• #เหตุใดโจโฉจึงยืนกรานที่จะฆ่าหมอฮวาโถว(华佗)?
    #12ปีต่อมาเขาก็พบว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง

    สามก๊ก หรือ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้(Romance of the Three Kingdoms三国演义)เป็นผลงานชิ้นเอกในประวัติศาสตร์วรรณกรรมจีนที่ใครๆ ก็รู้จัก หนังสือเล่มนี้มีโครงเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากมายซึ่งชวนติดตาม ในงานนี้ ผู้เขียนไม่ได้แยกแยะระหว่างตัวเอกและตัวประกอบอย่างชัดเจน เพราะในใจของผู้อ่านที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้ ตัวละครแต่ละตัวจะเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์เฉพาะตัว

    เชื่อว่าหลายๆ คนคิดเหมือนกันว่าตัวละครที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดคือโจโฉ(曹操) บางคนมองว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่ฉลาดและสามารถควบคุมสถานการณ์ในยามยากลำบากได้ ในขณะที่บางคนมองว่าเขาเป็นคนร้ายที่ทรยศและวางแผนร้าย

    บางทีในสายตาของโจโฉ(曹操) ความซื่อสัตย์ภักดีและการทรยศคตโกงอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เขาแสวงหาคือการรวมประเทศเป็นหนึ่ง และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบรรลุการรวมกันเป็นหนึ่งคือความแข็งแกร่งและความสามารถ ด้วยค่านิยมที่ว่า “ผู้มีความสามารถคือประมุข” เขาจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าที่จะยึดติดกับข้อจำกัดทางศีลธรรมแบบเดิมๆ สิ่งนี้ยังทำให้วิธีการทำสิ่งต่างๆ (曹操) มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์และมักจะผสมผสาน และไม่ยึดหลักเกณฑ์ธรรมดาด้วย

    จากมุมมองของผู้คนในปัจจุบัน เขาสามารถถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าและแนวคิดทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง หากต้องการเข้าใจความซับซ้อนของสามก๊ก(三国)อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจความภายในใจของโจโฉ(曹操)และวิธีการจัดการกับผู้คนพร้อมกับการปฏิบัติวานของเขาเสียก่อน

    นอกจากนี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จำนวนมากในช่วงยุคสามก๊ก(三国)มีปฏิสัมพันธ์สำคัญกับโจโฉ(曹操) และทั้งหมดนี้คนที่คลาสสิกที่สุดคือหมอฮวาโถว(华佗)ผู้โด่งดัง ดังที่เราทราบกันดีว่า ฮวาโถว(华佗)เสียชีวิตในท้ายที่สุดจากน้ำมือของโจโฉ(曹操) แต่หากเราหยุดอยู่แค่คำคร่ำครวญเรื่อง "หมอชื่อดังถูกฆ่า" เท่านั้น มันก็จะดูผิวเผินเกินไป ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของตัวละครที่อยู่เบื้องหลัง มันดูจะซับซ้อนกว่าการที่จะเอาแต่แค่ระบายอารมณ์เพียงอย่างเดียว แม้จากมุมมองบางประการ การตัดสินใจเช่นนี้อาจสมเหตุสมผลในสมัยขณะนั้น เพื่อที่จะชี้แจงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากฮวาโถว(华佗) ปราชญ์ทางการแพทย์

    ฮวาโถว(华佗) เป็นหนึ่งในสี่หมอผู้ยิ่งใหญ่ในจีนโบราณ ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮฮวาโถว(华佗)ได้แก่ การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”และนิทานปรัมปราเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”

    การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่คิดค้นโดยฮวาโถว(华佗)ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ฮวาโถว(华佗)ทราบดีถึงความสำคัญของการออกกำลังกายของมนุษย์ต่อสุขภาพ และสนับสนุนให้การออกกำลังกายเป็นจังหวะและสอดประสานกัน และเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง

    การออกกำลังกายชุดนี้จะช่วยยืดเหยียดและออกกำลังกายไหล่ คอ ท้อง หลัง และแขนขาได้อย่างเต็มที่ โดยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก ฮวาโถว(华佗)สนับสนุนให้ “เดินตามธรรมชาติ เดินตามทางแห่งสวรรค์” ซึ่งไม่เพียงป้องกันโรคได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกสบายกายและใจและเพิ่มความอยากอาหารอีกด้วย

    ศิษย์ของท่านอาจารย์หวู่ปู้(吴普)ยืนกรานที่จะฝึกท่าบริหารสัตว์ทั้งห้าทุกวัน และในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี โดยมีอายุยืนยาวถึง 90 ปี คงทราบดีว่าในสมัยโบราณ เมื่ออายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 หรือ 50 ปีเท่านั้น การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีพลังมากขนาดนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่าบริหารสัตว์ทั้งห้ายังคงได้รับความนิยมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงได้รับการเคารพและสืบทอดโดยแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิมหลายคน

    อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน

    “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ที่ฮวาโถว(华佗)คิดค้นขึ้นเป็นยาชาที่รับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำให้คนไข้หมดสติชั่วคราว ช่วยให้ทำการผ่าตัดรักษาผู้บาดเจ็บได้ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาแผนจีนแบบดั้งเดิม วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ และถือได้ว่าเป็นผลงานบุกเบิกของการผ่าตัดแบบจีนโบราณ

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”เขาไม่ได้รับใช้“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)” ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ฮวาโถว(华佗)และกวนอูกำลังดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกเพื่อผ่อนคลายก่อนที่เขาจะกล้าขูดพิษลูกศรออกจากกระดูก หนังสือเล่มนี้บรรยายว่าใบมีดเสียดสีกับกระดูก ทำให้เกิดเสียง “เสียดสี” และเลือดออก แต่กวนอู(关羽)ไม่แสดงความกลัว ทำให้ฮวาโถว(华佗)อุทานออกมาว่า “ท่านแม่ทัพเป็นเทพเจ้าจริงๆ”

    แม้ว่า“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”จะไม่ได้ถูกใช้กับกวนอู(关羽) แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญของเขา น่าเสียดายที่ปฏิบัติการนี้อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง

    นอกเหนือจากทักษะทางการแพทย์แล้ว ฮวาโถว(华佗)ยังเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถอีกด้วย

    ในช่วงต้นยุคสามก๊ก(三国) ผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งทางการมักจะอาศัยระบบการแนะนำมากกว่าระบบการสอบของจักรพรรดิในยุคหลัง ระบบการแนะนำไม่เพียงแต่ประเมินระดับความรู้การศึกษาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้ต้องได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่มีฐานะหรือบุคคลที่มีคุณธรรมสูง ยิ่งตำแหน่งทางการของผู้แนะนำสูงขึ้นเท่าใด ผู้ที่ได้รับการแนะนำก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม แพทย์ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูงส่งในสมัยนั้น ภายใต้แนวคิดดั้งเดิมที่ว่า นักวิชาการ ชาวนา พ่อค้า และช่างฝีมือ มีเพียงเจ้าหน้าที่ทางข้าราชการเท่านั้นที่ได้รับการเคารพนับถือ แพทย์ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่ชนชั้น ได้แก่ นักวิชาการ เกษตรกร พ่อค้า และช่างฝีมือเสียด้วยซ้ำ และสถานะของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับพ่อมดแม่มด นักแสดง และอาชีพบริการอื่นๆ

    ฮวาโถว(华佗)มีความขยันพรากเพียรเรียนหนักมาตั้งแต่เด็ก และมีความต้องการที่จะประกอบอาชีพข้าราชการ ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งบันทึกไว้ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ว่า "แต่ก่อนข้าเป็นนักวิชาการ แต่ข้าหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และข้าก็มักจะรู้สึกผิดหวังเสียใจ" นั่นหมายความว่าเขาต้องการมีอาชีพทางข้าราชการที่ราบรื่น อย่างไรก็ตาม เขาพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางข้าราชการเพราะมีอาชีพทางการแพทย์ของเขา

    ทักษะทางการแพทย์ของเขาทำให้เขามีชื่อเสียง ผู้คนมากมายต่างเข้ามาหาเขาราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ อย่างไรก็ตาม ฮวาโถว(华佗)ยังไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเป็นผู้แนะนำ โดยคิดว่าคำแนะนำเหล่านั้นจะไม่ช่วยให้เขาได้ไปสู่ตำแหน่งสูงได้ จึงละทิ้งโอกาสที่จะเป็นข้าราชการระดับล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงปรารถนาที่จะประกอบอาชีพในสายข้าราชการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาที่ขัดแย้งกันในสมัยโบราณที่ว่า "หมอไม่รักษาให้ตัวเอง" แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากความคิดเรื่องลำดับชั้นของสังคมศักดินา

    เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือแพร่กระจายออกไปทั่ว ระดับตำแหน่งคนไข้ของฮวาโถว(华佗)ก็กลายเป็นผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมไปถึงผู้ปกครองสูงสุดอย่างโจโฉ(曹操)ด้วย

    แล้วฮวาโถว(华佗)ถูกโจโฉ(曹操)บังคับให้รักษาจริงหรือ? เขาเป็นคนริเริ่มสมยอมในเรื่องนี้หรือเปล่า?

    คำตอบอาจจะใช่ก็ได้ เพราะฮวาโถว(华佗)ก็หวังที่จะได้ทำงานในหน่วยงานรัฐบาล แต่เนื่องจากคนที่แนะนำเขามีฐานะต่ำต้อย เขาจึงหางานได้ยาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขยายเครือข่ายด้วยการประกอบวิชาชีพแพทย์เท่านั้น

    ใครจะมีพลังอำนาจมากกว่าโจโฉในเวลานี้? ถ้าเขาได้รับการชื่นชมจากโจโฉ(曹操)นั่นไม่ใช่เหมือนกับว่าเขาจะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนใช่ไหม?

    นอกจากนี้ ฮวาโถว(华佗)ยังมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของตน และเชื่อว่าตนสามารถรักษาอาการปวดหัวของโจโฉ(曹操)ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคำเชิญอย่างเป็นทางการของโจโฉ(曹操) ฮวาโถว(华佗)จึงอาสาไป

    โจโฉ(曹操)ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการทำงานหนักในกิจการราชการและสงครามเป็นเวลานาน หลังจากที่ฮวาโถว(华佗)เดินทางมาถึง เขาได้ใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการป่วยลงอย่างมาก ซึ่งทำให้โจโฉ(曹操)มีความสุขมาก

    แต่โจโฉ(曹操)ต้องการการรักษาให้หายขาด ไม่ใช่แค่บรรเทาให้หายลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับคำร้องขอนี้ ฮวาโถว(华佗)ยอมรับว่าเขาสามารถใช้การฝังเข็มเพื่อชะลอโรคลงเท่านั้น ถ้าต้องการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องทำการผ่าตัดกระโหลกศีรษะ

    โจโฉ(曹操)โกรธมากเมื่อฮวาโถว(华佗)พูดเช่นนี้ การผ่าตัดกระโหลกศีรษะถือเป็นเรื่องที่พบได้ยากและอันตรายมากในสมัยนั้น และไม่มีใครกล้าลองโดยง่าย นิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操)ทำให้เขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของฮวาโถว(华佗)ได้

    ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ได้บันทึกไว้ในหลายตอนถึงลักษณะบุคลิกนิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操) ในช่วงแรกๆ เขาล้มเหลวในการลอบสังหารตั๋งโต๊ะ(Dong Zhuo董卓) ขณะที่กำลังหลบหนี เขาได้ฆ่า ลิแปะเฉีย หรือ ลฺหวี่โป๋เชอ (Lü Boshe呂伯奢) เพื่อนที่ดีของพ่อของเขาและครอบครัวทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาอันโหดร้ายของเขาที่ว่า "ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่าปล่อยให้โลกทรยศข้า"

    โจโฉ(曹操)ระมัดระวังชีวิตของตนเองอย่างมาก และถึงขั้นระแวงการกระทำอันดีงามขององครักษ์ ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่าองครักษ์ส่วนตัวเพราะความเข้าใจผิด

    ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาคุกคามความปลอดภัยของเขา และการผ่าตัดกระโหลกศีรษะเป็นเพียงภัยคุกคามในสายตาของเขาและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

    ในทางกลับกัน โจโฉ(曹操)ก็มีความสงสัยในนิสัยของฮวาโถว(华佗)เช่นกัน โดยคิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโสและหลงตัวเอง และเขาอาจมีเจตนาอื่นใดที่เสนอวิธีการรักษาที่รุนแรงเช่นนี้ ดังนั้น โจโฉ(曹操)จึงเลือกการรักษาแบบประคับประคองและให้ฮวาโถว(华佗)ทำการฝังเข็มเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการ

    หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฮวาโถว(华佗)เห็นว่าโจโฉไม่ยอมรับการผ่าตัด และไม่มีความตั้งใจที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งสูงๆ และเงินเดือนที่สูง จึงขอลาและกลับบ้านโดยอ้างว่าภรรยาของเขาป่วยหนัก

    แม้ว่าโจโฉ(曹操)จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังคงเห็นชอบ

    ต่อมาอาการปวดหัวของโจโฉก็กลับมาอีก เขาจึงส่งคนไปขอให้ฮัวโต่วกลับมารักษาให้อีกหลายครั้ง แต่ฮวาโถว(华佗)กลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ในที่สุดโจโฉ(曹操)ก็ส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าภรรยาของฮวาโถว(华佗)ไม่ได้ป่วย แต่ฮวาโถว(华佗)ไม่เต็มใจที่จะกลับมา

    ด้วยความโกรธ โจโฉ(曹操)จึงให้ควบคุมตัวฮวาโถว(华佗)และจำคุกในข้อกล่าวหา "ไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง" และ "ฝ่าฝืนคำสั่ง"

    คนใกล้ชิดของเขาได้แนะนำให้โจโฉ(曹操)เมตตา แต่โจโฉ(曹操)กลับมุ่งมั่นที่จะฆ่าเขา หมอผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้จึงได้เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า

    หลังจากสังหารฮัวโตวแล้ว โจโฉเคยเสียใจบ้างไหม? อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาหายได้

    ความขี้ระแวงสงสัยและความโกรธในเรื่องทางจิตใจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายเสียอีก อาจจะบางทีเมื่อความเจ็บปวดกลับมาอีกครั้ง เขาอาจจะนึกถึงฮวาโถว(华佗) แต่เขาไม่เคยนึกเสียใจเลย

    ในสายตาของโจโฉ(曹操) หมอเป็นเพียงเครื่องมือและคนรับใช้ ไม่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ หากฮวาโถว(华佗)กล้าคุกคามชีวิตตนเอง มันจะเป็นความท้าทายต่ออำนาจของเขา และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ

    การฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นเพียงการแสดงอำนาจและเป็นการเตือนทุกคนว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ไม่มีใครสามารถล่วงเกินเขาได้

    ในเวลานั้น โจโฉ(曹操)กำลังเตรียมตัวสำหรับการรบที่เซ็กเพ็ก ผาแดง (Red Cliffs or Chib赤壁之戰) และจำเป็นต้องรักษาขวัญกำลังใจของกองทหารของเขา เสริมสร้างชื่อเสียง และสร้างศักดิ์ศรีที่ไม่สามารถละเมิดได้ของเขา

    การไม่ควรปล่อยให้แพทย์ควบคุมร่างกายและชีวิตของตนเองโดยเด็ดขาด ดังนั้นการฆ่าฮวาโถว(华佗)จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่จำเป็น

    ขณะที่สงครามกำลังใกล้เข้ามา โจโฉ(曹操)ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขอให้ฆ่าฮวาโถว(华佗)อยู่เคียงข้างเพื่อรับการรักษา แม้ภายนอกจะแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจสุขภาพของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว นี่ถือเป็นการประกาศถึงความแข็งแกร่งของเขาต่อโลกภายนอกด้วยเช่นกัน

    การสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นการส่งสัญญาณทางอ้อมว่า "ฉันไม่กลัว" ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพมั่นคงและปราบปรามศัตรูได้

    แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพ่ายแพ้ในยุทธการที่ผาแดง (Red Cliffs 赤壁之戰)แต่ก็ถือเป็นความผิดพลาดทางยุทธวิธี และไม่มีผลต่อเสถียรภาพของสงครามจิตวิทยาแต่อย่างใด

    จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การตัดสินใจของโจโฉ(曹操)ที่จะสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)นั้นถูกต้องหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหารือถกเถียง

    สิบสองปีต่อมา โจผี หรือ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ได้สืบทอดบัลลังก์และสืบสานสไตล์ที่เด็ดขาดและเข้มแข็งของบิดาของเขา

    การกระทำของบิดาของเขาในการสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)แสดงให้โลกเห็นถึงการควบคุมที่แท้จริงของตระกูลเฉา(Cao曹)และสถานะการปกครองที่ไม่อาจท้าทายได้อย่างแน่นอน

    นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นหลักสูตรเบื้องต้นของ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ในหัวข้อ"ศิลปศาสตร์ของจักรพรรดิ(帝王学)" อีกด้วย

    เฉาพี (Cao Pi曹丕)สืบทอดเจตนารมณ์ และใช้การยับยั้งป้องปรามเพื่อปราบปราม สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้(Sima Yi司马懿) เพื่อให้แน่ใจว่าการสืบทอดบัลลังก์ของตระกูลเฉา(Cao曹)จะมั่นคงและสืบสานราชวงศ์ต่อไปเป็นเวลาสามชั่วอายุคน

    โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า

    กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ
    🤠#เหตุใดโจโฉจึงยืนกรานที่จะฆ่าหมอฮวาโถว(华佗)?🤠 🤠#12ปีต่อมาเขาก็พบว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง🤠 สามก๊ก หรือ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้(Romance of the Three Kingdoms三国演义)เป็นผลงานชิ้นเอกในประวัติศาสตร์วรรณกรรมจีนที่ใครๆ ก็รู้จัก หนังสือเล่มนี้มีโครงเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากมายซึ่งชวนติดตาม ในงานนี้ ผู้เขียนไม่ได้แยกแยะระหว่างตัวเอกและตัวประกอบอย่างชัดเจน เพราะในใจของผู้อ่านที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้ ตัวละครแต่ละตัวจะเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์เฉพาะตัว เชื่อว่าหลายๆ คนคิดเหมือนกันว่าตัวละครที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดคือโจโฉ(曹操) บางคนมองว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่ฉลาดและสามารถควบคุมสถานการณ์ในยามยากลำบากได้ ในขณะที่บางคนมองว่าเขาเป็นคนร้ายที่ทรยศและวางแผนร้าย บางทีในสายตาของโจโฉ(曹操) ความซื่อสัตย์ภักดีและการทรยศคตโกงอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เขาแสวงหาคือการรวมประเทศเป็นหนึ่ง และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบรรลุการรวมกันเป็นหนึ่งคือความแข็งแกร่งและความสามารถ ด้วยค่านิยมที่ว่า “ผู้มีความสามารถคือประมุข” เขาจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าที่จะยึดติดกับข้อจำกัดทางศีลธรรมแบบเดิมๆ สิ่งนี้ยังทำให้วิธีการทำสิ่งต่างๆ (曹操) มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์และมักจะผสมผสาน และไม่ยึดหลักเกณฑ์ธรรมดาด้วย จากมุมมองของผู้คนในปัจจุบัน เขาสามารถถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าและแนวคิดทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง หากต้องการเข้าใจความซับซ้อนของสามก๊ก(三国)อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจความภายในใจของโจโฉ(曹操)และวิธีการจัดการกับผู้คนพร้อมกับการปฏิบัติวานของเขาเสียก่อน นอกจากนี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จำนวนมากในช่วงยุคสามก๊ก(三国)มีปฏิสัมพันธ์สำคัญกับโจโฉ(曹操) และทั้งหมดนี้คนที่คลาสสิกที่สุดคือหมอฮวาโถว(华佗)ผู้โด่งดัง ดังที่เราทราบกันดีว่า ฮวาโถว(华佗)เสียชีวิตในท้ายที่สุดจากน้ำมือของโจโฉ(曹操) แต่หากเราหยุดอยู่แค่คำคร่ำครวญเรื่อง "หมอชื่อดังถูกฆ่า" เท่านั้น มันก็จะดูผิวเผินเกินไป ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของตัวละครที่อยู่เบื้องหลัง มันดูจะซับซ้อนกว่าการที่จะเอาแต่แค่ระบายอารมณ์เพียงอย่างเดียว แม้จากมุมมองบางประการ การตัดสินใจเช่นนี้อาจสมเหตุสมผลในสมัยขณะนั้น เพื่อที่จะชี้แจงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากฮวาโถว(华佗) ปราชญ์ทางการแพทย์ 🥰ฮวาโถว(华佗) เป็นหนึ่งในสี่หมอผู้ยิ่งใหญ่ในจีนโบราณ ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮฮวาโถว(华佗)ได้แก่ การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”และนิทานปรัมปราเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”🥰 การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่คิดค้นโดยฮวาโถว(华佗)ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ฮวาโถว(华佗)ทราบดีถึงความสำคัญของการออกกำลังกายของมนุษย์ต่อสุขภาพ และสนับสนุนให้การออกกำลังกายเป็นจังหวะและสอดประสานกัน และเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง การออกกำลังกายชุดนี้จะช่วยยืดเหยียดและออกกำลังกายไหล่ คอ ท้อง หลัง และแขนขาได้อย่างเต็มที่ โดยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก ฮวาโถว(华佗)สนับสนุนให้ “เดินตามธรรมชาติ เดินตามทางแห่งสวรรค์” ซึ่งไม่เพียงป้องกันโรคได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกสบายกายและใจและเพิ่มความอยากอาหารอีกด้วย ศิษย์ของท่านอาจารย์หวู่ปู้(吴普)ยืนกรานที่จะฝึกท่าบริหารสัตว์ทั้งห้าทุกวัน และในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี โดยมีอายุยืนยาวถึง 90 ปี คงทราบดีว่าในสมัยโบราณ เมื่ออายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 หรือ 50 ปีเท่านั้น การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีพลังมากขนาดนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่าบริหารสัตว์ทั้งห้ายังคงได้รับความนิยมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงได้รับการเคารพและสืบทอดโดยแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิมหลายคน อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ที่ฮวาโถว(华佗)คิดค้นขึ้นเป็นยาชาที่รับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำให้คนไข้หมดสติชั่วคราว ช่วยให้ทำการผ่าตัดรักษาผู้บาดเจ็บได้ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาแผนจีนแบบดั้งเดิม วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ และถือได้ว่าเป็นผลงานบุกเบิกของการผ่าตัดแบบจีนโบราณ อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”เขาไม่ได้รับใช้“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)” ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ฮวาโถว(华佗)และกวนอูกำลังดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกเพื่อผ่อนคลายก่อนที่เขาจะกล้าขูดพิษลูกศรออกจากกระดูก หนังสือเล่มนี้บรรยายว่าใบมีดเสียดสีกับกระดูก ทำให้เกิดเสียง “เสียดสี” และเลือดออก แต่กวนอู(关羽)ไม่แสดงความกลัว ทำให้ฮวาโถว(华佗)อุทานออกมาว่า “ท่านแม่ทัพเป็นเทพเจ้าจริงๆ” แม้ว่า“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”จะไม่ได้ถูกใช้กับกวนอู(关羽) แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญของเขา น่าเสียดายที่ปฏิบัติการนี้อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง นอกเหนือจากทักษะทางการแพทย์แล้ว ฮวาโถว(华佗)ยังเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถอีกด้วย ในช่วงต้นยุคสามก๊ก(三国) ผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งทางการมักจะอาศัยระบบการแนะนำมากกว่าระบบการสอบของจักรพรรดิในยุคหลัง ระบบการแนะนำไม่เพียงแต่ประเมินระดับความรู้การศึกษาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้ต้องได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่มีฐานะหรือบุคคลที่มีคุณธรรมสูง ยิ่งตำแหน่งทางการของผู้แนะนำสูงขึ้นเท่าใด ผู้ที่ได้รับการแนะนำก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แพทย์ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูงส่งในสมัยนั้น ภายใต้แนวคิดดั้งเดิมที่ว่า นักวิชาการ ชาวนา พ่อค้า และช่างฝีมือ มีเพียงเจ้าหน้าที่ทางข้าราชการเท่านั้นที่ได้รับการเคารพนับถือ แพทย์ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่ชนชั้น ได้แก่ นักวิชาการ เกษตรกร พ่อค้า และช่างฝีมือเสียด้วยซ้ำ และสถานะของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับพ่อมดแม่มด นักแสดง และอาชีพบริการอื่นๆ ฮวาโถว(华佗)มีความขยันพรากเพียรเรียนหนักมาตั้งแต่เด็ก และมีความต้องการที่จะประกอบอาชีพข้าราชการ ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งบันทึกไว้ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ว่า "แต่ก่อนข้าเป็นนักวิชาการ แต่ข้าหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และข้าก็มักจะรู้สึกผิดหวังเสียใจ" นั่นหมายความว่าเขาต้องการมีอาชีพทางข้าราชการที่ราบรื่น อย่างไรก็ตาม เขาพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางข้าราชการเพราะมีอาชีพทางการแพทย์ของเขา ทักษะทางการแพทย์ของเขาทำให้เขามีชื่อเสียง ผู้คนมากมายต่างเข้ามาหาเขาราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ อย่างไรก็ตาม ฮวาโถว(华佗)ยังไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเป็นผู้แนะนำ โดยคิดว่าคำแนะนำเหล่านั้นจะไม่ช่วยให้เขาได้ไปสู่ตำแหน่งสูงได้ จึงละทิ้งโอกาสที่จะเป็นข้าราชการระดับล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงปรารถนาที่จะประกอบอาชีพในสายข้าราชการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาที่ขัดแย้งกันในสมัยโบราณที่ว่า "หมอไม่รักษาให้ตัวเอง" แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากความคิดเรื่องลำดับชั้นของสังคมศักดินา เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือแพร่กระจายออกไปทั่ว ระดับตำแหน่งคนไข้ของฮวาโถว(华佗)ก็กลายเป็นผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมไปถึงผู้ปกครองสูงสุดอย่างโจโฉ(曹操)ด้วย 🥰แล้วฮวาโถว(华佗)ถูกโจโฉ(曹操)บังคับให้รักษาจริงหรือ? เขาเป็นคนริเริ่มสมยอมในเรื่องนี้หรือเปล่า?🥰 คำตอบอาจจะใช่ก็ได้ เพราะฮวาโถว(华佗)ก็หวังที่จะได้ทำงานในหน่วยงานรัฐบาล แต่เนื่องจากคนที่แนะนำเขามีฐานะต่ำต้อย เขาจึงหางานได้ยาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขยายเครือข่ายด้วยการประกอบวิชาชีพแพทย์เท่านั้น 🥰ใครจะมีพลังอำนาจมากกว่าโจโฉในเวลานี้? ถ้าเขาได้รับการชื่นชมจากโจโฉ(曹操)นั่นไม่ใช่เหมือนกับว่าเขาจะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนใช่ไหม? 🥰 นอกจากนี้ ฮวาโถว(华佗)ยังมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของตน และเชื่อว่าตนสามารถรักษาอาการปวดหัวของโจโฉ(曹操)ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคำเชิญอย่างเป็นทางการของโจโฉ(曹操) ฮวาโถว(华佗)จึงอาสาไป โจโฉ(曹操)ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการทำงานหนักในกิจการราชการและสงครามเป็นเวลานาน หลังจากที่ฮวาโถว(华佗)เดินทางมาถึง เขาได้ใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการป่วยลงอย่างมาก ซึ่งทำให้โจโฉ(曹操)มีความสุขมาก แต่โจโฉ(曹操)ต้องการการรักษาให้หายขาด ไม่ใช่แค่บรรเทาให้หายลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับคำร้องขอนี้ ฮวาโถว(华佗)ยอมรับว่าเขาสามารถใช้การฝังเข็มเพื่อชะลอโรคลงเท่านั้น ถ้าต้องการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องทำการผ่าตัดกระโหลกศีรษะ โจโฉ(曹操)โกรธมากเมื่อฮวาโถว(华佗)พูดเช่นนี้ การผ่าตัดกระโหลกศีรษะถือเป็นเรื่องที่พบได้ยากและอันตรายมากในสมัยนั้น และไม่มีใครกล้าลองโดยง่าย นิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操)ทำให้เขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของฮวาโถว(华佗)ได้ 🥰ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ได้บันทึกไว้ในหลายตอนถึงลักษณะบุคลิกนิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操) ในช่วงแรกๆ เขาล้มเหลวในการลอบสังหารตั๋งโต๊ะ(Dong Zhuo董卓) ขณะที่กำลังหลบหนี เขาได้ฆ่า ลิแปะเฉีย หรือ ลฺหวี่โป๋เชอ (Lü Boshe呂伯奢) เพื่อนที่ดีของพ่อของเขาและครอบครัวทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาอันโหดร้ายของเขาที่ว่า "ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่าปล่อยให้โลกทรยศข้า"🥰 โจโฉ(曹操)ระมัดระวังชีวิตของตนเองอย่างมาก และถึงขั้นระแวงการกระทำอันดีงามขององครักษ์ ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่าองครักษ์ส่วนตัวเพราะความเข้าใจผิด ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาคุกคามความปลอดภัยของเขา และการผ่าตัดกระโหลกศีรษะเป็นเพียงภัยคุกคามในสายตาของเขาและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ในทางกลับกัน โจโฉ(曹操)ก็มีความสงสัยในนิสัยของฮวาโถว(华佗)เช่นกัน โดยคิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโสและหลงตัวเอง และเขาอาจมีเจตนาอื่นใดที่เสนอวิธีการรักษาที่รุนแรงเช่นนี้ ดังนั้น โจโฉ(曹操)จึงเลือกการรักษาแบบประคับประคองและให้ฮวาโถว(华佗)ทำการฝังเข็มเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการ หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฮวาโถว(华佗)เห็นว่าโจโฉไม่ยอมรับการผ่าตัด และไม่มีความตั้งใจที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งสูงๆ และเงินเดือนที่สูง จึงขอลาและกลับบ้านโดยอ้างว่าภรรยาของเขาป่วยหนัก แม้ว่าโจโฉ(曹操)จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังคงเห็นชอบ ต่อมาอาการปวดหัวของโจโฉก็กลับมาอีก เขาจึงส่งคนไปขอให้ฮัวโต่วกลับมารักษาให้อีกหลายครั้ง แต่ฮวาโถว(华佗)กลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดโจโฉ(曹操)ก็ส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าภรรยาของฮวาโถว(华佗)ไม่ได้ป่วย แต่ฮวาโถว(华佗)ไม่เต็มใจที่จะกลับมา ด้วยความโกรธ โจโฉ(曹操)จึงให้ควบคุมตัวฮวาโถว(华佗)และจำคุกในข้อกล่าวหา "ไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง" และ "ฝ่าฝืนคำสั่ง" คนใกล้ชิดของเขาได้แนะนำให้โจโฉ(曹操)เมตตา แต่โจโฉ(曹操)กลับมุ่งมั่นที่จะฆ่าเขา หมอผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้จึงได้เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า 🥰หลังจากสังหารฮัวโตวแล้ว โจโฉเคยเสียใจบ้างไหม? อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาหายได้🥰 ความขี้ระแวงสงสัยและความโกรธในเรื่องทางจิตใจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายเสียอีก อาจจะบางทีเมื่อความเจ็บปวดกลับมาอีกครั้ง เขาอาจจะนึกถึงฮวาโถว(华佗) แต่เขาไม่เคยนึกเสียใจเลย ในสายตาของโจโฉ(曹操) หมอเป็นเพียงเครื่องมือและคนรับใช้ ไม่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ หากฮวาโถว(华佗)กล้าคุกคามชีวิตตนเอง มันจะเป็นความท้าทายต่ออำนาจของเขา และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ การฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นเพียงการแสดงอำนาจและเป็นการเตือนทุกคนว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ไม่มีใครสามารถล่วงเกินเขาได้ 🥰ในเวลานั้น โจโฉ(曹操)กำลังเตรียมตัวสำหรับการรบที่เซ็กเพ็ก ผาแดง (Red Cliffs or Chib赤壁之戰) และจำเป็นต้องรักษาขวัญกำลังใจของกองทหารของเขา เสริมสร้างชื่อเสียง และสร้างศักดิ์ศรีที่ไม่สามารถละเมิดได้ของเขา🥰 การไม่ควรปล่อยให้แพทย์ควบคุมร่างกายและชีวิตของตนเองโดยเด็ดขาด ดังนั้นการฆ่าฮวาโถว(华佗)จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่จำเป็น ขณะที่สงครามกำลังใกล้เข้ามา โจโฉ(曹操)ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขอให้ฆ่าฮวาโถว(华佗)อยู่เคียงข้างเพื่อรับการรักษา แม้ภายนอกจะแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจสุขภาพของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว นี่ถือเป็นการประกาศถึงความแข็งแกร่งของเขาต่อโลกภายนอกด้วยเช่นกัน การสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นการส่งสัญญาณทางอ้อมว่า "ฉันไม่กลัว" ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพมั่นคงและปราบปรามศัตรูได้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพ่ายแพ้ในยุทธการที่ผาแดง (Red Cliffs 赤壁之戰)แต่ก็ถือเป็นความผิดพลาดทางยุทธวิธี และไม่มีผลต่อเสถียรภาพของสงครามจิตวิทยาแต่อย่างใด 🥰จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การตัดสินใจของโจโฉ(曹操)ที่จะสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)นั้นถูกต้องหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหารือถกเถียง🥰 สิบสองปีต่อมา โจผี หรือ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ได้สืบทอดบัลลังก์และสืบสานสไตล์ที่เด็ดขาดและเข้มแข็งของบิดาของเขา การกระทำของบิดาของเขาในการสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)แสดงให้โลกเห็นถึงการควบคุมที่แท้จริงของตระกูลเฉา(Cao曹)และสถานะการปกครองที่ไม่อาจท้าทายได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นหลักสูตรเบื้องต้นของ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ในหัวข้อ"ศิลปศาสตร์ของจักรพรรดิ(帝王学)" อีกด้วย เฉาพี (Cao Pi曹丕)สืบทอดเจตนารมณ์ และใช้การยับยั้งป้องปรามเพื่อปราบปราม สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้(Sima Yi司马懿) เพื่อให้แน่ใจว่าการสืบทอดบัลลังก์ของตระกูลเฉา(Cao曹)จะมั่นคงและสืบสานราชวงศ์ต่อไปเป็นเวลาสามชั่วอายุคน 💓โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า💓 😍กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ😍
    0 Comments 0 Shares 116 Views 0 Reviews
  • แวะจอดเรือที่ Cannes แล้วต้องไปที่ไหน? รวม 4 จุดไฮไลต์หรูหราและมีเสน่ห์ของเมืองคานส์
    จากถนนคนดังระดับโลก สู่งานเทศกาลหนังระดับนานาชาติ เดินเล่นย่านเมืองเก่า ช้อปของสดท้องถิ่น — ครบทุกไฮไลท์ในวันเดียว!

    La Croisette - ถนนลา ครัวแซตต์
    ถนนเลียบชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองคานส์ สองฝั่งถนนเรียงรายไปด้วยโรงแรมหรูระดับโลก เช่น Hôtel Martinez และ InterContinental Carlton

    Palais des Festivals et des Congrès - ศูนย์จัดเทศกาลและการประชุมเมืองคานส์
    อาคารที่มีชื่อเสียงระดับโลกในฐานะสถานที่จัดงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ งานพรมแดงที่ดาราฮอลลีวูดและนักสร้างภาพยนตร์ทั่วโลก

    Le Suquet - ย่านเมืองเก่าเลอ ซูเคต์
    ย่านเมืองเก่าที่ตั้งอยู่บนเนินเขาซึ่งมีเสน่ห์แบบโบราณ เต็มไปด้วยตรอกซอกซอยที่ปูด้วยหินและบ้านเรือนเก่าแก่ในสไตล์ฝรั่งเศสดั้งเดิม

    Marché Forville - ตลาดฟอร์วิลล์
    ตลาดท้องถิ่นที่เต็มไปด้วยอาหารสด เช่น ผลไม้ ผัก อาหารทะเล ชีส และขนมปัง สถานที่ยอดนิยมสำหรับชาวเมืองและนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตและรสชาติของคานส์

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #CannesCruisePort #France #LaCroisette #PalaisdesFestivalsetdesCongrès #LeSuquet #MarchéForville #port #cruisedomain #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    แวะจอดเรือที่ Cannes แล้วต้องไปที่ไหน? รวม 4 จุดไฮไลต์หรูหราและมีเสน่ห์ของเมืองคานส์ 🌴✨ จากถนนคนดังระดับโลก สู่งานเทศกาลหนังระดับนานาชาติ เดินเล่นย่านเมืองเก่า ช้อปของสดท้องถิ่น — ครบทุกไฮไลท์ในวันเดียว! ☑️ La Croisette - ถนนลา ครัวแซตต์ ถนนเลียบชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองคานส์ สองฝั่งถนนเรียงรายไปด้วยโรงแรมหรูระดับโลก เช่น Hôtel Martinez และ InterContinental Carlton ☑️ Palais des Festivals et des Congrès - ศูนย์จัดเทศกาลและการประชุมเมืองคานส์ อาคารที่มีชื่อเสียงระดับโลกในฐานะสถานที่จัดงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ งานพรมแดงที่ดาราฮอลลีวูดและนักสร้างภาพยนตร์ทั่วโลก ☑️ Le Suquet - ย่านเมืองเก่าเลอ ซูเคต์ ย่านเมืองเก่าที่ตั้งอยู่บนเนินเขาซึ่งมีเสน่ห์แบบโบราณ เต็มไปด้วยตรอกซอกซอยที่ปูด้วยหินและบ้านเรือนเก่าแก่ในสไตล์ฝรั่งเศสดั้งเดิม ☑️ Marché Forville - ตลาดฟอร์วิลล์ ตลาดท้องถิ่นที่เต็มไปด้วยอาหารสด เช่น ผลไม้ ผัก อาหารทะเล ชีส และขนมปัง สถานที่ยอดนิยมสำหรับชาวเมืองและนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตและรสชาติของคานส์ 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #CannesCruisePort #France #LaCroisette #PalaisdesFestivalsetdesCongrès #LeSuquet #MarchéForville #port #cruisedomain #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 Comments 0 Shares 122 Views 0 Reviews
  • เหรียญหลวงพ่อเย็น รุ่นพิเศษ วัดพระปรางค์มุนี จ.สิงห์บุรี
    เหรียญหลวงพ่อเย็น รุ่นพิเศษ วัดพระปรางค์มุนี จ.สิงห์บุรี //พระดีพิธีขลัง !! บนได้ ไหว์รับ สำเร็จทุกราย //พระสถาพสวย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณ ขอได้ ไหว้รับ ประสบผลสำเร็จ เมตตามหานิยม แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ ทำมาค้าขายเจริญก้าวหน้า มีโชคลาภ เงินทองหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ค้าขายจะเจริญก้าวหน้า และเป็นมงคลแก่ผู้บูชา >>

    ** หลวงพ่อเย็น พระพุทธรูปปูนปั้นเก่าแก่ มีเรื่องเล่ากันมาว่า มีพระธุดงค์รูปหนึ่งมาปักกลดภาวนาอยู่ในวัดและได้อาราธนาขอน้ำมนต์จากหลวงพ่อเย็นซึ่งขณะนั้นมีแต่เศียร ท่านได้นำน้ำนี้ไปรักษาโรคภัยต่างๆ ให้ชาวบ้าน ดังนั้นชาวบ้านที่เลื่อมใสจึงพากันเรียก ติดปากว่าหลวงพ่อเย็น ซึ่งหมายถึงความร่มเย็นเป็นสุขนั่นเอง >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญหลวงพ่อเย็น รุ่นพิเศษ วัดพระปรางค์มุนี จ.สิงห์บุรี เหรียญหลวงพ่อเย็น รุ่นพิเศษ วัดพระปรางค์มุนี จ.สิงห์บุรี //พระดีพิธีขลัง !! บนได้ ไหว์รับ สำเร็จทุกราย //พระสถาพสวย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณ ขอได้ ไหว้รับ ประสบผลสำเร็จ เมตตามหานิยม แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ ทำมาค้าขายเจริญก้าวหน้า มีโชคลาภ เงินทองหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ค้าขายจะเจริญก้าวหน้า และเป็นมงคลแก่ผู้บูชา >> ** หลวงพ่อเย็น พระพุทธรูปปูนปั้นเก่าแก่ มีเรื่องเล่ากันมาว่า มีพระธุดงค์รูปหนึ่งมาปักกลดภาวนาอยู่ในวัดและได้อาราธนาขอน้ำมนต์จากหลวงพ่อเย็นซึ่งขณะนั้นมีแต่เศียร ท่านได้นำน้ำนี้ไปรักษาโรคภัยต่างๆ ให้ชาวบ้าน ดังนั้นชาวบ้านที่เลื่อมใสจึงพากันเรียก ติดปากว่าหลวงพ่อเย็น ซึ่งหมายถึงความร่มเย็นเป็นสุขนั่นเอง >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 86 Views 0 Reviews
  • Turun Anwar ม็อบไล่นายกฯ มาเลย์

    การเมืองในอาเซียน นอกจากประเทศไทยจะมีการชุมนุมเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่ง กรณีคลิปเสียง ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในลักษณะขายชาติแล้ว นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ที่เป็นประธานอาเซียน และมีทักษิณ ชินวัตร บิดาแพทองธารเป็นที่ปรึกษา ก็ยังมีการชุมนุมเรียกร้องให้ลาออกเช่นกัน

    เมื่อวันที่ 6 ก.ค. มีการชุมนุมเล็กๆ บริเวณลานจอดรถของโรงแรมคอนคอร์ด เชคชันไนน์ ในเมืองชาห์อาลัม รัฐสลังงอร์ เพื่อเรียกร้องให้อันวาร์ลาออก โดยมีป้ายข้อความว่า Turun Anwar (อันวาร์ลาออกเถอะ) Rakyat Susah (ประชาชนกำลังดิ้นรน) และ Rakyat Terbeban (ประชาชนมีภาระหนัก) โดยผู้ชุมนุมแสดงความกังวลถึงปัญหาหลายประการ รวมถึงค่าครองชีพที่สูงขึ้น และการขยายกรอบภาษีการขายและบริการ (SST) ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา

    แกนนำประกอบด้วย มูฮัมหมัด ราชิด อาลี หัวหน้าฝ่ายข้อมูลของพรรคเปอจวง (Pejuang) ที่ก่อตั้งโดยอดีตนายกฯ มหาเธร์ โมฮัมหมัด, ฮานิฟ จามาลุดดิน รองหัวหน้ากลุ่มเยาวชนของพรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย หรือพาส (Pemuda PAS) พรรคการเมืองเก่าแก่และพรรคอิสลามหนึ่งเดียวของประเทศ, เอซัม นอร์ อดีตสมาชิกพรรคยุติธรรมประชาชน (PKR), อาซามุดดิน ซาฮาร์ ประธานกลุ่มพันธมิตรนักศึกษาอิสลามแห่งมาเลเซีย (Gamis) เป็นต้น

    ฮานีฟ กล่าวว่า เป็นเพียงการชุมนุมย่อยเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการชุมนุมใหญ่ ที่วางแผนไว้ว่าจะจัดขึ้นที่จตุรัสเมอร์เดกา กรุงกัวลาลัมเปอร์ ในวันที่ 26 ก.ค. ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะมีเอ็นจีโอและผู้นำทางการเมืองอื่นๆ เข้าร่วม อาทิ อดีตนายกรัฐมนตรี มหาธีร์ โมฮัมหมัด, ประธานพรรคเบอร์ซาตู (Bersatu) มูฮิดดิน ยาสซิน และประธานพรรคปาส อับดุล ฮาดิ อาวัง เป็นต้น

    ขณะที่ เอซัม กล่าวว่า ประชาชนผิดหวังกับความเป็นผู้นำของอันวาร์ ไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้ขณะเป็นฝ่ายค้าน เช่น การลดราคาน้ำมัน ยืนยันว่าไม่ได้ต่อสู้กับทางการและตำรวจ แต่ต้องการให้รัฐบาลได้ยินเสียงของผู้ชุมนุม เมื่อก่อนมีแต่คนธรรมดาเท่านั้นที่โกรธ ตอนนี้แม้แต่คนรวยก็ยังโกรธด้วยเพราะต้องเสียภาษีต่างๆ อีกมาก

    ก่อนหน้านี้ อาหมัด ฟาฎลี ชาอารี หัวหน้าฝ่ายข้อมูลของพรรคพาส กล่าวกับเว็บไซต์ harakahdaily.net เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ว่า การชุมนุมในวันที่ 26 ก.ค. นอกจากต่อต้านร่างพระราชบัญญัติการฟื้นฟูเมือง (URA) แล้ว จะชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาล เช่น การปฎิรูปการเมืองล้มเหลว การปิดกั้นเสรีภาพ และค่าครองชีพที่สูงขึ้น ห่างไกลจากแนวทางของรัฐบาล Malaysia Madani ไปแล้ว

    #Newskit
    Turun Anwar ม็อบไล่นายกฯ มาเลย์ การเมืองในอาเซียน นอกจากประเทศไทยจะมีการชุมนุมเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่ง กรณีคลิปเสียง ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในลักษณะขายชาติแล้ว นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ที่เป็นประธานอาเซียน และมีทักษิณ ชินวัตร บิดาแพทองธารเป็นที่ปรึกษา ก็ยังมีการชุมนุมเรียกร้องให้ลาออกเช่นกัน เมื่อวันที่ 6 ก.ค. มีการชุมนุมเล็กๆ บริเวณลานจอดรถของโรงแรมคอนคอร์ด เชคชันไนน์ ในเมืองชาห์อาลัม รัฐสลังงอร์ เพื่อเรียกร้องให้อันวาร์ลาออก โดยมีป้ายข้อความว่า Turun Anwar (อันวาร์ลาออกเถอะ) Rakyat Susah (ประชาชนกำลังดิ้นรน) และ Rakyat Terbeban (ประชาชนมีภาระหนัก) โดยผู้ชุมนุมแสดงความกังวลถึงปัญหาหลายประการ รวมถึงค่าครองชีพที่สูงขึ้น และการขยายกรอบภาษีการขายและบริการ (SST) ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา แกนนำประกอบด้วย มูฮัมหมัด ราชิด อาลี หัวหน้าฝ่ายข้อมูลของพรรคเปอจวง (Pejuang) ที่ก่อตั้งโดยอดีตนายกฯ มหาเธร์ โมฮัมหมัด, ฮานิฟ จามาลุดดิน รองหัวหน้ากลุ่มเยาวชนของพรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย หรือพาส (Pemuda PAS) พรรคการเมืองเก่าแก่และพรรคอิสลามหนึ่งเดียวของประเทศ, เอซัม นอร์ อดีตสมาชิกพรรคยุติธรรมประชาชน (PKR), อาซามุดดิน ซาฮาร์ ประธานกลุ่มพันธมิตรนักศึกษาอิสลามแห่งมาเลเซีย (Gamis) เป็นต้น ฮานีฟ กล่าวว่า เป็นเพียงการชุมนุมย่อยเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการชุมนุมใหญ่ ที่วางแผนไว้ว่าจะจัดขึ้นที่จตุรัสเมอร์เดกา กรุงกัวลาลัมเปอร์ ในวันที่ 26 ก.ค. ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะมีเอ็นจีโอและผู้นำทางการเมืองอื่นๆ เข้าร่วม อาทิ อดีตนายกรัฐมนตรี มหาธีร์ โมฮัมหมัด, ประธานพรรคเบอร์ซาตู (Bersatu) มูฮิดดิน ยาสซิน และประธานพรรคปาส อับดุล ฮาดิ อาวัง เป็นต้น ขณะที่ เอซัม กล่าวว่า ประชาชนผิดหวังกับความเป็นผู้นำของอันวาร์ ไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้ขณะเป็นฝ่ายค้าน เช่น การลดราคาน้ำมัน ยืนยันว่าไม่ได้ต่อสู้กับทางการและตำรวจ แต่ต้องการให้รัฐบาลได้ยินเสียงของผู้ชุมนุม เมื่อก่อนมีแต่คนธรรมดาเท่านั้นที่โกรธ ตอนนี้แม้แต่คนรวยก็ยังโกรธด้วยเพราะต้องเสียภาษีต่างๆ อีกมาก ก่อนหน้านี้ อาหมัด ฟาฎลี ชาอารี หัวหน้าฝ่ายข้อมูลของพรรคพาส กล่าวกับเว็บไซต์ harakahdaily.net เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ว่า การชุมนุมในวันที่ 26 ก.ค. นอกจากต่อต้านร่างพระราชบัญญัติการฟื้นฟูเมือง (URA) แล้ว จะชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาล เช่น การปฎิรูปการเมืองล้มเหลว การปิดกั้นเสรีภาพ และค่าครองชีพที่สูงขึ้น ห่างไกลจากแนวทางของรัฐบาล Malaysia Madani ไปแล้ว #Newskit
    0 Comments 0 Shares 221 Views 0 Reviews
  • พระนาคปรกกรุพระธาตุนาดูน จ.มหาสารคาม
    พระนาคปรกกรุพระธาตุนาดูน เนื้อดินเผา จ.มหาสารคาม // พระกรุเก่าแก่ สมัยทวารวดี อายุราว 1,300 ปี องค์พระไม่แแตกหัก ไม่ชำรุด // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ** พุทธคุณเมตตามหานิยมช่วยให้เป็นที่รักของคนทั่วไป ส่งเสริมให้มีโชคลาภ ทรัพย์สินเงินทอง แคล้วคลาด ป้องกันภัย และเสริมสิริมงคล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านความสำเร็จ และการอยู่เย็นเป็นสุข >>

    ** พระกรุพระธาตุนาดูน ลักษณะของพระพิมพ์ดินเผากรุพระธาตุนาดูนมีมากกว่า 50 พิมพ์ ปัจจุบันพระกรุพระธาตุนาดูน มีการเช่าซื้อกันในวงกว้างมากขึ้น พระกรุนาดูน เป็นพระเครื่องที่ขุดค้นพบที่อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งมีความเก่าแก่และเป็นที่เคารพสักการะอย่างมาก เชื่อกันว่าเป็นพระเครื่องที่สร้างขึ้นในสมัยทวารวดี (ราว 1,300 ปีก่อน) และมีการค้นพบพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ในสถูปทองสำริดที่ขุดพบในบริเวณเดียวกัน >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    พระนาคปรกกรุพระธาตุนาดูน จ.มหาสารคาม พระนาคปรกกรุพระธาตุนาดูน เนื้อดินเผา จ.มหาสารคาม // พระกรุเก่าแก่ สมัยทวารวดี อายุราว 1,300 ปี องค์พระไม่แแตกหัก ไม่ชำรุด // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ** พุทธคุณเมตตามหานิยมช่วยให้เป็นที่รักของคนทั่วไป ส่งเสริมให้มีโชคลาภ ทรัพย์สินเงินทอง แคล้วคลาด ป้องกันภัย และเสริมสิริมงคล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านความสำเร็จ และการอยู่เย็นเป็นสุข >> ** พระกรุพระธาตุนาดูน ลักษณะของพระพิมพ์ดินเผากรุพระธาตุนาดูนมีมากกว่า 50 พิมพ์ ปัจจุบันพระกรุพระธาตุนาดูน มีการเช่าซื้อกันในวงกว้างมากขึ้น พระกรุนาดูน เป็นพระเครื่องที่ขุดค้นพบที่อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งมีความเก่าแก่และเป็นที่เคารพสักการะอย่างมาก เชื่อกันว่าเป็นพระเครื่องที่สร้างขึ้นในสมัยทวารวดี (ราว 1,300 ปีก่อน) และมีการค้นพบพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ในสถูปทองสำริดที่ขุดพบในบริเวณเดียวกัน >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • เหรียญเม็ดแตงหลวงปู่ทองมาก วัดนิคมประสาท จ.สงขลา
    เหรียญเม็ดแตงหลวงปู่ทองมาก วัดนิคมประสาท ตำบลเกาะสะบ้า อำเภอเทพา จ.สงขลา //พระดีพิธีขลัง !! บนได้ ไหว์รับ สำเร็จทุกราย พระมีประสบการณ์โดนยิง แคล้วคลาด ปลอดภัย หลายราย //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณ ขอได้ ไหว้รับ ประสบผลสำเร็จ เมตตามหานิยม แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ ทำมาค้าขายเจริญก้าวหน้า มีโชคลาภ เงินทองหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ค้าขายจะเจริญก้าวหน้า และเป็นมงคลแก่ผู้บูชา >>

    ** หลวงปู่ทองมาก วัดนิคมประสาท ท่านเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดนิคมประสาท วัดเก่าแก่อีกวัดหนึ่ง บนได้ ไหว์รับ สำเร็จทุกราย ...คนนับถือท่านมาก มีคนแขวนรูปหล่อท่านหรือเหรียญท่านมีประสบการณ์โดนยิง แคล้วคลาด ปลอดภัย หลายราย >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญเม็ดแตงหลวงปู่ทองมาก วัดนิคมประสาท จ.สงขลา เหรียญเม็ดแตงหลวงปู่ทองมาก วัดนิคมประสาท ตำบลเกาะสะบ้า อำเภอเทพา จ.สงขลา //พระดีพิธีขลัง !! บนได้ ไหว์รับ สำเร็จทุกราย พระมีประสบการณ์โดนยิง แคล้วคลาด ปลอดภัย หลายราย //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณ ขอได้ ไหว้รับ ประสบผลสำเร็จ เมตตามหานิยม แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ ทำมาค้าขายเจริญก้าวหน้า มีโชคลาภ เงินทองหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ค้าขายจะเจริญก้าวหน้า และเป็นมงคลแก่ผู้บูชา >> ** หลวงปู่ทองมาก วัดนิคมประสาท ท่านเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดนิคมประสาท วัดเก่าแก่อีกวัดหนึ่ง บนได้ ไหว์รับ สำเร็จทุกราย ...คนนับถือท่านมาก มีคนแขวนรูปหล่อท่านหรือเหรียญท่านมีประสบการณ์โดนยิง แคล้วคลาด ปลอดภัย หลายราย >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 59 Views 0 Reviews
  • เหรียญกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ รุ่น1 วัดเกาะลังตา จ.กระบี่ ปี2557
    เหรียญกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ รุ่น1 (ตอกโค็ด ส.) วัดเกาะลังตา จ.กระบี่ ปี2557 // พระดีพิธีใหญ่ ผ้าป่าสมทบทุนสร้างอาคารเรียน โรงเรียนวัดเกาะลังตา // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณด้าน แคล้วคาด เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย โภคทรัพย์ เรียกทรัพย์และคุ้มครองป้องกันภัย ดีนัก เป็นมหามงคลและสุดยอดนิรันตราย อุดมสมบูรณ์ ทำมาหากินคล่อง เจริญในหน้าที่การงาน คุ้มครองป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง >>

    ** วัดเกาะลันตาเป็นวัดเก่าแก่ แห่งแรกเพียงแห่งเดียวของเกาะลันตาที่มีวิสุคามสีมา และลานสำหรับนั่งวิปัสสนาปฏิบัติกรรมฐาน วัดนี้เริ่มต้นจากการจัดตั้งสำนักสงฆ์ในปี พ.ศ. 2475 (สมัยรัชกาลที่ 7) โดยมีพระกลัน พินธุกำนันเต็งฮั้ว ตุลารักษ์ ผู้ใหญ่เชวง ตุลารักษ์ นายวิลาส โปตะการักษ์ ศึกษาธิการอำเภอ และประชาชนชาวไทยพุทธและชาวจีนในย่านชุมชนเก่าศรีรายา ร่วมกันสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของชาวพุทธ >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ รุ่น1 วัดเกาะลังตา จ.กระบี่ ปี2557 เหรียญกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ รุ่น1 (ตอกโค็ด ส.) วัดเกาะลังตา จ.กระบี่ ปี2557 // พระดีพิธีใหญ่ ผ้าป่าสมทบทุนสร้างอาคารเรียน โรงเรียนวัดเกาะลังตา // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณด้าน แคล้วคาด เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย โภคทรัพย์ เรียกทรัพย์และคุ้มครองป้องกันภัย ดีนัก เป็นมหามงคลและสุดยอดนิรันตราย อุดมสมบูรณ์ ทำมาหากินคล่อง เจริญในหน้าที่การงาน คุ้มครองป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง >> ** วัดเกาะลันตาเป็นวัดเก่าแก่ แห่งแรกเพียงแห่งเดียวของเกาะลันตาที่มีวิสุคามสีมา และลานสำหรับนั่งวิปัสสนาปฏิบัติกรรมฐาน วัดนี้เริ่มต้นจากการจัดตั้งสำนักสงฆ์ในปี พ.ศ. 2475 (สมัยรัชกาลที่ 7) โดยมีพระกลัน พินธุกำนันเต็งฮั้ว ตุลารักษ์ ผู้ใหญ่เชวง ตุลารักษ์ นายวิลาส โปตะการักษ์ ศึกษาธิการอำเภอ และประชาชนชาวไทยพุทธและชาวจีนในย่านชุมชนเก่าศรีรายา ร่วมกันสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของชาวพุทธ >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 192 Views 0 Reviews
  • เหรียญหลวงพ่อเดิม รุ่น ป.ธ.๙ วัดเอก จ.สงขลา ปี2534
    เหรียญหลวงพ่อเดิม รุ่น ป.ธ.๙ วัดเอก จ.สงขลา ปี2534 // พระดีพิธีใหญ พระมีประสบการณ์สูง พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาวสงขลา // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณปกปักรักษา แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี บนได้ไหว์รับ เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม ดีนัก >>

    ** วัดเอก หรือ วัดเอกเชิงแส เป็นวัดเล็กๆ เก่าแก่ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2100 ตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยา จุดเด่นของวัดเลยคือพระพุทธรูปหลวงพ่อเดิม หรือ พระเดิม มีประวัติที่น่าอัศจรรย์ กล่าวว่า เป็นพระพุทธรูปที่ลอยมาตามลำน้ำคลองเจดีย์งาม มาปรากฏอยู่ที่บ้านเชิงแส บริเวณหน้าวัดเชิงแสกลาง หรือคลองพระ ชาวบ้านจึงได้อัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดเชิงแสใต้และวัดเชิงแสกลาง แต่ก็ไม่สามารถชักลากหลวงพ่อเดิมให้เคลื่อนไปได้ แม้จะใช้คนลากสักกี่คนก็ตาม ต่อมาจึงได้จุดธูปนิมนต์ไปอยู่ที่วัดเอก ใช้เส้นด้ายเพียงสามเส้นก็สามารถเลื่อนไปได้โดยง่าย จึงได้อัญเชิญหลวงพ่อเดิมมาประดิษฐานอยู่ที่อุโบสถวัดเอก เนื่องจากท่านอยากมาอยู่ที่วัดเอก จวบจนปัจจุบัน >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญหลวงพ่อเดิม รุ่น ป.ธ.๙ วัดเอก จ.สงขลา ปี2534 เหรียญหลวงพ่อเดิม รุ่น ป.ธ.๙ วัดเอก จ.สงขลา ปี2534 // พระดีพิธีใหญ พระมีประสบการณ์สูง พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาวสงขลา // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณปกปักรักษา แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี บนได้ไหว์รับ เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม ดีนัก >> ** วัดเอก หรือ วัดเอกเชิงแส เป็นวัดเล็กๆ เก่าแก่ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2100 ตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยา จุดเด่นของวัดเลยคือพระพุทธรูปหลวงพ่อเดิม หรือ พระเดิม มีประวัติที่น่าอัศจรรย์ กล่าวว่า เป็นพระพุทธรูปที่ลอยมาตามลำน้ำคลองเจดีย์งาม มาปรากฏอยู่ที่บ้านเชิงแส บริเวณหน้าวัดเชิงแสกลาง หรือคลองพระ ชาวบ้านจึงได้อัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดเชิงแสใต้และวัดเชิงแสกลาง แต่ก็ไม่สามารถชักลากหลวงพ่อเดิมให้เคลื่อนไปได้ แม้จะใช้คนลากสักกี่คนก็ตาม ต่อมาจึงได้จุดธูปนิมนต์ไปอยู่ที่วัดเอก ใช้เส้นด้ายเพียงสามเส้นก็สามารถเลื่อนไปได้โดยง่าย จึงได้อัญเชิญหลวงพ่อเดิมมาประดิษฐานอยู่ที่อุโบสถวัดเอก เนื่องจากท่านอยากมาอยู่ที่วัดเอก จวบจนปัจจุบัน >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • กำเนิดของ หมาไซบีเรียนฮัสกี้ (Siberian Husky) มีต้นกำเนิดที่น่าสนใจและเก่าแก่มาก โดยสายพันธุ์นี้มาจาก ชนเผ่าชุคชี (Chukchi) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในแถบตะวันออกไกลของไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย

    จุดกำเนิด:
    ➤ ภูมิภาคไซบีเรียตะวันออก (เขตอากาศหนาวจัด)
    ➤ ชาวชุคชีเพาะพันธุ์เพื่อใช้งานลากเลื่อนในสภาพหิมะ
    ➤ ต้องการหมาที่ อึด ถึก ทน วิ่งได้ไกล กินน้อย และมีนิสัย เป็นมิตรกับคน

    ลักษณะเด่นที่เกิดจากการพัฒนาในสภาพอากาศไซบีเรีย
    * ขนสองชั้น หนาแน่น ทนหนาวได้ดี
    * หางเป็นพวง ใช้ปิดจมูกตอนนอนเพื่อให้อุ่น
    * ดวงตาสีฟ้าหรือสองสี สวยงามโดดเด่น
    * ขนาดกะทัดรัด แข็งแรง คล่องแคล่ว
    * นิสัยขี้เล่น รักอิสระ ชอบอยู่เป็นฝูง

    หมาพันธุ์นี้เริ่มเป็นที่รู้จักทั่วโลกในช่วงต้นศตวรรษที่ 20
    โดยเฉพาะจากตำนาน "บัลโต (Balto)" หมาไซบีเรียนที่ลากเลื่อนส่งวัคซีนฝ่าหิมะช่วยชีวิตเด็ก ๆ ในอลาสกา ปี 1925

    #หมาไซบีเรียนฮัสกี้ #ไซบีเรียนฮัสกี้ #กำเนิดหมาไซ #หมาลากเลื่อน #ตำนานบัลโต #ChukchiDogs #ไซบีเรียเจ้าถิ่น #หมาสายหนาว


    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    🐺 กำเนิดของ หมาไซบีเรียนฮัสกี้ (Siberian Husky) มีต้นกำเนิดที่น่าสนใจและเก่าแก่มาก โดยสายพันธุ์นี้มาจาก ชนเผ่าชุคชี (Chukchi) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในแถบตะวันออกไกลของไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย 🇷🇺 📌 จุดกำเนิด: ➤ ภูมิภาคไซบีเรียตะวันออก (เขตอากาศหนาวจัด) ➤ ชาวชุคชีเพาะพันธุ์เพื่อใช้งานลากเลื่อนในสภาพหิมะ ➤ ต้องการหมาที่ อึด ถึก ทน วิ่งได้ไกล กินน้อย และมีนิสัย เป็นมิตรกับคน 🐶 ลักษณะเด่นที่เกิดจากการพัฒนาในสภาพอากาศไซบีเรีย * ขนสองชั้น หนาแน่น ทนหนาวได้ดี * หางเป็นพวง ใช้ปิดจมูกตอนนอนเพื่อให้อุ่น * ดวงตาสีฟ้าหรือสองสี สวยงามโดดเด่น * ขนาดกะทัดรัด แข็งแรง คล่องแคล่ว * นิสัยขี้เล่น รักอิสระ ชอบอยู่เป็นฝูง 🚀 หมาพันธุ์นี้เริ่มเป็นที่รู้จักทั่วโลกในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะจากตำนาน "บัลโต (Balto)" หมาไซบีเรียนที่ลากเลื่อนส่งวัคซีนฝ่าหิมะช่วยชีวิตเด็ก ๆ ในอลาสกา ปี 1925 🧊🐾 #หมาไซบีเรียนฮัสกี้ #ไซบีเรียนฮัสกี้ #กำเนิดหมาไซ #หมาลากเลื่อน #ตำนานบัลโต #ChukchiDogs #ไซบีเรียเจ้าถิ่น #หมาสายหนาว LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    0 Comments 0 Shares 274 Views 0 Reviews
  • ฟันของเรามีต้นกำเนิดจากเกราะของปลายุคโบราณ!
    นักวิทยาศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยชิคาโก ค้นพบว่า เนื้อเยื่อที่ไวต่อความเย็นในฟันของเรา มีต้นกำเนิดมาจาก เกราะของปลายุคโบราณ ซึ่งใช้ในการรับรู้สภาพแวดล้อมแทนการเคี้ยวอาหาร

    งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Nature ยืนยันว่า เดนทีน (Dentine) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของฟัน ไม่ได้ถูกใช้เพื่อการเคี้ยวในช่วงแรกของวิวัฒนาการ แต่กลับมีบทบาทในการช่วยให้ปลายุคโบราณ ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของน้ำรอบตัว

    นักวิจัยใช้ Synchrotron Scanning ซึ่งเป็นเทคนิคการถ่ายภาพขั้นสูงเพื่อศึกษาฟอสซิลของ Anatolepis heintzi ซึ่งเคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เก่าแก่ที่สุด เนื่องจากมีโครงสร้างคล้ายฟัน

    แต่ผลการสแกนพบว่า Anatolepis ไม่ได้มีเดนทีน แต่มี โครงสร้างรับความรู้สึกที่คล้ายกับสัตว์จำพวกกุ้งและปู ซึ่งช่วยให้พวกมันตรวจจับสภาพแวดล้อม

    ข้อมูลจากข่าว
    - นักวิทยาศาสตร์พบว่าเนื้อเยื่อไวต่อความเย็นในฟันมีต้นกำเนิดจากเกราะของปลายุคโบราณ
    - เดนทีนในยุคแรกไม่ได้ใช้ในการเคี้ยว แต่ช่วยให้ปลาตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของน้ำ
    - Anatolepis heintzi เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เก่าแก่ที่สุด
    - Synchrotron Scanning เผยว่า Anatolepis ไม่มีเดนทีน แต่มีโครงสร้างรับความรู้สึกคล้ายสัตว์จำพวกกุ้งและปู
    - นักวิจัยพบว่า Eriptychius ซึ่งเป็นปลายุค Ordovician มีเดนทีนในเกราะของมัน

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมีหลักฐานใหม่ แต่ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันทฤษฎีวิวัฒนาการของฟัน
    - การค้นพบนี้อาจเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
    - ต้องติดตามว่าการศึกษานี้จะส่งผลต่อการวิจัยด้านชีววิทยาและทันตกรรมอย่างไร
    - นักวิทยาศาสตร์ยังคงถกเถียงกันระหว่างทฤษฎี "Inside-Out" และ "Outside-In" เกี่ยวกับวิวัฒนาการของฟัน

    การค้นพบนี้ช่วยให้เราเข้าใจ วิวัฒนาการของฟันในมุมมองใหม่ และอาจนำไปสู่ การพัฒนาเทคโนโลยีทางทันตกรรมที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการศึกษานี้จะส่งผลต่อแนวคิดทางชีววิทยาในอนาคตอย่างไร

    https://www.neowin.net/news/that-sharp-cold-toothache-you-dread-its-origins-trace-back-to-ancient-unexpected-purpose/
    🦷 ฟันของเรามีต้นกำเนิดจากเกราะของปลายุคโบราณ! นักวิทยาศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยชิคาโก ค้นพบว่า เนื้อเยื่อที่ไวต่อความเย็นในฟันของเรา มีต้นกำเนิดมาจาก เกราะของปลายุคโบราณ ซึ่งใช้ในการรับรู้สภาพแวดล้อมแทนการเคี้ยวอาหาร งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Nature ยืนยันว่า เดนทีน (Dentine) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของฟัน ไม่ได้ถูกใช้เพื่อการเคี้ยวในช่วงแรกของวิวัฒนาการ แต่กลับมีบทบาทในการช่วยให้ปลายุคโบราณ ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของน้ำรอบตัว นักวิจัยใช้ Synchrotron Scanning ซึ่งเป็นเทคนิคการถ่ายภาพขั้นสูงเพื่อศึกษาฟอสซิลของ Anatolepis heintzi ซึ่งเคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เก่าแก่ที่สุด เนื่องจากมีโครงสร้างคล้ายฟัน แต่ผลการสแกนพบว่า Anatolepis ไม่ได้มีเดนทีน แต่มี โครงสร้างรับความรู้สึกที่คล้ายกับสัตว์จำพวกกุ้งและปู ซึ่งช่วยให้พวกมันตรวจจับสภาพแวดล้อม ✅ ข้อมูลจากข่าว - นักวิทยาศาสตร์พบว่าเนื้อเยื่อไวต่อความเย็นในฟันมีต้นกำเนิดจากเกราะของปลายุคโบราณ - เดนทีนในยุคแรกไม่ได้ใช้ในการเคี้ยว แต่ช่วยให้ปลาตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของน้ำ - Anatolepis heintzi เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เก่าแก่ที่สุด - Synchrotron Scanning เผยว่า Anatolepis ไม่มีเดนทีน แต่มีโครงสร้างรับความรู้สึกคล้ายสัตว์จำพวกกุ้งและปู - นักวิจัยพบว่า Eriptychius ซึ่งเป็นปลายุค Ordovician มีเดนทีนในเกราะของมัน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมีหลักฐานใหม่ แต่ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันทฤษฎีวิวัฒนาการของฟัน - การค้นพบนี้อาจเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสัตว์มีกระดูกสันหลัง - ต้องติดตามว่าการศึกษานี้จะส่งผลต่อการวิจัยด้านชีววิทยาและทันตกรรมอย่างไร - นักวิทยาศาสตร์ยังคงถกเถียงกันระหว่างทฤษฎี "Inside-Out" และ "Outside-In" เกี่ยวกับวิวัฒนาการของฟัน การค้นพบนี้ช่วยให้เราเข้าใจ วิวัฒนาการของฟันในมุมมองใหม่ และอาจนำไปสู่ การพัฒนาเทคโนโลยีทางทันตกรรมที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการศึกษานี้จะส่งผลต่อแนวคิดทางชีววิทยาในอนาคตอย่างไร https://www.neowin.net/news/that-sharp-cold-toothache-you-dread-its-origins-trace-back-to-ancient-unexpected-purpose/
    WWW.NEOWIN.NET
    That sharp cold toothache you dread? Its origins trace back to ancient, unexpected purpose
    That cold toothache you dread? Its origins trace back to an interesting ancient adaptation, one that served purposes far beyond chewing.
    0 Comments 0 Shares 240 Views 0 Reviews
  • บทความเก่าขอนำมาโพสอีกครั้ง
    ----------------------------
    สงครามน้ำจะมาถึงในไม่ช้า
    นี่เป็นคำพยากรณ์...
    .
    อันที่จริงผมพูดเรื่องนี้มานานแล้วตั้งแต่ราวปี 2003 ผมเคยพยายามที่จะทำโครงการหนึ่งชื่อ Voices of Asia รวมทั้งเคยหาข้อมูลเพื่อทำสารคดีเรื่องแม่น้ำ.. มันไม่ได้รับการสนับสนุนให้ทำ แต่ยังคงเป็นสิ่งที่วนเวียนหลอกหลอนอยู่ในความคิดผมเสมอมา ความกังวลนี้มาจากการได้อ่านข้อมูลที่เกี่ยวกับปัญหาวิกฤติน้ำในเอธิโอเปียในช่วงเวลานั้น
    .
    แม่น้ำไนล์ เป็นที่รู้ดีมานานแล้วว่า คือกระแสโลหิตที่หล่อเลี้ยงแอฟริกาตอนบน และมันไม่เคยเพียงพอต่อความต้องการเลย นับแต่ซาฮาร่าโบราณที่เคยอุดมสมบูรณ์ในยุคโบราณได้แปรเปลี่ยนเป็นทะเลทราย และบรรพบุรุษของโฮโมเซเปี้ยนส์เริ่มอพยพหนีออกมาจากที่นั่น.. ซาฮาร่าแห้งแล้งลงเรื่อยๆ ผ่านเวลาแสนปีจนถึงปัจจุบัน.. ยิ่งเมื่อภาวะวิกฤติโลกร้อนและอุณหภูมิโลกและอากาศเปลี่ยนแปลงในทุกวันนี้ มันก็ยิ่งเหือดแห้งลงกว่าเดิม และยิ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการมากยิ่งขึ้น..
    .
    ต้นกำเนิดของแม่น้ำสายนี้อยู่ในเอธิโอเปีย. ประเทศอันแสนยากจน พวกเขาส่วนใหญ่ยากจนแสนเข็ญจริงๆ และแม้ว่าแม่น้ำนี้จะกำเนิดจากดินแดนแห่งนี้ แต่พวกเขาในพื้นที่ห่างไกลกลับยากลำบากและขาดแคลนน้ำที่จะนำมาเป็นปัจจัยพื้นฐานเพื่อเอาชีวิตรอด นั่นคือใช้ในการทำเกษตรกรรม. พวกเขาคงจะมีโอกาสรอดมากขึ้น ถ้าเพียงพวกเขาจะทำเขื่อนเพื่อที่จะกักและชะลอน้ำไว้บ้างสำหรับการเพาะปลูกเท่าที่จำเป็น แต่การทำเช่นนั้น.. สร้างความวิตกว่าน้ำจะยิ่งไม่เพียงพอแก่ประเทศอื่นที่ใช้แม่น้ำนี้ร่วมกัน เช่น อียิปต์ และ ซูดาน.. สองประเทศนี้มีแสนยานุภาพ มีขีปนาวุธ และเครื่องบินรบทันสมัยอย่างเอฟสิบหก ทันทีที่เอธิโอเปียสร้างเขื่อน มันจะถูกยิงถล่มเป็นผุยผง.. ประชาชนเอธิโอเปียไม่อาจทำอย่างไรได้ นอกจากจ้องมองแม่น้ำของพวกเขาด้วยความสิ้นหวังและล้มลงตายกับพื้นดิน.
    .
    เหตุการณ์แบบนี้อาจจะเกิดขึ้นที่อื่นอีก อย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว
    และมันอาจเกิดขึ้นกับเรา คุณและผม... สักวันหนึ่ง
    .
    คนไทยอย่างเราอาจมองเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องไกลตัว เราใช้น้ำอย่างสบายใจและฟุ่มเฟือย เราเดินเข้าห้าง เข้ามินิมาร์ตที่มีน้ำดื่มบรรจุขวดมากมายเรียงรายเต็มหิ้งให้เลือก จนเราอาจลืมข้อเท็จจริงและเผลอคิดไปได้ว่า น้ำนี้จะไม่มีวันหมด และมันจะรอเราอยู่บนหิ้งนั้นชั่วนิรันดร์.. นั่นเป็นความคิดที่โง่เขลาสิ้นดีและไม่เป็นความจริง.
    .
    วันนึง ..จะไม่มีน้ำแม้สักครึ่งขวดเหลืออยู่บนหิ้งพวกนั้น และวันนั้นอาจมาถึงในไม่ช้า
    .
    สมัยเด็ก ผมโตมาบนถนนพระอาทิตย์และถนนพระสุเมรุ บ้านพ่ออยู่ติดแม่น้ำหน้าท่าพระอาทิตย์ ส่วนบ้านแม่อยู่ตรอกวัดสังเวช อยู่บนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเลย. ยุคนั้น ที่บ้านแม่ตักน้ำจากแม่น้ำแล้วกวนด้วยสารส้มใช้เป็นประจำ นำมาต้ม แล้วใช้ปรุงอาหารได้.. น้ำดื่มคือน้ำฝนที่รองใส่โอ่ง..
    .
    ทุกวันนี้เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว แม่น้ำเจ้าพระยาตอนบนอาจจะยังคงสะอาดพอควร แต่ตอนกลางนั้นมีการปนเปื้อนอยู่หลายจุดตลอดเส้นทาง.. ไม่ต้องพูดถึงแม่น้ำตอนล่าง ที่ไหลผ่านเมืองใหญ่อย่างอยุธยาและกรุงเทพเลย พวกมันล้วนอุดมด้วยสารพิษอย่างเช่น ปรอท โลหะหนัก และสารเคมีสารพัด เช่น แคดเมี่ยม ฯลฯ พวกมันถูกปล่อยจากโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่เรียงรายตามริมแม่น้ำ ผสมโรงด้วยขยะพิษที่ประชาชนปล่อยลงไป ทั้งจากเคมีที่ใช้ประจำวันและยาฆ่าแมลง จากวัตถุมีพิษอื่นๆ เช่น อุปกรณ์อีเลคโทรนิคส์ แบตเตอรี่ ฯลฯ
    .
    ขณะที่ทุกคนต่างใช้ชีวิตอย่างเคยชินกับสิ่งเหล่านี้และไม่สนใจเพิกเฉยปัญหาของมัน หายนะกำลังคืบคลานอย่างช้าๆ มาสู่เราโดยไม่รู้ตัว.. ในภาวะปกตินี้ บ้านเมืองที่มีระบบรองรับ ก็ขับเคลื่อนหน่วยงานกลไกของมันไปตามสถานะที่ยังคงเลื่อนไหลไปได้ตามสภาพที่มี คนทั่วไปนั้นไม่ได้สนใจจะไปรับรู้ว่า กลไกเหล่านั้นขับเคลื่อนได้ดีแค่ไหน? ปลอดภัยแค่ไหน? ได้มาตรฐานแค่ไหน?.. พวกเขาสนใจแค่เรื่องตัวเองและคงคิดแค่ว่า "มีใครสักคนที่รับผิดชอบสิ่งเหล่านี้อยู่ และไม่ใช่ภาระที่ฉันจะเอามาใส่ใจ.." คงมีใครกำลังดูแลมันอยู่และมันก็คงดำเนินไปได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร "ตลอดไป"..
    .
    งั้นสินะ? โอ้.. ฉันมีการประปานครหลวง กองบำบัดน้ำเสีย กระทรวงสาธารณะสุข กรมประมง เทศบาลเมือง การท่า.. ฯลฯ พวกเขาคงทำทุกอย่างได้ราบรื่นไม่มีปัญหา คนทั้งหลายไม่สำเหนียกว่า จักรเฟืองพวกนี้มีวันหยุดชะงักได้ และเมื่อวันนึงเกิดหายนะภัยพิบัติสักอย่างขึ้น เช่น สงครามโลก ภัยจากอวกาศภายนอกอย่างอุกกาบาต แผ่นดินไหวรุนแรง ซุปเปอร์อีรัพชั่น สภาพอากาศวิกฤติ ยุคน้ำแข็ง.. ฯ ระบบที่ขับเคลื่อนไปทั้งหมดนี้ อาจล่มสลายได้ในชั่วข้ามคืน และเมื่อมันเกิดขึ้น คำถามง่ายๆ ที่สุดที่ไม่มีใครคิดอย่างเช่น.. จะยังจะมีน้ำบรรจุขวดอยู่บนหิ้งในห้างร้านอยู่ไหม? อาจตามมาด้วยคำตอบที่แย่เกินกว่าจะยอมรับ.
    .
    กรณีนี้ ถ้าเราไม่มีน้ำดื่มให้ซื้อหาอีกต่อไป ถามว่าเราจะทำอย่างไร? จะดื่มน้ำจากแม่น้ำลำคลองอย่างที่คนโบราณเคยทำได้ไหม? ทำไม่ได้แน่นอน ถ้ามันเป็นพิษ.. เว้นแต่คนจะหมดสิ้นหนทางและความตายเป็นการปลดปล่อยจากความทุกข์ยาก.. ยิ่งเมื่อระบบเมืองและรัฐที่ขับเคลื่อนชาติต้องล่มสลายเพราะหายนะที่กล่าวไป จะเอางบประมาณ จะเอาอุปกรณ์ จะเอาวัตถุดิบ จะเอาเทคโนโลยี่ที่ไหนกัน มาเยียวยาแม่น้ำให้กลับมาดีดังเดิมและสามารถใช้กินใช้ดื่มได้อีก? ถ้าเราไม่แก้ไขเสียแต่ตอนนี้ จนกระทั่งเราไปถึงจุดนั้น แม่น้ำก็จะไม่สามารถกู้คืนได้อีกเลย.
    .
    ครั้งหนึ่ง แม่น้ำโวลกาในรัสเซียนั้น เคยวิกฤติถึงขั้นอันตรายจนกินใช้ไม่ได้เลยอย่างสิ้นเชิง ปลาในแม่น้ำเต็มไปด้วยพิษ แต่ด้วยการร่วมแรงร่วมใจของภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชน แม้ใช้เวลานับสิบปีในการพยายามกู้แม่น้ำสายนี้ ในที่สุดแม่น้ำนี้ก็กลับมาดีจนใช้ได้ในที่สุด แม้มันจะไม่ดีพอที่จะดื่มมันได้ก็ตามในตอนนี้..
    .
    แน่นอนว่า แม่น้ำเจ้าพระยานั้นยังไม่เลวร้ายขนาดนั้น และมันเป็นไปได้อย่างแน่นอน ที่จะฟื้นคืนชีวิตแก่มันอย่างสมบูรณ์ หากเราจะถือว่านี่คือวาระแห่งชาติ และร่วมมือกันฟื้นฟูอย่างจริงจัง
    .
    แม่น้ำเจ้าพระยานั้น มีต้นกำเนิดจากป่าต้นน้ำทางภาคเหนือสี่แห่ง ซึ่งคือหัวใจที่ให้ชีวิตแก่แควทั้งสี่ คือ ปิง วัง ยม และ น่าน.. นี่นับเป็นความโชคดีของคนไทยเหลือคณานับ ที่ต้นแม่น้ำสายใหญ่นี้อยู่ในประเทศไทย ไม่ได้อยู่ในประเทศอื่น. นี่เป็นทรัพยากรเลอค่าที่สุด ที่จะพยุงชีวิตให้แก่ชาตินี้ แม้แต่คนโง่ที่สุดก็ควรจะเห็นความสำคัญในจุดนี้ได้. การฟื้นฟูแม่น้ำต้องเริ่มจากป่าต้นน้ำของมัน จะต้องไม่มีการทำลายอีก จะต้องฟื้นฟูป่าเหล่านี้ให้กลับมา จากนั้นฟื้นฟูแม่น้ำแควทั้งสี่ เชื่อมไปสู่แม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน จนจรดเจ้าพระยาตอนล่าง.
    .
    นี่แหละคือชีพจรชีวิตของสยามประเทศ นี่คือหนทางที่จะทำให้เราอยู่รอดได้ หากวันนึงหายนะน้ำเกิดขึ้นและนำไปสู่จุดที่กลายเป็นสงครามแย่งชิงน้ำ ดังนั้นฟื้นฟูมันเสียตั้งแต่บัดนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป!
    .
    หากคุณติดตามข่าว พระเจ้าอยู่หัววชิราลงกรณ์ฯ ท่านทรงไล่ฟื้นฟูคลองในกรุงเทพไล่เรียงไปทีละสาย หลายสายบัดนี้ได้กลับมาสะอาดดังเดิม หากแม่น้ำฟื้นคืนชีวิต คลองทั้งหลายเหล่านี้จะยิ่งหล่อเลี้ยงไปยังแขนงน้อยใหญ่ให้แก่เมือง
    .
    ลองดูภาพแผนที่ เมื่อเราพิจารณาดูแผนที่ที่เห็นอยู่นี้ซึ่งแสดงแม่น้ำสายใหญ่ๆ ในเอเชีย มันต่างกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่ต้นน้ำอยู่ในประเทศไทย ทั้งหมดนั้นล้วนมีต้นกำเนิดอยู่ในทิเบต แม่น้ำทั้งหมดนี้คือสายโลหิตที่เลี้ยงเอเชีย มันไม่ได้มีความสำคัญแค่เป็นจุดกำเนิดวัฒนธรรมอันเก่าแก่ลึกล้ำ มันเป็นหัวใจที่หล่อเลี้ยงความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน และมันยังเป็นปัจจัยสำคัญหลายอย่างโดยเฉพาะทางภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคงของภูมิภาค.
    .
    นี่คือเหตุผลสำคัญที่ว่า ทำไมจีนจึงต้องปกป้องให้ทิเบตสุดชีวิต
    นี่เป็นอาณาเขตที่อ่อนไหวและหวงแหนยิ่งของจีน. เพราะอะไร?
    .
    ดินแดนนี้เป็นดังเขตกันชนที่ต้องเฝ้าระวังการรุกล้ำครอบงำจากโลกฝั่งตะวันตก ที่อาจแทรกทะลุผ่านเอเชียกลางเข้ามาได้. ดินแดนเปราะบางบางส่วนที่เป็นประตูเข้ามาสู่ดินแดนแถบนี้ ถูกแทรกแซงครอบงำจากตะวันตกไปบ้างแล้ว เช่น อัฟกานิสถาน คาซัคสถาน ทาจิกิสถาน... มหาอำนาจตะวันตกนั้นมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเข้ามามีอิทธิพลเหนือทิเบตให้ได้ ด้วยกลยุทธมากมายหลายอย่าง แม้กระทั่งด้วยวิธีการใช้พรอพพาแกนดามากมาย เช่น ฟรีทิเบต เป็นต้น. แม้เราจะเคารพรักองค์ดาไลลามะและเห็นใจพุทธศาสนิกชน ประชากรชาวทิเบตเพียงใด แต่เราก็จำเป็นต้องไตร่ตรองในความเปราะบางของสถานะการณ์เช่นนี้อย่างระมัดระวัง. จีนนั้นมีเหตุผลเช่นไร ในการที่จะปกป้องพื้นที่นี้เอาไว้ให้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนอย่างสุดกำลังความสามารถ เราสามารถพิจารณาได้จากแผนที่ที่เห็น..
    .
    หากมหาอำนาจตะวันตกใดก็ตามเข้ามายึดครองควบคุมทิเบต ไม่เพียงแค่จีนเท่านั้นที่จะเส่ียงต่อความมั่นคง.. แต่ ไทย ลาว กัมพูชา พม่า และบางส่วนของอินเดีย อาจตกอยู่ในสถานะการณ์ที่ยากลำบากได้. ใครครอบครองทิเบต ผู้นั้นกุมชะตาเอเชีย เท่าที่ผ่านมานับพันปี แม้มีความไม่น่ายินดีกับการจัดการทรัพยากรต้นน้ำของจีนนัก แต่จีนก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ชั่วร้ายที่จะฉกฉวยประโยชน์จากสายเลือดใหญ่เหล่านี้แต่เพียงฝ่ายเดียว พวกเรายังอยู่ร่วมกันมาได้นับพันปี แต่เราไม่อาจคาดการได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากมหาอำนาจอื่น เข้ามามีอำนาจในการควบคุมแม่น้ำสายใหญ่เหล่านี้.
    .
    แน่นอนว่า เวลาเปลี่ยน ปัจจัยเปลี่ยน.. ทั้งมนุษย์ ทั้งปัจจัยทางธรรมชาติ ทั้งสถานะการณ์โลกและนอกโลก.. เราไม่อาจรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราได้แต่ตัดสินใจจากพื้นฐานที่เป็นประสบการณ์ของเราจากประวัติศาสตร์และบทเรียนที่ผ่านมา
    .
    พระพุทธองค์ตรัสว่า สังขารนั้นไม่เที่ยง ย่อมเสื่อมไปตามเหตุและปัจจัย
    มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
    จงมีสติปัญญาที่จะพิจารณาวิเคราะห์และแยกแยะสิ่งต่างๆ ให้ถี่ถ้วนและพร้อมที่จะตัดสินใจ แก้ไขมันอย่างทันท่วงที โดยเลือกทางเลือกที่ถูกต้องที่สุด
    .
    ด้วยความปรารถนาดีและห่วงใยทุกท่าน
    - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา -
    .
    อัพเดทข้อมูลในปี 2566
    --------------------------
    - แม่น้ำโวลก้าในเวลานี้มีสภาพที่ดีขึ้นมากกว่าเดิม โลหะหนักเป็นพิษลดสู่ปริมาณที่ต่ำลงอย่างมีนัยยะ
    - พื้นที่ในเอเชียกลางที่เคยถูกแทรกแซงครอบงำจากอิทธิพลตะวันตก เช่นอัฟกานิสถานและปากีสถาน กำลังเป็นอิสระและฟื้นฟูโดยความช่วยเหลือของจีนและรัสเซีย เส้นทางลำเลียงยาเสพติดของซีไอเอในเอเชียกลางถูกกำจัด และเอเชียกลางทั้งหมดผนึกเป็นส่วนเดียวกับพันธมิตรรัสเซีย-จีน เดินหน้าไปสู่ความเจริญของโครงการ One Belt One Road นั่นหมายความว่าแหล่งน้ำในทิเบตในเวลานี้ ได้รอดพ้นจากความเสี่ยงในการเข้าแทรกแซงของมหาอำนาจตะวันตกแล้ว และมันจะกลายเป็นพื้นที่ที่จะได้รับการดูแลรักษาอย่างเอาใจใส่
    - เอธิโอเปีย เข้าร่วมสมาขิก BRICS นั่นหมายความว่า ในที่สุดชาติที่น่าสงสารนี้จะได้ลืมตาอ้าปากเสียที และจีนกำลังเข้าช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับชาติอื่นๆ ในแอฟริกา หลังจากหลายปีแห่งความทุกข์ทรมานจากการถูกเอาเปรียบขูดรีดทรัพยากรโดยมหาทุนตะวันตก
    --------------------------
    บทความเก่าขอนำมาโพสอีกครั้ง ---------------------------- สงครามน้ำจะมาถึงในไม่ช้า นี่เป็นคำพยากรณ์... . อันที่จริงผมพูดเรื่องนี้มานานแล้วตั้งแต่ราวปี 2003 ผมเคยพยายามที่จะทำโครงการหนึ่งชื่อ Voices of Asia รวมทั้งเคยหาข้อมูลเพื่อทำสารคดีเรื่องแม่น้ำ.. มันไม่ได้รับการสนับสนุนให้ทำ แต่ยังคงเป็นสิ่งที่วนเวียนหลอกหลอนอยู่ในความคิดผมเสมอมา ความกังวลนี้มาจากการได้อ่านข้อมูลที่เกี่ยวกับปัญหาวิกฤติน้ำในเอธิโอเปียในช่วงเวลานั้น . แม่น้ำไนล์ เป็นที่รู้ดีมานานแล้วว่า คือกระแสโลหิตที่หล่อเลี้ยงแอฟริกาตอนบน และมันไม่เคยเพียงพอต่อความต้องการเลย นับแต่ซาฮาร่าโบราณที่เคยอุดมสมบูรณ์ในยุคโบราณได้แปรเปลี่ยนเป็นทะเลทราย และบรรพบุรุษของโฮโมเซเปี้ยนส์เริ่มอพยพหนีออกมาจากที่นั่น.. ซาฮาร่าแห้งแล้งลงเรื่อยๆ ผ่านเวลาแสนปีจนถึงปัจจุบัน.. ยิ่งเมื่อภาวะวิกฤติโลกร้อนและอุณหภูมิโลกและอากาศเปลี่ยนแปลงในทุกวันนี้ มันก็ยิ่งเหือดแห้งลงกว่าเดิม และยิ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการมากยิ่งขึ้น.. . ต้นกำเนิดของแม่น้ำสายนี้อยู่ในเอธิโอเปีย. ประเทศอันแสนยากจน พวกเขาส่วนใหญ่ยากจนแสนเข็ญจริงๆ และแม้ว่าแม่น้ำนี้จะกำเนิดจากดินแดนแห่งนี้ แต่พวกเขาในพื้นที่ห่างไกลกลับยากลำบากและขาดแคลนน้ำที่จะนำมาเป็นปัจจัยพื้นฐานเพื่อเอาชีวิตรอด นั่นคือใช้ในการทำเกษตรกรรม. พวกเขาคงจะมีโอกาสรอดมากขึ้น ถ้าเพียงพวกเขาจะทำเขื่อนเพื่อที่จะกักและชะลอน้ำไว้บ้างสำหรับการเพาะปลูกเท่าที่จำเป็น แต่การทำเช่นนั้น.. สร้างความวิตกว่าน้ำจะยิ่งไม่เพียงพอแก่ประเทศอื่นที่ใช้แม่น้ำนี้ร่วมกัน เช่น อียิปต์ และ ซูดาน.. สองประเทศนี้มีแสนยานุภาพ มีขีปนาวุธ และเครื่องบินรบทันสมัยอย่างเอฟสิบหก ทันทีที่เอธิโอเปียสร้างเขื่อน มันจะถูกยิงถล่มเป็นผุยผง.. ประชาชนเอธิโอเปียไม่อาจทำอย่างไรได้ นอกจากจ้องมองแม่น้ำของพวกเขาด้วยความสิ้นหวังและล้มลงตายกับพื้นดิน. . เหตุการณ์แบบนี้อาจจะเกิดขึ้นที่อื่นอีก อย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว และมันอาจเกิดขึ้นกับเรา คุณและผม... สักวันหนึ่ง . คนไทยอย่างเราอาจมองเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องไกลตัว เราใช้น้ำอย่างสบายใจและฟุ่มเฟือย เราเดินเข้าห้าง เข้ามินิมาร์ตที่มีน้ำดื่มบรรจุขวดมากมายเรียงรายเต็มหิ้งให้เลือก จนเราอาจลืมข้อเท็จจริงและเผลอคิดไปได้ว่า น้ำนี้จะไม่มีวันหมด และมันจะรอเราอยู่บนหิ้งนั้นชั่วนิรันดร์.. นั่นเป็นความคิดที่โง่เขลาสิ้นดีและไม่เป็นความจริง. . วันนึง ..จะไม่มีน้ำแม้สักครึ่งขวดเหลืออยู่บนหิ้งพวกนั้น และวันนั้นอาจมาถึงในไม่ช้า . สมัยเด็ก ผมโตมาบนถนนพระอาทิตย์และถนนพระสุเมรุ บ้านพ่ออยู่ติดแม่น้ำหน้าท่าพระอาทิตย์ ส่วนบ้านแม่อยู่ตรอกวัดสังเวช อยู่บนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเลย. ยุคนั้น ที่บ้านแม่ตักน้ำจากแม่น้ำแล้วกวนด้วยสารส้มใช้เป็นประจำ นำมาต้ม แล้วใช้ปรุงอาหารได้.. น้ำดื่มคือน้ำฝนที่รองใส่โอ่ง.. . ทุกวันนี้เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว แม่น้ำเจ้าพระยาตอนบนอาจจะยังคงสะอาดพอควร แต่ตอนกลางนั้นมีการปนเปื้อนอยู่หลายจุดตลอดเส้นทาง.. ไม่ต้องพูดถึงแม่น้ำตอนล่าง ที่ไหลผ่านเมืองใหญ่อย่างอยุธยาและกรุงเทพเลย พวกมันล้วนอุดมด้วยสารพิษอย่างเช่น ปรอท โลหะหนัก และสารเคมีสารพัด เช่น แคดเมี่ยม ฯลฯ พวกมันถูกปล่อยจากโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่เรียงรายตามริมแม่น้ำ ผสมโรงด้วยขยะพิษที่ประชาชนปล่อยลงไป ทั้งจากเคมีที่ใช้ประจำวันและยาฆ่าแมลง จากวัตถุมีพิษอื่นๆ เช่น อุปกรณ์อีเลคโทรนิคส์ แบตเตอรี่ ฯลฯ . ขณะที่ทุกคนต่างใช้ชีวิตอย่างเคยชินกับสิ่งเหล่านี้และไม่สนใจเพิกเฉยปัญหาของมัน หายนะกำลังคืบคลานอย่างช้าๆ มาสู่เราโดยไม่รู้ตัว.. ในภาวะปกตินี้ บ้านเมืองที่มีระบบรองรับ ก็ขับเคลื่อนหน่วยงานกลไกของมันไปตามสถานะที่ยังคงเลื่อนไหลไปได้ตามสภาพที่มี คนทั่วไปนั้นไม่ได้สนใจจะไปรับรู้ว่า กลไกเหล่านั้นขับเคลื่อนได้ดีแค่ไหน? ปลอดภัยแค่ไหน? ได้มาตรฐานแค่ไหน?.. พวกเขาสนใจแค่เรื่องตัวเองและคงคิดแค่ว่า "มีใครสักคนที่รับผิดชอบสิ่งเหล่านี้อยู่ และไม่ใช่ภาระที่ฉันจะเอามาใส่ใจ.." คงมีใครกำลังดูแลมันอยู่และมันก็คงดำเนินไปได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร "ตลอดไป".. . งั้นสินะ? โอ้.. ฉันมีการประปานครหลวง กองบำบัดน้ำเสีย กระทรวงสาธารณะสุข กรมประมง เทศบาลเมือง การท่า.. ฯลฯ พวกเขาคงทำทุกอย่างได้ราบรื่นไม่มีปัญหา คนทั้งหลายไม่สำเหนียกว่า จักรเฟืองพวกนี้มีวันหยุดชะงักได้ และเมื่อวันนึงเกิดหายนะภัยพิบัติสักอย่างขึ้น เช่น สงครามโลก ภัยจากอวกาศภายนอกอย่างอุกกาบาต แผ่นดินไหวรุนแรง ซุปเปอร์อีรัพชั่น สภาพอากาศวิกฤติ ยุคน้ำแข็ง.. ฯ ระบบที่ขับเคลื่อนไปทั้งหมดนี้ อาจล่มสลายได้ในชั่วข้ามคืน และเมื่อมันเกิดขึ้น คำถามง่ายๆ ที่สุดที่ไม่มีใครคิดอย่างเช่น.. จะยังจะมีน้ำบรรจุขวดอยู่บนหิ้งในห้างร้านอยู่ไหม? อาจตามมาด้วยคำตอบที่แย่เกินกว่าจะยอมรับ. . กรณีนี้ ถ้าเราไม่มีน้ำดื่มให้ซื้อหาอีกต่อไป ถามว่าเราจะทำอย่างไร? จะดื่มน้ำจากแม่น้ำลำคลองอย่างที่คนโบราณเคยทำได้ไหม? ทำไม่ได้แน่นอน ถ้ามันเป็นพิษ.. เว้นแต่คนจะหมดสิ้นหนทางและความตายเป็นการปลดปล่อยจากความทุกข์ยาก.. ยิ่งเมื่อระบบเมืองและรัฐที่ขับเคลื่อนชาติต้องล่มสลายเพราะหายนะที่กล่าวไป จะเอางบประมาณ จะเอาอุปกรณ์ จะเอาวัตถุดิบ จะเอาเทคโนโลยี่ที่ไหนกัน มาเยียวยาแม่น้ำให้กลับมาดีดังเดิมและสามารถใช้กินใช้ดื่มได้อีก? ถ้าเราไม่แก้ไขเสียแต่ตอนนี้ จนกระทั่งเราไปถึงจุดนั้น แม่น้ำก็จะไม่สามารถกู้คืนได้อีกเลย. . ครั้งหนึ่ง แม่น้ำโวลกาในรัสเซียนั้น เคยวิกฤติถึงขั้นอันตรายจนกินใช้ไม่ได้เลยอย่างสิ้นเชิง ปลาในแม่น้ำเต็มไปด้วยพิษ แต่ด้วยการร่วมแรงร่วมใจของภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชน แม้ใช้เวลานับสิบปีในการพยายามกู้แม่น้ำสายนี้ ในที่สุดแม่น้ำนี้ก็กลับมาดีจนใช้ได้ในที่สุด แม้มันจะไม่ดีพอที่จะดื่มมันได้ก็ตามในตอนนี้.. . แน่นอนว่า แม่น้ำเจ้าพระยานั้นยังไม่เลวร้ายขนาดนั้น และมันเป็นไปได้อย่างแน่นอน ที่จะฟื้นคืนชีวิตแก่มันอย่างสมบูรณ์ หากเราจะถือว่านี่คือวาระแห่งชาติ และร่วมมือกันฟื้นฟูอย่างจริงจัง . แม่น้ำเจ้าพระยานั้น มีต้นกำเนิดจากป่าต้นน้ำทางภาคเหนือสี่แห่ง ซึ่งคือหัวใจที่ให้ชีวิตแก่แควทั้งสี่ คือ ปิง วัง ยม และ น่าน.. นี่นับเป็นความโชคดีของคนไทยเหลือคณานับ ที่ต้นแม่น้ำสายใหญ่นี้อยู่ในประเทศไทย ไม่ได้อยู่ในประเทศอื่น. นี่เป็นทรัพยากรเลอค่าที่สุด ที่จะพยุงชีวิตให้แก่ชาตินี้ แม้แต่คนโง่ที่สุดก็ควรจะเห็นความสำคัญในจุดนี้ได้. การฟื้นฟูแม่น้ำต้องเริ่มจากป่าต้นน้ำของมัน จะต้องไม่มีการทำลายอีก จะต้องฟื้นฟูป่าเหล่านี้ให้กลับมา จากนั้นฟื้นฟูแม่น้ำแควทั้งสี่ เชื่อมไปสู่แม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน จนจรดเจ้าพระยาตอนล่าง. . นี่แหละคือชีพจรชีวิตของสยามประเทศ นี่คือหนทางที่จะทำให้เราอยู่รอดได้ หากวันนึงหายนะน้ำเกิดขึ้นและนำไปสู่จุดที่กลายเป็นสงครามแย่งชิงน้ำ ดังนั้นฟื้นฟูมันเสียตั้งแต่บัดนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป! . หากคุณติดตามข่าว พระเจ้าอยู่หัววชิราลงกรณ์ฯ ท่านทรงไล่ฟื้นฟูคลองในกรุงเทพไล่เรียงไปทีละสาย หลายสายบัดนี้ได้กลับมาสะอาดดังเดิม หากแม่น้ำฟื้นคืนชีวิต คลองทั้งหลายเหล่านี้จะยิ่งหล่อเลี้ยงไปยังแขนงน้อยใหญ่ให้แก่เมือง . ลองดูภาพแผนที่ เมื่อเราพิจารณาดูแผนที่ที่เห็นอยู่นี้ซึ่งแสดงแม่น้ำสายใหญ่ๆ ในเอเชีย มันต่างกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่ต้นน้ำอยู่ในประเทศไทย ทั้งหมดนั้นล้วนมีต้นกำเนิดอยู่ในทิเบต แม่น้ำทั้งหมดนี้คือสายโลหิตที่เลี้ยงเอเชีย มันไม่ได้มีความสำคัญแค่เป็นจุดกำเนิดวัฒนธรรมอันเก่าแก่ลึกล้ำ มันเป็นหัวใจที่หล่อเลี้ยงความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน และมันยังเป็นปัจจัยสำคัญหลายอย่างโดยเฉพาะทางภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคงของภูมิภาค. . นี่คือเหตุผลสำคัญที่ว่า ทำไมจีนจึงต้องปกป้องให้ทิเบตสุดชีวิต นี่เป็นอาณาเขตที่อ่อนไหวและหวงแหนยิ่งของจีน. เพราะอะไร? . ดินแดนนี้เป็นดังเขตกันชนที่ต้องเฝ้าระวังการรุกล้ำครอบงำจากโลกฝั่งตะวันตก ที่อาจแทรกทะลุผ่านเอเชียกลางเข้ามาได้. ดินแดนเปราะบางบางส่วนที่เป็นประตูเข้ามาสู่ดินแดนแถบนี้ ถูกแทรกแซงครอบงำจากตะวันตกไปบ้างแล้ว เช่น อัฟกานิสถาน คาซัคสถาน ทาจิกิสถาน... มหาอำนาจตะวันตกนั้นมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเข้ามามีอิทธิพลเหนือทิเบตให้ได้ ด้วยกลยุทธมากมายหลายอย่าง แม้กระทั่งด้วยวิธีการใช้พรอพพาแกนดามากมาย เช่น ฟรีทิเบต เป็นต้น. แม้เราจะเคารพรักองค์ดาไลลามะและเห็นใจพุทธศาสนิกชน ประชากรชาวทิเบตเพียงใด แต่เราก็จำเป็นต้องไตร่ตรองในความเปราะบางของสถานะการณ์เช่นนี้อย่างระมัดระวัง. จีนนั้นมีเหตุผลเช่นไร ในการที่จะปกป้องพื้นที่นี้เอาไว้ให้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนอย่างสุดกำลังความสามารถ เราสามารถพิจารณาได้จากแผนที่ที่เห็น.. . หากมหาอำนาจตะวันตกใดก็ตามเข้ามายึดครองควบคุมทิเบต ไม่เพียงแค่จีนเท่านั้นที่จะเส่ียงต่อความมั่นคง.. แต่ ไทย ลาว กัมพูชา พม่า และบางส่วนของอินเดีย อาจตกอยู่ในสถานะการณ์ที่ยากลำบากได้. ใครครอบครองทิเบต ผู้นั้นกุมชะตาเอเชีย เท่าที่ผ่านมานับพันปี แม้มีความไม่น่ายินดีกับการจัดการทรัพยากรต้นน้ำของจีนนัก แต่จีนก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ชั่วร้ายที่จะฉกฉวยประโยชน์จากสายเลือดใหญ่เหล่านี้แต่เพียงฝ่ายเดียว พวกเรายังอยู่ร่วมกันมาได้นับพันปี แต่เราไม่อาจคาดการได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากมหาอำนาจอื่น เข้ามามีอำนาจในการควบคุมแม่น้ำสายใหญ่เหล่านี้. . แน่นอนว่า เวลาเปลี่ยน ปัจจัยเปลี่ยน.. ทั้งมนุษย์ ทั้งปัจจัยทางธรรมชาติ ทั้งสถานะการณ์โลกและนอกโลก.. เราไม่อาจรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราได้แต่ตัดสินใจจากพื้นฐานที่เป็นประสบการณ์ของเราจากประวัติศาสตร์และบทเรียนที่ผ่านมา . พระพุทธองค์ตรัสว่า สังขารนั้นไม่เที่ยง ย่อมเสื่อมไปตามเหตุและปัจจัย มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป จงมีสติปัญญาที่จะพิจารณาวิเคราะห์และแยกแยะสิ่งต่างๆ ให้ถี่ถ้วนและพร้อมที่จะตัดสินใจ แก้ไขมันอย่างทันท่วงที โดยเลือกทางเลือกที่ถูกต้องที่สุด . ด้วยความปรารถนาดีและห่วงใยทุกท่าน - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - . อัพเดทข้อมูลในปี 2566 -------------------------- - แม่น้ำโวลก้าในเวลานี้มีสภาพที่ดีขึ้นมากกว่าเดิม โลหะหนักเป็นพิษลดสู่ปริมาณที่ต่ำลงอย่างมีนัยยะ - พื้นที่ในเอเชียกลางที่เคยถูกแทรกแซงครอบงำจากอิทธิพลตะวันตก เช่นอัฟกานิสถานและปากีสถาน กำลังเป็นอิสระและฟื้นฟูโดยความช่วยเหลือของจีนและรัสเซีย เส้นทางลำเลียงยาเสพติดของซีไอเอในเอเชียกลางถูกกำจัด และเอเชียกลางทั้งหมดผนึกเป็นส่วนเดียวกับพันธมิตรรัสเซีย-จีน เดินหน้าไปสู่ความเจริญของโครงการ One Belt One Road นั่นหมายความว่าแหล่งน้ำในทิเบตในเวลานี้ ได้รอดพ้นจากความเสี่ยงในการเข้าแทรกแซงของมหาอำนาจตะวันตกแล้ว และมันจะกลายเป็นพื้นที่ที่จะได้รับการดูแลรักษาอย่างเอาใจใส่ - เอธิโอเปีย เข้าร่วมสมาขิก BRICS นั่นหมายความว่า ในที่สุดชาติที่น่าสงสารนี้จะได้ลืมตาอ้าปากเสียที และจีนกำลังเข้าช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับชาติอื่นๆ ในแอฟริกา หลังจากหลายปีแห่งความทุกข์ทรมานจากการถูกเอาเปรียบขูดรีดทรัพยากรโดยมหาทุนตะวันตก --------------------------
    0 Comments 0 Shares 753 Views 0 Reviews
  • ประวัติ ศาลเจ้าไต้เสี่ยฮุกโจ้ว วัดสามจีน-ไตรมิตร
    ศาลเจ้าไต้เสี่ยฮุกโจ้ว หรือ ศาลเจ้าพ่อเห้งเจีย วัดสามจีน มีองค์ไต้เสี่ยฮุกโจ้ว หรือเจ้าพ่อเห้งเจียปางสำเร็จอรหันต์ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย
    โดยก่อตั้งขึ้นในช่วงรัชสมัยรัชกาลที่ 2 ซึ่งแต่เดิมเจ้าพ่อเห้งเจียได้ถูกอัญเชิญมาจากประเทศจีนโดยเรือสำเภา ล่องมาตามแม่น้ำนครชัยศรีและขึ้นเทียบท่าที่วัดนางสาว จากนั้นมีผู้อัญเชิญประดิษฐาน ณ วัดสามจีน หรือ วัดไตรมิตรววิทยารามวรวิหาร ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่ตึกทรงเก๋งจีนบนถนนพระราม4 สัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ ดังเช่นในปัจจุบัน
    องค์เจ้าพ่อเห้งเจีย หรือปางไต้เสี่ยฮุกโจ้ว ที่ศาลเจ้าแห่งนี้
    ประทับนั่งขัดสมาธิบนดอกบัว แกะสลักขึ้นจากไม้มงคลโบราณพร้อมลงรักปิดทอง มีอายุยาวนานหลายร้อยปี
    และถือเป็นศูนย์รวมความศรัทธาของผู้คนเชื้อสายจีนทั้งในและต่างประเทศ ต่างพากันเดินทางมาขอพรทั้งในเรื่องการงาน การเงิน และการเรียน
    โดยผู้ศรัทธามักจะเรียกท่านว่า "อากง" เสมือนท่านคือญาติผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือ
    ประวัติ ศาลเจ้าไต้เสี่ยฮุกโจ้ว วัดสามจีน-ไตรมิตร ศาลเจ้าไต้เสี่ยฮุกโจ้ว หรือ ศาลเจ้าพ่อเห้งเจีย วัดสามจีน มีองค์ไต้เสี่ยฮุกโจ้ว หรือเจ้าพ่อเห้งเจียปางสำเร็จอรหันต์ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย โดยก่อตั้งขึ้นในช่วงรัชสมัยรัชกาลที่ 2 ซึ่งแต่เดิมเจ้าพ่อเห้งเจียได้ถูกอัญเชิญมาจากประเทศจีนโดยเรือสำเภา ล่องมาตามแม่น้ำนครชัยศรีและขึ้นเทียบท่าที่วัดนางสาว จากนั้นมีผู้อัญเชิญประดิษฐาน ณ วัดสามจีน หรือ วัดไตรมิตรววิทยารามวรวิหาร ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่ตึกทรงเก๋งจีนบนถนนพระราม4 สัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ ดังเช่นในปัจจุบัน องค์เจ้าพ่อเห้งเจีย หรือปางไต้เสี่ยฮุกโจ้ว ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ ประทับนั่งขัดสมาธิบนดอกบัว แกะสลักขึ้นจากไม้มงคลโบราณพร้อมลงรักปิดทอง มีอายุยาวนานหลายร้อยปี และถือเป็นศูนย์รวมความศรัทธาของผู้คนเชื้อสายจีนทั้งในและต่างประเทศ ต่างพากันเดินทางมาขอพรทั้งในเรื่องการงาน การเงิน และการเรียน โดยผู้ศรัทธามักจะเรียกท่านว่า "อากง" เสมือนท่านคือญาติผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือ
    0 Comments 0 Shares 153 Views 0 Reviews
  • นี่คือเสาหลักเมือง ตั้งอยู่ในตลาดรังสิต
    ในขณะที่เพลินเดินชมอาคารพาณิชย์ที่ดูคลาสสิค ไม่ใช่แค่อาคารนะฟอนต์ของร้านที่ตลาดแห่งนี้ก็มีความเก่าแก่ เหมือนถูกดึงร่างเข้าไปอยู่ในยุค 70

    เดินวนไปวนมาไปสะดุดตาเข้ากับศาลเจ้าแห่งนึง ที่มีเศษไม้สีทองตั้งตระหง่าน ในซุ้มลายไทย ที่ดูแตกต่างจากอาคารแวดล้อมเพราะเป็นศิลปะของจีน เลยเกิดอาการสงสัยว่าคืออะไร แล้วเหลือบมาเห็นป้ายที่อยู่ริมรั้วเขียนไว้ว่า"เสาหลักเมืองรังสิต" ไอ้เราก็เลยรีบหาข้อมูลโดยทันที

    เสาหลักเมืองแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 2521 โดยผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานีในยุคนั้น โดยสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวรังสิต ให้เกิดความรักความสามัคคี และนำความสงบสุขร่มเย็นมาสู่ชุมชน รวมถึงตลาดรังสิตด้วย นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อว่าศาลหลักเมืองรังสิตได้นำโชคลาภมาสู่พ่อค้าแม่ค้าในตลาดแห่งนี้มาอย่างยาวนานกว่า 50 ปี

    สบายใจคลายข้อสงสัย แล้วเดินไปหาอะไรใส่ท้องดีกว่า


    นี่คือเสาหลักเมือง ตั้งอยู่ในตลาดรังสิต ในขณะที่เพลินเดินชมอาคารพาณิชย์ที่ดูคลาสสิค ไม่ใช่แค่อาคารนะฟอนต์ของร้านที่ตลาดแห่งนี้ก็มีความเก่าแก่ เหมือนถูกดึงร่างเข้าไปอยู่ในยุค 70 เดินวนไปวนมาไปสะดุดตาเข้ากับศาลเจ้าแห่งนึง ที่มีเศษไม้สีทองตั้งตระหง่าน ในซุ้มลายไทย ที่ดูแตกต่างจากอาคารแวดล้อมเพราะเป็นศิลปะของจีน เลยเกิดอาการสงสัยว่าคืออะไร แล้วเหลือบมาเห็นป้ายที่อยู่ริมรั้วเขียนไว้ว่า"เสาหลักเมืองรังสิต" ไอ้เราก็เลยรีบหาข้อมูลโดยทันที เสาหลักเมืองแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 2521 โดยผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานีในยุคนั้น โดยสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวรังสิต ให้เกิดความรักความสามัคคี และนำความสงบสุขร่มเย็นมาสู่ชุมชน รวมถึงตลาดรังสิตด้วย นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อว่าศาลหลักเมืองรังสิตได้นำโชคลาภมาสู่พ่อค้าแม่ค้าในตลาดแห่งนี้มาอย่างยาวนานกว่า 50 ปี สบายใจคลายข้อสงสัย แล้วเดินไปหาอะไรใส่ท้องดีกว่า
    0 Comments 0 Shares 240 Views 0 Reviews
  • ตั้งแต่ปี 2004... ผมได้พบกุญแจไขสิ่งที่ผมอยากรู้จากคำเพียงคำเดียว "Cultural Transmission" มันนำพาผมไปพบกับงานของศาสตราจารย์ Luigi Luca Cavalli-Sforza และลูกศิษย์ของเขาที่ Standford ชื่อ Spencer Wells… มันได้เปิดโลกทัศน์ของผมในการมองสิ่งต่างๆ ผ่านการพิจารณาหลายๆ ศาสตร์ควบคู่กับความรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมมนุษย์และการอพยพย้ายถิ่น เมื่อเรารู้ว่าที่แท้แล้วเราเป็นใคร สิ่งต่างๆ ก็เชื่อมโยงกัน
    .
    ในปีเดียวกันนั้น Bill Clinton ประกาศที่ทำเนียบขาวถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ แผนที่ดีเอ็นเออันแรกของมนุษย์ถูกทำสำเร็จ ความลับของสายพันธุ์มนุษย์ถูกไข ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของศาสตราจารย์ลูกา ที่มุ่งมั่นเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอมาก่อนหน้านั้นกว่าสามสิบปีเพราะเชื่อมั่นว่ามันซ่อนความลับของมนุษย์ไว้ ทันทีที่แผนที่ดีเอ็นเอสำเร็จ เสปนเซอร์ซึ่งเป็นทายาทรับช่วงงานวิจัยต่อจาก ศจ.ลูกา ก็นำเสนออีกแผนที่หนึ่ง คือแผนที่การอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์ย้อนหลังกว่าแสนปีจากแอฟริกา และสาแหรกพันธุกรรมมนุษย์ย้อนถอยไปถึงบรรพบุรุษคนแรกที่เป็นรากลึกที่สุด
    .
    ในเวลานั้น ไม่มีใครหรือสาขาวิชาใดมองความรู้ของมนุษย์ผ่านวิสัยทัศน์นี้ มันเป็นเรื่องใหม่ แต่ความฉงนสนเท่ห์ของผมที่มีกับตัวอย่างดนตรีของไท-ไทยและชาติพันธ์อื่นๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะในจีนตอนใต้และประเทศไทย ทำให้ผมเอามานั่งคิด ผลจากการคิดวิเคราะห์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นดนตรีชนิดเดียวหรือพูดให้ชัดกว่านั้น มันน่าจะเป็นวัฒนธรรมที่มีรากเหง้าร่วมกัน อาจจัดเป็นสกุลเดียวกันคล้ายๆ กับภาษา และถ้าสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเชื่อกันมาเนิ่นนานจนบัดนี้ว่า ดนตรีเกิดมาจากภาษา ว่ามันเริ่มมาจากจุดนั้น มันก็จะต้องมีส่วนสัมพันธ์กับการส่งต่อทางวัฒนธรรม ซึ่งผมแบ่งได้ง่ายๆ ออกเป็นสามลักษณะหลักๆ
    .
    หนึ่งคือ สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น เป็นเหมือนมรดกทางวัฒนธรรม จารีต ประเพณี / สองคือ รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากดินแดนอื่น-ชนชาติอื่นที่รุ่งเรืองกว่าหรือต่างดินแดนที่คบค้าไปมาหาสู่กันยาวนาน จึงรับเอาธรรมเนียมเขามานิยม / สามคือ เกิดจากการถูกพิชิตให้อยู่ในอาณัตหรือถูกบังคับให้รับวัฒนธรรมผู้อื่นมาเป็นของตน อาจจะยังดำเนินขนบทางวัฒนธรรมเดิมอยู่ได้ขณะที่ต้องยอมรับวัฒนธรรมอื่นเป็นหลัก หรืออาจถูกบังคับให้เลิกวัฒนธรรมของตนแล้วรับเอาวัฒนธรรมของชาติที่พิชิตเป็นของตนแทน
    .
    ในกรณีแรก วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจะมีอัตลักษณ์ที่จำแนกได้ชัดเจนเหมือนภาษาที่จัดเป็นสกุลหรือ phyla ได้ | กรณีที่สอง ย่อมมีการแทรกของวัฒนธรรมสกุลอื่นเข้ามาผสมผสาน แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงกันเป็นไปอย่างละมุนละม่อมจึงไม่มีอะไรถูกทำลาย จะนำไปสู่ความหลากหลายมากขึ้นได้หลายปัจจัย แต่จะยังคงแยกแยะลักษณะของอัตลักษณ์แต่ละสกุลได้ | กรณีที่สาม ไม่ต่างอะไรกับขุดรากถอนโคน วัฒนธรรมสกุลเดิมถูกทำลายไป อาจมีบางคนที่ต่อต้านและต้องการรักษาขนบเก่าไว้อย่างหลบซ่อน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามหรือตาบู แต่ก็อาจมีโอกาสที่วันหนึ่งจะถูกฟื้นฟูขึ้น
    .
    ตั้งแต่ปี 2004 ผมหมกมุ่นเรื่องนี้นานนับสิบปี อ่านหนังสือมากมาย ไปเก็บตัวอย่างจากภาคสนาม เสาะหาข้อมูลเสียงจากทุกที่ที่ได้เบาะแส ผมนึกอยู่เวียนวนจนได้สมมุติฐานอันนึงขึ้นมา "เป็นไปได้ไหมว่า ถ้าเรามีสายเลือดที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกอย่างที่ ศจ.ลูกา และ เสปนเซอร์ นำเสนอ เราก็น่าจะมีวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันโดยที่สอดคล้องกับสาแหรกพันธุกรรมด้วย และเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็น่าจะแยกแยะดนตรีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์ออกเป็นวงศ์ตระกูลได้ในลักษณะเดียวกัน ในเวลาต่อมา ผมพบบทความหนึ่งที่เขียนโดย ศจ. Victor Grauer หัวข้อเรื่อง Music Family ผมจำชื่อเขาได้ทันที เพราะผมเรียนหนังสือเล่มหนึ่งของ Alan Lomax นักมานุษยวิทยาดนตรีที่เป็นตำนานของโลก มันเกี่ยวกับระบบวิเคราะห์ดนตรีพื้นเมืองที่เขาคิดค้นขึ้นเรียกว่า Cantomatrics และอาจารย์วิคเตอร์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอลันมีส่วนในการคิดค้นนี้
    .
    ผมเขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์วิคเตอร์ตามอีเมล์ที่ปรากฏบนบทความของแก บอกว่าผมอ่าน Music Family แล้วคิดว่าน่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกับที่ผมคิด แล้วเล่า Hypothesis ของผมให้แกฟัง บอกว่าผมจะเทรซจากดีเอ็นเอและการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์เป็นวิธีวิจัย แกตอบมาว่าเห็นด้วย นี่เป็นเรื่องใหม่และตื่นเต้นมาก อยากให้ผมแชร์ข้อมูลกับแก จากจุดนี้ไปคือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของผมกับโครงการ Genomusicology ตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้ ยี่สิบปีแล้ว
    .
    ผมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความสนใจของผมในเรื่องนี้มาเรื่อย และบางครั้งมันไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีแต่เป็นเรื่องอื่น ผมรู้แต่ตอนนั้นว่าความรู้อะไรก็ตามหากมันขัดกับวิทยาศาสตร์นี้ ไม่ว่าจะสาขาวิชาอะไร มันมีแนวโน้มจะผิดพลาด ตัวอย่างเช่นประวัติศาสตร์ ยิ่งถ้าคุณเปิดหน้าต่างหลายๆ ศาสตร์พร้อมกันโดยไม่ยึดติดกับทัศนะของสำนักคิดเดิม คุณจะพบกับหนทางที่กว้างไกลกว่า ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณหาคำตอบทางประวัติศาสตร์ คุณลองทาบมันกับชีววิทยาพันธุกรรม ขณะเดียวกันก็ทาบมันกับโบราณคดี ภาษาศาสตร์ ธรณีวิทยา นิรุกติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัมปราคติ ศาสนาเทววิทยา...ฯลฯ มันจะนำคุณไปสู่คำตอบที่หนักแน่นกว่าที่คุณจะจมอยู่กับข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว
    .
    หลายปีที่ผ่านมา เริ่มมีหลายสาขาวิชาที่หันมาใช้แผนที่แผ่นเดียวกับผม ที่ผมเห็นคือนักภาษาศาสตร์ในต่างประเทศมาก่อนเป็นพวกแรก ในไทยที่เริ่มก่อนคือนักโบราณคดีอย่างเช่น อาจารย์รัศมี ชูทรงเดช ท่านล้ำมาก ศึกษาซากบรรพชีวินแล้วเริ่มใช้ข้อมูลดีเอ็นเอมาก่อนที่จะมีนักชีววิทยารุ่นใหม่ที่สนใจด้านนี้เริ่มเอามาใช้ผนวกกับสาขามานุษยวิทยา ช่วงสี่ห้าปีหลังเริ่มมีงานวิจัยเกี่ยวกับดีเอ็นเอของคนไทยออกมาให้เห็นจากนักวิชาการไทยหลายคน
    .
    ถ้าจำเรื่องเก่าๆ ที่ผมเคยเขียนได้บ้างจะเห็นว่าผมพูดอยู่หลายครั้ง "ความแบ่งแยกเป็นความคิดของปีศาจ" และมันเป็นต้นตอความขัดแย้งที่ลุกลามกลายเป็นสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ได้ ผมชี้ให้เห็นเสมอๆ ว่าคนเอเชียนั้นเป็นพี่น้องครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นลูกหลานของทายาทแห่งอาดัม (ในทางวิทยาศาสตร์) สองคนคือ Hg O และ Hg C และทายาทแห่งอีฟ (ในทางวิทยาศาสตร์) สี่คนคือ Hg B-M-F-D ดังนั้นพวกเขาไม่ว่าจะเรียกชื่อสมมุติตัวเองว่าอะไร ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาคือพี่น้องกันทั้งสิ้น เก่าใหม่ อ่อนแก่ ตามกาลเวลา
    .
    ด้วยเหตุนี้ ในปี 2008 ผมเขียนบทความหนึ่ง เรื่อง "ชื่อและชนเผ่า" และผมพยายามอธิบายความสมมุติที่ว่านี้ด้วยความพยายามยิ่งที่จะบอกความเป็นมาเป็นไปและความเกี่ยวโยงของแต่ละชาติพันธ์ ผมแบ่งกลุ่มพวกเขาออกเป็นสองกลุ่มง่ายๆ คือพวกเท้าเปียกและพวกเท้าแห้ง พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันและทั้งหมดอยู่บนดินแดนเอเชียนี้มาตั้งแต่สามหมื่นกว่าปีที่แล้ว แต่พวกเท้าเปียกคือพวกที่อยู่บนซุนดาตอนล่าง ต้องผจญชะตากรรมน้ำท่วมโลกซึ่งหนักกว่าโนอาห์แน่นอน เพราะธรณีวิทยาบอกว่ามีที่เดียวบนโลกในประวัติศาสตร์มนุษย์แสนกว่าปี ที่คุณจะเรียกว่าน้ำท่วมโลกได้จริงๆ คือดินแดนซุนดาแห่งนี้ ไม่ใช่ในดินแดนเสี้ยวจันทร์หรือแถวเทือกเขาอารารัต มันท่วมที่นี่สามครั้งหลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุด ทั้งสามครั้งรวมแล้วประมาณร้อยยี่สิบเมตร!.. ส่วนพวกเท้าแห้งก็คือพวกที่อยู่เหนือขึ้นไปในเมนแลนด์เอเชีย ซึ่งก็ได้เป็นสักขีพยานภัยพิบัตินี้เช่นกัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับผลจากภัยพิบัติ
    .
    ดังนั้น สำหรับผม ไม่ว่าจะเอ่ยชื่อไหนมันก็คือสิ่งสมมุติ บรรดาพี่น้องในสาแหรกเท้าเปียกในอุษาคเนย์นับจากโบราณจนกระทั่งบัดนี้ อย่างที่บอก พวกเขาล้วนมาจากอัสเลียน แม้ต่อมาพวกเขาทั้งหลายจะกลายเป็นมอญ เป็นข่า เป็นละว้า เป็นขอมทวารวดี เป็นขอมละโว้ เป็นพนม เป็นสยาม เป็นศรีโพธิ์ เป็นมลายู เป็นนุสันทารา เป็นลาว เป็นจามปา เป็นเจนละ เป็นเขมร เป็นญวน... แต่หากคุณแล่เนื้อเถือหนังออกมา โครงสร้างทางโปรตีนของพวกเขาก็มีดีเอ็นเอที่มาจากบรรพบุรุษจากสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น..
    .
    การที่คุณแครี่วายโครโมโซมแฮพโพลกรุ๊พโอ หมายถึงคุณคลานตามกันมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน การย่อยออกเป็น sub group ต่างๆ เช่น O1 O1a O1b O1c O2 O2a O2b O2c... คือซับมิวเทชั่นในสกุลเดียวกัน แม้แตกแขนงออกไปแต่คุณยังคงมีสายเลือดที่โยงใยกันอยู่ จีนที่ซึ่งในการวิจัยช่วงแรกถูกจัดเป็น O3 (ปัจจุบันปรับเป็น O2) ยอมรับกันว่าเป็นชนชาติที่มีระบบบันทึกประวัติศาสตร์ดีที่สุดและเก่ากว่าทุกชนชาติในเอเชีย ถอยหลังไปถึงสี่พันกว่าปี แต่พันธุกรรมบอกว่าพวกเขาเป็นน้องเล็กที่สุด มียีนอายุน้อยที่สุดในสาแหรกวงศ์ตระกูล (เรียงจากหลักน้อยไปหามาก O > O1 > O2 หลักน้อยคือเก่ากว่า) ข้อนี้ยิ่งยืนยันว่าสาแหรก Y DNA Hg O มีรากเหง้าที่เก่าแก่ยาวไกลเพียงใด ในโลกนี้พวกเขาเก่ารองจากพวกออสตราอะบอริจิ้น และพวกซาฮารันโบราณ มียีนเป็นพี่ของชาวยุโรปเกือบทั้งหมด ยกเว้นพวกบาสก์ในอุสกาดี สเปน และพวกซามิแถวแลปแลนด์ ฟินด์แลนด์
    .
    Cultural Transmission ที่ส่งผ่านกันไปมานานนับหมื่นปี ทำให้ลักษณะที่ร่วมกันแต่โบราณจากวัฒนธรรมที่พื้นฐานที่สุดไปสู่วัฒนธรรมที่ซับซ้อนที่สุด ยังคงทิ้งเบาะแสความเกี่ยวโยงของพวกเขาเอาไว้ในทุกมิติทุกบริบท มันไม่ได้หายไปไหนและเรามองเห็นมันได้ แบบเดียวกับที่ผมเห็นผ่านดนตรี ตัวอย่างเช่น เราเป็นมนุษย์ที่ยุคบรรพกาลนับถือแม่เป็นใหญ่ เราจึงมีเทวี เจ้าแม่ พระแม่เต็มไปหมด ในดนตรีพื้นเมืองของเราผู้หญิงร้องเสียงสูงและดังทะลุทะลวง เพราะนางมีสถานะที่ได้รับการเคารพไม่ใช่ถูกกดไว้ นอกจากนั้นพวกนางยังมีการประสานเสียง มีพลังแข็งแรงและมั่นใจขณะขับร้อง นางสามารถยืนหยัดเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญได้ภายในสังคม แม้ทุกวันนี้ ผู้หญิงก็ยังคงเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกบาททุกสตางค์ที่ผมหาได้ก็ต้องส่งมอบให้ภรรยาด้วยความเคารพ
    .
    เวลาที่มองภาพต่อทางประวัติศาสตร์ มุมมองของผมจึงเปลี่ยนไป ผมหยิบความรู้อื่นๆ เท่าที่อ้างอิงเชื่อถือได้มาประกบเข้าด้วยกันเสมอ... ทำไมกษัตริย์เขมรโบราณจะขึ้นครองราชย์ต้องแต่งกับนาค? สำหรับผม นี่คือปรัมปราคติที่สะท้อนการเมืองโบราณ เศรษฐีจากต่างถิ่น (ตัวขาวใส่เสื้อผ้าสวยงาม) จะมาปกครองคนท้องถิ่นที่เป็นคนพื้นเมือง (แก้ผ้า อยู่กับป่าฝนและมรสุม) ก็ต้องดองกับคนท้องถิ่น หลักฐานเจเนติคก็พบว่าพ้องกันว่า ผู้ชายบรรพบุรุษของพวกเรา (Y DNA Hg O) ซึ่งอพยพมาด้วยเส้นทางสายเอเชียกลาง อากาศดี อาหารสมบูรณ์ตลอดทาง พวกเขาคงหล่อเร้าใจไม่น้อยเมื่อเดินทางมาถึงซุนดา พวกผู้หญิงอะบอริจิ้น (mt DNA Hg B / M) พากันเลือกบรรพบุรุษของเราเป็นพ่อพันธ์ อุปมาดังหงส์ทองครองคู่กับนาคยังไงยังงั้น ทำให้ผู้ชายอะบอริจิ้นต้องถอยห่างออกไปจากแผ่นดินใหญ่ การได้แม่สายงูมาเป็นแม่พันธ์อีกสองแม่ ทำให้ลูกหลานพวก Hg O ออกลูกมาเต็มดินแดน มันคือการผสมกันของนกกับงู แต่พวก Hg C ที่ผู้หญิงไม่เลือกลูกหลานก็เลยน้อยกว่า แรงงานที่จะพัฒนาชุมชนและเป็นกำลังรบจึงน้อย ถ้าผู้หญิงของเขาไม่เลือกพวก Hg O และมีจำนวนประชากรพอๆ กัน พวกอัสเลียนกับอะบอริจิ้นคงรบกันแหลกราญตายไปข้างหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว...
    .
    พระนางจามเทวีแห่งละโว้ หรือจะเรียกละโว้ ละว้า ว้า ลั๊วะ ก็คือกัน เป็นข่า เป็นอัสเลียนที่ยังมีความเป็นชนพื้นเมือง เมื่อเทียบชายหนุ่มในเผ่าของนางกับหนุ่มเท้าแห้งพี่น้องสาแหรกเดียวกันแต่ขาวผ่องกว่าเพราะอาศัยอยู่ดินแดนทางเหนือขึ้นไป อากาศแสนดี แต่งตัวหล่อ เหตุฉะนี้ พระนางทำเหมือนบรรพบุรุษอะบอริจิ้นข้างแม่ ไม่เลือกพวกเดียวกันเอง แต่ไปเลือกหนุ่มทางเหนือแถวหริภุญชัยสายไป่เยว่ ทำเอานักรบหนุ่มละว้าถึงกับไม่พอใจทำไมไม่เลือกฉันไปเลือกไอ้ละอ่อนสำอางทางเหนือ เลยท้าพระนางจามพุ่งหอกแข่งกัน ถ้าแพ้ต้องแต่งกับเขา และพระนางจามเทวีชนะนักรบนะ! แปลว่าพระนางจามของเรานี้ก็ยังคงมีทักษะแบบที่ชนเผ่าในสมัยบรรพกาลมี คือโตมานี่ยังรบและล่าสัตว์อยู่ แม่หญิงธรรมดาที่ไหนจะพุ่งหอกชนะ พระนางคงเห็นว่าการแต่งกับหนุ่มทางเหนือเป็นการปรับปรุงสายพันธุ์และทำให้การเมืองมีหนทางที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าที่เคยเป็น เพราะการดองลักษณะนี้ พวกเท้าเปียกและเท้าแห้งก็จะมี Cultural Transmission ที่ถ่ายเทต่อกันอย่างละมุนละม่อม ต่างกับพวกยุโรปที่ไปปล้นพวกเมาริ ยึดแผ่นดินพวกเขา แล้วบังคับให้ดีดอะคูเลเล่และเข้าโบสถ์ไปร้องประสานเสียง
    .
    หันมองเครือญาติข้างบ้าน ยุคสมัยแห่งเขมรพระนครนั้นล่มสลายไปนานแล้ว กัมพูชาอยู่ในปกครองของอยุธยายาวนานมาจนรัตนโกสินทร์ ตอนที่พวกอาณานิคมฝรั่งเศสบุกมายึดครอง แล้วฝรั่งพวกนี้ไปเจอนครวัดอยู่ในป่าดงดิบ คนเขมรส่วนใหญ่ในตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปราสาทโบราณอยู่ตรงนั้น มันถูกต้นไม้กลืนจนหายไป รากและกิ่งใบเลื้อยพันฝังรากลงไปในตัวปราสาทจนมองไม่เห็น หลังเป็นอิสระจากอาณานิคมฝรั่งเศสพวกกษัตริย์เขมรนั้นมาโตมาเรียนอยู่ที่สยามทั้งนั้น ประวัติศาสตร์บอกชัดไม่ต้องบรรยายอีก Cultural Transmission ถูกส่งผ่านอย่างละมุนละม่อม ไม่ใช่เพราะถูกพิชิตถูกบังคับให้ทำตาม แต่เพราะรากเหง้าเดิมของเขมรเสื่อมสลายไปหมดนานแล้ว และเจ้านายเขมรนิยมชมชอบในขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแบบไทยจึงรับและเรียนไป จนกระทั่งมันวินาศย่อยยับไปอีกครั้งในยุคเขมรแดง เพราะศิลปิน ปราชญ์ราชบัณฑิต ครู กวี ปัญญาชน...ถูกเขมรแดงฆ่าจนสิ้น
    .
    ผมก็รำคาญนะ พวกเขมรเคลมโบเดียน่ะ แต่ก็คิดว่ามันน่าสงสาร ยังไงก็พี่น้องสาแหรกเดียวกัน แล้วคนฉลาดๆ ของเขาก็ตายไปหมดแล้วตอนยุคเขมรแดงทุ่งสังหาร ที่พอจะรอดมาได้ก็หนีไปอเมริกา-ยุโรปไม่กลับมาอีก อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกอยู่ในโลกก็บอกเรื่องราวของสยามและเขมรชัดแจ้งอยู่ มันจะเคลมยังไงก็ไม่มีใครเขาเชื่อ แล้วก็ไม่มีพิษสงอะไรหรอก นอกจากสร้างความรำคาญ ส่งพวกทหารพรานไปเป่าข้าวหลามสักสิบบ้องก็คงหยุดแล้ว
    .
    แต่ไอ้ที่เลวแท้ก็คือไอ้พวกตัวเป็นไทยใจเป็นเขมรนี่แหละ ไอ้ที่ส่งลูกไปปี้กับเขมรก็พอเข้าใจที่มันเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกัน แต่ไอ้พวกที่ไม่ได้ดองอะไรแต่เสือกไปรับใช้เขมร อันนี้เรียกขายชาติ ในดีเอ็นเอมีพันธุกรรมสุนัขแทรกอยู่เลยเลือกกินอาจม ไม่กินผัดไทย
    .
    เรื่องที่ผมเขียนให้อ่านนี่มันยาก ผมเข้าใจนะ แต่หากคนเราในทุกวันนี้เข้าใจในข้อนี้ตรงกัน บางทีความขัดแย้งในโลกอาจลดลงจนหมดไปได้ และเราอาจก้าวไปสู่สังคมอุดมคติแบบที่เราไฝ่ฝันถึง "We're All Connected"
    .
    - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (2568) -
    .
    https://youtu.be/RdW1HNA5uSc?si=3E1WAUxHdLhSdVsw
    ตั้งแต่ปี 2004... ผมได้พบกุญแจไขสิ่งที่ผมอยากรู้จากคำเพียงคำเดียว "Cultural Transmission" มันนำพาผมไปพบกับงานของศาสตราจารย์ Luigi Luca Cavalli-Sforza และลูกศิษย์ของเขาที่ Standford ชื่อ Spencer Wells… มันได้เปิดโลกทัศน์ของผมในการมองสิ่งต่างๆ ผ่านการพิจารณาหลายๆ ศาสตร์ควบคู่กับความรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมมนุษย์และการอพยพย้ายถิ่น เมื่อเรารู้ว่าที่แท้แล้วเราเป็นใคร สิ่งต่างๆ ก็เชื่อมโยงกัน . ในปีเดียวกันนั้น Bill Clinton ประกาศที่ทำเนียบขาวถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ แผนที่ดีเอ็นเออันแรกของมนุษย์ถูกทำสำเร็จ ความลับของสายพันธุ์มนุษย์ถูกไข ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของศาสตราจารย์ลูกา ที่มุ่งมั่นเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอมาก่อนหน้านั้นกว่าสามสิบปีเพราะเชื่อมั่นว่ามันซ่อนความลับของมนุษย์ไว้ ทันทีที่แผนที่ดีเอ็นเอสำเร็จ เสปนเซอร์ซึ่งเป็นทายาทรับช่วงงานวิจัยต่อจาก ศจ.ลูกา ก็นำเสนออีกแผนที่หนึ่ง คือแผนที่การอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์ย้อนหลังกว่าแสนปีจากแอฟริกา และสาแหรกพันธุกรรมมนุษย์ย้อนถอยไปถึงบรรพบุรุษคนแรกที่เป็นรากลึกที่สุด . ในเวลานั้น ไม่มีใครหรือสาขาวิชาใดมองความรู้ของมนุษย์ผ่านวิสัยทัศน์นี้ มันเป็นเรื่องใหม่ แต่ความฉงนสนเท่ห์ของผมที่มีกับตัวอย่างดนตรีของไท-ไทยและชาติพันธ์อื่นๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะในจีนตอนใต้และประเทศไทย ทำให้ผมเอามานั่งคิด ผลจากการคิดวิเคราะห์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นดนตรีชนิดเดียวหรือพูดให้ชัดกว่านั้น มันน่าจะเป็นวัฒนธรรมที่มีรากเหง้าร่วมกัน อาจจัดเป็นสกุลเดียวกันคล้ายๆ กับภาษา และถ้าสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเชื่อกันมาเนิ่นนานจนบัดนี้ว่า ดนตรีเกิดมาจากภาษา ว่ามันเริ่มมาจากจุดนั้น มันก็จะต้องมีส่วนสัมพันธ์กับการส่งต่อทางวัฒนธรรม ซึ่งผมแบ่งได้ง่ายๆ ออกเป็นสามลักษณะหลักๆ . หนึ่งคือ สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น เป็นเหมือนมรดกทางวัฒนธรรม จารีต ประเพณี / สองคือ รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากดินแดนอื่น-ชนชาติอื่นที่รุ่งเรืองกว่าหรือต่างดินแดนที่คบค้าไปมาหาสู่กันยาวนาน จึงรับเอาธรรมเนียมเขามานิยม / สามคือ เกิดจากการถูกพิชิตให้อยู่ในอาณัตหรือถูกบังคับให้รับวัฒนธรรมผู้อื่นมาเป็นของตน อาจจะยังดำเนินขนบทางวัฒนธรรมเดิมอยู่ได้ขณะที่ต้องยอมรับวัฒนธรรมอื่นเป็นหลัก หรืออาจถูกบังคับให้เลิกวัฒนธรรมของตนแล้วรับเอาวัฒนธรรมของชาติที่พิชิตเป็นของตนแทน . ในกรณีแรก วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจะมีอัตลักษณ์ที่จำแนกได้ชัดเจนเหมือนภาษาที่จัดเป็นสกุลหรือ phyla ได้ | กรณีที่สอง ย่อมมีการแทรกของวัฒนธรรมสกุลอื่นเข้ามาผสมผสาน แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงกันเป็นไปอย่างละมุนละม่อมจึงไม่มีอะไรถูกทำลาย จะนำไปสู่ความหลากหลายมากขึ้นได้หลายปัจจัย แต่จะยังคงแยกแยะลักษณะของอัตลักษณ์แต่ละสกุลได้ | กรณีที่สาม ไม่ต่างอะไรกับขุดรากถอนโคน วัฒนธรรมสกุลเดิมถูกทำลายไป อาจมีบางคนที่ต่อต้านและต้องการรักษาขนบเก่าไว้อย่างหลบซ่อน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามหรือตาบู แต่ก็อาจมีโอกาสที่วันหนึ่งจะถูกฟื้นฟูขึ้น . ตั้งแต่ปี 2004 ผมหมกมุ่นเรื่องนี้นานนับสิบปี อ่านหนังสือมากมาย ไปเก็บตัวอย่างจากภาคสนาม เสาะหาข้อมูลเสียงจากทุกที่ที่ได้เบาะแส ผมนึกอยู่เวียนวนจนได้สมมุติฐานอันนึงขึ้นมา "เป็นไปได้ไหมว่า ถ้าเรามีสายเลือดที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกอย่างที่ ศจ.ลูกา และ เสปนเซอร์ นำเสนอ เราก็น่าจะมีวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันโดยที่สอดคล้องกับสาแหรกพันธุกรรมด้วย และเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็น่าจะแยกแยะดนตรีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์ออกเป็นวงศ์ตระกูลได้ในลักษณะเดียวกัน ในเวลาต่อมา ผมพบบทความหนึ่งที่เขียนโดย ศจ. Victor Grauer หัวข้อเรื่อง Music Family ผมจำชื่อเขาได้ทันที เพราะผมเรียนหนังสือเล่มหนึ่งของ Alan Lomax นักมานุษยวิทยาดนตรีที่เป็นตำนานของโลก มันเกี่ยวกับระบบวิเคราะห์ดนตรีพื้นเมืองที่เขาคิดค้นขึ้นเรียกว่า Cantomatrics และอาจารย์วิคเตอร์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอลันมีส่วนในการคิดค้นนี้ . ผมเขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์วิคเตอร์ตามอีเมล์ที่ปรากฏบนบทความของแก บอกว่าผมอ่าน Music Family แล้วคิดว่าน่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกับที่ผมคิด แล้วเล่า Hypothesis ของผมให้แกฟัง บอกว่าผมจะเทรซจากดีเอ็นเอและการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์เป็นวิธีวิจัย แกตอบมาว่าเห็นด้วย นี่เป็นเรื่องใหม่และตื่นเต้นมาก อยากให้ผมแชร์ข้อมูลกับแก จากจุดนี้ไปคือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของผมกับโครงการ Genomusicology ตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้ ยี่สิบปีแล้ว . ผมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความสนใจของผมในเรื่องนี้มาเรื่อย และบางครั้งมันไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีแต่เป็นเรื่องอื่น ผมรู้แต่ตอนนั้นว่าความรู้อะไรก็ตามหากมันขัดกับวิทยาศาสตร์นี้ ไม่ว่าจะสาขาวิชาอะไร มันมีแนวโน้มจะผิดพลาด ตัวอย่างเช่นประวัติศาสตร์ ยิ่งถ้าคุณเปิดหน้าต่างหลายๆ ศาสตร์พร้อมกันโดยไม่ยึดติดกับทัศนะของสำนักคิดเดิม คุณจะพบกับหนทางที่กว้างไกลกว่า ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณหาคำตอบทางประวัติศาสตร์ คุณลองทาบมันกับชีววิทยาพันธุกรรม ขณะเดียวกันก็ทาบมันกับโบราณคดี ภาษาศาสตร์ ธรณีวิทยา นิรุกติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัมปราคติ ศาสนาเทววิทยา...ฯลฯ มันจะนำคุณไปสู่คำตอบที่หนักแน่นกว่าที่คุณจะจมอยู่กับข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว . หลายปีที่ผ่านมา เริ่มมีหลายสาขาวิชาที่หันมาใช้แผนที่แผ่นเดียวกับผม ที่ผมเห็นคือนักภาษาศาสตร์ในต่างประเทศมาก่อนเป็นพวกแรก ในไทยที่เริ่มก่อนคือนักโบราณคดีอย่างเช่น อาจารย์รัศมี ชูทรงเดช ท่านล้ำมาก ศึกษาซากบรรพชีวินแล้วเริ่มใช้ข้อมูลดีเอ็นเอมาก่อนที่จะมีนักชีววิทยารุ่นใหม่ที่สนใจด้านนี้เริ่มเอามาใช้ผนวกกับสาขามานุษยวิทยา ช่วงสี่ห้าปีหลังเริ่มมีงานวิจัยเกี่ยวกับดีเอ็นเอของคนไทยออกมาให้เห็นจากนักวิชาการไทยหลายคน . ถ้าจำเรื่องเก่าๆ ที่ผมเคยเขียนได้บ้างจะเห็นว่าผมพูดอยู่หลายครั้ง "ความแบ่งแยกเป็นความคิดของปีศาจ" และมันเป็นต้นตอความขัดแย้งที่ลุกลามกลายเป็นสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ได้ ผมชี้ให้เห็นเสมอๆ ว่าคนเอเชียนั้นเป็นพี่น้องครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นลูกหลานของทายาทแห่งอาดัม (ในทางวิทยาศาสตร์) สองคนคือ Hg O และ Hg C และทายาทแห่งอีฟ (ในทางวิทยาศาสตร์) สี่คนคือ Hg B-M-F-D ดังนั้นพวกเขาไม่ว่าจะเรียกชื่อสมมุติตัวเองว่าอะไร ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาคือพี่น้องกันทั้งสิ้น เก่าใหม่ อ่อนแก่ ตามกาลเวลา . ด้วยเหตุนี้ ในปี 2008 ผมเขียนบทความหนึ่ง เรื่อง "ชื่อและชนเผ่า" และผมพยายามอธิบายความสมมุติที่ว่านี้ด้วยความพยายามยิ่งที่จะบอกความเป็นมาเป็นไปและความเกี่ยวโยงของแต่ละชาติพันธ์ ผมแบ่งกลุ่มพวกเขาออกเป็นสองกลุ่มง่ายๆ คือพวกเท้าเปียกและพวกเท้าแห้ง พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันและทั้งหมดอยู่บนดินแดนเอเชียนี้มาตั้งแต่สามหมื่นกว่าปีที่แล้ว แต่พวกเท้าเปียกคือพวกที่อยู่บนซุนดาตอนล่าง ต้องผจญชะตากรรมน้ำท่วมโลกซึ่งหนักกว่าโนอาห์แน่นอน เพราะธรณีวิทยาบอกว่ามีที่เดียวบนโลกในประวัติศาสตร์มนุษย์แสนกว่าปี ที่คุณจะเรียกว่าน้ำท่วมโลกได้จริงๆ คือดินแดนซุนดาแห่งนี้ ไม่ใช่ในดินแดนเสี้ยวจันทร์หรือแถวเทือกเขาอารารัต มันท่วมที่นี่สามครั้งหลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุด ทั้งสามครั้งรวมแล้วประมาณร้อยยี่สิบเมตร!.. ส่วนพวกเท้าแห้งก็คือพวกที่อยู่เหนือขึ้นไปในเมนแลนด์เอเชีย ซึ่งก็ได้เป็นสักขีพยานภัยพิบัตินี้เช่นกัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับผลจากภัยพิบัติ . ดังนั้น สำหรับผม ไม่ว่าจะเอ่ยชื่อไหนมันก็คือสิ่งสมมุติ บรรดาพี่น้องในสาแหรกเท้าเปียกในอุษาคเนย์นับจากโบราณจนกระทั่งบัดนี้ อย่างที่บอก พวกเขาล้วนมาจากอัสเลียน แม้ต่อมาพวกเขาทั้งหลายจะกลายเป็นมอญ เป็นข่า เป็นละว้า เป็นขอมทวารวดี เป็นขอมละโว้ เป็นพนม เป็นสยาม เป็นศรีโพธิ์ เป็นมลายู เป็นนุสันทารา เป็นลาว เป็นจามปา เป็นเจนละ เป็นเขมร เป็นญวน... แต่หากคุณแล่เนื้อเถือหนังออกมา โครงสร้างทางโปรตีนของพวกเขาก็มีดีเอ็นเอที่มาจากบรรพบุรุษจากสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น.. . การที่คุณแครี่วายโครโมโซมแฮพโพลกรุ๊พโอ หมายถึงคุณคลานตามกันมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน การย่อยออกเป็น sub group ต่างๆ เช่น O1 O1a O1b O1c O2 O2a O2b O2c... คือซับมิวเทชั่นในสกุลเดียวกัน แม้แตกแขนงออกไปแต่คุณยังคงมีสายเลือดที่โยงใยกันอยู่ จีนที่ซึ่งในการวิจัยช่วงแรกถูกจัดเป็น O3 (ปัจจุบันปรับเป็น O2) ยอมรับกันว่าเป็นชนชาติที่มีระบบบันทึกประวัติศาสตร์ดีที่สุดและเก่ากว่าทุกชนชาติในเอเชีย ถอยหลังไปถึงสี่พันกว่าปี แต่พันธุกรรมบอกว่าพวกเขาเป็นน้องเล็กที่สุด มียีนอายุน้อยที่สุดในสาแหรกวงศ์ตระกูล (เรียงจากหลักน้อยไปหามาก O > O1 > O2 หลักน้อยคือเก่ากว่า) ข้อนี้ยิ่งยืนยันว่าสาแหรก Y DNA Hg O มีรากเหง้าที่เก่าแก่ยาวไกลเพียงใด ในโลกนี้พวกเขาเก่ารองจากพวกออสตราอะบอริจิ้น และพวกซาฮารันโบราณ มียีนเป็นพี่ของชาวยุโรปเกือบทั้งหมด ยกเว้นพวกบาสก์ในอุสกาดี สเปน และพวกซามิแถวแลปแลนด์ ฟินด์แลนด์ . Cultural Transmission ที่ส่งผ่านกันไปมานานนับหมื่นปี ทำให้ลักษณะที่ร่วมกันแต่โบราณจากวัฒนธรรมที่พื้นฐานที่สุดไปสู่วัฒนธรรมที่ซับซ้อนที่สุด ยังคงทิ้งเบาะแสความเกี่ยวโยงของพวกเขาเอาไว้ในทุกมิติทุกบริบท มันไม่ได้หายไปไหนและเรามองเห็นมันได้ แบบเดียวกับที่ผมเห็นผ่านดนตรี ตัวอย่างเช่น เราเป็นมนุษย์ที่ยุคบรรพกาลนับถือแม่เป็นใหญ่ เราจึงมีเทวี เจ้าแม่ พระแม่เต็มไปหมด ในดนตรีพื้นเมืองของเราผู้หญิงร้องเสียงสูงและดังทะลุทะลวง เพราะนางมีสถานะที่ได้รับการเคารพไม่ใช่ถูกกดไว้ นอกจากนั้นพวกนางยังมีการประสานเสียง มีพลังแข็งแรงและมั่นใจขณะขับร้อง นางสามารถยืนหยัดเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญได้ภายในสังคม แม้ทุกวันนี้ ผู้หญิงก็ยังคงเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกบาททุกสตางค์ที่ผมหาได้ก็ต้องส่งมอบให้ภรรยาด้วยความเคารพ . เวลาที่มองภาพต่อทางประวัติศาสตร์ มุมมองของผมจึงเปลี่ยนไป ผมหยิบความรู้อื่นๆ เท่าที่อ้างอิงเชื่อถือได้มาประกบเข้าด้วยกันเสมอ... ทำไมกษัตริย์เขมรโบราณจะขึ้นครองราชย์ต้องแต่งกับนาค? สำหรับผม นี่คือปรัมปราคติที่สะท้อนการเมืองโบราณ เศรษฐีจากต่างถิ่น (ตัวขาวใส่เสื้อผ้าสวยงาม) จะมาปกครองคนท้องถิ่นที่เป็นคนพื้นเมือง (แก้ผ้า อยู่กับป่าฝนและมรสุม) ก็ต้องดองกับคนท้องถิ่น หลักฐานเจเนติคก็พบว่าพ้องกันว่า ผู้ชายบรรพบุรุษของพวกเรา (Y DNA Hg O) ซึ่งอพยพมาด้วยเส้นทางสายเอเชียกลาง อากาศดี อาหารสมบูรณ์ตลอดทาง พวกเขาคงหล่อเร้าใจไม่น้อยเมื่อเดินทางมาถึงซุนดา พวกผู้หญิงอะบอริจิ้น (mt DNA Hg B / M) พากันเลือกบรรพบุรุษของเราเป็นพ่อพันธ์ อุปมาดังหงส์ทองครองคู่กับนาคยังไงยังงั้น ทำให้ผู้ชายอะบอริจิ้นต้องถอยห่างออกไปจากแผ่นดินใหญ่ การได้แม่สายงูมาเป็นแม่พันธ์อีกสองแม่ ทำให้ลูกหลานพวก Hg O ออกลูกมาเต็มดินแดน มันคือการผสมกันของนกกับงู แต่พวก Hg C ที่ผู้หญิงไม่เลือกลูกหลานก็เลยน้อยกว่า แรงงานที่จะพัฒนาชุมชนและเป็นกำลังรบจึงน้อย ถ้าผู้หญิงของเขาไม่เลือกพวก Hg O และมีจำนวนประชากรพอๆ กัน พวกอัสเลียนกับอะบอริจิ้นคงรบกันแหลกราญตายไปข้างหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว... . พระนางจามเทวีแห่งละโว้ หรือจะเรียกละโว้ ละว้า ว้า ลั๊วะ ก็คือกัน เป็นข่า เป็นอัสเลียนที่ยังมีความเป็นชนพื้นเมือง เมื่อเทียบชายหนุ่มในเผ่าของนางกับหนุ่มเท้าแห้งพี่น้องสาแหรกเดียวกันแต่ขาวผ่องกว่าเพราะอาศัยอยู่ดินแดนทางเหนือขึ้นไป อากาศแสนดี แต่งตัวหล่อ เหตุฉะนี้ พระนางทำเหมือนบรรพบุรุษอะบอริจิ้นข้างแม่ ไม่เลือกพวกเดียวกันเอง แต่ไปเลือกหนุ่มทางเหนือแถวหริภุญชัยสายไป่เยว่ ทำเอานักรบหนุ่มละว้าถึงกับไม่พอใจทำไมไม่เลือกฉันไปเลือกไอ้ละอ่อนสำอางทางเหนือ เลยท้าพระนางจามพุ่งหอกแข่งกัน ถ้าแพ้ต้องแต่งกับเขา และพระนางจามเทวีชนะนักรบนะ! แปลว่าพระนางจามของเรานี้ก็ยังคงมีทักษะแบบที่ชนเผ่าในสมัยบรรพกาลมี คือโตมานี่ยังรบและล่าสัตว์อยู่ แม่หญิงธรรมดาที่ไหนจะพุ่งหอกชนะ พระนางคงเห็นว่าการแต่งกับหนุ่มทางเหนือเป็นการปรับปรุงสายพันธุ์และทำให้การเมืองมีหนทางที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าที่เคยเป็น เพราะการดองลักษณะนี้ พวกเท้าเปียกและเท้าแห้งก็จะมี Cultural Transmission ที่ถ่ายเทต่อกันอย่างละมุนละม่อม ต่างกับพวกยุโรปที่ไปปล้นพวกเมาริ ยึดแผ่นดินพวกเขา แล้วบังคับให้ดีดอะคูเลเล่และเข้าโบสถ์ไปร้องประสานเสียง . หันมองเครือญาติข้างบ้าน ยุคสมัยแห่งเขมรพระนครนั้นล่มสลายไปนานแล้ว กัมพูชาอยู่ในปกครองของอยุธยายาวนานมาจนรัตนโกสินทร์ ตอนที่พวกอาณานิคมฝรั่งเศสบุกมายึดครอง แล้วฝรั่งพวกนี้ไปเจอนครวัดอยู่ในป่าดงดิบ คนเขมรส่วนใหญ่ในตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปราสาทโบราณอยู่ตรงนั้น มันถูกต้นไม้กลืนจนหายไป รากและกิ่งใบเลื้อยพันฝังรากลงไปในตัวปราสาทจนมองไม่เห็น หลังเป็นอิสระจากอาณานิคมฝรั่งเศสพวกกษัตริย์เขมรนั้นมาโตมาเรียนอยู่ที่สยามทั้งนั้น ประวัติศาสตร์บอกชัดไม่ต้องบรรยายอีก Cultural Transmission ถูกส่งผ่านอย่างละมุนละม่อม ไม่ใช่เพราะถูกพิชิตถูกบังคับให้ทำตาม แต่เพราะรากเหง้าเดิมของเขมรเสื่อมสลายไปหมดนานแล้ว และเจ้านายเขมรนิยมชมชอบในขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแบบไทยจึงรับและเรียนไป จนกระทั่งมันวินาศย่อยยับไปอีกครั้งในยุคเขมรแดง เพราะศิลปิน ปราชญ์ราชบัณฑิต ครู กวี ปัญญาชน...ถูกเขมรแดงฆ่าจนสิ้น . ผมก็รำคาญนะ พวกเขมรเคลมโบเดียน่ะ แต่ก็คิดว่ามันน่าสงสาร ยังไงก็พี่น้องสาแหรกเดียวกัน แล้วคนฉลาดๆ ของเขาก็ตายไปหมดแล้วตอนยุคเขมรแดงทุ่งสังหาร ที่พอจะรอดมาได้ก็หนีไปอเมริกา-ยุโรปไม่กลับมาอีก อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกอยู่ในโลกก็บอกเรื่องราวของสยามและเขมรชัดแจ้งอยู่ มันจะเคลมยังไงก็ไม่มีใครเขาเชื่อ แล้วก็ไม่มีพิษสงอะไรหรอก นอกจากสร้างความรำคาญ ส่งพวกทหารพรานไปเป่าข้าวหลามสักสิบบ้องก็คงหยุดแล้ว . แต่ไอ้ที่เลวแท้ก็คือไอ้พวกตัวเป็นไทยใจเป็นเขมรนี่แหละ ไอ้ที่ส่งลูกไปปี้กับเขมรก็พอเข้าใจที่มันเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกัน แต่ไอ้พวกที่ไม่ได้ดองอะไรแต่เสือกไปรับใช้เขมร อันนี้เรียกขายชาติ ในดีเอ็นเอมีพันธุกรรมสุนัขแทรกอยู่เลยเลือกกินอาจม ไม่กินผัดไทย . เรื่องที่ผมเขียนให้อ่านนี่มันยาก ผมเข้าใจนะ แต่หากคนเราในทุกวันนี้เข้าใจในข้อนี้ตรงกัน บางทีความขัดแย้งในโลกอาจลดลงจนหมดไปได้ และเราอาจก้าวไปสู่สังคมอุดมคติแบบที่เราไฝ่ฝันถึง "We're All Connected" . - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (2568) - . https://youtu.be/RdW1HNA5uSc?si=3E1WAUxHdLhSdVsw
    0 Comments 0 Shares 726 Views 0 Reviews
  • เขียนเล่าเรื่องพันธุกรรมมนุษย์มาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่ความรู้นี้โลกเขารับรู้มาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว ปัจจุบันนักวิชาการไทยหลายคนก็ทำวิจัยเรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมาพอสมควร แต่ก็ยังมีบางพวกบางกลุ่มที่ยังตะแบงติดกับดักวังวนของสำนักคิดเก่าๆ อยู่อย่างนั้น ไอ้ที่แย่กว่าคือ จำต้องยอมรับวิทยาศาสตร์นี้โดยปริยายทั้งที่ไปกันไม่ได้กับเรื่องที่ตนเขียน แต่ความที่เคยพูดเคยเขียนหนังสือขายหาเงินรับประทานมาไม่น้อยกับความรู้ผิดๆ ครึ่งๆกลางๆ งูๆปลาๆ ก็เลยยังต้องยืนยันความคิดเดิมตะแบงต่อไป ถ้าไอ้ส่วนที่ความรู้ใหม่มันไปกันได้กับที่เคยเขียนก็จะหยิบมาอ้าง แต่ส่วนที่มันฟ้องว่าเอ็งเข้าใจผิดแล้วก็จะเลี่ยงเสีย เช่นกรณีเฒ่าเจ๊กปนลาวชังชาตินั่น
    .
    ความแบ่งแยกอันเป็นความคิดของปีศาจ นำมาซึ่งชื่อสมมุติ ที่โดยมากมักอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปฏิเสธความเกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่ เพื่อให้ดูแตกต่างกับผู้คนหรือบรรพบุรุษที่เคยเกี่ยวข้อง ไม่ว่าเครื่องแต่งกายก็ตาม ความเชื่อ ภาษาพูดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์องค์ประกอบของตัวมนุษย์แต่ละผู้ว่าเป็นใครหรือเผ่าพันธุ์ไหน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าความเป็นเจ๊กปนลาวที่พูดไทยหากินกับภาษาไทยของเฒ่าผู้นั้น อาจเป็นเรื่องเลื่อนลอยไปได้ ลาวที่เขาคิดว่าเป็นพ่ออาจเป็นกัมมุ และเจ๊กที่เขาคิดว่าเป็นแม่อาจเป็นชนเผ่าฮักกา ที่ซึ่งไม่ใช่เจ๊ก แต่เป็นเยว่ ก็เป็นได้... อยากจะแน่ใจก็ไปตรวจซะ
    .
    อย่างที่ทราบ (เอ๊ะ หรือใครยังไม่ทราบ?) มนุษย์ที่เป็นชนชาติต่างๆในโลกนี้ อพยพออกมาจากแอฟริกาเมื่อแสนกว่าปีก่อน เป็นหน่อเนื้อลูกหลานของบรรพบุรุษที่อาศัยในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่าซาฮาร่า ดังนั้นนักวิชาการเลย "นิยามชื่อ" พวกเขาว่าพวก "ซาฮารันโบราณ" ผู้ชายทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าคนออสตราอะบอริจิ้น คนเอเชีย คนตะวันออกกลาง คนยุโรป คนเมโสอเมริกา ล้วนมียีนของอาดัมทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าวายโครโมโซม M168 นี้ทุกคน ยกเว้นพวกแอฟริกาบางเผ่าที่บรรพบุรุษไม่ได้อพยพออกมาและยังคงอยู่รอดในแอฟริกาจนถึงปัจจุบันนี้
    .
    ด้วยภาพใหญ่นี้ สาแหรกพันธุกรรมแสดงให้เห็น "DEEP ANCESTOR" โคตรเหง้าที่ลึกที่สุดของมนุษย์โลก "การที่พวกอาหรับพูดภาษาสกุลเซมิติคส่วนคนไทยอย่างเราพูดภาษาสกุลจ้วง-ไท ความแตกต่างนี้ไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงทางพันธุกรรมที่ทั้งคู่มี Deep Ancestor ร่วมกันไปได้". ทุกวันนี้มนุษย์ที่มียีนของ M168 เก่าแก่กว่าใครในโลกคือพวก San Bushman พวกเขาพูดภาษาสกุลกอยซานที่ในทาง Linguistic ถือว่าเป็นภาษาลูกของภาษาซาฮารันโบราณที่ยอมรับกันว่าคือ Global Early Language * หมายถึงภาษาแรกของโลก เมื่อพิจารณาจากวิทยาศาสตร์ข้อนี้ มนุษย์ทุกชนชาติที่มีชื่อสมมุติกันไปต่างๆ จะว่าไปก็ถือเป็นคนกอยซานทั้งสิ้น ดังนั้นคุณจงอย่าได้ยึดติดว่าภาษาพูดของชาติพันธ์หนึ่ง จะบ่งบอกว่าเขาคือชาติพันธ์นั้นเสมอไป... คนจีนอพยพตั้งแต่รุ่นที่สองที่อยู่ในเมืองไทยพูดภาษาไทยชัดทุกคน คนอเมริกันที่เกิดที่นี่ คนอินเดียที่เกิดที่นี่พูดไทยสำเนียงไทยชัดทุกคน และเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเขาอาจย้ายไปอยู่ที่ภูฏานเป็นการถาวรจนลูกหลานเขาเกิดที่นั่น แล้วพูดภาษาภูฏานชัดเจน
    .
    [* ภาษากอยซาน : นักภาษาศาสตร์ลงความเห็นว่าคือภาษาที่เก่าที่สุดในโลก มีลักษณะพิเศษคือมีเสียงคลิ๊กอยู่ในคำ ซึ่งได้หายไปจากภาษาอื่นๆ ที่เกิดภายหลัง นักวิชาการเชื่อว่า เมื่อบรรพบุรุษของเราอพยพออกจากแอฟริกาเมื่อแสนปีก่อน พวกเขามีภาษาพูดแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าเช่นนี้ต้องทำงานเป็นทีม ไม่มีภาษาก็ทำงานเป็นทีมไม่ได้]
    .
    เมื่อมนุษย์มาจากแอฟริกาและเรามีเชื้อสายซาฮารันมาก่อน ทำไมเราจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันคนละภาษา ผมเคยเขียนบทความหนึ่งชื่อ บาเบล สืบเนื่องจากคัมภีร์ปฐมกาลบทที่ชื่อบาเบล เล่าว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์สร้างหอคอยใหญ่เทียมฟ้าขึ้นมาได้ พวกเขาอยากจะทำอะไรก็จะสำเร็จได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะบันดาลให้เขาพูดกันไม่รู้เรื่อง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป เป็นชนชาติต่างๆ ภาษาต่างๆ” นี่...ใครสักคนป้ายสีพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นมูลเหตุให้มนุษย์พูดกันไม่รู้เรื่อง. ใครสักคนในที่นี้มีอย่างน้อยสามคน นักภาษาศาสตร์ยุคใหม่วิเคราะห์ลักษณะการเขียน สำนวน คำศัพท์ที่ใช้ซึ่งบ่งบอกรากฐานและยุคสมัยได้ ทำการวิเคราะห์พระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับคิงเจมส์ พวกเขาลงความเห็นว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลมีผู้เขียนราวสามคน มีลักษณะการเขียนที่แตกต่างกันสามสำนวน คละเคล้ากันไปในแต่ละบท บางบทมีการปนกันมากกว่าหนึ่งสำนวน และยังลงความเห็นว่ารูปแบบการเขียนของบทปฐมกาล (genesis) เขียนทีหลังบทอพยพ (exodus)
    .
    นอกจากนี้นักภาษาศาสตร์ยุคหลังมานี่เชื่อว่าภาษาอินโดยูโรเปี้ยนนี้ คือผลของการทุบทำลายภาษาแม่ครั้งสำคัญในโลก เมื่อคุณพิจารณาพันธุกรรม คุณจะต้องทราบว่าผู้ชายชาวยุโรปและตะวันออกกลางแชร์สาแหรกพันธุกรรมในเครือเดียวกันคือ R / J / E อย่างที่ผมเขียนเรื่องยิวและปาเลสไตน์ไปก่อนนี้.. พวกคนยุโรป เปอร์เซีย อารยัน (ที่ภายหลังไปบุกอินเดียโบราณ) ล้วนเป็นสาแหรกเดียวกัน อย่าว่าแต่ยิวซึ่งเป็น semitic speaker ฆ่าปาเลสไตน์ที่เป็นพี่น้องใกล้ชิดเลย หากคนกรีก คนโรมัน ไปฆ่าคนเปอร์เซียหรือกลับกัน ก็คือพี่น้องฆ่ากันอยู่ดีนั่นแหละ อยู่มาวันหนึ่ง ไม่แน่ชัดว่าอะไรเป็นเหตุ หลังสงครามเทวีที่เกิดการต่อต้านปฏิเสธความเชื่อที่นับถือแม่เป็นใหญ่ เทวรูปของเทพีมากมาย เช่น Artemis เทวีผู้มอบความอุดมสมบูรณ์ ต่างพากันถูกทุบจมูกทุบใบหน้าทิ้งให้ดูน่าเกลียด ชนชาติที่เคยเกี่ยวดองกัน พลันแยกออกจากกันเป็นชนชาติใหม่ พูดภาษาใหม่ เด็กที่เกิดใหม่นับแต่นั้นจะถูกฝึกให้พูดภาษาที่สร้างขึ้นมา จากนั้นก็ตามมาด้วยชื่อสมมุติอย่างเช่น อัสซีเรีย อัคเคเดียน ฮิตไทท์... จากนั้นก็ตามมาด้วยสงครามพี่น้องฆ่ากัน ทั้งที่ชีววิทยาพันธุกรรมบอกว่าพวกเขาคือพี่น้องคลานตามกันมาทั้งนั้น และถ้าอ้างไบเบิ้ล อย่างเช่นกรณีของบุตรหลานของ Sam ลูกหลานของโนอาห์ ก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ความแบ่งแยกทำให้พวกเขาปฏิเสธสายใยที่มี
    .
    อย่างที่ชี้ให้เห็นนี่ ดีเอ็นเอบอกเราถึงความเป็นพี่น้องร่วมสาแหรก แต่พวกเขาปฏิเสธกันเองแล้วแบ่งแยก ทุบทำลายภาษาแม่ทิ้งไปพร้อมๆ กันในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ใช่เพราะฝีมือพระเจ้าหรอก มนุษย์นี่แหละ นักภาษาศาสตร์โบราณคดีทำการค้นคว้าเรื่องนี้แล้วทำการโยงภาษาในสกุลอินโดยูโรเปี้ยนทั้งหมด ย้อนกลับไปสู่ภาษาซาฮารันโบราณ ด้วยพจนานุกรมคำศัพท์ของพวก Basque (กลุ่มคนที่ isolated อยู่ในสเปนซึ่งเชื่อว่าเป็นภาษาลูกที่เหลืออยู่ของภาษาซาฮารัน).. เรื่องนี้ยาวนะ ผมเคยเล่าไว้ในบทความชื่อบาเบลที่ผมเกริ่นไปข้างบน ใครอยากลงลึกให้ไปอ่าน Linguistic Archaeology เขียนโดย Edo Nyland
    .
    เวลาเจอบทความอะไรจากเฒ่าเจ๊กปนลาวผู้นี้ รวมทั้งจากพวกสาวกกระดูกอ่อนของเขาก็เลยออกจะรำคาญ ด้วยการอ้างชื่อต่างๆ พวกเขาเชื่อมโยงยกแม่น้ำเป็นตุเป็นตะ ไอ้นั่นมาจากไหน ไอ้นี่มาจากไหน โดยไม่มีหลักฐานอะไรที่หนักแน่นพอมารองรับ… ยกตัวอย่างเช่นใช้กลองสำริดบ้าง ใช้ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณบ้าง มาอ้างอิงทั้งที่ไม่เข้าใจว่าดูอะไรอยู่
    .
    ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณแต่ละแห่งที่พบในโลกที่รังสรรค์โดยบรรพบุรุษยุคแรก ถ้าคุณทาบข้อมูลทางโบราณคดีของมันกับข้อมูลอื่น เช่น พันธุกรรมและการอพยพย้ายถิ่น ธรณีวิทยา ภาษาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา วิทยาศาสตร์.. ก็จะรู้อะไรที่ต่างไปจากที่เคยมีคนสันนิษฐานกันออกมาก่อนหน้านี้ได้ เช่น ภูมิศาสตร์บอกว่าลักษณะภูมิประเทศแบบใดที่มนุษย์โบราณในยุคนั้นชอบใช้เป็นที่อาศัยและหลบภัย ลักษณะทางภูมิศาสตร์แบบไหนที่พบภาพเขียนสี ทำไมมันจึงถูกเลือกเป็นที่จัดทำนิทรรศการ.. ธรณีวิทยาบอกว่า พบดินแบบเดียวกันถูกใช้เป็นสีเขียนผนังถ้ำทุกแห่ง.. วิทยาศาสตร์บอกองค์ประกอบธาตุของสีที่ใช้เขียนว่าเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งแปลได้ว่าพวกเขาเรียนหนังสือมาจากที่เดียวกัน คือเรียนรู้เทคนิคในการทำแบบนี้ซ้ำต่อๆ กันมาเหมือนๆ กัน.. มานุษยวิทยาเห็นการสะท้อนธรรมเนียมนิยมทางวัฒนธรรมบรรพกาลของพวกเขา เช่น เอาสีใส่ปากพ่นผ่านมือให้เป็นรูปมือ เขียนรูปคนและสัตว์ที่มีลักษณะทาง figure ที่คล้ายคลึงกัน มีจินตนาการในการสร้างลักษณะของบุคคลที่พิเศษออกไปจากคนปกติเพื่อแสดงว่าเป็นผีสางเทวดาที่เขานับถือ... มีการวิเคราะห์คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ของสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ที่พวกเขาไปเขียนรูปไว้ เช่น คุณสมบัติการก้องสะท้อนเสียงของสถานที่
    .
    และเมื่อทาบพันธุกรรมลงไปดูความสอดคล้องกัน เริ่มจากพวกเผ่า San Bushman ที่มียีนของอดัมที่เก่าที่สุดในโลก พบว่าพวกเขาทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันทุกด้านดังที่ได้กล่าวไปนั่น พวกอัสเลียนโบราณก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันกับที่กล่าวไปเช่นกัน เอาภาพเขียนสีเช่นที่ถ้ำเขาจันทร์งาม สีคิ้ว ไปเปรียบกับภาพเขียนสีในแอฟริกาที่พวกกอยซานทำ ทุกองค์ประกอบที่ว่านั่นก็จะเห็นว่าเหมือนกัน... พวกปาปัว-ออสตราอะบอริจิ้น ก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกับที่กล่าวไป นี่เป็นนวัตกรรมที่เป็นมรดกโคตรยาวนานของมนุษย์ จากแอฟริกาไปสู่จุดต่างๆในโลก ในวันนี้ พวกเขาเหล่านี้พูดกันคนละภาษา มันดูไม่มีความกี่ยวข้องกันใช่ไหมล่ะ? แต่วิทยาศาสตร์ไม่ได้บอกเช่นนั้น ในพันธุกรรมมี mutation ในวัฒนธรรมมี cultural transmission ถ้าเราขยับไปดูสิ่งที่คุ้นเคยกว่านั้นอีกสักอย่าง เช่น "กลอง".. มนุษย์ทุกแห่ง ตั้งแต่พวกที่อยู่ในแอฟริกา แม้แต่พวกชนเผ่าที่ไม่ได้อพยพไปไหนเลยจนกระทั่งยุคล่าอาณานิคม กับมนุษย์ทุกชนชาติที่กระจายอยู่ในทุกมุมโลก พวกเขาต่างทำกลองเหมือนกัน วิธีการคือ ด้วยการขึงหนังสัตว์ (membrane) ลงบนปากทรงกลมของวัตถุทรงกระบอก (cylinder) ขึงให้ตึงและตีให้สั่น นี่คือนวัตกรรมที่เรียก Membranophones คนทั้งโลกไม่ได้ต่างคนต่างทำเหมือนกันโดยบังเอิญ มันคือมรดกที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่ก่อนอพยพเมื่อแสนปีที่แล้วและเก่าพอๆ กับภาษาแรก
    .
    ซากบรรพชีวินที่นักวิชาการไทยอย่างที่อาจารย์รัศมีท่านสำรวจและค้นคว้าอยู่ กรอบเวลาเท่าไหร่? โนนนกทา? บ้านเชียง? พวกนั้นเป็นใคร? โฮโมเซเปี้ยนส์แน่นอน ชีววิทยาบอกชัดว่าเซเปี้ยนส์ เราไม่ได้วิวัฒน์มาจากโฮโมอีเร็คตัส พวกนั้นสูญพันธ์ไปแล้วก็จบ ยีนพ่อไม่เคยหายไปจากมนุษย์และเราไม่มียีนของอีเร็คตัสอยู่ในตัวเรา เมื่อราวเจ็ดหมื่นปีก่อน เกิด super eruption ขึ้นที่ภูเขาโทบาในสุมาตราโบราณ [https://geographical.co.uk/.../explainer-the-toba...] ทิ้งบาดแผลไว้เป็นทะเลสาปโทบาให้ดูในทุกวันนี้ ภัยพิบัตินี้รุนแรง มันตามมาด้วยฤดูหนาวนิวเคลียร์ (นักวิชาการว่าเช่นนี้) เถ้าภูเขาไฟปกคลุมโลกนานหลายปีและลอยไปไกลถึงกรีนแลนด์ โฮโมอีเร็คตัสในเอเชียถ้ายังมีชีวิตอยู่จะต้องตายหมด ดังนั้นไม่ว่าจะมนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ชวาอะไร ไม่เกี่ยวกับเราทั้งนั้น กรอบเวลาของบรรพบุรุษเราที่มาถึงที่นี่คือห้าหมื่นและสามหมื่นปีมาแล้ว มากันสองระลอก และคนพื้นเมืองที่บุกเบิกดินแดนนี้ไม่ได้แปะยี่ห้ออะไรเมื่อมาถึง นอกจากเรียกตัวเองว่า กอย หมายถึง คน… (ข่า ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย.. ลาว ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย)
    .
    ในความเป็นจริง มนุษย์โบราณที่เป็นบรรพบุรุษของชายชาวเอเชียราว 75 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็น Y DNA Hg O คือครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขามิวเททมาจากสาแหรกของพ่อ Y DNA Hg K ซึ่งมาถึงเอเชียกลางเมื่อราวสี่หมื่นปีและกระจายออกไป ทั้งที่ข้ามโกบีและไซบีเรีย ข้ามเบริงเจียไปอเมริกา (Hg Q) กลายเป็นพวกนาวาโฮ... ทั้งที่ย้อนกลับเข้าไปในยุโรปเผชิญความทารุณของยุคน้ำแข็งกลายเป็นพวกยุโรป (Hg R)… บรรพบุรุษพวกนี้ เมื่อตั้งถิ่นฐานตรงจุดใด ก็มักอยู่ตรงนั้น ลองนึกถึงความเป็นจริงว่า การย้ายถิ่นฐานใช้เวลายาวนานหลายชั่วคน เมื่อผู้อาวุโสหรือพ่อของเขาแก่เฒ่าไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินทางบุกเบิกต่อไป บางส่วนของพวกเขาจะหยุดการเดินทางและตั้งหลักแหล่งโดยเฉพาะเมื่อพบสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์พอจะดำรงชีพ คนหนุ่มจะเดินทางผจญภัยต่อไปเพื่อหาที่ของตนที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ได้มองโลกด้วยทัศนะของพวกเขาเอง พวกเขาจะพบปัญหาใหม่ จะได้หาทางแก้ไขสถานะการณ์ที่ไม่เคยพบ ดังนั้นพวกเขาจะมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ จนเมื่อพวกเขาพบว่าได้เจอสถานที่ที่พึงพอใจหรือไปต่อไม่ได้แล้ว การเดินทางก็จะหยุด
    .
    คุณคิดว่ามีมนุษย์จำนวนเท่าไหร่ เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นปีก่อน?
    .
    บรรพบุรุษของเรา เดินทางมาตามซุปเปอร์ไฮเวย์โบราณสายเอเชียกลางที่เป็นทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ อุดมด้วยกวางแอนทีโลฟและช้างแมมมอธ ท้องอิ่ม อบอุ่น และอันตรายน้อย เมื่อมาถึงซุนดา คุณคิดว่าพวกเขาจะอยู่อาศัยกันที่ไหน? บนภูเขา ในป่า หรือที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ? ไปคิดดูเป็นการบ้าน
    .
    หากพิจารณาดูปัจจัยต่างๆ เราจะรู้ได้ว่าชุมชนบรรพกาล มักจะตั้งอยู่บนที่ที่เหมาะสมในการผดุงชีพ อ.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ให้ความเห็นว่า เนื่องเพราะบรรพบุรุษพวกนี้ต้องเผชิญกับน้ำท่วมซุนดาถึงสามครั้ง พวกเขานิยมสร้างบ้านที่มีเสาสูงและมีไต้ถุนสูง ทำแพและมีทักษะในการเดินทางด้วยแพ ซึ่งพร้อมที่จะอพยพหนีโดยล่องด้วยแพขึ้นไปเรื่อยๆ สู่ทิศทางต้นน้ำ ไม่เดินเท้าเพราะไม่รู้ว่าน้ำจะมาทางไหน เมื่อเห็นและแน่ใจว่าน้ำหยุดท่วมแล้วก็ปักหลักตั้งถิ่นฐานใหม่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่มีจุดไหนที่มีทรัพยากรอุดมไปกว่าริมแม่น้ำ ทั้งสัตว์น้ำและดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ในป่านั้นมีโรคมากมายและสัตว์ร้าย พวกเขาจะเข้าไปต่อเมื่อต้องการล่าหรือหาของป่า
    .
    ชุมชนบรรพกาลเหล่านี้ เมื่อพบพื้นที่ที่พวกเขาพึงพอใจแล้วก็มักจะปักหลักอยู่เช่นนั้น สืบต่อกันไปหลายชั่วคน หลักฐานทางโบราณคดีก็ชี้ชัดเช่นนั้น ทำให้เกิดชุมชนโบราณขึ้นตรงนั้นตรงนี้มากมายและขยายตัวออกไป เกษตรกรรมเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เลิกเร่ร่อนแล้วหยุดตั้งหลักแหล่ง ผลที่เก็บเกี่ยวแน่นอนตามฤดูกาลทำให้ปัจจัยทางอาหารมั่นคง ดังนั้นพวกเขาจะไม่ย้ายไปไหนโดยง่ายถ้าไม่ใช่เพราะภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือสงครามจากคนกลุ่มอื่นมาบีบบังคับให้ย้ายไปที่อื่น ชุมชนบรรพกาลซึ่งประชากรมีอยู่น้อย ย่อมต้องการปริมาณแรงงานไว้เพื่อสร้างชุมชนของตนให้เติบโตรุ่งเรืองขึ้น ถ้าไม่เกิดปัญหาที่ว่านี้ พวกเขาก็จะไม่ย้ายไปไหน พวกเขาจำฤดูกาลประจำถิ่น ทิศทางลม เวลาน้ำขึ้นลง ยาอยู่ที่ไหน อะไรเป็นยา จำต้นไม้ได้ทุกต้นและรู้ว่าอะไรใช้ทำอะไรได้บ้าง สัตว์อยู่ที่ไหน หาเจอยังไง จับยังไง... ความรู้ในภูมิลำเนาพวกนี้ใช้เวลาสั่งสมยาวนาน
    .
    เราต่างได้เรียนรู้กันมามากพอสมควรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่บางครั้งนิยามหรือความสมมุติในความเป็นชนชาติบ้านเมืองต่างๆ มักพาให้ไขว้เขว บางถิ่นฐาน ผู้ปกครองเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะ มีทรัพยากรมาก แต่เป็นคนต่างถิ่นมาจากที่อื่น ไม่ต่างกับทุกวันนี้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหัวเมืองเช่นเชียงราย อาจเป็นลูกเศรษฐีตระกูลใหญ่จากกรุงเทพ สมัยโบราณก็เช่นกัน ประชากรเป็นคนพื้นเมืองท้องถิ่น อาจอยู่ที่นั่นมาแปดชั่วคนแล้ว เขาไม่ย้ายไปที่อื่นเพียงเพราะผู้ปกครองไม่ใช่คนพื้นเมืองเหมือนตน ถ้าปกครองดี ทุกคนยังกินอิ่ม ไม่รีดภาษี ไม่ก่อกรรมทำเข็ญ ข่มเหงรังแก พวกเขาก็จะอยู่อย่างนั้นต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน จักรวรรดิจีนโบราณดินแดนกว้างใหญ่ ประชากรไม่ได้มีแต่จีนฮั่นเท่านั้น ยังมีประชากรที่เป็นชนเผ่าอื่นๆในปกครองหลายสิบเผ่า แล้วก็มีผู้ปกครองที่มาจากถิ่นอื่นมาปกครอง เคยมีกษัตริย์ที่เป็นมองโกล กษัตริย์ที่เป็นแมนจูมานั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ ยิ่งรูปงามผิวพรรณผุดผ่องมาพร้อมโปรโมชั่นว่าเป็นเทพลงมาเกิดก็จะทำให้รู้สึกนับถืออยากพึ่งพาบารมี ดังนั้นผู้ปกครองก็อาจเป็นชาติพันธุ์หนึ่งขณะที่ประชากรในดินแดนเป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งได้ เช่น ผู้ปกครองมีชื่อสมมุติว่าเป็นชาติพันธุ์ลาว ผู้ใต้ปกครองอาจเป็นชาวพื้นเมืองมีชื่อสมมุติว่าชาติพันธุ์ข่า เป็นต้น.. ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่พูดนี่ เป็นคนละเรื่องกับแนวความคิดเรื่องชาติ ประเทศ รัฐ ชนชาติและสัญชาติ ซึ่งเป็นความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังตามคติของอาณานิคมตะวันตก
    .
    สำหรับผมมันเป็นเรื่องตลก ที่พูดว่าคนโคราชไม่ใช่คนอีสาน
    ความยึดมั่นของผู้พูดผูกโยงกับภูมิลำเนา ผูกกับสำเนียงภาษาที่ใช้ แล้วเอามามัดให้ประชากรนั้นเป็นเผ่าพันธ์ตามที่ตนผูกไว้
    .
    คนอีสานคือใครในทัศนะวิทยาศาสตร์ คนอีสานอาจประกอบด้วยพลเมืองจากทางเหนือที่มาไกลจากจีน มาจากหยุนหนาน หรืออาจมาจากเวียตนาม ได้มากพอกับมีพลเมืองที่มีชื่อสมมุติว่า "ลาว" ที่เฒ่างี่เง่านี้นิยามให้สาวกเชื่อว่าเป็นคนท้องถิ่นโดยแท้แล้วก็ปฏิเสธในเชิงที่รู้สึกได้ว่าพยายามจะบอกใครๆ ว่าคนโคราชเป็น "สิ่งแปลกปลอมในท่ามกลางคนอีสาน" ผมรู้สึกอย่างนั้น แล้วเขาก็โยงเรื่องโยงชื่อ ทั้งคนทั้งสถานที่ มั่วไปหมดชนแพะชนแกะชนควาย อนุมานเอาตามความเชื่อตน ทั้งที่ความเป็นจริงทุกมนุษย์ที่อ้างอิงมานั่นไม่ว่าจะด้วยคำ สยาม ทวารวดี มอญ อยุธยา สุพรรณ โคราช ศรีโคตรบูรณ์ เวียงจันทร์ ชัยวรมัน.... บลาๆๆ... ล้วนคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O (O2 เป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงสุด) ทั้งนั้น ต่อให้หมู่บ้านนึงมันดันพูดได้สามภาษา ทั้งลาวทั้งอังกฤษทั้งเกาหลีสำเนียงเป๊ะทั้งหมู่บ้านก็ตามที
    .
    เขย่าไว้ไม่ให้นอนก้น
    ข้าว่าพวกเอ็งมันนอนก้นถอยหลังไปสองร้อยปี
    ฟังวนอยู่ห้าคำสิบคำ เต็มไปด้วยคำว่า “สันนิษฐานว่า…“
    แปลเป็นไทยคือ คาดว่า เดาว่า... คือเอ็งไม่รู้ไง เชื่อเองเออเองแล้วมาชวนคนอื่นให้เชื่อตาม
    .
    นี่รู้ไหม...
    มีไม่น้อยนะที่สันนิษฐานว่ามนุษย์เซเปี้ยนส์นี่น่ะ มาจากเชื้อพันธุ์มนุษย์ต่างดาวชื่อ อนูนากิ แกเชื่อไหมเล่า?
    .
    - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา [2568] -
    .
    เขียนเล่าเรื่องพันธุกรรมมนุษย์มาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่ความรู้นี้โลกเขารับรู้มาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว ปัจจุบันนักวิชาการไทยหลายคนก็ทำวิจัยเรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมาพอสมควร แต่ก็ยังมีบางพวกบางกลุ่มที่ยังตะแบงติดกับดักวังวนของสำนักคิดเก่าๆ อยู่อย่างนั้น ไอ้ที่แย่กว่าคือ จำต้องยอมรับวิทยาศาสตร์นี้โดยปริยายทั้งที่ไปกันไม่ได้กับเรื่องที่ตนเขียน แต่ความที่เคยพูดเคยเขียนหนังสือขายหาเงินรับประทานมาไม่น้อยกับความรู้ผิดๆ ครึ่งๆกลางๆ งูๆปลาๆ ก็เลยยังต้องยืนยันความคิดเดิมตะแบงต่อไป ถ้าไอ้ส่วนที่ความรู้ใหม่มันไปกันได้กับที่เคยเขียนก็จะหยิบมาอ้าง แต่ส่วนที่มันฟ้องว่าเอ็งเข้าใจผิดแล้วก็จะเลี่ยงเสีย เช่นกรณีเฒ่าเจ๊กปนลาวชังชาตินั่น . ความแบ่งแยกอันเป็นความคิดของปีศาจ นำมาซึ่งชื่อสมมุติ ที่โดยมากมักอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปฏิเสธความเกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่ เพื่อให้ดูแตกต่างกับผู้คนหรือบรรพบุรุษที่เคยเกี่ยวข้อง ไม่ว่าเครื่องแต่งกายก็ตาม ความเชื่อ ภาษาพูดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์องค์ประกอบของตัวมนุษย์แต่ละผู้ว่าเป็นใครหรือเผ่าพันธุ์ไหน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าความเป็นเจ๊กปนลาวที่พูดไทยหากินกับภาษาไทยของเฒ่าผู้นั้น อาจเป็นเรื่องเลื่อนลอยไปได้ ลาวที่เขาคิดว่าเป็นพ่ออาจเป็นกัมมุ และเจ๊กที่เขาคิดว่าเป็นแม่อาจเป็นชนเผ่าฮักกา ที่ซึ่งไม่ใช่เจ๊ก แต่เป็นเยว่ ก็เป็นได้... อยากจะแน่ใจก็ไปตรวจซะ . อย่างที่ทราบ (เอ๊ะ หรือใครยังไม่ทราบ?) มนุษย์ที่เป็นชนชาติต่างๆในโลกนี้ อพยพออกมาจากแอฟริกาเมื่อแสนกว่าปีก่อน เป็นหน่อเนื้อลูกหลานของบรรพบุรุษที่อาศัยในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่าซาฮาร่า ดังนั้นนักวิชาการเลย "นิยามชื่อ" พวกเขาว่าพวก "ซาฮารันโบราณ" ผู้ชายทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าคนออสตราอะบอริจิ้น คนเอเชีย คนตะวันออกกลาง คนยุโรป คนเมโสอเมริกา ล้วนมียีนของอาดัมทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าวายโครโมโซม M168 นี้ทุกคน ยกเว้นพวกแอฟริกาบางเผ่าที่บรรพบุรุษไม่ได้อพยพออกมาและยังคงอยู่รอดในแอฟริกาจนถึงปัจจุบันนี้ . ด้วยภาพใหญ่นี้ สาแหรกพันธุกรรมแสดงให้เห็น "DEEP ANCESTOR" โคตรเหง้าที่ลึกที่สุดของมนุษย์โลก "การที่พวกอาหรับพูดภาษาสกุลเซมิติคส่วนคนไทยอย่างเราพูดภาษาสกุลจ้วง-ไท ความแตกต่างนี้ไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงทางพันธุกรรมที่ทั้งคู่มี Deep Ancestor ร่วมกันไปได้". ทุกวันนี้มนุษย์ที่มียีนของ M168 เก่าแก่กว่าใครในโลกคือพวก San Bushman พวกเขาพูดภาษาสกุลกอยซานที่ในทาง Linguistic ถือว่าเป็นภาษาลูกของภาษาซาฮารันโบราณที่ยอมรับกันว่าคือ Global Early Language * หมายถึงภาษาแรกของโลก เมื่อพิจารณาจากวิทยาศาสตร์ข้อนี้ มนุษย์ทุกชนชาติที่มีชื่อสมมุติกันไปต่างๆ จะว่าไปก็ถือเป็นคนกอยซานทั้งสิ้น ดังนั้นคุณจงอย่าได้ยึดติดว่าภาษาพูดของชาติพันธ์หนึ่ง จะบ่งบอกว่าเขาคือชาติพันธ์นั้นเสมอไป... คนจีนอพยพตั้งแต่รุ่นที่สองที่อยู่ในเมืองไทยพูดภาษาไทยชัดทุกคน คนอเมริกันที่เกิดที่นี่ คนอินเดียที่เกิดที่นี่พูดไทยสำเนียงไทยชัดทุกคน และเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเขาอาจย้ายไปอยู่ที่ภูฏานเป็นการถาวรจนลูกหลานเขาเกิดที่นั่น แล้วพูดภาษาภูฏานชัดเจน . [* ภาษากอยซาน : นักภาษาศาสตร์ลงความเห็นว่าคือภาษาที่เก่าที่สุดในโลก มีลักษณะพิเศษคือมีเสียงคลิ๊กอยู่ในคำ ซึ่งได้หายไปจากภาษาอื่นๆ ที่เกิดภายหลัง นักวิชาการเชื่อว่า เมื่อบรรพบุรุษของเราอพยพออกจากแอฟริกาเมื่อแสนปีก่อน พวกเขามีภาษาพูดแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าเช่นนี้ต้องทำงานเป็นทีม ไม่มีภาษาก็ทำงานเป็นทีมไม่ได้] . เมื่อมนุษย์มาจากแอฟริกาและเรามีเชื้อสายซาฮารันมาก่อน ทำไมเราจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันคนละภาษา ผมเคยเขียนบทความหนึ่งชื่อ บาเบล สืบเนื่องจากคัมภีร์ปฐมกาลบทที่ชื่อบาเบล เล่าว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์สร้างหอคอยใหญ่เทียมฟ้าขึ้นมาได้ พวกเขาอยากจะทำอะไรก็จะสำเร็จได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะบันดาลให้เขาพูดกันไม่รู้เรื่อง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป เป็นชนชาติต่างๆ ภาษาต่างๆ” นี่...ใครสักคนป้ายสีพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นมูลเหตุให้มนุษย์พูดกันไม่รู้เรื่อง. ใครสักคนในที่นี้มีอย่างน้อยสามคน นักภาษาศาสตร์ยุคใหม่วิเคราะห์ลักษณะการเขียน สำนวน คำศัพท์ที่ใช้ซึ่งบ่งบอกรากฐานและยุคสมัยได้ ทำการวิเคราะห์พระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับคิงเจมส์ พวกเขาลงความเห็นว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลมีผู้เขียนราวสามคน มีลักษณะการเขียนที่แตกต่างกันสามสำนวน คละเคล้ากันไปในแต่ละบท บางบทมีการปนกันมากกว่าหนึ่งสำนวน และยังลงความเห็นว่ารูปแบบการเขียนของบทปฐมกาล (genesis) เขียนทีหลังบทอพยพ (exodus) . นอกจากนี้นักภาษาศาสตร์ยุคหลังมานี่เชื่อว่าภาษาอินโดยูโรเปี้ยนนี้ คือผลของการทุบทำลายภาษาแม่ครั้งสำคัญในโลก เมื่อคุณพิจารณาพันธุกรรม คุณจะต้องทราบว่าผู้ชายชาวยุโรปและตะวันออกกลางแชร์สาแหรกพันธุกรรมในเครือเดียวกันคือ R / J / E อย่างที่ผมเขียนเรื่องยิวและปาเลสไตน์ไปก่อนนี้.. พวกคนยุโรป เปอร์เซีย อารยัน (ที่ภายหลังไปบุกอินเดียโบราณ) ล้วนเป็นสาแหรกเดียวกัน อย่าว่าแต่ยิวซึ่งเป็น semitic speaker ฆ่าปาเลสไตน์ที่เป็นพี่น้องใกล้ชิดเลย หากคนกรีก คนโรมัน ไปฆ่าคนเปอร์เซียหรือกลับกัน ก็คือพี่น้องฆ่ากันอยู่ดีนั่นแหละ อยู่มาวันหนึ่ง ไม่แน่ชัดว่าอะไรเป็นเหตุ หลังสงครามเทวีที่เกิดการต่อต้านปฏิเสธความเชื่อที่นับถือแม่เป็นใหญ่ เทวรูปของเทพีมากมาย เช่น Artemis เทวีผู้มอบความอุดมสมบูรณ์ ต่างพากันถูกทุบจมูกทุบใบหน้าทิ้งให้ดูน่าเกลียด ชนชาติที่เคยเกี่ยวดองกัน พลันแยกออกจากกันเป็นชนชาติใหม่ พูดภาษาใหม่ เด็กที่เกิดใหม่นับแต่นั้นจะถูกฝึกให้พูดภาษาที่สร้างขึ้นมา จากนั้นก็ตามมาด้วยชื่อสมมุติอย่างเช่น อัสซีเรีย อัคเคเดียน ฮิตไทท์... จากนั้นก็ตามมาด้วยสงครามพี่น้องฆ่ากัน ทั้งที่ชีววิทยาพันธุกรรมบอกว่าพวกเขาคือพี่น้องคลานตามกันมาทั้งนั้น และถ้าอ้างไบเบิ้ล อย่างเช่นกรณีของบุตรหลานของ Sam ลูกหลานของโนอาห์ ก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ความแบ่งแยกทำให้พวกเขาปฏิเสธสายใยที่มี . อย่างที่ชี้ให้เห็นนี่ ดีเอ็นเอบอกเราถึงความเป็นพี่น้องร่วมสาแหรก แต่พวกเขาปฏิเสธกันเองแล้วแบ่งแยก ทุบทำลายภาษาแม่ทิ้งไปพร้อมๆ กันในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ใช่เพราะฝีมือพระเจ้าหรอก มนุษย์นี่แหละ นักภาษาศาสตร์โบราณคดีทำการค้นคว้าเรื่องนี้แล้วทำการโยงภาษาในสกุลอินโดยูโรเปี้ยนทั้งหมด ย้อนกลับไปสู่ภาษาซาฮารันโบราณ ด้วยพจนานุกรมคำศัพท์ของพวก Basque (กลุ่มคนที่ isolated อยู่ในสเปนซึ่งเชื่อว่าเป็นภาษาลูกที่เหลืออยู่ของภาษาซาฮารัน).. เรื่องนี้ยาวนะ ผมเคยเล่าไว้ในบทความชื่อบาเบลที่ผมเกริ่นไปข้างบน ใครอยากลงลึกให้ไปอ่าน Linguistic Archaeology เขียนโดย Edo Nyland . เวลาเจอบทความอะไรจากเฒ่าเจ๊กปนลาวผู้นี้ รวมทั้งจากพวกสาวกกระดูกอ่อนของเขาก็เลยออกจะรำคาญ ด้วยการอ้างชื่อต่างๆ พวกเขาเชื่อมโยงยกแม่น้ำเป็นตุเป็นตะ ไอ้นั่นมาจากไหน ไอ้นี่มาจากไหน โดยไม่มีหลักฐานอะไรที่หนักแน่นพอมารองรับ… ยกตัวอย่างเช่นใช้กลองสำริดบ้าง ใช้ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณบ้าง มาอ้างอิงทั้งที่ไม่เข้าใจว่าดูอะไรอยู่ . ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณแต่ละแห่งที่พบในโลกที่รังสรรค์โดยบรรพบุรุษยุคแรก ถ้าคุณทาบข้อมูลทางโบราณคดีของมันกับข้อมูลอื่น เช่น พันธุกรรมและการอพยพย้ายถิ่น ธรณีวิทยา ภาษาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา วิทยาศาสตร์.. ก็จะรู้อะไรที่ต่างไปจากที่เคยมีคนสันนิษฐานกันออกมาก่อนหน้านี้ได้ เช่น ภูมิศาสตร์บอกว่าลักษณะภูมิประเทศแบบใดที่มนุษย์โบราณในยุคนั้นชอบใช้เป็นที่อาศัยและหลบภัย ลักษณะทางภูมิศาสตร์แบบไหนที่พบภาพเขียนสี ทำไมมันจึงถูกเลือกเป็นที่จัดทำนิทรรศการ.. ธรณีวิทยาบอกว่า พบดินแบบเดียวกันถูกใช้เป็นสีเขียนผนังถ้ำทุกแห่ง.. วิทยาศาสตร์บอกองค์ประกอบธาตุของสีที่ใช้เขียนว่าเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งแปลได้ว่าพวกเขาเรียนหนังสือมาจากที่เดียวกัน คือเรียนรู้เทคนิคในการทำแบบนี้ซ้ำต่อๆ กันมาเหมือนๆ กัน.. มานุษยวิทยาเห็นการสะท้อนธรรมเนียมนิยมทางวัฒนธรรมบรรพกาลของพวกเขา เช่น เอาสีใส่ปากพ่นผ่านมือให้เป็นรูปมือ เขียนรูปคนและสัตว์ที่มีลักษณะทาง figure ที่คล้ายคลึงกัน มีจินตนาการในการสร้างลักษณะของบุคคลที่พิเศษออกไปจากคนปกติเพื่อแสดงว่าเป็นผีสางเทวดาที่เขานับถือ... มีการวิเคราะห์คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ของสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ที่พวกเขาไปเขียนรูปไว้ เช่น คุณสมบัติการก้องสะท้อนเสียงของสถานที่ . และเมื่อทาบพันธุกรรมลงไปดูความสอดคล้องกัน เริ่มจากพวกเผ่า San Bushman ที่มียีนของอดัมที่เก่าที่สุดในโลก พบว่าพวกเขาทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันทุกด้านดังที่ได้กล่าวไปนั่น พวกอัสเลียนโบราณก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันกับที่กล่าวไปเช่นกัน เอาภาพเขียนสีเช่นที่ถ้ำเขาจันทร์งาม สีคิ้ว ไปเปรียบกับภาพเขียนสีในแอฟริกาที่พวกกอยซานทำ ทุกองค์ประกอบที่ว่านั่นก็จะเห็นว่าเหมือนกัน... พวกปาปัว-ออสตราอะบอริจิ้น ก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกับที่กล่าวไป นี่เป็นนวัตกรรมที่เป็นมรดกโคตรยาวนานของมนุษย์ จากแอฟริกาไปสู่จุดต่างๆในโลก ในวันนี้ พวกเขาเหล่านี้พูดกันคนละภาษา มันดูไม่มีความกี่ยวข้องกันใช่ไหมล่ะ? แต่วิทยาศาสตร์ไม่ได้บอกเช่นนั้น ในพันธุกรรมมี mutation ในวัฒนธรรมมี cultural transmission ถ้าเราขยับไปดูสิ่งที่คุ้นเคยกว่านั้นอีกสักอย่าง เช่น "กลอง".. มนุษย์ทุกแห่ง ตั้งแต่พวกที่อยู่ในแอฟริกา แม้แต่พวกชนเผ่าที่ไม่ได้อพยพไปไหนเลยจนกระทั่งยุคล่าอาณานิคม กับมนุษย์ทุกชนชาติที่กระจายอยู่ในทุกมุมโลก พวกเขาต่างทำกลองเหมือนกัน วิธีการคือ ด้วยการขึงหนังสัตว์ (membrane) ลงบนปากทรงกลมของวัตถุทรงกระบอก (cylinder) ขึงให้ตึงและตีให้สั่น นี่คือนวัตกรรมที่เรียก Membranophones คนทั้งโลกไม่ได้ต่างคนต่างทำเหมือนกันโดยบังเอิญ มันคือมรดกที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่ก่อนอพยพเมื่อแสนปีที่แล้วและเก่าพอๆ กับภาษาแรก . ซากบรรพชีวินที่นักวิชาการไทยอย่างที่อาจารย์รัศมีท่านสำรวจและค้นคว้าอยู่ กรอบเวลาเท่าไหร่? โนนนกทา? บ้านเชียง? พวกนั้นเป็นใคร? โฮโมเซเปี้ยนส์แน่นอน ชีววิทยาบอกชัดว่าเซเปี้ยนส์ เราไม่ได้วิวัฒน์มาจากโฮโมอีเร็คตัส พวกนั้นสูญพันธ์ไปแล้วก็จบ ยีนพ่อไม่เคยหายไปจากมนุษย์และเราไม่มียีนของอีเร็คตัสอยู่ในตัวเรา เมื่อราวเจ็ดหมื่นปีก่อน เกิด super eruption ขึ้นที่ภูเขาโทบาในสุมาตราโบราณ [https://geographical.co.uk/.../explainer-the-toba...] ทิ้งบาดแผลไว้เป็นทะเลสาปโทบาให้ดูในทุกวันนี้ ภัยพิบัตินี้รุนแรง มันตามมาด้วยฤดูหนาวนิวเคลียร์ (นักวิชาการว่าเช่นนี้) เถ้าภูเขาไฟปกคลุมโลกนานหลายปีและลอยไปไกลถึงกรีนแลนด์ โฮโมอีเร็คตัสในเอเชียถ้ายังมีชีวิตอยู่จะต้องตายหมด ดังนั้นไม่ว่าจะมนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ชวาอะไร ไม่เกี่ยวกับเราทั้งนั้น กรอบเวลาของบรรพบุรุษเราที่มาถึงที่นี่คือห้าหมื่นและสามหมื่นปีมาแล้ว มากันสองระลอก และคนพื้นเมืองที่บุกเบิกดินแดนนี้ไม่ได้แปะยี่ห้ออะไรเมื่อมาถึง นอกจากเรียกตัวเองว่า กอย หมายถึง คน… (ข่า ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย.. ลาว ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย) . ในความเป็นจริง มนุษย์โบราณที่เป็นบรรพบุรุษของชายชาวเอเชียราว 75 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็น Y DNA Hg O คือครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขามิวเททมาจากสาแหรกของพ่อ Y DNA Hg K ซึ่งมาถึงเอเชียกลางเมื่อราวสี่หมื่นปีและกระจายออกไป ทั้งที่ข้ามโกบีและไซบีเรีย ข้ามเบริงเจียไปอเมริกา (Hg Q) กลายเป็นพวกนาวาโฮ... ทั้งที่ย้อนกลับเข้าไปในยุโรปเผชิญความทารุณของยุคน้ำแข็งกลายเป็นพวกยุโรป (Hg R)… บรรพบุรุษพวกนี้ เมื่อตั้งถิ่นฐานตรงจุดใด ก็มักอยู่ตรงนั้น ลองนึกถึงความเป็นจริงว่า การย้ายถิ่นฐานใช้เวลายาวนานหลายชั่วคน เมื่อผู้อาวุโสหรือพ่อของเขาแก่เฒ่าไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินทางบุกเบิกต่อไป บางส่วนของพวกเขาจะหยุดการเดินทางและตั้งหลักแหล่งโดยเฉพาะเมื่อพบสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์พอจะดำรงชีพ คนหนุ่มจะเดินทางผจญภัยต่อไปเพื่อหาที่ของตนที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ได้มองโลกด้วยทัศนะของพวกเขาเอง พวกเขาจะพบปัญหาใหม่ จะได้หาทางแก้ไขสถานะการณ์ที่ไม่เคยพบ ดังนั้นพวกเขาจะมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ จนเมื่อพวกเขาพบว่าได้เจอสถานที่ที่พึงพอใจหรือไปต่อไม่ได้แล้ว การเดินทางก็จะหยุด . คุณคิดว่ามีมนุษย์จำนวนเท่าไหร่ เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นปีก่อน? . บรรพบุรุษของเรา เดินทางมาตามซุปเปอร์ไฮเวย์โบราณสายเอเชียกลางที่เป็นทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ อุดมด้วยกวางแอนทีโลฟและช้างแมมมอธ ท้องอิ่ม อบอุ่น และอันตรายน้อย เมื่อมาถึงซุนดา คุณคิดว่าพวกเขาจะอยู่อาศัยกันที่ไหน? บนภูเขา ในป่า หรือที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ? ไปคิดดูเป็นการบ้าน . หากพิจารณาดูปัจจัยต่างๆ เราจะรู้ได้ว่าชุมชนบรรพกาล มักจะตั้งอยู่บนที่ที่เหมาะสมในการผดุงชีพ อ.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ให้ความเห็นว่า เนื่องเพราะบรรพบุรุษพวกนี้ต้องเผชิญกับน้ำท่วมซุนดาถึงสามครั้ง พวกเขานิยมสร้างบ้านที่มีเสาสูงและมีไต้ถุนสูง ทำแพและมีทักษะในการเดินทางด้วยแพ ซึ่งพร้อมที่จะอพยพหนีโดยล่องด้วยแพขึ้นไปเรื่อยๆ สู่ทิศทางต้นน้ำ ไม่เดินเท้าเพราะไม่รู้ว่าน้ำจะมาทางไหน เมื่อเห็นและแน่ใจว่าน้ำหยุดท่วมแล้วก็ปักหลักตั้งถิ่นฐานใหม่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่มีจุดไหนที่มีทรัพยากรอุดมไปกว่าริมแม่น้ำ ทั้งสัตว์น้ำและดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ในป่านั้นมีโรคมากมายและสัตว์ร้าย พวกเขาจะเข้าไปต่อเมื่อต้องการล่าหรือหาของป่า . ชุมชนบรรพกาลเหล่านี้ เมื่อพบพื้นที่ที่พวกเขาพึงพอใจแล้วก็มักจะปักหลักอยู่เช่นนั้น สืบต่อกันไปหลายชั่วคน หลักฐานทางโบราณคดีก็ชี้ชัดเช่นนั้น ทำให้เกิดชุมชนโบราณขึ้นตรงนั้นตรงนี้มากมายและขยายตัวออกไป เกษตรกรรมเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เลิกเร่ร่อนแล้วหยุดตั้งหลักแหล่ง ผลที่เก็บเกี่ยวแน่นอนตามฤดูกาลทำให้ปัจจัยทางอาหารมั่นคง ดังนั้นพวกเขาจะไม่ย้ายไปไหนโดยง่ายถ้าไม่ใช่เพราะภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือสงครามจากคนกลุ่มอื่นมาบีบบังคับให้ย้ายไปที่อื่น ชุมชนบรรพกาลซึ่งประชากรมีอยู่น้อย ย่อมต้องการปริมาณแรงงานไว้เพื่อสร้างชุมชนของตนให้เติบโตรุ่งเรืองขึ้น ถ้าไม่เกิดปัญหาที่ว่านี้ พวกเขาก็จะไม่ย้ายไปไหน พวกเขาจำฤดูกาลประจำถิ่น ทิศทางลม เวลาน้ำขึ้นลง ยาอยู่ที่ไหน อะไรเป็นยา จำต้นไม้ได้ทุกต้นและรู้ว่าอะไรใช้ทำอะไรได้บ้าง สัตว์อยู่ที่ไหน หาเจอยังไง จับยังไง... ความรู้ในภูมิลำเนาพวกนี้ใช้เวลาสั่งสมยาวนาน . เราต่างได้เรียนรู้กันมามากพอสมควรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่บางครั้งนิยามหรือความสมมุติในความเป็นชนชาติบ้านเมืองต่างๆ มักพาให้ไขว้เขว บางถิ่นฐาน ผู้ปกครองเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะ มีทรัพยากรมาก แต่เป็นคนต่างถิ่นมาจากที่อื่น ไม่ต่างกับทุกวันนี้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหัวเมืองเช่นเชียงราย อาจเป็นลูกเศรษฐีตระกูลใหญ่จากกรุงเทพ สมัยโบราณก็เช่นกัน ประชากรเป็นคนพื้นเมืองท้องถิ่น อาจอยู่ที่นั่นมาแปดชั่วคนแล้ว เขาไม่ย้ายไปที่อื่นเพียงเพราะผู้ปกครองไม่ใช่คนพื้นเมืองเหมือนตน ถ้าปกครองดี ทุกคนยังกินอิ่ม ไม่รีดภาษี ไม่ก่อกรรมทำเข็ญ ข่มเหงรังแก พวกเขาก็จะอยู่อย่างนั้นต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน จักรวรรดิจีนโบราณดินแดนกว้างใหญ่ ประชากรไม่ได้มีแต่จีนฮั่นเท่านั้น ยังมีประชากรที่เป็นชนเผ่าอื่นๆในปกครองหลายสิบเผ่า แล้วก็มีผู้ปกครองที่มาจากถิ่นอื่นมาปกครอง เคยมีกษัตริย์ที่เป็นมองโกล กษัตริย์ที่เป็นแมนจูมานั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ ยิ่งรูปงามผิวพรรณผุดผ่องมาพร้อมโปรโมชั่นว่าเป็นเทพลงมาเกิดก็จะทำให้รู้สึกนับถืออยากพึ่งพาบารมี ดังนั้นผู้ปกครองก็อาจเป็นชาติพันธุ์หนึ่งขณะที่ประชากรในดินแดนเป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งได้ เช่น ผู้ปกครองมีชื่อสมมุติว่าเป็นชาติพันธุ์ลาว ผู้ใต้ปกครองอาจเป็นชาวพื้นเมืองมีชื่อสมมุติว่าชาติพันธุ์ข่า เป็นต้น.. ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่พูดนี่ เป็นคนละเรื่องกับแนวความคิดเรื่องชาติ ประเทศ รัฐ ชนชาติและสัญชาติ ซึ่งเป็นความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังตามคติของอาณานิคมตะวันตก . สำหรับผมมันเป็นเรื่องตลก ที่พูดว่าคนโคราชไม่ใช่คนอีสาน ความยึดมั่นของผู้พูดผูกโยงกับภูมิลำเนา ผูกกับสำเนียงภาษาที่ใช้ แล้วเอามามัดให้ประชากรนั้นเป็นเผ่าพันธ์ตามที่ตนผูกไว้ . คนอีสานคือใครในทัศนะวิทยาศาสตร์ คนอีสานอาจประกอบด้วยพลเมืองจากทางเหนือที่มาไกลจากจีน มาจากหยุนหนาน หรืออาจมาจากเวียตนาม ได้มากพอกับมีพลเมืองที่มีชื่อสมมุติว่า "ลาว" ที่เฒ่างี่เง่านี้นิยามให้สาวกเชื่อว่าเป็นคนท้องถิ่นโดยแท้แล้วก็ปฏิเสธในเชิงที่รู้สึกได้ว่าพยายามจะบอกใครๆ ว่าคนโคราชเป็น "สิ่งแปลกปลอมในท่ามกลางคนอีสาน" ผมรู้สึกอย่างนั้น แล้วเขาก็โยงเรื่องโยงชื่อ ทั้งคนทั้งสถานที่ มั่วไปหมดชนแพะชนแกะชนควาย อนุมานเอาตามความเชื่อตน ทั้งที่ความเป็นจริงทุกมนุษย์ที่อ้างอิงมานั่นไม่ว่าจะด้วยคำ สยาม ทวารวดี มอญ อยุธยา สุพรรณ โคราช ศรีโคตรบูรณ์ เวียงจันทร์ ชัยวรมัน.... บลาๆๆ... ล้วนคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O (O2 เป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงสุด) ทั้งนั้น ต่อให้หมู่บ้านนึงมันดันพูดได้สามภาษา ทั้งลาวทั้งอังกฤษทั้งเกาหลีสำเนียงเป๊ะทั้งหมู่บ้านก็ตามที . เขย่าไว้ไม่ให้นอนก้น ข้าว่าพวกเอ็งมันนอนก้นถอยหลังไปสองร้อยปี ฟังวนอยู่ห้าคำสิบคำ เต็มไปด้วยคำว่า “สันนิษฐานว่า…“ แปลเป็นไทยคือ คาดว่า เดาว่า... คือเอ็งไม่รู้ไง เชื่อเองเออเองแล้วมาชวนคนอื่นให้เชื่อตาม . นี่รู้ไหม... มีไม่น้อยนะที่สันนิษฐานว่ามนุษย์เซเปี้ยนส์นี่น่ะ มาจากเชื้อพันธุ์มนุษย์ต่างดาวชื่อ อนูนากิ แกเชื่อไหมเล่า? . - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา [2568] - .
    0 Comments 0 Shares 792 Views 0 Reviews
  • ควันหลงจากงานโอลิมปิกฤดูหนาวที่ประเทศจีน สืบเนื่องจาก ‘เงื่อนจีน’ หรือที่เรียกว่า ‘จงกั๋วเจี๋ย’ (中国结) ถูกนำมาใช้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของงาน แม้แต่พิธีปิดยังมีให้เห็น เพื่อนเพจหลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันบ้างอยู่แล้ว วันนี้เรามาคุยกันเบาๆ เกี่ยวกับเงื่อนจีน

    คำว่าเงื่อนหรือ ‘เจี๋ย’ นั้น ในความหมายจีนแปลได้อีกว่าความผูกพันหรือความเชื่อมโยงหรือความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน จึงเป็นที่มาของการถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของงานโอลิมปิกฤดูหนาว 2022 ภายใต้คำขวัญ “ก้าวสู่อนาคตไปด้วยกัน”

    เงื่อนจีนถูกค้นพบขึ้นเมื่อใดไม่ชัดเจน ทราบแต่ว่ามนุษย์เรารู้จักการผูกเงื่อนมาตั้งแต่สมัยยุคหิน ในสมัยดึกดำบรรพ์ใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องมือล่าสัตว์หรือเครื่องมือช่วยดำรงชีพอื่นๆ และลวดลายและวิธีผูกเงื่อนพัฒนามาเรื่อยๆ หลังจากนั้น ในยุคสมัยชุนชิว เงื่อนจีนถูกนำมาใช้อย่างหลากหลาย เช่นเป็นกระดุม ใช้ผูกพวงเหรียญไว้พกพา และถูกนำมาใช้ในการสื่อสารหรือจดจำเหตุการณ์ ในบันทึกเกี่ยวกับราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล - ปีค.ศ. 220) มีการกล่าวถึงหลักการจารึกเหตุการณ์ต่างๆ ไว้ว่า ‘เหตุการณ์ใหญ่ ใช้เงื่อนใหญ่ เรื่องเล็ก ใช้เงื่อนเล็ก’ และมีการใช้ลายเงื่อนที่แตกต่างกันสำหรับหมวดหมู่ที่แตกต่างของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    เงื่อนจีนถูกยกระดับเป็นศิลปะอย่างหนึ่งและแพร่หลายเป็นอย่างมากในยุคสมัยราชวงศ์ถังและซ่ง มีการนำมาใช้เป็นสร้อยหรืออุบะสำหรับเครื่องประดับหลายชนิดเช่นป้ายหยก พัด ขลุ่ย กระบี่ ถุงหอม ฯลฯ และในยุคสมัยราชวงศ์หมิงและชิงก็ยิ่งพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นในเรื่องของความหลากหลายของลวดลายและความวิจิตร มีการตั้งชื่อและคิดค้นลายใหม่ๆ ขึ้นมากมาย รวมถึงการนำมาใช้ประดับบ้านเรือน

    เงื่อนจีนแตกต่างจากเงื่อนในวัฒนธรรมฟากตะวันตกอย่างไร? เอกลักษณ์ของเงื่อนจีนคือผูกขึ้นด้วยเชือกเส้นเดียวเท่านั้น เป็นการผูกสองชั้นดังนั้นลายหน้าหลังจะเหมือนกัน Storyฯ อ่านเจอว่าเงื่อนจีนที่วางขายในปัจจุบันส่วนใหญ่ใช้เชือกยาวมาตรฐานประมาณหนึ่งเมตร

    ลายเงื่อนจีนมีใช้เป็นสัญลักษณ์ในหลายกรณี เช่นเพื่อเป็นของมงคล หรือปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย และใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความผูกพัน ชื่อเรียกก็มีหลากหลาย โดยลายที่เราเห็นในงานโอลิมปิกฤดูหนาวปีนี้ (ดูภาพประกอบ) มีชื่อเรียกว่า ‘เงื่อนมงคล’ (จี๋เสียงเจี๋ย/吉祥结) ว่ากันว่าลายพื้นฐานนี้เป็นหนึ่งในลายที่เก่าแก่ที่สุดของเงื่อนจีน พัฒนาขึ้นมาในสมัยราชวงศ์ถัง เป็นสัญลักษณ์ของความสงบสุข โชคลาภ รวมถึงช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย

    (หมายเหตุ เพื่อนเพจที่สนใจชนิดของเงื่อนต่างๆ ดูได้ที่นี่ค่ะ https://tcm.dtam.moph.go.th/images/files/kch002.pdf)

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.fudan.edu.cn/en/2022/0208/c1092a130100/page.htm
    https://www.chinadaily.com.cn/a/202202/21/WS62134c14a310cdd39bc87f6d_5.html
    https://kknews.cc/culture/25y4r.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://kknews.cc/culture/yjgakzn.html
    https://baike.baidu.com/item/中国结/187053
    https://www.aizsg.com/post/9365.html

    #สัญลักษณ์โอลิมปิก2022 #เงื่อนจีน #ผูกเชือกจีน #จงกั๋วเจี๋ย #จี๋เสียงเจี๋ยน
    ควันหลงจากงานโอลิมปิกฤดูหนาวที่ประเทศจีน สืบเนื่องจาก ‘เงื่อนจีน’ หรือที่เรียกว่า ‘จงกั๋วเจี๋ย’ (中国结) ถูกนำมาใช้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของงาน แม้แต่พิธีปิดยังมีให้เห็น เพื่อนเพจหลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันบ้างอยู่แล้ว วันนี้เรามาคุยกันเบาๆ เกี่ยวกับเงื่อนจีน คำว่าเงื่อนหรือ ‘เจี๋ย’ นั้น ในความหมายจีนแปลได้อีกว่าความผูกพันหรือความเชื่อมโยงหรือความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน จึงเป็นที่มาของการถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของงานโอลิมปิกฤดูหนาว 2022 ภายใต้คำขวัญ “ก้าวสู่อนาคตไปด้วยกัน” เงื่อนจีนถูกค้นพบขึ้นเมื่อใดไม่ชัดเจน ทราบแต่ว่ามนุษย์เรารู้จักการผูกเงื่อนมาตั้งแต่สมัยยุคหิน ในสมัยดึกดำบรรพ์ใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องมือล่าสัตว์หรือเครื่องมือช่วยดำรงชีพอื่นๆ และลวดลายและวิธีผูกเงื่อนพัฒนามาเรื่อยๆ หลังจากนั้น ในยุคสมัยชุนชิว เงื่อนจีนถูกนำมาใช้อย่างหลากหลาย เช่นเป็นกระดุม ใช้ผูกพวงเหรียญไว้พกพา และถูกนำมาใช้ในการสื่อสารหรือจดจำเหตุการณ์ ในบันทึกเกี่ยวกับราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล - ปีค.ศ. 220) มีการกล่าวถึงหลักการจารึกเหตุการณ์ต่างๆ ไว้ว่า ‘เหตุการณ์ใหญ่ ใช้เงื่อนใหญ่ เรื่องเล็ก ใช้เงื่อนเล็ก’ และมีการใช้ลายเงื่อนที่แตกต่างกันสำหรับหมวดหมู่ที่แตกต่างของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เงื่อนจีนถูกยกระดับเป็นศิลปะอย่างหนึ่งและแพร่หลายเป็นอย่างมากในยุคสมัยราชวงศ์ถังและซ่ง มีการนำมาใช้เป็นสร้อยหรืออุบะสำหรับเครื่องประดับหลายชนิดเช่นป้ายหยก พัด ขลุ่ย กระบี่ ถุงหอม ฯลฯ และในยุคสมัยราชวงศ์หมิงและชิงก็ยิ่งพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นในเรื่องของความหลากหลายของลวดลายและความวิจิตร มีการตั้งชื่อและคิดค้นลายใหม่ๆ ขึ้นมากมาย รวมถึงการนำมาใช้ประดับบ้านเรือน เงื่อนจีนแตกต่างจากเงื่อนในวัฒนธรรมฟากตะวันตกอย่างไร? เอกลักษณ์ของเงื่อนจีนคือผูกขึ้นด้วยเชือกเส้นเดียวเท่านั้น เป็นการผูกสองชั้นดังนั้นลายหน้าหลังจะเหมือนกัน Storyฯ อ่านเจอว่าเงื่อนจีนที่วางขายในปัจจุบันส่วนใหญ่ใช้เชือกยาวมาตรฐานประมาณหนึ่งเมตร ลายเงื่อนจีนมีใช้เป็นสัญลักษณ์ในหลายกรณี เช่นเพื่อเป็นของมงคล หรือปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย และใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความผูกพัน ชื่อเรียกก็มีหลากหลาย โดยลายที่เราเห็นในงานโอลิมปิกฤดูหนาวปีนี้ (ดูภาพประกอบ) มีชื่อเรียกว่า ‘เงื่อนมงคล’ (จี๋เสียงเจี๋ย/吉祥结) ว่ากันว่าลายพื้นฐานนี้เป็นหนึ่งในลายที่เก่าแก่ที่สุดของเงื่อนจีน พัฒนาขึ้นมาในสมัยราชวงศ์ถัง เป็นสัญลักษณ์ของความสงบสุข โชคลาภ รวมถึงช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย (หมายเหตุ เพื่อนเพจที่สนใจชนิดของเงื่อนต่างๆ ดูได้ที่นี่ค่ะ https://tcm.dtam.moph.go.th/images/files/kch002.pdf) (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.fudan.edu.cn/en/2022/0208/c1092a130100/page.htm https://www.chinadaily.com.cn/a/202202/21/WS62134c14a310cdd39bc87f6d_5.html https://kknews.cc/culture/25y4r.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://kknews.cc/culture/yjgakzn.html https://baike.baidu.com/item/中国结/187053 https://www.aizsg.com/post/9365.html #สัญลักษณ์โอลิมปิก2022 #เงื่อนจีน #ผูกเชือกจีน #จงกั๋วเจี๋ย #จี๋เสียงเจี๋ยน
    1 Comments 0 Shares 617 Views 0 Reviews
  • สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันถึงเงื่อนจีนหรือ ‘จงกั๋วเจี๋ย’ ซึ่งคำว่าเงื่อนหรือ ‘เจี๋ย’ นั้น ในความหมายจีนแปลได้อีกว่าความผูกพันหรือความเชื่อมโยงหรือความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน และถูกนำมาใช้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของงานโอลิมปิกฤดูหนาว 2022

    เพื่อนเพจแฟนละครหรือนิยายจีนต้องเคยได้ยินคำว่า ‘เจี๋ย’ นี้ถูกนำมาใช้สื่อความหมายเกี่ยวกับความรักรวมถึงเงื่อนจีนที่ถูกใช้เป็นตัวแทนแห่งความรัก วันนี้เรามาคุยกันถึงวลีจีนเกี่ยวกับ ‘เจี๋ย’ และความหมายของมัน

    ความมีอยู่ว่า
    ... “ตราบแต่นี้ไป ข้าก็เป็นภรรยาผูกปมผมของท่านแล้ว สองเราจะไม่ทอดทิ้งกัน ติดตามกันไปตราบจนชีวิตจะหาไม่” เล่อเยียนยิ้มกล่าว...
    - ถอดบทสนทนาจากละคร <สตรีหาญฉางเกอ> (Storyฯ แปลเองจ้า)

    คำแปลข้างบนอาจฟังดูงง คำว่า ‘ผูกปมผม’ (เจี๋ยฟ่า / 结发) หมายถึงอะไร? ในเรื่อง <สตรีหาญฉางเกอ> มีฉากที่ฮ่าวตู (เจ้าบ่าว) คลายเชือกหลากสีที่มัดอยู่ที่มวยผมของเล่อเยียน (เจ้าสาว) แล้วต่างคนต่างตัดปอยผมมารวมกันเอาเชือกนั้นผูกไว้ (ดูภาพประกอบที่ดึงมาจากในละคร) นี่คือการ ‘ผูกปมผม’ ซึ่งเป็นหนึ่งในพิธีการเข้าหอของคู่บ่าวสาวหลังจากเกี่ยวก้อยกันดื่มสุรามงคลแล้ว

    เริ่มกันที่การปลดเชือก เชือกหลากสีที่เห็นนี้ มีชื่อเรียกว่า ‘อิง’ สตรีที่ได้รับการหมั้นหมายแล้วจะต้องผูกเชือกนี้ไว้ที่มวยผม ตราบจนวันแต่งงานเข้าหอแล้วมีเพียงเจ้าบ่าวที่สามารถปลดเชือกนี้ได้ การทำอย่างนี้มีมาแต่สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก (1047 – 772 ปีก่อนคริสตกาล) ปรากฏในบันทึกพิธีการการแต่งงาน (仪礼·土昏礼 ซึ่งเป็นบันทึกเดียวกับที่กล่าวถึง ‘หกพิธีการ’/六礼 ของงานแต่งงานที่เพื่อนเพจอาจเคยผ่านหู) บันทึกนี้เป็นหนึ่งในสามบันทึกที่เก่าแก่ที่สุดของจีนเกี่ยวกับเรื่องประเพณีและพิธีการ แต่... บันทึกนี้ไม่ได้กล่าวถึงการผูกปมผม

    พิธีการผูกปมผมเริ่มแต่เมื่อใดไม่ปรากฏบันทึกที่ชัดเจน แต่บทกวีในสมัยราชวงศ์ฮั่นที่ประพันธ์โดยซูอู่ (140 - 60 ปีก่อนคริสตกาล) มีวรรคนี้ปรากฏ “ผูกปมผมเป็นสามีภรรยา รักกันไม่เคลือบแคลงใจ” (结发为夫妻,恩爱两不疑) ดังนั้นการเอาปอยผมมามัดเข้ากันนี้มีแล้วในสมัยราชวงศ์ฮั่น และวลีนี้เป็นอีกหนึ่งวลีคลาสสิกที่ใช้กล่าวถึงความรักที่มั่นคง

    แต่มันมีความหมายมากกว่านั้นค่ะ

    ในธรรมเนียมจีนโบราณ จะมีเพียงภรรยาเอกคนเดียวที่มีการกราบไหว้ฟ้าดินแล้วส่งตัวเข้าห้องหอ ส่วนอนุทั้งหลายจะเพียงแต่รับตัวเข้ามาเข้าห้องเลย ดังนั้นคำว่า ‘ภรรยาผูกปมผม’ ในบางบริบทไม่ใช่หมายถึงรักเดียว แต่อาจหมายถึงภรรยาที่แต่งเข้ามาเป็นคนแรกก็ได้ค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/366760262
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.epochtimes.com/gb/20/10/19/n12485542.htm
    https://baike.sogou.com/v168462018.htm
    https://www.pinshiwen.com/gsdq/aqsc/20190711144812.html

    #สตรีหาญฉางเกอ #ฮ่าวตูเล่อเยียน #พิธีแต่งงานจีนโบราณ #ผูกปมผม #เจี๋ยฟ่า #เจี๋ยฝ้า
    สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันถึงเงื่อนจีนหรือ ‘จงกั๋วเจี๋ย’ ซึ่งคำว่าเงื่อนหรือ ‘เจี๋ย’ นั้น ในความหมายจีนแปลได้อีกว่าความผูกพันหรือความเชื่อมโยงหรือความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน และถูกนำมาใช้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของงานโอลิมปิกฤดูหนาว 2022 เพื่อนเพจแฟนละครหรือนิยายจีนต้องเคยได้ยินคำว่า ‘เจี๋ย’ นี้ถูกนำมาใช้สื่อความหมายเกี่ยวกับความรักรวมถึงเงื่อนจีนที่ถูกใช้เป็นตัวแทนแห่งความรัก วันนี้เรามาคุยกันถึงวลีจีนเกี่ยวกับ ‘เจี๋ย’ และความหมายของมัน ความมีอยู่ว่า ... “ตราบแต่นี้ไป ข้าก็เป็นภรรยาผูกปมผมของท่านแล้ว สองเราจะไม่ทอดทิ้งกัน ติดตามกันไปตราบจนชีวิตจะหาไม่” เล่อเยียนยิ้มกล่าว... - ถอดบทสนทนาจากละคร <สตรีหาญฉางเกอ> (Storyฯ แปลเองจ้า) คำแปลข้างบนอาจฟังดูงง คำว่า ‘ผูกปมผม’ (เจี๋ยฟ่า / 结发) หมายถึงอะไร? ในเรื่อง <สตรีหาญฉางเกอ> มีฉากที่ฮ่าวตู (เจ้าบ่าว) คลายเชือกหลากสีที่มัดอยู่ที่มวยผมของเล่อเยียน (เจ้าสาว) แล้วต่างคนต่างตัดปอยผมมารวมกันเอาเชือกนั้นผูกไว้ (ดูภาพประกอบที่ดึงมาจากในละคร) นี่คือการ ‘ผูกปมผม’ ซึ่งเป็นหนึ่งในพิธีการเข้าหอของคู่บ่าวสาวหลังจากเกี่ยวก้อยกันดื่มสุรามงคลแล้ว เริ่มกันที่การปลดเชือก เชือกหลากสีที่เห็นนี้ มีชื่อเรียกว่า ‘อิง’ สตรีที่ได้รับการหมั้นหมายแล้วจะต้องผูกเชือกนี้ไว้ที่มวยผม ตราบจนวันแต่งงานเข้าหอแล้วมีเพียงเจ้าบ่าวที่สามารถปลดเชือกนี้ได้ การทำอย่างนี้มีมาแต่สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก (1047 – 772 ปีก่อนคริสตกาล) ปรากฏในบันทึกพิธีการการแต่งงาน (仪礼·土昏礼 ซึ่งเป็นบันทึกเดียวกับที่กล่าวถึง ‘หกพิธีการ’/六礼 ของงานแต่งงานที่เพื่อนเพจอาจเคยผ่านหู) บันทึกนี้เป็นหนึ่งในสามบันทึกที่เก่าแก่ที่สุดของจีนเกี่ยวกับเรื่องประเพณีและพิธีการ แต่... บันทึกนี้ไม่ได้กล่าวถึงการผูกปมผม พิธีการผูกปมผมเริ่มแต่เมื่อใดไม่ปรากฏบันทึกที่ชัดเจน แต่บทกวีในสมัยราชวงศ์ฮั่นที่ประพันธ์โดยซูอู่ (140 - 60 ปีก่อนคริสตกาล) มีวรรคนี้ปรากฏ “ผูกปมผมเป็นสามีภรรยา รักกันไม่เคลือบแคลงใจ” (结发为夫妻,恩爱两不疑) ดังนั้นการเอาปอยผมมามัดเข้ากันนี้มีแล้วในสมัยราชวงศ์ฮั่น และวลีนี้เป็นอีกหนึ่งวลีคลาสสิกที่ใช้กล่าวถึงความรักที่มั่นคง แต่มันมีความหมายมากกว่านั้นค่ะ ในธรรมเนียมจีนโบราณ จะมีเพียงภรรยาเอกคนเดียวที่มีการกราบไหว้ฟ้าดินแล้วส่งตัวเข้าห้องหอ ส่วนอนุทั้งหลายจะเพียงแต่รับตัวเข้ามาเข้าห้องเลย ดังนั้นคำว่า ‘ภรรยาผูกปมผม’ ในบางบริบทไม่ใช่หมายถึงรักเดียว แต่อาจหมายถึงภรรยาที่แต่งเข้ามาเป็นคนแรกก็ได้ค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/366760262 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.epochtimes.com/gb/20/10/19/n12485542.htm https://baike.sogou.com/v168462018.htm https://www.pinshiwen.com/gsdq/aqsc/20190711144812.html #สตรีหาญฉางเกอ #ฮ่าวตูเล่อเยียน #พิธีแต่งงานจีนโบราณ #ผูกปมผม #เจี๋ยฟ่า #เจี๋ยฝ้า
    1 Comments 0 Shares 645 Views 0 Reviews
  • แฟนละคร/นิยายจีนคงคุ้นเคยดีกับโครงเรื่องที่มีการชิงอำนาจทางการเมืองด้วยการจัดให้มีการแต่งงานระหว่างตระกูลดังกับเชื้อพระวงศ์ จนเกิดเป็นแรงกดดันมหาศาลให้กับตัวละครเอก บางคนอาจเคยบ่นว่า ‘มันจะอะไรกันนักหนา?’

    วันนี้ Storyฯ ยกตัวอย่างมาคุยเกี่ยวกับตระกูลขุนนางเก่าแก่เรืองอำนาจ (เรียกรวมว่า สื้อเจีย / 世家)
    เป็นหนึ่งในตระกูลที่ดังที่สุดในประวัติศาสตร์ตอนต้นและกลางของจีนโบราณก็ว่าได้

    ความมีอยู่ว่า
    ....ตระกูลชุยจากชิงเหอรุ่นนี้ สายหลักของตระกูลมีนางเป็นบุตรีโทนแต่เพียงผู้เดียว ... และตระกูลชุยกำลังรุ่งเรือง นางยังอยู่ในท้องของมารดาก็ได้รับการหมั้นหมายให้กับองค์ชายรัชทายาทแล้ว....
    - จากเรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> ผู้แต่ง โม่เป่าเฟยเป่า (แต่บทความ Storyฯ แปลเองจ้า)

    ชิงเหอคือพื้นที่ทางด้านเหนือของจีน (แถบเหอหนาน เหอเป่ยและซานตง) ในสมัยจีนตอนต้นมีสถานะเป็นแคว้นบ้างหรือรองลงมาเป็นจวิ้น (郡) บ้าง ซึ่งนับเป็นเขตการปกครองที่ใหญ่ มีหลายตระกูลดังในประวัติศาตร์จีนที่มาจากพื้นที่แถบนี้ หนึ่งในนั้นคือตระกูลชุย

    ตระกูลชุยมีรากฐานยาวนานมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก (ปี 1046-771 ก่อนคริสตกาล) แตกสกุลมาจากสกุลเจียงและรวมถึงชาวเผ่าพันธุ์อื่นที่หันมาใช้สกุลนี้ รับราชการในตำแหน่งสำคัญมาหลายยุคสมัย แตกมาเป็นสายที่เรียกว่า ‘ตระกูลชุยจากชิงเหอ’ ในยุคสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ (ปี 221 – 206 ก่อนคริสตกาล) เมื่อชุยเหลียง (ทายาทรุ่นที่ 7) ได้รับการอวยยศเป็นโหวและได้รับพระราชทานเขตการปกครองชิงเหอนี้ และต่อมาตระกูลชุยจากชิงเหอมีแตกสายย่อยไปอีกรวมเป็นหกสาย

    ตระกูลชุยจากชิงเหอที่กล่าวถึงในละครข้างต้น ‘ไม่ธรรมดา’ แค่ไหน?

    ตระกูลชุยจากชิงเหอรับราชการระดับสูงต่อเนื่อง ผ่านร้อนผ่านหนาวแต่อยู่ยงคงกระพันมากว่า 700 ปี ถูกยกย่องว่าเป็น ‘ที่สุด’ ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ในยุคสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ (ปีค.ศ. 386 – 535) และในสมัยราชวงศ์ถังก็เป็นหนึ่งในห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสาย (五姓七族) อันเป็นตระกูลชั้นสูงที่ต่อมาถูกห้ามไม่ให้แต่งงานกันเอง เพื่อป้องกันไม่ให้สร้างฐานอำนาจมากเกินไป

    มีคนจากตระกูลชุยจากชิงเหอนี้เป็นอัครมหาเสนาบดี (จ่ายเซี่ยง / 宰相) หรือตำแหน่งที่สูงคล้ายกันมากมายหลายรุ่น เฉพาะในสมัยราชวงศ์ถังที่ยาวนานเกือบสามร้อยปีก็มีถึง 12 คน (ถ้ารวมตระกูลชุยสายอื่นมีอีก 10 คน) มีจอหงวน 11 คน ยังไม่รวมที่รับราชการในตำแหน่งอื่น ที่กุมอำนาจทางการทหาร ที่เป็นผู้นำทางความคิด (นักปราชญ์ กวีชื่อดัง) และที่เป็นลูกหลานฝ่ายหญิงที่แต่งเข้าวังในตำแหน่งต่างๆ อีกจำนวนไม่น้อย จวบจนสมัยซ่งใต้ ฐานอำนาจของตระกูลนี้จึงเสื่อมจางลงเหมือนกับตระกูลสื้อเจียอื่นๆ

    ทำไมต้องพูดถึงตระกูลชุยจากชิงเหอ? Storyฯ เล่าเป็นตัวอย่างของเหล่าตระกูลสื้อเจียค่ะ จากที่เคยคิดว่า ‘มันจะอะไรกันนักหนา?’ แต่พอมาเห็นรากฐานของตระกูลสื้อเจียเหล่านี้ เราจะได้อรรถรสเลยว่า ‘ฐานอำนาจ’ ที่เขาพูดถึงกันนั้น มันหยั่งรากลึกแค่ไหน? เหตุใดตัวละครเอกมักรู้สึกถูกกดดันมากมาย? และเพราะเหตุใดมันจึงฝังรากลึกในวัฒนธรรมจีนโบราณ? เพราะมันไม่ใช่เรื่องของหนึ่งหรือสองชั่วอายุคน แต่เรากำลังพูดถึงฐานอำนาจหลายร้อยปีที่แทรกซึมเข้าไปในสังคมโดยมีประมุขใหญ่ของตระกูลในแต่ละรุ่นเป็นแกนนำสำคัญ

    Storyฯ หวังว่าเพื่อนๆ จะดูละครได้อรรถรสยิ่งขึ้นนะคะ ใครเห็นบทบาทของคนในตระกูลชุยในละครเรื่องอื่นใดอีกหรือหากนึกถึงตระกูลอื่นที่คล้ายคลึงก็เม้นท์มาได้ค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.sohu.com/a/484438060_121051662
    https://www.sohu.com/a/485012584_100151502
    https://www.sohu.com/a/489015136_120827444

    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.163.com/dy/article/FNSTJKT60543BK4H.html
    https://new.qq.com/omn/20211021/20211021A09WBQ00.html
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_16209361
    https://www.baike.com/wiki/清河崔氏
    https://zh.wikipedia.org/wiki/清河崔氏

    #กระดูกงดงาม #ตระกูลชุย #สกุลชุย #ชิงเหอ #สื้อเจีย
    แฟนละคร/นิยายจีนคงคุ้นเคยดีกับโครงเรื่องที่มีการชิงอำนาจทางการเมืองด้วยการจัดให้มีการแต่งงานระหว่างตระกูลดังกับเชื้อพระวงศ์ จนเกิดเป็นแรงกดดันมหาศาลให้กับตัวละครเอก บางคนอาจเคยบ่นว่า ‘มันจะอะไรกันนักหนา?’ วันนี้ Storyฯ ยกตัวอย่างมาคุยเกี่ยวกับตระกูลขุนนางเก่าแก่เรืองอำนาจ (เรียกรวมว่า สื้อเจีย / 世家) เป็นหนึ่งในตระกูลที่ดังที่สุดในประวัติศาสตร์ตอนต้นและกลางของจีนโบราณก็ว่าได้ ความมีอยู่ว่า ....ตระกูลชุยจากชิงเหอรุ่นนี้ สายหลักของตระกูลมีนางเป็นบุตรีโทนแต่เพียงผู้เดียว ... และตระกูลชุยกำลังรุ่งเรือง นางยังอยู่ในท้องของมารดาก็ได้รับการหมั้นหมายให้กับองค์ชายรัชทายาทแล้ว.... - จากเรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> ผู้แต่ง โม่เป่าเฟยเป่า (แต่บทความ Storyฯ แปลเองจ้า) ชิงเหอคือพื้นที่ทางด้านเหนือของจีน (แถบเหอหนาน เหอเป่ยและซานตง) ในสมัยจีนตอนต้นมีสถานะเป็นแคว้นบ้างหรือรองลงมาเป็นจวิ้น (郡) บ้าง ซึ่งนับเป็นเขตการปกครองที่ใหญ่ มีหลายตระกูลดังในประวัติศาตร์จีนที่มาจากพื้นที่แถบนี้ หนึ่งในนั้นคือตระกูลชุย ตระกูลชุยมีรากฐานยาวนานมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก (ปี 1046-771 ก่อนคริสตกาล) แตกสกุลมาจากสกุลเจียงและรวมถึงชาวเผ่าพันธุ์อื่นที่หันมาใช้สกุลนี้ รับราชการในตำแหน่งสำคัญมาหลายยุคสมัย แตกมาเป็นสายที่เรียกว่า ‘ตระกูลชุยจากชิงเหอ’ ในยุคสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ (ปี 221 – 206 ก่อนคริสตกาล) เมื่อชุยเหลียง (ทายาทรุ่นที่ 7) ได้รับการอวยยศเป็นโหวและได้รับพระราชทานเขตการปกครองชิงเหอนี้ และต่อมาตระกูลชุยจากชิงเหอมีแตกสายย่อยไปอีกรวมเป็นหกสาย ตระกูลชุยจากชิงเหอที่กล่าวถึงในละครข้างต้น ‘ไม่ธรรมดา’ แค่ไหน? ตระกูลชุยจากชิงเหอรับราชการระดับสูงต่อเนื่อง ผ่านร้อนผ่านหนาวแต่อยู่ยงคงกระพันมากว่า 700 ปี ถูกยกย่องว่าเป็น ‘ที่สุด’ ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ในยุคสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ (ปีค.ศ. 386 – 535) และในสมัยราชวงศ์ถังก็เป็นหนึ่งในห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสาย (五姓七族) อันเป็นตระกูลชั้นสูงที่ต่อมาถูกห้ามไม่ให้แต่งงานกันเอง เพื่อป้องกันไม่ให้สร้างฐานอำนาจมากเกินไป มีคนจากตระกูลชุยจากชิงเหอนี้เป็นอัครมหาเสนาบดี (จ่ายเซี่ยง / 宰相) หรือตำแหน่งที่สูงคล้ายกันมากมายหลายรุ่น เฉพาะในสมัยราชวงศ์ถังที่ยาวนานเกือบสามร้อยปีก็มีถึง 12 คน (ถ้ารวมตระกูลชุยสายอื่นมีอีก 10 คน) มีจอหงวน 11 คน ยังไม่รวมที่รับราชการในตำแหน่งอื่น ที่กุมอำนาจทางการทหาร ที่เป็นผู้นำทางความคิด (นักปราชญ์ กวีชื่อดัง) และที่เป็นลูกหลานฝ่ายหญิงที่แต่งเข้าวังในตำแหน่งต่างๆ อีกจำนวนไม่น้อย จวบจนสมัยซ่งใต้ ฐานอำนาจของตระกูลนี้จึงเสื่อมจางลงเหมือนกับตระกูลสื้อเจียอื่นๆ ทำไมต้องพูดถึงตระกูลชุยจากชิงเหอ? Storyฯ เล่าเป็นตัวอย่างของเหล่าตระกูลสื้อเจียค่ะ จากที่เคยคิดว่า ‘มันจะอะไรกันนักหนา?’ แต่พอมาเห็นรากฐานของตระกูลสื้อเจียเหล่านี้ เราจะได้อรรถรสเลยว่า ‘ฐานอำนาจ’ ที่เขาพูดถึงกันนั้น มันหยั่งรากลึกแค่ไหน? เหตุใดตัวละครเอกมักรู้สึกถูกกดดันมากมาย? และเพราะเหตุใดมันจึงฝังรากลึกในวัฒนธรรมจีนโบราณ? เพราะมันไม่ใช่เรื่องของหนึ่งหรือสองชั่วอายุคน แต่เรากำลังพูดถึงฐานอำนาจหลายร้อยปีที่แทรกซึมเข้าไปในสังคมโดยมีประมุขใหญ่ของตระกูลในแต่ละรุ่นเป็นแกนนำสำคัญ Storyฯ หวังว่าเพื่อนๆ จะดูละครได้อรรถรสยิ่งขึ้นนะคะ ใครเห็นบทบาทของคนในตระกูลชุยในละครเรื่องอื่นใดอีกหรือหากนึกถึงตระกูลอื่นที่คล้ายคลึงก็เม้นท์มาได้ค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.sohu.com/a/484438060_121051662 https://www.sohu.com/a/485012584_100151502 https://www.sohu.com/a/489015136_120827444 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.163.com/dy/article/FNSTJKT60543BK4H.html https://new.qq.com/omn/20211021/20211021A09WBQ00.html https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_16209361 https://www.baike.com/wiki/清河崔氏 https://zh.wikipedia.org/wiki/清河崔氏 #กระดูกงดงาม #ตระกูลชุย #สกุลชุย #ชิงเหอ #สื้อเจีย
    1 Comments 0 Shares 542 Views 0 Reviews
  • สัปดาห์ที่แล้วคุยเกี่ยวกับตระกูลขุนนางเก่าแก่เรืองอำนาจหรือที่เรียกรวมว่า ‘สื้อเจีย’ (世家) มีเพื่อนเพจสนใจไม่น้อย ให้หาเรื่องราวตระกูลสื้อเจียอื่นมาเล่าให้ฟังอีก Storyฯ เล่าแบบคร่าวๆ นะคะ

    วันนี้เริ่มต้นที่สี่ตระกูลใหญ่ในยุคสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ (ปีค.ศ. 386 – 535) สี่ตระกูลนี้คือ ชุยแห่งชิงเหอ (ที่ Storyฯ พูดถึงเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว) หลูแห่งลั่วหยาง เจิ้งแห่งสิงหยาง และหวางแห่งไท่หยวน

    จะเห็นว่าคำกล่าวเรียกมีสององค์ประกอบคือ แซ่/สกุล และพื้นที่การปกครอง ดังนั้น ในบรรดาสายตระกูลที่จะเล่าถึงต่อไปนี้ อาจมีบางแซ่ที่ใช้กันแพร่หลาย แต่เขาจะมี ‘สายแข็ง’ ของเขาค่ะ

    ตระกูลหลูแห่งลั่วหยาง (范阳卢氏) มีภูมิลำเนาเดิมอยู่แถบพื้นที่เหอเป่ยและเหอหนาน แตกสกุลมาจากสกุลเจียงและชนกลุ่มอื่น มีผู้รับราชการตำแหน่งสูงหลายคน ต้นตระกูลที่โด่งดังมากคือประมุขรุ่นที่ 13 หลูอ๋าว ผู้ดำรงตำแหน่งอู่จิงป๋อซื่อ (五经博士 / ราชบัณฑิตห้าวิชา) ในยุคสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ (ปี 221 – 206 ก่อนคริสตกาล) และรุ่นหลานของเขา หลูจื๋อ มีผลงานช่วยรวบรวมดินแดนในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตกจนได้รับพระราชทานเขตการปกครองจัวโจวซึ่งครอบคลุมลั่วหยาง

    ตระกูลหลูสายลั่วหยางเป็นหนึ่งในห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสาย (五姓七族) ในสมัยถังเช่นเดียวกับตระกูลชุยแห่งชิงเหอ สร้างฐานอำนาจมาจากสายบุ๋นต่อมาจึงขยายอิทธิพลไปยังด้านอื่น ในประวัติอันยาวนานหลายร้อยปีของตระกูลหลูแห่งลั่วหยางนี้ มีพระราชบุตรเขยในสมัยเว่ยเหนือถึงสามคน มีที่ดำรงตำแหน่งราชครูหลายคน เช่นในสมัยองค์โจวอู่ตี้ (ค.ศ. 543-578) ในสมัยถังมีเป็นอัครมหาเสนาบดี (จ่ายเซี่ยง / 宰相) 8 คน ยังไม่รวมข้าราชการระดับอื่น อีกทั้งยังมีกวีเอกเลื่องชื่อและลูกหลานฝ่ายหญิงที่แต่งเข้าวังอีกหลายคน

    ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง (荥阳郑氏) มีรากเหง้ามาจากแคว้นเจิ้งในสมัยราชวงศ์โจวตะวันตก (ปี 1046-771 ก่อนคริสตกาล) รับราชการมีชื่อเสียงมาตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่นตะวันออกในตำแหน่งระดับสูงเช่นกัน ปักหลักอยู่บริเวณไคเฟิงในพื้นที่เหอหนาน ในสมัยถังมีเป็นอัครมหาเสนาบดี 10 คน และข้าราชการระดับราชเลขาธิการและระดับสูงอื่นๆ อีกหลายคนทั้งสายบุ๋นและสายบู๊ แน่นอนว่ายังไม่รวมฝ่ายหญิงก็มีการแต่งเข้าวังหลายคนในหลายราชวงศ์

    ตระกูลหวางแห่งไท่หยวน (太原王氏) มีมาแต่ยุคสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก มีภูมิลำเนาอยู่ที่เขตการปกครองไท่หยวนจวิ้นทางด้านเหนือของจีน ในสมัยสามก๊กรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก รับราชการในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง มีผลงานโดดเด่นในการช่วยรวบรวมดินแดนในสมัยราชวงศ์จิ้น (ค.ศ. 266-420) ซึ่งเป็นยุคสมัยที่ลูกหลานฝ่ายหญิงได้ดิบได้ดีเป็นถึงฮองเฮาด้วยกันสองคน ตระกูลหวางอยู่ยงคงกระพันรับราชการต่อเนื่องยาวนานกว่าหนึ่งพันเจ็ดร้อยปี แต่มีการถกเถียงกันว่าเป็นตระกูลหวางสายไหน เพราะในบันทึกของสมัยเว่ยเหนือกล่าวถึงตระกูลหวางแห่งไท่หยวน แต่พอมาถึงราชวงศ์ถังนั้น หนึ่งในห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสาย (五姓七族) มีตระกูลหวาง แต่บ้างว่าเป็นสายหลางหยา บ้างว่าเป็นสายไท่หยวน

    เรื่องห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสาย (五姓七族) แปะไว้ก่อน คุยต่อคราวหน้าค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.zhlsw.cn/readnews.asp?newsid=2349
    http://www.wang-shi.com/html/80/n-980.html
    https://baike.baidu.com/item卢氏家谱/5980451
    https://page.om.qq.com/page/O5ihK_EMn_MqZEggEVq1jLwA0
    https://www.baike.com/wikiid/7851417530740071880?prd=mobile&view_id=1sf2g14c6sf400
    http://www.qulishi.com/article/201910/371662.html
    https://m.samrugs.com/shijiezhizui/zhongguo/60003.html

    #ตระกูลหลู #สกุลหลู #ตระกูลเจิ้ง #สกุลเจิ้ง #ตระกูลหวาง #สกุลหวาง #สื้อเจีย
    สัปดาห์ที่แล้วคุยเกี่ยวกับตระกูลขุนนางเก่าแก่เรืองอำนาจหรือที่เรียกรวมว่า ‘สื้อเจีย’ (世家) มีเพื่อนเพจสนใจไม่น้อย ให้หาเรื่องราวตระกูลสื้อเจียอื่นมาเล่าให้ฟังอีก Storyฯ เล่าแบบคร่าวๆ นะคะ วันนี้เริ่มต้นที่สี่ตระกูลใหญ่ในยุคสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ (ปีค.ศ. 386 – 535) สี่ตระกูลนี้คือ ชุยแห่งชิงเหอ (ที่ Storyฯ พูดถึงเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว) หลูแห่งลั่วหยาง เจิ้งแห่งสิงหยาง และหวางแห่งไท่หยวน จะเห็นว่าคำกล่าวเรียกมีสององค์ประกอบคือ แซ่/สกุล และพื้นที่การปกครอง ดังนั้น ในบรรดาสายตระกูลที่จะเล่าถึงต่อไปนี้ อาจมีบางแซ่ที่ใช้กันแพร่หลาย แต่เขาจะมี ‘สายแข็ง’ ของเขาค่ะ ตระกูลหลูแห่งลั่วหยาง (范阳卢氏) มีภูมิลำเนาเดิมอยู่แถบพื้นที่เหอเป่ยและเหอหนาน แตกสกุลมาจากสกุลเจียงและชนกลุ่มอื่น มีผู้รับราชการตำแหน่งสูงหลายคน ต้นตระกูลที่โด่งดังมากคือประมุขรุ่นที่ 13 หลูอ๋าว ผู้ดำรงตำแหน่งอู่จิงป๋อซื่อ (五经博士 / ราชบัณฑิตห้าวิชา) ในยุคสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ (ปี 221 – 206 ก่อนคริสตกาล) และรุ่นหลานของเขา หลูจื๋อ มีผลงานช่วยรวบรวมดินแดนในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตกจนได้รับพระราชทานเขตการปกครองจัวโจวซึ่งครอบคลุมลั่วหยาง ตระกูลหลูสายลั่วหยางเป็นหนึ่งในห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสาย (五姓七族) ในสมัยถังเช่นเดียวกับตระกูลชุยแห่งชิงเหอ สร้างฐานอำนาจมาจากสายบุ๋นต่อมาจึงขยายอิทธิพลไปยังด้านอื่น ในประวัติอันยาวนานหลายร้อยปีของตระกูลหลูแห่งลั่วหยางนี้ มีพระราชบุตรเขยในสมัยเว่ยเหนือถึงสามคน มีที่ดำรงตำแหน่งราชครูหลายคน เช่นในสมัยองค์โจวอู่ตี้ (ค.ศ. 543-578) ในสมัยถังมีเป็นอัครมหาเสนาบดี (จ่ายเซี่ยง / 宰相) 8 คน ยังไม่รวมข้าราชการระดับอื่น อีกทั้งยังมีกวีเอกเลื่องชื่อและลูกหลานฝ่ายหญิงที่แต่งเข้าวังอีกหลายคน ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง (荥阳郑氏) มีรากเหง้ามาจากแคว้นเจิ้งในสมัยราชวงศ์โจวตะวันตก (ปี 1046-771 ก่อนคริสตกาล) รับราชการมีชื่อเสียงมาตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่นตะวันออกในตำแหน่งระดับสูงเช่นกัน ปักหลักอยู่บริเวณไคเฟิงในพื้นที่เหอหนาน ในสมัยถังมีเป็นอัครมหาเสนาบดี 10 คน และข้าราชการระดับราชเลขาธิการและระดับสูงอื่นๆ อีกหลายคนทั้งสายบุ๋นและสายบู๊ แน่นอนว่ายังไม่รวมฝ่ายหญิงก็มีการแต่งเข้าวังหลายคนในหลายราชวงศ์ ตระกูลหวางแห่งไท่หยวน (太原王氏) มีมาแต่ยุคสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก มีภูมิลำเนาอยู่ที่เขตการปกครองไท่หยวนจวิ้นทางด้านเหนือของจีน ในสมัยสามก๊กรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก รับราชการในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง มีผลงานโดดเด่นในการช่วยรวบรวมดินแดนในสมัยราชวงศ์จิ้น (ค.ศ. 266-420) ซึ่งเป็นยุคสมัยที่ลูกหลานฝ่ายหญิงได้ดิบได้ดีเป็นถึงฮองเฮาด้วยกันสองคน ตระกูลหวางอยู่ยงคงกระพันรับราชการต่อเนื่องยาวนานกว่าหนึ่งพันเจ็ดร้อยปี แต่มีการถกเถียงกันว่าเป็นตระกูลหวางสายไหน เพราะในบันทึกของสมัยเว่ยเหนือกล่าวถึงตระกูลหวางแห่งไท่หยวน แต่พอมาถึงราชวงศ์ถังนั้น หนึ่งในห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสาย (五姓七族) มีตระกูลหวาง แต่บ้างว่าเป็นสายหลางหยา บ้างว่าเป็นสายไท่หยวน เรื่องห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสาย (五姓七族) แปะไว้ก่อน คุยต่อคราวหน้าค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.zhlsw.cn/readnews.asp?newsid=2349 http://www.wang-shi.com/html/80/n-980.html https://baike.baidu.com/item卢氏家谱/5980451 https://page.om.qq.com/page/O5ihK_EMn_MqZEggEVq1jLwA0 https://www.baike.com/wikiid/7851417530740071880?prd=mobile&view_id=1sf2g14c6sf400 http://www.qulishi.com/article/201910/371662.html https://m.samrugs.com/shijiezhizui/zhongguo/60003.html #ตระกูลหลู #สกุลหลู #ตระกูลเจิ้ง #สกุลเจิ้ง #ตระกูลหวาง #สกุลหวาง #สื้อเจีย
    1 Comments 0 Shares 589 Views 0 Reviews
  • วันนี้คุยกันต่อเกี่ยวกับตระกูลขุนนางเก่าแก่เรืองอำนาจหรือที่เรียกรวมว่า ‘สื้อเจีย’ (世家) ซึ่งอยู่ยงคงกระพันคู่กับจีนโบราณเป็นร้อยเป็นพันปี ก่อนหน้านี้เล่าว่า สี่ตระกูลใหญ่ในสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือคือ ชุยแห่งชิงเหอ หลูแห่งลั่วหยาง เจิ้งแห่งสิงหยาง และหวางแห่งไท่หยวน

    แต่อย่างที่ Storyฯ กล่าวไว้สัปดาห์ที่แล้ว พอมาถึงราชวงศ์ถังมีการพูดถึง ‘ห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสาย’ (五姓七族 หรือ 五姓七望) ซึ่งรวมถึงตระกูลหวาง แต่บ้างว่าเป็นสายไท่หยวน บ้างว่าเป็นสายหลางหยา

    เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายคนต้องเคยได้ยินชื่อตระกูลหวางสายหลางหยานี้จากละครและนิยายหลายเรื่อง (เช่นตัวอย่างจากละครเรื่อง <ซ่างหยาง ลำนำหงส์ลิขิตบัลลังก์>) และคง ‘เอ๊ะ’ ว่าต่างกันอย่างไร

    หลังจากไปทำการบ้านมา Storyฯ พบว่าข้อมูลค่อนข้างสับสนและมีความขัดแย้งกันตรงที่ว่า มีหลายการวิเคราะห์บอกว่าทั้งสองสายนี้คือสายเดียวกัน แต่ก็มีบ้างที่พยายามจะจำแนกแยกจากกันให้ชัด แต่ Storyฯ คิดว่าเราคงไม่ได้ต้องการมาลำดับพงศาวลีของเขากัน เลยสรุปให้ฟังพอหอมปากหอมคอดังนี้ค่ะ

    ทั้งสองสายของตระกูลหวางนี้มีรากเหง้าเดียวกันคือสืบเชื้อสายมาจากองค์ชายรัชทายาทจิ้นหรือ ‘หวางจื่อจิ้น’ แห่งราชวงศ์โจวตะวันออก (ประมาณปี 576-546 ก่อนคริสตกาล) ซึ่งภายหลังจากถูกริบฐานันดรศักดิ์ได้ใช้สกุลหวาง ต่อมาในสมัยราชวงศ์ฉินมีทายาทของสายนี้คือแม่ทัพ ‘หวางหลี’ ที่โด่งดัง สายไท่หยวนมาจากลูกชายคนโตของแม่ทัพหวางหลีนี้ และสายหลางหยามาจากลูกชายคนรองซึ่งในตอนกลียุคช่วงปลายฉินได้ย้ายไปตั้งรกรากอยู่ที่เขตการปกครองหลางหยาจวิ้น และเนื่องจากต้นตอของคนที่ใช้สกุลหวางมีมากกว่าสายหวางจื่อจิ้นนี้ ดังนั้นในสมัยราชวงศ์ถังมีการกล่าวถึง ‘ชนรุ่นหลังของหวางจื่อจิ้น’ ทำให้ตีความได้ว่าในยุคนั้นมองทั้งสายไท่หยวนและสายหลางหยาเป็นก๊วนเดียวกัน

    ห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสายในสมัยถังมีใครบ้าง?

    นอกจากหวางแห่งหลางหยา/ไท่หยวน ก็มีสื้อเจียจากสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือคือ ชุยแห่งชิงเหอ หลูแห่งลั่วหยาง เจิ้งแห่งสิงหยาง และมีเพิ่มเติมมาคือ ชุยแห่งป๋อหลิง (博陵崔氏) หลี่แห่งหลงซี (陇西李氏) หลี่แห่งเจ้าจวิ้น (赵郡李氏)

    ตระกูลชุยสายป๋อหลิงแม้ไม่เรืองอำนาจเท่าสายชิงเหอในสมัยเว่ยเหนือแต่ก็จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง ‘สายแข็ง’ ของตระกูลชุย ฐานอำนาจเข้มแข็งขึ้นในสมัยราชวงศ์โจวเหนือ (ปีค.ศ. 557 – 581) พื้นเพเดิมมาจากทางเหนือแต่เป็นสายที่ปกครองพื้นที่อันผิงและแตกสกุลมาจากสกุลเจียงเหมือนกัน

    ส่วนตระกูลหลี่ทั้งสองสายนั้นมีต้นตระกูลที่มีชื่อเสียงมาแล้วหลายร้อยปีเช่นกัน มีผลงานโดดเด่นในการช่วยรวบรวมดินแดนในสมัยราชวงศ์จิ้น (ค.ศ. 266-420) ในรัชสมัยขององค์ถังไท่จงหรือหลี่ซื่อหมิน (ค.ศ. 626-649) ทรงเห็นว่าขุนนางใหญ่ให้ความสำคัญกับการแต่งงานในสื้อเจียด้วยกันจนถึงขนาดปฏิเสธที่จะแต่งงานกับองค์หญิงองค์ชาย และทรงมองว่าราชสกุลหลี่ไม่ควรน้อยหน้า จึงได้โปรดเกล้าให้จัดทำลำดับตระกูลขึ้นใหม่ในบันทึก ‘ซื่อจู๋จื้อ” (氏族志) โดยให้ตระกูลหลี่แห่งหลงซีขึ้นรั้งลำดับแรก

    ต่อมาในรัชสมัยองค์ถังเกาจง (ค.ศ. 649-683) ทรงบัญญัติห้ามคนในห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสายนี้แต่งงานกันเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ฐานอำนาจของเหล่าขุนนางมีมากเกินไป (หมายเหตุ บ้างก็เรียกเป็น ‘เจ็ดสกุลสิบเชื้อสาย’ เนื่องจากมีการระบุรายนามข้าราชการระดับสูงทั้งหมดสิบคน แต่จริงๆ แล้วล้วนเป็นเชื้อสายของห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสายที่กล่าวถึงข้างต้น)

    แน่นอนว่าในยุคสมัยต่างๆ อาจมีการจัดอันดับ Top 4 หรือ Top 5 ที่แตกต่างกันไปบ้าง ตระกูลอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงและถูกเรียกรวมเป็นสื้อเจียยังมีอีก เช่น เซียว เซี่ย เป็นต้น

    จบเรื่องราวของตระกูลสื้อเจียแต่เพียงเท่านี้ เพื่อนๆ ที่ดูละครสมัยราชวงศ์ถังหรือก่อนหน้านั้น ลองสังเกตหาสกุลเหล่านี้ดูนะคะว่าเขาพยายามชิงอำนาจหรือรวมพลังกันอย่างไร

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.zhuijudashi.com/guocanju/shangyangfu/
    https://www.jiapu.tv/tuteng/056/. https://3g.jiapu.tv/tuteng/001/, https://3g.jiapu.tv/tuteng/052/, https://www.jiapu.tv/tuteng/002/, https://www.jiapu.tv/tuteng/021/

    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://m.samrugs.com/shijiezhizui/zhongguo/60003.html
    https://kknews.cc/other/5o6qb9l.html
    https://baike.baidu.com/item/七姓十家/10749857
    https://baike.baidu.com/item/五姓七族/5225652
    https://baike.baidu.com/item/博陵崔氏/6585465
    http://www.zhuda6.com/new/a29ad5c1eb7d44dc89bd3c263112c1b2.html

    #ซ่างหยาง #ตระกูลชุย #สกุลชุย #ชิงเหอ #ตระกูลหลู #สกุลหลู #ตระกูลเจิ้ง #สกุลเจิ้ง #ตระกูลหวาง #สกุลหวาง #ตระกูลหลี่ #สกุลหลี่ #สื้อเจีย #ห้าสกุลราชวงศ์ถัง #ห้าสกุลราชวงศ์เว่ย
    วันนี้คุยกันต่อเกี่ยวกับตระกูลขุนนางเก่าแก่เรืองอำนาจหรือที่เรียกรวมว่า ‘สื้อเจีย’ (世家) ซึ่งอยู่ยงคงกระพันคู่กับจีนโบราณเป็นร้อยเป็นพันปี ก่อนหน้านี้เล่าว่า สี่ตระกูลใหญ่ในสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือคือ ชุยแห่งชิงเหอ หลูแห่งลั่วหยาง เจิ้งแห่งสิงหยาง และหวางแห่งไท่หยวน แต่อย่างที่ Storyฯ กล่าวไว้สัปดาห์ที่แล้ว พอมาถึงราชวงศ์ถังมีการพูดถึง ‘ห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสาย’ (五姓七族 หรือ 五姓七望) ซึ่งรวมถึงตระกูลหวาง แต่บ้างว่าเป็นสายไท่หยวน บ้างว่าเป็นสายหลางหยา เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายคนต้องเคยได้ยินชื่อตระกูลหวางสายหลางหยานี้จากละครและนิยายหลายเรื่อง (เช่นตัวอย่างจากละครเรื่อง <ซ่างหยาง ลำนำหงส์ลิขิตบัลลังก์>) และคง ‘เอ๊ะ’ ว่าต่างกันอย่างไร หลังจากไปทำการบ้านมา Storyฯ พบว่าข้อมูลค่อนข้างสับสนและมีความขัดแย้งกันตรงที่ว่า มีหลายการวิเคราะห์บอกว่าทั้งสองสายนี้คือสายเดียวกัน แต่ก็มีบ้างที่พยายามจะจำแนกแยกจากกันให้ชัด แต่ Storyฯ คิดว่าเราคงไม่ได้ต้องการมาลำดับพงศาวลีของเขากัน เลยสรุปให้ฟังพอหอมปากหอมคอดังนี้ค่ะ ทั้งสองสายของตระกูลหวางนี้มีรากเหง้าเดียวกันคือสืบเชื้อสายมาจากองค์ชายรัชทายาทจิ้นหรือ ‘หวางจื่อจิ้น’ แห่งราชวงศ์โจวตะวันออก (ประมาณปี 576-546 ก่อนคริสตกาล) ซึ่งภายหลังจากถูกริบฐานันดรศักดิ์ได้ใช้สกุลหวาง ต่อมาในสมัยราชวงศ์ฉินมีทายาทของสายนี้คือแม่ทัพ ‘หวางหลี’ ที่โด่งดัง สายไท่หยวนมาจากลูกชายคนโตของแม่ทัพหวางหลีนี้ และสายหลางหยามาจากลูกชายคนรองซึ่งในตอนกลียุคช่วงปลายฉินได้ย้ายไปตั้งรกรากอยู่ที่เขตการปกครองหลางหยาจวิ้น และเนื่องจากต้นตอของคนที่ใช้สกุลหวางมีมากกว่าสายหวางจื่อจิ้นนี้ ดังนั้นในสมัยราชวงศ์ถังมีการกล่าวถึง ‘ชนรุ่นหลังของหวางจื่อจิ้น’ ทำให้ตีความได้ว่าในยุคนั้นมองทั้งสายไท่หยวนและสายหลางหยาเป็นก๊วนเดียวกัน ห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสายในสมัยถังมีใครบ้าง? นอกจากหวางแห่งหลางหยา/ไท่หยวน ก็มีสื้อเจียจากสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือคือ ชุยแห่งชิงเหอ หลูแห่งลั่วหยาง เจิ้งแห่งสิงหยาง และมีเพิ่มเติมมาคือ ชุยแห่งป๋อหลิง (博陵崔氏) หลี่แห่งหลงซี (陇西李氏) หลี่แห่งเจ้าจวิ้น (赵郡李氏) ตระกูลชุยสายป๋อหลิงแม้ไม่เรืองอำนาจเท่าสายชิงเหอในสมัยเว่ยเหนือแต่ก็จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง ‘สายแข็ง’ ของตระกูลชุย ฐานอำนาจเข้มแข็งขึ้นในสมัยราชวงศ์โจวเหนือ (ปีค.ศ. 557 – 581) พื้นเพเดิมมาจากทางเหนือแต่เป็นสายที่ปกครองพื้นที่อันผิงและแตกสกุลมาจากสกุลเจียงเหมือนกัน ส่วนตระกูลหลี่ทั้งสองสายนั้นมีต้นตระกูลที่มีชื่อเสียงมาแล้วหลายร้อยปีเช่นกัน มีผลงานโดดเด่นในการช่วยรวบรวมดินแดนในสมัยราชวงศ์จิ้น (ค.ศ. 266-420) ในรัชสมัยขององค์ถังไท่จงหรือหลี่ซื่อหมิน (ค.ศ. 626-649) ทรงเห็นว่าขุนนางใหญ่ให้ความสำคัญกับการแต่งงานในสื้อเจียด้วยกันจนถึงขนาดปฏิเสธที่จะแต่งงานกับองค์หญิงองค์ชาย และทรงมองว่าราชสกุลหลี่ไม่ควรน้อยหน้า จึงได้โปรดเกล้าให้จัดทำลำดับตระกูลขึ้นใหม่ในบันทึก ‘ซื่อจู๋จื้อ” (氏族志) โดยให้ตระกูลหลี่แห่งหลงซีขึ้นรั้งลำดับแรก ต่อมาในรัชสมัยองค์ถังเกาจง (ค.ศ. 649-683) ทรงบัญญัติห้ามคนในห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสายนี้แต่งงานกันเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ฐานอำนาจของเหล่าขุนนางมีมากเกินไป (หมายเหตุ บ้างก็เรียกเป็น ‘เจ็ดสกุลสิบเชื้อสาย’ เนื่องจากมีการระบุรายนามข้าราชการระดับสูงทั้งหมดสิบคน แต่จริงๆ แล้วล้วนเป็นเชื้อสายของห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสายที่กล่าวถึงข้างต้น) แน่นอนว่าในยุคสมัยต่างๆ อาจมีการจัดอันดับ Top 4 หรือ Top 5 ที่แตกต่างกันไปบ้าง ตระกูลอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงและถูกเรียกรวมเป็นสื้อเจียยังมีอีก เช่น เซียว เซี่ย เป็นต้น จบเรื่องราวของตระกูลสื้อเจียแต่เพียงเท่านี้ เพื่อนๆ ที่ดูละครสมัยราชวงศ์ถังหรือก่อนหน้านั้น ลองสังเกตหาสกุลเหล่านี้ดูนะคะว่าเขาพยายามชิงอำนาจหรือรวมพลังกันอย่างไร (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.zhuijudashi.com/guocanju/shangyangfu/ https://www.jiapu.tv/tuteng/056/. https://3g.jiapu.tv/tuteng/001/, https://3g.jiapu.tv/tuteng/052/, https://www.jiapu.tv/tuteng/002/, https://www.jiapu.tv/tuteng/021/ Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://m.samrugs.com/shijiezhizui/zhongguo/60003.html https://kknews.cc/other/5o6qb9l.html https://baike.baidu.com/item/七姓十家/10749857 https://baike.baidu.com/item/五姓七族/5225652 https://baike.baidu.com/item/博陵崔氏/6585465 http://www.zhuda6.com/new/a29ad5c1eb7d44dc89bd3c263112c1b2.html #ซ่างหยาง #ตระกูลชุย #สกุลชุย #ชิงเหอ #ตระกูลหลู #สกุลหลู #ตระกูลเจิ้ง #สกุลเจิ้ง #ตระกูลหวาง #สกุลหวาง #ตระกูลหลี่ #สกุลหลี่ #สื้อเจีย #ห้าสกุลราชวงศ์ถัง #ห้าสกุลราชวงศ์เว่ย
    1 Comments 0 Shares 630 Views 0 Reviews
  • ดินแดนแห่งหนึ่งเป็นเกาะชื่ออาโอเตอะโรอา มีชนเผ่าที่อาศัยอยู่มานานกว่าสองหมื่นปีมีชื่อเรียกว่า เมาริ พูดภาษาออสโตรนีเชียน-โพลีนีเชียน มียีนเดียวกับคนเอเชียอย่างเราคือวายโครโมโซมแฮพโลกรุ๊ป โอ.. มียีนแม่เป็นออสตราอะบอริจิ้นคือไมโตคอนเดรียล บี และ เอ็ม
    .
    วันหนึ่งมีพวกอังกฤษ นำมาก่อนโดยกัปตันชื่อคุ๊ก บุกมายึดดินแดนที่อุดมไปด้วยทรัพยากรแห่งนี้ ขนเอาคนยุโรปมาแย่งแผ่นดินและกดขี่ปกครองพวกเมาริ เปลี่ยนชื่อดินแดนของพวกเขาใหม่ว่า New Zealand "แผ่นดินทะเลใหม่"!! ปล้นไปอย่างไร้ยางอาย และบีบบังคับให้ชาวเมารินับถือศาสนาคริสต์ ยกเลิกธรรมเนียมประเพณีเก่าแก่ต่างๆ
    .
    เวลาผ่านไปมาจนถึงปัจจุบัน คนพื้นเมืองเมาริพวกนี้ก็ยังเป็นประชาชนชั้นสอง ไม่ได้มีเกียรติศักดิ์ฐานะเช่นฝรั่งผิวขาวเลย บนดินแดนที่ได้ถูกอ้างใหม่ว่าเป็นสิทธิแห่งพระราชินีของจักรวรรดิ์อังกฤษ บ้านเกิดของพวกเขากลายเป็นดินแดนของโจรล่าอาณานิคม ไม่เคยมีการแสดงออกถึงความสำนึกในบาปนี้ แม้เคยมีการแสดงออกมาขอโทษ แต่ก็กระทำอย่างไม่จริงใจ ในขณะที่การเหยียดเชื้อชาติยังดำเนินอยู่ในชนชั้นปกครองและคนยุโรปที่มีฐานะ พวกเมาริไม่เคยมีสิทธิในการบริหารประเทศ นอกจากได้ที่นั่งไม่กี่ที่ในรัฐสภา โดยที่ความเห็นและข้อเรียกร้องต่างๆ ถูกเมินเฉยไม่แยแสเสมอ
    .
    พวกเขาเป็นพี่น้องของเราทุกท่าน
    พวกเขายังคงถูกกดให้ต้อยต่ำ
    เป็นบทเรียนที่เราต้องไตร่ตรองให้ดี
    ว่าการที่บุรพกษัตริย์ของเรา พาเรารอดพ้นจากการเป็นอาณานิคมนั้น
    เป็นพระมหากรุณาธิคุณเอนกอนันต์เพียงใด
    .
    =================================================
    หัวข้อข่าวจาก THE STATES TIMES (15 พ.ค. 68)
    .
    สื่ออังกฤษ เดอะการ์เดียน รายงานว่า ฮานา-ราวิตี ไมปี-คลาร์ก สส.ชาวเมารีจากนิวซีแลนด์ อาจถูกลงโทษพักงาน 1 สัปดาห์ ฐานดูหมิ่นรัฐสภาและข่มขู่สมาชิกคนอื่น จากเหตุการณ์เต้นฮากาและฉีกเอกสารร่างกฎหมายกลางสภาเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งคลิปดังกล่าวกลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์
    .
    ขณะเดียวกัน คณะกรรมการจริยธรรมของรัฐสภายังเสนอพักงาน ราไวรี ไวติติ และเดบบี้ งาเรวา-แพคเกอร์ หัวหน้าร่วมพรรคเมารี เป็นเวลา 3 สัปดาห์ ฐานความผิดเดียวกัน โดยชี้ว่าแม้การเต้นฮากาเคยเกิดขึ้นในสภามาก่อน แต่กรณีนี้ถือว่าผิดกาลเทศะและขัดขวางการลงมติร่างกฎหมายสำคัญ
    .
    ทางคณะกรรมการระบุว่า การลงโทษครั้งนี้แม้จะรุนแรง แต่จำเป็นเพื่อรักษามารยาทในสภา และเน้นย้ำว่าการข่มขู่หรือคุกคามสมาชิกคนอื่นไม่ใช่พฤติกรรมที่ยอมรับได้
    .
    พรรคเมารีออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า การลงโทษนี้เป็น “บทลงโทษสูงสุด” ที่สะท้อนถึงการกดทับเสียงต่อต้านอำนาจอาณานิคม พร้อมระบุว่าร่างกฎหมายที่เป็นชนวนเหตุ ซึ่งตีความสนธิสัญญากับชาวเมารีใหม่นั้น เป็นการพยายามลิดรอนสิทธิของชุมชนชาวพื้นเมือง แม้ท้ายที่สุดร่างดังกล่าวจะถูกโหวตคว่ำไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
    .
    ==================================================
    .
    เพื่อให้เข้าใจบริบทของการประท้วงที่เกิดขึ้นในนิวซีแลนด์ ขออธิบายว่า ในปัจจุบัน เอกสารรัฐธรรมนูญที่สำคัญที่สุดของนิวซีแลนด์คือสนธิสัญญา Waitangi ซึ่งตกลงกันในปี 1840 ในฐานะหุ้นส่วนระหว่างชาวเมารีและราชวงศ์อังกฤษ เอกสารดังกล่าวรับรองการคุ้มครองบางประการแก่ชาวเมารี (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินและทรัพยากร) ในขณะที่อนุญาตให้จัดตั้งรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันคือรัฐบาลนิวซีแลนด์
    .
    ในความเป็นจริง ตั้งแต่ปี 1840 รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้ละเมิดการคุ้มครองที่ระบุไว้ในสนธิสัญญา Waitangi ในประวัติศาสตร์ล่าสุดของนิวซีแลนด์ มีการกำหนดหลักการทางกฎหมายและสถาบันเพื่อดำเนินการตามกระบวนการยาวนานเพื่อพยายามแก้ไขปัญหาเหล่านี้และผลลัพธ์ทางสังคม ร่างกฎหมายฉบับปัจจุบันทำลายกระบวนการเหล่านี้
    .
    โดยพื้นฐานแล้ว ชาวเมารีไม่ได้รับการปรึกษาหารือก่อนที่จะมีการเสนอร่างกฎหมายที่ขัดแย้งโดยตรงกับอนุสัญญาที่มีมายาวนานและเป็นที่ยอมรับในนิวซีแลนด์ รวมถึงเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาในฐานะหุ้นส่วน ร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับการเสนอโดยพรรคการเมืองเล็ก (ซึ่งมีที่นั่งในรัฐสภาถึง 8%) เนื่องมาจากกระบวนการเลือกตั้ง MMP ในปัจจุบัน ซึ่งมักส่งผลให้พรรคการเมืองใหญ่ต้องเจรจาข้อตกลงจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเล็กเพื่อให้ได้เสียงข้างมากในสภา
    .
    เป็นการปล้นซ้ำ ในยุคที่จิตสำนึกอุบาทย์แบบอาณานิคมกำลังเติบโตขึ้นอีกครั้ง
    .
    ดินแดนแห่งหนึ่งเป็นเกาะชื่ออาโอเตอะโรอา มีชนเผ่าที่อาศัยอยู่มานานกว่าสองหมื่นปีมีชื่อเรียกว่า เมาริ พูดภาษาออสโตรนีเชียน-โพลีนีเชียน มียีนเดียวกับคนเอเชียอย่างเราคือวายโครโมโซมแฮพโลกรุ๊ป โอ.. มียีนแม่เป็นออสตราอะบอริจิ้นคือไมโตคอนเดรียล บี และ เอ็ม . วันหนึ่งมีพวกอังกฤษ นำมาก่อนโดยกัปตันชื่อคุ๊ก บุกมายึดดินแดนที่อุดมไปด้วยทรัพยากรแห่งนี้ ขนเอาคนยุโรปมาแย่งแผ่นดินและกดขี่ปกครองพวกเมาริ เปลี่ยนชื่อดินแดนของพวกเขาใหม่ว่า New Zealand "แผ่นดินทะเลใหม่"!! ปล้นไปอย่างไร้ยางอาย และบีบบังคับให้ชาวเมารินับถือศาสนาคริสต์ ยกเลิกธรรมเนียมประเพณีเก่าแก่ต่างๆ . เวลาผ่านไปมาจนถึงปัจจุบัน คนพื้นเมืองเมาริพวกนี้ก็ยังเป็นประชาชนชั้นสอง ไม่ได้มีเกียรติศักดิ์ฐานะเช่นฝรั่งผิวขาวเลย บนดินแดนที่ได้ถูกอ้างใหม่ว่าเป็นสิทธิแห่งพระราชินีของจักรวรรดิ์อังกฤษ บ้านเกิดของพวกเขากลายเป็นดินแดนของโจรล่าอาณานิคม ไม่เคยมีการแสดงออกถึงความสำนึกในบาปนี้ แม้เคยมีการแสดงออกมาขอโทษ แต่ก็กระทำอย่างไม่จริงใจ ในขณะที่การเหยียดเชื้อชาติยังดำเนินอยู่ในชนชั้นปกครองและคนยุโรปที่มีฐานะ พวกเมาริไม่เคยมีสิทธิในการบริหารประเทศ นอกจากได้ที่นั่งไม่กี่ที่ในรัฐสภา โดยที่ความเห็นและข้อเรียกร้องต่างๆ ถูกเมินเฉยไม่แยแสเสมอ . พวกเขาเป็นพี่น้องของเราทุกท่าน พวกเขายังคงถูกกดให้ต้อยต่ำ เป็นบทเรียนที่เราต้องไตร่ตรองให้ดี ว่าการที่บุรพกษัตริย์ของเรา พาเรารอดพ้นจากการเป็นอาณานิคมนั้น เป็นพระมหากรุณาธิคุณเอนกอนันต์เพียงใด . ================================================= หัวข้อข่าวจาก THE STATES TIMES (15 พ.ค. 68) . สื่ออังกฤษ เดอะการ์เดียน รายงานว่า ฮานา-ราวิตี ไมปี-คลาร์ก สส.ชาวเมารีจากนิวซีแลนด์ อาจถูกลงโทษพักงาน 1 สัปดาห์ ฐานดูหมิ่นรัฐสภาและข่มขู่สมาชิกคนอื่น จากเหตุการณ์เต้นฮากาและฉีกเอกสารร่างกฎหมายกลางสภาเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งคลิปดังกล่าวกลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ . ขณะเดียวกัน คณะกรรมการจริยธรรมของรัฐสภายังเสนอพักงาน ราไวรี ไวติติ และเดบบี้ งาเรวา-แพคเกอร์ หัวหน้าร่วมพรรคเมารี เป็นเวลา 3 สัปดาห์ ฐานความผิดเดียวกัน โดยชี้ว่าแม้การเต้นฮากาเคยเกิดขึ้นในสภามาก่อน แต่กรณีนี้ถือว่าผิดกาลเทศะและขัดขวางการลงมติร่างกฎหมายสำคัญ . ทางคณะกรรมการระบุว่า การลงโทษครั้งนี้แม้จะรุนแรง แต่จำเป็นเพื่อรักษามารยาทในสภา และเน้นย้ำว่าการข่มขู่หรือคุกคามสมาชิกคนอื่นไม่ใช่พฤติกรรมที่ยอมรับได้ . พรรคเมารีออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า การลงโทษนี้เป็น “บทลงโทษสูงสุด” ที่สะท้อนถึงการกดทับเสียงต่อต้านอำนาจอาณานิคม พร้อมระบุว่าร่างกฎหมายที่เป็นชนวนเหตุ ซึ่งตีความสนธิสัญญากับชาวเมารีใหม่นั้น เป็นการพยายามลิดรอนสิทธิของชุมชนชาวพื้นเมือง แม้ท้ายที่สุดร่างดังกล่าวจะถูกโหวตคว่ำไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา . ================================================== . เพื่อให้เข้าใจบริบทของการประท้วงที่เกิดขึ้นในนิวซีแลนด์ ขออธิบายว่า ในปัจจุบัน เอกสารรัฐธรรมนูญที่สำคัญที่สุดของนิวซีแลนด์คือสนธิสัญญา Waitangi ซึ่งตกลงกันในปี 1840 ในฐานะหุ้นส่วนระหว่างชาวเมารีและราชวงศ์อังกฤษ เอกสารดังกล่าวรับรองการคุ้มครองบางประการแก่ชาวเมารี (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินและทรัพยากร) ในขณะที่อนุญาตให้จัดตั้งรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันคือรัฐบาลนิวซีแลนด์ . ในความเป็นจริง ตั้งแต่ปี 1840 รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้ละเมิดการคุ้มครองที่ระบุไว้ในสนธิสัญญา Waitangi ในประวัติศาสตร์ล่าสุดของนิวซีแลนด์ มีการกำหนดหลักการทางกฎหมายและสถาบันเพื่อดำเนินการตามกระบวนการยาวนานเพื่อพยายามแก้ไขปัญหาเหล่านี้และผลลัพธ์ทางสังคม ร่างกฎหมายฉบับปัจจุบันทำลายกระบวนการเหล่านี้ . โดยพื้นฐานแล้ว ชาวเมารีไม่ได้รับการปรึกษาหารือก่อนที่จะมีการเสนอร่างกฎหมายที่ขัดแย้งโดยตรงกับอนุสัญญาที่มีมายาวนานและเป็นที่ยอมรับในนิวซีแลนด์ รวมถึงเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาในฐานะหุ้นส่วน ร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับการเสนอโดยพรรคการเมืองเล็ก (ซึ่งมีที่นั่งในรัฐสภาถึง 8%) เนื่องมาจากกระบวนการเลือกตั้ง MMP ในปัจจุบัน ซึ่งมักส่งผลให้พรรคการเมืองใหญ่ต้องเจรจาข้อตกลงจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเล็กเพื่อให้ได้เสียงข้างมากในสภา . เป็นการปล้นซ้ำ ในยุคที่จิตสำนึกอุบาทย์แบบอาณานิคมกำลังเติบโตขึ้นอีกครั้ง .
    0 Comments 0 Shares 603 Views 13 0 Reviews
  • เพื่อนเพจหลายคนคงทราบว่าการปักปิ่นนั้น เป็นสัญลักษณ์ว่าสตรีได้เติบใหญ่สามารถครองเรือนได้แล้ว และอายุทั่วไปของการปักปิ่นคือ 15 ปี แต่หากได้รับการหมั้นหมายก่อนอายุ 15 ปีก็สามารถทำพิธีปักปิ่นได้เลย หรือหากยังไม่ได้ทำพิธีและยังไม่ได้แต่งงานก็ให้ทำพิธีปักปิ่นได้เมื่ออายุ 20 ปี

    Storyฯ ได้เห็นฉากพิธีปักปิ่นในละครเรื่อง <ซ่างหยาง ลำนำหงส์ลิขิตบัลลังก์> ที่ดูแปลกประหลาดนัก มีการเจิมหน้าผากแต้มชาดที่หางตา (ดูรูป 1) และมีแขกผู้ชายเพียบ เลยต้องรีบไปค้นหนังสือนิยายมาอ่านว่าต้นฉบับบรรยายไว้อย่างไร คัดมาบางส่วนดังนี้

    ความมีอยู่ว่า
    ...พิธีปักปิ่นของข้ามีพระเชษฐภคินีจิ้นหมิ่นเป็นประธานดำเนินพิธี มีองค์ฮองเฮาเป็นแขกกิตติมศักดิ์
    ผู้ที่มาร่วมเป็นสักขีพยานมีทั้งเชื้อพระวงศ์ฝ่ายในและบรรดาฝ่ายในของเหล่าตระกูลสูงศักดิ์ ... ข้าสวมชุดสีสันสดใส ผมเกล้ามวยคู่ ... พระชายาในองค์ชายรัชทายาท (ไท่จื่อเฟย) ประทับอยู่ด้านตะวันตก ... ไท่จื่อเฟยทรงแกะมวยคู่ของข้าออกหวีผมให้ ... พระมารดาของข้าหวีผมเกล้าขึ้นให้ ... ประดับปิ่นแรก สวมหรู่ฉวิน ... ประดับปิ่นสอง สวมชุดยาวชวีจวี ... ประดับปิ่นสาม สวมชุดแขนกว้างเต็มพิธีการ ... สามประดับสามคำนับ เสร็จพิธีการ...
    - จากเรื่อง <มังกรผู้พิชิต หงส์คู่บัลลังก์> ผู้แต่ง เม่ยอวี๋เจ่อ (ชื่อตามฉบับแปล แต่บทความ Storyฯ แปลเอง) หมายเหตุ ละคร <ซ่างหยาง ลำนำหงส์ลิขิตบัลลังก์> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้

    พิธีปักปิ่นมีปรากฏในบันทึก ‘หลี่จี้ เน่ยเจ๋อ’ (礼记·内则) ซึ่งเป็นหนึ่งในบันทึกประเพณีที่เก่าแก่ที่สุดของจีนโดยพูดถึงพิธีการสมัยราชวงศ์โจวเป็นหลัก และเป็นหลักปฏิบัติที่ใช้สืบทอดกันมาหลายยุคสมัย พิธีมีรายละเอียดมาก Storyฯ สรุปได้ว่า

    1. ผู้ที่เข้าร่วม: พิธีปักปิ่นจัดเป็นงาน ‘ฝ่ายใน’ และผู้เข้าร่วมงานต้องเป็นสตรีเท่านั้น ยกเว้นบุรุษในครอบครัวและญาติสนิท (เช่นพ่อ พี่ชาย น้องชาย ลุง อา) โดยปกติประธานในพิธีคือแม่ และผู้ที่มีบทบาทสำคัญคือ ‘แขกกิตติมศักดิ์’ ซึ่งจะเป็นญาติผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงดีงาม เธอมีหน้าที่ปักปิ่นและตั้งชื่อรองให้ตัวเอกของเรา นอกจากนี้ยังมีผู้ช่วยดำเนินการ ซึ่งอาจมีหลายคนไว้ทำหลายอย่างเช่น เชิญแขกเหรื่อ ประกาศขั้นตอน ประเคนของ ช่วยตัวเอกเปลี่ยนเสื้อผ้า ฯลฯ และมีนักดนตรีที่บรรเลงดนตรีประกอบพิธีการเป็นช่วงๆ

    2. สถานที่ (ดูรูปประกอบ 2): พื้นที่แบ่งสองส่วน ส่วนที่ใช้ดำเนินพิธีมีการยกพื้น หากไม่มียกพื้นให้ใช้วาดแบ่งเขตให้ชัดเจน ทิศที่สำคัญคือทิศเหนือ มีป้ายบรรพบุรุษหรือที่นิยมคือรูปของขงจื้อ ทิศตะวันออกถือเป็นทิศของตัวเอก จะมีการใช้ฉากกั้นเป็นห้องไว้ให้นางเปลี่ยนเสื้อ แขกกิตติมศักดิ์จะนั่งอยู่ทิศตะวันตกหันหน้าเข้าทิศตะวันออก ขั้นตอนต่างๆ จะมีการกำหนดเส้นทางที่ใช้เดินและจุดยืน/นั่งที่ชัดเจน

    3. พิธี: โดยหลักมี ‘สามประดับ สามคำนับ’ ซึ่ง ‘สามประดับ’ นี้หมายถึงการปักปิ่นและการเปลี่ยนชุด และเนื่องจากการแต่งกายของสตรีเปลี่ยนไปตามยุคสมัย Storyฯ ใช้ตัวอย่างสมัยราชวงศ์หมิงมาให้ดู (รูป 3)

    3.1 ประดับแรก: ตัวเอกแรกเริ่มอยู่ในชุดเด็ก ผมมัดเป็นมวยคู่ ขั้นตอนนี้คือปลดมวยคู่ออกแล้วหวีผมใหม่เกล้าขึ้นแบบผู้ใหญ่ แล้วแขกกิตติมศักดิ์ก็จะปักปิ่นและกล่าวคำอวยพรเป็นสัญลักษณ์ของการเติบใหญ่แล้ว ปิ่นนี้เรียกว่า ‘จี’ หรือ ‘จาน’ เป็นปิ่นขาเดียว เสร็จแล้วตัวเอกกลับเข้าห้องเสื้อเปลี่ยนชุดสวมใส่เป็นชุด ‘หรู่ฉวิน’ สีขาวหรือสีสุภาพ หรือในสมัยหมิงใช้ชุด ‘เอ่าฉวิน’ เสร็จแล้วจึงกลับออกมาบริเวณทำพิธีอีกครั้ง

    3.2 ประดับสอง: แขกกิตติมศักดิ์ปักปิ่นและกล่าวคำอวยพรอีกครั้ง โดยอาจใช้ปิ่นก้านเดียวหรือปิ่นสองก้านที่เรียกว่า ‘ไช้’ เสร็จแล้วตัวเอกกลับเข้าห้องเปลี่ยนชุดสวมใส่เป็นชุด ‘ชวีจวี’ หรือในสมัยหมิงใช้ชุด ‘เอ่าฉวินแบบยาว’ ซึ่งในสมัยอื่นๆ ก็จะเป็นชุดที่ค่อนข้างทางการแต่ไม่ใช่ชุดเต็มยศ

    3.3 ประดับสาม: แขกกิตติมศักดิ์จะปักปิ่นและกล่าวคำอวยพรอีกครั้ง รอบนี้บ้างใช้เป็นมงกุฎผมหรือปิ่นแบบที่เรียกว่า ‘ไช้ก้วน’ คือดูเหมือนมงกุฎแต่ก้านเป็นปิ่น เสร็จแล้วตัวเอกกลับเข้าห้องเปลี่ยนชุดสวมใส่เป็นชุดแขนกว้างแบบเต็มยศหรือในสมัยหมิงเรียกว่าชุดคลุม ‘พีเฟิง’

    3.4 พิธีการก่อนสามคำนับ: ภายหลังจากตัวเอกเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว จะมีการคำนับขงจื้อหรือป้ายบรรพบุรุษที่จัดไว้ทางทิศเหนือ เพื่อเป็นการแสดงเจตจำนงที่จะทำสิ่งดีมีคุณประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง และเป็นวาระที่จะมีการตั้งชื่อรองให้ (Storyฯ เคยเขียนเรื่องชื่อเอกชื่อรองไว้นานมากแล้วตอนคุยถึงละครเรื่อง <ปรมาจารย์ลัทธิมาร> ลองหาอ่านดูนะคะ) และมีพิธีการอื่นเช่นเทเหล้าเซ่นไหว้

    3.4 เสร็จแล้วตัวเอกต้องคำนับสามครั้ง ครั้งแรกคำนับพ่อแม่เพื่อแสดงความกตัญญูรู้คุณ ครั้งที่สองคือเปรียบเป็นการคำนับครูบาอาจารย์ แล้วครั้งสุดท้ายคือคำนับบรรพบุรุษ เสร็จแล้วบิดามารดาให้โอวาท ก็เป็นอันเสร็จพิธีและตัวเอกคำนับขอบคุณแขกที่มาร่วมงาน

    แน่นอนว่าคนที่ดำเนินพิธีอาจปรับเปลี่ยนตามญาติของตัวเอกที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ขั้นตอนจะเป็นไปตามข้างต้น จะเห็นว่าพิธีการนี้ได้รับความสำคัญและมีรายละเอียดมาก จากข้อมูลที่หาได้ แม้เป็นองค์หญิงแต่พิธีการหลักของ ‘สามประดับสามคำนับ’ นั้นยังคงเดิม ความแตกต่างจะอยู่ที่เครื่องแต่งกาย เช่นใช้มงกุฎลายหงส์ห้าสี เป็นต้น

    อ่านถึงตรงนี้เพื่อนเพจคงพอเห็นภาพว่าทำไม Storyฯ จึงเกิดอาการ ‘อึ้ง’ ไปเมื่อได้เห็นพิธีนี้ในละคร ซ่างหยางฯ! ใครได้เห็นพิธีปักปิ่นในละครหรือนิยายเรื่องอื่น มาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.laoziliao.net/tv/info/46887006
    http://www.cunman.com/new/4b9474b18da54ca59d78d567fd0d323e
    https://www.sohu.com/a/203002032_790378
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.cunman.com/new/4b9474b18da54ca59d78d567fd0d323e
    http://www.chinakongzi.org/zt/zhonghualiyue/201905/t20190510_194759.htm
    http://www.qulishi.com/article/202104/501662.html
    https://baike.sogou.com/v193017.htm
    #พิธีปักปิ่น #จีหลี่ #ซ่างหยาง #สตรีวัยสิบห้า #ปิ่นจีน
    เพื่อนเพจหลายคนคงทราบว่าการปักปิ่นนั้น เป็นสัญลักษณ์ว่าสตรีได้เติบใหญ่สามารถครองเรือนได้แล้ว และอายุทั่วไปของการปักปิ่นคือ 15 ปี แต่หากได้รับการหมั้นหมายก่อนอายุ 15 ปีก็สามารถทำพิธีปักปิ่นได้เลย หรือหากยังไม่ได้ทำพิธีและยังไม่ได้แต่งงานก็ให้ทำพิธีปักปิ่นได้เมื่ออายุ 20 ปี Storyฯ ได้เห็นฉากพิธีปักปิ่นในละครเรื่อง <ซ่างหยาง ลำนำหงส์ลิขิตบัลลังก์> ที่ดูแปลกประหลาดนัก มีการเจิมหน้าผากแต้มชาดที่หางตา (ดูรูป 1) และมีแขกผู้ชายเพียบ เลยต้องรีบไปค้นหนังสือนิยายมาอ่านว่าต้นฉบับบรรยายไว้อย่างไร คัดมาบางส่วนดังนี้ ความมีอยู่ว่า ...พิธีปักปิ่นของข้ามีพระเชษฐภคินีจิ้นหมิ่นเป็นประธานดำเนินพิธี มีองค์ฮองเฮาเป็นแขกกิตติมศักดิ์ ผู้ที่มาร่วมเป็นสักขีพยานมีทั้งเชื้อพระวงศ์ฝ่ายในและบรรดาฝ่ายในของเหล่าตระกูลสูงศักดิ์ ... ข้าสวมชุดสีสันสดใส ผมเกล้ามวยคู่ ... พระชายาในองค์ชายรัชทายาท (ไท่จื่อเฟย) ประทับอยู่ด้านตะวันตก ... ไท่จื่อเฟยทรงแกะมวยคู่ของข้าออกหวีผมให้ ... พระมารดาของข้าหวีผมเกล้าขึ้นให้ ... ประดับปิ่นแรก สวมหรู่ฉวิน ... ประดับปิ่นสอง สวมชุดยาวชวีจวี ... ประดับปิ่นสาม สวมชุดแขนกว้างเต็มพิธีการ ... สามประดับสามคำนับ เสร็จพิธีการ... - จากเรื่อง <มังกรผู้พิชิต หงส์คู่บัลลังก์> ผู้แต่ง เม่ยอวี๋เจ่อ (ชื่อตามฉบับแปล แต่บทความ Storyฯ แปลเอง) หมายเหตุ ละคร <ซ่างหยาง ลำนำหงส์ลิขิตบัลลังก์> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้ พิธีปักปิ่นมีปรากฏในบันทึก ‘หลี่จี้ เน่ยเจ๋อ’ (礼记·内则) ซึ่งเป็นหนึ่งในบันทึกประเพณีที่เก่าแก่ที่สุดของจีนโดยพูดถึงพิธีการสมัยราชวงศ์โจวเป็นหลัก และเป็นหลักปฏิบัติที่ใช้สืบทอดกันมาหลายยุคสมัย พิธีมีรายละเอียดมาก Storyฯ สรุปได้ว่า 1. ผู้ที่เข้าร่วม: พิธีปักปิ่นจัดเป็นงาน ‘ฝ่ายใน’ และผู้เข้าร่วมงานต้องเป็นสตรีเท่านั้น ยกเว้นบุรุษในครอบครัวและญาติสนิท (เช่นพ่อ พี่ชาย น้องชาย ลุง อา) โดยปกติประธานในพิธีคือแม่ และผู้ที่มีบทบาทสำคัญคือ ‘แขกกิตติมศักดิ์’ ซึ่งจะเป็นญาติผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงดีงาม เธอมีหน้าที่ปักปิ่นและตั้งชื่อรองให้ตัวเอกของเรา นอกจากนี้ยังมีผู้ช่วยดำเนินการ ซึ่งอาจมีหลายคนไว้ทำหลายอย่างเช่น เชิญแขกเหรื่อ ประกาศขั้นตอน ประเคนของ ช่วยตัวเอกเปลี่ยนเสื้อผ้า ฯลฯ และมีนักดนตรีที่บรรเลงดนตรีประกอบพิธีการเป็นช่วงๆ 2. สถานที่ (ดูรูปประกอบ 2): พื้นที่แบ่งสองส่วน ส่วนที่ใช้ดำเนินพิธีมีการยกพื้น หากไม่มียกพื้นให้ใช้วาดแบ่งเขตให้ชัดเจน ทิศที่สำคัญคือทิศเหนือ มีป้ายบรรพบุรุษหรือที่นิยมคือรูปของขงจื้อ ทิศตะวันออกถือเป็นทิศของตัวเอก จะมีการใช้ฉากกั้นเป็นห้องไว้ให้นางเปลี่ยนเสื้อ แขกกิตติมศักดิ์จะนั่งอยู่ทิศตะวันตกหันหน้าเข้าทิศตะวันออก ขั้นตอนต่างๆ จะมีการกำหนดเส้นทางที่ใช้เดินและจุดยืน/นั่งที่ชัดเจน 3. พิธี: โดยหลักมี ‘สามประดับ สามคำนับ’ ซึ่ง ‘สามประดับ’ นี้หมายถึงการปักปิ่นและการเปลี่ยนชุด และเนื่องจากการแต่งกายของสตรีเปลี่ยนไปตามยุคสมัย Storyฯ ใช้ตัวอย่างสมัยราชวงศ์หมิงมาให้ดู (รูป 3) 3.1 ประดับแรก: ตัวเอกแรกเริ่มอยู่ในชุดเด็ก ผมมัดเป็นมวยคู่ ขั้นตอนนี้คือปลดมวยคู่ออกแล้วหวีผมใหม่เกล้าขึ้นแบบผู้ใหญ่ แล้วแขกกิตติมศักดิ์ก็จะปักปิ่นและกล่าวคำอวยพรเป็นสัญลักษณ์ของการเติบใหญ่แล้ว ปิ่นนี้เรียกว่า ‘จี’ หรือ ‘จาน’ เป็นปิ่นขาเดียว เสร็จแล้วตัวเอกกลับเข้าห้องเสื้อเปลี่ยนชุดสวมใส่เป็นชุด ‘หรู่ฉวิน’ สีขาวหรือสีสุภาพ หรือในสมัยหมิงใช้ชุด ‘เอ่าฉวิน’ เสร็จแล้วจึงกลับออกมาบริเวณทำพิธีอีกครั้ง 3.2 ประดับสอง: แขกกิตติมศักดิ์ปักปิ่นและกล่าวคำอวยพรอีกครั้ง โดยอาจใช้ปิ่นก้านเดียวหรือปิ่นสองก้านที่เรียกว่า ‘ไช้’ เสร็จแล้วตัวเอกกลับเข้าห้องเปลี่ยนชุดสวมใส่เป็นชุด ‘ชวีจวี’ หรือในสมัยหมิงใช้ชุด ‘เอ่าฉวินแบบยาว’ ซึ่งในสมัยอื่นๆ ก็จะเป็นชุดที่ค่อนข้างทางการแต่ไม่ใช่ชุดเต็มยศ 3.3 ประดับสาม: แขกกิตติมศักดิ์จะปักปิ่นและกล่าวคำอวยพรอีกครั้ง รอบนี้บ้างใช้เป็นมงกุฎผมหรือปิ่นแบบที่เรียกว่า ‘ไช้ก้วน’ คือดูเหมือนมงกุฎแต่ก้านเป็นปิ่น เสร็จแล้วตัวเอกกลับเข้าห้องเปลี่ยนชุดสวมใส่เป็นชุดแขนกว้างแบบเต็มยศหรือในสมัยหมิงเรียกว่าชุดคลุม ‘พีเฟิง’ 3.4 พิธีการก่อนสามคำนับ: ภายหลังจากตัวเอกเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว จะมีการคำนับขงจื้อหรือป้ายบรรพบุรุษที่จัดไว้ทางทิศเหนือ เพื่อเป็นการแสดงเจตจำนงที่จะทำสิ่งดีมีคุณประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง และเป็นวาระที่จะมีการตั้งชื่อรองให้ (Storyฯ เคยเขียนเรื่องชื่อเอกชื่อรองไว้นานมากแล้วตอนคุยถึงละครเรื่อง <ปรมาจารย์ลัทธิมาร> ลองหาอ่านดูนะคะ) และมีพิธีการอื่นเช่นเทเหล้าเซ่นไหว้ 3.4 เสร็จแล้วตัวเอกต้องคำนับสามครั้ง ครั้งแรกคำนับพ่อแม่เพื่อแสดงความกตัญญูรู้คุณ ครั้งที่สองคือเปรียบเป็นการคำนับครูบาอาจารย์ แล้วครั้งสุดท้ายคือคำนับบรรพบุรุษ เสร็จแล้วบิดามารดาให้โอวาท ก็เป็นอันเสร็จพิธีและตัวเอกคำนับขอบคุณแขกที่มาร่วมงาน แน่นอนว่าคนที่ดำเนินพิธีอาจปรับเปลี่ยนตามญาติของตัวเอกที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ขั้นตอนจะเป็นไปตามข้างต้น จะเห็นว่าพิธีการนี้ได้รับความสำคัญและมีรายละเอียดมาก จากข้อมูลที่หาได้ แม้เป็นองค์หญิงแต่พิธีการหลักของ ‘สามประดับสามคำนับ’ นั้นยังคงเดิม ความแตกต่างจะอยู่ที่เครื่องแต่งกาย เช่นใช้มงกุฎลายหงส์ห้าสี เป็นต้น อ่านถึงตรงนี้เพื่อนเพจคงพอเห็นภาพว่าทำไม Storyฯ จึงเกิดอาการ ‘อึ้ง’ ไปเมื่อได้เห็นพิธีนี้ในละคร ซ่างหยางฯ! ใครได้เห็นพิธีปักปิ่นในละครหรือนิยายเรื่องอื่น มาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.laoziliao.net/tv/info/46887006 http://www.cunman.com/new/4b9474b18da54ca59d78d567fd0d323e https://www.sohu.com/a/203002032_790378 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.cunman.com/new/4b9474b18da54ca59d78d567fd0d323e http://www.chinakongzi.org/zt/zhonghualiyue/201905/t20190510_194759.htm http://www.qulishi.com/article/202104/501662.html https://baike.sogou.com/v193017.htm #พิธีปักปิ่น #จีหลี่ #ซ่างหยาง #สตรีวัยสิบห้า #ปิ่นจีน
    《上陽賦》被嘲“夕陽賦”,高開低走收視撲街 - 老資料网
    在婦女節來臨前,國際影星章子怡領銜主演的瑪麗蘇巨制權謀大戲《上陽賦》迎來了大結局。該劇從開拍就引起了極大的關注,各種通稿爭相報道,國際章要從大銀幕轉戰電視劇,老戲骨加盟,大制作大手筆,改編小說《帝凰業》,是一部大型權謀大劇,引人關注。從官宣到開拍再到路透,
    3 Comments 0 Shares 580 Views 0 Reviews
  • หากทุกคนบนโลกเกิดมาพร้อมกับต้นไม้ที่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวที่ต้องดูแลตลอดชีวิต สิ่งที่น่าสนใจที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้มีหลายด้าน ทั้งในแง่บวกและแง่ที่ต้องแก้ไข:

    ### **ผลกระทบเชิงบวก:**
    1. **สิ่งแวดล้อมดีขึ้นอย่างรวดเร็ว**
    - ประชากรโลก 8 พันล้านคน = ต้นไม้เพิ่มขึ้น 8 พันล้านต้น (หรือมากกว่านั้นหากคนปลูกเพิ่ม)
    - ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ลดภาวะโลกร้อน ปรับสมดุลระบบนิเวศ

    2. **การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ**
    - คนจะตระหนักถึงการพึ่งพาต้นไม้มากขึ้น เช่น รู้จักวงจรชีวิตพืช ผลกระทบจากการตัดไม้ทำลาย
    - อาจเกิดวัฒนธรรมใหม่ที่เคารพธรรมชาติ เช่น การจัดพิธีกรรมเมื่อต้นไม้ของตนตาย

    3. **เศรษฐกิจใหม่ที่เกิดจาก "ตลาดต้นไม้ส่วนตัว"**
    - ต้นไม้กลายเป็นสินทรัพย์ซื้อขาย/มรดกได้ (เช่น ต้นโอ๊กอายุ 100 ปีอาจมีมูลค่าสูง)
    - เกิดอาชีพใหม่ เช่น "ที่ปรึกษาดูแลต้นไม้ส่วนตัว" "นักออกแบบสวนส่วนบุคคล"

    4. **นวัตกรรมเพื่อการดูแลต้นไม้**
    - เทคโนโลยีติดตามสุขภาพต้นไม้ (เซ็นเซอร์วัดดิน แอป提醒การรดน้ำ)
    - การพัฒนาพันธุ์ต้นไม้ที่ทนทานต่อสภาพอากาศต่างๆ

    ### **ความท้าทายและปัญหาที่อาจเกิด:**
    1. **ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากร**
    - คนในเมืองอาจไม่มีพื้นที่ปลูกต้นไม้ → เกิดตลาดเช่าพื้นที่ปลูก
    - ต้นไม้หายากบางชนิดอาจกลายเป็นสัญลักษณ์สถานะทางสังคม

    2. **ข้อขัดแย้งทางกฎหมาย**
    - หากต้นไม้ของใครโตเกินไปและสร้างความเสียหายให้เพื่อนบ้าน (เช่น รากชอนไช)
    - กรณีต้นไม้ตายก่อนเจ้าของ: จะมีบทลงโทษหรือไม่?

    3. **ผลกระทบต่อระบบนิเวศเดิม**
    - หากทุกคนปลูกต้นไม้ชนิดเดียวกัน (เช่น ไม้เศรษฐกิจ) อาจลดความหลากหลายทางชีวภาพ
    - สปีชีส์พันธุ์รุกรานอาจแพร่กระจายหากไม่ควบคุม

    4. **ความเครียดจากการดูแล**
    - บางคนอาจรู้สึกว่าต้นไม้เป็น "ภาระ" ตลอดชีวิต
    - อาจเกิดอาชญากรรมเกี่ยวกับต้นไม้ (เช่น ขโมยต้นไม้เก่าแก่ ลอบทำลายต้นไม้ของศัตรู)

    ### **แนวโน้มทางสังคมที่อาจตามมา:**
    - **การเมืองสีเขียวเข้มข้นขึ้น:** พรรคการเมืองอาจเสนอนโยบายเช่น "เงินอุดหนุนดูแลต้นไม้"
    - **ศิลปะ/วัฒนธรรมที่สะท้อนความเป็นเจ้าของต้นไม้:** เช่น นวนิยายเกี่ยวกับชีวิตคู่ขนานของคนและต้นไม้
    - **ความเชื่อใหม่:** อาจมีศาสนาที่นับถือต้นไม้เป็นตัวแทนจิตวิญญาณ

    ### **ข้อสรุป:**
    โลกจะเปลี่ยนไปในทางที่ "เขียว" ขึ้นอย่างแน่นอน แต่ก็ต้องเผชิญกับความซับซ้อนใหม่ๆ เกี่ยวกับสิทธิ์ในทรัพย์สิน ระบบนิเวศ และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ที่น่าสนใจคือ มนุษย์อาจพัฒนาความเป็นเจ้าของที่ลึกซึ้งต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ มากกว่าเดิม ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของจิตสำนึกทางสิ่งแวดล้อมที่แท้จริง
    หากทุกคนบนโลกเกิดมาพร้อมกับต้นไม้ที่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวที่ต้องดูแลตลอดชีวิต สิ่งที่น่าสนใจที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้มีหลายด้าน ทั้งในแง่บวกและแง่ที่ต้องแก้ไข: ### **ผลกระทบเชิงบวก:** 1. **สิ่งแวดล้อมดีขึ้นอย่างรวดเร็ว** - ประชากรโลก 8 พันล้านคน = ต้นไม้เพิ่มขึ้น 8 พันล้านต้น (หรือมากกว่านั้นหากคนปลูกเพิ่ม) - ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ลดภาวะโลกร้อน ปรับสมดุลระบบนิเวศ 2. **การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ** - คนจะตระหนักถึงการพึ่งพาต้นไม้มากขึ้น เช่น รู้จักวงจรชีวิตพืช ผลกระทบจากการตัดไม้ทำลาย - อาจเกิดวัฒนธรรมใหม่ที่เคารพธรรมชาติ เช่น การจัดพิธีกรรมเมื่อต้นไม้ของตนตาย 3. **เศรษฐกิจใหม่ที่เกิดจาก "ตลาดต้นไม้ส่วนตัว"** - ต้นไม้กลายเป็นสินทรัพย์ซื้อขาย/มรดกได้ (เช่น ต้นโอ๊กอายุ 100 ปีอาจมีมูลค่าสูง) - เกิดอาชีพใหม่ เช่น "ที่ปรึกษาดูแลต้นไม้ส่วนตัว" "นักออกแบบสวนส่วนบุคคล" 4. **นวัตกรรมเพื่อการดูแลต้นไม้** - เทคโนโลยีติดตามสุขภาพต้นไม้ (เซ็นเซอร์วัดดิน แอป提醒การรดน้ำ) - การพัฒนาพันธุ์ต้นไม้ที่ทนทานต่อสภาพอากาศต่างๆ ### **ความท้าทายและปัญหาที่อาจเกิด:** 1. **ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากร** - คนในเมืองอาจไม่มีพื้นที่ปลูกต้นไม้ → เกิดตลาดเช่าพื้นที่ปลูก - ต้นไม้หายากบางชนิดอาจกลายเป็นสัญลักษณ์สถานะทางสังคม 2. **ข้อขัดแย้งทางกฎหมาย** - หากต้นไม้ของใครโตเกินไปและสร้างความเสียหายให้เพื่อนบ้าน (เช่น รากชอนไช) - กรณีต้นไม้ตายก่อนเจ้าของ: จะมีบทลงโทษหรือไม่? 3. **ผลกระทบต่อระบบนิเวศเดิม** - หากทุกคนปลูกต้นไม้ชนิดเดียวกัน (เช่น ไม้เศรษฐกิจ) อาจลดความหลากหลายทางชีวภาพ - สปีชีส์พันธุ์รุกรานอาจแพร่กระจายหากไม่ควบคุม 4. **ความเครียดจากการดูแล** - บางคนอาจรู้สึกว่าต้นไม้เป็น "ภาระ" ตลอดชีวิต - อาจเกิดอาชญากรรมเกี่ยวกับต้นไม้ (เช่น ขโมยต้นไม้เก่าแก่ ลอบทำลายต้นไม้ของศัตรู) ### **แนวโน้มทางสังคมที่อาจตามมา:** - **การเมืองสีเขียวเข้มข้นขึ้น:** พรรคการเมืองอาจเสนอนโยบายเช่น "เงินอุดหนุนดูแลต้นไม้" - **ศิลปะ/วัฒนธรรมที่สะท้อนความเป็นเจ้าของต้นไม้:** เช่น นวนิยายเกี่ยวกับชีวิตคู่ขนานของคนและต้นไม้ - **ความเชื่อใหม่:** อาจมีศาสนาที่นับถือต้นไม้เป็นตัวแทนจิตวิญญาณ ### **ข้อสรุป:** โลกจะเปลี่ยนไปในทางที่ "เขียว" ขึ้นอย่างแน่นอน แต่ก็ต้องเผชิญกับความซับซ้อนใหม่ๆ เกี่ยวกับสิทธิ์ในทรัพย์สิน ระบบนิเวศ และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ที่น่าสนใจคือ มนุษย์อาจพัฒนาความเป็นเจ้าของที่ลึกซึ้งต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ มากกว่าเดิม ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของจิตสำนึกทางสิ่งแวดล้อมที่แท้จริง
    0 Comments 0 Shares 408 Views 0 Reviews
  • พวกกบฏแบ่งแยกดินแดนยังคงตะแบงอย่างข้างๆ คูๆ และดูเหมือนคำอธิบายที่ผมพยายามเขียนอยู่หลายครั้งก็ดูจะไม่ค่อยไปถึงไหนไกล นี่คือวิทยาศาสตร์ที่ไม่อาจโต้แย้ง และมีแต่ประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องเท่านั้นที่จะพ้องกับวิทยาศาสตร์นี้อย่างลงตัว
    .
    หนึ่งในเรื่องราวที่มีคนรู้น้อยมาก อันที่จริงต้องพูดว่าคนส่วนใหญ่ไม่แยแสสนใจ เป็นเรื่องของชาวเล หรือที่มีชื่อว่าโอรังลาโว้ย (บ้างเรียก อูรักลาโว้ย) เป็นหนึ่งในชนพื้นเมืองเก่าแก่ที่เรียกว่า "โอรังอัสลิ" ที่ซึ่งอันที่จริงเป็นญาติข้างพี่จากสายพันธุ์ที่เป็นบรรพบุรุษของผู้คนในอุษาคเนย์และเกาะแก่งในอุษาสมุทรแทบทั้งหมด.
    .
    Orang หรือ โอรัง มาจากภาษามาเลย์ แปลว่า คน / Asli หรือ อัสลิ แปลว่า เก่าแก่ ดั้งเดิม. โอรังอัสลิ หมายถึง คนดั้งเดิม มีความหมายตามคำเช่นนั้นตามความเป็นจริง ในอุษาคเนย์ตอนกลางจนจรดคาบสมุทรมาเลย์และเกาะในอุษาสมุทร นอกจากพวกปาปัวและออสโตรอะบอริจิ้นแล้ว ไม่มีใครมีดีเอ็นเอเก่าแก่ไปกว่าพวกโอรังอัสลิ พวกที่มี time stamp ในดีเอ็นเอเก่าที่สุดเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในซาบาห์ เกาะบอร์เนียว
    .
    โอรังอัสลิประกอบด้วยชนเผ่ามากมาย ในประเทศไทยมีพวก โอรังลาโว้ย เซมัง มานิ.. อาศัยอยู่ในภาคใต้ ในประเทศมาเลเซีย มีพวกโอรังกัวลา โอรังคานาค จาคุน เตมูน เซเมไล...ฯ ชนพื้นเมืองหลายเผ่าปรับตัวเป็นคนเมืองเรียกรวมๆ ว่าเซนอย ซึ่งท้ายที่สุดกลายเป็นประชากรชาวมาเลย์ทั่วไป มีพวก เตมีอาร์ เชไม เซมัคบารี จาห์ฮัท มะห์เมรี...ฯ ในประเทศอินโดนีเซียมีพวก ดยัค...ฯ ในประเทศฟิลิปปินส์มีพวก บอนทอค อิฟูเกา...ฯ ในฟอร์โมซาหรือไต้หวันมีพวก อตายาล พูยูมะ...ฯ และที่คาดไม่ถึงคือบางส่วนบนเกาะโอกินาวา
    .
    ชนพื้นเมืองเก่าแก่ในประเทศไทยหลายพวกก็เป็นเชื้อสายอัสเลียน เช่น พวกมอญ พวกลั๊วะ (ข่าว้า, ละว้า) พวกข่าหลายเผ่าที่มีชื่อเรียกต่างกันไปเช่น กัมมุ มลาบรี..
    .
    ชนเผ่าพวกนี้ถือเป็นบรรพบุรุษของคนเอเชียที่อาศัยในเมนแลนด์อุษาคเนย์อย่างเรา
    .
    ไม่เพียงเท่านั้น ตอนที่บรรพบุรุษพวกนี้มาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นกว่าปีก่อน มีมนุษย์ที่เดินทางมาถึงก่อนแล้ว คือพวกอะบอริจิ้นิสท์ พวกนี้มาถึงซุนดาตั้งแต่เมื่อห้าหมื่นปีก่อน ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบผู้หญิงอะบอริจิ้นเลือกบรรพบุรุษอัสเลียนเป็นพ่อพันธุ์ บีบให้ผู้ชายอะบอริจิ้นกระจายออกจากเมนแลนด์ซุนดาไปสู่เกาะแก่งโดยรอบในอุษาสมุทร ด้วยเหตุที่คนเอเชียมีแม่พันธ์ใหญ่ถึงสี่สาแหรก ทำให้ประชากรชาวเอเชียขยายตัวไปมากกว่าสาแหรกครอบครัวใดในโลก เฉพาะมนุษย์ผู้ชาย มีจำนวนมากกว่า 75% ของชายชาวเอเชียในปัจจุบัน ใน 75% นี้ รวมถึงผู้ชายชาวจีนที่เป็นส่วนหนึ่งของประชากรโลกจำนวน 1400 ล้านคน ลองคิดดูว่าคนเอเชียจะมีจำนวนเท่าไหร่ในโลกนี้?
    .
    ที่อธิบายนี่ ต้องการให้เห็นภาพว่า
    ผู้คนในอุษาคเนย์ส่วนใหญ่ มีเชื้อทางพ่อเป็นโอรังอัสลิ และมีเชื้อทางแม่เป็นอะบอริจินิสท์ ดังนั้นหากมีคนใดก็ตามที่ดูถูกเหยียดหยามข่มเหงรังแกคนพื้นเมืองพวกนี้ ให้รู้ไว้เถอะว่า พวกแกกำลังรังแกโคตรพ่อโคตรแม่ของพวกแก
    .
    ผมยกเอาภาพจากหนังสือของอาจารย์ประทีป ชุมพล เรื่อง "เสียงเพรียกจากท้องน้ำ" มาโพสตรงนี้ ก็เพราะโศกนาฏกรรมที่มีต่อชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นบรรพบุรุษเราพวกนี้ถูกรังแกและเหยียดหยามเรื่อยมาจนทุกวันนี้ และคนที่เรียกตนเองว่ามาเลย์นี่แหละ มีไม่น้อยที่มีส่วนในการข่มเหงนี้ อ.ประทีป เขียนหนังสือเล่มนี้ในลักษณะนิยายที่สะท้อนความจริงที่น่าเศร้าซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว และยังคงดำเนินต่อไป
    .
    ตั้งแต่ราวรัชกาลที่หกมาถึงรัชกาลที่เจ็ดได้มีการจัดสรรที่ทำกินให้ชนเผ่าพวกนี้ เพื่อที่พวกเขาจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่จะต้องร่อนเร่อยู่กลางทะเล แต่ "คนเมือง" ที่ซึ่งผมได้เกริ่นไปแต่ต้นว่าที่จริงเป็นพี่น้องลูกหลานมาแต่ชนเผ่าเหล่านี้ทั้งนั้น กลับใช้เล่ห์กลเอาเปรียบและแย่งชิงที่ดินของพวกเขาไป ซึ่งมันได้นำพาไปสู่โศกนาฏกรรมในที่สุด เมื่อชนพื้นเมืองพวกนี้กลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งต้องคับแค้นใจจนพากันออกไปฆ่าตัวตายกลางทะเล อ.ประทีปได้กลั่นกรองความรู้สึกจากเรื่องราวเหล่านี้ถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือชื่อ เสียงเพรียกจากท้องน้ำ
    .
    นี่คือเหตุที่ทำไมผมตั้งคำถามกับพวกโจรแยกดินแดนที่ซึ่งล้วนเป็นเซนอยที่มาจากโอรังอัสลิทั้งสิ้นว่า.. แทนที่จะมาทำตัวเป็นอาหรับพลัดถิ่นหรือคนมาเลเซียพลัดถิ่น ถามว่าพวกแกปฏิบัติเช่นไรกับโคตรพ่อโคตรแม่ของพวกแกเหล่านี้? พวกแกได้ดูถูกกดขี่เหยียดหยามแย่งที่ทำกินพวกเขาหรือไม่ เคยเป็นห่วงต่อสู้สิทธิในความเป็นมนุษย์และสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของแผ่นดินแต่ดั้งเดิมของพวกเขาหรือไม่? ทำไมไม่เรียกร้อง..."คืนแผ่นดินให้เซมัง....คืนแผ่นดินให้มอเกน????"
    .
    ยังมีไอ้พวกโง่ตอแหลจากสำนักอีซิ่มพร พวกไอ้เฒ่าจิตตก ออกมาตีสำนวนอีกว่า ชาวมลายูอยู่มาก่อนสยาม โพสนี้ตอบคำถามทุกอย่างตามที่เล่า จงถอยกลับไปก่อนการมีประเทศมาเลเซียหรือแม้แต่เมืองท่ามะละกา เมืองท่าปัตตานี... บรรพบุรุษมนุษย์พวกหนึ่งที่จะพัฒนาเป็นคนในเมนแลนด์อุษาคเนย์และเกาะในอุษาสมุทร คนพวกนี้พูดภาษาอัสเลียน ผสมพันธุ์กับพวกออสโตรอะบอริจิ้น ทำให้แตกเป็นภาษาออสโตรนีเชียน และเป็นมาลาโยโพลีนีเชียนตามเกาะแก่ง.. ผสมพันธุ์กับชนเผ่าอื่นๆ ในเมนแลนด์ตอนบนแตกแขนงเป็นออสโตเอเชียติกหรือมอญ-เขมร.. เป็นกรอบเวลาที่ยังไม่มีมนุษย์ที่เรียกว่าคนมาเลย์หรือคนมาลายูเลย ฝรั่งเป็นคนตั้งชื่อดินแดนแถบนี้ว่ามาลายาเมื่อเดินทางมาถึง ในห้วงเวลานั้นดินแดนแถบนั้นไม่มีชื่อหรอก เมื่อเขียนบนแผนที่ก็เลยเป็นที่มาให้เรียกพวกชนชาติแถบนี้รวมๆ ว่าคนมาลายา [แม้แต่จักรวรรดิจีนอันยิ่งใหญ่ในอดีตก็ไม่ได้เรียกอาณาจักรของตนว่า "จีน" พวกเขาเรียกดินแดนพวกเขาว่า จงกั๋ว (จงหยวน) แต่ฝรั่งเอาแซ่ราชวงศ์จิ๋น (ฉิน) ของจิ๋นซีหวงตี้มาเรียกเป็นชื่อว่าอาณาจักรจิ๋น แล้วเขียนบนแผนที่ทำให้ชาวโลกเรียกอาณาจักรจีนว่า China มาจนทุกวันนี้.. ที่จริงจีนใช้ตัวละตินเขียนว่า Qin แต่ออกเสียง ฉิน] โดยข้อเท็จจริงแล้วประวัติศาสตร์ไม่เคยมีประชาชนมาลายา-มาลายู หรือประเทศมาลายา-มาลายู ไปค้นประวัติศาสตร์ของทุกชาติในเอเชียได้ เช่น บันทึกจีนโบราณ เป็นต้น จะไม่มีบันทึกของชาติใดปรากฏชื่อที่มีสถานะเป็นอาณาจักรหรือประชาชนในชื่อมาลายา-มาลายูอยู่เลย (ใครเจอลองเอามาให้ดูหน่อย) นอกจากหัวเมืองชายแดนอันแยกกันเป็นเอกเทศหลายเมืองที่ล้วนเคยเป็นหัวเมืองประเทศราชของสยามมาก่อน ประเทศมาเลเซียเองเพิ่งปรากฏขึ้นในโลกหลังจากได้เอกราชจากการเป็นอิสระจากอาณานิคมอังกฤษ คนในพื้นที่คาบสมุทรนี้ในยุคก่อนมีราชอาณาจักรสยาม เรียกตัวเองว่า โอรังทั้งนั้น เช่นโอรังบูกิต โอรังเชไม โอรังจาฮัท ฯ... ฝรั่งมันไม่จำหรอก เยอะ.. มันเรียกง่ายๆ ว่าคนมาลายู (ดูแผนที่โบราณที่ผมโพสในคอมเม้นท์ข้างล่างแล้วอ่านคำอธิบาย) เพราะฉนั้น ไม่ใช่แค่คนในอินโด-มาเลเซียที่เป็นพวกอัสเลียน พวกที่เคยเป็นอาณาจักรศรีโพธิ์ อาณาจักรศรีวิชัย พวกศรีธรรมโศกราช พวกพริบพรี พวกละโว้ พวกทวารวดี (ซึ่งต่อมาเป็นพวกสยาม..) พวกมอญ พวกขอม พวกเขมร พวกจาม... ล้วนสืบเชื้อโอรังอัสลิและแม่อะบอริจิ้นมาทั้งนั้น คลานออกมาจากมดลูกเดียวกันทั้งคาบสมุทร!! (เบื่ออธิบายกับพวกแกจริงๆ)
    .
    จะบอกอะไรให้อย่างหนึ่ง ในอุษาคเนย์ มีชนพื้นเมืองพวกหนึ่งคือพวกข่าว้าหรือพวกลั๊วะ (บางทีเรียก ว้า ละว้า ล้า) จากผลตรวจดีเอ็นเอทุกชนเผ่าในมณฑลหยุนหนานโดยโปรเฟสเซอร์จินลี (นักวิทยาศาสตร์จีน) พวกข่าว้านี้มียีนเก่าที่สุด พอๆ กับพวกปู้ยี (จ้วงเหนือ). มีคำปรำปราอันหนึ่งของชนเผ่าไทกล่าวว่า "สางสร้างฟ้า ล้าสร้างเมือง" แปลว่า "เทวดาสร้างสวรรค์ พวกละว้าสร้างเมือง" ชนเผ่าไทยกย่องอย่างนี้ว่า ล้าสร้างเมือง... ตำนานน้ำเต้าปุงเล่าว่า สางบันดาลน้ำเต้าลูกมหึมาลงมา ปู่ลางเซิงเอาเหล็กแหลมแทงน้ำเต้าแล้วผู้คนก็ไหลกรูกันออกมา ข่าออกมาก่อน แล้วก็ลาว แล้วก็ไท นี่..ไทก็นับว่าข่าเป็นพี่ลาวเป็นพี่... มีตำนานไทอีกอันเรื่องข้าสี่แสนหมอนม้า ชนเผ่าไทโบราณรบกับพวกละว้าแล้วก็ยึดเมืองจากพวกละว้าได้ ทำให้มีประเพณีที่เมื่อจ้าวไททำพิธีขึ้นกินเมืองจะให้พวกละว้าขึ้นนั่งพระแท่นก่อน แล้วเจ้าไทจึงมาไล่ลง เสร็จแล้วค่อยนั่งครองพระแท่นแทน ธรรมเนียมนี้แสดงว่าคนไทยอมรับว่าล้าสร้างเมืองและเป็นใหญ่มาก่อน แต่เกือบพันปีที่ผ่านมาไม่เคยมีพวกละว้าขอแบ่งแยกดินแดนจากไท-ไทยเลยสักสมัย มีแต่พวกละว้าในพม่าที่เจรจาขอแยกจากการเป็นส่วนหนึ่งของพม่าตอนที่ทำสนธิสัญญาปางโหลงกับนายพลอองซาน. เรื่องของเรื่องก็คือ... ถอยไปอีก พวกนี้ก็มาจากโอรังอัสลิเช่นเดียวกับพวกเซนอยมาลายู แต่เก่ากว่าเป็นพันปี
    .
    เดินไปโรงพยาบาลแล้วขอตรวจดีเอ็นเอ ไอ้พวกโง่ แล้วแกจะได้เห็นว่าแกมีเชื้อเดียวกับเซมัง มอเกน. ในดีเอ็นเอมนุษย์มี time stamp อยู่ในสิ่งที่เรียกว่า genetic marker มันบอกอายุของดีเอ็นเอได้ว่าใครเก่ากว่ากัน และจะโยงพวกแกไปยังบรรพบุรุษเดียวกันในแอฟริกา ถึงตอนนั้นพวกแกจะแปลกใจว่าแกไม่ใช่คนมาลายูแล้ว แต่พวกแกเป็นคน "กอยซาน!!" เข้าใจไหม? คนอย่างไอ้เฒ่าจิตตกนั่นมันไม่รู้สี่รู้แปดอะไรหรอก เคยไปเล่าให้มันฟังแม่งนั่งอ้าปากหวอ
    .
    อย่างที่กล่าว
    คำว่า โอรังอัสลิ เป็นคำในภาษามาเลย์ของพวกแก แปลว่า คนดั้งเดิม
    พวกแกทำไมไม่สู้เพื่อพวกเขาบ้าง? นี่ต่างหาก คนดั้งเดิม
    แต่ไปที่ไหนก็ยังเห็นพวกแกดูถูกพวกเขาอยู่เสมอ
    หรือว่าลืมกำพืด อยากเป็นสุลต่านกัน?
    ถ้าพวกแกมีจิตวิญญาณของนักรบจริง
    ที่กาซ่า พี่น้องมุสลิมชาวปาเลสไตน์กำลังถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยพวกยิว
    ในฐานะมุสลิมด้วยกัน ไปสิ จับอาวุธแล้วไปต่อสู้เพื่อพวกเขา กล้าพอไหม?
    ไปชวนพี่น้องแกในมาเลเซียด้วย ถ้าที่นั่นยังมีนักรบนะ
    จิตสำนึกมุสลิมอันยิ่งใหญ่มีอยู่ไหมในมาเลเซีย
    พระเจ้าจะสรรเสริญพวกแกและรับพวกแกไปสู่ญันนะฮฺเมื่อได้สละชีพ
    คงไม่หรอก เพราะพวกแกฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กน้อยที่บริสุทธิ์
    ไม่ต่างอะไรกับพวกยิวอิสราเอล

    อัลลาฮฺอักบัร
    .
    #ปาตานี #แบ่งแยกดินแดน #คนมลายูอยู่มาก่อนสยาม #โอรังอัสลิ #โอรังลาโว้ย #เสียงเพรียกจากท้องน้ำ
    พวกกบฏแบ่งแยกดินแดนยังคงตะแบงอย่างข้างๆ คูๆ และดูเหมือนคำอธิบายที่ผมพยายามเขียนอยู่หลายครั้งก็ดูจะไม่ค่อยไปถึงไหนไกล นี่คือวิทยาศาสตร์ที่ไม่อาจโต้แย้ง และมีแต่ประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องเท่านั้นที่จะพ้องกับวิทยาศาสตร์นี้อย่างลงตัว . หนึ่งในเรื่องราวที่มีคนรู้น้อยมาก อันที่จริงต้องพูดว่าคนส่วนใหญ่ไม่แยแสสนใจ เป็นเรื่องของชาวเล หรือที่มีชื่อว่าโอรังลาโว้ย (บ้างเรียก อูรักลาโว้ย) เป็นหนึ่งในชนพื้นเมืองเก่าแก่ที่เรียกว่า "โอรังอัสลิ" ที่ซึ่งอันที่จริงเป็นญาติข้างพี่จากสายพันธุ์ที่เป็นบรรพบุรุษของผู้คนในอุษาคเนย์และเกาะแก่งในอุษาสมุทรแทบทั้งหมด. . Orang หรือ โอรัง มาจากภาษามาเลย์ แปลว่า คน / Asli หรือ อัสลิ แปลว่า เก่าแก่ ดั้งเดิม. โอรังอัสลิ หมายถึง คนดั้งเดิม มีความหมายตามคำเช่นนั้นตามความเป็นจริง ในอุษาคเนย์ตอนกลางจนจรดคาบสมุทรมาเลย์และเกาะในอุษาสมุทร นอกจากพวกปาปัวและออสโตรอะบอริจิ้นแล้ว ไม่มีใครมีดีเอ็นเอเก่าแก่ไปกว่าพวกโอรังอัสลิ พวกที่มี time stamp ในดีเอ็นเอเก่าที่สุดเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในซาบาห์ เกาะบอร์เนียว . โอรังอัสลิประกอบด้วยชนเผ่ามากมาย ในประเทศไทยมีพวก โอรังลาโว้ย เซมัง มานิ.. อาศัยอยู่ในภาคใต้ ในประเทศมาเลเซีย มีพวกโอรังกัวลา โอรังคานาค จาคุน เตมูน เซเมไล...ฯ ชนพื้นเมืองหลายเผ่าปรับตัวเป็นคนเมืองเรียกรวมๆ ว่าเซนอย ซึ่งท้ายที่สุดกลายเป็นประชากรชาวมาเลย์ทั่วไป มีพวก เตมีอาร์ เชไม เซมัคบารี จาห์ฮัท มะห์เมรี...ฯ ในประเทศอินโดนีเซียมีพวก ดยัค...ฯ ในประเทศฟิลิปปินส์มีพวก บอนทอค อิฟูเกา...ฯ ในฟอร์โมซาหรือไต้หวันมีพวก อตายาล พูยูมะ...ฯ และที่คาดไม่ถึงคือบางส่วนบนเกาะโอกินาวา . ชนพื้นเมืองเก่าแก่ในประเทศไทยหลายพวกก็เป็นเชื้อสายอัสเลียน เช่น พวกมอญ พวกลั๊วะ (ข่าว้า, ละว้า) พวกข่าหลายเผ่าที่มีชื่อเรียกต่างกันไปเช่น กัมมุ มลาบรี.. . ชนเผ่าพวกนี้ถือเป็นบรรพบุรุษของคนเอเชียที่อาศัยในเมนแลนด์อุษาคเนย์อย่างเรา . ไม่เพียงเท่านั้น ตอนที่บรรพบุรุษพวกนี้มาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นกว่าปีก่อน มีมนุษย์ที่เดินทางมาถึงก่อนแล้ว คือพวกอะบอริจิ้นิสท์ พวกนี้มาถึงซุนดาตั้งแต่เมื่อห้าหมื่นปีก่อน ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบผู้หญิงอะบอริจิ้นเลือกบรรพบุรุษอัสเลียนเป็นพ่อพันธุ์ บีบให้ผู้ชายอะบอริจิ้นกระจายออกจากเมนแลนด์ซุนดาไปสู่เกาะแก่งโดยรอบในอุษาสมุทร ด้วยเหตุที่คนเอเชียมีแม่พันธ์ใหญ่ถึงสี่สาแหรก ทำให้ประชากรชาวเอเชียขยายตัวไปมากกว่าสาแหรกครอบครัวใดในโลก เฉพาะมนุษย์ผู้ชาย มีจำนวนมากกว่า 75% ของชายชาวเอเชียในปัจจุบัน ใน 75% นี้ รวมถึงผู้ชายชาวจีนที่เป็นส่วนหนึ่งของประชากรโลกจำนวน 1400 ล้านคน ลองคิดดูว่าคนเอเชียจะมีจำนวนเท่าไหร่ในโลกนี้? . ที่อธิบายนี่ ต้องการให้เห็นภาพว่า ผู้คนในอุษาคเนย์ส่วนใหญ่ มีเชื้อทางพ่อเป็นโอรังอัสลิ และมีเชื้อทางแม่เป็นอะบอริจินิสท์ ดังนั้นหากมีคนใดก็ตามที่ดูถูกเหยียดหยามข่มเหงรังแกคนพื้นเมืองพวกนี้ ให้รู้ไว้เถอะว่า พวกแกกำลังรังแกโคตรพ่อโคตรแม่ของพวกแก . ผมยกเอาภาพจากหนังสือของอาจารย์ประทีป ชุมพล เรื่อง "เสียงเพรียกจากท้องน้ำ" มาโพสตรงนี้ ก็เพราะโศกนาฏกรรมที่มีต่อชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นบรรพบุรุษเราพวกนี้ถูกรังแกและเหยียดหยามเรื่อยมาจนทุกวันนี้ และคนที่เรียกตนเองว่ามาเลย์นี่แหละ มีไม่น้อยที่มีส่วนในการข่มเหงนี้ อ.ประทีป เขียนหนังสือเล่มนี้ในลักษณะนิยายที่สะท้อนความจริงที่น่าเศร้าซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว และยังคงดำเนินต่อไป . ตั้งแต่ราวรัชกาลที่หกมาถึงรัชกาลที่เจ็ดได้มีการจัดสรรที่ทำกินให้ชนเผ่าพวกนี้ เพื่อที่พวกเขาจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่จะต้องร่อนเร่อยู่กลางทะเล แต่ "คนเมือง" ที่ซึ่งผมได้เกริ่นไปแต่ต้นว่าที่จริงเป็นพี่น้องลูกหลานมาแต่ชนเผ่าเหล่านี้ทั้งนั้น กลับใช้เล่ห์กลเอาเปรียบและแย่งชิงที่ดินของพวกเขาไป ซึ่งมันได้นำพาไปสู่โศกนาฏกรรมในที่สุด เมื่อชนพื้นเมืองพวกนี้กลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งต้องคับแค้นใจจนพากันออกไปฆ่าตัวตายกลางทะเล อ.ประทีปได้กลั่นกรองความรู้สึกจากเรื่องราวเหล่านี้ถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือชื่อ เสียงเพรียกจากท้องน้ำ . นี่คือเหตุที่ทำไมผมตั้งคำถามกับพวกโจรแยกดินแดนที่ซึ่งล้วนเป็นเซนอยที่มาจากโอรังอัสลิทั้งสิ้นว่า.. แทนที่จะมาทำตัวเป็นอาหรับพลัดถิ่นหรือคนมาเลเซียพลัดถิ่น ถามว่าพวกแกปฏิบัติเช่นไรกับโคตรพ่อโคตรแม่ของพวกแกเหล่านี้? พวกแกได้ดูถูกกดขี่เหยียดหยามแย่งที่ทำกินพวกเขาหรือไม่ เคยเป็นห่วงต่อสู้สิทธิในความเป็นมนุษย์และสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของแผ่นดินแต่ดั้งเดิมของพวกเขาหรือไม่? ทำไมไม่เรียกร้อง..."คืนแผ่นดินให้เซมัง....คืนแผ่นดินให้มอเกน????" . ยังมีไอ้พวกโง่ตอแหลจากสำนักอีซิ่มพร พวกไอ้เฒ่าจิตตก ออกมาตีสำนวนอีกว่า ชาวมลายูอยู่มาก่อนสยาม โพสนี้ตอบคำถามทุกอย่างตามที่เล่า จงถอยกลับไปก่อนการมีประเทศมาเลเซียหรือแม้แต่เมืองท่ามะละกา เมืองท่าปัตตานี... บรรพบุรุษมนุษย์พวกหนึ่งที่จะพัฒนาเป็นคนในเมนแลนด์อุษาคเนย์และเกาะในอุษาสมุทร คนพวกนี้พูดภาษาอัสเลียน ผสมพันธุ์กับพวกออสโตรอะบอริจิ้น ทำให้แตกเป็นภาษาออสโตรนีเชียน และเป็นมาลาโยโพลีนีเชียนตามเกาะแก่ง.. ผสมพันธุ์กับชนเผ่าอื่นๆ ในเมนแลนด์ตอนบนแตกแขนงเป็นออสโตเอเชียติกหรือมอญ-เขมร.. เป็นกรอบเวลาที่ยังไม่มีมนุษย์ที่เรียกว่าคนมาเลย์หรือคนมาลายูเลย ฝรั่งเป็นคนตั้งชื่อดินแดนแถบนี้ว่ามาลายาเมื่อเดินทางมาถึง ในห้วงเวลานั้นดินแดนแถบนั้นไม่มีชื่อหรอก เมื่อเขียนบนแผนที่ก็เลยเป็นที่มาให้เรียกพวกชนชาติแถบนี้รวมๆ ว่าคนมาลายา [แม้แต่จักรวรรดิจีนอันยิ่งใหญ่ในอดีตก็ไม่ได้เรียกอาณาจักรของตนว่า "จีน" พวกเขาเรียกดินแดนพวกเขาว่า จงกั๋ว (จงหยวน) แต่ฝรั่งเอาแซ่ราชวงศ์จิ๋น (ฉิน) ของจิ๋นซีหวงตี้มาเรียกเป็นชื่อว่าอาณาจักรจิ๋น แล้วเขียนบนแผนที่ทำให้ชาวโลกเรียกอาณาจักรจีนว่า China มาจนทุกวันนี้.. ที่จริงจีนใช้ตัวละตินเขียนว่า Qin แต่ออกเสียง ฉิน] โดยข้อเท็จจริงแล้วประวัติศาสตร์ไม่เคยมีประชาชนมาลายา-มาลายู หรือประเทศมาลายา-มาลายู ไปค้นประวัติศาสตร์ของทุกชาติในเอเชียได้ เช่น บันทึกจีนโบราณ เป็นต้น จะไม่มีบันทึกของชาติใดปรากฏชื่อที่มีสถานะเป็นอาณาจักรหรือประชาชนในชื่อมาลายา-มาลายูอยู่เลย (ใครเจอลองเอามาให้ดูหน่อย) นอกจากหัวเมืองชายแดนอันแยกกันเป็นเอกเทศหลายเมืองที่ล้วนเคยเป็นหัวเมืองประเทศราชของสยามมาก่อน ประเทศมาเลเซียเองเพิ่งปรากฏขึ้นในโลกหลังจากได้เอกราชจากการเป็นอิสระจากอาณานิคมอังกฤษ คนในพื้นที่คาบสมุทรนี้ในยุคก่อนมีราชอาณาจักรสยาม เรียกตัวเองว่า โอรังทั้งนั้น เช่นโอรังบูกิต โอรังเชไม โอรังจาฮัท ฯ... ฝรั่งมันไม่จำหรอก เยอะ.. มันเรียกง่ายๆ ว่าคนมาลายู (ดูแผนที่โบราณที่ผมโพสในคอมเม้นท์ข้างล่างแล้วอ่านคำอธิบาย) เพราะฉนั้น ไม่ใช่แค่คนในอินโด-มาเลเซียที่เป็นพวกอัสเลียน พวกที่เคยเป็นอาณาจักรศรีโพธิ์ อาณาจักรศรีวิชัย พวกศรีธรรมโศกราช พวกพริบพรี พวกละโว้ พวกทวารวดี (ซึ่งต่อมาเป็นพวกสยาม..) พวกมอญ พวกขอม พวกเขมร พวกจาม... ล้วนสืบเชื้อโอรังอัสลิและแม่อะบอริจิ้นมาทั้งนั้น คลานออกมาจากมดลูกเดียวกันทั้งคาบสมุทร!! (เบื่ออธิบายกับพวกแกจริงๆ) . จะบอกอะไรให้อย่างหนึ่ง ในอุษาคเนย์ มีชนพื้นเมืองพวกหนึ่งคือพวกข่าว้าหรือพวกลั๊วะ (บางทีเรียก ว้า ละว้า ล้า) จากผลตรวจดีเอ็นเอทุกชนเผ่าในมณฑลหยุนหนานโดยโปรเฟสเซอร์จินลี (นักวิทยาศาสตร์จีน) พวกข่าว้านี้มียีนเก่าที่สุด พอๆ กับพวกปู้ยี (จ้วงเหนือ). มีคำปรำปราอันหนึ่งของชนเผ่าไทกล่าวว่า "สางสร้างฟ้า ล้าสร้างเมือง" แปลว่า "เทวดาสร้างสวรรค์ พวกละว้าสร้างเมือง" ชนเผ่าไทยกย่องอย่างนี้ว่า ล้าสร้างเมือง... ตำนานน้ำเต้าปุงเล่าว่า สางบันดาลน้ำเต้าลูกมหึมาลงมา ปู่ลางเซิงเอาเหล็กแหลมแทงน้ำเต้าแล้วผู้คนก็ไหลกรูกันออกมา ข่าออกมาก่อน แล้วก็ลาว แล้วก็ไท นี่..ไทก็นับว่าข่าเป็นพี่ลาวเป็นพี่... มีตำนานไทอีกอันเรื่องข้าสี่แสนหมอนม้า ชนเผ่าไทโบราณรบกับพวกละว้าแล้วก็ยึดเมืองจากพวกละว้าได้ ทำให้มีประเพณีที่เมื่อจ้าวไททำพิธีขึ้นกินเมืองจะให้พวกละว้าขึ้นนั่งพระแท่นก่อน แล้วเจ้าไทจึงมาไล่ลง เสร็จแล้วค่อยนั่งครองพระแท่นแทน ธรรมเนียมนี้แสดงว่าคนไทยอมรับว่าล้าสร้างเมืองและเป็นใหญ่มาก่อน แต่เกือบพันปีที่ผ่านมาไม่เคยมีพวกละว้าขอแบ่งแยกดินแดนจากไท-ไทยเลยสักสมัย มีแต่พวกละว้าในพม่าที่เจรจาขอแยกจากการเป็นส่วนหนึ่งของพม่าตอนที่ทำสนธิสัญญาปางโหลงกับนายพลอองซาน. เรื่องของเรื่องก็คือ... ถอยไปอีก พวกนี้ก็มาจากโอรังอัสลิเช่นเดียวกับพวกเซนอยมาลายู แต่เก่ากว่าเป็นพันปี . เดินไปโรงพยาบาลแล้วขอตรวจดีเอ็นเอ ไอ้พวกโง่ แล้วแกจะได้เห็นว่าแกมีเชื้อเดียวกับเซมัง มอเกน. ในดีเอ็นเอมนุษย์มี time stamp อยู่ในสิ่งที่เรียกว่า genetic marker มันบอกอายุของดีเอ็นเอได้ว่าใครเก่ากว่ากัน และจะโยงพวกแกไปยังบรรพบุรุษเดียวกันในแอฟริกา ถึงตอนนั้นพวกแกจะแปลกใจว่าแกไม่ใช่คนมาลายูแล้ว แต่พวกแกเป็นคน "กอยซาน!!" เข้าใจไหม? คนอย่างไอ้เฒ่าจิตตกนั่นมันไม่รู้สี่รู้แปดอะไรหรอก เคยไปเล่าให้มันฟังแม่งนั่งอ้าปากหวอ . อย่างที่กล่าว คำว่า โอรังอัสลิ เป็นคำในภาษามาเลย์ของพวกแก แปลว่า คนดั้งเดิม พวกแกทำไมไม่สู้เพื่อพวกเขาบ้าง? นี่ต่างหาก คนดั้งเดิม แต่ไปที่ไหนก็ยังเห็นพวกแกดูถูกพวกเขาอยู่เสมอ หรือว่าลืมกำพืด อยากเป็นสุลต่านกัน? ถ้าพวกแกมีจิตวิญญาณของนักรบจริง ที่กาซ่า พี่น้องมุสลิมชาวปาเลสไตน์กำลังถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยพวกยิว ในฐานะมุสลิมด้วยกัน ไปสิ จับอาวุธแล้วไปต่อสู้เพื่อพวกเขา กล้าพอไหม? ไปชวนพี่น้องแกในมาเลเซียด้วย ถ้าที่นั่นยังมีนักรบนะ จิตสำนึกมุสลิมอันยิ่งใหญ่มีอยู่ไหมในมาเลเซีย พระเจ้าจะสรรเสริญพวกแกและรับพวกแกไปสู่ญันนะฮฺเมื่อได้สละชีพ คงไม่หรอก เพราะพวกแกฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กน้อยที่บริสุทธิ์ ไม่ต่างอะไรกับพวกยิวอิสราเอล อัลลาฮฺอักบัร . #ปาตานี #แบ่งแยกดินแดน #คนมลายูอยู่มาก่อนสยาม #โอรังอัสลิ #โอรังลาโว้ย #เสียงเพรียกจากท้องน้ำ
    4 Comments 0 Shares 783 Views 0 Reviews
  • เหรียญพระพุทธสิหิงค์ วัดวังฆ้อง จ.นครศรีธรรมราช
    เหรียญพระพุทธสิหิงค์ วัดวังฆ้อง อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช // พระดีพิธีใหญ่ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ @"

    ** พุทธคุณด้านบารมี ผู้คนยำเกรง เมตตามหานิยมและแคล้วคลาด โชคพลิกพื้นดวงชะตา กลับร้ายกลายเป็นดี ธุรกิจการค้า เจริญรุ่งเรือง ขอได้ไหว้รับ >>

    ** วัดวังฆ้องเป็นวัดเก่าแก่ สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เป็นวัดที่สำคัญแห่งหนึ่งใน อ.จุฬาภรณ์ เป็นศูนย์รวมพุทธศาสนิกชน >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญพระพุทธสิหิงค์ วัดวังฆ้อง จ.นครศรีธรรมราช เหรียญพระพุทธสิหิงค์ วัดวังฆ้อง อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช // พระดีพิธีใหญ่ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ @" ** พุทธคุณด้านบารมี ผู้คนยำเกรง เมตตามหานิยมและแคล้วคลาด โชคพลิกพื้นดวงชะตา กลับร้ายกลายเป็นดี ธุรกิจการค้า เจริญรุ่งเรือง ขอได้ไหว้รับ >> ** วัดวังฆ้องเป็นวัดเก่าแก่ สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เป็นวัดที่สำคัญแห่งหนึ่งใน อ.จุฬาภรณ์ เป็นศูนย์รวมพุทธศาสนิกชน >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 217 Views 0 Reviews
More Results