• การกระทำดีๆ ที่ควรสอนลูก ทำให้ดู สืบต่อกันไป ความมีน้ำใจที่ดีของคนไทย

    https://youtu.be/8gGUW6jd36E?si=SZ5r-xXTmm6V02pn
    การกระทำดีๆ ที่ควรสอนลูก ทำให้ดู สืบต่อกันไป ความมีน้ำใจที่ดีของคนไทย https://youtu.be/8gGUW6jd36E?si=SZ5r-xXTmm6V02pn
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • 0 Comments 0 Shares 3 Views 0 Reviews
  • บังคับอะไรได้
    Cr.Wiwan Boonya
    บังคับอะไรได้ Cr.Wiwan Boonya
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • EP 72
    ข่าวดีที่ทองยืนได้ที่ 4070 USD ให้เป็นแนวโน้มขาขึ้น
    EP 72 ข่าวดีที่ทองยืนได้ที่ 4070 USD ให้เป็นแนวโน้มขาขึ้น
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 0 Reviews
  • ทบ.โต้ "ฮุนเซน" ย้ำศพทหารชายแดนคือเขมร เตือนมาเก็บหลายครั้งแต่เฉย ซัดเล่นสกปรกเป็นนิจ ปั่นข่าวบิดเบือนใส่ร้ายทหารไทย , โฆษกกองทัพบกระบุศพที่ตกค้างเป็นทหารกัมพูชาจากเหตุปะทะ ก.ค.68 ขณะที่ประเด็นเชลยศึกและข้อกล่าวหาใหม่ถูกชี้ว่าเป็นข้อมูลบิดเบือน

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110281

    #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพบก #ฮุนเซน #ความมั่นคง #ข่าวการเมือง #News1live #News1
    ทบ.โต้ "ฮุนเซน" ย้ำศพทหารชายแดนคือเขมร เตือนมาเก็บหลายครั้งแต่เฉย ซัดเล่นสกปรกเป็นนิจ ปั่นข่าวบิดเบือนใส่ร้ายทหารไทย , โฆษกกองทัพบกระบุศพที่ตกค้างเป็นทหารกัมพูชาจากเหตุปะทะ ก.ค.68 ขณะที่ประเด็นเชลยศึกและข้อกล่าวหาใหม่ถูกชี้ว่าเป็นข้อมูลบิดเบือน • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110281 • #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพบก #ฮุนเซน #ความมั่นคง #ข่าวการเมือง #News1live #News1
    Haha
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 41 Views 0 Reviews
  • 0 Comments 0 Shares 3 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/na-0MbvWHxU?si=9zdZ2_ozy_Tuh7VB
    https://youtu.be/na-0MbvWHxU?si=9zdZ2_ozy_Tuh7VB
    0 Comments 0 Shares 3 Views 0 Reviews
  • EP 73
    ติดตามต่อ CCET
    BY.
    EP 73 ติดตามต่อ CCET BY.
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 0 Reviews
  • วิกฤติ Cloudflare สะเทือนทั่วโลก: จาก X ถึง McDonald’s

    การล่มของระบบ Cloudflare ล่าสุดสร้างผลกระทบเป็นวงกว้างต่อบริการออนไลน์ทั่วโลก ตั้งแต่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง X (Twitter เดิม) ไปจนถึงระบบสั่งอาหารของ McDonald’s และแม้แต่บริการ AI อย่าง ChatGPT ก็ได้รับผลกระทบด้วย เหตุการณ์นี้เกิดจาก “traffic spike” ที่ผิดปกติ จนทำให้ระบบเครือข่ายของ Cloudflareล้มเหลวในหลายส่วน แม้จะมีการยืนยันว่าไม่ใช่การโจมตี แต่ความผิดพลาดจากการปรับแต่งระบบภายในกลับสร้างความเสียหายครั้งใหญ่

    เบื้องหลังปัญหา: Bug ที่ซ่อนอยู่ในระบบ
    CTO ของ Cloudflare ออกมายอมรับตรงไปตรงมาว่าเป็นความผิดพลาดจากการปรับค่าการทำงานของระบบ bot mitigation ที่มี bug แฝงอยู่ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็ทำให้ระบบ crash และลุกลามไปทั่วเครือข่าย ผลที่ตามมาคือการหยุดชะงักของบริการจำนวนมาก ทั้งเว็บไซต์ข่าว, เกมออนไลน์อย่าง RuneScape, ไปจนถึงเครื่องมือทำงานอย่าง Canva และ VPN หลายเจ้า

    ผลกระทบที่ไม่คาดคิด: จากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึงโรงเรียนอนุบาล
    สิ่งที่น่าตกใจคือระบบ PADS ซึ่งใช้ตรวจสอบบุคลากรในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็ได้รับผลกระทบ ทำให้การเข้าถึงบุคลากรต้องหยุดชะงัก แม้จะไม่กระทบต่อการเดินเครื่อง แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานเดียวกัน ขณะเดียวกันในชีวิตประจำวัน เช่น ศูนย์เด็กเล็กที่เคยใช้แอปเชื่อมต่อกับผู้ปกครอง ก็ต้องหันกลับไปใช้วิธีบันทึกด้วยมือเหมือนยุค 90

    บทเรียนและอนาคตของโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต
    เหตุการณ์นี้ตอกย้ำความเปราะบางของระบบอินเทอร์เน็ตที่พึ่งพาผู้ให้บริการรายใหญ่เพียงไม่กี่เจ้า แม้ Cloudflare จะเร่งแก้ไขและสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดซ้ำ แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าธุรกิจและสังคมควรมีระบบสำรองและแผนรับมือที่ดีกว่าเดิม เพื่อไม่ให้การหยุดชะงักของผู้ให้บริการรายเดียวส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปทั่วโลก

    สรุปสาระสำคัญ
    สาเหตุของการล่ม
    เกิดจาก bug ในระบบ bot mitigation หลังการปรับค่าการทำงาน
    ไม่ใช่การโจมตี DDoS แต่เป็นความผิดพลาดภายใน

    ผลกระทบที่เกิดขึ้น
    บริการออนไลน์ทั่วโลก เช่น X, ChatGPT, McDonald’s, Canva, RuneScape ได้รับผลกระทบ
    ระบบตรวจสอบบุคลากรโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ (PADS) หยุดชะงักชั่วคราว
    ศูนย์เด็กเล็กและธุรกิจรายย่อยต้องหันกลับไปใช้วิธี manual

    การแก้ไขและคำชี้แจง
    Cloudflare ยืนยันว่ากำลังแก้ไขและระบบเริ่มกลับมาทำงาน
    CTO ออกมาขอโทษและสัญญาว่าจะปรับปรุงเพื่อไม่ให้เกิดซ้ำ

    คำเตือนจากเหตุการณ์
    การพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานจากผู้ให้บริการรายเดียวเสี่ยงต่อการหยุดชะงักวงกว้าง
    ธุรกิจและองค์กรควรมีระบบสำรองและแผนรับมือกรณีฉุกเฉิน
    เหตุการณ์นี้สะท้อนความเปราะบางของอินเทอร์เน็ตโลกที่อาจเกิดซ้ำได้

    https://www.tomshardware.com/news/live/cloudflare-outage-under-investigation-as-twitter-downdetector-go-down-company-confirms-global-network-issue-clone
    🌐 วิกฤติ Cloudflare สะเทือนทั่วโลก: จาก X ถึง McDonald’s การล่มของระบบ Cloudflare ล่าสุดสร้างผลกระทบเป็นวงกว้างต่อบริการออนไลน์ทั่วโลก ตั้งแต่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง X (Twitter เดิม) ไปจนถึงระบบสั่งอาหารของ McDonald’s และแม้แต่บริการ AI อย่าง ChatGPT ก็ได้รับผลกระทบด้วย เหตุการณ์นี้เกิดจาก “traffic spike” ที่ผิดปกติ จนทำให้ระบบเครือข่ายของ Cloudflareล้มเหลวในหลายส่วน แม้จะมีการยืนยันว่าไม่ใช่การโจมตี แต่ความผิดพลาดจากการปรับแต่งระบบภายในกลับสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ ⚙️ เบื้องหลังปัญหา: Bug ที่ซ่อนอยู่ในระบบ CTO ของ Cloudflare ออกมายอมรับตรงไปตรงมาว่าเป็นความผิดพลาดจากการปรับค่าการทำงานของระบบ bot mitigation ที่มี bug แฝงอยู่ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็ทำให้ระบบ crash และลุกลามไปทั่วเครือข่าย ผลที่ตามมาคือการหยุดชะงักของบริการจำนวนมาก ทั้งเว็บไซต์ข่าว, เกมออนไลน์อย่าง RuneScape, ไปจนถึงเครื่องมือทำงานอย่าง Canva และ VPN หลายเจ้า 🏭 ผลกระทบที่ไม่คาดคิด: จากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึงโรงเรียนอนุบาล สิ่งที่น่าตกใจคือระบบ PADS ซึ่งใช้ตรวจสอบบุคลากรในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็ได้รับผลกระทบ ทำให้การเข้าถึงบุคลากรต้องหยุดชะงัก แม้จะไม่กระทบต่อการเดินเครื่อง แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานเดียวกัน ขณะเดียวกันในชีวิตประจำวัน เช่น ศูนย์เด็กเล็กที่เคยใช้แอปเชื่อมต่อกับผู้ปกครอง ก็ต้องหันกลับไปใช้วิธีบันทึกด้วยมือเหมือนยุค 90 🔮 บทเรียนและอนาคตของโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต เหตุการณ์นี้ตอกย้ำความเปราะบางของระบบอินเทอร์เน็ตที่พึ่งพาผู้ให้บริการรายใหญ่เพียงไม่กี่เจ้า แม้ Cloudflare จะเร่งแก้ไขและสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดซ้ำ แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าธุรกิจและสังคมควรมีระบบสำรองและแผนรับมือที่ดีกว่าเดิม เพื่อไม่ให้การหยุดชะงักของผู้ให้บริการรายเดียวส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปทั่วโลก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ สาเหตุของการล่ม ➡️ เกิดจาก bug ในระบบ bot mitigation หลังการปรับค่าการทำงาน ➡️ ไม่ใช่การโจมตี DDoS แต่เป็นความผิดพลาดภายใน ✅ ผลกระทบที่เกิดขึ้น ➡️ บริการออนไลน์ทั่วโลก เช่น X, ChatGPT, McDonald’s, Canva, RuneScape ได้รับผลกระทบ ➡️ ระบบตรวจสอบบุคลากรโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ (PADS) หยุดชะงักชั่วคราว ➡️ ศูนย์เด็กเล็กและธุรกิจรายย่อยต้องหันกลับไปใช้วิธี manual ✅ การแก้ไขและคำชี้แจง ➡️ Cloudflare ยืนยันว่ากำลังแก้ไขและระบบเริ่มกลับมาทำงาน ➡️ CTO ออกมาขอโทษและสัญญาว่าจะปรับปรุงเพื่อไม่ให้เกิดซ้ำ ‼️ คำเตือนจากเหตุการณ์ ⛔ การพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานจากผู้ให้บริการรายเดียวเสี่ยงต่อการหยุดชะงักวงกว้าง ⛔ ธุรกิจและองค์กรควรมีระบบสำรองและแผนรับมือกรณีฉุกเฉิน ⛔ เหตุการณ์นี้สะท้อนความเปราะบางของอินเทอร์เน็ตโลกที่อาจเกิดซ้ำได้ https://www.tomshardware.com/news/live/cloudflare-outage-under-investigation-as-twitter-downdetector-go-down-company-confirms-global-network-issue-clone
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • มัลแวร์ใหม่ DigitStealer โจมตี Mac รุ่น M2+

    Jamf Threat Labs เปิดเผยการค้นพบมัลแวร์ใหม่ชื่อ DigitStealer ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเจาะระบบ macOS โดยเฉพาะรุ่นที่ใช้ชิป Apple Silicon M2 หรือใหม่กว่า จุดเด่นคือการใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น multi-stage payload, JXA (JavaScript for Automation) และการซ่อนตัวผ่าน Cloudflare Pages เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ

    เป้าหมายหลัก: กระเป๋าเงินคริปโต Ledger Live
    หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของ DigitStealer คือการแก้ไขและเปลี่ยนการตั้งค่าในแอป Ledger Live เพื่อส่งข้อมูล seed phrase และการตั้งค่ากระเป๋าเงินไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี มัลแวร์นี้ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลจาก Electrum, Exodus, Coinomi และแม้แต่ macOS Keychain, VPN, Telegram ได้อีกด้วย

    เทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อน
    DigitStealer ใช้การตรวจสอบฮาร์ดแวร์และ locale เพื่อตัดสินใจว่าจะทำงานหรือไม่ โดยมันจะไม่ทำงานบน VM, Intel Macs หรือแม้แต่ M1 Macs แต่จะทำงานเฉพาะบน M2 ขึ้นไป นอกจากนี้ยังใช้ AppleScript เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอกรหัสผ่าน macOS และเก็บข้อมูล credential พร้อมทั้งสร้าง Launch Agent ที่ดึง payload จาก DNS TXT record เพื่อสร้าง backdoor ที่ทำงานต่อเนื่อง

    ความเสี่ยงและบทเรียน
    เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้ macOS จะถูกมองว่าปลอดภัย แต่ผู้โจมตีก็พัฒนาเทคนิคใหม่ๆ ที่เจาะจงไปยังสถาปัตยกรรมล่าสุดของ Apple ได้โดยตรง ผู้ใช้ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตหรือข้อมูลสำคัญควรระวังเป็นพิเศษ และองค์กรควรเตรียมระบบตรวจจับภัยคุกคามที่ทันสมัยเพื่อรับมือกับมัลแวร์ที่ซับซ้อนเช่นนี้

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบมัลแวร์ DigitStealer
    เจาะระบบ macOS M2+ โดยใช้ JXA และ Cloudflare Pages
    ใช้ multi-stage payload เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ

    เป้าหมายการโจมตี
    มุ่งเป้าไปที่กระเป๋าเงินคริปโต Ledger Live
    สามารถเข้าถึงข้อมูลจาก Keychain, VPN, Telegram และ browser

    เทคนิคที่ใช้
    ตรวจสอบ locale และฮาร์ดแวร์เพื่อเลือกเป้าหมาย
    ใช้ AppleScript หลอกขอรหัสผ่าน macOS
    สร้าง Launch Agent ที่ดึง payload จาก DNS TXT record

    คำเตือนจากเหตุการณ์
    macOS ไม่ได้ปลอดภัยสมบูรณ์ ผู้โจมตีเริ่มเจาะจงรุ่นใหม่โดยตรง
    ผู้ใช้คริปโตควรระวังเป็นพิเศษ เนื่องจาก seed phrase อาจถูกขโมย
    องค์กรควรมีระบบตรวจจับภัยคุกคามที่ทันสมัยและแผนรับมือมัลแวร์ขั้นสูง

    https://securityonline.info/advanced-macos-digitstealer-targets-m2-macs-hijacking-ledger-live-via-jxa-and-dns-based-c2/
    🖥️ มัลแวร์ใหม่ DigitStealer โจมตี Mac รุ่น M2+ Jamf Threat Labs เปิดเผยการค้นพบมัลแวร์ใหม่ชื่อ DigitStealer ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเจาะระบบ macOS โดยเฉพาะรุ่นที่ใช้ชิป Apple Silicon M2 หรือใหม่กว่า จุดเด่นคือการใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น multi-stage payload, JXA (JavaScript for Automation) และการซ่อนตัวผ่าน Cloudflare Pages เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ 🔑 เป้าหมายหลัก: กระเป๋าเงินคริปโต Ledger Live หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของ DigitStealer คือการแก้ไขและเปลี่ยนการตั้งค่าในแอป Ledger Live เพื่อส่งข้อมูล seed phrase และการตั้งค่ากระเป๋าเงินไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี มัลแวร์นี้ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลจาก Electrum, Exodus, Coinomi และแม้แต่ macOS Keychain, VPN, Telegram ได้อีกด้วย 🛡️ เทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อน DigitStealer ใช้การตรวจสอบฮาร์ดแวร์และ locale เพื่อตัดสินใจว่าจะทำงานหรือไม่ โดยมันจะไม่ทำงานบน VM, Intel Macs หรือแม้แต่ M1 Macs แต่จะทำงานเฉพาะบน M2 ขึ้นไป นอกจากนี้ยังใช้ AppleScript เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอกรหัสผ่าน macOS และเก็บข้อมูล credential พร้อมทั้งสร้าง Launch Agent ที่ดึง payload จาก DNS TXT record เพื่อสร้าง backdoor ที่ทำงานต่อเนื่อง ⚠️ ความเสี่ยงและบทเรียน เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้ macOS จะถูกมองว่าปลอดภัย แต่ผู้โจมตีก็พัฒนาเทคนิคใหม่ๆ ที่เจาะจงไปยังสถาปัตยกรรมล่าสุดของ Apple ได้โดยตรง ผู้ใช้ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตหรือข้อมูลสำคัญควรระวังเป็นพิเศษ และองค์กรควรเตรียมระบบตรวจจับภัยคุกคามที่ทันสมัยเพื่อรับมือกับมัลแวร์ที่ซับซ้อนเช่นนี้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบมัลแวร์ DigitStealer ➡️ เจาะระบบ macOS M2+ โดยใช้ JXA และ Cloudflare Pages ➡️ ใช้ multi-stage payload เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ✅ เป้าหมายการโจมตี ➡️ มุ่งเป้าไปที่กระเป๋าเงินคริปโต Ledger Live ➡️ สามารถเข้าถึงข้อมูลจาก Keychain, VPN, Telegram และ browser ✅ เทคนิคที่ใช้ ➡️ ตรวจสอบ locale และฮาร์ดแวร์เพื่อเลือกเป้าหมาย ➡️ ใช้ AppleScript หลอกขอรหัสผ่าน macOS ➡️ สร้าง Launch Agent ที่ดึง payload จาก DNS TXT record ‼️ คำเตือนจากเหตุการณ์ ⛔ macOS ไม่ได้ปลอดภัยสมบูรณ์ ผู้โจมตีเริ่มเจาะจงรุ่นใหม่โดยตรง ⛔ ผู้ใช้คริปโตควรระวังเป็นพิเศษ เนื่องจาก seed phrase อาจถูกขโมย ⛔ องค์กรควรมีระบบตรวจจับภัยคุกคามที่ทันสมัยและแผนรับมือมัลแวร์ขั้นสูง https://securityonline.info/advanced-macos-digitstealer-targets-m2-macs-hijacking-ledger-live-via-jxa-and-dns-based-c2/
    SECURITYONLINE.INFO
    Advanced macOS DigitStealer Targets M2+ Macs, Hijacking Ledger Live via JXA and DNS-Based C2
    Jamf exposed DigitStealer, an advanced macOS infostealer that checks for Apple M2+ chips. It uses Cloudflare Pages for delivery, JXA for stealth, and modifies Ledger Live to steal crypto wallets via DNS TXT C2.
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • Jeff Bezos หวนคืนสู่ตำแหน่งผู้นำ

    หลังจากก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ Amazon ในปี 2021 Jeff Bezos ได้ทุ่มเวลาให้กับ Blue Origin บริษัทด้านอวกาศของเขา แต่ล่าสุดเขากลับมาสู่บทบาทผู้นำอีกครั้งในฐานะ Co-CEO ของ Project Prometheus สตาร์ทอัพ AI ที่เขาเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของ Bezos ว่า AI จะเป็นหัวใจสำคัญในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลก

    พันธมิตรใหม่: Vik Bajaj
    Bezos จะทำงานร่วมกับ Vik Bajaj นักฟิสิกส์และนักเคมีที่เคยทำงานใน Google X และเป็นอดีตหัวหน้าของ Verily บริษัทด้านสุขภาพในเครือ Alphabet ทั้งสองจะร่วมกันนำ Project Prometheus ไปสู่เป้าหมายการใช้ AI เพื่อเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในอุตสาหกรรม เช่น คอมพิวเตอร์, วิศวกรรมยานยนต์ และการบินอวกาศ

    เงินทุนมหาศาลและทีมงานระดับโลก
    Project Prometheus ได้รับเงินทุนมหาศาลกว่า 6.2 พันล้านดอลลาร์ ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่มีเงินทุนสูงที่สุดในโลก ทีมงานประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจาก OpenAI, DeepMind และ Meta ซึ่งบ่งบอกถึงความจริงจังและศักยภาพในการแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก

    ความเชื่อมั่นในอนาคตของ AI
    การกลับมาของ Bezos ในบทบาทนี้ไม่ใช่แค่การลงทุน แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่าเขามอง AI เป็นเส้นทางใหม่ที่จะสร้างผลกระทบต่อโลกเช่นเดียวกับที่ Amazon เคยทำกับการค้าปลีกออนไลน์ และ Blue Origin กำลังทำกับการเดินทางสู่อวกาศ

    สรุปสาระสำคัญ
    การกลับมาของ Jeff Bezos
    รับตำแหน่ง Co-CEO ของ Project Prometheus หลังจากออกจาก Amazon
    แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของ AI

    พันธมิตรและทีมงาน
    Vik Bajaj ร่วมเป็น Co-CEO และนำประสบการณ์จาก Google X, Verily
    ทีมงานประกอบด้วยอดีตผู้เชี่ยวชาญจาก OpenAI, DeepMind, Meta

    เงินทุนและเป้าหมาย
    ได้รับเงินทุนกว่า 6.2 พันล้านดอลลาร์
    มุ่งใช้ AI ปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง

    คำเตือนและความเสี่ยง
    การพึ่งพา AI ในอุตสาหกรรมสำคัญอาจสร้างความเสี่ยงหากระบบล้มเหลว
    การแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยีใหญ่จะท้าทายและอาจนำไปสู่ความขัดแย้งด้านทรัพยากรบุคคล
    การลงทุนมหาศาลอาจกดดันให้บริษัทต้องเร่งผลลัพธ์ ซึ่งเสี่ยงต่อการตัดสินใจผิดพลาด

    https://securityonline.info/jeff-bezos-returns-to-leadership-co-ceo-of-6-2-billion-ai-startup-project-prometheus/
    🚀 Jeff Bezos หวนคืนสู่ตำแหน่งผู้นำ หลังจากก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ Amazon ในปี 2021 Jeff Bezos ได้ทุ่มเวลาให้กับ Blue Origin บริษัทด้านอวกาศของเขา แต่ล่าสุดเขากลับมาสู่บทบาทผู้นำอีกครั้งในฐานะ Co-CEO ของ Project Prometheus สตาร์ทอัพ AI ที่เขาเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของ Bezos ว่า AI จะเป็นหัวใจสำคัญในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลก 🧪 พันธมิตรใหม่: Vik Bajaj Bezos จะทำงานร่วมกับ Vik Bajaj นักฟิสิกส์และนักเคมีที่เคยทำงานใน Google X และเป็นอดีตหัวหน้าของ Verily บริษัทด้านสุขภาพในเครือ Alphabet ทั้งสองจะร่วมกันนำ Project Prometheus ไปสู่เป้าหมายการใช้ AI เพื่อเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในอุตสาหกรรม เช่น คอมพิวเตอร์, วิศวกรรมยานยนต์ และการบินอวกาศ 💰 เงินทุนมหาศาลและทีมงานระดับโลก Project Prometheus ได้รับเงินทุนมหาศาลกว่า 6.2 พันล้านดอลลาร์ ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่มีเงินทุนสูงที่สุดในโลก ทีมงานประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจาก OpenAI, DeepMind และ Meta ซึ่งบ่งบอกถึงความจริงจังและศักยภาพในการแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก 🌌 ความเชื่อมั่นในอนาคตของ AI การกลับมาของ Bezos ในบทบาทนี้ไม่ใช่แค่การลงทุน แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่าเขามอง AI เป็นเส้นทางใหม่ที่จะสร้างผลกระทบต่อโลกเช่นเดียวกับที่ Amazon เคยทำกับการค้าปลีกออนไลน์ และ Blue Origin กำลังทำกับการเดินทางสู่อวกาศ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การกลับมาของ Jeff Bezos ➡️ รับตำแหน่ง Co-CEO ของ Project Prometheus หลังจากออกจาก Amazon ➡️ แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของ AI ✅ พันธมิตรและทีมงาน ➡️ Vik Bajaj ร่วมเป็น Co-CEO และนำประสบการณ์จาก Google X, Verily ➡️ ทีมงานประกอบด้วยอดีตผู้เชี่ยวชาญจาก OpenAI, DeepMind, Meta ✅ เงินทุนและเป้าหมาย ➡️ ได้รับเงินทุนกว่า 6.2 พันล้านดอลลาร์ ➡️ มุ่งใช้ AI ปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ การพึ่งพา AI ในอุตสาหกรรมสำคัญอาจสร้างความเสี่ยงหากระบบล้มเหลว ⛔ การแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยีใหญ่จะท้าทายและอาจนำไปสู่ความขัดแย้งด้านทรัพยากรบุคคล ⛔ การลงทุนมหาศาลอาจกดดันให้บริษัทต้องเร่งผลลัพธ์ ซึ่งเสี่ยงต่อการตัดสินใจผิดพลาด https://securityonline.info/jeff-bezos-returns-to-leadership-co-ceo-of-6-2-billion-ai-startup-project-prometheus/
    SECURITYONLINE.INFO
    Jeff Bezos Returns to Leadership: Co-CEO of $6.2 Billion AI Startup Project Prometheus
    Jeff Bezos is the new Co-CEO of Project Prometheus, a secretive AI startup that has raised $6.2 billion to transform high-precision manufacturing. This is his first CEO role since 2021.
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • ฟีเจอร์ Virtual Ring Light จาก Mac สู่ Windows

    macOS 26.2 ที่อยู่ระหว่างการทดสอบได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่สร้าง วงแสงเสมือนรอบหน้าจอ เพื่อส่องใบหน้าผู้ใช้ระหว่างการประชุมหรือวิดีโอคอล ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ภาพชัดเจนขึ้นแม้ในสภาพแสงไม่เพียงพอ Microsoft จึงสนใจนำแนวคิดนี้มาปรับใช้ใน Windows 11 โดยอาศัย PowerToys และเครื่องมือ Edge Light

    Edge Light: เครื่องมือโอเพนซอร์ส
    Edge Light เป็นโปรเจกต์โอเพนซอร์สที่สามารถสร้าง แสงสีขาวเรืองรอบขอบหน้าจอ เพื่อเพิ่มความสว่างให้กับใบหน้าในวิดีโอคอล หรือใช้สร้างบรรยากาศระหว่างการสตรีม Microsoft กำลังหารือกับนักพัฒนาเพื่อรวม Edge Light เข้ากับ PowerToys ทำให้ผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องติดตั้งแยก

    การใช้งานและความเป็นไปได้
    แม้ยังไม่ชัดเจนว่าการรวมเข้ากับ PowerToys เริ่มต้นแล้วหรือไม่ แต่ผู้ใช้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลด Edge Light มาทดลองใช้ได้ทันที ฟีเจอร์นี้อาจกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ที่ทำงานจากบ้าน, สตรีมเมอร์, และผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการคุณภาพวิดีโอคอลที่ดีขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์เสริม

    บทเรียนและแนวโน้ม
    การพัฒนานี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่ ซอฟต์แวร์จะเข้ามาแทนที่ฮาร์ดแวร์เสริม เช่น ring light จริงๆ หาก Microsoft สามารถรวมเข้ากับ PowerToys ได้สำเร็จ จะช่วยให้ Windows 11 มีฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคดิจิทัลมากขึ้น และอาจเป็นการแข่งกับ macOS ในการสร้างประสบการณ์วิดีโอคอลที่เหนือกว่า

    สรุปสาระสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่จาก macOS
    Virtual Ring Light สร้างวงแสงเสมือนรอบหน้าจอเพื่อปรับปรุงคุณภาพวิดีโอคอล
    ช่วยให้ภาพชัดเจนขึ้นในสภาพแสงน้อย

    Edge Light บน Windows
    เป็นเครื่องมือโอเพนซอร์สที่สร้างแสงเรืองรอบหน้าจอ
    Microsoft กำลังหารือเพื่อรวมเข้ากับ PowerToys

    การใช้งานและประโยชน์
    ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด Edge Light มาทดลองได้ทันที
    เหมาะสำหรับการประชุมออนไลน์, สตรีมมิ่ง, และการใช้งานทั่วไป

    https://securityonline.info/macbooks-virtual-ring-light-may-come-to-windows-11-via-powertoys-edge-light/
    💡 ฟีเจอร์ Virtual Ring Light จาก Mac สู่ Windows macOS 26.2 ที่อยู่ระหว่างการทดสอบได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่สร้าง วงแสงเสมือนรอบหน้าจอ เพื่อส่องใบหน้าผู้ใช้ระหว่างการประชุมหรือวิดีโอคอล ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ภาพชัดเจนขึ้นแม้ในสภาพแสงไม่เพียงพอ Microsoft จึงสนใจนำแนวคิดนี้มาปรับใช้ใน Windows 11 โดยอาศัย PowerToys และเครื่องมือ Edge Light 🖥️ Edge Light: เครื่องมือโอเพนซอร์ส Edge Light เป็นโปรเจกต์โอเพนซอร์สที่สามารถสร้าง แสงสีขาวเรืองรอบขอบหน้าจอ เพื่อเพิ่มความสว่างให้กับใบหน้าในวิดีโอคอล หรือใช้สร้างบรรยากาศระหว่างการสตรีม Microsoft กำลังหารือกับนักพัฒนาเพื่อรวม Edge Light เข้ากับ PowerToys ทำให้ผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องติดตั้งแยก 📱 การใช้งานและความเป็นไปได้ แม้ยังไม่ชัดเจนว่าการรวมเข้ากับ PowerToys เริ่มต้นแล้วหรือไม่ แต่ผู้ใช้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลด Edge Light มาทดลองใช้ได้ทันที ฟีเจอร์นี้อาจกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ที่ทำงานจากบ้าน, สตรีมเมอร์, และผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการคุณภาพวิดีโอคอลที่ดีขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์เสริม 🔮 บทเรียนและแนวโน้ม การพัฒนานี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่ ซอฟต์แวร์จะเข้ามาแทนที่ฮาร์ดแวร์เสริม เช่น ring light จริงๆ หาก Microsoft สามารถรวมเข้ากับ PowerToys ได้สำเร็จ จะช่วยให้ Windows 11 มีฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคดิจิทัลมากขึ้น และอาจเป็นการแข่งกับ macOS ในการสร้างประสบการณ์วิดีโอคอลที่เหนือกว่า 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่จาก macOS ➡️ Virtual Ring Light สร้างวงแสงเสมือนรอบหน้าจอเพื่อปรับปรุงคุณภาพวิดีโอคอล ➡️ ช่วยให้ภาพชัดเจนขึ้นในสภาพแสงน้อย ✅ Edge Light บน Windows ➡️ เป็นเครื่องมือโอเพนซอร์สที่สร้างแสงเรืองรอบหน้าจอ ➡️ Microsoft กำลังหารือเพื่อรวมเข้ากับ PowerToys ✅ การใช้งานและประโยชน์ ➡️ ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด Edge Light มาทดลองได้ทันที ➡️ เหมาะสำหรับการประชุมออนไลน์, สตรีมมิ่ง, และการใช้งานทั่วไป https://securityonline.info/macbooks-virtual-ring-light-may-come-to-windows-11-via-powertoys-edge-light/
    SECURITYONLINE.INFO
    MacBook's Virtual Ring Light May Come to Windows 11 via PowerToys Edge Light
    Microsoft is exploring integrating the open-source Windows Edge Light tool into PowerToys to bring a virtual ring light feature to Windows 11 for better video calls.
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • SpyCloud เผย 10 แนวโน้มภัยไซเบอร์ปี 2026

    SpyCloud ได้เปิดรายงานใหม่ที่ชื่อว่า The Identity Security Reckoning: 2025 Lessons, 2026 Predictions โดยเน้นไปที่ภัยคุกคามด้าน Identity Security ที่จะส่งผลกระทบต่อองค์กรทั่วโลกในปี 2026 รายงานนี้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของกลยุทธ์อาชญากรไซเบอร์และการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้การป้องกันยากขึ้น

    นี่คือ 10 แนวโน้มภัยไซเบอร์ปี 2026 ที่ SpyCloud คาดการณ์ว่าจะส่งผลกระทบต่อ Identity Security โดยตรง:

    0️⃣1️⃣ - Supply Chain อาชญากรไซเบอร์เปลี่ยนรูปแบบ
    Malware-as-a-Service และ Phishing-as-a-Service จะยังคงเป็นแกนหลัก
    มีการแบ่งบทบาทเฉพาะ เช่น ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน, นักพัฒนาเครื่องมือ, ตัวกลางขายการเข้าถึง

    0️⃣2️⃣ - ชุมชนผู้โจมตีแตกตัวและอายุน้อยลง
    ผู้โจมตีย้ายจาก darknet forums ไปสู่แอป mainstream
    วัยรุ่นเข้ามาทดลองใช้ชุดโจมตีสำเร็จรูปเพื่อชื่อเสียงหรือผลกำไร

    0️⃣3️⃣ - การระบุตัวตนแบบไม่ใช่มนุษย์ (NHI) ระเบิดตัว
    API, OAuth tokens และ service accounts เพิ่มจำนวนมากขึ้น
    ขาดการป้องกันเหมือนบัญชีมนุษย์ ทำให้เกิดช่องโหว่ซ่อนอยู่

    0️⃣4️⃣ - ภัยจาก Insider Threats เพิ่มขึ้น
    เกิดจากการควบรวมกิจการ (M&A), มัลแวร์ และการเข้าถึงที่ผิดพลาด
    Nation-state actors ใช้การปลอมตัวเป็นพนักงานเพื่อเจาะระบบ

    0️⃣5️⃣ - AI-enabled Cybercrime เริ่มต้นจริงจัง
    ใช้ AI สร้างมัลแวร์ที่ซับซ้อนขึ้น
    Phishing ที่สมจริงและตรวจจับยากมากขึ้น

    0️⃣6️⃣ - การโจมตี MFA และ Session Defense
    ใช้ residential proxies, anti-detect browsers และ Adversary-in-the-Middle (AiTM)
    ขโมย cookies และ bypass การตรวจสอบอุปกรณ์

    0️⃣7️⃣ - Vendor และ Contractor กลายเป็นช่องโหว่หลัก
    ผู้โจมตีใช้บัญชีของผู้รับเหมาหรือพันธมิตรเพื่อเข้าถึงระบบองค์กร
    โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี, โทรคมนาคม และซัพพลายเชนซอฟต์แวร์

    0️⃣8️⃣ - 🪪 Synthetic Identities ฉลาดขึ้นและตรวจจับยากขึ้น
    ใช้ข้อมูลจริงผสมกับ AI-generated persona และ deepfake
    หลอกระบบตรวจสอบตัวตนของธนาคารและบริการทางการเงิน

    0️⃣9️⃣ - Combolists และ Megabreaches สร้างความสับสน
    ข้อมูลรั่วไหลจำนวนมหาศาลถูกนำมาปั่นใหม่เพื่อสร้างความตื่นตระหนก
    ทำให้ความสนใจถูกเบี่ยงเบนจากภัยจริงที่กำลังเกิดขึ้น

    1️⃣0️⃣ - ทีม Cybersecurity ต้องปรับโครงสร้างใหม่
    Identity Security จะกลายเป็นแกนกลางของการป้องกัน
    ต้องเน้นการทำงานร่วมกันข้ามทีม, ใช้ automation และ holistic intelligence

    https://securityonline.info/spycloud-unveils-top-10-cybersecurity-predictions-poised-to-disrupt-identity-security-in-2026/
    🔐 SpyCloud เผย 10 แนวโน้มภัยไซเบอร์ปี 2026 SpyCloud ได้เปิดรายงานใหม่ที่ชื่อว่า The Identity Security Reckoning: 2025 Lessons, 2026 Predictions โดยเน้นไปที่ภัยคุกคามด้าน Identity Security ที่จะส่งผลกระทบต่อองค์กรทั่วโลกในปี 2026 รายงานนี้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของกลยุทธ์อาชญากรไซเบอร์และการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้การป้องกันยากขึ้น นี่คือ 10 แนวโน้มภัยไซเบอร์ปี 2026 ที่ SpyCloud คาดการณ์ว่าจะส่งผลกระทบต่อ Identity Security โดยตรง: 0️⃣1️⃣ - 🧩 Supply Chain อาชญากรไซเบอร์เปลี่ยนรูปแบบ 🔰 Malware-as-a-Service และ Phishing-as-a-Service จะยังคงเป็นแกนหลัก 🔰 มีการแบ่งบทบาทเฉพาะ เช่น ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน, นักพัฒนาเครื่องมือ, ตัวกลางขายการเข้าถึง 0️⃣2️⃣ - 👥 ชุมชนผู้โจมตีแตกตัวและอายุน้อยลง 🔰 ผู้โจมตีย้ายจาก darknet forums ไปสู่แอป mainstream 🔰 วัยรุ่นเข้ามาทดลองใช้ชุดโจมตีสำเร็จรูปเพื่อชื่อเสียงหรือผลกำไร 0️⃣3️⃣ - 🤖 การระบุตัวตนแบบไม่ใช่มนุษย์ (NHI) ระเบิดตัว 🔰 API, OAuth tokens และ service accounts เพิ่มจำนวนมากขึ้น 🔰 ขาดการป้องกันเหมือนบัญชีมนุษย์ ทำให้เกิดช่องโหว่ซ่อนอยู่ 0️⃣4️⃣ - 🕵️‍♀️ ภัยจาก Insider Threats เพิ่มขึ้น 🔰 เกิดจากการควบรวมกิจการ (M&A), มัลแวร์ และการเข้าถึงที่ผิดพลาด 🔰 Nation-state actors ใช้การปลอมตัวเป็นพนักงานเพื่อเจาะระบบ 0️⃣5️⃣ - ⚡ AI-enabled Cybercrime เริ่มต้นจริงจัง 🔰 ใช้ AI สร้างมัลแวร์ที่ซับซ้อนขึ้น 🔰 Phishing ที่สมจริงและตรวจจับยากมากขึ้น 0️⃣6️⃣ - 🔑 การโจมตี MFA และ Session Defense 🔰 ใช้ residential proxies, anti-detect browsers และ Adversary-in-the-Middle (AiTM) 🔰 ขโมย cookies และ bypass การตรวจสอบอุปกรณ์ 0️⃣7️⃣ - 🏗️ Vendor และ Contractor กลายเป็นช่องโหว่หลัก 🔰 ผู้โจมตีใช้บัญชีของผู้รับเหมาหรือพันธมิตรเพื่อเข้าถึงระบบองค์กร 🔰 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี, โทรคมนาคม และซัพพลายเชนซอฟต์แวร์ 0️⃣8️⃣ - 🪪 Synthetic Identities ฉลาดขึ้นและตรวจจับยากขึ้น 🔰 ใช้ข้อมูลจริงผสมกับ AI-generated persona และ deepfake 🔰 หลอกระบบตรวจสอบตัวตนของธนาคารและบริการทางการเงิน 0️⃣9️⃣ - 📊 Combolists และ Megabreaches สร้างความสับสน 🔰 ข้อมูลรั่วไหลจำนวนมหาศาลถูกนำมาปั่นใหม่เพื่อสร้างความตื่นตระหนก 🔰 ทำให้ความสนใจถูกเบี่ยงเบนจากภัยจริงที่กำลังเกิดขึ้น 1️⃣0️⃣ - 🛡️ ทีม Cybersecurity ต้องปรับโครงสร้างใหม่ 🔰 Identity Security จะกลายเป็นแกนกลางของการป้องกัน 🔰 ต้องเน้นการทำงานร่วมกันข้ามทีม, ใช้ automation และ holistic intelligence https://securityonline.info/spycloud-unveils-top-10-cybersecurity-predictions-poised-to-disrupt-identity-security-in-2026/
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • SecurityMetrics คว้ารางวัลใหญ่ด้าน Cybersecurity

    SecurityMetrics ได้รับรางวัล “Data Leak Detection Solution of the Year” จากงาน CyberSecurity Breakthrough Awards 2025 โดยผลงานที่โดดเด่นคือ Shopping Cart Inspect (SCI) ซึ่งช่วยตรวจจับการโจมตีแบบ web skimming ที่มักเกิดขึ้นกับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ

    จุดเด่นของ Shopping Cart Inspect (SCI)
    SCI ใช้เทคโนโลยี WIM (Web Inject Monitoring) ที่สามารถตรวจจับการโจมตีด้วย JavaScript ได้ทันทีที่เกิดขึ้น โดยทีม Forensic Analysts ของ SecurityMetrics จะทำการตรวจสอบโค้ดที่รันบนหน้าเว็บ เพื่อหาหลักฐานการโจมตีและสร้างรายงานความเสี่ยงที่จัดลำดับตามมาตรฐาน CVSS พร้อมคำแนะนำในการแก้ไข

    ผลกระทบต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
    การโจมตีแบบ web skimming เป็นภัยที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับร้านค้าออนไลน์ที่ใช้ระบบตะกร้าสินค้า SCI ช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจจับและแก้ไขได้โดยไม่กระทบต่อการดำเนินงาน ทำให้ลูกค้ามั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูลการชำระเงิน และช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียชื่อเสียงและรายได้

    ความสำคัญในระดับโลก
    งาน CyberSecurity Breakthrough Awards มีผู้เข้าร่วมจากกว่า 20 ประเทศ และ SCI ถูกเลือกให้เป็นโซลูชันที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการป้องกันข้อมูลรั่วไหลในยุคที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว และภัยคุกคามไซเบอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น

    สรุปสาระสำคัญ
    รางวัลที่ได้รับ
    SecurityMetrics ได้รับรางวัล “Data Leak Detection Solution of the Year” ปี 2025
    มอบโดย CyberSecurity Breakthrough Awards

    จุดเด่นของ SCI
    ใช้ WIM Technology ตรวจจับ web skimming แบบ real-time
    ทีม Forensic Analysts ตรวจสอบโค้ดและสร้างรายงานความเสี่ยงตาม CVSS

    ผลกระทบต่อธุรกิจ
    ป้องกันข้อมูลการชำระเงินรั่วไหล
    ลดความเสี่ยงต่อชื่อเสียงและรายได้ของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

    คำเตือนจากเหตุการณ์
    ร้านค้าออนไลน์ที่ไม่ตรวจสอบระบบตะกร้าสินค้าเสี่ยงต่อการถูกโจมตี
    การโจมตี web skimming มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและซับซ้อนขึ้น
    ธุรกิจควรมีระบบตรวจจับและทีมผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับมืออย่างต่อเนื่อง

    https://securityonline.info/securitymetrics-wins-data-leak-detection-solution-of-the-year-in-2025-cybersecurity-breakthrough-awards-program/
    🏆 SecurityMetrics คว้ารางวัลใหญ่ด้าน Cybersecurity SecurityMetrics ได้รับรางวัล “Data Leak Detection Solution of the Year” จากงาน CyberSecurity Breakthrough Awards 2025 โดยผลงานที่โดดเด่นคือ Shopping Cart Inspect (SCI) ซึ่งช่วยตรวจจับการโจมตีแบบ web skimming ที่มักเกิดขึ้นกับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ 🔍 จุดเด่นของ Shopping Cart Inspect (SCI) SCI ใช้เทคโนโลยี WIM (Web Inject Monitoring) ที่สามารถตรวจจับการโจมตีด้วย JavaScript ได้ทันทีที่เกิดขึ้น โดยทีม Forensic Analysts ของ SecurityMetrics จะทำการตรวจสอบโค้ดที่รันบนหน้าเว็บ เพื่อหาหลักฐานการโจมตีและสร้างรายงานความเสี่ยงที่จัดลำดับตามมาตรฐาน CVSS พร้อมคำแนะนำในการแก้ไข 🛡️ ผลกระทบต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การโจมตีแบบ web skimming เป็นภัยที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับร้านค้าออนไลน์ที่ใช้ระบบตะกร้าสินค้า SCI ช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจจับและแก้ไขได้โดยไม่กระทบต่อการดำเนินงาน ทำให้ลูกค้ามั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูลการชำระเงิน และช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียชื่อเสียงและรายได้ 🌐 ความสำคัญในระดับโลก งาน CyberSecurity Breakthrough Awards มีผู้เข้าร่วมจากกว่า 20 ประเทศ และ SCI ถูกเลือกให้เป็นโซลูชันที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการป้องกันข้อมูลรั่วไหลในยุคที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว และภัยคุกคามไซเบอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ รางวัลที่ได้รับ ➡️ SecurityMetrics ได้รับรางวัล “Data Leak Detection Solution of the Year” ปี 2025 ➡️ มอบโดย CyberSecurity Breakthrough Awards ✅ จุดเด่นของ SCI ➡️ ใช้ WIM Technology ตรวจจับ web skimming แบบ real-time ➡️ ทีม Forensic Analysts ตรวจสอบโค้ดและสร้างรายงานความเสี่ยงตาม CVSS ✅ ผลกระทบต่อธุรกิจ ➡️ ป้องกันข้อมูลการชำระเงินรั่วไหล ➡️ ลดความเสี่ยงต่อชื่อเสียงและรายได้ของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ‼️ คำเตือนจากเหตุการณ์ ⛔ ร้านค้าออนไลน์ที่ไม่ตรวจสอบระบบตะกร้าสินค้าเสี่ยงต่อการถูกโจมตี ⛔ การโจมตี web skimming มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและซับซ้อนขึ้น ⛔ ธุรกิจควรมีระบบตรวจจับและทีมผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับมืออย่างต่อเนื่อง https://securityonline.info/securitymetrics-wins-data-leak-detection-solution-of-the-year-in-2025-cybersecurity-breakthrough-awards-program/
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • UNC1549 ขยายการโจมตีสู่อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ

    ตั้งแต่กลางปี 2024 กลุ่ม UNC1549 ได้เพิ่มการโจมตีที่มุ่งเป้าไปยังบริษัทด้านการบินและอวกาศ รวมถึงผู้รับเหมาด้านกลาโหม โดยใช้วิธีการที่ซับซ้อน เช่น การเจาะผ่านซัพพลายเชน และ การส่ง spear-phishing แบบเจาะจงบุคคล เพื่อเข้าถึงระบบที่มีการป้องกันสูง

    เทคนิคที่ใช้: DLL Hijacking และ VDI Breakouts
    UNC1549 ใช้ DLL search order hijacking เพื่อรันมัลแวร์ที่ซ่อนอยู่ในซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ เช่น Citrix, VMware และ Microsoft นอกจากนี้ยังใช้ VDI Breakouts เพื่อหลบหนีข้อจำกัดของระบบ virtualization เช่น Citrix Virtual Desktop และ Azure Virtual Desktop ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายภายในระบบได้อย่างลับๆ

    มัลแวร์เฉพาะทางที่ถูกพัฒนา
    นักวิจัยพบมัลแวร์หลายตัวที่ UNC1549 ใช้ เช่น TWOSTROKE, MINIBIKE, DEEPROOT, LIGHTRAIL, CRASHPAD, SIGHTGRAB โดยแต่ละตัวมีความสามารถเฉพาะ เช่น การขโมย credential, การจับภาพหน้าจอ, การสร้าง backdoor ผ่าน Azure WebSocket และการใช้ Golang เพื่อสร้าง backdoor บน Linux จุดเด่นคือ ทุก payload มี hash ที่ไม่ซ้ำกัน ทำให้การตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ยากขึ้นมาก

    ความเสี่ยงและผลกระทบ
    การโจมตีนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาซัพพลายเชนและซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ เพราะแม้ระบบหลักจะมีการป้องกันเข้มงวด แต่การเจาะผ่านพันธมิตรหรือผู้รับเหมาที่เชื่อมต่อกับระบบก็สามารถเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น เอกสารด้าน IT, ทรัพย์สินทางปัญญา และอีเมลภายในองค์กร

    สรุปสาระสำคัญ
    การโจมตีของ UNC1549
    มุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมการบิน, อวกาศ และกลาโหม
    ใช้ spear-phishing และการเจาะผ่านซัพพลายเชน

    เทคนิคที่ใช้
    DLL Hijacking บนซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ (Citrix, VMware, Microsoft)
    VDI Breakouts เพื่อหลบหนีข้อจำกัด virtualization

    มัลแวร์ที่พบ
    TWOSTROKE: backdoor ที่เข้ารหัส SSL
    LIGHTRAIL: tunneler ผ่าน Azure WebSocket
    DEEPROOT: Golang backdoor บน Linux
    CRASHPAD และ SIGHTGRAB: ขโมย credential และจับภาพหน้าจอ

    คำเตือนจากเหตุการณ์
    การพึ่งพาซัพพลายเชนที่เชื่อมต่อกับระบบหลักเป็นช่องโหว่สำคัญ
    Payload ที่มี hash ไม่ซ้ำกันทำให้การตรวจสอบยากขึ้น
    องค์กรควรเสริมการตรวจสอบซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้และระบบ virtualization

    https://securityonline.info/iranian-apt-unc1549-infiltrates-aerospace-by-hijacking-trusted-dlls-and-executing-vdi-breakouts/
    ✈️ UNC1549 ขยายการโจมตีสู่อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ตั้งแต่กลางปี 2024 กลุ่ม UNC1549 ได้เพิ่มการโจมตีที่มุ่งเป้าไปยังบริษัทด้านการบินและอวกาศ รวมถึงผู้รับเหมาด้านกลาโหม โดยใช้วิธีการที่ซับซ้อน เช่น การเจาะผ่านซัพพลายเชน และ การส่ง spear-phishing แบบเจาะจงบุคคล เพื่อเข้าถึงระบบที่มีการป้องกันสูง 🛠️ เทคนิคที่ใช้: DLL Hijacking และ VDI Breakouts UNC1549 ใช้ DLL search order hijacking เพื่อรันมัลแวร์ที่ซ่อนอยู่ในซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ เช่น Citrix, VMware และ Microsoft นอกจากนี้ยังใช้ VDI Breakouts เพื่อหลบหนีข้อจำกัดของระบบ virtualization เช่น Citrix Virtual Desktop และ Azure Virtual Desktop ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายภายในระบบได้อย่างลับๆ 🧩 มัลแวร์เฉพาะทางที่ถูกพัฒนา นักวิจัยพบมัลแวร์หลายตัวที่ UNC1549 ใช้ เช่น TWOSTROKE, MINIBIKE, DEEPROOT, LIGHTRAIL, CRASHPAD, SIGHTGRAB โดยแต่ละตัวมีความสามารถเฉพาะ เช่น การขโมย credential, การจับภาพหน้าจอ, การสร้าง backdoor ผ่าน Azure WebSocket และการใช้ Golang เพื่อสร้าง backdoor บน Linux จุดเด่นคือ ทุก payload มี hash ที่ไม่ซ้ำกัน ทำให้การตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ยากขึ้นมาก ⚠️ ความเสี่ยงและผลกระทบ การโจมตีนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาซัพพลายเชนและซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ เพราะแม้ระบบหลักจะมีการป้องกันเข้มงวด แต่การเจาะผ่านพันธมิตรหรือผู้รับเหมาที่เชื่อมต่อกับระบบก็สามารถเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น เอกสารด้าน IT, ทรัพย์สินทางปัญญา และอีเมลภายในองค์กร 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การโจมตีของ UNC1549 ➡️ มุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมการบิน, อวกาศ และกลาโหม ➡️ ใช้ spear-phishing และการเจาะผ่านซัพพลายเชน ✅ เทคนิคที่ใช้ ➡️ DLL Hijacking บนซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ (Citrix, VMware, Microsoft) ➡️ VDI Breakouts เพื่อหลบหนีข้อจำกัด virtualization ✅ มัลแวร์ที่พบ ➡️ TWOSTROKE: backdoor ที่เข้ารหัส SSL ➡️ LIGHTRAIL: tunneler ผ่าน Azure WebSocket ➡️ DEEPROOT: Golang backdoor บน Linux ➡️ CRASHPAD และ SIGHTGRAB: ขโมย credential และจับภาพหน้าจอ ‼️ คำเตือนจากเหตุการณ์ ⛔ การพึ่งพาซัพพลายเชนที่เชื่อมต่อกับระบบหลักเป็นช่องโหว่สำคัญ ⛔ Payload ที่มี hash ไม่ซ้ำกันทำให้การตรวจสอบยากขึ้น ⛔ องค์กรควรเสริมการตรวจสอบซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้และระบบ virtualization https://securityonline.info/iranian-apt-unc1549-infiltrates-aerospace-by-hijacking-trusted-dlls-and-executing-vdi-breakouts/
    SECURITYONLINE.INFO
    Iranian APT UNC1549 Infiltrates Aerospace by Hijacking Trusted DLLs and Executing VDI Breakouts
    Mandiant exposed UNC1549, an Iranian APT, using DLL search order hijacking on Citrix/VMware to deploy TWOSTROKE and DCSYNCER.SLICK. The group performs VDI breakouts for long-term espionage.
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • มัลแวร์ใหม่: Stealth Stealer ซ่อน LokiBot ในไฟล์ภาพ

    นักวิจัยจาก Splunk Threat Research Team (STRT) เปิดเผยการค้นพบมัลแวร์ใหม่ที่ใช้เทคนิค Steganography ซ่อนโค้ดอันตรายในไฟล์ภาพ BMP และ PNG โดยมัลแวร์นี้ถูกพัฒนาเป็น .NET Loader รุ่นใหม่ ที่สามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับและสุดท้ายปล่อย payload ของ LokiBot ซึ่งเป็นหนึ่งใน Trojan ขโมยข้อมูลที่แพร่หลายที่สุดในโลก

    วิธีการทำงานของ Loader
    Loader ตัวใหม่นี้ปลอมตัวเป็นเอกสารธุรกิจ เช่น Request for Quotation (RFQ) เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดไฟล์ เมื่อรันขึ้นมา มันจะ ถอดรหัสโมดูล container ที่ซ่อนอยู่ภายใน และดึง stager modules ที่ถูกฝังไว้ในไฟล์ภาพออกมา จากนั้นจึงค่อยๆ ปลดล็อก payload ขั้นสุดท้าย ซึ่งก็คือ LokiBot

    เทคนิคการซ่อนตัวในไฟล์ภาพ
    มัลแวร์ใช้การฝังโค้ดไว้ใน metadata ของไฟล์ภาพ BMP และ PNG โดยเข้ารหัสด้วยอัลกอริทึมเดียวกับที่เคยใช้ใน Quasar RAT loaders ทำให้การตรวจจับด้วยเครื่องมือ static analysis และ automated payload extraction ยากขึ้นมาก นักวิจัยต้องปรับเครื่องมือ PixDig เพื่อบังคับถอดรหัสโดยตรงจากไฟล์ภาพ จึงสามารถดึง stager modules ออกมาได้สำเร็จ

    ความเสี่ยงและผลกระทบ
    LokiBot เป็นมัลแวร์ที่มีมานานกว่า 10 ปี และยังคงถูกใช้แพร่หลายในการขโมยข้อมูล เช่น รหัสผ่านเบราว์เซอร์, อีเมล, FTP, Wallet คริปโต, Windows credentials และไฟล์การตั้งค่าต่างๆ การพัฒนา loader รุ่นใหม่ที่ซ่อนตัวในไฟล์ภาพสะท้อนให้เห็นว่าอาชญากรไซเบอร์ยังคงปรับปรุงเทคนิคเพื่อเลี่ยงการตรวจจับ และทำให้การป้องกันยากขึ้นเรื่อยๆ

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบใหม่
    Stealth Stealer เป็น .NET Loader รุ่นใหม่ที่ใช้ steganography
    ซ่อน LokiBot payload ในไฟล์ BMP และ PNG

    วิธีการทำงาน
    Loader ปลอมตัวเป็นเอกสาร RFQ เพื่อหลอกเหยื่อ
    ถอดรหัส container module และดึง stager modules จากไฟล์ภาพ

    เทคนิคการซ่อนตัว
    ใช้ metadata ของไฟล์ภาพเข้ารหัสโค้ด
    ทำให้ static detection และ automated extraction ยากขึ้น

    ผลกระทบ
    LokiBot ขโมยข้อมูล credential, wallet, และไฟล์การตั้งค่าต่างๆ
    ยังคงเป็นภัยคุกคามที่แพร่หลายแม้มีมานานกว่า 10 ปี

    คำเตือน
    การใช้ไฟล์ภาพเป็นตัวซ่อน payload ทำให้การตรวจจับยากขึ้น
    องค์กรควรอัปเดตเครื่องมือวิเคราะห์และตรวจสอบไฟล์ที่น่าสงสัย
    ผู้ใช้ควรระวังการเปิดไฟล์แนบที่ดูเหมือนเอกสารธุรกิจ

    https://securityonline.info/stealth-stealer-new-net-loader-hides-lokibot-payload-in-bmp-png-images-using-advanced-steganography/
    🕵️‍♂️ มัลแวร์ใหม่: Stealth Stealer ซ่อน LokiBot ในไฟล์ภาพ นักวิจัยจาก Splunk Threat Research Team (STRT) เปิดเผยการค้นพบมัลแวร์ใหม่ที่ใช้เทคนิค Steganography ซ่อนโค้ดอันตรายในไฟล์ภาพ BMP และ PNG โดยมัลแวร์นี้ถูกพัฒนาเป็น .NET Loader รุ่นใหม่ ที่สามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับและสุดท้ายปล่อย payload ของ LokiBot ซึ่งเป็นหนึ่งใน Trojan ขโมยข้อมูลที่แพร่หลายที่สุดในโลก 🎭 วิธีการทำงานของ Loader Loader ตัวใหม่นี้ปลอมตัวเป็นเอกสารธุรกิจ เช่น Request for Quotation (RFQ) เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดไฟล์ เมื่อรันขึ้นมา มันจะ ถอดรหัสโมดูล container ที่ซ่อนอยู่ภายใน และดึง stager modules ที่ถูกฝังไว้ในไฟล์ภาพออกมา จากนั้นจึงค่อยๆ ปลดล็อก payload ขั้นสุดท้าย ซึ่งก็คือ LokiBot 🖼️ เทคนิคการซ่อนตัวในไฟล์ภาพ มัลแวร์ใช้การฝังโค้ดไว้ใน metadata ของไฟล์ภาพ BMP และ PNG โดยเข้ารหัสด้วยอัลกอริทึมเดียวกับที่เคยใช้ใน Quasar RAT loaders ทำให้การตรวจจับด้วยเครื่องมือ static analysis และ automated payload extraction ยากขึ้นมาก นักวิจัยต้องปรับเครื่องมือ PixDig เพื่อบังคับถอดรหัสโดยตรงจากไฟล์ภาพ จึงสามารถดึง stager modules ออกมาได้สำเร็จ ⚠️ ความเสี่ยงและผลกระทบ LokiBot เป็นมัลแวร์ที่มีมานานกว่า 10 ปี และยังคงถูกใช้แพร่หลายในการขโมยข้อมูล เช่น รหัสผ่านเบราว์เซอร์, อีเมล, FTP, Wallet คริปโต, Windows credentials และไฟล์การตั้งค่าต่างๆ การพัฒนา loader รุ่นใหม่ที่ซ่อนตัวในไฟล์ภาพสะท้อนให้เห็นว่าอาชญากรไซเบอร์ยังคงปรับปรุงเทคนิคเพื่อเลี่ยงการตรวจจับ และทำให้การป้องกันยากขึ้นเรื่อยๆ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบใหม่ ➡️ Stealth Stealer เป็น .NET Loader รุ่นใหม่ที่ใช้ steganography ➡️ ซ่อน LokiBot payload ในไฟล์ BMP และ PNG ✅ วิธีการทำงาน ➡️ Loader ปลอมตัวเป็นเอกสาร RFQ เพื่อหลอกเหยื่อ ➡️ ถอดรหัส container module และดึง stager modules จากไฟล์ภาพ ✅ เทคนิคการซ่อนตัว ➡️ ใช้ metadata ของไฟล์ภาพเข้ารหัสโค้ด ➡️ ทำให้ static detection และ automated extraction ยากขึ้น ✅ ผลกระทบ ➡️ LokiBot ขโมยข้อมูล credential, wallet, และไฟล์การตั้งค่าต่างๆ ➡️ ยังคงเป็นภัยคุกคามที่แพร่หลายแม้มีมานานกว่า 10 ปี ‼️ คำเตือน ⛔ การใช้ไฟล์ภาพเป็นตัวซ่อน payload ทำให้การตรวจจับยากขึ้น ⛔ องค์กรควรอัปเดตเครื่องมือวิเคราะห์และตรวจสอบไฟล์ที่น่าสงสัย ⛔ ผู้ใช้ควรระวังการเปิดไฟล์แนบที่ดูเหมือนเอกสารธุรกิจ https://securityonline.info/stealth-stealer-new-net-loader-hides-lokibot-payload-in-bmp-png-images-using-advanced-steganography/
    SECURITYONLINE.INFO
    Stealth Stealer: New .NET Loader Hides LokiBot Payload in BMP/PNG Images Using Advanced Steganography
    Splunk uncovered a new .NET steganographic loader that hides LokiBot malware inside embedded BMP and PNG image files. The multi-stage loader uses a separate container module, evading static detection.
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • แคมเปญ Amatera Stealer ใช้ ClickFix เจาะระบบ

    นักวิจัยจาก eSentire Threat Response Unit (TRU) เปิดเผยการโจมตีใหม่ที่ใช้เทคนิค ClickFix เพื่อหลอกเหยื่อให้รันคำสั่งอันตรายใน Windows Run Prompt โดยมัลแวร์ที่ถูกปล่อยคือ Amatera Stealer ซึ่งเป็นเวอร์ชันรีแบรนด์ของ AcridRain (ACR) Stealer ที่ถูกขายซอร์สโค้ดในปี 2024 และถูกนำไปปรับใช้โดยหลายกลุ่มแฮกเกอร์

    วิธีการโจมตีและการเลี่ยงตรวจจับ
    เมื่อเหยื่อรันคำสั่งที่ได้รับจากการหลอกลวง มัลแวร์จะเริ่มโหลด PowerShell payloads หลายขั้นตอน โดยมีการเข้ารหัสและซ่อนตัวอย่างซับซ้อน หนึ่งในขั้นตอนสำคัญคือการ patch AMSI (Anti-Malware Scan Interface) ในหน่วยความจำ โดยการเขียนทับค่า “AmsiScanBuffer” ด้วย null bytes ทำให้ Windows ไม่สามารถตรวจสอบสคริปต์อันตรายที่รันต่อไปได้

    ความสามารถของ Amatera Stealer
    Amatera Stealer มีฟีเจอร์หลากหลาย เช่น
    ขโมยข้อมูลจาก crypto-wallets, browsers, password managers, FTP/email/VPN clients
    เจาะเข้าถึง productivity apps เช่น Sticky Notes, To-Do lists
    ใช้เทคนิค WoW64 SysCalls เพื่อหลบเลี่ยง sandbox และ EDR
    สามารถ bypass “App-Bound Encryption” ใน Chrome และ Edge เพื่อดึง credential ที่ควรจะถูกเข้ารหัส

    ผลกระทบและความเสี่ยง
    มัลแวร์นี้ไม่เพียงแต่ขโมยข้อมูล แต่ยังสามารถ โหลดมัลแวร์เพิ่มเติม เช่น NetSupport RAT ผ่านฟีเจอร์ “load” โดยใช้ PowerShell หรือไฟล์ JPG ที่ซ่อน payload ไว้ ทำให้การโจมตีมีความซับซ้อนและต่อเนื่องมากขึ้น เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงจากการโจมตีที่ใช้ social engineering + memory patching ซึ่งยากต่อการตรวจจับและป้องกัน

    สรุปสาระสำคัญ
    การโจมตี
    ใช้ ClickFix หลอกเหยื่อรันคำสั่งใน Windows Run Prompt
    โหลด PowerShell payloads หลายขั้นตอน

    เทคนิคการเลี่ยงตรวจจับ
    Patch AMSI ใน memory เพื่อปิดการตรวจสอบสคริปต์
    ใช้ WoW64 SysCalls และ bypass encryption ใน Chrome/Edge

    ความสามารถของ Amatera Stealer
    ขโมยข้อมูลจาก crypto-wallets, browsers, password managers
    เข้าถึง productivity apps และ credential สำคัญ
    โหลดมัลแวร์เพิ่มเติม เช่น NetSupport RAT

    คำเตือน
    Social engineering เป็นช่องทางหลักในการแพร่กระจาย
    การ patch memory ทำให้การตรวจจับยากมากขึ้น
    องค์กรควรเสริมการตรวจสอบ PowerShell และระบบ AMSI

    https://securityonline.info/amatera-stealer-campaign-uses-clickfix-to-deploy-malware-bypassing-edr-by-patching-amsi-in-memory/
    🕵️‍♂️ แคมเปญ Amatera Stealer ใช้ ClickFix เจาะระบบ นักวิจัยจาก eSentire Threat Response Unit (TRU) เปิดเผยการโจมตีใหม่ที่ใช้เทคนิค ClickFix เพื่อหลอกเหยื่อให้รันคำสั่งอันตรายใน Windows Run Prompt โดยมัลแวร์ที่ถูกปล่อยคือ Amatera Stealer ซึ่งเป็นเวอร์ชันรีแบรนด์ของ AcridRain (ACR) Stealer ที่ถูกขายซอร์สโค้ดในปี 2024 และถูกนำไปปรับใช้โดยหลายกลุ่มแฮกเกอร์ ⚙️ วิธีการโจมตีและการเลี่ยงตรวจจับ เมื่อเหยื่อรันคำสั่งที่ได้รับจากการหลอกลวง มัลแวร์จะเริ่มโหลด PowerShell payloads หลายขั้นตอน โดยมีการเข้ารหัสและซ่อนตัวอย่างซับซ้อน หนึ่งในขั้นตอนสำคัญคือการ patch AMSI (Anti-Malware Scan Interface) ในหน่วยความจำ โดยการเขียนทับค่า “AmsiScanBuffer” ด้วย null bytes ทำให้ Windows ไม่สามารถตรวจสอบสคริปต์อันตรายที่รันต่อไปได้ 💻 ความสามารถของ Amatera Stealer Amatera Stealer มีฟีเจอร์หลากหลาย เช่น 🔰 ขโมยข้อมูลจาก crypto-wallets, browsers, password managers, FTP/email/VPN clients 🔰 เจาะเข้าถึง productivity apps เช่น Sticky Notes, To-Do lists 🔰 ใช้เทคนิค WoW64 SysCalls เพื่อหลบเลี่ยง sandbox และ EDR 🔰 สามารถ bypass “App-Bound Encryption” ใน Chrome และ Edge เพื่อดึง credential ที่ควรจะถูกเข้ารหัส ⚠️ ผลกระทบและความเสี่ยง มัลแวร์นี้ไม่เพียงแต่ขโมยข้อมูล แต่ยังสามารถ โหลดมัลแวร์เพิ่มเติม เช่น NetSupport RAT ผ่านฟีเจอร์ “load” โดยใช้ PowerShell หรือไฟล์ JPG ที่ซ่อน payload ไว้ ทำให้การโจมตีมีความซับซ้อนและต่อเนื่องมากขึ้น เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงจากการโจมตีที่ใช้ social engineering + memory patching ซึ่งยากต่อการตรวจจับและป้องกัน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การโจมตี ➡️ ใช้ ClickFix หลอกเหยื่อรันคำสั่งใน Windows Run Prompt ➡️ โหลด PowerShell payloads หลายขั้นตอน ✅ เทคนิคการเลี่ยงตรวจจับ ➡️ Patch AMSI ใน memory เพื่อปิดการตรวจสอบสคริปต์ ➡️ ใช้ WoW64 SysCalls และ bypass encryption ใน Chrome/Edge ✅ ความสามารถของ Amatera Stealer ➡️ ขโมยข้อมูลจาก crypto-wallets, browsers, password managers ➡️ เข้าถึง productivity apps และ credential สำคัญ ➡️ โหลดมัลแวร์เพิ่มเติม เช่น NetSupport RAT ‼️ คำเตือน ⛔ Social engineering เป็นช่องทางหลักในการแพร่กระจาย ⛔ การ patch memory ทำให้การตรวจจับยากมากขึ้น ⛔ องค์กรควรเสริมการตรวจสอบ PowerShell และระบบ AMSI https://securityonline.info/amatera-stealer-campaign-uses-clickfix-to-deploy-malware-bypassing-edr-by-patching-amsi-in-memory/
    SECURITYONLINE.INFO
    Amatera Stealer Campaign Uses ClickFix to Deploy Malware, Bypassing EDR by Patching AMSI in Memory
    eSentire exposed the Amatera Stealer campaign using ClickFix social engineering to deliver multi-stage PowerShell. The malware patches AMSI in memory and deploys NetSupport RAT for remote access.
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • RustDesk เพิ่มฟีเจอร์ Multi-Scaled Display บน Wayland

    RustDesk ซึ่งเป็นโครงการ remote desktop แบบโอเพนซอร์ส ได้ประกาศอัปเดตสำคัญใน nightly build ล่าสุด โดยเพิ่มการรองรับ multi-scaled display สำหรับผู้ใช้ Linux ที่ใช้ Wayland โดยเฉพาะบน KDE และ GNOME ฟีเจอร์นี้ช่วยแก้ปัญหาที่ผู้ใช้หลายจอที่มีความละเอียดและการปรับสเกลต่างกันมักเจอ เช่น pointer ไม่ตรงตำแหน่งที่คลิกจริง

    ปัญหาที่ถูกแก้ไข
    ก่อนหน้านี้ หากผู้ใช้มีจอ 4K ที่ปรับสเกล 200% และจอ Full HD ที่ปรับสเกล 100% การใช้งาน remote desktop มักจะเกิดปัญหา pointer misalignment ทำให้การทำงานแทบเป็นไปไม่ได้ การอัปเดตครั้งนี้ทำให้ RustDesk กลายเป็น remote desktop ตัวแรกที่รองรับ multi-scaled display บน Wayland ซึ่งคู่แข่งเชิงพาณิชย์อย่าง TeamViewer และ AnyDesk ยังไม่สามารถแก้ไขได้เต็มที่

    ความสำคัญต่อผู้ใช้ Linux
    การแก้ไขนี้ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับผู้ใช้ Linux ที่ทำงานกับหลายจอ เพราะ Wayland เองยังมีความท้าทายในการจัดการ multi-monitor ที่ซับซ้อน RustDesk จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความเสถียรและความปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อมันเป็นโอเพนซอร์สและรองรับหลายแพลตฟอร์มทั้ง Windows, macOS, Android และ iOS

    อนาคตของ RustDesk
    ฟีเจอร์นี้ยังอยู่ใน nightly build และจะถูกปล่อยในเวอร์ชัน stable หลังจากผ่านการทดสอบแล้ว หาก RustDeskสามารถรักษาความเร็วและความเสถียรได้ ก็อาจกลายเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งของโซลูชันเชิงพาณิชย์ และเป็นตัวเลือกหลักสำหรับองค์กรที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้าน remote desktop

    สรุปสาระสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่
    รองรับ multi-scaled display บน Wayland (KDE, GNOME)
    แก้ปัญหา pointer misalignment บนหลายจอ

    ความแตกต่างจากคู่แข่ง
    RustDesk เป็น remote desktop ตัวแรกที่รองรับฟีเจอร์นี้บน Wayland
    TeamViewer และ AnyDesk ยังไม่แก้ไขได้เต็มที่

    ความสำคัญต่อผู้ใช้
    ช่วยให้การทำงานบนหลายจอเสถียรขึ้น
    รองรับ cross-platform และเป็นโอเพนซอร์ส

    คำเตือน
    ฟีเจอร์ยังอยู่ใน nightly build อาจมีบั๊กหรือไม่เสถียร
    ต้องรอการปล่อยใน stable version เพื่อใช้งานจริงในองค์กร
    ผู้ใช้ควรทดสอบก่อนนำไปใช้ในงานสำคัญ

    https://itsfoss.com/news/rustdesk-multi-scaled-display-support/
    🖥️ RustDesk เพิ่มฟีเจอร์ Multi-Scaled Display บน Wayland RustDesk ซึ่งเป็นโครงการ remote desktop แบบโอเพนซอร์ส ได้ประกาศอัปเดตสำคัญใน nightly build ล่าสุด โดยเพิ่มการรองรับ multi-scaled display สำหรับผู้ใช้ Linux ที่ใช้ Wayland โดยเฉพาะบน KDE และ GNOME ฟีเจอร์นี้ช่วยแก้ปัญหาที่ผู้ใช้หลายจอที่มีความละเอียดและการปรับสเกลต่างกันมักเจอ เช่น pointer ไม่ตรงตำแหน่งที่คลิกจริง ⚙️ ปัญหาที่ถูกแก้ไข ก่อนหน้านี้ หากผู้ใช้มีจอ 4K ที่ปรับสเกล 200% และจอ Full HD ที่ปรับสเกล 100% การใช้งาน remote desktop มักจะเกิดปัญหา pointer misalignment ทำให้การทำงานแทบเป็นไปไม่ได้ การอัปเดตครั้งนี้ทำให้ RustDesk กลายเป็น remote desktop ตัวแรกที่รองรับ multi-scaled display บน Wayland ซึ่งคู่แข่งเชิงพาณิชย์อย่าง TeamViewer และ AnyDesk ยังไม่สามารถแก้ไขได้เต็มที่ 🌐 ความสำคัญต่อผู้ใช้ Linux การแก้ไขนี้ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับผู้ใช้ Linux ที่ทำงานกับหลายจอ เพราะ Wayland เองยังมีความท้าทายในการจัดการ multi-monitor ที่ซับซ้อน RustDesk จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความเสถียรและความปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อมันเป็นโอเพนซอร์สและรองรับหลายแพลตฟอร์มทั้ง Windows, macOS, Android และ iOS 🔮 อนาคตของ RustDesk ฟีเจอร์นี้ยังอยู่ใน nightly build และจะถูกปล่อยในเวอร์ชัน stable หลังจากผ่านการทดสอบแล้ว หาก RustDeskสามารถรักษาความเร็วและความเสถียรได้ ก็อาจกลายเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งของโซลูชันเชิงพาณิชย์ และเป็นตัวเลือกหลักสำหรับองค์กรที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้าน remote desktop 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ ➡️ รองรับ multi-scaled display บน Wayland (KDE, GNOME) ➡️ แก้ปัญหา pointer misalignment บนหลายจอ ✅ ความแตกต่างจากคู่แข่ง ➡️ RustDesk เป็น remote desktop ตัวแรกที่รองรับฟีเจอร์นี้บน Wayland ➡️ TeamViewer และ AnyDesk ยังไม่แก้ไขได้เต็มที่ ✅ ความสำคัญต่อผู้ใช้ ➡️ ช่วยให้การทำงานบนหลายจอเสถียรขึ้น ➡️ รองรับ cross-platform และเป็นโอเพนซอร์ส ‼️ คำเตือน ⛔ ฟีเจอร์ยังอยู่ใน nightly build อาจมีบั๊กหรือไม่เสถียร ⛔ ต้องรอการปล่อยใน stable version เพื่อใช้งานจริงในองค์กร ⛔ ผู้ใช้ควรทดสอบก่อนนำไปใช้ในงานสำคัญ https://itsfoss.com/news/rustdesk-multi-scaled-display-support/
    ITSFOSS.COM
    RustDesk Pulls Ahead of TeamViewer, AnyDesk with Wayland Multi-Scaled Display Support
    New nightly build brings support for monitors with different scaling factors.
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • Debian Libre Live Images: ทางเลือกใหม่เพื่อเสรีภาพซอฟต์แวร์

    Debian Project ได้ประกาศเปิดตัว Debian Libre Live Images ซึ่งเป็น ISO ที่สามารถรันและติดตั้ง Debian ได้โดยไม่ต้องพึ่งพา non-free blobs หรือ proprietary firmware จุดประสงค์คือเพื่อมอบทางเลือกให้กับผู้ใช้ที่ยึดมั่นในหลักการ Software Freedom โดยไม่ต้องยอมรับข้อตกลงการใช้งานของซอฟต์แวร์ที่ไม่เป็นอิสระ

    ความแตกต่างจาก Debian ปกติ
    ตั้งแต่ปี 2022 Debian เริ่มรวม non-free firmware ไว้ใน ISO หลักเพื่อให้รองรับฮาร์ดแวร์ได้กว้างขึ้น แต่สำหรับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการ proprietary firmware ก็ยังมีทางเลือกใหม่คือ Debian Libre Live Images ซึ่ง ไม่มีการติดตั้งกราฟิก UI ล่วงหน้า แต่มี Debian Installer มาให้เพื่อความสะดวกในการติดตั้ง

    การรองรับและข้อจำกัด
    Debian Libre Live Images ปัจจุบันรองรับเฉพาะ Intel/AMD 64-bit (amd64) และยังไม่รองรับสถาปัตยกรรมอื่น จุดเด่นคือผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อจำกัดทางกฎหมายจากการใช้ non-free blobs และสามารถควบคุมการใช้งานฮาร์ดแวร์ได้อย่างเต็มที่

    ความหมายต่อชุมชนโอเพนซอร์ส
    การเปิดตัวนี้ถือเป็นการตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ Free Software Foundation (FSF) และเป็นการย้ำว่า Debian ยังคงรักษาสมดุลระหว่างการรองรับฮาร์ดแวร์กับการเคารพเสรีภาพของผู้ใช้ เป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะใช้ Debian แบบ “ครบเครื่อง” หรือแบบ “Libre”

    สรุปสาระสำคัญ
    การเปิดตัว
    Debian Libre Live Images เปิดตัวเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการระบบปลอด non-free software
    ใช้ Debian Installer ติดตั้งได้ง่าย

    ความแตกต่างจาก Debian ปกติ
    ไม่มี proprietary firmware รวมอยู่ใน ISO
    ไม่ติดตั้ง graphical environment ล่วงหน้า

    การรองรับ
    รองรับเฉพาะ Intel/AMD 64-bit (amd64)
    ยังไม่รองรับสถาปัตยกรรมอื่น

    คำเตือน
    อาจไม่รองรับฮาร์ดแวร์บางรุ่นที่ต้องใช้ proprietary firmware
    ผู้ใช้ต้องเตรียมพร้อมสำหรับการตั้งค่าด้วยตนเองมากขึ้น
    ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น อาจมีข้อจำกัดด้าน usability

    https://9to5linux.com/debian-libre-live-images-released-for-software-freedom-lovers
    🖥️ Debian Libre Live Images: ทางเลือกใหม่เพื่อเสรีภาพซอฟต์แวร์ Debian Project ได้ประกาศเปิดตัว Debian Libre Live Images ซึ่งเป็น ISO ที่สามารถรันและติดตั้ง Debian ได้โดยไม่ต้องพึ่งพา non-free blobs หรือ proprietary firmware จุดประสงค์คือเพื่อมอบทางเลือกให้กับผู้ใช้ที่ยึดมั่นในหลักการ Software Freedom โดยไม่ต้องยอมรับข้อตกลงการใช้งานของซอฟต์แวร์ที่ไม่เป็นอิสระ ⚙️ ความแตกต่างจาก Debian ปกติ ตั้งแต่ปี 2022 Debian เริ่มรวม non-free firmware ไว้ใน ISO หลักเพื่อให้รองรับฮาร์ดแวร์ได้กว้างขึ้น แต่สำหรับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการ proprietary firmware ก็ยังมีทางเลือกใหม่คือ Debian Libre Live Images ซึ่ง ไม่มีการติดตั้งกราฟิก UI ล่วงหน้า แต่มี Debian Installer มาให้เพื่อความสะดวกในการติดตั้ง 🌐 การรองรับและข้อจำกัด Debian Libre Live Images ปัจจุบันรองรับเฉพาะ Intel/AMD 64-bit (amd64) และยังไม่รองรับสถาปัตยกรรมอื่น จุดเด่นคือผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อจำกัดทางกฎหมายจากการใช้ non-free blobs และสามารถควบคุมการใช้งานฮาร์ดแวร์ได้อย่างเต็มที่ 🔮 ความหมายต่อชุมชนโอเพนซอร์ส การเปิดตัวนี้ถือเป็นการตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ Free Software Foundation (FSF) และเป็นการย้ำว่า Debian ยังคงรักษาสมดุลระหว่างการรองรับฮาร์ดแวร์กับการเคารพเสรีภาพของผู้ใช้ เป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะใช้ Debian แบบ “ครบเครื่อง” หรือแบบ “Libre” 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเปิดตัว ➡️ Debian Libre Live Images เปิดตัวเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการระบบปลอด non-free software ➡️ ใช้ Debian Installer ติดตั้งได้ง่าย ✅ ความแตกต่างจาก Debian ปกติ ➡️ ไม่มี proprietary firmware รวมอยู่ใน ISO ➡️ ไม่ติดตั้ง graphical environment ล่วงหน้า ✅ การรองรับ ➡️ รองรับเฉพาะ Intel/AMD 64-bit (amd64) ➡️ ยังไม่รองรับสถาปัตยกรรมอื่น ‼️ คำเตือน ⛔ อาจไม่รองรับฮาร์ดแวร์บางรุ่นที่ต้องใช้ proprietary firmware ⛔ ผู้ใช้ต้องเตรียมพร้อมสำหรับการตั้งค่าด้วยตนเองมากขึ้น ⛔ ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น อาจมีข้อจำกัดด้าน usability https://9to5linux.com/debian-libre-live-images-released-for-software-freedom-lovers
    9TO5LINUX.COM
    Debian Libre Live Images Released for Software Freedom Lovers - 9to5Linux
    The Debian Libre Live Images project allows you to run and install the Debian GNU/Linux operating system without non-free software.
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • Blender 5.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ

    Blender 5.0 ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ 3D graphics แบบโอเพนซอร์ส ได้ถูกปล่อยออกมาแล้ว โดยมาพร้อมกับการปรับปรุงครั้งใหญ่ทั้งด้านการแสดงผล, เครื่องมือสร้างสรรค์ และการรองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างงาน 3D ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสมจริงมากขึ้น

    รองรับ HDR และ Wide Gamut Colors
    หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญคือการรองรับ HDR และ wide gamut colors บน Linux เมื่อใช้ Wayland และ Vulkan backend ซึ่งช่วยให้การทำงานด้านการปรับแต่งสีและการเรนเดอร์วิดีโอ HDR มีความแม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้ยังมี AgX HDR view, Rec.2100-PQ/HLG displays และ ACES 1.3/2.0 views สำหรับงาน color grading ระดับมืออาชีพ

    ฟีเจอร์ใหม่ด้านการสร้างสรรค์
    Blender 5.0 เพิ่มเครื่องมือใหม่ๆ เช่น
    Storyboarding template และ workspace สำหรับงาน pre-production
    Geometry Nodes-based modifiers 6 แบบใหม่
    Curve drawing และ Curve Data panel ที่ปรับปรุงให้ใช้งานง่ายขึ้น
    Cylinder curve display type เพื่อให้เส้นโค้งดูสมจริงมากขึ้น
    Human base mesh bundle สำหรับ skeleton assets ที่สมจริง

    ปรับปรุงประสิทธิภาพและ UI
    Blender 5.0 ยังมาพร้อมกับการปรับปรุง UI เช่น drag-and-drop ใน Shape Keys, snapping sidebar, และการปรับ theme settings ให้สร้าง custom themes ได้ง่ายขึ้น รวมถึงการเพิ่ม Zstd compression สำหรับ point caches และการปรับปรุง GPU requirements ให้รองรับ NVIDIA, AMD และ Intel รุ่นใหม่ๆ

    สรุปสาระสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่ด้านการแสดงผล
    รองรับ HDR และ wide gamut colors บน Wayland + Vulkan
    เพิ่ม AgX HDR view และ Rec.2100 displays

    ฟีเจอร์สร้างสรรค์
    Storyboarding workspace และ Geometry Nodes modifiers
    Human base mesh bundle และ Curve tools ที่ปรับปรุงใหม่

    การปรับปรุง UI และระบบ
    Drag-and-drop ใน Shape Keys, snapping sidebar
    Theme settings ที่ง่ายขึ้น และ Zstd compression

    https://9to5linux.com/blender-5-0-open-source-3d-graphics-app-is-now-available-for-download
    🎨 Blender 5.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ Blender 5.0 ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ 3D graphics แบบโอเพนซอร์ส ได้ถูกปล่อยออกมาแล้ว โดยมาพร้อมกับการปรับปรุงครั้งใหญ่ทั้งด้านการแสดงผล, เครื่องมือสร้างสรรค์ และการรองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างงาน 3D ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสมจริงมากขึ้น 🌈 รองรับ HDR และ Wide Gamut Colors หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญคือการรองรับ HDR และ wide gamut colors บน Linux เมื่อใช้ Wayland และ Vulkan backend ซึ่งช่วยให้การทำงานด้านการปรับแต่งสีและการเรนเดอร์วิดีโอ HDR มีความแม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้ยังมี AgX HDR view, Rec.2100-PQ/HLG displays และ ACES 1.3/2.0 views สำหรับงาน color grading ระดับมืออาชีพ 🛠️ ฟีเจอร์ใหม่ด้านการสร้างสรรค์ Blender 5.0 เพิ่มเครื่องมือใหม่ๆ เช่น 🔰 Storyboarding template และ workspace สำหรับงาน pre-production 🔰 Geometry Nodes-based modifiers 6 แบบใหม่ 🔰 Curve drawing และ Curve Data panel ที่ปรับปรุงให้ใช้งานง่ายขึ้น 🔰 Cylinder curve display type เพื่อให้เส้นโค้งดูสมจริงมากขึ้น 🔰 Human base mesh bundle สำหรับ skeleton assets ที่สมจริง ⚡ ปรับปรุงประสิทธิภาพและ UI Blender 5.0 ยังมาพร้อมกับการปรับปรุง UI เช่น drag-and-drop ใน Shape Keys, snapping sidebar, และการปรับ theme settings ให้สร้าง custom themes ได้ง่ายขึ้น รวมถึงการเพิ่ม Zstd compression สำหรับ point caches และการปรับปรุง GPU requirements ให้รองรับ NVIDIA, AMD และ Intel รุ่นใหม่ๆ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ด้านการแสดงผล ➡️ รองรับ HDR และ wide gamut colors บน Wayland + Vulkan ➡️ เพิ่ม AgX HDR view และ Rec.2100 displays ✅ ฟีเจอร์สร้างสรรค์ ➡️ Storyboarding workspace และ Geometry Nodes modifiers ➡️ Human base mesh bundle และ Curve tools ที่ปรับปรุงใหม่ ✅ การปรับปรุง UI และระบบ ➡️ Drag-and-drop ใน Shape Keys, snapping sidebar ➡️ Theme settings ที่ง่ายขึ้น และ Zstd compression https://9to5linux.com/blender-5-0-open-source-3d-graphics-app-is-now-available-for-download
    9TO5LINUX.COM
    Blender 5.0 Open-Source 3D Graphics App Is Now Available for Download - 9to5Linux
    Blender 5.0 free and open-source 3D computer graphics software tool set is now available for download as a major update with new features.
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • ข้อเสีย 5 ข้อที่อาจจะทำให้คุณไม่อยากจะใช้สาย HDMI

    บทความจาก SlashGear ชี้ให้เห็นว่าแม้ HDMI จะยังเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อภาพและเสียงที่แพร่หลาย แต่ก็มีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น ความยาวสาย, แบนด์วิดท์, การรองรับหลายจอ, ความทนทาน และการเปลี่ยนแปลงไปสู่ USB-C

    1️⃣ ข้อจำกัดด้านความยาวสาย
    HDMI มีข้อจำกัดเรื่องความยาวสาย โดยสายทั่วไปที่ยาวเกิน 25 ฟุต มักจะเริ่มมีปัญหาสัญญาณ เช่น ภาพแตก, เสียงดีเลย์ หรือแม้กระทั่งสัญญาณหายไป หากต้องการคุณภาพ 4K ที่เสถียร ความยาวที่เหมาะสมคือ ไม่เกิน 10 ฟุต ขณะที่ DisplayPort หรือ SDI สามารถส่งสัญญาณได้ไกลกว่ามาก (SDI ถึง ~980 ฟุต)

    2️⃣ แบนด์วิดท์ต่ำกว่า DisplayPort
    แม้ HDMI 2.1 จะรองรับ 48 Gbps และ HDMI 2.2 ที่เปิดตัวใน CES 2025 จะรองรับ 96 Gbps แต่ก็ยังด้อยกว่า DisplayPort 2.1 ที่รองรับ 80 Gbps พร้อม multi-stream transport (MST) ซึ่งสามารถเชื่อมต่อหลายจอพร้อมกันและรองรับ refresh rate สูงกว่า เหมาะสำหรับงาน เกมแข่งขันและการสร้างคอนเทนต์ระดับมืออาชีพ

    3️⃣ การรองรับหลายจอที่ซับซ้อน
    HDMI ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานกับจอเดียว หากต้องการหลายจอจะต้องใช้ splitters หรือ adapters ซึ่งทำให้เกิดความยุ่งยากและสายระโยงระยาง ในทางตรงกันข้าม DisplayPort รองรับ daisy-chaining หลายจอโดยตรง ทำให้เหมาะกับนักออกแบบ, นักพัฒนา และเกมเมอร์ที่ใช้หลายจอพร้อมกัน

    4️⃣ ความทนทานและการเสื่อมสภาพ
    สาย HDMI มีแนวโน้มเสื่อมสภาพเมื่อใช้งานไปนานๆ โดยเฉพาะเมื่อเจอ ความร้อน, ฝุ่น, ความชื้น หรือการบิดงอ ทำให้เกิดสัญญาณรบกวน (EMI/RFI) และคุณภาพลดลง แม้จะมีสายไฟเบอร์ออปติก HDMI ที่ทนทานกว่า แต่ก็มีราคาสูงและไม่แพร่หลายเท่า DisplayPort หรือ SDI

    5️⃣ การเปลี่ยนแปลงสู่ USB-C
    แม้ HDMI จะยังเป็นมาตรฐานหลักในทีวีและคอนโซลเกม แต่ USB-C กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยรองรับ DisplayPort Alt Mode, การส่งข้อมูลความเร็วสูง และการชาร์จไฟในสายเดียว อีกทั้งยังมี หัวเสียบแบบ reversible ที่ใช้ง่ายกว่า HDMI ทำให้เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับ โน้ตบุ๊ก, สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต

    https://www.slashgear.com/2025900/reasons-to-stop-using-hdmi-cables/
    📺 ข้อเสีย 5 ข้อที่อาจจะทำให้คุณไม่อยากจะใช้สาย HDMI บทความจาก SlashGear ชี้ให้เห็นว่าแม้ HDMI จะยังเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อภาพและเสียงที่แพร่หลาย แต่ก็มีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น ความยาวสาย, แบนด์วิดท์, การรองรับหลายจอ, ความทนทาน และการเปลี่ยนแปลงไปสู่ USB-C 1️⃣ 📏 ข้อจำกัดด้านความยาวสาย HDMI มีข้อจำกัดเรื่องความยาวสาย โดยสายทั่วไปที่ยาวเกิน 25 ฟุต มักจะเริ่มมีปัญหาสัญญาณ เช่น ภาพแตก, เสียงดีเลย์ หรือแม้กระทั่งสัญญาณหายไป หากต้องการคุณภาพ 4K ที่เสถียร ความยาวที่เหมาะสมคือ ไม่เกิน 10 ฟุต ขณะที่ DisplayPort หรือ SDI สามารถส่งสัญญาณได้ไกลกว่ามาก (SDI ถึง ~980 ฟุต) 2️⃣ ⚡ แบนด์วิดท์ต่ำกว่า DisplayPort แม้ HDMI 2.1 จะรองรับ 48 Gbps และ HDMI 2.2 ที่เปิดตัวใน CES 2025 จะรองรับ 96 Gbps แต่ก็ยังด้อยกว่า DisplayPort 2.1 ที่รองรับ 80 Gbps พร้อม multi-stream transport (MST) ซึ่งสามารถเชื่อมต่อหลายจอพร้อมกันและรองรับ refresh rate สูงกว่า เหมาะสำหรับงาน เกมแข่งขันและการสร้างคอนเทนต์ระดับมืออาชีพ 3️⃣ 🖥️ การรองรับหลายจอที่ซับซ้อน HDMI ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานกับจอเดียว หากต้องการหลายจอจะต้องใช้ splitters หรือ adapters ซึ่งทำให้เกิดความยุ่งยากและสายระโยงระยาง ในทางตรงกันข้าม DisplayPort รองรับ daisy-chaining หลายจอโดยตรง ทำให้เหมาะกับนักออกแบบ, นักพัฒนา และเกมเมอร์ที่ใช้หลายจอพร้อมกัน 4️⃣ 📉 ความทนทานและการเสื่อมสภาพ สาย HDMI มีแนวโน้มเสื่อมสภาพเมื่อใช้งานไปนานๆ โดยเฉพาะเมื่อเจอ ความร้อน, ฝุ่น, ความชื้น หรือการบิดงอ ทำให้เกิดสัญญาณรบกวน (EMI/RFI) และคุณภาพลดลง แม้จะมีสายไฟเบอร์ออปติก HDMI ที่ทนทานกว่า แต่ก็มีราคาสูงและไม่แพร่หลายเท่า DisplayPort หรือ SDI 5️⃣ 🔌 การเปลี่ยนแปลงสู่ USB-C แม้ HDMI จะยังเป็นมาตรฐานหลักในทีวีและคอนโซลเกม แต่ USB-C กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยรองรับ DisplayPort Alt Mode, การส่งข้อมูลความเร็วสูง และการชาร์จไฟในสายเดียว อีกทั้งยังมี หัวเสียบแบบ reversible ที่ใช้ง่ายกว่า HDMI ทำให้เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับ โน้ตบุ๊ก, สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต https://www.slashgear.com/2025900/reasons-to-stop-using-hdmi-cables/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Reasons You Might Want To Stop Using HDMI Cables - SlashGear
    HDMI is pretty much the global standard in A/V connection these days, but that doesn't mean it's a perfect solution for everyone — far from it, in fact.
    0 Comments 0 Shares 5 Views 0 Reviews
  • ใครคือผู้ผลิต Laptop ที่ทนทานที่สุดในโลก?

    บทความจาก SlashGear ได้เจาะลึกถึงตลาด Rugged Laptops ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย เช่น ไซต์ก่อสร้าง, แท่นขุดเจาะน้ำมัน, หรือแม้แต่พื้นที่ที่มีสภาพอากาศสุดขั้ว โดยมีหลายบริษัทที่แข่งขันกัน แต่ Panasonic ยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้วยซีรีส์ Toughbook ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน

    Panasonic Toughbook: มาตรฐานทองคำของความทนทาน
    Panasonic เปิดตัว Toughbook รุ่นแรกในปี 1996 และปัจจุบันยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รุ่นล่าสุดเช่น Toughbook G2 และ Toughbook 40 มาพร้อมมาตรฐาน MIL-STD-810H และการป้องกันน้ำระดับ IP66 สามารถทนต่อการตกจากความสูง, ฝุ่น, น้ำ และแรงสั่นสะเทือน เหมาะสำหรับงานภาคสนามที่ต้องการความเชื่อถือได้สูงสุด

    คู่แข่งในตลาด: Dell, HP, Lenovo และผู้ผลิตเฉพาะทาง
    Dell เข้าสู่ตลาดนี้ตั้งแต่ปี 2006 ด้วย Latitude ATG และล่าสุดมี Dell Pro Rugged 13 ที่ทนทานใกล้เคียง Toughbook แต่การป้องกันน้ำอยู่ที่ IP65

    HP, Asus, Acer มีรุ่นที่เรียกว่า “semi-rugged” ซึ่งทนทานกว่าลaptop ปกติ แต่ยังไม่ถึงระดับ Toughbook หรือ Dell Rugged

    Getac และ MilDef เป็นผู้ผลิตเฉพาะทางที่เน้นตลาดทหารและอุตสาหกรรมพิเศษ โดย MilDef มีรุ่น RK15, RB14, RW14 และ RS13 ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในเขตสงคราม

    ความหมายต่อผู้ใช้และองค์กร
    Laptop ทนทานเหล่านี้ไม่ได้มีไว้สำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อความเสียหาย การเลือกใช้เครื่องที่เหมาะสมช่วยลด downtime และเพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงความต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้ในโลกดิจิทัล

    สรุปสาระสำคัญ
    Panasonic Toughbook
    รุ่น G2 และ 40 มี MIL-STD-810H และ IP66
    ครองตำแหน่ง laptop ที่ทนทานที่สุดในตลาด

    Dell Rugged
    รุ่น Pro Rugged 13 มี drop protection 6 ฟุต และ IP65
    เข้าสู่ตลาดตั้งแต่ปี 2006

    Semi-rugged laptops
    HP, Asus, Acer มีรุ่นที่ทนทานกว่าปกติ แต่ไม่ถึงระดับสูงสุด

    ผู้ผลิตเฉพาะทาง
    Getac และ MilDef เน้นตลาดทหารและอุตสาหกรรมพิเศษ
    MilDef มีรุ่น RK15, RB14, RW14, RS13

    คำเตือน
    Semi-rugged ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความทนทานสูงสุด
    Tough laptops จากผู้ผลิตเฉพาะทางมักขายผ่าน B2B ไม่ใช่ตลาดทั่วไป
    การเลือก laptop ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิด downtime และความเสียหายต่อข้อมูล

    https://www.slashgear.com/2025990/who-makes-worlds-most-durable-laptop/
    💻 ใครคือผู้ผลิต Laptop ที่ทนทานที่สุดในโลก? บทความจาก SlashGear ได้เจาะลึกถึงตลาด Rugged Laptops ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย เช่น ไซต์ก่อสร้าง, แท่นขุดเจาะน้ำมัน, หรือแม้แต่พื้นที่ที่มีสภาพอากาศสุดขั้ว โดยมีหลายบริษัทที่แข่งขันกัน แต่ Panasonic ยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้วยซีรีส์ Toughbook ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน 🛡️ Panasonic Toughbook: มาตรฐานทองคำของความทนทาน Panasonic เปิดตัว Toughbook รุ่นแรกในปี 1996 และปัจจุบันยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รุ่นล่าสุดเช่น Toughbook G2 และ Toughbook 40 มาพร้อมมาตรฐาน MIL-STD-810H และการป้องกันน้ำระดับ IP66 สามารถทนต่อการตกจากความสูง, ฝุ่น, น้ำ และแรงสั่นสะเทือน เหมาะสำหรับงานภาคสนามที่ต้องการความเชื่อถือได้สูงสุด ⚙️ คู่แข่งในตลาด: Dell, HP, Lenovo และผู้ผลิตเฉพาะทาง 💻 Dell เข้าสู่ตลาดนี้ตั้งแต่ปี 2006 ด้วย Latitude ATG และล่าสุดมี Dell Pro Rugged 13 ที่ทนทานใกล้เคียง Toughbook แต่การป้องกันน้ำอยู่ที่ IP65 💻 HP, Asus, Acer มีรุ่นที่เรียกว่า “semi-rugged” ซึ่งทนทานกว่าลaptop ปกติ แต่ยังไม่ถึงระดับ Toughbook หรือ Dell Rugged 💻 Getac และ MilDef เป็นผู้ผลิตเฉพาะทางที่เน้นตลาดทหารและอุตสาหกรรมพิเศษ โดย MilDef มีรุ่น RK15, RB14, RW14 และ RS13 ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในเขตสงคราม 🌍 ความหมายต่อผู้ใช้และองค์กร Laptop ทนทานเหล่านี้ไม่ได้มีไว้สำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อความเสียหาย การเลือกใช้เครื่องที่เหมาะสมช่วยลด downtime และเพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงความต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้ในโลกดิจิทัล 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Panasonic Toughbook ➡️ รุ่น G2 และ 40 มี MIL-STD-810H และ IP66 ➡️ ครองตำแหน่ง laptop ที่ทนทานที่สุดในตลาด ✅ Dell Rugged ➡️ รุ่น Pro Rugged 13 มี drop protection 6 ฟุต และ IP65 ➡️ เข้าสู่ตลาดตั้งแต่ปี 2006 ✅ Semi-rugged laptops ➡️ HP, Asus, Acer มีรุ่นที่ทนทานกว่าปกติ แต่ไม่ถึงระดับสูงสุด ✅ ผู้ผลิตเฉพาะทาง ➡️ Getac และ MilDef เน้นตลาดทหารและอุตสาหกรรมพิเศษ ➡️ MilDef มีรุ่น RK15, RB14, RW14, RS13 ‼️ คำเตือน ⛔ Semi-rugged ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความทนทานสูงสุด ⛔ Tough laptops จากผู้ผลิตเฉพาะทางมักขายผ่าน B2B ไม่ใช่ตลาดทั่วไป ⛔ การเลือก laptop ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิด downtime และความเสียหายต่อข้อมูล https://www.slashgear.com/2025990/who-makes-worlds-most-durable-laptop/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Who Makes The World's Most Durable Laptops? - SlashGear
    Panasonic is a pioneer in the durable laptop department. However, other companies design laptops specifically for industries like the military.
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • Samsung Smart TV มีเมนูลับที่คุณอาจไม่เคยรู้

    Samsung Smart TV รุ่นใหม่ๆ ไม่ได้มีแค่เมนูตั้งค่าทั่วไป แต่ยังมี “Service Menu” หรือเมนูลับที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้โดยช่างเทคนิคในการตรวจสอบและปรับแต่งระบบภายใน ซึ่งผู้ใช้ทั่วไปก็สามารถเข้าถึงได้ หากรู้วิธีการกดปุ่มบนรีโมตที่ถูกต้อง

    วิธีเข้าถึงเมนูลับ
    สำหรับรีโมตขนาดเล็ก: เปิดทีวี → ไปที่ Settings > Sound Settings และตั้งค่า “Sound Output” เป็น TV Speakers → กดปุ่มตามลำดับ Mute, Up, Down, Enter/OK, Mute

    สำหรับรีโมตขนาดใหญ่: เข้าสู่ Standby Mode โดยเปิดทีวีแล้วกดปิดทันที → จากนั้นกดปุ่มตามลำดับ Info, Menu, Mute, Power หากวิธีเหล่านี้ไม่ทำงาน สามารถค้นหาด้วย รุ่นของทีวี + คำว่า service menu เพื่อดูคำแนะนำเฉพาะรุ่น

    สิ่งที่ทำได้ในเมนูลับ
    ตรวจสอบ ชั่วโมงการใช้งานของจอภาพ (สำคัญมากหากซื้อทีวีมือสอง)
    ปรับแต่ง advanced picture settings เช่น white balance และ gamma
    ตั้งค่า Bluetooth radio configuration และ tuner region
    ปิด Hospitality Mode ที่บางครั้งถูกเปิดโดยผิดพลาด ทำให้ฟีเจอร์บางอย่างถูกจำกัด

    ข้อควรระวัง
    แม้เมนูลับนี้จะมีประโยชน์ แต่ก็มีความเสี่ยงสูง หากปรับค่าที่ไม่เข้าใจอาจทำให้ระบบทำงานผิดพลาดหรือเสียหายได้ ดังนั้นควรใช้เพื่อการตรวจสอบข้อมูลเท่านั้น ไม่ควรทดลองเปลี่ยนค่าที่ไม่แน่ใจ

    สรุปสาระสำคัญ
    วิธีเข้าถึงเมนูลับ
    รีโมตเล็ก: Mute → Up → Down → Enter/OK → Mute
    รีโมตใหญ่: Info → Menu → Mute → Power

    สิ่งที่ทำได้
    ตรวจสอบชั่วโมงการใช้งานจอ
    ปรับแต่ง advanced picture settings
    ตั้งค่า Bluetooth และ tuner region
    ปิด Hospitality Mode

    คำเตือน
    การปรับค่าที่ไม่เข้าใจอาจทำให้ทีวีทำงานผิดพลาด
    เมนูลับถูกออกแบบมาเพื่อช่างเทคนิค ไม่ใช่ผู้ใช้ทั่วไป
    ควรใช้เพื่อการตรวจสอบข้อมูลเท่านั้น

    https://www.slashgear.com/2026399/your-samsung-smart-tv-has-hidden-menu-how-to-access/
    📺 Samsung Smart TV มีเมนูลับที่คุณอาจไม่เคยรู้ Samsung Smart TV รุ่นใหม่ๆ ไม่ได้มีแค่เมนูตั้งค่าทั่วไป แต่ยังมี “Service Menu” หรือเมนูลับที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้โดยช่างเทคนิคในการตรวจสอบและปรับแต่งระบบภายใน ซึ่งผู้ใช้ทั่วไปก็สามารถเข้าถึงได้ หากรู้วิธีการกดปุ่มบนรีโมตที่ถูกต้อง 🔑 วิธีเข้าถึงเมนูลับ 🔰 สำหรับรีโมตขนาดเล็ก: เปิดทีวี → ไปที่ Settings > Sound Settings และตั้งค่า “Sound Output” เป็น TV Speakers → กดปุ่มตามลำดับ Mute, Up, Down, Enter/OK, Mute 🔰 สำหรับรีโมตขนาดใหญ่: เข้าสู่ Standby Mode โดยเปิดทีวีแล้วกดปิดทันที → จากนั้นกดปุ่มตามลำดับ Info, Menu, Mute, Power หากวิธีเหล่านี้ไม่ทำงาน สามารถค้นหาด้วย รุ่นของทีวี + คำว่า service menu เพื่อดูคำแนะนำเฉพาะรุ่น ⚙️ สิ่งที่ทำได้ในเมนูลับ 🔰 ตรวจสอบ ชั่วโมงการใช้งานของจอภาพ (สำคัญมากหากซื้อทีวีมือสอง) 🔰 ปรับแต่ง advanced picture settings เช่น white balance และ gamma 🔰 ตั้งค่า Bluetooth radio configuration และ tuner region 🔰 ปิด Hospitality Mode ที่บางครั้งถูกเปิดโดยผิดพลาด ทำให้ฟีเจอร์บางอย่างถูกจำกัด ⚠️ ข้อควรระวัง แม้เมนูลับนี้จะมีประโยชน์ แต่ก็มีความเสี่ยงสูง หากปรับค่าที่ไม่เข้าใจอาจทำให้ระบบทำงานผิดพลาดหรือเสียหายได้ ดังนั้นควรใช้เพื่อการตรวจสอบข้อมูลเท่านั้น ไม่ควรทดลองเปลี่ยนค่าที่ไม่แน่ใจ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ วิธีเข้าถึงเมนูลับ ➡️ รีโมตเล็ก: Mute → Up → Down → Enter/OK → Mute ➡️ รีโมตใหญ่: Info → Menu → Mute → Power ✅ สิ่งที่ทำได้ ➡️ ตรวจสอบชั่วโมงการใช้งานจอ ➡️ ปรับแต่ง advanced picture settings ➡️ ตั้งค่า Bluetooth และ tuner region ➡️ ปิด Hospitality Mode ‼️ คำเตือน ⛔ การปรับค่าที่ไม่เข้าใจอาจทำให้ทีวีทำงานผิดพลาด ⛔ เมนูลับถูกออกแบบมาเพื่อช่างเทคนิค ไม่ใช่ผู้ใช้ทั่วไป ⛔ ควรใช้เพื่อการตรวจสอบข้อมูลเท่านั้น https://www.slashgear.com/2026399/your-samsung-smart-tv-has-hidden-menu-how-to-access/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Your Samsung Smart TV Has A Hidden Menu — Here's How To Access It - SlashGear
    Access Samsung’s hidden service menu by entering remote codes, like Mute, Up, Down, OK, Mute on newer remotes or Info, Menu, Mute, Power on older ones.
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • “Google Antigravity – IDE ยุค Agent-First”

    Google Antigravity ถูกออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนประสบการณ์การเขียนโปรแกรมจากการใช้ IDE แบบเดิม ไปสู่การทำงานร่วมกับ AI Agent ที่สามารถช่วยเหลือได้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเขียนโค้ด การตรวจสอบผลลัพธ์ ไปจนถึงการจัดการหลายโปรเจกต์พร้อมกันในมุมมองเดียว นักพัฒนาสามารถใช้คำสั่งภาษาธรรมชาติแทนการพิมพ์โค้ดที่ซับซ้อน ทำให้การทำงานเร็วขึ้นและลดความผิดพลาด

    นอกจากนี้ Antigravity ยังมีฟีเจอร์ Cross-surface Agents ที่ช่วยให้การทำงานเชื่อมโยงกันระหว่าง Editor, Terminal และ Browser ได้อย่างราบรื่น นักพัฒนาสามารถควบคุม Agent ได้จากทุกมุมมองโดยไม่ต้องสลับหน้าต่างบ่อย ๆ ซึ่งช่วยลดการเสียเวลาและเพิ่มความต่อเนื่องในการทำงาน

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Google เน้น Agent-First Experience โดยให้ผู้ใช้สามารถจัดการ Agent หลายตัวพร้อมกันจากศูนย์กลางเดียว เหมือนมี “Mission Control” สำหรับการพัฒนาโปรแกรม ฟีเจอร์นี้เหมาะกับทั้งนักพัฒนาเดี่ยวและทีมองค์กรที่ต้องการลดการสลับบริบทและเพิ่มความโปร่งใสในการทำงานร่วมกัน

    จากมุมมองวงการเทคโนโลยี Antigravity ถือเป็นการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ IDE ที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือเขียนโค้ด แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ผสมผสาน AI, Automation และ Collaboration เข้าด้วยกัน ซึ่งอาจเปลี่ยนวิธีการทำงานของนักพัฒนาในอนาคตอย่างสิ้นเชิง

    สรุปสาระสำคัญ
    Google Antigravity เปิดตัวเป็น IDE ยุคใหม่
    เน้นการทำงานร่วมกับ AI Agent และภาษาธรรมชาติ

    Cross-surface Agents
    เชื่อมโยงการทำงานระหว่าง Editor, Terminal และ Browser

    Agent-First Experience
    จัดการ Agent หลายตัวพร้อมกันจากศูนย์กลางเดียว

    เหมาะกับนักพัฒนาทุกระดับ
    ตั้งแต่ Frontend, Fullstack ไปจนถึง Enterprise Developer

    ความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่นและความปลอดภัย
    การใช้ Agent หลายตัวอาจเพิ่มความซับซ้อนในการตรวจสอบผลลัพธ์

    การพึ่งพา AI มากเกินไป
    อาจทำให้นักพัฒนาสูญเสียทักษะพื้นฐานในการเขียนโค้ดเอง

    https://antigravity.google/
    📰 “Google Antigravity – IDE ยุค Agent-First” Google Antigravity ถูกออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนประสบการณ์การเขียนโปรแกรมจากการใช้ IDE แบบเดิม ไปสู่การทำงานร่วมกับ AI Agent ที่สามารถช่วยเหลือได้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเขียนโค้ด การตรวจสอบผลลัพธ์ ไปจนถึงการจัดการหลายโปรเจกต์พร้อมกันในมุมมองเดียว นักพัฒนาสามารถใช้คำสั่งภาษาธรรมชาติแทนการพิมพ์โค้ดที่ซับซ้อน ทำให้การทำงานเร็วขึ้นและลดความผิดพลาด นอกจากนี้ Antigravity ยังมีฟีเจอร์ Cross-surface Agents ที่ช่วยให้การทำงานเชื่อมโยงกันระหว่าง Editor, Terminal และ Browser ได้อย่างราบรื่น นักพัฒนาสามารถควบคุม Agent ได้จากทุกมุมมองโดยไม่ต้องสลับหน้าต่างบ่อย ๆ ซึ่งช่วยลดการเสียเวลาและเพิ่มความต่อเนื่องในการทำงาน สิ่งที่น่าสนใจคือ Google เน้น Agent-First Experience โดยให้ผู้ใช้สามารถจัดการ Agent หลายตัวพร้อมกันจากศูนย์กลางเดียว เหมือนมี “Mission Control” สำหรับการพัฒนาโปรแกรม ฟีเจอร์นี้เหมาะกับทั้งนักพัฒนาเดี่ยวและทีมองค์กรที่ต้องการลดการสลับบริบทและเพิ่มความโปร่งใสในการทำงานร่วมกัน จากมุมมองวงการเทคโนโลยี Antigravity ถือเป็นการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ IDE ที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือเขียนโค้ด แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ผสมผสาน AI, Automation และ Collaboration เข้าด้วยกัน ซึ่งอาจเปลี่ยนวิธีการทำงานของนักพัฒนาในอนาคตอย่างสิ้นเชิง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Google Antigravity เปิดตัวเป็น IDE ยุคใหม่ ➡️ เน้นการทำงานร่วมกับ AI Agent และภาษาธรรมชาติ ✅ Cross-surface Agents ➡️ เชื่อมโยงการทำงานระหว่าง Editor, Terminal และ Browser ✅ Agent-First Experience ➡️ จัดการ Agent หลายตัวพร้อมกันจากศูนย์กลางเดียว ✅ เหมาะกับนักพัฒนาทุกระดับ ➡️ ตั้งแต่ Frontend, Fullstack ไปจนถึง Enterprise Developer ‼️ ความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่นและความปลอดภัย ⛔ การใช้ Agent หลายตัวอาจเพิ่มความซับซ้อนในการตรวจสอบผลลัพธ์ ‼️ การพึ่งพา AI มากเกินไป ⛔ อาจทำให้นักพัฒนาสูญเสียทักษะพื้นฐานในการเขียนโค้ดเอง https://antigravity.google/
    ANTIGRAVITY.GOOGLE
    Google Antigravity
    Google Antigravity - Build the new way
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • “Gemini 3 – ก้าวใหม่ของ AI ที่ฉลาดที่สุดจาก Google”

    Gemini 3 คือโมเดล AI ล่าสุดจาก Google ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น “ตัวช่วยคิด” ที่สามารถเข้าใจหลายมิติ ทั้งข้อความ ภาพ วิดีโอ เสียง และโค้ด โดยมีความสามารถด้านการให้เหตุผลเชิงลึกและการเข้าใจบริบทที่เหนือกว่ารุ่นก่อน ๆ จุดเด่นคือการทำงานแบบ multimodal reasoning ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้ สร้าง และวางแผนได้ในระดับที่ซับซ้อนมากขึ้น

    โมเดลนี้เปิดตัวพร้อม Gemini 3 Pro ซึ่งทำคะแนนสูงสุดในหลายการทดสอบ เช่น Humanity’s Last Exam และ GPQA Diamond รวมถึงการแก้โจทย์คณิตศาสตร์และการเข้าใจวิดีโอที่ซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีโหมด Gemini 3 Deep Think ที่ยกระดับการให้เหตุผลไปอีกขั้น โดยสามารถแก้ปัญหาที่ไม่เคยเจอมาก่อนด้วยความแม่นยำสูงขึ้น

    Gemini 3 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การตอบคำถาม แต่ยังสามารถช่วยผู้ใช้ในชีวิตจริง เช่น การวิเคราะห์งานวิจัย การสร้างคู่มือเชิงโต้ตอบ การแปลสูตรอาหารที่เขียนด้วยมือ หรือแม้แต่การวิเคราะห์วิดีโอกีฬาเพื่อให้คำแนะนำการฝึกซ้อม นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้ใน AI Mode ของ Google Search เพื่อสร้างประสบการณ์ค้นหาที่มีการจำลองแบบโต้ตอบและภาพประกอบแบบเรียลไทม์

    อีกหนึ่งความก้าวหน้าคือการเปิดตัว Google Antigravity ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพัฒนาเชิง Agentic ที่ให้ AI ทำงานแทนนักพัฒนาในระดับสูงขึ้น เช่น การวางแผนและเขียนโค้ดทั้งโปรเจกต์โดยอัตโนมัติ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการ IDE และการทำงานร่วมกับ AI

    สรุปสาระสำคัญ
    Gemini 3 เปิดตัวเป็นโมเดล AI ที่ฉลาดที่สุดของ Google
    รองรับการทำงานหลายมิติ (ข้อความ, ภาพ, วิดีโอ, โค้ด)

    Gemini 3 Pro ทำคะแนนสูงสุดในหลายการทดสอบ
    เช่น Humanity’s Last Exam และ GPQA Diamond

    Gemini 3 Deep Think ยกระดับการให้เหตุผล
    สามารถแก้โจทย์ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน

    ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน
    เช่น วิเคราะห์งานวิจัย, แปลสูตรอาหาร, วิเคราะห์วิดีโอกีฬา

    Google Antigravity เปิดตัวพร้อม Gemini 3
    เป็นแพลตฟอร์ม Agentic IDE ที่ให้ AI ทำงานแทนนักพัฒนา

    ความเสี่ยงด้านการพึ่งพา AI มากเกินไป
    อาจทำให้ผู้ใช้ลดทักษะการคิดและการแก้ปัญหาด้วยตนเอง

    ประเด็นด้านความปลอดภัยและความโปร่งใส
    แม้จะมีการทดสอบ แต่ยังต้องระวังการใช้ AI ในงานที่อ่อนไหว

    https://blog.google/products/gemini/gemini-3/
    📰 “Gemini 3 – ก้าวใหม่ของ AI ที่ฉลาดที่สุดจาก Google” Gemini 3 คือโมเดล AI ล่าสุดจาก Google ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น “ตัวช่วยคิด” ที่สามารถเข้าใจหลายมิติ ทั้งข้อความ ภาพ วิดีโอ เสียง และโค้ด โดยมีความสามารถด้านการให้เหตุผลเชิงลึกและการเข้าใจบริบทที่เหนือกว่ารุ่นก่อน ๆ จุดเด่นคือการทำงานแบบ multimodal reasoning ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้ สร้าง และวางแผนได้ในระดับที่ซับซ้อนมากขึ้น โมเดลนี้เปิดตัวพร้อม Gemini 3 Pro ซึ่งทำคะแนนสูงสุดในหลายการทดสอบ เช่น Humanity’s Last Exam และ GPQA Diamond รวมถึงการแก้โจทย์คณิตศาสตร์และการเข้าใจวิดีโอที่ซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีโหมด Gemini 3 Deep Think ที่ยกระดับการให้เหตุผลไปอีกขั้น โดยสามารถแก้ปัญหาที่ไม่เคยเจอมาก่อนด้วยความแม่นยำสูงขึ้น Gemini 3 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การตอบคำถาม แต่ยังสามารถช่วยผู้ใช้ในชีวิตจริง เช่น การวิเคราะห์งานวิจัย การสร้างคู่มือเชิงโต้ตอบ การแปลสูตรอาหารที่เขียนด้วยมือ หรือแม้แต่การวิเคราะห์วิดีโอกีฬาเพื่อให้คำแนะนำการฝึกซ้อม นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้ใน AI Mode ของ Google Search เพื่อสร้างประสบการณ์ค้นหาที่มีการจำลองแบบโต้ตอบและภาพประกอบแบบเรียลไทม์ อีกหนึ่งความก้าวหน้าคือการเปิดตัว Google Antigravity ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพัฒนาเชิง Agentic ที่ให้ AI ทำงานแทนนักพัฒนาในระดับสูงขึ้น เช่น การวางแผนและเขียนโค้ดทั้งโปรเจกต์โดยอัตโนมัติ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการ IDE และการทำงานร่วมกับ AI 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Gemini 3 เปิดตัวเป็นโมเดล AI ที่ฉลาดที่สุดของ Google ➡️ รองรับการทำงานหลายมิติ (ข้อความ, ภาพ, วิดีโอ, โค้ด) ✅ Gemini 3 Pro ทำคะแนนสูงสุดในหลายการทดสอบ ➡️ เช่น Humanity’s Last Exam และ GPQA Diamond ✅ Gemini 3 Deep Think ยกระดับการให้เหตุผล ➡️ สามารถแก้โจทย์ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ✅ ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ➡️ เช่น วิเคราะห์งานวิจัย, แปลสูตรอาหาร, วิเคราะห์วิดีโอกีฬา ✅ Google Antigravity เปิดตัวพร้อม Gemini 3 ➡️ เป็นแพลตฟอร์ม Agentic IDE ที่ให้ AI ทำงานแทนนักพัฒนา ‼️ ความเสี่ยงด้านการพึ่งพา AI มากเกินไป ⛔ อาจทำให้ผู้ใช้ลดทักษะการคิดและการแก้ปัญหาด้วยตนเอง ‼️ ประเด็นด้านความปลอดภัยและความโปร่งใส ⛔ แม้จะมีการทดสอบ แต่ยังต้องระวังการใช้ AI ในงานที่อ่อนไหว https://blog.google/products/gemini/gemini-3/
    BLOG.GOOGLE
    A new era of intelligence with Gemini 3
    Today we’re releasing Gemini 3 – our most intelligent model that helps you bring any idea to life.
    0 Comments 0 Shares 5 Views 0 Reviews