• ลองนึกภาพว่า SSD หรือ RAM ในอนาคตจะไม่เพียงแค่เร็วจัด แต่ยัง ไม่ต้องจ่ายไฟตลอดเวลาเพื่อเก็บข้อมูล, ไม่ต้องกลัวข้อมูลหายตอนปิดเครื่อง และยังใช้พลังงานน้อยลงอีกด้วย → เทคโนโลยีแบบนั้นเรียกว่า “Spintronics” หรืออุปกรณ์ที่ใช้อิเล็กตรอนทั้ง “ประจุ” และ “สปินแม่เหล็ก” ในการประมวลผล

    แต่ปัญหาหลักคือ วัสดุ ferromagnetic semiconductor (FMS) ที่ใช้สร้างอุปกรณ์เหล่านี้มักจะใช้งานได้แค่ที่อุณหภูมิต่ำ (ต่ำกว่าอุณหภูมิห้อง) → ทำให้ยังไม่สามารถนำไปใช้ในอุปกรณ์จริงได้

    ล่าสุดทีมนักวิจัยจากโตเกียว นำโดย ศ. Pham Nam Hai แก้ปัญหานี้ได้ → พวกเขาสร้างวัสดุ (Ga₀.₇₆Fe₀.₂₄)Sb ที่มี Curie Temperature สูงถึง 530 เคลวิน (≒ 256°C) → สูงกว่าสถิติก่อนหน้า (420 K) และสามารถทำงานได้ในสภาพแวดล้อมปกติสบาย ๆ

    พวกเขาใช้เทคนิค "step-flow growth" บนแผ่นเวเฟอร์ GaAs ที่เอียงเล็กน้อย → ทำให้สามารถเติมเหล็ก (Fe) ได้ถึง 24% โดยไม่ทำลายโครงสร้างผลึก → ส่งผลให้ตัวอย่างบางเพียง 9.8 นาโนเมตรสามารถ “คงคุณสมบัติแม่เหล็กไว้ได้นานกว่า 1.5 ปีแม้เปิดทิ้งในอากาศ”

    ทั้งหมดนี้อาจปูทางสู่การผลิตหน่วยความจำ MRAM หรือหน่วยประมวลผล Spintronic ที่ใช้ได้จริงแบบ mass production ในอนาคตอันใกล้

    นักวิจัยจาก Institute of Science Tokyo พัฒนา FMS ที่ทำงานได้ที่อุณหภูมิสูงสุดเท่าที่มีการรายงาน (530 K / ~256°C)  
    • วัสดุที่ใช้คือ (Ga₀.₇₆Fe₀.₂₄)Sb  
    • สูงกว่าอุณหภูมิห้องมาก → เหมาะกับการใช้งานจริง

    ใช้เทคนิค step-flow growth บนแผ่น GaAs ที่เอียง 10 องศา เพื่อควบคุมโครงสร้าง  
    • เติม Fe ได้มากโดยไม่เสีย crystalline quality  
    • ได้ผลึกคุณภาพสูงที่ยังมีคุณสมบัติแม่เหล็กครบถ้วน

    ยืนยันคุณสมบัติด้วย Magnetic Circular Dichroism และ Arrott plots  
    • ค่าพลังแม่เหล็กต่ออะตอม Fe = 4.5 µB ใกล้เคียงทฤษฎี  
    • ดีกว่าแม่เหล็กโลหะทั่วไปอย่าง α-Fe

    ทดสอบเก็บตัวอย่างในอากาศ 1.5 ปี พบว่ายังรักษาคุณสมบัติได้ดี (TC เหลือ ~470 K)  
    • บ่งชี้ถึงความเสถียรสูง เหมาะกับการใช้งานในเชิงอุตสาหกรรม

    สามารถนำไปใช้พัฒนาอุปกรณ์ Spintronic เช่น MRAM ได้ในระดับ CMOS-compatible  
    • ลด leakage, เพิ่ม endurance, ไม่ volatile, เร็วระดับ SSD, ใช้ไฟต่ำ

    https://www.neowin.net/news/extraordinary-next-gen-ssd--ram-could-be-awaiting-as-scientists-hit-a-milestone-temperature/
    ลองนึกภาพว่า SSD หรือ RAM ในอนาคตจะไม่เพียงแค่เร็วจัด แต่ยัง ไม่ต้องจ่ายไฟตลอดเวลาเพื่อเก็บข้อมูล, ไม่ต้องกลัวข้อมูลหายตอนปิดเครื่อง และยังใช้พลังงานน้อยลงอีกด้วย → เทคโนโลยีแบบนั้นเรียกว่า “Spintronics” หรืออุปกรณ์ที่ใช้อิเล็กตรอนทั้ง “ประจุ” และ “สปินแม่เหล็ก” ในการประมวลผล แต่ปัญหาหลักคือ วัสดุ ferromagnetic semiconductor (FMS) ที่ใช้สร้างอุปกรณ์เหล่านี้มักจะใช้งานได้แค่ที่อุณหภูมิต่ำ (ต่ำกว่าอุณหภูมิห้อง) → ทำให้ยังไม่สามารถนำไปใช้ในอุปกรณ์จริงได้ ล่าสุดทีมนักวิจัยจากโตเกียว นำโดย ศ. Pham Nam Hai แก้ปัญหานี้ได้ → พวกเขาสร้างวัสดุ (Ga₀.₇₆Fe₀.₂₄)Sb ที่มี Curie Temperature สูงถึง 530 เคลวิน (≒ 256°C) → สูงกว่าสถิติก่อนหน้า (420 K) และสามารถทำงานได้ในสภาพแวดล้อมปกติสบาย ๆ พวกเขาใช้เทคนิค "step-flow growth" บนแผ่นเวเฟอร์ GaAs ที่เอียงเล็กน้อย → ทำให้สามารถเติมเหล็ก (Fe) ได้ถึง 24% โดยไม่ทำลายโครงสร้างผลึก → ส่งผลให้ตัวอย่างบางเพียง 9.8 นาโนเมตรสามารถ “คงคุณสมบัติแม่เหล็กไว้ได้นานกว่า 1.5 ปีแม้เปิดทิ้งในอากาศ” ทั้งหมดนี้อาจปูทางสู่การผลิตหน่วยความจำ MRAM หรือหน่วยประมวลผล Spintronic ที่ใช้ได้จริงแบบ mass production ในอนาคตอันใกล้ ✅ นักวิจัยจาก Institute of Science Tokyo พัฒนา FMS ที่ทำงานได้ที่อุณหภูมิสูงสุดเท่าที่มีการรายงาน (530 K / ~256°C)   • วัสดุที่ใช้คือ (Ga₀.₇₆Fe₀.₂₄)Sb   • สูงกว่าอุณหภูมิห้องมาก → เหมาะกับการใช้งานจริง ✅ ใช้เทคนิค step-flow growth บนแผ่น GaAs ที่เอียง 10 องศา เพื่อควบคุมโครงสร้าง   • เติม Fe ได้มากโดยไม่เสีย crystalline quality   • ได้ผลึกคุณภาพสูงที่ยังมีคุณสมบัติแม่เหล็กครบถ้วน ✅ ยืนยันคุณสมบัติด้วย Magnetic Circular Dichroism และ Arrott plots   • ค่าพลังแม่เหล็กต่ออะตอม Fe = 4.5 µB ใกล้เคียงทฤษฎี   • ดีกว่าแม่เหล็กโลหะทั่วไปอย่าง α-Fe ✅ ทดสอบเก็บตัวอย่างในอากาศ 1.5 ปี พบว่ายังรักษาคุณสมบัติได้ดี (TC เหลือ ~470 K)   • บ่งชี้ถึงความเสถียรสูง เหมาะกับการใช้งานในเชิงอุตสาหกรรม ✅ สามารถนำไปใช้พัฒนาอุปกรณ์ Spintronic เช่น MRAM ได้ในระดับ CMOS-compatible   • ลด leakage, เพิ่ม endurance, ไม่ volatile, เร็วระดับ SSD, ใช้ไฟต่ำ https://www.neowin.net/news/extraordinary-next-gen-ssd--ram-could-be-awaiting-as-scientists-hit-a-milestone-temperature/
    WWW.NEOWIN.NET
    Extraordinary next-gen SSD & RAM could be awaiting as scientists hit a milestone temperature
    Scientists have managed to hit a major milestone in terms of temperature, thus making them excited about the possibility of some amazing future SSD and RAM innovations.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • หมดปัญหากุ้งแห้งไม่ละเอียด! BONNY PIN MILL 30B บดให้เนียนได้ใจ
    BONNY PIN MILL รุ่น 30B – เครื่องบดแห้งขั้นสุดยอดจาก หจก.ย.ย่งฮะเฮง!
    ทำไมต้อง BONNY PIN MILL รุ่น 30B?
    ละเอียดกว่าที่เคย!: บดได้ถึง 0.1 มม.! ผงกุ้งแห้งเนียนนุ่มดุจแป้ง การันตีคุณภาพระดับพรีเมียม!
    บดได้หมด!: กากใยเยอะแค่ไหนก็เอาอยู่! เหมาะสุดๆ กับกุ้งแห้ง และวัตถุดิบไฟเบอร์สูง!
    ผลิตไว แรงเยอะ!: กำลังผลิต 100-200 กก./ชม.! มอเตอร์ 7 แรงม้า! บดได้รัวๆ ไม่ต้องรอนาน!
    ไม่ร้อน ไม่เสียกลิ่น!: มี ระบบหล่อเย็น ในห้องบด! คงความหอมสดใหม่ของกุ้งแห้งไว้เต็มๆ!
    ปลอดภัยหายห่วง!: ระบบตัดไฟอัตโนมัติเมื่อเปิดประตูห้องบด! ใช้งานง่าย สบายใจ!
    สเตนเลส 304: สะอาด ปลอดภัย ถูกสุขอนามัย สำหรับอาหารโดยเฉพาะ!
    ใครควรมี?
    ผู้ผลิตน้ำพริกกุ้ง/ผงปรุงรส
    ธุรกิจอาหารที่ต้องการคุณภาพสูงสุด
    ผู้ประกอบการที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

    BONNY PIN MILL รุ่น 30B คือการลงทุนที่คุ้มค่า เพื่อรสชาติที่เหนือกว่าและผลกำไรที่เติบโต!

    สนใจสั่งซื้อ/สอบถาม? ทักเลย!
    แอดไลน์: @yonghahheng (มี@ข้างหน้า) หรือคลิก: https://lin.ee/HV4lSKp
    โทร: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    มาเลือกชมสินค้าจริงได้ที่ ย่งฮะเฮง!
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7
    เปิดทำการ: จันทร์-ศุกร์ 8.00-17.00 น. | เสาร์ 8.00-16.00 น.

    #PinMill #เครื่องบดแห้ง #เครื่องบดละเอียด #เครื่องบดกุ้งแห้ง #ผงกุ้งแห้ง #BONNY #Yoryonghahheng #เครื่องจักรอาหาร #SME #คุณภาพคับแก้ว #ธุรกิจอาหาร #อาหารแปรรูป #โรงงานขนาดเล็ก #ผลิตเอง #เครื่องใช้ในครัวเชิงพาณิชย์ #อาหารไทย #วัตถุดิบคุณภาพ #นวัตกรรมการผลิต #เครื่องจักรแปรรูป #FoodProcessing #IndustrialGrinder #เครื่องบดยา #เครื่องบดสมุนไพร #เครื่องบดข้าว #เครื่องบดน้ำตาล
    หมดปัญหากุ้งแห้งไม่ละเอียด! ✨ BONNY PIN MILL 30B บดให้เนียนได้ใจ BONNY PIN MILL รุ่น 30B – เครื่องบดแห้งขั้นสุดยอดจาก หจก.ย.ย่งฮะเฮง! 📌 ทำไมต้อง BONNY PIN MILL รุ่น 30B? 📌 ✅ ละเอียดกว่าที่เคย!: บดได้ถึง 0.1 มม.! 🤩 ผงกุ้งแห้งเนียนนุ่มดุจแป้ง การันตีคุณภาพระดับพรีเมียม! ✅ บดได้หมด!: กากใยเยอะแค่ไหนก็เอาอยู่! เหมาะสุดๆ กับกุ้งแห้ง และวัตถุดิบไฟเบอร์สูง! 💪 ✅ ผลิตไว แรงเยอะ!: กำลังผลิต 100-200 กก./ชม.! 🚀 มอเตอร์ 7 แรงม้า! บดได้รัวๆ ไม่ต้องรอนาน! ✅ ไม่ร้อน ไม่เสียกลิ่น!: มี ระบบหล่อเย็น ในห้องบด! 🌬️ คงความหอมสดใหม่ของกุ้งแห้งไว้เต็มๆ! ✅ ปลอดภัยหายห่วง!: ระบบตัดไฟอัตโนมัติเมื่อเปิดประตูห้องบด! 🛡️ ใช้งานง่าย สบายใจ! ✅ สเตนเลส 304: สะอาด ปลอดภัย ถูกสุขอนามัย 💯 สำหรับอาหารโดยเฉพาะ! 🎯 ใครควรมี? 🎯 ✔️ ผู้ผลิตน้ำพริกกุ้ง/ผงปรุงรส ✔️ ธุรกิจอาหารที่ต้องการคุณภาพสูงสุด ✔️ ผู้ประกอบการที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต BONNY PIN MILL รุ่น 30B คือการลงทุนที่คุ้มค่า เพื่อรสชาติที่เหนือกว่าและผลกำไรที่เติบโต! ✨ 📞 สนใจสั่งซื้อ/สอบถาม? ทักเลย! 📞 ✅ แอดไลน์: @yonghahheng (มี@ข้างหน้า) หรือคลิก: https://lin.ee/HV4lSKp 📞โทร: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 🌐 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com 📍 มาเลือกชมสินค้าจริงได้ที่ ย่งฮะเฮง! 📍 แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 เปิดทำการ: จันทร์-ศุกร์ 8.00-17.00 น. | เสาร์ 8.00-16.00 น. #PinMill #เครื่องบดแห้ง #เครื่องบดละเอียด #เครื่องบดกุ้งแห้ง #ผงกุ้งแห้ง #BONNY #Yoryonghahheng #เครื่องจักรอาหาร #SME #คุณภาพคับแก้ว #ธุรกิจอาหาร #อาหารแปรรูป #โรงงานขนาดเล็ก #ผลิตเอง #เครื่องใช้ในครัวเชิงพาณิชย์ #อาหารไทย #วัตถุดิบคุณภาพ #นวัตกรรมการผลิต #เครื่องจักรแปรรูป #FoodProcessing #IndustrialGrinder #เครื่องบดยา #เครื่องบดสมุนไพร #เครื่องบดข้าว #เครื่องบดน้ำตาล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบความท้าทาย ตำแหน่ง CISO นี่แหละคือด่านบอสของวงการ IT Security — เพราะต้องแบกรับทั้งภัยคุกคามไซเบอร์ที่รุนแรงขึ้นทุกวัน, การตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแล, ไปจนถึงความคาดหวังจากบอร์ดบริหารที่สูงกว่าเพดาน

    จากบทสัมภาษณ์และรายงานล่าสุดใน CSO Online พบว่า → CISO จำนวนมากรู้สึกเหมือน “ถูกตั้งความรับผิดชอบ แต่ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ” → หลายองค์กรยังจัดให้ CISO อยู่ลำดับชั้นต่ำในแผนผังผู้บริหาร เช่น รายงานต่อ CFO หรือ CTO แทนที่จะได้ที่นั่งในบอร์ด → และที่แย่กว่าคือ CISO อาจต้องรับผิดทางกฎหมายเป็นรายบุคคล หากบริษัทละเมิดนโยบายหรือถูกโจมตีไซเบอร์

    George Gerchow อดีต CISO ของหลายองค์กรบอกว่า “ผมไม่อยากกลับไปนั่งใต้ CTO อีกแล้ว ถ้าไม่ได้นั่งในโต๊ะกลุ่มผู้บริหาร ก็เหมือนทำงานโดยไม่มีพวงมาลัย” → เขาเห็นเพื่อนร่วมวงการลาออกเพียบในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

    ไม่ใช่แค่เรื่ององค์กร แต่ความคาดหวังของโลกก็เพิ่มขึ้น → ยุโรปบังคับใช้ DORA (กฎหมาย Digital Resilience) ที่เพิ่มภาระให้ CISO → สหรัฐฯ เริ่มมีกรณีที่ CISO ถูกฟ้องคดีอาญา เช่น กรณี Uber → ส่งผลให้คนในตำแหน่งนี้เสี่ยงต่อ “burnout”, “legal liability” และ “reputation damage” แบบไม่สมส่วน

    แม้จะมีเสียงบางส่วนที่มองว่าปัญหาอยู่ที่ “การบริหารเวลาและการกระจายงาน” แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธว่า “CISO ยุคนี้คือสายงานที่แบกความเสี่ยงไว้สูงกว่าผู้บริหารหลายตำแหน่ง”

    https://www.csoonline.com/article/4016334/has-ciso-become-the-least-desirable-role-in-business.html
    ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบความท้าทาย ตำแหน่ง CISO นี่แหละคือด่านบอสของวงการ IT Security — เพราะต้องแบกรับทั้งภัยคุกคามไซเบอร์ที่รุนแรงขึ้นทุกวัน, การตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแล, ไปจนถึงความคาดหวังจากบอร์ดบริหารที่สูงกว่าเพดาน จากบทสัมภาษณ์และรายงานล่าสุดใน CSO Online พบว่า → CISO จำนวนมากรู้สึกเหมือน “ถูกตั้งความรับผิดชอบ แต่ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ” → หลายองค์กรยังจัดให้ CISO อยู่ลำดับชั้นต่ำในแผนผังผู้บริหาร เช่น รายงานต่อ CFO หรือ CTO แทนที่จะได้ที่นั่งในบอร์ด → และที่แย่กว่าคือ CISO อาจต้องรับผิดทางกฎหมายเป็นรายบุคคล หากบริษัทละเมิดนโยบายหรือถูกโจมตีไซเบอร์ George Gerchow อดีต CISO ของหลายองค์กรบอกว่า “ผมไม่อยากกลับไปนั่งใต้ CTO อีกแล้ว ถ้าไม่ได้นั่งในโต๊ะกลุ่มผู้บริหาร ก็เหมือนทำงานโดยไม่มีพวงมาลัย” → เขาเห็นเพื่อนร่วมวงการลาออกเพียบในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่เรื่ององค์กร แต่ความคาดหวังของโลกก็เพิ่มขึ้น → ยุโรปบังคับใช้ DORA (กฎหมาย Digital Resilience) ที่เพิ่มภาระให้ CISO → สหรัฐฯ เริ่มมีกรณีที่ CISO ถูกฟ้องคดีอาญา เช่น กรณี Uber → ส่งผลให้คนในตำแหน่งนี้เสี่ยงต่อ “burnout”, “legal liability” และ “reputation damage” แบบไม่สมส่วน แม้จะมีเสียงบางส่วนที่มองว่าปัญหาอยู่ที่ “การบริหารเวลาและการกระจายงาน” แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธว่า “CISO ยุคนี้คือสายงานที่แบกความเสี่ยงไว้สูงกว่าผู้บริหารหลายตำแหน่ง” https://www.csoonline.com/article/4016334/has-ciso-become-the-least-desirable-role-in-business.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Has CISO become the least desirable role in business?
    Problematic reporting structures, outsized responsibility for enterprise risk, and personal accountability without authority are just a few reasons CISO roles are experiencing high churn.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • อยู่ดี ๆ บน GitHub ก็มีรายงานจากกลุ่มชื่อ HonestAGI โพสต์งานวิเคราะห์ที่ชี้ว่า → Huawei ใช้ โมเดล Qwen 2.5–14B ของ Alibaba เป็นพื้นฐาน → แล้ว “ปรับแต่ง–ฝึกต่อ (incremental training)” กลายเป็น Pangu Pro MOE ที่เปิดตัวเมื่อเร็ว ๆ นี้ → รายงานนี้บอกว่าโมเดลสองตัวมี “ความคล้ายอย่างผิดปกติ” จนไม่น่าเกิดจากแค่บังเอิญ

    ประเด็นร้อนคือ:
    - ถ้าจริง = Huawei อาจ ละเมิดลิขสิทธิ์โมเดล + ใส่ข้อมูลเท็จในรายงานทางเทคนิค
    - ถ้าไม่จริง = HonestAGI เองก็ไม่มีโปร่งใส และไม่รู้ว่าเบื้องหลังเป็นใคร

    Huawei ไม่รอช้า ออกแถลงการณ์ผ่านห้องวิจัย AI “Noah’s Ark Lab” → ยืนยันว่า Pangu Pro Moe ฝึกจากศูนย์ (from scratch) → ชี้ว่าโมเดลนี้ใช้ Huawei Ascend chip ทุกขั้นตอน และ “ออกแบบโครงสร้างเองทั้งหมด” → ยอมรับว่าอ้างอิง open-source แต่ ปฏิบัติตามเงื่อนไขลิขสิทธิ์อย่างเคร่งครัด

    Alibaba ปฏิเสธให้ความเห็น และยังไม่มีตัวตนของ HonestAGI เปิดเผยอย่างชัดเจน

    หลายฝ่ายมองว่าเรื่องนี้สะท้อน “การแข่งขันและความกดดันสูง” ในวงการ LLM จีน ที่ตอนนี้ Qwen–DeepSeek–Pangu–Baichuan ต่างเปิดโมเดลแข่งกันอย่างดุเดือด

    กลุ่ม HonestAGI เผยแพร่งานวิเคราะห์โมเดล Huawei ว่า “มีความสัมพันธ์สูงผิดปกติกับ Qwen 2.5”  
    • คาดว่าฝึกต่อจากโมเดล Alibaba โดยไม่ฝึกเองตั้งแต่ต้น  
    • ชี้ว่าอาจมีการใส่ข้อมูลเท็จ–ละเมิด open source license

    Huawei ออกแถลงการณ์โต้ทันทีว่า “ไม่ได้ลอก”  
    • โมเดล Pangu Pro MOE ใช้ชิป Ascend ทั้งหมด  
    • พัฒนาเองทุกด้าน ทั้งสถาปัตยกรรมและข้อมูล  
    • ยอมรับใช้อ้างอิง open source แต่ไม่ระบุว่าใช้อะไรบ้าง

    Huawei เปิด source โมเดลนี้บน GitCode ตั้งแต่ปลาย มิ.ย. 2025 เพื่อให้เข้าถึงง่ายขึ้น  
    • พยายามผลักดันการใช้งานในสายรัฐบาล, การเงิน, อุตสาหกรรม

    โมเดล Qwen ของ Alibaba ถูกออกแบบมาเน้นใช้งานฝั่ง consumer เช่น chatbot เหมือน GPT

    จนถึงขณะนี้ Alibaba ยังไม่มีแถลงอย่างเป็นทางการ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/07/huawei039s-ai-lab-denies-that-one-of-its-pangu-models-copied-alibaba039s-qwen
    อยู่ดี ๆ บน GitHub ก็มีรายงานจากกลุ่มชื่อ HonestAGI โพสต์งานวิเคราะห์ที่ชี้ว่า → Huawei ใช้ โมเดล Qwen 2.5–14B ของ Alibaba เป็นพื้นฐาน → แล้ว “ปรับแต่ง–ฝึกต่อ (incremental training)” กลายเป็น Pangu Pro MOE ที่เปิดตัวเมื่อเร็ว ๆ นี้ → รายงานนี้บอกว่าโมเดลสองตัวมี “ความคล้ายอย่างผิดปกติ” จนไม่น่าเกิดจากแค่บังเอิญ ประเด็นร้อนคือ: - ถ้าจริง = Huawei อาจ ละเมิดลิขสิทธิ์โมเดล + ใส่ข้อมูลเท็จในรายงานทางเทคนิค - ถ้าไม่จริง = HonestAGI เองก็ไม่มีโปร่งใส และไม่รู้ว่าเบื้องหลังเป็นใคร Huawei ไม่รอช้า ออกแถลงการณ์ผ่านห้องวิจัย AI “Noah’s Ark Lab” → ยืนยันว่า Pangu Pro Moe ฝึกจากศูนย์ (from scratch) → ชี้ว่าโมเดลนี้ใช้ Huawei Ascend chip ทุกขั้นตอน และ “ออกแบบโครงสร้างเองทั้งหมด” → ยอมรับว่าอ้างอิง open-source แต่ ปฏิบัติตามเงื่อนไขลิขสิทธิ์อย่างเคร่งครัด Alibaba ปฏิเสธให้ความเห็น และยังไม่มีตัวตนของ HonestAGI เปิดเผยอย่างชัดเจน หลายฝ่ายมองว่าเรื่องนี้สะท้อน “การแข่งขันและความกดดันสูง” ในวงการ LLM จีน ที่ตอนนี้ Qwen–DeepSeek–Pangu–Baichuan ต่างเปิดโมเดลแข่งกันอย่างดุเดือด ✅ กลุ่ม HonestAGI เผยแพร่งานวิเคราะห์โมเดล Huawei ว่า “มีความสัมพันธ์สูงผิดปกติกับ Qwen 2.5”   • คาดว่าฝึกต่อจากโมเดล Alibaba โดยไม่ฝึกเองตั้งแต่ต้น   • ชี้ว่าอาจมีการใส่ข้อมูลเท็จ–ละเมิด open source license ✅ Huawei ออกแถลงการณ์โต้ทันทีว่า “ไม่ได้ลอก”   • โมเดล Pangu Pro MOE ใช้ชิป Ascend ทั้งหมด   • พัฒนาเองทุกด้าน ทั้งสถาปัตยกรรมและข้อมูล   • ยอมรับใช้อ้างอิง open source แต่ไม่ระบุว่าใช้อะไรบ้าง ✅ Huawei เปิด source โมเดลนี้บน GitCode ตั้งแต่ปลาย มิ.ย. 2025 เพื่อให้เข้าถึงง่ายขึ้น   • พยายามผลักดันการใช้งานในสายรัฐบาล, การเงิน, อุตสาหกรรม ✅ โมเดล Qwen ของ Alibaba ถูกออกแบบมาเน้นใช้งานฝั่ง consumer เช่น chatbot เหมือน GPT ✅ จนถึงขณะนี้ Alibaba ยังไม่มีแถลงอย่างเป็นทางการ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/07/huawei039s-ai-lab-denies-that-one-of-its-pangu-models-copied-alibaba039s-qwen
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Huawei's AI lab denies that one of its Pangu models copied Alibaba's Qwen
    Huawei's artificial intelligence research division has rejected claims that a version of its Pangu Pro large language model has copied elements from an Alibaba model, saying that it was independently developed and trained.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์เปิดโอกาสให้เนทันยาฮูตอบคำถามเกี่ยวกับแนวทางแก้ปัญหาสองรัฐในกาซา:

    ทรัมป์: ผมไม่รู้นะ คุณลองถามบีบีดูสิ

    เนทันยาฮู: ชาวปาเลสไตน์จะได้สิทธิในการปกครองตนเอง แต่พวกเขาจะไม่มีอำนาจคุกคามเรา นั่นหมายความว่าอำนาจบางอย่าง เช่น ด้านความมั่นคงโดยรวม จะยังคงอยู่ในมือของเรา
    ทรัมป์เปิดโอกาสให้เนทันยาฮูตอบคำถามเกี่ยวกับแนวทางแก้ปัญหาสองรัฐในกาซา: ทรัมป์: ผมไม่รู้นะ คุณลองถามบีบีดูสิ เนทันยาฮู: ชาวปาเลสไตน์จะได้สิทธิในการปกครองตนเอง แต่พวกเขาจะไม่มีอำนาจคุกคามเรา นั่นหมายความว่าอำนาจบางอย่าง เช่น ด้านความมั่นคงโดยรวม จะยังคงอยู่ในมือของเรา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • รัฐบาลออสเตรเลียตั้งเป้าจะ “ถอดบัญชีโซเชียลมีเดียของเยาวชนอายุ 10–15 ปีมากกว่า 1 ล้านบัญชี” → โดยตั้งกฎหมายใหม่ให้ “ผู้ใช้ต้องมีอายุอย่างน้อย 16 ปี” จึงจะใช้งานโซเชียลมีเดียได้ → ถ้าฝ่าฝืน บริษัทแพลตฟอร์มจะถูกปรับถึง A$30 ล้าน (≒ 820 ล้านบาท!)

    แต่ปัญหาคือ…กฎหมายผ่านแล้ว แต่ขั้นตอนปฏิบัติยังไม่ชัดเจน → จะนิยามว่า “โซเชียลมีเดีย” ว่าอะไรบ้าง? เช่น YouTube จะนับรวมไหม? → จะยืนยันอายุผู้ใช้แบบไหน? ใช้ AI, เอกสาร หรือการตรวจสอบโดยมนุษย์? → หากใช้ VPN เปลี่ยนที่อยู่ จะรับมือยังไง?

    หลายแพลตฟอร์มอย่าง YouTube ออกมาคัดค้าน → เพราะมองว่า “ตัวเองไม่ใช่โซเชียล แต่เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอเพื่อการเรียนรู้” → กว่า 80% ของครูออสเตรเลียใช้ YouTube ในห้องเรียน → แต่หน่วยงานความปลอดภัยยืนยันว่าต้องรวม YouTube เพราะเด็กใช้มากที่สุดและมีฟีเจอร์ like, share, comment

    ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงหารือกับบริษัทเทคโนโลยี → ต้องตกลงให้ได้ว่าบริษัทต้องทำอะไรเพื่อแสดงว่า “กำลังพยายามป้องกันไม่ให้เด็กต่ำกว่า 16 มีบัญชี” → รวมถึงต้องมีช่องให้ครู–ผู้ปกครองแจ้งบัญชีต้องสงสัย และมีวิธีป้องกันการหลบหลีกผ่าน VPN ด้วย

    ออสเตรเลียเตรียมใช้กฎหมายใหม่ที่ “ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ใช้โซเชียลมีเดีย” เริ่ม ธ.ค. 2025  
    • มีบทลงโทษแพลตฟอร์มละเมิดสูงถึง A$30 ล้าน  
    • คาดว่าจะกระทบบัญชีเยาวชนมากกว่า 1 ล้านราย

    แพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบอาจรวมถึง YouTube, Instagram, TikTok, X, Facebook ฯลฯ  
    • YouTube เคยคาดว่าจะถูกยกเว้น แต่ถูกบอกว่าต้องรวม เพราะเด็กใช้มากและมีฟีเจอร์ “เสพติด”

    ยังไม่มีแนวทางชัดเจนว่าจะ “ยืนยันอายุผู้ใช้” อย่างไร  
    • ทดลองระบบยืนยันอายุแล้ว แต่ยังไม่ประกาศผลอย่างเป็นทางการ  
    • อยู่ระหว่างหารือกับบริษัทเทคโนโลยีเรื่องแนวทางปฏิบัติ

    ประเทศอื่นๆ เริ่มเดินตามแนวคิดนี้ เช่น นิวซีแลนด์ และฝรั่งเศส  
    • ฝรั่งเศสเตรียมห้ามเด็กต่ำกว่า 15 ใช้โซเชียลเช่นกัน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/07/australia-wants-to-bar-children-from-social-media-can-it-succeed
    รัฐบาลออสเตรเลียตั้งเป้าจะ “ถอดบัญชีโซเชียลมีเดียของเยาวชนอายุ 10–15 ปีมากกว่า 1 ล้านบัญชี” → โดยตั้งกฎหมายใหม่ให้ “ผู้ใช้ต้องมีอายุอย่างน้อย 16 ปี” จึงจะใช้งานโซเชียลมีเดียได้ → ถ้าฝ่าฝืน บริษัทแพลตฟอร์มจะถูกปรับถึง A$30 ล้าน (≒ 820 ล้านบาท!) แต่ปัญหาคือ…กฎหมายผ่านแล้ว แต่ขั้นตอนปฏิบัติยังไม่ชัดเจน → จะนิยามว่า “โซเชียลมีเดีย” ว่าอะไรบ้าง? เช่น YouTube จะนับรวมไหม? → จะยืนยันอายุผู้ใช้แบบไหน? ใช้ AI, เอกสาร หรือการตรวจสอบโดยมนุษย์? → หากใช้ VPN เปลี่ยนที่อยู่ จะรับมือยังไง? หลายแพลตฟอร์มอย่าง YouTube ออกมาคัดค้าน → เพราะมองว่า “ตัวเองไม่ใช่โซเชียล แต่เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอเพื่อการเรียนรู้” → กว่า 80% ของครูออสเตรเลียใช้ YouTube ในห้องเรียน → แต่หน่วยงานความปลอดภัยยืนยันว่าต้องรวม YouTube เพราะเด็กใช้มากที่สุดและมีฟีเจอร์ like, share, comment ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงหารือกับบริษัทเทคโนโลยี → ต้องตกลงให้ได้ว่าบริษัทต้องทำอะไรเพื่อแสดงว่า “กำลังพยายามป้องกันไม่ให้เด็กต่ำกว่า 16 มีบัญชี” → รวมถึงต้องมีช่องให้ครู–ผู้ปกครองแจ้งบัญชีต้องสงสัย และมีวิธีป้องกันการหลบหลีกผ่าน VPN ด้วย ✅ ออสเตรเลียเตรียมใช้กฎหมายใหม่ที่ “ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ใช้โซเชียลมีเดีย” เริ่ม ธ.ค. 2025   • มีบทลงโทษแพลตฟอร์มละเมิดสูงถึง A$30 ล้าน   • คาดว่าจะกระทบบัญชีเยาวชนมากกว่า 1 ล้านราย ✅ แพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบอาจรวมถึง YouTube, Instagram, TikTok, X, Facebook ฯลฯ   • YouTube เคยคาดว่าจะถูกยกเว้น แต่ถูกบอกว่าต้องรวม เพราะเด็กใช้มากและมีฟีเจอร์ “เสพติด” ✅ ยังไม่มีแนวทางชัดเจนว่าจะ “ยืนยันอายุผู้ใช้” อย่างไร   • ทดลองระบบยืนยันอายุแล้ว แต่ยังไม่ประกาศผลอย่างเป็นทางการ   • อยู่ระหว่างหารือกับบริษัทเทคโนโลยีเรื่องแนวทางปฏิบัติ ✅ ประเทศอื่นๆ เริ่มเดินตามแนวคิดนี้ เช่น นิวซีแลนด์ และฝรั่งเศส   • ฝรั่งเศสเตรียมห้ามเด็กต่ำกว่า 15 ใช้โซเชียลเช่นกัน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/07/australia-wants-to-bar-children-from-social-media-can-it-succeed
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Australia wants to bar children from social media. Can it succeed?
    A law that restricts social media use to people 16 and over goes into effect in December, but much about it remains unclear or undecided.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • หากพูดถึงบริษัทแม่ที่อยู่เบื้องหลัง NTT DC REIT ก็คือ NTT Ltd. ซึ่งเป็นเครือในกลุ่มโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่อย่าง Nippon Telegraph and Telephone Corp. (NTT) จากญี่ปุ่น → ตอนนี้ NTT DC REIT เป็นเจ้าของดาต้าเซ็นเตอร์ 6 แห่งใน ออสเตรีย, สิงคโปร์ และสหรัฐฯ รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 1.57 พันล้านดอลลาร์

    บริษัทจะเริ่ม IPO วันที่ 14 กรกฎาคม 2025 → เสนอขายหน่วยทรัสต์จำนวน เกือบ 600 ล้านหน่วย ในราคาประมาณ 1 ดอลลาร์/หน่วย (หรือ 1.276 ดอลลาร์สิงคโปร์) → มี GIC (กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของสิงคโปร์) ถือหุ้นเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่รองจาก NTT Ltd. โดย GIC ถือ 9.8% และ NTT Ltd. ถือ 25%

    แม้การลงทุนครั้งนี้จะเน้นสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับคลาวด์, AI และความต้องการ data ที่พุ่งสูงขึ้นในภูมิภาค → แต่ก็ยังต้องจับตาว่าการเปิด IPO ครั้งนี้จะสำเร็จแค่ไหน ในยุคที่ตลาดทุนผันผวน และการเติบโตของ edge computing กำลังเปลี่ยนบทบาทของดาต้าเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิม

    NTT DC REIT เตรียมระดมทุน ~773 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่าน IPO บนตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์  
    • วันเริ่มเสนอขาย: 14 กรกฎาคม 2025  
    • ราคาต่อหน่วย: ~US$1.00 หรือ S$1.276

    ถือครองดาต้าเซ็นเตอร์รวม 6 แห่งใน 3 ประเทศ (ออสเตรีย, สิงคโปร์, สหรัฐฯ)  
    • มูลค่าทรัพย์สินรวม: 1.57 พันล้านดอลลาร์

    NTT Ltd. เป็นผู้สนับสนุนหลักของกองทรัสต์ (ถือ 25%)  
    • เป็นบริษัทลูกของกลุ่ม NTT จากญี่ปุ่น

    GIC (Singapore Sovereign Fund) ถือหุ้น 9.8% เป็นผู้ลงทุนหลักรองจาก NTT  
    • บ่งชี้ถึงความมั่นใจจากนักลงทุนเชิงสถาบัน

    วัตถุประสงค์: ใช้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานข้อมูล รองรับความต้องการ AI/Cloud ที่ขยายตัว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/07/singapore-data-centre-ntt-dc-reit-to-raise-around-773-million-from-ipo
    หากพูดถึงบริษัทแม่ที่อยู่เบื้องหลัง NTT DC REIT ก็คือ NTT Ltd. ซึ่งเป็นเครือในกลุ่มโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่อย่าง Nippon Telegraph and Telephone Corp. (NTT) จากญี่ปุ่น → ตอนนี้ NTT DC REIT เป็นเจ้าของดาต้าเซ็นเตอร์ 6 แห่งใน ออสเตรีย, สิงคโปร์ และสหรัฐฯ รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 1.57 พันล้านดอลลาร์ บริษัทจะเริ่ม IPO วันที่ 14 กรกฎาคม 2025 → เสนอขายหน่วยทรัสต์จำนวน เกือบ 600 ล้านหน่วย ในราคาประมาณ 1 ดอลลาร์/หน่วย (หรือ 1.276 ดอลลาร์สิงคโปร์) → มี GIC (กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของสิงคโปร์) ถือหุ้นเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่รองจาก NTT Ltd. โดย GIC ถือ 9.8% และ NTT Ltd. ถือ 25% แม้การลงทุนครั้งนี้จะเน้นสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับคลาวด์, AI และความต้องการ data ที่พุ่งสูงขึ้นในภูมิภาค → แต่ก็ยังต้องจับตาว่าการเปิด IPO ครั้งนี้จะสำเร็จแค่ไหน ในยุคที่ตลาดทุนผันผวน และการเติบโตของ edge computing กำลังเปลี่ยนบทบาทของดาต้าเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิม ✅ NTT DC REIT เตรียมระดมทุน ~773 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่าน IPO บนตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์   • วันเริ่มเสนอขาย: 14 กรกฎาคม 2025   • ราคาต่อหน่วย: ~US$1.00 หรือ S$1.276 ✅ ถือครองดาต้าเซ็นเตอร์รวม 6 แห่งใน 3 ประเทศ (ออสเตรีย, สิงคโปร์, สหรัฐฯ)   • มูลค่าทรัพย์สินรวม: 1.57 พันล้านดอลลาร์ ✅ NTT Ltd. เป็นผู้สนับสนุนหลักของกองทรัสต์ (ถือ 25%)   • เป็นบริษัทลูกของกลุ่ม NTT จากญี่ปุ่น ✅ GIC (Singapore Sovereign Fund) ถือหุ้น 9.8% เป็นผู้ลงทุนหลักรองจาก NTT   • บ่งชี้ถึงความมั่นใจจากนักลงทุนเชิงสถาบัน ✅ วัตถุประสงค์: ใช้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานข้อมูล รองรับความต้องการ AI/Cloud ที่ขยายตัว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/07/singapore-data-centre-ntt-dc-reit-to-raise-around-773-million-from-ipo
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Singapore data centre NTT DC REIT to raise around $773 million from IPO
    SINGAPORE (Reuters) -Singapore data centre real estate investment trust NTT DC REIT intends to raise gross proceeds of around $773 million from its initial public offering on the domestic bourse, it said on Monday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในแมตช์รอบ 4 ของ Wimbledon 2025 ที่เซ็นเตอร์คอร์ตระหว่าง Anastasia Pavlyuchenkova (รัสเซีย) และ Sonay Kartal (อังกฤษ) เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า “สั่นสะเทือนความเชื่อมั่นระบบเทคโนโลยี” → เพราะลูกหนึ่งของ Kartal ออกนอกเส้นชัดเจน แต่กลับไม่มีการเรียก out → ทั้งผู้ชม–นักกีฬา–แม้แต่กรรมการกลางก็สับสนว่าเกิดอะไรขึ้น

    สุดท้ายมีการชี้แจงว่า…ระบบ Hawk-Eye ถูก “กดปิดชั่วคราว” จากฝีมือมนุษย์โดยไม่ได้ตั้งใจ → ทีมงาน Wimbledon ยอมรับว่า ระบบยังทำงานได้สมบูรณ์แบบ 100% แต่พลาดจากมนุษย์ล้วนๆ → และได้ประกาศแก้ไขโดย “ปิดความสามารถในการปิดระบบด้วยมือ” แล้ว เพื่อไม่ให้เกิดซ้ำอีก

    ด้าน CEO ของ Wimbledon ยืนยันว่า “นี่ไม่ใช่ AI” แต่เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีมนุษย์คอยกำกับ → กลายเป็นบทเรียนว่า แม้เทคโนโลยีจะล้ำแค่ไหน…แต่ human error ก็ยังเป็นจุดอ่อนเสมอ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/08/wimbledon-blames-human-error-for-a-mistake-by-the-tech-that-replaced-officials-here039s-what-happened
    ในแมตช์รอบ 4 ของ Wimbledon 2025 ที่เซ็นเตอร์คอร์ตระหว่าง Anastasia Pavlyuchenkova (รัสเซีย) และ Sonay Kartal (อังกฤษ) เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า “สั่นสะเทือนความเชื่อมั่นระบบเทคโนโลยี” → เพราะลูกหนึ่งของ Kartal ออกนอกเส้นชัดเจน แต่กลับไม่มีการเรียก out → ทั้งผู้ชม–นักกีฬา–แม้แต่กรรมการกลางก็สับสนว่าเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายมีการชี้แจงว่า…ระบบ Hawk-Eye ถูก “กดปิดชั่วคราว” จากฝีมือมนุษย์โดยไม่ได้ตั้งใจ → ทีมงาน Wimbledon ยอมรับว่า ระบบยังทำงานได้สมบูรณ์แบบ 100% แต่พลาดจากมนุษย์ล้วนๆ → และได้ประกาศแก้ไขโดย “ปิดความสามารถในการปิดระบบด้วยมือ” แล้ว เพื่อไม่ให้เกิดซ้ำอีก ด้าน CEO ของ Wimbledon ยืนยันว่า “นี่ไม่ใช่ AI” แต่เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีมนุษย์คอยกำกับ → กลายเป็นบทเรียนว่า แม้เทคโนโลยีจะล้ำแค่ไหน…แต่ human error ก็ยังเป็นจุดอ่อนเสมอ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/08/wimbledon-blames-human-error-for-a-mistake-by-the-tech-that-replaced-officials-here039s-what-happened
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Wimbledon blames human error for a mistake by the tech that replaced officials. Here's what happened
    The All England Club, somewhat ironically, is blaming "human error" for a glaring mistake by the electronic system that replaced human line judges this year at Wimbledon.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/LxoN9IGT0-s?si=FO_1YgSy_91wPZnR
    https://youtu.be/LxoN9IGT0-s?si=FO_1YgSy_91wPZnR
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia เปิดตัว RTX 5050 แบบเงียบ ๆ และไม่มีใครได้การ์ดมาทดสอบก่อน วันเปิดขายก็ไม่มีรีวิวให้ดู → ส่อแววแปลก ๆ ตั้งแต่ต้น → จนทีม TechSpot ต้อง “ซื้อเอง” มาราว 500 ดอลลาร์ออสเตรเลียเพื่อรีวิว

    ผลคือ…มันคือการ์ดระดับเริ่มต้นที่ใช้แรม 8GB GDDR6 บัส 128 บิต → สถาปัตยกรรม Blackwell เหมือน RTX 5090 แต่ถูกตัดสเปกลงหนัก → ความแรงโดยเฉลี่ยในเกม 18 เกมอยู่ที่ 66 fps ที่ 1080p → ต่ำกว่า Radeon RX 7600 เสียอีก

    ที่น่าผิดหวังคือ ราคาประมาณ $250 นี้ เทียบแล้วแพงกว่า RX 9060 XT (8GB) ที่แรงกว่า 44% → และถ้าไปเล่นรุ่น 9060 XT แบบ 16GB ที่ราคาประมาณ $370 ก็แรงกว่า 80% เลย!

    GeForce RTX 5050 เปิดขาย 1 ก.ค. 2025 ด้วยราคา $250  
    • ไม่มีรีวิวล่วงหน้า  
    • ไม่มีเครื่องเทสต์ให้สื่อ

    สเปกหลักของ RTX 5050:  
    • 8GB GDDR6 @ 20Gbps  
    • บัส 128 บิต, 320 GB/s  
    • ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell (GB207)  
    • 130W TDP, PCIe 5.0 x8  
    • รองรับ DLSS 4

    ค่าเฉลี่ย 1080p เล่นเกม 18 เกม = 66 fps → ต่ำกว่า RX 7600 (~3%)  
    • RX 9060 XT 8GB แรงกว่า 44% ในราคาแพงกว่าเพียง ~20%  
    • RX 9060 XT 16GB แรงกว่า 80% ที่ $370

    ข้อดี:  
    • ประหยัดพลังงาน  
    • รองรับ DLSS4  
    • เย็นพอใช้ (73°C ที่โหลดเต็ม)

    #ลุงฟันธง
    1️⃣ ใครคิดจะ upgrade จาก RTX 3050 อย่าเลยครับ รอซื้อเครื่องใหม่เลย
    2️⃣ ใครคิดจะซื้อเครื่องใหม่เล็งไปที่ APU ของ AMD เช่น 8700G น่าจะโอเคกว่า
    3️⃣ ใครเป็นสาวก CPU Intel ซื้อเลยครับ

    https://www.techspot.com/review/3011-nvidia-geforce-rtx-5050/
    Nvidia เปิดตัว RTX 5050 แบบเงียบ ๆ และไม่มีใครได้การ์ดมาทดสอบก่อน วันเปิดขายก็ไม่มีรีวิวให้ดู → ส่อแววแปลก ๆ ตั้งแต่ต้น → จนทีม TechSpot ต้อง “ซื้อเอง” มาราว 500 ดอลลาร์ออสเตรเลียเพื่อรีวิว ผลคือ…มันคือการ์ดระดับเริ่มต้นที่ใช้แรม 8GB GDDR6 บัส 128 บิต → สถาปัตยกรรม Blackwell เหมือน RTX 5090 แต่ถูกตัดสเปกลงหนัก → ความแรงโดยเฉลี่ยในเกม 18 เกมอยู่ที่ 66 fps ที่ 1080p → ต่ำกว่า Radeon RX 7600 เสียอีก ที่น่าผิดหวังคือ ราคาประมาณ $250 นี้ เทียบแล้วแพงกว่า RX 9060 XT (8GB) ที่แรงกว่า 44% → และถ้าไปเล่นรุ่น 9060 XT แบบ 16GB ที่ราคาประมาณ $370 ก็แรงกว่า 80% เลย! ✅ GeForce RTX 5050 เปิดขาย 1 ก.ค. 2025 ด้วยราคา $250   • ไม่มีรีวิวล่วงหน้า   • ไม่มีเครื่องเทสต์ให้สื่อ ✅ สเปกหลักของ RTX 5050:   • 8GB GDDR6 @ 20Gbps   • บัส 128 บิต, 320 GB/s   • ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell (GB207)   • 130W TDP, PCIe 5.0 x8   • รองรับ DLSS 4 ✅ ค่าเฉลี่ย 1080p เล่นเกม 18 เกม = 66 fps → ต่ำกว่า RX 7600 (~3%)   • RX 9060 XT 8GB แรงกว่า 44% ในราคาแพงกว่าเพียง ~20%   • RX 9060 XT 16GB แรงกว่า 80% ที่ $370 ✅ ข้อดี:   • ประหยัดพลังงาน   • รองรับ DLSS4   • เย็นพอใช้ (73°C ที่โหลดเต็ม) #ลุงฟันธง 1️⃣ ใครคิดจะ upgrade จาก RTX 3050 อย่าเลยครับ รอซื้อเครื่องใหม่เลย 2️⃣ ใครคิดจะซื้อเครื่องใหม่เล็งไปที่ APU ของ AMD เช่น 8700G น่าจะโอเคกว่า 3️⃣ ใครเป็นสาวก CPU Intel ซื้อเลยครับ https://www.techspot.com/review/3011-nvidia-geforce-rtx-5050/
    WWW.TECHSPOT.COM
    Nvidia GeForce RTX 5050 Review
    Nvidia's RTX 5050 launched with no reviews, no benchmarks, and barely any availability. It's their latest GPU release–and once again, you're expected to buy blind. But we've...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองนึกภาพว่าคุณต้องเข้าออฟฟิศที่ทาสีเทาๆ มีไฟเพดานที่ทำให้ปวดตา โต๊ะจัดเป็นแถวแบบโรงเรียนประถม และไม่มีอะไรน่าสนใจเลยทุกวัน... → นั่นแหละคือสิ่งที่พนักงานในอังกฤษจำนวนมากรู้สึกกับสถานที่ทำงานของพวกเขา → และผลสำรวจจาก Kinly พบว่า 34% ถึงขั้นคิดจะลาออกเพราะดีไซน์ออฟฟิศน่าเบื่อ! → โดยเฉพาะคนช่วงอายุ 25–34 ปี บางคน “ลาออกไปแล้วจริง ๆ”

    ต้นเหตุไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงามนะครับ → 21% บอกว่าที่ทำงานแบบนี้กระทบ “สุขภาพจิต” โดยตรง → สร้างความรู้สึกแย่ หมดไฟ และไม่อยากมาทำงาน

    ข่าวดีก็คือ บริษัทจำนวนมากในอังกฤษเริ่ม หันมาใช้เทคโนโลยี AV เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศออฟฟิศ → มีทั้งจอภาพ เสียง ระบบเซ็นเซอร์ และสื่อมัลติมีเดีย → เพื่อช่วยให้พื้นที่ทำงานมีชีวิตชีวา สดชื่นขึ้น และเสริมจินตนาการ

    ที่น่าสนใจคือ 65% ของผู้เชี่ยวชาญ AV บอกว่าออฟฟิศควรมีความสวยงาม “พอ ๆ กับฟังก์ชัน” → และตอนนี้ มากกว่า 2 ใน 3 ของทีม AV เริ่มทำงานร่วมกับฝ่าย HR โดยตรงเพื่อดูแลสุขภาวะพนักงาน

    34% ของพนักงานชาวอังกฤษคิดจะลาออกเพราะออฟฟิศน่าเบื่อ  
    • โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 25–34 ปี  
    • เกือบครึ่งเคย “ลาออกจริง” เพราะเหตุผลนี้

    21% บอกว่าสภาพแวดล้อมออฟฟิศส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต  
    • ความน่าเบื่อ ความอึดอัด แสงไม่เหมาะสม สีทึม ทำให้หมดไฟ

    77% ของผู้เชี่ยวชาญ AV เชื่อว่าออฟฟิศที่น่ามองส่งผลต่อผลิตภาพโดยตรง

    บริษัทมากกว่าครึ่งในอังกฤษ เริ่มใช้เทคโนโลยีภาพและเสียงมาปรับสภาพแวดล้อม  
    • เช่น ป้ายดิจิทัล จอแสดงผล เสียงประกอบ ambient lighting  
    • ใช้เพื่อรองรับพนักงาน neurodiverse และเชื่อมโยงพนักงาน remote–onsite

    Kinly CEO ย้ำว่า “ออฟฟิศไม่ใช่แค่สวย แต่เป็นกลยุทธ์” ที่ต้องวางแผนแบบมีเป้าหมาย

    https://www.techspot.com/news/108577-workers-quitting-over-their-depressing-offices-but-av.html
    ลองนึกภาพว่าคุณต้องเข้าออฟฟิศที่ทาสีเทาๆ มีไฟเพดานที่ทำให้ปวดตา โต๊ะจัดเป็นแถวแบบโรงเรียนประถม และไม่มีอะไรน่าสนใจเลยทุกวัน... → นั่นแหละคือสิ่งที่พนักงานในอังกฤษจำนวนมากรู้สึกกับสถานที่ทำงานของพวกเขา → และผลสำรวจจาก Kinly พบว่า 34% ถึงขั้นคิดจะลาออกเพราะดีไซน์ออฟฟิศน่าเบื่อ! → โดยเฉพาะคนช่วงอายุ 25–34 ปี บางคน “ลาออกไปแล้วจริง ๆ” ต้นเหตุไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงามนะครับ → 21% บอกว่าที่ทำงานแบบนี้กระทบ “สุขภาพจิต” โดยตรง → สร้างความรู้สึกแย่ หมดไฟ และไม่อยากมาทำงาน ข่าวดีก็คือ บริษัทจำนวนมากในอังกฤษเริ่ม หันมาใช้เทคโนโลยี AV เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศออฟฟิศ → มีทั้งจอภาพ เสียง ระบบเซ็นเซอร์ และสื่อมัลติมีเดีย → เพื่อช่วยให้พื้นที่ทำงานมีชีวิตชีวา สดชื่นขึ้น และเสริมจินตนาการ ที่น่าสนใจคือ 65% ของผู้เชี่ยวชาญ AV บอกว่าออฟฟิศควรมีความสวยงาม “พอ ๆ กับฟังก์ชัน” → และตอนนี้ มากกว่า 2 ใน 3 ของทีม AV เริ่มทำงานร่วมกับฝ่าย HR โดยตรงเพื่อดูแลสุขภาวะพนักงาน ✅ 34% ของพนักงานชาวอังกฤษคิดจะลาออกเพราะออฟฟิศน่าเบื่อ   • โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 25–34 ปี   • เกือบครึ่งเคย “ลาออกจริง” เพราะเหตุผลนี้ ✅ 21% บอกว่าสภาพแวดล้อมออฟฟิศส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต   • ความน่าเบื่อ ความอึดอัด แสงไม่เหมาะสม สีทึม ทำให้หมดไฟ ✅ 77% ของผู้เชี่ยวชาญ AV เชื่อว่าออฟฟิศที่น่ามองส่งผลต่อผลิตภาพโดยตรง ✅ บริษัทมากกว่าครึ่งในอังกฤษ เริ่มใช้เทคโนโลยีภาพและเสียงมาปรับสภาพแวดล้อม   • เช่น ป้ายดิจิทัล จอแสดงผล เสียงประกอบ ambient lighting   • ใช้เพื่อรองรับพนักงาน neurodiverse และเชื่อมโยงพนักงาน remote–onsite ✅ Kinly CEO ย้ำว่า “ออฟฟิศไม่ใช่แค่สวย แต่เป็นกลยุทธ์” ที่ต้องวางแผนแบบมีเป้าหมาย https://www.techspot.com/news/108577-workers-quitting-over-their-depressing-offices-but-av.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Some workers are quitting over their depressing office designs, but AV tech is helping
    Most offices are bland, dull, miserable boxes, with migraine-inducing lighting and drab colors. They certainly don't make occupants happy to come into work, and can even affect...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในขณะที่หลายประเทศเดินหน้าพัฒนาโดรนที่ “ฉลาดขึ้น” เพื่อลดการสูญเสียจากการใช้งานคนจริงในสนามรบ รัสเซียก็ไม่แพ้ใคร ล่าสุดทดสอบภาคสนามกับโดรน AI รุ่น MS001 ที่ → สามารถ “มอง, วิเคราะห์, ตัดสินใจ และโจมตี” ได้เอง → ไม่ต้องพึ่งคำสั่งจากศูนย์ควบคุม → พร้อมระบบ telemetry–ความร้อน–GPS ต่อต้านการสวมรอย

    สมองกลในโดรนตัวนี้คือ Nvidia Jetson Orin — คอมพิวเตอร์ AI ขนาดเล็กเพียงฝ่ามือ ราคาประมาณ $249 แต่แรงระดับ 67 TOPS (เทียบเท่าหลายล้านล้านคำสั่งต่อวินาที) → ใช้ GPU จากสถาปัตยกรรม Ampere + ซีพียู ARM 6 คอร์ → เทียบได้กับการเอาพลังของ AI ระดับรถยนต์อัจฉริยะมาย่อส่วน

    แต่อย่าลืมว่า Nvidia ถูกห้ามส่งชิประดับนี้ให้รัสเซียตั้งแต่ปี 2022 แล้วนะครับ → สุดท้ายพบว่ามีการลักลอบผ่านเส้นทางค้าสีเทา เช่น “ปลอมเป็นอุปกรณ์ใช้ส่วนตัว–ส่งผ่านบริษัทบังหน้าในจีน–สิงคโปร์–ตุรกี” → สืบพบว่าในปี 2023 มีชิป Nvidia หลุดรอดเข้าสู่รัสเซียราว $17 ล้านเลยทีเดียว

    สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่า “เราจะควบคุมเทคโนโลยี AI อย่างไร เมื่อแม้แต่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ก็หดตัวมาอยู่ในฝ่ามือ และหาทางเข้าสู่สนามรบได้แม้ถูกแบน?”

    รัสเซียทดสอบโดรน AI รุ่น MS001 ที่ควบคุมตัวเองได้เต็มรูปแบบ  
    • เห็นวัตถุ–วิเคราะห์–เล็ง–ตัดสินใจ–ยิง โดยไม่ต้องมีคำสั่งจากศูนย์  
    • ใช้งานร่วมกับ swarm (ฝูงโดรน) และทนต่อสภาพแวดล้อมที่ลำบาก

    สมองกลหลักคือ Nvidia Jetson Orin (เปิดตัวปลายปี 2024)  
    • 67 TOPS, หน่วยความจำ 102GB/s  
    • ใช้ GPU Ampere + ARM 6 คอร์  
    • ขนาดเล็กพกพาได้

    พบ MS001 ที่ถูกยิงตกมีเทคโนโลยีครบชุด:  
    • กล้องความร้อนสำหรับปฏิบัติการกลางคืน  
    • ระบบ GPS ป้องกันการ spoof (CRPA antenna)  
    • ชิป FPGA สำหรับ logic แบบปรับแต่งเอง  
    • โมเด็มวิทยุสำหรับส่งข้อมูลและประสานการโจมตีแบบฝูง

    มีการใช้งาน Jetson Orin ในโดรนรุ่น V2U เช่นกัน (โจมตีแบบพลีชีพ)  
    • ใช้บอร์ด Leetop A603 จากจีนในการติดตั้ง Jetson

    คาดว่า Nvidia hardware หลุดเข้ารัสเซียผ่านตลาดสีเทามูลค่ากว่า $17 ล้านในปี 2023  
    • ลักลอบผ่านบริษัทบังหน้าในฮ่องกง–จีน–ตุรกี–สิงคโปร์  
    • มีการปลอมเอกสารว่าเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป เช่น กล้อง, router ฯลฯ

    https://www.techspot.com/news/108579-russia-field-testing-new-ai-drone-powered-nvidia.html
    ในขณะที่หลายประเทศเดินหน้าพัฒนาโดรนที่ “ฉลาดขึ้น” เพื่อลดการสูญเสียจากการใช้งานคนจริงในสนามรบ รัสเซียก็ไม่แพ้ใคร ล่าสุดทดสอบภาคสนามกับโดรน AI รุ่น MS001 ที่ → สามารถ “มอง, วิเคราะห์, ตัดสินใจ และโจมตี” ได้เอง → ไม่ต้องพึ่งคำสั่งจากศูนย์ควบคุม → พร้อมระบบ telemetry–ความร้อน–GPS ต่อต้านการสวมรอย สมองกลในโดรนตัวนี้คือ Nvidia Jetson Orin — คอมพิวเตอร์ AI ขนาดเล็กเพียงฝ่ามือ ราคาประมาณ $249 แต่แรงระดับ 67 TOPS (เทียบเท่าหลายล้านล้านคำสั่งต่อวินาที) → ใช้ GPU จากสถาปัตยกรรม Ampere + ซีพียู ARM 6 คอร์ → เทียบได้กับการเอาพลังของ AI ระดับรถยนต์อัจฉริยะมาย่อส่วน แต่อย่าลืมว่า Nvidia ถูกห้ามส่งชิประดับนี้ให้รัสเซียตั้งแต่ปี 2022 แล้วนะครับ → สุดท้ายพบว่ามีการลักลอบผ่านเส้นทางค้าสีเทา เช่น “ปลอมเป็นอุปกรณ์ใช้ส่วนตัว–ส่งผ่านบริษัทบังหน้าในจีน–สิงคโปร์–ตุรกี” → สืบพบว่าในปี 2023 มีชิป Nvidia หลุดรอดเข้าสู่รัสเซียราว $17 ล้านเลยทีเดียว สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่า “เราจะควบคุมเทคโนโลยี AI อย่างไร เมื่อแม้แต่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ก็หดตัวมาอยู่ในฝ่ามือ และหาทางเข้าสู่สนามรบได้แม้ถูกแบน?” ✅ รัสเซียทดสอบโดรน AI รุ่น MS001 ที่ควบคุมตัวเองได้เต็มรูปแบบ   • เห็นวัตถุ–วิเคราะห์–เล็ง–ตัดสินใจ–ยิง โดยไม่ต้องมีคำสั่งจากศูนย์   • ใช้งานร่วมกับ swarm (ฝูงโดรน) และทนต่อสภาพแวดล้อมที่ลำบาก ✅ สมองกลหลักคือ Nvidia Jetson Orin (เปิดตัวปลายปี 2024)   • 67 TOPS, หน่วยความจำ 102GB/s   • ใช้ GPU Ampere + ARM 6 คอร์   • ขนาดเล็กพกพาได้ ✅ พบ MS001 ที่ถูกยิงตกมีเทคโนโลยีครบชุด:   • กล้องความร้อนสำหรับปฏิบัติการกลางคืน   • ระบบ GPS ป้องกันการ spoof (CRPA antenna)   • ชิป FPGA สำหรับ logic แบบปรับแต่งเอง   • โมเด็มวิทยุสำหรับส่งข้อมูลและประสานการโจมตีแบบฝูง ✅ มีการใช้งาน Jetson Orin ในโดรนรุ่น V2U เช่นกัน (โจมตีแบบพลีชีพ)   • ใช้บอร์ด Leetop A603 จากจีนในการติดตั้ง Jetson ✅ คาดว่า Nvidia hardware หลุดเข้ารัสเซียผ่านตลาดสีเทามูลค่ากว่า $17 ล้านในปี 2023   • ลักลอบผ่านบริษัทบังหน้าในฮ่องกง–จีน–ตุรกี–สิงคโปร์   • มีการปลอมเอกสารว่าเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป เช่น กล้อง, router ฯลฯ https://www.techspot.com/news/108579-russia-field-testing-new-ai-drone-powered-nvidia.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Russia field-testing new AI drone powered by Nvidia's Jetson Orin supercomputer
    Russia is using the self-piloting abilities of AI in its new MS001 drone that is currently being field-tested. Ukrainian Major General Vladyslav Klochkov wrote in a LinkedIn...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อก่อน ถ้าเรียนคอมฯ ก็ต้องเรียนเขียนโค้ด จดจำ syntax จัดการอัลกอริธึม…แต่วันนี้ AI อย่าง Copilot, ChatGPT หรือ Claude ก็ “เขียนให้เราได้หมด” → ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “จำเป็นไหมที่นักศึกษายังต้องเรียนเขียนโค้ดจาก 0?”

    จากรายงานของ TechSpot พบว่า:
    - หลายมหาวิทยาลัย เช่น Carnegie Mellon University (CMU) กำลัง “รีเซ็ต” หลักสูตร
    - เน้น “การคิดเชิงระบบ + ความเข้าใจพื้นฐาน AI” มากกว่าทักษะเชิงเทคนิคล้วน ๆ
    - นักศึกษาเริ่มใช้ AI เป็น “ไม้เท้า” แต่อาจลืมว่า “ยังต้องรู้ว่ากำลังเดินไปไหน”

    บางวิชาก็อนุญาตให้ใช้ AI ได้ตั้งแต่ปีแรก → สุดท้ายพบว่า นักศึกษาใช้ AI ทำการบ้าน แล้ว “ไม่เข้าใจโค้ดครึ่งหนึ่งที่ได้มา” → ทำให้หลายคนเริ่มกลับไปตั้งใจเรียนเขียนโค้ดเอง

    ผลกระทบยังไปไกลถึงตลาดแรงงาน → งานสาย software entry-level ถูกลดลงอย่างชัดเจน (ลด 65% ในรอบ 3 ปี ตามข้อมูลของ CompTIA) → นักศึกษาที่เคยคิดว่า “เรียนคอม = จบแล้วได้เงินเดือนดี” ก็เริ่มวางแผนเรียน minor ด้านอื่น ๆ เพิ่ม เช่น ความมั่นคงปลอดภัย, ปัญญาสังคม, หรือการเมือง

    มีข้อเสนอว่าวิทยาการคอมพิวเตอร์จะกลายเป็นเหมือน “วิชาศิลปศาสตร์ยุคใหม่” ที่ต้องผสานทักษะด้านเทคนิค + ความคิดเชิงวิพากษ์ + การสื่อสาร เพื่ออยู่รอดในยุคที่ AI เป็นเพื่อนร่วมงานทุกที่

    หลายมหาวิทยาลัยสหรัฐฯ ปรับหลักสูตรคอมพิวเตอร์ เน้น “AI literacy” และ “computational thinking”  
    • ลดการเน้น syntax ของภาษาโปรแกรม  
    • สนับสนุนวิชาข้ามศาสตร์ เช่น คอมพิวเตอร์ + ชีววิทยา, คอมฯ + นโยบาย

    Carnegie Mellon University เป็นหนึ่งในผู้นำการเปลี่ยนแปลง  
    • บางวิชาอนุญาตให้นักศึกษาใช้ AI ทำการบ้าน  
    • แต่พบว่า AI ทำให้ “หลงทาง” และไม่เข้าใจโค้ดจริง  
    • ทำให้นักศึกษาหลายคนกลับมาสนใจเรียน code อย่างตั้งใจอีกครั้ง

    NSF จัดโครงการ ‘Level Up AI’ เพื่อร่วมกำหนด “พื้นฐานด้าน AI” สำหรับนักศึกษาสายคอม  
    • ร่วมมือกับสมาคมวิจัย (Computing Research Association) และมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ  
    • ระยะโครงการ 18 เดือน

    แนวโน้ม: คอมพิวเตอร์อาจกลายเป็นวิชา “พื้นฐาน” ที่เหมือนศิลปศาสตร์ยุคใหม่  
    • ต้องใช้ทักษะคิดวิเคราะห์–สื่อสาร–เข้าใจสังคมควบคู่กับเทคนิค

    หลายคนใช้ AI ช่วย coding แต่เริ่มระวังไม่ให้ใช้จน “ทื่อ” หรือไม่มีพื้นฐาน

    https://www.techspot.com/news/108574-universities-rethinking-computer-science-curriculum-response-ai-tools.html
    เมื่อก่อน ถ้าเรียนคอมฯ ก็ต้องเรียนเขียนโค้ด จดจำ syntax จัดการอัลกอริธึม…แต่วันนี้ AI อย่าง Copilot, ChatGPT หรือ Claude ก็ “เขียนให้เราได้หมด” → ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “จำเป็นไหมที่นักศึกษายังต้องเรียนเขียนโค้ดจาก 0?” จากรายงานของ TechSpot พบว่า: - หลายมหาวิทยาลัย เช่น Carnegie Mellon University (CMU) กำลัง “รีเซ็ต” หลักสูตร - เน้น “การคิดเชิงระบบ + ความเข้าใจพื้นฐาน AI” มากกว่าทักษะเชิงเทคนิคล้วน ๆ - นักศึกษาเริ่มใช้ AI เป็น “ไม้เท้า” แต่อาจลืมว่า “ยังต้องรู้ว่ากำลังเดินไปไหน” บางวิชาก็อนุญาตให้ใช้ AI ได้ตั้งแต่ปีแรก → สุดท้ายพบว่า นักศึกษาใช้ AI ทำการบ้าน แล้ว “ไม่เข้าใจโค้ดครึ่งหนึ่งที่ได้มา” → ทำให้หลายคนเริ่มกลับไปตั้งใจเรียนเขียนโค้ดเอง ผลกระทบยังไปไกลถึงตลาดแรงงาน → งานสาย software entry-level ถูกลดลงอย่างชัดเจน (ลด 65% ในรอบ 3 ปี ตามข้อมูลของ CompTIA) → นักศึกษาที่เคยคิดว่า “เรียนคอม = จบแล้วได้เงินเดือนดี” ก็เริ่มวางแผนเรียน minor ด้านอื่น ๆ เพิ่ม เช่น ความมั่นคงปลอดภัย, ปัญญาสังคม, หรือการเมือง มีข้อเสนอว่าวิทยาการคอมพิวเตอร์จะกลายเป็นเหมือน “วิชาศิลปศาสตร์ยุคใหม่” ที่ต้องผสานทักษะด้านเทคนิค + ความคิดเชิงวิพากษ์ + การสื่อสาร เพื่ออยู่รอดในยุคที่ AI เป็นเพื่อนร่วมงานทุกที่ ✅ หลายมหาวิทยาลัยสหรัฐฯ ปรับหลักสูตรคอมพิวเตอร์ เน้น “AI literacy” และ “computational thinking”   • ลดการเน้น syntax ของภาษาโปรแกรม   • สนับสนุนวิชาข้ามศาสตร์ เช่น คอมพิวเตอร์ + ชีววิทยา, คอมฯ + นโยบาย ✅ Carnegie Mellon University เป็นหนึ่งในผู้นำการเปลี่ยนแปลง   • บางวิชาอนุญาตให้นักศึกษาใช้ AI ทำการบ้าน   • แต่พบว่า AI ทำให้ “หลงทาง” และไม่เข้าใจโค้ดจริง   • ทำให้นักศึกษาหลายคนกลับมาสนใจเรียน code อย่างตั้งใจอีกครั้ง ✅ NSF จัดโครงการ ‘Level Up AI’ เพื่อร่วมกำหนด “พื้นฐานด้าน AI” สำหรับนักศึกษาสายคอม   • ร่วมมือกับสมาคมวิจัย (Computing Research Association) และมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ   • ระยะโครงการ 18 เดือน ✅ แนวโน้ม: คอมพิวเตอร์อาจกลายเป็นวิชา “พื้นฐาน” ที่เหมือนศิลปศาสตร์ยุคใหม่   • ต้องใช้ทักษะคิดวิเคราะห์–สื่อสาร–เข้าใจสังคมควบคู่กับเทคนิค ✅ หลายคนใช้ AI ช่วย coding แต่เริ่มระวังไม่ให้ใช้จน “ทื่อ” หรือไม่มีพื้นฐาน https://www.techspot.com/news/108574-universities-rethinking-computer-science-curriculum-response-ai-tools.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Universities are rethinking computer science curriculum in response to AI tools
    Generative AI is making its presence felt across academia, but its impact is most pronounced in computer science. The introduction of AI assistants by major tech companies...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • ย้อนกลับไปยุคแรก ๆ ของ YouTube ค่ายหนังฟ้องกันระนาวว่ามีแต่ของละเมิด แต่ปัจจุบัน YouTube กลับกลายเป็นพันธมิตรรายใหญ่ของ Hollywood ทั้งในแง่สตรีมมิ่งและโฆษณา → แต่เบื้องหลังก็ยังมี “คลิปผิดลิขสิทธิ์” ถูกอัปขึ้นแทบตลอดเวลา

    ล่าสุดบริษัท Adalytics วิเคราะห์ข้อมูลจากคลิปกว่า 9,000 รายการที่เข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์ → พบว่ามีทั้ง หนังใหม่ในโรง, Netflix Original, การ์ตูนดังอย่าง Family Guy, และฟุตบอลมหาลัยในสหรัฐฯ → รวมยอดวิวทะลุ 250 ล้านครั้ง! → เช่น ไลฟ์แอ็กชันเรื่อง Lilo & Stitch ของ Disney ที่เพิ่งฉายพฤษภาคม 2025 มีคนดูเถื่อนใน YouTube ไปแล้วกว่า 200,000 ราย!

    YouTube บอกว่าตัวเองมีระบบ Content ID ตรวจจับอัตโนมัติ → ปีที่ผ่านมา “สแกนได้ 2.2 พันล้านคลิป” → โดยเจ้าของลิขสิทธิ์สามารถเลือก “ปล่อยให้ดูฟรี (เพื่อรับโฆษณา)” หรือ “ลบออก” ได้ → ปรากฏว่า 90% ของวิดีโอที่ตรวจเจอ…ยังอยู่บนแพลตฟอร์ม

    แต่ Adalytics บอกว่า…ผู้ลงโฆษณาไม่รู้เลยว่าโฆษณาของตัวเองไปโชว์ในคลิปละเมิด → แถม 60% ของโฆษณาหายไปเพราะคลิปถูกลบแล้ว ทำให้สถิติหาย–เงินหาย → ระบบรายงานของ YouTube ก็ไม่โปร่งใสเท่าที่ควร

    Adalytics พบคลิปละเมิดลิขสิทธิ์มากกว่า 9,000 รายการบน YouTube (ก.ค. 2024 – พ.ค. 2025)  
    • มีหนังในโรง, Netflix Exclusive, การ์ตูนดัง, ฟุตบอลถ่ายทอดสด  
    • รวมกันยอดวิวกว่า 250 ล้านครั้ง

    YouTube ยืนยันใช้ Content ID ตรวจจับ → พบคลิปน่าสงสัย 2.2 พันล้านรายการต่อปี  
    • เจ้าของลิขสิทธิ์เลือกได้: ลบ / หรือเปิดให้ดูต่อแต่เก็บโฆษณา  
    • 90% ของคลิปที่ตรวจเจอ “ยังอยู่ในระบบ”

    คลิปตัวอย่าง: ไลฟ์แอ็กชัน Lilo & Stitch ถูกอัปโหลดก่อนหนังเข้าฉายไม่กี่วัน → ยอดดูเกิน 200,000

    YouTube ไม่วิเคราะห์เองว่าคลิปไหน “ผิด” → ขึ้นกับผู้ถือสิทธิ์เป็นคนจัดการ

    https://www.techspot.com/news/108578-youtube-hosts-thousands-pirated-films-tv-shows-any.html
    ย้อนกลับไปยุคแรก ๆ ของ YouTube ค่ายหนังฟ้องกันระนาวว่ามีแต่ของละเมิด แต่ปัจจุบัน YouTube กลับกลายเป็นพันธมิตรรายใหญ่ของ Hollywood ทั้งในแง่สตรีมมิ่งและโฆษณา → แต่เบื้องหลังก็ยังมี “คลิปผิดลิขสิทธิ์” ถูกอัปขึ้นแทบตลอดเวลา ล่าสุดบริษัท Adalytics วิเคราะห์ข้อมูลจากคลิปกว่า 9,000 รายการที่เข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์ → พบว่ามีทั้ง หนังใหม่ในโรง, Netflix Original, การ์ตูนดังอย่าง Family Guy, และฟุตบอลมหาลัยในสหรัฐฯ → รวมยอดวิวทะลุ 250 ล้านครั้ง! → เช่น ไลฟ์แอ็กชันเรื่อง Lilo & Stitch ของ Disney ที่เพิ่งฉายพฤษภาคม 2025 มีคนดูเถื่อนใน YouTube ไปแล้วกว่า 200,000 ราย! YouTube บอกว่าตัวเองมีระบบ Content ID ตรวจจับอัตโนมัติ → ปีที่ผ่านมา “สแกนได้ 2.2 พันล้านคลิป” → โดยเจ้าของลิขสิทธิ์สามารถเลือก “ปล่อยให้ดูฟรี (เพื่อรับโฆษณา)” หรือ “ลบออก” ได้ → ปรากฏว่า 90% ของวิดีโอที่ตรวจเจอ…ยังอยู่บนแพลตฟอร์ม แต่ Adalytics บอกว่า…ผู้ลงโฆษณาไม่รู้เลยว่าโฆษณาของตัวเองไปโชว์ในคลิปละเมิด → แถม 60% ของโฆษณาหายไปเพราะคลิปถูกลบแล้ว ทำให้สถิติหาย–เงินหาย → ระบบรายงานของ YouTube ก็ไม่โปร่งใสเท่าที่ควร ✅ Adalytics พบคลิปละเมิดลิขสิทธิ์มากกว่า 9,000 รายการบน YouTube (ก.ค. 2024 – พ.ค. 2025)   • มีหนังในโรง, Netflix Exclusive, การ์ตูนดัง, ฟุตบอลถ่ายทอดสด   • รวมกันยอดวิวกว่า 250 ล้านครั้ง ✅ YouTube ยืนยันใช้ Content ID ตรวจจับ → พบคลิปน่าสงสัย 2.2 พันล้านรายการต่อปี   • เจ้าของลิขสิทธิ์เลือกได้: ลบ / หรือเปิดให้ดูต่อแต่เก็บโฆษณา   • 90% ของคลิปที่ตรวจเจอ “ยังอยู่ในระบบ” ✅ คลิปตัวอย่าง: ไลฟ์แอ็กชัน Lilo & Stitch ถูกอัปโหลดก่อนหนังเข้าฉายไม่กี่วัน → ยอดดูเกิน 200,000 ✅ YouTube ไม่วิเคราะห์เองว่าคลิปไหน “ผิด” → ขึ้นกับผู้ถือสิทธิ์เป็นคนจัดการ https://www.techspot.com/news/108578-youtube-hosts-thousands-pirated-films-tv-shows-any.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    YouTube hosts thousands of pirated films and TV shows at any given moment
    According to new research by Adalytics, YouTube continues to host a significant amount of "premium" content despite its ongoing efforts to curb copyright infringement. In a study...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • เนทันยาฮู นายกฯอิสราเอล เสนอชื่อทรัมป์เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ

    เนทันยาฮู: ผมอยากแสดงให้เห็นจดหมายที่ผมส่งไปยังคณะกรรมการรางวัลโนเบลเพื่อเสนอชื่อท่านเข้าชิงรางวัลในสาขาสันติภาพ ซึ่งท่านสมควรได้รับเกียรตินี้อย่างยิ่ง

    ทรัมป์: ขอบคุณมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจดหมายจากคุณ มันมีความหมายมาก
    เนทันยาฮู นายกฯอิสราเอล เสนอชื่อทรัมป์เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เนทันยาฮู: ผมอยากแสดงให้เห็นจดหมายที่ผมส่งไปยังคณะกรรมการรางวัลโนเบลเพื่อเสนอชื่อท่านเข้าชิงรางวัลในสาขาสันติภาพ ซึ่งท่านสมควรได้รับเกียรตินี้อย่างยิ่ง ทรัมป์: ขอบคุณมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจดหมายจากคุณ มันมีความหมายมาก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Intel เคยเปิดตัว Arrow Lake เมื่อปี 2024 แต่เสียงตอบรับก็กลาง ๆ ไม่ถึงกับว้าว → ล่าสุด Intel ไม่รอ Nova Lake ที่ยังอีกไกลในปี 2026 → จึงเตรียม ปล่อย Arrow Lake Refresh สำหรับเดสก์ท็อปช่วงครึ่งหลังปี 2025

    แม้จะยังใช้โครงสร้างเดิม เช่น
    - P-core = Lion Cove
    - E-core = Skymont
    - Socket = LGA 1851 เดิม ใช้เมนบอร์ดชิปเซต 800 ได้เหมือนเดิม แต่ Intel ก็ปรับจูนหลายอย่างให้ดีขึ้น

    ไฮไลต์คือเปลี่ยน NPU (Neural Processing Unit) → จากเดิม NPU 3 (13 TOPS, จาก Meteor Lake) เป็น NPU 4 (48 TOPS) → ตรงตามข้อกำหนดของ Microsoft สำหรับ “Copilot+ PC” ที่ต้องมี NPU ≥ 40 TOPS

    การที่ Intel เลือกใส่ NPU ใหม่ตัวนี้ อาจดูเหมือนไม่มาก → แต่หมายความว่า ผู้ใช้สามารถใช้ฟีเจอร์ AI ใน Windows 11/12 แบบเต็มระบบได้แล้ว → เช่น Recall, Cocreator, Live Caption, Studio Effects ฯลฯ

    Intel ยังใช้กระบวนการผลิต 20A เดิม แต่เลือกซิลิคอนที่ดีขึ้น (better binning) → ทำให้เพิ่มความเร็ว (clock) ได้อีกเล็กน้อย → น่าจะคล้ายแนวทาง Core Boost 200S ที่เปิดตัวที่ Computex ก่อนหน้านี้

    Intel เตรียมเปิดตัว “Arrow Lake Refresh” ครึ่งหลังปี 2025  
    • ใช้ชื่อเดิม แต่เพิ่ม clock และเปลี่ยน NPU  
    • เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่อยากรอ Nova Lake ปี 2026

    เปลี่ยนจาก NPU 3 (13 TOPS) → NPU 4 (48 TOPS)  
    • รองรับเกณฑ์ Copilot+ AI PC จาก Microsoft  
    • ใช้เทคโนโลยีจาก Lunar Lake รุ่นโน้ตบุ๊ค

    ยังใช้ socket LGA 1851 และชิปเซต 800 เดิม  
    • รองรับเมนบอร์ดปัจจุบันได้ทันที  
    • ช่วยขยายอายุการใช้งานของแพลตฟอร์มอีก 1 เจนเนอเรชัน

    ไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง CPU — ใช้ P-Core (Lion Cove) และ E-Core (Skymont) เดิม  
    • เพิ่มแค่ clock speed ผ่านกระบวนการเลือกชิปคุณภาพสูงกว่า

    ฟีเจอร์ใหม่จากฝั่ง AI PC จะสามารถเปิดใช้ได้เต็มรูปแบบผ่านฮาร์ดแวร์นี้

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-prepping-arrow-lake-refresh-with-minor-clock-speed-bump-and-a-new-copilot-ai-compliant-npu-lifted-from-core-ultra-200v-reportedly-launches-in-the-second-half-of-2025
    Intel เคยเปิดตัว Arrow Lake เมื่อปี 2024 แต่เสียงตอบรับก็กลาง ๆ ไม่ถึงกับว้าว → ล่าสุด Intel ไม่รอ Nova Lake ที่ยังอีกไกลในปี 2026 → จึงเตรียม ปล่อย Arrow Lake Refresh สำหรับเดสก์ท็อปช่วงครึ่งหลังปี 2025 แม้จะยังใช้โครงสร้างเดิม เช่น - P-core = Lion Cove - E-core = Skymont - Socket = LGA 1851 เดิม ใช้เมนบอร์ดชิปเซต 800 ได้เหมือนเดิม แต่ Intel ก็ปรับจูนหลายอย่างให้ดีขึ้น ไฮไลต์คือเปลี่ยน NPU (Neural Processing Unit) → จากเดิม NPU 3 (13 TOPS, จาก Meteor Lake) เป็น NPU 4 (48 TOPS) → ตรงตามข้อกำหนดของ Microsoft สำหรับ “Copilot+ PC” ที่ต้องมี NPU ≥ 40 TOPS การที่ Intel เลือกใส่ NPU ใหม่ตัวนี้ อาจดูเหมือนไม่มาก → แต่หมายความว่า ผู้ใช้สามารถใช้ฟีเจอร์ AI ใน Windows 11/12 แบบเต็มระบบได้แล้ว → เช่น Recall, Cocreator, Live Caption, Studio Effects ฯลฯ Intel ยังใช้กระบวนการผลิต 20A เดิม แต่เลือกซิลิคอนที่ดีขึ้น (better binning) → ทำให้เพิ่มความเร็ว (clock) ได้อีกเล็กน้อย → น่าจะคล้ายแนวทาง Core Boost 200S ที่เปิดตัวที่ Computex ก่อนหน้านี้ ✅ Intel เตรียมเปิดตัว “Arrow Lake Refresh” ครึ่งหลังปี 2025   • ใช้ชื่อเดิม แต่เพิ่ม clock และเปลี่ยน NPU   • เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่อยากรอ Nova Lake ปี 2026 ✅ เปลี่ยนจาก NPU 3 (13 TOPS) → NPU 4 (48 TOPS)   • รองรับเกณฑ์ Copilot+ AI PC จาก Microsoft   • ใช้เทคโนโลยีจาก Lunar Lake รุ่นโน้ตบุ๊ค ✅ ยังใช้ socket LGA 1851 และชิปเซต 800 เดิม   • รองรับเมนบอร์ดปัจจุบันได้ทันที   • ช่วยขยายอายุการใช้งานของแพลตฟอร์มอีก 1 เจนเนอเรชัน ✅ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง CPU — ใช้ P-Core (Lion Cove) และ E-Core (Skymont) เดิม   • เพิ่มแค่ clock speed ผ่านกระบวนการเลือกชิปคุณภาพสูงกว่า ✅ ฟีเจอร์ใหม่จากฝั่ง AI PC จะสามารถเปิดใช้ได้เต็มรูปแบบผ่านฮาร์ดแวร์นี้ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-prepping-arrow-lake-refresh-with-minor-clock-speed-bump-and-a-new-copilot-ai-compliant-npu-lifted-from-core-ultra-200v-reportedly-launches-in-the-second-half-of-2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัทสัญชาติรัฐของจีน AECC (Aero Engine Corporation of China) ประสบความสำเร็จในการทดสอบ "เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตขนาดจิ๋วที่พิมพ์สามมิติ" ได้จริง ไม่ใช่แค่ต้นแบบ แต่คือของจริงที่ “บินได้” และยังให้แรงขับสูงถึง 160 กิโลกรัม ที่ระดับความสูงกว่า 13,000 ฟุต ซึ่งถือเป็นการผสานวัสดุศาสตร์ วิศวกรรมการพิมพ์ 3 มิติ และการบินในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน

    เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตขนาดเล็ก (micro turbojet) ที่จีนทำได้นี้ ไม่ใช่แบบจำลองหรือต้นแบบที่โชว์ในงานนิทรรศการ → แต่มันคือเครื่องยนต์ที่ “ทำงานได้จริง” บินขึ้นจาก Inner Mongolia ด้วยตัวเอง → มีแรงขับถึง 160 กิโลกรัม และบินได้ที่ระดับความสูง 4,000 เมตร (~13,000 ฟุต)

    แม้ทาง AECC จะไม่เปิดเผยว่า “ส่วนไหนของเครื่องพิมพ์ 3 มิติ” แต่บอกว่าใช้หลัก "multidisciplinary topological optimization" ในการออกแบบ → ลดน้ำหนักลงอย่างแม่นยำ โดยปรับพารามิเตอร์การพิมพ์ให้เหมาะกับแต่ละชิ้นส่วน → ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้น ทั้งแรงขับ–ความเบา–และความทนทาน

    แม้จะยังไม่เปิดเผยข้อมูลเรื่องเครื่องพิมพ์หรือวัสดุที่ใช้ แต่การที่สามารถพิมพ์และบินได้จริงแบบนี้ ทำให้ จีนกลายเป็นประเทศแรกของโลกที่ทดสอบเครื่องยนต์ jet พิมพ์ 3 มิติแบบสำเร็จเต็มรูปแบบ

    AECC ของจีนเป็นองค์กรแรกที่ทดสอบเครื่องยนต์ jet ขนาดจิ๋วแบบพิมพ์ 3 มิติได้สำเร็จ  
    • ไม่ใช่แค่จำลอง แต่ “บินได้จริง” ในภาคสนาม  
    • ทดสอบในเขต Inner Mongolia

    แรงขับสูงถึง 160 กิโลกรัม (≒ 350 ปอนด์)  
    • บินได้ที่ระดับความสูง 4,000 เมตร (~13,000 ฟุต)

    ออกแบบด้วยแนวคิด “multidisciplinary topological optimization”  
    • เน้นลดน้ำหนัก → เพิ่มแรงขับต่อมวล  
    • ปรับพารามิเตอร์พิมพ์แต่ละชิ้นให้เหมาะสมที่สุด

    ยังไม่ชัดว่าส่วนไหนของเครื่องยนต์ถูกพิมพ์ 3 มิติ, วัสดุที่ใช้ หรือประเภทเครื่องพิมพ์

    ถือเป็นก้าวสำคัญในการพิสูจน์ว่า 3D Printing ใช้งานได้จริงในด้าน aerospace ไม่ใช่แค่ต้นแบบ

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/china-state-backed-firm-is-first-to-3d-print-a-micro-turbojet-engine-and-not-just-for-show-new-design-delivers-160-kg-of-thrust-successfully-tested-at-13-000-ft-altitude
    บริษัทสัญชาติรัฐของจีน AECC (Aero Engine Corporation of China) ประสบความสำเร็จในการทดสอบ "เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตขนาดจิ๋วที่พิมพ์สามมิติ" ได้จริง ไม่ใช่แค่ต้นแบบ แต่คือของจริงที่ “บินได้” และยังให้แรงขับสูงถึง 160 กิโลกรัม ที่ระดับความสูงกว่า 13,000 ฟุต ซึ่งถือเป็นการผสานวัสดุศาสตร์ วิศวกรรมการพิมพ์ 3 มิติ และการบินในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน 🛩️🧩 เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตขนาดเล็ก (micro turbojet) ที่จีนทำได้นี้ ไม่ใช่แบบจำลองหรือต้นแบบที่โชว์ในงานนิทรรศการ → แต่มันคือเครื่องยนต์ที่ “ทำงานได้จริง” บินขึ้นจาก Inner Mongolia ด้วยตัวเอง → มีแรงขับถึง 160 กิโลกรัม และบินได้ที่ระดับความสูง 4,000 เมตร (~13,000 ฟุต) แม้ทาง AECC จะไม่เปิดเผยว่า “ส่วนไหนของเครื่องพิมพ์ 3 มิติ” แต่บอกว่าใช้หลัก "multidisciplinary topological optimization" ในการออกแบบ → ลดน้ำหนักลงอย่างแม่นยำ โดยปรับพารามิเตอร์การพิมพ์ให้เหมาะกับแต่ละชิ้นส่วน → ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้น ทั้งแรงขับ–ความเบา–และความทนทาน แม้จะยังไม่เปิดเผยข้อมูลเรื่องเครื่องพิมพ์หรือวัสดุที่ใช้ แต่การที่สามารถพิมพ์และบินได้จริงแบบนี้ ทำให้ จีนกลายเป็นประเทศแรกของโลกที่ทดสอบเครื่องยนต์ jet พิมพ์ 3 มิติแบบสำเร็จเต็มรูปแบบ ✅ AECC ของจีนเป็นองค์กรแรกที่ทดสอบเครื่องยนต์ jet ขนาดจิ๋วแบบพิมพ์ 3 มิติได้สำเร็จ   • ไม่ใช่แค่จำลอง แต่ “บินได้จริง” ในภาคสนาม   • ทดสอบในเขต Inner Mongolia ✅ แรงขับสูงถึง 160 กิโลกรัม (≒ 350 ปอนด์)   • บินได้ที่ระดับความสูง 4,000 เมตร (~13,000 ฟุต) ✅ ออกแบบด้วยแนวคิด “multidisciplinary topological optimization”   • เน้นลดน้ำหนัก → เพิ่มแรงขับต่อมวล   • ปรับพารามิเตอร์พิมพ์แต่ละชิ้นให้เหมาะสมที่สุด ✅ ยังไม่ชัดว่าส่วนไหนของเครื่องยนต์ถูกพิมพ์ 3 มิติ, วัสดุที่ใช้ หรือประเภทเครื่องพิมพ์ ✅ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพิสูจน์ว่า 3D Printing ใช้งานได้จริงในด้าน aerospace ไม่ใช่แค่ต้นแบบ https://www.tomshardware.com/3d-printing/china-state-backed-firm-is-first-to-3d-print-a-micro-turbojet-engine-and-not-just-for-show-new-design-delivers-160-kg-of-thrust-successfully-tested-at-13-000-ft-altitude
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • 12
    we
    12
    as
    12 we 12 as
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในโลกใต้ดินของแรนซัมแวร์ เหล่าแก๊งแฮกเกอร์ไม่ได้แค่รอเรียกค่าไถ่จากเหยื่อ แต่ยังต้องแข่งกันเอง — ล่าสุด “DragonForce” (กลุ่มอาชญากรไซเบอร์รัสเซีย) ไม่พอใจที่ “RansomHub” แย่งพันธมิตรในเครือข่ายแรนซัมแวร์ → จึงเปิดศึกแย่งพื้นที่ (turf war) โดยเริ่มจากการโจมตี “เว็บบนดาร์กเว็บของ RansomHub” ให้ล่มไปเลย

    สิ่งที่นักวิเคราะห์กลัวคือ: → แก๊งทั้งสองอาจโจมตีเหยื่อองค์กรเดียวกัน “พร้อมกัน” เพื่อแย่งผลงานกันเอง → หรือบางกรณีเกิด “แรนซัมซ้อนแรนซัม” — เรียกค่าไถ่จากเหยื่อซ้ำหลายรอบ → เหมือนกรณี UnitedHealth Group ที่เคยจ่ายค่าไถ่ให้แก๊งหนึ่งไปแล้ว แต่ถูกอีกแก๊งใช้ช่องทางอื่นมารีดซ้ำอีกจนต้องจ่ายอีกรอบ

    นักวิเคราะห์จาก Google Threat Intelligence Group เตือนว่า → วิกฤตนี้อาจทำให้สภาพแวดล้อมภัยไซเบอร์สำหรับเหยื่อแย่ลงมาก → เพราะ “ความไร้เสถียรภาพของแก๊งแฮกเกอร์เอง” ก็เพิ่มโอกาสถูกโจมตีซ้ำหรือโดนรีดไถต่อเนื่อง → แต่บางฝั่งก็มองว่า การแตกคอกันในวงการแรนซัมแวร์อาจทำให้แก๊งเหล่านี้อ่อนแอลงจากภายในในระยะยาวก็ได้

    แก๊ง DragonForce กำลังทำสงครามไซเบอร์กับ RansomHub เพื่อแย่งพื้นที่และพันธมิตรในโลกอาชญากรรม  
    • เริ่มจากการถล่มเว็บไซต์ดาร์กเว็บของ RansomHub  
    • เหตุเพราะ RansomHub ขยายบริการและดึงดูดเครือข่ายได้มากขึ้น

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าอาจเกิด “ดับเบิลรีดไถ” คือเหยื่อถูกเรียกค่าไถ่จากหลายกลุ่มพร้อมกัน  
    • เหมือนกรณีของ UnitedHealth Group ที่โดนรีด 2 รอบจาก 2 แก๊ง  
    • เสี่ยงสูญเสียข้อมูล–ชื่อเสียง–เงินทุนมากกว่าเดิม

    ระบบ Ransomware-as-a-Service ยังดำเนินต่อไปแม้แก๊งหลักจะพัง → แค่เปลี่ยนชื่อและ affiliate ไปอยู่กับกลุ่มใหม่

    Google เตือนว่า ความไร้เสถียรภาพของโลกอาชญากรรมไซเบอร์ส่งผลโดยตรงต่อระดับภัยคุกคามของเหยื่อองค์กร

    บางกลุ่มเช่น Conti เคยล่มสลายหลังรัสเซียบุกยูเครน เพราะความขัดแย้งระหว่างสมาชิกจากสองประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/hacker-turf-war-unfolding-as-russian-dragonforce-ransomware-gang-drama-could-lead-to-double-extortionions-making-life-even-worse-for-potential-victims
    ในโลกใต้ดินของแรนซัมแวร์ เหล่าแก๊งแฮกเกอร์ไม่ได้แค่รอเรียกค่าไถ่จากเหยื่อ แต่ยังต้องแข่งกันเอง — ล่าสุด “DragonForce” (กลุ่มอาชญากรไซเบอร์รัสเซีย) ไม่พอใจที่ “RansomHub” แย่งพันธมิตรในเครือข่ายแรนซัมแวร์ → จึงเปิดศึกแย่งพื้นที่ (turf war) โดยเริ่มจากการโจมตี “เว็บบนดาร์กเว็บของ RansomHub” ให้ล่มไปเลย สิ่งที่นักวิเคราะห์กลัวคือ: → แก๊งทั้งสองอาจโจมตีเหยื่อองค์กรเดียวกัน “พร้อมกัน” เพื่อแย่งผลงานกันเอง → หรือบางกรณีเกิด “แรนซัมซ้อนแรนซัม” — เรียกค่าไถ่จากเหยื่อซ้ำหลายรอบ → เหมือนกรณี UnitedHealth Group ที่เคยจ่ายค่าไถ่ให้แก๊งหนึ่งไปแล้ว แต่ถูกอีกแก๊งใช้ช่องทางอื่นมารีดซ้ำอีกจนต้องจ่ายอีกรอบ นักวิเคราะห์จาก Google Threat Intelligence Group เตือนว่า → วิกฤตนี้อาจทำให้สภาพแวดล้อมภัยไซเบอร์สำหรับเหยื่อแย่ลงมาก → เพราะ “ความไร้เสถียรภาพของแก๊งแฮกเกอร์เอง” ก็เพิ่มโอกาสถูกโจมตีซ้ำหรือโดนรีดไถต่อเนื่อง → แต่บางฝั่งก็มองว่า การแตกคอกันในวงการแรนซัมแวร์อาจทำให้แก๊งเหล่านี้อ่อนแอลงจากภายในในระยะยาวก็ได้ ✅ แก๊ง DragonForce กำลังทำสงครามไซเบอร์กับ RansomHub เพื่อแย่งพื้นที่และพันธมิตรในโลกอาชญากรรม   • เริ่มจากการถล่มเว็บไซต์ดาร์กเว็บของ RansomHub   • เหตุเพราะ RansomHub ขยายบริการและดึงดูดเครือข่ายได้มากขึ้น ✅ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าอาจเกิด “ดับเบิลรีดไถ” คือเหยื่อถูกเรียกค่าไถ่จากหลายกลุ่มพร้อมกัน   • เหมือนกรณีของ UnitedHealth Group ที่โดนรีด 2 รอบจาก 2 แก๊ง   • เสี่ยงสูญเสียข้อมูล–ชื่อเสียง–เงินทุนมากกว่าเดิม ✅ ระบบ Ransomware-as-a-Service ยังดำเนินต่อไปแม้แก๊งหลักจะพัง → แค่เปลี่ยนชื่อและ affiliate ไปอยู่กับกลุ่มใหม่ ✅ Google เตือนว่า ความไร้เสถียรภาพของโลกอาชญากรรมไซเบอร์ส่งผลโดยตรงต่อระดับภัยคุกคามของเหยื่อองค์กร ✅ บางกลุ่มเช่น Conti เคยล่มสลายหลังรัสเซียบุกยูเครน เพราะความขัดแย้งระหว่างสมาชิกจากสองประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/hacker-turf-war-unfolding-as-russian-dragonforce-ransomware-gang-drama-could-lead-to-double-extortionions-making-life-even-worse-for-potential-victims
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sparkle เปิดตัวการ์ดจอตระกูล Arc Pro B60 สามรุ่นรวด → รุ่นแรกเป็นแบบพัดลมเป่า (blower) ขนาด 24GB → รุ่นที่สองเป็นแบบระบายความร้อนแบบพาสซีฟ (ไม่มีพัดลม) ขนาด 24GB เหมาะกับ server → รุ่นสุดท้ายคือ “ไพ่ตาย” — การ์ด dual-GPU ขนาด 48GB ที่แรงกว่าและกินไฟน้อยกว่ารุ่นของ MaxSun ที่เคยออกมาก่อนหน้านี้

    จุดเด่นของแต่ละ GPU คือมี 20 Xe-core + 160 XMX engine (หน่วยเร่ง AI) → ทำให้สามารถประมวลผล AI แบบ INT8 ได้สูงสุด 394 TOPS → รองรับ ray tracing และการเข้ารหัส AV1 ด้วย Xe media engine

    ถึงจะดูคล้ายการ์ดเกม แต่ Arc Pro B60 ถูกออกแบบมาสำหรับ AI inference, media workstation, และ data lab โดยเฉพาะ → ไม่ใช้ multi-GPU แบบ SLI หรือแบ่งงาน render แบบการ์ดเกม → แต่ใช้โครงสร้างที่แชร์ PCIe x16 ด้วยกัน โดยแต่ละชิปใช้ 8 เลนเท่า ๆ กัน

    การมีรุ่นพาสซีฟแสดงให้เห็นว่า Sparkle จับกลุ่ม server/data center ชัดเจน → พร้อมทั้งใช้ไดรเวอร์ Pro ที่เน้นเสถียรภาพสำหรับซอฟต์แวร์เวิร์กสเตชัน → และยังรองรับ consumer driver เผื่อบางงานที่เบาลง หรือใช้ใน mini-AI desktop

    Sparkle เปิดตัว Arc Pro B60 Series แบบมืออาชีพ 3 รุ่น:  
    • Blower 24GB  • Passive cooling 24GB (เงียบและเหมาะกับ rack/server)  
    • Dual-GPU 48GB พร้อมระบายความร้อนแบบ blower

    ทุกรุ่นใช้สถาปัตยกรรม Intel Battlemage พร้อม 20 Xe-core + 160 XMX engine ต่อชิป  
    • INT8 AI throughput สูงถึง 394 TOPS (รวม 2 GPU)  
    • รองรับ ray tracing + AV1 encode

    การ์ด dual-GPU ใช้พลังงาน 300W → แรงแต่ยังควบคุมความร้อนได้ดี  
    • แบ่งเลน PCIe 5.0 x16 แบบ 8+8  
    • ไม่แชร์ RAM ระหว่าง 2 GPU

    รองรับ Linux multi-GPU และ OneAPI → เหมาะกับงาน HPC, วิจัย, AI inferencing ขนาดใหญ่

    เปิดตัวปลายปี 2025 → มาทันช่วงตลาด AI desktop–workstation กำลังโต

    https://www.techradar.com/pro/another-dual-intel-gpu-card-with-48gb-vram-launched-as-arc-pro-emerges-as-cheap-nvidia-and-amd-alternative-for-ai-crowd
    Sparkle เปิดตัวการ์ดจอตระกูล Arc Pro B60 สามรุ่นรวด → รุ่นแรกเป็นแบบพัดลมเป่า (blower) ขนาด 24GB → รุ่นที่สองเป็นแบบระบายความร้อนแบบพาสซีฟ (ไม่มีพัดลม) ขนาด 24GB เหมาะกับ server → รุ่นสุดท้ายคือ “ไพ่ตาย” — การ์ด dual-GPU ขนาด 48GB ที่แรงกว่าและกินไฟน้อยกว่ารุ่นของ MaxSun ที่เคยออกมาก่อนหน้านี้ จุดเด่นของแต่ละ GPU คือมี 20 Xe-core + 160 XMX engine (หน่วยเร่ง AI) → ทำให้สามารถประมวลผล AI แบบ INT8 ได้สูงสุด 394 TOPS → รองรับ ray tracing และการเข้ารหัส AV1 ด้วย Xe media engine ถึงจะดูคล้ายการ์ดเกม แต่ Arc Pro B60 ถูกออกแบบมาสำหรับ AI inference, media workstation, และ data lab โดยเฉพาะ → ไม่ใช้ multi-GPU แบบ SLI หรือแบ่งงาน render แบบการ์ดเกม → แต่ใช้โครงสร้างที่แชร์ PCIe x16 ด้วยกัน โดยแต่ละชิปใช้ 8 เลนเท่า ๆ กัน การมีรุ่นพาสซีฟแสดงให้เห็นว่า Sparkle จับกลุ่ม server/data center ชัดเจน → พร้อมทั้งใช้ไดรเวอร์ Pro ที่เน้นเสถียรภาพสำหรับซอฟต์แวร์เวิร์กสเตชัน → และยังรองรับ consumer driver เผื่อบางงานที่เบาลง หรือใช้ใน mini-AI desktop ✅ Sparkle เปิดตัว Arc Pro B60 Series แบบมืออาชีพ 3 รุ่น:   • Blower 24GB  • Passive cooling 24GB (เงียบและเหมาะกับ rack/server)   • Dual-GPU 48GB พร้อมระบายความร้อนแบบ blower ✅ ทุกรุ่นใช้สถาปัตยกรรม Intel Battlemage พร้อม 20 Xe-core + 160 XMX engine ต่อชิป   • INT8 AI throughput สูงถึง 394 TOPS (รวม 2 GPU)   • รองรับ ray tracing + AV1 encode ✅ การ์ด dual-GPU ใช้พลังงาน 300W → แรงแต่ยังควบคุมความร้อนได้ดี   • แบ่งเลน PCIe 5.0 x16 แบบ 8+8   • ไม่แชร์ RAM ระหว่าง 2 GPU ✅ รองรับ Linux multi-GPU และ OneAPI → เหมาะกับงาน HPC, วิจัย, AI inferencing ขนาดใหญ่ ✅ เปิดตัวปลายปี 2025 → มาทันช่วงตลาด AI desktop–workstation กำลังโต https://www.techradar.com/pro/another-dual-intel-gpu-card-with-48gb-vram-launched-as-arc-pro-emerges-as-cheap-nvidia-and-amd-alternative-for-ai-crowd
    WWW.TECHRADAR.COM
    Sparkle confirms three Arc Pro B60 GPUs for professional workloads
    Sparkle offers three B60 models with blower or passive cooling
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • หากหุ่นยนต์กำลังหาไขควงที่อยู่ในลิ้นชักรก ๆ หรือของที่ซุกอยู่ในกล่องปิดมิดชิด โดยปกติอาจต้องใช้กล้องหรือจับดูเอง → แต่เทคโนโลยีใหม่นี้จาก MIT ที่ชื่อ mmNorm ช่วยให้หุ่นยนต์ “มองทะลุสิ่งของ” ด้วย คลื่นมิลลิเมตรเวฟ (mmWave) ซึ่งใกล้เคียงกับความถี่ Wi-Fi

    จุดสำคัญคือ มันไม่แค่วัด “ตำแหน่งที่คลื่นสะท้อนกลับมา” → แต่สามารถประเมินได้ว่า พื้นผิวด้านใน “เอียง” หรือ “โค้ง” ยังไง ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า specularity-based surface normal estimation → ทำให้หุ่นยนต์สร้าง “ภาพสามมิติ” ของสิ่งที่ซ่อนอยู่ เช่น แยกได้ระหว่างช้อนกับมีดที่อยู่ในกล่อง

    แม่นขนาดไหน? → ทดสอบกับของ 60 ชิ้น พบว่าแม่นยำ 96% เทียบกับเรดาร์เดิมที่ได้แค่ 78% → ใช้ได้กับไม้, พลาสติก, แก้ว, ยาง — ยกเว้นโลหะหนา ๆ ยังมีปัญหาบ้าง

    นักวิจัยมองว่าเทคโนโลยีนี้จะใช้ได้ในหลายวงการ เช่น
    - หุ่นยนต์ค้นหาผู้รอดชีวิต (ค้นใต้ซาก)
    - หุ่นยนต์ดูแลบ้านผู้สูงอายุ (หาของหาย)
    - เครื่องสแกนความปลอดภัย (สแกนในกระเป๋าโดยไม่ต้องเปิด)

    MIT พัฒนาเทคนิคชื่อ mmNorm ใช้คลื่น mmWave (ระดับ Wi-Fi) ช่วยให้หุ่นยนต์มองเห็นวัตถุที่ถูกปิดบัง  
    • เช่น เห็นของในกล่อง, ลิ้นชัก, หรือหลังกำแพง  
    • ใช้ได้โดยไม่ต้องสัมผัสวัตถุ

    วิธีใหม่ไม่ใช้ back-projection แบบเก่า → แต่ใช้การคำนวณ surface normal แบบสะท้อนกระจก (specular reflection)  
    • รวมสัญญาณจากหลายเสาอากาศ  
    • เหมือนให้ทุกเสา “โหวต” ว่าพื้นผิวนั้นน่าจะหันไปทางไหน

    ทำความแม่นยำได้ 96% (จากการทดสอบกับของ 60 ชิ้น)  
    • ดีกว่าเทคโนโลยีก่อนหน้า 18%  
    • แยกวัตถุคล้ายกันได้ เช่น แยกช้อน–ส้อม–มีดในกล่องเดียวกัน

    ใช้งานได้กับวัสดุต่าง ๆ เช่น พลาสติก, แก้ว, ยาง, ไม้

    มีศักยภาพใช้ในหุ่นยนต์ AI สาย logistics, กู้ภัย, ผู้ช่วยส่วนตัว, และระบบสแกนความปลอดภัย

    https://www.techradar.com/pro/security/wi-fi-signals-could-be-used-by-ai-driven-robots-to-identify-objects-inside-boxes-or-even-tools-hidden-in-a-drawer
    หากหุ่นยนต์กำลังหาไขควงที่อยู่ในลิ้นชักรก ๆ หรือของที่ซุกอยู่ในกล่องปิดมิดชิด โดยปกติอาจต้องใช้กล้องหรือจับดูเอง → แต่เทคโนโลยีใหม่นี้จาก MIT ที่ชื่อ mmNorm ช่วยให้หุ่นยนต์ “มองทะลุสิ่งของ” ด้วย คลื่นมิลลิเมตรเวฟ (mmWave) ซึ่งใกล้เคียงกับความถี่ Wi-Fi จุดสำคัญคือ มันไม่แค่วัด “ตำแหน่งที่คลื่นสะท้อนกลับมา” → แต่สามารถประเมินได้ว่า พื้นผิวด้านใน “เอียง” หรือ “โค้ง” ยังไง ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า specularity-based surface normal estimation → ทำให้หุ่นยนต์สร้าง “ภาพสามมิติ” ของสิ่งที่ซ่อนอยู่ เช่น แยกได้ระหว่างช้อนกับมีดที่อยู่ในกล่อง แม่นขนาดไหน? → ทดสอบกับของ 60 ชิ้น พบว่าแม่นยำ 96% เทียบกับเรดาร์เดิมที่ได้แค่ 78% → ใช้ได้กับไม้, พลาสติก, แก้ว, ยาง — ยกเว้นโลหะหนา ๆ ยังมีปัญหาบ้าง นักวิจัยมองว่าเทคโนโลยีนี้จะใช้ได้ในหลายวงการ เช่น - หุ่นยนต์ค้นหาผู้รอดชีวิต (ค้นใต้ซาก) - หุ่นยนต์ดูแลบ้านผู้สูงอายุ (หาของหาย) - เครื่องสแกนความปลอดภัย (สแกนในกระเป๋าโดยไม่ต้องเปิด) ✅ MIT พัฒนาเทคนิคชื่อ mmNorm ใช้คลื่น mmWave (ระดับ Wi-Fi) ช่วยให้หุ่นยนต์มองเห็นวัตถุที่ถูกปิดบัง   • เช่น เห็นของในกล่อง, ลิ้นชัก, หรือหลังกำแพง   • ใช้ได้โดยไม่ต้องสัมผัสวัตถุ ✅ วิธีใหม่ไม่ใช้ back-projection แบบเก่า → แต่ใช้การคำนวณ surface normal แบบสะท้อนกระจก (specular reflection)   • รวมสัญญาณจากหลายเสาอากาศ   • เหมือนให้ทุกเสา “โหวต” ว่าพื้นผิวนั้นน่าจะหันไปทางไหน ✅ ทำความแม่นยำได้ 96% (จากการทดสอบกับของ 60 ชิ้น)   • ดีกว่าเทคโนโลยีก่อนหน้า 18%   • แยกวัตถุคล้ายกันได้ เช่น แยกช้อน–ส้อม–มีดในกล่องเดียวกัน ✅ ใช้งานได้กับวัสดุต่าง ๆ เช่น พลาสติก, แก้ว, ยาง, ไม้ ✅ มีศักยภาพใช้ในหุ่นยนต์ AI สาย logistics, กู้ภัย, ผู้ช่วยส่วนตัว, และระบบสแกนความปลอดภัย https://www.techradar.com/pro/security/wi-fi-signals-could-be-used-by-ai-driven-robots-to-identify-objects-inside-boxes-or-even-tools-hidden-in-a-drawer
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาซูด เปเซชเคียน ประธานาธิบดีอิหร่าน เปิดเผยในการสัมภาษณ์ที่เผยแพร่ในวันจันทร์(7ก.ค.) ว่าอิสราเอล พยายามลอบสังหารเขา ท่ามกลางศึกสู้รบระหว่างเตหะรานกับรัฐยิวที่ลากยาว 12 วันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เคยออกมาบอกว่าไม่ตัดความเป็นไปได้ในแผนลอบปลิดชีพผู้นำสูงสุดของอิหร่าน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000064112

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    มาซูด เปเซชเคียน ประธานาธิบดีอิหร่าน เปิดเผยในการสัมภาษณ์ที่เผยแพร่ในวันจันทร์(7ก.ค.) ว่าอิสราเอล พยายามลอบสังหารเขา ท่ามกลางศึกสู้รบระหว่างเตหะรานกับรัฐยิวที่ลากยาว 12 วันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เคยออกมาบอกว่าไม่ตัดความเป็นไปได้ในแผนลอบปลิดชีพผู้นำสูงสุดของอิหร่าน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000064112 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Wow
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1002 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'วิสุทธิ์' เหน็บหลายคนกระดี๊กระด๊า ใจร้อนเสนอนายกฯชั่วคราว ต้องไปต่อคิว 'ชัยเกษม'
    https://www.thai-tai.tv/news/20105/
    .
    #วิสุทธิ์ไชยณรุณ #พรรคเพื่อไทย #นายกฯชั่วคราว #แพทองธารชินวัตร #ชัยเกษมนิติสิริ #ข่าวการเมือง #ศาลรัฐธรรมนูญ #การเมืองไทย
    'วิสุทธิ์' เหน็บหลายคนกระดี๊กระด๊า ใจร้อนเสนอนายกฯชั่วคราว ต้องไปต่อคิว 'ชัยเกษม' https://www.thai-tai.tv/news/20105/ . #วิสุทธิ์ไชยณรุณ #พรรคเพื่อไทย #นายกฯชั่วคราว #แพทองธารชินวัตร #ชัยเกษมนิติสิริ #ข่าวการเมือง #ศาลรัฐธรรมนูญ #การเมืองไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มประเทศ BRICS ตำหนิมาตรการภาษีตามอำเภอใจของทรัมป์
    https://www.thai-tai.tv/news/20106/
    กลุ่มประเทศ BRICS ตำหนิมาตรการภาษีตามอำเภอใจของทรัมป์ https://www.thai-tai.tv/news/20106/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนสวนมาช่วยแต่งกอกล้วยให้เรียบ100เหลือกอละ2ต้น แต่งหม่อนริมรั้วตลอดแนวเขต
    คนสวนมาช่วยแต่งกอกล้วยให้เรียบ100เหลือกอละ2ต้น แต่งหม่อนริมรั้วตลอดแนวเขต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว