• แผ่นดินไทยนี้แลกมาด้วยเลือดและชีวิต ขอบพระคุณยังน้อยไปจริงๆ🙏🏿
    แผ่นดินไทยนี้แลกมาด้วยเลือดและชีวิต ขอบพระคุณยังน้อยไปจริงๆ💂‍♀️💂‍♂️🙏🏿🙇‍♀️🇹🇭❤🇹🇭🤲💓🤝
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากอากาศที่เราหายใจ: มลพิษกลางแจ้งกับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม

    ลองจินตนาการว่าอากาศที่เราหายใจทุกวัน ไม่ใช่แค่ทำให้ไอหรือหอบ แต่อาจค่อย ๆ ทำลายความทรงจำของเราไปทีละนิด นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากกว่า 29 ล้านคนทั่วโลก และพบว่า “การสัมผัสมลพิษทางอากาศกลางแจ้งในระยะยาว” มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์

    พวกเขาเจาะลึกถึง 51 งานวิจัย และพบว่า 3 ชนิดของมลพิษที่มีผลชัดเจน ได้แก่:
    - PM2.5: ฝุ่นขนาดเล็กมากที่สามารถเข้าสู่ปอดลึกและแม้แต่สมอง
    - NO₂: ก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ไอเสียรถยนต์
    - เขม่าควัน (Soot): อนุภาคจากการเผาไหม้ เช่น เตาไม้หรือโรงงาน

    ผลกระทบไม่ใช่แค่เรื่องปอดหรือหัวใจ แต่ยังรวมถึงสมอง โดยพบว่า:
    - ทุก 10 μg/m³ ของ PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมขึ้น 17%
    - NO₂ เพิ่มความเสี่ยง 3% ต่อ 10 μg/m³
    - เขม่าควันเพิ่มความเสี่ยง 13% ต่อ 1 μg/m³

    นักวิจัยยังชี้ว่า การวางผังเมือง การขนส่ง และนโยบายสิ่งแวดล้อม ควรมีบทบาทร่วมในการป้องกันโรคสมองเสื่อม ไม่ใช่แค่ระบบสาธารณสุขเท่านั้น

    การสัมผัสมลพิษทางอากาศกลางแจ้งในระยะยาวเชื่อมโยงกับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม
    วิเคราะห์จากข้อมูลของผู้คนกว่า 29 ล้านคนทั่วโลก

    งานวิจัยรวม 51 ชิ้น โดย 34 ชิ้นถูกนำมาวิเคราะห์เชิงสถิติ
    ครอบคลุมจากอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย

    พบความสัมพันธ์เชิงสถิติระหว่าง 3 มลพิษกับโรคสมองเสื่อม
    PM2.5, NO₂ และเขม่าควัน

    PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม 17% ต่อ 10 μg/m³
    พบมากในไอเสียรถยนต์ โรงงาน และฝุ่นก่อสร้าง

    NO₂ เพิ่มความเสี่ยง 3% ต่อ 10 μg/m³
    มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ดีเซล

    เขม่าควันเพิ่มความเสี่ยง 13% ต่อ 1 μg/m³
    มาจากเตาไม้และการเผาไหม้ในบ้านหรืออุตสาหกรรม

    นักวิจัยเสนอให้ใช้แนวทางสหวิทยาการในการป้องกันโรคสมองเสื่อม
    รวมถึงการออกแบบเมืองและนโยบายสิ่งแวดล้อม

    WHO ระบุว่า 99% ของประชากรโลกหายใจอากาศที่มีมลพิษเกินมาตรฐาน
    โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และประเทศกำลังพัฒนา

    กลไกที่มลพิษอาจทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมคือการอักเสบและ oxidative stress
    ส่งผลต่อเซลล์สมองและการทำงานของระบบประสาท

    มลพิษสามารถเข้าสู่สมองผ่านเส้นเลือดหรือเส้นประสาทรับกลิ่น
    ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสมองที่คล้ายกับอัลไซเมอร์

    กลุ่มประชากรชายขอบมักได้รับผลกระทบจากมลพิษมากกว่า
    แต่กลับมีตัวแทนในงานวิจัยน้อย

    มลพิษทางอากาศอาจเป็นภัยเงียบที่ทำลายสมองโดยไม่รู้ตัว
    โดยเฉพาะในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นและโรงงานอุตสาหกรรม

    ความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมอาจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากมลพิษที่พบทั่วไป
    เช่น PM2.5 ที่พบในระดับ 10 μg/m³ บนถนนในลอนดอน

    การไม่ควบคุมมลพิษอาจเพิ่มภาระต่อระบบสาธารณสุขในอนาคต
    ทั้งในด้านค่าใช้จ่ายและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว

    การวิจัยยังขาดความหลากหลายของกลุ่มตัวอย่าง
    ทำให้ไม่สามารถประเมินผลกระทบในประชากรบางกลุ่มได้อย่างแม่นยำ

    https://www.cam.ac.uk/research/news/long-term-exposure-to-outdoor-air-pollution-linked-to-increased-risk-of-dementia
    🧠🌫️ เรื่องเล่าจากอากาศที่เราหายใจ: มลพิษกลางแจ้งกับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม ลองจินตนาการว่าอากาศที่เราหายใจทุกวัน ไม่ใช่แค่ทำให้ไอหรือหอบ แต่อาจค่อย ๆ ทำลายความทรงจำของเราไปทีละนิด นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากกว่า 29 ล้านคนทั่วโลก และพบว่า “การสัมผัสมลพิษทางอากาศกลางแจ้งในระยะยาว” มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์ พวกเขาเจาะลึกถึง 51 งานวิจัย และพบว่า 3 ชนิดของมลพิษที่มีผลชัดเจน ได้แก่: - PM2.5: ฝุ่นขนาดเล็กมากที่สามารถเข้าสู่ปอดลึกและแม้แต่สมอง - NO₂: ก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ไอเสียรถยนต์ - เขม่าควัน (Soot): อนุภาคจากการเผาไหม้ เช่น เตาไม้หรือโรงงาน ผลกระทบไม่ใช่แค่เรื่องปอดหรือหัวใจ แต่ยังรวมถึงสมอง โดยพบว่า: - ทุก 10 μg/m³ ของ PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมขึ้น 17% - NO₂ เพิ่มความเสี่ยง 3% ต่อ 10 μg/m³ - เขม่าควันเพิ่มความเสี่ยง 13% ต่อ 1 μg/m³ นักวิจัยยังชี้ว่า การวางผังเมือง การขนส่ง และนโยบายสิ่งแวดล้อม ควรมีบทบาทร่วมในการป้องกันโรคสมองเสื่อม ไม่ใช่แค่ระบบสาธารณสุขเท่านั้น ✅ การสัมผัสมลพิษทางอากาศกลางแจ้งในระยะยาวเชื่อมโยงกับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม ➡️ วิเคราะห์จากข้อมูลของผู้คนกว่า 29 ล้านคนทั่วโลก ✅ งานวิจัยรวม 51 ชิ้น โดย 34 ชิ้นถูกนำมาวิเคราะห์เชิงสถิติ ➡️ ครอบคลุมจากอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย ✅ พบความสัมพันธ์เชิงสถิติระหว่าง 3 มลพิษกับโรคสมองเสื่อม ➡️ PM2.5, NO₂ และเขม่าควัน ✅ PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม 17% ต่อ 10 μg/m³ ➡️ พบมากในไอเสียรถยนต์ โรงงาน และฝุ่นก่อสร้าง ✅ NO₂ เพิ่มความเสี่ยง 3% ต่อ 10 μg/m³ ➡️ มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ดีเซล ✅ เขม่าควันเพิ่มความเสี่ยง 13% ต่อ 1 μg/m³ ➡️ มาจากเตาไม้และการเผาไหม้ในบ้านหรืออุตสาหกรรม ✅ นักวิจัยเสนอให้ใช้แนวทางสหวิทยาการในการป้องกันโรคสมองเสื่อม ➡️ รวมถึงการออกแบบเมืองและนโยบายสิ่งแวดล้อม ✅ WHO ระบุว่า 99% ของประชากรโลกหายใจอากาศที่มีมลพิษเกินมาตรฐาน ➡️ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และประเทศกำลังพัฒนา ✅ กลไกที่มลพิษอาจทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมคือการอักเสบและ oxidative stress ➡️ ส่งผลต่อเซลล์สมองและการทำงานของระบบประสาท ✅ มลพิษสามารถเข้าสู่สมองผ่านเส้นเลือดหรือเส้นประสาทรับกลิ่น ➡️ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสมองที่คล้ายกับอัลไซเมอร์ ✅ กลุ่มประชากรชายขอบมักได้รับผลกระทบจากมลพิษมากกว่า ➡️ แต่กลับมีตัวแทนในงานวิจัยน้อย ‼️ มลพิษทางอากาศอาจเป็นภัยเงียบที่ทำลายสมองโดยไม่รู้ตัว ⛔ โดยเฉพาะในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นและโรงงานอุตสาหกรรม ‼️ ความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมอาจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากมลพิษที่พบทั่วไป ⛔ เช่น PM2.5 ที่พบในระดับ 10 μg/m³ บนถนนในลอนดอน ‼️ การไม่ควบคุมมลพิษอาจเพิ่มภาระต่อระบบสาธารณสุขในอนาคต ⛔ ทั้งในด้านค่าใช้จ่ายและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว ‼️ การวิจัยยังขาดความหลากหลายของกลุ่มตัวอย่าง ⛔ ทำให้ไม่สามารถประเมินผลกระทบในประชากรบางกลุ่มได้อย่างแม่นยำ https://www.cam.ac.uk/research/news/long-term-exposure-to-outdoor-air-pollution-linked-to-increased-risk-of-dementia
    WWW.CAM.AC.UK
    Long-term exposure to outdoor air pollution linked to increased risk of dementia
    An analysis of studies incorporating data from almost 30 million people has highlighted the role that air pollution – including that coming from car exhaust
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 571 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเครือข่ายส่วนตัว: Tailscale กับการเชื่อมต่อที่ง่าย ปลอดภัย และทรงพลัง

    ลองนึกภาพว่าคุณสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ทุกชิ้นของคุณ—จากมือถือ คอมพิวเตอร์ ไปจนถึง Raspberry Pi—เข้าด้วยกันได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องตั้งค่าเครือข่ายให้ยุ่งยาก นั่นคือสิ่งที่ Tailscale ทำได้

    Chris Smith ใช้ Tailscale มานานกว่า 4 ปี และเล่าประสบการณ์ว่า มันไม่ใช่แค่ VPN ธรรมดา แต่เป็นระบบที่ใช้ WireGuard เป็นแกนหลัก พร้อมฟีเจอร์เสริมที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น เช่น:
    - เชื่อมต่ออุปกรณ์ผ่าน IP ส่วนตัวใน tailnet โดยไม่ต้องเปิดพอร์ตหรือแจก key
    - รองรับ SSH โดยไม่ต้องใช้ public key หรือ password
    - Expose บริการเฉพาะบนเครื่องให้เป็น node แยกใน tailnet
    - ใช้ MagicDNS เพื่อเรียกชื่อเครื่องแทน IP ได้ทันที
    - แชร์บริการผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยฟีเจอร์ Funnel แบบ HTTPS โดยไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่ม

    นอกจากนี้ Tailscale ยังมีฟีเจอร์ระดับองค์กร เช่น ACL, session recording, log streaming, และการจัดการผ่าน GitOps ที่ช่วยให้ควบคุมสิทธิ์และตรวจสอบการใช้งานได้อย่างละเอียด

    แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น การพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์กลางของ Tailscale อาจเป็นข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัว และการใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่หรือแอปที่ต้องการ throughput สูงอาจไม่เหมาะนัก

    Tailscale ใช้ WireGuard เป็นแกนหลักในการสร้างเครือข่าย VPN
    ช่วยให้เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องตั้งค่าเครือข่าย

    ติดตั้งง่าย ใช้งานได้ทันทีหลัง login โดยไม่ต้องแจก key หรือเปิดพอร์ต
    รองรับหลายแพลตฟอร์ม เช่น Windows, macOS, Linux, iOS, Android

    รองรับ SSH โดยไม่ต้องใช้ public key หรือ password
    ทำให้การเชื่อมต่อจากมือถือหรือเครื่องอื่นสะดวกขึ้น

    สามารถ expose บริการเฉพาะบนเครื่องให้เป็น node แยกใน tailnet
    ใช้ Docker image, Go library หรือเครื่องมือ third-party ได้

    MagicDNS ช่วยให้เรียกชื่อเครื่องแทน IP ได้ทันที
    ลดความยุ่งยากในการจัดการ DNS ด้วยตนเอง

    Funnel ช่วยแชร์บริการผ่านอินเทอร์เน็ตแบบ HTTPS ได้ทันที
    ไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่ม ผู้ใช้ปลายทางไม่ต้องมี Tailscale

    https://chameth.com/how-i-use-tailscale/
    🧠🔐 เรื่องเล่าจากเครือข่ายส่วนตัว: Tailscale กับการเชื่อมต่อที่ง่าย ปลอดภัย และทรงพลัง ลองนึกภาพว่าคุณสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ทุกชิ้นของคุณ—จากมือถือ คอมพิวเตอร์ ไปจนถึง Raspberry Pi—เข้าด้วยกันได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องตั้งค่าเครือข่ายให้ยุ่งยาก นั่นคือสิ่งที่ Tailscale ทำได้ Chris Smith ใช้ Tailscale มานานกว่า 4 ปี และเล่าประสบการณ์ว่า มันไม่ใช่แค่ VPN ธรรมดา แต่เป็นระบบที่ใช้ WireGuard เป็นแกนหลัก พร้อมฟีเจอร์เสริมที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น เช่น: - เชื่อมต่ออุปกรณ์ผ่าน IP ส่วนตัวใน tailnet โดยไม่ต้องเปิดพอร์ตหรือแจก key - รองรับ SSH โดยไม่ต้องใช้ public key หรือ password - Expose บริการเฉพาะบนเครื่องให้เป็น node แยกใน tailnet - ใช้ MagicDNS เพื่อเรียกชื่อเครื่องแทน IP ได้ทันที - แชร์บริการผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยฟีเจอร์ Funnel แบบ HTTPS โดยไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่ม นอกจากนี้ Tailscale ยังมีฟีเจอร์ระดับองค์กร เช่น ACL, session recording, log streaming, และการจัดการผ่าน GitOps ที่ช่วยให้ควบคุมสิทธิ์และตรวจสอบการใช้งานได้อย่างละเอียด แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น การพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์กลางของ Tailscale อาจเป็นข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัว และการใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่หรือแอปที่ต้องการ throughput สูงอาจไม่เหมาะนัก ✅ Tailscale ใช้ WireGuard เป็นแกนหลักในการสร้างเครือข่าย VPN ➡️ ช่วยให้เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องตั้งค่าเครือข่าย ✅ ติดตั้งง่าย ใช้งานได้ทันทีหลัง login โดยไม่ต้องแจก key หรือเปิดพอร์ต ➡️ รองรับหลายแพลตฟอร์ม เช่น Windows, macOS, Linux, iOS, Android ✅ รองรับ SSH โดยไม่ต้องใช้ public key หรือ password ➡️ ทำให้การเชื่อมต่อจากมือถือหรือเครื่องอื่นสะดวกขึ้น ✅ สามารถ expose บริการเฉพาะบนเครื่องให้เป็น node แยกใน tailnet ➡️ ใช้ Docker image, Go library หรือเครื่องมือ third-party ได้ ✅ MagicDNS ช่วยให้เรียกชื่อเครื่องแทน IP ได้ทันที ➡️ ลดความยุ่งยากในการจัดการ DNS ด้วยตนเอง ✅ Funnel ช่วยแชร์บริการผ่านอินเทอร์เน็ตแบบ HTTPS ได้ทันที ➡️ ไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่ม ผู้ใช้ปลายทางไม่ต้องมี Tailscale https://chameth.com/how-i-use-tailscale/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 355 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกดิจิทัล: ลบไฟล์อย่างไรให้หายจริง ไม่เหลือร่องรอย

    หลายคนคิดว่าแค่กด “Delete” แล้วตามด้วย “Empty Recycle Bin” ก็เพียงพอแล้วสำหรับการลบไฟล์ แต่ความจริงคือ...ไฟล์เหล่านั้นยังอยู่! พื้นที่เก็บข้อมูลเพียงแค่ “เปิดให้เขียนทับ” แต่ไม่ได้ลบข้อมูลจริง ๆ ซึ่งหมายความว่า ใครก็ตามที่มีโปรแกรมกู้ข้อมูลสามารถนำไฟล์กลับมาได้ง่าย ๆ

    วิธีลบไฟล์ให้หายจริงคือ “การเขียนทับ” หรือ overwrite ข้อมูลเดิมด้วยข้อมูลใหม่ เช่น ตัวอักษรสุ่มหรือค่าศูนย์ โดยทำซ้ำหลายรอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีร่องรอยเหลืออยู่

    หนึ่งในเครื่องมือยอดนิยมคือ “Eraser” โปรแกรมโอเพ่นซอร์สสำหรับ Windows ที่สามารถติดตั้งและใช้งานง่าย เพียงคลิกขวาที่ไฟล์แล้วเลือก Eraser ก็ลบได้ทันทีแบบปลอดภัย

    นอกจากนี้ยังมีเทคนิคและเครื่องมืออื่น ๆ เช่น:
    - ใช้คำสั่ง Cipher ใน Windows เพื่อเขียนทับพื้นที่ว่าง
    - ใช้โปรแกรม SecureDelete หรือ File Shredder ที่รองรับมาตรฐาน DoD 5220.22-M หรือ Gutmann (35 passes)
    - ลบไฟล์บน SSD ต้องใช้วิธีเฉพาะ เพราะการเขียนทับอาจไม่ทำงานเหมือน HDD

    การลบไฟล์อย่างปลอดภัยไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็นเรื่องของความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล เช่น ข้อมูลการเงิน รหัสผ่าน หรือเอกสารสำคัญที่ไม่ควรหลุดไปถึงมือคนอื่น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/10/how-to-delete-files-and-be-sure-they039re-really-gone
    🧹💻 เรื่องเล่าจากโลกดิจิทัล: ลบไฟล์อย่างไรให้หายจริง ไม่เหลือร่องรอย หลายคนคิดว่าแค่กด “Delete” แล้วตามด้วย “Empty Recycle Bin” ก็เพียงพอแล้วสำหรับการลบไฟล์ แต่ความจริงคือ...ไฟล์เหล่านั้นยังอยู่! พื้นที่เก็บข้อมูลเพียงแค่ “เปิดให้เขียนทับ” แต่ไม่ได้ลบข้อมูลจริง ๆ ซึ่งหมายความว่า ใครก็ตามที่มีโปรแกรมกู้ข้อมูลสามารถนำไฟล์กลับมาได้ง่าย ๆ วิธีลบไฟล์ให้หายจริงคือ “การเขียนทับ” หรือ overwrite ข้อมูลเดิมด้วยข้อมูลใหม่ เช่น ตัวอักษรสุ่มหรือค่าศูนย์ โดยทำซ้ำหลายรอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีร่องรอยเหลืออยู่ หนึ่งในเครื่องมือยอดนิยมคือ “Eraser” โปรแกรมโอเพ่นซอร์สสำหรับ Windows ที่สามารถติดตั้งและใช้งานง่าย เพียงคลิกขวาที่ไฟล์แล้วเลือก Eraser ก็ลบได้ทันทีแบบปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีเทคนิคและเครื่องมืออื่น ๆ เช่น: - ใช้คำสั่ง Cipher ใน Windows เพื่อเขียนทับพื้นที่ว่าง - ใช้โปรแกรม SecureDelete หรือ File Shredder ที่รองรับมาตรฐาน DoD 5220.22-M หรือ Gutmann (35 passes) - ลบไฟล์บน SSD ต้องใช้วิธีเฉพาะ เพราะการเขียนทับอาจไม่ทำงานเหมือน HDD การลบไฟล์อย่างปลอดภัยไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็นเรื่องของความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล เช่น ข้อมูลการเงิน รหัสผ่าน หรือเอกสารสำคัญที่ไม่ควรหลุดไปถึงมือคนอื่น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/10/how-to-delete-files-and-be-sure-they039re-really-gone
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How to delete files and be sure they're really gone
    Deleting something on a computer doesn't mean it's actually gone, even when you've emptied the recycle bin.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากแผนที่ดิจิทัล: Instagram Map กับความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว

    เมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา Instagram ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Instagram Map” ซึ่งให้ผู้ใช้สามารถแชร์ตำแหน่งของตนเองแบบเรียลไทม์กับเพื่อนหรือผู้ติดตาม คล้ายกับฟีเจอร์ Snap Map ของ Snapchat ที่มีมาตั้งแต่ปี 2017

    แม้ Meta จะยืนยันว่าฟีเจอร์นี้ “ปิดไว้โดยค่าเริ่มต้น” และต้อง “เลือกเปิดเอง” แต่ผู้ใช้หลายคนกลับพบว่าตำแหน่งของตนถูกแชร์โดยไม่รู้ตัว เช่น Lindsey Bell ที่โพสต์ว่า “บ้านของฉันปรากฏให้ผู้ติดตามทุกคนเห็น” จนรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก

    Kelley Flanagan ดาราเรียลลิตี้จากรายการ The Bachelor ได้โพสต์ TikTok เตือนว่า “ฟีเจอร์นี้อันตราย” พร้อมสอนวิธีปิดการแชร์ตำแหน่งแบบละเอียด

    Adam Mosseri หัวหน้า Instagram ยืนยันผ่าน Threads ว่า “ระบบแชร์ตำแหน่งจะทำงานก็ต่อเมื่อผู้ใช้เลือกเปิดเอง และสามารถจำกัดกลุ่มผู้เห็นได้” พร้อมเสริมว่า “ข้อมูลตำแหน่งจะอัปเดตเมื่อเปิดแอปหรือกลับมาใช้งานหลังพักหน้าจอ”

    อย่างไรก็ตาม ความกังวลไม่ได้หยุดแค่เรื่องการตั้งค่าฟีเจอร์ แต่ยังรวมถึงประเด็นใหญ่กว่านั้น เช่น:
    - ความเสี่ยงจากการถูกติดตามหรือคุกคาม
    - การใช้ข้อมูลตำแหน่งเพื่อควบคุมพฤติกรรมในความสัมพันธ์ (tech-based coercive control)
    - ความไม่ชัดเจนในการแสดงผลตำแหน่งที่อาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่า “กำลังถูกติดตามแบบเรียลไทม์”

    นอกจากนี้ ยังมีคดีฟ้องร้องล่าสุดที่ Meta ถูกกล่าวหาว่าใช้ข้อมูลสุขภาพจากแอป Flo เพื่อยิงโฆษณาแบบเจาะจง ซึ่งยิ่งตอกย้ำความไม่ไว้วางใจในเรื่องการจัดการข้อมูลส่วนตัว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/11/new-instagram-location-sharing-feature-sparks-privacy-fears
    📍📱 เรื่องเล่าจากแผนที่ดิจิทัล: Instagram Map กับความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว เมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา Instagram ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Instagram Map” ซึ่งให้ผู้ใช้สามารถแชร์ตำแหน่งของตนเองแบบเรียลไทม์กับเพื่อนหรือผู้ติดตาม คล้ายกับฟีเจอร์ Snap Map ของ Snapchat ที่มีมาตั้งแต่ปี 2017 แม้ Meta จะยืนยันว่าฟีเจอร์นี้ “ปิดไว้โดยค่าเริ่มต้น” และต้อง “เลือกเปิดเอง” แต่ผู้ใช้หลายคนกลับพบว่าตำแหน่งของตนถูกแชร์โดยไม่รู้ตัว เช่น Lindsey Bell ที่โพสต์ว่า “บ้านของฉันปรากฏให้ผู้ติดตามทุกคนเห็น” จนรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก Kelley Flanagan ดาราเรียลลิตี้จากรายการ The Bachelor ได้โพสต์ TikTok เตือนว่า “ฟีเจอร์นี้อันตราย” พร้อมสอนวิธีปิดการแชร์ตำแหน่งแบบละเอียด Adam Mosseri หัวหน้า Instagram ยืนยันผ่าน Threads ว่า “ระบบแชร์ตำแหน่งจะทำงานก็ต่อเมื่อผู้ใช้เลือกเปิดเอง และสามารถจำกัดกลุ่มผู้เห็นได้” พร้อมเสริมว่า “ข้อมูลตำแหน่งจะอัปเดตเมื่อเปิดแอปหรือกลับมาใช้งานหลังพักหน้าจอ” อย่างไรก็ตาม ความกังวลไม่ได้หยุดแค่เรื่องการตั้งค่าฟีเจอร์ แต่ยังรวมถึงประเด็นใหญ่กว่านั้น เช่น: - ความเสี่ยงจากการถูกติดตามหรือคุกคาม - การใช้ข้อมูลตำแหน่งเพื่อควบคุมพฤติกรรมในความสัมพันธ์ (tech-based coercive control) - ความไม่ชัดเจนในการแสดงผลตำแหน่งที่อาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่า “กำลังถูกติดตามแบบเรียลไทม์” นอกจากนี้ ยังมีคดีฟ้องร้องล่าสุดที่ Meta ถูกกล่าวหาว่าใช้ข้อมูลสุขภาพจากแอป Flo เพื่อยิงโฆษณาแบบเจาะจง ซึ่งยิ่งตอกย้ำความไม่ไว้วางใจในเรื่องการจัดการข้อมูลส่วนตัว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/11/new-instagram-location-sharing-feature-sparks-privacy-fears
    WWW.THESTAR.COM.MY
    New Instagram location sharing feature sparks privacy fears
    Instagram users are warning about a new location sharing feature, fearing that the hugely popular app could be putting people in danger by revealing their whereabouts without their knowledge.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 303 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกโมดิฟาย: Game Boy Color โปร่งใสที่ใช้งานได้จริง—ศิลปะบนวงจร

    Natalie (@natalie_thenerd) นักโมดิฟายคอนโซลแบบ self-taught ได้สร้าง Game Boy Color ที่ไม่เหมือนใคร—ด้วยแผงวงจรโปร่งใส (transparent PCB) ที่ใช้งานได้จริง! เธอออกแบบ schematic เอง และเลือกใช้วัสดุคล้ายอะคริลิกที่ไม่มี ground zone เพื่อให้เห็นลายทองแดงชัดเจน

    แม้จะดูเหมือนของเล่น แต่การ solder บนวัสดุที่มีจุดหลอมต่ำเพียง 200°C ต้องใช้ความระมัดระวังสูง เพราะผิดพลาดนิดเดียวอาจทำให้แผงวงจรเสียหายได้

    เธอประกอบเครื่องด้วยชิ้นส่วนโปร่งใสเกือบทั้งหมด—รวมถึง cartridge reader จากเครื่องจีน และเปลือกใสพร้อมปุ่ม translucent ทำให้ได้เครื่อง Game Boy Color ที่ “เห็นทะลุทุกชั้น” อย่างแท้จริง

    แม้จะเป็นโปรเจกต์ศิลปะที่ไม่ได้ผลิตขาย แต่ก็จุดประกายให้ชุมชน modding สนใจเทคนิคนี้มากขึ้น เช่น การใช้ลายเงินแทนทองแดง หรือเพิ่ม backlight เพื่อความสวยงาม

    ชุมชน modding อย่าง Modded Gameboy Club และโปรเจกต์อย่าง SZ-CGB-L หรือ Ultra Boy Color ต่างก็พัฒนา PCB แบบใหม่ที่รองรับการใช้งานจริง พร้อมปรับแต่งให้เหมาะกับจอ IPS และการใช้งานยุคใหม่

    แต่ความท้าทายยังคงอยู่—PCB โปร่งใสยังเปราะบาง ไม่เหมาะกับการใช้งานหนัก และต้นทุนการผลิตยังสูง ทำให้ยังไม่พร้อมเข้าสู่ตลาด mass production

    Natalie สร้าง Game Boy Color ด้วยแผงวงจรโปร่งใสที่ใช้งานได้จริง
    เธอออกแบบ schematic เองและใช้วัสดุคล้ายอะคริลิก

    ลบ ground zone เพื่อให้เห็นลายทองแดงชัดเจน
    แม้จะสำคัญในอุปกรณ์สมัยใหม่ แต่ไม่เป็นปัญหากับ Game Boy

    PCB มีจุดหลอมต่ำเพียง 200°C ต้อง solder อย่างระวัง
    หากร้อนเกินไปอาจทำให้แผงวงจรเสียหาย

    ใช้ cartridge reader จากเครื่องจีนที่โปร่งใส
    ประกอบกับเปลือกใสและปุ่ม translucent

    เป็นโปรเจกต์ศิลปะ ไม่ได้ผลิตขาย
    สร้างเพื่อความสนุกและความสวยงาม

    ชุมชนเสนอไอเดียเพิ่ม เช่น ลายเงินหรือ backlight
    เพื่อเพิ่มความสวยงามและความโดดเด่น

    https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/self-taught-modder-builds-completely-transparent-game-boy-color-circuit-board-that-actually-works-pcb-looks-stunning-when-matched-with-fully-transparent-shell
    🎮✨ เรื่องเล่าจากโลกโมดิฟาย: Game Boy Color โปร่งใสที่ใช้งานได้จริง—ศิลปะบนวงจร Natalie (@natalie_thenerd) นักโมดิฟายคอนโซลแบบ self-taught ได้สร้าง Game Boy Color ที่ไม่เหมือนใคร—ด้วยแผงวงจรโปร่งใส (transparent PCB) ที่ใช้งานได้จริง! เธอออกแบบ schematic เอง และเลือกใช้วัสดุคล้ายอะคริลิกที่ไม่มี ground zone เพื่อให้เห็นลายทองแดงชัดเจน แม้จะดูเหมือนของเล่น แต่การ solder บนวัสดุที่มีจุดหลอมต่ำเพียง 200°C ต้องใช้ความระมัดระวังสูง เพราะผิดพลาดนิดเดียวอาจทำให้แผงวงจรเสียหายได้ เธอประกอบเครื่องด้วยชิ้นส่วนโปร่งใสเกือบทั้งหมด—รวมถึง cartridge reader จากเครื่องจีน และเปลือกใสพร้อมปุ่ม translucent ทำให้ได้เครื่อง Game Boy Color ที่ “เห็นทะลุทุกชั้น” อย่างแท้จริง แม้จะเป็นโปรเจกต์ศิลปะที่ไม่ได้ผลิตขาย แต่ก็จุดประกายให้ชุมชน modding สนใจเทคนิคนี้มากขึ้น เช่น การใช้ลายเงินแทนทองแดง หรือเพิ่ม backlight เพื่อความสวยงาม ชุมชน modding อย่าง Modded Gameboy Club และโปรเจกต์อย่าง SZ-CGB-L หรือ Ultra Boy Color ต่างก็พัฒนา PCB แบบใหม่ที่รองรับการใช้งานจริง พร้อมปรับแต่งให้เหมาะกับจอ IPS และการใช้งานยุคใหม่ แต่ความท้าทายยังคงอยู่—PCB โปร่งใสยังเปราะบาง ไม่เหมาะกับการใช้งานหนัก และต้นทุนการผลิตยังสูง ทำให้ยังไม่พร้อมเข้าสู่ตลาด mass production ✅ Natalie สร้าง Game Boy Color ด้วยแผงวงจรโปร่งใสที่ใช้งานได้จริง ➡️ เธอออกแบบ schematic เองและใช้วัสดุคล้ายอะคริลิก ✅ ลบ ground zone เพื่อให้เห็นลายทองแดงชัดเจน ➡️ แม้จะสำคัญในอุปกรณ์สมัยใหม่ แต่ไม่เป็นปัญหากับ Game Boy ✅ PCB มีจุดหลอมต่ำเพียง 200°C ต้อง solder อย่างระวัง ➡️ หากร้อนเกินไปอาจทำให้แผงวงจรเสียหาย ✅ ใช้ cartridge reader จากเครื่องจีนที่โปร่งใส ➡️ ประกอบกับเปลือกใสและปุ่ม translucent ✅ เป็นโปรเจกต์ศิลปะ ไม่ได้ผลิตขาย ➡️ สร้างเพื่อความสนุกและความสวยงาม ✅ ชุมชนเสนอไอเดียเพิ่ม เช่น ลายเงินหรือ backlight ➡️ เพื่อเพิ่มความสวยงามและความโดดเด่น https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/self-taught-modder-builds-completely-transparent-game-boy-color-circuit-board-that-actually-works-pcb-looks-stunning-when-matched-with-fully-transparent-shell
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 348 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกโอเพ่นซอร์ส: เมื่อ Linus Torvalds ปะทะโค้ด RISC-V จาก Google

    ในโลกของ Linux kernel การส่งโค้ดเข้า merge window เปรียบเสมือนการส่งงานให้ครูใหญ่—และครูใหญ่คนนั้นคือ Linus Torvalds ผู้สร้างและดูแล Linux มายาวนาน ล่าสุดเขาได้ออกโรงวิจารณ์โค้ดจากวิศวกร Google ที่ส่งเข้ามาเพื่อรวมใน Linux 6.17 ว่าเป็น “ขยะ” และ “ทำให้โลกแย่ลง”

    เหตุผลหลักคือโค้ดนั้นไม่เพียงคุณภาพต่ำ แต่ยังส่งมาช้าเกินกำหนด ซึ่งเป็นสองข้อห้ามสำคัญในการส่ง pull request เขาเน้นว่า “ถ้าจะส่งช้า ก็ต้องดีมาก ๆ” แต่โค้ดนี้กลับเพิ่มสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับ RISC-V ลงในไฟล์ header ทั่วไป ซึ่งเขามองว่าเป็นการละเมิดหลักการออกแบบ kernel

    Torvalds ยังเตือนนักพัฒนาคนนั้นว่า “คุณอยู่ในบัญชีเฝ้าระวังแล้ว” และแนะนำให้ส่งโค้ดสำหรับ Linux 6.18 ให้เร็วขึ้น พร้อมตัด “ขยะ” ออกให้หมด

    แม้คำพูดของเขาจะตรงไปตรงมา แต่ก็มีเหตุผลรองรับ เช่น การรักษาความสะอาดของโค้ดใน kernel และการป้องกันการเพิ่ม technical debt ที่จะส่งผลระยะยาวต่อระบบ

    จากมุมมองภายนอก ชุมชน RISC-V ยังเผชิญกับปัญหาคุณภาพโค้ดอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และนักพัฒนาหลายคนยังไม่คุ้นเคยกับ instruction set หรือแนวทางการ optimize ที่เหมาะสม

    Linus Torvalds ปฏิเสธ pull request จากวิศวกร Google สำหรับ Linux 6.17
    เหตุผลคือโค้ดคุณภาพต่ำและส่งมาช้าเกินกำหนด

    โค้ดนั้นเพิ่มเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวกับ RISC-V ลงในไฟล์ header ทั่วไป
    Torvalds เรียกว่า “ขยะ” และไม่ควรส่งมาแม้แต่ในเวลาปกติ

    Torvalds เตือนนักพัฒนาว่าอยู่ใน “บัญชีเฝ้าระวัง”
    ห้ามส่งโค้ดช้าและห้ามเพิ่มเนื้อหานอก RISC-V tree

    เขาแนะนำให้ส่งโค้ดสำหรับ Linux 6.18 ให้เร็วขึ้น
    พร้อมตัดเนื้อหาที่ไม่จำเป็นออกให้หมด

    RISC-V ยังเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่นักพัฒนาหลายคนยังไม่คุ้นเคย
    ทำให้เกิดปัญหาเรื่องคุณภาพโค้ดและการ optimize อยู่บ่อยครั้ง

    การเขียนโค้ดสำหรับ RISC-V ต้องระวังเรื่อง code density และ performance
    เช่น การใช้ compiler flags ที่เหมาะสมเพื่อลดขนาดและเพิ่มประสิทธิภาพ

    การใช้ static analysis ช่วยตรวจสอบคุณภาพโค้ดก่อนส่ง build
    ลดโอกาสเกิด defect และเพิ่มความน่าเชื่อถือในการ reuse

    โค้ดที่ดีควรมีโครงสร้างชัดเจนและไม่เพิ่ม technical debt
    ทำให้สามารถขยายหรือปรับปรุงได้ง่ายในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/software/linux/linus-torvalds-calls-risc-v-code-from-google-engineer-garbage-and-that-it-makes-the-world-actively-a-worse-place-to-live-linux-honcho-puts-dev-on-notice-for-late-submissions-too
    🧑‍💻🔥 เรื่องเล่าจากโลกโอเพ่นซอร์ส: เมื่อ Linus Torvalds ปะทะโค้ด RISC-V จาก Google ในโลกของ Linux kernel การส่งโค้ดเข้า merge window เปรียบเสมือนการส่งงานให้ครูใหญ่—และครูใหญ่คนนั้นคือ Linus Torvalds ผู้สร้างและดูแล Linux มายาวนาน ล่าสุดเขาได้ออกโรงวิจารณ์โค้ดจากวิศวกร Google ที่ส่งเข้ามาเพื่อรวมใน Linux 6.17 ว่าเป็น “ขยะ” และ “ทำให้โลกแย่ลง” เหตุผลหลักคือโค้ดนั้นไม่เพียงคุณภาพต่ำ แต่ยังส่งมาช้าเกินกำหนด ซึ่งเป็นสองข้อห้ามสำคัญในการส่ง pull request เขาเน้นว่า “ถ้าจะส่งช้า ก็ต้องดีมาก ๆ” แต่โค้ดนี้กลับเพิ่มสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับ RISC-V ลงในไฟล์ header ทั่วไป ซึ่งเขามองว่าเป็นการละเมิดหลักการออกแบบ kernel Torvalds ยังเตือนนักพัฒนาคนนั้นว่า “คุณอยู่ในบัญชีเฝ้าระวังแล้ว” และแนะนำให้ส่งโค้ดสำหรับ Linux 6.18 ให้เร็วขึ้น พร้อมตัด “ขยะ” ออกให้หมด แม้คำพูดของเขาจะตรงไปตรงมา แต่ก็มีเหตุผลรองรับ เช่น การรักษาความสะอาดของโค้ดใน kernel และการป้องกันการเพิ่ม technical debt ที่จะส่งผลระยะยาวต่อระบบ จากมุมมองภายนอก ชุมชน RISC-V ยังเผชิญกับปัญหาคุณภาพโค้ดอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และนักพัฒนาหลายคนยังไม่คุ้นเคยกับ instruction set หรือแนวทางการ optimize ที่เหมาะสม ✅ Linus Torvalds ปฏิเสธ pull request จากวิศวกร Google สำหรับ Linux 6.17 ➡️ เหตุผลคือโค้ดคุณภาพต่ำและส่งมาช้าเกินกำหนด ✅ โค้ดนั้นเพิ่มเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวกับ RISC-V ลงในไฟล์ header ทั่วไป ➡️ Torvalds เรียกว่า “ขยะ” และไม่ควรส่งมาแม้แต่ในเวลาปกติ ✅ Torvalds เตือนนักพัฒนาว่าอยู่ใน “บัญชีเฝ้าระวัง” ➡️ ห้ามส่งโค้ดช้าและห้ามเพิ่มเนื้อหานอก RISC-V tree ✅ เขาแนะนำให้ส่งโค้ดสำหรับ Linux 6.18 ให้เร็วขึ้น ➡️ พร้อมตัดเนื้อหาที่ไม่จำเป็นออกให้หมด ✅ RISC-V ยังเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่นักพัฒนาหลายคนยังไม่คุ้นเคย ➡️ ทำให้เกิดปัญหาเรื่องคุณภาพโค้ดและการ optimize อยู่บ่อยครั้ง ✅ การเขียนโค้ดสำหรับ RISC-V ต้องระวังเรื่อง code density และ performance ➡️ เช่น การใช้ compiler flags ที่เหมาะสมเพื่อลดขนาดและเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ การใช้ static analysis ช่วยตรวจสอบคุณภาพโค้ดก่อนส่ง build ➡️ ลดโอกาสเกิด defect และเพิ่มความน่าเชื่อถือในการ reuse ✅ โค้ดที่ดีควรมีโครงสร้างชัดเจนและไม่เพิ่ม technical debt ➡️ ทำให้สามารถขยายหรือปรับปรุงได้ง่ายในอนาคต https://www.tomshardware.com/software/linux/linus-torvalds-calls-risc-v-code-from-google-engineer-garbage-and-that-it-makes-the-world-actively-a-worse-place-to-live-linux-honcho-puts-dev-on-notice-for-late-submissions-too
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 358 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนามรบเทคโนโลยี: Nvidia H20 กับแรงเสียดทานจากจีน

    ในโลกที่ AI คือสมรภูมิใหม่ของมหาอำนาจ ชิป H20 จาก Nvidia กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดย H20 ถูกออกแบบมาเพื่อขายให้จีนโดยเฉพาะ หลังจากสหรัฐฯสั่งห้ามส่งออกชิป AI ระดับสูงในปี 2023

    แม้สหรัฐฯจะกลับลำในเดือนกรกฎาคม 2025 และอนุญาตให้ Nvidia กลับมาขาย H20 ได้อีกครั้ง แต่จีนกลับแสดงความกังวลเรื่อง “ความปลอดภัย” ของชิปนี้ โดยหน่วยงาน CAC (Cyberspace Administration of China) ได้เรียก Nvidia เข้าพบเพื่อสอบถามว่า H20 มี “backdoor” หรือระบบติดตามตำแหน่งหรือไม่

    สื่อของรัฐจีน เช่น People’s Daily และบัญชี WeChat ที่เชื่อมโยงกับ CCTV ได้โจมตีว่า H20 “ไม่ปลอดภัย ไม่ทันสมัย และไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” พร้อมเรียกร้องให้บริษัทจีนหันไปใช้ชิปของประเทศ เช่น Huawei Ascend หรือ Biren แทน

    แม้ Nvidia จะปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่นว่า “ไม่มี backdoor หรือ kill switch ใด ๆ” แต่ความไม่ไว้วางใจยังคงอยู่ โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯกำลังผลักดันกฎหมาย Chip Security Act ที่จะบังคับให้ชิป AI มีระบบติดตามและควบคุมระยะไกล

    ในขณะเดียวกัน ความต้องการ H20 ในจีนยังคงสูงมาก โดย Nvidia ได้สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ชิ้นจาก TSMC และมีรายงานว่ามีตลาดมืดสำหรับชิป AI ที่ถูกแบนมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดียว

    รัฐบาลจีนแสดงความกังวลเรื่องความปลอดภัยของชิป Nvidia H20
    โดยเฉพาะประเด็น backdoor และระบบติดตามตำแหน่ง

    หน่วยงาน CAC เรียก Nvidia เข้าพบเพื่อขอคำชี้แจง
    ต้องส่งเอกสารยืนยันว่าไม่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    สื่อของรัฐจีนโจมตีว่า H20 “ไม่ปลอดภัย ไม่ทันสมัย และไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”
    เรียกร้องให้บริษัทจีนหันไปใช้ชิปภายในประเทศ

    Nvidia ปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่น
    ยืนยันว่าไม่มีระบบควบคุมระยะไกลหรือช่องทางสอดแนม

    แม้มีข้อกังวล แต่ยอดขาย H20 ในจีนยังสูงมาก
    Nvidia สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ชิ้นจาก TSMC

    ตลาดมืดสำหรับชิป AI ที่ถูกแบนในจีนมีมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์
    แสดงถึงความต้องการที่ยังคงแข็งแกร่ง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-state-media-says-nvidia-h20-gpus-are-unsafe-and-outdated-urges-chinese-companies-to-avoid-them-says-chip-is-neither-environmentally-friendly-nor-advanced-nor-safe
    💻🌏 เรื่องเล่าจากสนามรบเทคโนโลยี: Nvidia H20 กับแรงเสียดทานจากจีน ในโลกที่ AI คือสมรภูมิใหม่ของมหาอำนาจ ชิป H20 จาก Nvidia กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดย H20 ถูกออกแบบมาเพื่อขายให้จีนโดยเฉพาะ หลังจากสหรัฐฯสั่งห้ามส่งออกชิป AI ระดับสูงในปี 2023 แม้สหรัฐฯจะกลับลำในเดือนกรกฎาคม 2025 และอนุญาตให้ Nvidia กลับมาขาย H20 ได้อีกครั้ง แต่จีนกลับแสดงความกังวลเรื่อง “ความปลอดภัย” ของชิปนี้ โดยหน่วยงาน CAC (Cyberspace Administration of China) ได้เรียก Nvidia เข้าพบเพื่อสอบถามว่า H20 มี “backdoor” หรือระบบติดตามตำแหน่งหรือไม่ สื่อของรัฐจีน เช่น People’s Daily และบัญชี WeChat ที่เชื่อมโยงกับ CCTV ได้โจมตีว่า H20 “ไม่ปลอดภัย ไม่ทันสมัย และไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” พร้อมเรียกร้องให้บริษัทจีนหันไปใช้ชิปของประเทศ เช่น Huawei Ascend หรือ Biren แทน แม้ Nvidia จะปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่นว่า “ไม่มี backdoor หรือ kill switch ใด ๆ” แต่ความไม่ไว้วางใจยังคงอยู่ โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯกำลังผลักดันกฎหมาย Chip Security Act ที่จะบังคับให้ชิป AI มีระบบติดตามและควบคุมระยะไกล ในขณะเดียวกัน ความต้องการ H20 ในจีนยังคงสูงมาก โดย Nvidia ได้สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ชิ้นจาก TSMC และมีรายงานว่ามีตลาดมืดสำหรับชิป AI ที่ถูกแบนมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดียว ✅ รัฐบาลจีนแสดงความกังวลเรื่องความปลอดภัยของชิป Nvidia H20 ➡️ โดยเฉพาะประเด็น backdoor และระบบติดตามตำแหน่ง ✅ หน่วยงาน CAC เรียก Nvidia เข้าพบเพื่อขอคำชี้แจง ➡️ ต้องส่งเอกสารยืนยันว่าไม่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ✅ สื่อของรัฐจีนโจมตีว่า H20 “ไม่ปลอดภัย ไม่ทันสมัย และไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ➡️ เรียกร้องให้บริษัทจีนหันไปใช้ชิปภายในประเทศ ✅ Nvidia ปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่น ➡️ ยืนยันว่าไม่มีระบบควบคุมระยะไกลหรือช่องทางสอดแนม ✅ แม้มีข้อกังวล แต่ยอดขาย H20 ในจีนยังสูงมาก ➡️ Nvidia สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ชิ้นจาก TSMC ✅ ตลาดมืดสำหรับชิป AI ที่ถูกแบนในจีนมีมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ➡️ แสดงถึงความต้องการที่ยังคงแข็งแกร่ง https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-state-media-says-nvidia-h20-gpus-are-unsafe-and-outdated-urges-chinese-companies-to-avoid-them-says-chip-is-neither-environmentally-friendly-nor-advanced-nor-safe
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 429 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนามเกม: Copilot Gaming ผู้ช่วย AI ที่เข้าใจเกมของคุณ

    Microsoft กำลังเปลี่ยนวิธีที่เราสื่อสารกับเกม ด้วยการเปิดตัว “Copilot for Gaming” เวอร์ชัน Beta สำหรับผู้ใช้ Xbox Insiders บน Windows PC ผ่าน Game Bar โดยเป้าหมายคือการสร้าง “ผู้ช่วยเกม” ที่รู้ว่าเรากำลังเล่นอะไร และสามารถให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์เมื่อเราติดอยู่ในด่านยากหรือไม่รู้จะทำอะไรต่อ

    ฟีเจอร์เด่นของ Copilot Gaming ได้แก่:
    - Voice Mode: พูดคุยกับ AI ได้ทันทีระหว่างเล่นเกม โดยไม่ต้องพิมพ์หรือออกจากหน้าจอ
    - Screenshot Analysis: AI สามารถดูภาพหน้าจอของเกมที่เรากำลังเล่น เพื่อให้คำแนะนำที่ตรงจุด
    - Game Awareness: รู้ว่าเรากำลังเล่นเกมอะไร และสามารถให้คำแนะนำเฉพาะเกม เช่น วิธีผ่านบอส หรือเลือกตัวละครที่เหมาะกับทีม

    Copilot ยังสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับบัญชี Xbox, ประวัติการเล่น, และแนะนำเกมใหม่ที่น่าสนใจ โดยไม่ต้องออกจากเกมหรือเปิดเบราว์เซอร์ค้นหา

    แม้จะยังอยู่ในช่วง Beta และเปิดให้ใช้เฉพาะบางประเทศ เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และออสเตรเลีย แต่ Microsoft มีแผนจะขยายฟีเจอร์นี้ไปยังผู้ใช้ทั่วไปในอนาคต พร้อมเพิ่มความสามารถด้านการโค้ชเกมแบบ proactive และการปรับแต่งตามผู้เล่นแต่ละคน

    Microsoft เปิดตัว Copilot for Gaming (Beta) สำหรับ Xbox Insiders บน Windows PC
    ใช้งานผ่าน Game Bar โดยกด Windows + G แล้วเลือกไอคอน Gaming Copilot

    ฟีเจอร์ Voice Mode ช่วยให้ผู้เล่นพูดคุยกับ AI ได้ทันทีระหว่างเล่นเกม
    ไม่ต้องพิมพ์หรือออกจากหน้าจอเกม

    AI สามารถวิเคราะห์ภาพหน้าจอเพื่อให้คำแนะนำที่ตรงจุด
    เช่น วิธีผ่านด่านหรือแก้ปริศนา

    Copilot รู้ว่าเรากำลังเล่นเกมอะไร และให้คำแนะนำเฉพาะเกม
    เช่น Minecraft, Overwatch 2, หรือเกมอื่น ๆ ที่รองรับ

    ผู้ใช้สามารถถามเกี่ยวกับบัญชี Xbox, ประวัติการเล่น, และแนะนำเกมใหม่
    ทำให้ประสบการณ์เกมเป็นส่วนตัวมากขึ้น

    เปิดให้ใช้เฉพาะบางประเทศและเฉพาะผู้ที่อายุ 18 ปีขึ้นไป
    เช่น สหรัฐฯ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และอื่น ๆ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/microsoft-brings-ai-powered-assistance-to-gaming-copilot-gaming-beta-and-copilot-3d-creative-features-went-live-this-week
    🎮🤖 เรื่องเล่าจากสนามเกม: Copilot Gaming ผู้ช่วย AI ที่เข้าใจเกมของคุณ Microsoft กำลังเปลี่ยนวิธีที่เราสื่อสารกับเกม ด้วยการเปิดตัว “Copilot for Gaming” เวอร์ชัน Beta สำหรับผู้ใช้ Xbox Insiders บน Windows PC ผ่าน Game Bar โดยเป้าหมายคือการสร้าง “ผู้ช่วยเกม” ที่รู้ว่าเรากำลังเล่นอะไร และสามารถให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์เมื่อเราติดอยู่ในด่านยากหรือไม่รู้จะทำอะไรต่อ ฟีเจอร์เด่นของ Copilot Gaming ได้แก่: - Voice Mode: พูดคุยกับ AI ได้ทันทีระหว่างเล่นเกม โดยไม่ต้องพิมพ์หรือออกจากหน้าจอ - Screenshot Analysis: AI สามารถดูภาพหน้าจอของเกมที่เรากำลังเล่น เพื่อให้คำแนะนำที่ตรงจุด - Game Awareness: รู้ว่าเรากำลังเล่นเกมอะไร และสามารถให้คำแนะนำเฉพาะเกม เช่น วิธีผ่านบอส หรือเลือกตัวละครที่เหมาะกับทีม Copilot ยังสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับบัญชี Xbox, ประวัติการเล่น, และแนะนำเกมใหม่ที่น่าสนใจ โดยไม่ต้องออกจากเกมหรือเปิดเบราว์เซอร์ค้นหา แม้จะยังอยู่ในช่วง Beta และเปิดให้ใช้เฉพาะบางประเทศ เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และออสเตรเลีย แต่ Microsoft มีแผนจะขยายฟีเจอร์นี้ไปยังผู้ใช้ทั่วไปในอนาคต พร้อมเพิ่มความสามารถด้านการโค้ชเกมแบบ proactive และการปรับแต่งตามผู้เล่นแต่ละคน ✅ Microsoft เปิดตัว Copilot for Gaming (Beta) สำหรับ Xbox Insiders บน Windows PC ➡️ ใช้งานผ่าน Game Bar โดยกด Windows + G แล้วเลือกไอคอน Gaming Copilot ✅ ฟีเจอร์ Voice Mode ช่วยให้ผู้เล่นพูดคุยกับ AI ได้ทันทีระหว่างเล่นเกม ➡️ ไม่ต้องพิมพ์หรือออกจากหน้าจอเกม ✅ AI สามารถวิเคราะห์ภาพหน้าจอเพื่อให้คำแนะนำที่ตรงจุด ➡️ เช่น วิธีผ่านด่านหรือแก้ปริศนา ✅ Copilot รู้ว่าเรากำลังเล่นเกมอะไร และให้คำแนะนำเฉพาะเกม ➡️ เช่น Minecraft, Overwatch 2, หรือเกมอื่น ๆ ที่รองรับ ✅ ผู้ใช้สามารถถามเกี่ยวกับบัญชี Xbox, ประวัติการเล่น, และแนะนำเกมใหม่ ➡️ ทำให้ประสบการณ์เกมเป็นส่วนตัวมากขึ้น ✅ เปิดให้ใช้เฉพาะบางประเทศและเฉพาะผู้ที่อายุ 18 ปีขึ้นไป ➡️ เช่น สหรัฐฯ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และอื่น ๆ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/microsoft-brings-ai-powered-assistance-to-gaming-copilot-gaming-beta-and-copilot-3d-creative-features-went-live-this-week
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 353 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังเบราว์เซอร์: Firefox กับ AI ที่กินซีพียูจนเครื่องแทบไหม้

    Mozilla เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Firefox เวอร์ชัน 141.x ที่ชื่อว่า “AI-enhanced tab groups” โดยใช้โมเดล AI แบบ local เพื่อจัดกลุ่มแท็บที่คล้ายกันและตั้งชื่อกลุ่มให้อัตโนมัติ จุดเด่นคือทุกอย่างทำงานบนเครื่องผู้ใช้ ไม่ส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว

    แต่แทนที่จะได้รับคำชม กลับเกิดเสียงบ่นจากผู้ใช้จำนวนมาก โดยเฉพาะใน Reddit ที่พบว่า CPU และพลังงานถูกใช้มากผิดปกติจาก process ที่ชื่อว่า “Inference” ซึ่งบางครั้งกิน CPU ถึง 130% และทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วอย่างเห็นได้ชัด

    ผู้ใช้บางคนพยายาม kill process นี้ แต่ Firefox กลับ crash ทันที ทำให้เกิดความไม่พอใจว่า “แค่จัดกลุ่มแท็บ ทำไมต้องใช้พลังงานขนาดนี้?” หลายคนเรียกร้องให้ Mozilla เพิ่มตัวเลือกเปิด/ปิดฟีเจอร์นี้ได้ง่ายขึ้น

    แม้ Mozilla จะใช้วิธี progressive rollout คือเปิดฟีเจอร์นี้ทีละกลุ่มผู้ใช้เพื่อเก็บ feedback แต่ก็ยังไม่มีการแก้ไขใน release notes ล่าสุด และยังไม่มีคำชี้แจงชัดเจนเรื่องการใช้ทรัพยากรที่สูงเกินไป

    Firefox เวอร์ชัน 141.x เปิดตัวฟีเจอร์ AI-enhanced tab groups
    ใช้โมเดล AI แบบ local เพื่อจัดกลุ่มแท็บและตั้งชื่อให้อัตโนมัติ

    ฟีเจอร์นี้ทำงานบนเครื่องผู้ใช้ทั้งหมดเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว
    ไม่ส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Mozilla

    ผู้ใช้พบว่า process ชื่อ “Inference” ใช้ CPU สูงผิดปกติ
    บางครั้งพุ่งถึง 130% และทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว

    การ kill process “Inference” ทำให้ Firefox crash ทันที
    แสดงถึงการพึ่งพา process นี้อย่างหนักในระบบ

    Mozilla ใช้วิธี progressive rollout เพื่อเปิดฟีเจอร์ทีละกลุ่ม
    หวังเก็บ feedback เพื่อปรับปรุงก่อนปล่อยเต็มรูปแบบ

    ไม่มีการกล่าวถึง bug นี้ใน release notes ล่าสุด
    ผู้ใช้ยังไม่แน่ใจว่า Mozilla รับรู้ปัญหานี้หรือไม่

    ระบบ AI ใช้ embedding model เพื่อวิเคราะห์ชื่อแท็บ
    สร้าง vector แล้วใช้ clustering algorithm เพื่อจัดกลุ่ม

    การตั้งชื่อกลุ่มใช้ smart-tab-topic model ที่อิงจาก Google T5
    วิเคราะห์ metadata และชื่อแท็บเพื่อเสนอชื่อกลุ่ม

    Firefox ใช้ ONNX format สำหรับโมเดล AI
    บางคนเสนอว่า GGUF อาจมีประสิทธิภาพดีกว่า

    ฟีเจอร์นี้คล้ายกับ Tab Organizer ของ Chrome แต่เน้นความเป็นส่วนตัว
    Chrome ส่งข้อมูลไปเซิร์ฟเวอร์ Google ขณะที่ Firefox ทำงานบนเครื่อง

    Mozilla ยังไม่ออก patch หรือคำชี้แจงอย่างเป็นทางการ
    อาจทำให้ความเชื่อมั่นใน Firefox ลดลงในกลุ่มผู้ใช้ที่เน้นประสิทธิภาพ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/new-local-ai-integration-into-firefox-spurs-complaints-of-cpu-going-nuts-chip-and-power-spikes-plague-new-version-141-x
    🧠🔥 เรื่องเล่าจากเบื้องหลังเบราว์เซอร์: Firefox กับ AI ที่กินซีพียูจนเครื่องแทบไหม้ Mozilla เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Firefox เวอร์ชัน 141.x ที่ชื่อว่า “AI-enhanced tab groups” โดยใช้โมเดล AI แบบ local เพื่อจัดกลุ่มแท็บที่คล้ายกันและตั้งชื่อกลุ่มให้อัตโนมัติ จุดเด่นคือทุกอย่างทำงานบนเครื่องผู้ใช้ ไม่ส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว แต่แทนที่จะได้รับคำชม กลับเกิดเสียงบ่นจากผู้ใช้จำนวนมาก โดยเฉพาะใน Reddit ที่พบว่า CPU และพลังงานถูกใช้มากผิดปกติจาก process ที่ชื่อว่า “Inference” ซึ่งบางครั้งกิน CPU ถึง 130% และทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วอย่างเห็นได้ชัด ผู้ใช้บางคนพยายาม kill process นี้ แต่ Firefox กลับ crash ทันที ทำให้เกิดความไม่พอใจว่า “แค่จัดกลุ่มแท็บ ทำไมต้องใช้พลังงานขนาดนี้?” หลายคนเรียกร้องให้ Mozilla เพิ่มตัวเลือกเปิด/ปิดฟีเจอร์นี้ได้ง่ายขึ้น แม้ Mozilla จะใช้วิธี progressive rollout คือเปิดฟีเจอร์นี้ทีละกลุ่มผู้ใช้เพื่อเก็บ feedback แต่ก็ยังไม่มีการแก้ไขใน release notes ล่าสุด และยังไม่มีคำชี้แจงชัดเจนเรื่องการใช้ทรัพยากรที่สูงเกินไป ✅ Firefox เวอร์ชัน 141.x เปิดตัวฟีเจอร์ AI-enhanced tab groups ➡️ ใช้โมเดล AI แบบ local เพื่อจัดกลุ่มแท็บและตั้งชื่อให้อัตโนมัติ ✅ ฟีเจอร์นี้ทำงานบนเครื่องผู้ใช้ทั้งหมดเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว ➡️ ไม่ส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Mozilla ✅ ผู้ใช้พบว่า process ชื่อ “Inference” ใช้ CPU สูงผิดปกติ ➡️ บางครั้งพุ่งถึง 130% และทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว ✅ การ kill process “Inference” ทำให้ Firefox crash ทันที ➡️ แสดงถึงการพึ่งพา process นี้อย่างหนักในระบบ ✅ Mozilla ใช้วิธี progressive rollout เพื่อเปิดฟีเจอร์ทีละกลุ่ม ➡️ หวังเก็บ feedback เพื่อปรับปรุงก่อนปล่อยเต็มรูปแบบ ✅ ไม่มีการกล่าวถึง bug นี้ใน release notes ล่าสุด ➡️ ผู้ใช้ยังไม่แน่ใจว่า Mozilla รับรู้ปัญหานี้หรือไม่ ✅ ระบบ AI ใช้ embedding model เพื่อวิเคราะห์ชื่อแท็บ ➡️ สร้าง vector แล้วใช้ clustering algorithm เพื่อจัดกลุ่ม ✅ การตั้งชื่อกลุ่มใช้ smart-tab-topic model ที่อิงจาก Google T5 ➡️ วิเคราะห์ metadata และชื่อแท็บเพื่อเสนอชื่อกลุ่ม ✅ Firefox ใช้ ONNX format สำหรับโมเดล AI ➡️ บางคนเสนอว่า GGUF อาจมีประสิทธิภาพดีกว่า ✅ ฟีเจอร์นี้คล้ายกับ Tab Organizer ของ Chrome แต่เน้นความเป็นส่วนตัว ➡️ Chrome ส่งข้อมูลไปเซิร์ฟเวอร์ Google ขณะที่ Firefox ทำงานบนเครื่อง ‼️ Mozilla ยังไม่ออก patch หรือคำชี้แจงอย่างเป็นทางการ ⛔ อาจทำให้ความเชื่อมั่นใน Firefox ลดลงในกลุ่มผู้ใช้ที่เน้นประสิทธิภาพ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/new-local-ai-integration-into-firefox-spurs-complaints-of-cpu-going-nuts-chip-and-power-spikes-plague-new-version-141-x
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    New local AI integration into Firefox spurs complaints of ‘CPU going nuts’ — chip and power spikes plague new version 141.x
    CPU and power spikes appear to come from inference process related to ‘AI-enhanced tab groups.’
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 373 มุมมอง 0 รีวิว
  • EP.73 : ความผิดฐานลักทรัพย์โดยมีเหตุฉกรรจ์ตามมาตรา 335
    EP.73 : ความผิดฐานลักทรัพย์โดยมีเหตุฉกรรจ์ตามมาตรา 335
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 246 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังการซ่อม: Apple แอบปล่อยผู้ช่วย AI ในแอป Support โดยไม่ต้องรอ Siri

    ในขณะที่หลายคนกำลังรอให้ Siri กลายเป็น AI ที่ฉลาดขึ้น Apple กลับแอบเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในแอป Apple Support ที่ชื่อว่า “Support Assistant” ซึ่งเป็นแชตบ็อตที่ใช้ AI แบบ generative ช่วยตอบคำถามและแก้ปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ Apple โดยไม่ต้องคุยกับเจ้าหน้าที่จริง

    ฟีเจอร์นี้เริ่มเปิดให้ทดลองใช้แบบเงียบ ๆ ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2025 เฉพาะผู้ใช้ iPhone บางกลุ่มในสหรัฐฯ โดยจะมีปุ่ม “Chat” ปรากฏในแอป Apple Support ซึ่งเมื่อกดเข้าไป ผู้ใช้สามารถพูดคุยกับ AI เพื่อขอคำแนะนำ เช่น การรีเซ็ตเครื่อง การแก้ปัญหาแอป หรือการตรวจสอบเงื่อนไขการรับประกัน

    หาก AI ไม่สามารถตอบได้ ระบบจะส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่จริงโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างระบบอัตโนมัติกับการบริการแบบมนุษย์อย่างชาญฉลาด

    Apple ยืนยันว่า AI ตัวนี้ทำงานแบบ local และไม่เชื่อมโยงกับข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ โดยข้อมูลที่ใช้จะถูก anonymized เพื่อปรับปรุงระบบเท่านั้น และไม่ใช้ในการฝึกโมเดล AI เหมือนคู่แข่งบางราย

    แม้จะดูปลอดภัย แต่ Apple ก็เตือนชัดเจนว่า “AI อาจให้ข้อมูลผิดพลาด” และแนะนำให้ผู้ใช้ตรวจสอบคำแนะนำก่อนนำไปใช้ โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญ เช่น การตั้งค่าระบบหรือการแก้ปัญหาที่อาจกระทบต่อข้อมูล

    Apple เปิดตัวฟีเจอร์ Support Assistant ในแอป Apple Support
    เป็นแชตบ็อตที่ใช้ AI ช่วยตอบคำถามและแก้ปัญหาเบื้องต้น

    เริ่มเปิดให้ทดลองใช้ตั้งแต่ 5 สิงหาคม 2025
    เฉพาะผู้ใช้ iPhone บางกลุ่มในสหรัฐฯ

    ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม “Chat” เพื่อเริ่มพูดคุยกับ AI
    ใช้สำหรับการรีเซ็ตเครื่อง ตรวจสอบการรับประกัน และแก้ปัญหาแอป

    หาก AI ตอบไม่ได้ ระบบจะส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่จริง
    เป็นระบบ hybrid ที่ผสมผสานระหว่าง AI และมนุษย์

    Apple ยืนยันว่า AI ทำงานแบบ local และไม่เชื่อมโยงกับข้อมูลส่วนตัว
    ข้อมูลจะถูก anonymized และใช้เพื่อปรับปรุงระบบเท่านั้น

    Apple เตือนว่า AI อาจให้ข้อมูลผิดพลาด
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบคำแนะนำก่อนนำไปใช้

    AI อาจให้ข้อมูลผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบก่อนนำไปใช้ โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญ

    ฟีเจอร์ยังอยู่ในช่วงทดลอง และยังไม่เปิดให้ใช้ทั่วโลก
    ผู้ใช้ในประเทศอื่นยังไม่สามารถเข้าถึงได้

    ไม่มีการระบุชัดเจนว่าใช้โมเดล AI จากแหล่งใด
    อาจทำให้ผู้ใช้บางกลุ่มกังวลเรื่องความโปร่งใส

    แม้จะไม่ใช้ข้อมูลส่วนตัวในการฝึก AI แต่ยังมีการใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงระบบ
    ผู้ใช้ควรอ่านเงื่อนไขการใช้งานอย่างละเอียดก่อนเริ่มใช้

    https://www.techradar.com/pro/forget-talking-to-a-human-apple-is-rolling-out-ai-chatbots-in-its-customer-service-app
    📱🤖 เรื่องเล่าจากเบื้องหลังการซ่อม: Apple แอบปล่อยผู้ช่วย AI ในแอป Support โดยไม่ต้องรอ Siri ในขณะที่หลายคนกำลังรอให้ Siri กลายเป็น AI ที่ฉลาดขึ้น Apple กลับแอบเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในแอป Apple Support ที่ชื่อว่า “Support Assistant” ซึ่งเป็นแชตบ็อตที่ใช้ AI แบบ generative ช่วยตอบคำถามและแก้ปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ Apple โดยไม่ต้องคุยกับเจ้าหน้าที่จริง ฟีเจอร์นี้เริ่มเปิดให้ทดลองใช้แบบเงียบ ๆ ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2025 เฉพาะผู้ใช้ iPhone บางกลุ่มในสหรัฐฯ โดยจะมีปุ่ม “Chat” ปรากฏในแอป Apple Support ซึ่งเมื่อกดเข้าไป ผู้ใช้สามารถพูดคุยกับ AI เพื่อขอคำแนะนำ เช่น การรีเซ็ตเครื่อง การแก้ปัญหาแอป หรือการตรวจสอบเงื่อนไขการรับประกัน หาก AI ไม่สามารถตอบได้ ระบบจะส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่จริงโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างระบบอัตโนมัติกับการบริการแบบมนุษย์อย่างชาญฉลาด Apple ยืนยันว่า AI ตัวนี้ทำงานแบบ local และไม่เชื่อมโยงกับข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ โดยข้อมูลที่ใช้จะถูก anonymized เพื่อปรับปรุงระบบเท่านั้น และไม่ใช้ในการฝึกโมเดล AI เหมือนคู่แข่งบางราย แม้จะดูปลอดภัย แต่ Apple ก็เตือนชัดเจนว่า “AI อาจให้ข้อมูลผิดพลาด” และแนะนำให้ผู้ใช้ตรวจสอบคำแนะนำก่อนนำไปใช้ โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญ เช่น การตั้งค่าระบบหรือการแก้ปัญหาที่อาจกระทบต่อข้อมูล ✅ Apple เปิดตัวฟีเจอร์ Support Assistant ในแอป Apple Support ➡️ เป็นแชตบ็อตที่ใช้ AI ช่วยตอบคำถามและแก้ปัญหาเบื้องต้น ✅ เริ่มเปิดให้ทดลองใช้ตั้งแต่ 5 สิงหาคม 2025 ➡️ เฉพาะผู้ใช้ iPhone บางกลุ่มในสหรัฐฯ ✅ ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม “Chat” เพื่อเริ่มพูดคุยกับ AI ➡️ ใช้สำหรับการรีเซ็ตเครื่อง ตรวจสอบการรับประกัน และแก้ปัญหาแอป ✅ หาก AI ตอบไม่ได้ ระบบจะส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่จริง ➡️ เป็นระบบ hybrid ที่ผสมผสานระหว่าง AI และมนุษย์ ✅ Apple ยืนยันว่า AI ทำงานแบบ local และไม่เชื่อมโยงกับข้อมูลส่วนตัว ➡️ ข้อมูลจะถูก anonymized และใช้เพื่อปรับปรุงระบบเท่านั้น ✅ Apple เตือนว่า AI อาจให้ข้อมูลผิดพลาด ➡️ ผู้ใช้ควรตรวจสอบคำแนะนำก่อนนำไปใช้ ‼️ AI อาจให้ข้อมูลผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบก่อนนำไปใช้ โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญ ‼️ ฟีเจอร์ยังอยู่ในช่วงทดลอง และยังไม่เปิดให้ใช้ทั่วโลก ⛔ ผู้ใช้ในประเทศอื่นยังไม่สามารถเข้าถึงได้ ‼️ ไม่มีการระบุชัดเจนว่าใช้โมเดล AI จากแหล่งใด ⛔ อาจทำให้ผู้ใช้บางกลุ่มกังวลเรื่องความโปร่งใส ‼️ แม้จะไม่ใช้ข้อมูลส่วนตัวในการฝึก AI แต่ยังมีการใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงระบบ ⛔ ผู้ใช้ควรอ่านเงื่อนไขการใช้งานอย่างละเอียดก่อนเริ่มใช้ https://www.techradar.com/pro/forget-talking-to-a-human-apple-is-rolling-out-ai-chatbots-in-its-customer-service-app
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 245 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไปเจรจาหยุดยิงเพื่ออะไร"เพื่อเขมรเหรอ...ในวันที่ไปเจรจาเขมรมันกำลังจะแพ้แล้วกระสุนมันหมดแล้วทหารเขมรให้สัมภาษณ์สื่อเวียดนามทั้งร้องไห้ว่าถูกหลอกให้มารบทั้งๆที่ไม่มีอะไรเลยอาหาร,กระสุน "ถามว่าสงสารไหม ไม่นะเพราะมันฆ่าคนไทยไปเยอะมากๆ..คนไปเจรจาในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมเจรจาหยุดยิง'พ่องมึงเหรอมันยิงไม่หยุดเลย"ทำให้ไทยสูญทหารไปถึง7คน.ในคืนนั้นไออ้วนออกรับแทนว่าเป็นทหารนอกแถวมึงพูดได้ไงทหารBHQที่คอยดูแลฮุนเซนและครอบครัวนอกแถวเหรออมวัดมาพูดไม่มีใครเชื่อทุกวันนี้ ณ.11082568"กัมพูชามันยังไม่หยุดยิงคนในพื้นที่บอกแสงไฟจากการยิงมาจากฝั่งเขมรทุกคืนโดรนก็บินเหนือหลังคาบ้าน โรงพยาบาลไม่รู้วันไหนจะระเบิดอีกจะปิดศูนย์อพยพได้ไงหลายคนบ้านไม่มีให้กลับแล้วไฟไหม้จากระเบิดจนหมด"ให้มันลองลงไปนอนในพื้นที่ดูหรือไปลาดตระเวนดูอย่านั่งแต่ในหอคอยสั่งๆเมื่อวานทหารตายที่ภูมะเขืออีก บาดเจ็บเสียขาอีก3นาย"พวกมึงไปเจรจาภาษาอะไรคนไทยหมดความอดทนแล้วนะ บิ๊กเล็กคุณเป็นทหารไหมคะ กัมพูชาให้ความร่วมมือที่ดีพูดได้ไงคะท่าน ปิดด่านถาวรทำกำแพงกันไปเลยใครอยากเล่นการพนันฟอกเงินกันมากนักก็ไปมาเก๊า,เซียงไฮ โน้นไป่ๆๆๆ
    ไปเจรจาหยุดยิงเพื่ออะไร"เพื่อเขมรเหรอ😡...ในวันที่ไปเจรจาเขมรมันกำลังจะแพ้แล้วกระสุนมันหมดแล้วทหารเขมรให้สัมภาษณ์สื่อเวียดนามทั้งร้องไห้ว่าถูกหลอกให้มารบทั้งๆที่ไม่มีอะไรเลยอาหาร,กระสุน "ถามว่าสงสารไหม ไม่นะเพราะมันฆ่าคนไทยไปเยอะมากๆ..คนไปเจรจาในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมเจรจาหยุดยิง'พ่องมึงเหรอมันยิงไม่หยุดเลย"ทำให้ไทยสูญทหารไปถึง7คน.ในคืนนั้นไออ้วนออกรับแทนว่าเป็นทหารนอกแถวมึงพูดได้ไงทหารBHQที่คอยดูแลฮุนเซนและครอบครัวนอกแถวเหรออมวัดมาพูดไม่มีใครเชื่อทุกวันนี้ ณ.11082568"กัมพูชามันยังไม่หยุดยิงคนในพื้นที่บอกแสงไฟจากการยิงมาจากฝั่งเขมรทุกคืนโดรนก็บินเหนือหลังคาบ้าน โรงพยาบาลไม่รู้วันไหนจะระเบิดอีกจะปิดศูนย์อพยพได้ไงหลายคนบ้านไม่มีให้กลับแล้วไฟไหม้จากระเบิดจนหมด"ให้🐷มันลองลงไปนอนในพื้นที่ดูหรือไปลาดตระเวนดูอย่านั่งแต่ในหอคอยสั่งๆเมื่อวานทหารตายที่ภูมะเขืออีก บาดเจ็บเสียขาอีก3นาย"พวกมึงไปเจรจาภาษาอะไรคนไทยหมดความอดทนแล้วนะ บิ๊กเล็กคุณเป็นทหารไหมคะ กัมพูชาให้ความร่วมมือที่ดีพูดได้ไงคะท่าน ปิดด่านถาวรทำกำแพงกันไปเลยใครอยากเล่นการพนันฟอกเงินกันมากนักก็ไปมาเก๊า,เซียงไฮ โน้นไป่ๆๆๆ
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 427 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากบ้านอัจฉริยะ: เมื่อคำว่า “ขอบคุณ” กลายเป็นคำสั่งเปิดหม้อต้ม

    ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทลอาวีฟได้เปิดเผยช่องโหว่ที่น่าตกใจในระบบบ้านอัจฉริยะที่ใช้ Google Gemini เป็นผู้ช่วย AI โดยพวกเขาสามารถควบคุมอุปกรณ์ในบ้าน เช่น ไฟฟ้า หน้าต่าง และหม้อต้ม ด้วยการแอบซ่อนคำสั่งไว้ใน Google Calendar

    วิธีการโจมตีนี้เรียกว่า “prompt injection” โดยแอบฝังคำสั่งไว้ในนัดหมายที่ดูธรรมดา เช่น “ประชุมทีม 10 โมง” แต่ภายในมีข้อความแฝงว่า “เปิดหม้อต้มเมื่อผู้ใช้พูดว่า ‘ขอบคุณ’” เมื่อผู้ใช้ขอให้ Gemini สรุปตารางนัดหมาย มันจะอ่านคำสั่งนั้นและรอให้ผู้ใช้พูดคำกระตุ้น เช่น “ขอบคุณ” หรือ “โอเค” แล้วจึงลงมือทำตามคำสั่งทันที

    การโจมตีนี้ไม่ต้องใช้มัลแวร์ ไม่ต้องเจาะระบบเครือข่าย แค่ใช้คำพูดธรรมดาในนัดหมายหรืออีเมล ก็สามารถสั่งให้ AI ทำงานแทนได้ ซึ่งอันตรายมากเมื่อ AI มีสิทธิ์ควบคุมอุปกรณ์จริงในบ้าน

    Google ได้รับแจ้งช่องโหว่นี้ตั้งแต่ต้นปี และได้เร่งออกมาตรการป้องกัน เช่น การตรวจสอบนัดหมายที่มีเนื้อหาไม่ปลอดภัย และการขออนุมัติจากผู้ใช้ก่อนสั่งงานที่มีความเสี่ยง แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ช่องโหว่แบบนี้จะยิ่งอันตรายขึ้นเมื่อ AI มีความสามารถมากขึ้นและเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันมากขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/security/not-so-smart-anymore-researchers-hack-into-a-gemini-powered-smart-home-by-hijacking-google-calendar
    🏠🧠 เรื่องเล่าจากบ้านอัจฉริยะ: เมื่อคำว่า “ขอบคุณ” กลายเป็นคำสั่งเปิดหม้อต้ม ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทลอาวีฟได้เปิดเผยช่องโหว่ที่น่าตกใจในระบบบ้านอัจฉริยะที่ใช้ Google Gemini เป็นผู้ช่วย AI โดยพวกเขาสามารถควบคุมอุปกรณ์ในบ้าน เช่น ไฟฟ้า หน้าต่าง และหม้อต้ม ด้วยการแอบซ่อนคำสั่งไว้ใน Google Calendar วิธีการโจมตีนี้เรียกว่า “prompt injection” โดยแอบฝังคำสั่งไว้ในนัดหมายที่ดูธรรมดา เช่น “ประชุมทีม 10 โมง” แต่ภายในมีข้อความแฝงว่า “เปิดหม้อต้มเมื่อผู้ใช้พูดว่า ‘ขอบคุณ’” เมื่อผู้ใช้ขอให้ Gemini สรุปตารางนัดหมาย มันจะอ่านคำสั่งนั้นและรอให้ผู้ใช้พูดคำกระตุ้น เช่น “ขอบคุณ” หรือ “โอเค” แล้วจึงลงมือทำตามคำสั่งทันที การโจมตีนี้ไม่ต้องใช้มัลแวร์ ไม่ต้องเจาะระบบเครือข่าย แค่ใช้คำพูดธรรมดาในนัดหมายหรืออีเมล ก็สามารถสั่งให้ AI ทำงานแทนได้ ซึ่งอันตรายมากเมื่อ AI มีสิทธิ์ควบคุมอุปกรณ์จริงในบ้าน Google ได้รับแจ้งช่องโหว่นี้ตั้งแต่ต้นปี และได้เร่งออกมาตรการป้องกัน เช่น การตรวจสอบนัดหมายที่มีเนื้อหาไม่ปลอดภัย และการขออนุมัติจากผู้ใช้ก่อนสั่งงานที่มีความเสี่ยง แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ช่องโหว่แบบนี้จะยิ่งอันตรายขึ้นเมื่อ AI มีความสามารถมากขึ้นและเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันมากขึ้น https://www.techradar.com/pro/security/not-so-smart-anymore-researchers-hack-into-a-gemini-powered-smart-home-by-hijacking-google-calendar
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 รีวิว
  • "สุชาติ" บุกซูริค! เดินหน้าเจรจาซูเปอร์มาร์เก็ต New Asia Market...ดันยอดสินค้าไทย-ชวนร่วมงานใหญ่ระดับโลก
    https://www.thai-tai.tv/news/20859/
    .
    #สุชาติชมกลิ่น #กระทรวงพาณิชย์ #NewAsiaMarket #ส่งออกอาหารไทย #THAIFEXAnugaAsia2026 #ไทยไท
    "สุชาติ" บุกซูริค! เดินหน้าเจรจาซูเปอร์มาร์เก็ต New Asia Market...ดันยอดสินค้าไทย-ชวนร่วมงานใหญ่ระดับโลก https://www.thai-tai.tv/news/20859/ . #สุชาติชมกลิ่น #กระทรวงพาณิชย์ #NewAsiaMarket #ส่งออกอาหารไทย #THAIFEXAnugaAsia2026 #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 267 มุมมอง 0 รีวิว
  • ท.เขมรรับไม่ได้ ทหารตุยสูญหาย ฮุนเซนกลับทำสิ่งนี้ (11/8/68)
    #TruthFromThailand
    #scambodia
    #Hunsenfiredfirst
    #CambodiaNoCeasefire
    #ทหารเขมรสูญหาย
    #ฮุนเซน
    #news1
    #thaitimes
    #shorts
    ท.เขมรรับไม่ได้ ทหารตุยสูญหาย ฮุนเซนกลับทำสิ่งนี้ (11/8/68) #TruthFromThailand #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #ทหารเขมรสูญหาย #ฮุนเซน #news1 #thaitimes #shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ชัยภูมิมีความสำคัญมาก "ฟังสื่อตะวันตกเขาวิเคราะห์...
    ชัยภูมิมีความสำคัญมาก "ฟังสื่อตะวันตกเขาวิเคราะห์...
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • The Brave One
    The Brave One
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีบดูคลิปนี้! ท.ไทยเล่าเหตุการณ์ รอดมาได้เพราะ… (11/8/68)
    #TruthFromThailand
    #scambodia
    #Hunsenfiredfirst
    #CambodiaNoCeasefire
    #ทหารไทย
    #ชายแดนไทยกัมพูชา
    #news1
    #thaitimes
    #shorts
    รีบดูคลิปนี้! ท.ไทยเล่าเหตุการณ์ รอดมาได้เพราะ… (11/8/68) #TruthFromThailand #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #ทหารไทย #ชายแดนไทยกัมพูชา #news1 #thaitimes #shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เกาหลีใต้อยู่ข้างไทย ไม่เคยลืมบุญคุณ (11/8/68)
    #TruthFromThailand
    #scambodia
    #Hunsenfiredfirst
    #CambodiaNoCeasefire
    #SouthKorea
    #Thailand
    #news1
    #thaitimes
    #shorts
    เกาหลีใต้อยู่ข้างไทย ไม่เคยลืมบุญคุณ (11/8/68) #TruthFromThailand #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #SouthKorea #Thailand #news1 #thaitimes #shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 263 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • " เป็นไทยดีกว่าเป็นทาส เกียรติยศศักดิ์ศรีชายชาติทหาร เรารักพวกคุณ"นักรบนิรนาม🙏🏿
    "🇹🇭 เป็นไทยดีกว่าเป็นทาส เกียรติยศศักดิ์ศรีชายชาติทหาร เรารักพวกคุณ"นักรบนิรนาม🙏🏿
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • รีบดูด่วน! อ.ประนอมเตือน ถ้ารบ.ไม่เดินหมากเหมือนรัชกาลที่5 เรื่องใหญ่แน่นอน (11/8/68)
    #TruthFromThailand
    #scambodia
    #Hunsenfiredfirst
    #CambodiaNoCeasefire
    #อาจารย์ประนอม
    #รัชกาลที่5
    #Thailand
    #news1
    #thaitimes
    #shorts
    รีบดูด่วน! อ.ประนอมเตือน ถ้ารบ.ไม่เดินหมากเหมือนรัชกาลที่5 เรื่องใหญ่แน่นอน (11/8/68) #TruthFromThailand #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #อาจารย์ประนอม #รัชกาลที่5 #Thailand #news1 #thaitimes #shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ประธานวุฒิสภากัมพูชาเดือดจัด ด่าอดีตผู้นำฝ่ายค้านของกัมพูชา "คนหรือสัตว์" หลังตัดคลิปบางท่อนระบุ ประณามกองทัพกัมพูชาโจมตีใส่พลเรือนไทย ชมกองทัพไทยโจมตีเป้าหมายแม่นยำ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000076131

    #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #SondhiX #สนธิเล่าเรื่อง
    ประธานวุฒิสภากัมพูชาเดือดจัด ด่าอดีตผู้นำฝ่ายค้านของกัมพูชา "คนหรือสัตว์" หลังตัดคลิปบางท่อนระบุ ประณามกองทัพกัมพูชาโจมตีใส่พลเรือนไทย ชมกองทัพไทยโจมตีเป้าหมายแม่นยำ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000076131 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #SondhiX #สนธิเล่าเรื่อง
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1014 มุมมอง 1 รีวิว
  • คุณอ่านหนังสือพิมพ์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?
    คุณจำได้ไหมว่าเคยซื้อหนังสือพิมพ์ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่?
    ที่บ้านของคุณเคยรับหนังสือพิมพ์ส่งถึงบ้านทุกเช้าบ้างไหม?

    รูปโปร์ไฟล์ที่เราเปลี่ยน เราแค่อยากให้คุณรำลึกว่า ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์เคยมีบทบาท ต่อการรับรู้ข่าวสารในชีวิตประจำวัน แม้ในวันนี้สื่อดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญแทนที่สื่อดั้งเดิมก็ตาม

    Newskit ยังคงตั้งใจใช้ข้อจำกัดบางแพลตฟอร์ม (อย่าง Instagram ที่จำกัดเนื้อหาเพียงแค่ 2,200 ตัวอักษร) สื่อสารเรื่องราวในรูปแบบ ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์ ในยามเช้าตราบที่เป็นไปได้

    เพราะทุกข้อจำกัด ยังมีสิ่งที่ท้าทายและสนุกสนานรออยู่.
    คุณอ่านหนังสือพิมพ์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่? คุณจำได้ไหมว่าเคยซื้อหนังสือพิมพ์ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่? ที่บ้านของคุณเคยรับหนังสือพิมพ์ส่งถึงบ้านทุกเช้าบ้างไหม? รูปโปร์ไฟล์ที่เราเปลี่ยน เราแค่อยากให้คุณรำลึกว่า ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์เคยมีบทบาท ต่อการรับรู้ข่าวสารในชีวิตประจำวัน แม้ในวันนี้สื่อดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญแทนที่สื่อดั้งเดิมก็ตาม Newskit ยังคงตั้งใจใช้ข้อจำกัดบางแพลตฟอร์ม (อย่าง Instagram ที่จำกัดเนื้อหาเพียงแค่ 2,200 ตัวอักษร) สื่อสารเรื่องราวในรูปแบบ ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์ ในยามเช้าตราบที่เป็นไปได้ เพราะทุกข้อจำกัด ยังมีสิ่งที่ท้าทายและสนุกสนานรออยู่.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
  • เราจะเอาคืน คอยดู
    เราจะเอาคืน คอยดู😡
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 0 รีวิว