• นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 1 : อำนาจทำให้คนมีเสน่ห์ ! ? !
    “Control Oil and you control nations;
control food and you control the people”
    “ควบคุมน้ำมันได้ คุณก็ควบคุมชาติต่าง ๆ ได้
ควบคุมอาหารได้ คุณก็ควบคุมประชาชนได้”
    เป็นคำพูดของนาย Henry Kissinger เมื่อช่วง ค.ศ. 1970 พูดมาเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ดูเหมือนทิศทางการเมืองระหว่างประเทศจะเป็นไปตามที่นาย Kissinger พูด
    เรื่องบังเอิญหรือล็อกเป้า!
    งั้นมาทำความรู้จักนาย Kissinger กันหน่อย จะได้รู้ว่าเป็นคนขี้โม้ หมอดู หรือคนในรู้จริง
    นาย Kissinger มีชื่อเต็มว่า Henry Alfred Kissinger ตอนเกิดใช้ชื่อว่า Heinz Alfred Kissinger เป็นคนเยอรมัน อเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1923 ตอนนี้ก็อายุปาเข้าไป 90 ปี นอกจากยังไม่ตายและยังปากเปราะเหมือนเดิม นาย Kissinger เป็นคนตัวเตี้ย และห่างไกลกับคำว่าเป็นคนหน้าตาดี เขาแต่งงานแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 แต่งกับนาง Nancy ผู้หญิงซึ่งตัวสูงกว่าเขาประมาณเกือบ 1 ฟุต เมื่อสมัยที่นาย Kissinger เรืองอำนาจ นาง Nancy เองซึ่งก็ไม่ใช่คนสวยอะไร จะมีรูปปรากฎอยู่ในนิตยสาร Vogue นานาชาติอยู่เสมอ นิตยสารนี้ นอกจากจะมีแต่รูปนางแบบระดับโลกแล้ว ผู้ที่จะได้มีภาพลงในหนังสือนี้ ก็จะต้องเป็นบุคคลที่สมัยนี้เรียกว่า Celeb คนดังว่างั้นเถอะ ตัวผัวก็ไม่หล่อ คนเป็นเมียก็ไม่สวย แต่ทั้งคู่ดังระเบิด แถมตัวผัวยังมีข่าวเสมอทางด้านส่วนตัวว่าเป็นชายเจ้าชู้ ไม่เร่ขายชาติ แต่ชอบทำลายชาติคนอื่นมากกว่า !
    เมื่อนักข่าวถามว่า ได้ข่าวว่าท่านเจ้าชู้ มีสาวควงเปลี่ยนหน้าบ่อยๆ ท่านทำได้อย่างไรนะ ในเมื่อ ขอโทษ ท่านก็ไม่ใช่คนหล่อ นาย Kissinger ตอบว่า “อำนาจก็ทำให้คนมีเสน่ห์ได้นะ” ฮา
    นาย Kissinger มีอำนาจอย่างไร ถึงทำให้สาวๆ ยอมให้ควงบ่อยๆ แต่จะถึงขนาดจัดส่งขึ้นเครื่องบินไปร่วมร้องเพลงแก้เหงา หรือเปล่ารายงานข่าวไม่ได้บอก
    นาย Kissinger เริ่มทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศ และต่อมาดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงต่างประเทศ ในสมัยประธานาธิบดี Richard Nixon และเป็นต่อมาจนถึงสมัยประธานาธิบดี Gerald Ford พูดง่ายๆ เป็นคนสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเมืองของอเมริกาและแน่นอนของโลกด้วยในช่วงปี ค.ศ.1969 ถึง ค.ศ.1977
    ผลงานของนาย Kissinger ที่เด่นๆ ที่ประกาศอย่างเปิดเผยลงใน Google คือ การคลี่คลาย (detente) สงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต การเริ่มสร้างสัมพันธ์กับจีน และเริ่มขบวนการเจรจาสันติภาพที่ปารีส ซึ่งเป็นผลให้ยุติสงครามเวียตนาม (ที่อเมริกาเป็นผู้ริเริ่มนั่นแหละ !) ผลงานนี้ ทำให้เขาได้รับรางวัล Nobel สาขาสันติภาพในปี ค.ศ.1973 คู่กับคู่กัด คือ นาย Le Duc Tho จากเวียตนามเหนือ แต่นาย Le Duc Tho ปฏิเสธที่จะรับรางวัล เขาเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ปฏิเสธรางวัล Nobel (เยี่ยม !)
    เป็นการให้รางวัล Nobel สาขาสันติภาพ ที่ติดอันดับ 1 ใน 5 แห่งความอื้อฉาว และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากสัญญาสันติภาพของจริงกว่าจะได้ลงนาม ในปี ค.ศ. 1975 แต่ผู้เจรจาได้รับรางวัลล่วงหน้า เหมือนล็อตเตอรี่ยังไม่ออก แต่ประกาศแล้วว่าใครถูกรางวัลที่ 1 (เอ้า ตบมือให้ลูกน้องนักเล่นกลกันหน่อย)
    แต่ผลงานของนาย Kissinger ที่ไม่ได้เปิดเผย แต่อยากเล่าให้ฟังคือ “National Security Study Memorandum 200” หรือที่เรียกชื่อย่อว่า NSSM 200 ซึ่งได้จัดทำขึ้น ภายใต้การกำกับและอำนวยการสร้างโดยนาย Kissinger เอง สำเร็จเป็นเอกสารหนาเกือบ 200 หน้า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1974
    เอกสารนี้เกี่ยวกับอะไรลึกลับซับซ้อนอะไรหนักหนา ถึงขนาดตีตราครั่งว่าจะเปิดเผยได้ โดยคำสั่งของ White House เท่านั้น เก็บแอบซ่อนไว้ 15 ปี สภาความมั่นคงของอเมริกาก็เพิ่งเอามาเปิดให้อ่านกัน เมื่อ ปี ค.ศ. 1989

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ” ตอนที่ 1 : อำนาจทำให้คนมีเสน่ห์ ! ? ! “Control Oil and you control nations;
control food and you control the people” “ควบคุมน้ำมันได้ คุณก็ควบคุมชาติต่าง ๆ ได้
ควบคุมอาหารได้ คุณก็ควบคุมประชาชนได้” เป็นคำพูดของนาย Henry Kissinger เมื่อช่วง ค.ศ. 1970 พูดมาเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ดูเหมือนทิศทางการเมืองระหว่างประเทศจะเป็นไปตามที่นาย Kissinger พูด เรื่องบังเอิญหรือล็อกเป้า! งั้นมาทำความรู้จักนาย Kissinger กันหน่อย จะได้รู้ว่าเป็นคนขี้โม้ หมอดู หรือคนในรู้จริง นาย Kissinger มีชื่อเต็มว่า Henry Alfred Kissinger ตอนเกิดใช้ชื่อว่า Heinz Alfred Kissinger เป็นคนเยอรมัน อเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1923 ตอนนี้ก็อายุปาเข้าไป 90 ปี นอกจากยังไม่ตายและยังปากเปราะเหมือนเดิม นาย Kissinger เป็นคนตัวเตี้ย และห่างไกลกับคำว่าเป็นคนหน้าตาดี เขาแต่งงานแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 แต่งกับนาง Nancy ผู้หญิงซึ่งตัวสูงกว่าเขาประมาณเกือบ 1 ฟุต เมื่อสมัยที่นาย Kissinger เรืองอำนาจ นาง Nancy เองซึ่งก็ไม่ใช่คนสวยอะไร จะมีรูปปรากฎอยู่ในนิตยสาร Vogue นานาชาติอยู่เสมอ นิตยสารนี้ นอกจากจะมีแต่รูปนางแบบระดับโลกแล้ว ผู้ที่จะได้มีภาพลงในหนังสือนี้ ก็จะต้องเป็นบุคคลที่สมัยนี้เรียกว่า Celeb คนดังว่างั้นเถอะ ตัวผัวก็ไม่หล่อ คนเป็นเมียก็ไม่สวย แต่ทั้งคู่ดังระเบิด แถมตัวผัวยังมีข่าวเสมอทางด้านส่วนตัวว่าเป็นชายเจ้าชู้ ไม่เร่ขายชาติ แต่ชอบทำลายชาติคนอื่นมากกว่า ! เมื่อนักข่าวถามว่า ได้ข่าวว่าท่านเจ้าชู้ มีสาวควงเปลี่ยนหน้าบ่อยๆ ท่านทำได้อย่างไรนะ ในเมื่อ ขอโทษ ท่านก็ไม่ใช่คนหล่อ นาย Kissinger ตอบว่า “อำนาจก็ทำให้คนมีเสน่ห์ได้นะ” ฮา นาย Kissinger มีอำนาจอย่างไร ถึงทำให้สาวๆ ยอมให้ควงบ่อยๆ แต่จะถึงขนาดจัดส่งขึ้นเครื่องบินไปร่วมร้องเพลงแก้เหงา หรือเปล่ารายงานข่าวไม่ได้บอก นาย Kissinger เริ่มทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศ และต่อมาดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงต่างประเทศ ในสมัยประธานาธิบดี Richard Nixon และเป็นต่อมาจนถึงสมัยประธานาธิบดี Gerald Ford พูดง่ายๆ เป็นคนสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเมืองของอเมริกาและแน่นอนของโลกด้วยในช่วงปี ค.ศ.1969 ถึง ค.ศ.1977 ผลงานของนาย Kissinger ที่เด่นๆ ที่ประกาศอย่างเปิดเผยลงใน Google คือ การคลี่คลาย (detente) สงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต การเริ่มสร้างสัมพันธ์กับจีน และเริ่มขบวนการเจรจาสันติภาพที่ปารีส ซึ่งเป็นผลให้ยุติสงครามเวียตนาม (ที่อเมริกาเป็นผู้ริเริ่มนั่นแหละ !) ผลงานนี้ ทำให้เขาได้รับรางวัล Nobel สาขาสันติภาพในปี ค.ศ.1973 คู่กับคู่กัด คือ นาย Le Duc Tho จากเวียตนามเหนือ แต่นาย Le Duc Tho ปฏิเสธที่จะรับรางวัล เขาเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ปฏิเสธรางวัล Nobel (เยี่ยม !) เป็นการให้รางวัล Nobel สาขาสันติภาพ ที่ติดอันดับ 1 ใน 5 แห่งความอื้อฉาว และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากสัญญาสันติภาพของจริงกว่าจะได้ลงนาม ในปี ค.ศ. 1975 แต่ผู้เจรจาได้รับรางวัลล่วงหน้า เหมือนล็อตเตอรี่ยังไม่ออก แต่ประกาศแล้วว่าใครถูกรางวัลที่ 1 (เอ้า ตบมือให้ลูกน้องนักเล่นกลกันหน่อย) แต่ผลงานของนาย Kissinger ที่ไม่ได้เปิดเผย แต่อยากเล่าให้ฟังคือ “National Security Study Memorandum 200” หรือที่เรียกชื่อย่อว่า NSSM 200 ซึ่งได้จัดทำขึ้น ภายใต้การกำกับและอำนวยการสร้างโดยนาย Kissinger เอง สำเร็จเป็นเอกสารหนาเกือบ 200 หน้า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1974 เอกสารนี้เกี่ยวกับอะไรลึกลับซับซ้อนอะไรหนักหนา ถึงขนาดตีตราครั่งว่าจะเปิดเผยได้ โดยคำสั่งของ White House เท่านั้น เก็บแอบซ่อนไว้ 15 ปี สภาความมั่นคงของอเมริกาก็เพิ่งเอามาเปิดให้อ่านกัน เมื่อ ปี ค.ศ. 1989 คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อมิดเดิลเอิร์ธเดินทางสู่โซเวียต: “The Hobbit” ฉบับปี 1976 ที่ทั้งแปลกและงดงาม

    ย้อนกลับไปในปี 1976 ท่ามกลางยุคสงครามเย็นที่โลกแบ่งเป็นสองขั้วอำนาจ หนังสือแฟนตาซีชื่อดังของ J.R.R. Tolkien อย่าง “The Hobbit” ได้รับการตีพิมพ์ในสหภาพโซเวียตโดยสำนักพิมพ์ Detskaya Literatura พร้อมภาพประกอบที่ไม่เหมือนใครโดยศิลปิน Mikhail Belomlinsky ผู้จบจากสถาบันศิลปะชั้นนำในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

    ภาพประกอบในฉบับนี้มีสไตล์ที่ “แม่นยำและเรียบง่าย” แต่ก็แฝงความน่ารักแบบการ์ตูนไว้ด้วย ตัวละครอย่าง Bilbo, Gandalf, Gollum และ Smaug ถูกตีความใหม่ในแบบที่สะท้อนวัฒนธรรมโซเวียต เช่น Bilbo ที่มีขนขาเยอะมาก และ Gollum ที่ดูเหมือนภูตผีมากกว่าตัวประหลาดในหนังสือหรือภาพยนตร์

    ที่น่าสนใจคือ Bilbo ถูกวาดโดยอิงจากนักแสดงชื่อดังของโซเวียต Yevgeniy Leonov ซึ่งเคยพากย์เสียง Winnie the Pooh เวอร์ชันโซเวียต ส่วน Gandalf ก็ถูกวาดให้ยิ้มกว้างในทุกฉาก ราวกับเป็นพ่อมดที่ใจดีมากกว่าผู้เคร่งขรึม

    ภาพเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะอยู่หลังม่านเหล็ก แต่จินตนาการก็ยังเบ่งบาน และ Tolkien ก็สามารถเดินทางข้ามอุดมการณ์ทางการเมืองไปสู่หัวใจของผู้อ่านทั่วโลกได้

    การตีพิมพ์ The Hobbit ฉบับโซเวียตปี 1976
    ตีพิมพ์โดย Detskaya Literatura ในสหภาพโซเวียต
    มีภาพประกอบโดย Mikhail Belomlinsky ศิลปินจาก St. Petersburg Academy of Fine Art
    เป็นหนึ่งในฉบับแปลที่แปลกตาและมีเอกลักษณ์ที่สุด

    ลักษณะภาพประกอบที่โดดเด่น
    สไตล์ภาพแม่นยำ เรียบง่าย แต่แฝงความน่ารักแบบการ์ตูน
    Bilbo มีขนขาเยอะมาก และดูคล้ายคนธรรมดามากกว่าฮีโร่
    Gollum ดูเหมือนภูตผีมากกว่าตัวประหลาด
    Gandalf ยิ้มกว้างในทุกฉาก ดูใจดีมากกว่าขรึม

    อิทธิพลทางวัฒนธรรม
    Bilbo ถูกวาดโดยอิงจากนักแสดง Yevgeniy Leonov
    สะท้อนการตีความตัวละครผ่านมุมมองของโซเวียต
    เป็นตัวอย่างของการนำวรรณกรรมตะวันตกเข้าสู่บริบทของโลกตะวันออก

    ความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์
    แสดงให้เห็นว่าผลงานของ Tolkien สามารถข้ามพรมแดนทางการเมืองได้
    เป็นหลักฐานของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในยุคสงครามเย็น
    เป็นหนึ่งในฉบับที่นักสะสมและนักวิชาการให้ความสนใจ

    ภาพประกอบในฉบับนี้แตกต่างจากเวอร์ชันตะวันตกอย่างสิ้นเชิง
    ตัวละครอาจดูแปลกหรือไม่ตรงกับจินตนาการของผู้อ่านยุคใหม่

    https://mashable.com/archive/soviet-hobbit
    🧠 เมื่อมิดเดิลเอิร์ธเดินทางสู่โซเวียต: “The Hobbit” ฉบับปี 1976 ที่ทั้งแปลกและงดงาม ย้อนกลับไปในปี 1976 ท่ามกลางยุคสงครามเย็นที่โลกแบ่งเป็นสองขั้วอำนาจ หนังสือแฟนตาซีชื่อดังของ J.R.R. Tolkien อย่าง “The Hobbit” ได้รับการตีพิมพ์ในสหภาพโซเวียตโดยสำนักพิมพ์ Detskaya Literatura พร้อมภาพประกอบที่ไม่เหมือนใครโดยศิลปิน Mikhail Belomlinsky ผู้จบจากสถาบันศิลปะชั้นนำในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ภาพประกอบในฉบับนี้มีสไตล์ที่ “แม่นยำและเรียบง่าย” แต่ก็แฝงความน่ารักแบบการ์ตูนไว้ด้วย ตัวละครอย่าง Bilbo, Gandalf, Gollum และ Smaug ถูกตีความใหม่ในแบบที่สะท้อนวัฒนธรรมโซเวียต เช่น Bilbo ที่มีขนขาเยอะมาก และ Gollum ที่ดูเหมือนภูตผีมากกว่าตัวประหลาดในหนังสือหรือภาพยนตร์ ที่น่าสนใจคือ Bilbo ถูกวาดโดยอิงจากนักแสดงชื่อดังของโซเวียต Yevgeniy Leonov ซึ่งเคยพากย์เสียง Winnie the Pooh เวอร์ชันโซเวียต ส่วน Gandalf ก็ถูกวาดให้ยิ้มกว้างในทุกฉาก ราวกับเป็นพ่อมดที่ใจดีมากกว่าผู้เคร่งขรึม ภาพเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะอยู่หลังม่านเหล็ก แต่จินตนาการก็ยังเบ่งบาน และ Tolkien ก็สามารถเดินทางข้ามอุดมการณ์ทางการเมืองไปสู่หัวใจของผู้อ่านทั่วโลกได้ ✅ การตีพิมพ์ The Hobbit ฉบับโซเวียตปี 1976 ➡️ ตีพิมพ์โดย Detskaya Literatura ในสหภาพโซเวียต ➡️ มีภาพประกอบโดย Mikhail Belomlinsky ศิลปินจาก St. Petersburg Academy of Fine Art ➡️ เป็นหนึ่งในฉบับแปลที่แปลกตาและมีเอกลักษณ์ที่สุด ✅ ลักษณะภาพประกอบที่โดดเด่น ➡️ สไตล์ภาพแม่นยำ เรียบง่าย แต่แฝงความน่ารักแบบการ์ตูน ➡️ Bilbo มีขนขาเยอะมาก และดูคล้ายคนธรรมดามากกว่าฮีโร่ ➡️ Gollum ดูเหมือนภูตผีมากกว่าตัวประหลาด ➡️ Gandalf ยิ้มกว้างในทุกฉาก ดูใจดีมากกว่าขรึม ✅ อิทธิพลทางวัฒนธรรม ➡️ Bilbo ถูกวาดโดยอิงจากนักแสดง Yevgeniy Leonov ➡️ สะท้อนการตีความตัวละครผ่านมุมมองของโซเวียต ➡️ เป็นตัวอย่างของการนำวรรณกรรมตะวันตกเข้าสู่บริบทของโลกตะวันออก ✅ ความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์ ➡️ แสดงให้เห็นว่าผลงานของ Tolkien สามารถข้ามพรมแดนทางการเมืองได้ ➡️ เป็นหลักฐานของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในยุคสงครามเย็น ➡️ เป็นหนึ่งในฉบับที่นักสะสมและนักวิชาการให้ความสนใจ ⛔ ภาพประกอบในฉบับนี้แตกต่างจากเวอร์ชันตะวันตกอย่างสิ้นเชิง ⛔ ตัวละครอาจดูแปลกหรือไม่ตรงกับจินตนาการของผู้อ่านยุคใหม่ https://mashable.com/archive/soviet-hobbit
    MASHABLE.COM
    Brilliant illustrations bring this 1976 Soviet edition of 'The Hobbit' to life
    Brilliant illustrations bring this 1976 Soviet edition of 'The Hobbit' to life
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก ตอนที่ 1

    (ของฝากสำหรับท่านผู้อ่านนิทาน เรื่องจิ๊กโก๋จบทุกตอนแล้ว)
    ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก (1)
    เพียงเพราะเศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างรวดเร็วเกิน(กว่าที่อเมริกา)คาด อเมริกาถึงกับฉุนขาด
    การ โตแบบนี้ ทำให้อเมริกา ยกระดับจีน ไปอยู่ในประเภทศัตรูรูปแบบใหม่ (New Enemy Image) แทนที่ศัตรูรูปแบบเก่าในยุค 2001 คือกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง หรือสหภาพโซเวียต ในยุคสงครามเย็น
    เป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษ ที่อเมริกา เมินผลประโยชน์ในเอเซียตะวันออก
    แต่หลังจากจีน ผงาดมาทาบรัศมี รัฐบาลโอบามา จึงได้เปลี่ยนยุทธศาสตร์ ปรับเข็มทิศหมุน กลับมาทางเอเซียแปซิฟิก พร้อมประกาศย้ำเตือนความจำชาวโลก ว่า
    อเมริกาคืออำนาจในแปซิฟิกและจะเป็นอยู่อย่างนี้ ตลอดไป (นายแน่มาก)
    การประกาศนี้ได้รับการเชียร์อย่างล้นหลาม จากบรรดา
    กองเชียร์ (หน้าม้า!) เช่น EU และ NATO
    ปี 2005 นาย Andrew Marshall กูรูผู้วางยุทธศาสตร์การทหารให้Pentagon มากว่า 40 ปี มีลูกศิษย์คนโปรดเช่น **** Cheney และ Donald Rumsfeld
    (ประเภทเดินไปไหน พรมขาด เพราะเขี้ยวลากทั้งน้าน!) ได้ทำรายงาน ถึง นาย
    Rumsfeld เรื่อง Energy Future in Asia
    น้ำมัน น้ำมัน มาแล้วครับ
    รายงาน อ้างว่า จีนสร้างสัมพันธ์กับประเทศ ที่อยู่ตามเส้นทางชายฝั่ง ไล่ไปจาก
    ตะวันออกกลาง ถึง ทะเลจีน ในลักษณะที่ท้ัง เป็นการปกป้องผลประโยชน์ของจีนเกี่ยวกับน้ำมัน ขณะเดียวกัน ก็ทำให้เกิดความแข็งแกร่งทางทหารกับจีนด้วย
    พฤติกรรมเช่นนี้ อเมริกาถือว่าเป็นการ ขัดขวาง ขวางทาง ผลประโยชน์ของอเมริกา
    ในเอเซียโดยตรง (ภาษาจิ๊กโก๋เรียกว่า เป็นก้างขวางคอ) โดยเฉพาะเกี่ยวกับการครอบครองแหล่งน้ำมัน ดังนั้นจำเป็นต้องมีการจัดระเบียบ แถวภูมิภาคนี้ใหม่ เพื่อเป็นการปิดกั้นจีน (Containment) แต่การปิดกั้นครั้งนี้ เรียกเสียหวานแหววเลย ว่า String of Pearl Strategy


    คนเล่านิทาน
    ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก ตอนที่ 1 (ของฝากสำหรับท่านผู้อ่านนิทาน เรื่องจิ๊กโก๋จบทุกตอนแล้ว) ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก (1) เพียงเพราะเศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างรวดเร็วเกิน(กว่าที่อเมริกา)คาด อเมริกาถึงกับฉุนขาด การ โตแบบนี้ ทำให้อเมริกา ยกระดับจีน ไปอยู่ในประเภทศัตรูรูปแบบใหม่ (New Enemy Image) แทนที่ศัตรูรูปแบบเก่าในยุค 2001 คือกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง หรือสหภาพโซเวียต ในยุคสงครามเย็น เป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษ ที่อเมริกา เมินผลประโยชน์ในเอเซียตะวันออก แต่หลังจากจีน ผงาดมาทาบรัศมี รัฐบาลโอบามา จึงได้เปลี่ยนยุทธศาสตร์ ปรับเข็มทิศหมุน กลับมาทางเอเซียแปซิฟิก พร้อมประกาศย้ำเตือนความจำชาวโลก ว่า อเมริกาคืออำนาจในแปซิฟิกและจะเป็นอยู่อย่างนี้ ตลอดไป (นายแน่มาก) การประกาศนี้ได้รับการเชียร์อย่างล้นหลาม จากบรรดา กองเชียร์ (หน้าม้า!) เช่น EU และ NATO ปี 2005 นาย Andrew Marshall กูรูผู้วางยุทธศาสตร์การทหารให้Pentagon มากว่า 40 ปี มีลูกศิษย์คนโปรดเช่น Dick Cheney และ Donald Rumsfeld (ประเภทเดินไปไหน พรมขาด เพราะเขี้ยวลากทั้งน้าน!) ได้ทำรายงาน ถึง นาย Rumsfeld เรื่อง Energy Future in Asia น้ำมัน น้ำมัน มาแล้วครับ รายงาน อ้างว่า จีนสร้างสัมพันธ์กับประเทศ ที่อยู่ตามเส้นทางชายฝั่ง ไล่ไปจาก ตะวันออกกลาง ถึง ทะเลจีน ในลักษณะที่ท้ัง เป็นการปกป้องผลประโยชน์ของจีนเกี่ยวกับน้ำมัน ขณะเดียวกัน ก็ทำให้เกิดความแข็งแกร่งทางทหารกับจีนด้วย พฤติกรรมเช่นนี้ อเมริกาถือว่าเป็นการ ขัดขวาง ขวางทาง ผลประโยชน์ของอเมริกา ในเอเซียโดยตรง (ภาษาจิ๊กโก๋เรียกว่า เป็นก้างขวางคอ) โดยเฉพาะเกี่ยวกับการครอบครองแหล่งน้ำมัน ดังนั้นจำเป็นต้องมีการจัดระเบียบ แถวภูมิภาคนี้ใหม่ เพื่อเป็นการปิดกั้นจีน (Containment) แต่การปิดกั้นครั้งนี้ เรียกเสียหวานแหววเลย ว่า String of Pearl Strategy คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว

  • ตอน 13
    มีคนมากระตุกแขนนิดๆ เอ! แล้ว พี่เบิ้มเขาทำไมเปลี๊ยนไป จากยุ่งกะสมันน้อยถึงขนาดเอาลงเปลเห่กล่อม แล้วช่วงนี้เขาหายไปไหนล่ะลุง ก็บอก แล้วไง พี่เบิ้มเขาเป็นจิ๊กโก๋๋ปากซอย ซอยไทยแลนด์นี้ เขาคุมเบ็ดเสร็จแล้ว วางแผนแล้วว่า ต้องมีวินมอเตอร์ไซด์ ตรงไหน คิวเป็นอย่างไร เขาไม่อยู่ใครดูแลแทน เส้นทางเป็นอย่างไร เก็บเงินอย่างไร ใครมาเบ่ง ตีหัวมันอย่างไร เจอสาวสวยนุ่งกระโปรงสั้นให้นั่งฟรีได้ไหม จัดไว้หมด ว่าแล้วก็ขยายไปดูซอยอื่น
    เวลาพี่เบิ้มเขาไปยุ่งกับภูมิภาคอื่น จะสังเกตง่าย ๆ ไปอยู่ที่ไหน ความ ฉ ห ก็เกิดขึ้นแถวนั้นแหละ เพราะอเมริกาหากินหรืออยู่ได้ด้วย 2 กรรมวิธี
    อย่างแรก ขโมยทรัพยากรชาวบ้าน (จิ๊กโก๋๋ขี้ขโมย)
    อย่างที่สอง สร้างสงครามเพื่อขายอาวุธ (จิ๊กโก๋๋ชวนตี)
    และทั้ง 2 เรื่อง มันก็โยงกัน
    ขบวนการก็ไม่ยาก หาเรื่องไปทะเลาะกับชาวบ้าน หรือหาเรื่องให้คนในบ้านทะเลาะกันเอง มีแค่นี้แหละ ดูไม่ยากหรอกเช่น กรณีสหภาพโซเวียต ก็ใช้วิธีปิดล้อมโซเวียต ยุโรปตะวันออก จนในที่สุดกำแพง เบอร์ลินทะลายในปี ค.ศ.1989
    สหภาพโซเวียตล่ม แตกกระจุย แล้วก็รบกันเอง จากเป็นสหภาพโซเวียต ท้ายสุดแตกเป็นหลายสิบประเทศ จนจำชื่อไม่ไหว เล่นเอาพี่เบิ้มผลิตอาวุธไป หัวร่อไป ขายแทบไม่ทัน
    สำหรับคุณอาแถวทะเลทราย พี่เบิ้มก็ยุแยง ทำให้แตกกัน วุ่นวายกัน ทะเลาะกันเองเพราะ พี่เบิ้มคิดจะขโมยน้ำมันเขา เลยใช้วิธีกล่าวหาว่าบ้านโน้นหักหลังบ้านนี้ บ้านนี้สะสมอาวุธ สารพัดจะโกหก
    แต่มันก็ได้ผลนะ อิหร่านรบกับอิรัก อิรักรบกับคูเวต อียิปต์ทะเลาะกับอิสราเอล อิสราเอลทะเลาะกับเลบานอน ซีเรียทะเลาะกันเอง ปาเลสไตน์ทะเลาะกับอิสราเอล ตุรกีทะเลาะกับอิหร่าน ตอนนี้อียิปต์กลับมาทะเลาะกันเองอีกฯลฯ
    เป็นไงฝีมือพี่เบิ้มไหม เข้าไปที่ไหนฉิบหายที่นั่น
    ยังไม่พอ เสือกต่อไปยุ่งแถวอเมริกาใต้ อาฟริกา วุ่นไปถึงอาฟกานิสถาน อันสุดท้ายนี้น่าสงสารมาก ประชาชนเขาจนจะตายอยู่แล้ว ยังไปทำให้เขาแตกแยก เพื่อฉวยโอกาสยึดทรัพยากรเขาอย่างหน้าด้านๆ ชั่วได้ใจจริงๆ
    ตัวอย่างที่เห็นชัดหมาดๆ คือ อิรัก หาว่าเขามีนิวเคลียร์ พี่เบิ้มยืนเท้ากระเอว ชี้นิ้วสั่งให้ UN ส่งคนไปตรวจไปดูเดี๋ยวนี้นะ CNN ก็ประโคมทำข่าวรายงานการตรวจทุกวัน แต่ผลปรากฏว่าไม่เจออะไรในก่อไผ่
    พี่เบิ้มเสียหน้า แก้เกี้ยว ยกทัพไปจับ ตั๊กกะแตนเองเลย รบไป 8 ปี อิรักฉิบหายทั้งประเทศ มีผู้ลี้ภัยหนีไปนอกประเทศ 4.7 ล้านคน (16% ของประชาชน)
    ประชาชนพลัดถิ่นในประเทศ 2.7 ล้านคน
    เด็ก 5 ล้านคน เป็นกำพร้า (35% ของประชาชน)
    เพียงเพราะจิ๊กโก๋๋อยากได้น้ำมันเขา แล้วไง ตอนยกทัพเข้าไปอ้างว่ามีอาวุธนิวเคลียร์ ผู้นำแบบซัดดัมข่มเหงประชาชน พอเก็บซัดดัมได้ ยึดเมืองเขาแล้วเจอไหม นิวเคลียร์ที่อ้างน่ะ เจอแต่บ่อน้ำมัน!
    แบบนี้มันน่าส่งพี่ตุ๊ดตู่ กะป้าธิดาไปทวงถามความเป็นธรรมให้ประชาชนอิรักซะให้เข็ด ! แล้วท่านผู้อ่านอย่าลืมไปหาเรื่องสงครามอิรักมาอ่านต่อเป็นอุทาหรณ์นะครับ  เผื่อมันจะมาเกิดแถวนี้จะได้รู้ว่าเรื่องจริงมันเป็นยังไง
    แล้วบ้านเราล่ะ พี่เบิ้มเขาใช้วิธีไหน เข้ามาเดินกร่างอยู่ในซอย!
    ขอพูดถึงอาฟกานิสถาน ต่ออีกหน่อย เพราะเป็นเหยื่อพี่เบิ้มที่นาสงสารมาก ถูกเอาประเทศเป็นสนามรบมาเกือบ 20 ปี จนบัดนี้ยังไม่เลิก ประชาชนก็จนลง จนลง อัฟกานิสถานได้ถูกระบุอยู่ในรายงานของเพนตากอน (Pentagon) ว่า เป็นประเทศที่มีแหล่งทรัพยากรแร่ธาตุสูงสุดที่ยังเหลืออยู่ในโลก (ก็ไอ้ที่มีๆ น่ะ พวกนักล่ามันเอาไปหมดแล้ว เหลือเจ้านี้หลุดตามาได้ ก็เพราะสภาพภูมิศาสตร์ของประเทศ)
    รัสเซียเข้าไปก่อน เพราะอยู่ใกล้กว่าพี่เบิ้มอเมริกา แบบนี้มันหักหน้ากันนี้หว่า จิ๊กโก๋๋จะทนได้ยังไง ว่าแล้วก็โดดเข้าไป ไอจะปกป้องยูเอง จากการคุกคามของรัสเซีย
    บทนี้คุ้นๆ ไหม แหม! คุณโดโนแวน เอ๊ย! จอห์น เวน มาเอง อีกแล้ว
    พี่เบิ้มลงทุนฝึกอาวุธให้ชาวอาฟกัน ต่อสู้กับรัสเซีย แถมส่งมือดีไปช่วย มือดีนั้นใคร ทายถูกไม่มีรางวัล .. มือดีก็คือ พี่บิน ลาเดน ไง เอ๊ะ อย่าทำเป็นงง พี่บินมาได้ไงกัน
    พี่บิน ลาเดน เป็นเศรษฐีอยู่ซาอุ มิตรรักของอเมริกาเขาไง ซี้ย่ำปึก ไอจะไปบุกที่ไหนยูไปด้วยไม๊ ไปไหนไปกัน พี่บินถึงได้รบเก่ง แถมรู้แกวรู้แนวการรบการจิ๊กโก๋๋หมด ก็จิ๊กโก๋๋ฝึกให้เขาเองนี่นะ อาวุธก็ส่งให้จะไปโทษใคร แล้วดันมาแตกคอกันเอง หักหลังกัน ซะหลังหักแต่ไม่รู้ใครหักกว่าใคร
    คงจำกันได้ ตอนพี่เบิ้มสั่งเก็บพี่บิน ภาพพี่บินหลังโดนถล่มยับที่บ้านลับ น่าขำมาก รูปถ่ายตอนตาย วางหน้ารูปถ่ายเหมือนตอนเป็นเปี๊ยบเลย เพียงแต่หน้าเยินกว่าเท่านั้น ไม่รู้มันจะหลอกใครกัน
    เล่าไป เล่ามา เกือบลืมเรื่องสำคัญ แร่ธาตุ ที่อาฟกานิสถานมีมาก คือโปแตส ยูเรเนียม และทองคำ 2 อย่างแรก เหมาะสำหรับทำอะไร เร็ว เข้าไปกดกูเกิลดู ก็รู้
    มันเหมาะสำหรับทำทุกอย่าง เป็นสารนำในการผลิตอุตสาหกรรมและที่สำคัญเหมาะสำหรับทำระเบิดครับผม
    แล้วใครล่ะ ผลิตอาวุธ ผลิตระเบิดขาย จนรวยล้น

    คนเล่านิทาน



    เป็นเอกสาร ต้ังแต่ปี 1951 เป็นรายงานการสนทนา ระหว่าง จอมพล ป สมัยเป็น
    นายกฯ กับ นาย Edwin Stanton ฑูดเอมริกา ประจำไทย ซึ่งฑูด มีไปถึงต้นสังกัด

    ดูจากเอกสาร เหมือนอเมริกามีความเป็นห่วงไทย ว่าจะมีน้ำมันไม่พอใช้
    ดูอีกที มันเป็นการมาล้วงตับเรา เพราะบอกให้ทางไทย แสดงรายละเอียดความต้องการของน้ำมัน ของหน่วยงานของเราแต่ละหน่วย แต่ความจรืงน่าจะเพราะ กลัวน้ำมันไปตกอยู่ในมือคอมมิวนิสต์มากกว่า

    สรุป น้ำมัน เป็นประเด็นใหญ่ของจิ๊กโก๋ ต้ังกะสมัยนั้น ถึงสมัยนี้ !?!
    ๑๓-๑
     ตอน 13 มีคนมากระตุกแขนนิดๆ เอ! แล้ว พี่เบิ้มเขาทำไมเปลี๊ยนไป จากยุ่งกะสมันน้อยถึงขนาดเอาลงเปลเห่กล่อม แล้วช่วงนี้เขาหายไปไหนล่ะลุง ก็บอก แล้วไง พี่เบิ้มเขาเป็นจิ๊กโก๋๋ปากซอย ซอยไทยแลนด์นี้ เขาคุมเบ็ดเสร็จแล้ว วางแผนแล้วว่า ต้องมีวินมอเตอร์ไซด์ ตรงไหน คิวเป็นอย่างไร เขาไม่อยู่ใครดูแลแทน เส้นทางเป็นอย่างไร เก็บเงินอย่างไร ใครมาเบ่ง ตีหัวมันอย่างไร เจอสาวสวยนุ่งกระโปรงสั้นให้นั่งฟรีได้ไหม จัดไว้หมด ว่าแล้วก็ขยายไปดูซอยอื่น เวลาพี่เบิ้มเขาไปยุ่งกับภูมิภาคอื่น จะสังเกตง่าย ๆ ไปอยู่ที่ไหน ความ ฉ ห ก็เกิดขึ้นแถวนั้นแหละ เพราะอเมริกาหากินหรืออยู่ได้ด้วย 2 กรรมวิธี อย่างแรก ขโมยทรัพยากรชาวบ้าน (จิ๊กโก๋๋ขี้ขโมย) อย่างที่สอง สร้างสงครามเพื่อขายอาวุธ (จิ๊กโก๋๋ชวนตี) และทั้ง 2 เรื่อง มันก็โยงกัน ขบวนการก็ไม่ยาก หาเรื่องไปทะเลาะกับชาวบ้าน หรือหาเรื่องให้คนในบ้านทะเลาะกันเอง มีแค่นี้แหละ ดูไม่ยากหรอกเช่น กรณีสหภาพโซเวียต ก็ใช้วิธีปิดล้อมโซเวียต ยุโรปตะวันออก จนในที่สุดกำแพง เบอร์ลินทะลายในปี ค.ศ.1989 สหภาพโซเวียตล่ม แตกกระจุย แล้วก็รบกันเอง จากเป็นสหภาพโซเวียต ท้ายสุดแตกเป็นหลายสิบประเทศ จนจำชื่อไม่ไหว เล่นเอาพี่เบิ้มผลิตอาวุธไป หัวร่อไป ขายแทบไม่ทัน สำหรับคุณอาแถวทะเลทราย พี่เบิ้มก็ยุแยง ทำให้แตกกัน วุ่นวายกัน ทะเลาะกันเองเพราะ พี่เบิ้มคิดจะขโมยน้ำมันเขา เลยใช้วิธีกล่าวหาว่าบ้านโน้นหักหลังบ้านนี้ บ้านนี้สะสมอาวุธ สารพัดจะโกหก แต่มันก็ได้ผลนะ อิหร่านรบกับอิรัก อิรักรบกับคูเวต อียิปต์ทะเลาะกับอิสราเอล อิสราเอลทะเลาะกับเลบานอน ซีเรียทะเลาะกันเอง ปาเลสไตน์ทะเลาะกับอิสราเอล ตุรกีทะเลาะกับอิหร่าน ตอนนี้อียิปต์กลับมาทะเลาะกันเองอีกฯลฯ เป็นไงฝีมือพี่เบิ้มไหม เข้าไปที่ไหนฉิบหายที่นั่น ยังไม่พอ เสือกต่อไปยุ่งแถวอเมริกาใต้ อาฟริกา วุ่นไปถึงอาฟกานิสถาน อันสุดท้ายนี้น่าสงสารมาก ประชาชนเขาจนจะตายอยู่แล้ว ยังไปทำให้เขาแตกแยก เพื่อฉวยโอกาสยึดทรัพยากรเขาอย่างหน้าด้านๆ ชั่วได้ใจจริงๆ ตัวอย่างที่เห็นชัดหมาดๆ คือ อิรัก หาว่าเขามีนิวเคลียร์ พี่เบิ้มยืนเท้ากระเอว ชี้นิ้วสั่งให้ UN ส่งคนไปตรวจไปดูเดี๋ยวนี้นะ CNN ก็ประโคมทำข่าวรายงานการตรวจทุกวัน แต่ผลปรากฏว่าไม่เจออะไรในก่อไผ่ พี่เบิ้มเสียหน้า แก้เกี้ยว ยกทัพไปจับ ตั๊กกะแตนเองเลย รบไป 8 ปี อิรักฉิบหายทั้งประเทศ มีผู้ลี้ภัยหนีไปนอกประเทศ 4.7 ล้านคน (16% ของประชาชน) ประชาชนพลัดถิ่นในประเทศ 2.7 ล้านคน เด็ก 5 ล้านคน เป็นกำพร้า (35% ของประชาชน) เพียงเพราะจิ๊กโก๋๋อยากได้น้ำมันเขา แล้วไง ตอนยกทัพเข้าไปอ้างว่ามีอาวุธนิวเคลียร์ ผู้นำแบบซัดดัมข่มเหงประชาชน พอเก็บซัดดัมได้ ยึดเมืองเขาแล้วเจอไหม นิวเคลียร์ที่อ้างน่ะ เจอแต่บ่อน้ำมัน! แบบนี้มันน่าส่งพี่ตุ๊ดตู่ กะป้าธิดาไปทวงถามความเป็นธรรมให้ประชาชนอิรักซะให้เข็ด ! แล้วท่านผู้อ่านอย่าลืมไปหาเรื่องสงครามอิรักมาอ่านต่อเป็นอุทาหรณ์นะครับ  เผื่อมันจะมาเกิดแถวนี้จะได้รู้ว่าเรื่องจริงมันเป็นยังไง แล้วบ้านเราล่ะ พี่เบิ้มเขาใช้วิธีไหน เข้ามาเดินกร่างอยู่ในซอย! ขอพูดถึงอาฟกานิสถาน ต่ออีกหน่อย เพราะเป็นเหยื่อพี่เบิ้มที่นาสงสารมาก ถูกเอาประเทศเป็นสนามรบมาเกือบ 20 ปี จนบัดนี้ยังไม่เลิก ประชาชนก็จนลง จนลง อัฟกานิสถานได้ถูกระบุอยู่ในรายงานของเพนตากอน (Pentagon) ว่า เป็นประเทศที่มีแหล่งทรัพยากรแร่ธาตุสูงสุดที่ยังเหลืออยู่ในโลก (ก็ไอ้ที่มีๆ น่ะ พวกนักล่ามันเอาไปหมดแล้ว เหลือเจ้านี้หลุดตามาได้ ก็เพราะสภาพภูมิศาสตร์ของประเทศ) รัสเซียเข้าไปก่อน เพราะอยู่ใกล้กว่าพี่เบิ้มอเมริกา แบบนี้มันหักหน้ากันนี้หว่า จิ๊กโก๋๋จะทนได้ยังไง ว่าแล้วก็โดดเข้าไป ไอจะปกป้องยูเอง จากการคุกคามของรัสเซีย บทนี้คุ้นๆ ไหม แหม! คุณโดโนแวน เอ๊ย! จอห์น เวน มาเอง อีกแล้ว พี่เบิ้มลงทุนฝึกอาวุธให้ชาวอาฟกัน ต่อสู้กับรัสเซีย แถมส่งมือดีไปช่วย มือดีนั้นใคร ทายถูกไม่มีรางวัล .. มือดีก็คือ พี่บิน ลาเดน ไง เอ๊ะ อย่าทำเป็นงง พี่บินมาได้ไงกัน พี่บิน ลาเดน เป็นเศรษฐีอยู่ซาอุ มิตรรักของอเมริกาเขาไง ซี้ย่ำปึก ไอจะไปบุกที่ไหนยูไปด้วยไม๊ ไปไหนไปกัน พี่บินถึงได้รบเก่ง แถมรู้แกวรู้แนวการรบการจิ๊กโก๋๋หมด ก็จิ๊กโก๋๋ฝึกให้เขาเองนี่นะ อาวุธก็ส่งให้จะไปโทษใคร แล้วดันมาแตกคอกันเอง หักหลังกัน ซะหลังหักแต่ไม่รู้ใครหักกว่าใคร คงจำกันได้ ตอนพี่เบิ้มสั่งเก็บพี่บิน ภาพพี่บินหลังโดนถล่มยับที่บ้านลับ น่าขำมาก รูปถ่ายตอนตาย วางหน้ารูปถ่ายเหมือนตอนเป็นเปี๊ยบเลย เพียงแต่หน้าเยินกว่าเท่านั้น ไม่รู้มันจะหลอกใครกัน เล่าไป เล่ามา เกือบลืมเรื่องสำคัญ แร่ธาตุ ที่อาฟกานิสถานมีมาก คือโปแตส ยูเรเนียม และทองคำ 2 อย่างแรก เหมาะสำหรับทำอะไร เร็ว เข้าไปกดกูเกิลดู ก็รู้ มันเหมาะสำหรับทำทุกอย่าง เป็นสารนำในการผลิตอุตสาหกรรมและที่สำคัญเหมาะสำหรับทำระเบิดครับผม แล้วใครล่ะ ผลิตอาวุธ ผลิตระเบิดขาย จนรวยล้น คนเล่านิทาน เป็นเอกสาร ต้ังแต่ปี 1951 เป็นรายงานการสนทนา ระหว่าง จอมพล ป สมัยเป็น นายกฯ กับ นาย Edwin Stanton ฑูดเอมริกา ประจำไทย ซึ่งฑูด มีไปถึงต้นสังกัด ดูจากเอกสาร เหมือนอเมริกามีความเป็นห่วงไทย ว่าจะมีน้ำมันไม่พอใช้ ดูอีกที มันเป็นการมาล้วงตับเรา เพราะบอกให้ทางไทย แสดงรายละเอียดความต้องการของน้ำมัน ของหน่วยงานของเราแต่ละหน่วย แต่ความจรืงน่าจะเพราะ กลัวน้ำมันไปตกอยู่ในมือคอมมิวนิสต์มากกว่า สรุป น้ำมัน เป็นประเด็นใหญ่ของจิ๊กโก๋ ต้ังกะสมัยนั้น ถึงสมัยนี้ !?! ๑๓-๑
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 271 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอน 1 :

    กำเนิดจิ๊กโก๋

    เรารู้จักบ้านเมืองเราแค่ไหน เคย ถามตัวเองกันบ้างไหมครับ

    แล้วเคยมีเวลานึกสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบ้านเมืองเราถึงเละขนาดนี้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษาและสังคม

    เรารู้จักบ้านเมืองของเรา แบบมักง่าย รู้จักผ่านมุมมอง และความคิดของสื่อ ทั้งสื่อไทย และสื่อเทศ และสื่อส่วนใหญ่ ก็ให้ข้อมูลข่าวสาร แบบฟอกย้อม จะโดยตั้งใจเพราะมีใบสั่ง หรือเพราะสมรรถนะของสื่อส่วนใหญ่ ต่ำถึงต่ำมาก แทบทั้งนั้น

    ข้อมูลอีกหลายส่วน ก็มาจากนักวิชาการ ที่ไม่ต่างกับสื่อ ถ้าไม่ขายตัว ก็อธิบายแบบท่องจำ จอแคบ จอแบนไม่มีมิติ มองมุมเดียว เพราะมันง่ายดี

    แล้วเราจะได้ความรู้ ความเข้าใจแบบไหนกัน นี่ยังไม่นับข้อมูลที่เกิดจาก การตอแหลของนักการเมือง และบรรดาข้าราชการ ที่ทำหน้าที่ขี้ข้านักการเมือง

    ซึ่งขอใช้คำว่า บัดซบ จึงจะตรงกับพฤติกรรม

    ตัวเราเองก็เลยติดนิสัย ที่จะมองอะไรแบบมักง่าย

    เมื่อเราไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง ก็ไม่มีความเข้าใจจริง แล้วจะหาทางออก จะแก้ปัญหาได้อย่างไร ยิ่งแก้ก็เลยยิ่งพันยุ่งเละเทะ เหมือนลิงแก้แห

    ทำไมเราไม่มาทำความเข้าใจ ทำความรู้จักบ้านเมืองของเราอย่างจริงจังก่อน ด้วยการศึกษาขวนขวายด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใช้แค่ตาดูหูฟังเอาจากสื่อจอแบน คำโกหกนักการเมืองหรือนักวิชาการ ประเภทมีความรู้เกินๆ ขาดๆ

    จะเข้าใจปัจจุบัน ก็ต้องรู้จักอดีตหรือประวัติศาสตร์ก่อน ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงว่า ต้นไม้ต้นไหนออกลูกเป็นพิษ

    แล้วก็อย่าทำตัวเป็นม้าแข่ง มองเห็นแต่ลู่วิ่งข้างหน้า หัดมองรอบตัว รู้จักเพื่อนบ้าน รู้จักโลกบ้าง ไม่ใช่จะมีแต่เธอ ฉัน ลูกเรา น้องหมา และน้ำเน่าในทีวี กับจิ้มข้อความไร้สาระ ส่งกันไปมาตามหน้าจอ ประเภท ส่ง 10 คน จะมีโชค

    ก่อนอื่นควรรู้จักโลกกว้างเสียก่อน ประเทศไทยไม่ใช่ตั้งอยู่โดด ๆ ประเทศเดียวเรามีเพื่อนบ้านร่วมทวีป ร่วมโลกอีกแยะ เรารู้จักเพื่อนร่วมโลก หรือ เพื่อนบ้านเราแค่ไหนกัน

    จะอยู่บ้านให้สบายใจ มันก็ควรจะรู้จักเสียหน่อยว่า ใครเป็นใครในซอย มีจิ๊กโก๋๋ยืนกร่าง เบ่งกล้ามอยู่ปากซอยหรือเปล่า ถ้ามีต้องรู้ว่ามันเป็นใคร ฝีไม้ลายมือขนาดไหน ของจริง หรือ ราคาคุย

    งั้นเรามาเริ่มต้น ด้วยการรู้จักจิ๊กโก๋๋ปากซอยกันซะหน่อยดีไหม รู้จักแล้ว จะได้รู้ว่าเราจะอยู่ในซอยนี้แบบไหน อยู่แบบตัวห่อหน้าเหี่ยว หรือ อยู่อย่างสบายใจ นี่บ้านกูนะ จะคบกับชาวซอยด้วยกันอย่าง ไร และแสดงท่าที หรือจัดการอย่างไรดีกับเจ้าจิ๊กโก๋๋ปากซอย

    และจะอ่านนิทานนี้ให้สนุก จะรู้จักโลกกว้าง ต้องรู้จักคาถาการครองโลก

    “อำนาจ คือ ทุน” และ “ทุน คือ อำนาจ”

    จำให้แม่น มันจะทำให้เราเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้

    ประเทศนี้ และทั้งหลาย ทั้งปวง ที่อยู่รอบตัวเราง่ายขึ้น

    สงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเพราะอะไร ประวัติศาสตร์ที่เขาเขียนให้เราเรียน สมัยเป็นนักเรียน เขาก็เขียนให้เราเข้าใจไปว่า มันเป็นเรื่องของการต้องการแผ่อำนาจของประเทศผู้รุกราน และประเทศผู้ถูกรุกรานก็จ๋อยสิ จำเป็นต้องสู้ หรือเข้าสู่สงครามกับเขาไปด้วย เพื่อเอาตัวรอด เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศตน

    แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นอย่างนั้นแน่หรือ กลับไปอ่านคาถาครองโลกข้างต้นสัก 10 เที่ยว แล้วอ่านนิทานนี้ต่อ อาจจะรู้จักประวัติศาสตร์ ในมุมมองใหม่

    สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 (ค.ศ.1934) จบเอาปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) รวมเวลา 6ปี ตลอดเวลาการสู้รบ เขาใช้ทวีปยุโรปและเอเซียเป็นสนามประลองกำลัง พอเสร็จสงคราม ฝ่ายผู้แพ้สงครามเช่น เยอรมันและญี่ปุ่น ก็ถูกน็อกคาสนามบอบช้ำฉิบหาย ตามประสาผู้แพ้ ส่วนฝ่ายสัมพันธ มิตรผู้ชนะสงครามเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ยุโรป รัสเซีย และแม้แต่จีน ก็ใช่ว่าจะไม่ยับไม่เยิน แต่ละรายดูไม่จืดเชียว ยืนพิงเชือกเกือบนับ 10 เกือบทั้งนั้น ….มีแต่อเมริกาเท่านั้นแหละ ที่โดนแค่สอยคาง เรือรบล่มไม่กี่ลำ ที่เพิร์ล ฮาเบอร์ (Pearl Harbor) ฮาวาย ส่วนบ้านตัวที่ทวีปอเมริกาปลอดภัยดี ไม่มีบุบไม่มีย่น… แค่นี้ทำเป็นยั๊วะ ถือโอกาสประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร (โอกาสทองมา แล้ว) เมื่อชนะสงครามอเมริกาจึงสถาปนาตนเองเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอย เป็นพี่เบิ้มดูแลโลกทั้งใบ นั่นไงมาแล้ว … จิ๊กโก๋๋ปากซอย!

    หลังจากการทำสงครามโลก เศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็ตกต่ำล่มจม ความแตกต่างทางสังคมเห็นชัดขึ้น เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนชัดเจน ไม่ต้องเอาแว่นมาขยาย ระบอบคอมมิวนิสต์ จึงเริ่มก่อตัวขึ้น ในบริเวณแถวรัสเซียและยุโรปตะวันออก เมื่อปี พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947)

    อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงกำหนดยุทธศาสตร์ปิดล้อม (Containment) ขึ้นมาและประกาศเป็นนโยบาย

    เรียกว่า Truman Doctrine โดยประธานาธิบดีแฮรี่ เอส ทรูแมน (Harry S Truman) (ดื้อ เหี้ยม!)

    เป้าหมายของยุทธศาสตร์นี้ หลักใหญ่มีแค่ 2 เรื่อง คือสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับอเมริกาและพวก กับกีดกันไม่ให้สหภาพโซเวียตมีโอกาสยื่นหน้า เข้ามาสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก นี่ล่ะธาตุแท้อเมริกา ร่วมรบด้วยกันมาดีๆ พอถึงเวลาไม่เป็นประชาธิปไตยตามแบบที่ตัวเองต้องการ ก็ออกอาการเหม็นหน้า อย่าเข้ามาใกล้นะ เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเขาติดโรคหมด

    Truman Doctrine นี้ อเมริกาจะใช้คนเดียวก็กลัวเหงา เลยจับประเทศแถวยุโรปมาเข้าร่วมโดย จัดตั้งเป็นองค์กรนาโต (NATO) ขึ้นมา ปัจจุบันมีทั้งหมด 28 ประเทศ กลุ่มประเทศที่ก่อตั้งและ/หรือเป็นประเทศหลักมี อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม แคนาดา เดนมาร์ก ไอซแลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ กรีซ ตุรกี และเยอรมัน อเมริกาใช้นาโตเป็นขนมล่อยุโรปให้ผูกติดอยู่กับอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้

    เริ่มเห็นฝีมือการแบ่งขนม แบ่งค่ายของอเมริกาหรือยัง

    สูตรยอดนิยมของอเมริกา ที่ใช้มาตลอดคือ ล่อให้เหยื่อมารวมตัวกัน (อยู่ในคอก) ก่อนจะได้ดูแลง่าย จำไว้ให้ดี

    ด้านหนึ่ง อเมริกาจะออกหน้า สนับสนุนให้มีการรวมตัวของประชาชาติในเรื่องต่างๆ แต่อีกด้านอเมริกาก็จะสร้างเรื่อง โดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้การรวมตัวนั้นมีปัญหา และแตกแยกกันเอง แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง เพื่อเป็นการเพิ่มบทบาทของพี่เบิ้ม ให้เป็นที่พึ่งพาขึ้นไปเรื่อยๆ (ต้นตำรับ value added! หรือจะเรียกให้ชัดคือ สร้างภาพ) ลองสังเกตดู

    พร้อมกับการเขยิบฐานะตัวเป็นพี่เบิ้ม อเมริกา ก็เริ่มทำตัวเป็นนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ แทนนักล่ารุ่นเก่าที่กำลังนอนเลียแผล

    ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นักล่าอาณานิคมตัวใหญ่แชมป์เก่าคือ อังกฤษ กร่างถึงขนาดประกาศว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกที่จักรภพอังกฤษ ตามมาติดๆคือ ฝรั่งเศส คู่แค้นของไทย กะจะเขมือบไทยมาตลอด วางแผนมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ที่อุกอาจสามานย์ ทำให้ไทยเจ็บช้ำจนกรมหลวงชุมพรฯ ต้องสักไว้ก็คือเหตุการณ์ ร.ศ.112 ในสมัยล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 5 หวังว่ายังคงจำกันได้ หรือรู้จักแต่ ม112

    นักล่า ที่มาเงียบๆ คอยเสียบ คอยเสี้ยม แล้วหยิบชิ้นปลามันคือ ฮอลันดา แต่นักล่า รุ่นเก๋าจริงๆ ต้องยกให้ สเปนและโปรตุเกศ แผนลึก อดทน และใจเย็น

    นักล่ายุคใหม่ ไม่ต้องการครอบครองดินแดน แบบนักล่ารุ่นเก่า แต่ต้องการกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์เช่นน้ำมัน และแร่ธาตุสารพัด ของประเทศที่อุดมทรัพยากร แต่ด้อยปัญญา ของประเทศที่ยังไม่พัฒนา โดยเฉพาะในแถบอาเซีย และตะวันออกกลางที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ในขณะที่แถวยุโรปเริ่มร่อยหรอ ส่วนอเมริกานั้นยังมีอยู่แยะ แต่งุบงิบแอบเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้

    อย่าเข้าใจผิดว่าการล่าอาณานิคมยุคใหม่ จะใช้วิธียกทัพจับศึก ยึดดินแดนกันอย่างเมื่อก่อน รุ่นใหม่ ยุคใหม่นี่เขาทำกันเนียน

    ส่วนเครื่องมือในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ เขาใช้ตามคาถายอดนิยม

    อำนาจ คือ ทุน และทุน คือ อำนาจ …

    ยังไม่เข้าใจใช่ไหม งั้นต้องอ่านต่อไป

    รบชนะมาหมาดๆ อำนาจล้นฟ้า บีบให้โลกยกย่องเป็นพี่เบิ้ม จะปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไปได้ยังไง พี่เบิ้มก็ต้องรีบเหยียด (มือยาวๆ อ้อมไปทั้งโลก โดยใช้วิธีการทั้งหลอก ทั้งล่อ เอาทุนนิยมมาล่อ เอาทุนเสรีมาจูง ให้ทุนมันเคลื่อนไหวอย่างเสรี ไม่มีอะไรมากักไง ไร้พรมแดนไงไม่ดีหรือ นายทุนก็ถลารับ แบบนี้มันก็ล้อมโลกได้โดยไม่รู้ตัวกัน คำว่าโลกาภิวัฒน์จึงเกิดขึ้น ชอบใช้กันนัก รู้ให้ทันแล้วกันว่าโลกาภิวัตน์ คืออะไร และเพื่อใคร

    ทุนนิยมเสรี มันเดินไปเองได้ที่ไหน ก็ต้องหาเครื่องมือให้ทุนมันเดินไปทั่วโลกได้ง่ายๆ เนียนๆ ดังนั้นหน่วย งานระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) ธนาคารโลก (World Bank) IMF WTO ฯลฯ และเหล่าบรรษัทข้ามชาติ ด้านการเงิน การค้า การอุตสาหกรรมต่างๆ จึงเกิดขึ้น หน่วยงานต่างๆ ดังกล่าว มีพี่เบิ้มและพวก เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้กำกับทั้งนั้น รู้กันไหม

    สหประชาชาติ (UN) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) จากแนวคิดของผู้ชนะสงครามคือ พี่เบิ้มและอังกฤษคู่หู คือ มีคณะมนตรีถาวร 5 ประเทศ ไม่บอกก็น่าจะเดาออกนะ ว่าใครบ้าง ก็ผู้ชนะสงคราม นั่นแหละคือ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน (เห็นรายชื่ออย่างนี้ อย่าเพิ่งแปลกใจ ตอนนั้น พี่เบิ้มเขายังวุ่นอยู่กับสร้างบทให้ตัวเองเป็นใหญ่ เลยยังไม่มีเวลา ไปไล่บี้ว่าที่คู่แข่งของตัว)

    ผู้ควักกระเป๋าจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของ UN ก็คือสมาชิก คงพอเดากันได้ว่าใครจ่ายเงินสนับสนุนUN สูงสุด ไม่น่าตอบผิดนะ ก็พี่เบิ้มอเมริกานั่นไง ไม่งั้นจะได้ตำแหน่งเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอยเหรอ

    ธนาคารโลก (World Bank) ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับ IMF (International Monetary Fund) ในปี พ.ศ.2487 (ค.ศ.1944) แน่นอน ก็จากแนวคิดของพี่เบิ้ม อเมริกาและอังกฤษอีกนั่นแหละ สำนักงานใหญ่ขอทั้ง 2 องค์กร ตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ดี ซี ของพี่เบิ้ม เงินสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิก แต่ผู้ที่ควักกระเป๋าหนักที่สุดก็ เหมือนเดิมคือ พี่เบิ้ม อเมริกา คิดกันต่อแล้วกันอย่างนี้ แปลว่า พี่เบิ้มใจดีชะมัดหรือพี่เบิ้มกำลังท่องคาถา อำนาจ คือ ทุน ทุน คือ อำนาจ…. ลงทุนจิ๊บจ๊อย เดี๋ยวก็ได้คืนทั้งโลก 555

    ไปเปิดอากู (Google) ดู แล้วกัน ประธานธนาคารโลกตั้งกะก่อตั้ง (ค.ศ.1946) มาจนถึงปัจจุบัน (ค.ศ.2016) เป็นคนสัญชาติอเมริกันทั้งหมด …อาจมีคนโวย ไม่ใช่นะ คนสุดท้าย เจ้าจิม ยอง คิม (Jim Yong Kim) เป็นเกาหลีต่างหาก …เป็นเกาหลีแต่ถือสัญชาติอเมริกันครับผม …อืม เริ่มเห็นภาพลางๆ บ้างหรือยัง ครับ

    อันที่จริงระบบทุนนิยมมีมานานแล้วนะ แต่การขยายตัวทำได้ช้า เพราะต้องพึ่งการคมนาคมและการสื่อสาร ดังนั้นทุนนิยมยุคโบราณจึงเดินทางโดยเรือ รถไฟ ม้า อูฐ และนกพิราบ (ฮา!) ก็ตอนนั้นยังไม่มีเครื่องบิน โทรเลข โทรศัพท์ มือถือ ดาวเทียม Swift 3จี 4จี Wi-Fi ฯลฯ อะไรนี่นะ

    ทุนนิยมโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขตดินแดน แต่ขึ้นกับศูนย์อำนาจในแต่ละช่วงเวลานั้น เช่น ฮอลันดาเป็นศูนย์ กลางของทุนนิยม สมัยศตวรรษที่ 17 ก็เล่นล่าตั้งกะอินโดนีเซียยันไปถึงอาฟริกา ต่อมาศูนย์อำนาจก็ย้ายไปอยู่ที่อังกฤษ เจ้าของคำกร่างว่า พระอาทิตย์ไม่ตกดินที่อังกฤษ จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เบิ้มอเมริกา ถึงได้ขึ้นแท่นเป็น นัมเบอร์วัน ของศูนย์อำนาจ ไชโย! ตาไอแล้ว

    อเมริกา คิดเรื่องระบบทุนนิยมและกลไก ที่จะทำให้ตนเป็นศูนย์อำนาจ มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

    แต่โอกาสยังไม่อำนวย หวยมาตกก็ตอนศูนย์อำนาจเก่าๆ พากันฉิบหาย หงายท้องหมด หลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 นี่แหละ อเมริกาถึงเสนอแผนจัดโครงสร้างระเบียบโลกเสียใหม่ (New World Order) โดยเน้นที่พลังทุนนิยม ก็เป็นเศรษฐีนี่ มีปัญหาไหม ไม่นิยมทุนแล้วจะให้นิยมอะไร

    …อย่าลืมคาถา ทุน คือ อำนาจ อำนาจ คือ ทุน ง่ายๆ ตรงไปตรงมา

    ไม่ว่าจะเรียก New World Order หรือ Pax Americana หรือคำอะไรให้มันดูหรูหราเข้าใจยากจริงๆ แล้วมันก็คือแผนการล่าอาณานิคมยุคใหม่นั่นเอง โดยใช้ระบบทุนนิยม นำหน้าในการล่า เดี๋ยวก็มาถึงทุนนิยมสามานย์น่าใจเย็นไว้โยม

    ทุนจะมีก็ต้องค้าขาย เงินไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนนะ จะค้าขายก็ต้องมีสินค้า สินค้ามาจากไหน มาจากการผลิต การผลิตต้องมีอะไรเป็นปัจจัย ต้องมีวัตถุดิบซีจ้ะ วัตถุดิบมาจากไหน ก็มาจากทรัพยากร ทรัพยากรมาจากไหน ก็ปล้นหรือต้มเขาเอาซีวุ้ย แหม กว่าจะโยงมาถึงคนเล่านิทานเกือบเป็นลม

    ดังนั้นนักสำรวจทรัพย์ของผู้อื่น ในคราบผู้เชี่ยวชาญ จึงเดินกันว่อน วิ่งกันพล่าน อุ๊ย ประเทศนี้ไอจองนะ ไอจะไปดูเอง เขาน่าสงสารนะ เห็นมีแต่ช้างเดินเต็มป่า วัวควายเต็มทุ่งนา

    ปี ค.ศ.1946 สงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกหมาดๆ อเมริกาส่งผู้เชี่ยวชาญ มาทำการสำรวจสถานะของประเทศไทยและสรุปว่า ไทยแลนด์ เป็นประเทศที่ยังมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และยังมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจดียิ่ง อย่างเหลือเชื่อ (อย่างเหลือเชื่อนี่ ผมเติมเองครับ เพราะอ่านแล้วเหลือเชื่อ นี่ขนาดบริหารกันไปแดกกันไป ยังแกร่งอย่างนี้เลยนะ ถ้าตั้งอกตั้งใจบริหาร แม่อีหนูเอ๊ย ลูกหลานเราคงเรียนฟรี ถนนคงปูด้วยทองคำ อย่างที่ ท่านอจ.ศึกฤทธิ์ว่าไว้จริงๆ นะ)

    รายงานฉบับดังกล่าว ทำให้อเมริกาน้ำลายเยิ้มเมื่อมองประเทศไทย ไม่ต่างกับที่โอบามา มองคุณนายเอ๋อเมื่อตอนมาสำรวจประเทศไทย เมื่อปลายปี พ.ศ.2555 นั่นแหละ

    แล้วทำอย่างไร อเมริกาถึงจะได้กินอาหารจานอร่อยชื่อ ไทยแลนด์ แดนสวรรค์ สยามเมืองยิ้ม

    ไม่ยาก อเมริกาใหญ่ผงาดมาขนาดนี้ ไม่ใช่ทำเป็นแค่ขี้ม้าไล่ยิงอินเดียนแดงออกจากถิ่นเก่าของเขานะวุ้ย

    คนเล่านิทาน
    ตอน 1 : กำเนิดจิ๊กโก๋ เรารู้จักบ้านเมืองเราแค่ไหน เคย ถามตัวเองกันบ้างไหมครับ แล้วเคยมีเวลานึกสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบ้านเมืองเราถึงเละขนาดนี้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษาและสังคม เรารู้จักบ้านเมืองของเรา แบบมักง่าย รู้จักผ่านมุมมอง และความคิดของสื่อ ทั้งสื่อไทย และสื่อเทศ และสื่อส่วนใหญ่ ก็ให้ข้อมูลข่าวสาร แบบฟอกย้อม จะโดยตั้งใจเพราะมีใบสั่ง หรือเพราะสมรรถนะของสื่อส่วนใหญ่ ต่ำถึงต่ำมาก แทบทั้งนั้น ข้อมูลอีกหลายส่วน ก็มาจากนักวิชาการ ที่ไม่ต่างกับสื่อ ถ้าไม่ขายตัว ก็อธิบายแบบท่องจำ จอแคบ จอแบนไม่มีมิติ มองมุมเดียว เพราะมันง่ายดี แล้วเราจะได้ความรู้ ความเข้าใจแบบไหนกัน นี่ยังไม่นับข้อมูลที่เกิดจาก การตอแหลของนักการเมือง และบรรดาข้าราชการ ที่ทำหน้าที่ขี้ข้านักการเมือง ซึ่งขอใช้คำว่า บัดซบ จึงจะตรงกับพฤติกรรม ตัวเราเองก็เลยติดนิสัย ที่จะมองอะไรแบบมักง่าย เมื่อเราไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง ก็ไม่มีความเข้าใจจริง แล้วจะหาทางออก จะแก้ปัญหาได้อย่างไร ยิ่งแก้ก็เลยยิ่งพันยุ่งเละเทะ เหมือนลิงแก้แห ทำไมเราไม่มาทำความเข้าใจ ทำความรู้จักบ้านเมืองของเราอย่างจริงจังก่อน ด้วยการศึกษาขวนขวายด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใช้แค่ตาดูหูฟังเอาจากสื่อจอแบน คำโกหกนักการเมืองหรือนักวิชาการ ประเภทมีความรู้เกินๆ ขาดๆ จะเข้าใจปัจจุบัน ก็ต้องรู้จักอดีตหรือประวัติศาสตร์ก่อน ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงว่า ต้นไม้ต้นไหนออกลูกเป็นพิษ แล้วก็อย่าทำตัวเป็นม้าแข่ง มองเห็นแต่ลู่วิ่งข้างหน้า หัดมองรอบตัว รู้จักเพื่อนบ้าน รู้จักโลกบ้าง ไม่ใช่จะมีแต่เธอ ฉัน ลูกเรา น้องหมา และน้ำเน่าในทีวี กับจิ้มข้อความไร้สาระ ส่งกันไปมาตามหน้าจอ ประเภท ส่ง 10 คน จะมีโชค ก่อนอื่นควรรู้จักโลกกว้างเสียก่อน ประเทศไทยไม่ใช่ตั้งอยู่โดด ๆ ประเทศเดียวเรามีเพื่อนบ้านร่วมทวีป ร่วมโลกอีกแยะ เรารู้จักเพื่อนร่วมโลก หรือ เพื่อนบ้านเราแค่ไหนกัน จะอยู่บ้านให้สบายใจ มันก็ควรจะรู้จักเสียหน่อยว่า ใครเป็นใครในซอย มีจิ๊กโก๋๋ยืนกร่าง เบ่งกล้ามอยู่ปากซอยหรือเปล่า ถ้ามีต้องรู้ว่ามันเป็นใคร ฝีไม้ลายมือขนาดไหน ของจริง หรือ ราคาคุย งั้นเรามาเริ่มต้น ด้วยการรู้จักจิ๊กโก๋๋ปากซอยกันซะหน่อยดีไหม รู้จักแล้ว จะได้รู้ว่าเราจะอยู่ในซอยนี้แบบไหน อยู่แบบตัวห่อหน้าเหี่ยว หรือ อยู่อย่างสบายใจ นี่บ้านกูนะ จะคบกับชาวซอยด้วยกันอย่าง ไร และแสดงท่าที หรือจัดการอย่างไรดีกับเจ้าจิ๊กโก๋๋ปากซอย และจะอ่านนิทานนี้ให้สนุก จะรู้จักโลกกว้าง ต้องรู้จักคาถาการครองโลก “อำนาจ คือ ทุน” และ “ทุน คือ อำนาจ” จำให้แม่น มันจะทำให้เราเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ ประเทศนี้ และทั้งหลาย ทั้งปวง ที่อยู่รอบตัวเราง่ายขึ้น สงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเพราะอะไร ประวัติศาสตร์ที่เขาเขียนให้เราเรียน สมัยเป็นนักเรียน เขาก็เขียนให้เราเข้าใจไปว่า มันเป็นเรื่องของการต้องการแผ่อำนาจของประเทศผู้รุกราน และประเทศผู้ถูกรุกรานก็จ๋อยสิ จำเป็นต้องสู้ หรือเข้าสู่สงครามกับเขาไปด้วย เพื่อเอาตัวรอด เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศตน แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นอย่างนั้นแน่หรือ กลับไปอ่านคาถาครองโลกข้างต้นสัก 10 เที่ยว แล้วอ่านนิทานนี้ต่อ อาจจะรู้จักประวัติศาสตร์ ในมุมมองใหม่ สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 (ค.ศ.1934) จบเอาปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) รวมเวลา 6ปี ตลอดเวลาการสู้รบ เขาใช้ทวีปยุโรปและเอเซียเป็นสนามประลองกำลัง พอเสร็จสงคราม ฝ่ายผู้แพ้สงครามเช่น เยอรมันและญี่ปุ่น ก็ถูกน็อกคาสนามบอบช้ำฉิบหาย ตามประสาผู้แพ้ ส่วนฝ่ายสัมพันธ มิตรผู้ชนะสงครามเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ยุโรป รัสเซีย และแม้แต่จีน ก็ใช่ว่าจะไม่ยับไม่เยิน แต่ละรายดูไม่จืดเชียว ยืนพิงเชือกเกือบนับ 10 เกือบทั้งนั้น ….มีแต่อเมริกาเท่านั้นแหละ ที่โดนแค่สอยคาง เรือรบล่มไม่กี่ลำ ที่เพิร์ล ฮาเบอร์ (Pearl Harbor) ฮาวาย ส่วนบ้านตัวที่ทวีปอเมริกาปลอดภัยดี ไม่มีบุบไม่มีย่น… แค่นี้ทำเป็นยั๊วะ ถือโอกาสประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร (โอกาสทองมา แล้ว) เมื่อชนะสงครามอเมริกาจึงสถาปนาตนเองเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอย เป็นพี่เบิ้มดูแลโลกทั้งใบ นั่นไงมาแล้ว … จิ๊กโก๋๋ปากซอย! หลังจากการทำสงครามโลก เศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็ตกต่ำล่มจม ความแตกต่างทางสังคมเห็นชัดขึ้น เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนชัดเจน ไม่ต้องเอาแว่นมาขยาย ระบอบคอมมิวนิสต์ จึงเริ่มก่อตัวขึ้น ในบริเวณแถวรัสเซียและยุโรปตะวันออก เมื่อปี พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947) อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงกำหนดยุทธศาสตร์ปิดล้อม (Containment) ขึ้นมาและประกาศเป็นนโยบาย เรียกว่า Truman Doctrine โดยประธานาธิบดีแฮรี่ เอส ทรูแมน (Harry S Truman) (ดื้อ เหี้ยม!) เป้าหมายของยุทธศาสตร์นี้ หลักใหญ่มีแค่ 2 เรื่อง คือสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับอเมริกาและพวก กับกีดกันไม่ให้สหภาพโซเวียตมีโอกาสยื่นหน้า เข้ามาสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก นี่ล่ะธาตุแท้อเมริกา ร่วมรบด้วยกันมาดีๆ พอถึงเวลาไม่เป็นประชาธิปไตยตามแบบที่ตัวเองต้องการ ก็ออกอาการเหม็นหน้า อย่าเข้ามาใกล้นะ เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเขาติดโรคหมด Truman Doctrine นี้ อเมริกาจะใช้คนเดียวก็กลัวเหงา เลยจับประเทศแถวยุโรปมาเข้าร่วมโดย จัดตั้งเป็นองค์กรนาโต (NATO) ขึ้นมา ปัจจุบันมีทั้งหมด 28 ประเทศ กลุ่มประเทศที่ก่อตั้งและ/หรือเป็นประเทศหลักมี อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม แคนาดา เดนมาร์ก ไอซแลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ กรีซ ตุรกี และเยอรมัน อเมริกาใช้นาโตเป็นขนมล่อยุโรปให้ผูกติดอยู่กับอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้ เริ่มเห็นฝีมือการแบ่งขนม แบ่งค่ายของอเมริกาหรือยัง สูตรยอดนิยมของอเมริกา ที่ใช้มาตลอดคือ ล่อให้เหยื่อมารวมตัวกัน (อยู่ในคอก) ก่อนจะได้ดูแลง่าย จำไว้ให้ดี ด้านหนึ่ง อเมริกาจะออกหน้า สนับสนุนให้มีการรวมตัวของประชาชาติในเรื่องต่างๆ แต่อีกด้านอเมริกาก็จะสร้างเรื่อง โดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้การรวมตัวนั้นมีปัญหา และแตกแยกกันเอง แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง เพื่อเป็นการเพิ่มบทบาทของพี่เบิ้ม ให้เป็นที่พึ่งพาขึ้นไปเรื่อยๆ (ต้นตำรับ value added! หรือจะเรียกให้ชัดคือ สร้างภาพ) ลองสังเกตดู พร้อมกับการเขยิบฐานะตัวเป็นพี่เบิ้ม อเมริกา ก็เริ่มทำตัวเป็นนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ แทนนักล่ารุ่นเก่าที่กำลังนอนเลียแผล ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นักล่าอาณานิคมตัวใหญ่แชมป์เก่าคือ อังกฤษ กร่างถึงขนาดประกาศว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกที่จักรภพอังกฤษ ตามมาติดๆคือ ฝรั่งเศส คู่แค้นของไทย กะจะเขมือบไทยมาตลอด วางแผนมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ที่อุกอาจสามานย์ ทำให้ไทยเจ็บช้ำจนกรมหลวงชุมพรฯ ต้องสักไว้ก็คือเหตุการณ์ ร.ศ.112 ในสมัยล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 5 หวังว่ายังคงจำกันได้ หรือรู้จักแต่ ม112 นักล่า ที่มาเงียบๆ คอยเสียบ คอยเสี้ยม แล้วหยิบชิ้นปลามันคือ ฮอลันดา แต่นักล่า รุ่นเก๋าจริงๆ ต้องยกให้ สเปนและโปรตุเกศ แผนลึก อดทน และใจเย็น นักล่ายุคใหม่ ไม่ต้องการครอบครองดินแดน แบบนักล่ารุ่นเก่า แต่ต้องการกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์เช่นน้ำมัน และแร่ธาตุสารพัด ของประเทศที่อุดมทรัพยากร แต่ด้อยปัญญา ของประเทศที่ยังไม่พัฒนา โดยเฉพาะในแถบอาเซีย และตะวันออกกลางที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ในขณะที่แถวยุโรปเริ่มร่อยหรอ ส่วนอเมริกานั้นยังมีอยู่แยะ แต่งุบงิบแอบเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้ อย่าเข้าใจผิดว่าการล่าอาณานิคมยุคใหม่ จะใช้วิธียกทัพจับศึก ยึดดินแดนกันอย่างเมื่อก่อน รุ่นใหม่ ยุคใหม่นี่เขาทำกันเนียน ส่วนเครื่องมือในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ เขาใช้ตามคาถายอดนิยม อำนาจ คือ ทุน และทุน คือ อำนาจ … ยังไม่เข้าใจใช่ไหม งั้นต้องอ่านต่อไป รบชนะมาหมาดๆ อำนาจล้นฟ้า บีบให้โลกยกย่องเป็นพี่เบิ้ม จะปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไปได้ยังไง พี่เบิ้มก็ต้องรีบเหยียด (มือยาวๆ อ้อมไปทั้งโลก โดยใช้วิธีการทั้งหลอก ทั้งล่อ เอาทุนนิยมมาล่อ เอาทุนเสรีมาจูง ให้ทุนมันเคลื่อนไหวอย่างเสรี ไม่มีอะไรมากักไง ไร้พรมแดนไงไม่ดีหรือ นายทุนก็ถลารับ แบบนี้มันก็ล้อมโลกได้โดยไม่รู้ตัวกัน คำว่าโลกาภิวัฒน์จึงเกิดขึ้น ชอบใช้กันนัก รู้ให้ทันแล้วกันว่าโลกาภิวัตน์ คืออะไร และเพื่อใคร ทุนนิยมเสรี มันเดินไปเองได้ที่ไหน ก็ต้องหาเครื่องมือให้ทุนมันเดินไปทั่วโลกได้ง่ายๆ เนียนๆ ดังนั้นหน่วย งานระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) ธนาคารโลก (World Bank) IMF WTO ฯลฯ และเหล่าบรรษัทข้ามชาติ ด้านการเงิน การค้า การอุตสาหกรรมต่างๆ จึงเกิดขึ้น หน่วยงานต่างๆ ดังกล่าว มีพี่เบิ้มและพวก เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้กำกับทั้งนั้น รู้กันไหม สหประชาชาติ (UN) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) จากแนวคิดของผู้ชนะสงครามคือ พี่เบิ้มและอังกฤษคู่หู คือ มีคณะมนตรีถาวร 5 ประเทศ ไม่บอกก็น่าจะเดาออกนะ ว่าใครบ้าง ก็ผู้ชนะสงคราม นั่นแหละคือ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน (เห็นรายชื่ออย่างนี้ อย่าเพิ่งแปลกใจ ตอนนั้น พี่เบิ้มเขายังวุ่นอยู่กับสร้างบทให้ตัวเองเป็นใหญ่ เลยยังไม่มีเวลา ไปไล่บี้ว่าที่คู่แข่งของตัว) ผู้ควักกระเป๋าจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของ UN ก็คือสมาชิก คงพอเดากันได้ว่าใครจ่ายเงินสนับสนุนUN สูงสุด ไม่น่าตอบผิดนะ ก็พี่เบิ้มอเมริกานั่นไง ไม่งั้นจะได้ตำแหน่งเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอยเหรอ ธนาคารโลก (World Bank) ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับ IMF (International Monetary Fund) ในปี พ.ศ.2487 (ค.ศ.1944) แน่นอน ก็จากแนวคิดของพี่เบิ้ม อเมริกาและอังกฤษอีกนั่นแหละ สำนักงานใหญ่ขอทั้ง 2 องค์กร ตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ดี ซี ของพี่เบิ้ม เงินสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิก แต่ผู้ที่ควักกระเป๋าหนักที่สุดก็ เหมือนเดิมคือ พี่เบิ้ม อเมริกา คิดกันต่อแล้วกันอย่างนี้ แปลว่า พี่เบิ้มใจดีชะมัดหรือพี่เบิ้มกำลังท่องคาถา อำนาจ คือ ทุน ทุน คือ อำนาจ…. ลงทุนจิ๊บจ๊อย เดี๋ยวก็ได้คืนทั้งโลก 555 ไปเปิดอากู (Google) ดู แล้วกัน ประธานธนาคารโลกตั้งกะก่อตั้ง (ค.ศ.1946) มาจนถึงปัจจุบัน (ค.ศ.2016) เป็นคนสัญชาติอเมริกันทั้งหมด …อาจมีคนโวย ไม่ใช่นะ คนสุดท้าย เจ้าจิม ยอง คิม (Jim Yong Kim) เป็นเกาหลีต่างหาก …เป็นเกาหลีแต่ถือสัญชาติอเมริกันครับผม …อืม เริ่มเห็นภาพลางๆ บ้างหรือยัง ครับ อันที่จริงระบบทุนนิยมมีมานานแล้วนะ แต่การขยายตัวทำได้ช้า เพราะต้องพึ่งการคมนาคมและการสื่อสาร ดังนั้นทุนนิยมยุคโบราณจึงเดินทางโดยเรือ รถไฟ ม้า อูฐ และนกพิราบ (ฮา!) ก็ตอนนั้นยังไม่มีเครื่องบิน โทรเลข โทรศัพท์ มือถือ ดาวเทียม Swift 3จี 4จี Wi-Fi ฯลฯ อะไรนี่นะ ทุนนิยมโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขตดินแดน แต่ขึ้นกับศูนย์อำนาจในแต่ละช่วงเวลานั้น เช่น ฮอลันดาเป็นศูนย์ กลางของทุนนิยม สมัยศตวรรษที่ 17 ก็เล่นล่าตั้งกะอินโดนีเซียยันไปถึงอาฟริกา ต่อมาศูนย์อำนาจก็ย้ายไปอยู่ที่อังกฤษ เจ้าของคำกร่างว่า พระอาทิตย์ไม่ตกดินที่อังกฤษ จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เบิ้มอเมริกา ถึงได้ขึ้นแท่นเป็น นัมเบอร์วัน ของศูนย์อำนาจ ไชโย! ตาไอแล้ว อเมริกา คิดเรื่องระบบทุนนิยมและกลไก ที่จะทำให้ตนเป็นศูนย์อำนาจ มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่โอกาสยังไม่อำนวย หวยมาตกก็ตอนศูนย์อำนาจเก่าๆ พากันฉิบหาย หงายท้องหมด หลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 นี่แหละ อเมริกาถึงเสนอแผนจัดโครงสร้างระเบียบโลกเสียใหม่ (New World Order) โดยเน้นที่พลังทุนนิยม ก็เป็นเศรษฐีนี่ มีปัญหาไหม ไม่นิยมทุนแล้วจะให้นิยมอะไร …อย่าลืมคาถา ทุน คือ อำนาจ อำนาจ คือ ทุน ง่ายๆ ตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเรียก New World Order หรือ Pax Americana หรือคำอะไรให้มันดูหรูหราเข้าใจยากจริงๆ แล้วมันก็คือแผนการล่าอาณานิคมยุคใหม่นั่นเอง โดยใช้ระบบทุนนิยม นำหน้าในการล่า เดี๋ยวก็มาถึงทุนนิยมสามานย์น่าใจเย็นไว้โยม ทุนจะมีก็ต้องค้าขาย เงินไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนนะ จะค้าขายก็ต้องมีสินค้า สินค้ามาจากไหน มาจากการผลิต การผลิตต้องมีอะไรเป็นปัจจัย ต้องมีวัตถุดิบซีจ้ะ วัตถุดิบมาจากไหน ก็มาจากทรัพยากร ทรัพยากรมาจากไหน ก็ปล้นหรือต้มเขาเอาซีวุ้ย แหม กว่าจะโยงมาถึงคนเล่านิทานเกือบเป็นลม ดังนั้นนักสำรวจทรัพย์ของผู้อื่น ในคราบผู้เชี่ยวชาญ จึงเดินกันว่อน วิ่งกันพล่าน อุ๊ย ประเทศนี้ไอจองนะ ไอจะไปดูเอง เขาน่าสงสารนะ เห็นมีแต่ช้างเดินเต็มป่า วัวควายเต็มทุ่งนา ปี ค.ศ.1946 สงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกหมาดๆ อเมริกาส่งผู้เชี่ยวชาญ มาทำการสำรวจสถานะของประเทศไทยและสรุปว่า ไทยแลนด์ เป็นประเทศที่ยังมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และยังมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจดียิ่ง อย่างเหลือเชื่อ (อย่างเหลือเชื่อนี่ ผมเติมเองครับ เพราะอ่านแล้วเหลือเชื่อ นี่ขนาดบริหารกันไปแดกกันไป ยังแกร่งอย่างนี้เลยนะ ถ้าตั้งอกตั้งใจบริหาร แม่อีหนูเอ๊ย ลูกหลานเราคงเรียนฟรี ถนนคงปูด้วยทองคำ อย่างที่ ท่านอจ.ศึกฤทธิ์ว่าไว้จริงๆ นะ) รายงานฉบับดังกล่าว ทำให้อเมริกาน้ำลายเยิ้มเมื่อมองประเทศไทย ไม่ต่างกับที่โอบามา มองคุณนายเอ๋อเมื่อตอนมาสำรวจประเทศไทย เมื่อปลายปี พ.ศ.2555 นั่นแหละ แล้วทำอย่างไร อเมริกาถึงจะได้กินอาหารจานอร่อยชื่อ ไทยแลนด์ แดนสวรรค์ สยามเมืองยิ้ม ไม่ยาก อเมริกาใหญ่ผงาดมาขนาดนี้ ไม่ใช่ทำเป็นแค่ขี้ม้าไล่ยิงอินเดียนแดงออกจากถิ่นเก่าของเขานะวุ้ย คนเล่านิทาน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 461 มุมมอง 0 รีวิว
  • st. isaac’s cathedral
    มหาวิหารขนาดใหญ่ใจกลางเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย
    เป็น 1 ในวิหารโดมทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิกและโดมทองอร่ามที่มองเห็นได้จากทั่วเมือง

    ไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาด:

    * ภายในประดับด้วยหินอ่อน หินมัลไลต์ และภาพโมเสกอันวิจิตร
    * บันได 262 ขั้นสู่จุดชมวิวบนโดม มองเห็นวิวเมืองแบบพาโนรามา
    * สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 ใช้เวลาก่อสร้างกว่า 40 ปี
    * เคยใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ในยุคโซเวียต และยังคงเปิดให้เข้าชมจนถึงปัจจุบัน

    ตั้งอยู่ในจัตุรัส st. isaac ใกล้แม่น้ำนีวา
    เปิดให้เข้าชมทุกวัน (บางช่วงอาจปิดปรับปรุง)
    มีค่าเข้าชม (และมีส่วนของ observation deck แยกต่างหาก)

    #stisaacscathedral #saintpetersburg #รัสเซียน่าเที่ยว #โบสถ์โดมทอง #วิหารรัสเซีย #etwรัสเซีย
    ⛪ st. isaac’s cathedral มหาวิหารขนาดใหญ่ใจกลางเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย 🇷🇺 เป็น 1 ในวิหารโดมทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิกและโดมทองอร่ามที่มองเห็นได้จากทั่วเมือง 🌟 ไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาด: * ภายในประดับด้วยหินอ่อน หินมัลไลต์ และภาพโมเสกอันวิจิตร * บันได 262 ขั้นสู่จุดชมวิวบนโดม มองเห็นวิวเมืองแบบพาโนรามา * สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 ใช้เวลาก่อสร้างกว่า 40 ปี * เคยใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ในยุคโซเวียต และยังคงเปิดให้เข้าชมจนถึงปัจจุบัน 📍 ตั้งอยู่ในจัตุรัส st. isaac ใกล้แม่น้ำนีวา ⏰ เปิดให้เข้าชมทุกวัน (บางช่วงอาจปิดปรับปรุง) 🎫 มีค่าเข้าชม (และมีส่วนของ observation deck แยกต่างหาก) #stisaacscathedral #saintpetersburg #รัสเซียน่าเที่ยว #โบสถ์โดมทอง #วิหารรัสเซีย #etwรัสเซีย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถาบันยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ International Institute for Strategic Studies (IISS) แห่งสหราชอาณาจักร ระบุไว้เมื่อต้นปี 2025 ขณะเผยแพร่รายงานเกี่ยวกับจำนวนกำลังพลของกองทัพทั่วโลก ว่า ไทยมี “กองทัพขนาดใหญ่และได้รับงบประมาณสนับสนุนอย่างดี"

    งบประมาณกลาโหมของไทยในปีนี้ อยู่ที่ประมาณ 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ กัมพูชา มีงบประมาณต่ำกว่ามาก อยู่ที่เพียง 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามรายงานของ IISS

    1. กองทัพอากาศ
    IISS ระบุว่า “กองทัพอากาศของไทย ถือเป็นหนึ่งในกองทัพอากาศที่มีอุปกรณ์และการฝึกอบรมดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

    ณ ต้นปี 2025 ไทยมี เครื่องบินรบที่พร้อมปฏิบัติการ 112 ลำ รวมถึง F-16 จำนวน 46 ลำ (หลายรุ่น)

    นอกจากนี้ ไทยยังมี เครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 4 แบบ Gripen ของสวีเดน จำนวนหนึ่ง
    แม้ Gripen และ F-16 จะไม่ใช่เครื่องบินรุ่นที่ 5 (เช่น F-35 หรือ F-22) แต่ถ้าบำรุงรักษาอย่างดี ก็ถือว่ามีขีดความสามารถสูง

    ไทยกำลังทยอยปลดประจำการ F-16 รุ่นเก่า และเพิ่มจำนวน Gripen แทน
    กองทัพอากาศไทยที่มีกำลังพลประมาณ 46,000 นาย ยังมี เครื่องบินเตือนภัยล่วงหน้าแบบ Erieye 2 ลำ ซึ่งทำงานร่วมกับ Gripen

    กัมพูชาไม่มีเครื่องบินขับไล่ ภายใต้กองทัพอากาศขนาดเล็กเพียง 1,500 นาย แต่มี เฮลิคอปเตอร์ 26 ลำ หลายประเภท

    จอห์น เฮมมิงส์ รองผู้อำนวยการด้านภูมิรัฐศาสตร์แห่งสถาบัน Council on Geostrategy สหราชอาณาจักร กล่าวว่า:

    “กองทัพอากาศไทยมี F-16 จากสหรัฐฯ ซึ่งใช้โจมตีเป้าหมายทางทหารของกัมพูชาเมื่อวันพุธโดยไม่มีแรงต้าน ขณะที่กัมพูชาไม่มีเครื่องบินขับไล่ประจำการเลย”

    2. กองทัพบกและกองทัพเรือ
    ตามข้อมูลจาก IISS:

    กองทัพบกกัมพูชา มีทหารประมาณ 75,000 นาย และ รถถังราว 200 คัน

    ในจำนวนนี้มี รถถังหลักประมาณ 50 คัน เป็นรุ่น T-54 ของจีน (ซึ่งพัฒนาจากโซเวียตรุ่น T-54)

    อีก 150 คันขึ้นไป เป็นรถถังรุ่น T-54 และ T-55 (รุ่นเก่าจากยุค 1950)

    กัมพูชายังมี รถรบทหารราบแบบ BMP-1 จำนวน 70 คัน ซึ่งเป็นรถสะเทินน้ำสะเทินบกรุ่นโซเวียตที่เคยถูกใช้ในยุโรปตะวันออกโดยรัสเซียและยูเครน

    กองทัพบกไทย มีทหารประจำการ 130,000 นาย และมีเกณฑ์ทหารเพิ่มใกล้เคียงอีกจำนวนหนึ่ง

    มีรถถังหลักประมาณ 400 คัน ส่วนใหญ่เป็นรถถังสัญชาติสหรัฐฯ รุ่นเก่า

    ไทยยังมี เรือบรรทุกเครื่องบิน 1 ลำ และ เรือฟริเกต 7 ลำ

    กัมพูชาไม่มีเรือรบ หรือกองทัพเรือในเชิงยุทธศาสตร์

    เฮมมิงส์ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า:

    “ไทยมีรถถังหลักที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาค เช่น VT4 จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ขณะที่กัมพูชายังคงใช้ T-54 จากยุคปี 1950 เป็นหลัก”

    ทั้งสองประเทศมีอาวุธปืนใหญ่ในรูปแบบต่าง ๆ:

    ระบบจรวดนำวิถีแบบติดตั้งบนรถยนต์

    ปืนใหญ่ลากจูงทั่วไป

    “ระบบของกัมพูชาส่วนใหญ่ยังคงใช้ของเก่า เช่น BM-21 จากยุคสงครามเย็น และมีระบบจากจีนยุค 1990 ปะปนอยู่เล็กน้อย
    ส่วนของไทย มีส่วนผสมของระบบจากสหรัฐฯ อิสราเอล และจีน ซึ่งบางระบบเป็นของใหม่กว่า”

    ที่มา : How Thailand and Cambodia's Militaries Compare, Newsweek, Jul 25, 2025
    สถาบันยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ International Institute for Strategic Studies (IISS) แห่งสหราชอาณาจักร ระบุไว้เมื่อต้นปี 2025 ขณะเผยแพร่รายงานเกี่ยวกับจำนวนกำลังพลของกองทัพทั่วโลก ว่า ไทยมี “กองทัพขนาดใหญ่และได้รับงบประมาณสนับสนุนอย่างดี" งบประมาณกลาโหมของไทยในปีนี้ อยู่ที่ประมาณ 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ กัมพูชา มีงบประมาณต่ำกว่ามาก อยู่ที่เพียง 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามรายงานของ IISS 1. กองทัพอากาศ IISS ระบุว่า “กองทัพอากาศของไทย ถือเป็นหนึ่งในกองทัพอากาศที่มีอุปกรณ์และการฝึกอบรมดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ณ ต้นปี 2025 ไทยมี เครื่องบินรบที่พร้อมปฏิบัติการ 112 ลำ รวมถึง F-16 จำนวน 46 ลำ (หลายรุ่น) นอกจากนี้ ไทยยังมี เครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 4 แบบ Gripen ของสวีเดน จำนวนหนึ่ง แม้ Gripen และ F-16 จะไม่ใช่เครื่องบินรุ่นที่ 5 (เช่น F-35 หรือ F-22) แต่ถ้าบำรุงรักษาอย่างดี ก็ถือว่ามีขีดความสามารถสูง ไทยกำลังทยอยปลดประจำการ F-16 รุ่นเก่า และเพิ่มจำนวน Gripen แทน กองทัพอากาศไทยที่มีกำลังพลประมาณ 46,000 นาย ยังมี เครื่องบินเตือนภัยล่วงหน้าแบบ Erieye 2 ลำ ซึ่งทำงานร่วมกับ Gripen กัมพูชาไม่มีเครื่องบินขับไล่ ภายใต้กองทัพอากาศขนาดเล็กเพียง 1,500 นาย แต่มี เฮลิคอปเตอร์ 26 ลำ หลายประเภท จอห์น เฮมมิงส์ รองผู้อำนวยการด้านภูมิรัฐศาสตร์แห่งสถาบัน Council on Geostrategy สหราชอาณาจักร กล่าวว่า: “กองทัพอากาศไทยมี F-16 จากสหรัฐฯ ซึ่งใช้โจมตีเป้าหมายทางทหารของกัมพูชาเมื่อวันพุธโดยไม่มีแรงต้าน ขณะที่กัมพูชาไม่มีเครื่องบินขับไล่ประจำการเลย” 2. กองทัพบกและกองทัพเรือ ตามข้อมูลจาก IISS: กองทัพบกกัมพูชา มีทหารประมาณ 75,000 นาย และ รถถังราว 200 คัน ในจำนวนนี้มี รถถังหลักประมาณ 50 คัน เป็นรุ่น T-54 ของจีน (ซึ่งพัฒนาจากโซเวียตรุ่น T-54) อีก 150 คันขึ้นไป เป็นรถถังรุ่น T-54 และ T-55 (รุ่นเก่าจากยุค 1950) กัมพูชายังมี รถรบทหารราบแบบ BMP-1 จำนวน 70 คัน ซึ่งเป็นรถสะเทินน้ำสะเทินบกรุ่นโซเวียตที่เคยถูกใช้ในยุโรปตะวันออกโดยรัสเซียและยูเครน กองทัพบกไทย มีทหารประจำการ 130,000 นาย และมีเกณฑ์ทหารเพิ่มใกล้เคียงอีกจำนวนหนึ่ง มีรถถังหลักประมาณ 400 คัน ส่วนใหญ่เป็นรถถังสัญชาติสหรัฐฯ รุ่นเก่า ไทยยังมี เรือบรรทุกเครื่องบิน 1 ลำ และ เรือฟริเกต 7 ลำ กัมพูชาไม่มีเรือรบ หรือกองทัพเรือในเชิงยุทธศาสตร์ เฮมมิงส์ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า: “ไทยมีรถถังหลักที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาค เช่น VT4 จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ขณะที่กัมพูชายังคงใช้ T-54 จากยุคปี 1950 เป็นหลัก” ทั้งสองประเทศมีอาวุธปืนใหญ่ในรูปแบบต่าง ๆ: ระบบจรวดนำวิถีแบบติดตั้งบนรถยนต์ ปืนใหญ่ลากจูงทั่วไป “ระบบของกัมพูชาส่วนใหญ่ยังคงใช้ของเก่า เช่น BM-21 จากยุคสงครามเย็น และมีระบบจากจีนยุค 1990 ปะปนอยู่เล็กน้อย ส่วนของไทย มีส่วนผสมของระบบจากสหรัฐฯ อิสราเอล และจีน ซึ่งบางระบบเป็นของใหม่กว่า” ที่มา : How Thailand and Cambodia's Militaries Compare, Newsweek, Jul 25, 2025
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 372 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ฝันร้ายของคาร์คีฟ"

    ภายในเวลา 2 ชั่วโมงเมืองคาร์คีฟ ถูกโจมตีจากรัสเซียครั้งใหญ่ที่สุดมากกว่า 50 ครั้ง

    การโจมตีหลักเกิดขึ้นที่โรงงานคอมมูนาร์ (Kommunar plant) ทางตอนเหนือของเมืองมากกว่า 30 ครั้ง


    ตามรายงานขอเจ้าหน้าที่ยูเครน กองทัพรัสเซียโจมตีแบบผสมผสาน โดยมีทั้งขีปนาวุธ ระเบิดร่อน FAB และโดรน Geranium

    สำหรับโรงงาน Kommunar อดีตเคยเป็นหน่วยงานของรัฐบาลในยุคโซเวียต ก่อตั้งในปี 1927 ทำหน้าที่ในการผลิตและซ่อมบำรุงระบบควบคุมอัตโนมัติสำหรับกระบวนการผลิตระบบควบคุมบนเครื่องบินและบนพื้นดินสำหรับขีปนาวุธและการใช้งานในอวกาศ รวมทั้งอากาศยานประเภทต่างๆ

    โรงงานแห่งนี้เคยถูกรัสเซียโจมตีมาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการพิเศษทางทหารในปี 2022 แต่ด้วยความที่ถูกสร้างในยุคโซเวียต จึงมีโครงสร้างที่แข็งแกร่ง และมีความซับซ้อนในพื้นที่จำนวนมาก ยากต่อการโจมตีทำลายภายในครั้งเดียว
    "ฝันร้ายของคาร์คีฟ" ภายในเวลา 2 ชั่วโมงเมืองคาร์คีฟ ถูกโจมตีจากรัสเซียครั้งใหญ่ที่สุดมากกว่า 50 ครั้ง การโจมตีหลักเกิดขึ้นที่โรงงานคอมมูนาร์ (Kommunar plant) ทางตอนเหนือของเมืองมากกว่า 30 ครั้ง ตามรายงานขอเจ้าหน้าที่ยูเครน กองทัพรัสเซียโจมตีแบบผสมผสาน โดยมีทั้งขีปนาวุธ ระเบิดร่อน FAB และโดรน Geranium สำหรับโรงงาน Kommunar อดีตเคยเป็นหน่วยงานของรัฐบาลในยุคโซเวียต ก่อตั้งในปี 1927 ทำหน้าที่ในการผลิตและซ่อมบำรุงระบบควบคุมอัตโนมัติสำหรับกระบวนการผลิตระบบควบคุมบนเครื่องบินและบนพื้นดินสำหรับขีปนาวุธและการใช้งานในอวกาศ รวมทั้งอากาศยานประเภทต่างๆ โรงงานแห่งนี้เคยถูกรัสเซียโจมตีมาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการพิเศษทางทหารในปี 2022 แต่ด้วยความที่ถูกสร้างในยุคโซเวียต จึงมีโครงสร้างที่แข็งแกร่ง และมีความซับซ้อนในพื้นที่จำนวนมาก ยากต่อการโจมตีทำลายภายในครั้งเดียว
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 278 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3/
    มีรายงาน "ที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน" ว่าหนึ่งในเป้าหมายของการโจมตีเมืองเคียฟเมื่อวานนี้ คือโรงงาน BOLSHEVIK ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่นี่มีชั้นใต้ดินซึ่งถูกดัดแปลงเป็น "คลังเก็บโดรนขนาดใหญ่" และถูกทำลายไปเกือบหมด

    ที่บังเกอร์ใต้ดินในโรงงาน BOLSHEVIK มีลักษณะรูปร่าง โครงสร้างต่างๆภายในการจัดเรียงต่างๆที่คล้ายคลึงอย่างมากกับโรงเก็บโดรนใต้ดินที่ครั้งหนึ่งเซเลนสกีเคยแสดงโดรนขีปนาวุธเพกโล (Peklo) ให้จูเซปเป คาโว ดราโกเน่ (Giuseppe Cavo Dragone) ประธานคณะกรรมการทหารนาโต้ได้ดู

    (วิดีโอ1) สอดคล้องกับรายงานในสื่อท้องถิ่นที่ระบุว่า การระเบิดครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีหลังการมาถึงของขีปนาวุธ แต่ทิ้งระยะไว้สักพักก่อนจะมีการระเบิด ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า การระเบิดครั้งนี้คือการระเบิดจากภายในบังเกอร์ใต้ดิน ซึ่งเป็นคลังสะสมโดรนขนาดใหญ่

    โรงงาน BOLSHEVIK ตั้งอยู่ในศูนย์อุตสาหกรรมที่ถูกปล่อยทิ้ง ถูกสร้างขึ้นในยุคโซเวียต

    เมื่อช่วงปี 2021 เซเลนสกีพยายามขายโรงงานในศูนย์อุตสาหกรรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินของรัฐบาลออกไปทั้งหมด โดยอ้างว่าไม่ได้สร้างรายได้ให้กับประเทศ!
    3/ มีรายงาน "ที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน" ว่าหนึ่งในเป้าหมายของการโจมตีเมืองเคียฟเมื่อวานนี้ คือโรงงาน BOLSHEVIK ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่นี่มีชั้นใต้ดินซึ่งถูกดัดแปลงเป็น "คลังเก็บโดรนขนาดใหญ่" และถูกทำลายไปเกือบหมด 👉ที่บังเกอร์ใต้ดินในโรงงาน BOLSHEVIK มีลักษณะรูปร่าง โครงสร้างต่างๆภายในการจัดเรียงต่างๆที่คล้ายคลึงอย่างมากกับโรงเก็บโดรนใต้ดินที่ครั้งหนึ่งเซเลนสกีเคยแสดงโดรนขีปนาวุธเพกโล (Peklo) ให้จูเซปเป คาโว ดราโกเน่ (Giuseppe Cavo Dragone) ประธานคณะกรรมการทหารนาโต้ได้ดู 👉(วิดีโอ1) สอดคล้องกับรายงานในสื่อท้องถิ่นที่ระบุว่า การระเบิดครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีหลังการมาถึงของขีปนาวุธ แต่ทิ้งระยะไว้สักพักก่อนจะมีการระเบิด ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า การระเบิดครั้งนี้คือการระเบิดจากภายในบังเกอร์ใต้ดิน ซึ่งเป็นคลังสะสมโดรนขนาดใหญ่ 👉โรงงาน BOLSHEVIK ตั้งอยู่ในศูนย์อุตสาหกรรมที่ถูกปล่อยทิ้ง ถูกสร้างขึ้นในยุคโซเวียต 👉เมื่อช่วงปี 2021 เซเลนสกีพยายามขายโรงงานในศูนย์อุตสาหกรรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินของรัฐบาลออกไปทั้งหมด โดยอ้างว่าไม่ได้สร้างรายได้ให้กับประเทศ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 29 0 รีวิว
  • 2/
    มีรายงาน "ที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน" ว่าหนึ่งในเป้าหมายของการโจมตีเมืองเคียฟเมื่อวานนี้ คือโรงงาน BOLSHEVIK ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่นี่มีชั้นใต้ดินซึ่งถูกดัดแปลงเป็น "คลังเก็บโดรนขนาดใหญ่" และถูกทำลายไปเกือบหมด

    ที่บังเกอร์ใต้ดินในโรงงาน BOLSHEVIK มีลักษณะรูปร่าง โครงสร้างต่างๆภายในการจัดเรียงต่างๆที่คล้ายคลึงอย่างมากกับโรงเก็บโดรนใต้ดินที่ครั้งหนึ่งเซเลนสกีเคยแสดงโดรนขีปนาวุธเพกโล (Peklo) ให้จูเซปเป คาโว ดราโกเน่ (Giuseppe Cavo Dragone) ประธานคณะกรรมการทหารนาโต้ได้ดู

    (วิดีโอ1) สอดคล้องกับรายงานในสื่อท้องถิ่นที่ระบุว่า การระเบิดครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีหลังการมาถึงของขีปนาวุธ แต่ทิ้งระยะไว้สักพักก่อนจะมีการระเบิด ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า การระเบิดครั้งนี้คือการระเบิดจากภายในบังเกอร์ใต้ดิน ซึ่งเป็นคลังสะสมโดรนขนาดใหญ่

    โรงงาน BOLSHEVIK ตั้งอยู่ในศูนย์อุตสาหกรรมที่ถูกปล่อยทิ้ง ถูกสร้างขึ้นในยุคโซเวียต

    เมื่อช่วงปี 2021 เซเลนสกีพยายามขายโรงงานในศูนย์อุตสาหกรรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินของรัฐบาลออกไปทั้งหมด โดยอ้างว่าไม่ได้สร้างรายได้ให้กับประเทศ!
    2/ มีรายงาน "ที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน" ว่าหนึ่งในเป้าหมายของการโจมตีเมืองเคียฟเมื่อวานนี้ คือโรงงาน BOLSHEVIK ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่นี่มีชั้นใต้ดินซึ่งถูกดัดแปลงเป็น "คลังเก็บโดรนขนาดใหญ่" และถูกทำลายไปเกือบหมด 👉ที่บังเกอร์ใต้ดินในโรงงาน BOLSHEVIK มีลักษณะรูปร่าง โครงสร้างต่างๆภายในการจัดเรียงต่างๆที่คล้ายคลึงอย่างมากกับโรงเก็บโดรนใต้ดินที่ครั้งหนึ่งเซเลนสกีเคยแสดงโดรนขีปนาวุธเพกโล (Peklo) ให้จูเซปเป คาโว ดราโกเน่ (Giuseppe Cavo Dragone) ประธานคณะกรรมการทหารนาโต้ได้ดู 👉(วิดีโอ1) สอดคล้องกับรายงานในสื่อท้องถิ่นที่ระบุว่า การระเบิดครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีหลังการมาถึงของขีปนาวุธ แต่ทิ้งระยะไว้สักพักก่อนจะมีการระเบิด ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า การระเบิดครั้งนี้คือการระเบิดจากภายในบังเกอร์ใต้ดิน ซึ่งเป็นคลังสะสมโดรนขนาดใหญ่ 👉โรงงาน BOLSHEVIK ตั้งอยู่ในศูนย์อุตสาหกรรมที่ถูกปล่อยทิ้ง ถูกสร้างขึ้นในยุคโซเวียต 👉เมื่อช่วงปี 2021 เซเลนสกีพยายามขายโรงงานในศูนย์อุตสาหกรรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินของรัฐบาลออกไปทั้งหมด โดยอ้างว่าไม่ได้สร้างรายได้ให้กับประเทศ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 17 0 รีวิว
  • 1/
    มีรายงานว่ "ที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน" ว่าหนึ่งในเป้าหมายของการโจมตีเมืองเคียฟเมื่อวานนี้ คือโรงงาน BOLSHEVIK ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่นี่มีชั้นใต้ดินซึ่งถูกดัดแปลงเป็น "คลังเก็บโดรนขนาดใหญ่" และถูกทำลายไปเกือบหมด

    ที่บังเกอร์ใต้ดินในโรงงาน BOLSHEVIK มีลักษณะรูปร่าง โครงสร้างต่างๆภายในการจัดเรียงต่างๆที่คล้ายคลึงอย่างมากกับโรงเก็บโดรนใต้ดินที่ครั้งหนึ่งเซเลนสกีเคยแสดงโดรนขีปนาวุธเพกโล (Peklo) ให้จูเซปเป คาโว ดราโกเน่ (Giuseppe Cavo Dragone) ประธานคณะกรรมการทหารนาโต้ได้ดู

    (วิดีโอ1) สอดคล้องกับรายงานในสื่อท้องถิ่นที่ระบุว่า การระเบิดครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีหลังการมาถึงของขีปนาวุธ แต่ทิ้งระยะไว้สักพักก่อนจะมีการระเบิด ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า การระเบิดครั้งนี้คือการระเบิดจากภายในบังเกอร์ใต้ดิน ซึ่งเป็นคลังสะสมโดรนขนาดใหญ่

    โรงงาน BOLSHEVIK ตั้งอยู่ในศูนย์อุตสาหกรรมที่ถูกปล่อยทิ้ง ถูกสร้างขึ้นในยุคโซเวียต

    เมื่อช่วงปี 2021 เซเลนสกีพยายามขายโรงงานในศูนย์อุตสาหกรรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินของรัฐบาลออกไปทั้งหมด โดยอ้างว่าไม่ได้สร้างรายได้ให้กับประเทศ!
    1/ มีรายงานว่ "ที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน" ว่าหนึ่งในเป้าหมายของการโจมตีเมืองเคียฟเมื่อวานนี้ คือโรงงาน BOLSHEVIK ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่นี่มีชั้นใต้ดินซึ่งถูกดัดแปลงเป็น "คลังเก็บโดรนขนาดใหญ่" และถูกทำลายไปเกือบหมด 👉ที่บังเกอร์ใต้ดินในโรงงาน BOLSHEVIK มีลักษณะรูปร่าง โครงสร้างต่างๆภายในการจัดเรียงต่างๆที่คล้ายคลึงอย่างมากกับโรงเก็บโดรนใต้ดินที่ครั้งหนึ่งเซเลนสกีเคยแสดงโดรนขีปนาวุธเพกโล (Peklo) ให้จูเซปเป คาโว ดราโกเน่ (Giuseppe Cavo Dragone) ประธานคณะกรรมการทหารนาโต้ได้ดู 👉(วิดีโอ1) สอดคล้องกับรายงานในสื่อท้องถิ่นที่ระบุว่า การระเบิดครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีหลังการมาถึงของขีปนาวุธ แต่ทิ้งระยะไว้สักพักก่อนจะมีการระเบิด ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า การระเบิดครั้งนี้คือการระเบิดจากภายในบังเกอร์ใต้ดิน ซึ่งเป็นคลังสะสมโดรนขนาดใหญ่ 👉โรงงาน BOLSHEVIK ตั้งอยู่ในศูนย์อุตสาหกรรมที่ถูกปล่อยทิ้ง ถูกสร้างขึ้นในยุคโซเวียต 👉เมื่อช่วงปี 2021 เซเลนสกีพยายามขายโรงงานในศูนย์อุตสาหกรรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินของรัฐบาลออกไปทั้งหมด โดยอ้างว่าไม่ได้สร้างรายได้ให้กับประเทศ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 0 รีวิว
  • สื่อตะวันตกอ้างแหล่งข่าววงในของรัสเซียที่ใกล้ชิดกับการเจรจา เงื่อนไขของปูตินเบื้องต้นที่ต้องการเป็นลายลักษณ์อักษรในการเจรจา คือหยุดการขยายตัวของนาโต้ รวมทั้งยูเครนจะต้องไม่เป็นสมาชิกของนาโต้ มิฉะนั้น "สันติภาพที่เกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้จะเจ็บปวด" (ตีความได้ว่า การเกิดสันติภาพโดยเร็ว เป็นเรื่องที่ดีกว่า)

    เงื่อนไขอื่นๆจากการอ้างอิงของแหล่งข่าว:

    ความเป็นกลางทางทหารอย่างถาวรของยูเครน
    การผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรบางส่วนสำหรับรัสเซีย
    การส่งคืนทรัพย์สินของรัสเซียที่ถูกอายัด
    การคุ้มครองประชาชนที่พูดภาษารัสเซียของยูเครน
    นาโต้จะต้องไม่นำอดีตสาธารณรัฐอื่นๆ ของสหภาพโซเวียต เช่น จอร์เจีย มอลโดวา เข้าสู่นาโต้





    สื่อตะวันตกอ้างแหล่งข่าววงในของรัสเซียที่ใกล้ชิดกับการเจรจา เงื่อนไขของปูตินเบื้องต้นที่ต้องการเป็นลายลักษณ์อักษรในการเจรจา คือหยุดการขยายตัวของนาโต้ รวมทั้งยูเครนจะต้องไม่เป็นสมาชิกของนาโต้ มิฉะนั้น "สันติภาพที่เกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้จะเจ็บปวด" (ตีความได้ว่า การเกิดสันติภาพโดยเร็ว เป็นเรื่องที่ดีกว่า) เงื่อนไขอื่นๆจากการอ้างอิงของแหล่งข่าว: ▪️ ความเป็นกลางทางทหารอย่างถาวรของยูเครน ▪️ การผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรบางส่วนสำหรับรัสเซีย ▪️ การส่งคืนทรัพย์สินของรัสเซียที่ถูกอายัด ▪️ การคุ้มครองประชาชนที่พูดภาษารัสเซียของยูเครน ▪️ นาโต้จะต้องไม่นำอดีตสาธารณรัฐอื่นๆ ของสหภาพโซเวียต เช่น จอร์เจีย มอลโดวา เข้าสู่นาโต้
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 338 มุมมอง 0 รีวิว
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.121 : “รัสเซีย” จากสงครามโลกถึงสงครามยูเครน
    .
    วันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นวันที่เรียกว่า Victory day หรือ วันแห่งชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งใน รัสเซีย และประเทศกลุ่มอดีตสหภาพโซเวียต จะมีงานระลึกอย่างยิ่งใหญ่ คุณผู้ฟังหลายคนน่าจะได้เห็นภาพ การสวนสนามที่จัตุรัสแดง ในกรุงมอสโก ที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เข้าร่วมงานพร้อมกับ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน และผู้นำอีกหลายประเทศ
    .
    วันนี้ เราจะมาอธิบายว่า สงครามโลกเมื่อ 80 ปีก่อน ได้ส่งผลต่อรัสเซียในปัจจุบันอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สงครามกับยูเครนในทุกวันนี้ โดยมีความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ที่ใช้ชีวิตในรัสเซียมายาวนาน ...
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=rorU-V139jY
    .
    .
    #บูรพาไม่แพ้ #Victoryday #รัสเซีย #โซเวียต #ยูเครน
    บูรพาไม่แพ้ Ep.121 : “รัสเซีย” จากสงครามโลกถึงสงครามยูเครน . วันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นวันที่เรียกว่า Victory day หรือ วันแห่งชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งใน รัสเซีย และประเทศกลุ่มอดีตสหภาพโซเวียต จะมีงานระลึกอย่างยิ่งใหญ่ คุณผู้ฟังหลายคนน่าจะได้เห็นภาพ การสวนสนามที่จัตุรัสแดง ในกรุงมอสโก ที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เข้าร่วมงานพร้อมกับ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน และผู้นำอีกหลายประเทศ . วันนี้ เราจะมาอธิบายว่า สงครามโลกเมื่อ 80 ปีก่อน ได้ส่งผลต่อรัสเซียในปัจจุบันอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สงครามกับยูเครนในทุกวันนี้ โดยมีความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ที่ใช้ชีวิตในรัสเซียมายาวนาน ... . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=rorU-V139jY . . #บูรพาไม่แพ้ #Victoryday #รัสเซีย #โซเวียต #ยูเครน
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 416 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำพูดตลกของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม และ “ภรรยาคนที่สอง” ทำให้คนในประเทศเกิดปฏิกิริยาที่หลากหลาย โดยทำให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียรู้สึกขบขัน แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้คนอื่นๆรู้สึกไม่พอใจเพราะยังคงไว้อาลัยเที่ยวบิน MH17 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ หลังจากที่รัสเซียถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เครื่องบินตกเมื่อปี 2014 ระหว่างที่อันวาร์เยือนกรุงมอสโก

    อันวาร์อยู่ระหว่างการเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการ 4 วันตามคำเชิญของปูติน โดยทั้งสองฝ่ายต่างยกย่องความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในภาคส่วนต่างๆ เช่น อวกาศ ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีดิจิทัล

    แต่คำพูดที่หลุดจากปากของปูตินเองต่างหากที่ดึงดูดความสนใจ

    ในการแถลงข่าวร่วมกันที่กรุงมอสโกเมื่อวันพุธที่14 พ.ค. ผู้นำรัสเซียเล่าว่าพาอันวาร์ชมห้องโถงเซนต์แอนดรูว์อันโอ่อ่าในเครมลิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของบัลลังก์พิธีการ 3 บัลลังก์ที่ราชวงศ์รัสเซียเคยใช้ ผู้นำรัสเซียอธิบายว่าบัลลังก์หนึ่งเป็นของซาร์ และอีกบัลลังก์หนึ่งเป็นของภรรยา จากนั้นจึงถามผู้นำมาเลเซียว่าบัลลังก์ที่สามเป็นของใคร

    “นายกรัฐมนตรีอันวาร์กล่าวโดยไม่คิดอะไรเลยว่า ‘เพื่อภรรยาคนที่สอง’” ปูตินกล่าว ทำให้ผู้ฟังหัวเราะ “ฉันหวังว่าเขาจะไม่โกรธฉันที่พูดแบบนั้น แต่นี่คือคำตอบของมุสลิมแท้ ตัวแทนที่แท้จริงของวัฒนธรรมอิสลาม”

    อันวาร์ซึ่งหัวเราะขณะที่ปูตินเล่าเรื่องนี้ตอบกลับว่า “ผมมีภรรยาคนเดียวเท่านั้น ท่านประธานาธิบดี” และเสริมว่าภายหลังเขาเพิ่งตระหนักว่าบัลลังก์ที่สามนั้นเป็นของพระมารดาของซาร์

    ชาวมาเลเซียรีบล้อเลียนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนี้บนโซเชียลมีเดีย โดยบางคนเสนอว่าควรมีเพลง “Russia Sayang” เป็นเพลงประกอบการเยือนของอันวาร์ ซึ่งเป็นการเล่นคำกับเพลง “Rasa Sayang” ซึ่งเป็นเพลงพื้นบ้านยอดนิยมของชาวมาเลย์ที่แปลว่า “ความรู้สึกรัก”

    “จากรัสเซียด้วยความรัก” ผู้ใช้รายหนึ่งชื่ออัซลัน อับดุลลาห์ เขียน พร้อมเพิ่มอีโมจิหัวเราะในความคิดเห็นบนเฟซบุ๊กของเขา

    อย่างไรก็ตาม ชาวมาเลเซียบางคนก็ไม่ได้รู้สึกขบขัน นักวิจารณ์โต้แย้งว่าความตลกโปกฮานี้ขาดความจริงจัง เนื่องจากรัสเซียมีบทบาทในเหตุโศกนาฏกรรม MH17 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไป 298 ราย รวมถึงชาวมาเลเซีย 43 ราย เมื่อเครื่องบินถูกขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ Buk ที่ผลิตโดยรัสเซียโจมตีเหนือยูเครนตะวันออกในเดือนกรกฎาคม 2557 ระหว่างการสู้รบระหว่างกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่สนับสนุนมอสโกวและกองกำลังยูเครน

    ผู้ใช้รายหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่า “เขาคิดว่าเขาไปมอสโกวเพื่อเรียกร้องคำตอบเกี่ยวกับ MH17 แต่กลับกลายเป็นว่าเขากำลังเล่าเรื่องตลกเกี่ยวกับภรรยาคนที่สองกับปูตินแทน” ผู้ใช้อีกรายเขียนว่า “หัวเราะและเล่าเรื่องตลกในขณะที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจาก MH17 ร้องไห้” ในโพสต์ที่แชร์คลิปการแถลงข่าวที่กลายเป็นไวรัล

    เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา คณะกรรมการองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ตัดสินว่ารัสเซียต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์เครื่องบิน MH17 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ถูกยิงตก

    คำตัดสินดังกล่าวระบุว่ารัสเซียละเมิดอนุสัญญาชิคาโก ซึ่งห้ามใช้อาวุธโจมตีเครื่องบินพลเรือนขณะบิน และเปิดโอกาสให้รัฐที่ได้รับผลกระทบเรียกร้องค่าชดเชยแทนครอบครัวของผู้เสียชีวิตผ่านกลไกทางกฎหมายระหว่างประเทศ

    เครมลินปฏิเสธคำตัดสินดังกล่าวโดยระบุว่า “ลำเอียง” โดยให้เหตุผลว่ามอสโกไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวน

    ในการแถลงข่าวแยกกับสื่อมาเลเซียในกรุงมอสโก อันวาร์กล่าวว่าปูตินบอกกับเขาว่ารัสเซียเปิดกว้างที่จะให้ความร่วมมือในคดีนี้ แต่เฉพาะกับหน่วยงานสอบสวนที่ถือว่าเป็นกลางเท่านั้น

    “สิ่งที่ฉันยืนยันได้คือเขากล่าวว่าไม่เป็นความจริงที่จะบอกว่าพวกเขาไม่เต็มใจที่จะให้ความร่วมมือ แต่พวกเขาไม่สามารถให้ความร่วมมือกับใครก็ตามที่รัสเซียถือว่าไม่เป็นอิสระ” เขากล่าว

    มาเลเซียซึ่งสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัสเซียในช่วงยุคโซเวียตในทศวรรษ 1960 นำเข้าธัญพืช น้ำมันกลั่น และอาวุธจากรัสเซีย และล่าสุดหันไปหามอสโกเพื่อขอการสนับสนุนในการพยายามเข้าร่วมกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่บริกส์

    ที่มา Putin’s ‘second wife’ joke about Anwar draws laughs and backlash in Malaysia
    https://www.scmp.com/week-asia/politics/article/3310606/putins-second-wife-joke-about-malaysias-anwar-draws-laughs-and-anger-amid-mh17-ruling?share=mYixsqD3Gx74oC2WLCVGDbUSw3YQ5trX%2FyBWyU9E0%2F%2FQDIcV%2Ba96vAUpBw3v%2BoxVR4RAImnq9JxgzHKpT4WMZjU%2BOyv%2BvSxYeWul0pVvbj0%3D&utm_campaign=social_share
    คำพูดตลกของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม และ “ภรรยาคนที่สอง” ทำให้คนในประเทศเกิดปฏิกิริยาที่หลากหลาย โดยทำให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียรู้สึกขบขัน แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้คนอื่นๆรู้สึกไม่พอใจเพราะยังคงไว้อาลัยเที่ยวบิน MH17 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ หลังจากที่รัสเซียถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เครื่องบินตกเมื่อปี 2014 ระหว่างที่อันวาร์เยือนกรุงมอสโก อันวาร์อยู่ระหว่างการเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการ 4 วันตามคำเชิญของปูติน โดยทั้งสองฝ่ายต่างยกย่องความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในภาคส่วนต่างๆ เช่น อวกาศ ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีดิจิทัล แต่คำพูดที่หลุดจากปากของปูตินเองต่างหากที่ดึงดูดความสนใจ ในการแถลงข่าวร่วมกันที่กรุงมอสโกเมื่อวันพุธที่14 พ.ค. ผู้นำรัสเซียเล่าว่าพาอันวาร์ชมห้องโถงเซนต์แอนดรูว์อันโอ่อ่าในเครมลิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของบัลลังก์พิธีการ 3 บัลลังก์ที่ราชวงศ์รัสเซียเคยใช้ ผู้นำรัสเซียอธิบายว่าบัลลังก์หนึ่งเป็นของซาร์ และอีกบัลลังก์หนึ่งเป็นของภรรยา จากนั้นจึงถามผู้นำมาเลเซียว่าบัลลังก์ที่สามเป็นของใคร “นายกรัฐมนตรีอันวาร์กล่าวโดยไม่คิดอะไรเลยว่า ‘เพื่อภรรยาคนที่สอง’” ปูตินกล่าว ทำให้ผู้ฟังหัวเราะ “ฉันหวังว่าเขาจะไม่โกรธฉันที่พูดแบบนั้น แต่นี่คือคำตอบของมุสลิมแท้ ตัวแทนที่แท้จริงของวัฒนธรรมอิสลาม” อันวาร์ซึ่งหัวเราะขณะที่ปูตินเล่าเรื่องนี้ตอบกลับว่า “ผมมีภรรยาคนเดียวเท่านั้น ท่านประธานาธิบดี” และเสริมว่าภายหลังเขาเพิ่งตระหนักว่าบัลลังก์ที่สามนั้นเป็นของพระมารดาของซาร์ ชาวมาเลเซียรีบล้อเลียนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนี้บนโซเชียลมีเดีย โดยบางคนเสนอว่าควรมีเพลง “Russia Sayang” เป็นเพลงประกอบการเยือนของอันวาร์ ซึ่งเป็นการเล่นคำกับเพลง “Rasa Sayang” ซึ่งเป็นเพลงพื้นบ้านยอดนิยมของชาวมาเลย์ที่แปลว่า “ความรู้สึกรัก” “จากรัสเซียด้วยความรัก” ผู้ใช้รายหนึ่งชื่ออัซลัน อับดุลลาห์ เขียน พร้อมเพิ่มอีโมจิหัวเราะในความคิดเห็นบนเฟซบุ๊กของเขา อย่างไรก็ตาม ชาวมาเลเซียบางคนก็ไม่ได้รู้สึกขบขัน นักวิจารณ์โต้แย้งว่าความตลกโปกฮานี้ขาดความจริงจัง เนื่องจากรัสเซียมีบทบาทในเหตุโศกนาฏกรรม MH17 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไป 298 ราย รวมถึงชาวมาเลเซีย 43 ราย เมื่อเครื่องบินถูกขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ Buk ที่ผลิตโดยรัสเซียโจมตีเหนือยูเครนตะวันออกในเดือนกรกฎาคม 2557 ระหว่างการสู้รบระหว่างกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่สนับสนุนมอสโกวและกองกำลังยูเครน ผู้ใช้รายหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่า “เขาคิดว่าเขาไปมอสโกวเพื่อเรียกร้องคำตอบเกี่ยวกับ MH17 แต่กลับกลายเป็นว่าเขากำลังเล่าเรื่องตลกเกี่ยวกับภรรยาคนที่สองกับปูตินแทน” ผู้ใช้อีกรายเขียนว่า “หัวเราะและเล่าเรื่องตลกในขณะที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจาก MH17 ร้องไห้” ในโพสต์ที่แชร์คลิปการแถลงข่าวที่กลายเป็นไวรัล เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา คณะกรรมการองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ตัดสินว่ารัสเซียต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์เครื่องบิน MH17 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ถูกยิงตก คำตัดสินดังกล่าวระบุว่ารัสเซียละเมิดอนุสัญญาชิคาโก ซึ่งห้ามใช้อาวุธโจมตีเครื่องบินพลเรือนขณะบิน และเปิดโอกาสให้รัฐที่ได้รับผลกระทบเรียกร้องค่าชดเชยแทนครอบครัวของผู้เสียชีวิตผ่านกลไกทางกฎหมายระหว่างประเทศ เครมลินปฏิเสธคำตัดสินดังกล่าวโดยระบุว่า “ลำเอียง” โดยให้เหตุผลว่ามอสโกไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวน ในการแถลงข่าวแยกกับสื่อมาเลเซียในกรุงมอสโก อันวาร์กล่าวว่าปูตินบอกกับเขาว่ารัสเซียเปิดกว้างที่จะให้ความร่วมมือในคดีนี้ แต่เฉพาะกับหน่วยงานสอบสวนที่ถือว่าเป็นกลางเท่านั้น “สิ่งที่ฉันยืนยันได้คือเขากล่าวว่าไม่เป็นความจริงที่จะบอกว่าพวกเขาไม่เต็มใจที่จะให้ความร่วมมือ แต่พวกเขาไม่สามารถให้ความร่วมมือกับใครก็ตามที่รัสเซียถือว่าไม่เป็นอิสระ” เขากล่าว มาเลเซียซึ่งสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัสเซียในช่วงยุคโซเวียตในทศวรรษ 1960 นำเข้าธัญพืช น้ำมันกลั่น และอาวุธจากรัสเซีย และล่าสุดหันไปหามอสโกเพื่อขอการสนับสนุนในการพยายามเข้าร่วมกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่บริกส์ ที่มา Putin’s ‘second wife’ joke about Anwar draws laughs and backlash in Malaysia https://www.scmp.com/week-asia/politics/article/3310606/putins-second-wife-joke-about-malaysias-anwar-draws-laughs-and-anger-amid-mh17-ruling?share=mYixsqD3Gx74oC2WLCVGDbUSw3YQ5trX%2FyBWyU9E0%2F%2FQDIcV%2Ba96vAUpBw3v%2BoxVR4RAImnq9JxgzHKpT4WMZjU%2BOyv%2BvSxYeWul0pVvbj0%3D&utm_campaign=social_share
    WWW.SCMP.COM
    Putin’s ‘second wife’ joke about Anwar draws laughs and backlash in Malaysia
    While some social media users were amused by the leaders’ moment of levity, others felt it was inappropriate in light of the MH17 tragedy.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 704 มุมมอง 0 รีวิว
  • สื่อนอกรายงาน นักท่องเที่ยวสาวแดนผู้ดีวัย 18 หายตัวลึกลับจาก “ไทย” นาน 4 วันมือถือปิดที่พัทยา เจอตัวอีกทีอยู่ในห้องขังจอร์เจียอดีตโซเวียต เปิดกระเป๋าที่สนามบินเจอกัญชาอัดแท่งแน่นเอียด

    นักท่องเที่ยวอังกฤษวัย 18 ปีหายตัวอย่างน่าฉงนระหว่างการท่องเที่ยวในไทย ครอบครัวในอังกฤษตามตัวให้วุ่นขาดการติดต่อตั้งแต่วันเสาร์ โผล่อีกทีห่างออกไปไกลถึงภูมิภาคคอเคซัสอยู่ในคุกหลังเจ้าหน้าที่ศุลกากรจอร์เจียประจำสนามบินทบิลิซีเปิดกระเป๋าเจอยาเสพติดกัญชาอัดแท่งซุกอยู่เพียบ

    เดลีเทเลกราฟของอังกฤษรายงานวันอังคาร(3 พ.ค)ว่า เบลลา เมย์ คัลลีย์ (Bella May Culley)นักท่องเที่ยวสาวอังกฤษวัย 18 ปีถูกเห็นครั้งสุดท้ายที่พัทยา จ.ชลบุรี ก่อนจะหายตัวไปอย่างลึกลับ

    แต่ทว่าในวันอังคาร(13)มีการเปิดเผยออกมาว่าคัลลีย์จากบิลลิงแฮม(Billingham) เกิดถูกจับที่จอร์เจียในภูมิภาคคอเคซัสที่ห่างไกลออกไป

    ตำรวจอังกฤษเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ในจอร์เจียได้แจ้งว่า สาวแดนผู้ดีโดนจับฐานต้องสงสัยคดียาเสพติดและในเวลานี้เธออยู่ในเรือนจำที่จอร์เจีย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000044980

    #MGROnline #นักท่องเที่ยวอังกฤษ #จอร์เจีย #คดียาเสพติด
    สื่อนอกรายงาน นักท่องเที่ยวสาวแดนผู้ดีวัย 18 หายตัวลึกลับจาก “ไทย” นาน 4 วันมือถือปิดที่พัทยา เจอตัวอีกทีอยู่ในห้องขังจอร์เจียอดีตโซเวียต เปิดกระเป๋าที่สนามบินเจอกัญชาอัดแท่งแน่นเอียด • นักท่องเที่ยวอังกฤษวัย 18 ปีหายตัวอย่างน่าฉงนระหว่างการท่องเที่ยวในไทย ครอบครัวในอังกฤษตามตัวให้วุ่นขาดการติดต่อตั้งแต่วันเสาร์ โผล่อีกทีห่างออกไปไกลถึงภูมิภาคคอเคซัสอยู่ในคุกหลังเจ้าหน้าที่ศุลกากรจอร์เจียประจำสนามบินทบิลิซีเปิดกระเป๋าเจอยาเสพติดกัญชาอัดแท่งซุกอยู่เพียบ • เดลีเทเลกราฟของอังกฤษรายงานวันอังคาร(3 พ.ค)ว่า เบลลา เมย์ คัลลีย์ (Bella May Culley)นักท่องเที่ยวสาวอังกฤษวัย 18 ปีถูกเห็นครั้งสุดท้ายที่พัทยา จ.ชลบุรี ก่อนจะหายตัวไปอย่างลึกลับ • แต่ทว่าในวันอังคาร(13)มีการเปิดเผยออกมาว่าคัลลีย์จากบิลลิงแฮม(Billingham) เกิดถูกจับที่จอร์เจียในภูมิภาคคอเคซัสที่ห่างไกลออกไป • ตำรวจอังกฤษเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ในจอร์เจียได้แจ้งว่า สาวแดนผู้ดีโดนจับฐานต้องสงสัยคดียาเสพติดและในเวลานี้เธออยู่ในเรือนจำที่จอร์เจีย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000044980 • #MGROnline #นักท่องเที่ยวอังกฤษ #จอร์เจีย #คดียาเสพติด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 641 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้นำลิทัวเนียเรียกร้องให้ประชาชนไม่เฉลิมฉลองวันแห่งชัยชนะในวันที่ 9 พฤษภาคม โดยให้ยึดมั่นตามประเพณีของยุโรป ซึ่งจะฉลองในวันที่ 8 พฤษภาคม เพราะลิทัวเนียคือชาวยุโรปแล้ว!!!

    “ผมแนะนำให้ชาวลิทัวเนียงดเว้นการฉลองในวันพรุ่งนี้ (9 พฤษภาคม) โดยให้ยึดมั่นตามประเพณีของยุโรป” ประธานาธิบดีกิตานาส เนาเซดา

    และสำหรับผู้ที่ไม่เห็นด้วย ที่ยังดื้อแพ่งเฉลิมฉลองตามประเพณีชาวรัสเซีย ซึ่งจะถือว่าเป็นการกระทำที่ “ยุยงปลุกปั่น” ประธานาธิบดีเตือนว่า หน่วยข่าวกรองและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นๆ “จะทำหน้าที่ของตน” อย่างแข็งขัน

    นอกจากนี้ เนาเซดา ผู้นำลิทัวเนีย ยังกล่าวอีกว่า กำลังเสนอให้มีการสร้างอนุสาวรีย์เพื่อรำลึกถึงอาชญากรรมของนาซี รวมทั้งโซเวียต ในกรุงบรัสเซลส์

    ช่วงเวลาดังกล่าวจะช่วยสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับระบอบเผด็จการในศตวรรษที่ 20 ในหมู่ประชาชนในยุโรปตะวันตก เขากล่าวเสริม

    “เรากำลังดำเนินการสร้างอนุสาวรีย์ในกรุงบรัสเซลส์เพื่อรำลึกถึงอาชญากรรมของฮิตเลอร์ ไม่เพียงแต่ว่าฮิตเลอร์ทำอะไร แต่ยังรวมถึงสิ่งที่สตาลินทำด้วย เราต้องมีหลักการที่มั่นคงและต้องนำเสนอต่อประชาชนในยุโรปตะวันตก เพื่อที่พวกเขาจะได้ตื่นรู้” เนาเซดากล่าวกับผู้สื่อข่าวในเมืองมาซิไกเมื่อวันพฤหัสบดี
    ผู้นำลิทัวเนียเรียกร้องให้ประชาชนไม่เฉลิมฉลองวันแห่งชัยชนะในวันที่ 9 พฤษภาคม โดยให้ยึดมั่นตามประเพณีของยุโรป ซึ่งจะฉลองในวันที่ 8 พฤษภาคม เพราะลิทัวเนียคือชาวยุโรปแล้ว!!! “ผมแนะนำให้ชาวลิทัวเนียงดเว้นการฉลองในวันพรุ่งนี้ (9 พฤษภาคม) โดยให้ยึดมั่นตามประเพณีของยุโรป” ประธานาธิบดีกิตานาส เนาเซดา และสำหรับผู้ที่ไม่เห็นด้วย ที่ยังดื้อแพ่งเฉลิมฉลองตามประเพณีชาวรัสเซีย ซึ่งจะถือว่าเป็นการกระทำที่ “ยุยงปลุกปั่น” ประธานาธิบดีเตือนว่า หน่วยข่าวกรองและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นๆ “จะทำหน้าที่ของตน” อย่างแข็งขัน นอกจากนี้ เนาเซดา ผู้นำลิทัวเนีย ยังกล่าวอีกว่า กำลังเสนอให้มีการสร้างอนุสาวรีย์เพื่อรำลึกถึงอาชญากรรมของนาซี รวมทั้งโซเวียต ในกรุงบรัสเซลส์ ช่วงเวลาดังกล่าวจะช่วยสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับระบอบเผด็จการในศตวรรษที่ 20 ในหมู่ประชาชนในยุโรปตะวันตก เขากล่าวเสริม “เรากำลังดำเนินการสร้างอนุสาวรีย์ในกรุงบรัสเซลส์เพื่อรำลึกถึงอาชญากรรมของฮิตเลอร์ ไม่เพียงแต่ว่าฮิตเลอร์ทำอะไร แต่ยังรวมถึงสิ่งที่สตาลินทำด้วย เราต้องมีหลักการที่มั่นคงและต้องนำเสนอต่อประชาชนในยุโรปตะวันตก เพื่อที่พวกเขาจะได้ตื่นรู้” เนาเซดากล่าวกับผู้สื่อข่าวในเมืองมาซิไกเมื่อวันพฤหัสบดี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 329 มุมมอง 0 รีวิว
  • ย้อนกลับไปเมื่อ 80 ปีที่แล้ว เมื่อเวลา 02:10 น. ตามเวลากรุงมอสโกว์ ยูริ เลวิตันได้แจ้งให้ประชาชนโซเวียตทราบถึงการยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไขของกองทหารเยอรมัน และชัยชนะของมหาสงครามแห่งความรักชาติ

    คำสั่งของจอมพลสูงสุดแห่งสหภาพโซเวียต "สตาลิน" ลงวันที่ 9 พฤษภาคม 1945 ฉบับที่ 369:

    "เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 ณ กรุงเบอร์ลิน ตัวแทนจากกองบัญชาการทหารสูงสุดของเยอรมนีได้ลงนามในหนังสือยินยอมยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขของกองกำลังติดอาวุธของเยอรมนี

    มหาสงครามแห่งความรักชาติที่ประชาชนโซเวียตต่อสู้กับผู้รุกรานนาซี สิ้นสุดลงด้วยชัยชนะ เยอรมนีพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง...

    เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะโดยสมบูรณ์เหนือเยอรมนี วันนี้ 9 พ.ค. วันแห่งชัยชนะ เวลา 22.00 น. กรุงมอสโก เมืองหลวงของมาตุภูมิของเรา ในนามของมาตุภูมิ ขอสดุดีกองทหารกล้าของกองทัพแดง เรือรบ และหน่วยต่างๆ ของกองทัพเรือ ที่ได้รับชัยชนะอันยอดเยี่ยมนี้ด้วยการยิงปืนใหญ่ถึง 30 นัดจากปืนใหญ่กว่า 1,000 กระบอก

    เกียรติยศชั่วนิรันดร์แด่เหล่าวีรบุรุษที่เสียชีวิตในสงครามเพื่ออิสรภาพและเอกราชของมาตุภูมิของเรา!

    กองทัพแดงและกองทัพเรือผู้ได้รับชัยชนะจงเจริญ!”

    รูปประกอบ - ข้อความประกาศการยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไขและคำสั่งประกาศให้วันที่ 9 พฤษภาคมเป็นวันแห่งชัยชนะ
    ย้อนกลับไปเมื่อ 80 ปีที่แล้ว เมื่อเวลา 02:10 น. ตามเวลากรุงมอสโกว์ ยูริ เลวิตันได้แจ้งให้ประชาชนโซเวียตทราบถึงการยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไขของกองทหารเยอรมัน และชัยชนะของมหาสงครามแห่งความรักชาติ คำสั่งของจอมพลสูงสุดแห่งสหภาพโซเวียต "สตาลิน" ลงวันที่ 9 พฤษภาคม 1945 ฉบับที่ 369: "เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 ณ กรุงเบอร์ลิน ตัวแทนจากกองบัญชาการทหารสูงสุดของเยอรมนีได้ลงนามในหนังสือยินยอมยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขของกองกำลังติดอาวุธของเยอรมนี มหาสงครามแห่งความรักชาติที่ประชาชนโซเวียตต่อสู้กับผู้รุกรานนาซี สิ้นสุดลงด้วยชัยชนะ เยอรมนีพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง... เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะโดยสมบูรณ์เหนือเยอรมนี วันนี้ 9 พ.ค. วันแห่งชัยชนะ เวลา 22.00 น. กรุงมอสโก เมืองหลวงของมาตุภูมิของเรา ในนามของมาตุภูมิ ขอสดุดีกองทหารกล้าของกองทัพแดง เรือรบ และหน่วยต่างๆ ของกองทัพเรือ ที่ได้รับชัยชนะอันยอดเยี่ยมนี้ด้วยการยิงปืนใหญ่ถึง 30 นัดจากปืนใหญ่กว่า 1,000 กระบอก เกียรติยศชั่วนิรันดร์แด่เหล่าวีรบุรุษที่เสียชีวิตในสงครามเพื่ออิสรภาพและเอกราชของมาตุภูมิของเรา! กองทัพแดงและกองทัพเรือผู้ได้รับชัยชนะจงเจริญ!” 👉รูปประกอบ - 🎖️ ข้อความประกาศการยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไขและคำสั่งประกาศให้วันที่ 9 พฤษภาคมเป็นวันแห่งชัยชนะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 709 มุมมอง 0 รีวิว
  • 9 мая - 9 May - 9 พฤษภาคม
    วันแห่งชัยชนะของประชาชนโซเวียตในมหาสงครามแห่งความรักชาติ

    วันที่ 9 พฤษภาคม เป็นวันแห่งชัยชนะในมหาสงครามแห่งความรักชาติ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 4 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2484 (ค.ศ.1941) ถึง พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) รวมระยะเวลา 1,418 วัน

    พิธีการยอมจำนนในเบอร์ลิน:
    วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 ในเขตชานเมืองของกรุงเบอร์ลิน เวลา 22:43 น. ตามเวลายุโรปกลาง (เนื่องจากเป็นเวลา 00:43 น. ตามเวลามอสโก จึงทำให้เป็นวันที่ 9 พฤษภาคม ) มีการลงนามในตราสารการยอมรับความพ่ายแพ้ของกองทัพเยอรมนีอย่างไม่มีเงื่อนไข ซึ่งถือเป็นการยุติมหาสงครามแห่งความรักชาติ และ สงครามโลกครั้งที่ 2

    ฝ่ายเยอรมัน เอกสารลงนามโดย: จอมพล Wilhelm Keitel ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพเรือเยอรมัน, พันเอก Hans Stumpf ผู้แทนของ Luftwaffe (กองทัพอากาศ), และ พลเรือเอก Hans von Friedeburg ตัวแทนของ Kriegsmarine (กองทัพเรือ)
    ในส่วนของพันธมิตรนั้น จอมพล Georgy Zhukov (จากโซเวียต) และ จอมพล Arthur Tedder (จากสหราชอาณาจักร) รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองกำลังพันธมิตร
    ส่วน นายพล Carl Spaats (สหรัฐอเมริกา) และนายพล Jean de Latre de Tassigny (ฝรั่งเศส) ลงนามในฐานะพยาน

    ก่อนหน้าที่จะมีการลงนามใน "พิธีการยอมจำนน" ที่กรุงเบอร์ลิน มีการลงนามกันในแรมส์ ประเทศฝรั่งเศส ไปแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อเวลา 2.41 น. ของวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 สถานที่ในการลงนามเป็นกองบัญชาการกำลังรบนอกประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรสูงสุด (SHAEF) และจะมีผลเมื่อเวลา 23.01 น. ตามเวลายุโรปกลาง ของวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1945

    แต่ทางโซเวียตไม่เห็นด้วย เนื่องจากพิธีการลงนามในแรมส์ถูกจัดขึ้นโดยฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตก โดยไม่ได้ตกลงกับทางกองบัญชาการหลักของโซเวียต ไม่นานหลังจากมีการลงนามยอมจำนนแล้ว ฝ่ายโซเวียตได้ประกาศว่าผู้แทนโซเวียตในแรมส์ พลเอกซูสโลปารอฟ ไม่มีอำนาจที่จะลงนามในตราสารนี้

    ยิ่งไปกว่านี้ บางส่วนของกองทัพเยอรมันปฏิเสธที่จะยอมวางอาวุธและยังคงทำการสู้รบต่อไปในเชโกสโลวาเกีย โดยได้มีการประกาศในสถานีวิทยุเยอรมันว่าเยอรมนีตกลงสันติภาพกับฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตก มิใช่กับฝ่ายโซเวียต

    โซเวียตยืนกรานว่าการลงนามยอมจำนนในแรมส์ ควรเรียกว่าเป็น "พิธีสารชั้นต้นของการยอมจำนน" ดังนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตกลงให้มีพิธีการยอมจำนนอีกครั้งหนึ่งในเบอร์ลิน

    9 мая - 9 May - 9 พฤษภาคม วันแห่งชัยชนะของประชาชนโซเวียตในมหาสงครามแห่งความรักชาติ วันที่ 9 พฤษภาคม เป็นวันแห่งชัยชนะในมหาสงครามแห่งความรักชาติ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 4 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2484 (ค.ศ.1941) ถึง พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) รวมระยะเวลา 1,418 วัน 👉พิธีการยอมจำนนในเบอร์ลิน: วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 ในเขตชานเมืองของกรุงเบอร์ลิน เวลา 22:43 น. ตามเวลายุโรปกลาง (เนื่องจากเป็นเวลา 00:43 น. ตามเวลามอสโก จึงทำให้เป็นวันที่ 9 พฤษภาคม ) มีการลงนามในตราสารการยอมรับความพ่ายแพ้ของกองทัพเยอรมนีอย่างไม่มีเงื่อนไข ซึ่งถือเป็นการยุติมหาสงครามแห่งความรักชาติ และ สงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่ายเยอรมัน เอกสารลงนามโดย: จอมพล Wilhelm Keitel ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพเรือเยอรมัน, พันเอก Hans Stumpf ผู้แทนของ Luftwaffe (กองทัพอากาศ), และ พลเรือเอก Hans von Friedeburg ตัวแทนของ Kriegsmarine (กองทัพเรือ) ในส่วนของพันธมิตรนั้น จอมพล Georgy Zhukov (จากโซเวียต) และ จอมพล Arthur Tedder (จากสหราชอาณาจักร) รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองกำลังพันธมิตร ส่วน นายพล Carl Spaats (สหรัฐอเมริกา) และนายพล Jean de Latre de Tassigny (ฝรั่งเศส) ลงนามในฐานะพยาน ก่อนหน้าที่จะมีการลงนามใน "พิธีการยอมจำนน" ที่กรุงเบอร์ลิน มีการลงนามกันในแรมส์ ประเทศฝรั่งเศส ไปแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อเวลา 2.41 น. ของวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 สถานที่ในการลงนามเป็นกองบัญชาการกำลังรบนอกประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรสูงสุด (SHAEF) และจะมีผลเมื่อเวลา 23.01 น. ตามเวลายุโรปกลาง ของวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 แต่ทางโซเวียตไม่เห็นด้วย เนื่องจากพิธีการลงนามในแรมส์ถูกจัดขึ้นโดยฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตก โดยไม่ได้ตกลงกับทางกองบัญชาการหลักของโซเวียต ไม่นานหลังจากมีการลงนามยอมจำนนแล้ว ฝ่ายโซเวียตได้ประกาศว่าผู้แทนโซเวียตในแรมส์ พลเอกซูสโลปารอฟ ไม่มีอำนาจที่จะลงนามในตราสารนี้ ยิ่งไปกว่านี้ บางส่วนของกองทัพเยอรมันปฏิเสธที่จะยอมวางอาวุธและยังคงทำการสู้รบต่อไปในเชโกสโลวาเกีย โดยได้มีการประกาศในสถานีวิทยุเยอรมันว่าเยอรมนีตกลงสันติภาพกับฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตก มิใช่กับฝ่ายโซเวียต โซเวียตยืนกรานว่าการลงนามยอมจำนนในแรมส์ ควรเรียกว่าเป็น "พิธีสารชั้นต้นของการยอมจำนน" ดังนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตกลงให้มีพิธีการยอมจำนนอีกครั้งหนึ่งในเบอร์ลิน
    Wow
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 620 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยานสำรวจ Cosmos 482 ซึ่งถูกส่งขึ้นสู่อวกาศโดยสหภาพโซเวียตเมื่อปี 1972 กำลังจะกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก หลังจากโคจรอยู่ในอวกาศมานานกว่า 53 ปี

    ยานลำนี้เดิมทีถูกออกแบบมาเพื่อ ลงจอดบนดาวศุกร์ แต่ภารกิจล้มเหลว ทำให้มันติดอยู่ในวงโคจรของโลกตั้งแต่นั้นมา นักวิทยาศาสตร์คาดว่า Cosmos 482 จะตกลงสู่พื้นโลกระหว่างวันที่ 7–13 พฤษภาคม โดยมีวันที่ 10 พฤษภาคมเป็นวันที่มีโอกาสสูงสุด

    Cosmos 482 เป็นยานสำรวจที่ถูกส่งขึ้นโดยสหภาพโซเวียตในปี 1972
    - เดิมทีถูกออกแบบมาเพื่อ ลงจอดบนดาวศุกร์
    - ภารกิจล้มเหลว ทำให้ติดอยู่ในวงโคจรของโลก

    ยานจะกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกระหว่างวันที่ 7–13 พฤษภาคม
    - วันที่ 10 พฤษภาคม เป็นวันที่มีโอกาสสูงสุด
    - ความเร็วในการตกอยู่ที่ 150 ไมล์ต่อชั่วโมง

    Cosmos 482 อาจไม่แตกสลายเมื่อเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก
    - ถูกออกแบบมาให้ ทนต่อสภาพแวดล้อมรุนแรงของดาวศุกร์
    - อาจตกลงสู่พื้นโลกโดยยังคงสภาพบางส่วน

    พื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการตกของยาน
    - ครอบคลุม อเมริกาเหนือและใต้, แอฟริกา, ยุโรป และเอเชีย
    - อย่างไรก็ตาม มีโอกาสสูงที่ยานจะตกลงในมหาสมุทร

    https://www.techspot.com/news/107807-soviet-probe-launched-toward-venus-decades-ago-soon.html
    ยานสำรวจ Cosmos 482 ซึ่งถูกส่งขึ้นสู่อวกาศโดยสหภาพโซเวียตเมื่อปี 1972 กำลังจะกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก หลังจากโคจรอยู่ในอวกาศมานานกว่า 53 ปี ยานลำนี้เดิมทีถูกออกแบบมาเพื่อ ลงจอดบนดาวศุกร์ แต่ภารกิจล้มเหลว ทำให้มันติดอยู่ในวงโคจรของโลกตั้งแต่นั้นมา นักวิทยาศาสตร์คาดว่า Cosmos 482 จะตกลงสู่พื้นโลกระหว่างวันที่ 7–13 พฤษภาคม โดยมีวันที่ 10 พฤษภาคมเป็นวันที่มีโอกาสสูงสุด ✅ Cosmos 482 เป็นยานสำรวจที่ถูกส่งขึ้นโดยสหภาพโซเวียตในปี 1972 - เดิมทีถูกออกแบบมาเพื่อ ลงจอดบนดาวศุกร์ - ภารกิจล้มเหลว ทำให้ติดอยู่ในวงโคจรของโลก ✅ ยานจะกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกระหว่างวันที่ 7–13 พฤษภาคม - วันที่ 10 พฤษภาคม เป็นวันที่มีโอกาสสูงสุด - ความเร็วในการตกอยู่ที่ 150 ไมล์ต่อชั่วโมง ✅ Cosmos 482 อาจไม่แตกสลายเมื่อเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก - ถูกออกแบบมาให้ ทนต่อสภาพแวดล้อมรุนแรงของดาวศุกร์ - อาจตกลงสู่พื้นโลกโดยยังคงสภาพบางส่วน ✅ พื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการตกของยาน - ครอบคลุม อเมริกาเหนือและใต้, แอฟริกา, ยุโรป และเอเชีย - อย่างไรก็ตาม มีโอกาสสูงที่ยานจะตกลงในมหาสมุทร https://www.techspot.com/news/107807-soviet-probe-launched-toward-venus-decades-ago-soon.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    A Soviet probe launched decades ago toward Venus may soon crash back into Earth
    The Cosmos 482 lander (also known as Kosmos 482) has been in a decaying orbit since the Soviet Union launched the spacecraft in a failed 1972 mission...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • 06-05-68/01 : หมี CNN / ถามจริง? ตอบตรง! มรึงอยากให้กูใช้มินิคุ๊กกี้รสชาเขียว เพื่อหาเหตุเปิด WWIII ชิมิ? มรึงรู้? กูก็รู้? อียูเครนมันสภาพปางตายแล้ว แค่สะกิดก็ล้มแล้ว ยังต้องใช้นุ๊กด้วยเหรอ..ไอ้สัส? โน้น..หากกูจะใช้ มันต้องอีโปล ปารีส ลอนดอน เบอร์ลิน ถึงจะค่อยถึงใจหน่อย? เล่นหมากรุกเป็นอ่ะเป่า? มรึงเหลือแต่ขุน โดนเบี้ยกูไล่บี้จนมุมแล้ว จะล้มกระดาน เพราะรอกูใช้นุ๊กเหรอ? อ่อนไปป่ะ? แค่ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิค ก็รวบมรึงทั้งแผ่นดินสบายตรีน ไอ้ที่พยายามป่วนโลกอยู่เนี่ย จัดฉากเสี้ยมอาเซียน ชงอีแขกภาระตะเขมือบอีปากี หาเรื่องจะแดร๊กกรีนแลนด์เนี่ย ก็แค่การตลาดขายแดร๊กอาวุธห่วยๆ ของมรึงสิน่ะ เพราะขายไม่ออก ดอลล่าร์ไม่มีใครเอา สิ่งเดียวที่มรึงเหลืออยุู่คือขาย(อาวุธ)ของเก่าไงล่ะ เพราะของใหม่ผลิตไม่ทันแล้ว งบไม่มา งานไม่เดินสิน่ะ มุมกลับกัน ขั้วใหม่ ก็รอให้มรึงสติแตก จนตรอก หมดอนาคตก่อน แล้วสิ้นคิด เปิดนุ๊กปุ๊บ เข้าทางตรีนเครมลินทันที มรึงจะเล่นปาหี่ยื้อกันอีกนานมั้ย? จีน รัสเซีย ไม่รีบ อิ่มท้อง หลับสบายทุกวัน แต่อเมริกา ยุโรป ลอนดอน หิวโหย อดอยากปากแห้งมาเป็นปีปี ใครจะทนได้มากกว่ากันล่ะ? วิธีกำจัดอีเสี้ยนยาไม่ยากดอก เมื่อชาวบ้าน(ยูเครน) เดือดร้อนหนัก เลือกตั้งใหม่ต้องมี โปรรัสเซียใหม่ต้องมา ผนวกรวมคือเรื่องขนมกรุบ แล้วกูจะทำลายทรัพย์สินในอนาคตตัวเองทำไมล่ะ? ยึดแค่ 4-6 แคว้นสำคัญทางยุทธศาสตร์ มรึงก็ตายทั้งเป็นแล้ว แผ่นดินที่เหลือแค่ส่วนเติมเต็มเท่านั้นเอง วงในชี้เป้า อี NATO อี EU มีแผนจะบุกรัสเซีย เบลารุส จริง? แต่ติดอยู่ที่ว่า "ใครจะเป็นเจ้ามือ" อีเศษฝรั่งก็เจ๊งฉิบหายหนักแล้ว อีเบียร์ก็หมดตูดแล้ว อีลอนดอนแทบจะไม่มีเงินเหลือ ทั้งหมดเพราะมันไปติดบ่วงสงครามกว่า 3 ปี จนเทหมดหน้าคักไปแล้วไงล่ะ เสร็จปูตินสิจ๊ะ? นั่นแหละที่เค้าวางยาพวกมรึง ยิ่งบุก ยิ่งเติม ยิ่งเท ยิ่งทุ่ม รัสเซียยิ่งเข้าใกล้เส้นชัยไปเรื่อยๆ ปัญหาคือ มรึงไม่อยากให้รัสเซียมาเปลี่ยนการปกครองโลกนั่นเอง มรึงไม่อยากให้ขี้ข้าตื่น และทิ้งพวกมรึงไปมากกว่านี้อีกแล้ว สูตรเหี้ยมีแต่ "กินกันเอง" พอสหรัฐโดยอีเอ๋อ..แพ้ยับ มาต่ออีทรัมปป์ แพ้ไม่ปรึกษาใคร แล้วใครมันจะโง่สู้ต่อ อ้างเจรจาสันติภาพ แท้จริงคือหมดตูดแล้วโว๊ย ส่งไม้ต่อให้ไอ้หน้าโง่ยุโรป ไปตายแทนไงล่ะ นั่นแหละควายหลอกควาย เหี้ยหลอกเหี้ย เจอใครไม่เจอ เสือกไปท้ามหาเทพปูติน พวกมรึงก็กลายเป็นเด็กอมมือทันที จะเอาสติปัญญาที่ไหนมาสู้โคตรเซียนได้ แพ้ยับไม่ว่า แต่เสือกโง่ซ้ำซ้อน โง่ไม่เลิกรา ไม่เรียนรู้ ว่ามรึงรอดตายจาก WWII ได้เพราะใคร ไม่มีโซเวียต อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี เป็นเมืองขึ้นอินทรีเหล็กโดยลุงหนวดจิ๋มไปนานแล้ว ใครแถประวัติศาสตร์ของจริงมรึงเจอกูแน่?

    West wanted Russia ‘to make mistakes’ and nuke Ukraine – Putin ปูตินกล่าวว่า ตะวันตกต้องการให้รัสเซีย “ทำผิด” และยิงอาวุธนิวเคลียร์ใส่ยูเครน

    ------------------------------------------------------------------------—
    RONIN500(Admin Nidnoi) แปลโดย นิดหน่อย : ปูตินกล่าวว่า ตะวันตกต้องการให้รัสเซีย “ทำผิด” และยิงอาวุธนิวเคลียร์ใส่ยูเครน

    ประธานาธิบดีรัสเซีย Vladimir Putin วลาดิเมียร์ ปูตินกล่าวหาผู้สนับสนุนตะวันตกของยูเครนที่พยายามปลุกปั่นรัสเซียให้ใช้อาวุธนิวเคลียร์ในยูเครน เขาย้ำว่า มาตรการที่รัดกุมไม่เคยจำเป็นและคิดว่าจะไม่มีทางจำเป็น

    จากบทสัมภาษณ์กับนักข่าวรัสเซีย พาเวล ซารูบินเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ปูตินอ้างว่า ตะวันตก “ต้องการปลุกปั่นเราและบังคับให้เราทำผิด”

    ปูตินกล่าวว่า รัสเซียมี “กองกำลังและวิธีที่เพียงพอที่จะทำให้สิ่งที่คิดในปี 2022 ให้เป็นบทสรุปที่สมเหตุสมผล”

    เมื่อเดือนที่แล้ว เซอร์เกย์ ซอยกู เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติของรัสเซียบอกกับสำนักข่าว TASS ว่า อาวุธนิวเคลียร์อาจใช้ “โจมตี” รัสเซียหรือเบลารุสแบบปกติหรืออื่นๆ

    นายชอยกูที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมท่ามกลางสมาชิกนาโต้ ต่อการเดินทัพไปยูเครนหลังยูเครนและรัสเซียบรรลุข้อตกลงหยุดยิง

    เขาย้ำว่า การปรากฎตัวของกองทัพในยูเครนอาจนำไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารระหว่างรัสเซียและองค์การนาโต้ที่อาจทำให้สงครามนิวเคลียร์รุนแรงขึ้น นายชอยกูอ้างการแก้ไขหลักการนิวเคลียร์ของรัสเซียที่ได้รับการอนุมัติจากปูตินเมื่อเดือนพฤศจิกายน

    ตามหลักการที่ได้รับการปรับปรุง รัสเซียใช้สิทธิที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อป้องกันการโจมตีจากประเทศศัตรูและกลุ่มทางทหารที่ดูแลอาวุธจากการทำลายล้างขั้นสูงหรือปืนใหญ่จากอาวุธปกติ

    สถานการณ์ที่เป็นไปได้ตามเอกสารที่อาจทำให้เกิดการตอบโต้คือ การสอดแนมที่ได้รับการยืนยันจากการโจมตีครั้งใหญ่ที่ใช้เครื่องบินรบ ขีปนาวุธ และโดรน

    รัสเซียจะพิจารณาประเทศสมาชิกที่อาจตกเป็นเป้าหมายหากประเทศสมาชิกโจมตีประเทศรัสเซีย และอาจให้ประเทศอื่นๆ ใช้น่านฟ้าตามหลักอธิปไตยของประเทศที่ 3 เพื่อโจมตี

    https://www.rt.com/russia/616748-putin-west-provocations-nukes-ukraine/

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)**
    ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า
    https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    06-05-68/01 : หมี CNN / ถามจริง? ตอบตรง! มรึงอยากให้กูใช้มินิคุ๊กกี้รสชาเขียว เพื่อหาเหตุเปิด WWIII ชิมิ? มรึงรู้? กูก็รู้? อียูเครนมันสภาพปางตายแล้ว แค่สะกิดก็ล้มแล้ว ยังต้องใช้นุ๊กด้วยเหรอ..ไอ้สัส? โน้น..หากกูจะใช้ มันต้องอีโปล ปารีส ลอนดอน เบอร์ลิน ถึงจะค่อยถึงใจหน่อย? เล่นหมากรุกเป็นอ่ะเป่า? มรึงเหลือแต่ขุน โดนเบี้ยกูไล่บี้จนมุมแล้ว จะล้มกระดาน เพราะรอกูใช้นุ๊กเหรอ? อ่อนไปป่ะ? แค่ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิค ก็รวบมรึงทั้งแผ่นดินสบายตรีน ไอ้ที่พยายามป่วนโลกอยู่เนี่ย จัดฉากเสี้ยมอาเซียน ชงอีแขกภาระตะเขมือบอีปากี หาเรื่องจะแดร๊กกรีนแลนด์เนี่ย ก็แค่การตลาดขายแดร๊กอาวุธห่วยๆ ของมรึงสิน่ะ เพราะขายไม่ออก ดอลล่าร์ไม่มีใครเอา สิ่งเดียวที่มรึงเหลืออยุู่คือขาย(อาวุธ)ของเก่าไงล่ะ เพราะของใหม่ผลิตไม่ทันแล้ว งบไม่มา งานไม่เดินสิน่ะ มุมกลับกัน ขั้วใหม่ ก็รอให้มรึงสติแตก จนตรอก หมดอนาคตก่อน แล้วสิ้นคิด เปิดนุ๊กปุ๊บ เข้าทางตรีนเครมลินทันที มรึงจะเล่นปาหี่ยื้อกันอีกนานมั้ย? จีน รัสเซีย ไม่รีบ อิ่มท้อง หลับสบายทุกวัน แต่อเมริกา ยุโรป ลอนดอน หิวโหย อดอยากปากแห้งมาเป็นปีปี ใครจะทนได้มากกว่ากันล่ะ? วิธีกำจัดอีเสี้ยนยาไม่ยากดอก เมื่อชาวบ้าน(ยูเครน) เดือดร้อนหนัก เลือกตั้งใหม่ต้องมี โปรรัสเซียใหม่ต้องมา ผนวกรวมคือเรื่องขนมกรุบ แล้วกูจะทำลายทรัพย์สินในอนาคตตัวเองทำไมล่ะ? ยึดแค่ 4-6 แคว้นสำคัญทางยุทธศาสตร์ มรึงก็ตายทั้งเป็นแล้ว แผ่นดินที่เหลือแค่ส่วนเติมเต็มเท่านั้นเอง วงในชี้เป้า อี NATO อี EU มีแผนจะบุกรัสเซีย เบลารุส จริง? แต่ติดอยู่ที่ว่า "ใครจะเป็นเจ้ามือ" อีเศษฝรั่งก็เจ๊งฉิบหายหนักแล้ว อีเบียร์ก็หมดตูดแล้ว อีลอนดอนแทบจะไม่มีเงินเหลือ ทั้งหมดเพราะมันไปติดบ่วงสงครามกว่า 3 ปี จนเทหมดหน้าคักไปแล้วไงล่ะ เสร็จปูตินสิจ๊ะ? นั่นแหละที่เค้าวางยาพวกมรึง ยิ่งบุก ยิ่งเติม ยิ่งเท ยิ่งทุ่ม รัสเซียยิ่งเข้าใกล้เส้นชัยไปเรื่อยๆ ปัญหาคือ มรึงไม่อยากให้รัสเซียมาเปลี่ยนการปกครองโลกนั่นเอง มรึงไม่อยากให้ขี้ข้าตื่น และทิ้งพวกมรึงไปมากกว่านี้อีกแล้ว สูตรเหี้ยมีแต่ "กินกันเอง" พอสหรัฐโดยอีเอ๋อ..แพ้ยับ มาต่ออีทรัมปป์ แพ้ไม่ปรึกษาใคร แล้วใครมันจะโง่สู้ต่อ อ้างเจรจาสันติภาพ แท้จริงคือหมดตูดแล้วโว๊ย ส่งไม้ต่อให้ไอ้หน้าโง่ยุโรป ไปตายแทนไงล่ะ นั่นแหละควายหลอกควาย เหี้ยหลอกเหี้ย เจอใครไม่เจอ เสือกไปท้ามหาเทพปูติน พวกมรึงก็กลายเป็นเด็กอมมือทันที จะเอาสติปัญญาที่ไหนมาสู้โคตรเซียนได้ แพ้ยับไม่ว่า แต่เสือกโง่ซ้ำซ้อน โง่ไม่เลิกรา ไม่เรียนรู้ ว่ามรึงรอดตายจาก WWII ได้เพราะใคร ไม่มีโซเวียต อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี เป็นเมืองขึ้นอินทรีเหล็กโดยลุงหนวดจิ๋มไปนานแล้ว ใครแถประวัติศาสตร์ของจริงมรึงเจอกูแน่? West wanted Russia ‘to make mistakes’ and nuke Ukraine – Putin ปูตินกล่าวว่า ตะวันตกต้องการให้รัสเซีย “ทำผิด” และยิงอาวุธนิวเคลียร์ใส่ยูเครน ------------------------------------------------------------------------— RONIN500(Admin Nidnoi) แปลโดย นิดหน่อย : ปูตินกล่าวว่า ตะวันตกต้องการให้รัสเซีย “ทำผิด” และยิงอาวุธนิวเคลียร์ใส่ยูเครน ประธานาธิบดีรัสเซีย Vladimir Putin วลาดิเมียร์ ปูตินกล่าวหาผู้สนับสนุนตะวันตกของยูเครนที่พยายามปลุกปั่นรัสเซียให้ใช้อาวุธนิวเคลียร์ในยูเครน เขาย้ำว่า มาตรการที่รัดกุมไม่เคยจำเป็นและคิดว่าจะไม่มีทางจำเป็น จากบทสัมภาษณ์กับนักข่าวรัสเซีย พาเวล ซารูบินเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ปูตินอ้างว่า ตะวันตก “ต้องการปลุกปั่นเราและบังคับให้เราทำผิด” ปูตินกล่าวว่า รัสเซียมี “กองกำลังและวิธีที่เพียงพอที่จะทำให้สิ่งที่คิดในปี 2022 ให้เป็นบทสรุปที่สมเหตุสมผล” เมื่อเดือนที่แล้ว เซอร์เกย์ ซอยกู เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติของรัสเซียบอกกับสำนักข่าว TASS ว่า อาวุธนิวเคลียร์อาจใช้ “โจมตี” รัสเซียหรือเบลารุสแบบปกติหรืออื่นๆ นายชอยกูที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมท่ามกลางสมาชิกนาโต้ ต่อการเดินทัพไปยูเครนหลังยูเครนและรัสเซียบรรลุข้อตกลงหยุดยิง เขาย้ำว่า การปรากฎตัวของกองทัพในยูเครนอาจนำไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารระหว่างรัสเซียและองค์การนาโต้ที่อาจทำให้สงครามนิวเคลียร์รุนแรงขึ้น นายชอยกูอ้างการแก้ไขหลักการนิวเคลียร์ของรัสเซียที่ได้รับการอนุมัติจากปูตินเมื่อเดือนพฤศจิกายน ตามหลักการที่ได้รับการปรับปรุง รัสเซียใช้สิทธิที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อป้องกันการโจมตีจากประเทศศัตรูและกลุ่มทางทหารที่ดูแลอาวุธจากการทำลายล้างขั้นสูงหรือปืนใหญ่จากอาวุธปกติ สถานการณ์ที่เป็นไปได้ตามเอกสารที่อาจทำให้เกิดการตอบโต้คือ การสอดแนมที่ได้รับการยืนยันจากการโจมตีครั้งใหญ่ที่ใช้เครื่องบินรบ ขีปนาวุธ และโดรน รัสเซียจะพิจารณาประเทศสมาชิกที่อาจตกเป็นเป้าหมายหากประเทศสมาชิกโจมตีประเทศรัสเซีย และอาจให้ประเทศอื่นๆ ใช้น่านฟ้าตามหลักอธิปไตยของประเทศที่ 3 เพื่อโจมตี https://www.rt.com/russia/616748-putin-west-provocations-nukes-ukraine/ ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)** ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    WWW.RT.COM
    West wanted Russia ‘to make mistakes’ and nuke Ukraine – Putin
    Russia has the means to achieve its objectives in the Ukraine conflict without resorting to drastic measures, Vladimir Putin has said
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1020 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ สตับบ์ (Alexander Stubb) ประธานาธิบดีฟินแลนด์ แนะเซเลนสกีว่า ถึงเวลาอาจต้องยอมสูญเสียดินแดน เพื่อรับประกันความอยู่รอดของยูเครน และเพื่อต่อรองกับการแลกการสนับสนุนทางทหารจากยุโรป

    สตับบ์ได้ยกตัวอย่างประวัติศาสตร์อันแสนเศร้าของฟินแลนด์ เขาเท้าความซึ่งเข้าร่วมนาซีเยอรมนี รุกรานสหภาพโซเวียตในปี 1941 เพื่อทวงคืนดินแดนที่พวกเขาสูญเสียไปในช่วงสงครามฤดูหนาวก่อนหน้านั้น แต่ผลลัพธ์ไม่เป็นดังหวัง พวกเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงครามอีกครั้ง ทำให้ฟินแลนด์ต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านการทหารต่างๆนานา และต้องวางตัวเป็นกลางระหว่างสงครามเย็น จนกระทั่งเพิ่งเข้าเป็นสมาชิกนาโตในปี 2023

    สตับบ์ พยายามชี้ให้เห็นว่า เงื่อนไขของข้อตกลงหยุดยังที่ได้จากรัสเซีย นับว่าดีกว่าฟินแลนด์มาก โดยกล่าวว่า "ถ้าเราได้อย่างน้อยๆ 2 ใน 3 สำหรับยูเครน ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เยี่ยมแล้ว"
    ประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ สตับบ์ (Alexander Stubb) ประธานาธิบดีฟินแลนด์ แนะเซเลนสกีว่า ถึงเวลาอาจต้องยอมสูญเสียดินแดน เพื่อรับประกันความอยู่รอดของยูเครน และเพื่อต่อรองกับการแลกการสนับสนุนทางทหารจากยุโรป สตับบ์ได้ยกตัวอย่างประวัติศาสตร์อันแสนเศร้าของฟินแลนด์ เขาเท้าความซึ่งเข้าร่วมนาซีเยอรมนี รุกรานสหภาพโซเวียตในปี 1941 เพื่อทวงคืนดินแดนที่พวกเขาสูญเสียไปในช่วงสงครามฤดูหนาวก่อนหน้านั้น แต่ผลลัพธ์ไม่เป็นดังหวัง พวกเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงครามอีกครั้ง ทำให้ฟินแลนด์ต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านการทหารต่างๆนานา และต้องวางตัวเป็นกลางระหว่างสงครามเย็น จนกระทั่งเพิ่งเข้าเป็นสมาชิกนาโตในปี 2023 สตับบ์ พยายามชี้ให้เห็นว่า เงื่อนไขของข้อตกลงหยุดยังที่ได้จากรัสเซีย นับว่าดีกว่าฟินแลนด์มาก โดยกล่าวว่า "ถ้าเราได้อย่างน้อยๆ 2 ใน 3 สำหรับยูเครน ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เยี่ยมแล้ว"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 526 มุมมอง 0 รีวิว
  • 18 เมษายน 2568-รายงานข่าวจากเพจBlognone ระบุว่าVladimir Putin ประธานาธิบดีรัสเซีย ออกปากชม Elon Musk ระหว่างการพูดคุยกับนักศึกษามหาวิทยาลัยเกี่ยวกับนโยบายด้านอวกาศ ว่าเป็น “คนพิเศษ” เพราะมีพลังคิดไอเดียอะไรบางอย่าง ที่คนทั่วไปก็คิดไม่ถึงหรือทำไม่ได้ แถมยังเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ และความหลงใหลในเรื่องการเดินทางไปดาวอังคารอย่างจริงจังPutin เปรียบเทียบ Musk กับ Sergei Korolev นักออกแบบจรวดระดับตำนานของสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการส่งดาวเทียมดวงแรกขึ้นวงโคจร และเป็นคนออกแบบภารกิจส่งมนุษย์ขึ้นสู่อวกาศครั้งแรกของโลกในปี 1961 https://www.businessinsider.com/putin-lauds-elon-musk-compares-spacex-ceo-soviet-rocket-pioneer-2025-4
    18 เมษายน 2568-รายงานข่าวจากเพจBlognone ระบุว่าVladimir Putin ประธานาธิบดีรัสเซีย ออกปากชม Elon Musk ระหว่างการพูดคุยกับนักศึกษามหาวิทยาลัยเกี่ยวกับนโยบายด้านอวกาศ ว่าเป็น “คนพิเศษ” เพราะมีพลังคิดไอเดียอะไรบางอย่าง ที่คนทั่วไปก็คิดไม่ถึงหรือทำไม่ได้ แถมยังเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ และความหลงใหลในเรื่องการเดินทางไปดาวอังคารอย่างจริงจังPutin เปรียบเทียบ Musk กับ Sergei Korolev นักออกแบบจรวดระดับตำนานของสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการส่งดาวเทียมดวงแรกขึ้นวงโคจร และเป็นคนออกแบบภารกิจส่งมนุษย์ขึ้นสู่อวกาศครั้งแรกของโลกในปี 1961 https://www.businessinsider.com/putin-lauds-elon-musk-compares-spacex-ceo-soviet-rocket-pioneer-2025-4
    WWW.BUSINESSINSIDER.COM
    Putin lauds Elon Musk, comparing him to a Soviet rocket pioneer
    "It is not often that such people, charged with a certain idea, appear in the human population," Putin said of Musk.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 423 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาตรการภาษีตอบโต้ที่ทรัมป์ประกาศ เป็นเพียงหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลก ไทยและอาเซียนกำลังเผชิญกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ต่อจากมิติการค้าการลงทุนซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วน (แต่ผู้นำไทยก็ยังล่าช้า ไม่เท่าทัน) ในระยะกลาง มิติความมั่นคงจะกลายเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น และไทยต้องชิงเล่นบทบาทนำ เพื่อชดเชยกับความล่าช้าล้าหลังที่เราเสียตำแหน่งผู้นำอาเซียนไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
    .
    ASEAN ZOPFAN และ Bangkok Treaty of 1995 ที่ประกาศให้อาเซียนเป็นเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ ต้องได้รับการ upgrade
    .
    “ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดปรากฎการณ์ ‘กฎแห่งป่า’ (Law of the Jungle) อำนาจกลายเป็นความถูกต้องในการกำหนดกติกา (Might is Right) รัฐที่มีพลังอำนาจเหนือกว่าสามารถเข้ายึดครอง ครอบครอง และกำหนดชะตากรรมของรัฐที่มีพลังอำนาจอ่อนด้อยกว่า และเมื่อกลไกสถาบันระหว่างประเทศไม่สามารถทำงานได้อย่างที่ควรจะเป็น ประชาคมอาเซียนที่รัฐสมาชิกส่วนใหญ่เป็นประเทศขนาดเล็กและขนาดกลางมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งพากฎกติกาแบบเสรีนิยม”
    .
    ในวันที่โลกเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระเบียบโลกใหม่ ปิติ ศรีแสงนาม ชวนหาที่ทางของประชาคมอาเซียนในมิติความเป็นศูนย์กลางด้านความมั่นคงในภูมิภาค
    .
    อ่านได้ที่: https://www.the101.world/amidst-the-two-oceans-3/
    .
    “แน่นอนว่า เมื่อกฎแห่งป่าและพลังอำนาจกลายเป็นความถูกต้องในการกำหนดกติกา ฉากทัศน์ที่น่าห่วงกังวลมากที่สุดคือ แต่ละประเทศมุ่งหน้าพัฒนา ผลิต และสะสมเทคโนโลยีนิวเคลียร์ที่มีศักยภาพทางการทหาร เพราะนี่คือแนวทางที่พิสูจน์มาแล้วในทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศว่าเป็นสิ่งที่มีพลังอำนาจในการต่อรองสูงสุด โดยเฉพาะเมื่อต้องต่อรองกับมหาอำนาจ”
    .
    “อาเซียนเองมีการลงนามและบังคับใช้ปฏิญญาว่าด้วยเขตสันติภาพ เสรีภาพ และความเป็นกลาง (Declaration on the Zone of Peace, Freedom, and Neutrality: ZOPFAN) มาตั้งแต่ปี 1971 เมื่อไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ (สมาชิกอาเซียน ณ ขณะนั้น) เห็นการแทรกแซงกิจการภายในของ เวียดนาม ลาว และกัมพูชา โดยมหาอำนาจภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน และหลายประเทศในยุโรป จนลุกลามใหญ่โตกลายเป็นสงครามที่ล้างผลาญชีวิตคนจำนวนมาก และเมื่อการสะสมอาวุธนิวเคลียร์กลายเป็นปรากฏการณ์ที่นำความสุ่มเสี่ยงไปทั่วโลก อาเซียนโดยการผลักดันของประเทศไทยก็สามารถลงนามในสนธิสัญญาเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Southeast Asia Nuclear Weapon-Free Zone: SEANWFZ) ได้สำเร็จในปี 1995”
    .
    “ข้อตกลงที่เอ่ยถึงนี้ถือเป็นความสำเร็จในอดีตที่อาเซียนต้องทบทวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทยกำลังเดินหน้าเพื่อครอบครองเทคโนโลยีนิวเคลียร์ เมียนมาและเวียดนามกำลังเดินหน้าเพื่อการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ 2 แห่งแรกในภูมิภาค แน่นอนว่าด้วยวัตถุประสงค์เพื่อสันติ เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน และคาดว่าทั้ง 2 ประเทศจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากรัสเซีย”
    .
    “แน่นอนว่าเมื่อพิจารณามิติพลังงานปรมาณูเพื่อสันติร่วมกับการสร้างและใช้งานโครงข่ายพลังงานอาเซียน (ASEAN Power Grid) อาเซียนจะมีความมั่นคงทางพลังงานสูงขึ้น แต่การมีเทคโนโลยีนิวเคลียร์ เตาปฏิกรณ์ และการเสริมสร้างสารตั้งต้นของปฏิกิริยานิวเคลียร์ ล้วนแล้วแต่ทำให้ศักย์สงคราม (War Capability) ของประเทศนั้นๆ สูงขึ้น”
    .
    “ลองนึกถึงข้อจำกัดทางทรัพยากรมนุษย์ที่อาจต้องทำให้โรงงานเหล่านี้ดำเนินการโดยวิศวกรและทีมเทคนิคต่างชาติ ลงทุนโดยต่างชาติ และควบคุมตรวจสอบโดยต่างชาติ ร่วมกับเงินทุนที่มีจำกัด เช่น อาจสร้างเตาปฏิกรณ์ในประเทศ และระบบกำจัดกากของเสียจากเตาปฏิกรณ์ต้องส่งออกไปทำลายในต่างประเทศ เหล่านี้ล้วนทำให้เกิดความไม่สบายใจได้ว่า ประเทศอาเซียนจะกลายเป็นแหล่งส่งออกวัตถุดิบต้นน้ำสำหรับการประกอบอาวุธนิวเคลียร์ได้หรือไม่”
    .
    “ในวันที่ระเบียบโลกกำลังมีความซัดส่ายอย่างยิ่ง สิ่งหนึ่งที่ประเทศไทยเคยทำสำเร็จมาแล้วและต้องเร่งผลักดัน คือการคำนึงถึงว่าจะเป็นการดีหรือไม่ หากต้องมีการปรับปรุงแก้ไขสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia: TAC) ให้ประเทศคู่เจรจาที่ต้องการเป็นมิตรและแสวงหาประโยชร์ร่วมกันอย่างยั่งยืนกับอาเซียนต้องยอมรับเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ของอาเซียนด้วย”
    .
    ภาพประกอบ: พิรุฬพร นามมูลน้อย
    มาตรการภาษีตอบโต้ที่ทรัมป์ประกาศ เป็นเพียงหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลก ไทยและอาเซียนกำลังเผชิญกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ต่อจากมิติการค้าการลงทุนซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วน (แต่ผู้นำไทยก็ยังล่าช้า ไม่เท่าทัน) ในระยะกลาง มิติความมั่นคงจะกลายเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น และไทยต้องชิงเล่นบทบาทนำ เพื่อชดเชยกับความล่าช้าล้าหลังที่เราเสียตำแหน่งผู้นำอาเซียนไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา . ASEAN ZOPFAN และ Bangkok Treaty of 1995 ที่ประกาศให้อาเซียนเป็นเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ ต้องได้รับการ upgrade . “ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดปรากฎการณ์ ‘กฎแห่งป่า’ (Law of the Jungle) อำนาจกลายเป็นความถูกต้องในการกำหนดกติกา (Might is Right) รัฐที่มีพลังอำนาจเหนือกว่าสามารถเข้ายึดครอง ครอบครอง และกำหนดชะตากรรมของรัฐที่มีพลังอำนาจอ่อนด้อยกว่า และเมื่อกลไกสถาบันระหว่างประเทศไม่สามารถทำงานได้อย่างที่ควรจะเป็น ประชาคมอาเซียนที่รัฐสมาชิกส่วนใหญ่เป็นประเทศขนาดเล็กและขนาดกลางมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งพากฎกติกาแบบเสรีนิยม” . ในวันที่โลกเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระเบียบโลกใหม่ ปิติ ศรีแสงนาม ชวนหาที่ทางของประชาคมอาเซียนในมิติความเป็นศูนย์กลางด้านความมั่นคงในภูมิภาค . อ่านได้ที่: https://www.the101.world/amidst-the-two-oceans-3/ . “แน่นอนว่า เมื่อกฎแห่งป่าและพลังอำนาจกลายเป็นความถูกต้องในการกำหนดกติกา ฉากทัศน์ที่น่าห่วงกังวลมากที่สุดคือ แต่ละประเทศมุ่งหน้าพัฒนา ผลิต และสะสมเทคโนโลยีนิวเคลียร์ที่มีศักยภาพทางการทหาร เพราะนี่คือแนวทางที่พิสูจน์มาแล้วในทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศว่าเป็นสิ่งที่มีพลังอำนาจในการต่อรองสูงสุด โดยเฉพาะเมื่อต้องต่อรองกับมหาอำนาจ” . “อาเซียนเองมีการลงนามและบังคับใช้ปฏิญญาว่าด้วยเขตสันติภาพ เสรีภาพ และความเป็นกลาง (Declaration on the Zone of Peace, Freedom, and Neutrality: ZOPFAN) มาตั้งแต่ปี 1971 เมื่อไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ (สมาชิกอาเซียน ณ ขณะนั้น) เห็นการแทรกแซงกิจการภายในของ เวียดนาม ลาว และกัมพูชา โดยมหาอำนาจภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน และหลายประเทศในยุโรป จนลุกลามใหญ่โตกลายเป็นสงครามที่ล้างผลาญชีวิตคนจำนวนมาก และเมื่อการสะสมอาวุธนิวเคลียร์กลายเป็นปรากฏการณ์ที่นำความสุ่มเสี่ยงไปทั่วโลก อาเซียนโดยการผลักดันของประเทศไทยก็สามารถลงนามในสนธิสัญญาเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Southeast Asia Nuclear Weapon-Free Zone: SEANWFZ) ได้สำเร็จในปี 1995” . “ข้อตกลงที่เอ่ยถึงนี้ถือเป็นความสำเร็จในอดีตที่อาเซียนต้องทบทวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทยกำลังเดินหน้าเพื่อครอบครองเทคโนโลยีนิวเคลียร์ เมียนมาและเวียดนามกำลังเดินหน้าเพื่อการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ 2 แห่งแรกในภูมิภาค แน่นอนว่าด้วยวัตถุประสงค์เพื่อสันติ เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน และคาดว่าทั้ง 2 ประเทศจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากรัสเซีย” . “แน่นอนว่าเมื่อพิจารณามิติพลังงานปรมาณูเพื่อสันติร่วมกับการสร้างและใช้งานโครงข่ายพลังงานอาเซียน (ASEAN Power Grid) อาเซียนจะมีความมั่นคงทางพลังงานสูงขึ้น แต่การมีเทคโนโลยีนิวเคลียร์ เตาปฏิกรณ์ และการเสริมสร้างสารตั้งต้นของปฏิกิริยานิวเคลียร์ ล้วนแล้วแต่ทำให้ศักย์สงคราม (War Capability) ของประเทศนั้นๆ สูงขึ้น” . “ลองนึกถึงข้อจำกัดทางทรัพยากรมนุษย์ที่อาจต้องทำให้โรงงานเหล่านี้ดำเนินการโดยวิศวกรและทีมเทคนิคต่างชาติ ลงทุนโดยต่างชาติ และควบคุมตรวจสอบโดยต่างชาติ ร่วมกับเงินทุนที่มีจำกัด เช่น อาจสร้างเตาปฏิกรณ์ในประเทศ และระบบกำจัดกากของเสียจากเตาปฏิกรณ์ต้องส่งออกไปทำลายในต่างประเทศ เหล่านี้ล้วนทำให้เกิดความไม่สบายใจได้ว่า ประเทศอาเซียนจะกลายเป็นแหล่งส่งออกวัตถุดิบต้นน้ำสำหรับการประกอบอาวุธนิวเคลียร์ได้หรือไม่” . “ในวันที่ระเบียบโลกกำลังมีความซัดส่ายอย่างยิ่ง สิ่งหนึ่งที่ประเทศไทยเคยทำสำเร็จมาแล้วและต้องเร่งผลักดัน คือการคำนึงถึงว่าจะเป็นการดีหรือไม่ หากต้องมีการปรับปรุงแก้ไขสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia: TAC) ให้ประเทศคู่เจรจาที่ต้องการเป็นมิตรและแสวงหาประโยชร์ร่วมกันอย่างยั่งยืนกับอาเซียนต้องยอมรับเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ของอาเซียนด้วย” . ภาพประกอบ: พิรุฬพร นามมูลน้อย
    WWW.THE101.WORLD
    Amidst the Two Oceans ตอนที่ 3: ประชาคมอาเซียนในระเบียบโลกใหม่
    ปิติ ศรีแสงนาม ชวนหาที่ทางของประชาคมอาเซียนในมิติความเป็นศูนย์กลางด้านความมั่นคงในภูมิภาค ในวันที่โลกเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระเบียบโลกใหม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1082 มุมมอง 0 รีวิว
  • สื่อตุรกีเผยแพร่ภาพฐานทัพอากาศ T4 ในซีเรียตอนกลาง หลังการโจมตีของอิสราเอล

    • ฐานทัพอากาศ T4 ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมืองปาลไมราในเขตเมืองโฮมส์(Homs) เป็นหนึ่งในฐานทัพอากาศที่ใหญ่ที่สุดและมีจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดในซีเรีย สร้างขึ้นในช่วงสงครามเย็นด้วยความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียต และเป็นศูนย์กลางหลักของกองทัพอากาศของอดีตประธานาธิบดีอัสซาด แห่งซีเรีย

    • ฐานทัพแห่งนี้ยังถูกใช้โดยกองกำลังรัสเซียและอิหร่านอีกด้วย

    • อิสราเอลโจมตีฐานทัพดังกล่าวหลายครั้งเพื่อขับไล่กองกำลังอิหร่านออกไป

    • ภาพแสดงให้เห็นระบบเรดาร์ที่ได้รับความเสียหาย โรงเก็บเครื่องบินที่ถูกโจมตี และเครื่องบินขับไล่ที่ปลดประจำการ

    • การโจมตีล่าสุดของอิสราเอล ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ทหารของกองทัพตุรกีที่กำลังปรับปรุงฐานทัพแห่งนี้เสียชีวิต 3 ราย
    สื่อตุรกีเผยแพร่ภาพฐานทัพอากาศ T4 ในซีเรียตอนกลาง หลังการโจมตีของอิสราเอล • ฐานทัพอากาศ T4 ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมืองปาลไมราในเขตเมืองโฮมส์(Homs) เป็นหนึ่งในฐานทัพอากาศที่ใหญ่ที่สุดและมีจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดในซีเรีย สร้างขึ้นในช่วงสงครามเย็นด้วยความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียต และเป็นศูนย์กลางหลักของกองทัพอากาศของอดีตประธานาธิบดีอัสซาด แห่งซีเรีย • ฐานทัพแห่งนี้ยังถูกใช้โดยกองกำลังรัสเซียและอิหร่านอีกด้วย • อิสราเอลโจมตีฐานทัพดังกล่าวหลายครั้งเพื่อขับไล่กองกำลังอิหร่านออกไป • ภาพแสดงให้เห็นระบบเรดาร์ที่ได้รับความเสียหาย โรงเก็บเครื่องบินที่ถูกโจมตี และเครื่องบินขับไล่ที่ปลดประจำการ • การโจมตีล่าสุดของอิสราเอล ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ทหารของกองทัพตุรกีที่กำลังปรับปรุงฐานทัพแห่งนี้เสียชีวิต 3 ราย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 442 มุมมอง 38 0 รีวิว
  • เมื่ออเมริกา ยึดรัสเซีย และจีนไม่ได้ อเมริกาจึงมาตั้งนานโต้ ตามสันดาน

    เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2492 (ค.ศ. 1949) สหรัฐอเมริกาและประเทศต่าง ๆ ในยุโรปรวม 12 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา เบลเยียม เดนมาร์ก ฝรั่งเศส ไอซ์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นอรเวย์ และโปรตุเกส ได้ร่วมกันลงนามในสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (the North Atlantic Treaty) ก่อตั้งองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต้ขึ้นในช่วงหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2492
    วัตถุประสงค์เริ่มแรกก่อตั้ง คือ เพื่อจัดตั้งระบบพันธมิตรทางทหารในการถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ (สหภาพโซเวียต) และให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิกในกรณีที่ประเทศสมาชิกถูกคุกคามจากภายนอก ตลอดจนส่งเสริมความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ
    เมื่ออเมริกา ยึดรัสเซีย และจีนไม่ได้ อเมริกาจึงมาตั้งนานโต้ ตามสันดาน เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2492 (ค.ศ. 1949) สหรัฐอเมริกาและประเทศต่าง ๆ ในยุโรปรวม 12 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา เบลเยียม เดนมาร์ก ฝรั่งเศส ไอซ์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นอรเวย์ และโปรตุเกส ได้ร่วมกันลงนามในสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (the North Atlantic Treaty) ก่อตั้งองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต้ขึ้นในช่วงหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2492 วัตถุประสงค์เริ่มแรกก่อตั้ง คือ เพื่อจัดตั้งระบบพันธมิตรทางทหารในการถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ (สหภาพโซเวียต) และให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิกในกรณีที่ประเทศสมาชิกถูกคุกคามจากภายนอก ตลอดจนส่งเสริมความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 585 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts