• เปิดคนอื่นไม่ทั่ว ไม่เคยดูความซั่วของตัวเอง
    ก่อนจะข้ามรุ่นมาเล่นกับ สนธิ ลิ่มทองกุล ทนายเดชา จุ๊กกรู๊ ก็มีคู่ปรับระดับเดียวกันอยู่ก่อนแล้ว มีคดีคาโรงคาสานกันอยู่ในเวลานี้ ก็คือ อาจารย์อ๊อด แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งเป็นอินฟลูฯ โด่งดังคนหนึ่ง จากการจับเท็จ โกหกตอแหลของทนายจุกกู้ ศึกระหว่างอาจารย์อ๊อดและทนายเดชาเกิดขึ้นเมื่อปี 2565
    เมื่อทนายเดชารับเป็นทนายความให้นายสุธี หรือเสี่ยเปี๊ยก เสี่ยพันล้านเมืองเพชรฟ้องอาจารย์อ๊อดเรียกค่าเสียหาย150 ล้าน กล่าวหาว่าหลอกร่วมลงทุน แต่คดีนี้กลับไม่ได้สู้กันเฉพาะคดีความในศาล ทนายเดชาใช้อาวุธของตัวคือวาทกรรมไลฟ์สดแบบไม่ออกชื่อ กล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่าโกงๆ
    แม้อาจารย์อ๊อดรู้สึกว่าเสียหายจากวาทกรรมเหล่านั้น แต่ก็ไม่สามารถฟ้องเอาผิดทนายเดชาได้ เพราะไม่สามารถพิสูจน์ในศาลได้ว่าเป็นตัวเองที่ถูกใส่ร้าย แต่อาจารย์อ๊อดปักหลักสู้ไม่ถอย จึงไปร้องเรียนกรรมการมรรยาททนายความของสภาทนายความแห่งประเทศไทย ทนายเดชาเลยฟ้องอาจารย์อ๊อด กล่าวหาว่าอาจารย์อ๊อดแจ้งความเท็จหลายคดีแต่คราวนี้อาจารย์อ๊อดเป็นฝ่ายชนะรวดหลายคดีถึงที่สุดเรียบร้อย อาจารย์อ๊อดเลยเอาคืนบ้างเป็นฝ่ายยื่นฟ้องทนายเดชาข้อหาฟ้องเท็จ คดียังอยู่ในการพิจารณาในชั้นศาลและเพราะต้องตั้งรับสู้คดีกับทนายเดชาและเครือข่ายมาอย่างโชกโชน อาจารย์อ๊อดเลยมีความรู้ด้านกฎหมายงอกเงยขึ้นมา จากเดิมที่รู้แต่วิชาเคมีไหนไหนก็ไหนไหนอาจารย์อ๊อดเลยตั้งสํานักงานกฎหมายขึ้นมามีทนายความประจําสํานักงาน ของตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
    ถึงตอนนี้อาจารย์อ๊อดเคลียร์ใจกับเสี่ยเปี๊ยกร่ําไห้กอดกันถอนคดีไปเรียบร้อยแล้วแต่คู่กัดคนสําคัญกลับเป็นอดีตทนายความของเสี่ยเปี๊ยกแทน โดยอาจารย์อ๊อดประกาศชัด ต้องเอาทนายเดชาถึงติดคุกให้ได้ สิ่งหนึ่งที่ยังคาใจอาจารย์อ๊อด
    ก็คือ สภาทนายความที่ไม่เคยขานรับเรื่องร้องเรียนใดๆโดยในการร้องเรียนทนายเดชาต่อกรรมการมารยาททนายความ อาจารย์อ๊อดระบุว่าการประพฤติตนของทนายความรายนี้ฝ่าฝืนต่อศีลธรรมอันดีหรือเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติคุณของทนายความ ตามข้อบังคับสภาทนายความ จึงขอให้สภาทนายความเพิกถอนใบอนุญาตว่าความของทนายเดชาเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงต่อทนายความที่จะไม่รักษาข้อบังคับสภาทนายความ
    ขณะที่สภาทนายความที่รับร้องเรียนจากอาจารย์อ๊อดไปตั้งแต่ปีมะโว้จนบัดนี้ก็ยังแบะๆๆก็ไม่น่าแปลกใจที่สังคมจะตั้งคําถามอื้ออึงสภาทนายมีไว้ทําอะไร ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    เปิดคนอื่นไม่ทั่ว ไม่เคยดูความซั่วของตัวเอง ก่อนจะข้ามรุ่นมาเล่นกับ สนธิ ลิ่มทองกุล ทนายเดชา จุ๊กกรู๊ ก็มีคู่ปรับระดับเดียวกันอยู่ก่อนแล้ว มีคดีคาโรงคาสานกันอยู่ในเวลานี้ ก็คือ อาจารย์อ๊อด แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งเป็นอินฟลูฯ โด่งดังคนหนึ่ง จากการจับเท็จ โกหกตอแหลของทนายจุกกู้ ศึกระหว่างอาจารย์อ๊อดและทนายเดชาเกิดขึ้นเมื่อปี 2565 เมื่อทนายเดชารับเป็นทนายความให้นายสุธี หรือเสี่ยเปี๊ยก เสี่ยพันล้านเมืองเพชรฟ้องอาจารย์อ๊อดเรียกค่าเสียหาย150 ล้าน กล่าวหาว่าหลอกร่วมลงทุน แต่คดีนี้กลับไม่ได้สู้กันเฉพาะคดีความในศาล ทนายเดชาใช้อาวุธของตัวคือวาทกรรมไลฟ์สดแบบไม่ออกชื่อ กล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่าโกงๆ แม้อาจารย์อ๊อดรู้สึกว่าเสียหายจากวาทกรรมเหล่านั้น แต่ก็ไม่สามารถฟ้องเอาผิดทนายเดชาได้ เพราะไม่สามารถพิสูจน์ในศาลได้ว่าเป็นตัวเองที่ถูกใส่ร้าย แต่อาจารย์อ๊อดปักหลักสู้ไม่ถอย จึงไปร้องเรียนกรรมการมรรยาททนายความของสภาทนายความแห่งประเทศไทย ทนายเดชาเลยฟ้องอาจารย์อ๊อด กล่าวหาว่าอาจารย์อ๊อดแจ้งความเท็จหลายคดีแต่คราวนี้อาจารย์อ๊อดเป็นฝ่ายชนะรวดหลายคดีถึงที่สุดเรียบร้อย อาจารย์อ๊อดเลยเอาคืนบ้างเป็นฝ่ายยื่นฟ้องทนายเดชาข้อหาฟ้องเท็จ คดียังอยู่ในการพิจารณาในชั้นศาลและเพราะต้องตั้งรับสู้คดีกับทนายเดชาและเครือข่ายมาอย่างโชกโชน อาจารย์อ๊อดเลยมีความรู้ด้านกฎหมายงอกเงยขึ้นมา จากเดิมที่รู้แต่วิชาเคมีไหนไหนก็ไหนไหนอาจารย์อ๊อดเลยตั้งสํานักงานกฎหมายขึ้นมามีทนายความประจําสํานักงาน ของตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ถึงตอนนี้อาจารย์อ๊อดเคลียร์ใจกับเสี่ยเปี๊ยกร่ําไห้กอดกันถอนคดีไปเรียบร้อยแล้วแต่คู่กัดคนสําคัญกลับเป็นอดีตทนายความของเสี่ยเปี๊ยกแทน โดยอาจารย์อ๊อดประกาศชัด ต้องเอาทนายเดชาถึงติดคุกให้ได้ สิ่งหนึ่งที่ยังคาใจอาจารย์อ๊อด ก็คือ สภาทนายความที่ไม่เคยขานรับเรื่องร้องเรียนใดๆโดยในการร้องเรียนทนายเดชาต่อกรรมการมารยาททนายความ อาจารย์อ๊อดระบุว่าการประพฤติตนของทนายความรายนี้ฝ่าฝืนต่อศีลธรรมอันดีหรือเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติคุณของทนายความ ตามข้อบังคับสภาทนายความ จึงขอให้สภาทนายความเพิกถอนใบอนุญาตว่าความของทนายเดชาเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงต่อทนายความที่จะไม่รักษาข้อบังคับสภาทนายความ ขณะที่สภาทนายความที่รับร้องเรียนจากอาจารย์อ๊อดไปตั้งแต่ปีมะโว้จนบัดนี้ก็ยังแบะๆๆก็ไม่น่าแปลกใจที่สังคมจะตั้งคําถามอื้ออึงสภาทนายมีไว้ทําอะไร ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ดวยหัวKกลายเป็นตัวตลกแห่งชาติ
    ไลฟ์สดอ้างว่าที่ไฝว้กับสนธิเพราะได้ข้อมูลที่ผิดพลาด
    จะไม่ยุ่งเกี่ยวพาดพิงถึงสนธิอีก ขอวิจารณ์เรื่องการเมือง
    จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องไอ่ตั้มอีกโด้ย
    เชร็ดดดดดด แถมทิ้งท้ายว่าจะไปเที่ยวเกาะกูด
    ไอ่ดวยหัวเคร เมิง เมิง เมิงแมมมม่งงง
    โครตเดชาเลย
    แต่พี่คิงส์รู้มาว่า สนธิเค้าสุดซอยนะคับนะ
    เมิงทำตัวเอง ไอ่เด ปีหน้าเมิงจะแทบไม่มีวันว่าง
    2568 นะเด คอยรอเลย 5555555
    ไอ่ฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ดวยหัวKกลายเป็นตัวตลกแห่งชาติ ไลฟ์สดอ้างว่าที่ไฝว้กับสนธิเพราะได้ข้อมูลที่ผิดพลาด จะไม่ยุ่งเกี่ยวพาดพิงถึงสนธิอีก ขอวิจารณ์เรื่องการเมือง จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องไอ่ตั้มอีกโด้ย เชร็ดดดดดด แถมทิ้งท้ายว่าจะไปเที่ยวเกาะกูด ไอ่ดวยหัวเคร เมิง เมิง เมิงแมมมม่งงง โครตเดชาเลย แต่พี่คิงส์รู้มาว่า สนธิเค้าสุดซอยนะคับนะ เมิงทำตัวเอง ไอ่เด ปีหน้าเมิงจะแทบไม่มีวันว่าง 2568 นะเด คอยรอเลย 5555555 ไอ่ฉัด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 279 มุมมอง 0 รีวิว
  • แค้นต้องชำระ ศึก อ.อ๊อด วีรชัย ตามล่าทนายเดชา

    คู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อของทนายเดชา ก็คือ อาจารย์อ๊อด อินฟลูฯ โด่งดังจากการจับเท็จทนายจุ๊กกรู๊ เพราะต้องต่อสู้คดีกับเครือข่ายจุ๊กกรู๊อย่างโชกโชน อาจารย์อ๊อดเลยมีความรู้ด้านกฎหมายงอกขึ้นมา จากเดิมที่รู้แค่วิชาเคมี ถือเป็นอานิสงส์ของการสู้ไม่ถอย

    #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ #แค้นต้องชำระ #ทนายเดชา #อาจารย์อ๊อด
    แค้นต้องชำระ ศึก อ.อ๊อด วีรชัย ตามล่าทนายเดชา คู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อของทนายเดชา ก็คือ อาจารย์อ๊อด อินฟลูฯ โด่งดังจากการจับเท็จทนายจุ๊กกรู๊ เพราะต้องต่อสู้คดีกับเครือข่ายจุ๊กกรู๊อย่างโชกโชน อาจารย์อ๊อดเลยมีความรู้ด้านกฎหมายงอกขึ้นมา จากเดิมที่รู้แค่วิชาเคมี ถือเป็นอานิสงส์ของการสู้ไม่ถอย #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ #แค้นต้องชำระ #ทนายเดชา #อาจารย์อ๊อด
    Like
    Love
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1017 มุมมอง 459 0 รีวิว
  • ศัลยกรรมพระ...ทำได้ทุกเนื้อ...โลหะ ผง ดิน ...จะล้างทำผิว ใหม่ เก่า ผิวไฟ รมดำ กะไหล่ ได้ทั้งหมด...
    ...พระเนื้อโลหะส่วนใหญ่ จุดที่เขาเน้นกันคือ ทำจมูก ..หรือ ส่วนที่สึกหรอ หรือเกิดจากปั๊มผิดพลาด หรือถูกกระแทก..ราคาเริ่มต้นที่ 7-800 ขึ้นไป สำหรับเนื้อทองแดง....ฉะนั้น ถ้าทำเพื่อขาย ก็ดูราคาประกอบด้วย...
    ...ถามว่า สังเกตุอย่างไร..
    เอาแบบง่ายๆ เลย ...ส่วนที่มักจะนูนสูงขึ้นมา พอๆกับจมูก คือ คิ้ว และ ปาก...ถ้าจมูกโด่งแล้วคิ้วกับปากมีรอยกระแทกมา หรือสึก...ก็ชัดแล้ว...ว่าทำมา....
    ...และถ้าท่านสังเกตดูดีๆ ส่วนใหญ่พวกนี้จะทำผิวใหม่ เพื่อกลบความต่าง ของสีโลหะ...ถ้าทำมาเนียนๆ ก็ดูได้แค่ว่าผิวใหม่...ถ้าทำไม่เนียน จะเห็นความต่างของสีโลหะชัดเจน.....
    ...คือเวลาเขาซ่อม เขาใช้โลหะชนิดเดียวกันนั่นละ....แต่ ไม่มีทางเหมือนกัน...เอาง่ายๆ เหรียญที่ผลิตพร้อมกัน...เก็บในที่เดียวกัน...สัมผัสอากาศแสงแดด พอๆกัน...ไม่ผ่านการใช้เลย... #สีผิวยังไม่เหมือนกัน# ...ผู้เขียนมีอยู่รุ่นหนึ่งของ ลพ.จรัญ ร่วม 100 เหรียญ...ฉะนั้นจะหาผิวแบบเดียวกันเป๊ะ ไม่มีทาง...ไม่นับพอโดนความร้อนจากการเชื่อมเข้าไปอีก.....
    ....วันหลังจะเขียนเรื่องศัลยกรรมเนื้ออื่นๆ🙂
    ศัลยกรรมพระ...ทำได้ทุกเนื้อ...โลหะ ผง ดิน ...จะล้างทำผิว ใหม่ เก่า ผิวไฟ รมดำ กะไหล่ ได้ทั้งหมด... ...พระเนื้อโลหะส่วนใหญ่ จุดที่เขาเน้นกันคือ ทำจมูก ..หรือ ส่วนที่สึกหรอ หรือเกิดจากปั๊มผิดพลาด หรือถูกกระแทก..ราคาเริ่มต้นที่ 7-800 ขึ้นไป สำหรับเนื้อทองแดง....ฉะนั้น ถ้าทำเพื่อขาย ก็ดูราคาประกอบด้วย... ...ถามว่า สังเกตุอย่างไร.. เอาแบบง่ายๆ เลย ...ส่วนที่มักจะนูนสูงขึ้นมา พอๆกับจมูก คือ คิ้ว และ ปาก...ถ้าจมูกโด่งแล้วคิ้วกับปากมีรอยกระแทกมา หรือสึก...ก็ชัดแล้ว...ว่าทำมา.... ...และถ้าท่านสังเกตดูดีๆ ส่วนใหญ่พวกนี้จะทำผิวใหม่ เพื่อกลบความต่าง ของสีโลหะ...ถ้าทำมาเนียนๆ ก็ดูได้แค่ว่าผิวใหม่...ถ้าทำไม่เนียน จะเห็นความต่างของสีโลหะชัดเจน..... ...คือเวลาเขาซ่อม เขาใช้โลหะชนิดเดียวกันนั่นละ....แต่ ไม่มีทางเหมือนกัน...เอาง่ายๆ เหรียญที่ผลิตพร้อมกัน...เก็บในที่เดียวกัน...สัมผัสอากาศแสงแดด พอๆกัน...ไม่ผ่านการใช้เลย... #สีผิวยังไม่เหมือนกัน# ...ผู้เขียนมีอยู่รุ่นหนึ่งของ ลพ.จรัญ ร่วม 100 เหรียญ...ฉะนั้นจะหาผิวแบบเดียวกันเป๊ะ ไม่มีทาง...ไม่นับพอโดนความร้อนจากการเชื่อมเข้าไปอีก..... ....วันหลังจะเขียนเรื่องศัลยกรรมเนื้ออื่นๆ🙂
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=AXUUKNHyOs8
    บทสนทนาเที่ยวสวนสัตว์เขาเขียวดูหมูเด้ง
    (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้)
    แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาเที่ยวสวนสัตว์เขาเขียวดูหมูเด้ง
    มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ

    #บทสนทนาภาษาอังกฤษ #ฝึกฟังภาษาอังกฤษ #หมูเด้ง

    The conversations from the clip :

    Tourist 1: Look! That’s Jonah the hippo!
    Tourist 2: Wow, she’s adorable. And she’s the mother of Moo Deng, who’s so famous!
    Tourist 1: Yeah, but Moo Deng is just sleeping. I was hoping to see her moving around.
    Tourist 2: Me too. It’s too bad we missed her, but she must be taking a superstar nap.
    Tourist 1: I know! Well, let’s come back later. Should we check out the penguins next?
    Tourist 2: Great idea! And I heard they’re having a penguin feeding session soon. Penguins are always fun to watch.
    Tourist 1: A penguin feeding session? That sounds adorable! They’re so cute when they waddle around.
    Tourist 2: And I love watching them line up and get excited for food. Penguins are the best!
    Tourist 1: Definitely. I heard they might even be fed during the parade.
    Tourist 2: That sounds amazing! Let’s head over there so we don’t miss it.
    Tourist 1: I hope we can get a good view. Watching them all line up must be so funny.
    Tourist 2: Yes! And after that, let’s check if Moo Deng is awake before we leave.
    Tourist 1: Good idea. I’d love to see her and Jonah together, maybe even playing!
    Tourist 2: Oh, and before we head out, let’s stop by the elephant pool.
    Tourist 1: Yes! Seeing elephants swim would be the perfect way to end the day.
    Tourist 2: Agreed! Let’s go see those elephants before we call it a day.

    นักท่องเที่ยว 1: ดูสิ! นั่นคือโจน่าฮิปโป!
    นักท่องเที่ยว 2: ว้าว เธอน่ารักจัง และเธอเป็นแม่ของหมูเด้งที่โด่งดัง!
    นักท่องเที่ยว 1: ใช่ แต่หมูเด้งกำลังนอนอยู่ ฉันหวังว่าจะได้เห็นเธอขยับตัว
    นักท่องเที่ยว 2: ฉันก็เช่นกัน เสียดายที่เราไม่ได้เห็นเธอ แต่เธอคงกำลังงีบแบบซุปเปอร์สตาร์
    นักท่องเที่ยว 1: ฉันก็รู้! เอาล่ะ กลับมาใหม่ทีหลังดีไหม? เราควรไปดูเพนกวินต่อดีไหม?
    นักท่องเที่ยว 2: ไอเดียดีเลย! และฉันได้ยินมาว่าจะมีการให้อาหารเพนกวินเร็วๆ นี้ เพนกวินน่าดูเสมอ
    นักท่องเที่ยว 1: การให้อาหารเพนกวิน? ฟังดูน่ารักมาก! พวกมันน่ารักมากเวลามันเดินโซซัดโซเซ
    นักท่องเที่ยว 2: และฉันชอบดูพวกมันเรียงแถวและตื่นเต้นเมื่อถึงเวลาอาหาร เพนกวินที่สุด!
    นักท่องเที่ยว 1: แน่นอน ฉันได้ยินมาว่าอาจจะมีการให้อาหารพวกมันระหว่างการพาเหรดด้วย
    นักท่องเที่ยว 2: ฟังดูน่าทึ่งมาก! ไปดูกันเถอะเพื่อจะไม่พลาด
    นักท่องเที่ยว 1: หวังว่าเราจะได้ที่นั่งที่ดีนะ ดูพวกมันเรียงแถวคงขำไม่น้อย
    นักท่องเที่ยว 2: ใช่เลย! และหลังจากนั้นเราค่อยมาดูหมูเด้งว่าตื่นหรือยังก่อนที่จะกลับ
    นักท่องเที่ยว 1: ไอเดียดี ฉันอยากเห็นเธอกับโจน่าด้วย บางทีอาจจะได้เห็นเล่นกัน!
    นักท่องเที่ยว 2: โอ้ และก่อนกลับเราควรแวะดูที่สระช้างกัน
    นักท่องเที่ยว 1: ใช่! การได้เห็นช้างว่ายน้ำคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจบทริปนี้
    นักท่องเที่ยว 2: เห็นด้วย! ไปดูช้างกันก่อนที่จะกลับกัน

    Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้)

    Hippo (ฮิป-โพ) n. - ฮิปโปโปเตมัส
    Adorable (อะ-ดอร์-อะ-เบิล) adj. - น่ารัก
    Mother (มัธ-เธอร์) n. - แม่
    Famous (เฟ-มัส) adj. - มีชื่อเสียง
    Sleeping (สลี-ปิ้ง) v. - กำลังนอน
    Superstar (ซู-เพอร์-สตาร์) n. - ดาราดัง
    Nap (แน็พ) n. - การงีบหลับ
    Penguin (เพ็ง-กวิน) n. - เพนกวิน
    Feeding (ฟี-ดิง) v. - การให้อาหาร
    Waddle (ว็อด-เดิล) v. - เดินโคลงเคลง
    Line up (ไลน์ อัพ) v. - ต่อแถว
    Excited (เอ็ก-ไซ-ทิด) adj. - ตื่นเต้น
    View (วิว) n. - ทิวทัศน์, มุมมอง
    Elephant (เอล-ละ-เฟนท์) n. - ช้าง
    Perfect (เพอร์-เฟ็คท) adj. - สมบูรณ์แบบ
    https://www.youtube.com/watch?v=AXUUKNHyOs8 บทสนทนาเที่ยวสวนสัตว์เขาเขียวดูหมูเด้ง (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้) แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาเที่ยวสวนสัตว์เขาเขียวดูหมูเด้ง มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ #บทสนทนาภาษาอังกฤษ #ฝึกฟังภาษาอังกฤษ #หมูเด้ง The conversations from the clip : Tourist 1: Look! That’s Jonah the hippo! Tourist 2: Wow, she’s adorable. And she’s the mother of Moo Deng, who’s so famous! Tourist 1: Yeah, but Moo Deng is just sleeping. I was hoping to see her moving around. Tourist 2: Me too. It’s too bad we missed her, but she must be taking a superstar nap. Tourist 1: I know! Well, let’s come back later. Should we check out the penguins next? Tourist 2: Great idea! And I heard they’re having a penguin feeding session soon. Penguins are always fun to watch. Tourist 1: A penguin feeding session? That sounds adorable! They’re so cute when they waddle around. Tourist 2: And I love watching them line up and get excited for food. Penguins are the best! Tourist 1: Definitely. I heard they might even be fed during the parade. Tourist 2: That sounds amazing! Let’s head over there so we don’t miss it. Tourist 1: I hope we can get a good view. Watching them all line up must be so funny. Tourist 2: Yes! And after that, let’s check if Moo Deng is awake before we leave. Tourist 1: Good idea. I’d love to see her and Jonah together, maybe even playing! Tourist 2: Oh, and before we head out, let’s stop by the elephant pool. Tourist 1: Yes! Seeing elephants swim would be the perfect way to end the day. Tourist 2: Agreed! Let’s go see those elephants before we call it a day. นักท่องเที่ยว 1: ดูสิ! นั่นคือโจน่าฮิปโป! นักท่องเที่ยว 2: ว้าว เธอน่ารักจัง และเธอเป็นแม่ของหมูเด้งที่โด่งดัง! นักท่องเที่ยว 1: ใช่ แต่หมูเด้งกำลังนอนอยู่ ฉันหวังว่าจะได้เห็นเธอขยับตัว นักท่องเที่ยว 2: ฉันก็เช่นกัน เสียดายที่เราไม่ได้เห็นเธอ แต่เธอคงกำลังงีบแบบซุปเปอร์สตาร์ นักท่องเที่ยว 1: ฉันก็รู้! เอาล่ะ กลับมาใหม่ทีหลังดีไหม? เราควรไปดูเพนกวินต่อดีไหม? นักท่องเที่ยว 2: ไอเดียดีเลย! และฉันได้ยินมาว่าจะมีการให้อาหารเพนกวินเร็วๆ นี้ เพนกวินน่าดูเสมอ นักท่องเที่ยว 1: การให้อาหารเพนกวิน? ฟังดูน่ารักมาก! พวกมันน่ารักมากเวลามันเดินโซซัดโซเซ นักท่องเที่ยว 2: และฉันชอบดูพวกมันเรียงแถวและตื่นเต้นเมื่อถึงเวลาอาหาร เพนกวินที่สุด! นักท่องเที่ยว 1: แน่นอน ฉันได้ยินมาว่าอาจจะมีการให้อาหารพวกมันระหว่างการพาเหรดด้วย นักท่องเที่ยว 2: ฟังดูน่าทึ่งมาก! ไปดูกันเถอะเพื่อจะไม่พลาด นักท่องเที่ยว 1: หวังว่าเราจะได้ที่นั่งที่ดีนะ ดูพวกมันเรียงแถวคงขำไม่น้อย นักท่องเที่ยว 2: ใช่เลย! และหลังจากนั้นเราค่อยมาดูหมูเด้งว่าตื่นหรือยังก่อนที่จะกลับ นักท่องเที่ยว 1: ไอเดียดี ฉันอยากเห็นเธอกับโจน่าด้วย บางทีอาจจะได้เห็นเล่นกัน! นักท่องเที่ยว 2: โอ้ และก่อนกลับเราควรแวะดูที่สระช้างกัน นักท่องเที่ยว 1: ใช่! การได้เห็นช้างว่ายน้ำคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจบทริปนี้ นักท่องเที่ยว 2: เห็นด้วย! ไปดูช้างกันก่อนที่จะกลับกัน Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้) Hippo (ฮิป-โพ) n. - ฮิปโปโปเตมัส Adorable (อะ-ดอร์-อะ-เบิล) adj. - น่ารัก Mother (มัธ-เธอร์) n. - แม่ Famous (เฟ-มัส) adj. - มีชื่อเสียง Sleeping (สลี-ปิ้ง) v. - กำลังนอน Superstar (ซู-เพอร์-สตาร์) n. - ดาราดัง Nap (แน็พ) n. - การงีบหลับ Penguin (เพ็ง-กวิน) n. - เพนกวิน Feeding (ฟี-ดิง) v. - การให้อาหาร Waddle (ว็อด-เดิล) v. - เดินโคลงเคลง Line up (ไลน์ อัพ) v. - ต่อแถว Excited (เอ็ก-ไซ-ทิด) adj. - ตื่นเต้น View (วิว) n. - ทิวทัศน์, มุมมอง Elephant (เอล-ละ-เฟนท์) n. - ช้าง Perfect (เพอร์-เฟ็คท) adj. - สมบูรณ์แบบ
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • Blue Suede Shoes
    เพลงนี้ถูกบันทึกไว้ครั้งแรกโดยผู้แต่งที่ไม่เต็มใจนักคือนักร้องคันทรี คาร์ล เพอร์กินส์.
    ..เป็นเพลงแรกด้านหนึ่งของอัลบั้มเปิดตัวชื่อเดียวกันของเอลวิส เพรสลีย์ในปี 1956 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยธรรมชาติแล้ว คนรักดนตรีหลายคนจึงสันนิษฐานว่า“Blue Suede Shoes” เป็นผลงานของเอลวิส แต่เพลงนี้เป็นผลงานของนักบุกเบิกดนตรีร็อกแอนด์โรลที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก และมีต้นกำเนิดที่ซับซ้อนและมีอารมณ์ขันอย่างประหลาด
    “Blue Suede Shoes” ถูกเขียนขึ้นอย่างไม่เต็มใจโดยนักร้องและนักแต่งเพลงชาวเทนเนสซีคาร์ล เพอร์กินส์ เดิมทีเขาเป็นนักร้องแนวคันทรี แต่การผสมผสานระหว่างร็อกแอนด์โรลและดนตรีพื้นบ้านแบบฮิลบิลลี่ของเทือกเขาแอปพาเลเชียนซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาทำให้เขาได้รับฉายาว่าราชาแห่งร็อกกาบิลลี่ในไม่ช้า
    เพอร์กินส์เซ็นสัญญากับค่ายเพลงซันเรคคอร์ดในปี 1954 และในปีถัดมา ก็ได้เล่นดนตรีร่วมกับเพรสลีย์และจอห์นนี่ แคชในอาร์คันซอหลายครั้ง ขณะอยู่หลังเวทีการแสดงในเมืองพาร์กินส์ แคชได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลประหลาดที่เขาพบในเยอรมนีระหว่างที่รับราชการทหารให้เพอร์กินส์ฟัง
    แคชเล่าถึงจ่าสิบเอกผิวสีชื่อซีวี ไวท์ ซึ่งอ้างว่าอักษรย่อของเขาหมายถึง “กำมะหยี่แชมเปญ” ในคืนนอกเวลางานในมิวนิก ไวท์มักจะจินตนาการว่ารองเท้าทหารสีดำตามระเบียบของเขาเป็นรองเท้าหนังกลับสีน้ำเงินที่ดูเก๋ไก๋ และเตือนทุกคนที่มาเยี่ยมชมไม่ให้เหยียบรองเท้าเหล่านี้
    “คุณควรเขียนเพลงเกี่ยวกับเรื่องนั้น!” แคชเสนอให้เพอร์กินส์
    “แต่ฉันไม่รู้เรื่องรองเท้าเลย!” เพอร์กินส์ประท้วง
    แคชได้ปลูกเมล็ดพันธุ์ไว้แล้ว ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เพอร์กินส์ได้ยินเสียงดังขึ้นขณะกำลังเต้นรำในวิทยาลัย "เฮ้ อย่าเหยียบรองเท้าหนังกลับของฉัน!" และเห็นนักเรียนคนหนึ่งกำลังตำหนิคู่เดตของเขาที่ทำรองเท้าของเขาถลอก เขาเริ่มเขียน "รองเท้าหนังกลับสีน้ำเงิน" ในคืนนั้น โดยใช้กระสอบใส่มันฝรั่งสีน้ำตาลที่สะดวก
    เพอร์กินส์เริ่มต้นด้วยกลอนเด็กของสหรัฐอเมริกา: “หนึ่งเพื่อเงิน สองเพื่อการแสดง!” ก่อนที่จะแสดงรายการชะตากรรมที่เขาอยากอดทนมากกว่าที่จะให้ใครมาเหยียบรองเท้าของเขา: “คุณสามารถล้มฉันลงได้ เหยียบหน้าฉัน…” ความไม่เหมาะสมที่ตลกขบขันเหล่านี้ยิ่งเลวร้ายลง: “คุณสามารถเผาบ้านของฉัน ขโมยรถของฉัน ดื่มเหล้าของฉันจากโถผลไม้เก่า!”
    “Blue Suede Shoes” เป็นเพลงที่สนุกสนานและได้รับความนิยมอย่างมาก ออกจำหน่ายในวันปีใหม่ปี 1956 ขึ้นชาร์ตทั้งเพลงคันทรีและเพลง แนวริธึมแอนด์บลูส์ และขึ้นอันดับสองในชาร์ตเพลงป๊อปหลักของ Billboard ในเดือนมีนาคมปีนั้น แต่แล้วโศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นกับ Carl Perkins
    ขณะที่เพอร์กินส์กำลังเดินทางไปแสดงเพลง “Blue Suede Shoes” ในรายการโทรทัศน์ของเพอร์รี โคโม เพอร์กินส์ประสบอุบัติเหตุทางถนนที่ร้ายแรง คนขับรถบรรทุกเสียชีวิต และนักร้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่เพอร์กินส์นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล เนื่องจากไม่สามารถโปรโมตซิงเกิลของเขาได้ เพลงดังกล่าวก็ถูกแซงหน้าโดยเพลง “Heartbreak Hotel” ซึ่งเป็นเพลงเปิดตัวของเอลวิสในสังกัดค่ายเพลงใหญ่
    เพรสลีย์คัฟเวอร์เพลง "Blue Suede Shoes" ในอัลบั้มของเขาในเดือนเดียวกันนั้น และค่ายเพลงของเขาต้องการที่จะปล่อยเพลงนี้ออกมาเป็นซิงเกิล ในตอนแรกเขาไม่อยากแข่งขันกับเพื่อนเรื่องยอดขาย แต่เขาก็ยอมแพ้เมื่อตระหนักว่าค่าลิขสิทธิ์การแต่งเพลงจะช่วยสนับสนุนเพอร์กินส์ในขณะที่เขากำลังพักฟื้น เวอร์ชันที่คล้ายกันมากของเอลวิสก็ขึ้นอันดับ 20

    ปกอัลบั้มอื่นๆ ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ The Beatles เป็นแฟนตัวยงของ Perkins; Paul McCartney ยืนยันว่า "ถ้าไม่มี Carl Perkins ก็คงไม่มี Beatles" John Lennon เล่นเพลง "Blue Suede Shoes" ในวงสกิฟเฟิลก่อนจะโด่งดังของเขาอย่าง The Quarrymen; และในวง The Beatles; ในฐานะศิลปินเดี่ยว; และกับ Yoko Ono ในวง Plastic Ono เลนนอนยังรับหน้าที่ร้องนำในเวอร์ชันแจมเซสชั่น ของเพลงนี้ในช่วง Let It Be ของ The Beatles ตามที่แสดงในสารคดีของปีเตอร์ แจ็กสันในปี 2021
    The Dave Clark Five เล่นเปียโนได้อย่างสนุกสนาน Uriah Heep ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยดนตรีแนวพร็อก-ร็อกสุดมันส์ Motörhead ร้องได้อย่างเต็มที่ โดยนักร้องนำ Lemmy ดูเหมือนจะกลั้วคอด้วยเสียงเพลงกรวด Black Sabbath เร่งจังหวะจากความมึนงงตามปกติ และกระตุ้นจินตนาการอันน่ายินดีของนักร้องนำ Ozzy Osbourne ที่สวมรองเท้าหนังกลับสีน้ำเงิน
    Ry Cooder เล่นเพลง “Blue Suede Shoes” จนกลายเป็นหนึ่งในผลงานการเล่นกีตาร์สไลด์อันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ดาราฝรั่งเศสจอห์นนี่ ฮัลลีเดย์ ร้องเพลงกอลและร้องคาราโอเกะของเอลวิสไปทั่ว และในปี 2014 สาวกเอลวิสคนแรกของอังกฤษCliff Richard ร้องเพลงคู่กับ Presley จากเพลงฮิตปี 1956 ของเขาอย่างภาคภูมิใจ
    “Blue Suede Shoes” เป็นเพลงแรกของนักร้องคันทรี่ที่มียอดขายกว่าล้านชุดและได้รับความนิยมในกระแสหลัก แต่เพลงนี้ยังคงเชื่อมโยงกับเอลวิส เพรสลีย์ตลอดไป เพอร์กินส์ยอมรับอย่างภาคภูมิใจว่าเอลวิสมีเสน่ห์ดึงดูดใจและมีคุณสมบัติ "X" ซูเปอร์สตาร์ ซึ่งแม้ว่าเขาจะเป็นแค่คนพื้นเพธรรมดาๆ ก็ตาม
    “เอลวิสมีทุกอย่าง” เขากล่าวในบทสัมภาษณ์ “เขาทั้งหน้าตา ท่าทาง ผู้จัดการ และพรสวรรค์ เอลวิสไว้เคราข้างแก้ม ท่าเต้นที่ฉูดฉาด และไม่มีแหวนบนนิ้วของเขา ฉันมีลูกสามคน!”
    อย่างน้อยเขาก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับรองเท้า.
    Blue Suede Shoes เพลงนี้ถูกบันทึกไว้ครั้งแรกโดยผู้แต่งที่ไม่เต็มใจนักคือนักร้องคันทรี คาร์ล เพอร์กินส์. ..เป็นเพลงแรกด้านหนึ่งของอัลบั้มเปิดตัวชื่อเดียวกันของเอลวิส เพรสลีย์ในปี 1956 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยธรรมชาติแล้ว คนรักดนตรีหลายคนจึงสันนิษฐานว่า“Blue Suede Shoes” เป็นผลงานของเอลวิส แต่เพลงนี้เป็นผลงานของนักบุกเบิกดนตรีร็อกแอนด์โรลที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก และมีต้นกำเนิดที่ซับซ้อนและมีอารมณ์ขันอย่างประหลาด “Blue Suede Shoes” ถูกเขียนขึ้นอย่างไม่เต็มใจโดยนักร้องและนักแต่งเพลงชาวเทนเนสซีคาร์ล เพอร์กินส์ เดิมทีเขาเป็นนักร้องแนวคันทรี แต่การผสมผสานระหว่างร็อกแอนด์โรลและดนตรีพื้นบ้านแบบฮิลบิลลี่ของเทือกเขาแอปพาเลเชียนซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาทำให้เขาได้รับฉายาว่าราชาแห่งร็อกกาบิลลี่ในไม่ช้า เพอร์กินส์เซ็นสัญญากับค่ายเพลงซันเรคคอร์ดในปี 1954 และในปีถัดมา ก็ได้เล่นดนตรีร่วมกับเพรสลีย์และจอห์นนี่ แคชในอาร์คันซอหลายครั้ง ขณะอยู่หลังเวทีการแสดงในเมืองพาร์กินส์ แคชได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลประหลาดที่เขาพบในเยอรมนีระหว่างที่รับราชการทหารให้เพอร์กินส์ฟัง แคชเล่าถึงจ่าสิบเอกผิวสีชื่อซีวี ไวท์ ซึ่งอ้างว่าอักษรย่อของเขาหมายถึง “กำมะหยี่แชมเปญ” ในคืนนอกเวลางานในมิวนิก ไวท์มักจะจินตนาการว่ารองเท้าทหารสีดำตามระเบียบของเขาเป็นรองเท้าหนังกลับสีน้ำเงินที่ดูเก๋ไก๋ และเตือนทุกคนที่มาเยี่ยมชมไม่ให้เหยียบรองเท้าเหล่านี้ “คุณควรเขียนเพลงเกี่ยวกับเรื่องนั้น!” แคชเสนอให้เพอร์กินส์ “แต่ฉันไม่รู้เรื่องรองเท้าเลย!” เพอร์กินส์ประท้วง แคชได้ปลูกเมล็ดพันธุ์ไว้แล้ว ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เพอร์กินส์ได้ยินเสียงดังขึ้นขณะกำลังเต้นรำในวิทยาลัย "เฮ้ อย่าเหยียบรองเท้าหนังกลับของฉัน!" และเห็นนักเรียนคนหนึ่งกำลังตำหนิคู่เดตของเขาที่ทำรองเท้าของเขาถลอก เขาเริ่มเขียน "รองเท้าหนังกลับสีน้ำเงิน" ในคืนนั้น โดยใช้กระสอบใส่มันฝรั่งสีน้ำตาลที่สะดวก เพอร์กินส์เริ่มต้นด้วยกลอนเด็กของสหรัฐอเมริกา: “หนึ่งเพื่อเงิน สองเพื่อการแสดง!” ก่อนที่จะแสดงรายการชะตากรรมที่เขาอยากอดทนมากกว่าที่จะให้ใครมาเหยียบรองเท้าของเขา: “คุณสามารถล้มฉันลงได้ เหยียบหน้าฉัน…” ความไม่เหมาะสมที่ตลกขบขันเหล่านี้ยิ่งเลวร้ายลง: “คุณสามารถเผาบ้านของฉัน ขโมยรถของฉัน ดื่มเหล้าของฉันจากโถผลไม้เก่า!” “Blue Suede Shoes” เป็นเพลงที่สนุกสนานและได้รับความนิยมอย่างมาก ออกจำหน่ายในวันปีใหม่ปี 1956 ขึ้นชาร์ตทั้งเพลงคันทรีและเพลง แนวริธึมแอนด์บลูส์ และขึ้นอันดับสองในชาร์ตเพลงป๊อปหลักของ Billboard ในเดือนมีนาคมปีนั้น แต่แล้วโศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นกับ Carl Perkins ขณะที่เพอร์กินส์กำลังเดินทางไปแสดงเพลง “Blue Suede Shoes” ในรายการโทรทัศน์ของเพอร์รี โคโม เพอร์กินส์ประสบอุบัติเหตุทางถนนที่ร้ายแรง คนขับรถบรรทุกเสียชีวิต และนักร้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่เพอร์กินส์นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล เนื่องจากไม่สามารถโปรโมตซิงเกิลของเขาได้ เพลงดังกล่าวก็ถูกแซงหน้าโดยเพลง “Heartbreak Hotel” ซึ่งเป็นเพลงเปิดตัวของเอลวิสในสังกัดค่ายเพลงใหญ่ เพรสลีย์คัฟเวอร์เพลง "Blue Suede Shoes" ในอัลบั้มของเขาในเดือนเดียวกันนั้น และค่ายเพลงของเขาต้องการที่จะปล่อยเพลงนี้ออกมาเป็นซิงเกิล ในตอนแรกเขาไม่อยากแข่งขันกับเพื่อนเรื่องยอดขาย แต่เขาก็ยอมแพ้เมื่อตระหนักว่าค่าลิขสิทธิ์การแต่งเพลงจะช่วยสนับสนุนเพอร์กินส์ในขณะที่เขากำลังพักฟื้น เวอร์ชันที่คล้ายกันมากของเอลวิสก็ขึ้นอันดับ 20 ปกอัลบั้มอื่นๆ ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ The Beatles เป็นแฟนตัวยงของ Perkins; Paul McCartney ยืนยันว่า "ถ้าไม่มี Carl Perkins ก็คงไม่มี Beatles" John Lennon เล่นเพลง "Blue Suede Shoes" ในวงสกิฟเฟิลก่อนจะโด่งดังของเขาอย่าง The Quarrymen; และในวง The Beatles; ในฐานะศิลปินเดี่ยว; และกับ Yoko Ono ในวง Plastic Ono เลนนอนยังรับหน้าที่ร้องนำในเวอร์ชันแจมเซสชั่น ของเพลงนี้ในช่วง Let It Be ของ The Beatles ตามที่แสดงในสารคดีของปีเตอร์ แจ็กสันในปี 2021 The Dave Clark Five เล่นเปียโนได้อย่างสนุกสนาน Uriah Heep ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยดนตรีแนวพร็อก-ร็อกสุดมันส์ Motörhead ร้องได้อย่างเต็มที่ โดยนักร้องนำ Lemmy ดูเหมือนจะกลั้วคอด้วยเสียงเพลงกรวด Black Sabbath เร่งจังหวะจากความมึนงงตามปกติ และกระตุ้นจินตนาการอันน่ายินดีของนักร้องนำ Ozzy Osbourne ที่สวมรองเท้าหนังกลับสีน้ำเงิน Ry Cooder เล่นเพลง “Blue Suede Shoes” จนกลายเป็นหนึ่งในผลงานการเล่นกีตาร์สไลด์อันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ดาราฝรั่งเศสจอห์นนี่ ฮัลลีเดย์ ร้องเพลงกอลและร้องคาราโอเกะของเอลวิสไปทั่ว และในปี 2014 สาวกเอลวิสคนแรกของอังกฤษCliff Richard ร้องเพลงคู่กับ Presley จากเพลงฮิตปี 1956 ของเขาอย่างภาคภูมิใจ “Blue Suede Shoes” เป็นเพลงแรกของนักร้องคันทรี่ที่มียอดขายกว่าล้านชุดและได้รับความนิยมในกระแสหลัก แต่เพลงนี้ยังคงเชื่อมโยงกับเอลวิส เพรสลีย์ตลอดไป เพอร์กินส์ยอมรับอย่างภาคภูมิใจว่าเอลวิสมีเสน่ห์ดึงดูดใจและมีคุณสมบัติ "X" ซูเปอร์สตาร์ ซึ่งแม้ว่าเขาจะเป็นแค่คนพื้นเพธรรมดาๆ ก็ตาม “เอลวิสมีทุกอย่าง” เขากล่าวในบทสัมภาษณ์ “เขาทั้งหน้าตา ท่าทาง ผู้จัดการ และพรสวรรค์ เอลวิสไว้เคราข้างแก้ม ท่าเต้นที่ฉูดฉาด และไม่มีแหวนบนนิ้วของเขา ฉันมีลูกสามคน!” อย่างน้อยเขาก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับรองเท้า.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 317 มุมมอง 98 0 รีวิว
  • ทรัมป์ไม่เพียงชนะเลือกตั้ง แต่มีชัยเหนือภาพลวงตาที่ฝั่งหัวประชาชนมานาน ..... โดยทนง ขันทอง
    .
    ในการเลือกตั้งปี 2020 โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง ได้คะแนนเสียงจากคนอเมริกันทั้งหมด (popular votes) 74 ล้านเสียง ถือว่าเป็นประวัติการณ์เลยทีเดียว แต่ทรัมป์กลับต้องพ่ายแพ้ต่อโจ ไบเดนที่ได้คะแนน 81ล้านเสียง ที่เหนือกว่าประวัติการณ์เสียอีก
    .
    มองด้วยสามัญสำนึกธรรมดาจะเห็นทันทีเลยว่า ไม่มีทางที่นักการเมืองที่น่าเบื่ออย่างไบเดนที่เป็นส่วนหนึ่งของพวกอำนาจรัฐ (Establishment) จะได้คะแนนความนิยมมากมายอย่างนี้ มันเป็นเรื่องยากที่ไบเดนจะสามารถเอาชนะทรัมป์ที่ครองอำนาจอยู่ในทำเนียบขาวอยู่แล้ว และมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่ไบเดนจะมีคะแนนความนิยมมากกว่าโอบามาที่ได้คะแนนความนิยมเสียง 65ล้านเสียง ในการชนะการเลือกตั้งในปี 2012 หรือฮิลลารี่ที่ได้คะแนนความนิยม 65 ล้านเสียงในปี 2016 อย่างมีนัยสำคัญ
    .
    หันกลับมาดูการเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทรัมป์ชนะเลือกตั้งกลับมาเป็นประธานาธิบดีในสมัยที่สองด้วยคะแนนความนิยม 72 ล้านเสียง เทียบกับกมลา แฮร์ริสที่ได้ 67ล้านเสียง โดยชนะแบบแลนด์สไลด์ขาดลอย
    .
    สรุปภาพรวมแล้ว ตัวแทนจากเดโมแครตที่ลงเลือกตั้งประธานาธิบดี ไม่ว่าจะเป็นโอบามา ฮิลลารี่ หรือแฮร์ริสมีฐานเสียงคะแนนความนิยมพอๆกันที่ประมาณ 65 ล้านเสียง แล้วจู่ๆ ไบเดนจะชนะการเลือกต้ังในปี 2020 ได้อย่างไรด้วยคะแนนความนิยมที่นำโด่งที่ 81ล้านเสียง มากกว่าฐานเสียงคะแนนความนิยมของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของเดโมแครตถึง 20 ล้านเสียง!!!!
    .
    เรื่องนี้จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ยกเว้นว่า พวกเดโมแครต และไบเดนปล้นชัยชนะจากทรัมป์ในการเลือกต้ัง โดยโมเมตัวเลขคะแนนความนิยมเพิ่มขึ้นมาถึง 20 ล้านเสียง ผ่านคะแนนที่มาจากจากโหวตทางไปรษณีย์ หรือเครื่องนับคะแนนDominionที่มีการตั้งโปรแกรมการนับคะแนนแบบมีข้อกังขา คะแนนของทรัมป์ที่ได้ 74 ล้านเสียง ในการแข่งกับไบเดนคร้ังนั้นถือว่าเป็นประวัติการณ์อยู่แล้ว ไม่มีใครสามารถเอาชนะได้ เดโมแครตทำโพลแบบลับๆเห็นตัวเลขคะแนนความนิยมที่สูงเป็นประวัติการณ์ของทรัมป์อยู่แล้วจึงต้องหาทางปั่นตัวเลขให้ไบเดนให้ได้คะแนนความนิยมสูงเสียดฟ้าไม่งั้นไม่ชนะ โดยใช้ conspiracy ของการแพร่ระขาดของไวรัสโควิดเพื่อทำลายเศรษฐกิจของจีน และผลกระทบข้างเคียงที่ตามมาในการกักคนห้ามออกนอกบ้าน ทำให้คนอเมริกันไปโหวตที่ศูนย์เลือกตั้งไม่ได้ ต้องโหวตผ่านไปรษณีย์เป็นจำนวนมาก ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการโกงการเลือกตั้งได้ง่ายผ่านบัตรผี หรือทำลายบัตรที่ลงคะแนนให้ทรัมป์
    .
    องคายพของระบบการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐถูกควบคุมโดยเดโมแครตเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ดูแลการเลือกตั้งในรัฐสมรภูมิ นักการเมืองท้องถิ่น อัยการ ศาล รวมท้ังสื่อท้ังกระแสหลัก และสื่อออนไลน์ต่างก็ให้การสนับสนุนฝ่ายลิเบอรัลเดโมแครตอยู่แล้ว การโกงชัยชนะของทรัมป์จึงสามารถทำได้ โดยที่ไบเดนแทบที่จะไม่ต้องแคมเปญอะไรมาก เพราะรู้ผลการเลือกตั้งล่วงหน้าอยู่แล้ว ผลประโยชน์ของการเข้ามามีอำนาจทางการเมืองในวอชิงตันดี ซีมากมายมหาศาลจึงเป็นเรื่องที่เดโมแครตต้องทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ
    .
    แต่การเลือกต้ังเมื่อวานนี้ เดโมแครตทำอะไรทรัมป์ไม่ได้ เพราะว่ากระแสความนิยมในตัวทรัมป์เดิมทีดีอยู่แล้ว จะโกงทรัมป์อีกรอบเป็นเรื่องยากดั่งเข็นครกขึ้นภูเขา และยิ่งตลอดระยะเวลา4ปีที่ผ่านมาของการบริหารงานของไบเดน และแฮร์ริสเป็นไปอย่างล้มเหลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเศรษฐกิจ และการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายของชาวต่างชาติ คนอเมริกันส่วนมากปากกัดตีนถีบเพราะของแพงเงินเฟ้อ ค่าเช่าบ้านแทบจะจ่ายไม่ไหวจึงไม่พอใจไบเดนเป็นอย่างมาก ยิ่งแฮร์ริสหาเสียงด้วยธีมที่ว่าเธอจะสานต่อนโยบายของไบเดนต่อไป ก็เท่ากับว่าเธอจะเดินหน้าดำเนินนโยบายที่ล้มเหลวต่อไปอีก 4 ปี ถ้าหากชนะเลือกตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นฝันร้ายสำหรับคนอเมริกันที่มีสิทธิ์โหวต
    .
    CNN ทำสำรวจ exit poll ที่เผยแพร่ในวันเลือกตั้งประธานาธิบดี ปรากฏว่าคนอเมริกันประมาณ 70% ไม่พอใจในสภาพของบ้านเมืองอเมริกัน และต้องการความเปลี่ยนแปลง ตรงกันข้ามกับข้อมูลที่รัฐบาลสหรัฐเผยแพร่มาตลอดว่าเศรษฐกิจดี การจ้างงานยังแข็งแกร่ง ตลาดหุ้นตลาดการเงินไปโลดสร้างสถิติใหม่ตลอด ท้ังนี้เพราะว่าตลาดการเงินแยกตัวออกจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แท้จริงมาตั้งนานแล้ว คนที่มีทรัพย์สินในตลาดการเงินจึงพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ เพราะว่าทรัพย์สินทางการเงินเพิ่มมูลค่าอย่างมาก ในขณะที่คนส่วนมากที่อยู่กับเศรษฐกิจที่แท้จริงต่างลำบากกันถ้วนหน้ากับเงินเฟ้อ และงานที่ให้ค่าจ้างดีๆที่หายากลำบาก
    .
    Chris Wallace ผู้ประกาศข่าวของ CNN จึงพูดในรายการที่รายงานการเลือกต้ังว่า ด้วยตัวเลขจากเอ็กซิตโพลที่คนอเมริกันส่วนมากไม่พอใจกับสภาพเศรษฐกิจ หรือปัญหาของบ้านเมือง มันจะเป็นส่ิงมหัศจรรย์สำหรับแฮร์ริสที่จะชนะการเลือกต้ัง และมันก็เป็นเช่นนั้น ไม่มีสิ่งมหัศจรรย์สำหรับแฮร์ริสในการพลิกผลของการเลือกตั้ง เพราะว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ออกมาใช้สิทธิ์คร้ังแรก หรือคนที่ไม่สังกัดพรรคใดโหวตให้ทรัมป์ เพราะว่าต้องการความเปลี่ยนแปลง เห็นทรัมป์เป็นความหวังว่าจะทำให้บ้านเมืองดีขึ้น เพราะว่าทรัมป์เป็นคนนอก ไม่ใช่เป็นคนในของระบบการเมืองอเมริกันที่ผูกขาดอำนาจ
    .
    ชัยชนะของทรัมป์ทำให้เราเห็นได้ชัดเจนว่าโพลต่างๆเชื่อถือไม่ได้แม้แต่น้อย เพราะส่วนมากให้แฮร์ริสชนะ สื่อกระแสหลักและสื่อออนไลน์ที่ทรงพลังก็ไม่มีความน่าเชื่อถือพอๆกัน เพราะว่าถือหางแฮร์ริส และรายงานทรัมป์ในแง่ลบมาตลอด คนที่เชื่อในโพลของสื่อหรือสำนักกระแสหลัก หรือเชื่อในสื่อกระแสหลักของสื่อออนไลน์ที่ทรงพลังจะได้ข้อมูลที่บิดเบือนหรือไม่ก็โกหกกันอย่างโจ่งแจ้ง เมื่อปรากฎผลว่าทรัมป์ชนะแฮร์ริสอย่างถล่มทลาย หลายคนยอมรับไม่ได้ เพราะว่ายังติดหล่มกับความเชื่อเดิมที่ถูกฝังหัว แต่คนส่วนมากเริ่มที่จะตื่นรู้ว่าถูกแหกตามาตลอด
    .
    ได้เวลาปฏิรูประบบเสียที เพื่อว่าสังคมจะได้กลับเข้ามาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่โลกที่ถูกบิดเบือนด้วยภาพลวงตา
    ..............
    Sondhi X
    ทรัมป์ไม่เพียงชนะเลือกตั้ง แต่มีชัยเหนือภาพลวงตาที่ฝั่งหัวประชาชนมานาน ..... โดยทนง ขันทอง . ในการเลือกตั้งปี 2020 โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง ได้คะแนนเสียงจากคนอเมริกันทั้งหมด (popular votes) 74 ล้านเสียง ถือว่าเป็นประวัติการณ์เลยทีเดียว แต่ทรัมป์กลับต้องพ่ายแพ้ต่อโจ ไบเดนที่ได้คะแนน 81ล้านเสียง ที่เหนือกว่าประวัติการณ์เสียอีก . มองด้วยสามัญสำนึกธรรมดาจะเห็นทันทีเลยว่า ไม่มีทางที่นักการเมืองที่น่าเบื่ออย่างไบเดนที่เป็นส่วนหนึ่งของพวกอำนาจรัฐ (Establishment) จะได้คะแนนความนิยมมากมายอย่างนี้ มันเป็นเรื่องยากที่ไบเดนจะสามารถเอาชนะทรัมป์ที่ครองอำนาจอยู่ในทำเนียบขาวอยู่แล้ว และมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่ไบเดนจะมีคะแนนความนิยมมากกว่าโอบามาที่ได้คะแนนความนิยมเสียง 65ล้านเสียง ในการชนะการเลือกตั้งในปี 2012 หรือฮิลลารี่ที่ได้คะแนนความนิยม 65 ล้านเสียงในปี 2016 อย่างมีนัยสำคัญ . หันกลับมาดูการเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทรัมป์ชนะเลือกตั้งกลับมาเป็นประธานาธิบดีในสมัยที่สองด้วยคะแนนความนิยม 72 ล้านเสียง เทียบกับกมลา แฮร์ริสที่ได้ 67ล้านเสียง โดยชนะแบบแลนด์สไลด์ขาดลอย . สรุปภาพรวมแล้ว ตัวแทนจากเดโมแครตที่ลงเลือกตั้งประธานาธิบดี ไม่ว่าจะเป็นโอบามา ฮิลลารี่ หรือแฮร์ริสมีฐานเสียงคะแนนความนิยมพอๆกันที่ประมาณ 65 ล้านเสียง แล้วจู่ๆ ไบเดนจะชนะการเลือกต้ังในปี 2020 ได้อย่างไรด้วยคะแนนความนิยมที่นำโด่งที่ 81ล้านเสียง มากกว่าฐานเสียงคะแนนความนิยมของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของเดโมแครตถึง 20 ล้านเสียง!!!! . เรื่องนี้จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ยกเว้นว่า พวกเดโมแครต และไบเดนปล้นชัยชนะจากทรัมป์ในการเลือกต้ัง โดยโมเมตัวเลขคะแนนความนิยมเพิ่มขึ้นมาถึง 20 ล้านเสียง ผ่านคะแนนที่มาจากจากโหวตทางไปรษณีย์ หรือเครื่องนับคะแนนDominionที่มีการตั้งโปรแกรมการนับคะแนนแบบมีข้อกังขา คะแนนของทรัมป์ที่ได้ 74 ล้านเสียง ในการแข่งกับไบเดนคร้ังนั้นถือว่าเป็นประวัติการณ์อยู่แล้ว ไม่มีใครสามารถเอาชนะได้ เดโมแครตทำโพลแบบลับๆเห็นตัวเลขคะแนนความนิยมที่สูงเป็นประวัติการณ์ของทรัมป์อยู่แล้วจึงต้องหาทางปั่นตัวเลขให้ไบเดนให้ได้คะแนนความนิยมสูงเสียดฟ้าไม่งั้นไม่ชนะ โดยใช้ conspiracy ของการแพร่ระขาดของไวรัสโควิดเพื่อทำลายเศรษฐกิจของจีน และผลกระทบข้างเคียงที่ตามมาในการกักคนห้ามออกนอกบ้าน ทำให้คนอเมริกันไปโหวตที่ศูนย์เลือกตั้งไม่ได้ ต้องโหวตผ่านไปรษณีย์เป็นจำนวนมาก ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการโกงการเลือกตั้งได้ง่ายผ่านบัตรผี หรือทำลายบัตรที่ลงคะแนนให้ทรัมป์ . องคายพของระบบการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐถูกควบคุมโดยเดโมแครตเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ดูแลการเลือกตั้งในรัฐสมรภูมิ นักการเมืองท้องถิ่น อัยการ ศาล รวมท้ังสื่อท้ังกระแสหลัก และสื่อออนไลน์ต่างก็ให้การสนับสนุนฝ่ายลิเบอรัลเดโมแครตอยู่แล้ว การโกงชัยชนะของทรัมป์จึงสามารถทำได้ โดยที่ไบเดนแทบที่จะไม่ต้องแคมเปญอะไรมาก เพราะรู้ผลการเลือกตั้งล่วงหน้าอยู่แล้ว ผลประโยชน์ของการเข้ามามีอำนาจทางการเมืองในวอชิงตันดี ซีมากมายมหาศาลจึงเป็นเรื่องที่เดโมแครตต้องทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ . แต่การเลือกต้ังเมื่อวานนี้ เดโมแครตทำอะไรทรัมป์ไม่ได้ เพราะว่ากระแสความนิยมในตัวทรัมป์เดิมทีดีอยู่แล้ว จะโกงทรัมป์อีกรอบเป็นเรื่องยากดั่งเข็นครกขึ้นภูเขา และยิ่งตลอดระยะเวลา4ปีที่ผ่านมาของการบริหารงานของไบเดน และแฮร์ริสเป็นไปอย่างล้มเหลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเศรษฐกิจ และการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายของชาวต่างชาติ คนอเมริกันส่วนมากปากกัดตีนถีบเพราะของแพงเงินเฟ้อ ค่าเช่าบ้านแทบจะจ่ายไม่ไหวจึงไม่พอใจไบเดนเป็นอย่างมาก ยิ่งแฮร์ริสหาเสียงด้วยธีมที่ว่าเธอจะสานต่อนโยบายของไบเดนต่อไป ก็เท่ากับว่าเธอจะเดินหน้าดำเนินนโยบายที่ล้มเหลวต่อไปอีก 4 ปี ถ้าหากชนะเลือกตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นฝันร้ายสำหรับคนอเมริกันที่มีสิทธิ์โหวต . CNN ทำสำรวจ exit poll ที่เผยแพร่ในวันเลือกตั้งประธานาธิบดี ปรากฏว่าคนอเมริกันประมาณ 70% ไม่พอใจในสภาพของบ้านเมืองอเมริกัน และต้องการความเปลี่ยนแปลง ตรงกันข้ามกับข้อมูลที่รัฐบาลสหรัฐเผยแพร่มาตลอดว่าเศรษฐกิจดี การจ้างงานยังแข็งแกร่ง ตลาดหุ้นตลาดการเงินไปโลดสร้างสถิติใหม่ตลอด ท้ังนี้เพราะว่าตลาดการเงินแยกตัวออกจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แท้จริงมาตั้งนานแล้ว คนที่มีทรัพย์สินในตลาดการเงินจึงพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ เพราะว่าทรัพย์สินทางการเงินเพิ่มมูลค่าอย่างมาก ในขณะที่คนส่วนมากที่อยู่กับเศรษฐกิจที่แท้จริงต่างลำบากกันถ้วนหน้ากับเงินเฟ้อ และงานที่ให้ค่าจ้างดีๆที่หายากลำบาก . Chris Wallace ผู้ประกาศข่าวของ CNN จึงพูดในรายการที่รายงานการเลือกต้ังว่า ด้วยตัวเลขจากเอ็กซิตโพลที่คนอเมริกันส่วนมากไม่พอใจกับสภาพเศรษฐกิจ หรือปัญหาของบ้านเมือง มันจะเป็นส่ิงมหัศจรรย์สำหรับแฮร์ริสที่จะชนะการเลือกต้ัง และมันก็เป็นเช่นนั้น ไม่มีสิ่งมหัศจรรย์สำหรับแฮร์ริสในการพลิกผลของการเลือกตั้ง เพราะว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ออกมาใช้สิทธิ์คร้ังแรก หรือคนที่ไม่สังกัดพรรคใดโหวตให้ทรัมป์ เพราะว่าต้องการความเปลี่ยนแปลง เห็นทรัมป์เป็นความหวังว่าจะทำให้บ้านเมืองดีขึ้น เพราะว่าทรัมป์เป็นคนนอก ไม่ใช่เป็นคนในของระบบการเมืองอเมริกันที่ผูกขาดอำนาจ . ชัยชนะของทรัมป์ทำให้เราเห็นได้ชัดเจนว่าโพลต่างๆเชื่อถือไม่ได้แม้แต่น้อย เพราะส่วนมากให้แฮร์ริสชนะ สื่อกระแสหลักและสื่อออนไลน์ที่ทรงพลังก็ไม่มีความน่าเชื่อถือพอๆกัน เพราะว่าถือหางแฮร์ริส และรายงานทรัมป์ในแง่ลบมาตลอด คนที่เชื่อในโพลของสื่อหรือสำนักกระแสหลัก หรือเชื่อในสื่อกระแสหลักของสื่อออนไลน์ที่ทรงพลังจะได้ข้อมูลที่บิดเบือนหรือไม่ก็โกหกกันอย่างโจ่งแจ้ง เมื่อปรากฎผลว่าทรัมป์ชนะแฮร์ริสอย่างถล่มทลาย หลายคนยอมรับไม่ได้ เพราะว่ายังติดหล่มกับความเชื่อเดิมที่ถูกฝังหัว แต่คนส่วนมากเริ่มที่จะตื่นรู้ว่าถูกแหกตามาตลอด . ได้เวลาปฏิรูประบบเสียที เพื่อว่าสังคมจะได้กลับเข้ามาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่โลกที่ถูกบิดเบือนด้วยภาพลวงตา .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Yay
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 793 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ้าพ่อมาเฟีย พบว่า
    ”กุยโด”พนักงานบัญชี
    ของเขาโกงเงินไปถึง
    10,000,000 ดอลลาร์

    กุยโด้ ทั้งหูหนวกและเป็น
    ใบ้…นั่นเป็นเหตุผลที่ทำ
    ให้เขาได้งานนี้ตั้งแต่แรก…

    กุยโด ไม่ได้ยินอะไรเลย
    ดังนั้น เขาจึงไม่ต้องให้
    การเป็นพยานในศาล

    เมื่อเจ้าพ่อมาเฟีย พบกับ
    กุยโด เขาพาทนายความ
    ของเขาที่รู้ภาษามือ ไป
    เป็นล่าม

    เจ้าพ่อบอกทนายความว่า
    "ถามมันซิ ว่าเงินอยู่ไหน..?"

    ทนายจึงใช้ภาษามือ ถาม
    กุยโด ว่า เงินอยู่ไหน…?

    กุยโดใช้ภาษามือตอบกลับ
    "ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึง
    เรื่องอะไร"

    ทนายความบอกเจ้าพ่อว่า
    "เขาบอกว่า เขาไม่รู้ว่าคุณ
    กำลังพูดถึงเรื่องอะไร"

    เจ้าพ่อมาเฟีย กระชาก
    ปืนพกออกมา จ่อไปที่
    หัวของ กุยโดแล้วพูดว่า…
    "ถามมันอีกครั้ง ถ้าไม่บอก
    กูจะฆ่ามัน…!!!"

    ทนายความ
    ใช้สัญญลักษณ์ภาษามือ
    บอกกับ กุยโด ว่า “เขาจะ
    ฆ่าคุณ ถ้าคุณไม่ยอมบอก"

    กุยโด ตกใจกลัว จนตัวสั่น
    และส่งสัญญาณ ตอบว่า….

    "ตกลง….ผมยอมแล้ว
    เงินอยู่ในกระเป๋าเอกสาร
    สีน้ำตาล ฝังอยู่หลังโรงเก็บ
    ของ ที่บ้านของลูกพี่ลูกน้อง
    ของผมขื่อ บรูโน่"

    เจ้าพ่อมาเฟีย ถามทนาย
    ว่า "มันตอบว่ายังไง…?"

    ทนายความ ตอบว่า….
    "เขาบอกว่า คุณไม่กล้า
    เหนี่ยวไก ยิงเขาหรอก!!!"

    นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า
    อย่าไว้ใจทนาย….!!!
    ---------------------- จบครับ
    เจ้าพ่อมาเฟีย พบว่า ”กุยโด”พนักงานบัญชี ของเขาโกงเงินไปถึง 10,000,000 ดอลลาร์ กุยโด้ ทั้งหูหนวกและเป็น ใบ้…นั่นเป็นเหตุผลที่ทำ ให้เขาได้งานนี้ตั้งแต่แรก… กุยโด ไม่ได้ยินอะไรเลย ดังนั้น เขาจึงไม่ต้องให้ การเป็นพยานในศาล เมื่อเจ้าพ่อมาเฟีย พบกับ กุยโด เขาพาทนายความ ของเขาที่รู้ภาษามือ ไป เป็นล่าม เจ้าพ่อบอกทนายความว่า "ถามมันซิ ว่าเงินอยู่ไหน..?" ทนายจึงใช้ภาษามือ ถาม กุยโด ว่า เงินอยู่ไหน…? กุยโดใช้ภาษามือตอบกลับ "ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึง เรื่องอะไร" ทนายความบอกเจ้าพ่อว่า "เขาบอกว่า เขาไม่รู้ว่าคุณ กำลังพูดถึงเรื่องอะไร" เจ้าพ่อมาเฟีย กระชาก ปืนพกออกมา จ่อไปที่ หัวของ กุยโดแล้วพูดว่า… "ถามมันอีกครั้ง ถ้าไม่บอก กูจะฆ่ามัน…!!!" ทนายความ ใช้สัญญลักษณ์ภาษามือ บอกกับ กุยโด ว่า “เขาจะ ฆ่าคุณ ถ้าคุณไม่ยอมบอก" กุยโด ตกใจกลัว จนตัวสั่น และส่งสัญญาณ ตอบว่า…. "ตกลง….ผมยอมแล้ว เงินอยู่ในกระเป๋าเอกสาร สีน้ำตาล ฝังอยู่หลังโรงเก็บ ของ ที่บ้านของลูกพี่ลูกน้อง ของผมขื่อ บรูโน่" เจ้าพ่อมาเฟีย ถามทนาย ว่า "มันตอบว่ายังไง…?" ทนายความ ตอบว่า…. "เขาบอกว่า คุณไม่กล้า เหนี่ยวไก ยิงเขาหรอก!!!" นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า อย่าไว้ใจทนาย….!!! ---------------------- จบครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปิโตรเลียมเกาะกูด น้ำมันแพงเหมือนเดิม

    มีคำกล่าวว่า "ข่าวลือมักจะมาก่อนข่าวจริงเสมอ" ประเด็นเกาะกูดเกิดขึ้นจากข่าวลือแบบปากต่อปากว่า นักการเมืองรายหนึ่งจะยกเกาะกูดให้เขมร กระทั่งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พักการลงโทษจากคดีทุจริตไปแสดงวิสัยทัศน์ให้กับสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2567 เสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันของไทยกับกัมพูชา หรือ OCA (Overlapping Claims Area) อ้างว่ากัมพูชาลากเส้นจากไหล่ทวีป 200 ไมล์ทะเลแล้วเกยกัน ถือว่าเป็นเขตทับซ้อน ถ้ามีทรัพยากรอยู่ก็ถือว่าแบ่งกันคนละครึ่ง

    แม้ว่าเกาะกูดเป็นของไทย ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ.125 แต่เมื่อปี 2515 กัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย 200 ไมล์ทะเลฝ่ายเดียว โดยลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 จ.ตราด ไปผ่ากลางครึ่งหนึ่งของเกาะกูด แต่ก็มีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยในปี 2516 โดยแบ่งครึ่งมุมจากหลักเขตที่ 73 ระหว่างเกาะกูดและเกาะกง ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายสากล คือ บทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ. 1958 แต่กัมพูชายังคงยึดถือเขตไหล่ทวีปของตนเอง หนำซ้ำรัฐบาลทักษิณไปเซ็น MOU 2544 ทำให้นายทักษิณอ้างว่าเป็นเขตทับซ้อน

    ต่อมาวันที่ 10 ต.ค. 2567 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ จะเริ่มเจรจากับกัมพูชาอีกครั้ง เพื่อสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่มีมูลค่าอย่างน้อย 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 10 นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เนื่องจากต้องการเพิ่มปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ควบคุมค่าไฟฟ้า และลดค่าใช้จ่ายนำเข้าเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้น คาดว่าจะมีก๊าซธรรมชาติ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตและน้ำมันดิบ 300 ล้านบาร์เรล แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะทั้งสองประเทศขัดแย้งทางการทูตและความอ่อนไหวเรื่องอธิปไตย ทำให้การเจรจาหยุดชะงักตั้งแต่ปี 2544

    แม้เรื่องเกาะกูดจะไม่โด่งดัง แต่ก็เป็นที่พูดถึงในกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล กังวลว่าไทยจะเสียสิทธิ์ทางทะเล และเสียดินแดนเช่นเดียวกับกรณีปราสาทพระวิหาร ส่วนรัฐบาลตอบโต้ว่าเป็นพวกคลั่งชาติ ทำร้ายผลประโยชน์ของประเทศ อย่างไรก็ตาม ถึงรัฐบาลทั้งสองประเทศจะร่วมกันนำพลังงานขึ้นมาใช้ แต่สุดท้ายคนไทยใช้น้ำมันแพงเหมือนเดิม เพราะอ้างอิงราคาน้ำมันจากประเทศสิงคโปร์ แถมต้นทุนโรงกลั่นในไทยสูงกว่าสิงค์โปร์ ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติยังจำกัดอยู่ที่รายใหญ่ เชื่อไม่ได้ว่าค่าไฟฟ้าจะถูกลง คนที่ได้ประโยชน์ตัวจริงคือนักการเมือง กับกลุ่มทุนพลังงานบางกลุ่มเท่านั้น

    #Newskit #เกาะกูด
    ปิโตรเลียมเกาะกูด น้ำมันแพงเหมือนเดิม มีคำกล่าวว่า "ข่าวลือมักจะมาก่อนข่าวจริงเสมอ" ประเด็นเกาะกูดเกิดขึ้นจากข่าวลือแบบปากต่อปากว่า นักการเมืองรายหนึ่งจะยกเกาะกูดให้เขมร กระทั่งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พักการลงโทษจากคดีทุจริตไปแสดงวิสัยทัศน์ให้กับสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2567 เสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันของไทยกับกัมพูชา หรือ OCA (Overlapping Claims Area) อ้างว่ากัมพูชาลากเส้นจากไหล่ทวีป 200 ไมล์ทะเลแล้วเกยกัน ถือว่าเป็นเขตทับซ้อน ถ้ามีทรัพยากรอยู่ก็ถือว่าแบ่งกันคนละครึ่ง แม้ว่าเกาะกูดเป็นของไทย ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ.125 แต่เมื่อปี 2515 กัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย 200 ไมล์ทะเลฝ่ายเดียว โดยลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 จ.ตราด ไปผ่ากลางครึ่งหนึ่งของเกาะกูด แต่ก็มีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยในปี 2516 โดยแบ่งครึ่งมุมจากหลักเขตที่ 73 ระหว่างเกาะกูดและเกาะกง ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายสากล คือ บทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ. 1958 แต่กัมพูชายังคงยึดถือเขตไหล่ทวีปของตนเอง หนำซ้ำรัฐบาลทักษิณไปเซ็น MOU 2544 ทำให้นายทักษิณอ้างว่าเป็นเขตทับซ้อน ต่อมาวันที่ 10 ต.ค. 2567 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ จะเริ่มเจรจากับกัมพูชาอีกครั้ง เพื่อสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่มีมูลค่าอย่างน้อย 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 10 นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เนื่องจากต้องการเพิ่มปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ควบคุมค่าไฟฟ้า และลดค่าใช้จ่ายนำเข้าเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้น คาดว่าจะมีก๊าซธรรมชาติ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตและน้ำมันดิบ 300 ล้านบาร์เรล แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะทั้งสองประเทศขัดแย้งทางการทูตและความอ่อนไหวเรื่องอธิปไตย ทำให้การเจรจาหยุดชะงักตั้งแต่ปี 2544 แม้เรื่องเกาะกูดจะไม่โด่งดัง แต่ก็เป็นที่พูดถึงในกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล กังวลว่าไทยจะเสียสิทธิ์ทางทะเล และเสียดินแดนเช่นเดียวกับกรณีปราสาทพระวิหาร ส่วนรัฐบาลตอบโต้ว่าเป็นพวกคลั่งชาติ ทำร้ายผลประโยชน์ของประเทศ อย่างไรก็ตาม ถึงรัฐบาลทั้งสองประเทศจะร่วมกันนำพลังงานขึ้นมาใช้ แต่สุดท้ายคนไทยใช้น้ำมันแพงเหมือนเดิม เพราะอ้างอิงราคาน้ำมันจากประเทศสิงคโปร์ แถมต้นทุนโรงกลั่นในไทยสูงกว่าสิงค์โปร์ ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติยังจำกัดอยู่ที่รายใหญ่ เชื่อไม่ได้ว่าค่าไฟฟ้าจะถูกลง คนที่ได้ประโยชน์ตัวจริงคือนักการเมือง กับกลุ่มทุนพลังงานบางกลุ่มเท่านั้น #Newskit #เกาะกูด
    Like
    14
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 435 มุมมอง 0 รีวิว

  • เจ้าพ่อมาเฟีย พบว่า”กุยโด”พนักงานบัญชี ของเขาโกงเงิน
    ไปถึง 10,000,000 ดอลลาร์

    กุยโด้ ทั้งหูหนวกและเป็นใบ้…นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาได้งานนี้ตั้งแต่แรก….

    กุยโด ไม่ได้ยินอะไรเลย ดังนั้น เขาจึงไม่ต้องให้การเป็นพยาน
    ในศาล

    เมื่อเจ้าพ่อมาเฟีย พบกับกุยโด
    เขาพาทนายความของเขา
    ที่รู้ภาษามือ ไปเป็นล่าม

    เจ้าพ่อบอกทนายความว่า
    "ถามมันซิ ว่าเงินอยู่ไหน..?"

    ทนายจึงใช้ภาษามือ ถาม
    กุยโด ว่า เงินอยู่ไหน…?

    กุยโดใช้ภาษามือตอบกลับ
    "ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึง
    เรื่องอะไร"

    ทนายความบอกเจ้าพ่อว่า
    "เขาบอกว่า เขาไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร"

    เจ้าพ่อมาเฟีย กระชากปืนพก
    ออกมา จ่อไปที่หัวของ กุยโด
    แล้วพูดว่า…
    "ถามมันอีกครั้ง ถ้าไม่บอก
    กูจะฆ่ามัน…!!!"

    ทนายความใช้สัญญลักษณ์
    ภาษามือบอกกับ กุยโด ว่า
    “เขาจะฆ่าคุณ ถ้าคุณไม่ยอม
    บอก"

    กุยโด ตกใจกลัว จนตัวสั่น
    และส่งสัญญาณ ตอบว่า….

    "ตกลง….ผมยอมแล้ว
    เงินอยู่ในกระเป๋าเอกสาร
    สีน้ำตาล
    ฝังอยู่หลังโรงเก็บของ ที่บ้านของลูกพี่ลูกน้องของผมขื่อ บรูโน่"

    เจ้าพ่อมาเฟีย ถามทนาย ว่า
    "มันตอบว่ายังไง…?"

    ทนายความ ตอบว่า….
    "เขาบอกว่า คุณไม่กล้า
    เหนี่ยวไก ยิงเขาหรอก…!!!"

    นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า….
    อย่าไว้ใจทนาย….!!!
    ------------------------
    เจ้าพ่อมาเฟีย พบว่า”กุยโด”พนักงานบัญชี ของเขาโกงเงิน ไปถึง 10,000,000 ดอลลาร์ กุยโด้ ทั้งหูหนวกและเป็นใบ้…นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาได้งานนี้ตั้งแต่แรก…. กุยโด ไม่ได้ยินอะไรเลย ดังนั้น เขาจึงไม่ต้องให้การเป็นพยาน ในศาล เมื่อเจ้าพ่อมาเฟีย พบกับกุยโด เขาพาทนายความของเขา ที่รู้ภาษามือ ไปเป็นล่าม เจ้าพ่อบอกทนายความว่า "ถามมันซิ ว่าเงินอยู่ไหน..?" ทนายจึงใช้ภาษามือ ถาม กุยโด ว่า เงินอยู่ไหน…? กุยโดใช้ภาษามือตอบกลับ "ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึง เรื่องอะไร" ทนายความบอกเจ้าพ่อว่า "เขาบอกว่า เขาไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร" เจ้าพ่อมาเฟีย กระชากปืนพก ออกมา จ่อไปที่หัวของ กุยโด แล้วพูดว่า… "ถามมันอีกครั้ง ถ้าไม่บอก กูจะฆ่ามัน…!!!" ทนายความใช้สัญญลักษณ์ ภาษามือบอกกับ กุยโด ว่า “เขาจะฆ่าคุณ ถ้าคุณไม่ยอม บอก" กุยโด ตกใจกลัว จนตัวสั่น และส่งสัญญาณ ตอบว่า…. "ตกลง….ผมยอมแล้ว เงินอยู่ในกระเป๋าเอกสาร สีน้ำตาล ฝังอยู่หลังโรงเก็บของ ที่บ้านของลูกพี่ลูกน้องของผมขื่อ บรูโน่" เจ้าพ่อมาเฟีย ถามทนาย ว่า "มันตอบว่ายังไง…?" ทนายความ ตอบว่า…. "เขาบอกว่า คุณไม่กล้า เหนี่ยวไก ยิงเขาหรอก…!!!" นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า…. อย่าไว้ใจทนาย….!!! ------------------------
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 36 มุมมอง 0 รีวิว
  • สรุปว่า เตี๊ยมกันไว้ก่อน...!!!
    .
    ซึ่งก็ไม่แปลกแปลกหรอก...
    .
    แล้วผมก็ไม่คิดว่า พี่หนุ่ม ตั้งใจจฟอกขาวให้ทนายต้ม
    .
    แต่...
    .
    มีคนอยากมาออกรายการเขาเยอะ เพราะจะได้ออก "สื่อกระแสหลัก" โด่งดัง ได้แสง ได้หน้า...
    .
    และ แน่นอนว่าบางคน คงอยากมา "ฟอกขาว" ให้ตัวเอง นั่นแหล่ะ...!!!
    .
    ชื่อรายการก็บอกอยู่ว่า "โหนกระแส"
    .
    ดังนั้น การเล่นกับ "กระแส" การจะหลีกเลี่ยงกลุ่มคนอย่างว่า ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย...
    .
    แต่ก็ควรระวังไว้บ้างเน๊าะ...
    สรุปว่า เตี๊ยมกันไว้ก่อน...!!! . ซึ่งก็ไม่แปลกแปลกหรอก... . แล้วผมก็ไม่คิดว่า พี่หนุ่ม ตั้งใจจฟอกขาวให้ทนายต้ม . แต่... . มีคนอยากมาออกรายการเขาเยอะ เพราะจะได้ออก "สื่อกระแสหลัก" โด่งดัง ได้แสง ได้หน้า... . และ แน่นอนว่าบางคน คงอยากมา "ฟอกขาว" ให้ตัวเอง นั่นแหล่ะ...!!! . ชื่อรายการก็บอกอยู่ว่า "โหนกระแส" . ดังนั้น การเล่นกับ "กระแส" การจะหลีกเลี่ยงกลุ่มคนอย่างว่า ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย... . แต่ก็ควรระวังไว้บ้างเน๊าะ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 50 0 รีวิว
  • โลภ ลวง โกง รวย หายนะ

    ขอบพระคุณเจ้าของบทความชีวิตตนเอง ผู้แปล และเพื่อนสนิทที่กรุณาส่งมาให้ครับ

    ความร่ำรวยที่มาจากการหลอกลวงคนอื่นเป็นเหมือนสิ่งเสพติด เมื่อความโลภเริ่มเข้าครอบงำจิตใจ มันไม่ใช่แค่เรื่องของการหาเงินอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด และจุดจบของมันมีเพียงหนึ่งเดียว คือความหายนะ

    "เงินไม่ได้เปลี่ยนคุณ มันเพียงแค่ขยายสิ่งที่คุณเป็นอยู่แล้วให้ชัดเจนขึ้น ถ้าคุณเป็นคนเลวอยู่แล้ว เงินจะทำให้คุณเป็นคนเลวยิ่งกว่าเดิม"

    นี่คือสิ่งที่จอร์แดน เบลฟอร์ท (Jordan Belfort) เจ้าของเรื่องราวใน "The Wolf of Wall Street" พยายามอธิบายให้เราเข้าใจกลไกความคิดของคนที่ฉ้อโกงจนหาเงินมหาศาลได้เพียงชั่วข้ามคืน

    เงินไม่ได้เป็นตัวเปลี่ยนแปลงความคิดหรือนิสัยบุคคลใดๆ แต่เพียงทำให้สิ่งที่เป็นอยู่แล้วภายในตัวคนเหล่านั้นปรากฏชัดเจนขึ้นไปอีก หากคนมีจริยธรรมไม่ดีหรือเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว เมื่อมีเงินมากขึ้น สิ่งเหล่านั้นก็จะยิ่งขยายตัว

    "ฉันหาเงินมาได้เยอะมาก มากจนเกินปกติ ตั้งแต่อายุยังน้อย และฉันหามันมาโดยใช้กลอุบายทุกอย่างที่มี ค้นหาช่องว่างสีเทาในกฎหมาย ในพื้นที่ที่คนอื่นกลัวจะเข้าไป และนั่นคือวิธีที่คุณจะเอาชนะ โดยการทำสิ่งที่คนอื่นกลัวที่จะทำ”

    เบลฟอร์ท เป็นอดีตนายหน้าค้าหุ้นและนักธุรกิจผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการสร้างอาณาจักรการเงินที่เต็มไปด้วยการทุจริต การฉ้อโกงหุ้น และการฟอกเงิน

    เบลฟอร์ทถูกจับกุมในปี 1999 หลังจากสารภาพผิดในข้อหาฉ้อโกงนักลงทุนหลายล้านดอลลาร์

    ในปี 2007 เรื่องราวของเขาถูกถ่ายทอดลงในหนังสือ "The Wolf of Wall Street" ได้รับความนิยมจนถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2013 ซึ่งกำกับโดย มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) และนำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ (Leonardo DiCaprio)

    ปัจจุบัน เบลฟอร์ทเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เขาเดินทางไปทั่วโลกเพื่อให้คำแนะนำด้านธุรกิจและการใช้ชีวิตอย่างมีจริยธรรม

    “สิ่งที่ฉันไม่เคยเข้าใจคือเมื่อคุณเดินเข้าสู่เส้นทางนั้น มันจะไม่มีทางหวนกลับได้ มันจะกลืนกินคุณ เปลี่ยนแปลงตัวตนคุณ และทันใดนั้น คุณก็ไม่ใช่เจ้าของเงินอีกต่อไป แต่เงินต่างหากที่เป็นเจ้าของคุณ"

    เบลฟอร์ทกล่าวว่า การที่เราสามารถรวยได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์หรือเดือน มันกลายเป็นสิ่งที่ชวนให้หลงใหล เหมือนกับสิ่งเสพติด ที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยิ่งเราได้มันมากเท่าไร ในที่สุดมันก็จะเข้ามากลืนกินเรา จนสุดท้ายพบว่าตัวเองกำลังไล่ตามบางสิ่งที่ไม่มีวันพอ

    “และเมื่อถึงจุดสุดท้ายแล้ว เงินทั้งหมดในโลกก็ไม่สามารถซื้อจิตวิญญาณของเราคืนมาได้”

    ความร่ำรวยที่มาจากสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่สามารถซื้อตัวตนหรือความสงบสุขในจิตใจคืนมาได้ แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนประสบความสำเร็จ แต่ข้างในกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า และการสูญเสียจริยธรรมของตนเอง

    ”ไม่ว่าจะหาเงินได้มากแค่ไหน หรือประสบความสำเร็จเพียงใด มันก็ไม่เคยพอ ฉันกำลังไล่ตามบางสิ่งที่ฉันไม่มีวันครอบครองได้จริงๆ เพราะความสุขและความสมบูรณ์ในชีวิตไม่ใช่สิ่งที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน"

    แต่มันไม่ใช่ว่าเราจะไม่พยายามไขว่คว้าหาเงินหาความมั่งคั่งให้กับตนเอง เขากล่าวว่าความยากจนไม่ใช่สิ่งที่ต้องยกย่อง แต่การเป็นคนร่ำรวยจากการฉ้อโกงก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเชิดชูเช่นกัน

    ความท้าทายที่แท้จริงในชีวิตคือการหาความสำเร็จโดยที่ยังคงยึดมั่นในคุณค่าของตัวเอง

    สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือการหาวิธีที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตโดยไม่ละทิ้งคุณค่าทางศีลธรรมของตนเอง ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ใช่แค่การสะสมทรัพย์สินหรือเงินทอง แต่แต่มันเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำออกมา มันดีกับคนรอบข้างหรือไม่
    โลภ ลวง โกง รวย หายนะ ขอบพระคุณเจ้าของบทความชีวิตตนเอง ผู้แปล และเพื่อนสนิทที่กรุณาส่งมาให้ครับ ความร่ำรวยที่มาจากการหลอกลวงคนอื่นเป็นเหมือนสิ่งเสพติด เมื่อความโลภเริ่มเข้าครอบงำจิตใจ มันไม่ใช่แค่เรื่องของการหาเงินอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด และจุดจบของมันมีเพียงหนึ่งเดียว คือความหายนะ "เงินไม่ได้เปลี่ยนคุณ มันเพียงแค่ขยายสิ่งที่คุณเป็นอยู่แล้วให้ชัดเจนขึ้น ถ้าคุณเป็นคนเลวอยู่แล้ว เงินจะทำให้คุณเป็นคนเลวยิ่งกว่าเดิม" นี่คือสิ่งที่จอร์แดน เบลฟอร์ท (Jordan Belfort) เจ้าของเรื่องราวใน "The Wolf of Wall Street" พยายามอธิบายให้เราเข้าใจกลไกความคิดของคนที่ฉ้อโกงจนหาเงินมหาศาลได้เพียงชั่วข้ามคืน เงินไม่ได้เป็นตัวเปลี่ยนแปลงความคิดหรือนิสัยบุคคลใดๆ แต่เพียงทำให้สิ่งที่เป็นอยู่แล้วภายในตัวคนเหล่านั้นปรากฏชัดเจนขึ้นไปอีก หากคนมีจริยธรรมไม่ดีหรือเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว เมื่อมีเงินมากขึ้น สิ่งเหล่านั้นก็จะยิ่งขยายตัว "ฉันหาเงินมาได้เยอะมาก มากจนเกินปกติ ตั้งแต่อายุยังน้อย และฉันหามันมาโดยใช้กลอุบายทุกอย่างที่มี ค้นหาช่องว่างสีเทาในกฎหมาย ในพื้นที่ที่คนอื่นกลัวจะเข้าไป และนั่นคือวิธีที่คุณจะเอาชนะ โดยการทำสิ่งที่คนอื่นกลัวที่จะทำ” เบลฟอร์ท เป็นอดีตนายหน้าค้าหุ้นและนักธุรกิจผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการสร้างอาณาจักรการเงินที่เต็มไปด้วยการทุจริต การฉ้อโกงหุ้น และการฟอกเงิน เบลฟอร์ทถูกจับกุมในปี 1999 หลังจากสารภาพผิดในข้อหาฉ้อโกงนักลงทุนหลายล้านดอลลาร์ ในปี 2007 เรื่องราวของเขาถูกถ่ายทอดลงในหนังสือ "The Wolf of Wall Street" ได้รับความนิยมจนถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2013 ซึ่งกำกับโดย มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) และนำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ (Leonardo DiCaprio) ปัจจุบัน เบลฟอร์ทเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เขาเดินทางไปทั่วโลกเพื่อให้คำแนะนำด้านธุรกิจและการใช้ชีวิตอย่างมีจริยธรรม “สิ่งที่ฉันไม่เคยเข้าใจคือเมื่อคุณเดินเข้าสู่เส้นทางนั้น มันจะไม่มีทางหวนกลับได้ มันจะกลืนกินคุณ เปลี่ยนแปลงตัวตนคุณ และทันใดนั้น คุณก็ไม่ใช่เจ้าของเงินอีกต่อไป แต่เงินต่างหากที่เป็นเจ้าของคุณ" เบลฟอร์ทกล่าวว่า การที่เราสามารถรวยได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์หรือเดือน มันกลายเป็นสิ่งที่ชวนให้หลงใหล เหมือนกับสิ่งเสพติด ที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยิ่งเราได้มันมากเท่าไร ในที่สุดมันก็จะเข้ามากลืนกินเรา จนสุดท้ายพบว่าตัวเองกำลังไล่ตามบางสิ่งที่ไม่มีวันพอ “และเมื่อถึงจุดสุดท้ายแล้ว เงินทั้งหมดในโลกก็ไม่สามารถซื้อจิตวิญญาณของเราคืนมาได้” ความร่ำรวยที่มาจากสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่สามารถซื้อตัวตนหรือความสงบสุขในจิตใจคืนมาได้ แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนประสบความสำเร็จ แต่ข้างในกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า และการสูญเสียจริยธรรมของตนเอง ”ไม่ว่าจะหาเงินได้มากแค่ไหน หรือประสบความสำเร็จเพียงใด มันก็ไม่เคยพอ ฉันกำลังไล่ตามบางสิ่งที่ฉันไม่มีวันครอบครองได้จริงๆ เพราะความสุขและความสมบูรณ์ในชีวิตไม่ใช่สิ่งที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน" แต่มันไม่ใช่ว่าเราจะไม่พยายามไขว่คว้าหาเงินหาความมั่งคั่งให้กับตนเอง เขากล่าวว่าความยากจนไม่ใช่สิ่งที่ต้องยกย่อง แต่การเป็นคนร่ำรวยจากการฉ้อโกงก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเชิดชูเช่นกัน ความท้าทายที่แท้จริงในชีวิตคือการหาความสำเร็จโดยที่ยังคงยึดมั่นในคุณค่าของตัวเอง สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือการหาวิธีที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตโดยไม่ละทิ้งคุณค่าทางศีลธรรมของตนเอง ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ใช่แค่การสะสมทรัพย์สินหรือเงินทอง แต่แต่มันเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำออกมา มันดีกับคนรอบข้างหรือไม่
    Like
    Love
    Yay
    20
    0 ความคิดเห็น 4 การแบ่งปัน 452 มุมมอง 0 รีวิว
  • GALAXY EXPRESS 999 By  LEIJI MATSUMOTO
    ผู้แต่ง Galaxy Express 999, Leiji Matsumoto (ชื่อจริง Akira Matsumoto) เป็นนักเขียนและศิลปินการ์ตูนชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงในวงการมังงะและอนิเมะสำหรับผลงานแนวไซไฟที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการผจญภัยในอวกาศ โดย Matsumoto เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1938 ในจังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น และเสียชีวิตในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023

    ประวัติและการทำงาน

    Matsumoto เริ่มต้นอาชีพนักเขียนตั้งแต่อายุ 15 ปี และเริ่มมีชื่อเสียงในช่วงปี 1970 ด้วยผลงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงสไตล์การวาดตัวละครที่มีใบหน้าเรียวยาว โดยมักจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางในอวกาศและการผจญภัยที่ท้าทาย แนวเรื่องที่ Matsumoto สร้างสรรค์จะสะท้อนถึงคุณค่าทางศีลธรรม มิตรภาพ ความกล้าหาญ และความเป็นมนุษย์

    ผลงานสำคัญอื่นๆ

    นอกจาก Galaxy Express 999 แล้ว Matsumoto ยังมีผลงานสำคัญอื่นๆ ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เช่น

    Space Battleship Yamato: หรือ "อวกาศยานรบยามาโตะ" ผลงานนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะหนึ่งในอนิเมะไซไฟที่ประสบความสำเร็จที่สุด

    Captain Harlock: เป็นเรื่องราวของโจรสลัดอวกาศผู้ที่มีชื่อเสียงในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมในอวกาศ

    Queen Emeraldas: เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่มีการเชื่อมโยงกับจักรวาลของ Galaxy Express 999 และ Captain Harlock


    อิทธิพลและมรดกที่ทิ้งไว้

    Matsumoto เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกของอนิเมะและมังงะไซไฟ เขามีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการนี้ด้วยแนวคิดที่ล้ำสมัย การออกแบบอวกาศยานและการสร้างจักรวาลที่เชื่อมโยงกันได้อย่างน่าสนใจ จักรวาลของ Matsumoto ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเขียนและศิลปินในรุ่นต่อมา อีกทั้ง Matsumoto ยังได้รับรางวัลและเกียรติยศต่างๆ ในวงการอนิเมะและมังงะ ถือว่าเป็นตำนานที่ทิ้งมรดกสำคัญให้กับโลก

    Leiji Matsumoto เกิดเมื่อปี 1938 ในครอบครัวที่มีพี่น้องหลายคนช่วงที่ญี่ปุ่นยังทำสงครามกับนานาประเทศ ในฐานะฝ่ายอักษะ และท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้ ทำให้ตัวเขาต้องเห็นความเลวร้ายของสงครามตั้งแต่ยังเด็ก
    และพ่อของเขาที่เป็นนักบินกองทัพก็เล่าให้ฟังว่าต้องเสียลูกน้องใต้บังคับบัญชาทั้งหมดไปจนไม่อยากขับเครื่องบินอีกเลย
    Leiji Matsumoto เริ่มหัดวาดการ์ตูนหลังชื่นชอบในผลงานของ Osamu Tezuka ปรมาจารย์ของวงการ และที่สุดก็เดินทางจากเมืองฟูกูโอกะบ้านเกิดไปยังกรุงโตเกียว เพื่อตามฝันในการเป็นนักวาดการ์ตูน ด้วยวัยเพียง 18 ปี
    Otoko Oidon ในปี 1971 ที่เล่าเรื่องชายหนุ่มที่มุ่งมั่นสอบเข้ามหาวิทยาลัย คือผลงานเรื่องแรกของ Leiji Matsumoto แต่เรื่องที่ทำให้เขาโด่งดังคือ Space Battleship Yamato ที่ถูกนำมาทำเป็นอนิเมะออกอากาศทางโทรทัศน์ญี่ปุ่นระหว่างปี 1975-1978
    และต่อเนื่องด้วย Galaxy Express 999 ซึ่งท่ามกลางการผจญภัยท่องอวกาศแล้ว Leiji Matsumoto ยังแทรกแนวคิดต่อต้านสงคราม และผลกระทบของความขัดแย้ง ที่เขากล่าวอยู่เสมอว่า ความย่อยยับจากสงครามที่ญี่ปุ่นได้รับไม่ควรเกิดขึ้นกับประเทศอื่น ๆ อีก
    จากนั้นแม้ผลงานของ Leiji Matsumoto ที่ออกมาจะไม่ดังเหมือนก่อน แต่  Space Battleship Yamato กับ Galaxy Express 999 ก็ยังถือเป็นการ์ตูนคลาสสิกของญี่ปุ่น ที่ถูกนำมาทำบ่อยอีกหลายครั้งในรูปแบบต่าง ๆ และยังมีอิทธิต่อการ์ตูนดังรุ่นต่อมา เช่น Gundam และ Evangalion อีกด้วย
    ขณะเดียวกันก็ข้ามไปดังในยุโรป เช่นที่ปรากฏให้เห็นใน Music video เพลง One More Time ของ Daft Punk อันเป็นส่วนหนึ่งของหนังอนิเมะ Interstella 555 ซึ่ง Leiji Matsumoto รับหน้าที่ดูแลภาพรวม
    ปี 2019 แฟน ๆ การ์ตูนญี่ปุ่นยุคคลาสสิกต้องใจหาย หลังมีข่าวว่า Leiji Matsumoto ที่อายุมากอยู่แล้วเจ็บหนัก ระหว่างเที่ยวอิตาลี แต่เขาก็ฟื้นกลับมาได้
    แล้วที่สุดชีวิตของ Leiji Matsumoto ก็มาถึงบทสุดท้าย โดยเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เขาเสียชีวิตจากอาการหัวใจล้มเหลวด้วยวัย 85 ปี แต่แน่นอนว่าเขาจะได้รับการจดจำตลอดไปในฐานะเจ้าพ่อการ์ตูนอากาศญี่ปุ่นที่ดังในระดับโลก

    ที่มา https://www.mangasuphan.com/manga-collection-2/


    GALAXY EXPRESS 999 By  LEIJI MATSUMOTO ผู้แต่ง Galaxy Express 999, Leiji Matsumoto (ชื่อจริง Akira Matsumoto) เป็นนักเขียนและศิลปินการ์ตูนชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงในวงการมังงะและอนิเมะสำหรับผลงานแนวไซไฟที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการผจญภัยในอวกาศ โดย Matsumoto เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1938 ในจังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น และเสียชีวิตในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 ประวัติและการทำงาน Matsumoto เริ่มต้นอาชีพนักเขียนตั้งแต่อายุ 15 ปี และเริ่มมีชื่อเสียงในช่วงปี 1970 ด้วยผลงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงสไตล์การวาดตัวละครที่มีใบหน้าเรียวยาว โดยมักจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางในอวกาศและการผจญภัยที่ท้าทาย แนวเรื่องที่ Matsumoto สร้างสรรค์จะสะท้อนถึงคุณค่าทางศีลธรรม มิตรภาพ ความกล้าหาญ และความเป็นมนุษย์ ผลงานสำคัญอื่นๆ นอกจาก Galaxy Express 999 แล้ว Matsumoto ยังมีผลงานสำคัญอื่นๆ ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เช่น Space Battleship Yamato: หรือ "อวกาศยานรบยามาโตะ" ผลงานนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะหนึ่งในอนิเมะไซไฟที่ประสบความสำเร็จที่สุด Captain Harlock: เป็นเรื่องราวของโจรสลัดอวกาศผู้ที่มีชื่อเสียงในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมในอวกาศ Queen Emeraldas: เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่มีการเชื่อมโยงกับจักรวาลของ Galaxy Express 999 และ Captain Harlock อิทธิพลและมรดกที่ทิ้งไว้ Matsumoto เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกของอนิเมะและมังงะไซไฟ เขามีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการนี้ด้วยแนวคิดที่ล้ำสมัย การออกแบบอวกาศยานและการสร้างจักรวาลที่เชื่อมโยงกันได้อย่างน่าสนใจ จักรวาลของ Matsumoto ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเขียนและศิลปินในรุ่นต่อมา อีกทั้ง Matsumoto ยังได้รับรางวัลและเกียรติยศต่างๆ ในวงการอนิเมะและมังงะ ถือว่าเป็นตำนานที่ทิ้งมรดกสำคัญให้กับโลก Leiji Matsumoto เกิดเมื่อปี 1938 ในครอบครัวที่มีพี่น้องหลายคนช่วงที่ญี่ปุ่นยังทำสงครามกับนานาประเทศ ในฐานะฝ่ายอักษะ และท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้ ทำให้ตัวเขาต้องเห็นความเลวร้ายของสงครามตั้งแต่ยังเด็ก และพ่อของเขาที่เป็นนักบินกองทัพก็เล่าให้ฟังว่าต้องเสียลูกน้องใต้บังคับบัญชาทั้งหมดไปจนไม่อยากขับเครื่องบินอีกเลย Leiji Matsumoto เริ่มหัดวาดการ์ตูนหลังชื่นชอบในผลงานของ Osamu Tezuka ปรมาจารย์ของวงการ และที่สุดก็เดินทางจากเมืองฟูกูโอกะบ้านเกิดไปยังกรุงโตเกียว เพื่อตามฝันในการเป็นนักวาดการ์ตูน ด้วยวัยเพียง 18 ปี Otoko Oidon ในปี 1971 ที่เล่าเรื่องชายหนุ่มที่มุ่งมั่นสอบเข้ามหาวิทยาลัย คือผลงานเรื่องแรกของ Leiji Matsumoto แต่เรื่องที่ทำให้เขาโด่งดังคือ Space Battleship Yamato ที่ถูกนำมาทำเป็นอนิเมะออกอากาศทางโทรทัศน์ญี่ปุ่นระหว่างปี 1975-1978 และต่อเนื่องด้วย Galaxy Express 999 ซึ่งท่ามกลางการผจญภัยท่องอวกาศแล้ว Leiji Matsumoto ยังแทรกแนวคิดต่อต้านสงคราม และผลกระทบของความขัดแย้ง ที่เขากล่าวอยู่เสมอว่า ความย่อยยับจากสงครามที่ญี่ปุ่นได้รับไม่ควรเกิดขึ้นกับประเทศอื่น ๆ อีก จากนั้นแม้ผลงานของ Leiji Matsumoto ที่ออกมาจะไม่ดังเหมือนก่อน แต่  Space Battleship Yamato กับ Galaxy Express 999 ก็ยังถือเป็นการ์ตูนคลาสสิกของญี่ปุ่น ที่ถูกนำมาทำบ่อยอีกหลายครั้งในรูปแบบต่าง ๆ และยังมีอิทธิต่อการ์ตูนดังรุ่นต่อมา เช่น Gundam และ Evangalion อีกด้วย ขณะเดียวกันก็ข้ามไปดังในยุโรป เช่นที่ปรากฏให้เห็นใน Music video เพลง One More Time ของ Daft Punk อันเป็นส่วนหนึ่งของหนังอนิเมะ Interstella 555 ซึ่ง Leiji Matsumoto รับหน้าที่ดูแลภาพรวม ปี 2019 แฟน ๆ การ์ตูนญี่ปุ่นยุคคลาสสิกต้องใจหาย หลังมีข่าวว่า Leiji Matsumoto ที่อายุมากอยู่แล้วเจ็บหนัก ระหว่างเที่ยวอิตาลี แต่เขาก็ฟื้นกลับมาได้ แล้วที่สุดชีวิตของ Leiji Matsumoto ก็มาถึงบทสุดท้าย โดยเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เขาเสียชีวิตจากอาการหัวใจล้มเหลวด้วยวัย 85 ปี แต่แน่นอนว่าเขาจะได้รับการจดจำตลอดไปในฐานะเจ้าพ่อการ์ตูนอากาศญี่ปุ่นที่ดังในระดับโลก ที่มา https://www.mangasuphan.com/manga-collection-2/
    Wow
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไอ่ตั้มมมม เมิงง ไปไถไอ่บอสพอล 7 ล.โด้ยหรา เช็ดดด ทะนูยปชช Pongเมิง
    #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    ไอ่ตั้มมมม เมิงง ไปไถไอ่บอสพอล 7 ล.โด้ยหรา เช็ดดด ทะนูยปชช Pongเมิง #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 503 มุมมอง 0 รีวิว
  • 23/ 10/67

    # วันนี้มีบทความข้อคิดดีๆ มาฝากทุกท่านครับ

    #ภาพวาด ปีกัสโซ่
    #ชื่อภาพ "โจร"

    #จิตกรหนุ่มคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะมีชื่อเสียง เขาได้พักอาศัยอยู่ในห้องเก่าๆ แคบๆ แห่งหนึ่ง เขาอาศัยการวาดภาพในการหล่อเลี้ยงชีวิต

    #อยู่มาวันหนึ่ง เศรษฐีคนหนึ่งเดินผ่านมาและเห็นฝีมือการวาดภาพของจิตกร เขารู้สึกพอใจและชอบเป็นอย่างยิ่ง เศรษฐีจึงว่าจ้างให้เขาวาดภาพเหมือนของตัวเองหนึ่งภาพ ตกลงสนทนาราคากันไว้ที่ ๑๐,๐๐๐ เหรียญ

    #เมื่อผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ภาพวาดของเศรษฐีก็สำเร็จเรียบร้อย เศรษฐีกลับมารับภาพตามเวลาที่กำหนดไว้ แต่ครั้งนี้ เศรษฐีเกิดจิตคิดที่ไม่ดี บอกกับจิตกรหนุ่มว่า “เธอไม่ได้+เป็นจิตกรที่มีชื่อเสียง ฉันให้ราคาตามที่ตกลงกันไว้ไม่ได้หรอก!” เศรษฐีนึกกระหยิ่มในใจ “ภาพนี้ก็เป็นภาพของฉัน หากฉันไม่ซื้อ ใครจะโง่ยอมซื้อวะ? ในเมื่อไม่มีคนซื้อ ฉันจำเป็นต้องจ่ายในราคาที่แพงไปทำไม?” “ฉันให้ราคาภาพนี้แค่ ๓,๐๐๐ เหรียญ จะเอาหรือไม่เอา?”

    #จิตกรหนุ่มตกตะลึง เหมือนโดนไฟฟ้าช็อตเป็นรอบที่สอง เพราะเขาไม่เคยเจอลูกค้าประเภทนี้มาก่อน จึงรู้สึกสับสน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาอ้อนวอนเศรษฐีอยู่เป็นเวลานานสองนาน เพื่อให้เศรษฐียอมจ่ายให้ตามราคาที่ตกลงกันไว้ เขาบอกกับเศรษฐีว่า "คนเราต้องถือสัจจะเป็นที่ตั้ง"!

    “อย่ามาโยกโย้ ฉันให้นายแค่ ๓,๐๐๐ พันเหรียญเท่านั้น!” เศรษฐีคิดว่าตนถือไพ่เหนือกว่า จึงได้ตะคอกกลับไปอีกว่า
    “ฉันบอกนายเป็นครั้งสุดท้าย ๓,๐๐๐ เหรียญ จะขายหรือไม่ขาย?”

    #จิตกรหนุ่มรู้ว่าอ้อนวอนไปก็เปล่าประโยชน์ ประกอบกับความรู้สึกไม่พอใจกับการถูกข่มเหง เขาจึงพูดกับเศรษฐีด้วยเสียงอันดังว่า “ไม่"! ผมไม่ขายรูปแผ่นนี้แล้ว และผมจะไม่ยอมรับความอัปยศที่คุณพยายามเสือกใสมาให้ผมเป็นอันขาด วันนี้คุณเป็นคนผิดสัจจะ วันข้างหน้าผมจะทำให้คุณต้องซื้อภาพนี้ในราคาที่สูงกว่านี้อีก ๒๐๐ เท่า”

    “ตลกล่ะ ๒๐๐ เท่า ก็เท่ากับหกแสนเหรียญเชียวนะ ฉันจะโง่ซื้อภาพของตัวเองในราคาหกแสนเหรียญได้ยังไง?”
    “งั้นผมก็จะรอคุณเป็นคนมาง้อขอซื้อภาพของคุณเองก็แล้วกัน!” พูดเสร็จ ชายหนุ่มก็ถือภาพนั้นเดินกลับเข้าบ้านไป ไม่สนใจชายเศรษฐีแม้แต่น้อย

    #เหตุการณ์ที่จิตกรหนุ่ม ได้เผชิญกับความอัปยศที่เศรษฐียัดเหยียดมาให้ วันรุ่งขึ้น เขาย้ายไปอยู่เมืองอื่นด้วยความสะเทือนใจ

    #เขาตัดสินใจเข้าเรียนศิลปะอย่างเป็นทางการ และเอาจริงเอาจังกับการวาดภาพอย่างเอาเป็นเอาตาย ฟ้าย่อมไม่ทำให้ผู้ทุ่มเทผิดหวัง ผ่านไป ๑๐ กว่าปี เขากลายเป็นจิตกรที่มีชื่อเสียง ในกลุ่มจิตกรที่ติดอันดับมีชื่อของเขาเป็นหนึ่งในนั้น

    #ส่วนเศรษฐีคนนั้นล่ะ? หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นผ่านไปได้ ๒ วัน เขาก็ได้ลืมเรื่องราวนั้นไปและไม่เคยจำมาใส่ใจอีกเลย

    #อยู่มาวันหนึ่ง สหายของเศรษฐีหลายคนต่างพากันมาเยี่ยมเขาที่บ้านโดยไม่ได้นัดหมาย “เกลอเอ๋ย มันเป็นสิ่งประหลาดมาก หลายวันนี้พวกเราได้ไปเยี่ยมชมนิทรรศการการภาพวาดของจิตกรผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง แต่มีอยู่ภาพหนึ่งที่มีราคาแพงมาก และไม่ยอมให้มีการต่อรองราคาใดๆ ทั้งสิ้น แต่ภาพวาดนั้น เหมือนเกลอยังกะแกะ เกลอรู้ไหมภาพนั่นมีราคาเท่าไหร่? หกแสนเชียวนะภาพนั้นนะ! แต่ที่น่าขันก็คือ #ภาพนั้นมี่ชื่อว่า “โจร”

    #เศรษฐีเหมือนถูกไม้หน้าสามตีกลางแสกหน้า ภาพเหตุการณ์เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วผุดขึ้นมาเหมือนม้วนหนังที่ทำการฉายใหม่อีกครั้ง

    #สิ่งที่เพื่อนของเขาเล่ามา ทำความเสียหายให้เขาเป็นอย่างยิ่ง เขารีบเดินทางไปที่จัดแสดงนิทรรศการภาพวาดแห่งนั้นในทันที พร้อมกับเข้าไปทำการขอโทษจิตกรหนุ่มผู้นั้นด้วยตัวของเขาเอง แถมยังยอมซื้อภาพนั้นกลับบ้านในราคาหกแสนเหรียญโดยไม่ขาดไม่เกินไปแม้แต่สตางค์เดียว

    #เพราะอุดมการณ์ ที่ไม่ยอมแพ้ในครานั้น ทำให้ชายเศรษฐียอมกลับมาก้มหัวให้ในวันนี้ จิตกรหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่า "ปิกัสโซ่"

    #ไม่มีใคร สามารถทำร้ายคุณหรือยัดเหยียดความอัปยศอดสูมาให้คุณได้ นอกเสียจากตัวคุณเอง!


    #เครดิต : นุสนธิ์บุคส์
    #ขอบคุณเจ้าของบทความและภาพประกอบ
    23/ 10/67 # วันนี้มีบทความข้อคิดดีๆ มาฝากทุกท่านครับ #ภาพวาด ปีกัสโซ่ #ชื่อภาพ "โจร" #จิตกรหนุ่มคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะมีชื่อเสียง เขาได้พักอาศัยอยู่ในห้องเก่าๆ แคบๆ แห่งหนึ่ง เขาอาศัยการวาดภาพในการหล่อเลี้ยงชีวิต #อยู่มาวันหนึ่ง เศรษฐีคนหนึ่งเดินผ่านมาและเห็นฝีมือการวาดภาพของจิตกร เขารู้สึกพอใจและชอบเป็นอย่างยิ่ง เศรษฐีจึงว่าจ้างให้เขาวาดภาพเหมือนของตัวเองหนึ่งภาพ ตกลงสนทนาราคากันไว้ที่ ๑๐,๐๐๐ เหรียญ #เมื่อผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ภาพวาดของเศรษฐีก็สำเร็จเรียบร้อย เศรษฐีกลับมารับภาพตามเวลาที่กำหนดไว้ แต่ครั้งนี้ เศรษฐีเกิดจิตคิดที่ไม่ดี บอกกับจิตกรหนุ่มว่า “เธอไม่ได้+เป็นจิตกรที่มีชื่อเสียง ฉันให้ราคาตามที่ตกลงกันไว้ไม่ได้หรอก!” เศรษฐีนึกกระหยิ่มในใจ “ภาพนี้ก็เป็นภาพของฉัน หากฉันไม่ซื้อ ใครจะโง่ยอมซื้อวะ? ในเมื่อไม่มีคนซื้อ ฉันจำเป็นต้องจ่ายในราคาที่แพงไปทำไม?” “ฉันให้ราคาภาพนี้แค่ ๓,๐๐๐ เหรียญ จะเอาหรือไม่เอา?” #จิตกรหนุ่มตกตะลึง เหมือนโดนไฟฟ้าช็อตเป็นรอบที่สอง เพราะเขาไม่เคยเจอลูกค้าประเภทนี้มาก่อน จึงรู้สึกสับสน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาอ้อนวอนเศรษฐีอยู่เป็นเวลานานสองนาน เพื่อให้เศรษฐียอมจ่ายให้ตามราคาที่ตกลงกันไว้ เขาบอกกับเศรษฐีว่า "คนเราต้องถือสัจจะเป็นที่ตั้ง"! “อย่ามาโยกโย้ ฉันให้นายแค่ ๓,๐๐๐ พันเหรียญเท่านั้น!” เศรษฐีคิดว่าตนถือไพ่เหนือกว่า จึงได้ตะคอกกลับไปอีกว่า “ฉันบอกนายเป็นครั้งสุดท้าย ๓,๐๐๐ เหรียญ จะขายหรือไม่ขาย?” #จิตกรหนุ่มรู้ว่าอ้อนวอนไปก็เปล่าประโยชน์ ประกอบกับความรู้สึกไม่พอใจกับการถูกข่มเหง เขาจึงพูดกับเศรษฐีด้วยเสียงอันดังว่า “ไม่"! ผมไม่ขายรูปแผ่นนี้แล้ว และผมจะไม่ยอมรับความอัปยศที่คุณพยายามเสือกใสมาให้ผมเป็นอันขาด วันนี้คุณเป็นคนผิดสัจจะ วันข้างหน้าผมจะทำให้คุณต้องซื้อภาพนี้ในราคาที่สูงกว่านี้อีก ๒๐๐ เท่า” “ตลกล่ะ ๒๐๐ เท่า ก็เท่ากับหกแสนเหรียญเชียวนะ ฉันจะโง่ซื้อภาพของตัวเองในราคาหกแสนเหรียญได้ยังไง?” “งั้นผมก็จะรอคุณเป็นคนมาง้อขอซื้อภาพของคุณเองก็แล้วกัน!” พูดเสร็จ ชายหนุ่มก็ถือภาพนั้นเดินกลับเข้าบ้านไป ไม่สนใจชายเศรษฐีแม้แต่น้อย #เหตุการณ์ที่จิตกรหนุ่ม ได้เผชิญกับความอัปยศที่เศรษฐียัดเหยียดมาให้ วันรุ่งขึ้น เขาย้ายไปอยู่เมืองอื่นด้วยความสะเทือนใจ #เขาตัดสินใจเข้าเรียนศิลปะอย่างเป็นทางการ และเอาจริงเอาจังกับการวาดภาพอย่างเอาเป็นเอาตาย ฟ้าย่อมไม่ทำให้ผู้ทุ่มเทผิดหวัง ผ่านไป ๑๐ กว่าปี เขากลายเป็นจิตกรที่มีชื่อเสียง ในกลุ่มจิตกรที่ติดอันดับมีชื่อของเขาเป็นหนึ่งในนั้น #ส่วนเศรษฐีคนนั้นล่ะ? หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นผ่านไปได้ ๒ วัน เขาก็ได้ลืมเรื่องราวนั้นไปและไม่เคยจำมาใส่ใจอีกเลย #อยู่มาวันหนึ่ง สหายของเศรษฐีหลายคนต่างพากันมาเยี่ยมเขาที่บ้านโดยไม่ได้นัดหมาย “เกลอเอ๋ย มันเป็นสิ่งประหลาดมาก หลายวันนี้พวกเราได้ไปเยี่ยมชมนิทรรศการการภาพวาดของจิตกรผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง แต่มีอยู่ภาพหนึ่งที่มีราคาแพงมาก และไม่ยอมให้มีการต่อรองราคาใดๆ ทั้งสิ้น แต่ภาพวาดนั้น เหมือนเกลอยังกะแกะ เกลอรู้ไหมภาพนั่นมีราคาเท่าไหร่? หกแสนเชียวนะภาพนั้นนะ! แต่ที่น่าขันก็คือ #ภาพนั้นมี่ชื่อว่า “โจร” #เศรษฐีเหมือนถูกไม้หน้าสามตีกลางแสกหน้า ภาพเหตุการณ์เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วผุดขึ้นมาเหมือนม้วนหนังที่ทำการฉายใหม่อีกครั้ง #สิ่งที่เพื่อนของเขาเล่ามา ทำความเสียหายให้เขาเป็นอย่างยิ่ง เขารีบเดินทางไปที่จัดแสดงนิทรรศการภาพวาดแห่งนั้นในทันที พร้อมกับเข้าไปทำการขอโทษจิตกรหนุ่มผู้นั้นด้วยตัวของเขาเอง แถมยังยอมซื้อภาพนั้นกลับบ้านในราคาหกแสนเหรียญโดยไม่ขาดไม่เกินไปแม้แต่สตางค์เดียว #เพราะอุดมการณ์ ที่ไม่ยอมแพ้ในครานั้น ทำให้ชายเศรษฐียอมกลับมาก้มหัวให้ในวันนี้ จิตกรหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่า "ปิกัสโซ่" #ไม่มีใคร สามารถทำร้ายคุณหรือยัดเหยียดความอัปยศอดสูมาให้คุณได้ นอกเสียจากตัวคุณเอง! #เครดิต : นุสนธิ์บุคส์ #ขอบคุณเจ้าของบทความและภาพประกอบ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปะการังเจ็ดสี Unseen กองหินขาว จ.สตูล

    เอ่ยถึงจังหวัดสตูล หลายคนมักจะถึงเกาะตะรุเตา เกาะหลีเป๊ะ อาดังราวี แต่รู้หรือไม่ว่า ที่จังหวัดสตูล ยังมีทะเลอีกหนึ่งจุดที่รอนักท่องเที่ยวมาสัมผัสความงามใต้ท้องทะเลลึก ณ กองหินขาว อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา

    หลายปีที่ผ่านมา ชื่อของกองหินขาว โด่งดังขึ้นมา จากโครงการท่าเรือน้ำลึกปากบารา ซึ่งเหล่านักวิชาการ -นักอนุรักษ์มองว่าการก่อสร้างท่าเรือดังกล่าวจะส่งผลกระทบโดยตรงกับกองหินขาว และระบบนิเวศวิทยาทางทะเลที่อยู่ล้อมรอบ ดังนั้นจึงมีการนำภาพนิ่ง - วีดีโอ ต่างๆของท้องทะเลใต้กองหินขาวและบริเวณรอบๆมานำเสนอต่อประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับรู้ ได้เห็นว่าแท้จริงแล้ว ใต้ท้องทะเลแห่งนี้มีของดีล้ำค่าเพียงใด

    ผลของการออกโรงของนักวิชาการ -นักอนุรักษ์ รวมไปถึงชุมชนที่หวั่นว่าจะได้รับผลกระทบ ส่งผลให้รัฐบาลโดยกรมเจ้าท่า ได้ลงนามร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาที่เป็นคู่สัญญายุติโครงการศึกษาทบทวนและสำรวจออกแบบรายละเอียด (EHIA) โครงการท่าเรือน้ำลึกฯ (ปากบารา) เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562

    #ปะการัง7สี
    ปะการังเจ็ดสี Unseen กองหินขาว จ.สตูล เอ่ยถึงจังหวัดสตูล หลายคนมักจะถึงเกาะตะรุเตา เกาะหลีเป๊ะ อาดังราวี แต่รู้หรือไม่ว่า ที่จังหวัดสตูล ยังมีทะเลอีกหนึ่งจุดที่รอนักท่องเที่ยวมาสัมผัสความงามใต้ท้องทะเลลึก ณ กองหินขาว อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา หลายปีที่ผ่านมา ชื่อของกองหินขาว โด่งดังขึ้นมา จากโครงการท่าเรือน้ำลึกปากบารา ซึ่งเหล่านักวิชาการ -นักอนุรักษ์มองว่าการก่อสร้างท่าเรือดังกล่าวจะส่งผลกระทบโดยตรงกับกองหินขาว และระบบนิเวศวิทยาทางทะเลที่อยู่ล้อมรอบ ดังนั้นจึงมีการนำภาพนิ่ง - วีดีโอ ต่างๆของท้องทะเลใต้กองหินขาวและบริเวณรอบๆมานำเสนอต่อประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับรู้ ได้เห็นว่าแท้จริงแล้ว ใต้ท้องทะเลแห่งนี้มีของดีล้ำค่าเพียงใด ผลของการออกโรงของนักวิชาการ -นักอนุรักษ์ รวมไปถึงชุมชนที่หวั่นว่าจะได้รับผลกระทบ ส่งผลให้รัฐบาลโดยกรมเจ้าท่า ได้ลงนามร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาที่เป็นคู่สัญญายุติโครงการศึกษาทบทวนและสำรวจออกแบบรายละเอียด (EHIA) โครงการท่าเรือน้ำลึกฯ (ปากบารา) เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 #ปะการัง7สี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • วงดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาลคึกครื้น แกนนำมากันเพียบ “นายกฯอิ๊งค์” บอกไม่มีธีมพิเศษ พร้อมรอรับด้วยตัวเองชื่นมื่น จัดเต็มเมนูเป๋าฮื้อ คาเวียร์​ หอยเชลล์ฮอกไกโด​

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000101522

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    วงดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาลคึกครื้น แกนนำมากันเพียบ “นายกฯอิ๊งค์” บอกไม่มีธีมพิเศษ พร้อมรอรับด้วยตัวเองชื่นมื่น จัดเต็มเมนูเป๋าฮื้อ คาเวียร์​ หอยเชลล์ฮอกไกโด​ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000101522 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Sad
    Angry
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1625 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถอดหน้ากาก "ดิ ไอคอน" อภิมหาแชร์ลูกโซ่
    .
    ตลอดระยะเวลาห้าสิบกว่าปีที่ผมเป็นสื่อมวลชนมา แม้ว่าผมทำข่าวแชร์พวกนี้มาก็มาก ไม่ว่าจะเป็นแชร์แม่ชม้อย 2520-2528 หรือแชร์ชาร์เตอร์ 2526-2528 คนไทยไม่เข็ด คดี "เมจิกสกิน" แชร์ลูกโซ่รูปแบบใหม่ หลังสุดเป็นเรื่องคดีอื้อฉาวโด่งดังมาก คือคดี Forex-3D
    .
    แต่ผมไม่เคยเห็นจำนวนเหยื่อ ตัวเลขเหยื่อ ผู้เสียหายมากมายเท่ากรณี "ดิ ไอคอน"ซึ่งนายพอล วรัตน์พล เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เครือข่าย "ดิ ไอคอน" สามารถดึงดูดผู้คนให้หลงเข้ามาเป็นสมาชิกได้มากถึง 368,257 ราย นั่นหมายความว่า "ดิ ไอคอน" ได้กลายเป็นแชร์ลูกโซ่ขนาดมหึมา ถ้าเราคิดแค่จำนวนเงินชั้นต้น เฉพาะการเปิดบิล เป็นเงินความเสียหายกว่า 10,130 ล้านบาท
    .
    นั่นเป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะว่าเขาไม่ได้ซื้อของมาให้คุณขาย เขาซื้อเป็นสต๊อกลม ให้คุณจ่ายเงินค่าสต๊อกลมไป ที่ ดิ ไอคอน อ้างว่าปกติจะบอกว่าจ่ายเงินก่อน เบิกเมื่อไรค่อยเอาของไปและนี่คือ "แชร์ลูกโซ่" โดยรับเงินจากค่าสมาชิก เอาเงินใหม่ที่หลงเชื่อเข้ามาเอามาโปะแทนเงินเก่า ได้เงินหมุนมาเป็นพันๆ ล้าน ไปปั่นสร้างภาพตัวเองซื้อทรัพย์สิน ซื้อโฆษณาจ่ายพรีเซนเตอร์ รถหรู ที่ดิน สร้างภาพว่ารวยสุดๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนที่เข้ามาซื้อสต๊อกลมกันให้มากๆ ถ้าดูออกก็เข้าใจเกมนี้
    .
    ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ ประเด็นมันอยู่ที่ว่า หลักการตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้ ของทุกๆ แชร์เลยนะ อ้างเรื่อง MLM (Multi Level Marketing) ทุกคนเลย ตั้งแต่แชร์แม่ชม้อย ,แชร์ชาร์เตอร์, แชร์ทองคำแม่ตั้ก, แชร์ FOREX อภิรักษ์ โกฎฐิ มาจนถึง "ดิ ไอคอน" ทั้งหมดอ้างเป็นรูปแบบการขายตรงแบบ MLM ซึ่งแอมเวย์ก็ทำ กิฟฟารีนก็ทำ แต่จุดที่ต่างคือ เขามีของ มีคุณภาพ มีชื่อเสียงมายาวนาน คนไม่ได้เป็นสมาชิกก็ใช้สินค้าเขา แต่ "ดิ ไอคอน" ไม่ใช่เช่นนั้น
    ถอดหน้ากาก "ดิ ไอคอน" อภิมหาแชร์ลูกโซ่ . ตลอดระยะเวลาห้าสิบกว่าปีที่ผมเป็นสื่อมวลชนมา แม้ว่าผมทำข่าวแชร์พวกนี้มาก็มาก ไม่ว่าจะเป็นแชร์แม่ชม้อย 2520-2528 หรือแชร์ชาร์เตอร์ 2526-2528 คนไทยไม่เข็ด คดี "เมจิกสกิน" แชร์ลูกโซ่รูปแบบใหม่ หลังสุดเป็นเรื่องคดีอื้อฉาวโด่งดังมาก คือคดี Forex-3D . แต่ผมไม่เคยเห็นจำนวนเหยื่อ ตัวเลขเหยื่อ ผู้เสียหายมากมายเท่ากรณี "ดิ ไอคอน"ซึ่งนายพอล วรัตน์พล เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เครือข่าย "ดิ ไอคอน" สามารถดึงดูดผู้คนให้หลงเข้ามาเป็นสมาชิกได้มากถึง 368,257 ราย นั่นหมายความว่า "ดิ ไอคอน" ได้กลายเป็นแชร์ลูกโซ่ขนาดมหึมา ถ้าเราคิดแค่จำนวนเงินชั้นต้น เฉพาะการเปิดบิล เป็นเงินความเสียหายกว่า 10,130 ล้านบาท . นั่นเป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะว่าเขาไม่ได้ซื้อของมาให้คุณขาย เขาซื้อเป็นสต๊อกลม ให้คุณจ่ายเงินค่าสต๊อกลมไป ที่ ดิ ไอคอน อ้างว่าปกติจะบอกว่าจ่ายเงินก่อน เบิกเมื่อไรค่อยเอาของไปและนี่คือ "แชร์ลูกโซ่" โดยรับเงินจากค่าสมาชิก เอาเงินใหม่ที่หลงเชื่อเข้ามาเอามาโปะแทนเงินเก่า ได้เงินหมุนมาเป็นพันๆ ล้าน ไปปั่นสร้างภาพตัวเองซื้อทรัพย์สิน ซื้อโฆษณาจ่ายพรีเซนเตอร์ รถหรู ที่ดิน สร้างภาพว่ารวยสุดๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนที่เข้ามาซื้อสต๊อกลมกันให้มากๆ ถ้าดูออกก็เข้าใจเกมนี้ . ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ ประเด็นมันอยู่ที่ว่า หลักการตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้ ของทุกๆ แชร์เลยนะ อ้างเรื่อง MLM (Multi Level Marketing) ทุกคนเลย ตั้งแต่แชร์แม่ชม้อย ,แชร์ชาร์เตอร์, แชร์ทองคำแม่ตั้ก, แชร์ FOREX อภิรักษ์ โกฎฐิ มาจนถึง "ดิ ไอคอน" ทั้งหมดอ้างเป็นรูปแบบการขายตรงแบบ MLM ซึ่งแอมเวย์ก็ทำ กิฟฟารีนก็ทำ แต่จุดที่ต่างคือ เขามีของ มีคุณภาพ มีชื่อเสียงมายาวนาน คนไม่ได้เป็นสมาชิกก็ใช้สินค้าเขา แต่ "ดิ ไอคอน" ไม่ใช่เช่นนั้น
    Like
    Angry
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 581 มุมมอง 0 รีวิว
  • เคนโด้ ฟาดกลับ! แฉบอสอาจารย์ขายตรง อ้างสนิทอนุทินตีคนเข้าธุรกิจ 17/10/67 #เคนโด้ #อาจารย์ขายตรง #ธุรกิจ #ดิไอคอนกรุ๊ป #theicon
    เคนโด้ ฟาดกลับ! แฉบอสอาจารย์ขายตรง อ้างสนิทอนุทินตีคนเข้าธุรกิจ 17/10/67 #เคนโด้ #อาจารย์ขายตรง #ธุรกิจ #ดิไอคอนกรุ๊ป #theicon
    Like
    Haha
    Love
    Yay
    12
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1782 มุมมอง 979 0 รีวิว