• บทความนี้กล่าวถึงคำแนะนำจาก Anjul Bhambhri รองประธานอาวุโสของ Adobe Experience Cloud ในการสร้างกลยุทธ์ AI ที่มีประสิทธิภาพ โดยเน้นความสำคัญของ ความโปร่งใส และ การจัดการข้อมูล เพื่อให้ธุรกิจสามารถสร้างความไว้วางใจและเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้าได้ นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงวิธีการจัดการทรัพยากรเพื่อความยั่งยืน เช่น การแบ่งประเภทข้อมูลเป็น hot, warm และ cold storage เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

    ✅ ความโปร่งใสเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างกลยุทธ์ AI
    - ธุรกิจควรเปิดเผยข้อมูลและให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในกระบวนการ
    - การฟังความคิดเห็นของลูกค้าช่วยให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้มากขึ้น

    ✅ การจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    - Adobe ใช้การแบ่งประเภทข้อมูลเป็น hot, warm และ cold storage เพื่อจัดการทรัพยากร
    - การใช้ SSD และ HDD อย่างเหมาะสมช่วยลดการใช้พลังงาน

    ✅ การปฏิบัติตามกฎระเบียบช่วยสร้างความไว้วางใจ
    - กฎระเบียบ เช่น GDPR, HIPAA และ FERPA ช่วยกำหนดแนวทางการจัดการข้อมูล
    - ธุรกิจควรมีบทบาทชัดเจนในการกำกับดูแลข้อมูล

    ✅ การสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการจัดการข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ
    - ปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้การจัดการข้อมูลมีความสำคัญมากขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/want-to-build-an-ai-strategy-adobe-svp-advises-you-start-with-transparency
    บทความนี้กล่าวถึงคำแนะนำจาก Anjul Bhambhri รองประธานอาวุโสของ Adobe Experience Cloud ในการสร้างกลยุทธ์ AI ที่มีประสิทธิภาพ โดยเน้นความสำคัญของ ความโปร่งใส และ การจัดการข้อมูล เพื่อให้ธุรกิจสามารถสร้างความไว้วางใจและเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้าได้ นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงวิธีการจัดการทรัพยากรเพื่อความยั่งยืน เช่น การแบ่งประเภทข้อมูลเป็น hot, warm และ cold storage เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ✅ ความโปร่งใสเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างกลยุทธ์ AI - ธุรกิจควรเปิดเผยข้อมูลและให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในกระบวนการ - การฟังความคิดเห็นของลูกค้าช่วยให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้มากขึ้น ✅ การจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม - Adobe ใช้การแบ่งประเภทข้อมูลเป็น hot, warm และ cold storage เพื่อจัดการทรัพยากร - การใช้ SSD และ HDD อย่างเหมาะสมช่วยลดการใช้พลังงาน ✅ การปฏิบัติตามกฎระเบียบช่วยสร้างความไว้วางใจ - กฎระเบียบ เช่น GDPR, HIPAA และ FERPA ช่วยกำหนดแนวทางการจัดการข้อมูล - ธุรกิจควรมีบทบาทชัดเจนในการกำกับดูแลข้อมูล ✅ การสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการจัดการข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ - ปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้การจัดการข้อมูลมีความสำคัญมากขึ้น https://www.techradar.com/pro/want-to-build-an-ai-strategy-adobe-svp-advises-you-start-with-transparency
    WWW.TECHRADAR.COM
    Want to build an AI strategy? Adobe SVP advises you start with transparency
    Start with transparency and honesty, and the rest will follow
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • บทความนี้กล่าวถึง FramePack ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่ช่วยให้การสร้างวิดีโอด้วย AI สามารถทำได้บน GPU สำหรับเล่นเกมที่มีหน่วยความจำเพียง 6GB VRAM โดย FramePack ใช้เทคนิคการบีบอัดเฟรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้หน่วยความจำ GPU ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถสร้างวิดีโอ AI ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ที่มีค่าใช้จ่ายสูง

    ✅ FramePack ช่วยให้การสร้างวิดีโอ AI ทำได้บน GPU ที่มี VRAM เพียง 6GB
    - ใช้เทคนิคการบีบอัดเฟรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้หน่วยความจำ
    - รองรับ GPU รุ่น RTX 30/40/50 ที่มีการสนับสนุน FP16 และ BF16

    ✅ FramePack ใช้สถาปัตยกรรมที่ลดการใช้หน่วยความจำ GPU
    - บีบอัดเฟรมตามความสำคัญเพื่อให้ได้ความยาวคอนเท็กซ์ที่เหมาะสม
    - ลดปัญหา "drifting" ที่ทำให้คุณภาพวิดีโอลดลงเมื่อวิดีโอมีความยาวมากขึ้น

    ✅ สามารถสร้างวิดีโอคุณภาพสูงได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์
    - ช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้การสร้างวิดีโอ AI เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

    ✅ เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น การสร้าง GIF และมีม
    - แม้ไม่ใช่ครีเอเตอร์มืออาชีพ ก็สามารถใช้งาน FramePack เพื่อความบันเทิงได้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/framepack-can-generate-ai-videos-locally-with-just-6gb-of-vram
    บทความนี้กล่าวถึง FramePack ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่ช่วยให้การสร้างวิดีโอด้วย AI สามารถทำได้บน GPU สำหรับเล่นเกมที่มีหน่วยความจำเพียง 6GB VRAM โดย FramePack ใช้เทคนิคการบีบอัดเฟรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้หน่วยความจำ GPU ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถสร้างวิดีโอ AI ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ที่มีค่าใช้จ่ายสูง ✅ FramePack ช่วยให้การสร้างวิดีโอ AI ทำได้บน GPU ที่มี VRAM เพียง 6GB - ใช้เทคนิคการบีบอัดเฟรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้หน่วยความจำ - รองรับ GPU รุ่น RTX 30/40/50 ที่มีการสนับสนุน FP16 และ BF16 ✅ FramePack ใช้สถาปัตยกรรมที่ลดการใช้หน่วยความจำ GPU - บีบอัดเฟรมตามความสำคัญเพื่อให้ได้ความยาวคอนเท็กซ์ที่เหมาะสม - ลดปัญหา "drifting" ที่ทำให้คุณภาพวิดีโอลดลงเมื่อวิดีโอมีความยาวมากขึ้น ✅ สามารถสร้างวิดีโอคุณภาพสูงได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ - ช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้การสร้างวิดีโอ AI เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ✅ เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น การสร้าง GIF และมีม - แม้ไม่ใช่ครีเอเตอร์มืออาชีพ ก็สามารถใช้งาน FramePack เพื่อความบันเทิงได้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/framepack-can-generate-ai-videos-locally-with-just-6gb-of-vram
    0 Comments 0 Shares 33 Views 0 Reviews
  • บทความนี้รายงานเกี่ยวกับคดีการล่วงละเมิดทางอีเมลที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ โดยผู้กระทำผิดชื่อ Douglas Arthur Merkle II ถูกตัดสินจำคุก 1 ปี 3 เดือน หลังจากที่เขาได้ส่งอีเมลล่วงละเมิดผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเวลานานกว่า 3 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2021 การกระทำของเขารวมถึงการส่งภาพที่ไม่เหมาะสมไปยังที่ปรึกษาด้านการศึกษาของผู้หญิง และการโพสต์ข้อมูลส่วนตัวของเธอบนเว็บไซต์ ซึ่งสร้างความเสียหายทางจิตใจและความรู้สึกไม่ปลอดภัยให้กับผู้เสียหาย

    ✅ Douglas Arthur Merkle II ถูกตัดสินจำคุก 1 ปี 3 เดือน
    - ผู้กระทำผิดถูกตัดสินจำคุกหลังจากล่วงละเมิดผู้หญิงผ่านอีเมลเป็นเวลานานกว่า 3 ปี
    - การกระทำของเขารวมถึงการส่งภาพที่ไม่เหมาะสมไปยังที่ปรึกษาด้านการศึกษาของผู้เสียหาย

    ✅ การล่วงละเมิดเริ่มต้นในปี 2018 และสิ้นสุดในปี 2021
    - Merkle ใช้อีเมลที่ไม่ระบุตัวตนในการติดต่อผู้เสียหายและโพสต์ข้อมูลส่วนตัวของเธอบนเว็บไซต์

    ✅ ผู้เสียหายได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง
    - เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยและมีความสงสัยในทุกคนรอบตัว

    ✅ Merkle ถูกจับกุมในปี 2023
    - FBI ได้จับกุมเขาและยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้อง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/19/email-stalkers-039monstrous039-harassment-of-woman-in-the-us-leads-judge-to-nearly-double-sentence
    บทความนี้รายงานเกี่ยวกับคดีการล่วงละเมิดทางอีเมลที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ โดยผู้กระทำผิดชื่อ Douglas Arthur Merkle II ถูกตัดสินจำคุก 1 ปี 3 เดือน หลังจากที่เขาได้ส่งอีเมลล่วงละเมิดผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเวลานานกว่า 3 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2021 การกระทำของเขารวมถึงการส่งภาพที่ไม่เหมาะสมไปยังที่ปรึกษาด้านการศึกษาของผู้หญิง และการโพสต์ข้อมูลส่วนตัวของเธอบนเว็บไซต์ ซึ่งสร้างความเสียหายทางจิตใจและความรู้สึกไม่ปลอดภัยให้กับผู้เสียหาย ✅ Douglas Arthur Merkle II ถูกตัดสินจำคุก 1 ปี 3 เดือน - ผู้กระทำผิดถูกตัดสินจำคุกหลังจากล่วงละเมิดผู้หญิงผ่านอีเมลเป็นเวลานานกว่า 3 ปี - การกระทำของเขารวมถึงการส่งภาพที่ไม่เหมาะสมไปยังที่ปรึกษาด้านการศึกษาของผู้เสียหาย ✅ การล่วงละเมิดเริ่มต้นในปี 2018 และสิ้นสุดในปี 2021 - Merkle ใช้อีเมลที่ไม่ระบุตัวตนในการติดต่อผู้เสียหายและโพสต์ข้อมูลส่วนตัวของเธอบนเว็บไซต์ ✅ ผู้เสียหายได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง - เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยและมีความสงสัยในทุกคนรอบตัว ✅ Merkle ถูกจับกุมในปี 2023 - FBI ได้จับกุมเขาและยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้อง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/19/email-stalkers-039monstrous039-harassment-of-woman-in-the-us-leads-judge-to-nearly-double-sentence
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Email stalker’s 'monstrous' harassment of woman in the US leads judge to nearly double sentence
    The victim was worried that the stalker would disrupt her marriage, her education, her job and friendships.
    0 Comments 0 Shares 30 Views 0 Reviews
  • Microsoft ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญใน Classic Teams โดยจะยุติฟีเจอร์การเปิดไฟล์ในแอป Classic Teams ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2025 และจะสิ้นสุดการใช้งานในวันที่ 30 เมษายน 2025 การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่พบใน Classic Teams และสนับสนุนให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้แอป Teams เวอร์ชันใหม่ที่มีความปลอดภัยมากกว่า

    ✅ ยุติฟีเจอร์การเปิดไฟล์ใน Classic Teams
    - ฟีเจอร์นี้จะถูกยุติในวันที่ 15-30 เมษายน 2025
    - Microsoft แนะนำให้เปิดไฟล์ในแอปที่เหมาะสม เช่น Word, Excel หรือ PowerPoint

    ✅ การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัย
    - ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่พบใน Classic Teams เป็นเหตุผลหลักในการยุติฟีเจอร์นี้
    - Teams เวอร์ชันใหม่ไม่มีปัญหาช่องโหว่ดังกล่าว

    ✅ การเปลี่ยนแปลงนี้จะถูกดำเนินการโดยอัตโนมัติ
    - ผู้ดูแลระบบไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ แต่ควรแจ้งให้ผู้ใช้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงนี้

    ✅ Classic Teams จะสิ้นสุดการสนับสนุนในวันที่ 1 กรกฎาคม 2025
    - Microsoft ได้หยุดการสนับสนุน Classic Teams ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2024

    https://www.neowin.net/news/microsoft-removing-major-classic-teams-feature-before-the-app-is-gone-for-good/
    Microsoft ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญใน Classic Teams โดยจะยุติฟีเจอร์การเปิดไฟล์ในแอป Classic Teams ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2025 และจะสิ้นสุดการใช้งานในวันที่ 30 เมษายน 2025 การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่พบใน Classic Teams และสนับสนุนให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้แอป Teams เวอร์ชันใหม่ที่มีความปลอดภัยมากกว่า ✅ ยุติฟีเจอร์การเปิดไฟล์ใน Classic Teams - ฟีเจอร์นี้จะถูกยุติในวันที่ 15-30 เมษายน 2025 - Microsoft แนะนำให้เปิดไฟล์ในแอปที่เหมาะสม เช่น Word, Excel หรือ PowerPoint ✅ การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัย - ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่พบใน Classic Teams เป็นเหตุผลหลักในการยุติฟีเจอร์นี้ - Teams เวอร์ชันใหม่ไม่มีปัญหาช่องโหว่ดังกล่าว ✅ การเปลี่ยนแปลงนี้จะถูกดำเนินการโดยอัตโนมัติ - ผู้ดูแลระบบไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ แต่ควรแจ้งให้ผู้ใช้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ ✅ Classic Teams จะสิ้นสุดการสนับสนุนในวันที่ 1 กรกฎาคม 2025 - Microsoft ได้หยุดการสนับสนุน Classic Teams ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2024 https://www.neowin.net/news/microsoft-removing-major-classic-teams-feature-before-the-app-is-gone-for-good/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft removing "major" Classic Teams feature before the app is gone for good
    Microsoft is removing a feature that it has labelled as a "major change" on Classic Teams. The app will soon be gone forever.
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 12 อยู่กินอย่างไรไม่ให้เดือดร้อน
    .
    การจับจ่ายใช้สอยซื้อของที่ตนเองต้องการเป็นเรื่องสนุก หลายคนมีสติในเรื่องการใช้จ่าย แต่หลายคนก็ขาดสติ ใช้จ่ายจนเกิดความเดือดร้อนในเรื่องเงินทอง ซึ่งมีผลกระทบไปถึงการดำเนินชีวิตด้วย
    .
    บ่อยครั้งคนที่เริ่มเดือดร้อนเรื่องเงิน ยังไม่ตระหนักถึงสภานะของตนเอง เพราะไม่มีไฟแดงกระพริบเตือนเป็นสัญญาณให้ทราบว่ากำลังใช้จ่ายเกินตัว กินอยู่เกินฐานะ และชีวิตในอนาคตกำลังจะลำบาก สิ่งที่อาจเป็นตัวแทนของไฟแดงกระพริบได้แก่ (1) รายได้ส่วนหนึ่งถูกใช้ชำระหนี้เพิ่มมากขึ้นทุกที (2) จ่ายเงินชำระหนี้บัตรเครดิตหรือเงินกู้ด้วยจำนวนเงินต่ำที่สุดเท่าที่เจ้าหนี้จะยอมให้ได้ (3) ใช้เงินเต็มวงกู้ของบัตรเครดิต (4) ต้องเอาเงินส่วนที่ตั้งใจไว้ทำอย่างอื่น มาจ่ายชำระเงินตามใบเรียกเก็บเงิน (5) ใช้บัตรเครดิตชำระเงินสำหรับหลายสิ่งทั้ง ๆ ที่แต่เดิมใช้เงินสด (6) ชำระเงินตามใบเรียกเก็บเกินกำหนดเวลาอยู่เนืองๆ (7) ถูกเตือนให้จัดการกับบิลค้างชำระอยู่บ่อย ๆ (8) ทำงานล่วงเวลาหรือหาเงินพิเศษตัวเป็นเกลียวเพื่อหาเงินสดมาชำระบิลที่ส่งมาเรียกเก็บ (9) หากต้องออกจากงานที่ทำอยู่ก็จะเกิดปัญหาการเงินขึ้นมาทันที (10) นึกกังวลถึงเรื่องเงินอยู่เสมอ
    .
    สัญญาณข้างต้นไม่จำเป็นต้องมีครบทุกอย่างก็แสดงว่า กำลังกินอย่างเดือดร้อนแล้ว สาเหตุก็มาจากความไม่สมดุลระหว่างรายได้และรายจ่าย หนทางแก้ไขแรกคือ ต้องหารายได้ให้พอกับรายจ่ายที่กำลังเกิดขึ้น หรือพูดอีกอย่างว่า ยกฐานะการเงินขึ้นมาให้ทัดเทียมกับระดับการอยู่กิน หนทางที่สองคือ ลดรายจ่ายลงให้พอดีกับรายได้ หรือลดการอยู่กินลงมาให้พอดีหรือต่ำกว่าฐานะ หรือทั้งสองหนทาง
    .
    การแก้ไขด้วยวิธีแรกนั้นยากมาก และไม่มีวันจบสิ้นได้เลย เพราะเคยชินกับการใช้จ่ายสูงจนเสมือนกับไล่จับเงาตัวเอง หามาได้เท่าใดก็ไม่มีวันเพียงพอ การใช้ทั้งสองวิธี หรือใช้วิธีที่สองคือ ลดรายจ่ายลงให้พอดีกับรายได้ มีเหตุมีผลมากกว่า เพราะถึงแม้จะเจ็บปวดแต่ก็กระทำได้ง่ายกว่าการหารายได้ให้เพียงพอกับรายจ่าย และที่สำคัญที่สุด เกิดเป็นมรรคเป็นผลในระยะยาว
    .
    อย่างไรก็ดีในการหาทางแก้ไข จะจ้องเข้าใจว่าอะไรเป็นสาเหตุของการอยู่กินอย่างเดือดร้อนของคนไฟแดงกะพริบเหล่านี้ หากมองในภาพรวมก็จะเห็นว่า ปัญหาเริ่มจากความต้องการที่ไม่มีวันพอ เป็นสาเหตุแรก กล่าวคือ ความต้องการมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังที่มาสโลว์ กล่าวไว้ โดยเริ่มต้นจากต้องการบำบัดความหิว ต้องการอยู่รอดอย่างมั่นคงปลอดภัย ต้องการความรักและมีพรรคพวก ต้องการความสำเร็จและได้รับการชื่นชมยอมรับ ต้องการมีความรู้และความเข้าใจ ต้องการความงามและความเป็นระเบียบ สุดท้ายต้องการบรรลุศักยภาพของตนเอง ดังนั้นโดยพื้นฐาน มนุษย์ต้องการการบริโภคมากอยู่แล้ว ซึ่งย่อมทำให้ใช้จ่ายมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
    .
    สาเหตุที่ 2 คือ ความเข้าใจโลกที่ไม่เหมาะสม หลายคนมักนึกว่าการดำเนินชีวิตของผู้คนและครอบครัวกังที่ปรากฏในสื่อ คือวิถีการดำเนินชีวิตจริงของคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบริโภค การใช้ชีวิต และค่านิยม ดังนั้นเมื่อผู้เสพสื่อเหล่านี้ต้องการเป็นเช่นเดียวกับคนอื่นๆ จึงจำเป็นต้องบริโภคในลักษณะนั้นๆ เพื่อให้ได้ใช้ชีวิต และมีค่านิยมแบบเดียวกัน การเลียนแบบเหล่านี้ ย่อมเกิดค่าใช้จ่ายขึ้นมากมายอีกเช่นกัน
    .
    สาเหตุที่ 3 คือ อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบันโทรศัพท์สื่อโซเชี่ยลมิเดียหลายแพลทฟอร์ม เป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลอย่างมาก มีหลายครั้งที่ผู้โฆษณาพยายามบอกผู้ชมว่า ถ้าใช้สินค้านั้น หรือไปสถานที่นี้ ทำอย่างนั้นแล้วจะเป็น “คนมีระดับ” จะทำให้เป็นคนที่สังคมยอมรับ และ “คนปกติ” เขาก็ปฎิบัติเช่นนั้น การสื่อเช่นนี้ทำให้ผู้คนคล้อยตามได้โดยง่าย
    .
    ทั้งสามสาเหตุ นำไปสู่การใช้จ่ายที่สูง ดังนั้นการขาดความสมดุลระหว่างรายได้และรายจ่ายจึงเป็นเหตุที่ทำให้คนจำนวนมากอยู่ในสภาวะอยู่กินอย่างเดือดร้อน
    .
    ผู้ที่ดื่มด่ำกับการบริโภคในปัจจุบันจนลึมนึกถึงอนาคต ลืมนึกถึงความมั่นคงในชีวิตตนเองและครอบครัวในวันข้างหน้า มักจะนึกเอาว่า เอาไว้อีกสักพักค่อยออมเงินเพื่อสร้างอนาคตก็ได้ แต่ “สักพัก” นั้นก็ไม่มาถึงซักที พร้อมกับจมดิ่งลงไปในหนี้สินที่พอกพูนขึ้นทุกวัน สำหรับคนเหล่านี้ อย่าว่าแต่จะออมได้เลย แค่มีเงินใช้จ่ายให้ตลอดเดือนได้ก็ยากเต็มทีแล้ว
    .
    กลุ่มคนเหล่านี้จะหลุดพ้นจากการอยู่กินอย่างเดือดร้อนได้ก็ด้วยหลัก 4 ประการ ดังต่อไปนี้
    (1) ต้องมองโลกในแง่ใหม่ ว่าเงินเป็นได้ทั้งมิตรและศัตรู การมีหนี้สินที่ไม่นำไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น เท่ากับเปิดช่องให้เงินเป็นศัตรู โดยทำร้ายตนเองตลอดเวลาด้วยดอกเบี้ย ดังนั้นจึงต้องพยายามแก้ไขให้เงินเป็นมิตรด้วยการมีเงินออมแทน
    (2) อยู่กินต่ำกว่าฐานะ
    (3) ทำให้เงินทำงานรับใช้ โดยเริ่มจากการมีเงินออม
    (4) ควบคุมความต้องการของตนเองโดยยึด “แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง” นั่นคือดำรงตนอย่างมีสติ ไม่ใช้เงินอย่างประมาท รู้จักความพอดี ความพอประมาณ มีเหตุมีผล และมีวุฒิภาวะควบคุมความต้องการของตนเองให้ได้
    .
    การอยู่กินอย่างเดือดร้อน คือการอยู่กินอย่างขาดความหวังว่าชีวิตในอนาคตจะมีความมั่นคงทางการเงิน เป็นการดำรงชีวิตอย่างทุกข์ใจ ต้องนึกถึงแต่เรื่องเงินอยู่ตลอดเวลาจนชีวิตเปราะบาง เอื้อต่อการกระทำที่ผิดจริยธรรม
    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 12 อยู่กินอย่างไรไม่ให้เดือดร้อน . การจับจ่ายใช้สอยซื้อของที่ตนเองต้องการเป็นเรื่องสนุก หลายคนมีสติในเรื่องการใช้จ่าย แต่หลายคนก็ขาดสติ ใช้จ่ายจนเกิดความเดือดร้อนในเรื่องเงินทอง ซึ่งมีผลกระทบไปถึงการดำเนินชีวิตด้วย . บ่อยครั้งคนที่เริ่มเดือดร้อนเรื่องเงิน ยังไม่ตระหนักถึงสภานะของตนเอง เพราะไม่มีไฟแดงกระพริบเตือนเป็นสัญญาณให้ทราบว่ากำลังใช้จ่ายเกินตัว กินอยู่เกินฐานะ และชีวิตในอนาคตกำลังจะลำบาก สิ่งที่อาจเป็นตัวแทนของไฟแดงกระพริบได้แก่ (1) รายได้ส่วนหนึ่งถูกใช้ชำระหนี้เพิ่มมากขึ้นทุกที (2) จ่ายเงินชำระหนี้บัตรเครดิตหรือเงินกู้ด้วยจำนวนเงินต่ำที่สุดเท่าที่เจ้าหนี้จะยอมให้ได้ (3) ใช้เงินเต็มวงกู้ของบัตรเครดิต (4) ต้องเอาเงินส่วนที่ตั้งใจไว้ทำอย่างอื่น มาจ่ายชำระเงินตามใบเรียกเก็บเงิน (5) ใช้บัตรเครดิตชำระเงินสำหรับหลายสิ่งทั้ง ๆ ที่แต่เดิมใช้เงินสด (6) ชำระเงินตามใบเรียกเก็บเกินกำหนดเวลาอยู่เนืองๆ (7) ถูกเตือนให้จัดการกับบิลค้างชำระอยู่บ่อย ๆ (8) ทำงานล่วงเวลาหรือหาเงินพิเศษตัวเป็นเกลียวเพื่อหาเงินสดมาชำระบิลที่ส่งมาเรียกเก็บ (9) หากต้องออกจากงานที่ทำอยู่ก็จะเกิดปัญหาการเงินขึ้นมาทันที (10) นึกกังวลถึงเรื่องเงินอยู่เสมอ . สัญญาณข้างต้นไม่จำเป็นต้องมีครบทุกอย่างก็แสดงว่า กำลังกินอย่างเดือดร้อนแล้ว สาเหตุก็มาจากความไม่สมดุลระหว่างรายได้และรายจ่าย หนทางแก้ไขแรกคือ ต้องหารายได้ให้พอกับรายจ่ายที่กำลังเกิดขึ้น หรือพูดอีกอย่างว่า ยกฐานะการเงินขึ้นมาให้ทัดเทียมกับระดับการอยู่กิน หนทางที่สองคือ ลดรายจ่ายลงให้พอดีกับรายได้ หรือลดการอยู่กินลงมาให้พอดีหรือต่ำกว่าฐานะ หรือทั้งสองหนทาง . การแก้ไขด้วยวิธีแรกนั้นยากมาก และไม่มีวันจบสิ้นได้เลย เพราะเคยชินกับการใช้จ่ายสูงจนเสมือนกับไล่จับเงาตัวเอง หามาได้เท่าใดก็ไม่มีวันเพียงพอ การใช้ทั้งสองวิธี หรือใช้วิธีที่สองคือ ลดรายจ่ายลงให้พอดีกับรายได้ มีเหตุมีผลมากกว่า เพราะถึงแม้จะเจ็บปวดแต่ก็กระทำได้ง่ายกว่าการหารายได้ให้เพียงพอกับรายจ่าย และที่สำคัญที่สุด เกิดเป็นมรรคเป็นผลในระยะยาว . อย่างไรก็ดีในการหาทางแก้ไข จะจ้องเข้าใจว่าอะไรเป็นสาเหตุของการอยู่กินอย่างเดือดร้อนของคนไฟแดงกะพริบเหล่านี้ หากมองในภาพรวมก็จะเห็นว่า ปัญหาเริ่มจากความต้องการที่ไม่มีวันพอ เป็นสาเหตุแรก กล่าวคือ ความต้องการมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังที่มาสโลว์ กล่าวไว้ โดยเริ่มต้นจากต้องการบำบัดความหิว ต้องการอยู่รอดอย่างมั่นคงปลอดภัย ต้องการความรักและมีพรรคพวก ต้องการความสำเร็จและได้รับการชื่นชมยอมรับ ต้องการมีความรู้และความเข้าใจ ต้องการความงามและความเป็นระเบียบ สุดท้ายต้องการบรรลุศักยภาพของตนเอง ดังนั้นโดยพื้นฐาน มนุษย์ต้องการการบริโภคมากอยู่แล้ว ซึ่งย่อมทำให้ใช้จ่ายมากขึ้นเป็นเงาตามตัว . สาเหตุที่ 2 คือ ความเข้าใจโลกที่ไม่เหมาะสม หลายคนมักนึกว่าการดำเนินชีวิตของผู้คนและครอบครัวกังที่ปรากฏในสื่อ คือวิถีการดำเนินชีวิตจริงของคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบริโภค การใช้ชีวิต และค่านิยม ดังนั้นเมื่อผู้เสพสื่อเหล่านี้ต้องการเป็นเช่นเดียวกับคนอื่นๆ จึงจำเป็นต้องบริโภคในลักษณะนั้นๆ เพื่อให้ได้ใช้ชีวิต และมีค่านิยมแบบเดียวกัน การเลียนแบบเหล่านี้ ย่อมเกิดค่าใช้จ่ายขึ้นมากมายอีกเช่นกัน . สาเหตุที่ 3 คือ อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบันโทรศัพท์สื่อโซเชี่ยลมิเดียหลายแพลทฟอร์ม เป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลอย่างมาก มีหลายครั้งที่ผู้โฆษณาพยายามบอกผู้ชมว่า ถ้าใช้สินค้านั้น หรือไปสถานที่นี้ ทำอย่างนั้นแล้วจะเป็น “คนมีระดับ” จะทำให้เป็นคนที่สังคมยอมรับ และ “คนปกติ” เขาก็ปฎิบัติเช่นนั้น การสื่อเช่นนี้ทำให้ผู้คนคล้อยตามได้โดยง่าย . ทั้งสามสาเหตุ นำไปสู่การใช้จ่ายที่สูง ดังนั้นการขาดความสมดุลระหว่างรายได้และรายจ่ายจึงเป็นเหตุที่ทำให้คนจำนวนมากอยู่ในสภาวะอยู่กินอย่างเดือดร้อน . ผู้ที่ดื่มด่ำกับการบริโภคในปัจจุบันจนลึมนึกถึงอนาคต ลืมนึกถึงความมั่นคงในชีวิตตนเองและครอบครัวในวันข้างหน้า มักจะนึกเอาว่า เอาไว้อีกสักพักค่อยออมเงินเพื่อสร้างอนาคตก็ได้ แต่ “สักพัก” นั้นก็ไม่มาถึงซักที พร้อมกับจมดิ่งลงไปในหนี้สินที่พอกพูนขึ้นทุกวัน สำหรับคนเหล่านี้ อย่าว่าแต่จะออมได้เลย แค่มีเงินใช้จ่ายให้ตลอดเดือนได้ก็ยากเต็มทีแล้ว . กลุ่มคนเหล่านี้จะหลุดพ้นจากการอยู่กินอย่างเดือดร้อนได้ก็ด้วยหลัก 4 ประการ ดังต่อไปนี้ (1) ต้องมองโลกในแง่ใหม่ ว่าเงินเป็นได้ทั้งมิตรและศัตรู การมีหนี้สินที่ไม่นำไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น เท่ากับเปิดช่องให้เงินเป็นศัตรู โดยทำร้ายตนเองตลอดเวลาด้วยดอกเบี้ย ดังนั้นจึงต้องพยายามแก้ไขให้เงินเป็นมิตรด้วยการมีเงินออมแทน (2) อยู่กินต่ำกว่าฐานะ (3) ทำให้เงินทำงานรับใช้ โดยเริ่มจากการมีเงินออม (4) ควบคุมความต้องการของตนเองโดยยึด “แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง” นั่นคือดำรงตนอย่างมีสติ ไม่ใช้เงินอย่างประมาท รู้จักความพอดี ความพอประมาณ มีเหตุมีผล และมีวุฒิภาวะควบคุมความต้องการของตนเองให้ได้ . การอยู่กินอย่างเดือดร้อน คือการอยู่กินอย่างขาดความหวังว่าชีวิตในอนาคตจะมีความมั่นคงทางการเงิน เป็นการดำรงชีวิตอย่างทุกข์ใจ ต้องนึกถึงแต่เรื่องเงินอยู่ตลอดเวลาจนชีวิตเปราะบาง เอื้อต่อการกระทำที่ผิดจริยธรรม
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • Intel ได้ออกมายอมรับถึงปัญหาการลดประสิทธิภาพของ Arc GPUs เมื่อใช้งานร่วมกับโปรเซสเซอร์รุ่นเก่า เช่น Ryzen 2000 และ Intel Core รุ่นที่ 9 โดยปัญหานี้ส่งผลต่อประสิทธิภาพในบางเกม และ Intel ได้เริ่มการสอบสวนเพื่อแก้ไขปัญหานี้แล้ว แม้ว่า Arc GPUs จะมีฮาร์ดแวร์ที่เทียบเท่ากับคู่แข่ง แต่การขาดการปรับแต่งซอฟต์แวร์ทำให้ประสิทธิภาพลดลงในบางกรณี

    ✅ Intel ยอมรับปัญหาการลดประสิทธิภาพเมื่อใช้งานร่วมกับโปรเซสเซอร์รุ่นเก่า
    - ปัญหานี้ส่งผลต่อประสิทธิภาพในบางเกม โดยเฉพาะเมื่อใช้งานร่วมกับ Ryzen 2000 และ Intel Core รุ่นที่ 9
    - Intel ได้เพิ่มการตรวจสอบและปรับแต่งซอฟต์แวร์เพื่อแก้ไขปัญหา

    ✅ Arc GPUs มีฮาร์ดแวร์ที่เทียบเท่ากับคู่แข่งในตลาด
    - Arc B580 และ B570 มี VRAM มากกว่าคู่แข่ง แต่ยังขาดการปรับแต่งที่เหมาะสม

    ✅ Intel เริ่มการสอบสวนและเพิ่มการปรับแต่งซอฟต์แวร์
    - Intel ระบุว่าจะขยายการปรับแต่งให้ครอบคลุมการใช้งานในหลายแพลตฟอร์ม
    - ยังไม่มีการกำหนดเวลาที่ชัดเจนสำหรับการอัปเดต

    ✅ Arc GPUs มีปัญหาด้านการจัดจำหน่ายและการเข้าถึงในตลาด
    - การขาดแคลนสินค้าในตลาดทำให้ Intel สูญเสียส่วนแบ่งในตลาด GPU


    https://wccftech.com/intel-acknowledges-performintel-acknowledges-performance-degradation-when-arc-gpus-are-paired-with-older-processorsance-degradation-when-arc-gpus-are-paired-with-older-intel-processors-investigation-h/
    Intel ได้ออกมายอมรับถึงปัญหาการลดประสิทธิภาพของ Arc GPUs เมื่อใช้งานร่วมกับโปรเซสเซอร์รุ่นเก่า เช่น Ryzen 2000 และ Intel Core รุ่นที่ 9 โดยปัญหานี้ส่งผลต่อประสิทธิภาพในบางเกม และ Intel ได้เริ่มการสอบสวนเพื่อแก้ไขปัญหานี้แล้ว แม้ว่า Arc GPUs จะมีฮาร์ดแวร์ที่เทียบเท่ากับคู่แข่ง แต่การขาดการปรับแต่งซอฟต์แวร์ทำให้ประสิทธิภาพลดลงในบางกรณี ✅ Intel ยอมรับปัญหาการลดประสิทธิภาพเมื่อใช้งานร่วมกับโปรเซสเซอร์รุ่นเก่า - ปัญหานี้ส่งผลต่อประสิทธิภาพในบางเกม โดยเฉพาะเมื่อใช้งานร่วมกับ Ryzen 2000 และ Intel Core รุ่นที่ 9 - Intel ได้เพิ่มการตรวจสอบและปรับแต่งซอฟต์แวร์เพื่อแก้ไขปัญหา ✅ Arc GPUs มีฮาร์ดแวร์ที่เทียบเท่ากับคู่แข่งในตลาด - Arc B580 และ B570 มี VRAM มากกว่าคู่แข่ง แต่ยังขาดการปรับแต่งที่เหมาะสม ✅ Intel เริ่มการสอบสวนและเพิ่มการปรับแต่งซอฟต์แวร์ - Intel ระบุว่าจะขยายการปรับแต่งให้ครอบคลุมการใช้งานในหลายแพลตฟอร์ม - ยังไม่มีการกำหนดเวลาที่ชัดเจนสำหรับการอัปเดต ✅ Arc GPUs มีปัญหาด้านการจัดจำหน่ายและการเข้าถึงในตลาด - การขาดแคลนสินค้าในตลาดทำให้ Intel สูญเสียส่วนแบ่งในตลาด GPU https://wccftech.com/intel-acknowledges-performintel-acknowledges-performance-degradation-when-arc-gpus-are-paired-with-older-processorsance-degradation-when-arc-gpus-are-paired-with-older-intel-processors-investigation-h/
    WCCFTECH.COM
    Intel Acknowledges Performance Degradation When Arc GPUs Are Paired With Older Processors; Investigation Has Been Started
    Intel is working on finding a fix for the performance degradation when the Intel Arc GPUs are paired with older Intel and AMD processors.
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน Erlang/OTP SSH ซึ่งเป็นชุดไลบรารีสำหรับการเขียนโปรแกรมภาษา Erlang โดยช่องโหว่นี้มีความรุนแรงระดับ 10/10 และสามารถถูกโจมตีเพื่อ Remote Code Execution (RCE) ได้อย่างง่ายดาย นักวิจัยแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตแพตช์เพื่อป้องกันการโจมตี เนื่องจากช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อทุกเวอร์ชันของ Erlang/OTP SSH

    ✅ ช่องโหว่มีความรุนแรงระดับ 10/10 และสามารถถูกโจมตีได้ง่าย
    - ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการข้อความโปรโตคอล SSH ก่อนการยืนยันตัวตนที่ไม่เหมาะสม
    - นักวิจัยจาก Ruhr University Bochum พบว่าแฮกเกอร์สามารถส่งข้อความโปรโตคอลเพื่อโจมตีระบบได้

    ✅ ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อทุกเวอร์ชันของ Erlang/OTP SSH
    - ผู้ใช้ควรอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 25.3.2.10 หรือ 26.2.4 เพื่อป้องกันการโจมตี

    ✅ นักวิจัยจาก Horizon3 Attack Team พบว่าการโจมตีช่องโหว่นี้ทำได้ง่ายมาก
    - ทีมงานได้สร้าง Proof of Concept (PoC) เพื่อแสดงให้เห็นถึงความง่ายในการโจมตี

    ✅ Erlang/OTP SSH เป็นโมดูลที่ใช้ในระบบที่ต้องการความปลอดภัยสูง
    - ใช้ในระบบโทรคมนาคม ฐานข้อมูล และระบบที่ต้องการความเสถียรและการขยายตัว

    https://www.techradar.com/pro/security/a-critical-erlang-otp-security-flaw-is-surprisingly-easy-to-exploit-so-patch-now
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน Erlang/OTP SSH ซึ่งเป็นชุดไลบรารีสำหรับการเขียนโปรแกรมภาษา Erlang โดยช่องโหว่นี้มีความรุนแรงระดับ 10/10 และสามารถถูกโจมตีเพื่อ Remote Code Execution (RCE) ได้อย่างง่ายดาย นักวิจัยแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตแพตช์เพื่อป้องกันการโจมตี เนื่องจากช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อทุกเวอร์ชันของ Erlang/OTP SSH ✅ ช่องโหว่มีความรุนแรงระดับ 10/10 และสามารถถูกโจมตีได้ง่าย - ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการข้อความโปรโตคอล SSH ก่อนการยืนยันตัวตนที่ไม่เหมาะสม - นักวิจัยจาก Ruhr University Bochum พบว่าแฮกเกอร์สามารถส่งข้อความโปรโตคอลเพื่อโจมตีระบบได้ ✅ ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อทุกเวอร์ชันของ Erlang/OTP SSH - ผู้ใช้ควรอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 25.3.2.10 หรือ 26.2.4 เพื่อป้องกันการโจมตี ✅ นักวิจัยจาก Horizon3 Attack Team พบว่าการโจมตีช่องโหว่นี้ทำได้ง่ายมาก - ทีมงานได้สร้าง Proof of Concept (PoC) เพื่อแสดงให้เห็นถึงความง่ายในการโจมตี ✅ Erlang/OTP SSH เป็นโมดูลที่ใช้ในระบบที่ต้องการความปลอดภัยสูง - ใช้ในระบบโทรคมนาคม ฐานข้อมูล และระบบที่ต้องการความเสถียรและการขยายตัว https://www.techradar.com/pro/security/a-critical-erlang-otp-security-flaw-is-surprisingly-easy-to-exploit-so-patch-now
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • บทความนี้รายงานเกี่ยวกับการพบข้อมูลการจัดส่งของ Ryzen Threadripper 9985WX ซึ่งเป็นซีพียูรุ่นใหม่จาก AMD ที่มี 64 คอร์ พร้อมกับรุ่นอื่นๆ เช่น 16 คอร์ และ 12 คอร์ โดยข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่าซีพียูเหล่านี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและทดสอบ ซึ่งอาจเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2025

    ✅ Ryzen Threadripper 9985WX มี 64 คอร์และ 128 เธรด
    - ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 พร้อมแคช L3 ขนาด 384MB และ L2 ขนาด 96MB
    - รองรับซ็อกเก็ต SP6 (sTR5) และมี TDP 350 วัตต์

    ✅ AMD วางแผนเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในครอบครัว Shimada Peak
    - ซีพียูในซีรีส์นี้จะมีตั้งแต่ 12 คอร์ ไปจนถึง 96 คอร์
    - คาดว่าจะเปิดตัวในงาน Computex หรือช่วงครึ่งหลังของปี 2025

    ✅ ซีพียูรุ่นใหม่รองรับการใช้งานในกลุ่ม HEDT และ Workstation
    - เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการ PCIe lanes จำนวนมาก และ ช่องทางหน่วยความจำที่หลากหลาย
    - มีตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการซีพียูที่มีคอร์จำนวนมาก

    ✅ การออกแบบที่เน้นประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น
    - ซีพียูรุ่น 12 คอร์และ 16 คอร์ใช้ CCD ที่มีคอร์บางส่วนถูกปิดการใช้งานเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/64-core-ryzen-threadripper-9985wx-spotted-in-shipping-manifests-16-and-12-core-siblings-also-spotted
    บทความนี้รายงานเกี่ยวกับการพบข้อมูลการจัดส่งของ Ryzen Threadripper 9985WX ซึ่งเป็นซีพียูรุ่นใหม่จาก AMD ที่มี 64 คอร์ พร้อมกับรุ่นอื่นๆ เช่น 16 คอร์ และ 12 คอร์ โดยข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่าซีพียูเหล่านี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและทดสอบ ซึ่งอาจเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ✅ Ryzen Threadripper 9985WX มี 64 คอร์และ 128 เธรด - ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 พร้อมแคช L3 ขนาด 384MB และ L2 ขนาด 96MB - รองรับซ็อกเก็ต SP6 (sTR5) และมี TDP 350 วัตต์ ✅ AMD วางแผนเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในครอบครัว Shimada Peak - ซีพียูในซีรีส์นี้จะมีตั้งแต่ 12 คอร์ ไปจนถึง 96 คอร์ - คาดว่าจะเปิดตัวในงาน Computex หรือช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ✅ ซีพียูรุ่นใหม่รองรับการใช้งานในกลุ่ม HEDT และ Workstation - เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการ PCIe lanes จำนวนมาก และ ช่องทางหน่วยความจำที่หลากหลาย - มีตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการซีพียูที่มีคอร์จำนวนมาก ✅ การออกแบบที่เน้นประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น - ซีพียูรุ่น 12 คอร์และ 16 คอร์ใช้ CCD ที่มีคอร์บางส่วนถูกปิดการใช้งานเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/64-core-ryzen-threadripper-9985wx-spotted-in-shipping-manifests-16-and-12-core-siblings-also-spotted
    0 Comments 0 Shares 89 Views 0 Reviews
  • ทีมงานการพนันลับในเท็กซัสได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้ารางวัล แจ็กพอตลอตเตอรี่เท็กซัสมูลค่า $95 ล้าน โดยการซื้อ ทุกความเป็นไปได้ของหมายเลข ซึ่งเป็นแนวทางที่เคยถูกคิดว่าเป็นไปไม่ได้ การชนะครั้งนี้ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับ ความถูกต้องทางกฎหมายและความเหมาะสมทางจริยธรรม และยังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบลอตเตอรี่ในเท็กซัสเพื่อลดความเป็นไปได้ของวิธีการดังกล่าวในอนาคต

    ✅ ทีมงานซื้อทุกความเป็นไปได้ของหมายเลขเพื่อรับประกันชัยชนะ
    - แผนการนี้เริ่มต้นในปี 2023 โดย Bernard Marantelli และ Zeljko Ranogajec ซึ่งเป็นนักพนันที่มีชื่อเสียง
    - พวกเขาใช้ เครื่องพิมพ์ตั๋วลอตเตอรี่แบบพิเศษ ในการพิมพ์ตั๋วทุกชุดหมายเลขอย่างต่อเนื่อง

    ✅ พวกเขาประสบความสำเร็จในการซื้อ 99.3% ของชุดหมายเลขทั้งหมด
    - หมายเลขที่ชนะเป็น หมายเลขเดียวที่ถูกรางวัล ทำให้ทีมได้รับกำไรประมาณ $20 ล้าน หลังหักค่าใช้จ่าย

    ✅ การซื้อจำนวนมากนำไปสู่การสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่รัฐเท็กซัส
    - การสอบสวนเกี่ยวข้องกับ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายและข้อจำกัดใหม่สำหรับระบบลอตเตอรี่ เช่น การอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อลดจำนวนตั๋วที่สามารถพิมพ์ได้ในหนึ่งวัน

    ✅ การกระทำนี้ถูกกฎหมาย แต่ถูกตั้งคำถามด้านจริยธรรม
    - ผู้ว่าการรัฐและสมาชิกสภาตั้งข้อสังเกตว่า ระบบลอตเตอรี่ควรมีมาตรการเพื่อปกป้องผู้เล่นทั่วไป

    https://www.techspot.com/news/107606-how-secret-gambling-syndicate-won-95-million-texas.html
    ทีมงานการพนันลับในเท็กซัสได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้ารางวัล แจ็กพอตลอตเตอรี่เท็กซัสมูลค่า $95 ล้าน โดยการซื้อ ทุกความเป็นไปได้ของหมายเลข ซึ่งเป็นแนวทางที่เคยถูกคิดว่าเป็นไปไม่ได้ การชนะครั้งนี้ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับ ความถูกต้องทางกฎหมายและความเหมาะสมทางจริยธรรม และยังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบลอตเตอรี่ในเท็กซัสเพื่อลดความเป็นไปได้ของวิธีการดังกล่าวในอนาคต ✅ ทีมงานซื้อทุกความเป็นไปได้ของหมายเลขเพื่อรับประกันชัยชนะ - แผนการนี้เริ่มต้นในปี 2023 โดย Bernard Marantelli และ Zeljko Ranogajec ซึ่งเป็นนักพนันที่มีชื่อเสียง - พวกเขาใช้ เครื่องพิมพ์ตั๋วลอตเตอรี่แบบพิเศษ ในการพิมพ์ตั๋วทุกชุดหมายเลขอย่างต่อเนื่อง ✅ พวกเขาประสบความสำเร็จในการซื้อ 99.3% ของชุดหมายเลขทั้งหมด - หมายเลขที่ชนะเป็น หมายเลขเดียวที่ถูกรางวัล ทำให้ทีมได้รับกำไรประมาณ $20 ล้าน หลังหักค่าใช้จ่าย ✅ การซื้อจำนวนมากนำไปสู่การสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่รัฐเท็กซัส - การสอบสวนเกี่ยวข้องกับ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายและข้อจำกัดใหม่สำหรับระบบลอตเตอรี่ เช่น การอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อลดจำนวนตั๋วที่สามารถพิมพ์ได้ในหนึ่งวัน ✅ การกระทำนี้ถูกกฎหมาย แต่ถูกตั้งคำถามด้านจริยธรรม - ผู้ว่าการรัฐและสมาชิกสภาตั้งข้อสังเกตว่า ระบบลอตเตอรี่ควรมีมาตรการเพื่อปกป้องผู้เล่นทั่วไป https://www.techspot.com/news/107606-how-secret-gambling-syndicate-won-95-million-texas.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    How a secret gambling syndicate won a $95 million Texas lottery by buying every number combination
    The story started in the spring of 2023, when London banker-turned-bookmaker Bernard Marantelli wanted to buy every ticket combination in an upcoming Texas lottery to guarantee the...
    0 Comments 0 Shares 98 Views 0 Reviews
  • เรื่องงาน World Expo ที่โอซาก้า มี feedback หลากหลาย เด่นสุดของคนที่เข้าชมให้ความเห็นตรงกันว่า มีความสวยด้านสถาปัตยกรรม แต่การสื่อสาร เมสเสจที่อยากจะสื่อกลับเป็นในรูปแบบ "เปลือกเอกชน เนื้อในข้าราชการ" การนำเสนอไม่เชื่อมโยง และหน่วยงานนั้นคือกระทรวงสาธารณสุขที่ใช้งบประมาณไปทำกว่า 1,000 ล้าน!เหตุผลที่บอกว่าต้องเป็นสธ. เพื่อไปโฆษณา medical hub, wellness ในขณะที่ไทยตอนนี้ข่าวที่ลุกโชนที่สุดคือข่าวบุคลากรทางการแพทย์แห่กันลาออกรัฐมนตรีของสวีเดนเคยพูดว่า หมอ 1 คนที่ออกไปรักษาคนไข้เอกชน-wellness คือหมอ 1 คนที่สูญเสียไปจากการรักษาคนไข้ในระบบรัฐ ในขณะที่ไทยโหมโฆษณาเรื่อง medical hub ได้มองเรื่องการโยกย้ายของแรงงานภาคสุขภาพหรือไม่? โรงพยาบาลภาครัฐปัจจุบันนี้ คนไข้คนไทยอาการหนักยังหาเตียงแทบไม่ได้ OPD ยังต้องต่อคิวเกือบทั้งวัน ในขณะที่โรงพยาบาลเอกชนที่รัฐพยายามพาไปโฆษณา กำไรปีละ 4,000 ล้านต่อปี และผู้ถือหุ้น ก็แทบจะต่างประเทศเกือบหมดงบ 1,000 ล้านนี้ เราทำอะไรได้บ้าง- งบ 1,000 ล้านนี้ คืองบประมาณคนไข้ล้างไตเกือบปีของประกันสังคม- 55 เท่าของงบประมาณดูแลสุขภาพจิตของเด็กในโรงเรียนทั้งประเทศ- เกือบ 1,000 เท่า ของงบที่ไว้รับมือ PM2.5 ของสธ.- งบประมาณที่จ้างหมอเต็มเวลาได้อีก 1,660 คน/ปี- เป็นค่าแรงที่กดขี่จนแย่กว่าค่าแรงขั้นต่ำตามพรบ.คุ้มครองแรงงานของพี่ๆผู้ช่วยพยาบาลมากถึง 7,200 คนต่อปีการลงทุนในการโปรโมทประเทศไทยเป็นเรื่องดี แต่ต้องระวังในการสื่อสารและใช้งบประมาณให้เหมาะสม ท่ามกลางข่าววิกฤตศรัทธาในรัฐข้าราชการ การใช้งบประมาณระดับพันล้านเพื่อโปรโมทในเรื่องที่อนาคตจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพไปอีก ต้องทำอย่างระมัดระวังและไม่เหยียบหัวคนทำงานหน้างานจนรู้สึกว่า เงินเดือนจากงานที่เขาทำจนเผาเวลาชีวิต ร่างกายไป เป็นเพียงเศษเงินเมื่อเทียบกับโครงการใช้ครั้งเดียวจบของกระทรวงเพิ่มเติม: มีเรื่องที่มาบริษัทที่รับทำ เป็นการสรรหาแบบจำเพาะเจาะจง ต้องติดตามว่า บริษัทที่รับจัดงาน 800 ล้านจากภาษีเราเป็นใคร———— ขอขอบคุณ คุณหมอนิรนามที่ส่งมาให้ครับ
    เรื่องงาน World Expo ที่โอซาก้า มี feedback หลากหลาย เด่นสุดของคนที่เข้าชมให้ความเห็นตรงกันว่า มีความสวยด้านสถาปัตยกรรม แต่การสื่อสาร เมสเสจที่อยากจะสื่อกลับเป็นในรูปแบบ "เปลือกเอกชน เนื้อในข้าราชการ" การนำเสนอไม่เชื่อมโยง และหน่วยงานนั้นคือกระทรวงสาธารณสุขที่ใช้งบประมาณไปทำกว่า 1,000 ล้าน!เหตุผลที่บอกว่าต้องเป็นสธ. เพื่อไปโฆษณา medical hub, wellness ในขณะที่ไทยตอนนี้ข่าวที่ลุกโชนที่สุดคือข่าวบุคลากรทางการแพทย์แห่กันลาออกรัฐมนตรีของสวีเดนเคยพูดว่า หมอ 1 คนที่ออกไปรักษาคนไข้เอกชน-wellness คือหมอ 1 คนที่สูญเสียไปจากการรักษาคนไข้ในระบบรัฐ ในขณะที่ไทยโหมโฆษณาเรื่อง medical hub ได้มองเรื่องการโยกย้ายของแรงงานภาคสุขภาพหรือไม่? โรงพยาบาลภาครัฐปัจจุบันนี้ คนไข้คนไทยอาการหนักยังหาเตียงแทบไม่ได้ OPD ยังต้องต่อคิวเกือบทั้งวัน ในขณะที่โรงพยาบาลเอกชนที่รัฐพยายามพาไปโฆษณา กำไรปีละ 4,000 ล้านต่อปี และผู้ถือหุ้น ก็แทบจะต่างประเทศเกือบหมดงบ 1,000 ล้านนี้ เราทำอะไรได้บ้าง- งบ 1,000 ล้านนี้ คืองบประมาณคนไข้ล้างไตเกือบปีของประกันสังคม- 55 เท่าของงบประมาณดูแลสุขภาพจิตของเด็กในโรงเรียนทั้งประเทศ- เกือบ 1,000 เท่า ของงบที่ไว้รับมือ PM2.5 ของสธ.- งบประมาณที่จ้างหมอเต็มเวลาได้อีก 1,660 คน/ปี- เป็นค่าแรงที่กดขี่จนแย่กว่าค่าแรงขั้นต่ำตามพรบ.คุ้มครองแรงงานของพี่ๆผู้ช่วยพยาบาลมากถึง 7,200 คนต่อปีการลงทุนในการโปรโมทประเทศไทยเป็นเรื่องดี แต่ต้องระวังในการสื่อสารและใช้งบประมาณให้เหมาะสม ท่ามกลางข่าววิกฤตศรัทธาในรัฐข้าราชการ การใช้งบประมาณระดับพันล้านเพื่อโปรโมทในเรื่องที่อนาคตจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพไปอีก ต้องทำอย่างระมัดระวังและไม่เหยียบหัวคนทำงานหน้างานจนรู้สึกว่า เงินเดือนจากงานที่เขาทำจนเผาเวลาชีวิต ร่างกายไป เป็นเพียงเศษเงินเมื่อเทียบกับโครงการใช้ครั้งเดียวจบของกระทรวงเพิ่มเติม: มีเรื่องที่มาบริษัทที่รับทำ เป็นการสรรหาแบบจำเพาะเจาะจง ต้องติดตามว่า บริษัทที่รับจัดงาน 800 ล้านจากภาษีเราเป็นใคร———— ขอขอบคุณ คุณหมอนิรนามที่ส่งมาให้ครับ
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 10 ทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับเงิน
    .
    สุภาษิตจีนบอกว่า หากจะกินผลไม้ที่ปลูกเองอย่างเร็วที่สุดก็ต้องปลูกวันนี้เลย ถ้าจะให้ผลิดอกออกผลอย่างดีแล้ว ก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของมันตั้งแต่แรก และวางแผนก่อนลงมือปลูกว่าจะปลูกที่ใด ห่างจากต้นไม้อื่นมากน้อยแค่ไหน การผลิดอกออกผลของเงินก็เหมือนกัน จำเป็นต้องเข้าใจธรรมชาติของมัน และวางแผนเพื่อความมั่นคงที่จะได้ดอกผล
    .
    มีความตรงหลายประเด็นที่ควรทำความเข้าใจ นั่นคือเงินเป็นได้ทั้งนาย ทาส มิตร และศัตรู ถ้าผู้ใดยอมให้เงินเป็นนาย ชีวิตก็จะอับเฉา เพราะจริยธรรมจะเป็นเรื่องรองจากการแสวงหาเงินทอง การใช้เล่ห์เพทุบายฉ้อฉลคดโกงจะเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของคนเหล่านี้ เพราะสามารถกระทำได้ทุกสิ่งเพียงให้ได้เงิน แต่ถ้าเห็นว่าเงินมิใช่เรื่องใหญ่ที่สุด และสามารถมีวินัยควบคุมตนเองให้มีอำนาจเหนือเงินได้แล้ว เงินก็จะเป็นทาสรับใช้และเป็นมิตรไปพร้อมๆกันด้วย เพราะเงินจะทำงานรับใช้ตลอดเวลา โดยจะหาเงินมาให้จากการที่ได้เอาเงินไปลงทุนไว้
    .
    การที่เงินเป็นศัตรูนั้นเกิดขึ้นเมื่อต้องกู้หนี้ยืมสิน เพราะจำเป็นต้องใช้เงินในขณะที่เงินในมือมีไม่พอ ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็คือการเป็นศัตรูของเงิน เพราะมันจะทิ่มแทงผู้กู้ตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น การเลือกให้เงินเป็นทาสและให้เงินเป็นมิตรจึงเป็นสิ่งพึงประสงค์กว่ากรณีเงินเป็นนายและศัตรู
    .
    นอกจากนี้การใช้เงินที่เหมาะสมในแต่ละเดือนนั้น ควรมีลำดับความสำคัญเรียงลงไปดังนี้ (1) ค่าใช้จ่ายในการครองชีพ ซึ่งได้แก่ค่าอาหาร ค่าพาหนะ ค่าเสื้อผ้า ค่าหย่อนใจ สิ่งเหล่านี้สำคัญที่สุดเพราะเป็นค่าใช้จ่ายที่ทำให้มีชีวิตอยู่รอด (2) กันเงินส่วนหนึ่งไว้สำรองฉุกเฉินในรูปของเงินฝากออมทรัพย์ หรือการลงทุนระยะสั้นที่สามารถถอนมาใช้ได้ทันกาล (3) จ่ายภาระหนี้สินที่จำเป็น เช่น เงินผ่อนชำระหนี้เพื่อการบริโภค (หนี้บัตรเครดิต) และเพื่อการศึกษา และ (4) หักเงินไว้สำหรับแผนการในอนาคตที่สำคัญเพื่อการมีชีวิตที่มีความสุขสบายและมั่นคง เช่น ค่าดาวน์บ้าน ค่าดาวน์รถยนต์ ทุนการศึกษาของลูก ค่าภาษีปลายปี เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือเงินอย่างอื่นเพื่อเป็นทุนตอนเกษียฯอายุ (5) หักเบี้ยประกันชีวิต ประกันรถยนต์ และค่าประกันอื่นๆ เพื่อความมั่นคงในชีวิต การประกันเหล่านี้แท้จริงแล้วก็คือการประกันเงินออมทางอ้อมนั่นเอง เพราะหากไม่มีการประกันแล้ว เหตุการณ์ที่ทำให้เสียเงินมากๆ โดยไม่คาดฝันจะทำให้ต้องเอาเงินออมออกมาใช้จนอาจหมดไปก็เป็นได้
    .
    รายจ่ายทั้ง 5 รายการนี้ปนเปกันอยู่ทั้งรายจ่ายเพื่อการบริโภคและเงินออม (ค่าดาวน์บ้าน ทุนการศึกษา ค่าดาวน์รถยนต์ เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ) สิ่งสำคัญก็คือ ในภาพรวมของช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น หนึ่งปี รายจ่ายเพื่อการบริโภครวมกันไม่ควรเกินร้อยละ 85 ซึ่งหมายถึงมีเงินออมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 นั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันถือว่าเป็นอัตราต่ำสุดของการออม
    .
    เงินมีแขนขา มีพลวัตไม่หยุดนิ่ง การมีรายได้น้อยแต่ยังพอมีชีวิตอยู่รอดด้วยปัจจัยสี่ระดับพื้นฐาน มิได้หมายความว่าขาดโอกาสในการสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิต ถ้าหากสามารถกันเงินส่วนหนึ่งออกจากรายได้ก่อนการบริโภค ก็จะทำให้มีเงินออมเป็นทุนเริ่มต้น
    .
    การออมทำได้หลายวิธี ดังนี้
    .
    (1) เก็บเงินแบบเพิ่มสิบ กล่าวคือเมื่อใดก็ตามที่ใช้เงินออกไป ให้บวกยอดเงินเข้าไปอีกร้อยละ 10 เช่น ถ้าซื้อของ 100 บาท ก็ให้เก็บเงินไว้อีก 10 บาทเสมอ ถ้าทำอย่างนี้เป็นประจำ ไม่ว่าจะจ่ายออกไปมากน้อยเพียงใด ก็จะมีเงินออมร้อยละ 10 อยู่ในมือเสมอ ข้อดีของมันคล้ายกับมีภาษีเก็บเพิ่มนั่นเอง เช่น เมื่อจะซื้อของราคา 500 บาท ก็จะเกิดความคิดว่าราคาของมันคือ 550 บาท ดังนั้น การใช้จ่ายก็จะน้อยลงไปด้วยโดยอัตโนมัติ
    (2) เก็บเงินแบบลบสิบ กล่าวคือ หักเงินร้อยละ 10 ของเงินเดือนทันทีที่ได้รับมาเป็นเงินออม โดยอาจเป็นการสั่งให้หักเงินเดือนเข้าอีกบัญชีหนึ่งในอัตราร้อยละ 10 ของรายได้ทุกเดือน การกระทำเช่นนี้ก็จะทำให้มีเงินออมร้อยละ 10 ของรายได้ทุกเดือน
    (3) กำหนดการออมแต่ละวันไว้ตายตัว เช่น แต่ละเดือนเก็บเงินออมวันละ 15 บาททุกวัน โดยรวมกันทั้งเดือนอย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่าร้อยละ 10 ของเงินเดือน และหากเป็นไปได้ไม่ควรออมต่ำกว่าร้อยละ 15 ของรายได้ก่อนหักภาษี
    .
    ทั้ง 3 วิธีนี้จะทำให้เก็บเงินได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของเงินเดือน ซึ่งเงินออมทั้งหมดนี้มีแขนขาที่สามารถงอกเงยออกไปได้อย่างไม่หยุดยั่ง ขอยกตัวอย่างตัวเลขให้ดูดังนี้ การออมวันละ 15 บาท และนำฝากธนาคารทุกวันอย่างสม่ำเสมอด้วยอัตราดอกเบี้ยทยต้นร้อยละ 10 ต่อปี ในเวลา 13 ปี จะมีเงินก้อน 100,000 บาท (เงินออมจริงๆคือ 71,175 บาท ดอกเบี้ยคือ 28,825 บาท)
    .
    เงินก้อนนี้สามารถนำไปดาวน์บ้านหรือลงทุนเพื่อให้เกิดความสุขสบายโดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านอีกต่อไป หรือได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนซึ่งสามารถทำให้เงินงอกเงยขึ้นได้
    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 10 ทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับเงิน . สุภาษิตจีนบอกว่า หากจะกินผลไม้ที่ปลูกเองอย่างเร็วที่สุดก็ต้องปลูกวันนี้เลย ถ้าจะให้ผลิดอกออกผลอย่างดีแล้ว ก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของมันตั้งแต่แรก และวางแผนก่อนลงมือปลูกว่าจะปลูกที่ใด ห่างจากต้นไม้อื่นมากน้อยแค่ไหน การผลิดอกออกผลของเงินก็เหมือนกัน จำเป็นต้องเข้าใจธรรมชาติของมัน และวางแผนเพื่อความมั่นคงที่จะได้ดอกผล . มีความตรงหลายประเด็นที่ควรทำความเข้าใจ นั่นคือเงินเป็นได้ทั้งนาย ทาส มิตร และศัตรู ถ้าผู้ใดยอมให้เงินเป็นนาย ชีวิตก็จะอับเฉา เพราะจริยธรรมจะเป็นเรื่องรองจากการแสวงหาเงินทอง การใช้เล่ห์เพทุบายฉ้อฉลคดโกงจะเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของคนเหล่านี้ เพราะสามารถกระทำได้ทุกสิ่งเพียงให้ได้เงิน แต่ถ้าเห็นว่าเงินมิใช่เรื่องใหญ่ที่สุด และสามารถมีวินัยควบคุมตนเองให้มีอำนาจเหนือเงินได้แล้ว เงินก็จะเป็นทาสรับใช้และเป็นมิตรไปพร้อมๆกันด้วย เพราะเงินจะทำงานรับใช้ตลอดเวลา โดยจะหาเงินมาให้จากการที่ได้เอาเงินไปลงทุนไว้ . การที่เงินเป็นศัตรูนั้นเกิดขึ้นเมื่อต้องกู้หนี้ยืมสิน เพราะจำเป็นต้องใช้เงินในขณะที่เงินในมือมีไม่พอ ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็คือการเป็นศัตรูของเงิน เพราะมันจะทิ่มแทงผู้กู้ตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น การเลือกให้เงินเป็นทาสและให้เงินเป็นมิตรจึงเป็นสิ่งพึงประสงค์กว่ากรณีเงินเป็นนายและศัตรู . นอกจากนี้การใช้เงินที่เหมาะสมในแต่ละเดือนนั้น ควรมีลำดับความสำคัญเรียงลงไปดังนี้ (1) ค่าใช้จ่ายในการครองชีพ ซึ่งได้แก่ค่าอาหาร ค่าพาหนะ ค่าเสื้อผ้า ค่าหย่อนใจ สิ่งเหล่านี้สำคัญที่สุดเพราะเป็นค่าใช้จ่ายที่ทำให้มีชีวิตอยู่รอด (2) กันเงินส่วนหนึ่งไว้สำรองฉุกเฉินในรูปของเงินฝากออมทรัพย์ หรือการลงทุนระยะสั้นที่สามารถถอนมาใช้ได้ทันกาล (3) จ่ายภาระหนี้สินที่จำเป็น เช่น เงินผ่อนชำระหนี้เพื่อการบริโภค (หนี้บัตรเครดิต) และเพื่อการศึกษา และ (4) หักเงินไว้สำหรับแผนการในอนาคตที่สำคัญเพื่อการมีชีวิตที่มีความสุขสบายและมั่นคง เช่น ค่าดาวน์บ้าน ค่าดาวน์รถยนต์ ทุนการศึกษาของลูก ค่าภาษีปลายปี เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือเงินอย่างอื่นเพื่อเป็นทุนตอนเกษียฯอายุ (5) หักเบี้ยประกันชีวิต ประกันรถยนต์ และค่าประกันอื่นๆ เพื่อความมั่นคงในชีวิต การประกันเหล่านี้แท้จริงแล้วก็คือการประกันเงินออมทางอ้อมนั่นเอง เพราะหากไม่มีการประกันแล้ว เหตุการณ์ที่ทำให้เสียเงินมากๆ โดยไม่คาดฝันจะทำให้ต้องเอาเงินออมออกมาใช้จนอาจหมดไปก็เป็นได้ . รายจ่ายทั้ง 5 รายการนี้ปนเปกันอยู่ทั้งรายจ่ายเพื่อการบริโภคและเงินออม (ค่าดาวน์บ้าน ทุนการศึกษา ค่าดาวน์รถยนต์ เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ) สิ่งสำคัญก็คือ ในภาพรวมของช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น หนึ่งปี รายจ่ายเพื่อการบริโภครวมกันไม่ควรเกินร้อยละ 85 ซึ่งหมายถึงมีเงินออมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 นั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันถือว่าเป็นอัตราต่ำสุดของการออม . เงินมีแขนขา มีพลวัตไม่หยุดนิ่ง การมีรายได้น้อยแต่ยังพอมีชีวิตอยู่รอดด้วยปัจจัยสี่ระดับพื้นฐาน มิได้หมายความว่าขาดโอกาสในการสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิต ถ้าหากสามารถกันเงินส่วนหนึ่งออกจากรายได้ก่อนการบริโภค ก็จะทำให้มีเงินออมเป็นทุนเริ่มต้น . การออมทำได้หลายวิธี ดังนี้ . (1) เก็บเงินแบบเพิ่มสิบ กล่าวคือเมื่อใดก็ตามที่ใช้เงินออกไป ให้บวกยอดเงินเข้าไปอีกร้อยละ 10 เช่น ถ้าซื้อของ 100 บาท ก็ให้เก็บเงินไว้อีก 10 บาทเสมอ ถ้าทำอย่างนี้เป็นประจำ ไม่ว่าจะจ่ายออกไปมากน้อยเพียงใด ก็จะมีเงินออมร้อยละ 10 อยู่ในมือเสมอ ข้อดีของมันคล้ายกับมีภาษีเก็บเพิ่มนั่นเอง เช่น เมื่อจะซื้อของราคา 500 บาท ก็จะเกิดความคิดว่าราคาของมันคือ 550 บาท ดังนั้น การใช้จ่ายก็จะน้อยลงไปด้วยโดยอัตโนมัติ (2) เก็บเงินแบบลบสิบ กล่าวคือ หักเงินร้อยละ 10 ของเงินเดือนทันทีที่ได้รับมาเป็นเงินออม โดยอาจเป็นการสั่งให้หักเงินเดือนเข้าอีกบัญชีหนึ่งในอัตราร้อยละ 10 ของรายได้ทุกเดือน การกระทำเช่นนี้ก็จะทำให้มีเงินออมร้อยละ 10 ของรายได้ทุกเดือน (3) กำหนดการออมแต่ละวันไว้ตายตัว เช่น แต่ละเดือนเก็บเงินออมวันละ 15 บาททุกวัน โดยรวมกันทั้งเดือนอย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่าร้อยละ 10 ของเงินเดือน และหากเป็นไปได้ไม่ควรออมต่ำกว่าร้อยละ 15 ของรายได้ก่อนหักภาษี . ทั้ง 3 วิธีนี้จะทำให้เก็บเงินได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของเงินเดือน ซึ่งเงินออมทั้งหมดนี้มีแขนขาที่สามารถงอกเงยออกไปได้อย่างไม่หยุดยั่ง ขอยกตัวอย่างตัวเลขให้ดูดังนี้ การออมวันละ 15 บาท และนำฝากธนาคารทุกวันอย่างสม่ำเสมอด้วยอัตราดอกเบี้ยทยต้นร้อยละ 10 ต่อปี ในเวลา 13 ปี จะมีเงินก้อน 100,000 บาท (เงินออมจริงๆคือ 71,175 บาท ดอกเบี้ยคือ 28,825 บาท) . เงินก้อนนี้สามารถนำไปดาวน์บ้านหรือลงทุนเพื่อให้เกิดความสุขสบายโดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านอีกต่อไป หรือได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนซึ่งสามารถทำให้เงินงอกเงยขึ้นได้
    0 Comments 0 Shares 150 Views 0 Reviews
  • 258 ปี สิ้น “ขุนหลวงขี้เรื้อน” จุดจบราชวงศ์บ้านพลูหลวง 👑 ราชบัลลังก์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา และชะตากรรมที่โลกไม่ลืม

    เส้นทางชีวิตของพระเจ้าเอกทัศ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา กับบทสรุปแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผู้ที่ถูกเรียกขานว่า “ขุนหลวงขี้เรื้อน” 📜

    ประวัติศาสตร์ไทยต้องจารึก การสิ้นสุดของราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผ่านพระเจ้าเอกทัศ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนาม “ขุนหลวงขี้เรื้อน” กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา กับเรื่องราวชีวิตที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง โรคร้าย และโศกนาฏกรรมแห่งชาติ 🇹🇭📖

    🕰️ ประวัติศาสตร์ไม่เคยหลับใหล 🕰️ 258 ปี ผ่านไป นับแต่วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2310 เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก ครั้งที่สอง ชาติไทยได้สูญเสียสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ นั่นคือเอกราชแห่งแผ่นดิน และราชวงศ์ที่ปกครองสืบเนื่อง มายาวนานกว่า 400 ปี

    หนึ่งในผู้ที่มีบทบาทสำคัญในห้วงเวลานี้คือ “พระเจ้าเอกทัศ” หรือที่ราษฎรทั่วไปเรียกว่า “ขุนหลวงขี้เรื้อน” ชื่อที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด เย้ยหยัน และประวัติศาสตร์ที่แสนซับซ้อน ของกษัตริย์องค์สุดท้าย แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผู้สิ้นราชย์ ในห้วงยามแห่งความล่มสลายของชาติ 💔

    👑กษัตริย์ที่ราชบัลลังก์ไม่เคยพร้อมให้ครอง "พระเจ้าเอกทัศ" หรือสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 ทรงมีพระนามหลากหลาย ทั้ง "พระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์" และ "ขุนหลวงขี้เรื้อน" ซึ่งเป็นคำเรียกขานโดยราษฎร เนื่องจากพระองค์มีอาการประชวร ด้วยโรคผิวหนัง ที่สันนิษฐานว่าอาจเป็นโรคเรื้อน หรือกลากเกลื้อนเรื้อรัง 🩺

    จุดเริ่มต้นของการขึ้นครองราชย์ หลังการสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ รัชทายาทที่เหมาะสมตามสายพระโลหิตคือ “เจ้าฟ้าอุทุมพร” แต่ด้วยแรงปรารถนาจะขึ้นครองราชย์อย่างแรงกล้า เจ้าฟ้าเอกทัศซึ่งเป็นเชษฐา ได้เสด็จกลับจากการผนวช และปรี่ขึ้นประทับบนพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ ดั่งการตีตราจองราชบัลลังก์ ไว้ด้วยพระองค์เอง 🤴

    เจ้าฟ้าอุทุมพรจึงสละราชสมบัติให้ หลังครองราชย์เพียง 10 วัน แล้วเสด็จออกผนวชเป็น “ขุนหลวงหาวัด” หวังหลีกเร้นจากวังวนอำนาจ 👣

    สาเหตุการสิ้นพระชนม์ของขุนหลวงขี้เรื้อน ☠️

    หลักฐานไทย บันทึกของฝ่ายไทยกล่าวว่า พระองค์หนีภัยสงครามไปหลบซ่อนที่บ้านจิก ใกล้วัดสังฆาวาส และสิ้นพระชนม์เพราะอดพระกระยาหารนานเกิน 10 วัน

    พงศาวดารพม่า 🐘 กล่าวว่าพระองค์ถูกยิงเสียชีวิต ขณะหลบหนีระหว่างกรุงแตก บริเวณประตูท้ายวัง

    คำให้การของฝรั่ง "แอนโทนี โกยาตัน" บันทึกว่า พระเจ้าเอกทัศถูกปลงพระชนม์โดยชาวสยาม หรืออาจทรงวางยาพิษพระองค์เอง 🧪

    พระศพและพิธีพระเพลิง นายทองสุกนำพระบรมศพ ไปฝังที่โคกพระเมรุ หน้าพระวิหารพระมงคลบพิตร ก่อนจะถูกอัญเชิญถวายพระเพลิง ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

    😇 ขุนหลวงหาวัด กับขุนหลวงขี้เรื้อน 😈

    "พระเจ้าอุทุมพร" กษัตริย์ผู้สละบัลลังก์เพื่อความสงบ พระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท แต่เลือกสละราชสมบัติ เพื่อความสงบภายใน พระองค์จึงกลายเป็น "ขุนหลวงหาวัด" ผู้ปลีกวิเวกที่พระตำหนักคำหยาด จังหวัดอ่างทอง 🏯

    "พระเจ้าเอกทัศ" กษัตริย์ผู้ไม่ยอมเสียราชบัลลังก์ ตรงกันข้าม พระเจ้าเอกทัศมีความกระหายอำนาจ แม้จะมีข้อจำกัดจากพระวรกาย ทรงใช้บัลลังก์เป็นตราจองอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียต่อบ้านเมือง

    "ขุนหลวงขี้เรื้อน" เป็นโรคเรื้อนจริงหรือแค่คำเล่าลือ? 🧬

    หลักฐานจากตะวันตก ฝรั่งเศส "สังฆราชปีแยร์ บรีโกต์" ระบุว่า พระองค์มีอาการของโรคเรื้อน และไม่ทรงปรากฏพระวรกายต่อผู้ใด ส่วนดัตช์รายงานของ "นิโกลาส บัง" ใช้คำว่า "ลาซารัส" อันเป็นคำเปรียบเทียบถึงโรคเรื้อน

    แต่...โรคเรื้อนห้ามบวช! พระวินัยระบุว่า ผู้ที่เป็นโรคเรื้อนห้ามบวช ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลที่ว่า พระเจ้าเอกทัศเคยออกผนวช จึงอาจหมายถึงโรคผิวหนังอื่น ที่คล้ายคลึงกัน เช่น กลากเกลื้อน หรือโรคผิวหนังเรื้อรัง 😕

    ความขัดแย้งในแผ่นดิน การแตกความสามัคคีในยุคปลายอยุธยา ⚔️ ขุนนางฉ้อฉล ข่มเหงประชาชน พระเจ้าเอกทัศไม่แสดงพระองค์แก่ประชาชน ฝ่ายในมีอำนาจครอบงำการเมือง ราษฎรถูกรีดไถ จนหมดศรัทธา

    ถึงแม้จะมีหลักฐาน ที่กล่าวถึงคุณงามความดีของพระองค์ ในคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม แต่ภาพรวมกลับเป็นลบ ต่อสายตาประวัติศาสตร์

    📖 คำให้การจากผู้ถูกกวาดต้อน มุมมองที่แตกต่าง ใน "คำให้การของชาวกรุงเก่า" พระเจ้าเอกทัศกลับถูกยกย่องว่า

    “...ทรงพระกรุณากับอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวง แผ่เมตตาไปทั่วสารพัดสัตว์ทั้งปวง”

    คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ยังเสริมว่า พระองค์มีศีลธรรม ทศพิธราชธรรม และทำนุบำรุงบ้านเมือง พัฒนามาตราฐานตวงวัด และยกเลิกภาษี 3 ปี 🎯

    🏚️ จุดจบราชวงศ์บ้านพลูหลวง และบทเรียนจากความล่มสลาย พระเจ้าเอกทัศถูกมองว่า เป็นต้นเหตุการเสียกรุง ทั้งจากราษฎรไทยในสมัยธนบุรี ไปจนถึงกษัตริย์ยุคต่อมา เช่น รัชกาลที่ 5 ที่ทรงกลัวจะถูกกล่าวขานในแบบเดียวกัน

    ประวัติศาสตร์จึงไม่ใช่แค่การจดจำบุคคล แต่เป็นกระจกสะท้อนสังคม วัฒนธรรม และการเมืองในยุคที่ความมั่นคง พังทลายด้วยความทะยานอยากของอำนาจ ⚖️

    🕯️ กษัตริย์ผู้ถูกลืม หรือถูกจำในมุมผิด? “ขุนหลวงขี้เรื้อน” อาจเป็นเพียงนามที่ประชาชนผู้สิ้นศรัทธา ใช้เรียกผู้มีอำนาจที่ไร้ความสามารถ แต่ในอีกแง่หนึ่ง พระเจ้าเอกทัศอาจเป็นเพียงเหยื่อของช่วงเวลา แรงกดดัน และความไม่พร้อมของแผ่นดิน

    เรื่องราวของพระองค์ จึงไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ของความพ่ายแพ้ แต่คือบทเรียนของการเมืองไทย ที่วนเวียนไม่รู้จบ 🌪️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 171927 เม.ย. 2568

    📢 #ขุนหลวงขี้เรื้อน #กรุงศรีอยุธยา #ประวัติศาสตร์ไทย #พระเจ้าเอกทัศ #ราชวงศ์บ้านพลูหลวง #ขุนหลวงหาวัด #คำให้การชาวกรุงเก่า #กษัตริย์ไทย #โบราณสถาน #พระตำหนักคำหยาด
    258 ปี สิ้น “ขุนหลวงขี้เรื้อน” จุดจบราชวงศ์บ้านพลูหลวง 👑 ราชบัลลังก์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา และชะตากรรมที่โลกไม่ลืม เส้นทางชีวิตของพระเจ้าเอกทัศ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา กับบทสรุปแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผู้ที่ถูกเรียกขานว่า “ขุนหลวงขี้เรื้อน” 📜 ประวัติศาสตร์ไทยต้องจารึก การสิ้นสุดของราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผ่านพระเจ้าเอกทัศ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนาม “ขุนหลวงขี้เรื้อน” กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา กับเรื่องราวชีวิตที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง โรคร้าย และโศกนาฏกรรมแห่งชาติ 🇹🇭📖 🕰️ ประวัติศาสตร์ไม่เคยหลับใหล 🕰️ 258 ปี ผ่านไป นับแต่วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2310 เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก ครั้งที่สอง ชาติไทยได้สูญเสียสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ นั่นคือเอกราชแห่งแผ่นดิน และราชวงศ์ที่ปกครองสืบเนื่อง มายาวนานกว่า 400 ปี หนึ่งในผู้ที่มีบทบาทสำคัญในห้วงเวลานี้คือ “พระเจ้าเอกทัศ” หรือที่ราษฎรทั่วไปเรียกว่า “ขุนหลวงขี้เรื้อน” ชื่อที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด เย้ยหยัน และประวัติศาสตร์ที่แสนซับซ้อน ของกษัตริย์องค์สุดท้าย แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผู้สิ้นราชย์ ในห้วงยามแห่งความล่มสลายของชาติ 💔 👑กษัตริย์ที่ราชบัลลังก์ไม่เคยพร้อมให้ครอง "พระเจ้าเอกทัศ" หรือสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 ทรงมีพระนามหลากหลาย ทั้ง "พระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์" และ "ขุนหลวงขี้เรื้อน" ซึ่งเป็นคำเรียกขานโดยราษฎร เนื่องจากพระองค์มีอาการประชวร ด้วยโรคผิวหนัง ที่สันนิษฐานว่าอาจเป็นโรคเรื้อน หรือกลากเกลื้อนเรื้อรัง 🩺 จุดเริ่มต้นของการขึ้นครองราชย์ หลังการสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ รัชทายาทที่เหมาะสมตามสายพระโลหิตคือ “เจ้าฟ้าอุทุมพร” แต่ด้วยแรงปรารถนาจะขึ้นครองราชย์อย่างแรงกล้า เจ้าฟ้าเอกทัศซึ่งเป็นเชษฐา ได้เสด็จกลับจากการผนวช และปรี่ขึ้นประทับบนพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ ดั่งการตีตราจองราชบัลลังก์ ไว้ด้วยพระองค์เอง 🤴 เจ้าฟ้าอุทุมพรจึงสละราชสมบัติให้ หลังครองราชย์เพียง 10 วัน แล้วเสด็จออกผนวชเป็น “ขุนหลวงหาวัด” หวังหลีกเร้นจากวังวนอำนาจ 👣 สาเหตุการสิ้นพระชนม์ของขุนหลวงขี้เรื้อน ☠️ หลักฐานไทย บันทึกของฝ่ายไทยกล่าวว่า พระองค์หนีภัยสงครามไปหลบซ่อนที่บ้านจิก ใกล้วัดสังฆาวาส และสิ้นพระชนม์เพราะอดพระกระยาหารนานเกิน 10 วัน พงศาวดารพม่า 🐘 กล่าวว่าพระองค์ถูกยิงเสียชีวิต ขณะหลบหนีระหว่างกรุงแตก บริเวณประตูท้ายวัง คำให้การของฝรั่ง "แอนโทนี โกยาตัน" บันทึกว่า พระเจ้าเอกทัศถูกปลงพระชนม์โดยชาวสยาม หรืออาจทรงวางยาพิษพระองค์เอง 🧪 พระศพและพิธีพระเพลิง นายทองสุกนำพระบรมศพ ไปฝังที่โคกพระเมรุ หน้าพระวิหารพระมงคลบพิตร ก่อนจะถูกอัญเชิญถวายพระเพลิง ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี 😇 ขุนหลวงหาวัด กับขุนหลวงขี้เรื้อน 😈 "พระเจ้าอุทุมพร" กษัตริย์ผู้สละบัลลังก์เพื่อความสงบ พระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท แต่เลือกสละราชสมบัติ เพื่อความสงบภายใน พระองค์จึงกลายเป็น "ขุนหลวงหาวัด" ผู้ปลีกวิเวกที่พระตำหนักคำหยาด จังหวัดอ่างทอง 🏯 "พระเจ้าเอกทัศ" กษัตริย์ผู้ไม่ยอมเสียราชบัลลังก์ ตรงกันข้าม พระเจ้าเอกทัศมีความกระหายอำนาจ แม้จะมีข้อจำกัดจากพระวรกาย ทรงใช้บัลลังก์เป็นตราจองอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียต่อบ้านเมือง "ขุนหลวงขี้เรื้อน" เป็นโรคเรื้อนจริงหรือแค่คำเล่าลือ? 🧬 หลักฐานจากตะวันตก ฝรั่งเศส "สังฆราชปีแยร์ บรีโกต์" ระบุว่า พระองค์มีอาการของโรคเรื้อน และไม่ทรงปรากฏพระวรกายต่อผู้ใด ส่วนดัตช์รายงานของ "นิโกลาส บัง" ใช้คำว่า "ลาซารัส" อันเป็นคำเปรียบเทียบถึงโรคเรื้อน แต่...โรคเรื้อนห้ามบวช! พระวินัยระบุว่า ผู้ที่เป็นโรคเรื้อนห้ามบวช ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลที่ว่า พระเจ้าเอกทัศเคยออกผนวช จึงอาจหมายถึงโรคผิวหนังอื่น ที่คล้ายคลึงกัน เช่น กลากเกลื้อน หรือโรคผิวหนังเรื้อรัง 😕 ความขัดแย้งในแผ่นดิน การแตกความสามัคคีในยุคปลายอยุธยา ⚔️ ขุนนางฉ้อฉล ข่มเหงประชาชน พระเจ้าเอกทัศไม่แสดงพระองค์แก่ประชาชน ฝ่ายในมีอำนาจครอบงำการเมือง ราษฎรถูกรีดไถ จนหมดศรัทธา ถึงแม้จะมีหลักฐาน ที่กล่าวถึงคุณงามความดีของพระองค์ ในคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม แต่ภาพรวมกลับเป็นลบ ต่อสายตาประวัติศาสตร์ 📖 คำให้การจากผู้ถูกกวาดต้อน มุมมองที่แตกต่าง ใน "คำให้การของชาวกรุงเก่า" พระเจ้าเอกทัศกลับถูกยกย่องว่า “...ทรงพระกรุณากับอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวง แผ่เมตตาไปทั่วสารพัดสัตว์ทั้งปวง” คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ยังเสริมว่า พระองค์มีศีลธรรม ทศพิธราชธรรม และทำนุบำรุงบ้านเมือง พัฒนามาตราฐานตวงวัด และยกเลิกภาษี 3 ปี 🎯 🏚️ จุดจบราชวงศ์บ้านพลูหลวง และบทเรียนจากความล่มสลาย พระเจ้าเอกทัศถูกมองว่า เป็นต้นเหตุการเสียกรุง ทั้งจากราษฎรไทยในสมัยธนบุรี ไปจนถึงกษัตริย์ยุคต่อมา เช่น รัชกาลที่ 5 ที่ทรงกลัวจะถูกกล่าวขานในแบบเดียวกัน ประวัติศาสตร์จึงไม่ใช่แค่การจดจำบุคคล แต่เป็นกระจกสะท้อนสังคม วัฒนธรรม และการเมืองในยุคที่ความมั่นคง พังทลายด้วยความทะยานอยากของอำนาจ ⚖️ 🕯️ กษัตริย์ผู้ถูกลืม หรือถูกจำในมุมผิด? “ขุนหลวงขี้เรื้อน” อาจเป็นเพียงนามที่ประชาชนผู้สิ้นศรัทธา ใช้เรียกผู้มีอำนาจที่ไร้ความสามารถ แต่ในอีกแง่หนึ่ง พระเจ้าเอกทัศอาจเป็นเพียงเหยื่อของช่วงเวลา แรงกดดัน และความไม่พร้อมของแผ่นดิน เรื่องราวของพระองค์ จึงไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ของความพ่ายแพ้ แต่คือบทเรียนของการเมืองไทย ที่วนเวียนไม่รู้จบ 🌪️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 171927 เม.ย. 2568 📢 #ขุนหลวงขี้เรื้อน #กรุงศรีอยุธยา #ประวัติศาสตร์ไทย #พระเจ้าเอกทัศ #ราชวงศ์บ้านพลูหลวง #ขุนหลวงหาวัด #คำให้การชาวกรุงเก่า #กษัตริย์ไทย #โบราณสถาน #พระตำหนักคำหยาด
    0 Comments 0 Shares 249 Views 0 Reviews
  • Google ได้เผยแพร่ Ads Safety Report ล่าสุด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงมาตรการบังคับใช้กฎระเบียบด้านโฆษณาในปี 2024 โดยบริษัทสามารถ บล็อกหรือถอดถอนโฆษณาที่ละเมิดกฎกว่า 5.1 พันล้านรายการ และ ระงับบัญชีโฆษณาที่เป็นการฉ้อโกงกว่า 39.2 ล้านบัญชี

    ✅ Google บล็อกโฆษณาที่ละเมิดกฎกว่า 5.1 พันล้านรายการ
    - โฆษณาที่ถูกบล็อกละเมิดนโยบายเกี่ยวกับ การใช้เครือข่ายโฆษณาในทางที่ผิด, โฆษณาส่วนบุคคล, ข้อกำหนดทางกฎหมาย และการแสดงข้อมูลที่ผิด
    - Google ใช้ AI และโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจจับและบังคับใช้กฎ

    ✅ ระงับบัญชีโฆษณาที่เป็นการฉ้อโกงกว่า 39.2 ล้านบัญชี
    - ส่วนใหญ่ถูกระงับก่อนที่จะสามารถเผยแพร่โฆษณาได้
    - Google ใช้ Advertiser Identity Verification เพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีที่ถูกระงับกลับมาใช้งานอีก

    ✅ แนวโน้มของการฉ้อโกงโฆษณาในปี 2024
    - พบว่า การปลอมแปลงบุคคลสาธารณะ เป็นแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น
    - นักต้มตุ๋นใช้ AI-generated imagery และเสียง เพื่อแอบอ้างเป็นคนดังและโปรโมตการหลอกลวง

    ✅ มาตรการเพิ่มเติมของ Google
    - อัปเดต นโยบายการแสดงข้อมูลที่ผิด และจัดตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญกว่า 100 คน เพื่อวิเคราะห์และป้องกันการฉ้อโกง
    - ระงับบัญชีโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงบุคคลสาธารณะกว่า 700,000 บัญชี ส่งผลให้รายงานการฉ้อโกงลดลง 90%

    ✅ จำกัดโฆษณาที่อาจมีความอ่อนไหวทางกฎหมายและวัฒนธรรม
    - Google จำกัดการเข้าถึงโฆษณากว่า 9.1 พันล้านรายการ ที่อาจไม่เหมาะสมในบางพื้นที่ เช่น เนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่และการพนัน

    https://www.neowin.net/news/google-stopped-51-billion-rogue-ads-from-reaching-users-fired-millions-of-bad-accounts/
    Google ได้เผยแพร่ Ads Safety Report ล่าสุด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงมาตรการบังคับใช้กฎระเบียบด้านโฆษณาในปี 2024 โดยบริษัทสามารถ บล็อกหรือถอดถอนโฆษณาที่ละเมิดกฎกว่า 5.1 พันล้านรายการ และ ระงับบัญชีโฆษณาที่เป็นการฉ้อโกงกว่า 39.2 ล้านบัญชี ✅ Google บล็อกโฆษณาที่ละเมิดกฎกว่า 5.1 พันล้านรายการ - โฆษณาที่ถูกบล็อกละเมิดนโยบายเกี่ยวกับ การใช้เครือข่ายโฆษณาในทางที่ผิด, โฆษณาส่วนบุคคล, ข้อกำหนดทางกฎหมาย และการแสดงข้อมูลที่ผิด - Google ใช้ AI และโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจจับและบังคับใช้กฎ ✅ ระงับบัญชีโฆษณาที่เป็นการฉ้อโกงกว่า 39.2 ล้านบัญชี - ส่วนใหญ่ถูกระงับก่อนที่จะสามารถเผยแพร่โฆษณาได้ - Google ใช้ Advertiser Identity Verification เพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีที่ถูกระงับกลับมาใช้งานอีก ✅ แนวโน้มของการฉ้อโกงโฆษณาในปี 2024 - พบว่า การปลอมแปลงบุคคลสาธารณะ เป็นแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น - นักต้มตุ๋นใช้ AI-generated imagery และเสียง เพื่อแอบอ้างเป็นคนดังและโปรโมตการหลอกลวง ✅ มาตรการเพิ่มเติมของ Google - อัปเดต นโยบายการแสดงข้อมูลที่ผิด และจัดตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญกว่า 100 คน เพื่อวิเคราะห์และป้องกันการฉ้อโกง - ระงับบัญชีโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงบุคคลสาธารณะกว่า 700,000 บัญชี ส่งผลให้รายงานการฉ้อโกงลดลง 90% ✅ จำกัดโฆษณาที่อาจมีความอ่อนไหวทางกฎหมายและวัฒนธรรม - Google จำกัดการเข้าถึงโฆษณากว่า 9.1 พันล้านรายการ ที่อาจไม่เหมาะสมในบางพื้นที่ เช่น เนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่และการพนัน https://www.neowin.net/news/google-stopped-51-billion-rogue-ads-from-reaching-users-fired-millions-of-bad-accounts/
    WWW.NEOWIN.NET
    Google stopped 5.1 billion rogue ads from reaching users, fired millions of bad accounts
    The search giant suspended millions of ad accounts and took action against billions of bad advertisements before they were served to users.
    0 Comments 0 Shares 138 Views 0 Reviews
  • Intel กำลังพัฒนา Bartlett Lake-S ซึ่งเป็น ซีพียูที่มีเฉพาะ P-core โดยล่าสุดมีการเพิ่มการรองรับใน Linux Kernel Patch ซึ่งช่วยให้ระบบสามารถระบุซีพียูนี้ได้อย่างถูกต้อง

    ✅ Intel เพิ่มการรองรับ Bartlett Lake-S ใน Linux Kernel Patch
    - แพตช์ใหม่ช่วยให้ระบบสามารถ ระบุซีพียูและปรับแต่งโค้ดให้เหมาะสม
    - ใช้ CPUID Family 6, Model 215 (0xD7) เพื่อให้ซอฟต์แวร์สามารถตรวจสอบคุณสมบัติของซีพียู

    ✅ Bartlett Lake-S มีเฉพาะ P-core และใช้สถาปัตยกรรม Raptor Cove
    - แตกต่างจากรุ่นปกติที่มี Hybrid Core (P-core + E-core)
    - อาจมี สูงสุด 12 P-core และ 24 threads

    ✅ รองรับแพลตฟอร์ม LGA 1700
    - สามารถใช้กับ เมนบอร์ด 600-series และ 700-series ได้
    - ต้องอัปเดต BIOS เพื่อรองรับซีพียูใหม่

    ✅ คาดการณ์การเปิดตัว
    - มีข่าวลือว่า Bartlett Lake-S อาจเปิดตัวในไตรมาสที่ 3 ปี 2025
    - อาจมีการประกาศรายละเอียดเพิ่มเติมใน Computex เดือนหน้า

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-p-core-only-bartlett-lake-chip-inches-closer-to-reality-with-new-linux-patch
    Intel กำลังพัฒนา Bartlett Lake-S ซึ่งเป็น ซีพียูที่มีเฉพาะ P-core โดยล่าสุดมีการเพิ่มการรองรับใน Linux Kernel Patch ซึ่งช่วยให้ระบบสามารถระบุซีพียูนี้ได้อย่างถูกต้อง ✅ Intel เพิ่มการรองรับ Bartlett Lake-S ใน Linux Kernel Patch - แพตช์ใหม่ช่วยให้ระบบสามารถ ระบุซีพียูและปรับแต่งโค้ดให้เหมาะสม - ใช้ CPUID Family 6, Model 215 (0xD7) เพื่อให้ซอฟต์แวร์สามารถตรวจสอบคุณสมบัติของซีพียู ✅ Bartlett Lake-S มีเฉพาะ P-core และใช้สถาปัตยกรรม Raptor Cove - แตกต่างจากรุ่นปกติที่มี Hybrid Core (P-core + E-core) - อาจมี สูงสุด 12 P-core และ 24 threads ✅ รองรับแพลตฟอร์ม LGA 1700 - สามารถใช้กับ เมนบอร์ด 600-series และ 700-series ได้ - ต้องอัปเดต BIOS เพื่อรองรับซีพียูใหม่ ✅ คาดการณ์การเปิดตัว - มีข่าวลือว่า Bartlett Lake-S อาจเปิดตัวในไตรมาสที่ 3 ปี 2025 - อาจมีการประกาศรายละเอียดเพิ่มเติมใน Computex เดือนหน้า https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-p-core-only-bartlett-lake-chip-inches-closer-to-reality-with-new-linux-patch
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 8 ทางเลือกในการลงทุนและความเสี่ยง (1)
    .
    ทางเลือกในการลงทุนและความเสี่ยง ไม่ว่าจะออมเงินมากเท่าใด หากไม่นำเงินก้อนนั้นไปลงทุนอย่างเหมาะสมแล้ว ความมั่นคงด้านการเงินของครอบครัวก็เกิดขึ้นไม่ได้ การลงทุนที่ชาญฉลาดจะก่อให้เกิดรายได้ขึ้นอีกทางหนึ่งโดยไม่ต้องออกแรงควบคู่ไปกับการทำงานตามปกติ และเมื่อมี “เงินลูก” เกิดขึ้นจากการลงทุนแล้ว ก็สามารถนำมันไปลงทุนต่ออีกให้งอกเงยต่อไปเป็น “เงินหลาน” “เงินเหลน” และต่อเนื่องได้อีกยาวนาน
    .
    ตัวอย่างเช่น เมื่อได้รับผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยเงินฝาก (เงินลูก) ก็สามารถเอาดอกเบี้ยไปซื้อหุ้น ผ่อนซื้ออสังหาริมทรัพย์ให้คนเช่า และได้รับผลตอบแทน (เงินหลาน) และเมื่องอกเงยขึ้นมาอีก ก็สามารถนำไปลงทุนต่อไปได้ไม่รู้จบ ผลตอบแทนทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ล้วนมีที่มาจาก “ต้นน้ำ” คือเงินออมแต่แรกทั้งสิ้น ถ้าปราศจากเสียซึ่งความสามารถในการสร้างเงินออมของครอบครัวแล้ว ผลตอบแทนทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย
    .
    อย่างไรก็ดี การลงทุนอาจไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทนได้สมหวัง เพราะมีสิ่งที่เรียกว่าความเสี่ยงเกี่ยวพันอยู่ด้วยเสมอในการลงทุน ความเสี่ยงแบ่งออกได้เป็นสองประเภทใหญ่ๆคือ ความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยมหภาคหรือระดับประเทศ และความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยจุลภาคหรือระดับย่อย
    .
    ความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยระดับประเทศมีผลกระทบต่อทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ลงทุนหรือไม่ใช่ ความเสี่ยงดังกล่าว ได้แก่ ความเสี่ยงที่เกิดจากอำนาจซื้อลดลงอันเนื่องมาจากเงินเฟ้อ (เมื่อของมีราคาสูงขึ้น เงินเท่าเดิมซื้อของได้จำนวนน้อยลง) ทำให้ดอกผลจากการลงทุนมีค่าแท้จริงน้อยลง และความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือนโยบายของรัฐบาล จนอาจทำให้การลงทุนเท่านโยบายเก่า
    .
    ความเสี่ยงอันเกิดจากความผันแปรของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจนทำให้เกิดความเสียหาย เช่น การลดค่าเงินบาท (เงินตราต่างประเทศมีราคาสูงชึ้น) ทำให้ภาระหนี้ที่กู้จากต่างประเทศในรูปเงินบาทสูงขึ้น ก็เป็นความเสี่ยงที่ต้องคำนึงถึงเช่นกัน
    .
    นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยระดับประเทศอีกแบบหนึ่งคือ ความเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อตัวผู้ลงทุนเองเท่านั้น ได้แก่ (1) ความเสี่ยงอันเกิดจากการแปรผันของอัตราดอกเบี้ยจนทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้นและอาจได้รับผลตอบแทนต่ำลง (2) ความเสี่ยงอันเกิดจากความรู้สึกของผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปจนทำให้ราคาหุ้นตก ถึงแม้ว่าปัจจัยพื้นฐานของหลักทรัพย์มิได้เปลี่ยนแปลงเลยก็ตาม (3) ความเสี่ยงอันเกิดจากการปั่นหุ้น ซึ่งอาจมีผลกระทบทำให้หุ้นตัวอื่นมีราคาลดลง ในขณะที่หุ้นตัวที่ปั่นราคาพุ่งขึ้นอย่างน่าตกใจ จนอาจนำไปสู่การขาดศรัทธาต่อตลาดหุ้นโดยรวม และพากันล่มจมไปด้วยกันในที่สุด
    .
    สำหรับความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยระดับย่อย เป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากภายในหรือเป็นการเฉพาะสำหรับธุรกิจนั้น โดยผู้ลงทุนอาจหลีกเลี่ยงได้ หากเลือกสรรการลงทุนที่ดี ความเสี่ยงชนิดนี้ได้แก่ ความเสี่ยงที่เกิดจากบริษัทนั้นๆเอง เช่น ขาดความสามารถในการบริหารจัดการ ฐานะการเงินไม่เข้มแข็ง ผู้บริหารฉ้อโกง เป็นต้น และความเสี่ยงที่เกิดจากลักษณะของธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้นๆ ซึ่งอาจเปราะบางเพราะธรรมชาติของตัวมันเอง เช่น อุตสาหกรรมที่อาศัยทรัพยากรจำกัด เมื่อวัตถุดิบหมด โอกาสทางธุรกิจห็หายไป เช่น เหมืองแร่ ป่าไม้ หรืออุตสาหกรรมที่ราคาขึ้นลงตามวงจรราคาตลาดโลก เช่นน้ำตาล เป็นต้น.
    .
    ไม่มีการลงทุนใดที่ไม่มีความเสี่ยง การลงทุนทุกอย่างเสี่ยงมากเสี่ยงน้อยต่างกัน อยู่ที่ว่าผู้ลงทุนเข้าใจความเสี่ยงของการลงทุนแต่ละอย่างมากน้อยเพียงใด และยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับใด การลงทุนต่อไปนี้ให้ผลตอบแทนและความเสี่ยงในระดับที่แตกต่างกัน ไว้บทหน้าจะมาเล่าให้ฟังครับ
    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 8 ทางเลือกในการลงทุนและความเสี่ยง (1) . ทางเลือกในการลงทุนและความเสี่ยง ไม่ว่าจะออมเงินมากเท่าใด หากไม่นำเงินก้อนนั้นไปลงทุนอย่างเหมาะสมแล้ว ความมั่นคงด้านการเงินของครอบครัวก็เกิดขึ้นไม่ได้ การลงทุนที่ชาญฉลาดจะก่อให้เกิดรายได้ขึ้นอีกทางหนึ่งโดยไม่ต้องออกแรงควบคู่ไปกับการทำงานตามปกติ และเมื่อมี “เงินลูก” เกิดขึ้นจากการลงทุนแล้ว ก็สามารถนำมันไปลงทุนต่ออีกให้งอกเงยต่อไปเป็น “เงินหลาน” “เงินเหลน” และต่อเนื่องได้อีกยาวนาน . ตัวอย่างเช่น เมื่อได้รับผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยเงินฝาก (เงินลูก) ก็สามารถเอาดอกเบี้ยไปซื้อหุ้น ผ่อนซื้ออสังหาริมทรัพย์ให้คนเช่า และได้รับผลตอบแทน (เงินหลาน) และเมื่องอกเงยขึ้นมาอีก ก็สามารถนำไปลงทุนต่อไปได้ไม่รู้จบ ผลตอบแทนทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ล้วนมีที่มาจาก “ต้นน้ำ” คือเงินออมแต่แรกทั้งสิ้น ถ้าปราศจากเสียซึ่งความสามารถในการสร้างเงินออมของครอบครัวแล้ว ผลตอบแทนทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย . อย่างไรก็ดี การลงทุนอาจไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทนได้สมหวัง เพราะมีสิ่งที่เรียกว่าความเสี่ยงเกี่ยวพันอยู่ด้วยเสมอในการลงทุน ความเสี่ยงแบ่งออกได้เป็นสองประเภทใหญ่ๆคือ ความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยมหภาคหรือระดับประเทศ และความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยจุลภาคหรือระดับย่อย . ความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยระดับประเทศมีผลกระทบต่อทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ลงทุนหรือไม่ใช่ ความเสี่ยงดังกล่าว ได้แก่ ความเสี่ยงที่เกิดจากอำนาจซื้อลดลงอันเนื่องมาจากเงินเฟ้อ (เมื่อของมีราคาสูงขึ้น เงินเท่าเดิมซื้อของได้จำนวนน้อยลง) ทำให้ดอกผลจากการลงทุนมีค่าแท้จริงน้อยลง และความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือนโยบายของรัฐบาล จนอาจทำให้การลงทุนเท่านโยบายเก่า . ความเสี่ยงอันเกิดจากความผันแปรของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจนทำให้เกิดความเสียหาย เช่น การลดค่าเงินบาท (เงินตราต่างประเทศมีราคาสูงชึ้น) ทำให้ภาระหนี้ที่กู้จากต่างประเทศในรูปเงินบาทสูงขึ้น ก็เป็นความเสี่ยงที่ต้องคำนึงถึงเช่นกัน . นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยระดับประเทศอีกแบบหนึ่งคือ ความเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อตัวผู้ลงทุนเองเท่านั้น ได้แก่ (1) ความเสี่ยงอันเกิดจากการแปรผันของอัตราดอกเบี้ยจนทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้นและอาจได้รับผลตอบแทนต่ำลง (2) ความเสี่ยงอันเกิดจากความรู้สึกของผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปจนทำให้ราคาหุ้นตก ถึงแม้ว่าปัจจัยพื้นฐานของหลักทรัพย์มิได้เปลี่ยนแปลงเลยก็ตาม (3) ความเสี่ยงอันเกิดจากการปั่นหุ้น ซึ่งอาจมีผลกระทบทำให้หุ้นตัวอื่นมีราคาลดลง ในขณะที่หุ้นตัวที่ปั่นราคาพุ่งขึ้นอย่างน่าตกใจ จนอาจนำไปสู่การขาดศรัทธาต่อตลาดหุ้นโดยรวม และพากันล่มจมไปด้วยกันในที่สุด . สำหรับความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยระดับย่อย เป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากภายในหรือเป็นการเฉพาะสำหรับธุรกิจนั้น โดยผู้ลงทุนอาจหลีกเลี่ยงได้ หากเลือกสรรการลงทุนที่ดี ความเสี่ยงชนิดนี้ได้แก่ ความเสี่ยงที่เกิดจากบริษัทนั้นๆเอง เช่น ขาดความสามารถในการบริหารจัดการ ฐานะการเงินไม่เข้มแข็ง ผู้บริหารฉ้อโกง เป็นต้น และความเสี่ยงที่เกิดจากลักษณะของธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้นๆ ซึ่งอาจเปราะบางเพราะธรรมชาติของตัวมันเอง เช่น อุตสาหกรรมที่อาศัยทรัพยากรจำกัด เมื่อวัตถุดิบหมด โอกาสทางธุรกิจห็หายไป เช่น เหมืองแร่ ป่าไม้ หรืออุตสาหกรรมที่ราคาขึ้นลงตามวงจรราคาตลาดโลก เช่นน้ำตาล เป็นต้น. . ไม่มีการลงทุนใดที่ไม่มีความเสี่ยง การลงทุนทุกอย่างเสี่ยงมากเสี่ยงน้อยต่างกัน อยู่ที่ว่าผู้ลงทุนเข้าใจความเสี่ยงของการลงทุนแต่ละอย่างมากน้อยเพียงใด และยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับใด การลงทุนต่อไปนี้ให้ผลตอบแทนและความเสี่ยงในระดับที่แตกต่างกัน ไว้บทหน้าจะมาเล่าให้ฟังครับ
    0 Comments 0 Shares 211 Views 0 Reviews
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 7 การสร้างความมั่นคงด้านการเงินแก่ครอบครัว
    .
    ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่และการเป็นครอบครัวที่อบอุ่นโยงใยกับการจัดการเรื่องการเงินอย่างไม่อ่จหลีกเลี่ยงได้ การที่คนสองคนมาร่วมชีวิตกันและมีลูก คือทางเลือกของชีวิตที่ทั้งสองได้ตัดสินใจแล้ว ดังนั้นจึงต้องร่วมกันรับผิดชอบให้ครอบครัวมีความสุข มีความเป็นปึกแผ่นด้านการเงิน ซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นคงของทุกๆคนในครอบครัว
    .
    ในเบื้องแรก สามีภรรยาต้องพูดจาตกลงกันให้ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดการเงินทองของครอบครัว เช่น จะรวมกระเป๋าและแยกกระเป๋ากันอย่างไร ค่าใช้จ่ายของครอบครัวจะรับผิดชอบกันอย่างไร ข้อพิจารณาในเรื่องนี้มีดังนี้
    .
    การตัดสินใจทางการเงินของพ่อแม่จะต้องเป็นหน่วยเดียวกัน การซื้อสิ่งของที่มีราคาสูงและผูกมัดทางการเงินของครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อรถยนต์ ซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน ลงทุนธุรกิจ ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ จะต้องมีการปรึกษาหารือ และตัดสินใจร่วมกันเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายทราบถึงภาระผูกพันที่จะเกิดขึ้น
    .
    การใช้จ่ายที่ต่างคนต่างทำ เช่น การใช้บัตรเครดิต การเล่นหุ้น เล่นแชร์ การร่วมลงทุนกับผู้อื่น ควรให้แต่ละฝ่ายได้รับรู้ เพราะเป็นบุคคลเดียวกันตามกฏหมาย (ในกรณีจดทะเบียนสมรส) ทั้งพ่อและแม่ต้องรับรู้ข้อมูลและรับผิดชอบสถานะการเงินของครอบครัวร่วมกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งใช้เงินอย่างเดียวโดยไม่ยอมรับรู้เรื่องรายได้ ไม่ยอมหรือไม่ร่วมปรึกษาหารือในการวางแผนการเงินของครอบครัว ความมั่นคงทางการเงินของครอบครัวก็เกิดขึ้นไม่ได้
    .
    การวางแผนการเงินของครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่จะต้องจัดไว้ในลำดับสำคัญสูงสุด การจดบันทึกข้อมูลการใช้จ่ายในแต่ละเดือนจะทำให้เห็นภาพรวมของการใช้จ่าย ซึ่งจะเป็นปัจจัยนำไปสู่ความสามารถในการออมของครอบครัว ในการสร้างความมั้นคงด้านการเงินให้แก่ครอบครัว ประเด็นที่พึงพิจารณามีดังต่อไปนี้
    .
    1.ความมั่งคั่งและการมีรายได้ต่อช่วงเวลานั้นแตกต่างกัน ถ้าเปรียบเงินเหมือนน้ำที่อยู่ในถัง รายได้เสมือนน้ำที่ไหลออกจากก้นถังในช่วงเวลาหนึ่ง ถ้าน้ำไหลเข้าถังมากกว่าน้ำที่ไหลออก ปริมาณน้ำในถังที่ได้สะสมมาก่อนหน้า ก็จะมากขึ้น แต่ถ้าน้ำไหลออกจากถังในช่วงเวลาหนึ่งมากกว่าน้ำไหลเข้า ดังนั้น ปริมาณน้ำในถังที่สะสมมาก่อนหน้าก็จะลดลง ความมั่งคั่งก็คือปริมาณน้ำที่อยู่ในถัง ส่วนรายได้ก็คือปริมาณน้ำที่ไหลเข้าถึงในช่วงเวลานั้น
    .
    ความมั่งคั่งวัด ณ จุดหนึ่งของเวลา ส่วนการมีรายได้เป็นการวัดต่อช่วงเวลา เช่น บ้านมีมูลค่า 3 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวามคม 2568 เป็นความมั่งคั่ง ส่วนรายได้ 5 หมื่นบาทต่อเดือนเป็นการมีรายได้
    .
    สองสิ่งนี้แตกต่างกัน ความมั่งคั่งมีนัยผูกพันกับอนาคตที่จะมีรายได้ให้ใช้ ส่วนการมีรายได้นั้นมีนัยผูกพันกับช่วงเวลาสั้นๆ บางครอบครัวอาจมีรายได้ต่อเดือนมาก แต่อาจไม่มีความมั่งคั่งก็เป็นได้ กล่าวคือ ถึงมีรายได้มากก็ใช้ไปจนหมด ไม่เหลือไว้สร้างความมั่งคั่งซึ่งจะทำให้มีรายได้เพิ่มเติมอีกเลยในอนาคต
    .
    การสร้างความมั่งคั่งของครอบครัวต้องเน้นไปที่การสะสมความมั่งคั่งในระยะยาว ในแต่ละเดือนจะต้องมีรายได้มากกว่าการใช้จ่าย ซึงหมายถึงมีเงินออมนั่นเอง จึงจะทำให้ความมั่งคั่งเพิ่มพูนขึ้นได้ และความมั่งคั่งนี้จะเป็นฐานของการหารายได้เพิ่มเติมอีกทางหนึ่งสำหรับครอบครัวนอกเหนือจากการออกแรงทำงาน
    .
    2.การใช้จ่ายเงินอย่างชาญฉลาด สอดคล้องกับเงินในกระเป๋าเป็นเรื่องสำคัญ สุภาษิต “การหาเงินเป็นเรื่องสำคัญ แต่การรู้จักใช้เงินนั้นสำคัญกว่า” เป็นจริงทุกยุคสมัย..... พ่อแม่จำนวนมากทำงานหนักหาเงินเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ครอบครัวโดยมีต้นทุนที่ต้องจ่าย นั่นคือมีเวลาให้ลูกน้อยลง ทำให้ความเอาใจใส่และผูกพันกับลูกลดลงน้อยลงไปด้วย
    .
    พ่อแม่เหล่านี้ มักเน้นการหารายได้แต่เพียงอย่างเดียวจนละเลยความสำคัญของการใช้จ่าย รายได้ส่วนหนึ่งมักถูกนำไปใช้จ่ายเพื่อชดเชยที่ใกล้ชิดลูกน้อยลง จนอาจทำให้เงินออมขนาดใหญ่ในแต่ละเดือนเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้น การทุ่มเทหาเงินทองในกรณีนี้จึงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ครอบครัวมากดังที่เข้าใจ หรือคาดหวัง บางครอบครัวกว่าจะรู้ตัวว่าไม่คุ้มก็ต่อเมื่อได้สูญเสียความใกล้ชิดผูกพันในครอบครัวหรือสูญเสียลูกไปแล้ว
    .
    การทำงานหนักเพื่อหาเงินและใช้จ่ายเงินเพื่อดำรงชีพและหาความสุขไม่ใช่เรื่องเสียหาย เช่นเดียวกับการมีบัตรเครดิตและการกู้ยืม ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นบริการด้านการเงินที่มีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตและช่วยให้บรรลุความต้องการในชีวิต ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความเหมาะสมระหว่างสถานะทางการเงินของครอบครัวกับหนี้ที่ก่อขึ้น
    .
    3.จะไม่กู้เงินเพื่อสิ่งอื่นใด นอกจากที่อยู่อาศัย การศึกษา หรือเหตุฉุกเฉินด้านปัญหาสุขภาพ นี่คือความเชื่ออย่างนึงของคนในโลกตะวันตก ที่เข้าใจเรื่องการใช้เงินมายาวนานกว่าคนเอเชีย
    .
    การมีที่อยู่อาศัยของตนเอง เป็นพื้นฐานของความมั่งคงในชีวิต นักจิตวิทยาบอกว่า ลึกเข้าไปในใจของมนุษย์ทุกคน บ้านคือตัวแทนของแม่ เพราะบ้านป้องกัน แสงแดด ลมฝน และความหนาวเย็น ก่อให้เกิดความสุขสบายปลอดภัย เฉกเช่นเดียวกับครรภ์มารดา
    .
    การที่ครอบครัวจะมีบ้านเป็นของตนเองนั้นควรเป็นเป้าหมายแรกของพ่อแม่ เพราะทำให้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ซึ่งค่าเช่านี้อาจแปรเปลี่ยนเป็นเงินผ่อนซื้อบ้านในแต่ละเดือนได้ หากมีการกู้ยืมเพื่อผ่อนซื้อบ้านหลังเดียวกันนี้ ผู้จ่ายค่าเช่าทุกเดือนไม่มีความหวังว่าจะได้เป็นเจ้าของบ้านในวันข้างหน้า ซึ่งต่างจากผู้ซื้อบ้านที่มีโอกาสในวันข้างหน้าที่จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยอีก เนื่องจากเป็นเจ้าของบ้านเอง นอกจากนี้ภายใต้กฏหมายไทย ไม่อาจใช้ค่าเช่าบ้านเป็นค่าลดหย่อนสำหรับการเสียถาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี แต่ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อผ่อนซื้อบ้านสามารถหักเป็นค่าลดหย่อนได้ไม่เกิน 50,000 บาท
    .
    อย่างไรก็ดี การผ่อนซื้อบ้านเป็นภาระการเงินที่หนักหน่วง เพราะไม่เพียงแต่ต้องจ่ายเงินผ่อนชำระทุกเดือนเท่านั้น ยังมีระยะเวลาผูกพันอันยาวนานเกี่ยวข้องอีกด้วย การผ่อนบ้านจึงเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของครอบครัว ซึ่งต้องคำนึงถึงราคาบ้าน ความสามารถในการผ่อนชำระแต่ละเดือน อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันและอนาคต ความแน่นอนของรายได้ ระยะเวลาแห่งการผูกมัด ศักยภาพการเพิ่มขึ้นของมูลค่าบ้าน ตลอดจน “ความแพง” ของบ้านในภาพรวม
    .
    ยกตัวอย่าง “ความแพง” ของบ้านเพื่อประกอบการพิจารณา : ถ้ากู้เงินซื้อบ้านราคา 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ผ่อนชำระ 10 ปี ต้องชำระเดือนละ 1,322 บาท ดังนั้นต้องจ่ายเงินรวมทั้งสิ้น 158,640 บาท สำหรับบ้านราคา 100,000 บาท (ถ้าผ่อนส่ง 20 ปี ต้องจ่ายรวมทั้งสิ้น 316,080 บาท สำหรับบ้านราคา 100,000 บาท)
    .
    ถ้ากู้เงินซื้อบ้านราคา 5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ผ่อนส่ง 10 ปี ต้องชำระเดือนละ 66,100 บาท ดังนั้นต้องจ่ายรวมทั้งสิ้น 7.93 ล้านบาท และถ้าผ่อนส่ง 15 ปี ต้องชำระเดือนละ 53,750 บาท ดังนั้นต้องจ่ายรวมทั้งสิ้นประมาณ 9.68 ล้านบาท หรืออีกเกือบหนึ่งเท่าของราคาบ้าน
    .
    ถึงแม้การกู้ยืมจะทำให้บ้าน “แพง” ขึ้นมาก แต่ก็ทำให้สามารถมีบ้านอยู่อาศัยที่เป็นของตนเองในอนาคต และมูลค่าบ้านก็อาจเพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้นจึงควรใคร่ครวญทั้งในด้าน “ความแพง” อันเกิดจากดอกเบี้ย ความมีคุณค่าของบ้านในปัจจุบันและมูลค่าบ้านในอนาคตประกอบกัน
    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 7 การสร้างความมั่นคงด้านการเงินแก่ครอบครัว . ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่และการเป็นครอบครัวที่อบอุ่นโยงใยกับการจัดการเรื่องการเงินอย่างไม่อ่จหลีกเลี่ยงได้ การที่คนสองคนมาร่วมชีวิตกันและมีลูก คือทางเลือกของชีวิตที่ทั้งสองได้ตัดสินใจแล้ว ดังนั้นจึงต้องร่วมกันรับผิดชอบให้ครอบครัวมีความสุข มีความเป็นปึกแผ่นด้านการเงิน ซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นคงของทุกๆคนในครอบครัว . ในเบื้องแรก สามีภรรยาต้องพูดจาตกลงกันให้ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดการเงินทองของครอบครัว เช่น จะรวมกระเป๋าและแยกกระเป๋ากันอย่างไร ค่าใช้จ่ายของครอบครัวจะรับผิดชอบกันอย่างไร ข้อพิจารณาในเรื่องนี้มีดังนี้ . การตัดสินใจทางการเงินของพ่อแม่จะต้องเป็นหน่วยเดียวกัน การซื้อสิ่งของที่มีราคาสูงและผูกมัดทางการเงินของครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อรถยนต์ ซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน ลงทุนธุรกิจ ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ จะต้องมีการปรึกษาหารือ และตัดสินใจร่วมกันเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายทราบถึงภาระผูกพันที่จะเกิดขึ้น . การใช้จ่ายที่ต่างคนต่างทำ เช่น การใช้บัตรเครดิต การเล่นหุ้น เล่นแชร์ การร่วมลงทุนกับผู้อื่น ควรให้แต่ละฝ่ายได้รับรู้ เพราะเป็นบุคคลเดียวกันตามกฏหมาย (ในกรณีจดทะเบียนสมรส) ทั้งพ่อและแม่ต้องรับรู้ข้อมูลและรับผิดชอบสถานะการเงินของครอบครัวร่วมกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งใช้เงินอย่างเดียวโดยไม่ยอมรับรู้เรื่องรายได้ ไม่ยอมหรือไม่ร่วมปรึกษาหารือในการวางแผนการเงินของครอบครัว ความมั่นคงทางการเงินของครอบครัวก็เกิดขึ้นไม่ได้ . การวางแผนการเงินของครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่จะต้องจัดไว้ในลำดับสำคัญสูงสุด การจดบันทึกข้อมูลการใช้จ่ายในแต่ละเดือนจะทำให้เห็นภาพรวมของการใช้จ่าย ซึ่งจะเป็นปัจจัยนำไปสู่ความสามารถในการออมของครอบครัว ในการสร้างความมั้นคงด้านการเงินให้แก่ครอบครัว ประเด็นที่พึงพิจารณามีดังต่อไปนี้ . 1.ความมั่งคั่งและการมีรายได้ต่อช่วงเวลานั้นแตกต่างกัน ถ้าเปรียบเงินเหมือนน้ำที่อยู่ในถัง รายได้เสมือนน้ำที่ไหลออกจากก้นถังในช่วงเวลาหนึ่ง ถ้าน้ำไหลเข้าถังมากกว่าน้ำที่ไหลออก ปริมาณน้ำในถังที่ได้สะสมมาก่อนหน้า ก็จะมากขึ้น แต่ถ้าน้ำไหลออกจากถังในช่วงเวลาหนึ่งมากกว่าน้ำไหลเข้า ดังนั้น ปริมาณน้ำในถังที่สะสมมาก่อนหน้าก็จะลดลง ความมั่งคั่งก็คือปริมาณน้ำที่อยู่ในถัง ส่วนรายได้ก็คือปริมาณน้ำที่ไหลเข้าถึงในช่วงเวลานั้น . ความมั่งคั่งวัด ณ จุดหนึ่งของเวลา ส่วนการมีรายได้เป็นการวัดต่อช่วงเวลา เช่น บ้านมีมูลค่า 3 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวามคม 2568 เป็นความมั่งคั่ง ส่วนรายได้ 5 หมื่นบาทต่อเดือนเป็นการมีรายได้ . สองสิ่งนี้แตกต่างกัน ความมั่งคั่งมีนัยผูกพันกับอนาคตที่จะมีรายได้ให้ใช้ ส่วนการมีรายได้นั้นมีนัยผูกพันกับช่วงเวลาสั้นๆ บางครอบครัวอาจมีรายได้ต่อเดือนมาก แต่อาจไม่มีความมั่งคั่งก็เป็นได้ กล่าวคือ ถึงมีรายได้มากก็ใช้ไปจนหมด ไม่เหลือไว้สร้างความมั่งคั่งซึ่งจะทำให้มีรายได้เพิ่มเติมอีกเลยในอนาคต . การสร้างความมั่งคั่งของครอบครัวต้องเน้นไปที่การสะสมความมั่งคั่งในระยะยาว ในแต่ละเดือนจะต้องมีรายได้มากกว่าการใช้จ่าย ซึงหมายถึงมีเงินออมนั่นเอง จึงจะทำให้ความมั่งคั่งเพิ่มพูนขึ้นได้ และความมั่งคั่งนี้จะเป็นฐานของการหารายได้เพิ่มเติมอีกทางหนึ่งสำหรับครอบครัวนอกเหนือจากการออกแรงทำงาน . 2.การใช้จ่ายเงินอย่างชาญฉลาด สอดคล้องกับเงินในกระเป๋าเป็นเรื่องสำคัญ สุภาษิต “การหาเงินเป็นเรื่องสำคัญ แต่การรู้จักใช้เงินนั้นสำคัญกว่า” เป็นจริงทุกยุคสมัย..... พ่อแม่จำนวนมากทำงานหนักหาเงินเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ครอบครัวโดยมีต้นทุนที่ต้องจ่าย นั่นคือมีเวลาให้ลูกน้อยลง ทำให้ความเอาใจใส่และผูกพันกับลูกลดลงน้อยลงไปด้วย . พ่อแม่เหล่านี้ มักเน้นการหารายได้แต่เพียงอย่างเดียวจนละเลยความสำคัญของการใช้จ่าย รายได้ส่วนหนึ่งมักถูกนำไปใช้จ่ายเพื่อชดเชยที่ใกล้ชิดลูกน้อยลง จนอาจทำให้เงินออมขนาดใหญ่ในแต่ละเดือนเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้น การทุ่มเทหาเงินทองในกรณีนี้จึงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ครอบครัวมากดังที่เข้าใจ หรือคาดหวัง บางครอบครัวกว่าจะรู้ตัวว่าไม่คุ้มก็ต่อเมื่อได้สูญเสียความใกล้ชิดผูกพันในครอบครัวหรือสูญเสียลูกไปแล้ว . การทำงานหนักเพื่อหาเงินและใช้จ่ายเงินเพื่อดำรงชีพและหาความสุขไม่ใช่เรื่องเสียหาย เช่นเดียวกับการมีบัตรเครดิตและการกู้ยืม ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นบริการด้านการเงินที่มีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตและช่วยให้บรรลุความต้องการในชีวิต ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความเหมาะสมระหว่างสถานะทางการเงินของครอบครัวกับหนี้ที่ก่อขึ้น . 3.จะไม่กู้เงินเพื่อสิ่งอื่นใด นอกจากที่อยู่อาศัย การศึกษา หรือเหตุฉุกเฉินด้านปัญหาสุขภาพ นี่คือความเชื่ออย่างนึงของคนในโลกตะวันตก ที่เข้าใจเรื่องการใช้เงินมายาวนานกว่าคนเอเชีย . การมีที่อยู่อาศัยของตนเอง เป็นพื้นฐานของความมั่งคงในชีวิต นักจิตวิทยาบอกว่า ลึกเข้าไปในใจของมนุษย์ทุกคน บ้านคือตัวแทนของแม่ เพราะบ้านป้องกัน แสงแดด ลมฝน และความหนาวเย็น ก่อให้เกิดความสุขสบายปลอดภัย เฉกเช่นเดียวกับครรภ์มารดา . การที่ครอบครัวจะมีบ้านเป็นของตนเองนั้นควรเป็นเป้าหมายแรกของพ่อแม่ เพราะทำให้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ซึ่งค่าเช่านี้อาจแปรเปลี่ยนเป็นเงินผ่อนซื้อบ้านในแต่ละเดือนได้ หากมีการกู้ยืมเพื่อผ่อนซื้อบ้านหลังเดียวกันนี้ ผู้จ่ายค่าเช่าทุกเดือนไม่มีความหวังว่าจะได้เป็นเจ้าของบ้านในวันข้างหน้า ซึ่งต่างจากผู้ซื้อบ้านที่มีโอกาสในวันข้างหน้าที่จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยอีก เนื่องจากเป็นเจ้าของบ้านเอง นอกจากนี้ภายใต้กฏหมายไทย ไม่อาจใช้ค่าเช่าบ้านเป็นค่าลดหย่อนสำหรับการเสียถาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี แต่ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อผ่อนซื้อบ้านสามารถหักเป็นค่าลดหย่อนได้ไม่เกิน 50,000 บาท . อย่างไรก็ดี การผ่อนซื้อบ้านเป็นภาระการเงินที่หนักหน่วง เพราะไม่เพียงแต่ต้องจ่ายเงินผ่อนชำระทุกเดือนเท่านั้น ยังมีระยะเวลาผูกพันอันยาวนานเกี่ยวข้องอีกด้วย การผ่อนบ้านจึงเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของครอบครัว ซึ่งต้องคำนึงถึงราคาบ้าน ความสามารถในการผ่อนชำระแต่ละเดือน อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันและอนาคต ความแน่นอนของรายได้ ระยะเวลาแห่งการผูกมัด ศักยภาพการเพิ่มขึ้นของมูลค่าบ้าน ตลอดจน “ความแพง” ของบ้านในภาพรวม . ยกตัวอย่าง “ความแพง” ของบ้านเพื่อประกอบการพิจารณา : ถ้ากู้เงินซื้อบ้านราคา 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ผ่อนชำระ 10 ปี ต้องชำระเดือนละ 1,322 บาท ดังนั้นต้องจ่ายเงินรวมทั้งสิ้น 158,640 บาท สำหรับบ้านราคา 100,000 บาท (ถ้าผ่อนส่ง 20 ปี ต้องจ่ายรวมทั้งสิ้น 316,080 บาท สำหรับบ้านราคา 100,000 บาท) . ถ้ากู้เงินซื้อบ้านราคา 5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ผ่อนส่ง 10 ปี ต้องชำระเดือนละ 66,100 บาท ดังนั้นต้องจ่ายรวมทั้งสิ้น 7.93 ล้านบาท และถ้าผ่อนส่ง 15 ปี ต้องชำระเดือนละ 53,750 บาท ดังนั้นต้องจ่ายรวมทั้งสิ้นประมาณ 9.68 ล้านบาท หรืออีกเกือบหนึ่งเท่าของราคาบ้าน . ถึงแม้การกู้ยืมจะทำให้บ้าน “แพง” ขึ้นมาก แต่ก็ทำให้สามารถมีบ้านอยู่อาศัยที่เป็นของตนเองในอนาคต และมูลค่าบ้านก็อาจเพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้นจึงควรใคร่ครวญทั้งในด้าน “ความแพง” อันเกิดจากดอกเบี้ย ความมีคุณค่าของบ้านในปัจจุบันและมูลค่าบ้านในอนาคตประกอบกัน
    0 Comments 0 Shares 283 Views 0 Reviews
  • Intel กำลังพัฒนา Griffin Cove ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรม CPU รุ่นใหม่ที่ต่อยอดจาก Cougar Cove และจะถูกนำมาใช้ใน Razer Lake โดยมีแนวโน้มว่า Intel จะเปลี่ยนกลยุทธ์การออกแบบ CPU ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น

    ✅ Intel ยืนยันว่ากำลังพัฒนา Griffin Cove
    - Griffin Cove เป็นสถาปัตยกรรมที่พัฒนาต่อจาก Cougar Cove ซึ่งจะถูกใช้ใน Panther Lake
    - Intel กำลังทำงานล่วงหน้าไปถึง สามรุ่น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน

    ✅ กลยุทธ์ใหม่ของ Intel ในการออกแบบ CPU
    - Intel เปลี่ยนไปใช้แนวทาง "Process Node Agnostic" ซึ่งช่วยให้สามารถเลือกกระบวนการผลิตที่เหมาะสมที่สุด
    - บริษัทสามารถใช้ ทั้ง IFS และ TSMC ในการผลิต CPU เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น

    ✅ ผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาด CPU
    - Intel กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจาก AMD โดยเฉพาะหลังจากเปิดตัว Zen 6
    - การเปลี่ยนกลยุทธ์อาจช่วยให้ Intel สามารถกลับมาแข่งขันได้ดีขึ้น

    ✅ แนวโน้มของ Razer Lake และอนาคตของ Intel
    - มีข่าวลือว่า Razer Lake อาจใช้ เฉพาะ P-Core ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
    - Intel กำลังพัฒนา CPU บน หลายกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ผลกระทบต่อการผลิต CPU
    - การใช้หลายกระบวนการผลิตอาจทำให้เกิดความซับซ้อนในการจัดการซัพพลายเชน
    - ต้องติดตามว่า Intel จะสามารถรักษาคุณภาพและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ได้หรือไม่

    ℹ️ ความท้าทายในการแข่งขันกับ AMD
    - AMD กำลังพัฒนา Zen 6 บนกระบวนการ TSMC N2 ซึ่งอาจมีประสิทธิภาพสูงกว่า
    - Intel ต้องพิสูจน์ว่า Griffin Cove สามารถแข่งขันได้ในตลาด HPC และเซิร์ฟเวอร์

    ℹ️ แนวโน้มของตลาด CPU ในปี 2025-2026
    - การแข่งขันระหว่าง Intel และ AMD อาจส่งผลต่อราคาของ CPU ระดับไฮเอนด์
    - อาจมีการเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์ของ Intel หาก Griffin Cove ไม่สามารถทำให้บริษัทกลับมาเป็นผู้นำตลาดได้

    https://wccftech.com/intel-engineer-reveals-development-on-griffin-cove-is-already-underway/
    Intel กำลังพัฒนา Griffin Cove ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรม CPU รุ่นใหม่ที่ต่อยอดจาก Cougar Cove และจะถูกนำมาใช้ใน Razer Lake โดยมีแนวโน้มว่า Intel จะเปลี่ยนกลยุทธ์การออกแบบ CPU ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ✅ Intel ยืนยันว่ากำลังพัฒนา Griffin Cove - Griffin Cove เป็นสถาปัตยกรรมที่พัฒนาต่อจาก Cougar Cove ซึ่งจะถูกใช้ใน Panther Lake - Intel กำลังทำงานล่วงหน้าไปถึง สามรุ่น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ✅ กลยุทธ์ใหม่ของ Intel ในการออกแบบ CPU - Intel เปลี่ยนไปใช้แนวทาง "Process Node Agnostic" ซึ่งช่วยให้สามารถเลือกกระบวนการผลิตที่เหมาะสมที่สุด - บริษัทสามารถใช้ ทั้ง IFS และ TSMC ในการผลิต CPU เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น ✅ ผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาด CPU - Intel กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจาก AMD โดยเฉพาะหลังจากเปิดตัว Zen 6 - การเปลี่ยนกลยุทธ์อาจช่วยให้ Intel สามารถกลับมาแข่งขันได้ดีขึ้น ✅ แนวโน้มของ Razer Lake และอนาคตของ Intel - มีข่าวลือว่า Razer Lake อาจใช้ เฉพาะ P-Core ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ - Intel กำลังพัฒนา CPU บน หลายกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ผลกระทบต่อการผลิต CPU - การใช้หลายกระบวนการผลิตอาจทำให้เกิดความซับซ้อนในการจัดการซัพพลายเชน - ต้องติดตามว่า Intel จะสามารถรักษาคุณภาพและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ได้หรือไม่ ℹ️ ความท้าทายในการแข่งขันกับ AMD - AMD กำลังพัฒนา Zen 6 บนกระบวนการ TSMC N2 ซึ่งอาจมีประสิทธิภาพสูงกว่า - Intel ต้องพิสูจน์ว่า Griffin Cove สามารถแข่งขันได้ในตลาด HPC และเซิร์ฟเวอร์ ℹ️ แนวโน้มของตลาด CPU ในปี 2025-2026 - การแข่งขันระหว่าง Intel และ AMD อาจส่งผลต่อราคาของ CPU ระดับไฮเอนด์ - อาจมีการเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์ของ Intel หาก Griffin Cove ไม่สามารถทำให้บริษัทกลับมาเป็นผู้นำตลาดได้ https://wccftech.com/intel-engineer-reveals-development-on-griffin-cove-is-already-underway/
    WCCFTECH.COM
    Intel Engineer Reveals "Griffin Cove" Development Is Already Underway; Says Relying On Intel's Nodes Alone "Got Them Into Trouble" In The Past
    Intel's renowned engineer has revealed that Team Blue is already working on the "great-grandchild" of Lion Cove, the Griffin Cove.
    0 Comments 0 Shares 137 Views 0 Reviews
  • นักวิจัยจาก Argonne National Laboratory ได้พัฒนา PRO-AID ซึ่งเป็นระบบ AI ที่ช่วยตรวจสอบและบริหารจัดการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เทคโนโลยีนี้สามารถช่วยให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ✅ PRO-AID: ระบบ AI สำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
    - ใช้ AI ในการตรวจสอบสถานะของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเรียลไทม์
    - สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและแจ้งเตือนปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
    - ช่วยให้โรงไฟฟ้าสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานได้

    ✅ การนำ AI มาใช้ในอุตสาหกรรมนิวเคลียร์
    - PRO-AID สามารถช่วยออกแบบและปรับปรุงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งใหม่และเก่า
    - ใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางคณิตศาสตร์เพื่อให้เห็นภาพรวมของการทำงานของโรงไฟฟ้า

    ✅ ผลกระทบต่อบุคลากรในอุตสาหกรรม
    - ระบบสามารถช่วยลดภาระงานของพนักงาน โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ต้องตรวจสอบข้อมูลจำนวนมาก
    - อาจช่วยลดความจำเป็นในการจ้างงานใหม่เมื่อพนักงานเกษียณ

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ความเสี่ยงของการใช้ AI ในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
    - แม้ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลอย่างเข้มงวด
    - อาจเกิดข้อผิดพลาดหากระบบ AI ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

    ℹ️ ผลกระทบต่อแรงงานในอุตสาหกรรม
    - การนำ AI มาใช้แทนพนักงานบางตำแหน่ง อาจส่งผลต่อการจ้างงานในอนาคต
    - ต้องมีการวางแผนเพื่อให้พนักงานสามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่

    ℹ️ แนวโน้มการพัฒนา AI ในอุตสาหกรรมพลังงาน
    - อาจมีการนำ AI มาใช้ในโรงไฟฟ้าประเภทอื่น เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
    - เทคโนโลยี AI อาจช่วยให้การบริหารจัดการพลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/government-funded-ai-tool-developed-to-help-monitor-and-manage-nuclear-reactors
    นักวิจัยจาก Argonne National Laboratory ได้พัฒนา PRO-AID ซึ่งเป็นระบบ AI ที่ช่วยตรวจสอบและบริหารจัดการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เทคโนโลยีนี้สามารถช่วยให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ PRO-AID: ระบบ AI สำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ - ใช้ AI ในการตรวจสอบสถานะของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเรียลไทม์ - สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและแจ้งเตือนปัญหาที่อาจเกิดขึ้น - ช่วยให้โรงไฟฟ้าสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานได้ ✅ การนำ AI มาใช้ในอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ - PRO-AID สามารถช่วยออกแบบและปรับปรุงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งใหม่และเก่า - ใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางคณิตศาสตร์เพื่อให้เห็นภาพรวมของการทำงานของโรงไฟฟ้า ✅ ผลกระทบต่อบุคลากรในอุตสาหกรรม - ระบบสามารถช่วยลดภาระงานของพนักงาน โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ต้องตรวจสอบข้อมูลจำนวนมาก - อาจช่วยลดความจำเป็นในการจ้างงานใหม่เมื่อพนักงานเกษียณ ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ความเสี่ยงของการใช้ AI ในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ - แม้ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลอย่างเข้มงวด - อาจเกิดข้อผิดพลาดหากระบบ AI ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ℹ️ ผลกระทบต่อแรงงานในอุตสาหกรรม - การนำ AI มาใช้แทนพนักงานบางตำแหน่ง อาจส่งผลต่อการจ้างงานในอนาคต - ต้องมีการวางแผนเพื่อให้พนักงานสามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ ℹ️ แนวโน้มการพัฒนา AI ในอุตสาหกรรมพลังงาน - อาจมีการนำ AI มาใช้ในโรงไฟฟ้าประเภทอื่น เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน - เทคโนโลยี AI อาจช่วยให้การบริหารจัดการพลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/government-funded-ai-tool-developed-to-help-monitor-and-manage-nuclear-reactors
    0 Comments 0 Shares 136 Views 0 Reviews
  • AMD ได้ปรับโครงสร้าง ROCm toolkit โดยแยกส่วน ROCm AMDGPU drivers ออกมาเป็น Instinct driver ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน GPU สำหรับศูนย์ข้อมูล

    ✅ การแยก ROCm toolkit ออกเป็นสองส่วน
    - ROCm 6.4 แบ่งออกเป็น Instinct Driver และ ROCm Toolkit
    - Instinct Driver จะเป็นชุดไดรเวอร์ที่รองรับ GPU สำหรับศูนย์ข้อมูลโดยเฉพาะ
    - ROCm Toolkit จะดูแลทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับไดรเวอร์โดยตรง

    ✅ ข้อดีของการเปลี่ยนแปลงนี้
    - เพิ่มความยืดหยุ่นในการอัปเดตไดรเวอร์ โดยไม่ต้องเปลี่ยนเวอร์ชันของ ROCm Toolkit
    - ลดความซับซ้อนในการติดตั้งและจัดการสิทธิ์ของผู้ใช้
    - เพิ่มระยะเวลาการสนับสนุนไดรเวอร์จาก 6 เดือนเป็น 12 เดือน

    ✅ การพัฒนาในอนาคต
    - AMD วางแผนเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น การติดตั้งแบบลดขนาด เพื่อลด footprint ของไดรเวอร์
    - อาจมีการพัฒนาไดรเวอร์ที่เน้นความเสถียรระยะยาวสำหรับศูนย์ข้อมูล

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ทั่วไป
    - ROCm Toolkit จะยังคงรองรับ GPU สำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่การแยกไดรเวอร์อาจทำให้การติดตั้งซับซ้อนขึ้น
    - ผู้ใช้ที่ต้องการใช้ amdgpu จาก Linux kernel อาจต้องปรับการตั้งค่าใหม่

    ℹ️ ความสับสนเรื่องเวอร์ชันไดรเวอร์
    - AMD ยืนยันว่า เวอร์ชันของ Instinct Driver จะไม่เปลี่ยนแปลง แม้ ROCm Toolkit จะอัปเดต
    - อาจเกิดความสับสนในการเลือกเวอร์ชันที่เหมาะสมสำหรับการใช้งาน

    ℹ️ แนวโน้มของ ROCm และการสนับสนุน GPU รุ่นใหม่
    - AMD ยังไม่ได้ประกาศการรองรับ RDNA 4 ใน ROCm Toolkit
    - ผู้ใช้ต้องติดตามการอัปเดตเพื่อดูว่า GPU รุ่นใหม่จะได้รับการสนับสนุนเมื่อใด

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-splits-rocm-toolkit-into-two-parts-rocm-amdgpu-drivers-get-their-own-branch-under-instinct-datacenter-gpu-moniker
    AMD ได้ปรับโครงสร้าง ROCm toolkit โดยแยกส่วน ROCm AMDGPU drivers ออกมาเป็น Instinct driver ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน GPU สำหรับศูนย์ข้อมูล ✅ การแยก ROCm toolkit ออกเป็นสองส่วน - ROCm 6.4 แบ่งออกเป็น Instinct Driver และ ROCm Toolkit - Instinct Driver จะเป็นชุดไดรเวอร์ที่รองรับ GPU สำหรับศูนย์ข้อมูลโดยเฉพาะ - ROCm Toolkit จะดูแลทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับไดรเวอร์โดยตรง ✅ ข้อดีของการเปลี่ยนแปลงนี้ - เพิ่มความยืดหยุ่นในการอัปเดตไดรเวอร์ โดยไม่ต้องเปลี่ยนเวอร์ชันของ ROCm Toolkit - ลดความซับซ้อนในการติดตั้งและจัดการสิทธิ์ของผู้ใช้ - เพิ่มระยะเวลาการสนับสนุนไดรเวอร์จาก 6 เดือนเป็น 12 เดือน ✅ การพัฒนาในอนาคต - AMD วางแผนเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น การติดตั้งแบบลดขนาด เพื่อลด footprint ของไดรเวอร์ - อาจมีการพัฒนาไดรเวอร์ที่เน้นความเสถียรระยะยาวสำหรับศูนย์ข้อมูล ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ทั่วไป - ROCm Toolkit จะยังคงรองรับ GPU สำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่การแยกไดรเวอร์อาจทำให้การติดตั้งซับซ้อนขึ้น - ผู้ใช้ที่ต้องการใช้ amdgpu จาก Linux kernel อาจต้องปรับการตั้งค่าใหม่ ℹ️ ความสับสนเรื่องเวอร์ชันไดรเวอร์ - AMD ยืนยันว่า เวอร์ชันของ Instinct Driver จะไม่เปลี่ยนแปลง แม้ ROCm Toolkit จะอัปเดต - อาจเกิดความสับสนในการเลือกเวอร์ชันที่เหมาะสมสำหรับการใช้งาน ℹ️ แนวโน้มของ ROCm และการสนับสนุน GPU รุ่นใหม่ - AMD ยังไม่ได้ประกาศการรองรับ RDNA 4 ใน ROCm Toolkit - ผู้ใช้ต้องติดตามการอัปเดตเพื่อดูว่า GPU รุ่นใหม่จะได้รับการสนับสนุนเมื่อใด https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-splits-rocm-toolkit-into-two-parts-rocm-amdgpu-drivers-get-their-own-branch-under-instinct-datacenter-gpu-moniker
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AMD splits ROCm toolkit into two parts – ROCm AMDGPU drivers get their own branch under Instinct datacenter GPU moniker
    AMD's datacenter-focused Instinct GPUs get their own-branded Linux GPU drivers that support significantly more versions of the ROCm toolkit.
    0 Comments 0 Shares 122 Views 0 Reviews
  • ข่าวนี้เล่าถึงแนวทางที่ CISOs (Chief Information Security Officers) ควรใช้ในการสื่อสารกับคณะกรรมการบริษัท เพื่อให้สามารถนำเสนอข้อมูลด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ

    ✅ แนวทางการสื่อสารของ CISOs กับคณะกรรมการ
    - แปลความเสี่ยงทางไซเบอร์ให้เป็นภาษาธุรกิจ
    - หาพันธมิตรในคณะกรรมการเพื่อช่วยปรับปรุงการนำเสนอ

    ✅ การพัฒนาเอกสารช่วยให้คณะกรรมการเข้าใจข้อมูล
    - เอกสารอธิบายคำศัพท์ด้านความปลอดภัย
    - เอกสารแนวทางการปฏิบัติตามมาตรฐาน

    ✅ การศึกษาประวัติของสมาชิกคณะกรรมการ
    - เข้าใจมุมมองและความคาดหวังของคณะกรรมการ
    - ปรับการนำเสนอให้สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัท

    ℹ️ ข้อจำกัดของการสื่อสารด้านความปลอดภัย
    - คณะกรรมการบางคนอาจไม่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี
    - การนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด

    ℹ️ ผลกระทบต่อการตัดสินใจของคณะกรรมการ
    - หากข้อมูลด้านความปลอดภัยไม่ถูกนำเสนออย่างเหมาะสม อาจส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุน
    - การขาดความเข้าใจด้านไซเบอร์อาจทำให้คณะกรรมการมองข้ามความเสี่ยงที่สำคัญ

    https://www.csoonline.com/article/3953098/what-boards-want-and-dont-want-to-hear-from-cybersecurity-leaders.html
    ข่าวนี้เล่าถึงแนวทางที่ CISOs (Chief Information Security Officers) ควรใช้ในการสื่อสารกับคณะกรรมการบริษัท เพื่อให้สามารถนำเสนอข้อมูลด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ ✅ แนวทางการสื่อสารของ CISOs กับคณะกรรมการ - แปลความเสี่ยงทางไซเบอร์ให้เป็นภาษาธุรกิจ - หาพันธมิตรในคณะกรรมการเพื่อช่วยปรับปรุงการนำเสนอ ✅ การพัฒนาเอกสารช่วยให้คณะกรรมการเข้าใจข้อมูล - เอกสารอธิบายคำศัพท์ด้านความปลอดภัย - เอกสารแนวทางการปฏิบัติตามมาตรฐาน ✅ การศึกษาประวัติของสมาชิกคณะกรรมการ - เข้าใจมุมมองและความคาดหวังของคณะกรรมการ - ปรับการนำเสนอให้สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัท ℹ️ ข้อจำกัดของการสื่อสารด้านความปลอดภัย - คณะกรรมการบางคนอาจไม่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี - การนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด ℹ️ ผลกระทบต่อการตัดสินใจของคณะกรรมการ - หากข้อมูลด้านความปลอดภัยไม่ถูกนำเสนออย่างเหมาะสม อาจส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุน - การขาดความเข้าใจด้านไซเบอร์อาจทำให้คณะกรรมการมองข้ามความเสี่ยงที่สำคัญ https://www.csoonline.com/article/3953098/what-boards-want-and-dont-want-to-hear-from-cybersecurity-leaders.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What boards want and don’t want to hear from cybersecurity leaders
    To get through to board members, cybersecurity leaders need to not only learn the language of business but how to translate cyber risk in a way board members can make sense of.
    0 Comments 0 Shares 125 Views 0 Reviews
  • ข่าวนี้เล่าถึงผลการวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า การฝึกอบรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) มากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพของโมเดล โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐฯ เช่น Carnegie Mellon, Stanford, Harvard และ Princeton ได้ค้นพบปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Catastrophic Overtraining”

    นักวิจัยพบว่าเมื่อโมเดล AI ถูกฝึกอบรมด้วยข้อมูลจำนวนมากเกินไป เช่น การเพิ่มจำนวนโทเค็นจาก 2.3 ล้านล้านเป็น 3 ล้านล้านในโมเดล OLMo-1B ประสิทธิภาพของโมเดลกลับลดลงถึง 3% ในการทดสอบมาตรฐาน เช่น AlpacaEval และ ARC สาเหตุหลักมาจาก “Progressive Sensitivity” ซึ่งทำให้โมเดลมีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เช่น การปรับแต่งหรือการเพิ่มเสียงรบกวน

    นักวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า “Inflection Point” หรือจุดที่การฝึกอบรมเพิ่มเติมเริ่มส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพ มักเกิดขึ้นเมื่อจำนวนโทเค็นเกิน 2.5 ล้านล้านในโมเดลขนาดเล็ก การค้นพบนี้เรียกร้องให้มีการพิจารณาใหม่เกี่ยวกับการปรับขนาดโมเดล AI โดยเน้นที่กระบวนการฝึกอบรมทั้งหมดแทนที่จะมุ่งเน้นที่การเพิ่มข้อมูลเพียงอย่างเดียว

    ✅ การค้นพบปรากฏการณ์ Catastrophic Overtraining
    - การฝึกอบรม AI มากเกินไปอาจลดประสิทธิภาพของโมเดล
    - Progressive Sensitivity ทำให้โมเดลเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

    ✅ ผลกระทบของการฝึกอบรมเพิ่มเติม
    - โมเดล OLMo-1B ที่ฝึกอบรมด้วยข้อมูล 3 ล้านล้านโทเค็นมีประสิทธิภาพลดลงถึง 3%
    - Inflection Point มักเกิดขึ้นเมื่อจำนวนโทเค็นเกิน 2.5 ล้านล้าน

    ✅ ข้อเสนอแนะจากนักวิจัย
    - ควรพิจารณากระบวนการฝึกอบรมทั้งหมดแทนการเพิ่มข้อมูลเพียงอย่างเดียว
    - การปรับขนาดโมเดล AI ควรคำนึงถึงความสมดุลระหว่างข้อมูลและความเสถียร

    ℹ️ ความเสี่ยงจากการฝึกอบรมมากเกินไป
    - การฝึกอบรมมากเกินไปอาจทำให้โมเดลเปราะบางและลดประสิทธิภาพ
    - การเพิ่มเสียงรบกวนหรือการปรับแต่งอาจส่งผลเสียต่อโมเดลที่ฝึกอบรมมากเกินไป

    ℹ️ คำแนะนำสำหรับนักพัฒนา AI
    - ควรพิจารณาจำนวนข้อมูลที่เหมาะสมสำหรับการฝึกอบรม
    - การพัฒนาโมเดล AI ควรเน้นที่ความสมดุลระหว่างข้อมูลและความเสถียร

    https://www.techradar.com/pro/catastrophic-overtraining-could-harm-large-language-ai-models-that-are-trained-on-more-data-for-the-sake-of-training
    ข่าวนี้เล่าถึงผลการวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า การฝึกอบรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) มากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพของโมเดล โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐฯ เช่น Carnegie Mellon, Stanford, Harvard และ Princeton ได้ค้นพบปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Catastrophic Overtraining” นักวิจัยพบว่าเมื่อโมเดล AI ถูกฝึกอบรมด้วยข้อมูลจำนวนมากเกินไป เช่น การเพิ่มจำนวนโทเค็นจาก 2.3 ล้านล้านเป็น 3 ล้านล้านในโมเดล OLMo-1B ประสิทธิภาพของโมเดลกลับลดลงถึง 3% ในการทดสอบมาตรฐาน เช่น AlpacaEval และ ARC สาเหตุหลักมาจาก “Progressive Sensitivity” ซึ่งทำให้โมเดลมีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เช่น การปรับแต่งหรือการเพิ่มเสียงรบกวน นักวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า “Inflection Point” หรือจุดที่การฝึกอบรมเพิ่มเติมเริ่มส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพ มักเกิดขึ้นเมื่อจำนวนโทเค็นเกิน 2.5 ล้านล้านในโมเดลขนาดเล็ก การค้นพบนี้เรียกร้องให้มีการพิจารณาใหม่เกี่ยวกับการปรับขนาดโมเดล AI โดยเน้นที่กระบวนการฝึกอบรมทั้งหมดแทนที่จะมุ่งเน้นที่การเพิ่มข้อมูลเพียงอย่างเดียว ✅ การค้นพบปรากฏการณ์ Catastrophic Overtraining - การฝึกอบรม AI มากเกินไปอาจลดประสิทธิภาพของโมเดล - Progressive Sensitivity ทำให้โมเดลเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ✅ ผลกระทบของการฝึกอบรมเพิ่มเติม - โมเดล OLMo-1B ที่ฝึกอบรมด้วยข้อมูล 3 ล้านล้านโทเค็นมีประสิทธิภาพลดลงถึง 3% - Inflection Point มักเกิดขึ้นเมื่อจำนวนโทเค็นเกิน 2.5 ล้านล้าน ✅ ข้อเสนอแนะจากนักวิจัย - ควรพิจารณากระบวนการฝึกอบรมทั้งหมดแทนการเพิ่มข้อมูลเพียงอย่างเดียว - การปรับขนาดโมเดล AI ควรคำนึงถึงความสมดุลระหว่างข้อมูลและความเสถียร ℹ️ ความเสี่ยงจากการฝึกอบรมมากเกินไป - การฝึกอบรมมากเกินไปอาจทำให้โมเดลเปราะบางและลดประสิทธิภาพ - การเพิ่มเสียงรบกวนหรือการปรับแต่งอาจส่งผลเสียต่อโมเดลที่ฝึกอบรมมากเกินไป ℹ️ คำแนะนำสำหรับนักพัฒนา AI - ควรพิจารณาจำนวนข้อมูลที่เหมาะสมสำหรับการฝึกอบรม - การพัฒนาโมเดล AI ควรเน้นที่ความสมดุลระหว่างข้อมูลและความเสถียร https://www.techradar.com/pro/catastrophic-overtraining-could-harm-large-language-ai-models-that-are-trained-on-more-data-for-the-sake-of-training
    0 Comments 0 Shares 160 Views 0 Reviews
  • ข่าวนี้เล่าถึงการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดย Pat Gelsinger อดีต CEO ของ Intel ได้เข้าร่วมกับบริษัท xLight ในฐานะประธานกรรมการบริหาร เพื่อพัฒนาแหล่งกำเนิดแสงแบบ Free Electron Laser (FEL) สำหรับระบบลิโทกราฟี Extreme Ultraviolet (EUV) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตชิป

    xLight กำลังพัฒนาแหล่งกำเนิดแสง FEL ที่ใช้เทคโนโลยีเครื่องเร่งอนุภาค (Particle Accelerator) เพื่อสร้างแสงที่มีความยาวคลื่นสั้นมาก (13.5 นาโนเมตร) ซึ่งเหมาะสำหรับการผลิตชิปที่มีความละเอียดสูงถึง 8 นาโนเมตร เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการลดต้นทุนการผลิตต่อแผ่นเวเฟอร์ลงถึง 50% และลดค่าใช้จ่ายทั้งด้านทุนและการดำเนินงานถึงสามเท่า

    นอกจากนี้ xLight ยังตั้งเป้าที่จะทำให้แหล่งกำเนิดแสง FEL นี้สามารถใช้งานร่วมกับเครื่องลิโทกราฟีของ ASML ได้ภายในปี 2028 โดยเทคโนโลยีนี้ยังมีศักยภาพในการนำไปใช้ในด้านอื่นๆ เช่น การตรวจวัดพลังงานสูง การควบคุมเศษซากในอวกาศ และการวิจัยทางการแพทย์

    ✅ การพัฒนาแหล่งกำเนิดแสง FEL
    - ใช้เทคโนโลยีเครื่องเร่งอนุภาคเพื่อสร้างแสงที่มีความยาวคลื่น 13.5 นาโนเมตร
    - เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตชิปที่มีความละเอียดสูงถึง 8 นาโนเมตร

    ✅ เป้าหมายของ xLight
    - ลดต้นทุนการผลิตต่อแผ่นเวเฟอร์ลงถึง 50%
    - ลดค่าใช้จ่ายทั้งด้านทุนและการดำเนินงานถึงสามเท่า

    ✅ การใช้งานในอนาคต
    - ใช้งานร่วมกับเครื่องลิโทกราฟีของ ASML ภายในปี 2028
    - มีศักยภาพในการนำไปใช้ในด้านพลังงาน อวกาศ และการแพทย์

    ℹ️ ข้อจำกัดของเทคโนโลยี FEL
    - ขนาดของเครื่องเร่งอนุภาคอาจไม่เหมาะสมกับโรงงานผลิตชิปในปัจจุบัน
    - การพัฒนาเทคโนโลยีนี้อาจต้องใช้เวลาและทรัพยากรเพิ่มเติม

    ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    - การแข่งขันในอุตสาหกรรมอาจเพิ่มขึ้นจากการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่
    - ความสำเร็จของ xLight อาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างต้นทุนในอุตสาหกรรม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/pat-gelsinger-turns-to-particle-accelerators-for-a-new-way-to-make-chips-joins-xlight
    ข่าวนี้เล่าถึงการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดย Pat Gelsinger อดีต CEO ของ Intel ได้เข้าร่วมกับบริษัท xLight ในฐานะประธานกรรมการบริหาร เพื่อพัฒนาแหล่งกำเนิดแสงแบบ Free Electron Laser (FEL) สำหรับระบบลิโทกราฟี Extreme Ultraviolet (EUV) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตชิป xLight กำลังพัฒนาแหล่งกำเนิดแสง FEL ที่ใช้เทคโนโลยีเครื่องเร่งอนุภาค (Particle Accelerator) เพื่อสร้างแสงที่มีความยาวคลื่นสั้นมาก (13.5 นาโนเมตร) ซึ่งเหมาะสำหรับการผลิตชิปที่มีความละเอียดสูงถึง 8 นาโนเมตร เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการลดต้นทุนการผลิตต่อแผ่นเวเฟอร์ลงถึง 50% และลดค่าใช้จ่ายทั้งด้านทุนและการดำเนินงานถึงสามเท่า นอกจากนี้ xLight ยังตั้งเป้าที่จะทำให้แหล่งกำเนิดแสง FEL นี้สามารถใช้งานร่วมกับเครื่องลิโทกราฟีของ ASML ได้ภายในปี 2028 โดยเทคโนโลยีนี้ยังมีศักยภาพในการนำไปใช้ในด้านอื่นๆ เช่น การตรวจวัดพลังงานสูง การควบคุมเศษซากในอวกาศ และการวิจัยทางการแพทย์ ✅ การพัฒนาแหล่งกำเนิดแสง FEL - ใช้เทคโนโลยีเครื่องเร่งอนุภาคเพื่อสร้างแสงที่มีความยาวคลื่น 13.5 นาโนเมตร - เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตชิปที่มีความละเอียดสูงถึง 8 นาโนเมตร ✅ เป้าหมายของ xLight - ลดต้นทุนการผลิตต่อแผ่นเวเฟอร์ลงถึง 50% - ลดค่าใช้จ่ายทั้งด้านทุนและการดำเนินงานถึงสามเท่า ✅ การใช้งานในอนาคต - ใช้งานร่วมกับเครื่องลิโทกราฟีของ ASML ภายในปี 2028 - มีศักยภาพในการนำไปใช้ในด้านพลังงาน อวกาศ และการแพทย์ ℹ️ ข้อจำกัดของเทคโนโลยี FEL - ขนาดของเครื่องเร่งอนุภาคอาจไม่เหมาะสมกับโรงงานผลิตชิปในปัจจุบัน - การพัฒนาเทคโนโลยีนี้อาจต้องใช้เวลาและทรัพยากรเพิ่มเติม ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ - การแข่งขันในอุตสาหกรรมอาจเพิ่มขึ้นจากการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ - ความสำเร็จของ xLight อาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างต้นทุนในอุตสาหกรรม https://www.tomshardware.com/tech-industry/pat-gelsinger-turns-to-particle-accelerators-for-a-new-way-to-make-chips-joins-xlight
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Pat Gelsinger turns to particle accelerators for a new way to make chips, joins xLight
    xLight aims to deliver a powerful alternative LPP source for ASML EUV tools by 2028.
    0 Comments 0 Shares 152 Views 0 Reviews
  • ข่าวนี้เล่าถึงความท้าทายของ Meta ในการพัฒนาโครงการ Metaverse ซึ่งใช้เงินลงทุนไปแล้วกว่า 45 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่น่าพอใจได้

    Meta ซึ่งนำโดย Mark Zuckerberg ได้เปลี่ยนชื่อจาก Facebook เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนา Metaverse แต่โครงการนี้กลับกลายเป็นปัญหาทางการเงินที่ใหญ่หลวง โดยมีการสูญเสียเงินถึง 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และอีก 3.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2024 สาเหตุหลักมาจากการขาดความชัดเจนในกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และการบริหารที่ไม่เหมาะสม เช่น การแต่งตั้งผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR

    นอกจากนี้ รายได้ประจำปีของ Reality Labs ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการ Metaverse ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021 เนื่องจากยอดขายที่อ่อนแอและการไม่สามารถเข้าถึงตลาดหลักได้

    ✅ การลงทุนในโครงการ Metaverse
    - Meta ใช้เงินลงทุนกว่า 45 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
    - สูญเสียเงินถึง 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และอีก 3.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2024

    ✅ ปัญหาด้านการบริหารและกลยุทธ์
    - การแต่งตั้งผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR
    - ขาดความชัดเจนในกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์

    ✅ ผลกระทบต่อรายได้ของ Reality Labs
    - รายได้ประจำปีลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021
    - ยอดขายอ่อนแอและไม่สามารถเข้าถึงตลาดหลักได้

    ℹ️ ความเสี่ยงต่อความยั่งยืนของโครงการ
    - การสูญเสียเงินจำนวนมากอาจทำให้โครงการ Metaverse ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
    - ความล้มเหลวในการเข้าถึงตลาดหลักอาจลดความเชื่อมั่นของนักลงทุน

    ℹ️ คำแนะนำสำหรับการปรับปรุง
    - Meta ควรพัฒนากลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจนและตอบสนองความต้องการของตลาด
    - การแต่งตั้งผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR เป็นสิ่งสำคัญ

    https://www.techspot.com/news/107530-four-years-meta-has-burned-through-45-billion.html
    ข่าวนี้เล่าถึงความท้าทายของ Meta ในการพัฒนาโครงการ Metaverse ซึ่งใช้เงินลงทุนไปแล้วกว่า 45 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่น่าพอใจได้ Meta ซึ่งนำโดย Mark Zuckerberg ได้เปลี่ยนชื่อจาก Facebook เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนา Metaverse แต่โครงการนี้กลับกลายเป็นปัญหาทางการเงินที่ใหญ่หลวง โดยมีการสูญเสียเงินถึง 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และอีก 3.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2024 สาเหตุหลักมาจากการขาดความชัดเจนในกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และการบริหารที่ไม่เหมาะสม เช่น การแต่งตั้งผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR นอกจากนี้ รายได้ประจำปีของ Reality Labs ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการ Metaverse ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021 เนื่องจากยอดขายที่อ่อนแอและการไม่สามารถเข้าถึงตลาดหลักได้ ✅ การลงทุนในโครงการ Metaverse - Meta ใช้เงินลงทุนกว่า 45 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา - สูญเสียเงินถึง 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และอีก 3.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2024 ✅ ปัญหาด้านการบริหารและกลยุทธ์ - การแต่งตั้งผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR - ขาดความชัดเจนในกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ ✅ ผลกระทบต่อรายได้ของ Reality Labs - รายได้ประจำปีลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021 - ยอดขายอ่อนแอและไม่สามารถเข้าถึงตลาดหลักได้ ℹ️ ความเสี่ยงต่อความยั่งยืนของโครงการ - การสูญเสียเงินจำนวนมากอาจทำให้โครงการ Metaverse ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ - ความล้มเหลวในการเข้าถึงตลาดหลักอาจลดความเชื่อมั่นของนักลงทุน ℹ️ คำแนะนำสำหรับการปรับปรุง - Meta ควรพัฒนากลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจนและตอบสนองความต้องการของตลาด - การแต่งตั้งผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR เป็นสิ่งสำคัญ https://www.techspot.com/news/107530-four-years-meta-has-burned-through-45-billion.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Four years in, Meta has burned through $45 billion chasing its metaverse dream
    Insiders say the metaverse project has become a financial sinkhole, consuming $45 billion by early 2025. That's nearly equal to the combined market caps of social media...
    0 Comments 0 Shares 178 Views 0 Reviews
  • ข่าวนี้เล่าถึงผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต่อการทำงานในองค์กร โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานร่วมกันและการลดช่องว่างด้านประสบการณ์ระหว่างพนักงาน

    การศึกษาโดย Procter & Gamble ร่วมกับนักวิจัยจาก Harvard, Wharton และ Digital Data Design Institute พบว่า AI เช่น GPT-4 สามารถช่วยให้พนักงานที่มีประสบการณ์น้อยทำงานได้ในระดับเดียวกับพนักงานที่มีประสบการณ์มาก นอกจากนี้ AI ยังช่วยลดความเครียด เพิ่มความกระตือรือร้น และพลังงานในการทำงาน อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้ยังมีอุปสรรค เช่น ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึง AI และความกังวลด้านจริยธรรม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่มีอัตราการใช้งาน AI ต่ำกว่าผู้ชาย

    บทความยังเน้นถึงบทบาทขององค์กรในการสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึง AI และการส่งเสริมการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและโปร่งใส เพื่อให้ AI เป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริมทักษะและสร้างความร่วมมือในองค์กร

    ✅ ผลกระทบของ AI ต่อการทำงาน
    - AI ช่วยให้พนักงานที่มีประสบการณ์น้อยทำงานได้ในระดับเดียวกับพนักงานที่มีประสบการณ์มาก
    - ลดความเครียด เพิ่มความกระตือรือร้น และพลังงานในการทำงาน

    ✅ อุปสรรคในการนำ AI มาใช้
    - ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึง AI โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง
    - ความกังวลด้านจริยธรรมและการใช้งาน AI

    ✅ บทบาทขององค์กร
    - สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึง AI
    - ส่งเสริมการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและโปร่งใส

    ℹ️ ความเสี่ยงจากการใช้งาน AI
    - การใช้งาน AI ที่ไม่เหมาะสมอาจเพิ่มความไม่เท่าเทียมในองค์กร
    - ความกังวลด้านจริยธรรมอาจลดความไว้วางใจในเทคโนโลยี

    ℹ️ คำแนะนำสำหรับองค์กร
    - สร้างการฝึกอบรมและการสนับสนุนเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการใช้งาน AI
    - ส่งเสริมการใช้งาน AI ในลักษณะที่โปร่งใสและมีความรับผิดชอบ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/14/could-artificial-intelligence-be-your-best-teammate-at-work
    ข่าวนี้เล่าถึงผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต่อการทำงานในองค์กร โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานร่วมกันและการลดช่องว่างด้านประสบการณ์ระหว่างพนักงาน การศึกษาโดย Procter & Gamble ร่วมกับนักวิจัยจาก Harvard, Wharton และ Digital Data Design Institute พบว่า AI เช่น GPT-4 สามารถช่วยให้พนักงานที่มีประสบการณ์น้อยทำงานได้ในระดับเดียวกับพนักงานที่มีประสบการณ์มาก นอกจากนี้ AI ยังช่วยลดความเครียด เพิ่มความกระตือรือร้น และพลังงานในการทำงาน อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้ยังมีอุปสรรค เช่น ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึง AI และความกังวลด้านจริยธรรม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่มีอัตราการใช้งาน AI ต่ำกว่าผู้ชาย บทความยังเน้นถึงบทบาทขององค์กรในการสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึง AI และการส่งเสริมการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและโปร่งใส เพื่อให้ AI เป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริมทักษะและสร้างความร่วมมือในองค์กร ✅ ผลกระทบของ AI ต่อการทำงาน - AI ช่วยให้พนักงานที่มีประสบการณ์น้อยทำงานได้ในระดับเดียวกับพนักงานที่มีประสบการณ์มาก - ลดความเครียด เพิ่มความกระตือรือร้น และพลังงานในการทำงาน ✅ อุปสรรคในการนำ AI มาใช้ - ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึง AI โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง - ความกังวลด้านจริยธรรมและการใช้งาน AI ✅ บทบาทขององค์กร - สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึง AI - ส่งเสริมการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและโปร่งใส ℹ️ ความเสี่ยงจากการใช้งาน AI - การใช้งาน AI ที่ไม่เหมาะสมอาจเพิ่มความไม่เท่าเทียมในองค์กร - ความกังวลด้านจริยธรรมอาจลดความไว้วางใจในเทคโนโลยี ℹ️ คำแนะนำสำหรับองค์กร - สร้างการฝึกอบรมและการสนับสนุนเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการใช้งาน AI - ส่งเสริมการใช้งาน AI ในลักษณะที่โปร่งใสและมีความรับผิดชอบ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/14/could-artificial-intelligence-be-your-best-teammate-at-work
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Could artificial intelligence be your best teammate at work?
    More than two years after ChatGPT burst onto the scene, companies are still struggling to make the technological transition. However, a growing number of trials are showing that artificial intelligence is not just about automating tasks.
    0 Comments 0 Shares 149 Views 0 Reviews
  • ข่าวนี้เล่าถึงการค้นพบวิธีใหม่ในการลดอาการเมารถหรือ Motion Sickness โดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น ได้พัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นเสียงกระตุ้นระบบประสาทในหูชั้นใน ซึ่งช่วยลดอาการเวียนหัวและคลื่นไส้ได้ภายในเวลาเพียง 1 นาที

    ทีมวิจัยนำโดย Takumi Kagawa และ Masashi Kato พบว่าการใช้คลื่นเสียงที่มีความถี่ 100 Hz ซึ่งเป็นเสียงระดับ Mid-Bass สามารถกระตุ้นระบบประสาทในหูชั้นในที่ควบคุมการทรงตัวและการรับรู้ตำแหน่งในอวกาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคลื่นเสียงนี้ช่วยกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติกที่มักเสียสมดุลในผู้ที่มีอาการเมารถ

    การทดลองใช้คลื่นเสียงนี้กับผู้เข้าร่วมที่ถูกกระตุ้นอาการเมารถด้วยการนั่งรถจำลองและการแกว่ง พบว่าผู้เข้าร่วมมีอาการลดลงอย่างชัดเจน เช่น อาการเวียนหัวและคลื่นไส้ นอกจากนี้ยังมีการวัดผลด้วยการทดสอบการทรงตัว การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และแบบสอบถามเกี่ยวกับอาการเมารถ

    ✅ การค้นพบวิธีลดอาการเมารถ
    - ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยนาโกย่าพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นเสียงกระตุ้นระบบประสาทในหูชั้นใน
    - คลื่นเสียงที่มีความถี่ 100 Hz ช่วยลดอาการเวียนหัวและคลื่นไส้

    ✅ ผลการทดลอง
    - ผู้เข้าร่วมมีอาการเมารถลดลงหลังการใช้คลื่นเสียง
    - การวัดผลด้วยการทดสอบการทรงตัวและการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแสดงผลลัพธ์ที่ดี

    ✅ ความปลอดภัยของเทคโนโลยี
    - คลื่นเสียงนี้มีระดับต่ำกว่ามาตรฐานความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน
    - เทคโนโลยีนี้คาดว่าจะปลอดภัยเมื่อใช้งานอย่างเหมาะสม

    ℹ️ ข้อจำกัดของการใช้งาน
    - การใช้งานต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีอุปกรณ์ส่งคลื่นเสียง
    - อาจต้องมีการปรับปรุงเทคโนโลยีเพื่อรองรับการใช้งานในสถานการณ์ต่างๆ

    ℹ️ ผลกระทบต่อการเดินทาง
    - เทคโนโลยีนี้อาจช่วยลดอาการเมารถในการเดินทางทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ
    - การพัฒนาเพิ่มเติมอาจช่วยให้เทคโนโลยีนี้เข้าถึงผู้ใช้งานได้มากขึ้น

    https://www.neowin.net/news/are-you-motion-sick-study-shows-how-just-a-minute-of-a-mid-bass-frequency-could-help-you/
    ข่าวนี้เล่าถึงการค้นพบวิธีใหม่ในการลดอาการเมารถหรือ Motion Sickness โดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น ได้พัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นเสียงกระตุ้นระบบประสาทในหูชั้นใน ซึ่งช่วยลดอาการเวียนหัวและคลื่นไส้ได้ภายในเวลาเพียง 1 นาที ทีมวิจัยนำโดย Takumi Kagawa และ Masashi Kato พบว่าการใช้คลื่นเสียงที่มีความถี่ 100 Hz ซึ่งเป็นเสียงระดับ Mid-Bass สามารถกระตุ้นระบบประสาทในหูชั้นในที่ควบคุมการทรงตัวและการรับรู้ตำแหน่งในอวกาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคลื่นเสียงนี้ช่วยกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติกที่มักเสียสมดุลในผู้ที่มีอาการเมารถ การทดลองใช้คลื่นเสียงนี้กับผู้เข้าร่วมที่ถูกกระตุ้นอาการเมารถด้วยการนั่งรถจำลองและการแกว่ง พบว่าผู้เข้าร่วมมีอาการลดลงอย่างชัดเจน เช่น อาการเวียนหัวและคลื่นไส้ นอกจากนี้ยังมีการวัดผลด้วยการทดสอบการทรงตัว การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และแบบสอบถามเกี่ยวกับอาการเมารถ ✅ การค้นพบวิธีลดอาการเมารถ - ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยนาโกย่าพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นเสียงกระตุ้นระบบประสาทในหูชั้นใน - คลื่นเสียงที่มีความถี่ 100 Hz ช่วยลดอาการเวียนหัวและคลื่นไส้ ✅ ผลการทดลอง - ผู้เข้าร่วมมีอาการเมารถลดลงหลังการใช้คลื่นเสียง - การวัดผลด้วยการทดสอบการทรงตัวและการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแสดงผลลัพธ์ที่ดี ✅ ความปลอดภัยของเทคโนโลยี - คลื่นเสียงนี้มีระดับต่ำกว่ามาตรฐานความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน - เทคโนโลยีนี้คาดว่าจะปลอดภัยเมื่อใช้งานอย่างเหมาะสม ℹ️ ข้อจำกัดของการใช้งาน - การใช้งานต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีอุปกรณ์ส่งคลื่นเสียง - อาจต้องมีการปรับปรุงเทคโนโลยีเพื่อรองรับการใช้งานในสถานการณ์ต่างๆ ℹ️ ผลกระทบต่อการเดินทาง - เทคโนโลยีนี้อาจช่วยลดอาการเมารถในการเดินทางทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ - การพัฒนาเพิ่มเติมอาจช่วยให้เทคโนโลยีนี้เข้าถึงผู้ใช้งานได้มากขึ้น https://www.neowin.net/news/are-you-motion-sick-study-shows-how-just-a-minute-of-a-mid-bass-frequency-could-help-you/
    WWW.NEOWIN.NET
    Are you motion sick? Study shows how just a minute of bass could help you
    Scientists conducted a study and found that just a minute of a particular mid-bass sound frequency can help cure motion sicknesses like car sickness.
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
More Results