส่งออกชิป AI ไปจีน

    ร่างกฎหมาย SAFE Chips Act (Secure and Feasible Exports of Chips Act of 2025) ถูกเสนอโดยกลุ่มวุฒิสมาชิกทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครต มีเป้าหมายเพื่อ ล็อกกฎควบคุมการส่งออกชิป AI และ HPC ที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เคยออกไว้แล้วให้กลายเป็นกฎหมายถาวร หากผ่าน จะทำให้บริษัทอย่าง Nvidia และ AMD ไม่สามารถขายชิปสถาปัตยกรรมใหม่ เช่น Blackwell หรือ MI355X ให้กับจีนได้ในช่วง 30 เดือนข้างหน้า

    รายละเอียดทางเทคนิคของข้อจำกัด
    ชิปที่ถูกจัดว่าเป็น “ขั้นสูง” จะถูกควบคุมตามเกณฑ์ ECCN 3A090/4A090
    เกณฑ์ครอบคลุมค่าประสิทธิภาพ เช่น TPP ≥ 4,800, แบนด์วิดท์ DRAM ≥ 4,100 GB/s, และแบนด์วิดท์รวม DRAM+Interconnect ≥ 5,000 GB/s
    Nvidia และ AMD จึงสามารถขายได้เพียง H20 และ MI308 ที่ถูกออกแบบให้ต่ำกว่าเกณฑ์ดังกล่าว

    ผลกระทบต่อการแข่งขัน
    แม้ Nvidia และ AMD จะยังสามารถขายรุ่นลดสเปกให้จีน แต่คู่แข่งในประเทศ เช่น Huawei Ascend 910C และ Ascend 950 กำลังพัฒนาได้เร็วกว่าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า ทำให้จีนอาจลดการพึ่งพาชิปจากสหรัฐฯ และเร่งสร้างระบบนิเวศของตัวเอง ขณะที่ Nvidia เตือนว่าการห้ามขายชิปขั้นสูงอาจทำให้บริษัทสูญเสียตลาดและเปิดโอกาสให้จีนครองความเป็นผู้นำในอนาคต

    ความเสี่ยงและข้อกังวล
    ร่างกฎหมายนี้ยังต้องผ่านการพิจารณาของสภาคองเกรส แต่หากบังคับใช้จริง อาจกระทบต่อรายได้ของบริษัทสหรัฐฯ และการลงทุนด้าน R&D ขณะเดียวกันก็อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเร็วขึ้น ซึ่งอาจสร้างผลกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในระยะยาว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    SAFE Chips Act เสนอจำกัดการส่งออกชิป AI ขั้นสูงไปจีน
    อนุญาตให้ขายเฉพาะ Nvidia H20 และ AMD MI308 จนถึงปี 2028

    ข้อจำกัดทางเทคนิคตาม ECCN 3A090/4A090
    ครอบคลุมค่าประสิทธิภาพ TPP, DRAM และ Interconnect bandwidth

    ผลกระทบต่อการแข่งขัน
    จีนเร่งพัฒนา Huawei Ascend ที่แรงกว่า H20 และ MI308

    คำเตือนและข้อกังวล
    Nvidia อาจสูญเสียตลาดและรายได้มหาศาล
    การห้ามขายอาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีเร็วขึ้นและลดการพึ่งพาสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/senators-lobby-for-safe-chips-act-which-would-curb-leading-edge-ai-chip-exports-to-china-proposed-bill-would-restrict-amd-and-nvidia-to-h20-mi308-class-accelerator-sales-until-2028
    🏛️ ข่าวใหญ่: SAFE Chips Act จำกัดการส่งออกชิป AI ไปจีน ร่างกฎหมาย SAFE Chips Act (Secure and Feasible Exports of Chips Act of 2025) ถูกเสนอโดยกลุ่มวุฒิสมาชิกทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครต มีเป้าหมายเพื่อ ล็อกกฎควบคุมการส่งออกชิป AI และ HPC ที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เคยออกไว้แล้วให้กลายเป็นกฎหมายถาวร หากผ่าน จะทำให้บริษัทอย่าง Nvidia และ AMD ไม่สามารถขายชิปสถาปัตยกรรมใหม่ เช่น Blackwell หรือ MI355X ให้กับจีนได้ในช่วง 30 เดือนข้างหน้า 🔧 รายละเอียดทางเทคนิคของข้อจำกัด 💠 ชิปที่ถูกจัดว่าเป็น “ขั้นสูง” จะถูกควบคุมตามเกณฑ์ ECCN 3A090/4A090 💠 เกณฑ์ครอบคลุมค่าประสิทธิภาพ เช่น TPP ≥ 4,800, แบนด์วิดท์ DRAM ≥ 4,100 GB/s, และแบนด์วิดท์รวม DRAM+Interconnect ≥ 5,000 GB/s 💠 Nvidia และ AMD จึงสามารถขายได้เพียง H20 และ MI308 ที่ถูกออกแบบให้ต่ำกว่าเกณฑ์ดังกล่าว 🌍 ผลกระทบต่อการแข่งขัน แม้ Nvidia และ AMD จะยังสามารถขายรุ่นลดสเปกให้จีน แต่คู่แข่งในประเทศ เช่น Huawei Ascend 910C และ Ascend 950 กำลังพัฒนาได้เร็วกว่าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า ทำให้จีนอาจลดการพึ่งพาชิปจากสหรัฐฯ และเร่งสร้างระบบนิเวศของตัวเอง ขณะที่ Nvidia เตือนว่าการห้ามขายชิปขั้นสูงอาจทำให้บริษัทสูญเสียตลาดและเปิดโอกาสให้จีนครองความเป็นผู้นำในอนาคต ⚠️ ความเสี่ยงและข้อกังวล ร่างกฎหมายนี้ยังต้องผ่านการพิจารณาของสภาคองเกรส แต่หากบังคับใช้จริง อาจกระทบต่อรายได้ของบริษัทสหรัฐฯ และการลงทุนด้าน R&D ขณะเดียวกันก็อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเร็วขึ้น ซึ่งอาจสร้างผลกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในระยะยาว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ SAFE Chips Act เสนอจำกัดการส่งออกชิป AI ขั้นสูงไปจีน ➡️ อนุญาตให้ขายเฉพาะ Nvidia H20 และ AMD MI308 จนถึงปี 2028 ✅ ข้อจำกัดทางเทคนิคตาม ECCN 3A090/4A090 ➡️ ครอบคลุมค่าประสิทธิภาพ TPP, DRAM และ Interconnect bandwidth ✅ ผลกระทบต่อการแข่งขัน ➡️ จีนเร่งพัฒนา Huawei Ascend ที่แรงกว่า H20 และ MI308 ‼️ คำเตือนและข้อกังวล ⛔ Nvidia อาจสูญเสียตลาดและรายได้มหาศาล ⛔ การห้ามขายอาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีเร็วขึ้นและลดการพึ่งพาสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/senators-lobby-for-safe-chips-act-which-would-curb-leading-edge-ai-chip-exports-to-china-proposed-bill-would-restrict-amd-and-nvidia-to-h20-mi308-class-accelerator-sales-until-2028
    0 Comments 0 Shares 48 Views 0 Reviews
  • Cloudflare ป้องกันบอท AI 416 พันล้านครั้ง
    Matthew Prince ซีอีโอของ Cloudflare ระบุว่า บริษัทได้ทำให้การบล็อกบอท AI เป็นค่าเริ่มต้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2025 ภายใต้โครงการ Content Independence Day โดยเว็บไซต์สามารถเลือกได้ว่าจะอนุญาตให้ AI เข้าถึงข้อมูลหรือไม่ หากไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์ก็จะถูกบล็อกทันที ยกเว้น Google ที่รวมการทำงานของ crawler สำหรับ Search และ AI เข้าด้วยกัน ทำให้ไม่สามารถบล็อก AI โดยไม่กระทบต่อการจัดอันดับใน Search ได้

    ผลกระทบต่อโมเดลธุรกิจอินเทอร์เน็ต
    Prince เตือนว่า โมเดลธุรกิจอินเทอร์เน็ตกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากเดิมที่เว็บไซต์สร้างรายได้จากการเข้าชมของมนุษย์ผ่านโฆษณาและการสมัครสมาชิก แต่เมื่อ AI เข้ามาเก็บข้อมูลโดยตรงและสร้างสรุปให้ผู้ใช้ การเข้าชมเว็บไซต์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้รายได้ของผู้สร้างคอนเทนต์ถูกกระทบหนัก

    ความเสี่ยงและความท้าทาย
    แม้การบล็อกบอท AI จะช่วยปกป้องผู้สร้างคอนเทนต์ แต่ก็ทำให้เกิดความท้าทายใหม่ เช่น การพึ่งพาบริษัทใหญ่ไม่กี่รายที่ควบคุมโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต (AWS, Azure, Cloudflare, Google) หากระบบเหล่านี้ล่มหรือถูกโจมตี อาจสร้างความเสียหายมหาศาลต่อธุรกิจทั่วโลก

    คำเตือนจาก Cloudflare
    Prince ระบุว่า หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม อนาคตอินเทอร์เน็ตอาจถูกครอบงำโดย AI ที่ใช้ข้อมูลจากมนุษย์โดยไม่จ่ายค่าตอบแทน ซึ่งจะทำให้คอนเทนต์ที่มีคุณภาพลดลง และผู้สร้างอิสระไม่สามารถแข่งขันได้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Cloudflare บล็อกบอท AI กว่า 416 พันล้านครั้งใน 5 เดือน
    เปิดตัวโครงการ Content Independence Day ให้เว็บไซต์เลือกบล็อก AI ได้

    โมเดลธุรกิจอินเทอร์เน็ตกำลังเปลี่ยนแปลง
    การเข้าชมจากมนุษย์ลดลงเพราะ AI สรุปข้อมูลแทน

    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาบริษัทใหญ่ไม่กี่ราย
    หากระบบล่มหรือถูกโจมตี อาจกระทบอินเทอร์เน็ตทั่วโลก

    คำเตือนจาก Cloudflare
    อนาคตอินเทอร์เน็ตอาจถูกครอบงำโดย AI หากไม่จ่ายค่าตอบแทนผู้สร้างคอนเทนต์
    คุณภาพคอนเทนต์อาจลดลง และผู้สร้างอิสระอาจไม่สามารถแข่งขันได้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/cloudflare-says-it-has-fended-off-416-billion-ai-bot-scrape-requests-in-five-months-ceo-warns-of-dramatic-shift-for-internet-business-model
    🌐 Cloudflare ป้องกันบอท AI 416 พันล้านครั้ง Matthew Prince ซีอีโอของ Cloudflare ระบุว่า บริษัทได้ทำให้การบล็อกบอท AI เป็นค่าเริ่มต้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2025 ภายใต้โครงการ Content Independence Day โดยเว็บไซต์สามารถเลือกได้ว่าจะอนุญาตให้ AI เข้าถึงข้อมูลหรือไม่ หากไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์ก็จะถูกบล็อกทันที ยกเว้น Google ที่รวมการทำงานของ crawler สำหรับ Search และ AI เข้าด้วยกัน ทำให้ไม่สามารถบล็อก AI โดยไม่กระทบต่อการจัดอันดับใน Search ได้ 💡 ผลกระทบต่อโมเดลธุรกิจอินเทอร์เน็ต Prince เตือนว่า โมเดลธุรกิจอินเทอร์เน็ตกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากเดิมที่เว็บไซต์สร้างรายได้จากการเข้าชมของมนุษย์ผ่านโฆษณาและการสมัครสมาชิก แต่เมื่อ AI เข้ามาเก็บข้อมูลโดยตรงและสร้างสรุปให้ผู้ใช้ การเข้าชมเว็บไซต์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้รายได้ของผู้สร้างคอนเทนต์ถูกกระทบหนัก 📊 ความเสี่ยงและความท้าทาย แม้การบล็อกบอท AI จะช่วยปกป้องผู้สร้างคอนเทนต์ แต่ก็ทำให้เกิดความท้าทายใหม่ เช่น การพึ่งพาบริษัทใหญ่ไม่กี่รายที่ควบคุมโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต (AWS, Azure, Cloudflare, Google) หากระบบเหล่านี้ล่มหรือถูกโจมตี อาจสร้างความเสียหายมหาศาลต่อธุรกิจทั่วโลก ⚠️ คำเตือนจาก Cloudflare Prince ระบุว่า หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม อนาคตอินเทอร์เน็ตอาจถูกครอบงำโดย AI ที่ใช้ข้อมูลจากมนุษย์โดยไม่จ่ายค่าตอบแทน ซึ่งจะทำให้คอนเทนต์ที่มีคุณภาพลดลง และผู้สร้างอิสระไม่สามารถแข่งขันได้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Cloudflare บล็อกบอท AI กว่า 416 พันล้านครั้งใน 5 เดือน ➡️ เปิดตัวโครงการ Content Independence Day ให้เว็บไซต์เลือกบล็อก AI ได้ ✅ โมเดลธุรกิจอินเทอร์เน็ตกำลังเปลี่ยนแปลง ➡️ การเข้าชมจากมนุษย์ลดลงเพราะ AI สรุปข้อมูลแทน ✅ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาบริษัทใหญ่ไม่กี่ราย ➡️ หากระบบล่มหรือถูกโจมตี อาจกระทบอินเทอร์เน็ตทั่วโลก ‼️ คำเตือนจาก Cloudflare ⛔ อนาคตอินเทอร์เน็ตอาจถูกครอบงำโดย AI หากไม่จ่ายค่าตอบแทนผู้สร้างคอนเทนต์ ⛔ คุณภาพคอนเทนต์อาจลดลง และผู้สร้างอิสระอาจไม่สามารถแข่งขันได้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/cloudflare-says-it-has-fended-off-416-billion-ai-bot-scrape-requests-in-five-months-ceo-warns-of-dramatic-shift-for-internet-business-model
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews