0 ความคิดเห็น
0 การแบ่งปัน
78 มุมมอง
0 รีวิว
รายการ
ค้นพบผู้คนใหม่ๆ สร้างการเชื่อมต่อใหม่ๆ และรู้จักเพื่อนใหม่
- กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อกดถูกใจ แชร์ และแสดงความคิดเห็น!
- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในวันอังคาร(15ก.ค.) ระบุยูเครนไม่ควรเล็งเป้าโจมตีมอสโก และยืนยันไม่มีแผนจัดหาขีปนาวุธพิสัยไกลให้เคียฟ หลังจากก่อนหน้านี้มีข่าวว่าผู้นำอเมริกายุยงส่งเสริมให้ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี เล่นงานเมืองหลวงของรัสเซีย
.
อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000066724
#Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimesประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในวันอังคาร(15ก.ค.) ระบุยูเครนไม่ควรเล็งเป้าโจมตีมอสโก และยืนยันไม่มีแผนจัดหาขีปนาวุธพิสัยไกลให้เคียฟ หลังจากก่อนหน้านี้มีข่าวว่าผู้นำอเมริกายุยงส่งเสริมให้ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี เล่นงานเมืองหลวงของรัสเซีย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000066724 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1115 มุมมอง 0 รีวิว
4
- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในวันอังคาร(15ก.ค.) เผยว่าเขาบรรลุข้อตกลงการค้ากับอินโดนีเซีย ผลก็คือได้รับคำมั่นสัญญาณจัดซื้ออย่างมากจากประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้ ตามหลังการเจรจาหลีกเลี่ยงเพดานภาษีระดับสูง
.
อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000066725
#Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimesประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในวันอังคาร(15ก.ค.) เผยว่าเขาบรรลุข้อตกลงการค้ากับอินโดนีเซีย ผลก็คือได้รับคำมั่นสัญญาณจัดซื้ออย่างมากจากประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้ ตามหลังการเจรจาหลีกเลี่ยงเพดานภาษีระดับสูง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000066725 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1177 มุมมอง 0 รีวิว
5
- เรื่องเล่าจากโลกซอฟต์แวร์: LibreOffice ขยับตาม MS Office ด้วยฟีเจอร์รองรับ Bitcoin
ลองนึกภาพว่าเราใช้ LibreOffice Calc เพื่อจัดการงบประมาณ แล้วอยากใส่ข้อมูลธุรกรรม Bitcoin โดยไม่ต้องปรับแต่งฟอร์แมตเองให้ยุ่งยาก ตอนนี้ฝันนั้นใกล้เป็นจริงแล้ว! LibreOffice ได้เพิ่มการรองรับ Bitcoin เป็นหน่วยเงินในโปรแกรม Calc ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ Microsoft Office มีมาตั้งแต่ปี 2016 แล้ว
เรื่องเริ่มจากผู้ใช้รายหนึ่งเสนอฟีเจอร์นี้ในระบบติดตามบั๊กของ LibreOffice โดยให้รายละเอียดครบถ้วน เช่น สัญลักษณ์ ₿ (U+20BF), การแสดงทศนิยม 8 หลัก (เพื่อรองรับ Satoshi) และการวางสัญลักษณ์ไว้หน้าตัวเลขเหมือนกับเครื่องหมายดอลลาร์
แม้ฟีเจอร์นี้จะยังไม่ทันรวมในเวอร์ชัน 25.8 ที่กำลังจะออก แต่คาดว่าจะมาในเวอร์ชัน 26.2 ปีหน้า ซึ่งจะทำให้การจัดการ Bitcoin ใน LibreOffice ง่ายขึ้นมาก
นอกจากนี้ LibreOffice ยังพยายามดึงผู้ใช้ Windows ให้หันมาใช้ Linux และ LibreOffice ด้วยการออกคู่มือฟรี และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อให้ผู้ใช้ Microsoft Office ย้ายมาได้ง่ายขึ้น เช่น การรองรับฟอนต์ฝังในไฟล์ และหัวข้อแบบ inline ใน Writer
LibreOffice เพิ่มฟีเจอร์รองรับ Bitcoin ใน Calc
- ใช้สัญลักษณ์ ₿ (U+20BF)
- รองรับทศนิยม 8 หลัก (Satoshi)
- แสดงสัญลักษณ์ก่อนตัวเลขเหมือนเครื่องหมายดอลลาร์
ฟีเจอร์นี้มาจากคำขอของผู้ใช้ในระบบ bug tracker
จะรวมในเวอร์ชัน 26.2 ปีหน้า (ไม่ทันเวอร์ชัน 25.8)
LibreOffice พยายามดึงผู้ใช้ Windows ให้เปลี่ยนมาใช้ Linux และ LibreOffice
- มีคู่มือฟรีสำหรับผู้เปลี่ยนจาก MS Office
- เพิ่มฟีเจอร์ใหม่เพื่อรองรับการใช้งาน เช่น embedded fonts และ inline headings
ฟีเจอร์ Bitcoin ยังไม่พร้อมใช้งานทันที ต้องรอเวอร์ชันใหม่ในปีหน้า
ผู้ใช้ที่ต้องการใช้งานทันทีอาจต้องหาวิธี workaround ไปก่อน
การเปลี่ยนจาก MS Office ไป LibreOffice อาจมีช่วงปรับตัว โดยเฉพาะผู้ใช้ที่พึ่งพาฟีเจอร์เฉพาะของ Microsoft
https://www.neowin.net/news/another-blow-for-ms-office-libreoffice-brings-feature-ms-office-has-had-for-almost-10-years/เรื่องเล่าจากโลกซอฟต์แวร์: LibreOffice ขยับตาม MS Office ด้วยฟีเจอร์รองรับ Bitcoin ลองนึกภาพว่าเราใช้ LibreOffice Calc เพื่อจัดการงบประมาณ แล้วอยากใส่ข้อมูลธุรกรรม Bitcoin โดยไม่ต้องปรับแต่งฟอร์แมตเองให้ยุ่งยาก ตอนนี้ฝันนั้นใกล้เป็นจริงแล้ว! LibreOffice ได้เพิ่มการรองรับ Bitcoin เป็นหน่วยเงินในโปรแกรม Calc ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ Microsoft Office มีมาตั้งแต่ปี 2016 แล้ว เรื่องเริ่มจากผู้ใช้รายหนึ่งเสนอฟีเจอร์นี้ในระบบติดตามบั๊กของ LibreOffice โดยให้รายละเอียดครบถ้วน เช่น สัญลักษณ์ ₿ (U+20BF), การแสดงทศนิยม 8 หลัก (เพื่อรองรับ Satoshi) และการวางสัญลักษณ์ไว้หน้าตัวเลขเหมือนกับเครื่องหมายดอลลาร์ แม้ฟีเจอร์นี้จะยังไม่ทันรวมในเวอร์ชัน 25.8 ที่กำลังจะออก แต่คาดว่าจะมาในเวอร์ชัน 26.2 ปีหน้า ซึ่งจะทำให้การจัดการ Bitcoin ใน LibreOffice ง่ายขึ้นมาก นอกจากนี้ LibreOffice ยังพยายามดึงผู้ใช้ Windows ให้หันมาใช้ Linux และ LibreOffice ด้วยการออกคู่มือฟรี และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อให้ผู้ใช้ Microsoft Office ย้ายมาได้ง่ายขึ้น เช่น การรองรับฟอนต์ฝังในไฟล์ และหัวข้อแบบ inline ใน Writer ✅ LibreOffice เพิ่มฟีเจอร์รองรับ Bitcoin ใน Calc - ✅ ใช้สัญลักษณ์ ₿ (U+20BF) - ✅ รองรับทศนิยม 8 หลัก (Satoshi) - ✅ แสดงสัญลักษณ์ก่อนตัวเลขเหมือนเครื่องหมายดอลลาร์ ✅ ฟีเจอร์นี้มาจากคำขอของผู้ใช้ในระบบ bug tracker ✅ จะรวมในเวอร์ชัน 26.2 ปีหน้า (ไม่ทันเวอร์ชัน 25.8) ✅ LibreOffice พยายามดึงผู้ใช้ Windows ให้เปลี่ยนมาใช้ Linux และ LibreOffice - ✅ มีคู่มือฟรีสำหรับผู้เปลี่ยนจาก MS Office - ✅ เพิ่มฟีเจอร์ใหม่เพื่อรองรับการใช้งาน เช่น embedded fonts และ inline headings ‼️ ฟีเจอร์ Bitcoin ยังไม่พร้อมใช้งานทันที ต้องรอเวอร์ชันใหม่ในปีหน้า ‼️ ผู้ใช้ที่ต้องการใช้งานทันทีอาจต้องหาวิธี workaround ไปก่อน ‼️ การเปลี่ยนจาก MS Office ไป LibreOffice อาจมีช่วงปรับตัว โดยเฉพาะผู้ใช้ที่พึ่งพาฟีเจอร์เฉพาะของ Microsoft https://www.neowin.net/news/another-blow-for-ms-office-libreoffice-brings-feature-ms-office-has-had-for-almost-10-years/WWW.NEOWIN.NETAnother blow for MS Office? LibreOffice brings feature MS Office has had for almost 10 yearsLibreOffice, the popular MS Office alternative, has added another feature that brings it closer to full feature parity with Microsoft Office.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 381 มุมมอง 0 รีวิว - เรื่องเล่าจากโลกโอเพ่นซอร์ส: Plasma Bigscreen คืนชีพสู่จอทีวี
จำโปรเจกต์ Plasma Bigscreen ได้ไหม? มันเคยเป็นความพยายามของ KDE ที่จะสร้างระบบสำหรับทีวีแบบโอเพ่นซอร์ส โดยใช้ Plasma shell ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับจอใหญ่ และเคยรองรับผู้ช่วยเสียง Mycroft ที่ตอนนี้เลิกพัฒนาไปแล้ว
หลังจากถูกทิ้งไว้ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ Plasma 6 เพราะไม่มีใครพอร์ตให้ทันเวลา ล่าสุด Devin ผู้พัฒนา Plasma Mobile ได้กลับมาปลุกชีพโปรเจกต์นี้อีกครั้งในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์! เขาเริ่มจากการล้างโค้ดเก่า แล้วออกแบบ UI ใหม่ให้ทันสมัยขึ้น โดยใช้แนวคิดจาก Breeze mockups
ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามา ได้แก่:
- หน้าโฮมแบบเรียบง่าย ไม่มีพื้นหลังของแผง
- เอฟเฟกต์เบลอพื้นหลังขณะนำทางเมนู
- ระบบค้นหาใหม่ผ่าน KRunner
- Settings แบบสองแถบ พร้อม sidebar
- โมดูล Wi-Fi และ KDE Connect ที่ได้รับการแก้ไข
- แอนิเมชันตอนเปิดแอปแบบเดียวกับ Plasma Mobile
แม้ยังไม่สมบูรณ์ เช่น ยังไม่มีคีย์บอร์ดเสมือนที่ใช้ลูกศรนำทางได้ และยังไม่มีทิศทางชัดเจนหลังจาก Mycroft หายไป แต่เป้าหมายคือการนำกลับเข้าสู่ตารางออกเวอร์ชันของ Plasma อีกครั้งในเวอร์ชัน 6.5
https://www.neowin.net/news/kdes-android-tv-alternative-plasma-bigscreen-rises-from-the-dead-with-a-better-ui/🎙️ เรื่องเล่าจากโลกโอเพ่นซอร์ส: Plasma Bigscreen คืนชีพสู่จอทีวี 📺 จำโปรเจกต์ Plasma Bigscreen ได้ไหม? มันเคยเป็นความพยายามของ KDE ที่จะสร้างระบบสำหรับทีวีแบบโอเพ่นซอร์ส โดยใช้ Plasma shell ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับจอใหญ่ และเคยรองรับผู้ช่วยเสียง Mycroft ที่ตอนนี้เลิกพัฒนาไปแล้ว หลังจากถูกทิ้งไว้ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ Plasma 6 เพราะไม่มีใครพอร์ตให้ทันเวลา ล่าสุด Devin ผู้พัฒนา Plasma Mobile ได้กลับมาปลุกชีพโปรเจกต์นี้อีกครั้งในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์! เขาเริ่มจากการล้างโค้ดเก่า แล้วออกแบบ UI ใหม่ให้ทันสมัยขึ้น โดยใช้แนวคิดจาก Breeze mockups ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามา ได้แก่: - หน้าโฮมแบบเรียบง่าย ไม่มีพื้นหลังของแผง - เอฟเฟกต์เบลอพื้นหลังขณะนำทางเมนู - ระบบค้นหาใหม่ผ่าน KRunner - Settings แบบสองแถบ พร้อม sidebar - โมดูล Wi-Fi และ KDE Connect ที่ได้รับการแก้ไข - แอนิเมชันตอนเปิดแอปแบบเดียวกับ Plasma Mobile แม้ยังไม่สมบูรณ์ เช่น ยังไม่มีคีย์บอร์ดเสมือนที่ใช้ลูกศรนำทางได้ และยังไม่มีทิศทางชัดเจนหลังจาก Mycroft หายไป แต่เป้าหมายคือการนำกลับเข้าสู่ตารางออกเวอร์ชันของ Plasma อีกครั้งในเวอร์ชัน 6.5 https://www.neowin.net/news/kdes-android-tv-alternative-plasma-bigscreen-rises-from-the-dead-with-a-better-ui/WWW.NEOWIN.NETKDE's Android TV alternative, Plasma Bigscreen, rises from the dead with a better UIAnother KDE project, Plasma Bigscreen, is back from the dead with a much better UI spread across the entire shell.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 396 มุมมอง 0 รีวิว - เจ้าหน้าที่ฝ่ายค้านระดับสูงของกัมพูชารายหนึ่ง เตือนว่าพวกเจ้าหน้าที่ของฝ่ายไทยอาจขอให้อินเตอร์โพล ออกหมายแดงสำหรับจับกุม ฮุนเซน ผู้นำพรรคประชาชนกัมพูชา ถ้าหากว่าอัยการไทยเดินหน้าคดีอาญากับอดีตนายกรัฐมนตรีและประธานวุฒิสภาเขมรรายนี้
.
อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000066726
#Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
เจ้าหน้าที่ฝ่ายค้านระดับสูงของกัมพูชารายหนึ่ง เตือนว่าพวกเจ้าหน้าที่ของฝ่ายไทยอาจขอให้อินเตอร์โพล ออกหมายแดงสำหรับจับกุม ฮุนเซน ผู้นำพรรคประชาชนกัมพูชา ถ้าหากว่าอัยการไทยเดินหน้าคดีอาญากับอดีตนายกรัฐมนตรีและประธานวุฒิสภาเขมรรายนี้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000066726 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1299 มุมมอง 1 รีวิว
6
- เรื่องเล่าจากโลก Windows: แอปพื้นฐานใน Windows 11 เปลี่ยนใหม่เพื่อความเร็วและความปลอดภัย
ถ้าเคยติดตั้ง Windows 11 มาก่อน คุณอาจเคยเจอว่าแอปพื้นฐานบางตัวไม่สามารถใช้งานได้ทันทีหลังเปิดเครื่อง เพราะมันเป็นแค่ “ตัวแทน” ที่ต้องดาวน์โหลดไฟล์จริงจาก Microsoft Store ก่อนใช้งาน
Microsoft เคยใช้วิธีนี้เพื่อลดขนาดไฟล์ติดตั้งและทำให้การติดตั้งเร็วขึ้น แต่ตอนนี้พวกเขาเปลี่ยนแนวทางแล้ว!
ใน Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 และ Windows Server 2025 ที่ออกใหม่ Microsoft ได้รวมแอปพื้นฐานเวอร์ชันล่าสุดไว้ในตัวติดตั้งเลย เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ทันทีหลังเปิดเครื่อง โดยไม่ต้องรอดาวน์โหลด
เหตุผลหลักมี 2 ข้อ:
ความปลอดภัย: ลดช่องโหว่จากแอปเวอร์ชันเก่าที่ติดมากับ RTM
ความสะดวก: ไม่ต้องรอโหลดแอปจาก Store ประหยัดเวลาและแบนด์วิดท์
มีแอปทั้งหมด 36 ตัวที่ได้รับการอัปเดต เช่น Notepad, Paint, Calculator, Media Player, Photos, Snipping Tool, Xbox Game Bar และอีกมากมาย
Microsoft เปลี่ยนแนวทางการรวมแอปพื้นฐานใน Windows 11
จากเดิมใช้ตัวแทนที่ต้องดาวน์โหลดจาก Store
ตอนนี้รวมแอปเวอร์ชันล่าสุดไว้ในตัวติดตั้งเลย
เหตุผลหลักคือ:
เพิ่มความปลอดภัยจากช่องโหว่ในแอปเวอร์ชันเก่า
เพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้ใช้งานได้ทันที
Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 รวมแอปพื้นฐานใหม่ 36 ตัว
เช่น Notepad, Paint, Calculator, Media Player, Photos, Snipping Tool, Xbox Game Bar ฯลฯ
Windows Server 2025 ก็ได้รับการอัปเดตเช่นกัน
รวม App Installer และ Windows Security เวอร์ชันใหม่
วิธีติดตั้ง:
ใช้ Media Creation Tool จากเว็บไซต์ Microsoft
สำหรับ IT admin: ดาวน์โหลดจาก Microsoft 365 admin center หรือ Azure Marketplace
ผู้ใช้ที่ติดตั้งจากสื่อเก่าอาจยังได้แอปเวอร์ชันเก่า
ต้องอัปเดตผ่าน Microsoft Store เพิ่มเติม
การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลเฉพาะในเวอร์ชัน 24H2 ขึ้นไป
ผู้ใช้เวอร์ชันก่อนหน้าอาจไม่ได้รับฟีเจอร์นี้
IT admin ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าใช้สื่อเวอร์ชันล่าสุด
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านความปลอดภัยและความเข้ากันได้
https://www.neowin.net/news/stock-windows-11-apps-get-a-big-change-to-improve-user-experience-and-security/🎙️ เรื่องเล่าจากโลก Windows: แอปพื้นฐานใน Windows 11 เปลี่ยนใหม่เพื่อความเร็วและความปลอดภัย ถ้าเคยติดตั้ง Windows 11 มาก่อน คุณอาจเคยเจอว่าแอปพื้นฐานบางตัวไม่สามารถใช้งานได้ทันทีหลังเปิดเครื่อง เพราะมันเป็นแค่ “ตัวแทน” ที่ต้องดาวน์โหลดไฟล์จริงจาก Microsoft Store ก่อนใช้งาน Microsoft เคยใช้วิธีนี้เพื่อลดขนาดไฟล์ติดตั้งและทำให้การติดตั้งเร็วขึ้น แต่ตอนนี้พวกเขาเปลี่ยนแนวทางแล้ว! 🎉 ใน Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 และ Windows Server 2025 ที่ออกใหม่ Microsoft ได้รวมแอปพื้นฐานเวอร์ชันล่าสุดไว้ในตัวติดตั้งเลย เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ทันทีหลังเปิดเครื่อง โดยไม่ต้องรอดาวน์โหลด เหตุผลหลักมี 2 ข้อ: ✅ ความปลอดภัย: ลดช่องโหว่จากแอปเวอร์ชันเก่าที่ติดมากับ RTM ✅ ความสะดวก: ไม่ต้องรอโหลดแอปจาก Store ประหยัดเวลาและแบนด์วิดท์ มีแอปทั้งหมด 36 ตัวที่ได้รับการอัปเดต เช่น Notepad, Paint, Calculator, Media Player, Photos, Snipping Tool, Xbox Game Bar และอีกมากมาย ✅ Microsoft เปลี่ยนแนวทางการรวมแอปพื้นฐานใน Windows 11 👉 จากเดิมใช้ตัวแทนที่ต้องดาวน์โหลดจาก Store 👉 ตอนนี้รวมแอปเวอร์ชันล่าสุดไว้ในตัวติดตั้งเลย ✅ เหตุผลหลักคือ: 👉 เพิ่มความปลอดภัยจากช่องโหว่ในแอปเวอร์ชันเก่า 👉 เพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้ใช้งานได้ทันที ✅ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 รวมแอปพื้นฐานใหม่ 36 ตัว 👉 เช่น Notepad, Paint, Calculator, Media Player, Photos, Snipping Tool, Xbox Game Bar ฯลฯ ✅ Windows Server 2025 ก็ได้รับการอัปเดตเช่นกัน 👉 รวม App Installer และ Windows Security เวอร์ชันใหม่ ✅ วิธีติดตั้ง: 👉 ใช้ Media Creation Tool จากเว็บไซต์ Microsoft 👉 สำหรับ IT admin: ดาวน์โหลดจาก Microsoft 365 admin center หรือ Azure Marketplace ‼️ ผู้ใช้ที่ติดตั้งจากสื่อเก่าอาจยังได้แอปเวอร์ชันเก่า 👉 ต้องอัปเดตผ่าน Microsoft Store เพิ่มเติม ‼️ การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลเฉพาะในเวอร์ชัน 24H2 ขึ้นไป 👉 ผู้ใช้เวอร์ชันก่อนหน้าอาจไม่ได้รับฟีเจอร์นี้ ‼️ IT admin ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าใช้สื่อเวอร์ชันล่าสุด 👉 เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านความปลอดภัยและความเข้ากันได้ https://www.neowin.net/news/stock-windows-11-apps-get-a-big-change-to-improve-user-experience-and-security/WWW.NEOWIN.NETStock Windows 11 apps get a big change to improve user experience and securityWindows 11 gets an important update to its stock apps, which will significantly improve the user experience and security.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 396 มุมมอง 0 รีวิว - FENGSHUI DAILY
อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว
สีเสริมดวง เสริมความเฮง
ทิศมงคล เวลามงคล
อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 17 เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2568
___________________________________
FengshuiBizDesigner
ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้FENGSHUI DAILY อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว สีเสริมดวง เสริมความเฮง ทิศมงคล เวลามงคล อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่ วันพฤหัสบดีที่ 17 เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2568 ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว - เที่ยวรอบเกาะญี่ปุ่น + เกาหลีใต้ กับเรือสำราญสุดหรู Diamond Princess!
เริ่มจาก โยโกฮาม่า → อาคิตะ → โทยามะ → ซึรุงะ → ซาไกมินาโตะ
แวะเยือน ปูซาน (เกาหลีใต้) แล้วกลับมาเที่ยวต่อที่ นางาซากิ ก่อนวนจบที่โตเกียว
เดินทาง: 25 ต.ค. – 3 พ.ย. 2568
โปรใหญ่สุดคุ้ม!
ราคาเต็ม 1,827 USD → เหลือเพียง 1,079 USD/ท่าน (≈ 35,607 บาท)
พิเศษ! ท่านที่ 3 และ 4 ฟรีค่าเรือ (พักรวมกันต่อห้อง) จ่ายแค่ค่าภาษีท่าเรือ + ทิปพนักงาน
จองภายใน 21 ก.ค. 2568 เท่านั้น!
ห้องพักบนเรือ 10 คืน
อาหารทุกมื้อบนเรือ (ห้องอาหารหลัก + บุฟเฟต์)
เข้าร่วมกิจกรรม และชมการแสดงโชว์สุดพิเศษบนเรือ
⭕️ รหัสแพคเกจทัวร์ : PRIP-11D10N-YOK-YOK-2510081
คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e22b30
ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
https://cruisedomain.com/
LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
: 0 2116 9696
#เรือDiamondPrincess #PrincessCruises #Japan #Busan #Korea #Nagasaki #Sakaiminato #เที่ยวญี่ปุ่น #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #CruiseDomain #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ🚢 เที่ยวรอบเกาะญี่ปุ่น + เกาหลีใต้ กับเรือสำราญสุดหรู Diamond Princess! 📍 เริ่มจาก โยโกฮาม่า → อาคิตะ → โทยามะ → ซึรุงะ → ซาไกมินาโตะ แวะเยือน ปูซาน (เกาหลีใต้) แล้วกลับมาเที่ยวต่อที่ นางาซากิ ก่อนวนจบที่โตเกียว 💬 เดินทาง: 25 ต.ค. – 3 พ.ย. 2568 🔥 โปรใหญ่สุดคุ้ม! 💸 ราคาเต็ม 1,827 USD → เหลือเพียง 1,079 USD/ท่าน (≈ 35,607 บาท) พิเศษ! ท่านที่ 3 และ 4 ฟรีค่าเรือ (พักรวมกันต่อห้อง) ✅ จ่ายแค่ค่าภาษีท่าเรือ + ทิปพนักงาน ⏰ จองภายใน 21 ก.ค. 2568 เท่านั้น! ✅ ห้องพักบนเรือ 10 คืน ✅ อาหารทุกมื้อบนเรือ (ห้องอาหารหลัก + บุฟเฟต์) ✅ เข้าร่วมกิจกรรม และชมการแสดงโชว์สุดพิเศษบนเรือ ⭕️ รหัสแพคเกจทัวร์ : PRIP-11D10N-YOK-YOK-2510081 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e22b30 ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #เรือDiamondPrincess #PrincessCruises #Japan #Busan #Korea #Nagasaki #Sakaiminato #เที่ยวญี่ปุ่น #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #CruiseDomain #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1076 มุมมอง 0 รีวิว - เรื่องเล่าจากโลกชิปเซ็ต: Broadcom เปิดตัว “Tomahawk Ultra” ชิปเครือข่ายเพื่อเร่งพลัง AI
ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต้องการพลังการประมวลผลมหาศาล การเชื่อมต่อระหว่างชิปหลายร้อยตัวให้ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อกลายเป็นหัวใจสำคัญของระบบ AI ขนาดใหญ่ และนี่คือจุดที่ Broadcom เข้ามาเล่นบทพระเอก
Broadcom เปิดตัว “Tomahawk Ultra” ชิปเครือข่ายรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเร่งการประมวลผลข้อมูล AI โดยเฉพาะ โดยชิปนี้จะช่วยให้การเชื่อมโยงระหว่างชิปหลายตัวในระบบ AI เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แม้ Nvidia จะครองตลาด GPU สำหรับ AI มานาน แต่ Broadcom ก็ไม่ใช่ผู้เล่นหน้าใหม่ เพราะพวกเขาเป็นเบื้องหลังของชิป AI ที่ Google ใช้ในระบบของตัวเอง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ทางเลือกที่นักพัฒนา AI มองว่า “พอจะสู้ Nvidia ได้”
Broadcom เปิดตัวชิปเครือข่ายใหม่ชื่อ “Tomahawk Ultra”
ออกแบบมาเพื่อเร่งการประมวลผลข้อมูลในระบบ AI ขนาดใหญ่
ชิปนี้ช่วยเชื่อมโยงชิปหลายร้อยตัวให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เหมาะสำหรับระบบ AI ที่ต้องการการประมวลผลแบบกระจาย
Broadcom เป็นผู้ช่วย Google ในการผลิตชิป AI ของตนเอง
ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้
การเปิดตัวครั้งนี้เป็นการขยายอิทธิพลของ Broadcom ในตลาด AI
โดยเน้นที่โครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายมากกว่าตัวประมวลผลโดยตรง
Tomahawk Ultra ยังไม่ใช่ชิปประมวลผล AI โดยตรง
ต้องใช้ร่วมกับชิปอื่น เช่น GPU หรือ TPU เพื่อให้ระบบ AI ทำงานได้ครบวงจร
การแข่งขันกับ Nvidia ยังต้องใช้เวลาและการยอมรับจากนักพัฒนา
Nvidia มี ecosystem ที่แข็งแกร่งและครองตลาดมานาน
การเปลี่ยนมาใช้โซลูชันของ Broadcom อาจต้องปรับโครงสร้างระบบเดิม
โดยเฉพาะในองค์กรที่ใช้ GPU ของ Nvidia เป็นหลัก
https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/15/broadcom-launches-new-tomahawk-ultra-networking-chip-in-ai-battle-against-nvidia🎙️ เรื่องเล่าจากโลกชิปเซ็ต: Broadcom เปิดตัว “Tomahawk Ultra” ชิปเครือข่ายเพื่อเร่งพลัง AI ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต้องการพลังการประมวลผลมหาศาล การเชื่อมต่อระหว่างชิปหลายร้อยตัวให้ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อกลายเป็นหัวใจสำคัญของระบบ AI ขนาดใหญ่ และนี่คือจุดที่ Broadcom เข้ามาเล่นบทพระเอก Broadcom เปิดตัว “Tomahawk Ultra” ชิปเครือข่ายรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเร่งการประมวลผลข้อมูล AI โดยเฉพาะ โดยชิปนี้จะช่วยให้การเชื่อมโยงระหว่างชิปหลายตัวในระบบ AI เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้ Nvidia จะครองตลาด GPU สำหรับ AI มานาน แต่ Broadcom ก็ไม่ใช่ผู้เล่นหน้าใหม่ เพราะพวกเขาเป็นเบื้องหลังของชิป AI ที่ Google ใช้ในระบบของตัวเอง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ทางเลือกที่นักพัฒนา AI มองว่า “พอจะสู้ Nvidia ได้” ✅ Broadcom เปิดตัวชิปเครือข่ายใหม่ชื่อ “Tomahawk Ultra” 👉 ออกแบบมาเพื่อเร่งการประมวลผลข้อมูลในระบบ AI ขนาดใหญ่ ✅ ชิปนี้ช่วยเชื่อมโยงชิปหลายร้อยตัวให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 👉 เหมาะสำหรับระบบ AI ที่ต้องการการประมวลผลแบบกระจาย ✅ Broadcom เป็นผู้ช่วย Google ในการผลิตชิป AI ของตนเอง 👉 ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ ✅ การเปิดตัวครั้งนี้เป็นการขยายอิทธิพลของ Broadcom ในตลาด AI 👉 โดยเน้นที่โครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายมากกว่าตัวประมวลผลโดยตรง ‼️ Tomahawk Ultra ยังไม่ใช่ชิปประมวลผล AI โดยตรง 👉 ต้องใช้ร่วมกับชิปอื่น เช่น GPU หรือ TPU เพื่อให้ระบบ AI ทำงานได้ครบวงจร ‼️ การแข่งขันกับ Nvidia ยังต้องใช้เวลาและการยอมรับจากนักพัฒนา 👉 Nvidia มี ecosystem ที่แข็งแกร่งและครองตลาดมานาน ‼️ การเปลี่ยนมาใช้โซลูชันของ Broadcom อาจต้องปรับโครงสร้างระบบเดิม 👉 โดยเฉพาะในองค์กรที่ใช้ GPU ของ Nvidia เป็นหลัก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/15/broadcom-launches-new-tomahawk-ultra-networking-chip-in-ai-battle-against-nvidiaWWW.THESTAR.COM.MYBroadcom launches new Tomahawk Ultra networking chip in AI battle against NvidiaSAN FRANCISCO (Reuters) -Broadcom's chip unit unveiled on Tuesday a new networking processor that aims to speed artificial intelligence data crunching, which requires stringing together hundreds of chips that work together.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 358 มุมมอง 0 รีวิว - เรื่องเล่าจากโลกการเงิน: Citigroup อาจออก Stablecoin ของตัวเองเพื่อเร่งระบบการชำระเงินดิจิทัล
ในโลกที่การเงินดิจิทัลเติบโตอย่างรวดเร็ว ธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง Citigroup ก็ไม่ยอมตกขบวน ล่าสุด Jane Fraser ซีอีโอของ Citi ได้เปิดเผยว่า ธนาคารกำลังพิจารณาออก “Citi Stablecoin” เพื่อใช้ในการชำระเงินดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แต่ที่น่าสนใจกว่าคือ Citi ไม่ได้มองแค่การออกเหรียญเท่านั้น พวกเขายังเน้นไปที่ “tokenized deposit” หรือการแปลงเงินฝากให้เป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ธนาคารกำลังลงทุนอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ Citi ยังสำรวจการบริหารทุนสำรองสำหรับ stablecoin และการให้บริการดูแลสินทรัพย์คริปโต (custody) เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในยุคใหม่
ข่าวนี้ออกมาหลังจาก Citi รายงานผลประกอบการไตรมาสสองที่ดีกว่าคาด และประกาศแผนซื้อหุ้นคืนอย่างน้อย 4 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008
Stablecoin ของ Citi ยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณา
ยังไม่มีการประกาศวันเปิดตัวหรือรายละเอียดเชิงเทคนิค
การเข้าสู่ตลาด stablecoin ต้องเผชิญกับข้อกำกับทางกฎหมาย
โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบคริปโต
การแข่งขันในตลาด stablecoin มีผู้เล่นรายใหญ่อยู่แล้ว
เช่น USDC, USDT และโครงการจากธนาคารอื่น ๆ
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเงินดิจิทัลอาจกระทบระบบธนาคารแบบดั้งเดิม
ต้องมีการปรับตัวทั้งในด้านเทคโนโลยีและความเชื่อมั่นจากลูกค้า
https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/16/citigroup-considers-issuing-its-own-stablecoin-ceo-says🎙️ เรื่องเล่าจากโลกการเงิน: Citigroup อาจออก Stablecoin ของตัวเองเพื่อเร่งระบบการชำระเงินดิจิทัล ในโลกที่การเงินดิจิทัลเติบโตอย่างรวดเร็ว ธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง Citigroup ก็ไม่ยอมตกขบวน ล่าสุด Jane Fraser ซีอีโอของ Citi ได้เปิดเผยว่า ธนาคารกำลังพิจารณาออก “Citi Stablecoin” เพื่อใช้ในการชำระเงินดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ที่น่าสนใจกว่าคือ Citi ไม่ได้มองแค่การออกเหรียญเท่านั้น พวกเขายังเน้นไปที่ “tokenized deposit” หรือการแปลงเงินฝากให้เป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ธนาคารกำลังลงทุนอย่างจริงจัง นอกจากนี้ Citi ยังสำรวจการบริหารทุนสำรองสำหรับ stablecoin และการให้บริการดูแลสินทรัพย์คริปโต (custody) เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในยุคใหม่ ข่าวนี้ออกมาหลังจาก Citi รายงานผลประกอบการไตรมาสสองที่ดีกว่าคาด และประกาศแผนซื้อหุ้นคืนอย่างน้อย 4 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008 ‼️ Stablecoin ของ Citi ยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณา 👉 ยังไม่มีการประกาศวันเปิดตัวหรือรายละเอียดเชิงเทคนิค ‼️ การเข้าสู่ตลาด stablecoin ต้องเผชิญกับข้อกำกับทางกฎหมาย 👉 โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบคริปโต ‼️ การแข่งขันในตลาด stablecoin มีผู้เล่นรายใหญ่อยู่แล้ว 👉 เช่น USDC, USDT และโครงการจากธนาคารอื่น ๆ ‼️ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเงินดิจิทัลอาจกระทบระบบธนาคารแบบดั้งเดิม 👉 ต้องมีการปรับตัวทั้งในด้านเทคโนโลยีและความเชื่อมั่นจากลูกค้า https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/16/citigroup-considers-issuing-its-own-stablecoin-ceo-saysWWW.THESTAR.COM.MYCitigroup considers issuing its own stablecoin, CEO saysNEW YORK (Reuters) -Citigroup may issue its own stablecoin in an effort to facilitate digital payments, the bank's CEO, Jane Fraser, told analysts on a post-earnings conference call on Tuesday.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 480 มุมมอง 0 รีวิว - เรื่องเล่าจากห้องแล็บ: เครื่องมือใหม่จากนักวิทยาศาสตร์ที่ “บอกได้ว่าเราแก่เร็วแค่ไหน”
นักวิจัยจาก Duke, Harvard และ University of Otago ได้ร่วมกันพัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์อายุชีวภาพจากการสแกนสมองด้วย MRI ที่สามารถบอกได้ว่าเรากำลัง “แก่เร็วแค่ไหน” ทั้งในด้านร่างกายและสมอง แม้จะยังไม่มีอาการเจ็บป่วยใด ๆ ปรากฏ
เครื่องมือนี้ใช้ข้อมูลจากการสแกนสมองของคนอายุ 45 ปี แล้วนำไปเปรียบเทียบกับตัวชี้วัดสุขภาพ เช่น ความดันโลหิต, BMI, น้ำตาล, คอเลสเตอรอล, การทำงานของปอดและไต, สุขภาพเหงือกและฟัน เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคเรื้อรังที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
สิ่งที่น่าทึ่งคือ เครื่องมือนี้สามารถใช้คาดการณ์ความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมและโรคที่เกี่ยวข้องกับวัยชราได้ล่วงหน้าหลายสิบปี ซึ่งอาจช่วยให้ผู้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนที่อาการจะปรากฏ
นักวิจัยจาก Duke, Harvard และ Otago พัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์อายุชีวภาพจาก MRI
ใช้ข้อมูลจากการสแกนสมองของคนอายุ 45 ปี
เครื่องมือนี้สามารถประเมินความเสี่ยงของโรคเรื้อรังในอนาคต
เช่น โรคสมองเสื่อมและโรคที่เกี่ยวข้องกับวัยชรา
ใช้ตัวชี้วัดสุขภาพหลายด้านประกอบการวิเคราะห์
เช่น ความดันโลหิต, BMI, น้ำตาล, คอเลสเตอรอล, ปอด, ไต, เหงือกและฟัน
ข้อมูลจากการศึกษามากกว่า 50,000 เคสจากหลายประเทศ
รวมถึงแคนาดา, นิวซีแลนด์, สหราชอาณาจักร, สหรัฐฯ และละตินอเมริกา
เครื่องมือนี้ช่วยให้ผู้สูงอายุมีโอกาสชะลอโรคได้หากรู้ล่วงหน้า
และช่วยให้คนวัยกลางคนปรับพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น
เครื่องมือนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและยังไม่ใช่เครื่องมือทางคลินิกทั่วไป
ต้องรอการรับรองและการใช้งานจริงในระบบสาธารณสุข
การวิเคราะห์อายุชีวภาพไม่ใช่การทำนายอนาคตแบบแม่นยำ 100%
เป็นการประเมินความเสี่ยงโดยอิงจากข้อมูลทางสุขภาพและสถิติ
การรู้ว่า “แก่เร็ว” อาจส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้ใช้
ต้องมีการให้คำปรึกษาและการสื่อสารอย่างเหมาะสม
การเข้าถึงเทคโนโลยีนี้อาจยังจำกัดในบางประเทศหรือกลุ่มประชากร
โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ระบบสาธารณสุขยังไม่พร้อมรองรับ
https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/16/scientists-develop-tool-to-039tell-how-fast-someone-is-ageing039🎙️ เรื่องเล่าจากห้องแล็บ: เครื่องมือใหม่จากนักวิทยาศาสตร์ที่ “บอกได้ว่าเราแก่เร็วแค่ไหน” นักวิจัยจาก Duke, Harvard และ University of Otago ได้ร่วมกันพัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์อายุชีวภาพจากการสแกนสมองด้วย MRI ที่สามารถบอกได้ว่าเรากำลัง “แก่เร็วแค่ไหน” ทั้งในด้านร่างกายและสมอง แม้จะยังไม่มีอาการเจ็บป่วยใด ๆ ปรากฏ เครื่องมือนี้ใช้ข้อมูลจากการสแกนสมองของคนอายุ 45 ปี แล้วนำไปเปรียบเทียบกับตัวชี้วัดสุขภาพ เช่น ความดันโลหิต, BMI, น้ำตาล, คอเลสเตอรอล, การทำงานของปอดและไต, สุขภาพเหงือกและฟัน เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคเรื้อรังที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต สิ่งที่น่าทึ่งคือ เครื่องมือนี้สามารถใช้คาดการณ์ความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมและโรคที่เกี่ยวข้องกับวัยชราได้ล่วงหน้าหลายสิบปี ซึ่งอาจช่วยให้ผู้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนที่อาการจะปรากฏ ✅ นักวิจัยจาก Duke, Harvard และ Otago พัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์อายุชีวภาพจาก MRI 👉 ใช้ข้อมูลจากการสแกนสมองของคนอายุ 45 ปี ✅ เครื่องมือนี้สามารถประเมินความเสี่ยงของโรคเรื้อรังในอนาคต 👉 เช่น โรคสมองเสื่อมและโรคที่เกี่ยวข้องกับวัยชรา ✅ ใช้ตัวชี้วัดสุขภาพหลายด้านประกอบการวิเคราะห์ 👉 เช่น ความดันโลหิต, BMI, น้ำตาล, คอเลสเตอรอล, ปอด, ไต, เหงือกและฟัน ✅ ข้อมูลจากการศึกษามากกว่า 50,000 เคสจากหลายประเทศ 👉 รวมถึงแคนาดา, นิวซีแลนด์, สหราชอาณาจักร, สหรัฐฯ และละตินอเมริกา ✅ เครื่องมือนี้ช่วยให้ผู้สูงอายุมีโอกาสชะลอโรคได้หากรู้ล่วงหน้า 👉 และช่วยให้คนวัยกลางคนปรับพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น ‼️ เครื่องมือนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและยังไม่ใช่เครื่องมือทางคลินิกทั่วไป 👉 ต้องรอการรับรองและการใช้งานจริงในระบบสาธารณสุข ‼️ การวิเคราะห์อายุชีวภาพไม่ใช่การทำนายอนาคตแบบแม่นยำ 100% 👉 เป็นการประเมินความเสี่ยงโดยอิงจากข้อมูลทางสุขภาพและสถิติ ‼️ การรู้ว่า “แก่เร็ว” อาจส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้ใช้ 👉 ต้องมีการให้คำปรึกษาและการสื่อสารอย่างเหมาะสม ‼️ การเข้าถึงเทคโนโลยีนี้อาจยังจำกัดในบางประเทศหรือกลุ่มประชากร 👉 โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ระบบสาธารณสุขยังไม่พร้อมรองรับ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/16/scientists-develop-tool-to-039tell-how-fast-someone-is-ageing039WWW.THESTAR.COM.MYScientists develop tool to 'tell how fast someone is ageing'Assessing how and why people age differently has long eluded doctors and scientists, particularly when there are no obvious explanations such as illness or history of injury.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 547 มุมมอง 0 รีวิว - เรื่องเล่าจากโลกโซเชียล: เมื่อเสียงของคนส่วนน้อยทำให้โลกออนไลน์ดูแย่กว่าความเป็นจริง
ลองจินตนาการว่าเอเลี่ยนตัดสินใจทำลายมนุษย์โดยดูจากพฤติกรรมในโลกออนไลน์...เราคงไม่รอด แต่ความจริงคือ โลกออนไลน์ไม่ได้สะท้อนชีวิตจริงของคนส่วนใหญ่เลย
งานวิจัยจาก NYU และมหาวิทยาลัยอื่น ๆ พบว่า โซเชียลมีเดียทำหน้าที่เหมือน “กระจกหลอก” ที่ขยายเสียงสุดโต่งและกลบเสียงกลาง ๆ ที่มีเหตุผล โดยเฉพาะในเรื่องการเมืองและข่าวปลอม
ตัวอย่างเช่น:
- บนแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) มีผู้ใช้เพียง 10% ที่สร้างโพสต์การเมืองถึง 97%
- ข่าวปลอมส่วนใหญ่ (80%) มาจากผู้ใช้เพียง 0.1%
- กลุ่ม “Disinformation Dozen” บน Facebook คือ 12 คนที่สร้างข้อมูลเท็จเกี่ยวกับวัคซีนโควิดเกือบทั้งหมด
แพลตฟอร์มเองก็มีส่วนร่วม เพราะอัลกอริธึมมักขยายโพสต์ที่กระตุ้นอารมณ์เพื่อเรียกยอด engagement ทำให้คนทั่วไปเห็นแต่เนื้อหาสุดโต่ง และเริ่มเชื่อว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
แต่มีข่าวดี! การทดลองพบว่า แค่เลิกติดตามบัญชีการเมืองสุดโต่ง ก็สามารถลดความรู้สึกเกลียดชังลงได้ถึง 23% และเกือบครึ่งของผู้ร่วมทดลองไม่กลับไปติดตามอีกเลย
โลกออนไลน์ไม่ได้สะท้อนพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่
เสียงสุดโต่งถูกขยายผ่านอัลกอริธึมและการโพสต์ซ้ำ
งานวิจัยจาก NYU พบว่าโซเชียลมีเดียเป็น “กระจกหลอก” ของสังคม
ขยายเสียงสุดโต่งและกลบเสียงที่มีเหตุผล
บนแพลตฟอร์ม X:
10% ของผู้ใช้สร้าง 97% ของโพสต์การเมือง
ข่าวปลอมส่วนใหญ่มาจากผู้ใช้เพียง 0.1%
เช่น “Disinformation Dozen” บน Facebook
การทดลองให้ผู้ใช้เลิกติดตามบัญชีสุดโต่งช่วยลดความเกลียดชัง
ลดความรู้สึกเป็นศัตรูทางการเมืองลง 23%
เกือบครึ่งไม่กลับไปติดตามอีก
ความเข้าใจผิดว่าโลกออนไลน์คือภาพจริงของสังคม
อาจทำให้เรามองโลกในแง่ร้ายเกินไป
อัลกอริธึมของแพลตฟอร์มมีบทบาทในการขยายโพสต์สุดโต่ง
ส่งเสริมพฤติกรรม “rage bait” เพื่อเรียกยอด engagement
การบริโภคเนื้อหาสุดโต่งบ่อย ๆ อาจทำให้เรารู้สึกแย่กับมนุษย์โดยรวม
ทั้งที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีพฤติกรรมแบบนั้น
การไม่รู้เท่าทันกลไกของโซเชียลมีเดียอาจทำให้เราตกเป็นเหยื่อของการบิดเบือน
โดยเฉพาะในเรื่องการเมืองและสุขภาพ
https://www.techspot.com/news/108676-why-small-group-online-users-makes-world-look.html🎙️ เรื่องเล่าจากโลกโซเชียล: เมื่อเสียงของคนส่วนน้อยทำให้โลกออนไลน์ดูแย่กว่าความเป็นจริง ลองจินตนาการว่าเอเลี่ยนตัดสินใจทำลายมนุษย์โดยดูจากพฤติกรรมในโลกออนไลน์...เราคงไม่รอด 😅 แต่ความจริงคือ โลกออนไลน์ไม่ได้สะท้อนชีวิตจริงของคนส่วนใหญ่เลย งานวิจัยจาก NYU และมหาวิทยาลัยอื่น ๆ พบว่า โซเชียลมีเดียทำหน้าที่เหมือน “กระจกหลอก” ที่ขยายเสียงสุดโต่งและกลบเสียงกลาง ๆ ที่มีเหตุผล โดยเฉพาะในเรื่องการเมืองและข่าวปลอม ตัวอย่างเช่น: - บนแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) มีผู้ใช้เพียง 10% ที่สร้างโพสต์การเมืองถึง 97% - ข่าวปลอมส่วนใหญ่ (80%) มาจากผู้ใช้เพียง 0.1% - กลุ่ม “Disinformation Dozen” บน Facebook คือ 12 คนที่สร้างข้อมูลเท็จเกี่ยวกับวัคซีนโควิดเกือบทั้งหมด แพลตฟอร์มเองก็มีส่วนร่วม เพราะอัลกอริธึมมักขยายโพสต์ที่กระตุ้นอารมณ์เพื่อเรียกยอด engagement ทำให้คนทั่วไปเห็นแต่เนื้อหาสุดโต่ง และเริ่มเชื่อว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความเกลียดชัง แต่มีข่าวดี! การทดลองพบว่า แค่เลิกติดตามบัญชีการเมืองสุดโต่ง ก็สามารถลดความรู้สึกเกลียดชังลงได้ถึง 23% และเกือบครึ่งของผู้ร่วมทดลองไม่กลับไปติดตามอีกเลย ✅ โลกออนไลน์ไม่ได้สะท้อนพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ ➡️ เสียงสุดโต่งถูกขยายผ่านอัลกอริธึมและการโพสต์ซ้ำ ✅ งานวิจัยจาก NYU พบว่าโซเชียลมีเดียเป็น “กระจกหลอก” ของสังคม ➡️ ขยายเสียงสุดโต่งและกลบเสียงที่มีเหตุผล ✅ บนแพลตฟอร์ม X: ➡️ 10% ของผู้ใช้สร้าง 97% ของโพสต์การเมือง ✅ ข่าวปลอมส่วนใหญ่มาจากผู้ใช้เพียง 0.1% ➡️ เช่น “Disinformation Dozen” บน Facebook ✅ การทดลองให้ผู้ใช้เลิกติดตามบัญชีสุดโต่งช่วยลดความเกลียดชัง ➡️ ลดความรู้สึกเป็นศัตรูทางการเมืองลง 23% ➡️ เกือบครึ่งไม่กลับไปติดตามอีก ‼️ ความเข้าใจผิดว่าโลกออนไลน์คือภาพจริงของสังคม ⛔ อาจทำให้เรามองโลกในแง่ร้ายเกินไป ‼️ อัลกอริธึมของแพลตฟอร์มมีบทบาทในการขยายโพสต์สุดโต่ง ⛔ ส่งเสริมพฤติกรรม “rage bait” เพื่อเรียกยอด engagement ‼️ การบริโภคเนื้อหาสุดโต่งบ่อย ๆ อาจทำให้เรารู้สึกแย่กับมนุษย์โดยรวม ⛔ ทั้งที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีพฤติกรรมแบบนั้น ‼️ การไม่รู้เท่าทันกลไกของโซเชียลมีเดียอาจทำให้เราตกเป็นเหยื่อของการบิดเบือน ⛔ โดยเฉพาะในเรื่องการเมืองและสุขภาพ https://www.techspot.com/news/108676-why-small-group-online-users-makes-world-look.htmlWWW.TECHSPOT.COMHow a few online users make the internet – and humanity – look worse than they areThe online world isn't a true reflection of everyday life for most people. We're not met with a barrage of abuse from angry strangers as we walk...0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 500 มุมมอง 0 รีวิว - เรื่องเล่าจากชานเมือง: เมื่อผู้ใช้เบื่อความช้า จึงลุกขึ้นสร้าง ISP เอง
ในเมือง Saline รัฐมิชิแกน สองญาติสนิท—Samuel Herman และ Alexander Baciu—ตัดสินใจไม่ทนกับอินเทอร์เน็ตช้า ๆ จาก Comcast อีกต่อไป พวกเขาเคยประสบปัญหาอัปโหลดช้า หลุดบ่อย และต้องโทรแจ้งซ้ำ ๆ โดยไม่มีการแก้ไขถาวร
หลังจากแต่งงานและสร้างบ้านใหม่ในปี 2021 Herman พบว่าไม่มีผู้ให้บริการไฟเบอร์รายใดสนใจพื้นที่ของเขา แม้จะมีประสบการณ์ในงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ISP ก็ตาม เขาและ Baciu จึงเปลี่ยนธุรกิจครอบครัวให้กลายเป็นผู้รับเหมาโครงข่ายไฟเบอร์ และก่อตั้ง Prime-One ISP ขึ้นมาเอง
Prime-One เป็นเครือข่ายไฟเบอร์ใต้ดิน 100% ที่เน้นความเสถียรและความเร็ว โดยมีแพ็กเกจตั้งแต่ 500Mbps ถึง 5Gbps พร้อมบริการแบบไม่มีสัญญา ไม่จำกัดข้อมูล และไม่มีค่าติดตั้ง
พวกเขาเริ่มให้บริการตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 และขยายเครือข่ายไปแล้วกว่า 75 ไมล์ ครอบคลุม 1,500 หลังคาเรือน โดยตั้งเป้าจะเข้าถึง 4,000 หลังคาเรือนในอนาคต
Prime-One เป็น ISP ไฟเบอร์ใต้ดินที่ก่อตั้งโดยสองชาวเมือง Saline
Samuel Herman และ Alexander Baciu เปลี่ยนธุรกิจครอบครัวมาสร้างโครงข่ายเอง
เหตุผลหลักคือความไม่พอใจต่อบริการของ Comcast
อัปโหลดช้า หลุดบ่อย และไม่มีการแก้ไขถาวร
Prime-One ให้บริการแบบไม่มีสัญญา ไม่จำกัดข้อมูล และไม่มีค่าติดตั้ง
ราคาเริ่มต้น $75 สำหรับ 500Mbps และสูงสุด $110 สำหรับ 5Gbps
ลูกค้าได้รับอุปกรณ์ครบชุดโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
Optical Network Terminal, โมเด็ม และ Wi-Fi Router (ถ้าต้องการ)
บริษัทมีพนักงาน 15 คน และให้บริการซ่อมภายใน 2–4 ชั่วโมง
มีเครดิต $5 ต่อชั่วโมงหากเกิด downtime
ได้รับคำแนะนำจาก Jared Mauch ผู้เคยสร้าง ISP ไฟเบอร์ในพื้นที่ชนบท
ใช้อุปกรณ์ของ Nokia และวางแผนขยายต่อในอนาคต
Prime-One ยังมีลูกค้าเพียง 100 รายจากเป้าหมาย 4,000 หลังคาเรือน
ต้องการ penetration ประมาณ 30% เพื่อคุ้มทุน
การแข่งขันกับ Comcast และ Frontier ยังดุเดือด
Comcast เสนอส่วนลดและสัญญาระยะยาวเพื่อดึงลูกค้ากลับ
ลูกค้าบางรายยังติดอยู่กับแผนเก่าที่มี data cap
ต้องเปลี่ยนแผนใหม่เพื่อรับสิทธิ์ unlimited data
การขยายเครือข่ายไฟเบอร์ต้องใช้เงินลงทุนสูงและใช้เวลานาน
โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่มีประชากรเบาบาง
https://www.techspot.com/news/108670-tired-slow-speeds-two-michigan-residents-building-their.html🎙️ เรื่องเล่าจากชานเมือง: เมื่อผู้ใช้เบื่อความช้า จึงลุกขึ้นสร้าง ISP เอง ในเมือง Saline รัฐมิชิแกน สองญาติสนิท—Samuel Herman และ Alexander Baciu—ตัดสินใจไม่ทนกับอินเทอร์เน็ตช้า ๆ จาก Comcast อีกต่อไป พวกเขาเคยประสบปัญหาอัปโหลดช้า หลุดบ่อย และต้องโทรแจ้งซ้ำ ๆ โดยไม่มีการแก้ไขถาวร หลังจากแต่งงานและสร้างบ้านใหม่ในปี 2021 Herman พบว่าไม่มีผู้ให้บริการไฟเบอร์รายใดสนใจพื้นที่ของเขา แม้จะมีประสบการณ์ในงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ISP ก็ตาม เขาและ Baciu จึงเปลี่ยนธุรกิจครอบครัวให้กลายเป็นผู้รับเหมาโครงข่ายไฟเบอร์ และก่อตั้ง Prime-One ISP ขึ้นมาเอง Prime-One เป็นเครือข่ายไฟเบอร์ใต้ดิน 100% ที่เน้นความเสถียรและความเร็ว โดยมีแพ็กเกจตั้งแต่ 500Mbps ถึง 5Gbps พร้อมบริการแบบไม่มีสัญญา ไม่จำกัดข้อมูล และไม่มีค่าติดตั้ง พวกเขาเริ่มให้บริการตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 และขยายเครือข่ายไปแล้วกว่า 75 ไมล์ ครอบคลุม 1,500 หลังคาเรือน โดยตั้งเป้าจะเข้าถึง 4,000 หลังคาเรือนในอนาคต ✅ Prime-One เป็น ISP ไฟเบอร์ใต้ดินที่ก่อตั้งโดยสองชาวเมือง Saline ➡️ Samuel Herman และ Alexander Baciu เปลี่ยนธุรกิจครอบครัวมาสร้างโครงข่ายเอง ✅ เหตุผลหลักคือความไม่พอใจต่อบริการของ Comcast ➡️ อัปโหลดช้า หลุดบ่อย และไม่มีการแก้ไขถาวร ✅ Prime-One ให้บริการแบบไม่มีสัญญา ไม่จำกัดข้อมูล และไม่มีค่าติดตั้ง ➡️ ราคาเริ่มต้น $75 สำหรับ 500Mbps และสูงสุด $110 สำหรับ 5Gbps ✅ ลูกค้าได้รับอุปกรณ์ครบชุดโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ➡️ Optical Network Terminal, โมเด็ม และ Wi-Fi Router (ถ้าต้องการ) ✅ บริษัทมีพนักงาน 15 คน และให้บริการซ่อมภายใน 2–4 ชั่วโมง ➡️ มีเครดิต $5 ต่อชั่วโมงหากเกิด downtime ✅ ได้รับคำแนะนำจาก Jared Mauch ผู้เคยสร้าง ISP ไฟเบอร์ในพื้นที่ชนบท ➡️ ใช้อุปกรณ์ของ Nokia และวางแผนขยายต่อในอนาคต ‼️ Prime-One ยังมีลูกค้าเพียง 100 รายจากเป้าหมาย 4,000 หลังคาเรือน ⛔ ต้องการ penetration ประมาณ 30% เพื่อคุ้มทุน ‼️ การแข่งขันกับ Comcast และ Frontier ยังดุเดือด ⛔ Comcast เสนอส่วนลดและสัญญาระยะยาวเพื่อดึงลูกค้ากลับ ‼️ ลูกค้าบางรายยังติดอยู่กับแผนเก่าที่มี data cap ⛔ ต้องเปลี่ยนแผนใหม่เพื่อรับสิทธิ์ unlimited data ‼️ การขยายเครือข่ายไฟเบอร์ต้องใช้เงินลงทุนสูงและใช้เวลานาน ⛔ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่มีประชากรเบาบาง https://www.techspot.com/news/108670-tired-slow-speeds-two-michigan-residents-building-their.htmlWWW.TECHSPOT.COMTired of slow speeds, two Michigan residents are building their own fiber ISPHerman recalls growing up in a household of ten, where slow upload speeds and frequent service interruptions from Comcast's Xfinity service were a constant source of stress....0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 344 มุมมอง 0 รีวิว - เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ AI สรุปอีเมลกลายเป็นเครื่องมือหลอกลวง
ฟีเจอร์ “Summarize this email” ใน Gmail ที่ใช้โมเดล Google Gemini ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาอีเมลได้เร็วขึ้น แต่ล่าสุดนักวิจัยจาก Mozilla ได้เปิดเผยว่า ฟีเจอร์นี้สามารถถูกโจมตีด้วยเทคนิค “Prompt Injection” ที่ง่ายจนน่าตกใจ
โดยแฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งลับในเนื้อหาอีเมลผ่าน HTML และ CSS เช่น ใช้ตัวอักษรสีขาวขนาด 0 เพื่อซ่อนข้อความที่ Gemini จะอ่านแต่ผู้ใช้มองไม่เห็น จากนั้น AI จะ “สรุป” อีเมลตามคำสั่งลับนั้น เช่น แจ้งเตือนปลอมว่าอีเมลถูกแฮก และให้โทรไปยังเบอร์ปลอมพร้อมรหัสอ้างอิง
แม้การโจมตีนี้จะต้องอาศัยการคลิกหรือการตอบสนองจากผู้ใช้ แต่ความน่ากลัวคือมันสามารถขยายไปยังบริการอื่น ๆ ที่ใช้ Gemini เช่น Docs, Slides และ Drive ได้ด้วย โดยเฉพาะในระบบอัตโนมัติ เช่น อีเมลแจ้งเตือนหรือระบบตั๋วสนับสนุน ที่อาจกลายเป็น “ตัวแพร่” การโจมตีแบบวงกว้าง
Google ยืนยันว่ากำลังเร่งพัฒนาระบบป้องกันหลายชั้นเพื่อรับมือกับช่องโหว่นี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า Prompt Injection อาจกลายเป็น “มาโครยุคใหม่” ที่แฝงตัวในเนื้อหาและหลอก AI ได้อย่างแนบเนียน
ฟีเจอร์ “Summarize this email” ใน Gmail ใช้โมเดล Google Gemini
ถูกฝังในแอป Gmail บนมือถือโดยไม่ต้องเปิดใช้งานเอง
Mozilla เปิดเผยช่องโหว่ Prompt Injection ที่ใช้โจมตีฟีเจอร์นี้
ใช้ HTML/CSS ซ่อนคำสั่งในเนื้อหาอีเมล เช่น ตัวอักษรสีขาวขนาด 0
Gemini จะสรุปอีเมลตามคำสั่งลับที่ผู้ใช้มองไม่เห็น
เช่น แจ้งเตือนปลอมให้โทรหาเบอร์หลอกลวง
ช่องโหว่นี้สามารถขยายไปยังบริการอื่นของ Google Workspace
เช่น Docs, Slides, และ Drive search
Google กำลังพัฒนาระบบป้องกันหลายชั้นเพื่อรับมือ
ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานของ Gemini ทั้งหมด
Prompt Injection สามารถใช้สร้าง phishing campaign ได้อย่างแนบเนียน
โดยอาศัยความน่าเชื่อถือของ AI-generated summaries
ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าคำสรุปจาก AI ถูกควบคุมโดยคำสั่งลับ
ทำให้ตกเป็นเหยื่อได้ง่ายขึ้น
ช่องโหว่นี้ยังไม่มีการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ในระบบ Gmail
ต้องรอการอัปเดตจาก Google และหลีกเลี่ยงการพึ่งพาสรุปอีเมลจาก AI
ระบบอัตโนมัติ เช่น อีเมลแจ้งเตือนหรือระบบ ticket อาจกลายเป็นช่องทางแพร่การโจมตี
โดยเฉพาะในองค์กรที่ใช้ Google Workspace อย่างแพร่หลาย
https://www.techspot.com/news/108671-google-gemini-vulnerable-stupidly-easy-prompt-injection-attack.html🎙️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ AI สรุปอีเมลกลายเป็นเครื่องมือหลอกลวง ฟีเจอร์ “Summarize this email” ใน Gmail ที่ใช้โมเดล Google Gemini ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาอีเมลได้เร็วขึ้น แต่ล่าสุดนักวิจัยจาก Mozilla ได้เปิดเผยว่า ฟีเจอร์นี้สามารถถูกโจมตีด้วยเทคนิค “Prompt Injection” ที่ง่ายจนน่าตกใจ โดยแฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งลับในเนื้อหาอีเมลผ่าน HTML และ CSS เช่น ใช้ตัวอักษรสีขาวขนาด 0 เพื่อซ่อนข้อความที่ Gemini จะอ่านแต่ผู้ใช้มองไม่เห็น จากนั้น AI จะ “สรุป” อีเมลตามคำสั่งลับนั้น เช่น แจ้งเตือนปลอมว่าอีเมลถูกแฮก และให้โทรไปยังเบอร์ปลอมพร้อมรหัสอ้างอิง แม้การโจมตีนี้จะต้องอาศัยการคลิกหรือการตอบสนองจากผู้ใช้ แต่ความน่ากลัวคือมันสามารถขยายไปยังบริการอื่น ๆ ที่ใช้ Gemini เช่น Docs, Slides และ Drive ได้ด้วย โดยเฉพาะในระบบอัตโนมัติ เช่น อีเมลแจ้งเตือนหรือระบบตั๋วสนับสนุน ที่อาจกลายเป็น “ตัวแพร่” การโจมตีแบบวงกว้าง Google ยืนยันว่ากำลังเร่งพัฒนาระบบป้องกันหลายชั้นเพื่อรับมือกับช่องโหว่นี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า Prompt Injection อาจกลายเป็น “มาโครยุคใหม่” ที่แฝงตัวในเนื้อหาและหลอก AI ได้อย่างแนบเนียน ✅ ฟีเจอร์ “Summarize this email” ใน Gmail ใช้โมเดล Google Gemini ➡️ ถูกฝังในแอป Gmail บนมือถือโดยไม่ต้องเปิดใช้งานเอง ✅ Mozilla เปิดเผยช่องโหว่ Prompt Injection ที่ใช้โจมตีฟีเจอร์นี้ ➡️ ใช้ HTML/CSS ซ่อนคำสั่งในเนื้อหาอีเมล เช่น ตัวอักษรสีขาวขนาด 0 ✅ Gemini จะสรุปอีเมลตามคำสั่งลับที่ผู้ใช้มองไม่เห็น ➡️ เช่น แจ้งเตือนปลอมให้โทรหาเบอร์หลอกลวง ✅ ช่องโหว่นี้สามารถขยายไปยังบริการอื่นของ Google Workspace ➡️ เช่น Docs, Slides, และ Drive search ✅ Google กำลังพัฒนาระบบป้องกันหลายชั้นเพื่อรับมือ ➡️ ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานของ Gemini ทั้งหมด ‼️ Prompt Injection สามารถใช้สร้าง phishing campaign ได้อย่างแนบเนียน ⛔ โดยอาศัยความน่าเชื่อถือของ AI-generated summaries ‼️ ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าคำสรุปจาก AI ถูกควบคุมโดยคำสั่งลับ ⛔ ทำให้ตกเป็นเหยื่อได้ง่ายขึ้น ‼️ ช่องโหว่นี้ยังไม่มีการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ในระบบ Gmail ⛔ ต้องรอการอัปเดตจาก Google และหลีกเลี่ยงการพึ่งพาสรุปอีเมลจาก AI ‼️ ระบบอัตโนมัติ เช่น อีเมลแจ้งเตือนหรือระบบ ticket อาจกลายเป็นช่องทางแพร่การโจมตี ⛔ โดยเฉพาะในองค์กรที่ใช้ Google Workspace อย่างแพร่หลาย https://www.techspot.com/news/108671-google-gemini-vulnerable-stupidly-easy-prompt-injection-attack.htmlWWW.TECHSPOT.COMGoogle Gemini vulnerable to a stupidly easy prompt injection attack in Gmail AI summariesMozilla recently unveiled a new prompt injection attack against Google Gemini for Workspace, which can be abused to turn AI summaries in Gmail messages into an effective...0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 400 มุมมอง 0 รีวิว - เรื่องเล่าจากรางรถไฟ: ช่องโหว่ที่ถูกละเลยในระบบสื่อสารรถไฟสหรัฐฯ
ย้อนกลับไปปี 2012 นักวิจัยอิสระ Neil Smith ค้นพบช่องโหว่ในระบบสื่อสารระหว่างหัวและท้ายขบวนรถไฟ (Head-of-Train และ End-of-Train Remote Linking Protocol) ซึ่งใช้คลื่นวิทยุแบบไม่เข้ารหัสในการส่งข้อมูลสำคัญ เช่น คำสั่งเบรก
Smith พบว่าแฮกเกอร์สามารถใช้เครื่องมือราคาถูก เช่น โมเด็มแบบ frequency shift keying และอุปกรณ์พกพาเล็ก ๆ เพื่อดักฟังและส่งคำสั่งปลอมไปยังระบบรถไฟได้ หากอยู่ในระยะไม่กี่ร้อยฟุต หรือแม้แต่จากเครื่องบินที่บินสูงก็ยังสามารถส่งสัญญาณได้ไกลถึง 150 ไมล์
แม้จะมีการแจ้งเตือนต่อสมาคมรถไฟอเมริกัน (AAR) แต่กลับถูกเพิกเฉย โดยอ้างว่า “ต้องมีการพิสูจน์ในสถานการณ์จริง” จึงจะยอมรับว่าเป็นช่องโหว่
จนกระทั่งปี 2016 ที่บทความใน Boston Review ทำให้เรื่องนี้ได้รับความสนใจอีกครั้ง แต่ AAR ก็ยังลดทอนความรุนแรงของปัญหา และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีแผนแก้ไขที่ชัดเจน
หน่วยงาน CISA ยอมรับว่าช่องโหว่นี้ “เป็นที่เข้าใจและถูกติดตามมานาน” แต่มองว่าการโจมตีต้องใช้ความรู้เฉพาะและการเข้าถึงทางกายภาพ จึงไม่น่าจะเกิดการโจมตีในวงกว้างได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม Smith โต้แย้งว่า ช่องโหว่นี้มี “ความซับซ้อนต่ำ” และ AI ก็สามารถสร้างโค้ดโจมตีได้จากข้อมูลที่มีอยู่บนอินเทอร์เน็ต เขายังวิจารณ์ว่าอุตสาหกรรมรถไฟใช้แนวทาง “delay, deny, defend” เหมือนบริษัทประกันภัยในการรับมือกับปัญหาความปลอดภัย
ช่องโหว่ถูกค้นพบตั้งแต่ปี 2012 โดย Neil Smith
เป็นช่องโหว่ในระบบสื่อสารระหว่างหัวและท้ายขบวนรถไฟ
ใช้คลื่นวิทยุแบบไม่เข้ารหัสในการส่งข้อมูลสำคัญ
เช่น คำสั่งเบรกและข้อมูลการทำงาน
สามารถโจมตีได้ด้วยอุปกรณ์ราคาถูกและความรู้พื้นฐาน
เช่น โมเด็ม FSK และการดักฟังสัญญาณในระยะไม่กี่ร้อยฟุต
สมาคมรถไฟอเมริกัน (AAR) ปฏิเสธที่จะยอมรับช่องโหว่
อ้างว่าต้องพิสูจน์ในสถานการณ์จริงก่อน
CISA ยอมรับว่าช่องโหว่นี้เป็นที่รู้จักในวงการมานาน
กำลังร่วมมือกับอุตสาหกรรมเพื่อปรับปรุงโปรโตคอล
Smith ระบุว่า AI สามารถสร้างโค้ดโจมตีได้จากข้อมูลที่มีอยู่
ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในยุคปัญญาประดิษฐ์
ช่องโหว่นี้ยังไม่มีการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม
AAR ไม่ได้ให้ timeline สำหรับการอัปเดตระบบ
การโจมตีสามารถเกิดขึ้นได้จากระยะไกลด้วยอุปกรณ์พลังสูง
เช่น จากเครื่องบินที่บินสูงถึง 30,000 ฟุต
การเพิกเฉยต่อปัญหาความปลอดภัยอาจนำไปสู่เหตุการณ์ร้ายแรง
โดยเฉพาะในระบบขนส่งที่มีผู้โดยสารจำนวนมาก
การพึ่งพาเทคโนโลยีเก่าที่ไม่มีการเข้ารหัสเป็นความเสี่ยง
ระบบนี้ถูกออกแบบตั้งแต่ยุค 1980 และยังใช้งานอยู่ในปัจจุบัน
https://www.techspot.com/news/108675-us-rail-industry-exposed-decade-old-hacking-threat.html🎙️ เรื่องเล่าจากรางรถไฟ: ช่องโหว่ที่ถูกละเลยในระบบสื่อสารรถไฟสหรัฐฯ ย้อนกลับไปปี 2012 นักวิจัยอิสระ Neil Smith ค้นพบช่องโหว่ในระบบสื่อสารระหว่างหัวและท้ายขบวนรถไฟ (Head-of-Train และ End-of-Train Remote Linking Protocol) ซึ่งใช้คลื่นวิทยุแบบไม่เข้ารหัสในการส่งข้อมูลสำคัญ เช่น คำสั่งเบรก Smith พบว่าแฮกเกอร์สามารถใช้เครื่องมือราคาถูก เช่น โมเด็มแบบ frequency shift keying และอุปกรณ์พกพาเล็ก ๆ เพื่อดักฟังและส่งคำสั่งปลอมไปยังระบบรถไฟได้ หากอยู่ในระยะไม่กี่ร้อยฟุต หรือแม้แต่จากเครื่องบินที่บินสูงก็ยังสามารถส่งสัญญาณได้ไกลถึง 150 ไมล์ แม้จะมีการแจ้งเตือนต่อสมาคมรถไฟอเมริกัน (AAR) แต่กลับถูกเพิกเฉย โดยอ้างว่า “ต้องมีการพิสูจน์ในสถานการณ์จริง” จึงจะยอมรับว่าเป็นช่องโหว่ จนกระทั่งปี 2016 ที่บทความใน Boston Review ทำให้เรื่องนี้ได้รับความสนใจอีกครั้ง แต่ AAR ก็ยังลดทอนความรุนแรงของปัญหา และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีแผนแก้ไขที่ชัดเจน หน่วยงาน CISA ยอมรับว่าช่องโหว่นี้ “เป็นที่เข้าใจและถูกติดตามมานาน” แต่มองว่าการโจมตีต้องใช้ความรู้เฉพาะและการเข้าถึงทางกายภาพ จึงไม่น่าจะเกิดการโจมตีในวงกว้างได้ง่าย อย่างไรก็ตาม Smith โต้แย้งว่า ช่องโหว่นี้มี “ความซับซ้อนต่ำ” และ AI ก็สามารถสร้างโค้ดโจมตีได้จากข้อมูลที่มีอยู่บนอินเทอร์เน็ต เขายังวิจารณ์ว่าอุตสาหกรรมรถไฟใช้แนวทาง “delay, deny, defend” เหมือนบริษัทประกันภัยในการรับมือกับปัญหาความปลอดภัย ✅ ช่องโหว่ถูกค้นพบตั้งแต่ปี 2012 โดย Neil Smith ➡️ เป็นช่องโหว่ในระบบสื่อสารระหว่างหัวและท้ายขบวนรถไฟ ✅ ใช้คลื่นวิทยุแบบไม่เข้ารหัสในการส่งข้อมูลสำคัญ ➡️ เช่น คำสั่งเบรกและข้อมูลการทำงาน ✅ สามารถโจมตีได้ด้วยอุปกรณ์ราคาถูกและความรู้พื้นฐาน ➡️ เช่น โมเด็ม FSK และการดักฟังสัญญาณในระยะไม่กี่ร้อยฟุต ✅ สมาคมรถไฟอเมริกัน (AAR) ปฏิเสธที่จะยอมรับช่องโหว่ ➡️ อ้างว่าต้องพิสูจน์ในสถานการณ์จริงก่อน ✅ CISA ยอมรับว่าช่องโหว่นี้เป็นที่รู้จักในวงการมานาน ➡️ กำลังร่วมมือกับอุตสาหกรรมเพื่อปรับปรุงโปรโตคอล ✅ Smith ระบุว่า AI สามารถสร้างโค้ดโจมตีได้จากข้อมูลที่มีอยู่ ➡️ ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในยุคปัญญาประดิษฐ์ ‼️ ช่องโหว่นี้ยังไม่มีการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ⛔ AAR ไม่ได้ให้ timeline สำหรับการอัปเดตระบบ ‼️ การโจมตีสามารถเกิดขึ้นได้จากระยะไกลด้วยอุปกรณ์พลังสูง ⛔ เช่น จากเครื่องบินที่บินสูงถึง 30,000 ฟุต ‼️ การเพิกเฉยต่อปัญหาความปลอดภัยอาจนำไปสู่เหตุการณ์ร้ายแรง ⛔ โดยเฉพาะในระบบขนส่งที่มีผู้โดยสารจำนวนมาก ‼️ การพึ่งพาเทคโนโลยีเก่าที่ไม่มีการเข้ารหัสเป็นความเสี่ยง ⛔ ระบบนี้ถูกออกแบบตั้งแต่ยุค 1980 และยังใช้งานอยู่ในปัจจุบัน https://www.techspot.com/news/108675-us-rail-industry-exposed-decade-old-hacking-threat.htmlWWW.TECHSPOT.COMUS rail industry still exposed to decade-old hacking threat, experts warnThe vulnerability was discovered in 2012 by independent researcher Neil Smith, who found that the communication protocol linking the front and rear of freight trains – technically...0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 391 มุมมอง 0 รีวิว - เรื่องเล่าจากโลกชิปเก่า: Rise mP6 266—ชิปที่หายากที่สุดในตระกูล x86
ในปี 1998 บริษัท Rise Technology เปิดตัวชิป mP6 266 หลังจากใช้เวลาพัฒนานานถึง 5 ปี โดยหวังจะเป็นคู่แข่งของ Intel และ AMD ในยุคที่ Socket 7 ยังเป็นมาตรฐานของเมนบอร์ด
ชิปนี้ถูกออกแบบให้รองรับชุดคำสั่ง MMX และทำงานบนเมนบอร์ด Super Socket 7 เช่น Asus P5A-B ที่ใช้ชิปเซ็ต ALi Aladdin V ซึ่งรองรับ CPU จากหลายค่ายในยุคนั้น เช่น Intel Pentium MMX, AMD K6, Cyrix MII และ WinChip
แม้ชื่อจะระบุว่า “266” แต่จริง ๆ แล้วความเร็วของชิปอยู่ที่ 200MHz โดยใช้เทคนิค “P-rating” เพื่อให้ดูเทียบเท่า Pentium 266 ของ Intel ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ AMD และ Cyrix ก็เคยใช้เช่นกัน
Rise mP6 มีแรงดันไฟสูงถึง 2.832V แต่ใช้พลังงานเพียง 8.54W ทำให้สามารถใช้ระบบระบายความร้อนแบบ passive ได้ในยุคนั้น
ชิปนี้หายากมากในปัจจุบัน เพราะ Rise ถอนตัวจากธุรกิจ CPU ในปี 1999 ทำให้มีจำนวนจำกัดในตลาดมือสอง และกลายเป็นของสะสมที่นักสะสมชิปอย่าง “konkretor” ภูมิใจนำเสนอ
Rise mP6 266 เปิดตัวในปี 1998 หลังพัฒนา 5 ปี
เป็นชิป x86 ที่รองรับ MMX และใช้กับเมนบอร์ด Super Socket 7
ใช้เทคนิค P-rating เพื่อให้ดูเทียบเท่า Pentium 266
แม้ความเร็วจริงจะอยู่ที่ 200MHz
เมนบอร์ด Asus P5A-B รองรับ CPU จากหลายค่ายในยุคนั้น
Intel, AMD, Cyrix, WinChip
ชิปใช้แรงดันไฟ 2.832V และมี TDP เพียง 8.54W
ทำให้ใช้ระบบระบายความร้อนแบบ passive ได้
ชิปถูกผลิตโดย TSMC ด้วยกระบวนการ 250nm
มีเอกสารข้อมูลของรุ่น 333 และ 366 MHz ยังหลงเหลืออยู่
ชิปที่นำมาโชว์ถูกซื้อจาก eBay ประเทศจีน
เป็นของใหม่เก่าเก็บ (new old stock) ไม่มีเรื่องราวพิเศษ
Rise ถอนตัวจากธุรกิจ CPU ในปี 1999
ทำให้ชิปตระกูลนี้ไม่มีการสนับสนุนหรือพัฒนาเพิ่มเติม
ความเร็วที่ระบุในชื่อรุ่นอาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิด
เช่น “266” แต่ทำงานจริงที่ 200MHz
ไม่มีข้อมูลทางเทคนิคอย่างละเอียดสำหรับรุ่น 266 โดยตรง
ต้องอ้างอิงจากรุ่นใกล้เคียง เช่น 333 และ 366 MHz
ชิปนี้ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานจริงในยุคปัจจุบัน
เหมาะสำหรับการสะสมหรือการทดลองเชิงประวัติศาสตร์เท่านั้น
https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/chip-collector-showcases-rarest-x86-cpu-in-their-hoard-rise-mp6-266-ticked-along-at-200mhz-in-1998🎙️ เรื่องเล่าจากโลกชิปเก่า: Rise mP6 266—ชิปที่หายากที่สุดในตระกูล x86 ในปี 1998 บริษัท Rise Technology เปิดตัวชิป mP6 266 หลังจากใช้เวลาพัฒนานานถึง 5 ปี โดยหวังจะเป็นคู่แข่งของ Intel และ AMD ในยุคที่ Socket 7 ยังเป็นมาตรฐานของเมนบอร์ด ชิปนี้ถูกออกแบบให้รองรับชุดคำสั่ง MMX และทำงานบนเมนบอร์ด Super Socket 7 เช่น Asus P5A-B ที่ใช้ชิปเซ็ต ALi Aladdin V ซึ่งรองรับ CPU จากหลายค่ายในยุคนั้น เช่น Intel Pentium MMX, AMD K6, Cyrix MII และ WinChip แม้ชื่อจะระบุว่า “266” แต่จริง ๆ แล้วความเร็วของชิปอยู่ที่ 200MHz โดยใช้เทคนิค “P-rating” เพื่อให้ดูเทียบเท่า Pentium 266 ของ Intel ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ AMD และ Cyrix ก็เคยใช้เช่นกัน Rise mP6 มีแรงดันไฟสูงถึง 2.832V แต่ใช้พลังงานเพียง 8.54W ทำให้สามารถใช้ระบบระบายความร้อนแบบ passive ได้ในยุคนั้น ชิปนี้หายากมากในปัจจุบัน เพราะ Rise ถอนตัวจากธุรกิจ CPU ในปี 1999 ทำให้มีจำนวนจำกัดในตลาดมือสอง และกลายเป็นของสะสมที่นักสะสมชิปอย่าง “konkretor” ภูมิใจนำเสนอ ✅ Rise mP6 266 เปิดตัวในปี 1998 หลังพัฒนา 5 ปี ➡️ เป็นชิป x86 ที่รองรับ MMX และใช้กับเมนบอร์ด Super Socket 7 ✅ ใช้เทคนิค P-rating เพื่อให้ดูเทียบเท่า Pentium 266 ➡️ แม้ความเร็วจริงจะอยู่ที่ 200MHz ✅ เมนบอร์ด Asus P5A-B รองรับ CPU จากหลายค่ายในยุคนั้น ➡️ Intel, AMD, Cyrix, WinChip ✅ ชิปใช้แรงดันไฟ 2.832V และมี TDP เพียง 8.54W ➡️ ทำให้ใช้ระบบระบายความร้อนแบบ passive ได้ ✅ ชิปถูกผลิตโดย TSMC ด้วยกระบวนการ 250nm ➡️ มีเอกสารข้อมูลของรุ่น 333 และ 366 MHz ยังหลงเหลืออยู่ ✅ ชิปที่นำมาโชว์ถูกซื้อจาก eBay ประเทศจีน ➡️ เป็นของใหม่เก่าเก็บ (new old stock) ไม่มีเรื่องราวพิเศษ ‼️ Rise ถอนตัวจากธุรกิจ CPU ในปี 1999 ⛔ ทำให้ชิปตระกูลนี้ไม่มีการสนับสนุนหรือพัฒนาเพิ่มเติม ‼️ ความเร็วที่ระบุในชื่อรุ่นอาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิด ⛔ เช่น “266” แต่ทำงานจริงที่ 200MHz ‼️ ไม่มีข้อมูลทางเทคนิคอย่างละเอียดสำหรับรุ่น 266 โดยตรง ⛔ ต้องอ้างอิงจากรุ่นใกล้เคียง เช่น 333 และ 366 MHz ‼️ ชิปนี้ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานจริงในยุคปัจจุบัน ⛔ เหมาะสำหรับการสะสมหรือการทดลองเชิงประวัติศาสตร์เท่านั้น https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/chip-collector-showcases-rarest-x86-cpu-in-their-hoard-rise-mp6-266-ticked-along-at-200mhz-in-1998WWW.TOMSHARDWARE.COMChip collector showcases 'rarest x86 CPU' in their hoard — Rise mP6 266 ticked along at 200MHz in 1998This CPU launched in 1998 after five years in development, but Rise would exit the CPU business in 1999.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 375 มุมมอง 0 รีวิว - เรื่องเล่าจากโลกนักพัฒนา: Kiro จาก AWS—AI IDE ที่จะเปลี่ยน “vibe coding” ให้กลายเป็น “viable code”
Amazon Web Services (AWS) เปิดตัว “Kiro” ซึ่งเป็น IDE (Integrated Development Environment) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI แบบ “agentic” หรือกึ่งอัตโนมัติ โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยนักพัฒนาเปลี่ยนจากการเขียนโค้ดแบบ “vibe coding” (เขียนตามความรู้สึกหรือสั่ง AI แบบคลุมเครือ) ไปสู่การพัฒนาแบบมีโครงสร้างจริงจัง
Kiro ไม่ใช่แค่ช่วยเขียนโค้ด แต่ยังสามารถ:
- สร้างและอัปเดตแผนงานโปรเจกต์
- สร้างเอกสารเทคนิคและ blueprint
- ตรวจสอบความสอดคล้องของโค้ด
- เชื่อมต่อกับเครื่องมือเฉพาะผ่าน Model Context Protocol (MCP)
- ใช้ “agentic chat” สำหรับงานโค้ดเฉพาะกิจ
Kiro ยังมีระบบ “steering rules” เพื่อกำหนดพฤติกรรมของ AI ในโปรเจกต์ และสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของโค้ดเพื่อป้องกันความไม่สอดคล้อง
ในช่วงพรีวิว Kiro เปิดให้ใช้ฟรี โดยมีแผนเปิดตัว 3 ระดับ:
- ฟรี: 50 agent interactions/เดือน
- Pro: $19/ผู้ใช้/เดือน สำหรับ 1,000 interactions
- Pro+: $39/ผู้ใช้/เดือน สำหรับ 3,000 interactions
AWS เปิดตัว Kiro ซึ่งเป็น AI IDE แบบ agentic
ช่วยเปลี่ยนจาก “vibe coding” เป็น “viable code”
Kiro สามารถสร้างและอัปเดตแผนงานและเอกสารเทคนิคอัตโนมัติ
ลดภาระงานที่ไม่ใช่การเขียนโค้ดโดยตรง
รองรับ Model Context Protocol (MCP) สำหรับเชื่อมต่อเครื่องมือเฉพาะ
เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานร่วมกับระบบอื่น
มีระบบ “steering rules” เพื่อควบคุมพฤติกรรมของ AI
ป้องกันการเบี่ยงเบนจากเป้าหมายของโปรเจกต์
มีฟีเจอร์ agentic chat สำหรับงานโค้ดเฉพาะกิจ
ช่วยแก้ปัญหาแบบ ad-hoc ได้รวดเร็ว
Kiro เปิดให้ใช้งานฟรีในช่วงพรีวิว
เตรียมเปิดตัว 3 ระดับการใช้งานในอนาคต
“vibe coding” อาจนำไปสู่โค้ดที่ไม่สอดคล้องหรือไม่ปลอดภัย
หากไม่มีการตรวจสอบหรือโครงสร้างที่ชัดเจน
การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจลดความเข้าใจของนักพัฒนาในระบบที่สร้างขึ้น
โดยเฉพาะในองค์กรที่ต้องการรักษาความรู้ภายใน
Kiro ยังอยู่ในช่วงพรีวิว อาจมีข้อจำกัดด้านฟีเจอร์หรือความเสถียร
ไม่เหมาะสำหรับโปรเจกต์ที่ต้องการความมั่นคงสูงในตอนนี้
การใช้ AI ในการจัดการโค้ดอาจต้องปรับกระบวนการทำงานของทีม
โดยเฉพาะในทีมที่ยังไม่คุ้นเคยกับแนวคิด agentic development
https://www.techradar.com/pro/aws-launches-kiro-an-agentic-ai-ide-to-end-the-chaos-of-vibe-coding🎙️ เรื่องเล่าจากโลกนักพัฒนา: Kiro จาก AWS—AI IDE ที่จะเปลี่ยน “vibe coding” ให้กลายเป็น “viable code” Amazon Web Services (AWS) เปิดตัว “Kiro” ซึ่งเป็น IDE (Integrated Development Environment) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI แบบ “agentic” หรือกึ่งอัตโนมัติ โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยนักพัฒนาเปลี่ยนจากการเขียนโค้ดแบบ “vibe coding” (เขียนตามความรู้สึกหรือสั่ง AI แบบคลุมเครือ) ไปสู่การพัฒนาแบบมีโครงสร้างจริงจัง Kiro ไม่ใช่แค่ช่วยเขียนโค้ด แต่ยังสามารถ: - สร้างและอัปเดตแผนงานโปรเจกต์ - สร้างเอกสารเทคนิคและ blueprint - ตรวจสอบความสอดคล้องของโค้ด - เชื่อมต่อกับเครื่องมือเฉพาะผ่าน Model Context Protocol (MCP) - ใช้ “agentic chat” สำหรับงานโค้ดเฉพาะกิจ Kiro ยังมีระบบ “steering rules” เพื่อกำหนดพฤติกรรมของ AI ในโปรเจกต์ และสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของโค้ดเพื่อป้องกันความไม่สอดคล้อง ในช่วงพรีวิว Kiro เปิดให้ใช้ฟรี โดยมีแผนเปิดตัว 3 ระดับ: - ฟรี: 50 agent interactions/เดือน - Pro: $19/ผู้ใช้/เดือน สำหรับ 1,000 interactions - Pro+: $39/ผู้ใช้/เดือน สำหรับ 3,000 interactions ✅ AWS เปิดตัว Kiro ซึ่งเป็น AI IDE แบบ agentic ➡️ ช่วยเปลี่ยนจาก “vibe coding” เป็น “viable code” ✅ Kiro สามารถสร้างและอัปเดตแผนงานและเอกสารเทคนิคอัตโนมัติ ➡️ ลดภาระงานที่ไม่ใช่การเขียนโค้ดโดยตรง ✅ รองรับ Model Context Protocol (MCP) สำหรับเชื่อมต่อเครื่องมือเฉพาะ ➡️ เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานร่วมกับระบบอื่น ✅ มีระบบ “steering rules” เพื่อควบคุมพฤติกรรมของ AI ➡️ ป้องกันการเบี่ยงเบนจากเป้าหมายของโปรเจกต์ ✅ มีฟีเจอร์ agentic chat สำหรับงานโค้ดเฉพาะกิจ ➡️ ช่วยแก้ปัญหาแบบ ad-hoc ได้รวดเร็ว ✅ Kiro เปิดให้ใช้งานฟรีในช่วงพรีวิว ➡️ เตรียมเปิดตัว 3 ระดับการใช้งานในอนาคต ‼️ “vibe coding” อาจนำไปสู่โค้ดที่ไม่สอดคล้องหรือไม่ปลอดภัย ⛔ หากไม่มีการตรวจสอบหรือโครงสร้างที่ชัดเจน ‼️ การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจลดความเข้าใจของนักพัฒนาในระบบที่สร้างขึ้น ⛔ โดยเฉพาะในองค์กรที่ต้องการรักษาความรู้ภายใน ‼️ Kiro ยังอยู่ในช่วงพรีวิว อาจมีข้อจำกัดด้านฟีเจอร์หรือความเสถียร ⛔ ไม่เหมาะสำหรับโปรเจกต์ที่ต้องการความมั่นคงสูงในตอนนี้ ‼️ การใช้ AI ในการจัดการโค้ดอาจต้องปรับกระบวนการทำงานของทีม ⛔ โดยเฉพาะในทีมที่ยังไม่คุ้นเคยกับแนวคิด agentic development https://www.techradar.com/pro/aws-launches-kiro-an-agentic-ai-ide-to-end-the-chaos-of-vibe-codingWWW.TECHRADAR.COMAWS launches Kiro, an agentic AI IDE, to end the chaos of vibe codingKiro looks to use agentic AI to boost developers0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 341 มุมมอง 0 รีวิว - เรื่องเล่าจากโลกเทคโนโลยี: เมื่อภาพ AI กลายเป็นสัญลักษณ์ของความไม่เข้าใจมนุษย์
Mike Matsel หัวหน้าฝ่ายพัฒนา Xbox Graphics ได้โพสต์ประกาศรับสมัครนักออกแบบกราฟิกบน LinkedIn พร้อมภาพประกอบที่สร้างด้วย AI ซึ่งดูเผิน ๆ อาจไม่ผิดปกติ แต่เมื่อพิจารณาใกล้ ๆ กลับเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด เช่น โค้ดปรากฏอยู่ด้านหลังจอภาพ, โต๊ะที่หายไปครึ่งหนึ่ง, เงาที่ไม่สมจริง และผู้หญิงในภาพใส่หูฟัง Apple รุ่นสายจากยุค 2000 ทั้งที่เป็นปี 2025
สิ่งที่ทำให้โพสต์นี้กลายเป็นไวรัลคือความย้อนแย้ง—Microsoft เพิ่งปลดพนักงานกว่า 9,000 คน รวมถึงทีม Xbox บางส่วน แต่กลับใช้ภาพ AI ที่ผิดพลาดในการประกาศรับสมัครงานด้านศิลป์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ถูกลดไปก่อนหน้านี้
ผู้คนในวงการกราฟิกและนักพัฒนาแสดงความไม่พอใจในคอมเมนต์ โดยบางคนตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการประชด หรือ “compliance แบบประชดประชัน” ที่ใช้ AI ตามคำสั่งแม้จะรู้ว่าผลลัพธ์ไม่เหมาะสม
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีกรณีที่ Matt Turnbull ผู้บริหาร Xbox เคยโพสต์แนะนำให้พนักงานที่ถูกปลดใช้ AI chatbot เพื่อ “เยียวยาอารมณ์” และ “หางานใหม่” ซึ่งก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักจนต้องลบโพสต์ไป
Mike Matsel โพสต์รับสมัครนักออกแบบกราฟิกสำหรับ Xbox บน LinkedIn
ใช้ภาพ AI ที่มีข้อผิดพลาดชัดเจนเป็นภาพประกอบ
Microsoft เพิ่งปลดพนักงานกว่า 9,000 คน รวมถึงทีม Xbox
ทำให้การใช้ภาพ AI ในการรับสมัครงานดูย้อนแย้ง
ภาพ AI มีข้อผิดพลาดหลายจุด เช่น:
โค้ดอยู่ด้านหลังจอ, โต๊ะหายไป, เงาไม่สมจริง, หูฟังรุ่นเก่า
ผู้คนในวงการกราฟิกแสดงความไม่พอใจในคอมเมนต์
บางคนสงสัยว่าเป็นการประชดหรือจงใจเรียกความสนใจ
Matt Turnbull เคยโพสต์แนะนำให้ใช้ AI chatbot เพื่อเยียวยาอารมณ์
โพสต์ถูกลบหลังถูกวิจารณ์อย่างหนัก
การใช้ภาพ AI ที่ผิดพลาดอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นในองค์กร
โดยเฉพาะในช่วงหลังการปลดพนักงานจำนวนมาก
การใช้ AI แทนมนุษย์ในงานศิลป์อาจสร้างความรู้สึกด้อยค่าให้กับผู้เชี่ยวชาญ
โดยเฉพาะเมื่อใช้เพื่อประกาศรับสมัครงานที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์
การสื่อสารที่ไม่ละเอียดอ่อนในช่วงวิกฤตอาจสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์
เช่น การแนะนำให้ใช้ AI เพื่อเยียวยาอารมณ์หลังถูกปลด
แม้ภาพจะไม่ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการจาก Microsoft แต่ยังมีโลโก้ Xbox อยู่
ทำให้ผู้คนเชื่อมโยงกับแบรนด์โดยตรงและวิจารณ์องค์กร
https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/microsoft-employee-uses-terrible-ai-generated-image-to-advertise-for-xbox-artists-just-weeks-after-massive-layoffs🎙️ เรื่องเล่าจากโลกเทคโนโลยี: เมื่อภาพ AI กลายเป็นสัญลักษณ์ของความไม่เข้าใจมนุษย์ Mike Matsel หัวหน้าฝ่ายพัฒนา Xbox Graphics ได้โพสต์ประกาศรับสมัครนักออกแบบกราฟิกบน LinkedIn พร้อมภาพประกอบที่สร้างด้วย AI ซึ่งดูเผิน ๆ อาจไม่ผิดปกติ แต่เมื่อพิจารณาใกล้ ๆ กลับเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด เช่น โค้ดปรากฏอยู่ด้านหลังจอภาพ, โต๊ะที่หายไปครึ่งหนึ่ง, เงาที่ไม่สมจริง และผู้หญิงในภาพใส่หูฟัง Apple รุ่นสายจากยุค 2000 ทั้งที่เป็นปี 2025 สิ่งที่ทำให้โพสต์นี้กลายเป็นไวรัลคือความย้อนแย้ง—Microsoft เพิ่งปลดพนักงานกว่า 9,000 คน รวมถึงทีม Xbox บางส่วน แต่กลับใช้ภาพ AI ที่ผิดพลาดในการประกาศรับสมัครงานด้านศิลป์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ถูกลดไปก่อนหน้านี้ ผู้คนในวงการกราฟิกและนักพัฒนาแสดงความไม่พอใจในคอมเมนต์ โดยบางคนตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการประชด หรือ “compliance แบบประชดประชัน” ที่ใช้ AI ตามคำสั่งแม้จะรู้ว่าผลลัพธ์ไม่เหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีกรณีที่ Matt Turnbull ผู้บริหาร Xbox เคยโพสต์แนะนำให้พนักงานที่ถูกปลดใช้ AI chatbot เพื่อ “เยียวยาอารมณ์” และ “หางานใหม่” ซึ่งก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักจนต้องลบโพสต์ไป ✅ Mike Matsel โพสต์รับสมัครนักออกแบบกราฟิกสำหรับ Xbox บน LinkedIn ➡️ ใช้ภาพ AI ที่มีข้อผิดพลาดชัดเจนเป็นภาพประกอบ ✅ Microsoft เพิ่งปลดพนักงานกว่า 9,000 คน รวมถึงทีม Xbox ➡️ ทำให้การใช้ภาพ AI ในการรับสมัครงานดูย้อนแย้ง ✅ ภาพ AI มีข้อผิดพลาดหลายจุด เช่น: ➡️ โค้ดอยู่ด้านหลังจอ, โต๊ะหายไป, เงาไม่สมจริง, หูฟังรุ่นเก่า ✅ ผู้คนในวงการกราฟิกแสดงความไม่พอใจในคอมเมนต์ ➡️ บางคนสงสัยว่าเป็นการประชดหรือจงใจเรียกความสนใจ ✅ Matt Turnbull เคยโพสต์แนะนำให้ใช้ AI chatbot เพื่อเยียวยาอารมณ์ ➡️ โพสต์ถูกลบหลังถูกวิจารณ์อย่างหนัก ‼️ การใช้ภาพ AI ที่ผิดพลาดอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นในองค์กร ⛔ โดยเฉพาะในช่วงหลังการปลดพนักงานจำนวนมาก ‼️ การใช้ AI แทนมนุษย์ในงานศิลป์อาจสร้างความรู้สึกด้อยค่าให้กับผู้เชี่ยวชาญ ⛔ โดยเฉพาะเมื่อใช้เพื่อประกาศรับสมัครงานที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์ ‼️ การสื่อสารที่ไม่ละเอียดอ่อนในช่วงวิกฤตอาจสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ ⛔ เช่น การแนะนำให้ใช้ AI เพื่อเยียวยาอารมณ์หลังถูกปลด ‼️ แม้ภาพจะไม่ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการจาก Microsoft แต่ยังมีโลโก้ Xbox อยู่ ⛔ ทำให้ผู้คนเชื่อมโยงกับแบรนด์โดยตรงและวิจารณ์องค์กร https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/microsoft-employee-uses-terrible-ai-generated-image-to-advertise-for-xbox-artists-just-weeks-after-massive-layoffsWWW.TECHRADAR.COMA Microsoft ad on LinkedIn is getting roasted for using a terrible AI-generated image to promote a graphic designer role at XboxWhy is the code on the back of the monitor?0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 584 มุมมอง 0 รีวิว - เรื่องเล่าจากโลกชิป AI: NVIDIA เตรียมใช้ SOCAMM กว่า 800,000 ชิ้นในปีนี้
NVIDIA กำลังเตรียมผลิตและนำโมดูลหน่วยความจำแบบใหม่ที่ชื่อว่า SOCAMM มาใช้ในผลิตภัณฑ์ AI ของตนมากถึง 800,000 ชิ้นภายในปี 2025 โดย SOCAMM เป็นหน่วยความจำแบบ LPDDR ที่มีความสามารถพิเศษคือ “ถอดเปลี่ยนได้” ต่างจาก LPDDR5X หรือ HBM ที่มักถูกบัดกรีติดกับบอร์ด
SOCAMM ถูกออกแบบมาให้มีขนาดกะทัดรัด ใช้พลังงานต่ำ และมีแบนด์วิดท์สูงถึง 150–250 GB/s ซึ่งเหมาะกับอุปกรณ์ AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ยังคงประหยัดพลังงาน เช่น AI PC และ AI Server
โมดูลนี้ถูกพัฒนาโดย Micron และเริ่มใช้งานในแพลตฟอร์ม GB300 Blackwell ของ NVIDIA ซึ่งเป็นสัญญาณว่า NVIDIA กำลังเปลี่ยนไปใช้รูปแบบหน่วยความจำใหม่ในผลิตภัณฑ์ AI หลายรุ่น โดยในอนาคต SOCAMM 2 จะถูกเปิดตัวเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและประสิทธิภาพอีกขั้น
NVIDIA เตรียมใช้ SOCAMM memory modules มากถึง 800,000 ชิ้นในปี 2025
เพื่อรองรับผลิตภัณฑ์ AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน
SOCAMM เป็นหน่วยความจำแบบ LPDDR ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้
ติดตั้งด้วยสกรู 3 ตัว ไม่ต้องบัดกรีติดกับ PCB
SOCAMM มีแบนด์วิดท์สูงถึง 150–250 GB/s
เหนือกว่า RDIMM, LPDDR5X และ LPCAMM ในหลายด้าน
เริ่มใช้งานในแพลตฟอร์ม GB300 Blackwell ของ NVIDIA
เป็นการเปลี่ยนผ่านจาก HBM ไปสู่หน่วยความจำแบบใหม่
Micron เป็นผู้ผลิตหลักของ SOCAMM ในปัจจุบัน
Samsung และ SK Hynix กำลังเจรจาเพื่อร่วมผลิตในอนาคต
SOCAMM 2 จะเปิดตัวในปีหน้าเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต
คาดว่าจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับอุปกรณ์ AI พลังต่ำ
จำนวน 800,000 ชิ้นยังน้อยเมื่อเทียบกับ HBM ที่ใช้ในปีเดียวกัน
SOCAMM ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำไปใช้งานในวงกว้าง
SOCAMM ยังไม่มีข้อมูลทางเทคนิคด้านประสิทธิภาพพลังงานที่ชัดเจน
ต้องรอการทดสอบจริงเพื่อยืนยันข้อดีเหนือ RDIMM และ LPDDR5X
การเปลี่ยนไปใช้ SOCAMM อาจต้องปรับโครงสร้างฮาร์ดแวร์เดิม
โดยเฉพาะในระบบที่ออกแบบมาเพื่อใช้ HBM หรือ LPDDR แบบบัดกรี
การพึ่งพาผู้ผลิตรายเดียว (Micron) อาจเป็นความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน
หาก Samsung และ SK Hynix ยังไม่เข้าร่วมในระยะสั้น
https://wccftech.com/nvidia-to-deploy-up-to-800000-units-of-its-socamm-modules-this-year-in-its-ai-products/🎙️ เรื่องเล่าจากโลกชิป AI: NVIDIA เตรียมใช้ SOCAMM กว่า 800,000 ชิ้นในปีนี้ NVIDIA กำลังเตรียมผลิตและนำโมดูลหน่วยความจำแบบใหม่ที่ชื่อว่า SOCAMM มาใช้ในผลิตภัณฑ์ AI ของตนมากถึง 800,000 ชิ้นภายในปี 2025 โดย SOCAMM เป็นหน่วยความจำแบบ LPDDR ที่มีความสามารถพิเศษคือ “ถอดเปลี่ยนได้” ต่างจาก LPDDR5X หรือ HBM ที่มักถูกบัดกรีติดกับบอร์ด SOCAMM ถูกออกแบบมาให้มีขนาดกะทัดรัด ใช้พลังงานต่ำ และมีแบนด์วิดท์สูงถึง 150–250 GB/s ซึ่งเหมาะกับอุปกรณ์ AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ยังคงประหยัดพลังงาน เช่น AI PC และ AI Server โมดูลนี้ถูกพัฒนาโดย Micron และเริ่มใช้งานในแพลตฟอร์ม GB300 Blackwell ของ NVIDIA ซึ่งเป็นสัญญาณว่า NVIDIA กำลังเปลี่ยนไปใช้รูปแบบหน่วยความจำใหม่ในผลิตภัณฑ์ AI หลายรุ่น โดยในอนาคต SOCAMM 2 จะถูกเปิดตัวเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและประสิทธิภาพอีกขั้น ✅ NVIDIA เตรียมใช้ SOCAMM memory modules มากถึง 800,000 ชิ้นในปี 2025 ➡️ เพื่อรองรับผลิตภัณฑ์ AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน ✅ SOCAMM เป็นหน่วยความจำแบบ LPDDR ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ ➡️ ติดตั้งด้วยสกรู 3 ตัว ไม่ต้องบัดกรีติดกับ PCB ✅ SOCAMM มีแบนด์วิดท์สูงถึง 150–250 GB/s ➡️ เหนือกว่า RDIMM, LPDDR5X และ LPCAMM ในหลายด้าน ✅ เริ่มใช้งานในแพลตฟอร์ม GB300 Blackwell ของ NVIDIA ➡️ เป็นการเปลี่ยนผ่านจาก HBM ไปสู่หน่วยความจำแบบใหม่ ✅ Micron เป็นผู้ผลิตหลักของ SOCAMM ในปัจจุบัน ➡️ Samsung และ SK Hynix กำลังเจรจาเพื่อร่วมผลิตในอนาคต ✅ SOCAMM 2 จะเปิดตัวในปีหน้าเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ➡️ คาดว่าจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับอุปกรณ์ AI พลังต่ำ ‼️ จำนวน 800,000 ชิ้นยังน้อยเมื่อเทียบกับ HBM ที่ใช้ในปีเดียวกัน ⛔ SOCAMM ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำไปใช้งานในวงกว้าง ‼️ SOCAMM ยังไม่มีข้อมูลทางเทคนิคด้านประสิทธิภาพพลังงานที่ชัดเจน ⛔ ต้องรอการทดสอบจริงเพื่อยืนยันข้อดีเหนือ RDIMM และ LPDDR5X ‼️ การเปลี่ยนไปใช้ SOCAMM อาจต้องปรับโครงสร้างฮาร์ดแวร์เดิม ⛔ โดยเฉพาะในระบบที่ออกแบบมาเพื่อใช้ HBM หรือ LPDDR แบบบัดกรี ‼️ การพึ่งพาผู้ผลิตรายเดียว (Micron) อาจเป็นความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน ⛔ หาก Samsung และ SK Hynix ยังไม่เข้าร่วมในระยะสั้น https://wccftech.com/nvidia-to-deploy-up-to-800000-units-of-its-socamm-modules-this-year-in-its-ai-products/WCCFTECH.COMNVIDIA To Deploy Up To 800,000 Units Of Its SOCAMM Modules This Year In Its AI ProductsAs per a report, NVIDIA is expected to produce up to 800,000 SOCAMM memory units this year to deliver high efficiency and performance for its AI products.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 350 มุมมอง 0 รีวิว - เรื่องเล่าจากโลกเกมพกพา: AMD Ryzen Z2 Extreme—ชิปเล็กพลังใหญ่ที่ท้าชนโน้ตบุ๊กเกม
AMD เปิดตัว Ryzen Z2 Extreme ซึ่งเป็นชิป SoC สำหรับเครื่องเกมพกพาโดยเฉพาะ โดยใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 ผสม Zen 5C รวมกัน 8 คอร์ 16 เธรด พร้อม iGPU Radeon 890M ที่ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 3.5
ชิปนี้ถูกทดสอบบน MSI Claw A8 ที่มาพร้อม RAM LPDDR5X 24GB และผลลัพธ์จาก Geekbench ก็ออกมาน่าประทับใจมาก:
- คะแนน single-thread สูงสุดในกลุ่ม Strix Point
- คะแนน multi-thread เทียบเท่าชิป 10 คอร์ Ryzen AI 9 365
- ประสิทธิภาพกราฟิกเทียบเท่า Radeon 890M บนโน้ตบุ๊ก
Ryzen Z2 Extreme ยังรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของ AMD เช่น FSR, Frame Generation และ Fluid Motion Frames และจะมีรุ่นที่มาพร้อม NPU 50 TOPS สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ
AMD เปิดตัว Ryzen Z2 Extreme SoC สำหรับเครื่องเกมพกพา
ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 + Zen 5C รวม 8 คอร์ 16 เธรด
ใช้ iGPU Radeon 890M สถาปัตยกรรม RDNA 3.5
มี 16 compute units ความเร็ว 2.9 GHz
รองรับ LPDDR5X-8000 และมีแคชรวม 24MB (L2 + L3)
เหมาะกับงานกราฟิกและเกมที่ต้องการแบนด์วิดท์สูง
ทดสอบบน MSI Claw A8 ได้คะแนน Geekbench สูงมาก
Single-thread สูงสุดในกลุ่ม Strix Point / Multi-thread เทียบ Ryzen AI 9 365
ประสิทธิภาพกราฟิกเทียบเท่าโน้ตบุ๊กที่ใช้ Radeon 890M
เหนือกว่า Ryzen Z1 Extreme ถึง 30%+
รองรับเทคโนโลยี AMD ล่าสุด เช่น FSR, Frame-Gen, Fluid Motion
เตรียมใช้งานใน ASUS ROG Ally X และอุปกรณ์อื่นเร็ว ๆ นี้
ยังไม่ระบุ TDP ที่ใช้ในการทดสอบ Geekbench
อาจเป็น 35W ซึ่งสูงสุดของช่วงที่กำหนด (15–35W)
ประสิทธิภาพอาจลดลงเมื่อใช้งานในโหมดประหยัดพลังงาน
โดยเฉพาะในเครื่องที่มีข้อจำกัดด้านระบายความร้อน
iGPU แม้จะทรงพลัง แต่ยังไม่เทียบเท่า GPU แยกระดับสูง
เหมาะกับเกมระดับกลางมากกว่าการเล่น AAA แบบ ultra settings
SOC รุ่นนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการใช้งานจริง
ต้องรอการทดสอบในสภาพแวดล้อมจริงก่อนสรุปประสิทธิภาพโดยรวม
https://wccftech.com/amd-ryzen-z2-extreme-soc-handhelds-benchmark-msi-claw-a8-top-notch-cpu-gpu-performance/🎙️ เรื่องเล่าจากโลกเกมพกพา: AMD Ryzen Z2 Extreme—ชิปเล็กพลังใหญ่ที่ท้าชนโน้ตบุ๊กเกม AMD เปิดตัว Ryzen Z2 Extreme ซึ่งเป็นชิป SoC สำหรับเครื่องเกมพกพาโดยเฉพาะ โดยใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 ผสม Zen 5C รวมกัน 8 คอร์ 16 เธรด พร้อม iGPU Radeon 890M ที่ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 3.5 ชิปนี้ถูกทดสอบบน MSI Claw A8 ที่มาพร้อม RAM LPDDR5X 24GB และผลลัพธ์จาก Geekbench ก็ออกมาน่าประทับใจมาก: - คะแนน single-thread สูงสุดในกลุ่ม Strix Point - คะแนน multi-thread เทียบเท่าชิป 10 คอร์ Ryzen AI 9 365 - ประสิทธิภาพกราฟิกเทียบเท่า Radeon 890M บนโน้ตบุ๊ก Ryzen Z2 Extreme ยังรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของ AMD เช่น FSR, Frame Generation และ Fluid Motion Frames และจะมีรุ่นที่มาพร้อม NPU 50 TOPS สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ✅ AMD เปิดตัว Ryzen Z2 Extreme SoC สำหรับเครื่องเกมพกพา ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 + Zen 5C รวม 8 คอร์ 16 เธรด ✅ ใช้ iGPU Radeon 890M สถาปัตยกรรม RDNA 3.5 ➡️ มี 16 compute units ความเร็ว 2.9 GHz ✅ รองรับ LPDDR5X-8000 และมีแคชรวม 24MB (L2 + L3) ➡️ เหมาะกับงานกราฟิกและเกมที่ต้องการแบนด์วิดท์สูง ✅ ทดสอบบน MSI Claw A8 ได้คะแนน Geekbench สูงมาก ➡️ Single-thread สูงสุดในกลุ่ม Strix Point / Multi-thread เทียบ Ryzen AI 9 365 ✅ ประสิทธิภาพกราฟิกเทียบเท่าโน้ตบุ๊กที่ใช้ Radeon 890M ➡️ เหนือกว่า Ryzen Z1 Extreme ถึง 30%+ ✅ รองรับเทคโนโลยี AMD ล่าสุด เช่น FSR, Frame-Gen, Fluid Motion ➡️ เตรียมใช้งานใน ASUS ROG Ally X และอุปกรณ์อื่นเร็ว ๆ นี้ ‼️ ยังไม่ระบุ TDP ที่ใช้ในการทดสอบ Geekbench ⛔ อาจเป็น 35W ซึ่งสูงสุดของช่วงที่กำหนด (15–35W) ‼️ ประสิทธิภาพอาจลดลงเมื่อใช้งานในโหมดประหยัดพลังงาน ⛔ โดยเฉพาะในเครื่องที่มีข้อจำกัดด้านระบายความร้อน ‼️ iGPU แม้จะทรงพลัง แต่ยังไม่เทียบเท่า GPU แยกระดับสูง ⛔ เหมาะกับเกมระดับกลางมากกว่าการเล่น AAA แบบ ultra settings ‼️ SOC รุ่นนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการใช้งานจริง ⛔ ต้องรอการทดสอบในสภาพแวดล้อมจริงก่อนสรุปประสิทธิภาพโดยรวม https://wccftech.com/amd-ryzen-z2-extreme-soc-handhelds-benchmark-msi-claw-a8-top-notch-cpu-gpu-performance/WCCFTECH.COMAMD's Top Ryzen Z2 Extreme SoC For Handhelds Benchmarked On MSI's Claw A8, Delivers Top-Notch CPU & GPU PerformanceAMD's fastest handheld SoC, the Ryzen Z2 Extreme, has been benchmarked on Geekbench and showcases strong CPU & GPU performance.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 376 มุมมอง 0 รีวิว - นายอ้วน ยอมรับเอง...นายอ้วน ยอมรับเอง...0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
- เรื่องเล่าจากโลก AI: Agentic AI—เทคโนโลยีที่มาแรง แต่ยังไม่พร้อมสำหรับทุกองค์กร
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “Agentic AI” หรือ AI ที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยอัตโนมัติ กลายเป็นกระแสที่มาแรงในวงการเทคโนโลยี หลายองค์กรเริ่มทดลองใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างนวัตกรรมใหม่
แต่ Gartner เตือนว่า ภายในปี 2570 โครงการ Agentic AI กว่า 40% จะถูกยกเลิก เนื่องจากหลายองค์กรยังไม่เข้าใจต้นทุนที่แท้จริง ความซับซ้อนในการใช้งาน และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อระบบยังอยู่ในช่วงทดลองหรือพิสูจน์แนวคิด (Proof of Concept)
นอกจากนี้ ยังมีปรากฏการณ์ “Agent Washing” ที่ผู้จำหน่ายบางรายนำผลิตภัณฑ์เดิม เช่น Chatbot หรือ RPA มารีแบรนด์ว่าเป็น Agentic AI ทั้งที่ไม่มีความสามารถจริง ทำให้ตลาดเต็มไปด้วยความสับสน
อย่างไรก็ตาม Gartner ยังมองว่า Agentic AI มีศักยภาพสูง โดยคาดว่าในปี 2571:
- 15% ของการตัดสินใจในงานประจำวันจะเป็นอัตโนมัติผ่าน Agentic AI
- 33% ของแอปพลิเคชันองค์กรจะรวม Agentic AI ไว้ใช้งาน
คำแนะนำคือ องค์กรควรเริ่มต้นจาก use case ที่มี ROI ชัดเจน และพิจารณาออกแบบเวิร์กโฟลว์ใหม่ตั้งแต่ต้น แทนที่จะพยายามฝัง AI agent เข้าไปในระบบเดิมที่อาจไม่รองรับ
https://www.dailynews.co.th/news/4919128🎙️ เรื่องเล่าจากโลก AI: Agentic AI—เทคโนโลยีที่มาแรง แต่ยังไม่พร้อมสำหรับทุกองค์กร ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “Agentic AI” หรือ AI ที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยอัตโนมัติ กลายเป็นกระแสที่มาแรงในวงการเทคโนโลยี หลายองค์กรเริ่มทดลองใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างนวัตกรรมใหม่ แต่ Gartner เตือนว่า ภายในปี 2570 โครงการ Agentic AI กว่า 40% จะถูกยกเลิก เนื่องจากหลายองค์กรยังไม่เข้าใจต้นทุนที่แท้จริง ความซับซ้อนในการใช้งาน และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อระบบยังอยู่ในช่วงทดลองหรือพิสูจน์แนวคิด (Proof of Concept) นอกจากนี้ ยังมีปรากฏการณ์ “Agent Washing” ที่ผู้จำหน่ายบางรายนำผลิตภัณฑ์เดิม เช่น Chatbot หรือ RPA มารีแบรนด์ว่าเป็น Agentic AI ทั้งที่ไม่มีความสามารถจริง ทำให้ตลาดเต็มไปด้วยความสับสน อย่างไรก็ตาม Gartner ยังมองว่า Agentic AI มีศักยภาพสูง โดยคาดว่าในปี 2571: - 15% ของการตัดสินใจในงานประจำวันจะเป็นอัตโนมัติผ่าน Agentic AI - 33% ของแอปพลิเคชันองค์กรจะรวม Agentic AI ไว้ใช้งาน คำแนะนำคือ องค์กรควรเริ่มต้นจาก use case ที่มี ROI ชัดเจน และพิจารณาออกแบบเวิร์กโฟลว์ใหม่ตั้งแต่ต้น แทนที่จะพยายามฝัง AI agent เข้าไปในระบบเดิมที่อาจไม่รองรับ https://www.dailynews.co.th/news/4919128WWW.DAILYNEWS.CO.TH“การ์ทเนอร์” เผยปี 70 โครงการ Agentic AI มากกว่า 40% จะถูกยกเลิก | เดลินิวส์การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่ากว่า 40% ของโครงการงานด้าน Agentic AI จะถูกยกเลิกไปในอีกสองปีข้างหน้า สาเหตุมาจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น คุณค่าทางธุรกิจที่ไม่ชัดเจน รวมถึงการควบคุมความเสี่ยงที่ไม่เพียงพอ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 0 รีวิว - 'หมอวรงค์' เผยข้อพิรุธคดีนักโทษชั้น 14 ข้อมูลขัดแย้งหลายประเด็น! บางคนให้การที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
https://www.thai-tai.tv/news/20306/
.
#นักโทษชั้น14 #คดีพิเศษ #กรมราชทัณฑ์ #ข้อพิรุธ #การไต่สวน'หมอวรงค์' เผยข้อพิรุธคดีนักโทษชั้น 14 ข้อมูลขัดแย้งหลายประเด็น! บางคนให้การที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง https://www.thai-tai.tv/news/20306/ . #นักโทษชั้น14 #คดีพิเศษ #กรมราชทัณฑ์ #ข้อพิรุธ #การไต่สวน0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 373 มุมมอง 0 รีวิว - ในเมื่อ 3 ปราสาท เป็นของไทย อยู่ในเขตแดนไทย ผมก็สงสัยอย่างที่ชาวบ้านสงสัย ว่าทำไมต้องให้ทหารเขมรมาร่วมดูแลกับทหารไทยที่ปราสาทตาเมือนธมด้วย ใครตอบได้บ้างครับในเมื่อ 3 ปราสาท เป็นของไทย อยู่ในเขตแดนไทย ผมก็สงสัยอย่างที่ชาวบ้านสงสัย ว่าทำไมต้องให้ทหารเขมรมาร่วมดูแลกับทหารไทยที่ปราสาทตาเมือนธมด้วย ใครตอบได้บ้างครับ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว