• ยกระดับการผลิตของคุณด้วยเครื่องจักรระดับมืออาชีพ!
    สำหรับผู้ประกอบการที่มองหาเครื่องจักรคุณภาพสูงเพื่อยกระดับการผลิตซอส เนยถั่ว หรือผลิตภัณฑ์ที่มีความละเอียดสูงอื่นๆ เครื่อง Colloid Mill 100 จาก BONNY คือคำตอบที่คุณตามหา! เครื่องจักรนี้ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในระดับอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอและมีคุณภาพสูงสุด
    ทำไมต้องเลือก Colloid Mill 100 สำหรับธุรกิจของคุณ?
    ประสิทธิภาพการบดเหนือกว่า: ทำงานด้วยระบบเฟืองบดคู่ที่ทรงพลัง ให้ความละเอียดของอนุภาคที่สม่ำเสมอและเนียนกริบ เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการเนื้อสัมผัสพิเศษ
    สร้างจากวัสดุคุณภาพสูง: ตัวเครื่องผลิตจากสเตนเลสเกรด 304 แข็งแรงทนทาน ทนต่อการกัดกร่อน และเป็นไปตามมาตรฐานสุขอนามัยสำหรับการผลิตอาหาร
    ระบบที่ออกแบบมาเพื่อการผลิตต่อเนื่อง:
    ระบบไหลวน: ช่วยให้มั่นใจได้ถึงความละเอียดที่ยอดเยี่ยม ลดความจำเป็นในการผ่านกระบวนการซ้ำหลายรอบ
    ระบบหล่อเย็น: ควบคุมอุณหภูมิระหว่างการบดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันความร้อนทำลายคุณภาพของวัตถุดิบ
    กำลังการผลิตที่ตอบโจทย์: ด้วยมอเตอร์ขนาด 10 HP. (ไฟ 380 V.) และความเร็วรอบฟันตี 2,800 rpm. สามารถผลิตได้มากถึง 50-100 กก./ชม. พร้อมรองรับการผลิตในปริมาณมาก
    ลงทุนอย่างคุ้มค่า: ขนาดเครื่องกะทัดรัด (88x49x88 ซม.) ประหยัดพื้นที่ในโรงงาน พร้อมรับประกันสินค้านานถึง 1 ปี ให้คุณมั่นใจในทุกการใช้งาน
    อย่ารอช้า! ยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ของคุณ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดด้วยเครื่องจักรคุณภาพจาก BONNY
    #ColloidMill #เครื่องจักรโรงงาน #ระดับอุตสาหกรรม #เนยถั่ว #ทำซอส #BONNY #ย่งฮะเฮง #เครื่องแปรรูปอาหาร #เครื่องบด #เครื่องบดละเอียด #โรงงานอาหาร #อุตสาหกรรมอาหาร #ผลิตซอส #ผลิตเนยถั่ว #เครื่องจักรแปรรูป #สแตนเลส304 #เครื่องบดอเนกประสงค์ #เครื่องผลิตอาหาร #เครื่องครัวอุตสาหกรรม #เทคโนโลยีอาหาร #คุณภาพสูง #ประสิทธิภาพสูง #ราคาพิเศษ
    สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อได้ที่:
    ย่งฮะเฮง เครื่องบด ย่อย หั่น สับ สไลซ์ คั้น อัด เลื่อย สำหรับ อาหาร ยา พลังงานหมุนเวียน
    LINE Business ID: @yonghahheng (มี @ ข้างหน้า) หรือคลิก: https://lin.ee/HV4lSKp
    โทร: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com
    📢 ยกระดับการผลิตของคุณด้วยเครื่องจักรระดับมืออาชีพ! 🚀 สำหรับผู้ประกอบการที่มองหาเครื่องจักรคุณภาพสูงเพื่อยกระดับการผลิตซอส เนยถั่ว หรือผลิตภัณฑ์ที่มีความละเอียดสูงอื่นๆ เครื่อง Colloid Mill 100 จาก BONNY คือคำตอบที่คุณตามหา! เครื่องจักรนี้ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในระดับอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอและมีคุณภาพสูงสุด ✨ ทำไมต้องเลือก Colloid Mill 100 สำหรับธุรกิจของคุณ? ✨ ประสิทธิภาพการบดเหนือกว่า: ทำงานด้วยระบบเฟืองบดคู่ที่ทรงพลัง ให้ความละเอียดของอนุภาคที่สม่ำเสมอและเนียนกริบ เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการเนื้อสัมผัสพิเศษ สร้างจากวัสดุคุณภาพสูง: ตัวเครื่องผลิตจากสเตนเลสเกรด 304 แข็งแรงทนทาน ทนต่อการกัดกร่อน และเป็นไปตามมาตรฐานสุขอนามัยสำหรับการผลิตอาหาร ระบบที่ออกแบบมาเพื่อการผลิตต่อเนื่อง: ระบบไหลวน: ช่วยให้มั่นใจได้ถึงความละเอียดที่ยอดเยี่ยม ลดความจำเป็นในการผ่านกระบวนการซ้ำหลายรอบ ระบบหล่อเย็น: ควบคุมอุณหภูมิระหว่างการบดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันความร้อนทำลายคุณภาพของวัตถุดิบ กำลังการผลิตที่ตอบโจทย์: ด้วยมอเตอร์ขนาด 10 HP. (ไฟ 380 V.) และความเร็วรอบฟันตี 2,800 rpm. สามารถผลิตได้มากถึง 50-100 กก./ชม. พร้อมรองรับการผลิตในปริมาณมาก ลงทุนอย่างคุ้มค่า: ขนาดเครื่องกะทัดรัด (88x49x88 ซม.) ประหยัดพื้นที่ในโรงงาน พร้อมรับประกันสินค้านานถึง 1 ปี ให้คุณมั่นใจในทุกการใช้งาน อย่ารอช้า! ยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ของคุณ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดด้วยเครื่องจักรคุณภาพจาก BONNY #ColloidMill #เครื่องจักรโรงงาน #ระดับอุตสาหกรรม #เนยถั่ว #ทำซอส #BONNY #ย่งฮะเฮง #เครื่องแปรรูปอาหาร #เครื่องบด #เครื่องบดละเอียด #โรงงานอาหาร #อุตสาหกรรมอาหาร #ผลิตซอส #ผลิตเนยถั่ว #เครื่องจักรแปรรูป #สแตนเลส304 #เครื่องบดอเนกประสงค์ #เครื่องผลิตอาหาร #เครื่องครัวอุตสาหกรรม #เทคโนโลยีอาหาร #คุณภาพสูง #ประสิทธิภาพสูง #ราคาพิเศษ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อได้ที่: 📍 ย่งฮะเฮง เครื่องบด ย่อย หั่น สับ สไลซ์ คั้น อัด เลื่อย สำหรับ อาหาร ยา พลังงานหมุนเวียน 📱 LINE Business ID: @yonghahheng (มี @ ข้างหน้า) หรือคลิก: https://lin.ee/HV4lSKp 📞 โทร: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 🌐 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com 📧 อีเมล: sales@yoryonghahheng.com
    0 Comments 0 Shares 46 Views 0 Reviews
  • MXene เป็นวัสดุโครงสร้างบางเพียงอะตอมเดียว ที่ถูกขนานนามว่า “วัสดุมหัศจรรย์” → เพราะมีคุณสมบัติพิเศษมากมาย เช่น นำไฟฟ้า ทนความร้อน ใช้เป็นฉนวนแม่เหล็ก ตัวเก็บพลังงาน และแม้แต่สารหล่อลื่นสำหรับอวกาศ

    แต่ปัญหาหลักคือ วิธีผลิตแบบเดิมต้องใช้กรดไฮโดรฟลูออริก (HF) ที่อันตรายและยากต่อการจัดการ — ทำให้การผลิตในระดับอุตสาหกรรมแทบเกิดขึ้นไม่ได้

    ทีมจาก TU Wien เลยพัฒนาเทคนิคใหม่ที่ใช้ไฟฟ้า (electrochemistry) และ สารเคมีที่ปลอดภัยกว่าอย่าง NaBF₄ + HCl → พร้อมปรับกระแสไฟให้เป็นแบบ "พัลส์สั้น" เพื่อช่วยเร่งปฏิกิริยาและขจัดชั้นอะลูมิเนียมออกจากโครงสร้าง MAX ได้แม่นยำ → ได้ผลผลิตเป็น “Electrochemical MXene” หรือ EC-MXene โดยไม่ก่อให้เกิดของเสียอันตราย

    ผลที่ได้คือผลิต MXene ได้ สูงถึง 60% ต่อรอบ → คุณภาพดีขึ้น, ไม่มีของเสีย, ทำซ้ำได้, และอาจประยุกต์ใช้ในระบบขนาดเล็กอย่าง “เครื่องครัวในอนาคตก็พิมพ์วัสดุนี้ได้”

    MXene เป็นวัสดุ 2 มิติที่บางระดับอะตอม → มีศักยภาพสูงในด้าน:  
    • แบตเตอรี่–ตัวเก็บพลังงาน  
    • การป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI shielding)  
    • ตัวหล่อลื่นระดับนาโนในอุตสาหกรรมและอวกาศ  
    • ตัวตรวจวัดเซนเซอร์

    เทคนิคใหม่ใช้ไฟฟ้า + NaBF₄ + HCl → ไม่ใช้กรด HF ที่เป็นพิษอีกต่อไป

    ใช้พัลส์ไฟฟ้าแบบคาโทดสั้น (cathodic pulsing) เพื่อเร่งการแยกอะลูมิเนียมจากชั้น MAX

    สามารถผลิต EC-MXene ได้สูงถึง 60% โดยไม่มีของเสีย

    ผลการทดสอบผ่านหลายเทคนิค เช่น SEM, EDX, AFM, XRD, XPS ฯลฯ เพื่อยืนยันโครงสร้าง–ความบริสุทธิ์

    ทีมวิจัยหวังให้กระบวนการนี้ “ง่ายพอจะทำในครัวบ้าน” และขยายสู่การผลิตทั่วไปได้ในอนาคต

    https://www.neowin.net/news/the-miracle-material-can-finally-be-built-safely-with-this-new-method/
    MXene เป็นวัสดุโครงสร้างบางเพียงอะตอมเดียว ที่ถูกขนานนามว่า “วัสดุมหัศจรรย์” → เพราะมีคุณสมบัติพิเศษมากมาย เช่น นำไฟฟ้า ทนความร้อน ใช้เป็นฉนวนแม่เหล็ก ตัวเก็บพลังงาน และแม้แต่สารหล่อลื่นสำหรับอวกาศ แต่ปัญหาหลักคือ วิธีผลิตแบบเดิมต้องใช้กรดไฮโดรฟลูออริก (HF) ที่อันตรายและยากต่อการจัดการ — ทำให้การผลิตในระดับอุตสาหกรรมแทบเกิดขึ้นไม่ได้ ทีมจาก TU Wien เลยพัฒนาเทคนิคใหม่ที่ใช้ไฟฟ้า (electrochemistry) และ สารเคมีที่ปลอดภัยกว่าอย่าง NaBF₄ + HCl → พร้อมปรับกระแสไฟให้เป็นแบบ "พัลส์สั้น" เพื่อช่วยเร่งปฏิกิริยาและขจัดชั้นอะลูมิเนียมออกจากโครงสร้าง MAX ได้แม่นยำ → ได้ผลผลิตเป็น “Electrochemical MXene” หรือ EC-MXene โดยไม่ก่อให้เกิดของเสียอันตราย ผลที่ได้คือผลิต MXene ได้ สูงถึง 60% ต่อรอบ → คุณภาพดีขึ้น, ไม่มีของเสีย, ทำซ้ำได้, และอาจประยุกต์ใช้ในระบบขนาดเล็กอย่าง “เครื่องครัวในอนาคตก็พิมพ์วัสดุนี้ได้” ✅ MXene เป็นวัสดุ 2 มิติที่บางระดับอะตอม → มีศักยภาพสูงในด้าน:   • แบตเตอรี่–ตัวเก็บพลังงาน   • การป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI shielding)   • ตัวหล่อลื่นระดับนาโนในอุตสาหกรรมและอวกาศ   • ตัวตรวจวัดเซนเซอร์ ✅ เทคนิคใหม่ใช้ไฟฟ้า + NaBF₄ + HCl → ไม่ใช้กรด HF ที่เป็นพิษอีกต่อไป ✅ ใช้พัลส์ไฟฟ้าแบบคาโทดสั้น (cathodic pulsing) เพื่อเร่งการแยกอะลูมิเนียมจากชั้น MAX ✅ สามารถผลิต EC-MXene ได้สูงถึง 60% โดยไม่มีของเสีย ✅ ผลการทดสอบผ่านหลายเทคนิค เช่น SEM, EDX, AFM, XRD, XPS ฯลฯ เพื่อยืนยันโครงสร้าง–ความบริสุทธิ์ ✅ ทีมวิจัยหวังให้กระบวนการนี้ “ง่ายพอจะทำในครัวบ้าน” และขยายสู่การผลิตทั่วไปได้ในอนาคต https://www.neowin.net/news/the-miracle-material-can-finally-be-built-safely-with-this-new-method/
    WWW.NEOWIN.NET
    The "miracle material" can finally be built safely with this new method
    The "miracle material" is called so because of its nature, and scientists have now found a way to create it safely.
    0 Comments 0 Shares 206 Views 0 Reviews
  • ทุกวันนี้เวลารถเกิดอุบัติเหตุ เราต้องส่งไปให้ช่างประเมิน ตรวจเช็กรูปถ่าย ส่งเรื่องประกัน ฯลฯ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้มักใช้เวลาและพึ่งพาคนเป็นหลัก

    โครงการใหม่นี้กำลังจะเปลี่ยนเกม → ทีมวิจัยจาก University of Portsmouth พัฒนาระบบที่ใช้ AI Vision + Machine Learning → เพื่อตรวจจับความเสียหายจากภาพถ่ายหรือข้อมูลหลังอุบัติเหตุ → พร้อมแนะนำแนวทางซ่อม, ประเมินต้นทุน, และจัดลำดับงานเข้าสู่อู่ซ่อมอัตโนมัติ

    ผู้ร่วมพัฒนาคือ ABL 1 Touch บริษัทศูนย์ซ่อมรถยนต์รายใหญ่ในอังกฤษ และ Innovate UK ซึ่งเป็นองค์กรส่งเสริมนวัตกรรมของรัฐ → โดยเป้าหมายไม่ใช่แค่ลดต้นทุน–เพิ่มความเร็วเท่านั้น แต่จะสร้าง “technical benchmark” ให้ใช้ในระดับอุตสาหกรรมทั้งระบบ

    ตัวแทนจากบริษัทก็เสริมว่า ระบบนี้จะช่วยลดการพึ่งพาบุคคลคนเดียว (single point dependency) และปรับปรุงการจัดคิว–วางแผนทรัพยากรในอู่ซ่อมรถทั่วประเทศ

    ทีมจาก University of Portsmouth พัฒนา AI เพื่อวิเคราะห์ความเสียหายจากอุบัติเหตุรถยนต์
    • ใช้ Computer Vision + Machine Learning  
    • ตรวจจับ–ประเมิน–แนะนำการซ่อมได้อัตโนมัติ

    โครงการร่วมมือกับ ABL 1 Touch และ Innovate UK  
    • วางเป้าจะเป็น “technical benchmark” สำหรับวงการซ่อมรถอังกฤษ  
    • เตรียมใช้ในบริษัทประกันและผู้ให้บริการรถยนต์รายใหญ่

    เป้าหมายคือ “ลดภาระพนักงาน เพิ่มความเร็ว และกำหนดมาตรฐาน”  
    • แก้ปัญหางานประเมินที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะ  
    • ช่วยจัดการข้อมูลจากหลายแหล่งให้เข้าอู่ได้รวดเร็วขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/06/scientists-developing-ai-tool-to-assess-car-repairs
    ทุกวันนี้เวลารถเกิดอุบัติเหตุ เราต้องส่งไปให้ช่างประเมิน ตรวจเช็กรูปถ่าย ส่งเรื่องประกัน ฯลฯ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้มักใช้เวลาและพึ่งพาคนเป็นหลัก โครงการใหม่นี้กำลังจะเปลี่ยนเกม → ทีมวิจัยจาก University of Portsmouth พัฒนาระบบที่ใช้ AI Vision + Machine Learning → เพื่อตรวจจับความเสียหายจากภาพถ่ายหรือข้อมูลหลังอุบัติเหตุ → พร้อมแนะนำแนวทางซ่อม, ประเมินต้นทุน, และจัดลำดับงานเข้าสู่อู่ซ่อมอัตโนมัติ ผู้ร่วมพัฒนาคือ ABL 1 Touch บริษัทศูนย์ซ่อมรถยนต์รายใหญ่ในอังกฤษ และ Innovate UK ซึ่งเป็นองค์กรส่งเสริมนวัตกรรมของรัฐ → โดยเป้าหมายไม่ใช่แค่ลดต้นทุน–เพิ่มความเร็วเท่านั้น แต่จะสร้าง “technical benchmark” ให้ใช้ในระดับอุตสาหกรรมทั้งระบบ ตัวแทนจากบริษัทก็เสริมว่า ระบบนี้จะช่วยลดการพึ่งพาบุคคลคนเดียว (single point dependency) และปรับปรุงการจัดคิว–วางแผนทรัพยากรในอู่ซ่อมรถทั่วประเทศ ✅ ทีมจาก University of Portsmouth พัฒนา AI เพื่อวิเคราะห์ความเสียหายจากอุบัติเหตุรถยนต์ • ใช้ Computer Vision + Machine Learning   • ตรวจจับ–ประเมิน–แนะนำการซ่อมได้อัตโนมัติ ✅ โครงการร่วมมือกับ ABL 1 Touch และ Innovate UK   • วางเป้าจะเป็น “technical benchmark” สำหรับวงการซ่อมรถอังกฤษ   • เตรียมใช้ในบริษัทประกันและผู้ให้บริการรถยนต์รายใหญ่ ✅ เป้าหมายคือ “ลดภาระพนักงาน เพิ่มความเร็ว และกำหนดมาตรฐาน”   • แก้ปัญหางานประเมินที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะ   • ช่วยจัดการข้อมูลจากหลายแหล่งให้เข้าอู่ได้รวดเร็วขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/06/scientists-developing-ai-tool-to-assess-car-repairs
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Scientists developing AI tool to assess car repairs
    Scientists in the UK say they are developing an artificial intelligence (AI) tool which can accurately diagnose damage to cars following an accident and organise the necessary repairs.
    0 Comments 0 Shares 183 Views 0 Reviews
  • ใครที่ใช้โน้ตบุ๊กหรือเดสก์ท็อปของ ASUS โดยเฉพาะตระกูล ROG หรือ TUF อาจรู้จัก Armoury Crate — แอปศูนย์กลางที่ใช้ปรับไฟ RGB, พัดลม, โปรไฟล์พลังงาน หรือแม้กระทั่งอัปเดตไดรเวอร์

    แต่ล่าสุดมีนักวิจัยจาก Cisco Talos ค้นพบว่ามีช่องโหว่ที่เรียกว่า CVE-2025-3464 โดยตัวไดรเวอร์ของแอปนี้ หลงเชื่อว่าโปรแกรมใดก็ตามที่มีค่าแฮช SHA-256 แบบเดียวกับโปรแกรมของ ASUS เอง เป็นโปรแกรมที่เชื่อถือได้! แฮกเกอร์เลยสามารถใช้เทคนิค “ลิงก์หลอก” เปลี่ยนเส้นทางไฟล์ให้หลอกระบบว่าเป็นของ ASUS แล้วเข้าถึงสิทธิระดับ SYSTEM ทันทีโดยไม่ต้องแฮ็กรหัสเลย

    ช่องโหว่นี้อันตรายมากเพราะมันเปิดทางให้ควบคุมอุปกรณ์แบบเต็มตัว! อย่างไรก็ตาม ผู้โจมตีต้องมีสิทธิ์เข้าระบบก่อน เช่น ขโมยรหัสผ่านหรือฝังมัลแวร์ไว้แล้ว

    ASUS ออกแพตช์เรียบร้อยแล้ว และบอกว่า ยังไม่พบการถูกโจมตีในโลกจริง แต่ก็แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนรีบอัปเดต Armoury Crate ทันที ผ่าน Settings > Update Center

    พบช่องโหว่รุนแรงใน Armoury Crate ของ ASUS  
    • รหัสช่องโหว่: CVE-2025-3464 (ระดับความรุนแรง 8.4/10)  
    • เป็นช่องโหว่ “authentication bypass” ที่อาจนำไปสู่การยึดเครื่อง

    เกิดจากการตรวจสอบความถูกต้องแบบ hardcoded hash  
    • ระบบไม่ใช้ API ของ Windows แต่ตรวจสอบไฟล์ด้วย SHA-256 แบบระบุค่าคงที่  
    • แฮกเกอร์ใช้เทคนิค hardlink หาหลอกระบบว่าเรียกใช้โปรแกรมที่เชื่อถือได้

    มีผลกับ Armoury Crate เวอร์ชัน 5.9.9.0 ถึง 6.1.18.0  
    • แอปนี้มากับโน้ตบุ๊ก/เดสก์ท็อป ROG และ TUF เป็นค่าพื้นฐาน  
    • ใช้ควบคุมพัดลม RGB ฟีเจอร์เกม และอัปเดตไดรเวอร์

    ASUS ออกแพตช์แล้ว และยืนยันว่าไม่พบการถูกโจมตีจริง  
    • วิธีอัปเดต: Settings > Update Center > Check for Updates

    ผู้ใช้ต้องรีบอัปเดต Armoury Crate ทันทีเพื่อป้องกันภัย  
    • แม้ยังไม่มีการโจมตีจริง แต่ช่องโหว่นี้อันตรายระดับ “ยึดเครื่องได้”

    ระบบเช็กความปลอดภัยแบบ hardcoded hash ถือว่าไม่ปลอดภัยในระดับอุตสาหกรรม  
    • ควรใช้กลไก OS-level authentication ที่ Microsoft แนะนำแทน

    หากผู้โจมตีได้สิทธิ์ระดับผู้ใช้แล้ว ช่องโหว่นี้จะเปิดทางสู่ SYSTEM ได้ทันที  
    • อันตรายมากหากเครื่องไม่มีระบบป้องกันอื่น เช่น EDR หรือ Zero Trust

    ผู้ใช้ควรระวังช่องทางอื่นที่อาจทำให้แฮกเกอร์เข้าระบบได้ เช่น รหัสผ่านอ่อน หรือมัลแวร์แฝง  
    • ช่องโหว่นี้ไม่ได้เปิดทาง “เริ่มต้น” แต่ใช้โจมตีขั้นต่อไป (privilege escalation)

    https://www.techradar.com/pro/security/a-key-asus-windows-tool-has-a-worrying-security-flaw-heres-how-to-stay-safe
    ใครที่ใช้โน้ตบุ๊กหรือเดสก์ท็อปของ ASUS โดยเฉพาะตระกูล ROG หรือ TUF อาจรู้จัก Armoury Crate — แอปศูนย์กลางที่ใช้ปรับไฟ RGB, พัดลม, โปรไฟล์พลังงาน หรือแม้กระทั่งอัปเดตไดรเวอร์ แต่ล่าสุดมีนักวิจัยจาก Cisco Talos ค้นพบว่ามีช่องโหว่ที่เรียกว่า CVE-2025-3464 โดยตัวไดรเวอร์ของแอปนี้ หลงเชื่อว่าโปรแกรมใดก็ตามที่มีค่าแฮช SHA-256 แบบเดียวกับโปรแกรมของ ASUS เอง เป็นโปรแกรมที่เชื่อถือได้! แฮกเกอร์เลยสามารถใช้เทคนิค “ลิงก์หลอก” เปลี่ยนเส้นทางไฟล์ให้หลอกระบบว่าเป็นของ ASUS แล้วเข้าถึงสิทธิระดับ SYSTEM ทันทีโดยไม่ต้องแฮ็กรหัสเลย ช่องโหว่นี้อันตรายมากเพราะมันเปิดทางให้ควบคุมอุปกรณ์แบบเต็มตัว! อย่างไรก็ตาม ผู้โจมตีต้องมีสิทธิ์เข้าระบบก่อน เช่น ขโมยรหัสผ่านหรือฝังมัลแวร์ไว้แล้ว ASUS ออกแพตช์เรียบร้อยแล้ว และบอกว่า ยังไม่พบการถูกโจมตีในโลกจริง แต่ก็แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนรีบอัปเดต Armoury Crate ทันที ผ่าน Settings > Update Center ✅ พบช่องโหว่รุนแรงใน Armoury Crate ของ ASUS   • รหัสช่องโหว่: CVE-2025-3464 (ระดับความรุนแรง 8.4/10)   • เป็นช่องโหว่ “authentication bypass” ที่อาจนำไปสู่การยึดเครื่อง ✅ เกิดจากการตรวจสอบความถูกต้องแบบ hardcoded hash   • ระบบไม่ใช้ API ของ Windows แต่ตรวจสอบไฟล์ด้วย SHA-256 แบบระบุค่าคงที่   • แฮกเกอร์ใช้เทคนิค hardlink หาหลอกระบบว่าเรียกใช้โปรแกรมที่เชื่อถือได้ ✅ มีผลกับ Armoury Crate เวอร์ชัน 5.9.9.0 ถึง 6.1.18.0   • แอปนี้มากับโน้ตบุ๊ก/เดสก์ท็อป ROG และ TUF เป็นค่าพื้นฐาน   • ใช้ควบคุมพัดลม RGB ฟีเจอร์เกม และอัปเดตไดรเวอร์ ✅ ASUS ออกแพตช์แล้ว และยืนยันว่าไม่พบการถูกโจมตีจริง   • วิธีอัปเดต: Settings > Update Center > Check for Updates ‼️ ผู้ใช้ต้องรีบอัปเดต Armoury Crate ทันทีเพื่อป้องกันภัย   • แม้ยังไม่มีการโจมตีจริง แต่ช่องโหว่นี้อันตรายระดับ “ยึดเครื่องได้” ‼️ ระบบเช็กความปลอดภัยแบบ hardcoded hash ถือว่าไม่ปลอดภัยในระดับอุตสาหกรรม   • ควรใช้กลไก OS-level authentication ที่ Microsoft แนะนำแทน ‼️ หากผู้โจมตีได้สิทธิ์ระดับผู้ใช้แล้ว ช่องโหว่นี้จะเปิดทางสู่ SYSTEM ได้ทันที   • อันตรายมากหากเครื่องไม่มีระบบป้องกันอื่น เช่น EDR หรือ Zero Trust ‼️ ผู้ใช้ควรระวังช่องทางอื่นที่อาจทำให้แฮกเกอร์เข้าระบบได้ เช่น รหัสผ่านอ่อน หรือมัลแวร์แฝง   • ช่องโหว่นี้ไม่ได้เปิดทาง “เริ่มต้น” แต่ใช้โจมตีขั้นต่อไป (privilege escalation) https://www.techradar.com/pro/security/a-key-asus-windows-tool-has-a-worrying-security-flaw-heres-how-to-stay-safe
    0 Comments 0 Shares 187 Views 0 Reviews
  • ซินโครตรอน อว. เปิดตัว 2 นวัตกรรมล้ำสมัย “เครื่องสังเคราะห์กราฟีน” และ “เครื่องเคลือบฟิล์ม DLC” ยกระดับอุตสาหกรรมไทยในงาน Thailand Research Expo 2025

    สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมแสดงผลงานในงานมหกรรมวิจัยแห่งชาติ Thailand Research Expo 2025 ชู 2 นวัตกรรมก้าวล้ำพร้อมต่อยอดสู่การยกระดับอุตสาหกรรมไทย “เครื่องสังเคราะห์กราฟีนในระดับอุตสาหกรรม” และ “เครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม”

    กรุงเทพฯ – สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนได้นำผลงานมาร่วมจัดแสดงภายในงานมหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2568 หรือ Thailand Research Expo 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-20 มิถุนายน 2568
    ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ จำนวน 2 ผลงาน คือ “เครื่องสังเคราะห์กราฟีนสู่การนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์” และ“เครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม” โดยจัดแสดงที่บูธ CL2 ภายในโซนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมและพัฒนาเศรษฐกิจ

    ดร.พัฒนพงศ์ จันทร์พวง หัวหน้าฝ่ายพัฒนาเทคนิคและวิศวกรรม และหัวหน้าทีมวิจัยเครื่องสังเคราะห์กราฟีนฯ กล่าวว่า “กราฟีนเป็นคาร์บอนที่มีการจัดเรียงตัวในลักษณะ 2 มิติ ทำให้มีคุณสมบัติที่แข็งแรงกว่าเหล็กกล้าถึง 200 เท่า, นำไฟฟ้าได้ดีกว่าโลหะทองแดง, น้ำหนักเบา, แผ่ความร้อนได้ดี และความยืดหยุ่นสูง จึงถูกนำไปประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีหลากหลายด้าน เช่น อิเล็กทรอนิกส์, การก่อสร้าง, การแพทย์, และการกักเก็บพลังงาน เป็นต้น ปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการสังเคราะห์กราฟีนหลายวิธี แต่ละวิธีก็มีข้อจำกัดแตกต่างกัน ซึ่งวิธีที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการสังเคราะห์กราฟีนให้ได้ระดับอุตสาหกรรม คือวิธี Flash Joule Heating (FJH) ที่อาศัยการจ่ายกระแสไฟฟ้าแรงสูงในเวลาฉับพลันผ่านผงคาร์บอนที่ได้จากขยะ จนทำให้เกิดความร้อนสูงกว่า 2700 องศาเซลเซียส แล้วเกิดการสลายพันธะระหว่างอะตอมของคาร์บอนกับแก๊ส หลังอุณหภูมิลดลงอะตอมของคาร์บอนจะจัดเรียงตัวกันกลายเป็นกราฟีนในเสี้ยววินาที”

    “ทั้งนี้ สถาบันฯ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบสังเคราะห์กราฟีนด้วยเทคนิคความร้อนกระตุ้นแบบพัลส์ยาว (Long-Pulse Joule Heating: LPJH) ที่มีกำลังผลิตวันละ 1 กิโลกรัม โดยอ้างอิงหลักการสังเคราะห์กราฟีนโดยใช้เทคนิค FJH และได้ศึกษาและพัฒนากระบวนการสังเคราะห์กราฟีนจากขยะเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ใบอ้อยและชานอ้อยจากอุตสาหกรรมผลิตน้ำตาล อุตสาหกรรมพอลิเมอร์, เศษผ้าและเสื้อผ้าเก่าจากอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ เป็นต้น พร้อมกันนี้ได้ศึกษา พัฒนา และประยุกต์ใช้ กราฟีนที่ผลิตได้ สำหรับพัฒนาคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้างและคอนกรีต, อุตสาหกรรมยางและพอลิเมอร์, อุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ, อุตสาหกรรมสีเคลือบ เป็นต้น” ดร.พัฒนพงศ์ จันทร์พวง กล่าว

    อีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญคือ เครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซี (DLC) สำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ซึ่ง
    ดร.ศรายุทธ ตั้นมี หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กรและหัวหน้าทีมวิจัยเครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีฯ อธิบายว่า “สิ่งปนเปื้อนในน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติก่อให้เกิดการกัดกร่อนของชิ้นส่วนทางวิศวกรรมในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ส่งผลให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในกระบวนการบำรุงรักษาทั้งการซ่อมและเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่ และยังส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อประเทศด้วย โดยเทคโนโลยีการเคลือบฟิล์มคาร์บอนคล้ายเพชร หรือ ฟิล์มดีแอลซี (DLC) ช่วยเพิ่มสมบัติความแข็ง ต้านการสึกกร่อนและการกัดกร่อน และลดแรงเสียดทานให้กับชิ้นส่วนอุตสาหกรรมได้”

    “สถาบันฯ ได้ร่วมกับ บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) พัฒนาเครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียมเป็นเครื่องแรกของประเทศไทย เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าจากต่างประเทศ และยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล เครื่องต้นแบบเครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซีฯ นี้ ใช้เทคโนโลยีพลาสมาและการเคลือบฟิล์มด้วยเทคนิคการใช้พลาสมาเพิ่มการตกสะสมของไอเชิงเคมี (RF-PECVD) เพื่อสังเคราะห์ฟิล์มดีแอลซี และใช้เทคนิคแสงซินโครตรอนขั้นสูง Near Edge X-ray Absorption Fine Structure (NEXAFS) เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างฟิล์มดีแอลซี และศึกษาการกระจายตัวของพันธะคาร์บอน ซึ่งฟิล์มดีแอลซีที่พัฒนาขึ้นนี้มีคุณสมบัติต้านการสึกกร่อนและการกัดกร่อนสูง เหมาะสมกับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ช่วยลดต้นทุนการซ่อมบำรุง และสามารถทดแทนวัสดุนำเข้าราคาแพงได้” ดร.ศรายุทธ ตั้นมี กล่าว

    สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเข้าชมทั้ง 2 นวัตกรรมของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน ได้ที่ บูธ CL2 ในงาน Thailand Research Expo 2025 ตั้งแต่เวลา 08.30 - 17.00 น. ระหว่างวันที่ 16-20 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
    ซินโครตรอน อว. เปิดตัว 2 นวัตกรรมล้ำสมัย “เครื่องสังเคราะห์กราฟีน” และ “เครื่องเคลือบฟิล์ม DLC” ยกระดับอุตสาหกรรมไทยในงาน Thailand Research Expo 2025 สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมแสดงผลงานในงานมหกรรมวิจัยแห่งชาติ Thailand Research Expo 2025 ชู 2 นวัตกรรมก้าวล้ำพร้อมต่อยอดสู่การยกระดับอุตสาหกรรมไทย “เครื่องสังเคราะห์กราฟีนในระดับอุตสาหกรรม” และ “เครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม” กรุงเทพฯ – สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนได้นำผลงานมาร่วมจัดแสดงภายในงานมหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2568 หรือ Thailand Research Expo 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-20 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ จำนวน 2 ผลงาน คือ “เครื่องสังเคราะห์กราฟีนสู่การนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์” และ“เครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม” โดยจัดแสดงที่บูธ CL2 ภายในโซนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมและพัฒนาเศรษฐกิจ ดร.พัฒนพงศ์ จันทร์พวง หัวหน้าฝ่ายพัฒนาเทคนิคและวิศวกรรม และหัวหน้าทีมวิจัยเครื่องสังเคราะห์กราฟีนฯ กล่าวว่า “กราฟีนเป็นคาร์บอนที่มีการจัดเรียงตัวในลักษณะ 2 มิติ ทำให้มีคุณสมบัติที่แข็งแรงกว่าเหล็กกล้าถึง 200 เท่า, นำไฟฟ้าได้ดีกว่าโลหะทองแดง, น้ำหนักเบา, แผ่ความร้อนได้ดี และความยืดหยุ่นสูง จึงถูกนำไปประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีหลากหลายด้าน เช่น อิเล็กทรอนิกส์, การก่อสร้าง, การแพทย์, และการกักเก็บพลังงาน เป็นต้น ปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการสังเคราะห์กราฟีนหลายวิธี แต่ละวิธีก็มีข้อจำกัดแตกต่างกัน ซึ่งวิธีที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการสังเคราะห์กราฟีนให้ได้ระดับอุตสาหกรรม คือวิธี Flash Joule Heating (FJH) ที่อาศัยการจ่ายกระแสไฟฟ้าแรงสูงในเวลาฉับพลันผ่านผงคาร์บอนที่ได้จากขยะ จนทำให้เกิดความร้อนสูงกว่า 2700 องศาเซลเซียส แล้วเกิดการสลายพันธะระหว่างอะตอมของคาร์บอนกับแก๊ส หลังอุณหภูมิลดลงอะตอมของคาร์บอนจะจัดเรียงตัวกันกลายเป็นกราฟีนในเสี้ยววินาที” “ทั้งนี้ สถาบันฯ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบสังเคราะห์กราฟีนด้วยเทคนิคความร้อนกระตุ้นแบบพัลส์ยาว (Long-Pulse Joule Heating: LPJH) ที่มีกำลังผลิตวันละ 1 กิโลกรัม โดยอ้างอิงหลักการสังเคราะห์กราฟีนโดยใช้เทคนิค FJH และได้ศึกษาและพัฒนากระบวนการสังเคราะห์กราฟีนจากขยะเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ใบอ้อยและชานอ้อยจากอุตสาหกรรมผลิตน้ำตาล อุตสาหกรรมพอลิเมอร์, เศษผ้าและเสื้อผ้าเก่าจากอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ เป็นต้น พร้อมกันนี้ได้ศึกษา พัฒนา และประยุกต์ใช้ กราฟีนที่ผลิตได้ สำหรับพัฒนาคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้างและคอนกรีต, อุตสาหกรรมยางและพอลิเมอร์, อุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ, อุตสาหกรรมสีเคลือบ เป็นต้น” ดร.พัฒนพงศ์ จันทร์พวง กล่าว อีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญคือ เครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซี (DLC) สำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ซึ่ง ดร.ศรายุทธ ตั้นมี หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กรและหัวหน้าทีมวิจัยเครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีฯ อธิบายว่า “สิ่งปนเปื้อนในน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติก่อให้เกิดการกัดกร่อนของชิ้นส่วนทางวิศวกรรมในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ส่งผลให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในกระบวนการบำรุงรักษาทั้งการซ่อมและเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่ และยังส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อประเทศด้วย โดยเทคโนโลยีการเคลือบฟิล์มคาร์บอนคล้ายเพชร หรือ ฟิล์มดีแอลซี (DLC) ช่วยเพิ่มสมบัติความแข็ง ต้านการสึกกร่อนและการกัดกร่อน และลดแรงเสียดทานให้กับชิ้นส่วนอุตสาหกรรมได้” “สถาบันฯ ได้ร่วมกับ บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) พัฒนาเครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียมเป็นเครื่องแรกของประเทศไทย เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าจากต่างประเทศ และยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล เครื่องต้นแบบเครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซีฯ นี้ ใช้เทคโนโลยีพลาสมาและการเคลือบฟิล์มด้วยเทคนิคการใช้พลาสมาเพิ่มการตกสะสมของไอเชิงเคมี (RF-PECVD) เพื่อสังเคราะห์ฟิล์มดีแอลซี และใช้เทคนิคแสงซินโครตรอนขั้นสูง Near Edge X-ray Absorption Fine Structure (NEXAFS) เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างฟิล์มดีแอลซี และศึกษาการกระจายตัวของพันธะคาร์บอน ซึ่งฟิล์มดีแอลซีที่พัฒนาขึ้นนี้มีคุณสมบัติต้านการสึกกร่อนและการกัดกร่อนสูง เหมาะสมกับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ช่วยลดต้นทุนการซ่อมบำรุง และสามารถทดแทนวัสดุนำเข้าราคาแพงได้” ดร.ศรายุทธ ตั้นมี กล่าว สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเข้าชมทั้ง 2 นวัตกรรมของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน ได้ที่ บูธ CL2 ในงาน Thailand Research Expo 2025 ตั้งแต่เวลา 08.30 - 17.00 น. ระหว่างวันที่ 16-20 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
    0 Comments 0 Shares 388 Views 0 Reviews
  • IonQ เข้าซื้อ Oxford Ionics มูลค่า 1.08 พันล้านดอลลาร์ เพื่อขยายการวิจัยควอนตัมคอมพิวติ้ง
    IonQ ซึ่งเป็นบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งจากสหรัฐฯ ได้ประกาศเข้าซื้อ Oxford Ionics ซึ่งเป็นบริษัทจากอังกฤษ ด้วยมูลค่า 1.08 พันล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัม

    เหตุผลที่ IonQ เข้าซื้อ Oxford Ionics
    Oxford Ionics เป็นบริษัทที่ เชี่ยวชาญด้านการควบคุม qubits ซึ่งเป็นหน่วยพื้นฐานของควอนตัมคอมพิวเตอร์ โดยมีผู้ก่อตั้งคือ Chris Balance และ Tom Harty ซึ่งเป็นนักวิจัยในสาขานี้ ทั้งสองจะยังคงทำงานกับ IonQ หลังการเข้าซื้อกิจการ

    ข้อมูลจากข่าว
    - IonQ เข้าซื้อ Oxford Ionics มูลค่า 1.08 พันล้านดอลลาร์
    - Oxford Ionics เชี่ยวชาญด้านการควบคุม qubits ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของควอนตัมคอมพิวติ้ง
    - Chris Balance และ Tom Harty ผู้ก่อตั้ง Oxford Ionics จะยังคงทำงานกับ IonQ
    - การเข้าซื้อกิจการเป็นแบบเงินสดและหุ้น โดยจำนวนหุ้นที่ออกจะขึ้นอยู่กับราคาหุ้นของ IonQ ในช่วง 20 วันก่อนปิดดีล
    - IonQ มีมูลค่าตลาด 10.15 พันล้านดอลลาร์ และหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้น 4% หลังประกาศดีล

    การแข่งขันในตลาดควอนตัมคอมพิวติ้ง
    ควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้รับความสนใจจาก Microsoft, Google และ IBM ซึ่งลงทุนหลายร้อยล้านดอลลาร์ในเทคโนโลยีนี้ IonQ เองก็ ขยายธุรกิจผ่านการเข้าซื้อกิจการ เช่น Lightsynq ซึ่งเชี่ยวชาญด้าน quantum memory

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้ว่าควอนตัมคอมพิวติ้งจะมีศักยภาพสูง แต่รายได้ของบริษัทในอุตสาหกรรมนี้ยังค่อนข้างต่ำ
    - เทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งยังอยู่ในช่วงพัฒนา และอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีจนกว่าจะใช้งานได้จริงในระดับอุตสาหกรรม
    - ต้องติดตามว่าการเข้าซื้อ Oxford Ionics จะช่วยให้ IonQ แข่งขันกับบริษัทใหญ่อย่าง Google และ IBM ได้หรือไม่
    - Nvidia ซึ่งเป็นผู้นำด้าน AI chips กำลังเปิดศูนย์วิจัยควอนตัมคอมพิวติ้ง อาจเป็นคู่แข่งสำคัญในอนาคต

    การเข้าซื้อ Oxford Ionics อาจช่วยให้ IonQ มีเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งขึ้น และ สามารถแข่งขันกับบริษัทใหญ่อย่าง Google และ IBM ได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับบริษัทได้หรือไม่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/09/quantum-computing-firm-ionq-to-acquire-uk-based-oxford-ionics-for-108-billion
    🧠 IonQ เข้าซื้อ Oxford Ionics มูลค่า 1.08 พันล้านดอลลาร์ เพื่อขยายการวิจัยควอนตัมคอมพิวติ้ง IonQ ซึ่งเป็นบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งจากสหรัฐฯ ได้ประกาศเข้าซื้อ Oxford Ionics ซึ่งเป็นบริษัทจากอังกฤษ ด้วยมูลค่า 1.08 พันล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัม 🔍 เหตุผลที่ IonQ เข้าซื้อ Oxford Ionics Oxford Ionics เป็นบริษัทที่ เชี่ยวชาญด้านการควบคุม qubits ซึ่งเป็นหน่วยพื้นฐานของควอนตัมคอมพิวเตอร์ โดยมีผู้ก่อตั้งคือ Chris Balance และ Tom Harty ซึ่งเป็นนักวิจัยในสาขานี้ ทั้งสองจะยังคงทำงานกับ IonQ หลังการเข้าซื้อกิจการ ✅ ข้อมูลจากข่าว - IonQ เข้าซื้อ Oxford Ionics มูลค่า 1.08 พันล้านดอลลาร์ - Oxford Ionics เชี่ยวชาญด้านการควบคุม qubits ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของควอนตัมคอมพิวติ้ง - Chris Balance และ Tom Harty ผู้ก่อตั้ง Oxford Ionics จะยังคงทำงานกับ IonQ - การเข้าซื้อกิจการเป็นแบบเงินสดและหุ้น โดยจำนวนหุ้นที่ออกจะขึ้นอยู่กับราคาหุ้นของ IonQ ในช่วง 20 วันก่อนปิดดีล - IonQ มีมูลค่าตลาด 10.15 พันล้านดอลลาร์ และหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้น 4% หลังประกาศดีล 🔥 การแข่งขันในตลาดควอนตัมคอมพิวติ้ง ควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้รับความสนใจจาก Microsoft, Google และ IBM ซึ่งลงทุนหลายร้อยล้านดอลลาร์ในเทคโนโลยีนี้ IonQ เองก็ ขยายธุรกิจผ่านการเข้าซื้อกิจการ เช่น Lightsynq ซึ่งเชี่ยวชาญด้าน quantum memory ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้ว่าควอนตัมคอมพิวติ้งจะมีศักยภาพสูง แต่รายได้ของบริษัทในอุตสาหกรรมนี้ยังค่อนข้างต่ำ - เทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งยังอยู่ในช่วงพัฒนา และอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีจนกว่าจะใช้งานได้จริงในระดับอุตสาหกรรม - ต้องติดตามว่าการเข้าซื้อ Oxford Ionics จะช่วยให้ IonQ แข่งขันกับบริษัทใหญ่อย่าง Google และ IBM ได้หรือไม่ - Nvidia ซึ่งเป็นผู้นำด้าน AI chips กำลังเปิดศูนย์วิจัยควอนตัมคอมพิวติ้ง อาจเป็นคู่แข่งสำคัญในอนาคต การเข้าซื้อ Oxford Ionics อาจช่วยให้ IonQ มีเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งขึ้น และ สามารถแข่งขันกับบริษัทใหญ่อย่าง Google และ IBM ได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับบริษัทได้หรือไม่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/09/quantum-computing-firm-ionq-to-acquire-uk-based-oxford-ionics-for-108-billion
    WWW.THESTAR.COM.MY
    IonQ to buy Oxford Ionics for $1.08 billion to expand quantum computing research
    (Reuters) -IonQ will acquire its British peer Oxford Ionics for $1.08 billion, the companies said on Monday, helping the U.S.-based quantum computing firm deepen its research expertise in the complex technology that is seeing booming investor interest.
    0 Comments 0 Shares 178 Views 0 Reviews
  • Seagate เตรียมเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ 150TB ด้วยเทคโนโลยี HAMR

    Seagate ได้เผยแผนพัฒนา ฮาร์ดไดรฟ์ขนาด 150TB โดยใช้ เทคโนโลยี Heat-Assisted Magnetic Recording (HAMR) ซึ่งจะช่วยให้สามารถเพิ่มความจุของไดรฟ์ได้อย่างมหาศาล

    Seagate กำลังดำเนินการผ่าน แพลตฟอร์ม Mozaic ซึ่งปัจจุบันสามารถผลิต แผ่นบันทึกข้อมูล (platters) ขนาด 4TB และมีแผนจะเพิ่มเป็น 10TB ต่อแผ่นภายในปี 2028

    เป้าหมายสูงสุดคือ แผ่นบันทึกข้อมูลขนาด 15TB ซึ่งจะช่วยให้สามารถสร้าง ฮาร์ดไดรฟ์ 150TB ได้โดยใช้ 10 platters อย่างไรก็ตาม Seagate ระบุว่า ต้องใช้เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำกว่านี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

    ข้อมูลจากข่าว
    - Seagate วางแผนพัฒนา HDD ขนาด 150TB โดยใช้เทคโนโลยี HAMR
    - แพลตฟอร์ม Mozaic ปัจจุบันสามารถผลิตแผ่นบันทึกข้อมูลขนาด 4TB
    - เป้าหมายคือการเพิ่มขนาดแผ่นบันทึกข้อมูลเป็น 10TB ภายในปี 2028
    - แผ่นบันทึกข้อมูลขนาด 15TB จะช่วยให้สามารถสร้าง HDD 150TB ได้
    - Seagate คาดว่า HDD 150TB จะพร้อมใช้งานภายในปี 2035

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมีแผนพัฒนา แต่ HDD 150TB ยังต้องใช้เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำกว่านี้
    - HAMR ยังต้องผ่านการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถใช้งานได้ในระดับอุตสาหกรรม
    - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะพัฒนาเทคโนโลยีที่แข่งขันกับ HAMR หรือไม่
    - การผลิต HDD ที่มีความจุสูงอาจต้องใช้ต้นทุนที่สูงขึ้นในช่วงแรก

    หาก Seagate สามารถพัฒนา HDD 150TB ได้สำเร็จ อาจช่วยให้ศูนย์ข้อมูลสามารถจัดเก็บข้อมูลได้มากขึ้นโดยใช้พื้นที่น้อยลง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะสามารถทำได้ตามแผนหรือไม่

    https://www.techradar.com/pro/seagate-ceo-hints-at-150tb-hard-drives-thanks-to-novel-15tb-platters-but-that-wont-happen-for-another-decade
    💾 Seagate เตรียมเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ 150TB ด้วยเทคโนโลยี HAMR Seagate ได้เผยแผนพัฒนา ฮาร์ดไดรฟ์ขนาด 150TB โดยใช้ เทคโนโลยี Heat-Assisted Magnetic Recording (HAMR) ซึ่งจะช่วยให้สามารถเพิ่มความจุของไดรฟ์ได้อย่างมหาศาล Seagate กำลังดำเนินการผ่าน แพลตฟอร์ม Mozaic ซึ่งปัจจุบันสามารถผลิต แผ่นบันทึกข้อมูล (platters) ขนาด 4TB และมีแผนจะเพิ่มเป็น 10TB ต่อแผ่นภายในปี 2028 เป้าหมายสูงสุดคือ แผ่นบันทึกข้อมูลขนาด 15TB ซึ่งจะช่วยให้สามารถสร้าง ฮาร์ดไดรฟ์ 150TB ได้โดยใช้ 10 platters อย่างไรก็ตาม Seagate ระบุว่า ต้องใช้เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำกว่านี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ✅ ข้อมูลจากข่าว - Seagate วางแผนพัฒนา HDD ขนาด 150TB โดยใช้เทคโนโลยี HAMR - แพลตฟอร์ม Mozaic ปัจจุบันสามารถผลิตแผ่นบันทึกข้อมูลขนาด 4TB - เป้าหมายคือการเพิ่มขนาดแผ่นบันทึกข้อมูลเป็น 10TB ภายในปี 2028 - แผ่นบันทึกข้อมูลขนาด 15TB จะช่วยให้สามารถสร้าง HDD 150TB ได้ - Seagate คาดว่า HDD 150TB จะพร้อมใช้งานภายในปี 2035 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมีแผนพัฒนา แต่ HDD 150TB ยังต้องใช้เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำกว่านี้ - HAMR ยังต้องผ่านการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถใช้งานได้ในระดับอุตสาหกรรม - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะพัฒนาเทคโนโลยีที่แข่งขันกับ HAMR หรือไม่ - การผลิต HDD ที่มีความจุสูงอาจต้องใช้ต้นทุนที่สูงขึ้นในช่วงแรก หาก Seagate สามารถพัฒนา HDD 150TB ได้สำเร็จ อาจช่วยให้ศูนย์ข้อมูลสามารถจัดเก็บข้อมูลได้มากขึ้นโดยใช้พื้นที่น้อยลง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะสามารถทำได้ตามแผนหรือไม่ https://www.techradar.com/pro/seagate-ceo-hints-at-150tb-hard-drives-thanks-to-novel-15tb-platters-but-that-wont-happen-for-another-decade
    WWW.TECHRADAR.COM
    This Seagate tech could change data storage forever—but we have to wait ten more years
    HAMR technology remains Seagate’s crown jewel for scaling drive capacity
    0 Comments 0 Shares 176 Views 0 Reviews
  • เทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแห่งอนาคต: 360TB Silica Storage
    เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ด้วย 5D optical storage media จาก Sphotonix ซึ่งสามารถบันทึกข้อมูลได้ถึง 360TB บนแผ่นแก้วขนาด 5 นิ้ว และมีอายุการใช้งานที่อาจยาวนานถึง พันล้านปี

    Sphotonix ใช้ FemtoEtch ซึ่งเป็นเทคโนโลยี เลเซอร์นาโน ในการสร้างโครงสร้าง 5D บนแผ่นแก้ว ทำให้สามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างหนาแน่นและทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง

    เทคโนโลยีนี้ได้รับความสนใจอย่างมากหลังจากถูกนำไปใช้ใน Mission Impossible: The Final Reckoning ซึ่งเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ออกฉายในปี 2025

    ข้อมูลจากข่าว
    - Sphotonix เปิดตัว 5D optical storage media ที่สามารถบันทึกข้อมูลได้ถึง 360TB บนแผ่นแก้วขนาด 5 นิ้ว
    - ใช้เทคโนโลยี FemtoEtch ซึ่งเป็นเลเซอร์นาโนเพื่อสร้างโครงสร้าง 5D
    - สามารถเก็บข้อมูลได้นานถึงพันล้านปี และทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง
    - ถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์ Mission Impossible: The Final Reckoning
    - เทคโนโลยีนี้อาจเป็นทางเลือกใหม่แทน LTO tape และ HDD สำหรับการจัดเก็บข้อมูลระยะยาว

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมีความจุสูง แต่ยังต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถใช้งานในระดับอุตสาหกรรม
    - ต้องติดตามว่าผู้ให้บริการคลาวด์และศูนย์ข้อมูลจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้จริงเมื่อใด
    - การผลิตแผ่นแก้วที่มีความแม่นยำสูงอาจมีต้นทุนสูงในช่วงแรก
    - ต้องมีการพัฒนาโซลูชันการอ่านข้อมูลที่สามารถรองรับความหนาแน่นของข้อมูลระดับนี้

    เทคโนโลยี 5D optical storage อาจเป็นก้าวสำคัญในการจัดเก็บข้อมูลระยะยาว โดยเฉพาะในยุคที่ AI และ Big Data ต้องการพื้นที่จัดเก็บมหาศาล อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้หรือไม่

    https://www.techradar.com/pro/mission-impossible-the-final-reckoning-gets-surprise-guest-appearance-a-revolutionary-360tb-silica-storage-media
    🏆 เทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแห่งอนาคต: 360TB Silica Storage เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ด้วย 5D optical storage media จาก Sphotonix ซึ่งสามารถบันทึกข้อมูลได้ถึง 360TB บนแผ่นแก้วขนาด 5 นิ้ว และมีอายุการใช้งานที่อาจยาวนานถึง พันล้านปี Sphotonix ใช้ FemtoEtch ซึ่งเป็นเทคโนโลยี เลเซอร์นาโน ในการสร้างโครงสร้าง 5D บนแผ่นแก้ว ทำให้สามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างหนาแน่นและทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เทคโนโลยีนี้ได้รับความสนใจอย่างมากหลังจากถูกนำไปใช้ใน Mission Impossible: The Final Reckoning ซึ่งเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ออกฉายในปี 2025 ✅ ข้อมูลจากข่าว - Sphotonix เปิดตัว 5D optical storage media ที่สามารถบันทึกข้อมูลได้ถึง 360TB บนแผ่นแก้วขนาด 5 นิ้ว - ใช้เทคโนโลยี FemtoEtch ซึ่งเป็นเลเซอร์นาโนเพื่อสร้างโครงสร้าง 5D - สามารถเก็บข้อมูลได้นานถึงพันล้านปี และทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง - ถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์ Mission Impossible: The Final Reckoning - เทคโนโลยีนี้อาจเป็นทางเลือกใหม่แทน LTO tape และ HDD สำหรับการจัดเก็บข้อมูลระยะยาว ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมีความจุสูง แต่ยังต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถใช้งานในระดับอุตสาหกรรม - ต้องติดตามว่าผู้ให้บริการคลาวด์และศูนย์ข้อมูลจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้จริงเมื่อใด - การผลิตแผ่นแก้วที่มีความแม่นยำสูงอาจมีต้นทุนสูงในช่วงแรก - ต้องมีการพัฒนาโซลูชันการอ่านข้อมูลที่สามารถรองรับความหนาแน่นของข้อมูลระดับนี้ เทคโนโลยี 5D optical storage อาจเป็นก้าวสำคัญในการจัดเก็บข้อมูลระยะยาว โดยเฉพาะในยุคที่ AI และ Big Data ต้องการพื้นที่จัดเก็บมหาศาล อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้หรือไม่ https://www.techradar.com/pro/mission-impossible-the-final-reckoning-gets-surprise-guest-appearance-a-revolutionary-360tb-silica-storage-media
    WWW.TECHRADAR.COM
    ‘Mission: Impossible – The Final Reckoning’ gets surprise guest appearance: a revolutionary 360TB silica storage media
    DOGE didn’t say what the new media was only to referring to them as “modern digital records”
    0 Comments 0 Shares 187 Views 0 Reviews
  • บันทึกความเร็วใหม่ของอินเทอร์เน็ต: 1.02 เพตะบิตต่อวินาที
    นักวิจัยจาก สถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งชาติญี่ปุ่น (NICT) ร่วมกับ Sumitomo Electric Industries ได้สร้างสถิติใหม่ในการส่งข้อมูลผ่าน สายไฟเบอร์ออปติก ด้วยความเร็ว 1.02 เพตะบิตต่อวินาที ซึ่งมากพอที่จะดาวน์โหลด ภาพยนตร์ทั้งหมดบน Netflix ได้ถึง 30 รอบ

    สายไฟเบอร์ออปติกที่ใช้ในงานวิจัยนี้มี 19 คอร์ ซึ่งแต่ละคอร์ทำหน้าที่เป็นช่องทางส่งข้อมูลแยกกัน เปรียบเสมือน ทางหลวง 19 เลน ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับสายไฟเบอร์แบบดั้งเดิม

    เทคโนโลยีนี้สามารถทำงานได้บน C และ L bands ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลก โดยมีการปรับปรุงโครงสร้างภายในเพื่อ ลดการสูญเสียสัญญาณลง 40% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

    ข้อมูลจากข่าว
    - NICT และ Sumitomo Electric Industries สร้างสถิติใหม่ในการส่งข้อมูลผ่านไฟเบอร์ออปติก
    - ความเร็วสูงสุดที่ทำได้คือ 1.02 เพตะบิตต่อวินาที
    - ใช้สายไฟเบอร์แบบ 19 คอร์ ซึ่งช่วยให้สามารถส่งข้อมูลได้มากขึ้นในพื้นที่เท่าเดิม
    - เทคโนโลยีนี้สามารถทำงานบน C และ L bands ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล
    - ลดการสูญเสียสัญญาณลง 40% เมื่อเทียบกับไฟเบอร์รุ่นก่อนหน้า

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมีความเร็วสูง แต่ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการขยายสัญญาณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    - การนำไปใช้ในระดับอุตสาหกรรมต้องมีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้รองรับการผลิตจำนวนมาก
    - ต้องติดตามว่าผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้จริงเมื่อใด
    - การขยายเครือข่ายระดับเพตะบิตอาจต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานใหม่ในบางพื้นที่

    เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับเพตะบิตกลายเป็นความจริง และอาจนำไปสู่ การพัฒนาเครือข่ายที่สามารถรองรับข้อมูลระดับศูนย์ข้อมูลทั้งแห่งได้ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง

    https://www.techspot.com/news/108133-ultra-fast-fiber-sets-global-speed-record-102.html
    🚀 บันทึกความเร็วใหม่ของอินเทอร์เน็ต: 1.02 เพตะบิตต่อวินาที นักวิจัยจาก สถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งชาติญี่ปุ่น (NICT) ร่วมกับ Sumitomo Electric Industries ได้สร้างสถิติใหม่ในการส่งข้อมูลผ่าน สายไฟเบอร์ออปติก ด้วยความเร็ว 1.02 เพตะบิตต่อวินาที ซึ่งมากพอที่จะดาวน์โหลด ภาพยนตร์ทั้งหมดบน Netflix ได้ถึง 30 รอบ สายไฟเบอร์ออปติกที่ใช้ในงานวิจัยนี้มี 19 คอร์ ซึ่งแต่ละคอร์ทำหน้าที่เป็นช่องทางส่งข้อมูลแยกกัน เปรียบเสมือน ทางหลวง 19 เลน ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับสายไฟเบอร์แบบดั้งเดิม เทคโนโลยีนี้สามารถทำงานได้บน C และ L bands ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลก โดยมีการปรับปรุงโครงสร้างภายในเพื่อ ลดการสูญเสียสัญญาณลง 40% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ✅ ข้อมูลจากข่าว - NICT และ Sumitomo Electric Industries สร้างสถิติใหม่ในการส่งข้อมูลผ่านไฟเบอร์ออปติก - ความเร็วสูงสุดที่ทำได้คือ 1.02 เพตะบิตต่อวินาที - ใช้สายไฟเบอร์แบบ 19 คอร์ ซึ่งช่วยให้สามารถส่งข้อมูลได้มากขึ้นในพื้นที่เท่าเดิม - เทคโนโลยีนี้สามารถทำงานบน C และ L bands ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล - ลดการสูญเสียสัญญาณลง 40% เมื่อเทียบกับไฟเบอร์รุ่นก่อนหน้า ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมีความเร็วสูง แต่ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการขยายสัญญาณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น - การนำไปใช้ในระดับอุตสาหกรรมต้องมีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้รองรับการผลิตจำนวนมาก - ต้องติดตามว่าผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้จริงเมื่อใด - การขยายเครือข่ายระดับเพตะบิตอาจต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานใหม่ในบางพื้นที่ เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับเพตะบิตกลายเป็นความจริง และอาจนำไปสู่ การพัฒนาเครือข่ายที่สามารถรองรับข้อมูลระดับศูนย์ข้อมูลทั้งแห่งได้ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง https://www.techspot.com/news/108133-ultra-fast-fiber-sets-global-speed-record-102.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Ultra-fast fiber sets global speed record: 1.02 petabits per second over continental distance
    At the heart of this breakthrough – driven by Japan's National Institute of Information and Communications Technology (NICT) and Sumitomo Electric Industries – is a 19-core optical...
    0 Comments 0 Shares 209 Views 0 Reviews
  • มทร.อีสาน จัดประชุมปรึกษาหารือความร่วมมือทางวิชาการและการส่งมอบป้ายการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE
    .
    วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น. ณ ห้องประชุมแคนา 1 ชั้น 3 อาคารสำนักงานอธิการบดี (อาคาร 19) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จังหวัดนครราชสีมา มทร.อีสาน จัดการประชุมปรึกษาหารือความร่วมมือทางวิชาการและการส่งมอบป้ายการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง ระหว่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด โดยมี รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน กล่าวต้อนรับ นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ประธานการประชุมฯ, นายเฮ้อไจ้เฉียน กรรมการผู้จัดการ บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) พร้อมคณะ, นายฉ๋าว กั๋วฮ๋ง รองอธิการบดีสถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ประเทศจีน พร้อมคณะ, นายฮว๋าง หย๋ง เจี๋ย ประธานบริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด พร้อมคณะ, คุณธนากร ประพฤทธิพงษ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา, นายบุญส่ง สุทธิโตคร ผู้อำนวยการสำนักช่าง สำนักงานเทศบาลนครนครราชสีมา, ดร.ธีรพงศ์ คณาศักดิ์ รองประธานฝ่ายบริหารและสื่อสารองค์กร หอการค้าจังหวัดนครราชสีมา, คุณไพสิทธิ์ ปิติทรงสวัสดิ์ ประธานกิตติมศักดิ์ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา, คุณอาทิตย์ ชามขุนทด ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์และข้อมูลเพื่อการพัฒนาจังหวัด, นายจำนงค์ แสงเงิน หัวหน้ากองจัดการเดินรถเขต 2, คุณบัญชา กันหาสินธุ์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครราชสีมา, คุณขจร ศิวรังสรรค์ รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าหน่วยธุรกิจเทคโนโลยีและวิศวกรรมระบบราง, คุณวัฒนา สมานจิตร อุปนายกสมาคมวิศวกรรมระบบขนส่งทางรางไทย, ดร.สุรวุฒิ เชิดชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชิดชัยคอร์ปอเรชั่น จำกัด
    .
    โดยในการประชุมครั้งนี้ รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.อภิชิต คำภาหล้า คณบดีคณะระบบรางและการขนส่ง ได้ร่วมกัน นำเสนอจุดประสงค์ของความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยฯ และนำเสนอศูนย์ความร่วมมือทางวิชาการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE และทางด้าน บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) โดย นายเฮ้อไจ้เฉียน กรรมการผู้จัดการ บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) ได้นำเสนอจุดเด่นทางเทคนิคของผลิตภัณฑ์ระบบขนส่ง DRT และรถไฟฟ้ารางเบา รวมถึงแนวคิดความร่วมมือด้านการบริหารจัดการตลอดวงจรชีวิตของขบวนรถไฟ จากนั้น สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ได้กล่าวถึง ภาพรวมของสถาบัน NIRT จุดแข็งของหลักสูตร และแนวทางการจัดตั้งวิทยาลัยระบบรางจีน–ไทย (NIRT สาขาต่างประเทศ) โดย นายฉ๋าว กั๋วฮ๋ง รองอธิการบดีสถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ประเทศจีน ทั้งนี้ นอกจากจะร่วมประชุมหารือด้านความร่วมมือระหว่างกันแล้วยังได้มี การการหารือการเตรียมความพร้อมรองรับการเป็นเจ้าภาพการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก (International Horticultural Expo) และ แผนรถไฟฟ้ารางเบาในประเทศไทย ซึ่ง บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด โดย นายฮว๋าง หย๋ง เจี๋ย ประธานบริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด ยังได้นำเสนอ เรื่อง การวางแผนผลักดันจังหวัดนครราชสีมาให้เป็นจังหวัดหลักด้านอุตสาหกรรมระบบราง โดยอาศัยโอกาสความร่วมมือจากทั้ง 4 ฝ่าย และการดำเนินโครงการระบบ DRT สำหรับมหกรรมพืชสวนโลกอีกด้วย
    .
    นอกจากนี้ นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ยังได้ให้เกียรติเป็นประธานมอบป้ายสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE แก่ทั้ง 4 หน่วยงาน ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน, บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC), สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT), บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด
    .
    ภายหลังการประชุม นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า “ในนามของจังหวัดนครราชสีมา รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ภายใต้การนำของ รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ได้จัดการประชุมปรึกษาหารือในวันนี้ ซึ่งเป็นเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ที่มีคุณค่า ก่อให้เกิดแนวทางความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม และนำไปสู่การพัฒนาต่อยอดในระดับประเทศและนานาชาติ ทั้งยังได้ริเริ่มสานสัมพันธ์อันดีระหว่าง ภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา พันธมิตรทุกภาคส่วน ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีการประกาศเจตจำนงมุ่งมั่นในการร่วมพัฒนาด้านเทคโนโลยีและระบบขนส่งทางราง เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านการวิจัย พัฒนาองค์ความรู้ สร้างนวัตกรรม และพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมระบบราง ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง จนได้ร่วมมือกันในการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE ขึ้น ทั้งนี้ จังหวัดนครราชสีมา ในฐานะศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยเฉพาะในด้านระบบคมนาคมขนส่ง การมีสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบรางในพื้นที่ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการยกระดับขีดความสามารถของจังหวัดและภูมิภาค ให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”
    .
    ด้าน รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ได้เปิดเผยว่า "สำหรับการประชุมปรึกษาหารือความร่วมมือทางวิชาการ และพิธีส่งมอบป้ายการจัดตั้ง สถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE ในวันนี้ เกิดขึ้นจากการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ต้องขอขอบคุณจังหวัดนครราชสีมาที่ได้ให้ความสำคัญกับ มทร.อีสาน เสมอมา ในความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษา ภาคอุตสาหกรรม และภาควิจัย ทั้งในและต่างประเทศในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านระบบรางให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ความร่วมมือดังกล่าวไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสานเท่านั้น หากแต่ยังมีบทบาทสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศไทยให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล"
    .
    "ทั้งนี้ การที่ มทร.อีสาน ได้พันธมิตรในการร่วมพัฒนาประเทศ ทั้งด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า EV เช่น บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกอบรมเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า และเป็นผู้นำในการให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีขั้นสูงแบบครบวงจร ด้านการขนส่งทางราง เช่น บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. หรือ CRRC เป็นบริษัทชั้นนำของประเทศจีนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและการผลิตอุปกรณ์ขนส่งทางราง และเป็นหนึ่งในบริษัทขนาดใหญ่ระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์รถไฟของจีน และสถาบันที่ผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพด้านเทคโนโลยีและการจัดการระบบราง เช่น สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ซึ่งเป็นวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ตอนในของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีเศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองและมีระดับการพัฒนาระบบรถไฟสูงที่สุดในประเทศจีน ดังนั้น การจัดตั้ง “สถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE” แห่งนี้ จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนงานวิจัย การพัฒนาบุคลากร การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการสร้างนวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนส่งเสริมให้นักศึกษาได้มีโอกาสเรียนรู้และฝึกประสบการณ์จากการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติต่อไป" รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน กล่าวเพิ่มเติม
    มทร.อีสาน จัดประชุมปรึกษาหารือความร่วมมือทางวิชาการและการส่งมอบป้ายการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE . วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น. ณ ห้องประชุมแคนา 1 ชั้น 3 อาคารสำนักงานอธิการบดี (อาคาร 19) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จังหวัดนครราชสีมา มทร.อีสาน จัดการประชุมปรึกษาหารือความร่วมมือทางวิชาการและการส่งมอบป้ายการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง ระหว่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด โดยมี รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน กล่าวต้อนรับ นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ประธานการประชุมฯ, นายเฮ้อไจ้เฉียน กรรมการผู้จัดการ บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) พร้อมคณะ, นายฉ๋าว กั๋วฮ๋ง รองอธิการบดีสถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ประเทศจีน พร้อมคณะ, นายฮว๋าง หย๋ง เจี๋ย ประธานบริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด พร้อมคณะ, คุณธนากร ประพฤทธิพงษ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา, นายบุญส่ง สุทธิโตคร ผู้อำนวยการสำนักช่าง สำนักงานเทศบาลนครนครราชสีมา, ดร.ธีรพงศ์ คณาศักดิ์ รองประธานฝ่ายบริหารและสื่อสารองค์กร หอการค้าจังหวัดนครราชสีมา, คุณไพสิทธิ์ ปิติทรงสวัสดิ์ ประธานกิตติมศักดิ์ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา, คุณอาทิตย์ ชามขุนทด ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์และข้อมูลเพื่อการพัฒนาจังหวัด, นายจำนงค์ แสงเงิน หัวหน้ากองจัดการเดินรถเขต 2, คุณบัญชา กันหาสินธุ์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครราชสีมา, คุณขจร ศิวรังสรรค์ รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าหน่วยธุรกิจเทคโนโลยีและวิศวกรรมระบบราง, คุณวัฒนา สมานจิตร อุปนายกสมาคมวิศวกรรมระบบขนส่งทางรางไทย, ดร.สุรวุฒิ เชิดชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชิดชัยคอร์ปอเรชั่น จำกัด . โดยในการประชุมครั้งนี้ รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.อภิชิต คำภาหล้า คณบดีคณะระบบรางและการขนส่ง ได้ร่วมกัน นำเสนอจุดประสงค์ของความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยฯ และนำเสนอศูนย์ความร่วมมือทางวิชาการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE และทางด้าน บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) โดย นายเฮ้อไจ้เฉียน กรรมการผู้จัดการ บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) ได้นำเสนอจุดเด่นทางเทคนิคของผลิตภัณฑ์ระบบขนส่ง DRT และรถไฟฟ้ารางเบา รวมถึงแนวคิดความร่วมมือด้านการบริหารจัดการตลอดวงจรชีวิตของขบวนรถไฟ จากนั้น สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ได้กล่าวถึง ภาพรวมของสถาบัน NIRT จุดแข็งของหลักสูตร และแนวทางการจัดตั้งวิทยาลัยระบบรางจีน–ไทย (NIRT สาขาต่างประเทศ) โดย นายฉ๋าว กั๋วฮ๋ง รองอธิการบดีสถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ประเทศจีน ทั้งนี้ นอกจากจะร่วมประชุมหารือด้านความร่วมมือระหว่างกันแล้วยังได้มี การการหารือการเตรียมความพร้อมรองรับการเป็นเจ้าภาพการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก (International Horticultural Expo) และ แผนรถไฟฟ้ารางเบาในประเทศไทย ซึ่ง บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด โดย นายฮว๋าง หย๋ง เจี๋ย ประธานบริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด ยังได้นำเสนอ เรื่อง การวางแผนผลักดันจังหวัดนครราชสีมาให้เป็นจังหวัดหลักด้านอุตสาหกรรมระบบราง โดยอาศัยโอกาสความร่วมมือจากทั้ง 4 ฝ่าย และการดำเนินโครงการระบบ DRT สำหรับมหกรรมพืชสวนโลกอีกด้วย . นอกจากนี้ นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ยังได้ให้เกียรติเป็นประธานมอบป้ายสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE แก่ทั้ง 4 หน่วยงาน ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน, บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC), สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT), บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด . ภายหลังการประชุม นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า “ในนามของจังหวัดนครราชสีมา รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ภายใต้การนำของ รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ได้จัดการประชุมปรึกษาหารือในวันนี้ ซึ่งเป็นเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ที่มีคุณค่า ก่อให้เกิดแนวทางความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม และนำไปสู่การพัฒนาต่อยอดในระดับประเทศและนานาชาติ ทั้งยังได้ริเริ่มสานสัมพันธ์อันดีระหว่าง ภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา พันธมิตรทุกภาคส่วน ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีการประกาศเจตจำนงมุ่งมั่นในการร่วมพัฒนาด้านเทคโนโลยีและระบบขนส่งทางราง เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านการวิจัย พัฒนาองค์ความรู้ สร้างนวัตกรรม และพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมระบบราง ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง จนได้ร่วมมือกันในการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE ขึ้น ทั้งนี้ จังหวัดนครราชสีมา ในฐานะศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยเฉพาะในด้านระบบคมนาคมขนส่ง การมีสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบรางในพื้นที่ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการยกระดับขีดความสามารถของจังหวัดและภูมิภาค ให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” . ด้าน รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ได้เปิดเผยว่า "สำหรับการประชุมปรึกษาหารือความร่วมมือทางวิชาการ และพิธีส่งมอบป้ายการจัดตั้ง สถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE ในวันนี้ เกิดขึ้นจากการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ต้องขอขอบคุณจังหวัดนครราชสีมาที่ได้ให้ความสำคัญกับ มทร.อีสาน เสมอมา ในความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษา ภาคอุตสาหกรรม และภาควิจัย ทั้งในและต่างประเทศในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านระบบรางให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ความร่วมมือดังกล่าวไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสานเท่านั้น หากแต่ยังมีบทบาทสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศไทยให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล" . "ทั้งนี้ การที่ มทร.อีสาน ได้พันธมิตรในการร่วมพัฒนาประเทศ ทั้งด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า EV เช่น บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกอบรมเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า และเป็นผู้นำในการให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีขั้นสูงแบบครบวงจร ด้านการขนส่งทางราง เช่น บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. หรือ CRRC เป็นบริษัทชั้นนำของประเทศจีนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและการผลิตอุปกรณ์ขนส่งทางราง และเป็นหนึ่งในบริษัทขนาดใหญ่ระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์รถไฟของจีน และสถาบันที่ผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพด้านเทคโนโลยีและการจัดการระบบราง เช่น สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ซึ่งเป็นวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ตอนในของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีเศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองและมีระดับการพัฒนาระบบรถไฟสูงที่สุดในประเทศจีน ดังนั้น การจัดตั้ง “สถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE” แห่งนี้ จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนงานวิจัย การพัฒนาบุคลากร การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการสร้างนวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนส่งเสริมให้นักศึกษาได้มีโอกาสเรียนรู้และฝึกประสบการณ์จากการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติต่อไป" รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน กล่าวเพิ่มเติม
    0 Comments 0 Shares 639 Views 0 Reviews
  • ..ต่อเรื่องปั่นข่าวไปเรื่อยจนถึงเวลาปัจจุบันก็ยังไม่จบสิ้นหรือทำให้จบจริง,วันนั้นวันนี้เลื่อนเวลาตลอด ,สงครามข่าวลวงข่าวโกหกจริงๆ รับส่งกันสนุกทั้งคนปล่อย ทั้งคนต่อยอดเขียนงานข่าวในแต่ละมุก,แต่สุดท้ายผลงานก็เลื่อน&เลื่อน ไม่จบสิ้นดั่งที่อ้างเลย,เป็นเพียงขยายข่าวตามน้ำตามสถานะเวลาที่ก่อเกิดเรื่องในข่าว.

    ..Q CLOCK สิ้นสุดในวันอังคารที่ 20 พฤษภาคม 2025 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ KLAUS SCHWAB ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารของฟอรัมเศรษฐกิจโลก (WEF) ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้บริหาร

    การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของยุคสมัยของ WEF ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกของกลุ่ม CABAL ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1971 เพื่อควบคุมวาระการประชุมระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับอุตสาหกรรม

    ซึ่งตรงกับช่วงที่ SCHWAB ลาออก JAMIE DIMON ซีอีโอของ JPMORGAN CHASE ได้ประกาศเกษียณอายุ และประธาน FDIC ก็ลาออกเช่นกัน

    พัฒนาการเหล่านี้ — ร่วมกับการแนะนำร่างกฎหมาย “ยุติการบังคับใช้เฟด” และการผ่านร่างกฎหมายบล็อคเชน — ส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจและการเงินทั่วโลกกลับสู่ประชาชน
    ..ต่อเรื่องปั่นข่าวไปเรื่อยจนถึงเวลาปัจจุบันก็ยังไม่จบสิ้นหรือทำให้จบจริง,วันนั้นวันนี้เลื่อนเวลาตลอด ,สงครามข่าวลวงข่าวโกหกจริงๆ รับส่งกันสนุกทั้งคนปล่อย ทั้งคนต่อยอดเขียนงานข่าวในแต่ละมุก,แต่สุดท้ายผลงานก็เลื่อน&เลื่อน ไม่จบสิ้นดั่งที่อ้างเลย,เป็นเพียงขยายข่าวตามน้ำตามสถานะเวลาที่ก่อเกิดเรื่องในข่าว. ..Q CLOCK สิ้นสุดในวันอังคารที่ 20 พฤษภาคม 2025 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ KLAUS SCHWAB ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารของฟอรัมเศรษฐกิจโลก (WEF) ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้บริหาร การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของยุคสมัยของ WEF ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกของกลุ่ม CABAL ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1971 เพื่อควบคุมวาระการประชุมระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับอุตสาหกรรม ซึ่งตรงกับช่วงที่ SCHWAB ลาออก JAMIE DIMON ซีอีโอของ JPMORGAN CHASE ได้ประกาศเกษียณอายุ และประธาน FDIC ก็ลาออกเช่นกัน พัฒนาการเหล่านี้ — ร่วมกับการแนะนำร่างกฎหมาย “ยุติการบังคับใช้เฟด” และการผ่านร่างกฎหมายบล็อคเชน — ส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจและการเงินทั่วโลกกลับสู่ประชาชน
    0 Comments 0 Shares 314 Views 0 Reviews
  • TDK บริษัทเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นได้เปิดตัว Spin Photo Detector ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยแก้ปัญหาคอขวดด้านการถ่ายโอนข้อมูลในระบบ AI โดยอุปกรณ์นี้สามารถเพิ่มความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลได้ถึง 10 เท่า เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีปัจจุบัน โดยใช้เทคนิค laser-induced magnetism ในการแปลงข้อมูลด้วยความเร็วสูง

    Spin Photo Detector เพิ่มความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลได้ถึง 10 เท่า
    - ใช้เทคนิค laser-induced magnetism ในการแปลงข้อมูลด้วยความเร็วสูง
    - มีความเร็วในการตอบสนองเพียง 20 พิโควินาที

    TDK ใช้เทคโนโลยี Magnetic Tunnel Junction (MTJ)
    - MTJ ถูกปรับปรุงใหม่เพื่อใช้ใน Spin Photo Detector
    - โครงสร้าง MTJ มีความกว้างเพียง 200 นาโนเมตร และตอบสนองต่อเลเซอร์ได้อย่างแม่นยำ

    Spin Photo Detector มีความทนทานต่อรังสีคอสมิก
    - เหมาะสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมอวกาศ

    TDK วางแผนผลิตตัวอย่างในปี 2026 และผลิตในระดับอุตสาหกรรมภายใน 5 ปี
    - คาดว่าจะมีต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่ง เช่น TSMC และ Nvidia

    https://www.techradar.com/pro/japanese-tech-giant-claims-to-offer-data-transmission-solution-10x-faster-than-current-technologies-to-tackle-ai-speed-bottleneck
    TDK บริษัทเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นได้เปิดตัว Spin Photo Detector ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยแก้ปัญหาคอขวดด้านการถ่ายโอนข้อมูลในระบบ AI โดยอุปกรณ์นี้สามารถเพิ่มความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลได้ถึง 10 เท่า เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีปัจจุบัน โดยใช้เทคนิค laser-induced magnetism ในการแปลงข้อมูลด้วยความเร็วสูง ✅ Spin Photo Detector เพิ่มความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลได้ถึง 10 เท่า - ใช้เทคนิค laser-induced magnetism ในการแปลงข้อมูลด้วยความเร็วสูง - มีความเร็วในการตอบสนองเพียง 20 พิโควินาที ✅ TDK ใช้เทคโนโลยี Magnetic Tunnel Junction (MTJ) - MTJ ถูกปรับปรุงใหม่เพื่อใช้ใน Spin Photo Detector - โครงสร้าง MTJ มีความกว้างเพียง 200 นาโนเมตร และตอบสนองต่อเลเซอร์ได้อย่างแม่นยำ ✅ Spin Photo Detector มีความทนทานต่อรังสีคอสมิก - เหมาะสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมอวกาศ ✅ TDK วางแผนผลิตตัวอย่างในปี 2026 และผลิตในระดับอุตสาหกรรมภายใน 5 ปี - คาดว่าจะมีต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่ง เช่น TSMC และ Nvidia https://www.techradar.com/pro/japanese-tech-giant-claims-to-offer-data-transmission-solution-10x-faster-than-current-technologies-to-tackle-ai-speed-bottleneck
    0 Comments 0 Shares 328 Views 0 Reviews
  • นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Monash ได้พัฒนา เทคโนโลยีกรองน้ำแบบใหม่ ที่สามารถกำจัดสารเคมีตกค้างที่เรียกว่า PFAS ซึ่งเป็นสารที่มีความทนทานสูงและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เทคโนโลยีนี้ใช้ กราฟีนออกไซด์ ร่วมกับ เบต้าไซโคลเด็กซ์ทริน ซึ่งเป็นโมเลกุลน้ำตาลที่สามารถดักจับสารเคมีได้

    การใช้กราฟีนออกไซด์ร่วมกับเบต้าไซโคลเด็กซ์ทริน
    - กราฟีนออกไซด์ถูกพัฒนาให้มีโครงสร้างนาโนที่สามารถดักจับสาร PFAS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    - เบต้าไซโคลเด็กซ์ทรินทำหน้าที่เป็น กรงโมเลกุล ที่ช่วยกักเก็บสารเคมีอันตราย

    ประสิทธิภาพในการกำจัดสารเคมีตกค้าง
    - สามารถกำจัด PFAS ขนาดเล็ก ที่มักเล็ดลอดผ่านระบบกรองทั่วไป
    - เทคโนโลยีนี้ช่วยให้กระบวนการกรองน้ำมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง

    การนำไปใช้ในระดับอุตสาหกรรม
    - ใช้เทคนิค Shear Alignment Printing เพื่อผลิตแผ่นกรองขนาดใหญ่
    - สามารถนำไปใช้ใน โรงงานบำบัดน้ำเสีย, โรงงานอุตสาหกรรม และระบบกรองน้ำประปา

    ความร่วมมือในการพัฒนา
    - โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Monash University, Clean TeQ Water และ NematiQ
    - มีเป้าหมายพัฒนา ระบบกรองน้ำที่สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับสารปนเปื้อนชนิดต่างๆ

    ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    - แม้เทคโนโลยีนี้จะช่วยกำจัดสารเคมีตกค้าง แต่ต้องมีการศึกษาผลกระทบต่อระบบนิเวศเพิ่มเติม
    - การกำจัด PFAS ที่ถูกดักจับต้องใช้กระบวนการที่ปลอดภัยเพื่อไม่ให้เกิดการปนเปื้อนซ้ำ

    ความท้าทายในการนำไปใช้จริง
    - แม้จะมีศักยภาพสูง แต่ต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่า สามารถใช้งานได้ในทุกสภาพแวดล้อม
    - อาจต้องใช้เงินลงทุนสูงในการติดตั้งระบบกรองน้ำแบบใหม่นี้ในระดับอุตสาหกรรม

    แนวโน้มการพัฒนาเทคโนโลยีกรองน้ำ
    - นักวิจัยกำลังพัฒนา ระบบกรองน้ำที่สามารถกำจัดสารปนเปื้อนอื่นๆ เช่น ยา, สารกำจัดศัตรูพืช และโลหะหนัก
    - อาจมีการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ใน ระบบกรองน้ำสำหรับพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำสะอาด

    https://www.techspot.com/news/107545-breakthrough-water-filter-eliminates-forever-chemicals-using-modified.html
    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Monash ได้พัฒนา เทคโนโลยีกรองน้ำแบบใหม่ ที่สามารถกำจัดสารเคมีตกค้างที่เรียกว่า PFAS ซึ่งเป็นสารที่มีความทนทานสูงและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เทคโนโลยีนี้ใช้ กราฟีนออกไซด์ ร่วมกับ เบต้าไซโคลเด็กซ์ทริน ซึ่งเป็นโมเลกุลน้ำตาลที่สามารถดักจับสารเคมีได้ ✅ การใช้กราฟีนออกไซด์ร่วมกับเบต้าไซโคลเด็กซ์ทริน - กราฟีนออกไซด์ถูกพัฒนาให้มีโครงสร้างนาโนที่สามารถดักจับสาร PFAS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ - เบต้าไซโคลเด็กซ์ทรินทำหน้าที่เป็น กรงโมเลกุล ที่ช่วยกักเก็บสารเคมีอันตราย ✅ ประสิทธิภาพในการกำจัดสารเคมีตกค้าง - สามารถกำจัด PFAS ขนาดเล็ก ที่มักเล็ดลอดผ่านระบบกรองทั่วไป - เทคโนโลยีนี้ช่วยให้กระบวนการกรองน้ำมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง ✅ การนำไปใช้ในระดับอุตสาหกรรม - ใช้เทคนิค Shear Alignment Printing เพื่อผลิตแผ่นกรองขนาดใหญ่ - สามารถนำไปใช้ใน โรงงานบำบัดน้ำเสีย, โรงงานอุตสาหกรรม และระบบกรองน้ำประปา ✅ ความร่วมมือในการพัฒนา - โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Monash University, Clean TeQ Water และ NematiQ - มีเป้าหมายพัฒนา ระบบกรองน้ำที่สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับสารปนเปื้อนชนิดต่างๆ ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม - แม้เทคโนโลยีนี้จะช่วยกำจัดสารเคมีตกค้าง แต่ต้องมีการศึกษาผลกระทบต่อระบบนิเวศเพิ่มเติม - การกำจัด PFAS ที่ถูกดักจับต้องใช้กระบวนการที่ปลอดภัยเพื่อไม่ให้เกิดการปนเปื้อนซ้ำ ℹ️ ความท้าทายในการนำไปใช้จริง - แม้จะมีศักยภาพสูง แต่ต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่า สามารถใช้งานได้ในทุกสภาพแวดล้อม - อาจต้องใช้เงินลงทุนสูงในการติดตั้งระบบกรองน้ำแบบใหม่นี้ในระดับอุตสาหกรรม ℹ️ แนวโน้มการพัฒนาเทคโนโลยีกรองน้ำ - นักวิจัยกำลังพัฒนา ระบบกรองน้ำที่สามารถกำจัดสารปนเปื้อนอื่นๆ เช่น ยา, สารกำจัดศัตรูพืช และโลหะหนัก - อาจมีการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ใน ระบบกรองน้ำสำหรับพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำสะอาด https://www.techspot.com/news/107545-breakthrough-water-filter-eliminates-forever-chemicals-using-modified.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Breakthrough water filter eliminates forever chemicals using modified graphene oxide
    Researchers at Monash University have introduced a new water filtration technology that could shift the fight against PFAS – chemicals known for their environmental persistence and health...
    0 Comments 0 Shares 340 Views 0 Reviews
  • รัฐบาลเยอรมนีกำลังวางแผนจัดตั้ง "ซูเปอร์กระทรวงไฮเทค" เพื่อส่งเสริมการวิจัยและเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ นักวิจัยจากสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายงบประมาณของรัฐบาลทรัมป์เข้ามาทำงานในยุโรป

    การจัดตั้งกระทรวงไฮเทคใหม่
    - กระทรวงใหม่นี้จะดูแลด้าน ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ควอนตัมคอมพิวติ้ง, เทคโนโลยีชีวภาพ, การพัฒนาชิป และพลังงานฟิวชัน
    - มีแผนแยกงานวิจัยออกจากกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    - เป้าหมายสำคัญคือการสร้าง เครื่องปฏิกรณ์ฟิวชันที่ใช้งานได้จริง ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญของพลังงานสะอาด

    การเพิ่มงบประมาณสนับสนุนการวิจัย
    - รัฐบาลเยอรมนีให้คำมั่นว่าจะเพิ่มงบประมาณสนับสนุนองค์กรวิจัย ปีละ 3% จนถึงปี 2030
    - นโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อทำให้เยอรมนีเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมระดับโลก

    โครงการ "1000 Minds" ดึงดูดนักวิจัยจากสหรัฐฯ
    - เยอรมนีเตรียมเปิดโครงการ "1000 Minds" เพื่อดึงดูดนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ
    - นักวิจัยในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับ การตัดงบประมาณครั้งใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ในหลายสาขา
    - มีรายงานว่าบางหน่วยงาน เช่น NOAA (National Oceanic and Atmospheric Administration) ต้องลดงบประมาณจนถึงขั้นให้ นักวิจัยทำงานด้านอื่น เช่น ทำความสะอาดห้องน้ำ

    ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ผลกระทบต่อสหรัฐฯ และการแข่งขันด้านเทคโนโลยี
    - การดึงนักวิจัยจากสหรัฐฯ อาจทำให้เกิด การสูญเสียบุคลากรสำคัญ ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของอเมริกา
    - อาจส่งผลต่อการแข่งขันด้าน AI และเทคโนโลยีขั้นสูง ระหว่างยุโรปและสหรัฐฯ

    ความท้าทายในการสร้างเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชัน
    - แม้จะมีเป้าหมายสร้างเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชันที่ใช้งานได้จริง แต่เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นทดลอง และต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล
    - การพัฒนาอาจใช้เวลาหลายสิบปี ก่อนที่จะสามารถนำมาใช้ในระดับอุตสาหกรรมได้

    แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมวิจัยโลก
    - หากเยอรมนีประสบความสำเร็จ อาจทำให้ยุโรปกลายเป็น ศูนย์กลางวิจัยระดับโลก แทนที่สหรัฐฯ
    - ประเทศอื่นๆ อาจต้องปรับนโยบายเพื่อแข่งขันกับเยอรมนีในการดึงดูดนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์

    https://www.techspot.com/news/107547-germany-new-government-planning-super-high-tech-ministry.html
    รัฐบาลเยอรมนีกำลังวางแผนจัดตั้ง "ซูเปอร์กระทรวงไฮเทค" เพื่อส่งเสริมการวิจัยและเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ นักวิจัยจากสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายงบประมาณของรัฐบาลทรัมป์เข้ามาทำงานในยุโรป ✅ การจัดตั้งกระทรวงไฮเทคใหม่ - กระทรวงใหม่นี้จะดูแลด้าน ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ควอนตัมคอมพิวติ้ง, เทคโนโลยีชีวภาพ, การพัฒนาชิป และพลังงานฟิวชัน - มีแผนแยกงานวิจัยออกจากกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น - เป้าหมายสำคัญคือการสร้าง เครื่องปฏิกรณ์ฟิวชันที่ใช้งานได้จริง ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญของพลังงานสะอาด ✅ การเพิ่มงบประมาณสนับสนุนการวิจัย - รัฐบาลเยอรมนีให้คำมั่นว่าจะเพิ่มงบประมาณสนับสนุนองค์กรวิจัย ปีละ 3% จนถึงปี 2030 - นโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อทำให้เยอรมนีเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมระดับโลก ✅ โครงการ "1000 Minds" ดึงดูดนักวิจัยจากสหรัฐฯ - เยอรมนีเตรียมเปิดโครงการ "1000 Minds" เพื่อดึงดูดนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ - นักวิจัยในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับ การตัดงบประมาณครั้งใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ในหลายสาขา - มีรายงานว่าบางหน่วยงาน เช่น NOAA (National Oceanic and Atmospheric Administration) ต้องลดงบประมาณจนถึงขั้นให้ นักวิจัยทำงานด้านอื่น เช่น ทำความสะอาดห้องน้ำ ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ผลกระทบต่อสหรัฐฯ และการแข่งขันด้านเทคโนโลยี - การดึงนักวิจัยจากสหรัฐฯ อาจทำให้เกิด การสูญเสียบุคลากรสำคัญ ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของอเมริกา - อาจส่งผลต่อการแข่งขันด้าน AI และเทคโนโลยีขั้นสูง ระหว่างยุโรปและสหรัฐฯ ℹ️ ความท้าทายในการสร้างเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชัน - แม้จะมีเป้าหมายสร้างเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชันที่ใช้งานได้จริง แต่เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นทดลอง และต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล - การพัฒนาอาจใช้เวลาหลายสิบปี ก่อนที่จะสามารถนำมาใช้ในระดับอุตสาหกรรมได้ ℹ️ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมวิจัยโลก - หากเยอรมนีประสบความสำเร็จ อาจทำให้ยุโรปกลายเป็น ศูนย์กลางวิจัยระดับโลก แทนที่สหรัฐฯ - ประเทศอื่นๆ อาจต้องปรับนโยบายเพื่อแข่งขันกับเยอรมนีในการดึงดูดนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ https://www.techspot.com/news/107547-germany-new-government-planning-super-high-tech-ministry.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    New German "super-ministry" hopes to lure US researchers with cutting-edge science agenda
    Germany's three largest political parties have agreed to form a new government, uniting the center-right Christian Democrats and Christian Social Union with the center-left Social Democrats. While...
    0 Comments 0 Shares 444 Views 0 Reviews
  • นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโอไฮโอได้พัฒนาแบตเตอรี่ชนิดใหม่ที่ใช้รังสีจากกากนิวเคลียร์ในการผลิตไฟฟ้า โดยแบตเตอรี่นี้มีศักยภาพในการใช้งานในพื้นที่ที่มีรังสีสูง เช่น โรงเก็บกากนิวเคลียร์ หรือระบบสำรวจอวกาศและใต้น้ำ

    การทำงานของแบตเตอรี่:
    - ใช้คริสตัลชนิดพิเศษที่เรียกว่า Scintillator Crystals ซึ่งสามารถเปลี่ยนรังสีแกมมาให้กลายเป็นแสง
    - แสงที่เกิดขึ้นจะถูกเปลี่ยนเป็นไฟฟ้าผ่านเซลล์แสงอาทิตย์

    การทดสอบวัสดุ:
    - ทดสอบกับวัสดุที่มีรังสี เช่น Cesium-137 และ Cobalt-60
    - Cesium-137 ผลิตไฟฟ้าได้ 288 นาโนวัตต์ ส่วน Cobalt-60 ผลิตไฟฟ้าได้ 1.5 ไมโครวัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับเซ็นเซอร์ขนาดเล็ก

    ความปลอดภัย:
    - แบตเตอรี่ไม่มีวัสดุกัมมันตรังสีในตัว ทำให้ปลอดภัยต่อการสัมผัส

    การพัฒนาในอนาคต:
    - นักวิจัยเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้สามารถขยายขนาดเพื่อผลิตไฟฟ้าในปริมาณมากขึ้น
    - การผลิตในระดับอุตสาหกรรมอาจมีค่าใช้จ่ายสูง แต่มีศักยภาพในการใช้งานระยะยาวโดยไม่ก่อมลพิษ

    == ข้อเสนอแนะและคำเตือน ==
    ความท้าทายด้านการผลิต:
    - การผลิตแบตเตอรี่ในระดับอุตสาหกรรมอาจมีค่าใช้จ่ายสูงและต้องการการพัฒนาเพิ่มเติม

    การใช้งานในพื้นที่เฉพาะ:
    - แบตเตอรี่นี้เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีรังสีสูงเท่านั้น ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป

    https://www.neowin.net/news/scientists-create-new-battery-powered-by-chernobyl-like-nuclear-wastelands-and-light/
    นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโอไฮโอได้พัฒนาแบตเตอรี่ชนิดใหม่ที่ใช้รังสีจากกากนิวเคลียร์ในการผลิตไฟฟ้า โดยแบตเตอรี่นี้มีศักยภาพในการใช้งานในพื้นที่ที่มีรังสีสูง เช่น โรงเก็บกากนิวเคลียร์ หรือระบบสำรวจอวกาศและใต้น้ำ ✅ การทำงานของแบตเตอรี่: - ใช้คริสตัลชนิดพิเศษที่เรียกว่า Scintillator Crystals ซึ่งสามารถเปลี่ยนรังสีแกมมาให้กลายเป็นแสง - แสงที่เกิดขึ้นจะถูกเปลี่ยนเป็นไฟฟ้าผ่านเซลล์แสงอาทิตย์ ✅ การทดสอบวัสดุ: - ทดสอบกับวัสดุที่มีรังสี เช่น Cesium-137 และ Cobalt-60 - Cesium-137 ผลิตไฟฟ้าได้ 288 นาโนวัตต์ ส่วน Cobalt-60 ผลิตไฟฟ้าได้ 1.5 ไมโครวัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับเซ็นเซอร์ขนาดเล็ก ✅ ความปลอดภัย: - แบตเตอรี่ไม่มีวัสดุกัมมันตรังสีในตัว ทำให้ปลอดภัยต่อการสัมผัส ✅ การพัฒนาในอนาคต: - นักวิจัยเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้สามารถขยายขนาดเพื่อผลิตไฟฟ้าในปริมาณมากขึ้น - การผลิตในระดับอุตสาหกรรมอาจมีค่าใช้จ่ายสูง แต่มีศักยภาพในการใช้งานระยะยาวโดยไม่ก่อมลพิษ == ข้อเสนอแนะและคำเตือน == ⚠️ ความท้าทายด้านการผลิต: - การผลิตแบตเตอรี่ในระดับอุตสาหกรรมอาจมีค่าใช้จ่ายสูงและต้องการการพัฒนาเพิ่มเติม ⚠️ การใช้งานในพื้นที่เฉพาะ: - แบตเตอรี่นี้เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีรังสีสูงเท่านั้น ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป https://www.neowin.net/news/scientists-create-new-battery-powered-by-chernobyl-like-nuclear-wastelands-and-light/
    WWW.NEOWIN.NET
    Scientists create new battery powered by Chernobyl-like nuclear wastelands and light
    Scientists recently developed a novel battery technology that can use atomic or nuclear waste to convert electricity.
    0 Comments 0 Shares 295 Views 0 Reviews
  • Loongson เปิดตัวชิปรุ่นใหม่ 2K3000 และ 3B6000M ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับทั้งอุตสาหกรรมและอุปกรณ์เคลื่อนที่ โดยมาพร้อม CPU แบบ 8 คอร์และ GPU ที่รองรับงานกราฟิกและ AI เบา ความปลอดภัยถูกออกแบบด้วยมาตรฐานเข้ารหัสระดับสูง นอกจากนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์หลากหลาย ทำให้ชิปรุ่นนี้เป็นก้าวสำคัญของจีนในการขยายตลาดเทคโนโลยีล้ำหน้าในประเทศและต่างประเทศ

    โครงสร้าง CPU แบบ 8 คอร์—เหมาะสำหรับงานระดับอุตสาหกรรม
    - รุ่น 2K3000 มาพร้อม สถาปัตยกรรม LA364E ที่ให้ประสิทธิภาพการประมวลผลระดับสูงในระบบอุตสาหกรรม เช่น PLCs และ edge servers
    - 3B6000M เหมาะสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น โน้ตบุ๊กและแท็บเล็ต

    GPU ผสานเทคโนโลยี AI—รองรับทั้งงานกราฟิกและ AI
    - ใช้ LG200 GPGPU ที่รองรับการเร่งการประมวลผลกราฟิกด้วย OpenGL 4.0 และสามารถใช้สำหรับงาน AI เบา
    - ประสิทธิภาพ AI อยู่ที่ 8 TOPS (INT8) และกราฟิก FP32 สูงถึง 256 GFLOPS

    รองรับมาตรฐานการเข้ารหัสของจีนเพื่อความปลอดภัย
    - ชิปทั้งสองมี โมดูลเข้ารหัส SM2/SM3/SM4 ในระดับฮาร์ดแวร์ ทำให้ปลอดภัยและเหมาะสำหรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง

    การออกแบบ I/O ที่รองรับอุปกรณ์หลากหลายประเภท
    - เช่น PCIe 3.0, USB 3.0/2.0, HDMI, SATA 3.0 และ RapidIO

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/chinese-chipmaker-loongsons-new-laptop-and-industrial-chips-have-higher-core-counts-better-gpu
    Loongson เปิดตัวชิปรุ่นใหม่ 2K3000 และ 3B6000M ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับทั้งอุตสาหกรรมและอุปกรณ์เคลื่อนที่ โดยมาพร้อม CPU แบบ 8 คอร์และ GPU ที่รองรับงานกราฟิกและ AI เบา ความปลอดภัยถูกออกแบบด้วยมาตรฐานเข้ารหัสระดับสูง นอกจากนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์หลากหลาย ทำให้ชิปรุ่นนี้เป็นก้าวสำคัญของจีนในการขยายตลาดเทคโนโลยีล้ำหน้าในประเทศและต่างประเทศ ✅ โครงสร้าง CPU แบบ 8 คอร์—เหมาะสำหรับงานระดับอุตสาหกรรม - รุ่น 2K3000 มาพร้อม สถาปัตยกรรม LA364E ที่ให้ประสิทธิภาพการประมวลผลระดับสูงในระบบอุตสาหกรรม เช่น PLCs และ edge servers - 3B6000M เหมาะสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น โน้ตบุ๊กและแท็บเล็ต ✅ GPU ผสานเทคโนโลยี AI—รองรับทั้งงานกราฟิกและ AI - ใช้ LG200 GPGPU ที่รองรับการเร่งการประมวลผลกราฟิกด้วย OpenGL 4.0 และสามารถใช้สำหรับงาน AI เบา - ประสิทธิภาพ AI อยู่ที่ 8 TOPS (INT8) และกราฟิก FP32 สูงถึง 256 GFLOPS ✅ รองรับมาตรฐานการเข้ารหัสของจีนเพื่อความปลอดภัย - ชิปทั้งสองมี โมดูลเข้ารหัส SM2/SM3/SM4 ในระดับฮาร์ดแวร์ ทำให้ปลอดภัยและเหมาะสำหรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง ✅ การออกแบบ I/O ที่รองรับอุปกรณ์หลากหลายประเภท - เช่น PCIe 3.0, USB 3.0/2.0, HDMI, SATA 3.0 และ RapidIO https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/chinese-chipmaker-loongsons-new-laptop-and-industrial-chips-have-higher-core-counts-better-gpu
    0 Comments 0 Shares 273 Views 0 Reviews
  • SiCarrier Technologies จากจีนกำลังก้าวสู่เวทีเซมิคอนดักเตอร์โลกด้วยการนำเสนอเครื่องมือการผลิตที่ครบวงจร ซึ่งอาจช่วยลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก ความเชื่อมโยงกับ Huawei และการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนช่วยให้บริษัทพัฒนานวัตกรรมได้รวดเร็ว แม้ต้องใช้เวลาเพื่อพิสูจน์ความสามารถของอุปกรณ์ แต่ก้าวนี้สะท้อนถึงความทะเยอทะยานของจีนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

    เครือข่ายการวิจัยและพัฒนา:
    - บริษัทมีศูนย์วิจัยในเมืองสำคัญของจีน เช่น เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง และซีอาน รวมถึงทีมวิศวกรจากบริษัทชั้นนำระดับโลก เช่น ASML และ Applied Materials.

    อุปกรณ์ที่โดดเด่น:
    - SiCarrier นำเสนอเครื่องมือที่สามารถทำงานในกระบวนการหลากหลาย เช่น การเคลือบด้วยวิธี ALD, CVD, PVD รวมถึงอุปกรณ์ตรวจสอบ เช่น กล้องจุลทรรศน์กำลังอะตอม (AFM) และเครื่องวัดความหนาของฟิล์ม.

    แผนการสร้างระบบที่เป็นเอกเทศ:
    - SiCarrier อาจร่วมมือกับ Huawei เพื่อสร้างกระบวนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ใช้เฉพาะเครื่องมือจากจีน ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายปีก่อนที่โรงงานดังกล่าวจะพร้อมใช้งาน.

    ความท้าทาย:
    - ยังไม่ชัดเจนว่าอุปกรณ์ที่นำเสนอสามารถใช้งานร่วมกับระบบการผลิตที่มีอยู่ หรือมีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการผลิตระดับอุตสาหกรรมหรือไม่.

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/chinas-sicarrier-challenges-u-s-and-eu-with-full-spectrum-of-chipmaking-equipment-huawei-linked-firm-makes-an-impressive-debut
    SiCarrier Technologies จากจีนกำลังก้าวสู่เวทีเซมิคอนดักเตอร์โลกด้วยการนำเสนอเครื่องมือการผลิตที่ครบวงจร ซึ่งอาจช่วยลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก ความเชื่อมโยงกับ Huawei และการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนช่วยให้บริษัทพัฒนานวัตกรรมได้รวดเร็ว แม้ต้องใช้เวลาเพื่อพิสูจน์ความสามารถของอุปกรณ์ แต่ก้าวนี้สะท้อนถึงความทะเยอทะยานของจีนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เครือข่ายการวิจัยและพัฒนา: - บริษัทมีศูนย์วิจัยในเมืองสำคัญของจีน เช่น เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง และซีอาน รวมถึงทีมวิศวกรจากบริษัทชั้นนำระดับโลก เช่น ASML และ Applied Materials. อุปกรณ์ที่โดดเด่น: - SiCarrier นำเสนอเครื่องมือที่สามารถทำงานในกระบวนการหลากหลาย เช่น การเคลือบด้วยวิธี ALD, CVD, PVD รวมถึงอุปกรณ์ตรวจสอบ เช่น กล้องจุลทรรศน์กำลังอะตอม (AFM) และเครื่องวัดความหนาของฟิล์ม. แผนการสร้างระบบที่เป็นเอกเทศ: - SiCarrier อาจร่วมมือกับ Huawei เพื่อสร้างกระบวนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ใช้เฉพาะเครื่องมือจากจีน ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายปีก่อนที่โรงงานดังกล่าวจะพร้อมใช้งาน. ความท้าทาย: - ยังไม่ชัดเจนว่าอุปกรณ์ที่นำเสนอสามารถใช้งานร่วมกับระบบการผลิตที่มีอยู่ หรือมีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการผลิตระดับอุตสาหกรรมหรือไม่. https://www.tomshardware.com/tech-industry/chinas-sicarrier-challenges-u-s-and-eu-with-full-spectrum-of-chipmaking-equipment-huawei-linked-firm-makes-an-impressive-debut
    0 Comments 0 Shares 445 Views 0 Reviews
  • จีนกำลังก้าวเข้าสู่วงการ EUV Lithography (Extreme Ultraviolet Lithography) ด้วยการพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์แบบ LDP (Laser-Induced Discharge Plasma) ซึ่งกำลังทดสอบที่โรงงานของ Huawei ในเมืองตงกวน โดยเป้าหมายคือการเริ่มการผลิตเชิงทดลองในไตรมาส 3 ปี 2025 และผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2026 อุปกรณ์นี้อาจทำให้จีนหลุดพ้นจากการพึ่งพาผู้ผลิตในต่างประเทศ เช่น ASML ที่ครองตลาดด้านเทคโนโลยีนี้มาอย่างยาวนาน

    = วิธีการทำงานของ LDP และข้อได้เปรียบ =
    1) การสร้างแสง EUV: แสง EUV ที่ความยาวคลื่น 13.5 นาโนเมตรถูกผลิตขึ้นโดยการระเหยดีบุกให้กลายเป็นพลาสมา ผ่านกระบวนการปล่อยประจุไฟฟ้าแรงสูง วิธีนี้ต่างจากเทคนิค LPP (Laser-Produced Plasma) ของ ASML ที่ใช้เลเซอร์พลังงานสูงและระบบควบคุมซับซ้อน

    2) ข้อได้เปรียบของ LDP:
    - โครงสร้างเครื่องจักรเรียบง่ายกว่า
    - ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    - ลดต้นทุนการผลิตในระยะยาว

    = ความสำคัญในบริบทการคว่ำบาตร =
    ก่อนหน้านี้ จีนประสบปัญหาในการพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง เนื่องจากถูกจำกัดการส่งออกอุปกรณ์ EUV จากสหรัฐฯ และพันธมิตร ทำให้การพัฒนาชิปต้องใช้เทคนิค DUV (Deep Ultraviolet) ที่มีข้อจำกัด เช่น การใช้ความยาวคลื่นที่ใหญ่กว่า (193 นาโนเมตร) และการทำการแพทเทิร์นหลายครั้ง (Multi-patterning) ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนและต้นทุน แต่เทคโนโลยี LDP ของ Huawei นี้อาจช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนได้อย่างมหาศาล

    อย่างไรก็ตาม มีความท้าทายที่สำคัญ:
    - ความสามารถในการสร้างภาพที่คมชัดและละเอียดเพียงพอ
    - ความคงที่ของระบบในกระบวนการผลิตจำนวนมาก
    - การรวมอุปกรณ์นี้เข้ากับสายการผลิตที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    หากอุปกรณ์ของ Huawei สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านี้ได้ จีนอาจกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก และลดอิทธิพลของ ASML ในตลาดนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเทคโนโลยีนี้อาจเป็น "DeepSeek Moment" ที่จะปฏิวัติวงการการผลิตชิปในประเทศจีน

    https://www.techpowerup.com/333801/china-develops-domestic-euv-tool-asml-monopoly-in-trouble
    จีนกำลังก้าวเข้าสู่วงการ EUV Lithography (Extreme Ultraviolet Lithography) ด้วยการพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์แบบ LDP (Laser-Induced Discharge Plasma) ซึ่งกำลังทดสอบที่โรงงานของ Huawei ในเมืองตงกวน โดยเป้าหมายคือการเริ่มการผลิตเชิงทดลองในไตรมาส 3 ปี 2025 และผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2026 อุปกรณ์นี้อาจทำให้จีนหลุดพ้นจากการพึ่งพาผู้ผลิตในต่างประเทศ เช่น ASML ที่ครองตลาดด้านเทคโนโลยีนี้มาอย่างยาวนาน = วิธีการทำงานของ LDP และข้อได้เปรียบ = 1) การสร้างแสง EUV: แสง EUV ที่ความยาวคลื่น 13.5 นาโนเมตรถูกผลิตขึ้นโดยการระเหยดีบุกให้กลายเป็นพลาสมา ผ่านกระบวนการปล่อยประจุไฟฟ้าแรงสูง วิธีนี้ต่างจากเทคนิค LPP (Laser-Produced Plasma) ของ ASML ที่ใช้เลเซอร์พลังงานสูงและระบบควบคุมซับซ้อน 2) ข้อได้เปรียบของ LDP: - โครงสร้างเครื่องจักรเรียบง่ายกว่า - ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น - ลดต้นทุนการผลิตในระยะยาว = ความสำคัญในบริบทการคว่ำบาตร = ก่อนหน้านี้ จีนประสบปัญหาในการพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง เนื่องจากถูกจำกัดการส่งออกอุปกรณ์ EUV จากสหรัฐฯ และพันธมิตร ทำให้การพัฒนาชิปต้องใช้เทคนิค DUV (Deep Ultraviolet) ที่มีข้อจำกัด เช่น การใช้ความยาวคลื่นที่ใหญ่กว่า (193 นาโนเมตร) และการทำการแพทเทิร์นหลายครั้ง (Multi-patterning) ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนและต้นทุน แต่เทคโนโลยี LDP ของ Huawei นี้อาจช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนได้อย่างมหาศาล อย่างไรก็ตาม มีความท้าทายที่สำคัญ: - ความสามารถในการสร้างภาพที่คมชัดและละเอียดเพียงพอ - ความคงที่ของระบบในกระบวนการผลิตจำนวนมาก - การรวมอุปกรณ์นี้เข้ากับสายการผลิตที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากอุปกรณ์ของ Huawei สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านี้ได้ จีนอาจกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก และลดอิทธิพลของ ASML ในตลาดนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเทคโนโลยีนี้อาจเป็น "DeepSeek Moment" ที่จะปฏิวัติวงการการผลิตชิปในประเทศจีน https://www.techpowerup.com/333801/china-develops-domestic-euv-tool-asml-monopoly-in-trouble
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    China Develops Domestic EUV Tool, ASML Monopoly in Trouble
    China's domestic extreme ultraviolet (EUV) lithography development is far from a distant dream. The newest system, now undergoing testing at Huawei's Dongguan facility, leverages laser-induced discharge plasma (LDP) technology, representing a potentially disruptive approach to EUV light generation. ...
    0 Comments 0 Shares 718 Views 0 Reviews
  • บริษัท Cortical Labs ในออสเตรเลียได้เปิดตัว CL1 ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ชีวภาพตัวแรกของโลกที่ผสมผสานเซลล์สมองมนุษย์เข้ากับเทคโนโลยีซิลิคอนแบบดั้งเดิม CL1 ถูกเปิดตัวครั้งแรกในงาน Mobile World Congress ที่บาร์เซโลนา และถูกพัฒนามาเพื่อใช้ในการศึกษาความเป็นไปได้ของ AI และ Machine Learning ที่มีความใกล้เคียงกับสมองของมนุษย์

    CL1 ใช้ชิปซิลิคอนที่มีเซลล์สมองมนุษย์เพาะเลี้ยงอยู่บนพื้นผิว เซลล์สมองเหล่านี้สามารถตอบสนองต่อสัญญาณไฟฟ้าและสร้างเครือข่ายที่ประมวลผลข้อมูลในลักษณะเดียวกับสมองมนุษย์ สิ่งที่น่าสนใจคือ ระบบนี้สามารถสื่อสารสองทางได้ โดยใช้สัญญาณไฟฟ้ากระตุ้นเซลล์สมอง และเก็บข้อมูลการตอบสนองเพื่อนำมาวิเคราะห์ต่อ

    เพื่อให้เซลล์สมองเหล่านี้ยังคงทำงานได้ดี CL1 มาพร้อมระบบช่วยชีวิตที่ควบคุมอุณหภูมิ การแลกเปลี่ยนก๊าซ และเงื่อนไขที่จำเป็นอื่น ๆ

    CL1 ถูกออกแบบมาเพื่อเรียนรู้และปรับตัว เช่นเดียวกับสมองมนุษย์ ตัวอย่างที่เคยมีการทดลอง เช่น การฝึกเซลล์สมองให้เล่นวิดีโอเกมพื้นฐาน สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า คอมพิวเตอร์ชีวภาพสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในด้านที่ AI แบบเดิมยังไม่สมบูรณ์ เช่น การจดจำรูปแบบและการตัดสินใจในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน

    นอกจากนี้ ความสามารถของเซลล์สมองในการปรับตัวทำให้เกิดศักยภาพใหม่ ๆ ในการประยุกต์ใช้งาน เช่น การพัฒนาหุ่นยนต์ที่ฉลาดยิ่งขึ้น หรือระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน

    ปัญหาและข้อควรระวัง
    - ความซับซ้อนในการผลิต: การสร้างและดูแลระบบ CL1 ต้องใช้กระบวนการที่ซับซ้อนและยังไม่สามารถผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้
    - ปัญหาด้านจริยธรรม: แม้ว่าเซลล์สมองที่ใช้จะถูกเพาะเลี้ยงในห้องแล็บและไม่มีสติสัมปชัญญะ แต่ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีนี้อาจต้องการกรอบกฎหมายและจริยธรรมที่ชัดเจนในอนาคต เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับเซลล์ชีวภาพมนุษย์

    CL1 จะพร้อมจำหน่ายตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยมีราคาอยู่ที่ประมาณ $35,000 เหมาะสำหรับองค์กรและสถาบันวิจัยที่ต้องการทดสอบหรือสำรวจการใช้งานคอมพิวเตอร์ชีวภาพในเชิงลึก

    CL1 ถือเป็นก้าวใหม่ที่น่าตื่นเต้นในวงการเทคโนโลยีชีวภาพและ AI ซึ่งอาจช่วยพัฒนาอนาคตของการเรียนรู้และการประมวลผลข้อมูล หากคุณสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CL1 และความเป็นไปได้ในอนาคตของเทคโนโลยีนี้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/worlds-first-body-in-a-box-biological-computer-uses-human-brain-cells-with-silicon-based-computing
    บริษัท Cortical Labs ในออสเตรเลียได้เปิดตัว CL1 ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ชีวภาพตัวแรกของโลกที่ผสมผสานเซลล์สมองมนุษย์เข้ากับเทคโนโลยีซิลิคอนแบบดั้งเดิม CL1 ถูกเปิดตัวครั้งแรกในงาน Mobile World Congress ที่บาร์เซโลนา และถูกพัฒนามาเพื่อใช้ในการศึกษาความเป็นไปได้ของ AI และ Machine Learning ที่มีความใกล้เคียงกับสมองของมนุษย์ CL1 ใช้ชิปซิลิคอนที่มีเซลล์สมองมนุษย์เพาะเลี้ยงอยู่บนพื้นผิว เซลล์สมองเหล่านี้สามารถตอบสนองต่อสัญญาณไฟฟ้าและสร้างเครือข่ายที่ประมวลผลข้อมูลในลักษณะเดียวกับสมองมนุษย์ สิ่งที่น่าสนใจคือ ระบบนี้สามารถสื่อสารสองทางได้ โดยใช้สัญญาณไฟฟ้ากระตุ้นเซลล์สมอง และเก็บข้อมูลการตอบสนองเพื่อนำมาวิเคราะห์ต่อ เพื่อให้เซลล์สมองเหล่านี้ยังคงทำงานได้ดี CL1 มาพร้อมระบบช่วยชีวิตที่ควบคุมอุณหภูมิ การแลกเปลี่ยนก๊าซ และเงื่อนไขที่จำเป็นอื่น ๆ CL1 ถูกออกแบบมาเพื่อเรียนรู้และปรับตัว เช่นเดียวกับสมองมนุษย์ ตัวอย่างที่เคยมีการทดลอง เช่น การฝึกเซลล์สมองให้เล่นวิดีโอเกมพื้นฐาน สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า คอมพิวเตอร์ชีวภาพสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในด้านที่ AI แบบเดิมยังไม่สมบูรณ์ เช่น การจดจำรูปแบบและการตัดสินใจในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน นอกจากนี้ ความสามารถของเซลล์สมองในการปรับตัวทำให้เกิดศักยภาพใหม่ ๆ ในการประยุกต์ใช้งาน เช่น การพัฒนาหุ่นยนต์ที่ฉลาดยิ่งขึ้น หรือระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน ปัญหาและข้อควรระวัง - ความซับซ้อนในการผลิต: การสร้างและดูแลระบบ CL1 ต้องใช้กระบวนการที่ซับซ้อนและยังไม่สามารถผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้ - ปัญหาด้านจริยธรรม: แม้ว่าเซลล์สมองที่ใช้จะถูกเพาะเลี้ยงในห้องแล็บและไม่มีสติสัมปชัญญะ แต่ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีนี้อาจต้องการกรอบกฎหมายและจริยธรรมที่ชัดเจนในอนาคต เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับเซลล์ชีวภาพมนุษย์ CL1 จะพร้อมจำหน่ายตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยมีราคาอยู่ที่ประมาณ $35,000 เหมาะสำหรับองค์กรและสถาบันวิจัยที่ต้องการทดสอบหรือสำรวจการใช้งานคอมพิวเตอร์ชีวภาพในเชิงลึก CL1 ถือเป็นก้าวใหม่ที่น่าตื่นเต้นในวงการเทคโนโลยีชีวภาพและ AI ซึ่งอาจช่วยพัฒนาอนาคตของการเรียนรู้และการประมวลผลข้อมูล หากคุณสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CL1 และความเป็นไปได้ในอนาคตของเทคโนโลยีนี้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/worlds-first-body-in-a-box-biological-computer-uses-human-brain-cells-with-silicon-based-computing
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    World's first 'body in a box' biological computer uses human brain cells with silicon-based computing
    Cortical Labs said the CL1 will be available from June, priced at around $35,000.
    0 Comments 0 Shares 533 Views 0 Reviews
  • Google ได้เรียกร้องให้มีการจัดตั้งมาตรฐานความปลอดภัยในการจัดการหน่วยความจำในระดับอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในซอฟต์แวร์ การละเมิดความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการหน่วยความจำกำลังเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นในบรรดาบริษัทและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ หน่วยงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐอเมริกา (CISA) ได้เรียกร้องให้ผู้พัฒนากำจัดข้อบกพร่องที่เกี่ยวกับ buffer overflow

    Google ชี้ว่า การละเมิดความปลอดภัยในการจัดการหน่วยความจำได้ทำลายความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีและก่อให้เกิดความเสียหายนับพันล้านดอลลาร์ แนวทางดั้งเดิมที่ใช้ในการเสริมความแข็งแกร่งของภาษาการเขียนโปรแกรมที่เป็นที่นิยมยังไม่เพียงพอที่จะหยุดการละเมิดความปลอดภัยเหล่านี้ ภาษาโปรแกรมมิ่งใหม่ๆ เช่น Rust และ Kotlin หรือส่วนขยายเฉพาะสำหรับภาษาเก่าๆ เช่น Safe Buffers สำหรับ C++ ถูกออกแบบมาเพื่อเสริมความปลอดภัยตั้งแต่ต้น ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้ได้พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยลดข้อบกพร่องใน Android

    Google ได้เสนอข้อผูกพันรวมใหม่เพื่อกำจัดประเภทของข้อบกพร่องนี้โดยใช้แนวทางการเขียนโปรแกรมที่ปลอดภัยโดยการออกแบบ CISA ได้แนะนำแนวทางนี้ด้วย แต่ Google กำลังขยายเป้าหมายให้กว้างขึ้นด้วยการออกแบบแนวทางที่เหมาะสมสำหรับทุกเครื่องมือ

    การพัฒนามาตรฐานนี้ต้องการความมุ่งมั่นจากอุตสาหกรรมร่วมกัน Google กล่าวว่าเราจำเป็นต้องสร้างอนาคตที่ความปลอดภัยในการจัดการหน่วยความจำไม่ใช่เรื่องคิดหลัง แต่เป็นหลักการพื้นฐาน เพื่อให้คนรุ่นต่อไปได้รับโลกดิจิทัลที่ปลอดภัยโดยการออกแบบตั้งแต่ต้น

    https://www.techspot.com/news/107006-google-calls-industry-wide-memory-safety-standards-enhance.html
    Google ได้เรียกร้องให้มีการจัดตั้งมาตรฐานความปลอดภัยในการจัดการหน่วยความจำในระดับอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในซอฟต์แวร์ การละเมิดความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการหน่วยความจำกำลังเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นในบรรดาบริษัทและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ หน่วยงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐอเมริกา (CISA) ได้เรียกร้องให้ผู้พัฒนากำจัดข้อบกพร่องที่เกี่ยวกับ buffer overflow Google ชี้ว่า การละเมิดความปลอดภัยในการจัดการหน่วยความจำได้ทำลายความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีและก่อให้เกิดความเสียหายนับพันล้านดอลลาร์ แนวทางดั้งเดิมที่ใช้ในการเสริมความแข็งแกร่งของภาษาการเขียนโปรแกรมที่เป็นที่นิยมยังไม่เพียงพอที่จะหยุดการละเมิดความปลอดภัยเหล่านี้ ภาษาโปรแกรมมิ่งใหม่ๆ เช่น Rust และ Kotlin หรือส่วนขยายเฉพาะสำหรับภาษาเก่าๆ เช่น Safe Buffers สำหรับ C++ ถูกออกแบบมาเพื่อเสริมความปลอดภัยตั้งแต่ต้น ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้ได้พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยลดข้อบกพร่องใน Android Google ได้เสนอข้อผูกพันรวมใหม่เพื่อกำจัดประเภทของข้อบกพร่องนี้โดยใช้แนวทางการเขียนโปรแกรมที่ปลอดภัยโดยการออกแบบ CISA ได้แนะนำแนวทางนี้ด้วย แต่ Google กำลังขยายเป้าหมายให้กว้างขึ้นด้วยการออกแบบแนวทางที่เหมาะสมสำหรับทุกเครื่องมือ การพัฒนามาตรฐานนี้ต้องการความมุ่งมั่นจากอุตสาหกรรมร่วมกัน Google กล่าวว่าเราจำเป็นต้องสร้างอนาคตที่ความปลอดภัยในการจัดการหน่วยความจำไม่ใช่เรื่องคิดหลัง แต่เป็นหลักการพื้นฐาน เพื่อให้คนรุ่นต่อไปได้รับโลกดิจิทัลที่ปลอดภัยโดยการออกแบบตั้งแต่ต้น https://www.techspot.com/news/107006-google-calls-industry-wide-memory-safety-standards-enhance.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google calls for industry-wide memory safety standards to enhance software security
    Security vulnerabilities related to memory safety are becoming increasingly troublesome among companies and organizations dealing with software products. The US Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) recently...
    0 Comments 0 Shares 172 Views 0 Reviews
  • LINE ประเทศไทย เตรียมเปิดให้บริการ LINE Premium จ่ายค่าบริการรายเดือนเพิ่ม 169 บาท เพื่อสร้างโปรไฟล์เฉพาะกรุ๊ป เปลี่ยนฟอนต์ เก็บข้อความ รูปภาพ วิดีโอ เอกสารแบบไม่มีวันหมดอายุ รวมสิทธิประโยชน์จาก LINE Shopping และ LINE Man ไม่สมัครยังใช้งาน LINE ฟรี ได้ต่อเนื่อง

    นายนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ LINE ประเทศไทย กล่าวว่า ในปีนี้ LINE มีแผนที่จะเปิดบริการใหม่ใน 3 ส่วนด้วยกัน ประกอบด้วย LINE PREMIUM - LINE GIFT - LINE HEALTH เพื่อนำจุดแข็งของ LINE ที่เข้าถึงคนไทยกว่า 56 ล้านคน มาช่วยการใช้ชีวิตบนโลกดิจิทัล

    “LINE ยังคงยืดมั่นใน Hyper-localization & Humanization ที่รับฟังความต้องการของผู้ใช้ และนำเสนอแพลตฟอร์มที่ตอบสนองการใช้งาน และเปิดทางความร่วมมือกับแบรนด์และนักพัฒนาเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัลของเมืองไทย”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9680000021047

    #MGROnline #LINEประเทศไทย #LINEPremium
    LINE ประเทศไทย เตรียมเปิดให้บริการ LINE Premium จ่ายค่าบริการรายเดือนเพิ่ม 169 บาท เพื่อสร้างโปรไฟล์เฉพาะกรุ๊ป เปลี่ยนฟอนต์ เก็บข้อความ รูปภาพ วิดีโอ เอกสารแบบไม่มีวันหมดอายุ รวมสิทธิประโยชน์จาก LINE Shopping และ LINE Man ไม่สมัครยังใช้งาน LINE ฟรี ได้ต่อเนื่อง • นายนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ LINE ประเทศไทย กล่าวว่า ในปีนี้ LINE มีแผนที่จะเปิดบริการใหม่ใน 3 ส่วนด้วยกัน ประกอบด้วย LINE PREMIUM - LINE GIFT - LINE HEALTH เพื่อนำจุดแข็งของ LINE ที่เข้าถึงคนไทยกว่า 56 ล้านคน มาช่วยการใช้ชีวิตบนโลกดิจิทัล • “LINE ยังคงยืดมั่นใน Hyper-localization & Humanization ที่รับฟังความต้องการของผู้ใช้ และนำเสนอแพลตฟอร์มที่ตอบสนองการใช้งาน และเปิดทางความร่วมมือกับแบรนด์และนักพัฒนาเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัลของเมืองไทย” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9680000021047 • #MGROnline #LINEประเทศไทย #LINEPremium
    Yay
    1
    0 Comments 0 Shares 543 Views 0 Reviews
  • มีข่าวเกี่ยวกับความก้าวหน้าของ Samsung ในการผลิตชิป 2 นาโนเมตร (2 nm) โดยบริษัทนี้กำลังเตรียมที่จะเริ่มการผลิตในระดับอุตสาหกรรมในช่วงปลายปี 2025

    ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา โรงงานของ Samsung ประสบปัญหามากมายในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปแบบ Gate-All-Around (GAA) ขนาด 3 นาโนเมตร ทำให้บริษัทต้องเลิกพัฒนาชิป 3 นาโนเมตรและหันไปพัฒนาชิป 2 นาโนเมตรแทน ซึ่งขณะนี้ทีมงาน Samsung กำลังอยู่ในกระบวนการปรับปรุงสายการผลิตที่โรงงานใน Hwaseong และคาดว่าจะเริ่มการผลิตในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

    ที่น่าสนใจคือ ทาง TSMC ซึ่งเป็นคู่แข่งหลักของ Samsung ก็กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาชิป 2 นาโนเมตรเช่นกัน และคาดว่าจะเริ่มการผลิตในช่วงเวลาเดียวกัน แม้ว่าขณะนี้ TSMC จะมีผลสำเร็จในการพัฒนาชิปนี้มากกว่า แต่ก็ยังไม่มีอะไรแน่นอนจนกว่าจะถึงช่วงเวลาการผลิตจริง

    นอกจากนั้น การที่ Samsung ได้ยกระดับการผลิตชิป 4 นาโนเมตร ซึ่งมีอัตราสำเร็จสูงถึง 80% ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าการพัฒนาชิป 2 นาโนเมตรอาจเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

    https://www.techpowerup.com/333329/samsung-reportedly-progressing-well-with-2-nm-gaa-yields-late-2025-mass-production-phase-looms
    มีข่าวเกี่ยวกับความก้าวหน้าของ Samsung ในการผลิตชิป 2 นาโนเมตร (2 nm) โดยบริษัทนี้กำลังเตรียมที่จะเริ่มการผลิตในระดับอุตสาหกรรมในช่วงปลายปี 2025 ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา โรงงานของ Samsung ประสบปัญหามากมายในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปแบบ Gate-All-Around (GAA) ขนาด 3 นาโนเมตร ทำให้บริษัทต้องเลิกพัฒนาชิป 3 นาโนเมตรและหันไปพัฒนาชิป 2 นาโนเมตรแทน ซึ่งขณะนี้ทีมงาน Samsung กำลังอยู่ในกระบวนการปรับปรุงสายการผลิตที่โรงงานใน Hwaseong และคาดว่าจะเริ่มการผลิตในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ที่น่าสนใจคือ ทาง TSMC ซึ่งเป็นคู่แข่งหลักของ Samsung ก็กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาชิป 2 นาโนเมตรเช่นกัน และคาดว่าจะเริ่มการผลิตในช่วงเวลาเดียวกัน แม้ว่าขณะนี้ TSMC จะมีผลสำเร็จในการพัฒนาชิปนี้มากกว่า แต่ก็ยังไม่มีอะไรแน่นอนจนกว่าจะถึงช่วงเวลาการผลิตจริง นอกจากนั้น การที่ Samsung ได้ยกระดับการผลิตชิป 4 นาโนเมตร ซึ่งมีอัตราสำเร็จสูงถึง 80% ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าการพัฒนาชิป 2 นาโนเมตรอาจเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น https://www.techpowerup.com/333329/samsung-reportedly-progressing-well-with-2-nm-gaa-yields-late-2025-mass-production-phase-looms
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Samsung Reportedly Progressing Well with 2 nm GAA Yields, Late 2025 Mass Production Phase Looms
    Samsung's foundry operation has experienced many setbacks over the past six months, according to a steady feed of insider reports. Last November, industry moles leaked details of an apparent abandonment of the company's 3 nm Gate-All-Around (GAA) process. Significant yield problems prompted an alleg...
    0 Comments 0 Shares 187 Views 0 Reviews
  • ทีมวิจัยจากจีนได้คิดค้นวิธีที่สามารถฟื้นฟูแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่เสื่อมสภาพให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งด้วยการเติมลิเธียมใหม่เข้าไปในเซลล์แบตเตอรี่ที่เสื่อม โดยวิธีนี้อาจเหมาะสำหรับการใช้งานในระดับอุตสาหกรรม เช่น ระบบเก็บพลังงานจากกริดไฟฟ้า

    ปัญหาของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเกิดจากการเติบโตของชั้น Solid Electrolyte Interphase (SEI) ที่ขั้วแอโนด ซึ่งจะบริโภคลิเธียมไอออนและเพิ่มความต้านทาน ส่งผลให้ความจุของแบตเตอรี่ลดลง เมื่อแบตเตอรี่เสื่อมสภาพไปตามเวลา แบตเตอรี่จะต้องถูกเปลี่ยนใหม่

    วิธีการใหม่นี้ใช้การฉีดลิเธียมสดเข้าไปในเซลล์ที่เสื่อมสภาพเพื่อทดแทนลิเธียมที่สูญเสียไป โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์และเคมีอินทรีย์ไฟฟ้าในการสร้างสารประกอบที่มีลิเธียม ซึ่งจะปล่อยลิเธียมออกมาเมื่อได้รับแรงดันไฟฟ้าที่เหมาะสมภายในแบตเตอรี่ นอกจากนี้ปฏิกิริยานี้ยังผลิตก๊าซที่สามารถระบายออกได้ง่าย ทำให้ลิเธียมใหม่สามารถเข้าไปแทนที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ด้วยวิธีนี้ นักวิจัยสามารถฟื้นฟูความจุของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่เสื่อมสภาพได้เกือบทั้งหมด โดยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟตที่สูญเสียความจุไปถึง 15% สามารถฟื้นฟูกลับมาได้เกือบทั้งหมด นอกจากนี้พวกเขายังเชื่อว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสามารถยืดอายุการใช้งานได้ถึง 12,000 – 60,000 รอบชาร์จก่อนจะถึงขีดจำกัด

    อย่างไรก็ตาม กระบวนการฉีดลิเธียมสดนี้ต้องการแบตเตอรี่ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ซึ่งต้องมีพื้นที่เพิ่มเติมและมีความซับซ้อนมากขึ้นกว่าหน่วยที่ปิดผนึกแบบทั่วไป นอกจากนี้ยังไม่แน่ชัดว่าวิธีนี้จะใช้ได้ผลกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ใช้อยู่ในอุปกรณ์ของผู้บริโภค เช่น โทรศัพท์มือถือและแล็ปท็อปที่ใช้เคมีลิเธียมแบบอื่น ๆ ได้ดีหรือไม่

    ถึงแม้ว่าจะมีข้อจำกัดในการใช้งาน แต่วิธีนี้ยังมีศักยภาพในการลดค่าใช้จ่ายและมีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในระบบเก็บพลังงานขนาดใหญ่ที่ต้องการการฟื้นฟูแบตเตอรี่ที่มีต้นทุนสูง

    https://www.techspot.com/news/106883-scientists-discover-way-revive-batteries-injecting-fresh-lithium.html
    ทีมวิจัยจากจีนได้คิดค้นวิธีที่สามารถฟื้นฟูแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่เสื่อมสภาพให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งด้วยการเติมลิเธียมใหม่เข้าไปในเซลล์แบตเตอรี่ที่เสื่อม โดยวิธีนี้อาจเหมาะสำหรับการใช้งานในระดับอุตสาหกรรม เช่น ระบบเก็บพลังงานจากกริดไฟฟ้า ปัญหาของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเกิดจากการเติบโตของชั้น Solid Electrolyte Interphase (SEI) ที่ขั้วแอโนด ซึ่งจะบริโภคลิเธียมไอออนและเพิ่มความต้านทาน ส่งผลให้ความจุของแบตเตอรี่ลดลง เมื่อแบตเตอรี่เสื่อมสภาพไปตามเวลา แบตเตอรี่จะต้องถูกเปลี่ยนใหม่ วิธีการใหม่นี้ใช้การฉีดลิเธียมสดเข้าไปในเซลล์ที่เสื่อมสภาพเพื่อทดแทนลิเธียมที่สูญเสียไป โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์และเคมีอินทรีย์ไฟฟ้าในการสร้างสารประกอบที่มีลิเธียม ซึ่งจะปล่อยลิเธียมออกมาเมื่อได้รับแรงดันไฟฟ้าที่เหมาะสมภายในแบตเตอรี่ นอกจากนี้ปฏิกิริยานี้ยังผลิตก๊าซที่สามารถระบายออกได้ง่าย ทำให้ลิเธียมใหม่สามารถเข้าไปแทนที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยวิธีนี้ นักวิจัยสามารถฟื้นฟูความจุของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่เสื่อมสภาพได้เกือบทั้งหมด โดยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟตที่สูญเสียความจุไปถึง 15% สามารถฟื้นฟูกลับมาได้เกือบทั้งหมด นอกจากนี้พวกเขายังเชื่อว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสามารถยืดอายุการใช้งานได้ถึง 12,000 – 60,000 รอบชาร์จก่อนจะถึงขีดจำกัด อย่างไรก็ตาม กระบวนการฉีดลิเธียมสดนี้ต้องการแบตเตอรี่ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ซึ่งต้องมีพื้นที่เพิ่มเติมและมีความซับซ้อนมากขึ้นกว่าหน่วยที่ปิดผนึกแบบทั่วไป นอกจากนี้ยังไม่แน่ชัดว่าวิธีนี้จะใช้ได้ผลกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ใช้อยู่ในอุปกรณ์ของผู้บริโภค เช่น โทรศัพท์มือถือและแล็ปท็อปที่ใช้เคมีลิเธียมแบบอื่น ๆ ได้ดีหรือไม่ ถึงแม้ว่าจะมีข้อจำกัดในการใช้งาน แต่วิธีนี้ยังมีศักยภาพในการลดค่าใช้จ่ายและมีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในระบบเก็บพลังงานขนาดใหญ่ที่ต้องการการฟื้นฟูแบตเตอรี่ที่มีต้นทุนสูง https://www.techspot.com/news/106883-scientists-discover-way-revive-batteries-injecting-fresh-lithium.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Scientists discover way to revive batteries by injecting fresh lithium
    First, some context on why batteries degrade. Lithium-ion battery aging is primarily influenced by the growth of the Solid Electrolyte Interphase (SEI) layer on the anode, which...
    0 Comments 0 Shares 305 Views 0 Reviews
  • “เพชรแท้” ดิ่งเหวหนัก แพ้ ‘เพชรเทียม’ จีน
    .
    แต่ละอย่างที่จีนทำไปนั้น เปลี่ยนแปลงโลกไปเยอะมาก กระทบกับอุตสาหกรรมเก่าๆ ที่เคยยึดครองตลาดและเป็นเจ้าโลกอยู่ วันนี้ผมจะพูดเรื่องราคาเพชรแท้ทั่วโลก ตอนนี้ดิ่งเหวแล้ว มันมีเหตุผล
    .
    สภาวะเศรษฐกิจภาพรวมของจีนที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ตลาดเพชรมูลค่า 3 แสนล้านบาท หรือราวๆ 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซบเซา เป็นปัจจัยสำคัญเลยที่ทำให้เพชรธรรมชาติสูญเสียมูลค่าการเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุน เพราะแต่ก่อนคนจะซื้อเพชรเพื่อการลงทุน
    .
    สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ณ ปัจจุบัน กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าตลาดเพชรโลกอย่างรวดเร็ว เหตุผล 2 ข้อ (1) ชาวจีนลดการซื้อเพชรธรรมชาติลงอย่างรวดเร็ว และ (2) โรงงานต่างๆ ในจีนเร่งผลิตเพชรสังเคราะห์ที่ราคาถูกกว่ามากขึ้นมาทดแทน
    .
    ข้อมูลการวิจัยของธนาคารแห่งอเมริกา (Bank of America) ทำให้ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ราคาขายส่งเพชรลดลงถึง 40% ดัชนีราคาเพชรดิบ Zimnisky แสดงให้เห็นถึงการลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่จุดสูงสุดตลอดกาลในปี 2565 ความลังเลและลดความต้องการในการซื้อเพชรของผู้บริโภคชาวจีนมีส่วนอย่างยิ่ง ทำให้ราคาเพชรโลกลดลงอย่างมาก
    .
    แต่คนจีนกลับให้ความนิยมกับ "เพชรสังเคราะห์" หรือที่เขาเรียกว่า "เพชรเลี้ยง" ราคาถูกกว่าเพชรธรรมชาติถึง 90% เพชรธรรมชาติ 1 กะรัต อาจจะราคา 1 แสน แต่เพชรสังเคราะห์แค่ 1 หมื่น
    .
    จีนกำลังบุกเบิกการผลิตเพชรสังเคราะห์ หรือ Lab Grown Diamond ถึงขั้นให้การสนับสนุนในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งราคาขายเพียง 10% ของราคาเพชรธรรมชาติ โดยครึ่งหนึ่งของเพชรสังเคราะห์ที่วางขายกันทั่วโลก เป็นเพชรที่ผลิตในมณฑลเหอหนาน ภาคกลางของจีน
    .
    ตอนนี้จีนแทบจะผูกขาดการผลิตเพชรสังเคราะห์ 95% ทั่วโลกแล้ว ได้รับความนิยมในฐานะของการเป็นเครื่องประดับตามแฟชั่น และก็สนุกสนานกับผู้บริโภค ใครก็ตามที่เคยเล่นเพชรธรรมชาติ ร่ำรวย พอมาเล่นเพชรสังเคราะห์แล้วใส่ ก็ไม่มีใครรู้ว่าเป็นของปลอม และลูกค้าไม่แคร์เรื่องนี้เท่าไร เพราะจริงๆ แล้วเพชรสังเคราะห์นั้นคุ้มค่าและคุ้มราคา
    “เพชรแท้” ดิ่งเหวหนัก แพ้ ‘เพชรเทียม’ จีน . แต่ละอย่างที่จีนทำไปนั้น เปลี่ยนแปลงโลกไปเยอะมาก กระทบกับอุตสาหกรรมเก่าๆ ที่เคยยึดครองตลาดและเป็นเจ้าโลกอยู่ วันนี้ผมจะพูดเรื่องราคาเพชรแท้ทั่วโลก ตอนนี้ดิ่งเหวแล้ว มันมีเหตุผล . สภาวะเศรษฐกิจภาพรวมของจีนที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ตลาดเพชรมูลค่า 3 แสนล้านบาท หรือราวๆ 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซบเซา เป็นปัจจัยสำคัญเลยที่ทำให้เพชรธรรมชาติสูญเสียมูลค่าการเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุน เพราะแต่ก่อนคนจะซื้อเพชรเพื่อการลงทุน . สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ณ ปัจจุบัน กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าตลาดเพชรโลกอย่างรวดเร็ว เหตุผล 2 ข้อ (1) ชาวจีนลดการซื้อเพชรธรรมชาติลงอย่างรวดเร็ว และ (2) โรงงานต่างๆ ในจีนเร่งผลิตเพชรสังเคราะห์ที่ราคาถูกกว่ามากขึ้นมาทดแทน . ข้อมูลการวิจัยของธนาคารแห่งอเมริกา (Bank of America) ทำให้ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ราคาขายส่งเพชรลดลงถึง 40% ดัชนีราคาเพชรดิบ Zimnisky แสดงให้เห็นถึงการลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่จุดสูงสุดตลอดกาลในปี 2565 ความลังเลและลดความต้องการในการซื้อเพชรของผู้บริโภคชาวจีนมีส่วนอย่างยิ่ง ทำให้ราคาเพชรโลกลดลงอย่างมาก . แต่คนจีนกลับให้ความนิยมกับ "เพชรสังเคราะห์" หรือที่เขาเรียกว่า "เพชรเลี้ยง" ราคาถูกกว่าเพชรธรรมชาติถึง 90% เพชรธรรมชาติ 1 กะรัต อาจจะราคา 1 แสน แต่เพชรสังเคราะห์แค่ 1 หมื่น . จีนกำลังบุกเบิกการผลิตเพชรสังเคราะห์ หรือ Lab Grown Diamond ถึงขั้นให้การสนับสนุนในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งราคาขายเพียง 10% ของราคาเพชรธรรมชาติ โดยครึ่งหนึ่งของเพชรสังเคราะห์ที่วางขายกันทั่วโลก เป็นเพชรที่ผลิตในมณฑลเหอหนาน ภาคกลางของจีน . ตอนนี้จีนแทบจะผูกขาดการผลิตเพชรสังเคราะห์ 95% ทั่วโลกแล้ว ได้รับความนิยมในฐานะของการเป็นเครื่องประดับตามแฟชั่น และก็สนุกสนานกับผู้บริโภค ใครก็ตามที่เคยเล่นเพชรธรรมชาติ ร่ำรวย พอมาเล่นเพชรสังเคราะห์แล้วใส่ ก็ไม่มีใครรู้ว่าเป็นของปลอม และลูกค้าไม่แคร์เรื่องนี้เท่าไร เพราะจริงๆ แล้วเพชรสังเคราะห์นั้นคุ้มค่าและคุ้มราคา
    Like
    3
    1 Comments 0 Shares 521 Views 0 Reviews