• ข้อมูลคืบหน้าล่าสุดเหตุเครื่องบิน แอร์บัส A321-200 แอร์ปูซาน เที่ยวบิน BX391 เกิดเพลิงไหม้ขณะกำลังจะออกเดินทางสู่ฮ่องกง

    สาเหตุอย่างเป็นทางการยังอยู่ในระหว่างการสอบสวน แต่ข้อมูลจากแหล่งข่าวแจ้งว่าไฟไหม้มาจากที่เก็บสัมภาระด้านท้ายของเครื่องบิน อาจมาจากแบตเตอรี่สำรอง หรือ บุหรีไฟฟ้า ในกระเป๋าผู้โดยสาร แต่ยังเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น

    ผู้โดยสาร 169 คน และลูกเรือ 7 คน ได้รับบาดเจ็บ 10 ราย เจ้าหน้าที่จากหน่วยดับเพลิงใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการดับไฟ

    ข้อมูลคืบหน้าล่าสุดเหตุเครื่องบิน แอร์บัส A321-200 แอร์ปูซาน เที่ยวบิน BX391 เกิดเพลิงไหม้ขณะกำลังจะออกเดินทางสู่ฮ่องกง สาเหตุอย่างเป็นทางการยังอยู่ในระหว่างการสอบสวน แต่ข้อมูลจากแหล่งข่าวแจ้งว่าไฟไหม้มาจากที่เก็บสัมภาระด้านท้ายของเครื่องบิน อาจมาจากแบตเตอรี่สำรอง หรือ บุหรีไฟฟ้า ในกระเป๋าผู้โดยสาร แต่ยังเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น ผู้โดยสาร 169 คน และลูกเรือ 7 คน ได้รับบาดเจ็บ 10 ราย เจ้าหน้าที่จากหน่วยดับเพลิงใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการดับไฟ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม เผยหลังประชุม ครม. ของบกลางแค่ 185 ล้าน จากที่จะขอ 329 ล้าน แจงชดเชยเฉพาะบีทีเอส-ขสมก. ส่วน รฟม. มีรายได้เป็นของตัวเองแล้วก็ให้รับภาระไป
    .
    วันนี้ (28 ม.ค.) จากกรณีที่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่าจะขออนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อนำเงินไปจ่ายชดเชยให้กับผู้ประกอบการรถไฟฟ้า และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จากมาตรการให้ประชาชนขึ้นรถไฟฟ้า และรถเมล์ฟรี ระหว่างวันที่ 25-31 ม.ค. จากเดิมที่ระบุไว้ 140 ล้านบาท แต่ต้องเพิ่มเป็น 329.82 ล้านบาท เพราะการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ขอกันงบประมาณไว้เพื่อใช้ในโครงการอื่นๆ เป็นจำนวน 144 ล้านบาท เช่นเดียวกันกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่ขอเพิ่ม 51 ล้านบาท และเมื่อนำไปรวมกับเงินที่ต้องจ่ายชดเชยให้กับบริษัทบีทีเอส (BTS) จำนวน 133 ล้านบาท ทำให้กระทรวงคมนาคมต้องยื่นของบกลางเพิ่มขึ้น ตามที่ให้สัมภาษณ์เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาแล้วนั้น
    .
    ล่าสุด นายสุริยะ ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุม ครม. ว่า รัฐบาลจะจ่ายเงินชดเชยให้ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 133.84 ล้านบาท และจ่ายชดเชยให้กับ ขสมก. จำนวน 51.7 ล้านบาท รวมเป็นจะเสนอจำนวนงบกลางทั้งสิ้น 185.54 ล้านบาท ส่วนเงินชดเชยที่จะจ่ายให้กับ รฟม. เดิมทีครั้งแรกกระทรวงฯ คาดว่าจะใช้งบกลางมาจ่ายชดเชย จำนวน 144 ล้านบาท แต่ถูกมองว่า รฟม. มีรายได้เป็นของตัวเอง ก็ให้ใช้งบประมาณของ รฟม. เอง
    .
    สาเหตุที่ต้องตัดงบประมาณตรงนี้ออก เพราะรัฐบาลต้องการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ หากหน่วยงานไหนที่มีรายได้เป็นของตัวเอง และมีเพียงพอ ก็ให้ใช้รายได้ของตัวเองไปก่อน ฉะนั้นเรื่องนี้ก็ให้ รฟม. รับภาระไป ส่วนจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5 แสนคน กระทรวงคมนาคมจะไปต่อรองกับผู้ประกอบการว่าจะไม่ชดเชยให้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ตนได้พูดคุยกับผู้ประกอบการแล้ว และผู้ประกอบการก็รับในหลักการดังกล่าว
    .
    เมื่อถามว่า บีทีเอสต้องการวางบิลที่ 200 ล้านบาท จะไม่ให้แล้วใช่หรือไม่ โดยจะจ่ายให้แค่ 133 ล้านบาท นายสุริยะกล่าวว่า คิดว่าบีทีเอสคงจะคิดตามข้อเท็จจริงที่ว่ามีผู้ใช้บริการเท่าใดก็จะเก็บเงินเท่านั้น แต่รัฐบาลจะจ่ายชดเชยตามตัวเลขที่เปิดให้บริการฟรี 7 วัน ซึ่งในหลักการเชื่อว่าไม่มีปัญหา
    .
    รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ในการประชุม ครม. วันนี้ ยังไม่มีการพิจารณางบกลางเพื่อชดเชยผู้ประกอบการรถไฟฟ้าและ ขสมก. แต่อย่างใด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..
    .........
    Sondhi X
    รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม เผยหลังประชุม ครม. ของบกลางแค่ 185 ล้าน จากที่จะขอ 329 ล้าน แจงชดเชยเฉพาะบีทีเอส-ขสมก. ส่วน รฟม. มีรายได้เป็นของตัวเองแล้วก็ให้รับภาระไป . วันนี้ (28 ม.ค.) จากกรณีที่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่าจะขออนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อนำเงินไปจ่ายชดเชยให้กับผู้ประกอบการรถไฟฟ้า และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จากมาตรการให้ประชาชนขึ้นรถไฟฟ้า และรถเมล์ฟรี ระหว่างวันที่ 25-31 ม.ค. จากเดิมที่ระบุไว้ 140 ล้านบาท แต่ต้องเพิ่มเป็น 329.82 ล้านบาท เพราะการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ขอกันงบประมาณไว้เพื่อใช้ในโครงการอื่นๆ เป็นจำนวน 144 ล้านบาท เช่นเดียวกันกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่ขอเพิ่ม 51 ล้านบาท และเมื่อนำไปรวมกับเงินที่ต้องจ่ายชดเชยให้กับบริษัทบีทีเอส (BTS) จำนวน 133 ล้านบาท ทำให้กระทรวงคมนาคมต้องยื่นของบกลางเพิ่มขึ้น ตามที่ให้สัมภาษณ์เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาแล้วนั้น . ล่าสุด นายสุริยะ ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุม ครม. ว่า รัฐบาลจะจ่ายเงินชดเชยให้ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 133.84 ล้านบาท และจ่ายชดเชยให้กับ ขสมก. จำนวน 51.7 ล้านบาท รวมเป็นจะเสนอจำนวนงบกลางทั้งสิ้น 185.54 ล้านบาท ส่วนเงินชดเชยที่จะจ่ายให้กับ รฟม. เดิมทีครั้งแรกกระทรวงฯ คาดว่าจะใช้งบกลางมาจ่ายชดเชย จำนวน 144 ล้านบาท แต่ถูกมองว่า รฟม. มีรายได้เป็นของตัวเอง ก็ให้ใช้งบประมาณของ รฟม. เอง . สาเหตุที่ต้องตัดงบประมาณตรงนี้ออก เพราะรัฐบาลต้องการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ หากหน่วยงานไหนที่มีรายได้เป็นของตัวเอง และมีเพียงพอ ก็ให้ใช้รายได้ของตัวเองไปก่อน ฉะนั้นเรื่องนี้ก็ให้ รฟม. รับภาระไป ส่วนจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5 แสนคน กระทรวงคมนาคมจะไปต่อรองกับผู้ประกอบการว่าจะไม่ชดเชยให้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ตนได้พูดคุยกับผู้ประกอบการแล้ว และผู้ประกอบการก็รับในหลักการดังกล่าว . เมื่อถามว่า บีทีเอสต้องการวางบิลที่ 200 ล้านบาท จะไม่ให้แล้วใช่หรือไม่ โดยจะจ่ายให้แค่ 133 ล้านบาท นายสุริยะกล่าวว่า คิดว่าบีทีเอสคงจะคิดตามข้อเท็จจริงที่ว่ามีผู้ใช้บริการเท่าใดก็จะเก็บเงินเท่านั้น แต่รัฐบาลจะจ่ายชดเชยตามตัวเลขที่เปิดให้บริการฟรี 7 วัน ซึ่งในหลักการเชื่อว่าไม่มีปัญหา . รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ในการประชุม ครม. วันนี้ ยังไม่มีการพิจารณางบกลางเพื่อชดเชยผู้ประกอบการรถไฟฟ้าและ ขสมก. แต่อย่างใด . อ่านเพิ่มเติม.. ......... Sondhi X
    Like
    Angry
    Sad
    16
    5 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1082 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในการสัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Il Foglio ของอิตาลี เซเลนสกีได้พูดถึงเรื่องการแลกเปลี่ยนอาวุธนิวเคลียร์ของยูเครนในยุคสหภาพโซเวียต โดยวิจารณ์บันทึกข้อตกลงบูดาเปสต์ในสมัยนั่นว่าเป็นเรื่องโง่เง่า ไร้สาระสิ้นดี:

    “ถ้าผมจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนอะไรสักอย่างกับอาวุธนิวเคลียร์ที่มีอยู่ มันจะต้องเป็นอะไรสักอย่างที่ทรงพลังมาก เป็นอะไรสักอย่างที่ป้องกันจาการโจมตีได้จริงๆ”

    “ยูเครนไม่จำเป็นต้องเสียสละอาวุธนิวเคลียร์ มันโง่เง่า ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง”

    - แต่สิ่งที่เซเลนสกีไม่ยอมรับรู้ และไม่ยอมพูดถึงคือ อาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดนั่นเป็นของสหภาพโซเวียต ไม่ใช่ของยูเครน!! มันสมควรแล้วที่ต้องกลับไปอยู่ในความครอบครองของรัสเซียในฐานะผู้สืบทอดสหภาพโซเวียต

    - อาวุธนิวเคลียร์ของสหภาพโซเวียต เพียงแค่ตั้งอยู่ในพื้นที่ยูเครน เนื่องจากในยุคนั้น ตะวันตกเป็นภัยคุกคามต่อสหภาพโซเวียต พวกมันจึงถูกตั้งรับอยู่ที่นั่นเพื่อต่อต้านตะวันตก

    - นอกจากนี้ เซียยังรับภาระหนี้ต่างประเทศทั้งหมดของยูเครนจากการแยกตัวออกมา ดังนั้น ยูเครนจึงสามารถเริ่มต้นเป็นประเทศได้ในปี 1991 โดยไม่มีหนี้สินเลย!

    ในการสัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Il Foglio ของอิตาลี เซเลนสกีได้พูดถึงเรื่องการแลกเปลี่ยนอาวุธนิวเคลียร์ของยูเครนในยุคสหภาพโซเวียต โดยวิจารณ์บันทึกข้อตกลงบูดาเปสต์ในสมัยนั่นว่าเป็นเรื่องโง่เง่า ไร้สาระสิ้นดี: “ถ้าผมจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนอะไรสักอย่างกับอาวุธนิวเคลียร์ที่มีอยู่ มันจะต้องเป็นอะไรสักอย่างที่ทรงพลังมาก เป็นอะไรสักอย่างที่ป้องกันจาการโจมตีได้จริงๆ” “ยูเครนไม่จำเป็นต้องเสียสละอาวุธนิวเคลียร์ มันโง่เง่า ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง” - แต่สิ่งที่เซเลนสกีไม่ยอมรับรู้ และไม่ยอมพูดถึงคือ อาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดนั่นเป็นของสหภาพโซเวียต ไม่ใช่ของยูเครน!! มันสมควรแล้วที่ต้องกลับไปอยู่ในความครอบครองของรัสเซียในฐานะผู้สืบทอดสหภาพโซเวียต - อาวุธนิวเคลียร์ของสหภาพโซเวียต เพียงแค่ตั้งอยู่ในพื้นที่ยูเครน เนื่องจากในยุคนั้น ตะวันตกเป็นภัยคุกคามต่อสหภาพโซเวียต พวกมันจึงถูกตั้งรับอยู่ที่นั่นเพื่อต่อต้านตะวันตก - นอกจากนี้ เซียยังรับภาระหนี้ต่างประเทศทั้งหมดของยูเครนจากการแยกตัวออกมา ดังนั้น ยูเครนจึงสามารถเริ่มต้นเป็นประเทศได้ในปี 1991 โดยไม่มีหนี้สินเลย!
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 19 0 รีวิว
  • Intel มีความกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในไอร์แลนด์ ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นๆ ที่มีโรงงานผลิตของ Intel ตั้งอยู่ ค่าไฟฟ้าในไอร์แลนด์อยู่ที่ 15 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งเกือบสองเท่าของค่าไฟฟ้าในสถานที่ผลิตอื่นๆ ของ Intel

    โรงงาน Fab 34 ของ Intel ในไอร์แลนด์เป็นโรงงานแรกในยุโรปที่ใช้เทคโนโลยีลิโทกราฟีอัลตราไวโอเลตขั้นสูง (EUV) ในการผลิตชิปในปริมาณมาก โรงงานนี้สามารถผลิตไมโครอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้เทคโนโลยีการผลิต Intel 4 และ Intel 3

    ค่าไฟฟ้าในยุโรปสูงกว่าทวีปอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกาและเอเชีย ตัวอย่างเช่น ค่าไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 8.57 เซนต์ในเท็กซัส และ 12.31 เซนต์ในแอริโซนา ในขณะที่ค่าไฟฟ้าในไอร์แลนด์อยู่ที่ 15 เซนต์ (อัตรากลางคืน) ถึง 26 เซนต์ (อัตรากลางวัน) สำหรับลูกค้าพาณิชย์

    Intel กำลังเรียกร้องให้รัฐบาลไอร์แลนด์สนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานหมุนเวียนเพื่อช่วยลดภาระทางการเงินของผู้ผลิต ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานคิดเป็นประมาณ 5% ของต้นทุนการผลิตของ Intel

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-concerned-about-irish-energy-costs-says-report-wants-gov-to-subsidize-renewables
    Intel มีความกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในไอร์แลนด์ ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นๆ ที่มีโรงงานผลิตของ Intel ตั้งอยู่ ค่าไฟฟ้าในไอร์แลนด์อยู่ที่ 15 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งเกือบสองเท่าของค่าไฟฟ้าในสถานที่ผลิตอื่นๆ ของ Intel โรงงาน Fab 34 ของ Intel ในไอร์แลนด์เป็นโรงงานแรกในยุโรปที่ใช้เทคโนโลยีลิโทกราฟีอัลตราไวโอเลตขั้นสูง (EUV) ในการผลิตชิปในปริมาณมาก โรงงานนี้สามารถผลิตไมโครอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้เทคโนโลยีการผลิต Intel 4 และ Intel 3 ค่าไฟฟ้าในยุโรปสูงกว่าทวีปอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกาและเอเชีย ตัวอย่างเช่น ค่าไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 8.57 เซนต์ในเท็กซัส และ 12.31 เซนต์ในแอริโซนา ในขณะที่ค่าไฟฟ้าในไอร์แลนด์อยู่ที่ 15 เซนต์ (อัตรากลางคืน) ถึง 26 เซนต์ (อัตรากลางวัน) สำหรับลูกค้าพาณิชย์ Intel กำลังเรียกร้องให้รัฐบาลไอร์แลนด์สนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานหมุนเวียนเพื่อช่วยลดภาระทางการเงินของผู้ผลิต ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานคิดเป็นประมาณ 5% ของต้นทุนการผลิตของ Intel https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-concerned-about-irish-energy-costs-says-report-wants-gov-to-subsidize-renewables
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Intel concerned about Irish energy costs says report — wants gov to subsidize renewables
    Ireland's 15 cents per kilowatt hour is almost double the cost in other Intel fab locations
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์กำลังพิจารณากลับเข้าร่วม WHO อีกครั้ง! หลังจากเพิ่งลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อถอนสหรัฐออกจากการเป็นสมาชิกได้เพียงไม่กี่วัน

    “บางทีเราอาจพิจารณาอีกครั้ง ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่พวกเขาควรต้องจัดการทำความสะอาดองค์กรนี้สักหน่อย” ประธานาธิบดีกล่าวในการชุมนุมที่ Circa Resort & Casino ในลาสเวกัส

    ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์มักจะวิจารณ์องค์การอนามัยโลกมายาวนานในสิ่งที่เขาเรียกว่า “ความล้มเหลวในการปฏิรูปที่จำเป็นเร่งด่วน” และได้กล่าวถึงการสนับสนุนทางการเงินของสหรัฐว่า “เป็นภาระหนัก”
    ทรัมป์กำลังพิจารณากลับเข้าร่วม WHO อีกครั้ง! หลังจากเพิ่งลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อถอนสหรัฐออกจากการเป็นสมาชิกได้เพียงไม่กี่วัน “บางทีเราอาจพิจารณาอีกครั้ง ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่พวกเขาควรต้องจัดการทำความสะอาดองค์กรนี้สักหน่อย” ประธานาธิบดีกล่าวในการชุมนุมที่ Circa Resort & Casino ในลาสเวกัส ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์มักจะวิจารณ์องค์การอนามัยโลกมายาวนานในสิ่งที่เขาเรียกว่า “ความล้มเหลวในการปฏิรูปที่จำเป็นเร่งด่วน” และได้กล่าวถึงการสนับสนุนทางการเงินของสหรัฐว่า “เป็นภาระหนัก”
    Like
    4
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เริ่มล้างแค้น!"
    ทรัมป์ประกาศยกเลิกเงินสนับสนุนด้านการรักษาความปลอดภัยให้กับดร.แอนโธนี ฟาวซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อของสหรัฐอเมริกา และหัวหน้าทีมที่ปรึกษาด้านการสาธารณสุขของประธานาธิบดีโจ ไบเดน

    ทรัมป์อ้างเหตุผลว่า "อดีต" เจ้าหน้าที่รัฐบาล ไม่ควรได้รับการคุ้มครองอย่างไม่มีกำหนดระยะเวลาจากเงินภาษีของประชาชน

    “เมื่อคุณเลิกทำงานให้กับรัฐบาล คุณทราบดีว่าในบางครั้งรายละเอียดด้านความปลอดภัยของคุณจะต้องถูกยกเลิกไปในที่สุด คุณเองก็รู้ดีว่า คุณไม่สามารถได้รับการคุ้มครองได้ตลอดไป” ทรัมป์กล่าวกับนักข่าวในรัฐนอร์ทแคโรไลนา

    ที่ผ่านมา สถาบันสุขภาพแห่งชาติ คือหน่วยงานที่รับภาระค่าใช้จ่ายด้านการปกป้องฟาวซีสูงถึง 15 ล้านดอลลาร์ต่อปี จากภัยคุกคามที่เขาต้องเผชิญอย่างต่อเนื่องจากบทบาทที่ต้องพบปะกับสาธารณชนในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19
    "เริ่มล้างแค้น!" ทรัมป์ประกาศยกเลิกเงินสนับสนุนด้านการรักษาความปลอดภัยให้กับดร.แอนโธนี ฟาวซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อของสหรัฐอเมริกา และหัวหน้าทีมที่ปรึกษาด้านการสาธารณสุขของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ทรัมป์อ้างเหตุผลว่า "อดีต" เจ้าหน้าที่รัฐบาล ไม่ควรได้รับการคุ้มครองอย่างไม่มีกำหนดระยะเวลาจากเงินภาษีของประชาชน “เมื่อคุณเลิกทำงานให้กับรัฐบาล คุณทราบดีว่าในบางครั้งรายละเอียดด้านความปลอดภัยของคุณจะต้องถูกยกเลิกไปในที่สุด คุณเองก็รู้ดีว่า คุณไม่สามารถได้รับการคุ้มครองได้ตลอดไป” ทรัมป์กล่าวกับนักข่าวในรัฐนอร์ทแคโรไลนา ที่ผ่านมา สถาบันสุขภาพแห่งชาติ คือหน่วยงานที่รับภาระค่าใช้จ่ายด้านการปกป้องฟาวซีสูงถึง 15 ล้านดอลลาร์ต่อปี จากภัยคุกคามที่เขาต้องเผชิญอย่างต่อเนื่องจากบทบาทที่ต้องพบปะกับสาธารณชนในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 267 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘กยศ.’เผยปรับปรุงยอดหนี้ ‘ลูกหนี้ กยศ.’ 3.8 ล้านบัญชี คงเหลือ ‘ลูกหนี้’ ที่ยังมีหนี้ 3.5 ล้านราย มีผู้ได้รับเงินคืน 2.8 แสนบัญชี พร้อมส่ง SMS แจ้งลูกหนี้ตรวจสอบสถานะบัญชี

    ........................................

    เมื่อวันที่ 23 ม.ค. น.ส.นันทวัน วงศ์ขจรกิตติ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้เปิดเผยว่า จากการที่ กยศ. ได้ดำเนินการคำนวณยอดหนี้ใหม่ (Recalculation) ของผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืนตามประกาศคณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เรื่อง การปรับปรุงยอดหนี้ของผู้กู้ยืมเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา โดยนำรายการชำระหนี้ของผู้กู้ยืมแต่ละรายที่ได้ชำระเงินคืนนับแต่วันที่ครบกำหนดชำระหนี้ครั้งแรกมาคำนวณหนี้ใหม่

    โดยเปลี่ยนลำดับการตัดชำระหนี้เป็นตัดชำระเงินต้นเฉพาะส่วนที่ครบกำหนด ดอกเบี้ย และเบี้ยปรับตามลำดับ รวมทั้งคิดดอกเบี้ยในอัตรา 1% ต่อปี และลดเบี้ยปรับเหลือเพียงอัตรา 0.5% ต่อปี จึงเป็นผลให้ผู้กู้ยืมบางรายไม่มียอดหนี้คงเหลือ แต่หากยังมียอดหนี้คงเหลือจะต้องชำระหนี้ต่อไป และหากมีเงินส่วนเกินจากยอดหนี้ที่คำนวณใหม่ ผู้กู้ยืมมีสิทธิขอรับเงินคืนได้

    น.ส.นันทวัน ระบุว่า จากการที่ กยศ. ได้ดำเนินการคำนวณยอดหนี้ใหม่ (Recalculation) ดังกล่าวให้กับผู้กู้ยืมประมาณ 3.8 ล้านบัญชี แล้วพบว่า มีกลุ่มผู้กู้ยืมที่ยังมียอดหนี้คงเหลือประมาณ 3.5 ล้านบัญชี กลุ่มผู้กู้ยืมจะได้รับเงินคืนประมาณ 2.8 แสนบัญชี โดย กยศ. ได้ดำเนินการส่ง SMS แจ้งให้ผู้กู้ยืมทุกรายได้รับทราบมีข้อความว่า “ตรวจสอบสถานะบัญชีผู้กู้ที่เว็บไซต์ กยศ/ ขออภัยหากไม่ใช่ผู้กู้”

    ทั้งนี้ เมื่อผู้กู้ยืมเข้าระบบตรวจสอบสถานะบัญชีผู้กู้ยืมที่เว็บไซต์ www.studentloan.or.th แล้ว หากมีสิทธิได้รับเงินคืนจะสามารถลงทะเบียนขอรับเงินคืนได้ โดย กยศ. จะคืนเงินส่วนเกินผ่านระบบโอนเงินแบบพร้อมเพย์ที่ผูกบัญชีธนาคารด้วยเลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้กู้ยืมเท่านั้น ซึ่งมีความปลอดภัยและตรวจสอบได้แน่นอน

    “สำหรับผู้กู้ยืมที่ยังมียอดหนี้คงเหลือ กยศ. ขอเชิญชวนให้มาปรับโครงสร้างหนี้เพื่อขยายเวลาผ่อนชำระ ซึ่งจะทำให้การผ่อนชำระหนี้ต่อเดือนน้อยลง และเป็นการปลดภาระผู้ค้ำประกัน กยศ. จะใช้ยอดหนี้ที่ได้คำนวณใหม่นี้เพื่อทำสัญญาให้แก่ผู้กู้ยืมในการทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ และเมื่อระบบ กยศ.Connect ปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์แล้วยอดหนี้ทั้งหมดจะถูกปรับโดยอัตโนมัติและจะแสดงในแอปพลิเคชัน กยศ.Connect ต่อไป กยศ. ขอยืนยันว่าทุกคนจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายอย่างแน่นอน” น.ส.นันทวัน กล่าว

    ที่มา : สำนักข่าวอิศรา
    https://www.isranews.org/article/isranews-short-news/135129-Student-Loan-Fund-Calculate-debt-balance-news-new.html
    ‘กยศ.’เผยปรับปรุงยอดหนี้ ‘ลูกหนี้ กยศ.’ 3.8 ล้านบัญชี คงเหลือ ‘ลูกหนี้’ ที่ยังมีหนี้ 3.5 ล้านราย มีผู้ได้รับเงินคืน 2.8 แสนบัญชี พร้อมส่ง SMS แจ้งลูกหนี้ตรวจสอบสถานะบัญชี ........................................ เมื่อวันที่ 23 ม.ค. น.ส.นันทวัน วงศ์ขจรกิตติ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้เปิดเผยว่า จากการที่ กยศ. ได้ดำเนินการคำนวณยอดหนี้ใหม่ (Recalculation) ของผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืนตามประกาศคณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เรื่อง การปรับปรุงยอดหนี้ของผู้กู้ยืมเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา โดยนำรายการชำระหนี้ของผู้กู้ยืมแต่ละรายที่ได้ชำระเงินคืนนับแต่วันที่ครบกำหนดชำระหนี้ครั้งแรกมาคำนวณหนี้ใหม่ โดยเปลี่ยนลำดับการตัดชำระหนี้เป็นตัดชำระเงินต้นเฉพาะส่วนที่ครบกำหนด ดอกเบี้ย และเบี้ยปรับตามลำดับ รวมทั้งคิดดอกเบี้ยในอัตรา 1% ต่อปี และลดเบี้ยปรับเหลือเพียงอัตรา 0.5% ต่อปี จึงเป็นผลให้ผู้กู้ยืมบางรายไม่มียอดหนี้คงเหลือ แต่หากยังมียอดหนี้คงเหลือจะต้องชำระหนี้ต่อไป และหากมีเงินส่วนเกินจากยอดหนี้ที่คำนวณใหม่ ผู้กู้ยืมมีสิทธิขอรับเงินคืนได้ น.ส.นันทวัน ระบุว่า จากการที่ กยศ. ได้ดำเนินการคำนวณยอดหนี้ใหม่ (Recalculation) ดังกล่าวให้กับผู้กู้ยืมประมาณ 3.8 ล้านบัญชี แล้วพบว่า มีกลุ่มผู้กู้ยืมที่ยังมียอดหนี้คงเหลือประมาณ 3.5 ล้านบัญชี กลุ่มผู้กู้ยืมจะได้รับเงินคืนประมาณ 2.8 แสนบัญชี โดย กยศ. ได้ดำเนินการส่ง SMS แจ้งให้ผู้กู้ยืมทุกรายได้รับทราบมีข้อความว่า “ตรวจสอบสถานะบัญชีผู้กู้ที่เว็บไซต์ กยศ/ ขออภัยหากไม่ใช่ผู้กู้” ทั้งนี้ เมื่อผู้กู้ยืมเข้าระบบตรวจสอบสถานะบัญชีผู้กู้ยืมที่เว็บไซต์ www.studentloan.or.th แล้ว หากมีสิทธิได้รับเงินคืนจะสามารถลงทะเบียนขอรับเงินคืนได้ โดย กยศ. จะคืนเงินส่วนเกินผ่านระบบโอนเงินแบบพร้อมเพย์ที่ผูกบัญชีธนาคารด้วยเลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้กู้ยืมเท่านั้น ซึ่งมีความปลอดภัยและตรวจสอบได้แน่นอน “สำหรับผู้กู้ยืมที่ยังมียอดหนี้คงเหลือ กยศ. ขอเชิญชวนให้มาปรับโครงสร้างหนี้เพื่อขยายเวลาผ่อนชำระ ซึ่งจะทำให้การผ่อนชำระหนี้ต่อเดือนน้อยลง และเป็นการปลดภาระผู้ค้ำประกัน กยศ. จะใช้ยอดหนี้ที่ได้คำนวณใหม่นี้เพื่อทำสัญญาให้แก่ผู้กู้ยืมในการทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ และเมื่อระบบ กยศ.Connect ปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์แล้วยอดหนี้ทั้งหมดจะถูกปรับโดยอัตโนมัติและจะแสดงในแอปพลิเคชัน กยศ.Connect ต่อไป กยศ. ขอยืนยันว่าทุกคนจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายอย่างแน่นอน” น.ส.นันทวัน กล่าว ที่มา : สำนักข่าวอิศรา https://www.isranews.org/article/isranews-short-news/135129-Student-Loan-Fund-Calculate-debt-balance-news-new.html
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Element Six (E6) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ De Beers Group ได้เปิดตัววัสดุคอมโพสิตที่ทำจากทองแดงและเพชร เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายความร้อนของฮีตซิงค์ วัสดุใหม่นี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในงานที่ต้องการการจัดการความร้อนสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง (HPC), และอุปกรณ์ GaN RF ที่ผลิตความร้อนมาก

    เพชรเป็นฉนวนไฟฟ้า แต่มีความสามารถในการนำความร้อนสูงกว่าทองแดงมาก ทำให้เหมาะสำหรับการใช้เป็นฮีตซิงค์ที่สามารถถ่ายเทพลังงานความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าวัสดุแบบดั้งเดิม เนื่องจากเพชรมีราคาสูง การวิจัยที่ใช้วัสดุนี้จึงมักจำกัดอยู่ในงานอุตสาหกรรมและงานที่มีมูลค่าสูง

    E6 มีความสามารถในการหาเพชรที่ต้องการสำหรับการสร้างวัสดุคอมโพสิตนี้ เนื่องจากเป็นบริษัทในเครือของ De Beers ที่เคยมีการผูกขาดการจัดหาทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีบริษัทสตาร์ทอัพชื่อ Akash Systems ที่กำลังพิจารณาใช้วัสดุเพชรในการระบายความร้อนของ GPU แต่ยังต้องการเงินทุนจำนวน 18.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐจาก CHIPS and Science Act เพื่อดำเนินการต่อ

    หากวัสดุคอมโพสิตทองแดง-เพชรนี้เข้าสู่ตลาด มันอาจถูกนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ที่ใช้พลังงานมากในการระบายความร้อนของ GPU และโปรเซสเซอร์ วัสดุนี้อาจช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลเหล่านี้ ซึ่งกำลังเป็นภาระต่อโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศ นอกจากนี้ หากการผลิตในปริมาณมากทำให้ราคาลดลง วัสดุนี้อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กแต่มีประสิทธิภาพสูง

    น่าสนใจที่เห็นว่าเทคโนโลยีการระบายความร้อนกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และวัสดุคอมโพสิตทองแดง-เพชรนี้อาจเป็นก้าวสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายความร้อนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/heatsinks/company-develops-copper-diamond-composite-for-better-heatsink-cooling-lower-cpu-and-gpu-temps
    บริษัท Element Six (E6) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ De Beers Group ได้เปิดตัววัสดุคอมโพสิตที่ทำจากทองแดงและเพชร เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายความร้อนของฮีตซิงค์ วัสดุใหม่นี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในงานที่ต้องการการจัดการความร้อนสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง (HPC), และอุปกรณ์ GaN RF ที่ผลิตความร้อนมาก เพชรเป็นฉนวนไฟฟ้า แต่มีความสามารถในการนำความร้อนสูงกว่าทองแดงมาก ทำให้เหมาะสำหรับการใช้เป็นฮีตซิงค์ที่สามารถถ่ายเทพลังงานความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าวัสดุแบบดั้งเดิม เนื่องจากเพชรมีราคาสูง การวิจัยที่ใช้วัสดุนี้จึงมักจำกัดอยู่ในงานอุตสาหกรรมและงานที่มีมูลค่าสูง E6 มีความสามารถในการหาเพชรที่ต้องการสำหรับการสร้างวัสดุคอมโพสิตนี้ เนื่องจากเป็นบริษัทในเครือของ De Beers ที่เคยมีการผูกขาดการจัดหาทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีบริษัทสตาร์ทอัพชื่อ Akash Systems ที่กำลังพิจารณาใช้วัสดุเพชรในการระบายความร้อนของ GPU แต่ยังต้องการเงินทุนจำนวน 18.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐจาก CHIPS and Science Act เพื่อดำเนินการต่อ หากวัสดุคอมโพสิตทองแดง-เพชรนี้เข้าสู่ตลาด มันอาจถูกนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ที่ใช้พลังงานมากในการระบายความร้อนของ GPU และโปรเซสเซอร์ วัสดุนี้อาจช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลเหล่านี้ ซึ่งกำลังเป็นภาระต่อโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศ นอกจากนี้ หากการผลิตในปริมาณมากทำให้ราคาลดลง วัสดุนี้อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กแต่มีประสิทธิภาพสูง น่าสนใจที่เห็นว่าเทคโนโลยีการระบายความร้อนกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และวัสดุคอมโพสิตทองแดง-เพชรนี้อาจเป็นก้าวสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายความร้อนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต https://www.tomshardware.com/pc-components/heatsinks/company-develops-copper-diamond-composite-for-better-heatsink-cooling-lower-cpu-and-gpu-temps
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • อาหารพกพายามเดินทางไกล

    สัปดาห์ที่แล้วคุยเรื่องเสบียงอาหารของกองทัพ ก็เลยมีความสงสัยว่า แล้วประชาชนธรรมดาเวลาเดินทางไกลกินอะไรกัน? วันนี้เรามาคุยกันสั้นๆ เรื่องนี้ค่ะ

    ในสมัยนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่มีรถม้าและพักแรมกินอาหารตามโรงเตี๊ยมได้ ระยะทางก็ยาวไกล ไม่สะดวกแบกสัมภาระมาก ภาพที่เราเห็นบ่อยในซีรีส์คือสะพายห่อผ้าเดินเท้ากัน และอาหารที่พกก็คือเปี๊ยะหรือแผ่นแป้งปิ้งที่คุยกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid021ovimRULhAa1TBPph1nXsGVcPHbNM5ABmNwrzEahckFTPhq1zhUQ4n1aNAjDVuGNl)

    จริงๆ แล้วการทำเปี๊ยะปิ้งไม่ใช่งานง่ายนัก กว่าจะนวดแป้ง (ไม่นับชาวบ้านชนบทที่อาจต้องโม่แป้งเอง) ไหนจะต้องคอยดูไฟไม่ให้แรงเกินไป คอยพลิกแผ่นเปี๊ยะไปมา ทั้งหมดต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง อีกทั้งข้าวสาลียังแพงกว่าข้าวฟ่าง ไม่ว่าจะทำเปี๊ยะเองหรือหาซื้อ ล้วนสิ้นเปลืองทุนทรัพย์ ดังนั้น หากมีทางเลือกที่ง่ายกว่าประหยัดกว่า ย่อมเป็นที่นิยมของชาวบ้าน

    อีกทางเลือกที่ว่านี้คือ ‘ฉิ่ว’ (糗) เป็นอาหารแห้งสมัยโบราณ คิดค้นกันขึ้นเมื่อใดก็ไม่ทราบได้ แต่มีการกล่าวถึงในบันทึกพิธีการราชวงศ์โจว หรือ บันทึกโจวหลี่ว่า ‘ฉิวเอ่อร์เฝิ่นฉือ’(糗饵粉飺) คือก้อนข้าวและแผ่นแป้ง แต่จริงๆ แผ่นแป้งที่ว่านี้ไม่ใช่เปี๊ยะ ส่วนผสมมันเหมือนกันกับฉิ่ว เพียงแต่ฉิ่วหมายถึงปั้นเป็นก้อน ในขณะที่ฉือคือบี้ให้แบนเป็นแผ่น

    แล้วมันคืออะไร?

    มันคือการเอาข้าวที่นึ่งสุกแล้วมาใส่น้ำเล็กน้อยแล้วบีบหรือทุบให้เละเพื่อจะได้จับตัวกัน เสร็จแล้วปั้นเป็นก้อน (คือฉิ่ว) หรือบี้แบนเป็นแผ่น (คือฉือ) แล้วนำไปตากแห้ง แห้งแล้วก็จะหน้าตาคล้ายข้าวตังบ้านเรา ปัจจุบันของจีนเขาก็มีขนมหน้าตาคล้ายกันเรียกว่า ‘กัวปา’ (锅巴) (ดูรูปประกอบ) ซึ่งข้าวที่ว่านี้ในสมัยโบราณก่อนยุคหมิงคือข้าวฟ่างเป็นหลัก

    หน้าตาคล้าย แต่รสชาติไม่กรอบร่วนเหมือนข้าวเกรียบกัวปาปัจจุบัน เนื้อของฉิ่วก็จะแน่นๆ แข็งๆ แน่นอนว่ามันเป็นอาหารกินกันตาย ไม่ใช่กินเพื่อความจรรโลงใจ ชาวบ้านยามเดินทางไกลก็ห่อฉิ่วในผ้าบางหรือตะกร้าเล็กซุกไว้ในห่อผ้า เก็บได้นานถึงเกือบครึ่งเดือน เวลาจะกินก็คล้ายกับการกินเปี๊ยะกัวคุยที่กล่าวถึงไปในสัปดาห์ที่แล้ว กล่าวคือจิ้มน้ำจิ้มให้ชุ่มและนุ่มลงแล้วค่อยกิน บางคนก็มีผักดองหรือเนื้อหมักแห้งพกมากินแกล้มด้วย หรือหากมีโอกาสได้น้ำร้อนน้ำแกงก็เอาฉิ่วจุ้ม/แช่ให้นุ่มแล้วกินก็ได้เช่นกัน นึกภาพว่าข้าวชามหนึ่งสามารถอัดเป็นก้อนได้ขนาดเล็ก ดังนั้นเห็นก้อนเล็กๆ ก็อิ่มไม่น้อย พกจากบ้านไปก็ประหยัดทรัพย์ไปได้หลายวัน

    น้ำจิ้มที่ใช้ก็พวกถั่วหมักเค็มหรือเต้าเจี้ยว ใส่เครื่องปรุงอย่างอื่นบ้าง ใส่ขิงซอยขิงสับบ้าง แต่น้ำจิ้มเป็นน้ำ เขาพกพากันอย่างไร? ง่ายๆ คือเอาไปตากแดดจนน้ำระเหย จาก ‘น้ำ’ จิ้มก็กลายเป็น ‘เปียก’ จิ้ม... คือข้นๆ เหนียวๆ เสร็จแล้วก็ห่อในกระดาษน้ำมัน พกพาได้ง่าย เวลาจะกินก็แบ่งออกมาเติมน้ำผสมให้เหลวหน่อย

    น้ำจิ้มมันเค็มจึงมักมีการตัดเค็มด้วยน้ำส้มสายชู แต่วิธีการพกน้ำส้มสายชูเป็นอะไรที่ Storyฯ ยอมรับว่าเหนือความคาดหมายของข้าพเจ้าเอง สมัยนั้นมีไหมีขวดให้ใช้บรรจุน้ำส้มสายชูได้แต่ก็ไม่สามารถพกติดตัวได้ในปริมาณมาก อีกทั้งยังส่งกลิ่นแรง (มันซึมผ่านผ้าที่จุกฝา) ดังนั้นวิธีพกคือใช้ผ้าสะอาดตัดเป็นแถบแล้วแช่ในน้ำส้มสายชู จากนั้นนำมาตากแห้ง พกเป็นผ้าไป เวลาจะกินก็ตัดผ้าชิ้นเล็กออกมาแช่ในน้ำก็จะได้รสชาติของน้ำส้มสายชูแล้ว

    และไม่ว่าจะเป็นฉิ่ว หรือน้ำจิ้ม หรือวิธีพกน้ำส้มสายชูที่กล่าวถึงข้างต้น ไม่เพียงใช้โดยชาวบ้านธรรมดา แต่ในกองทัพก็ใช้เช่นกัน Storyฯ หาไม่พบข้อมูลว่าฉิ่วหายไปจากวิถีชีวิตของชาวบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ สันนิษฐานเอาเองว่าหายไปเมื่อสารพัดชนิดของเปี๊ยะมีมากขึ้นและราคาถูกลง

    เชื่อว่าวิธีเตรียมและพกพาอาหารแห้งเหล่านี้ ของไทยเราก็น่าจะมีอะไรคล้ายคลึงที่สืบทอดเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านมาเช่นกัน แต่ Storyฯ ไม่รู้จักมากนัก ใครมีเรื่องเล่าที่ฟังมาจากผู้ใหญ่หรือคนรุ่นก่อน นำมาเล่าแบ่งปันกันด้วยนะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก:
    https://www.sohu.com/a/690825754_121115947
    https://www.sohu.com/a/712914583_121338666
    https://m.fx361.com/news/2022/0630/10495172.html
    https://www.sohu.com/a/443453413_120946747
    https://www.sohu.com/a/476806140_120018480
    https://cidian.qianp.com/ci/%E7%B3%97%E9%A5%B5
    https://www.zhihu.com/question/558888787/answer/2718324984
    https://www.meishichina.com/mofang/shaobing/

    #สยบรักจอมเสเพล #กัวปา #ฉิ่ว #เสบียงแห้งโบราณ
    อาหารพกพายามเดินทางไกล สัปดาห์ที่แล้วคุยเรื่องเสบียงอาหารของกองทัพ ก็เลยมีความสงสัยว่า แล้วประชาชนธรรมดาเวลาเดินทางไกลกินอะไรกัน? วันนี้เรามาคุยกันสั้นๆ เรื่องนี้ค่ะ ในสมัยนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่มีรถม้าและพักแรมกินอาหารตามโรงเตี๊ยมได้ ระยะทางก็ยาวไกล ไม่สะดวกแบกสัมภาระมาก ภาพที่เราเห็นบ่อยในซีรีส์คือสะพายห่อผ้าเดินเท้ากัน และอาหารที่พกก็คือเปี๊ยะหรือแผ่นแป้งปิ้งที่คุยกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid021ovimRULhAa1TBPph1nXsGVcPHbNM5ABmNwrzEahckFTPhq1zhUQ4n1aNAjDVuGNl) จริงๆ แล้วการทำเปี๊ยะปิ้งไม่ใช่งานง่ายนัก กว่าจะนวดแป้ง (ไม่นับชาวบ้านชนบทที่อาจต้องโม่แป้งเอง) ไหนจะต้องคอยดูไฟไม่ให้แรงเกินไป คอยพลิกแผ่นเปี๊ยะไปมา ทั้งหมดต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง อีกทั้งข้าวสาลียังแพงกว่าข้าวฟ่าง ไม่ว่าจะทำเปี๊ยะเองหรือหาซื้อ ล้วนสิ้นเปลืองทุนทรัพย์ ดังนั้น หากมีทางเลือกที่ง่ายกว่าประหยัดกว่า ย่อมเป็นที่นิยมของชาวบ้าน อีกทางเลือกที่ว่านี้คือ ‘ฉิ่ว’ (糗) เป็นอาหารแห้งสมัยโบราณ คิดค้นกันขึ้นเมื่อใดก็ไม่ทราบได้ แต่มีการกล่าวถึงในบันทึกพิธีการราชวงศ์โจว หรือ บันทึกโจวหลี่ว่า ‘ฉิวเอ่อร์เฝิ่นฉือ’(糗饵粉飺) คือก้อนข้าวและแผ่นแป้ง แต่จริงๆ แผ่นแป้งที่ว่านี้ไม่ใช่เปี๊ยะ ส่วนผสมมันเหมือนกันกับฉิ่ว เพียงแต่ฉิ่วหมายถึงปั้นเป็นก้อน ในขณะที่ฉือคือบี้ให้แบนเป็นแผ่น แล้วมันคืออะไร? มันคือการเอาข้าวที่นึ่งสุกแล้วมาใส่น้ำเล็กน้อยแล้วบีบหรือทุบให้เละเพื่อจะได้จับตัวกัน เสร็จแล้วปั้นเป็นก้อน (คือฉิ่ว) หรือบี้แบนเป็นแผ่น (คือฉือ) แล้วนำไปตากแห้ง แห้งแล้วก็จะหน้าตาคล้ายข้าวตังบ้านเรา ปัจจุบันของจีนเขาก็มีขนมหน้าตาคล้ายกันเรียกว่า ‘กัวปา’ (锅巴) (ดูรูปประกอบ) ซึ่งข้าวที่ว่านี้ในสมัยโบราณก่อนยุคหมิงคือข้าวฟ่างเป็นหลัก หน้าตาคล้าย แต่รสชาติไม่กรอบร่วนเหมือนข้าวเกรียบกัวปาปัจจุบัน เนื้อของฉิ่วก็จะแน่นๆ แข็งๆ แน่นอนว่ามันเป็นอาหารกินกันตาย ไม่ใช่กินเพื่อความจรรโลงใจ ชาวบ้านยามเดินทางไกลก็ห่อฉิ่วในผ้าบางหรือตะกร้าเล็กซุกไว้ในห่อผ้า เก็บได้นานถึงเกือบครึ่งเดือน เวลาจะกินก็คล้ายกับการกินเปี๊ยะกัวคุยที่กล่าวถึงไปในสัปดาห์ที่แล้ว กล่าวคือจิ้มน้ำจิ้มให้ชุ่มและนุ่มลงแล้วค่อยกิน บางคนก็มีผักดองหรือเนื้อหมักแห้งพกมากินแกล้มด้วย หรือหากมีโอกาสได้น้ำร้อนน้ำแกงก็เอาฉิ่วจุ้ม/แช่ให้นุ่มแล้วกินก็ได้เช่นกัน นึกภาพว่าข้าวชามหนึ่งสามารถอัดเป็นก้อนได้ขนาดเล็ก ดังนั้นเห็นก้อนเล็กๆ ก็อิ่มไม่น้อย พกจากบ้านไปก็ประหยัดทรัพย์ไปได้หลายวัน น้ำจิ้มที่ใช้ก็พวกถั่วหมักเค็มหรือเต้าเจี้ยว ใส่เครื่องปรุงอย่างอื่นบ้าง ใส่ขิงซอยขิงสับบ้าง แต่น้ำจิ้มเป็นน้ำ เขาพกพากันอย่างไร? ง่ายๆ คือเอาไปตากแดดจนน้ำระเหย จาก ‘น้ำ’ จิ้มก็กลายเป็น ‘เปียก’ จิ้ม... คือข้นๆ เหนียวๆ เสร็จแล้วก็ห่อในกระดาษน้ำมัน พกพาได้ง่าย เวลาจะกินก็แบ่งออกมาเติมน้ำผสมให้เหลวหน่อย น้ำจิ้มมันเค็มจึงมักมีการตัดเค็มด้วยน้ำส้มสายชู แต่วิธีการพกน้ำส้มสายชูเป็นอะไรที่ Storyฯ ยอมรับว่าเหนือความคาดหมายของข้าพเจ้าเอง สมัยนั้นมีไหมีขวดให้ใช้บรรจุน้ำส้มสายชูได้แต่ก็ไม่สามารถพกติดตัวได้ในปริมาณมาก อีกทั้งยังส่งกลิ่นแรง (มันซึมผ่านผ้าที่จุกฝา) ดังนั้นวิธีพกคือใช้ผ้าสะอาดตัดเป็นแถบแล้วแช่ในน้ำส้มสายชู จากนั้นนำมาตากแห้ง พกเป็นผ้าไป เวลาจะกินก็ตัดผ้าชิ้นเล็กออกมาแช่ในน้ำก็จะได้รสชาติของน้ำส้มสายชูแล้ว และไม่ว่าจะเป็นฉิ่ว หรือน้ำจิ้ม หรือวิธีพกน้ำส้มสายชูที่กล่าวถึงข้างต้น ไม่เพียงใช้โดยชาวบ้านธรรมดา แต่ในกองทัพก็ใช้เช่นกัน Storyฯ หาไม่พบข้อมูลว่าฉิ่วหายไปจากวิถีชีวิตของชาวบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ สันนิษฐานเอาเองว่าหายไปเมื่อสารพัดชนิดของเปี๊ยะมีมากขึ้นและราคาถูกลง เชื่อว่าวิธีเตรียมและพกพาอาหารแห้งเหล่านี้ ของไทยเราก็น่าจะมีอะไรคล้ายคลึงที่สืบทอดเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านมาเช่นกัน แต่ Storyฯ ไม่รู้จักมากนัก ใครมีเรื่องเล่าที่ฟังมาจากผู้ใหญ่หรือคนรุ่นก่อน นำมาเล่าแบ่งปันกันด้วยนะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก: https://www.sohu.com/a/690825754_121115947 https://www.sohu.com/a/712914583_121338666 https://m.fx361.com/news/2022/0630/10495172.html https://www.sohu.com/a/443453413_120946747 https://www.sohu.com/a/476806140_120018480 https://cidian.qianp.com/ci/%E7%B3%97%E9%A5%B5 https://www.zhihu.com/question/558888787/answer/2718324984 https://www.meishichina.com/mofang/shaobing/ #สยบรักจอมเสเพล #กัวปา #ฉิ่ว #เสบียงแห้งโบราณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามยกเลิกคำสั่งไบเดนแล้ว 78 ฉบับ เผยเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าแคนาดา-เม็กซิโก 1 กุมภาพันธ์นี้

    บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานความเคลื่อนไหววันแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) หลังเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 ว่า ทรัมป์ยังดำเนินแผนการอันทะเยอทะยานของเขาต่อไป โดยลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก

    บลูมเบิร์กระบุว่า ณ เวลาประมาณ 19.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐ (ช้ากว่าไทย 12 ชั่วโมง) โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งในนั้นเป็นการเพิกถอนคำสั่งหรือแผนริเริ่มต่าง ๆ ในยุคของประธานาธิบดี โจ ไบเดน (Joe Biden) ถึง 78 ฉบับ ต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากที่สนามกีฬาแคปิตอลวัน (Capital One Arena)

    บรรดาคำสั่งที่ทรัมป์ยกเลิกคำสั่งของไบเดนนั้น รวมถึงการถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement), คำสั่งให้ทุกกระทรวงจัดการกับภาวะเงินเฟ้อ, การดำเนินการเรียกพนักงานของรัฐบาลกลางกลับเข้าทำงาน และคำสั่งคืนเสรีภาพในการพูดและป้องกันไม่ให้รัฐบาลเซ็นเซอร์เสรีภาพในการพูดในอนาคต

    ต่อจากนั้นทรัมป์ย้ายไปที่ห้องทำงานรูปไข่ (The Oval Office) ในทำเนียบขาว แล้วลงนามคำสั่งต่อไป ซึ่งคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับแรกที่ทรัมป์ลงนามในห้องทำงานรูปไข่ คือการอภัยโทษให้กับผู้คนจำนวน 1,500 คน ที่ได้รับโทษจากการปิดล้อมอาคารรัฐสภาสหรัฐเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021

    จากนั้นในเวลาประมาณ 19.50 น. บลูมเบิร์กรายงานว่า ทรัมป์ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามถึงเรื่องภาษีศุลกากรว่า “เราคิดอัตราภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะอยู่ที่ 25% ผมคิดว่าเราจะดำเนินการในวันที่ 1 กุมภาพันธ์”

    ในเวลาเดียวกัน ทรัมป์กล่าวถึงจีนว่า จะประชุมและโทรศัพท์หารือกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ของจีน

    นอกจากนั้น ทรัมป์กล่าวว่าประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ต้องใช้จ่ายงบประมาณ 5% ของจีดีพี สำหรับการป้องกันประเทศ

    ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานเพิ่มเติมว่า จากการสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ทำเนียบขาว (The White House) หรือสำนักงานประธานาธิบดีสหหรัฐ พบว่า ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมากที่จะส่งผลกระทบต่อต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น

    -ถอนสหรัฐออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ยุติรายจ่ายที่เป็นภาระและไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการเจรจาข้อตกลงว่าด้วยโรคระบาด (Pandemic Agreement) และการแปรญัตติกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations)

    -ประกาศใช้นโยบายการค้าที่ให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก (America First Trade Policy) หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องกำหนดนโยบายการค้าที่ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ แก้ไขการค้าที่ไม่เป็นธรรมและไม่สมดุล โดยใช้มาตรการที่เหมาะสม อย่างเช่น ภาษีศุลกากร

    -ปรับโครงสร้างโครงการรับผู้ลี้ภัยของสหรัฐ (USRAP) ใหม่ และระงับการรับผู้ลี้ภัยผ่าน USRAP จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าการเข้าสู่สหรัฐอเมริกาของผู้ลี้ภัยจะสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐ

    -ยกเลิกการให้สถานะพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด เด็กที่เกิดในสหรัฐอเมริกาแต่เกิดจากพ่อและแม่ที่ไม่ใช่พลเมืองอเมริกัน จะไม่ได้สถานะพลเมืองโดยกำเนิดอีกต่อไป

    -เพิ่มการรักษาความปลอดภัยชายแดน โดยสร้างกำแพงและสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ที่มีการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่และการใช้เทคโนโลยี เพื่อขัดขวางและป้องกันการเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย และดำเนินการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยมีกระบวนการคุมขังระหว่างรอส่งตัวออกจากประเทศ

    -ลดการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ โดยจะหยุดให้ความช่วยเหลือต่างประเทศที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐ 90 วันเพื่อประเมินประสิทธิภาพโครงการและความสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐว่าควรได้รับการช่วยเหลือต่อไปหรือไม่

    ​ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
    โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามยกเลิกคำสั่งไบเดนแล้ว 78 ฉบับ เผยเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าแคนาดา-เม็กซิโก 1 กุมภาพันธ์นี้ บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานความเคลื่อนไหววันแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) หลังเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 ว่า ทรัมป์ยังดำเนินแผนการอันทะเยอทะยานของเขาต่อไป โดยลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก บลูมเบิร์กระบุว่า ณ เวลาประมาณ 19.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐ (ช้ากว่าไทย 12 ชั่วโมง) โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งในนั้นเป็นการเพิกถอนคำสั่งหรือแผนริเริ่มต่าง ๆ ในยุคของประธานาธิบดี โจ ไบเดน (Joe Biden) ถึง 78 ฉบับ ต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากที่สนามกีฬาแคปิตอลวัน (Capital One Arena) บรรดาคำสั่งที่ทรัมป์ยกเลิกคำสั่งของไบเดนนั้น รวมถึงการถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement), คำสั่งให้ทุกกระทรวงจัดการกับภาวะเงินเฟ้อ, การดำเนินการเรียกพนักงานของรัฐบาลกลางกลับเข้าทำงาน และคำสั่งคืนเสรีภาพในการพูดและป้องกันไม่ให้รัฐบาลเซ็นเซอร์เสรีภาพในการพูดในอนาคต ต่อจากนั้นทรัมป์ย้ายไปที่ห้องทำงานรูปไข่ (The Oval Office) ในทำเนียบขาว แล้วลงนามคำสั่งต่อไป ซึ่งคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับแรกที่ทรัมป์ลงนามในห้องทำงานรูปไข่ คือการอภัยโทษให้กับผู้คนจำนวน 1,500 คน ที่ได้รับโทษจากการปิดล้อมอาคารรัฐสภาสหรัฐเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 จากนั้นในเวลาประมาณ 19.50 น. บลูมเบิร์กรายงานว่า ทรัมป์ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามถึงเรื่องภาษีศุลกากรว่า “เราคิดอัตราภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะอยู่ที่ 25% ผมคิดว่าเราจะดำเนินการในวันที่ 1 กุมภาพันธ์” ในเวลาเดียวกัน ทรัมป์กล่าวถึงจีนว่า จะประชุมและโทรศัพท์หารือกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ของจีน นอกจากนั้น ทรัมป์กล่าวว่าประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ต้องใช้จ่ายงบประมาณ 5% ของจีดีพี สำหรับการป้องกันประเทศ ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานเพิ่มเติมว่า จากการสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ทำเนียบขาว (The White House) หรือสำนักงานประธานาธิบดีสหหรัฐ พบว่า ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมากที่จะส่งผลกระทบต่อต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น -ถอนสหรัฐออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ยุติรายจ่ายที่เป็นภาระและไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการเจรจาข้อตกลงว่าด้วยโรคระบาด (Pandemic Agreement) และการแปรญัตติกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations) -ประกาศใช้นโยบายการค้าที่ให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก (America First Trade Policy) หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องกำหนดนโยบายการค้าที่ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ แก้ไขการค้าที่ไม่เป็นธรรมและไม่สมดุล โดยใช้มาตรการที่เหมาะสม อย่างเช่น ภาษีศุลกากร -ปรับโครงสร้างโครงการรับผู้ลี้ภัยของสหรัฐ (USRAP) ใหม่ และระงับการรับผู้ลี้ภัยผ่าน USRAP จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าการเข้าสู่สหรัฐอเมริกาของผู้ลี้ภัยจะสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐ -ยกเลิกการให้สถานะพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด เด็กที่เกิดในสหรัฐอเมริกาแต่เกิดจากพ่อและแม่ที่ไม่ใช่พลเมืองอเมริกัน จะไม่ได้สถานะพลเมืองโดยกำเนิดอีกต่อไป -เพิ่มการรักษาความปลอดภัยชายแดน โดยสร้างกำแพงและสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ที่มีการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่และการใช้เทคโนโลยี เพื่อขัดขวางและป้องกันการเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย และดำเนินการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยมีกระบวนการคุมขังระหว่างรอส่งตัวออกจากประเทศ -ลดการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ โดยจะหยุดให้ความช่วยเหลือต่างประเทศที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐ 90 วันเพื่อประเมินประสิทธิภาพโครงการและความสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐว่าควรได้รับการช่วยเหลือต่อไปหรือไม่ ​ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำอธิบายการเป็นราชาผู้พิทักษ์แห่งความมืดของฉัน
    ราชาผู้พิทักษ์มีอยู่สองแบบ คือ
    หนึ่ง เป็นโดยกำเนิด ซึ่งก็คือการที่มีพรสวรรค์ที่พิเศษมาตั้งแต่กำเนิด โดยอาศัยปัจจัยที่สำคัญมากยิ่ง หนึ่งในนั้นก็คือ บุญญาธิการ หรือ บุญกุศลบุญบารมี ที่เคยได้เคยกระทำมาแล้วในอดีตชาตินั่นเอง
    สอง เป็นโดยความสามรถ ซึ่งก็คือการฝึกฝนอบรมขัดเกลาความสามารถในด้านต่างๆโดยได้รับการอบรมสั่งสอนจากผู้อื่น หรือ โดยบังคับโดยสภาวะแวดล้อมในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจกระทำด้วยตนเองก็ตาม
    ซึ่งโดยในตัวของฉันนั้นเองนั้นเป็นโดยความสามารถนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลยในการเป็นราชาผู้พิทักษ์ของฉันนั้น ฉันฝึกฝนตนเองโดยใช้ธรรมะในการฝึกฝนความสามารถพิเศษต่างๆจากการศึกษาหาความรู้จากในหนังสือธรรมะ การปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่างๆมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสะสมบุญกุศลบุญบารมีในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีล และการภาวนา(สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน นั่งสมาธิ)และก็จะต้องทำทุกวันทุกคืนไม่ได้ขาดเลย เพราะว่าของมันจะเสื่อมลง ยกเว้นตอนป่วย เพราะตอนคนเราป่วยไข้นั้น มันจะทำให้เราไม่สามารถทำได้อย่างสบาย หรือ ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่นัก(ก็คนมันป่วยนี่นะ มันมีคนป่วยที่ไหนมันเดินมันวิ่งได้ล่ะ ไม่มีหรอก ฮ่าๆๆ)ซึ่งแต่ก่อนที่ฉันจะหันมาเข้าสู่ทางธรรมนั้น ฉันก็ได้พลังมาโดยการเป็นบ้า คลั่ง ฟุ้งซ่าน และได้รับพลังมาโดยการถูกมารร้ายเข้าสิงร่าง ซึ่งในตอนนั้นฉันนั้นไม่สามารถควบคุมพลังของมารร้ายได้ และได้รับพลังเข้ามามากจนเกินกำลังความสามารถที่ฉันนั้นจะสามารถควบคุมพลังของมารร้ายตนนั้นได้ ซึ่งอย่าว่าแต่คิดที่จะควบคุมพลังเลย แค่ควบคุมตัวเองฉันยังทำไม่ได้เลย(ให้ตายสิว่ะ)ซึ่งมันก็เหมือนกับคนถูกของสั่งใส่หรือคนถูกผีเข้านั่นแหล่ะ แต่มันจะต่างกันตรงที่คนที่ถูกผีเข้าจะไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่มีสติ และก็จะจำอะไรไม่ได้เลย ในตอนที่ถูกผีเข้าสิงร่าง แต่การถูกมารร้ายเข้าสิงมันไม่เหมือนกัน มันต่างกันตรงที่มีสติ พูดจารู้เรื่อง แต่จะปวดหัวมาก เหมือนหัวมันจะระเบิดออกมาให้ได้เลยยังไงยังงั้น แต่มันไม่ระเบิดออกมาจริงๆก็เท่านั้นเอง(ถ้าหัวคนเรามันระเบิดออกมาจริงๆ มันก็ตายคาที่ตรงนั้นไปแล้ว)และก็จะต้องระบายอารมณ์ความโกรธเกรี้ยวกราดออกมาเพื่อที่จะทำให้มันหายปวดหัวนั่นเองแหล่ะ มันเหมือนกับการทำให้ตัวเองหายเหนื่อยโดยการพักผ่อนนั่นเอง แต่ตอนนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นแล้วล่ะ ฉันสามารถควบคุมมันและพลังได้แล้ว โดยใช้ธรรมะเป็นตัวควบคุมและเป็นแรงผลักดันในการเพิ่มพลังความสามารถของฉันให้มีมากขึ้นยิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆ(ทุกวันนี้ฉันยังไม่เคยใช้พลังของตัวเองที่มีอย่างสูงสุดขีดอย่างเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลย ไม่มีโอกาสใช้เลยว่ะ)และความสามารถที่แท้จริงของฉันก็ยังไม่ถึงขีดสุดเลย เพราะขีดสูงสุดของพลังที่แท้จริงนั้นมันจะต้องเปิดพลังจักรวาล ซึ่งมีอยู่ทางเดียวนั่นเองก็คือการบรรลุมรรคผลนิพพานเท่านั้น พอถึงจุดนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดต่อต้านฉันได้อีกต่อไป นอกจากตัวเอง แต่แม้แต่พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ยังตายเลย ฉันเองก็ต้องตายเหมือนกัน ไม่มีใครอยู่ยงค้ำฟ้าไปตลอดกาลหรอก ซึ่งมันก็จะมีคนรุ่นใหม่ๆมาทดแทนเป็นยุคสมัยใหม่ต่อไปนั่นแหล่ะ
    ที่ฉันเป็นราชาได้ไม่ใช่เพราะว่าฉันแข็งแกร่งแต่เพียงอย่างเดียวหรอกนะ มันต้องมีองค์ประกอบปัจจัยในหลายๆอย่างมันถึงจะแข็งแกร่งได้ เช่น มีร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ มีธรรมะ มีความดีงาม มีบุญกุศลบุญบารมี มีคุณธรรม มีศีลธรรม มีปัญญาญาณ และก็ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายหลายอย่างเลยนะ และคนชั่ว คนเลว คนไม่ดี คนไม่มีศีลมีธรรม มันเป็นราชาไม่ได้หรอก เค้าไม่ให้มันเป็น(ฉันหมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ)มันจะต้องได้รับความอนุญาตอนุเคราะห์จากเค้าก่อนนะ ถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งจะรับรู้ได้โดยญาณของตนเอง เมื่อฝึกฝนมาเต็มที่เต็มภูมิแล้วนั่นเอง แค่เป็นคนเก่งอย่างเดียวมันไม่พอหรอกนะ มันต้องเป็นคนดีด้วย มันถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งฉันเห็นไอ้พวกที่มันอยากจะเป็นอย่างฉันนั้นมันมีมากมายเยอะแยะกันเสียเหลือเกินนักหนา แต่มันก็เป็นไม่ได้หรอก เผลอๆดีไม่ดีมันจะกลายเป็นบ้ากันไปหมดทุกคนเลยนะ เพราะเค้าไม่อนุญาตให้มันเป็น แล้วก็อีกอย่างนึงนะ ไอ้พวกนี้มันชอบเลียนแบบฉันกันนักเชียว กะอีแค่ชื่อนามแฝงของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึงชื่อ Dark Danger นะ)ตำแหน่งของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึง The King Of Dark นะ แต่ตำแหน่งนี้มันเป็นแค่ราชาแห่งความมืดธรรมดาทั่วไป)ซึ่งแค่ตำแหน่งมันก็ไม่เท่าไหร่ เพราะว่าผู้ที่มีคุณสมบัติของราชาแห่งความมืดนี้มีถึง หนึ่ง ใน หนึ่งล้าน คน แต่ว่าผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดนั้นมีเพียงแค่ หนึ่ง ใน หนึ่งพันล้าน คน เท่านั้น แต่ผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงนั้นมีเพียง หนึ่ง ใน หนึ่งล้านล้าน คน เท่านั้นเอง ซึ่งประชากรในโลกนี้มีเพียงหลายพันล้านคนในปัจจุบัน และฉันก็ปรารถนาที่จะเป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงในอนาคตให้จงได้เลย(เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียใจในภายหลังว่าชาติหนึ่งนี้จะไม่ได้เป็น ฉันจะเป็นให้จงได้)ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปในอนาคตอันไกลข้างหน้า ไม่ใช่เพื่อตัวของฉันเองเพียงแค่คนเดียว เพราะว่าการเป็นราชานั้นมันจะต้องแลกกับการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เป็นราชาแล้วมันดูเท่ ดูดี เป็นแล้วมันสบาย ไม่ใช่อย่างนั้นอย่างแน่นอน มีตำแหน่งก็ต้องมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำ ไม่ใช่ไม่มี ซึ่งมันก็เหมือนกันกับในหนังไอ้แมงมุมและหนังอื่นๆที่ว่า “พลังที่ยิ่งใหญ่ มักจะมากับภาระที่ใหญ่ยิ่ง” นั่นเอง และคนที่เคยได้ไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของตำแหน่งราชาที่แท้จริงก็มีให้เห็นเป็นประจักษ์พยานแล้วอยู่คนหนึ่ง คนที่ทุกคนรักและเทิดทูนบูชายิ่งกว่าราชาทั่วไป ราชาที่แท้จริง ราชาเหนือราชาทั้งปวง แค่เอ่ยแค่นี้ก็คงจะนึกออกได้ทันทีทันใด ถ้ายังนึกไม่ออกก็จะบอกให้ คนๆนั้นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่งเองไง
    “ฉันจะเป็นราชาที่แท้จริงให้จงได้ เป็นให้ได้อย่างท่านให้จงได้ ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)”
    “ชั่วชีวิตนี้ลูกขอมอบไว้ให้กับพวกท่าน แด่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ตราบใดที่ลูกยังอยู่ ลูกจะขอสืบทอดสานต่อซึ่งเจตจำนงบรรพชน อุดมการณ์พันธมิตรฯ และภารกิจของพวกท่านต่อไป และตลอดไป”
    ป.ล.ใครอยากจะเป็นราชาแห่งความมืดก็เป็นไป แต่จงจำไว้อย่างนึง คือ ใครที่มันล้อเล่นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันไม่มีทางได้ดีมีความสุขอย่างแน่นอน(เผลอๆมันจะตายโหงตายห่าโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ตายก็ทรมาน เป็นบ้ากัน ทนทุกขเวทนาตลอดชีวิต ตกลงนรกหมกไหม้กันทังเป็นและตายไป)ฉันเตือนแล้วนะ ถ้าไม่อยากเป็นบ้า ก็ขอให้เลิกเป็นซะ แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ
    คำอธิบายการเป็นราชาผู้พิทักษ์แห่งความมืดของฉัน ราชาผู้พิทักษ์มีอยู่สองแบบ คือ หนึ่ง เป็นโดยกำเนิด ซึ่งก็คือการที่มีพรสวรรค์ที่พิเศษมาตั้งแต่กำเนิด โดยอาศัยปัจจัยที่สำคัญมากยิ่ง หนึ่งในนั้นก็คือ บุญญาธิการ หรือ บุญกุศลบุญบารมี ที่เคยได้เคยกระทำมาแล้วในอดีตชาตินั่นเอง สอง เป็นโดยความสามรถ ซึ่งก็คือการฝึกฝนอบรมขัดเกลาความสามารถในด้านต่างๆโดยได้รับการอบรมสั่งสอนจากผู้อื่น หรือ โดยบังคับโดยสภาวะแวดล้อมในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจกระทำด้วยตนเองก็ตาม ซึ่งโดยในตัวของฉันนั้นเองนั้นเป็นโดยความสามารถนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลยในการเป็นราชาผู้พิทักษ์ของฉันนั้น ฉันฝึกฝนตนเองโดยใช้ธรรมะในการฝึกฝนความสามารถพิเศษต่างๆจากการศึกษาหาความรู้จากในหนังสือธรรมะ การปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่างๆมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสะสมบุญกุศลบุญบารมีในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีล และการภาวนา(สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน นั่งสมาธิ)และก็จะต้องทำทุกวันทุกคืนไม่ได้ขาดเลย เพราะว่าของมันจะเสื่อมลง ยกเว้นตอนป่วย เพราะตอนคนเราป่วยไข้นั้น มันจะทำให้เราไม่สามารถทำได้อย่างสบาย หรือ ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่นัก(ก็คนมันป่วยนี่นะ มันมีคนป่วยที่ไหนมันเดินมันวิ่งได้ล่ะ ไม่มีหรอก ฮ่าๆๆ)ซึ่งแต่ก่อนที่ฉันจะหันมาเข้าสู่ทางธรรมนั้น ฉันก็ได้พลังมาโดยการเป็นบ้า คลั่ง ฟุ้งซ่าน และได้รับพลังมาโดยการถูกมารร้ายเข้าสิงร่าง ซึ่งในตอนนั้นฉันนั้นไม่สามารถควบคุมพลังของมารร้ายได้ และได้รับพลังเข้ามามากจนเกินกำลังความสามารถที่ฉันนั้นจะสามารถควบคุมพลังของมารร้ายตนนั้นได้ ซึ่งอย่าว่าแต่คิดที่จะควบคุมพลังเลย แค่ควบคุมตัวเองฉันยังทำไม่ได้เลย(ให้ตายสิว่ะ)ซึ่งมันก็เหมือนกับคนถูกของสั่งใส่หรือคนถูกผีเข้านั่นแหล่ะ แต่มันจะต่างกันตรงที่คนที่ถูกผีเข้าจะไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่มีสติ และก็จะจำอะไรไม่ได้เลย ในตอนที่ถูกผีเข้าสิงร่าง แต่การถูกมารร้ายเข้าสิงมันไม่เหมือนกัน มันต่างกันตรงที่มีสติ พูดจารู้เรื่อง แต่จะปวดหัวมาก เหมือนหัวมันจะระเบิดออกมาให้ได้เลยยังไงยังงั้น แต่มันไม่ระเบิดออกมาจริงๆก็เท่านั้นเอง(ถ้าหัวคนเรามันระเบิดออกมาจริงๆ มันก็ตายคาที่ตรงนั้นไปแล้ว)และก็จะต้องระบายอารมณ์ความโกรธเกรี้ยวกราดออกมาเพื่อที่จะทำให้มันหายปวดหัวนั่นเองแหล่ะ มันเหมือนกับการทำให้ตัวเองหายเหนื่อยโดยการพักผ่อนนั่นเอง แต่ตอนนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นแล้วล่ะ ฉันสามารถควบคุมมันและพลังได้แล้ว โดยใช้ธรรมะเป็นตัวควบคุมและเป็นแรงผลักดันในการเพิ่มพลังความสามารถของฉันให้มีมากขึ้นยิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆ(ทุกวันนี้ฉันยังไม่เคยใช้พลังของตัวเองที่มีอย่างสูงสุดขีดอย่างเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลย ไม่มีโอกาสใช้เลยว่ะ)และความสามารถที่แท้จริงของฉันก็ยังไม่ถึงขีดสุดเลย เพราะขีดสูงสุดของพลังที่แท้จริงนั้นมันจะต้องเปิดพลังจักรวาล ซึ่งมีอยู่ทางเดียวนั่นเองก็คือการบรรลุมรรคผลนิพพานเท่านั้น พอถึงจุดนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดต่อต้านฉันได้อีกต่อไป นอกจากตัวเอง แต่แม้แต่พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ยังตายเลย ฉันเองก็ต้องตายเหมือนกัน ไม่มีใครอยู่ยงค้ำฟ้าไปตลอดกาลหรอก ซึ่งมันก็จะมีคนรุ่นใหม่ๆมาทดแทนเป็นยุคสมัยใหม่ต่อไปนั่นแหล่ะ ที่ฉันเป็นราชาได้ไม่ใช่เพราะว่าฉันแข็งแกร่งแต่เพียงอย่างเดียวหรอกนะ มันต้องมีองค์ประกอบปัจจัยในหลายๆอย่างมันถึงจะแข็งแกร่งได้ เช่น มีร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ มีธรรมะ มีความดีงาม มีบุญกุศลบุญบารมี มีคุณธรรม มีศีลธรรม มีปัญญาญาณ และก็ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายหลายอย่างเลยนะ และคนชั่ว คนเลว คนไม่ดี คนไม่มีศีลมีธรรม มันเป็นราชาไม่ได้หรอก เค้าไม่ให้มันเป็น(ฉันหมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ)มันจะต้องได้รับความอนุญาตอนุเคราะห์จากเค้าก่อนนะ ถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งจะรับรู้ได้โดยญาณของตนเอง เมื่อฝึกฝนมาเต็มที่เต็มภูมิแล้วนั่นเอง แค่เป็นคนเก่งอย่างเดียวมันไม่พอหรอกนะ มันต้องเป็นคนดีด้วย มันถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งฉันเห็นไอ้พวกที่มันอยากจะเป็นอย่างฉันนั้นมันมีมากมายเยอะแยะกันเสียเหลือเกินนักหนา แต่มันก็เป็นไม่ได้หรอก เผลอๆดีไม่ดีมันจะกลายเป็นบ้ากันไปหมดทุกคนเลยนะ เพราะเค้าไม่อนุญาตให้มันเป็น แล้วก็อีกอย่างนึงนะ ไอ้พวกนี้มันชอบเลียนแบบฉันกันนักเชียว กะอีแค่ชื่อนามแฝงของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึงชื่อ Dark Danger นะ)ตำแหน่งของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึง The King Of Dark นะ แต่ตำแหน่งนี้มันเป็นแค่ราชาแห่งความมืดธรรมดาทั่วไป)ซึ่งแค่ตำแหน่งมันก็ไม่เท่าไหร่ เพราะว่าผู้ที่มีคุณสมบัติของราชาแห่งความมืดนี้มีถึง หนึ่ง ใน หนึ่งล้าน คน แต่ว่าผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดนั้นมีเพียงแค่ หนึ่ง ใน หนึ่งพันล้าน คน เท่านั้น แต่ผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงนั้นมีเพียง หนึ่ง ใน หนึ่งล้านล้าน คน เท่านั้นเอง ซึ่งประชากรในโลกนี้มีเพียงหลายพันล้านคนในปัจจุบัน และฉันก็ปรารถนาที่จะเป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงในอนาคตให้จงได้เลย(เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียใจในภายหลังว่าชาติหนึ่งนี้จะไม่ได้เป็น ฉันจะเป็นให้จงได้)ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปในอนาคตอันไกลข้างหน้า ไม่ใช่เพื่อตัวของฉันเองเพียงแค่คนเดียว เพราะว่าการเป็นราชานั้นมันจะต้องแลกกับการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เป็นราชาแล้วมันดูเท่ ดูดี เป็นแล้วมันสบาย ไม่ใช่อย่างนั้นอย่างแน่นอน มีตำแหน่งก็ต้องมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำ ไม่ใช่ไม่มี ซึ่งมันก็เหมือนกันกับในหนังไอ้แมงมุมและหนังอื่นๆที่ว่า “พลังที่ยิ่งใหญ่ มักจะมากับภาระที่ใหญ่ยิ่ง” นั่นเอง และคนที่เคยได้ไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของตำแหน่งราชาที่แท้จริงก็มีให้เห็นเป็นประจักษ์พยานแล้วอยู่คนหนึ่ง คนที่ทุกคนรักและเทิดทูนบูชายิ่งกว่าราชาทั่วไป ราชาที่แท้จริง ราชาเหนือราชาทั้งปวง แค่เอ่ยแค่นี้ก็คงจะนึกออกได้ทันทีทันใด ถ้ายังนึกไม่ออกก็จะบอกให้ คนๆนั้นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่งเองไง “ฉันจะเป็นราชาที่แท้จริงให้จงได้ เป็นให้ได้อย่างท่านให้จงได้ ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)” “ชั่วชีวิตนี้ลูกขอมอบไว้ให้กับพวกท่าน แด่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ตราบใดที่ลูกยังอยู่ ลูกจะขอสืบทอดสานต่อซึ่งเจตจำนงบรรพชน อุดมการณ์พันธมิตรฯ และภารกิจของพวกท่านต่อไป และตลอดไป” ป.ล.ใครอยากจะเป็นราชาแห่งความมืดก็เป็นไป แต่จงจำไว้อย่างนึง คือ ใครที่มันล้อเล่นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันไม่มีทางได้ดีมีความสุขอย่างแน่นอน(เผลอๆมันจะตายโหงตายห่าโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ตายก็ทรมาน เป็นบ้ากัน ทนทุกขเวทนาตลอดชีวิต ตกลงนรกหมกไหม้กันทังเป็นและตายไป)ฉันเตือนแล้วนะ ถ้าไม่อยากเป็นบ้า ก็ขอให้เลิกเป็นซะ แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์ ส่งข้อความถึงประเทศสมาชิก NATO อื่นๆ ว่าต้องช่วยแบกรับภาระทางการเงินสำหรับยูเครนมากขึ้น เนื่องจากสหรัฐใช้เงินไปแล้วกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์ในการสนับสนุนเคียฟ

    "นาโต้ต้องจ่ายเงินมากกว่านี้ นาโต้ต้องจ่าย 5 เปอร์เซ็นต์ (ของจีดีพี) เราใช้งบสงครามยูเครนไปมากกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์"
    ทรัมป์ ส่งข้อความถึงประเทศสมาชิก NATO อื่นๆ ว่าต้องช่วยแบกรับภาระทางการเงินสำหรับยูเครนมากขึ้น เนื่องจากสหรัฐใช้เงินไปแล้วกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์ในการสนับสนุนเคียฟ "นาโต้ต้องจ่ายเงินมากกว่านี้ นาโต้ต้องจ่าย 5 เปอร์เซ็นต์ (ของจีดีพี) เราใช้งบสงครามยูเครนไปมากกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์"
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 22 0 รีวิว
  • ข้อดี-ข้อเสีย ของประกันสุขภาพที่มีการจ่ายแบบ copayment
    .
    ประกันสุขภาพแบบ Co-Payment คือรูปแบบที่ผู้เอาประกันต้องร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลบางส่วนในแต่ละครั้งที่ใช้บริการ โดยมีข้อดีและข้อเสียดังนี้:

    ข้อดี

    1. เบี้ยประกันถูกลง
    เนื่องจากผู้เอาประกันต้องร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายบางส่วน ทำให้บริษัทประกันลดความเสี่ยงลง ส่งผลให้ค่าเบี้ยประกันต่ำกว่าประกันสุขภาพแบบทั่วไปที่ไม่ต้องร่วมจ่าย

    2. ลดการใช้งานเกินความจำเป็น
    การต้องร่วมจ่ายทำให้ผู้เอาประกันตัดสินใจใช้บริการเฉพาะในกรณีที่จำเป็นจริง ลดการเข้ารับการรักษาโดยไม่จำเป็น ซึ่งช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งส่วนตัวและระบบประกัน

    3. ช่วยกระจายภาระค่าใช้จ่าย
    ระบบ Co-Payment ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของบริษัทประกัน ทำให้สามารถให้บริการครอบคลุมคนจำนวนมากขึ้นได้

    ---

    ข้อเสีย

    1. มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในแต่ละครั้ง
    แม้จะจ่ายเบี้ยประกันต่ำ แต่ในแต่ละครั้งที่ใช้บริการ ผู้เอาประกันต้องเตรียมเงินสำรองเพื่อร่วมจ่าย อาจกลายเป็นภาระสำหรับบางคน

    2. อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ใช้บริการบ่อย
    สำหรับคนที่ต้องเข้ารับการรักษาหรือพบแพทย์บ่อย ค่าใช้จ่าย Co-Payment รวมกันอาจสูงกว่าการจ่ายเบี้ยประกันแบบเต็มที่ครอบคลุมทุกกรณี

    3. ความยุ่งยากในการคำนวณค่าใช้จ่าย
    ต้องทำความเข้าใจเงื่อนไขการร่วมจ่าย เช่น สัดส่วนหรือจำนวนเงินที่ต้องจ่ายในแต่ละครั้ง อาจทำให้เกิดความสับสนได้

    4. ไม่คุ้มค่าในกรณีเจ็บป่วยรุนแรง
    หากเกิดอาการป่วยหนักหรือโรคเรื้อรังที่ต้องรักษาต่อเนื่อง ค่า Co-Payment อาจสูงขึ้นจนกลายเป็นภาระมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

    ---

    เหมาะกับใคร?

    ผู้ที่มีสุขภาพดีและเข้ารับการรักษาไม่บ่อย

    ผู้ที่ต้องการประหยัดค่าเบี้ยประกัน

    ผู้ที่สามารถรับมือกับค่าใช้จ่ายส่วนที่ต้องร่วมจ่ายได้

    การเลือกประกันสุขภาพแบบ Co-Payment ควรพิจารณารูปแบบการใช้บริการสุขภาพของตัวเอง เพื่อให้ได้ความคุ้มครองที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุดครับ

    #PlanWise
    ข้อดี-ข้อเสีย ของประกันสุขภาพที่มีการจ่ายแบบ copayment . ประกันสุขภาพแบบ Co-Payment คือรูปแบบที่ผู้เอาประกันต้องร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลบางส่วนในแต่ละครั้งที่ใช้บริการ โดยมีข้อดีและข้อเสียดังนี้: ข้อดี 1. เบี้ยประกันถูกลง เนื่องจากผู้เอาประกันต้องร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายบางส่วน ทำให้บริษัทประกันลดความเสี่ยงลง ส่งผลให้ค่าเบี้ยประกันต่ำกว่าประกันสุขภาพแบบทั่วไปที่ไม่ต้องร่วมจ่าย 2. ลดการใช้งานเกินความจำเป็น การต้องร่วมจ่ายทำให้ผู้เอาประกันตัดสินใจใช้บริการเฉพาะในกรณีที่จำเป็นจริง ลดการเข้ารับการรักษาโดยไม่จำเป็น ซึ่งช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งส่วนตัวและระบบประกัน 3. ช่วยกระจายภาระค่าใช้จ่าย ระบบ Co-Payment ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของบริษัทประกัน ทำให้สามารถให้บริการครอบคลุมคนจำนวนมากขึ้นได้ --- ข้อเสีย 1. มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในแต่ละครั้ง แม้จะจ่ายเบี้ยประกันต่ำ แต่ในแต่ละครั้งที่ใช้บริการ ผู้เอาประกันต้องเตรียมเงินสำรองเพื่อร่วมจ่าย อาจกลายเป็นภาระสำหรับบางคน 2. อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ใช้บริการบ่อย สำหรับคนที่ต้องเข้ารับการรักษาหรือพบแพทย์บ่อย ค่าใช้จ่าย Co-Payment รวมกันอาจสูงกว่าการจ่ายเบี้ยประกันแบบเต็มที่ครอบคลุมทุกกรณี 3. ความยุ่งยากในการคำนวณค่าใช้จ่าย ต้องทำความเข้าใจเงื่อนไขการร่วมจ่าย เช่น สัดส่วนหรือจำนวนเงินที่ต้องจ่ายในแต่ละครั้ง อาจทำให้เกิดความสับสนได้ 4. ไม่คุ้มค่าในกรณีเจ็บป่วยรุนแรง หากเกิดอาการป่วยหนักหรือโรคเรื้อรังที่ต้องรักษาต่อเนื่อง ค่า Co-Payment อาจสูงขึ้นจนกลายเป็นภาระมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ --- เหมาะกับใคร? ผู้ที่มีสุขภาพดีและเข้ารับการรักษาไม่บ่อย ผู้ที่ต้องการประหยัดค่าเบี้ยประกัน ผู้ที่สามารถรับมือกับค่าใช้จ่ายส่วนที่ต้องร่วมจ่ายได้ การเลือกประกันสุขภาพแบบ Co-Payment ควรพิจารณารูปแบบการใช้บริการสุขภาพของตัวเอง เพื่อให้ได้ความคุ้มครองที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุดครับ #PlanWise
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • ❄️แพ็คเกจ HOKKAIDO So Cool 7 วัน 5 คืน❄️
    : หมู่บ้านเทพนิยายนิงเกิ้ลเทอเรส - กระเช้าอาซาฮีดาเกะ - สวนสัตว์อาซาฮิยามะ - หมู่บ้านราเมน - อาซาฮิคาวะ - พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี - นาฬิกาไอน้ำ - คลองโอตารุ - รุสุซึ รีสอร์ท - สวนหมีภูเขาไฟโชวะชินซัน - โนโบริเบทสึ - ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์หมีสีน้ำตาล - หมู่บ้านดาเตะจิไดมุระ - จุดชมวิวเขาโมอิวะ - ศาลเจ้าฮอกไกโดจิงงู
    ไม่รวม
    - ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ รวมถึงค่าภาษีสนามบิน และค่าภาษี
    - ค่าทิปพนักงานยกกระเป๋าโรงแรมที่พัก
    - ค่าธรรมเนียมในกรณีที่กระเป๋าสัมภาระที่มีน้ำหนักเกินกว่าที่สายการบินนั้นๆกำหนด
    - ค่าภาษีน้ำมัน ที่สายการบินเรียกเก็บเพิ่ม ตามประกาศของสายการบินภายหลังจากวันที่จอง

    📍 ช่วงวันเดินทาง :
    ⭕️ราคาเริ่มต้น : 86,356
    📢 ระดับทัวร์ : แพคเกจทัวร์คุณภาพระดับมาตรฐาน
    📢 รหัสทัวร์ : Z11895
    🏢 โรงแรม : ⭐️⭐️⭐️⭐️
    ✈️ สายการบิน : Self travel-เดินทางเอง

    ✔️Travel License: 11/11450
    ✔️โอนบัญชีชื่อ บริษัท วีอาร์ เอเจนซี ทราเวล แอนด์ เทรด จำกัด เท่านั้น

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/e1c61b
    ดูทัวร์ญี่ปุ่นทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/a32eb2

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    📷: etravelway 78s.me/05e8da
    ☎️: 0 2116 6395

    #ทัวร์ญี่ปุ่น #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    ❄️แพ็คเกจ HOKKAIDO So Cool 7 วัน 5 คืน❄️ : หมู่บ้านเทพนิยายนิงเกิ้ลเทอเรส - กระเช้าอาซาฮีดาเกะ - สวนสัตว์อาซาฮิยามะ - หมู่บ้านราเมน - อาซาฮิคาวะ - พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี - นาฬิกาไอน้ำ - คลองโอตารุ - รุสุซึ รีสอร์ท - สวนหมีภูเขาไฟโชวะชินซัน - โนโบริเบทสึ - ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์หมีสีน้ำตาล - หมู่บ้านดาเตะจิไดมุระ - จุดชมวิวเขาโมอิวะ - ศาลเจ้าฮอกไกโดจิงงู ไม่รวม - ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ รวมถึงค่าภาษีสนามบิน และค่าภาษี - ค่าทิปพนักงานยกกระเป๋าโรงแรมที่พัก - ค่าธรรมเนียมในกรณีที่กระเป๋าสัมภาระที่มีน้ำหนักเกินกว่าที่สายการบินนั้นๆกำหนด - ค่าภาษีน้ำมัน ที่สายการบินเรียกเก็บเพิ่ม ตามประกาศของสายการบินภายหลังจากวันที่จอง 📍 ช่วงวันเดินทาง : ⭕️ราคาเริ่มต้น : 86,356 📢 ระดับทัวร์ : แพคเกจทัวร์คุณภาพระดับมาตรฐาน 📢 รหัสทัวร์ : Z11895 🏢 โรงแรม : ⭐️⭐️⭐️⭐️ ✈️ สายการบิน : Self travel-เดินทางเอง ✔️Travel License: 11/11450 ✔️โอนบัญชีชื่อ บริษัท วีอาร์ เอเจนซี ทราเวล แอนด์ เทรด จำกัด เท่านั้น ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/e1c61b ดูทัวร์ญี่ปุ่นทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/a32eb2 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์ญี่ปุ่น #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ไม่ว่าง!!"
    เซเลนสกีเผยไม่ได้เข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของทรัมป์เพราะติดว่าต้อง “ทำงานที่บ้าน” (Work at Home)

    น่าสนใจที่เซเลนสกีอ้างเรื่องภาระผูกพันในประเทศเป็นเหตุผลที่ไม่เดินทางเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของทรัมป์ เพราะในปี 2024 เพียงปีเดียว เขาเดินทางไปทั่วโลกกว่า 35 ประเทศ โดยไม่มี “งานที่บ้าน” คอยขัดขวางเขาเลยแม้แต่น้อย

    เฉพาะในช่วงหลังปีใหม่เพียงสองสัปดาห์ เขาเดินทางไปเยอรมนี อิตาลี และโปแลนด์มาแล้ว แต่อยู่ๆเขาเกิดมีงานยุ่งมากทันทีในช่วงพิธีสาบานตนของทรัมป์

    ก่อนหน้านี้มีรายงานว่าเขาขอไปวอชิงตันถึงสามครั้ง แต่ได้รับการปฏิเสธทุกครั้ง!!!
    "ไม่ว่าง!!" เซเลนสกีเผยไม่ได้เข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของทรัมป์เพราะติดว่าต้อง “ทำงานที่บ้าน” (Work at Home) น่าสนใจที่เซเลนสกีอ้างเรื่องภาระผูกพันในประเทศเป็นเหตุผลที่ไม่เดินทางเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของทรัมป์ เพราะในปี 2024 เพียงปีเดียว เขาเดินทางไปทั่วโลกกว่า 35 ประเทศ โดยไม่มี “งานที่บ้าน” คอยขัดขวางเขาเลยแม้แต่น้อย เฉพาะในช่วงหลังปีใหม่เพียงสองสัปดาห์ เขาเดินทางไปเยอรมนี อิตาลี และโปแลนด์มาแล้ว แต่อยู่ๆเขาเกิดมีงานยุ่งมากทันทีในช่วงพิธีสาบานตนของทรัมป์ ก่อนหน้านี้มีรายงานว่าเขาขอไปวอชิงตันถึงสามครั้ง แต่ได้รับการปฏิเสธทุกครั้ง!!!
    Like
    Yay
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้สนับสนุนยุน ซอก-ยอลบุกเข้าทำลายทรัพย์สินในศาลกรุงโซล หลังผู้พิพากษาตกลงขยายเวลาการควบคุมตัวประธานาธิบดีที่กำลังถูกดำเนินการถอดถอนจากการประกาศกฎอัยการศึกเมื่อปลายปีที่แล้ว
    .
    วันเสาร์ (18 ม.ค) ประชาชนหลายหมื่นคนรวมตัวหน้าศาลแขวงโซลตะวันตกเพื่อให้กำลังใจยุนที่เป็นประธานาธิบดีคนแรกของเกาหลีใต้ที่ถูกจับกุมระหว่างดำรงตำแหน่ง
    .
    หลังจากศาลประกาศคำวินิจฉัยเมื่อราว 3.00 น. ของวันอาทิตย์ โดยอนุมัติการควบคุมตัวยุนต่ออีก 20 วัน เนื่องจากมีความกังวลว่า เขาอาจทำลายหลักฐานถ้าได้รับการปล่อยตัวออกไปนั้น บรรดาผู้สนับสนุนประธานาธิบดีผู้นี้ได้ใช้อุปกรณ์ดับเพลิงพ่นใส่แถวตำรวจที่ควบคุมสถานการณ์อยู่หน้าทางเข้าศาล ก่อนกรูกันเข้าไปในศาล ทำลายอุปกรณ์สำนักงานและเฟอร์นิเจอร์
    .
    ตำรวจใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงจึงสามารถฟื้นความสงบเรียบร้อย และจับกุมผู้ประท้วงได้ 46 คน รวมทั้งประกาศว่า จะตามจับตัวผู้ก่อเหตุรุนแรงคนอื่นๆ มาดำเนินคดี และมีรายงานว่า ตำรวจ 9 นาย และประชาชน 40 คนได้รับบาดเจ็บ
    .
    ชอย ซัง-ม็อก รักษาการประธานาธิบดี แถลงแสดงความเสียใจอย่างมากต่อการก่อความรุนแรงนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่คาดฝันในสังคมประชาธิปไตย และเสริมว่า เจ้าหน้าที่จะเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยตามพื้นที่ต่างๆ ที่มีการชุมนุม
    .
    ด้านยุนเผยว่า ตกใจและเสียใจมากกับการจู่โจมศาล และประกาศว่า จะยืนหยัดแก้ไขความอยุติธรรม ไม่ว่าจะใช้เวลานานเพียงใดก็ตาม
    .
    เหตุการณ์นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิกฤตการเมืองเกาหลีใต้ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ยุนประกาศกฎอัยการศึกและส่งทหารไปควบคุมรัฐสภา อย่างไรก็ดี คำสั่งดังกล่าวบังคับใช้ได้เพียง 6 ชั่วโมง จนกระทั่งสมาชิกรัฐสภาสามารถฝ่าแนวล้อมของทหารและเข้าสู่สภาเพื่อลงมติล้มล้างการประกาศกฎอัยการศึกสำเร็จ
    .
    หลังจากนั้น ยุนถูกลงมติให้ดำเนินการถอดถอนและต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะเสร็จสิ้นการวินิจฉัยว่าจะถอดถอนหรือคืนตำแหน่งให้ นอกจากนั้น เขายังถูกสอบสวนคดีอาญาจากการประกาศกฎอัยการศึก
    .
    ผู้สนับสนุนยืนยันว่า การตัดสินใจประกาศกฎอัยการศึกของยุนเป็นสิ่งถูกต้อง โดยอ้างทั้งที่ไม่มีหลักฐานว่า มีการโกงการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้วที่ฝ่ายค้านคว้าชัยชนะ
    .
    ม็อบเหล่านี้มักโบกธงอเมริกันและใช้คำว่า “หยุดปล้นชัยชนะ” ซึ่งเชื่อมโยงกับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ที่เหล่าผู้สนับสนุนบุกอาคารรัฐสภาเพื่อพยายามล้มล้างผลการเลือกตั้งที่ทรัมป์เป็นฝ่ายแพ้เมื่อหลายปีก่อน
    .
    ลี โฮ-ยอง รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแถลงว่า จะสอบสวนว่า ยูทูบเบอร์ฝ่ายขวาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์รุนแรงล่าสุดนี้หรือไม่ หลังจากมีการไลฟ์สดเหตุการณ์โจมตีศาล
    .
    ซอก ดง-ฮยอน ทนายความของยุน ประณามการวินิจฉัยของศาล พร้อมเตือนผู้สนับสนุนว่า การใช้ความรุนแรงจะสร้างภาระให้การไต่สวนยุนที่กำลังจะเกิดขึ้น
    .
    ทั้งนี้ ขณะที่ยุนต้องกลับเข้าสู่ห้องขังเดี่ยวภายหลังเดินทางไปปรากฏตัวที่ศาลในวันเสาร์นั้น อัยการเผยว่า เตรียมฟ้องร้องยุนในคดีอาญาข้อหาก่อกบฏอย่างเป็นทางการ ซึ่งอาจทำให้ประธานาธิบดีผู้นี้ถูกจำคุกตลอดชีวิตหรือรับโทษประหาร หากถูกตัดสินว่าผิดจริง
    .
    ขณะเดียวกัน สำนักงานสอบสวนการทุจริตเผยว่าจะส่งหมายเรียกอีกครั้งในวันจันทร์ (20 ม.ค.) หลังจากยุนปฏิเสธไปให้ปากคำในวันอาทิตย์
    .
    นอกจากนั้น ยุนยังไม่ไปปรากฏตัวที่ศาลรัฐธรรมนูญที่กำลังพิจารณาว่า จะถอดถอนหรือคืนตำแหน่งให้เขา ซึ่งหากศาลลงความเห็นให้ถอดถอน ยุนจะพ้นจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการและต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 60 วัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000005825
    ..............
    Sondhi X
    ผู้สนับสนุนยุน ซอก-ยอลบุกเข้าทำลายทรัพย์สินในศาลกรุงโซล หลังผู้พิพากษาตกลงขยายเวลาการควบคุมตัวประธานาธิบดีที่กำลังถูกดำเนินการถอดถอนจากการประกาศกฎอัยการศึกเมื่อปลายปีที่แล้ว . วันเสาร์ (18 ม.ค) ประชาชนหลายหมื่นคนรวมตัวหน้าศาลแขวงโซลตะวันตกเพื่อให้กำลังใจยุนที่เป็นประธานาธิบดีคนแรกของเกาหลีใต้ที่ถูกจับกุมระหว่างดำรงตำแหน่ง . หลังจากศาลประกาศคำวินิจฉัยเมื่อราว 3.00 น. ของวันอาทิตย์ โดยอนุมัติการควบคุมตัวยุนต่ออีก 20 วัน เนื่องจากมีความกังวลว่า เขาอาจทำลายหลักฐานถ้าได้รับการปล่อยตัวออกไปนั้น บรรดาผู้สนับสนุนประธานาธิบดีผู้นี้ได้ใช้อุปกรณ์ดับเพลิงพ่นใส่แถวตำรวจที่ควบคุมสถานการณ์อยู่หน้าทางเข้าศาล ก่อนกรูกันเข้าไปในศาล ทำลายอุปกรณ์สำนักงานและเฟอร์นิเจอร์ . ตำรวจใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงจึงสามารถฟื้นความสงบเรียบร้อย และจับกุมผู้ประท้วงได้ 46 คน รวมทั้งประกาศว่า จะตามจับตัวผู้ก่อเหตุรุนแรงคนอื่นๆ มาดำเนินคดี และมีรายงานว่า ตำรวจ 9 นาย และประชาชน 40 คนได้รับบาดเจ็บ . ชอย ซัง-ม็อก รักษาการประธานาธิบดี แถลงแสดงความเสียใจอย่างมากต่อการก่อความรุนแรงนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่คาดฝันในสังคมประชาธิปไตย และเสริมว่า เจ้าหน้าที่จะเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยตามพื้นที่ต่างๆ ที่มีการชุมนุม . ด้านยุนเผยว่า ตกใจและเสียใจมากกับการจู่โจมศาล และประกาศว่า จะยืนหยัดแก้ไขความอยุติธรรม ไม่ว่าจะใช้เวลานานเพียงใดก็ตาม . เหตุการณ์นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิกฤตการเมืองเกาหลีใต้ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ยุนประกาศกฎอัยการศึกและส่งทหารไปควบคุมรัฐสภา อย่างไรก็ดี คำสั่งดังกล่าวบังคับใช้ได้เพียง 6 ชั่วโมง จนกระทั่งสมาชิกรัฐสภาสามารถฝ่าแนวล้อมของทหารและเข้าสู่สภาเพื่อลงมติล้มล้างการประกาศกฎอัยการศึกสำเร็จ . หลังจากนั้น ยุนถูกลงมติให้ดำเนินการถอดถอนและต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะเสร็จสิ้นการวินิจฉัยว่าจะถอดถอนหรือคืนตำแหน่งให้ นอกจากนั้น เขายังถูกสอบสวนคดีอาญาจากการประกาศกฎอัยการศึก . ผู้สนับสนุนยืนยันว่า การตัดสินใจประกาศกฎอัยการศึกของยุนเป็นสิ่งถูกต้อง โดยอ้างทั้งที่ไม่มีหลักฐานว่า มีการโกงการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้วที่ฝ่ายค้านคว้าชัยชนะ . ม็อบเหล่านี้มักโบกธงอเมริกันและใช้คำว่า “หยุดปล้นชัยชนะ” ซึ่งเชื่อมโยงกับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ที่เหล่าผู้สนับสนุนบุกอาคารรัฐสภาเพื่อพยายามล้มล้างผลการเลือกตั้งที่ทรัมป์เป็นฝ่ายแพ้เมื่อหลายปีก่อน . ลี โฮ-ยอง รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแถลงว่า จะสอบสวนว่า ยูทูบเบอร์ฝ่ายขวาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์รุนแรงล่าสุดนี้หรือไม่ หลังจากมีการไลฟ์สดเหตุการณ์โจมตีศาล . ซอก ดง-ฮยอน ทนายความของยุน ประณามการวินิจฉัยของศาล พร้อมเตือนผู้สนับสนุนว่า การใช้ความรุนแรงจะสร้างภาระให้การไต่สวนยุนที่กำลังจะเกิดขึ้น . ทั้งนี้ ขณะที่ยุนต้องกลับเข้าสู่ห้องขังเดี่ยวภายหลังเดินทางไปปรากฏตัวที่ศาลในวันเสาร์นั้น อัยการเผยว่า เตรียมฟ้องร้องยุนในคดีอาญาข้อหาก่อกบฏอย่างเป็นทางการ ซึ่งอาจทำให้ประธานาธิบดีผู้นี้ถูกจำคุกตลอดชีวิตหรือรับโทษประหาร หากถูกตัดสินว่าผิดจริง . ขณะเดียวกัน สำนักงานสอบสวนการทุจริตเผยว่าจะส่งหมายเรียกอีกครั้งในวันจันทร์ (20 ม.ค.) หลังจากยุนปฏิเสธไปให้ปากคำในวันอาทิตย์ . นอกจากนั้น ยุนยังไม่ไปปรากฏตัวที่ศาลรัฐธรรมนูญที่กำลังพิจารณาว่า จะถอดถอนหรือคืนตำแหน่งให้เขา ซึ่งหากศาลลงความเห็นให้ถอดถอน ยุนจะพ้นจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการและต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 60 วัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000005825 .............. Sondhi X
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 951 มุมมอง 0 รีวิว
  • จิตนี้สำคัญ
    หมั่นเพียรระวัง
    อบรมสอนสั่ง
    ยังคุณการงาน

    ตำแหน่งจิตนี้
    มีเป็นประธาน
    รับผิดชอบงาน
    ภาระมากมาย

    ดีชั่วบาปบุญ
    หมุ่นวนเวียนว่าย
    จิตล้วนรับไว้
    ให้เพียรสะสาง

    จิตภาวนา
    พาธรรมหนทาง
    ปัญญากระจ่าง
    ทางธรรมจิตได้

    จิตแท้ดั้งเดิม
    เติมเต็มโยงใย
    ด้วยธรรมอาศัย
    ให้พอเหมาะควร
    จิตนี้สำคัญ หมั่นเพียรระวัง อบรมสอนสั่ง ยังคุณการงาน ตำแหน่งจิตนี้ มีเป็นประธาน รับผิดชอบงาน ภาระมากมาย ดีชั่วบาปบุญ หมุ่นวนเวียนว่าย จิตล้วนรับไว้ ให้เพียรสะสาง จิตภาวนา พาธรรมหนทาง ปัญญากระจ่าง ทางธรรมจิตได้ จิตแท้ดั้งเดิม เติมเต็มโยงใย ด้วยธรรมอาศัย ให้พอเหมาะควร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่นอะไรกัน!?!
    ไบเดนออกกฎหมายแบน TikTok หากไม่ขายให้ชาวอเมริกัน ศาลฎีกาเห็นด้วยตามกฎหมายของไบเดน ล่าสุดไบเดนออกแถลงการณ์ต้องการให้ TikTok ยังคงมีอยู่ต่อไปในอเมริกา แต่ให้รัฐบาลถัดไปซึ่งก็คือทรัมป์ เป็นฝ่ายตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไรหลังมีคำตัดสินของศาล

    หลังจากศาลฎีกามีคำตัดสินเป็นเอกฉันท์ให้ยืนยันกฎหมายอนุญาตให้กฎหมายแบน Tiktok มีผลบังคับใช้ ซึ่งประธานาธิบดีไบเดนลงนามในกฎหมายดังกล่าวเมื่อเดือนเมษายน หลังจากผ่านการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากทั้งเดโมแครตและรีพับลิกันในรัฐสภา

    กฎหมายดังกล่าวกำหนดให้ TikTok ต้องขายให้กับผู้ซื้อชาวอเมริกันภายในวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2568 นี้ มิฉะนั้นจะถูกแบนในสหรัฐอเมริกาทันที

    ทางด้านฝ่ายบริหาร TikTok ออกมากล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า คำตัดสินของศาลฎีกาจะส่งผลให้ต้องปิดการเข้าถึงแอป TikTok ที่ให้บริการชาวอเมริกันมากกว่า 170 ล้านคนในวันอาทิตย์นี้ เว้นแต่ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อให้บริษัทมั่นใจว่าจะไม่ถูกแบนตามที่กฎหมายระบุไว้


    และนี่เป็นที่มาของแถลงการณ์จากทำเนียบขาวเกี่ยวกับการตัดสินใจของศาลฎีกาเกี่ยวกับคำตัดสินเห็นด้วยในการแบน TikTok ซึ่งเป็นกฎหมายของไบเดนเอง:

    “TikTok ควรยังคงให้บริการแก่ชาวอเมริกัน”

    "ฝ่ายบริหาร เช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ ของประเทศ กำลังรอการตัดสินใจของศาลฎีกาสหรัฐเกี่ยวกับกรณี TikTok ที่เพิ่งมีขึ้น

    จุดยืนของประธานาธิบดีไบเดนเกี่ยวกับ TikTok นั้นชัดเจนมาหลายเดือนแล้ว รวมถึงตั้งแต่ที่รัฐสภาส่งร่างกฎหมายไปยังโต๊ะของประธานาธิบดีด้วยวิธีการแบบสองพรรคการเมืองอย่างท่วมท้น:

    TikTok ควรยังคงให้บริการแก่ชาวอเมริกันได้ แต่จะต้องอยู่ภายใต้การเป็นเจ้าของของชาวอเมริกันหรือเจ้าของรายอื่นที่แก้ไขปัญหาความมั่นคงของชาติที่รัฐสภาระบุไว้ในการพัฒนากฎหมายนี้

    เมื่อพิจารณาจากระยะเวลาอันสั้น ฝ่ายบริหารนี้จึงยอมรับว่าการดำเนินการเพื่อนำกฎหมายนี้ไปปฏิบัติจะต้องตกเป็นของฝ่ายบริหารชุดต่อไปซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งในวันจันทร์นี้"
    เล่นอะไรกัน!?! ไบเดนออกกฎหมายแบน TikTok หากไม่ขายให้ชาวอเมริกัน ศาลฎีกาเห็นด้วยตามกฎหมายของไบเดน ล่าสุดไบเดนออกแถลงการณ์ต้องการให้ TikTok ยังคงมีอยู่ต่อไปในอเมริกา แต่ให้รัฐบาลถัดไปซึ่งก็คือทรัมป์ เป็นฝ่ายตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไรหลังมีคำตัดสินของศาล หลังจากศาลฎีกามีคำตัดสินเป็นเอกฉันท์ให้ยืนยันกฎหมายอนุญาตให้กฎหมายแบน Tiktok มีผลบังคับใช้ ซึ่งประธานาธิบดีไบเดนลงนามในกฎหมายดังกล่าวเมื่อเดือนเมษายน หลังจากผ่านการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากทั้งเดโมแครตและรีพับลิกันในรัฐสภา กฎหมายดังกล่าวกำหนดให้ TikTok ต้องขายให้กับผู้ซื้อชาวอเมริกันภายในวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2568 นี้ มิฉะนั้นจะถูกแบนในสหรัฐอเมริกาทันที ทางด้านฝ่ายบริหาร TikTok ออกมากล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า คำตัดสินของศาลฎีกาจะส่งผลให้ต้องปิดการเข้าถึงแอป TikTok ที่ให้บริการชาวอเมริกันมากกว่า 170 ล้านคนในวันอาทิตย์นี้ เว้นแต่ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อให้บริษัทมั่นใจว่าจะไม่ถูกแบนตามที่กฎหมายระบุไว้ และนี่เป็นที่มาของแถลงการณ์จากทำเนียบขาวเกี่ยวกับการตัดสินใจของศาลฎีกาเกี่ยวกับคำตัดสินเห็นด้วยในการแบน TikTok ซึ่งเป็นกฎหมายของไบเดนเอง: “TikTok ควรยังคงให้บริการแก่ชาวอเมริกัน” "ฝ่ายบริหาร เช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ ของประเทศ กำลังรอการตัดสินใจของศาลฎีกาสหรัฐเกี่ยวกับกรณี TikTok ที่เพิ่งมีขึ้น จุดยืนของประธานาธิบดีไบเดนเกี่ยวกับ TikTok นั้นชัดเจนมาหลายเดือนแล้ว รวมถึงตั้งแต่ที่รัฐสภาส่งร่างกฎหมายไปยังโต๊ะของประธานาธิบดีด้วยวิธีการแบบสองพรรคการเมืองอย่างท่วมท้น: TikTok ควรยังคงให้บริการแก่ชาวอเมริกันได้ แต่จะต้องอยู่ภายใต้การเป็นเจ้าของของชาวอเมริกันหรือเจ้าของรายอื่นที่แก้ไขปัญหาความมั่นคงของชาติที่รัฐสภาระบุไว้ในการพัฒนากฎหมายนี้ เมื่อพิจารณาจากระยะเวลาอันสั้น ฝ่ายบริหารนี้จึงยอมรับว่าการดำเนินการเพื่อนำกฎหมายนี้ไปปฏิบัติจะต้องตกเป็นของฝ่ายบริหารชุดต่อไปซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งในวันจันทร์นี้"
    Like
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 349 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีอิหร่าน มาซูด เปเซชเคียน เข้าพบประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย ที่มอสโกเพื่อลงนามข้อตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Russia-Iran Comprehensive Strategic Partnership Agreement)

    ตามรายงานก่อนหน้านี้ ข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว มีกำหนดระยะเวลายาวนานถึง 20 ปี

    ข้อตกลงดังกล่าว จะรวมถึงข้อตกลงการป้องกันภัยคุกคามที่ครอบคลุมร่วมกันด้วย โดยมีภาระผูกพันที่จะต้องปกป้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หากประเทศใดประเทศหนึ่งถูกโจมตี (ลักษณะมาตรา 5 ของนาโต้)

    นอกจากนี้ ข้อตกลงความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมนี้จะเป็นการพัฒนาครั้งสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่าน-รัสเซีย ซึ่งจะรวมถึงการลงทุน ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่กว้างขวาง การแบ่งปันความรู้ วิทยาการ และความร่วมมือทางทหารอย่างกว้างขวาง

    รัสเซียได้ทำข้อตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับเกาหลีเหนือด้วยเช่นกันเมื่อกลางปี 2567
    ประธานาธิบดีอิหร่าน มาซูด เปเซชเคียน เข้าพบประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย ที่มอสโกเพื่อลงนามข้อตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Russia-Iran Comprehensive Strategic Partnership Agreement) ตามรายงานก่อนหน้านี้ ข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว มีกำหนดระยะเวลายาวนานถึง 20 ปี ข้อตกลงดังกล่าว จะรวมถึงข้อตกลงการป้องกันภัยคุกคามที่ครอบคลุมร่วมกันด้วย โดยมีภาระผูกพันที่จะต้องปกป้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หากประเทศใดประเทศหนึ่งถูกโจมตี (ลักษณะมาตรา 5 ของนาโต้) นอกจากนี้ ข้อตกลงความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมนี้จะเป็นการพัฒนาครั้งสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่าน-รัสเซีย ซึ่งจะรวมถึงการลงทุน ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่กว้างขวาง การแบ่งปันความรู้ วิทยาการ และความร่วมมือทางทหารอย่างกว้างขวาง รัสเซียได้ทำข้อตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับเกาหลีเหนือด้วยเช่นกันเมื่อกลางปี 2567
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 541 มุมมอง 22 0 รีวิว
  • Scott Bessent มานั่งแทน เจเน็ต เยเลน , treasury secretary, นวค.มอง สิ่งที่เบสเซนจะเดินหน้า
    1. ขยายเวลามาตราการลดภาษีให้กับบริษัทสหรัฐ

    2. การคว่ำบาตรอุตฯน้ำมัน (อันนี้อาจจะขัดกับมุมมองที่เราเห็นความสัมพันธ์ของทรัมป์กับปูตินว่าไม่ได้เป็นเชิงตึง ต้องการจัดหนัก) แต่การดำเนินการใด ๆ ที่มีผลกับราคาน้ำมันรัสเซีย จะวนมาเป็นประโยชน์กับการส่งออกน้ำมันของสหรัฐ (ช่วยสถานะการคลังสหรัฐในที่สุด) ตอนนี้สหรัฐเป็นผู้ส่งน้ำมันรายใหญ่ของโลก ในขณะที่จีนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันอันดับ 1 ของโลก การดันราคาน้ำมันทำให้สหรัฐมีรายได้เพิ่ม จีนมีภาระค่าใช้จ่ายราคาน้ำมันสูงขึ้น บั่นทอนสถานะการคลังจีน (แม้ส่วนหนึ่งจีนจะเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรัสเซียมากลั่นและส่งออกขายอีกทอดก็ตาม)

    3. รักษาสถานะ ดอลลาร์สหรัฐ ให้เป็นทุนสำรองของธนาคารกลางทั่วโลกต่อไปอย่างแข็งแกร่ง (ช่วงที่ผานมา ค่อนข้างจะถดถอย สังเกตุได้จากธนาคารกลางชาติต่าง ๆ เข้าถือทองคำกันมากขึ้น)

    4. ประเด็นคาร์บอน เครดิต จะถูกดันขึ้นมา
    * เบสเซน เป็นคนที่ชาวคริปโตฯ ชื่นชม มองว่าจะเป็นปัจจัยบวกกับราคาคริปโต โดยเฉพาะ BTC นอกจากนี้ยังคาดว่า ทรัมป์จะดัน คริปโตฯ เป็นวาระแห่งชาติ << ในพอร์ต bessent มี BTC ETF มูลค่า ~5 แสนเหรียญสหรัฐ
    ** เบสเซน เป็นอดีตมือขวา จอร์จ โซรอส มีประสบการณ์ร่วมช่วงโซรอสเข้าทำกำไรค่าเงินปอนด์ ฯลฯ
    #เศรษฐกิจ
    Scott Bessent มานั่งแทน เจเน็ต เยเลน , treasury secretary, นวค.มอง สิ่งที่เบสเซนจะเดินหน้า 1. ขยายเวลามาตราการลดภาษีให้กับบริษัทสหรัฐ 2. การคว่ำบาตรอุตฯน้ำมัน (อันนี้อาจจะขัดกับมุมมองที่เราเห็นความสัมพันธ์ของทรัมป์กับปูตินว่าไม่ได้เป็นเชิงตึง ต้องการจัดหนัก) แต่การดำเนินการใด ๆ ที่มีผลกับราคาน้ำมันรัสเซีย จะวนมาเป็นประโยชน์กับการส่งออกน้ำมันของสหรัฐ (ช่วยสถานะการคลังสหรัฐในที่สุด) ตอนนี้สหรัฐเป็นผู้ส่งน้ำมันรายใหญ่ของโลก ในขณะที่จีนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันอันดับ 1 ของโลก การดันราคาน้ำมันทำให้สหรัฐมีรายได้เพิ่ม จีนมีภาระค่าใช้จ่ายราคาน้ำมันสูงขึ้น บั่นทอนสถานะการคลังจีน (แม้ส่วนหนึ่งจีนจะเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรัสเซียมากลั่นและส่งออกขายอีกทอดก็ตาม) 3. รักษาสถานะ ดอลลาร์สหรัฐ ให้เป็นทุนสำรองของธนาคารกลางทั่วโลกต่อไปอย่างแข็งแกร่ง (ช่วงที่ผานมา ค่อนข้างจะถดถอย สังเกตุได้จากธนาคารกลางชาติต่าง ๆ เข้าถือทองคำกันมากขึ้น) 4. ประเด็นคาร์บอน เครดิต จะถูกดันขึ้นมา * เบสเซน เป็นคนที่ชาวคริปโตฯ ชื่นชม มองว่าจะเป็นปัจจัยบวกกับราคาคริปโต โดยเฉพาะ BTC นอกจากนี้ยังคาดว่า ทรัมป์จะดัน คริปโตฯ เป็นวาระแห่งชาติ << ในพอร์ต bessent มี BTC ETF มูลค่า ~5 แสนเหรียญสหรัฐ ** เบสเซน เป็นอดีตมือขวา จอร์จ โซรอส มีประสบการณ์ร่วมช่วงโซรอสเข้าทำกำไรค่าเงินปอนด์ ฯลฯ #เศรษฐกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17/1/68

    ‼️กลางปีนี้ บ้านไหนไม่แยกขยะ🏠กทม.จะ #ขึ้นค่าเก็บขยะ เป็น 60 บาทต่อเดือนแล้วนะ‼️

    🏠ใครอยากจ่ายเท่าเดิม 20 บาท 👉 รีบ Save คู่มือ "ฮาวทูทิ้ง" ฉบับกทม. 🚮 แล้วมาเริ่มแยกขยะง่าย ๆ

    ด้วยการระบุข้อความบนถุงขยะ เพื่อความสะดวกในการคัดแยก 🗑️✨

    ++++++++++++
    ประเภทขยะที่ควรรู้
    ++++++++++++

    👉🏼 ขยะทั่วไป เช่น

    ถุงพลาสติกเปื้อนอาหาร 🍟
    ซองบะหมี่ 🍜
    ถุงขนม 🍬
    กล่องโฟม 📦
    ผ้าอ้อมสำเร็จรูป 🍼

    .
    👉🏼 ขยะเศษอาหาร เช่น

    เศษผักผลไม้ 🍎
    เศษอาหาร 🍲
    เศษเนื้อสัตว์ 🍖

    .
    👉🏼 ขยะรีไซเคิล เช่น

    กระดาษ 📄
    พลาสติก ♻️
    แก้ว 🍶
    โลหะ ⚙️

    .
    👉🏼 ขยะอันตราย เช่น

    หลอดไฟ 💡
    แบตเตอรี่ 🔋
    ถ่านไฟฉาย 🔦
    ยาหมดอายุ 💊
    กระป๋องสเปรย์ 🧴
    ขวดน้ำยาล้างห้องน้ำ 🧼
    .
    +++++++++++++++
    คำถามยอดฮิต ❓
    แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าใครแยก/ไม่แยกขยะ ⁉️
    +++++++++++++++

    กทม.จะเปิดให้บ้านที่แยกขยะ ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ #บ้านนี้ไม่เทรวม เพื่อจ่ายค่าขยะลดเหลือ 20 บาทเท่าเดิม 💰

    โดยช่วงกลางเดือน ม.ค.นี้ จะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน BKK Waste Pay 📲

    หรือเข้าไปติดต่อที่ฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ สำนักงานเขตที่มีทะเบียนบ้านอยู่ 📋 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ลงทะเบียนในระบบ

    🛠️ โดยกทม.จะมีการตรวจสอบเพื่อยืนยันว่ามีการคัดแยกขยะจริง ✅

    +++++++++++++++
    ทำไมต้องปรับค่าเก็บขยะเพิ่ม?
    +++++++++++++++

    🌿 การปรับค่าธรรมเนียมใหม่จะใช้เฉพาะบ้านที่ไม่คัดแยกขยะเท่านั้น
    เพื่อส่งเสริมการแยกขยะ ลดปริมาณขยะในกรุงเทพฯ และช่วยลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก 🌏

    ปัจจุบัน กทม. ต้องรับภาระจัดการขยะในแต่ละวันะเฉลี่ยเกือบหมื่นตัน

    ซึ่งมีใช้ค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะอยู่ที่ประมาณ 2,300 บาท/ตัน

    เมื่อปริมาณขยะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การแยกขยะจึงเป็นอีกแนวทางสำคัญที่จะช่วยลดภาระในด้านการจัดการขยะ

    โดยข้อบัญญัติฯ ค่าธรรมเนียมขยะฉบับใหม่ จะมีผลบังคับใช้ในอีก 180 วัน หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งคาดว่าประมาณเดือนมิ.ย. 2568

    .
    📌ค่าธรรมเนียมขยะใหม่ สำหรับบ้านพักอาศัยที่มีขยะไม่เกิน 20 ลิตร/วัน หรือไม่เกิน 4 กก./วัน

    1️⃣ บ้านที่ไม่คัดแยกขยะ
    ค่าธรรมเนียม 60 บาท/เดือน (ค่าเก็บขน 30 บาท + ค่ากำจัด 30 บาท)
    .
    2️⃣ บ้านที่คัดแยกขยะ
    ค่าธรรมเนียม 20 บาท/เดือน (ค่าเก็บขน 10 บาท + ค่ากำจัด 10 บาท)

    +++++++++++++++

    ประโยชน์ของการปรับอัตราค่าขยะ

    ✔️ ลดปริมาณขยะในพื้นที่กรุงเทพฯ
    ✔️ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการขยะ
    ✔️ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนกรุงเทพฯ
    ✔️ ลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก

    เริ่มต้นแยกขยะวันนี้ นอกจากไม่ต้องค่าขยะเพิ่มแล้ว
    ยังช่วยโลก ช่วยสิ่งแวดล้อม ได้เยอะเลย ✨🌱
    17/1/68 ‼️กลางปีนี้ บ้านไหนไม่แยกขยะ🏠กทม.จะ #ขึ้นค่าเก็บขยะ เป็น 60 บาทต่อเดือนแล้วนะ‼️ 🏠ใครอยากจ่ายเท่าเดิม 20 บาท 👉 รีบ Save คู่มือ "ฮาวทูทิ้ง" ฉบับกทม. 🚮 แล้วมาเริ่มแยกขยะง่าย ๆ ด้วยการระบุข้อความบนถุงขยะ เพื่อความสะดวกในการคัดแยก 🗑️✨ ++++++++++++ ประเภทขยะที่ควรรู้ ++++++++++++ 👉🏼 ขยะทั่วไป เช่น ถุงพลาสติกเปื้อนอาหาร 🍟 ซองบะหมี่ 🍜 ถุงขนม 🍬 กล่องโฟม 📦 ผ้าอ้อมสำเร็จรูป 🍼 . 👉🏼 ขยะเศษอาหาร เช่น เศษผักผลไม้ 🍎 เศษอาหาร 🍲 เศษเนื้อสัตว์ 🍖 . 👉🏼 ขยะรีไซเคิล เช่น กระดาษ 📄 พลาสติก ♻️ แก้ว 🍶 โลหะ ⚙️ . 👉🏼 ขยะอันตราย เช่น หลอดไฟ 💡 แบตเตอรี่ 🔋 ถ่านไฟฉาย 🔦 ยาหมดอายุ 💊 กระป๋องสเปรย์ 🧴 ขวดน้ำยาล้างห้องน้ำ 🧼 . +++++++++++++++ คำถามยอดฮิต ❓ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าใครแยก/ไม่แยกขยะ ⁉️ +++++++++++++++ กทม.จะเปิดให้บ้านที่แยกขยะ ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ #บ้านนี้ไม่เทรวม เพื่อจ่ายค่าขยะลดเหลือ 20 บาทเท่าเดิม 💰 โดยช่วงกลางเดือน ม.ค.นี้ จะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน BKK Waste Pay 📲 หรือเข้าไปติดต่อที่ฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ สำนักงานเขตที่มีทะเบียนบ้านอยู่ 📋 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ลงทะเบียนในระบบ 🛠️ โดยกทม.จะมีการตรวจสอบเพื่อยืนยันว่ามีการคัดแยกขยะจริง ✅ +++++++++++++++ ทำไมต้องปรับค่าเก็บขยะเพิ่ม? +++++++++++++++ 🌿 การปรับค่าธรรมเนียมใหม่จะใช้เฉพาะบ้านที่ไม่คัดแยกขยะเท่านั้น เพื่อส่งเสริมการแยกขยะ ลดปริมาณขยะในกรุงเทพฯ และช่วยลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก 🌏 ปัจจุบัน กทม. ต้องรับภาระจัดการขยะในแต่ละวันะเฉลี่ยเกือบหมื่นตัน ซึ่งมีใช้ค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะอยู่ที่ประมาณ 2,300 บาท/ตัน เมื่อปริมาณขยะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การแยกขยะจึงเป็นอีกแนวทางสำคัญที่จะช่วยลดภาระในด้านการจัดการขยะ โดยข้อบัญญัติฯ ค่าธรรมเนียมขยะฉบับใหม่ จะมีผลบังคับใช้ในอีก 180 วัน หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งคาดว่าประมาณเดือนมิ.ย. 2568 . 📌ค่าธรรมเนียมขยะใหม่ สำหรับบ้านพักอาศัยที่มีขยะไม่เกิน 20 ลิตร/วัน หรือไม่เกิน 4 กก./วัน 1️⃣ บ้านที่ไม่คัดแยกขยะ ค่าธรรมเนียม 60 บาท/เดือน (ค่าเก็บขน 30 บาท + ค่ากำจัด 30 บาท) . 2️⃣ บ้านที่คัดแยกขยะ ค่าธรรมเนียม 20 บาท/เดือน (ค่าเก็บขน 10 บาท + ค่ากำจัด 10 บาท) +++++++++++++++ ประโยชน์ของการปรับอัตราค่าขยะ ✔️ ลดปริมาณขยะในพื้นที่กรุงเทพฯ ✔️ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการขยะ ✔️ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนกรุงเทพฯ ✔️ ลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก เริ่มต้นแยกขยะวันนี้ นอกจากไม่ต้องค่าขยะเพิ่มแล้ว ยังช่วยโลก ช่วยสิ่งแวดล้อม ได้เยอะเลย ✨🌱
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาช้าดีกว่าไม่มา กกพ.จ่อชงนายกฯทบทวนค่าแอดเดอร์พลังงานหมุนเวียน หั่นค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท

    ข่าวสื่อมวลชนวันนี้ระบุว่าคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)เตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนนโยบายรัฐที่ให้เงินส่วนเพิ่มไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่เรียกว่า แอดเดอร์(Adder) ทำให้ราคารับซื้อเพิ่มสูง และมีการต่อสัญญาแบบอัตโนมัติทำให้ค่าไฟมีราคาสูงกว่าราคาที่เป็นจริงในปัจจุบันมาก หากมีการทบทวนราคารับซื้อตามต้นทุนจริง จะลดค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท คาดประหยัดค่าไฟได้ 3.3 หมื่นล้านบาทต่อปี

    ในการรับฟังความเห็นประชาชนเรื่องการปรับค่าFt ของกกพ.งวด มกราคม -เมษายน 2568 ระหว่างวันที่ 8-22 พฤศจิกายน 2567 สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค)ได้เสนอแนวทางการปรับลดราคาค่าไฟไปทั้งหมด 6ข้อ

    หนึ่งใน6 ข้อเสนอของสภาผู้บริโภค ก็คือเสนอให้ยกเลิกนโยบายมาตรการสนับสนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่สูงเกินสมควรจนมีผลกระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าทั้งระบบ ซึ่งกกพ. ควรเสนอให้ทบทวนนานแล้ว เอกชนได้ค่าไฟฟ้าส่วนเกินที่ไม่ควรได้รับปีละ 3.3 หมื่นล้านบาท เป็นค่ารับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ที่หมดอายุ 8-10 ปีไปแล้ว แต่กกพ.ก็ยังปล่อยให้ต่อสัญญาโดยอัตโนมัติในราคาสูง โดยประชาชนตาดำๆ ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายนี้ให้เอกชนผ่านค่าไฟฟ้า เป็นภาระค่าไฟแพงของประชาชน แต่ไม่ปรากฎว่ากกพ.จะได้นำข้อเสนอนี้ของสภาผู้บริโภคไปพิจารณาเพื่อลดค่าไฟในงวด มกราคม- เมษายน 2568 แต่ประการใด

    อย่างไรก็ตาม มาช้าดีกว่าไม่มา ก็ต้องชื่นชมที่ กกพ.ตัดสินใจทำข้อเสนอถึงนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนการให้เงินส่วนเพิ่ม(Adder)ว่าควรยกเลิกได้แล้วเพราะปัจจุบันราคาพลังงานหมุนเวียนมีราคาลดลงมากแล้ว ซึ่งบริษัทเหล่านั้นได้คืนทุนและมีกำไรคุ้มไปนานแล้ว การต่อสัญญาอัตโนมัติจึงควรยกเลิก ซึ่งจะทำให้สามารถลดค่าไฟลงได้ 17 สตางค์/หน่วย ทำให้ค่าไฟลดลงเหลือ 3.98 บาท/หน่วย จากที่กำหนดไว้เดิมที่ 4.15บาท/หน่วย และทำให้ประชาชนได้ปลดแอกบนบ่าถึงปีละ 3.3 หมื่นล้านบาทได้สักที

    สิ่งที่กกพ.ควรเสนอนายกรัฐมนตรีเพิ่มอีกอย่างน้อย 1 ข้อ คือให้เจรจาลดค่าความพร้อมจ่ายสำหรับโรงไฟฟ้าที่ได้คืนทุนและมีกำไรพอสมควรแล้ว จากเอกสารของกกพ. ในงวด มกราคม-เมษายน 2568 ค่าความพร้อมจ่ายสูงถึง 19,875 ล้านบาท หากคำนวณทั้งปี จะเป็นเงิน 59,625 ล้านบาท/ปี หากนำมาเฉลี่ยกับหน่วยไฟที่ใชทั้งประเทศประมาณ 200,000 หน่วย/ปี เท่ากับจะลดลงได้ 29-30 สต./หน่วย หากตัดค่าความพร้อมจ่ายส่วนนี้ไปได้ น่าจะลดได้ค่าไฟลงไปได้อีกเกือบ30 สตางค์/หน่วย (ตัวเลขที่นำมาคำนวณมาจากเอกสารที่เผยแพร่โดย กกพ.ในการรับฟังความเห็นค่าFt)

    กกพ.จึงควรถือเป็นหน้าที่ในการรีดไขมันที่ทำให้ค่าไฟแพงอย่างไม่เป็นธรรมต่อประชาชน ซึ่งยังมีอีกหลายรายการที่สมควรพิจารณาต่อไปอย่างจริงจัง จะเป็นการช่วยลดภาระที่ประชาชนแบกจนหลังแอ่นมายาวนานมาก และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่มีราคาค่าไฟเหมาะสมจูงใจให้ธุรกิจต่างชาติสนใจจะมาลงทุน

    รัฐบาลหัดคิดนโยบายประชานิยมเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรมบ้าง ประชาชนจะได้เงยหน้าอ้าปากอย่างยั่งยืน เลิกใช้วิธีกู้เงินมาหว่านแจกซื้อเสียงแบบฉาบฉวยได้แล้ว!!

    รสนา โตสิตระกูล
    16 มกราคม 2568
    มาช้าดีกว่าไม่มา กกพ.จ่อชงนายกฯทบทวนค่าแอดเดอร์พลังงานหมุนเวียน หั่นค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท ข่าวสื่อมวลชนวันนี้ระบุว่าคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)เตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนนโยบายรัฐที่ให้เงินส่วนเพิ่มไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่เรียกว่า แอดเดอร์(Adder) ทำให้ราคารับซื้อเพิ่มสูง และมีการต่อสัญญาแบบอัตโนมัติทำให้ค่าไฟมีราคาสูงกว่าราคาที่เป็นจริงในปัจจุบันมาก หากมีการทบทวนราคารับซื้อตามต้นทุนจริง จะลดค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท คาดประหยัดค่าไฟได้ 3.3 หมื่นล้านบาทต่อปี ในการรับฟังความเห็นประชาชนเรื่องการปรับค่าFt ของกกพ.งวด มกราคม -เมษายน 2568 ระหว่างวันที่ 8-22 พฤศจิกายน 2567 สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค)ได้เสนอแนวทางการปรับลดราคาค่าไฟไปทั้งหมด 6ข้อ หนึ่งใน6 ข้อเสนอของสภาผู้บริโภค ก็คือเสนอให้ยกเลิกนโยบายมาตรการสนับสนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่สูงเกินสมควรจนมีผลกระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าทั้งระบบ ซึ่งกกพ. ควรเสนอให้ทบทวนนานแล้ว เอกชนได้ค่าไฟฟ้าส่วนเกินที่ไม่ควรได้รับปีละ 3.3 หมื่นล้านบาท เป็นค่ารับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ที่หมดอายุ 8-10 ปีไปแล้ว แต่กกพ.ก็ยังปล่อยให้ต่อสัญญาโดยอัตโนมัติในราคาสูง โดยประชาชนตาดำๆ ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายนี้ให้เอกชนผ่านค่าไฟฟ้า เป็นภาระค่าไฟแพงของประชาชน แต่ไม่ปรากฎว่ากกพ.จะได้นำข้อเสนอนี้ของสภาผู้บริโภคไปพิจารณาเพื่อลดค่าไฟในงวด มกราคม- เมษายน 2568 แต่ประการใด อย่างไรก็ตาม มาช้าดีกว่าไม่มา ก็ต้องชื่นชมที่ กกพ.ตัดสินใจทำข้อเสนอถึงนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนการให้เงินส่วนเพิ่ม(Adder)ว่าควรยกเลิกได้แล้วเพราะปัจจุบันราคาพลังงานหมุนเวียนมีราคาลดลงมากแล้ว ซึ่งบริษัทเหล่านั้นได้คืนทุนและมีกำไรคุ้มไปนานแล้ว การต่อสัญญาอัตโนมัติจึงควรยกเลิก ซึ่งจะทำให้สามารถลดค่าไฟลงได้ 17 สตางค์/หน่วย ทำให้ค่าไฟลดลงเหลือ 3.98 บาท/หน่วย จากที่กำหนดไว้เดิมที่ 4.15บาท/หน่วย และทำให้ประชาชนได้ปลดแอกบนบ่าถึงปีละ 3.3 หมื่นล้านบาทได้สักที สิ่งที่กกพ.ควรเสนอนายกรัฐมนตรีเพิ่มอีกอย่างน้อย 1 ข้อ คือให้เจรจาลดค่าความพร้อมจ่ายสำหรับโรงไฟฟ้าที่ได้คืนทุนและมีกำไรพอสมควรแล้ว จากเอกสารของกกพ. ในงวด มกราคม-เมษายน 2568 ค่าความพร้อมจ่ายสูงถึง 19,875 ล้านบาท หากคำนวณทั้งปี จะเป็นเงิน 59,625 ล้านบาท/ปี หากนำมาเฉลี่ยกับหน่วยไฟที่ใชทั้งประเทศประมาณ 200,000 หน่วย/ปี เท่ากับจะลดลงได้ 29-30 สต./หน่วย หากตัดค่าความพร้อมจ่ายส่วนนี้ไปได้ น่าจะลดได้ค่าไฟลงไปได้อีกเกือบ30 สตางค์/หน่วย (ตัวเลขที่นำมาคำนวณมาจากเอกสารที่เผยแพร่โดย กกพ.ในการรับฟังความเห็นค่าFt) กกพ.จึงควรถือเป็นหน้าที่ในการรีดไขมันที่ทำให้ค่าไฟแพงอย่างไม่เป็นธรรมต่อประชาชน ซึ่งยังมีอีกหลายรายการที่สมควรพิจารณาต่อไปอย่างจริงจัง จะเป็นการช่วยลดภาระที่ประชาชนแบกจนหลังแอ่นมายาวนานมาก และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่มีราคาค่าไฟเหมาะสมจูงใจให้ธุรกิจต่างชาติสนใจจะมาลงทุน รัฐบาลหัดคิดนโยบายประชานิยมเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรมบ้าง ประชาชนจะได้เงยหน้าอ้าปากอย่างยั่งยืน เลิกใช้วิธีกู้เงินมาหว่านแจกซื้อเสียงแบบฉาบฉวยได้แล้ว!! รสนา โตสิตระกูล 16 มกราคม 2568
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 371 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐขาดดุลพุ่ง 40% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ งบประมาณติดลบ 7 แสนล้านดอลลาร์ หนี้สาธารณะของประเทศพุ่ง 36 ล้านล้านดอลลาร์

    กระทรวงการคลังสหรัฐ เปิดเผยว่า การขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 พุ่งสูงขึ้นถึง 710,900 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของตัวเลขในไตรมาสแรก เพิ่มขึ้นเกือบ 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดดุล 5.1 แสนล้านดอลลาร์

    "หนี้พุ่งสูงเกิน 36 ล้านล้านดอลลาร์"
    หนี้สาธารณะของประเทศพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น รายจ่ายภาครัฐที่สูงขึ้น และรายได้จากภาษีที่ลดลง ส่งผลให้การขาดดุลงบประมาณขยายตัวอย่างต่อเนื่อง "ทำให้หนี้พุ่งสูงเกิน 36 ล้านล้านดอลลาร์"

    ขณะเดียวกัน รายจ่ายภาครัฐในไตรมาสแรกของปีนี้ก็ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 11% ขณะที่รายรับกลับลดลง 2% สะท้อนภาระทางการคลังที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


    ขณะที่เมื่อสามวันก่อน มีรายงานข่าวจีนเกินดุลการค้าแตะ 7.85 แสนล้านดอลลาร์ อาจทะลุ 1 ล้านล้านสิ้นปีนี้

    สหรัฐขาดดุลพุ่ง 40% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ งบประมาณติดลบ 7 แสนล้านดอลลาร์ หนี้สาธารณะของประเทศพุ่ง 36 ล้านล้านดอลลาร์ กระทรวงการคลังสหรัฐ เปิดเผยว่า การขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 พุ่งสูงขึ้นถึง 710,900 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของตัวเลขในไตรมาสแรก เพิ่มขึ้นเกือบ 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดดุล 5.1 แสนล้านดอลลาร์ "หนี้พุ่งสูงเกิน 36 ล้านล้านดอลลาร์" หนี้สาธารณะของประเทศพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น รายจ่ายภาครัฐที่สูงขึ้น และรายได้จากภาษีที่ลดลง ส่งผลให้การขาดดุลงบประมาณขยายตัวอย่างต่อเนื่อง "ทำให้หนี้พุ่งสูงเกิน 36 ล้านล้านดอลลาร์" ขณะเดียวกัน รายจ่ายภาครัฐในไตรมาสแรกของปีนี้ก็ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 11% ขณะที่รายรับกลับลดลง 2% สะท้อนภาระทางการคลังที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เมื่อสามวันก่อน มีรายงานข่าวจีนเกินดุลการค้าแตะ 7.85 แสนล้านดอลลาร์ อาจทะลุ 1 ล้านล้านสิ้นปีนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฐานะทางการเงินและบารมีในชีวิต

    1. ทานและศีล: กำลังหนุนจากกรรมเก่า

    การทำทานและรักษาศีลในอดีตชาติ เป็น “หัวรถจักร” ที่ส่งผลต่อพื้นฐานของชีวิตในปัจจุบัน

    แต่ในปัจจุบัน ทานที่ทำใหม่มักมาในรูปแบบ “กำลังหนุน” ไม่ได้เปลี่ยนแปลงฐานะทันตาเห็น

    ดังนั้น การทำบุญในชาตินี้คือการสะสมบารมีเพื่ออนาคต ขณะเดียวกันต้องพึ่งพากรรมดีในอดีตและความพยายามในปัจจุบัน


    2. ความฉลาดในปัจจุบัน: ตัวพลิกสถานการณ์

    ผลของกรรมเก่าให้ “ความน่าจะเป็น” หรือโอกาส แต่การใช้โอกาสเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับการใช้ปัญญาและความพยายาม

    หากกรรมเก่าไม่สนับสนุน ต้องเริ่มสร้างหัวรถจักรใหม่ด้วยการฝึกฝนตนเองให้มีทักษะและมุมมองที่เหมาะสม



    ---

    การสร้างบารมีของเจ้านาย: ไม่ได้เกิดจากโชค แต่เกิดจากความเพียร

    3. คุณสมบัติของผู้ที่เตรียมตัวเป็นเจ้านาย

    “เต็มใจ” ทำงานหนัก: ไม่มองงานเป็นภาระ แต่มองเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพิสูจน์ตนเอง

    “มีหัวคิด” ก้าวหน้า: คิดหาทางปรับปรุงงานให้ดีขึ้น และมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น

    “ไม่ยอมอยู่ที่เดิม”: มีแรงขับในตัวเองที่จะพัฒนาไปสู่บทบาทที่สูงขึ้น


    4. ความเป็นเจ้านายเกิดจากอะไร?

    ความเป็นเจ้านายไม่ได้มาจากการบังคับบัญชา แต่เกิดจากความสามารถในการนำและการเสียสละ

    ผู้ที่เคยเป็นลูกจ้างที่ดี ย่อมเข้าใจความลำบากของลูกจ้าง และใช้ความเข้าใจนี้สร้างบารมีในการเป็นผู้นำ



    ---

    5. การใช้ชีวิตในปัจจุบัน: กุญแจสำคัญในการสร้างฐานะ

    กรรมเก่า: เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการกำหนดโอกาส

    วิธีใช้ชีวิตในปัจจุบัน: เป็นตัวกำหนดว่าจะใช้โอกาสนั้นอย่างไรให้เกิดผลดี

    การขยันอดทน มีวินัย ใช้ทรัพยากรและโอกาสที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้


    6. สรุป: กรรมใหม่สร้างอนาคต

    ถ้าพื้นฐานชีวิตปัจจุบันยังไม่ดีพอ ให้เริ่มสร้างบารมีใหม่ด้วยความตั้งใจดี

    ไม่มีใครถูกกำหนดให้ติดอยู่ในฐานะเดิม หากลงมือเปลี่ยนแปลงด้วยความเพียรและปัญญา

    การเปลี่ยนฐานะและบารมี เริ่มต้นจากความคิดและการกระทำในวันนี้เอง.


    ฐานะทางการเงินและบารมีในชีวิต 1. ทานและศีล: กำลังหนุนจากกรรมเก่า การทำทานและรักษาศีลในอดีตชาติ เป็น “หัวรถจักร” ที่ส่งผลต่อพื้นฐานของชีวิตในปัจจุบัน แต่ในปัจจุบัน ทานที่ทำใหม่มักมาในรูปแบบ “กำลังหนุน” ไม่ได้เปลี่ยนแปลงฐานะทันตาเห็น ดังนั้น การทำบุญในชาตินี้คือการสะสมบารมีเพื่ออนาคต ขณะเดียวกันต้องพึ่งพากรรมดีในอดีตและความพยายามในปัจจุบัน 2. ความฉลาดในปัจจุบัน: ตัวพลิกสถานการณ์ ผลของกรรมเก่าให้ “ความน่าจะเป็น” หรือโอกาส แต่การใช้โอกาสเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับการใช้ปัญญาและความพยายาม หากกรรมเก่าไม่สนับสนุน ต้องเริ่มสร้างหัวรถจักรใหม่ด้วยการฝึกฝนตนเองให้มีทักษะและมุมมองที่เหมาะสม --- การสร้างบารมีของเจ้านาย: ไม่ได้เกิดจากโชค แต่เกิดจากความเพียร 3. คุณสมบัติของผู้ที่เตรียมตัวเป็นเจ้านาย “เต็มใจ” ทำงานหนัก: ไม่มองงานเป็นภาระ แต่มองเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพิสูจน์ตนเอง “มีหัวคิด” ก้าวหน้า: คิดหาทางปรับปรุงงานให้ดีขึ้น และมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น “ไม่ยอมอยู่ที่เดิม”: มีแรงขับในตัวเองที่จะพัฒนาไปสู่บทบาทที่สูงขึ้น 4. ความเป็นเจ้านายเกิดจากอะไร? ความเป็นเจ้านายไม่ได้มาจากการบังคับบัญชา แต่เกิดจากความสามารถในการนำและการเสียสละ ผู้ที่เคยเป็นลูกจ้างที่ดี ย่อมเข้าใจความลำบากของลูกจ้าง และใช้ความเข้าใจนี้สร้างบารมีในการเป็นผู้นำ --- 5. การใช้ชีวิตในปัจจุบัน: กุญแจสำคัญในการสร้างฐานะ กรรมเก่า: เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการกำหนดโอกาส วิธีใช้ชีวิตในปัจจุบัน: เป็นตัวกำหนดว่าจะใช้โอกาสนั้นอย่างไรให้เกิดผลดี การขยันอดทน มีวินัย ใช้ทรัพยากรและโอกาสที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ 6. สรุป: กรรมใหม่สร้างอนาคต ถ้าพื้นฐานชีวิตปัจจุบันยังไม่ดีพอ ให้เริ่มสร้างบารมีใหม่ด้วยความตั้งใจดี ไม่มีใครถูกกำหนดให้ติดอยู่ในฐานะเดิม หากลงมือเปลี่ยนแปลงด้วยความเพียรและปัญญา การเปลี่ยนฐานะและบารมี เริ่มต้นจากความคิดและการกระทำในวันนี้เอง.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • งามหน้าฝรั่งเศส ..นักกีฬาที่ได้รับรางวัลเหรียญกีฬาโอลิมปิก 2024 ไม่พอใจแห่คืนกว่า100เหรียญรางวัลที่เสื่อมสภาพชำรุดไวทั้งหลุดร่อนแตก เพราะโรงกษาปณ์แห่งชาติฝรั่งเศสผลิตด้วยคุณภาพต่ำและงานหยาบ

    ประเด็นเหรียญโอลิมปิก2024เสื่อมสภาพ คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 ที่เมืองปารีส กำลังทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Monnaie de Paris (โรงกษาปณ์แห่งฝรั่งเศส) ซึ่งเป็นสถาบันที่รับผิดชอบในการผลิตและควบคุมคุณภาพของเหรียญรางวัล เพื่อประเมินข้อร้องเรียนใดๆ ที่เกี่ยวกับเหรียญรางวัล รวมถึงเพื่อทำความเข้าใจถึงสถานการณ์และสาเหตุของความเสียหาย” IOC กล่าว

    “เหรียญที่ชำรุดจะถูกแทนที่โดย Monnaie de Paris อย่างเป็นระบบและแกะสลักให้เหมือนกันทุกประการ

    “กระบวนการทดแทนควรจะเริ่มต้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้”

    เมื่อได้รับการติดต่อจาก AFP โฆษกของ Monnaie de Paris ได้ออกมาปฏิเสธคำว่า "มีข้อบกพร่อง" และกล่าวว่าเหรียญรางวัลที่นักกีฬาระบุว่า "ได้รับความเสียหาย" มาตั้งแต่เดือนสิงหาคมนั้นก็ได้รับการทดแทนไปแล้ว

    “เราได้เปลี่ยนเหรียญที่เสียหายทั้งหมดไปแล้วตั้งแต่เดือนสิงหาคม และเราจะยังคงดำเนินการต่อไปในลักษณะมืออาชีพเช่นเดิม” โฆษกกล่าว พร้อมเสริมว่าขณะนี้กำลังดำเนินการเปลี่ยนเหรียญใหม่ “ตามคำร้องขอที่เข้ามา”

    ตามรายงานของสื่อออนไลน์ของฝรั่งเศส La Lettre ระบุว่า "นักกีฬาที่ไม่พอใจได้ส่งคืนเหรียญรางวัลที่ชำรุดมากกว่า 100 เหรียญ" และพบว่ารางวัลที่ได้รับนั้นเสื่อมลง

    นักกีฬาโอลิมปิกบางคนจากการแข่งขันที่ปารีสได้ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อแบ่งปันภาพเหรียญรางวัลของตน

    นักกีฬาคนหนึ่งคือ Nyjah Huston นักสเก็ตบอร์ดชาวอเมริกัน ซึ่งคว้าเหรียญทองแดงจากการแข่งขันสเก็ตบอร์ดแนวสตรีทเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม

    สิบวันต่อมา เขาได้โพสต์รูปเหรียญรางวัลของเขา พร้อมบ่นถึงคุณภาพของมัน

    “เหรียญรางวัลโอลิมปิกเหล่านี้ดูดีเยี่ยมเมื่อยังใหม่ แต่หลังจากที่ปล่อยให้มันเกาะบนผิวหนังพร้อมกับเหงื่ออยู่สักพักแล้วให้เพื่อนๆ สวมใส่ในช่วงสุดสัปดาห์ ดูเหมือนว่าเหรียญรางวัลเหล่านั้นจะไม่มีคุณภาพสูงเท่าที่คิด” เขากล่าว

    “มันดูหยาบมาก แม้แต่ด้านหน้าก็เริ่มแตกออกเล็กน้อยแล้ว”

    ตามที่ La Lettre กล่าวไว้ เหรียญรางวัล "จะต้องรับภาระหนักจากผลิตภัณฑ์ใหม่ที่นำมาใช้" เนื่องจากกฎระเบียบใหม่ห้ามใช้ส่วนประกอบของวานิชที่เคยใช้มาก่อนและ "ต้องเปลี่ยนใหม่ในระยะเวลาอันสั้น"

    เหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดงจำนวน 5,084 เหรียญสำหรับการแข่งขันปารีส 2024 ได้รับการออกแบบโดยบริษัทเครื่องประดับและนาฬิกาสุดหรู Chaumet (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ กลุ่ม บริษัท LVMH ) และผลิตโดย Monnaie de Paris

    แต่ละเหรียญจะมีชิ้นส่วนเล็กๆ ของหอไอเฟลซึ่งนำมาจากหุ้นของบริษัทดำเนินงานอนุสาวรีย์แห่งปารีส
    งามหน้าฝรั่งเศส ..นักกีฬาที่ได้รับรางวัลเหรียญกีฬาโอลิมปิก 2024 ไม่พอใจแห่คืนกว่า100เหรียญรางวัลที่เสื่อมสภาพชำรุดไวทั้งหลุดร่อนแตก เพราะโรงกษาปณ์แห่งชาติฝรั่งเศสผลิตด้วยคุณภาพต่ำและงานหยาบ ประเด็นเหรียญโอลิมปิก2024เสื่อมสภาพ คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 ที่เมืองปารีส กำลังทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Monnaie de Paris (โรงกษาปณ์แห่งฝรั่งเศส) ซึ่งเป็นสถาบันที่รับผิดชอบในการผลิตและควบคุมคุณภาพของเหรียญรางวัล เพื่อประเมินข้อร้องเรียนใดๆ ที่เกี่ยวกับเหรียญรางวัล รวมถึงเพื่อทำความเข้าใจถึงสถานการณ์และสาเหตุของความเสียหาย” IOC กล่าว “เหรียญที่ชำรุดจะถูกแทนที่โดย Monnaie de Paris อย่างเป็นระบบและแกะสลักให้เหมือนกันทุกประการ “กระบวนการทดแทนควรจะเริ่มต้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้” เมื่อได้รับการติดต่อจาก AFP โฆษกของ Monnaie de Paris ได้ออกมาปฏิเสธคำว่า "มีข้อบกพร่อง" และกล่าวว่าเหรียญรางวัลที่นักกีฬาระบุว่า "ได้รับความเสียหาย" มาตั้งแต่เดือนสิงหาคมนั้นก็ได้รับการทดแทนไปแล้ว “เราได้เปลี่ยนเหรียญที่เสียหายทั้งหมดไปแล้วตั้งแต่เดือนสิงหาคม และเราจะยังคงดำเนินการต่อไปในลักษณะมืออาชีพเช่นเดิม” โฆษกกล่าว พร้อมเสริมว่าขณะนี้กำลังดำเนินการเปลี่ยนเหรียญใหม่ “ตามคำร้องขอที่เข้ามา” ตามรายงานของสื่อออนไลน์ของฝรั่งเศส La Lettre ระบุว่า "นักกีฬาที่ไม่พอใจได้ส่งคืนเหรียญรางวัลที่ชำรุดมากกว่า 100 เหรียญ" และพบว่ารางวัลที่ได้รับนั้นเสื่อมลง นักกีฬาโอลิมปิกบางคนจากการแข่งขันที่ปารีสได้ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อแบ่งปันภาพเหรียญรางวัลของตน นักกีฬาคนหนึ่งคือ Nyjah Huston นักสเก็ตบอร์ดชาวอเมริกัน ซึ่งคว้าเหรียญทองแดงจากการแข่งขันสเก็ตบอร์ดแนวสตรีทเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม สิบวันต่อมา เขาได้โพสต์รูปเหรียญรางวัลของเขา พร้อมบ่นถึงคุณภาพของมัน “เหรียญรางวัลโอลิมปิกเหล่านี้ดูดีเยี่ยมเมื่อยังใหม่ แต่หลังจากที่ปล่อยให้มันเกาะบนผิวหนังพร้อมกับเหงื่ออยู่สักพักแล้วให้เพื่อนๆ สวมใส่ในช่วงสุดสัปดาห์ ดูเหมือนว่าเหรียญรางวัลเหล่านั้นจะไม่มีคุณภาพสูงเท่าที่คิด” เขากล่าว “มันดูหยาบมาก แม้แต่ด้านหน้าก็เริ่มแตกออกเล็กน้อยแล้ว” ตามที่ La Lettre กล่าวไว้ เหรียญรางวัล "จะต้องรับภาระหนักจากผลิตภัณฑ์ใหม่ที่นำมาใช้" เนื่องจากกฎระเบียบใหม่ห้ามใช้ส่วนประกอบของวานิชที่เคยใช้มาก่อนและ "ต้องเปลี่ยนใหม่ในระยะเวลาอันสั้น" เหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดงจำนวน 5,084 เหรียญสำหรับการแข่งขันปารีส 2024 ได้รับการออกแบบโดยบริษัทเครื่องประดับและนาฬิกาสุดหรู Chaumet (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ กลุ่ม บริษัท LVMH ) และผลิตโดย Monnaie de Paris แต่ละเหรียญจะมีชิ้นส่วนเล็กๆ ของหอไอเฟลซึ่งนำมาจากหุ้นของบริษัทดำเนินงานอนุสาวรีย์แห่งปารีส
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 346 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts